ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 603-609

 ตอนที่ 603 ทำตัวเป็นการเป็นงาน


 


 


พวกเขาไปมุ่งหน้ากันต่อไปเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่ไม่มีทางเลือก เขาต้องปล่อยเจียงเฟิงไว้ตรงนั้นเพราะพรมกันน้ำนี่บรรทุกคนได้แค่เพียงสามคนเท่านั้น และเขาก็อยากกันที่ที่สามนี้ไว้ให้เสี่ยวอวี๋


 


 


คงแย่กว่านี้ถ้าต้องไล่ให้เจียงเฟิงลงไปจากพรมแล้วให้เสี่ยวอวี๋ขึ้นมาแทน


 


 


มีนักเรียนเป็นพันๆ คนที่มาถึงที่นี่โดยรถไฟ มีคนพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่าความอ้างว้างนั้นเป็นเวลาที่ดีที่จะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลี่ว์ซู่รู้ว่านักเรียนห้องเต้าหยวนที่ฝึกกันมาอย่างหนักหน่วงนั้นคงจะมีอารมณ์เหมือนอยู่ในสนามรบกันโดยตลอด มาที่นี่จะได้มาทำให้หัวโล่งๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก…


 


 


อยู่ๆ เฉินจู่อานก็ตะโกนออกมา “พี่ซู่ ดูนั่น!”


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปตามทางที่เฉินจู่อานชี้ เขาเห็นว่ามีต้นไม้สีขาวที่เปล่งแสงประกายระยิบระยับ นอกจากนี้หลี่ว์ซู่ยังเห็นใครคนหนึ่งกำลังคลานอยู่บนพื้น พยายามเอาตัวเองเข้าไปใกล้ลำต้นของต้นไม้ แต่เพราะว่าอยู่บนกระจกก็เลยทำให้ตัวของเขาออกห่างจากต้นไม้ไปเรื่อยๆ …


 


 


พอคนคนนั้นเห็นหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานใกล้เข้ามา เขาก็คลานไปอีกอย่างบ้าคลั่ง


 


 


ต้นไม้มีผลไม้สีขาวเป็นประกายอยู่ประมาณสี่หรือห้าผล ดูสวยงามเกินจริงมาก แต่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานไม่รู้ว่าผลไม้นั่นทำอะไรได้บ้าง


 


 


หลี่ว์ซู่จำหน้าชายคนนี้ไม่ได้เสียด้วย เขาเลยหันไปถามเฉินจู่อาน “รู้จักคนนั้นมั้ย”


 


 


“ไม่นะ” เฉินจู่อานส่ายหัว


 


 


และพอเห็นทั้งสองคนเข้าไปใกล้ เขาก็ตะโกนขึ้นมาทันที “ไสหัวไปซะ ฉันเจอต้นไม้นี้ก่อนนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เลิกคิ้ว “เจอก่อนก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นของนายนี่ งั้นนายก็ต้องเป็นของฉันเพราะฉันเจอนายคนแรกใช่ไหมล่ะื” เฉินจู่อานอ้าปากค้าง หลี่ว์ซู่พูดเรื่องอะไรเนี่ย


 


 


[แต้มอารมณ์จากเจินจู่อาน +66!]


 


 


[แต้มอารมณ์จากโนกิวะ ทาคาฮิระ +666!]


 


 


พอเข้าไปใกล้พอควรแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ได้รับแต้มอารมณ์มาจำนวนหนึ่ง ทีนี้เขาก็บอกได้แล้วว่าแต้มอารมณ์มาจากผู้ชายคนนี้นี่แหละ


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่เข้าไปที่โบราณสถานเป่ยหมัง เขาได้ปะทะกับสายลับญี่ปุ่น แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้รับแต้มอารมณ์จากใครคนไหนที่มีชื่อญี่ปุ่นอีกเลย แต่โผล่มาได้หนึ่งคน และนามสกุลของคนนี้คือโนกิวะด้วยอีกต่างหาก


 


 


นักเรียนจากห้องเต้าหยวนจำนวนมากจากทั่วประเทศมารวมตัวกันที่ลบนัวร์ หลี่ว์ซู่ว่าเขาน่าจะได้เจอสายลับจากที่อื่นเข้าให้บ้างแหละ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เจอรวดเร็วขนาดนี้


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่สามารถกำจัดเขาโดยไม่อธิบายเหตุผลให้เฉินจู่อานฟังได้ เขารู้จากระบบบันทึกว่าเจ้านี่เป็นสายลับ แต่สำหรับเฉินจู่อานแล้ว เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง


 


 


พวกกลุ่มทวยเทพเริ่มหาพวกหลังจากที่พ่ายแพ้ไป และสายลับหลายๆ คนก็ทิ้งองค์กรไปเลย มีสายลับคนอื่นๆ อีกมากที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี ในขณะที่สายลับที่เหลือกลับถอนใจก้วยความโล่งอก


 


 


เพราะเมื่อองค์กรถูกกำจัดก็แปลว่าภารกิจของพวกเขาก็จบลงด้วยเหมือนกัน และอาจจะไม่มีใครจับได้ว่าพวกเขาเป็นสายลับมาก่อน พวกเขาสามารถใช้ชื่อใหม่ที่ได้มาและใช้ชีวิตต่อไป


 


 


ไม่ใช่ทุกคนที่อยากสละชีวิตเพื่อกลุ่มทวยเทพหรอก คนญี่ปุ่นเองก็กลัวตายเป็นเหมือนกัน


 


 


แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าทั้งหมดนี่ไม่ได้แปลว่าพอเจอว่ามีสายลับรอบๆ ตัวพวกเขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ พวกนี้อาจจะปล่อยระเบิดตอนไหนก็ได้


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็เจอพวกสายลับนี่แล้ว เขาต้องจัดการฆ่าพวกมันให้หมดอย่างเร็วที่สุด


 


 


หลี่ว์ซู่เลื่อนพรมไปที่ใต้ต้นไม้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายืนขึ้นแล้วเอื้อมไปหยิบผลไม้จากต้นก่อนเก็บผลไม้สี่ผลลงกระเป๋า


 


 


ทาคาฮิระที่อยู่ใต้ต้นไม้รีบตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “หลังออกไปได้แล้ว ฉันเอาเรื่องนี้ไปรายงานกับเครือข่ายฟ้าดินแน่ อย่าคิดนะว่านายจะเอาผลไม้ไปแบบนั้นได้น่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไปนิดหนึ่งก่อนตอบ “งั้นเดี๋ยวแบ่งให้ เก็บเป็นความลับได้ไหม”


 


 


สีหน้าของทาคาฮิระเปลี่ยนไป เขารีบตอบทันที “ได้สิ ถ้านายแบ่งให้ ฉันเก็บเป็นความลับให้ก็ได้!”


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้า “รักษาคำพูดด้วยล่ะ”


 


 


ขณะที่พูดนั้น เขาก็หักกิ่งต้นไม้ออกกิ่งหนึ่งแล้วขว้างมันไปให้ทาคาฮิระ “เอ้านี่”


 


 


เฉินจู่อานอ้าปากค้างอีกรอบ ทำไมถึงคิดว่าคนนั้นอยากจะได้กิ่งไม้ไปกันเนี่ย คิดอะไรอยู่


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากโนกิวะ ทาคาฮิระ +999!]


 


 


ทาคาฮิระโมโห “ล้อกันเล่นหรือเปล่าเนี่ย!”


 


 


เฉินจู่อานมองดูกิ่งไม้อีกกอ่งในมือของหลี่ว์ซู่แล้วเงียบไป “พี่ซู่ อย่าบอกนะว่าอีกกิ่งพี่จะเอาให้ผม…”


 


 


“อ่ะ” หลี่ว์ซู่ยื่นกิ่งไม้กิ่งนั้นให้เฉินจู่อาน “เอาของฝากสำหรับเด็กดีมาให้”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเจินจู่อาน +666!]


 


 


และในตอนนี้เองที่เกมนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว!


 


 


จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ยกมือขึ้นมาโจมตีเข้าที่หลังคอของเฉินจู่อาน จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับไปหาทาคาฮิระแล้วพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น “โนกิวะเป็นพวกใจร้อนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันเห็นบันทึกรายงานของนายตั้งแต่อยู่ที่โตเกียวแล้ว โนกิวะ ทาคาฮิระ องค์กรกำลังเรียกหานายอยู่นะ ถ้าออกไปได้แล้วติดต่อฉันมาก็แล้วกัน”


 


 


ทาคาฮิระที่ช็อกไปพยายามคุมตัวเองให้กลับมาสงบนิ่ง “ครับท่าน นั่นใครกันครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่ตบร่างเฉินจู่อานเบาๆ แล้วกลับมาพูดภาษาจีน “เจ้าตุ้ยนุ้ยน่ะ แล้วนายล่ะเป็นใคร แนะนำตัวให้ฟังดีๆ หน่อยซิ”


 


 


แล้วเฉินจู่อานก็หัวเราะและลุกขึ้นยืน “มองกันแบบนั้นหมายความว่าอย่างไรครับเนี่ย ผมแสดงเก่งมั้ย ว่าแต่เมื่อกี้ทำไมถึงพูดภาษาญี่ปุ่นกันล่ะ”


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ถามเฉินจู่อานว่าจำชายคนนี้ได้ไหม เขาก็ส่งสายตาเหลือบไปที่เฉินจู่อาน สายตาที่ส่งไปนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษ แต่เฉินจู่อานก็สัมผัสได้ว่าต้องมีเรื่องอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นหลังจากนั้น


 


 


เพราะฉะนั้นตอนที่หลี่ว์ซู่แกล้งทำให้เขาสลบไป เขาก็เล่นตามน้ำ


 


 


ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจที่หลี่ว์ซู่อยากจะให้ทำแล้ว แต่เฉินจู่อานน่ะไหวพริบดี


 


 


ทาคาฮิระไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลี่ว์ซู่รู้ชื่อจริงของเขา หากหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนจากองค์กรที่เคยเห็นบันทึกรายงานของเขามาก่อนแล้วจะเดาชื่อจริงแรกถูกตั้งแต่ครั้งแรกได้ยังไง


 


 


ต่อให้เป็นการหลอกกันก็ไม่มีทางหรอกที่จะเดาได้ถูกต้องได้ขนาดนี้


 


 


“คุณหักหลังองค์กรนี่” ทาคาฮิระพูดอย่างเย็นชา ตอนแรกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นสายลับเหมือนกันกับเขา แต่พอกลุ่มทวยเทพสลายไป หลี่ว์ซู่กลับเข้าร่วมกับเครือข่ายฟ้าดินแทน… เอาจริงแล้วมันก็ดูทะแม่งๆ อยู่ แต่เขาหาความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ได้แล้ว!


 


 


เฉินจู่อานนั้นสุดแสนเริงร่า เขาไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่รู้ชื่อจริงของโนกิวะ ทาคาฮิระ แต่เขาก็เห็นว่าเรื่องสายลับนี่เป็นอะไรที่น่าสนใจดี “พี่ซู่ เขาบอกว่าพี่เป็นสายลับเหรอ ฮ่าๆๆๆ!”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย พอเฉินจู่อานอยู่ใกล้ๆ เขาก็เก็บงำตัวตนของทาคาฮิระไว้ไม่เปิดเผย ถ้าเขาอยู่คนเดียว ทาคาฮิระได้ตายไปนานแล้ว เขาเลยขว้างดาบรัศมีอสนีบาตไปที่หน้าอกของทาคาฮิระซึ่งเจ้าตัวพยายามจะหยุดการโจมตีนั้น ทว่าเขายืนอยู่บนกระจกจึงไม่สามารถขยับตัวได้ ไม่มีทางหนีไปไหนได้เลย


 


 


ดาบรัศมีอสนีบาตนั้นทะลวงไปที่มือของทาคาฮิระที่พยายามจะยื่นออกไปปกป้องชีวิตตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็ขยับตัวไม่ได้เนื่องจากสายฟ้าลั่นไปทั่วร่างเขา ทีนี้เฉินจู่อานรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา…


 


 


แต่ดาบรัศมีอสนีบาตไม่ได้หยุดอยู่ที่ฝ่ามือของทาคาฮิระ มันปักทะลุผ่านเส้นเลือดแดงทำให้เลือดสาดกระจายทั่วกระจก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากโนกิวะ ทาคาฮิระ +1000!]


 


 


ก่อนที่เฉินจู่อานจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลี่ว์ซู่ก็หยิบเอากิ่งไม้ออกจากมือของทาคาฮิระ แล้วยื่นให้เฉินจู่อานแทน


 


 


“เอ้า เอาไป เขาตายแล้ว กิ่งนี่เป็นของนายแทนนะ”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเจินจู่อาน +666!]


ตอนที่ 604 หลี่ว์เสี่ยวซู่ บุคคลที่น่าประทับใจที่สุดในจักรวาล 


 


 


เฉินจู่อานยืนอยู่บนพรมกันน้ำและมองกิ่งไม้ในมือตัวเองเงียบๆ เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้กิ่งไม้ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย ใครจะรู้ มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตก็ได้ 


 


 


ตอนนื้เขามีกิ่งไม้ตั้งสองกิ่ง แต่หลี่ว์ซู่ไม่มีอะไรเลย ฮ่าๆ น่าสนใจ 


 


 


เฉินจู่อานจะตั้งตารอคอยวันที่กิ่งไม้นี้แสดงอะไรพิเศษออกมา ถึงตอนนั้นหลี่ว์ซู่ก็คงหัวเสียน่าดูที่เอากิ่งไม้พวกนี้มาให้เขา พอคิดเรื่องนี้ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ 


 


 


แต่แล้วเขาก็ต้องตะลึงไป เพราะเขาเห็นหลี่ว์ซู่เหวี่ยงมือไปที่รากต้นไม้ที่โปร่งใสทว่าทอประกาย แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ถืออะไรไว้เลยนะ 


 


 


แกร๊ง! 


 


 


ในมือหลี่ว์ซู่ไม่ได้มีอะไรอยู่เลยจริงๆ แต่กลับมีรอยตัดอย่างเรียบเนียนปรากฏบนรากต้นไม้ 


 


 


“พี่ซู่ นี่พี่ไปฝึกความสามารถอะไรเจ๋งๆ มาอีกล่ะ เมื่อกี้นี้เป็นดาบล่องหนหรือเปล่า” เฉินจู่อานพึมพำ 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจเฉินจู่อาน เขาเอากระบี่เฉิงอิ่งในมือตัดรากไม้ต่อไป ต้นไม้ทั้งต้นนั้นเริ่มเอียงไปอีกข้างโดยหลี่ว์ซู่ยังไม่ได้ออกแรงจริงๆ จังๆ เลย 


 


 


“หือ ขนาดแก่นต้นไม้ยังทำจากคริสทัลเลยเหรอ นี่มันต้นอะไรเนี่ย แปลกจัง” หลี่ว์ซู่เอ่ยอย่างงุนงงขณะเก็บต้นไม้ทั้งต้นเข้าไปในตราแผ่นดิน 


 


 


“พี่ซู่ รู้ตัวมั้ยว่าเป็นคนที่น่าประทับใจจริงๆ” เฉินจู่อานถอนหายใจ “ขนาดต้นไม้พี่ก็ยังไม่ละเว้น…” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


ก่อนหน้านี้เฉินจู่อานก็คิดว่าเขาโชคดีแล้วที่ได้กิ่งไม้มา แต่พอเห็นสถานการณ์ตอนนี้ที่หลี่ว์ซู่ยกเอาต้นไม้ไปทั้งต้นนั้น… 


 


 


ในสายตาของเฉินจู่อาน หลี่ว์ซู่สูงใหญ่ราวกับยักษ์ ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเขาก็ตามหลี่ว์ซู่ไม่ทัน 


 


 


“พี่ซู่ ผมมีฉายาใหม่ให้พี่ละ บุคคลที่น่าประทับใจที่สุดในจักรวาล…” เฉินจู่อานถอนใจ 


 


 


“ได้ๆ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” หลี่ว์ซู่นั่งลงบนพรมกันน้ำ เขาตัดต้นไม้ไปสามต้นเพราะมันปล่อยพลังงานที่มีความเข้มข้นสูงออกมา เขาตัดสินใจกลับไปที่ต้นไม้เพื่อพินิจพิเคราะห์ดูมันอย่างละเอียด ถ้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ ก็ช่างเถอะ แต่ถ้ามันเกิดมีประโยชน์ขึ้นมาล่ะ 


 


 


หลี่ว์ซู่มีคติว่าฆ่าผิดคนอย่างน้อยก็ยังดีกว่าปล่อยคนผิดให้หนีรอดจากเงื้อมมือเขาไปได้ ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้พยายามมากมายขนาดนั้น หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดแล้วก็ตัดเอาชิ้นกระจกบนพื้นออกมาชิ้นใหญ่เพื่อจะเอาไปวิเคราะห์ดูต่อ… 


 


 


เฉินจู่อานอึ้งเข้าไปใหญ่ นี่หลี่ว์ซู่ถึงขนาดเอากระจกบนพื้นไปด้วยเลยเหรอ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!] 


 


 


“พี่ซู่ ผมว่าไม่มีใครจะสุดยอดไปกว่าพี่แล้วล่ะ…” 


 


 


นักเรียนห้องเต้าหยวนมาที่นี่กันตั้งหมื่นกว่าคน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่พวกเขาจะเจอเข้ากับนักเรียนพวกนั้นเข้า ทว่านักเรียนห้องเต้าหยวนนั้นพยายามรักษาสมดุลบนกระจกกันอยู่ บางคนก็ถอดใจนอนอยู่บนพื้นและกินอาหารที่เอามาด้วย บางคนถึงกับนั่งดูวิดีโอจากมือถืออยู่ด้วยซ้ำ 


 


 


ในโบราณสถานนี้มีคนอยู่ทุกรูปแบบ กระทั่งคนที่พกที่ชาร์จสำรองมาสองสามอันก็มี 


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานเดินผ่านพวกเขาไป พวกเขาต่างส่งแต้มอารมณ์มาให้หลี่ว์ซู่ หลายๆ คนเริ่มสงสัย ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานเองก็เป็นนักเรียนของห้องเต้าหยวนเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมพวกเขาต้องมานั่งลำบาก ส่วนหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานกลับดูสนุกสนานแบบนั้นได้ 


 


 


พื้นกระจกนั้นลื่นมาก แต่พอหลี่ว์ซู่ออกแรงโดยใช้หอกยาวสองเล่มแล้ว พวกเขาก็พุ่งออกไปไกลกว่าร้อยเมตรเลย เฉินจู่อานที่นั่งข้างหลังรู้สึกเหมือนกำลังเล่นสกีอยู่ ถึงจะไม่เจอวัตถุเก่าแก่แต่ถ้าเปรียบเทียบกับพวกนักเรียนคนอื่นๆ แล้วก็สนุกดีแหละ 


 


 


ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นนักเรียนที่กำลังมุ่งมั่นตั้งใจ ถึงแม้เธอจะยันตัวขึ้นไม่ได้ แต่ก็พยายามอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ 


 


 


“หืม คนนั้นใครน่ะ เหมือนจะเคยเจอกันมาก่อนเลย” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย 


 


 


“เธอเป็นหัวกะทิระดับ A ผมเห็นเธอมาหลายรอบแล้ว” เฉินจู่อานตอบ 


 


 


หัวกะทิระดับ A คนนั้นตั้งใจมาก เธอก้าวไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังแต่ก็มั่นคง หากไม่มั่นใจว่าสมดุลดีหรือยัง เธอจะไม่ย่ำเท้าลงไปเด็ดขาด จะได้ไม่ลื่นล้มในก้าวต่อๆ ไป 


 


 


เธอต้องควบคุมกล้ามเนื้อให้ดี ถึงแม้จะเหนื่อยแต่เธอไม่ยอมหรอก 


 


 


มู่เสียวไป่เดินไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เธอยังมีลมหายใจ เธอจะไม่ก้มหัวยอมแพ้เด็ดขาด เธอเป็นถึงหัวกะทิระดับ A เธอจะไม่ยอมอ่อนแอเหมือนกับนักเรียนห้องเต้าหยวนทั่วๆ ไป ทัศนคติเช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่โดนเนี่ยถิงเคี่ยวกรำมาอย่างหนักและจากศักดิ์ศรีของเธอเอง 


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานก็ผ่านเธอไปเร็วอย่างกับสายลม มู่เสียวไป่งุนงง 


 


 


[แต้มอารมณ์จากมู่เสียวไป่ +666!] 


 


 


“เธอชื่อมู่เสียวไป่ เป็นหนึ่งในหัวกะทิระดับ A ว่ากันว่าเธอทำภารกิจได้สำเร็จลุล่วงดี แต่ความสามารถไม่เท่าเฉาชิงฉือกับเฉิงชิวเฉี่ยว มีคนเล่าว่าตอนไปปฏิบัติภารกิจที่ตลาดมืด มีคนฉกงานของเธอไป เธอเลยต้องไปหางานอื่นทดแทน เพราะงั้นก็เลยปฏิบัติภารกิจเสร็จช้ากว่าเฉาชิงฉือและคนอื่นๆ เธอเป็นคนดีแท้ๆ ไม่รู้ไอ้บ้าที่ไหนขโมยภารกิจของเธอไปเสียนิ-นี่-นี่-นี่-นี่” 


 


 


อสนีบาตสีม่วงฟาดเข้าก้นของเฉินจู่อาน… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


“อะแฮ่ม” หลี่ว์ซู่มองไปข้างบน “ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่นานๆ ก็พูดให้น้อยลงหน่อยนะจู่อาน” 


 


 


“ก็ได้ๆ!” เฉินจู่อานรู้สึกราวกับว่าเขาแก้ปริศนาที่ทำพวกหัวกะทิระดับ A ปวดหัวกันได้แล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาบอกใครไม่ได้ ถ้าบอกแล้วอาจจะมีเรื่องตามมาให้แก้ทีหลัง 


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “พวกหัวกะทิมักมีท่าทีเปลี่ยนไปมากหลังจากออกไปปฏิบัติภารกิจกัน ก่อนที่เราจะเริ่มภารกิจนี้ พวกเขาทั้งใสซื่อและยังไม่โต พริบตาเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นนักรบกันเสียแล้ว” 


 


 


เฉินจู่อานถอนหายใจ “ใช่ ยิ่งผมพยายามหนักเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าพรสวรรค์นั้นสำคัญกว่าจริงๆ ดูมู่เสียวไป่เป็นตัวอย่างสิ ถึงจะโดนขโมยภารกิจไป แต่ตอนนั้นเธอก็อยู่ในจุดสูงสุดของระดับ C อยู่ดี ส่วนผมเพิ่งจะแตะระดับ C เอง คิดแล้วมันก็น่าน้อยใจเหมือนกันนะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามปลอบ “โทษตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชีวิตนี้ยังมีเรื่องสลดใจอีกเยอะน่า” 


 


 


“พี่ซู่ พี่นี่หาทางปลอบคนได้แปลกดีนะ” เฉินจู่อานกล่าวอย่างไร้อารมณ์ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +199!] 


 


 


“ทำไมพี่ไม่ลองกินผลไม้นั่นดูล่ะ ดูเหมือนมะม่วงเลยนะ คงอร่อยน่าดู ถึงจะไม่รู้ว่ามันทำอะไรได้ก็เถอะ” เฉินจู่อานเปลี่ยนเรื่อง “แต่ถ้ามีพิษก็เรื่องใหญ่หน่อย ผมเคยได้ยินว่าชอบมีคนติดพิษจากโบราณสถานด้วยนะ พี่อยากลองดูไหม” 


 


 


มีคนติดพิษเหรอ ไร้สาระแล้ว หลี่ว์ซู่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครติดพิษจากโบราณสถานเลย แต่มันก็อันตรายจริงๆ นั่นแหละ เพราะถ้าให้คนระดับ B กินผลไม้พวกนี้เข้าไป มันสามารถทำให้คนคนนั้นปะทุพลังออกมาเป็นความสามารถในธาตุนั้นๆ และยังผูกตัวเองเข้ากับพลังธาตุได้ด้วย 


 


 


ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่ว์ซู่ไม่อยากกินผลไม้นี้ 


ตอนที่ 605 เฉินจู่อานผู้ไม่กลัวความตาย 


 


 


เอาเข้าจริงๆ แล้ว ถ้าเฉินจู่อานลองเสนอราคามา หลี่ว์ซู่อาจจะยอมขายผลไม้ให้ก็ได้ เพราะมีคนกล่าวไว้ว่าหากผู้บำเพ็ญที่ฝึกฝนมาปะทุพลังธาตุเพิ่มก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีกในอนาคต นี่เป็นโอกาสที่ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานจะได้เปรียบทั้งคู่เลยนะ งั้นทำไมเขาไม่เอาด้วยล่ะ 


 


 


แต่ตอนนี้เฉินจู่อานไม่มีอะไรอยู่ในมือเลย… 


 


 


“พี่ซู่ พี่ไม่อยากให้คนอื่นลองกินผลไม้ให้พี่เหรอ” เฉินจู่อานยิ้มอย่างประจบ 


 


 


หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “ไม่ล่ะ ตอนนี้นายอยู่คนละฝั่งกับฉันแล้ว” 


 


 


แล้วเฉินจู่อานงุนงง “คนละฝั่งเหรอ ไม่ใช่แล้วพี่ซู่ ผมเห็นพี่เป็นผู้นำมาตลอดเลยนะ” 


 


 


“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คนที่อยู่คนละฝั่งกับฉันคือคนจนไงล่ะ” หลี่ว์ซู่พูดเรียบๆ 


 


 


[แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


“เกินไปแล้วนะพี่ซู่…” เฉินจู่อานดูอารมณ์เสียไปเล็กน้อย 


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็มองขึ้นไปบนฟ้า เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม “ฉันคิดไปคนเดียวหรือเปล่า ว่าสีของท้องฟ้ามันดูหม่นลงไปหน่อย” 


 


 


เฉินจู่อานมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยความประหลาดใจ “น่าจะคิดไปเองแหละ ผมว่ามันก็เหมือนเดิมนะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว จากที่เจียงเฟิงบอก ที่นี่มันไม่น่ามีกลางคืนหรือกลางวันนี่นา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง สีท้องฟ้าก็ไม่น่าเปลี่ยนไปได้ 


 


 


หรือเขาจะคิดไปเองจริงๆ นะ หลี่ว์ซู่เอาโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปท้องฟ้าและเดินทางไปข้างหน้าต่อไป หกชั่วโมงหลังจากนั้น เขาก็ถ่ายรูปท้องฟ้าซ้ำอีก พอเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว ทีนี้เฉินจู่อานก็เห็นความแตกต่างได้ “ต่างกันจริงๆ ด้วย ท้องฟ้ามันหม่นลง!” 


 


 


ตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีนั้นไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นเท่าไหร่หรอก เหมือนกับการต้มกบในน้ำร้อน ต้องทำให้น้ำนั้นร้อนอย่างช้าๆ กว่าที่กบจะรู้ตัวว่าร้อนเกินไป มันก็ไม่มีแรงจะกระโดดหนีออกจากหม้อแล้ว 


 


 


ซึ่งถ้าคิดตามหลักการนี้แล้ว ก็เหมือนกับการเอามือจุ่มน้ำร้อนในหน้าหนาว พวกเขาจะคิดว่าน้ำร้อนมันร้อนจนลวกมือ เพราะมือของพวกเขานั้นหนาวเย็นเยียบ เพราะฉะนั้นในเหตุการณ์นี้มันก็มีความคล้ายคลึงกันนั่นแหละ 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นที่จริงแล้วที่นี่มีทั้งกลางวันและกลางคืน แค่กลางวันมันนานมากๆ และกลางคืนก็นานมากๆ เหมือนกัน” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น “พวกเราต้องระวังเกี่ยวกับกฎของโบราณสถานแห่งนี้ เพราะเมื่อกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนเมื่อไหร่ กฎเปลี่ยนไปแน่ แล้วทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตรายกันทั้งนั้น” 


 


 


“อันตรายเหรอ อันตรายอะไร” เฉินจู่อานเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ 


 


 


อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็มองต่ำลงไปที่กระจกบนพื้น “มันน่าจะมันจากด้านล่างเท้าของพวกเราเองนี่แหละ” 


 


 


“มาจากใต้ดินงั้นเหรอ เดี่ยวจะมีอะไรโผล่มาจากใต้ดินหรือไงนะ” เฉินจู่อานกำลังงงหนักมาก 


 


 


“เราไม่รู้เลยว่าช่วงกลางวันจะดำเนินไปนานแค่ไหน เมื่อก่อนคนในโบราณสถานยังมีเวลาให้พักกันบ้างตอนกลางคืน ถึงจะแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เถอะ พอฟ้าสว่างแล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ที่นี่มันไม่เหมือนกัน ครั้งนี้เราตกอยู่ในอันตรายจริงๆ แล้ว เพราะเราใช้เวลาไปมากกว่าสิบวันต่อสู้กัลอันตรายในนี้โดนไม่ได้พักผ่อนกันเลย” หลี่ว์ซู่ประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น 


 


 


คนเรามีมีขีดจำกัดของความแข็งแกร่งอยู่ ขนาดพวกผู้บำเพ็ญเองก็ยังไม่สามารถอดนอนมากกว่าสิบวันได้ ใครจะไปรู้ว่าที่นี่มันมีอะไรซ่อนอยู่ 


 


 


“งั้นพวกเราทำไงกันดี” เฉินจู่อานถาม พวกเขาไม่สามารถคำนวณระยะเวลาก่อนที่กลางคืนจะมาถึงได้ 


 


 


“เราก็ต้องมุ่งหน้ากันต่อไปนั่นแหละ” หลี่ว์ซู่พูดเสียงเรียบ “ก่อนกลางคืนจะมาถึง เราต้องหาที่เหมาะๆ เพื่อนอนพักและจัดการตั้งแนวป้องกันด้วย ฉันรู้สึกแล้วล่ะว่าเรากำลังอยู่ในอันตรายกันจริงๆ” 


 


 


ปกติแล้วเฉินจู่อานจะไม่ค่อยหวังพึ่งใคร แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่สำคัญจริงๆ 


 


 


เขารู้ว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เขาฉลาดมากจริงๆ เขารู้ด้วยว่าถ้ายังอยากจะมีชีวิตต่อไปต้องทำตามที่หลี่ว์ซู่พูด 


 


 


พวกเขาไปต่อกันข้างหน้า หลี่ว์ซู่ตรวจดูเวลาก็พบว่าผ่านไปแล้วสิบสองชั่วโมง เขาเพิ่งจะเห็นว่ากระจกนั้นไม่ค่อยลื่นมากเท่าไหร่แล้วเทียบกับตอนที่เข้ามา อยู่ๆ มันก็หนืดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ 


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดไปต่อแล้วเก็บพรมกันน้ำไว้ในตราแผ่นดิน “จากนี้ไปเราต้องเดินต่อแล้ว” 


 


 


กระจกเริ่มขุ่นขึ้น และพอเวลาผ่านไปมันก็กลายเป็นเหมือนหินอ่อนขัดมัน มันยังลื่นอยู่ แต่ว่าตอนนี้พวกเขาสามารถเดินบนพื้นได้แล้ว 


 


 


เฉินจู่อานพูดขณะก้าวออกมาเหยียบพื้น “ผมว่าแบบนี้ก็ได้เปรียบอยู่นะ เพราะมันไม่ได้ลื่นขนาดไปแล้ว พลังโจมตีของเราจะได้เพิ่มขึ้นด้วย” 


 


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ แต่ฉันกลัวว่าเดี๋ยวพื้นมันอาจจะเปลี่ยนไปเอง” หลี่ว์ซู่พูดขณะก้มมองพื้น 


 


 


แต่ข้อได้เปรียบอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือพวกเขาสามารถเร่งหาที่เหมาะๆ เพื่อตั้งค่ายพักแรมได้ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังสนั่นมาจากบนฟ้า ทั้งสองคนมองขึ้นไป แล้วจู่ๆ ก็มีคนใส่เสื้อคลุมลัทธิเต๋ากระโดดลงมา 


 


 


หลี่ว์ซู่ถอนใจ “เจออาจารย์คนที่สองของนายในที่แปลกๆ แบบนี้เอาซะได้ เขาอยากตายมากเลยเหรอเนี่ย” 


 


 


“เดี๋ยวนะพี่ซู่” เฉินจู่อานพูดขัด “ทำไมผมคิดว่าพี่กำลังด่าอาจารย์อยู่เนี่ย” 


 


 


“ไม่ใช่สักหน่อยนายคิดไปเองละ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง 


 


 


คนผู้นี้คือเฉินไป่หลี่ พอเขาเห็นทั้งสองคนแล้วก็รีบถลาตัวมาไวขึ้น และในที่สุดก็กระโดดลงมาอยู่ที่หน้าพวกเขา 


 


 


หลังจากไม่ได้เจอเฉินไปหลี่มานาน หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งสังเกตว่าทั้งเฉินไป่หลี่และหลี่เสียนอีนั้นดูอ่อนกว่าวัยลง ถึงแม้ทั้งสองคนจะยังดูชราก็เถอะ แต่หน้าตากลับไม่ค่อยมีริ้วรอยปรากฏให้เห็นแล้ว 


 


 


“ไม่เจอกันนานเลยนะ” เฉินไป่หลี่มองหลี่ว์ซู่แล้วยิ้มให้ 


 


 


ย้อนกลับไปตอนนั้น ในตอนที่เฉินไปหลี่กำลังมมุมานะฝึกฝนขั้นพื้นฐา เขามักจะโค้งคำนับให้หลี่ว์ซู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ค่อยมีความรู้สึกของความเป็นมนุษย์แบบที่หลี่ว์ซู่มีเท่าไหร่ เฉินไป่หลี่เป็นคนขี้หงุดหงิด นิสัยเช่นนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาเลยเห็นหลี่ว์ซู่เป็นทั้งรุ่นน้อง ทั้งเพื่อน และเป็นผู้มีบุญคุณกับตัวเขาเองด้วย 


 


 


มนุษย์นั้นซับซ้อน พูดยกตัวอย่างไปอย่างเดียวก็คงอธิบายเขาไม่ได้หรอก 


 


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ “ผิวดูดีขึ้นเรื่อยๆ เลยนะครับ” 


 


 


เฉินไป่หลี่หันไปพูดกับเฉินจู่อาน “นายปล่อยให้คนอื่นช่วยอย่างนั้นใช่ไหม” 


 


 


พอเฉินจู่อานได้ยินแบบนั้นก็อ้าปาค้างและไม่ได้พูดอะไรตอบออกไป ราวกับว่าเฉินไป่หลี่ตอกตะปูลงไปบนหัวเขา ถ้าไม่มีหลี่ว์ซู่ ป่านนี้เขาก็ยังขยับไปไหนไม่ได้แล้วนอนอยู่บนพื้นสักที่แล้ว 


 


 


พอเฉินไป่หลี่เห็นแบบนั้นก็เริ่มหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “วันๆ สนแต่จะเล่น ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลย เคยมองดูบ้างไหมว่าหลี่ว์ซู่ฝีมือพัฒนาไปขนาดไหนแล้ว ยังต้องตามคนอื่นอีกเยอะเลยนะ” 


 


 


“มองสิครับ!” เฉินจู่อานพยายามแก้ต่าง 


 


 


“อ้อ งั้นเหรอ ไหนพูดมาสิ” เฉินไป่หลี่เลิกคิ้ว 


 


 


“เป็นเพราะกรรมพันธุ์ผมไม่ดีหรอก” เฉินจู่อานพูดอย่างระมัดระวัง เฉินไป่หลี่ผู้เป็นอาจารย์คนที่สองของเขาเลยฟาดแส้หางม้าใส่เขาให้หนึ่งที 


 


 


“เฮ้อ เดี๋ยวค่อยกลับไปจัดการกับนายทีหลังแล้วกัน” 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกเคารพเฉินจู่อานเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาก็คิดว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ทั้งเจ้าเล่ห์และใจกล้าไม่น้อยที่มาแหย่เขา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเฉินจู่อานน่ะไม่กลัวตายเลย เพราะเฉินจู่อานนั้นนอกจากจะกล้าแหย่หลี่ว์ซู่แล้ว เขายังกล้ายั่วโทสะเฉินไปหลี่อีกด้วย… 


 

 

 


ตอนที่ 606 บนเกาะที่ปลอดภัย

 

“เข้าเรื่องสำคัญก่อน” เฉินไป่หลี่หันไปหาหลี่ว์ซู่แล้วพูด “มุ่งหน้าไปทางที่ฉันจากมา ตรงนั้นมีเกาะที่ปลอดภัยอยู่”


 


 


“เกาะเหรอครับ ปลอดภัยด้วย?” หลี่ว์ซู่สนใจทันทีที่ได้ยินคำสำคัญพวกนั้น


 


 


เฉินไป่หลี่ว่าต่อ “ช่วงเวลากลางวันกลางคืนที่นี่มีอะไรแปลกๆ อยู่ ตอนพวกเรามาถึงมันเป็นช่วงเกือบรุ่งสางแล้ว ที่ที่ยืนกันอยู่ตอนนี้คือมหาสมุทรกว้างใหญ่และเงียบสงบ มีเผ่าพันธุ์พิลึกดุร้ายอะไรสักอย่างที่ท่าทางเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ตอนพวกเราเข้ามาในโบราณสถาน เราจะถูกสุ่มส่งไปปรากฏตัวตามที่ต่างๆ และทุกคนล้วนถูกส่งไปที่เกาะนั้น”


 


 


ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานงุนงง พวกเขาแทบไม่เชื่อว่ากระจกข้างล่างนั้นจะเปลี่ยนเป็นทะเลที่มีสัตว์ประหลาดได้


 


 


นี่แปลกเกินไปหน่อย หลังจากที่หลี่ว์ซู่ปรับอารมณ์ได้แล้วจึงเอ่ยถาม “งั้นคุณกำลังจะบอกว่าคนที่เข้ามาในนี้ตอนกลางคืนจะถูกส่งไปที่เกาะใช่ไหมครับ มีแต่พวกเราที่มาถึงช้ากว่า เลยไปปรากฏตัวที่กระจก”


 


 


นั่นก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมนักเรียนที่พวกเขาพบตลอดทางถึงเป็นพวกที่ตามเข้ามาโบราณสถานนี้ทีหลัง


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าบนเกาะนั้นน่าจะปลอดภัยเพราะว่ามีเฉินไป่หลี่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม ลุงแก่คนนี้ก็เป็นนักบวชระดับ A ที่มีไม่กี่คนบนโลก


 


 


“งั้นตอนนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่ล่ะครับ” หลี่ว์ซู่สงสัย


 


 


“ฉันมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้นักเรียนพวกนี้ เพราะฉันเป็นคนพาพวกเขาเข้ามา” เฉินไป่หลี่ตอบอย่างใจเย็น “ตอนกลางวันฉันต้องออกไปหาพวกที่ออกไปจากเขตเกาะเพื่อพาพวกเขากลับมา ดีนะที่พวกที่มาถึงไม่นานมีแค่ไม่กี่คนน่ะ เอาล่ะ ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว รีบไปที่เกาะก่อนค่ำเถอะ ไว้เจอกันก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินนะ!”


 


 


แล้วเฉินไป่หลี่ก็ถลาตัวพุ่งออกไป หลี่ว์ซู่ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นมา นักเรียนคนอื่นๆ รวมถึงเจียงเฟิงคงจะปลอดภัยภายใต้ปีกของลุงที่คอยปกป้องดูแลละนะ แต่คำถามก็คือเขาจะขนคนจำนวนมากมาได้อย่างไร


 


 


ทั้งหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานต่างมุ่งหน้ากันไปยังเกาะที่ว่า ตอนแรกพวกเขานึกว่ามันจะอยู่อีกไม่ไกล แต่กลายเป็นว่าพวกเขาต้องเดินกว่าสามชั่วโมงเลยทีเดียวกว่าจะเห็นเค้าโครงของตัวเกาะ


 


 


หลี่ว์ซู่อุทานออกมาขณะที่เดินเข้าไปใกล้จุดหมายปลายทาง “เกาะนี้ใหญ่เป็นบ้า!”


 


 


ไม่ใช่แค่นั้น เกาะนี้ยังมีกำแพงล้อมรอบชายฝั่งอีกด้วย แต่ก็เป็นกำแพงธรรมดาๆ ทั่วไปที่ใช้ป้องกันชั่วคราวเท่านั้น


 


 


กำแพงนี้ล้อมรอบเกาะเอาไว้เหมือนกำแพงเมืองจีน หลี่ว์ซู่เดาว่าพวกนักเรียนคงจะยุ่งวุ่นวายกับสร้างกำแพงนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั่นแหละ และผลงานที่เห็นก็น่าทึ่งจนไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่ผู้บำเพ็ญที่มีระดับมากกว่าระดับ E หมื่นคนร่วมแรงกันสร้างได้เลย


 


 


ถ้าเกาะนี้ใหญ่เท่ากับเมืองเมืองหนึ่งและมีเพียงกำแพงพวกนี้ป้องกันเท่านั้น หลี่ว์ซู่เกรงว่าเขาอาจจะประเมินพลังคุกคามจากทะเลต่ำไปหน่อย ยิ่งกว่านั้นแม้เฉินไป่หลี่จะอยู่ระดับ A แต่เขาคนเดียวก็ไม่น่าปกป้องชายฝั่งทั้งหมดได้หรอก


 


 


ในตอนที่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานไปถึงแนวป้องกัน พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังกำแพงสูงหนึ่งเมตรนั่น “ยินดีต้อนรับพวกหน้าใหม่! ฉันเป็นหัวหน้าทีม 42 นายเป็นพวกเราแล้วตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มาช่วยกำจัดศัตรูด้วยกันนะ!”


 


 


หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานงง หลี่ว์ซู่ต้องถามออกไปอีกทีเพื่อความแน่ใจ “เดี๋ยวนะสหาย ทำไมเราต้องเข้าร่วมทีม 42 อะไรของนายด้วย”


 


 


“มันเป็นกฎที่ใช้บนเกาะนี้น่ะ ราชันฟ้าเฉินเป็นคนตั้งกฎนี้ขึ้น นักเรียนทั้งหมดจะถูกแบ่งออกเป็นทีมคอยปฏิบัติงานส่วนต่างๆ เพื่อรักษากฎของเกาะนี้ แล้วแต่ละทีมก็ต้องดูแลความเรียบร้อยของแนวป้องกันของตัวเองด้วย”


 


 


“แล้วทำไมหัวหน้ากลุ่มถึงไม่ใช่พวกหัวกะทิระดับ A ล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจ มันไม่ควรเป็นแบบนี้เพราะหัวกะทิระดับ A ควรจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับการโจมตีของทีมไม่ใช่เหรอ


 


 


มั่วเฉิงคงได้ยินแบบนั้นแต่ก็ไม่ได้อารมณ์เสียใส่ เขายิ้มแล้วตอบกลับ “พวกหัวกะทิก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นผู้นำที่ดีทั้งหมดนี่ ตอนแรกเฉาชิงฉือควรจะได้เป็นหัวหน้า แต่เธอก็ปฏิเสธไป”


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจว่าที่มั่วเฉิงคงพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน เฉาชิงฉือคงไม่อยากเป็นหัวหน้าใคร เธอน่าจะชอบทำงานคนเดียวมากกว่า


 


 


ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงไม่เคยเจอมั่วเฉิงคงมาก่อน แต่ดูจากการที่นักเรียนคนอื่นๆ มองเขาแล้ว เฉิงคงนั้นน่าจะได้ความเคารพจากเพื่อนๆ และยกให้เป็นหัวหน้า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เห็นนักเรียนคนอื่นๆ ที่รู้จักเลย


 


 


เป็นเรื่องธรรมดาแหละเพราะว่าบนเกาะที่ปลอดภัยนี้มีจำนวนนักเรียนตั้งเยอะ คนที่หลี่ว์ซู่จะรู้จักน่าจะราวๆ พันคนได้ เพราะฉะนั้นการหวังว่าจะมาเจอคนรู้จักในนี้นั้นค่อนข้างต่ำทีเดียว


 


 


แต่หลี่ว์ซู่อยู่นานไม่ได้ เขาต้องหาเสี่ยวอวี๋ให้เจอ ในสถานการณ์แบบนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการปกป้องเสี่ยวอวี๋อย่างไม่ต้องสงสัยเลย


 


 


“งั้นต้องขอโทษด้วยนะหัวหน้ามั่ว ฉันเข้าร่วมด้วยไม่ได้หรอก ต้องรีบไปที่อื่นน่ะ” หลี่ว์ซู่เตรียมตัวจากไปหลังจากพูดจบ แต่เขากลับขยับตัวไม่ได้


 


 


สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นมั่วเฉิงคงกอดขาเขาไว้แน่น “ขอไปหน่อยได้ไหมหัวหน้ามั่ว…”


 


 


ดูจากท่าทีนักเรียนรอบๆ แล้ว พวกเขาไม่มีใครตกใจเลย หมอนี่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าทีมได้ด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ หน้าไม่อายจริงๆ!


 


 


มั่วเฉิงคงมองขึ้นมาขณะน้ำตาปริ่มเกือบจะไหลปรี่ออกมา “ฉันจะปล่อยก็ต่อเมื่อนายยอมอยู่ที่นี่”


 


 


“นายน่าจะลองไปเป็นดาราดูนะ ไม่งั้นเสียดายความสามารถแย่…”


 


 


แล้วเขาจะเตะสหายคนนี้ออกไปยังไงดีล่ะ นี่ไง เขาถึงบอกว่าไปต่างประเทศแล้วมีข้อจำกัดน้อยกว่านี้…


 


 


มั่วเฉิงคงขอร้อง “แต่ทีม 42 ของเราเล็กมากเลยนะ ถึงเราจะโชคดีจากการโจมตีรอบที่แล้ว แต่ถ้าครั้งนี้เราพลาดท่าละก็แย่แน่ ยิ่งคนในทีมแข็งแกร่งเท่าไหร่ ทีมก็จะแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ฉันเดาจากหน้าหล่อๆ และบุคลิกท่าทางของนายแล้ว นายน่าจะเป็นพวกยอดฝีมือแน่เลยใช่มั้ยล่ะ อยู่ช่วยพวกเราสู้เถอะนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปถามคนในทีมอื่นๆ อีกร้อยคนที่เหลือ “นี่เขาพูดกับพวกนายอย่างนี้ด้วยรึเปล่า”


 


 


คนในทีมพยักหน้า หลี่ว์ซู่เลยถอนหายใจแล้วพูดว่า “นายมียอดฝีมือเก่งๆ เยอะออกจะตาย ฉันคนเดียวคงเปลี่ยนอะไรมากไม่ได้หรอก อีกอย่างนายเอาเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ไปก็ได้…”


 


 


เฉินจู่อานที่กำลังหัวเราะคลอไปกับที่หลี่ว์ซู่ พอได้ยินแบบนั้น เขาก็รีบขึ้นเสียงตอบกลับทันที “หัวหน้ามั่ว กอดขาเขาเข้าไปอีก ผมไปที่ที่เขาไปเท่านั้น”


 


 


“ปล่อยฉันเถอะหัวหน้ามั่ว ฉันไม่ไปไหนแล้ว” หลี่ว์ซู่ยิ้ม แล้วเขาก็รีบดึงเท้าออกตอนที่มั่วเฉิงคงคลายแรงกอดทันที แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ…


 


 


เจ้ามั่วเฉิงคงนี่ก็กอดขาเขาหมับอีกแล้ว!


ตอนที่ 607 ยืมลูกธนูจากเรือมุงจาก


 


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง หลี่ว์ซู่ก็เหลือบมองไปยังมั่วเฉิงคง เขาชักสีหน้าขึ้นมา


 


 


“หัวหน้ามั่ว พอแล้วมั้ง…”


 


 


“นายยังยืนยันว่าจะไปอยู่หรือเปล่าล่ะ” มั่วเฉิงคงถาม


 


 


“ไม่ไปแล้ว ครั้งนี้สัญญาจริงๆ ว่าไม่ไป จริงๆ นะ!” หลี่ว์ซู่ตอบอย่างหมดความอดทน


 


 


“จะให้เชื่อได้ไง พูดมาสี่สิบเจ็ดรอบแล้วนะ”


 


 


เฉินจู่อานเสนออะไรขึ้นมาจากด้านข้าง ตาข้างหนึ่งของเขาบวมเป่ง “บอกเขาไปสิว่าขอมัดจำเงินพันนึง เขาไม่จากไปแล้วทิ้งเงินไว้แน่นอน”


 


 


ผ่านไปหนึ่งนาที ตาทั้งสองข้างของเฉินจู่อานก็บวมเป่งกลายเป็นสีม่วง เขาต้องขอร้อง “พี่มั่ว นี่ผมก็ทำดีที่สุดแล้วนะ พี่จะเสียกำลังคนไปเปล่าๆ ถ้าพี่ยังให้ผมช่วยต่อ”


 


 


เมื่อก่อนหลี่ว์ซู่รู้ว่าเฉินจู่อานนั้นแสบสันอย่างไม่น่าเชื่อ เขากล้าแหย่กับเกาเสินอิ่น เฉิงชิวเฉี่ยว และห่าวจื้อเชาอีกด้วย แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าเฉินจู่อานไม่ได้แสบ แต่เฉินจู่อานไม่กลัวตายต่างหาก


 


 


หลี่ว์ซู่ต้องควักเอาเงินหนึ่งพันหยวนออกมาจากกระเป๋าเงิน แต่แล้วเขาก็เก็บห้าร้อยหยวนกลับไปเมื่อจู่ๆ ก็คิดอะไรออก เขายื่นเงินให้มั่วเฉิงคงแล้วบอกว่า “เอ้า เอาเป็นเครื่องยึดว่าครั้งนี้ฉันจะไม่ไปไหนจริงๆ”


 


 


มั่วเฉิงคงนับธนบัตรแล้วใส่มันไว้ในกระเป๋าเงินตัวเอง “เดี๋ยวออกไปแล้วจะคืนเงินให้ ไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


เท่านั้นแหละบรรยากาศในทีม 42 จึงจะกลับมาเป็นปกติ


 


 


แต่แล้วมั่วเฉิงคงก็ถามอย่างตื่นเต้น “มาเป็นสมาชิกในทีมฉันแล้วก็ต้องฟังฉันนะ พวกนายอยู่ระดับไหนกัน”


 


 


“ระดับ D ขั้นกลาง”


 


 


“ระดับ D ขั้นกลาง”


 


 


ทั้งสองคนตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง


 


 


แล้วก็หันไปมองหน้ากันอย่างเข้าใจ


 


 


มั่วเฉิงคงยิ้มออกมา “ฉันอยู่ระดับ D ขั้นสูง งั้นเดี๋ยวจะพาไปดูแนวป้องกันของเรา ทุกคนต้องทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืนด้วย”


 


 


ทั้งสองคนฟังมั่วเฉิงคงอธิบายกลยุทธ์ทางทหารที่สรุปมาแล้วอย่างตั้งใจ


 


 


พวกทหารจากทะเลนั้นจะใส่เกราะทองแดงเยินๆ ผุพังแล้ว และอาวุธเดียวที่พวกเขาใช้ก็คือหอกสามง่าม สมาชิกทีมอยู่ในระดับ D ถึง E ส่วนพวกฝีมือดีๆ จะอยู่ระดับ C


 


 


เห็นแล้วหลายคนก็สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงใส่เกราะทองแดงหนักๆ กันทั้งๆ ที่อยู่ทะเลแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาดูจะชอบมันกัน


 


 


ยิ่งกว่านั้นหากถูกกำจัด พวกเขาก็จมหายสลายกับผุยผง ไม่เหลือแม้แต่ซากศพให้เห็น


 


 


หลายคนได้ประมือสู้กับเผ่าพันธุ์ใต้ทะเลอย่างใกล้ชิดมาแล้ว และทุกคนล้วนบอกว่าพวกนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ เว้นเพียงแต่ว่าส่วนผิวหนังนั้นมีสีน้ำเงินแซม ตอนแรกพวกเขาคาดว่าจะได้เห็นอวัยวะที่จำเป็นสำหรับการอาศัยในโลกใต้น้ำ อย่างเช่นเหงือกที่เอาไว้หายใจ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่มีอะไรแบบนั้นอยู่


 


 


และในตอนนั้นเฉินไป่หลี่ก็เหาะกลับมา หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมากที่เห็นเขาแบกเชือกหนาๆ เส้นหนึ่งที่มีพวกนักเรียนเกาะมาด้วยเพื่อไม่ให้ตกลงไป


 


 


“ตอนแรกก็สงสัยอยู่ว่าจะเอาคนกลับมาหมดได้ไง” หลี่ว์ซู่พูดขึ้น “ดูสิ ตอนนี้เฉินไป่หลี่กกลายเป็นเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว”


 


 


เฉินจู่อานกระซิบถาม “พี่ยังอยากหนีไปอยู่หรือเปล่า ผมรู้สึกว่าทีมนี้ไม่ค่อยได้เรื่องเลย เราอยู่ช่วยพวกเขาดีไหมพี่”


 


 


หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างรำคาญใจ “มั่นใจได้น่า ฉันไม่ไปแล้ว”


 


 


จากนั้นเขาก็เห็นเฉินจู่อานเร่งออกไปอย่างร่าเริง เขาเหลือบมองไปเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่พิงกำแพงหินอยู่และมีหนังสือวางอยู่บนตัก


 


 


ตู้เซวี่ยเหมยนี่!


 


 


ทีนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตุ้ยนุ้ยนี้อยากอยู่ต่อใจจะขาด ก็เพราะผู้หญิงที่เฉินจู่อานชอบอยู่นี่ด้วยยังไงล่ะ!


 


 


แหม พ่อหนุ่มนักรัก!


 


 


ตู้เซวี่ยเหมยกำลังอ่านหนังสือเงียบๆ หลายคนอาจไม่มีความคิดจะพกหนังสือมาโบราณสถานด้วยเท่าไหร่ แต่ตู้เซวี่ยเหมยนั้นไม่สนใจสิ่งรอบข้างหรอก


 


 


พอเจ้าตุ้ยนุ้ยเข้าไปหา เธอก็มองขึ้นมา แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา หลี่ว์ซู่ลอบมองอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เขาปล่อยไปตามสถานการณ์ก็ได้เพราะเสี่ยวอวี๋น่าจะปลอดภัยดีจากศัตรูระดับ D และ C ที่มาจากทะเล


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น เฉินจู่อานก็คว้าเอาอาหารออกมาจากกระเป๋า มีเพียงหลี่ว์ซู่ที่สังเกตเห็นว่านักเรียนรอบตัวพวกเขานั้นดูผ่ายผอมและซีดเซียวกันหมด


 


 


อาหารบนเกาะมีไม่พอรึเปล่านะ หลี่ว์ซู่เอาอาหารมาเยอะเหมือนกัน แต่ปริมาณพอสำหรับสองคนที่จะเอาชีวิตรอดในสองเดือนเท่านั้น ถ้าจะแจกจ่ายให้กับคนทั้งเกาะก็คงไม่พอ


 


 


คงต้องรีบหาทางออกจากโบราณสถานนี้แทนที่จะแจกอาหารของเขาให้คนอื่น


 


 


เวลาผ่านไปพอสมควร กลางคืนก็มาถึง เฉินจู่อานเดินกลับมาหาหลี่ว์ซู่แล้วพูดกับเขาอย่างมีความสุข “เซวี่ยเหมยบอกว่าผมดูแข็งแกร่งมากขึ้นหลังกลับมาจากภารกิจ เธอบอกว่าผมไม่อ้วนแล้ว แค่ท้วมสมบูรณ์”


 


 


“ดูสิ มีความสุขมากเลยสินะ แล้วนายได้แบ่งอาหารของนายให้หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม


 


 


“พวกเขาเริ่มแย่กันแล้วล่ะ เพราะทุกคนเตรียมอาหารมาสำหรับแค่สิบห้าวันเท่านั้น ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบวันแล้ว อาหารของพวกเขาเลยถูกริบไปเพื่อจะได้เอาไปแบ่งให้ทุกคนอย่างยุติธรรม”


 


 


หลี่ว์ซู่บอกอย่างใจเย็น “ดูเหมือนปู่ของนายจะวางแผนสู้แบบระยะยาวไว้นะ เขายังไม่แน่ใจเลยว่าดวงตาแห่งค่ายกลอยู่ไหน ฉันกลัวว่ามันจะไปอยู่ใต้ทะเลน่ะสิ”


 


 


“ผมก็ว่างั้น” เฉินจู่อานพยักหน้า “แต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง พวกใต้ทะเลก็ยังไม่โผล่ออกมาให้เห็น ปู่ของผมเองก็ไม่กล้าลงทะเลไปหรอก เพราะเขาต้องใช้พลังกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ปกป้องตัวเองใต้ทะเลนั่น”


 


 


การรอคอยมันช่างนานแสนนานจริงๆ จากนั้นเฉินไป่หลี่ก็ออกไปสำรวจในทิศสุดท้ายสำเร็จก่อนพระอาทิตย์ตกดิน


 


 


พอความมืดคืบคลานเข้ามา ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น แล้วกระจกบนพื้นก็กลายเป็นมหาสมุทรที่เงียบสงบปราศจากลมพัด


 


 


ภาพสะท้อนท้องฟ้าที่มีดวงดาวและกาแล็กซีจากผิวทะเลทำให้ผิวทะเลดูเหมือนท้องฟ้าไปด้วยเหมือนกัน


 


 


ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นสวยงามมาก เหมือนกับว่าจักรวาลแผ่ขยายความกว้างใหญ่และความงดงามออกมา


 


 


“ถ้าที่นี่ปลอดภัยก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะ คงจะเป็นสวรรค์บนดินได้เลย” มั่วเฉิงคงพูดขณะที่ดูท้องฟ้าและทะเลบนแนวการป้องกัน


 


 


แล้วอยู่ๆ ก็มีระลอกคลื่นเบาๆ ขึ้นในทะเล ใกล้เข้ามาที่แนวป้องกันเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่รีบดึงมั่วเฉิงคงกลับมา แล้วจากนั้นก็มีหอกสามง่ามขว้างขึ้นมาจากทะเลมา ปักลงตรงจุดที่มั่วเฉิงคงเคยยืนอยู่ เขาคงตายไปแล้วถ้าหลี่ว์ซู่ช้ากว่านั้นไปนิดเดียว!


 


 


ทว่ามันยังไม่จบแค่นั้น ขณะที่ทุกคนกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนก หลี่ว์ซู่ก็พุ่งไปข้างหน้าและคว้าหอกสามง่ามที่ถูกขว้างมาไว้ เขายืนอยู่บนกำแพงหินคนเดียว จากนั้นก็มีหอกสามง่ามขว้างขึ้นมาอีกสามเล่ม หลี่ว์ซู่ก็คว้าหอกทั้งสามเล่มไว้ทันภายในครั้งเดียว!


 


 


เฉินจู่อานตะลึงไปเลย เขาพูดพึมพำออกมากับหลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่บนกำแพงคนเดียวแบบนั้น


 


 


“ยะ..ยืมลูกธนูจากเรือมุงจาก [1] งั้นเหรอ!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ของจีนที่จูเก่อเหลียงเก็บลูกธนูขึ้นมาโดยหลอกให้ศัตรูยิงโจมตีเข้าไปที่เรือมุงจาก เป็นสำนวนที่หมายถึงการหลอกใช้ความคิดและทรัพยากรของบุคคลอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง


 

 

 


ตอนที่ 608 หอกสามง่ามที่หายไป

 

เฉินจู่อานมองหลี่ว์ซู่ที่ถือหอกสามง่ามสี่เล่มในมือด้วยสีหน้าเจื่อนๆ หลี่ว์ซู่ดูจะยังไม่ค่อยพอใจนัก พวกทหารใต้ทะเลเริ่มคิดได้แล้วว่าการโจมตีแบบนี้ทำอะไรหลี่ว์ซู่ไม่ได้ ดังนั้นจึงหยุดจู่โจมด้วยการขว้างไม่สามง่ามออกไป 


 


 


หลี่ว์ซู่รออยู่นานจนเห็นแล้วว่าไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เขาจึงกระโดดกลับเข้ามาในแนวป้องกัน มั่วเฉิงคงอยากเอ่ยพูดขอบคุณหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่กลับชิงตบบ่าเขาก่อน “เหนื่อยหน่อยนะ ขอบใจมาก” 


 


 


มั่วเฉิงคงงงไปเลย 


 


 


แต่ความเป็นจริงแล้ว ถ้ามั่วเฉิงคงไม่รับหน้าที่เป็นเป้าให้หลี่ว์ซู่ เขาก็คงไม่ได้หอกสามง่ามมาเยอะขนาดนี้หรอก มีเพียงเฉินจู่อานเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องนี้ ส่วนคนอื่นๆ ยังงงอยู่ 


 


 


“เมื่อกี้นี้เสี่ยงมากเลยนะ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมา “แต่นายกลับตอบสนองได้เร็วมาก ไม่อย่างนั้นหัวหน้ามั่วคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว” 


 


 


“ฮ่าๆ ก็เพราะฉันใส่ใจกับความเคลื่อนไหวในน้ำน่ะสิ ในขณะที่พวกนายชมวิวกันเพลินๆ” หลี่ว์ซู่อธิบายออกมาอย่างสบายๆ 


 


 


คำอธิบายของเขาฟังดูน่าเชื่ออยู่ ทุกคนจึงพากันมองหลี่ว์ซู่เปลี่ยนไป ก็เหมือนเวลาอยู่ในสมรภูมิแล้วได้เห็นสหายร่วมรบแสดงฝีมือดีๆ นั่นล่ะ พอได้เห็นทักษะการต่อสู้เพื่อนก็จะคิดว่าสหายคนนี้ช่างไว้ใจได้จริงๆ แต่ต่อให้เขาเจ๋งๆ แค่ไหน ก็ยังมีความคิดว่าตัวเองเจ๋งกว่าอยู่ดี ฉันนี่แหละที่จะเป็นคนแบกทุกคนไปจนจบสงครามเอง! 


 


 


นักเรียนห้องเต้าหยวนต่างก็เติบโตขึ้นมากจากการฝึกทหาร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงร้อนใจอยากแสดงฝีมือออกมากัน พวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นฮีโร่ทีข้ามผ่านการฝึกหนักหน่วงมาได้ แม้จะเป็นเด็กใหม่แต่ก็สามารถล้มคนอื่นคว่ำ 


 


 


ทว่าบางคนก็รู้ได้ทันทีว่าหลี่ว์ซู่นั้นแตกต่างจากคนอื่น อย่างเช่นมั่วเฉิงคงเป็นต้น 


 


 


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามีแต่หลี่ว์ซู่นี่แหละที่ยื่นมือเข้ามาช่วยชีวิตมั่วเฉิงคง การตอบสนองรวดเร็วว่องไวขนาดนั้นไม่มีทางที่เขาจะเป็นแค่นักเรียนห้องเต้าหยวนธรรมดาๆ ได้หรอก แล้วหลี่ว์ซู่ยังกล้าจะออกไปนอกแนวป้องกันคนเดียวด้วย ความคิดความอ่านของเขานั้นมากกว่านักเรียนทั่วไปแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปอีกสองก้าว แต่ก่อนที่เขาจะได้จากไป มั่วเฉิงคงก็พยายามที่จะตีสนิทเขา “ยอดฝีมือ อย่าไปเลยนะ!”  


 


 


“ไม่ได้จะไปไหนสักหน่อย” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ “หัวหน้า ฉันว่าชื่อของหัวหน้าน่าจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์การฝึกฝนแล้วล่ะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่ขอชื่นชมเลยที่มั่วเฉิงคงนั้นยังคงดูสบายๆ กันเองเมื่ออยู่กับแข็งแกร่งกว่า เขาไม่มีทีท่างกๆ เงิ่นๆ หรือเขินอายเลยสักนิด และคนแบบนี้แหละที่จะตายเอาง่ายๆ … 


 


 


ในเวลาเดียวกันพวกทหารจากทะเลก็เข้ามาล้อมทั่งทั้งแนวป้องกันตามชายฝั่งบนเกาะที่ปลอดภัย ตอนนี้นักเรียนห้องเต้าหยวนกำลังตั้งใจรวบรวมสมาธิกันอย่างมากเพื่อเตรียมรับมือการโจมตีครั้งถัดไป 


 


 


มีแต่เฉินไป่หลี่เท่านั้นที่จะเอาวัตถุโบราณมาได้ เฉินไป่หลี่ลอยตัวอยู่ในอากาศและมองดูการเคลื่อนไหวของศัตรูจากทะเลอย่างตั้งใจ เขาไม่ได้ดูหวาดกลัวเลย สถานการณ์แบบนี้กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ 


 


 


หากพวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วเครือข่ายฟ้าดินเห็นว่าเวลาที่ใช้นั้นเกินขีดจำกัดและเสี่ยงที่จะเป็นอันตราย เครือข่ายฟ้าดินก็จะส่งกำลังคนมาเพิ่มในโบราณสถาน 


 


 


บางทีเนี่ยถิงอาจจะเข้ามาทำภารกิจให้สำเร็จด้วยตัวเองก็ได้ 


 


 


ทันใดนั้นทหารจากท้องทะเลก็เร่งขึ้นมาบนผิวน้ำ แค่พริบตาเดียวก็เกิดการปะทะกันขึ้นบนเกาะทันที 


 


 


เฉินไป่หลี่เลือกไปช่วยบริเวณที่โดนเล็งโจมตีมากที่สุด เขาโบกมือออกไปแล้วดาบบินก็ถูกส่งไปยังสนามรบ ดาบพวกนั้นบินกลับไปกลับมาระหว่างจุดที่เขาอยู่และจุดที่พวกทหารจากทะเลอยู่ พลังของเขาช่างเหลือร้ายจริงๆ! 


 


 


ตอนนี้มีทหารจากท้องทะเลเข้ามาที่ชายฝั่งที่เฉินไป่หลี่ไม่ได้สังเกตไปครู่หนึ่ง ทหารพวกนี้รู้ดีว่าประมือกับเฉินไป่หลี่ไปก็ยุ่งยากเปล่าๆ พวกเขาจึงใช้ทหารคนอื่นเป็นตัวล่อเพื่อที่จะให้อีกกลุ่มได้เข้ามาในแนวป้องกัน 


 


 


บริเวณที่ตั้งใจจะโจมตีจะอยู่ที่แถวๆ กองพันที่ 42 และกองพันที่ 48 


 


 


พวกทหารยกหอกสามง่ามขึ้นมาแล้วกระโดดเข้ามาในกำแพงป้องกัน หลี่ว์ซู่เห็นแบบนั้นก็ชักหงุดหงิด ทำไมฝั่งของเขาต้องตกเป็นเป้าโจมตีหลักด้วย นี่มันจะเกินไปแล้วนะ! 


 


 


ในสายตาของหลี่ว์ซู่แล้ว ทหารแต่ละคน…นับเป็นเป็นอาวุธที่วิ่งได้! 


 


 


หลี่ว์ซู่ปัดพวกศัตรูออกไปแล้วตะโกนถาม “หัวหน้ามั่ว ไหนบอกว่าเราจะไม่โดนโจมตีไง!” 


 


 


มั่วเฉิงคงตะโกนกลับมาเหมือนกัน “ฉันว่านี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าฉันทิ้งพวกนายไว้น่ะ!” 


 


 


มั่วเฉิงคงอยากให้กองทหารของเขาถอยออกไปก่อนแล้วรอความช่วยเหลือจากกลุ่มที่ใหญ่กว่า แต่หลี่ว์ซู่กลับถลาเข้าไปประจันหน้ากับกลุ่มศัตรูที่เข้ามาแล้วเปลี่ยนแผนเป็นเดินหน้าเข้าโจมตีแทน 


 


 


หลี่ว์ซู่ถือหอกสามง่ามไว้ในมือแล้วพุ่งตัวออกไปข้างหน้า เกราะทองแดงบนตัวของศัตรูนั้นน่ารำคาญจริงๆ ดาบยาวที่พวกหลี่ว์ซู่ใช้นั้นสั้นกว่าสามง่ามของอีกฝ่าย แถมเกราะทองแดงนี่ยังเจาะยากอีก 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่น่าทึ่งกว่านั้นมาก เมื่อไม่สามารถฝ่าด่านเข้าไปได้ เขาเลยใช้หอกสามง่ามนั้นโจมตีเหมือนไม้ตีผ้าที่ใช้ตอนซักผ้า ทักษะการใช้หอกสามง่ามของเขาแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เกราะทองแดงยังไม่ทันแตก พวกทหารจากทะเลก็ถูกหลี่ว์ซู่ซัดจนหมอบไปกับพื้นหมด 


 


 


“นี่ใช่ฝีมือระดับ D งั้นเหรอ อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลย ฉันเองก็ระดับ D ขั้นกลางเหมือนกัน” ใครบางคนพูดออกมาด้วยความตกตะลึง 


 


 


พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนที่หวาดกลัวศัตรูจากท้องทะเลต่างรู้สึกสบายใจกันขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากได้สัมผัสฝีมือของหลี่ว์ซู่ “ถ้าบอกว่าเขาเป็นราชันฟ้า ฉันก็เชื่อนะ…” 


 


 


เมื่อมีคนแสดงฝีมือสุดเจ๋งในการต่อสู้ก็อาจทำให้สหายร่วมรบคนอื่นรู้สึกว่าเขานั้นพึ่งพาได้ แต่เมื่อมียอดฝีมือที่กวาดเรียบตั้งแต่เปิดฉากต่อสู้ได้แปดนาที ต่อให้เป็นไอ้โง่ก็ยังรู้ว่าพวกเขาได้เจอคนจริงเข้าให้แล้ว… 


 


 


หลี่ว์ซู่วิ่งเข้าวิ่งออกไปมาในสนามรบ คอยค้นหาทหารจากทะเลเพื่อปัดป้องพวกมันให้ล่าถอยไป แต่ถึงอย่างนั้นพวกศัตรูก็ยังพยายามฝ่าเข้ามาอยู่ดี ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ไม่แข็งแกร่งพอหรอก แต่การป้องกันพื้นที่ของกองพันที่ 42 ทั้งหมดมันเหนื่อยเอามากๆ น่ะสิ เขาไม่สามารถดูแลแนวป้องกันที่ยาวกว่าร้อยเมตรนี่เพียงคนเดียวได้หรอก! 


 


 


เฉินจู่อานที่อยู่ข้างหลี่ว์ซู่เองก็กระโจนเข้าไปร่วมวงเข่นฆ่าด้วยเหมือนกัน เขาสามารถตามทันจังหวะการสู้ของหลี่ว์ซู่ในสนามรบได้ 


 


 


ในสังเวียนรบที่วุ่นวายโกลาหลเช่นนี้ บาดแผลเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน กระนั้นมั่วเฉิงคงก็สมกับเป็นหัวหน้าจริงๆ เมื่อมีใครบาดเจ็บขึ้นมา เขาก็จะส่งคนไปปกป้องคนที่บาดเจ็บและพากลับมา ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มเปิดฉาก พวกเขายังไม่สูญเสียกำลังไปเลย 


 


 


ส่วนการโจมตีของหลี่ว์ซู่นั้นไม่ได้มุ่งเอาถึงตาย เขาเพียงแค่ใช้หอกสามง่ามฟาดเท่านั้น ไม่ได้เอาไว้แทงให้ถึงฆาต เมื่อพวกทหารจากท้องทะเลผ่านพวกเขาไป พวกเขาก็จะถูกฟาดจนงง แต่ยังไม่ตาย 


 


 


ส่วนหน้าที่ปลิดชีพนั้นยกให้เป็นของเฉินจู่อาน 


 


 


“พี่ซู่ หอกสามง่ามของพวกมันหายไปไหนหมดล่ะ” เฉินจู่อานถามเพราะพวกทหารจากทะเลที่เขากำลังจะฆ่านั้นไม่มีใครถืออาวุธไว้ในมือเลย 


 


 


ในขณะที่หลี่ว์ซู่มองหาพวกทหารจากท้องทะเล เขาก็หัวเราะ “นกกระจอกน้อย ใส่เสื้อผ้าสีสดใส มากันทุกฤดูใบไม้ผลิ ขอถามหน่อยนกกระจอกเอย ทำไมถึงมากัน” 


 


 


เฉินจู่อานงุนงง ทำไมอยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ร้องเพลงออกมาล่ะ 


 


 


เฉินจู่อานพยายามทายคำตอบ “นกกระจอกตอบว่าเพราะฤดูใบไม้ผลิที่นี่มันสวยงามรึเปล่า” 


 


 


“เปล่า นกกระจอกตอบว่าไม่ใช่เรื่องของแกซะหน่อย” หลี่ว์ซู่ส่ายหัวตอบ 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!] 


ตอนที่ 609 ยอดฝีมือตัวจริง 


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานปะทะกับอีกฝ่ายอยู่นั้น พวกเขาก็ค่อยถอยห่างจากคนอื่นในกองพันไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่แนวป้องกันค่อยๆ ถอยร่นมาด้านหลัง ทุกคนอยู่ตามตำแหน่งที่วางไว้ยกเว้นหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อาน 


 


 


ทั้งสองคนราวกับเป็นเรือกลางทะเลที่ถูกล้อมรอบไปด้วยทหารใต้น้ำ ไร้ซึ่งการช่วยเหลือจากข้างนอก 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกดีมาก เพราะในบรรดาทหารจากท้องทะเลมีระดับ C อยู่แค่คนเดียว และระดับ C คนนั้นก็ถูกหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานฆ่าตายไปแล้ว พวกทหารที่เหลือก็สู้อะไรพวกเขาไม่ได้ ถึงจะมีทหารมามากมายขนาดไหนก็ไม่สำคัญหรอก ต่อให้มีทหารเข้ามามากเกินไปก็ยังมีเฉินไป่หลี่คอยช่วยเอยู่ เขาคงสัมผัสความผิดปกติได้เองแหละ 


 


 


แต่มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาถอยหลังกันไปเรื่อยๆ พอเวลาผ่านไปสักพัก พวกเขาก็แน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป พวกเขาจึงหันหลังมองกลับไปและสังเกตเห็นว่าหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานนั้นกำลังถูกพวกทหารจากทะเลล้อมเอาไว้อยู่ มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ไม่ใช่เป้าโจมตีของพวกมันอีกต่อไป! 


 


 


“เราปล่อยพวกเขาไว้ไม่ได้นะ!” มั่วเฉิงคงตะโกน “พี่น้องทั้งหลาย เราจะไม่ทิ้งสหายของเราไว้แบบนั้น กองพันที่ 42 ของเราจะไม่ยอมเสียกำลังไปแม้แต่คนเดียว!” 


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้ามีใครยอมถอยก่อน ทีมของพวกเขาก็คงแพ้ราบคาบและกระจัดกระจายกันไป โดยปกติแล้วผู้คนมักจะคิดเห็นทำอะไรตามๆ กัน เพราะฉะนั้นในสถานการณ์แบบนี้ต้องมีใครสักคนเริ่มทำอะไรสักอย่าง และมั่วเฉิงอาจจะต้องเป็นคนคนนั้นเอง 


 


 


เขาก้าวนำหน้าไป แล้วจากนั้นคนอื่นๆ ในกลุ่มก็เริ่มตามไปโดยไม่คิดมาก ทุกคนใจสู้กันมาก นี่คือสายสัมพันธ์ที่พวกเขามี หนึ่งเดียวเป็นทั้งปวง และทั้งปวงคือหนึ่งเดียว! 


 


 


ในตอนนี้พวกเขาถึงได้เข้าใจว่าพวกทหารจากทะเลไม่มีอะไรให้กลัวเลย 


 


 


คืนแรกที่พวกเขามาถึง ทหารจากทะเลโจมตีพวกเขาโดยไม่ลังเล และทุกคนก็ยังคงเครียดขึ้งกับเรื่องนี้อยู่ 


 


 


แต่คนที่เผชิญความเครียดอย่างแท้จริงตอนนี้คงจะเป็นหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อาน หลังจากที่พวกเขานำหน้าในสนามรบ ทุกคนก็เริ่มเบาใจลงมาอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ขบวนทัพที่พวกทหารจากทะเลจัดกันไว้แตกกระเจิงหมด มั่วเฉิงคงนั้นมีความสามารถระดับ D ขั้นสูงจริงๆ เขานำหน้าทุกคนไปอย่างกับลูกธนูเพื่อไปร่วมรบกับหลี่ว์ซู่และเฉินจู่อาน เขาไล่ให้ทหารจากทะเลนั้นออกไปจนได้! 


 


 


นักเรียนห้องเต้าหยวนคนอื่นๆ เองก็แข็งแกร่งเหมือนกัน แต่ความแข็งแกร่งและความสามารถในการต่อสู้นั้นไม่เหมือนกัน ความสามารถในการต่อสู้นั้นจะมาได้จากการมุ่งมั่นที่จะต่อสู้! 


 


 


หลี่ว์ซู่พอใจมากที่เขากวาดล้างทหารจากท้องทะเลพวกนั้นได้ หลังจากซัดพวกมันจนสลบไป เขาก็หยิบเอาหอกสามง่ามของพวกมันยัดเก็บเข้าไปในตราแผ่นดิน หลี่ว์ซู่หงุดหงิดที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกเจ้าโกลาหลกินไปหมดแต่เขายังต้องรับหน้าที่คอยดูแลมันต่อไป! เพราะฉะนั้นอาวุธพวกนี้เขาจะเก็บเอาไว้เป็นอาหารให้มันตอนมันตื่นขึ้นมา 


 


 


จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินมั่วเฉิงคงตะโกน “ทั้งสองคนไม่ต้องกลัว เรามาช่วยพวกนายกันแล้ว!” 


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปที่กลุ่มนักเรียน ตอนแรกพวกเขาหวาดกลัวทหารจากท้องทะเลกันยกใหญ่ ทว่าตอนนี้กลับพุ่งเข้าใส่พวกมันกันเสียนี่ 


 


 


เมื่อพวกนักเรียนและหลี่ว์ซู่กับเฉินจู่อานวนกลับมาเจอกัน พวกเขาก็รวมกลุ่มกันได้ในสามนาที คราวนี้หลี่ว์ซู่ก็เผชิญหน้ากับศัตรูจากแค่ทิศทางเดียวเท่านั้นแล้ว ไม่ต้องคอยดูสี่ทางเหมือนก่อนหน้านี้ 


 


 


หลี่ว์ซู่รีบถลาตัวไปที่ชายหาด ในขณะที่มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ จากกองพัน 42 ตามเขาไปอย่างใกล้ชิด 


 


 


ส่วนกองพันอื่นๆ ยังคงติดพันกับการปัดป้องทหารจากทะเล กองพันที่ 42 ที่โดนเล็งโจมตีนั้นขอสู้กลับบ้างแล้ว! 


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นเป็นเหมือนกับที่หลบฝนในตอนที่มีพายุโหมกระหน่ำ ทุกคนยืนอยู่ข้างหลังเขาและต่อสู้กับพวกทหารทะเลในระยะใกล้ชิด หลังจากที่จัดขบวนต่อสู้กันเสร็จแล้ว คนที่บาดเจ็บก็มีน้อยลงเรื่อยๆ! แต่ทุกคนกลับมีคำถามข้อหนึ่งที่พวกเขาประหลาดใจอย่างมาก… 


 


 


“หอกสามง่ามหายไปไหนน่ะ!” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างไม่แน่ใจ 


 


 


“อ้าว ตอนแรกพวกมันไม่ได้ถืออาวุธกันมาตอนมาถึงชายฝั่งเหรอ หายไปไหนแล้ว!” 


 


 


“นี่ไม่ถูกต้องนะ!” 


 


 


หลังจากที่ทหารจากท้องทะเลฟื้นคืนพลังและได้สติกลับมาอีกครั้ง พวกมันก็ปรารถนาจะโจมตีกลับ แต่แล้วก็รู้สึกตัวว่าอาวุธในมือนั้นหายไปแล้ว 


 


 


ทุกคนจึงค่อยๆ หันไปมองหลี่ว์ซู่ พวกเขารู้ว่าศัตรูปะทุกับหลี่ว์ซู่มาก่อน และในตอนนั้น พวกมันยังมีหอกสามง่ามในมืออยู่เลย แต่พอหลี่ว์ซู่ซัดพวกมัน หอกสามง่ามก็หายไปในพริบตา… 


 


 


“นั่นเป็นที่เก็บของแบบล่องหนหรือเปล่า” ใครคนหนึ่งถามขณะโจมตีเข้าใส่ทหารจากทะเลที่กระโจนใส่ “นี่นายเอาหอกสามง่ามไปใส่ในช่องเก็บของแบบล่องหนงั้นเหรอ” 


 


 


นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้วนะ! 


 


 


ตอนแรกทุกคนต่างคิดว่าการใช้ดาบยาวรับมือกับพวกทหารนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นหลังจากกำจัดพวกมันแล้ว พวกเขาก็หยิบเอาหอกสามง่ามขึ้นมาใช้เป็นอาวุธแทน 


 


 


ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดที่ดีเลย นักเรียนที่เปลี่ยนมาใช้หอกสามง่ามแทนสามารถโจมตีได้อย่างทรงพลังและรู้สึกว่าตัวเองแกร่งกล้าขึ้นกว่าเดิม หลายคนจึงคิดจะทำตาม พวกเขาอยากใช้หอกสามง่ามนั่นสู้บ้างเช่นกัน แต่แล้วก็รู้ตัวทีหลังว่า… ฮ่าๆๆ หอกสามง่ามหายไปหมดแล้วน่ะ 


 


 


งั้นก็เหมือนกับว่าทหารพวกนี้มาเยี่ยมพวกเขาเล่นๆ เลย! 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาได้ยินอะไรบางอย่างเลยตะโกนผสมโรงด้วย “อ้าว หอกสามง่ามหายไปนี่! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ลึกลับอะไรแบบนี้!” 


 


 


เฉินจู่อาน มั่วเฉิงคงและคนอื่นๆ ในกองพันที่ 42 พูดไม่ออก แสดงให้มันแนบเนียนกว่านี้หน่อยได้ไหม! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +166…] 


 


 


[ได้แต้ม…] 


 


 


เฉินจู่อานเพิ่งเข้าใจว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรเรื่องที่เขามีที่เก็บของแบบล่องหน เฉินจู่อานคิดว่าการที่หลี่ว์ซู่เอาอาวุธสามง่ามไปก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรหรอก เพราะหลี่ว์ซู่นั้นมัทักษะการขว้างอาวุธ เขาคงได้ใช้ประโยชน์จากมันนั่นแหละ แต่เฉินจู่อานไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าหลี่ว์ซู่คิดจะเอาหอกสามง่ามไปเลี้ยงเจ้าโกลาหล… 


 


 


และแล้วความช่วยเหลือก็มาถึง เมื่อมั่วเฉิงคงเห็นแบบนั้น เขาก็กำลังใจดีขึ้นมาและปลีกตัวออกไปหากลุ่มกองใหม่ที่เข้ามาช่วยพวกเขา เขาอยากอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่พอกลุ่มเสริมมาถึง พวกเขาก็เหลือบมองมาก่อนจะพลิกตัวหันกลับไปและถลาไปช่วยเหลือบริเวณอื่นแทน 


 


 


มั่วเฉิงคงล้มตัวไปจับขาของหัวหน้ากองเสริมก่อนเอ่ยเรียก “พี่ชาย อย่าไปนะ! นี่มาช่วยพวกเราหรือเปล่า ทำไมจะกลับแล้วล่ะ” 


 


 


หัวหน้าคนนั้นมองมั่วเฉิงคงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นายเป็นใคร” 


 


 


“ฉันชื่อมั่วเฉิงคง เป็นหัวหน้าของกองพัน 42” มั่วเฉิงคงพูดขณะเงยหน้าขึ้น 


 


 


“ฉันคือเฉิงชิวเฉี่ยวจากกองพันที่ 2” เฉิงชิวเฉี่ยวพูด 


 


 


มั่วเฉิงคงอึ้งไปเลย เขารู้ว่าหัวหน้าของกองพันสามสิบกองแรกนั้นเป็นพวกหัวกะทิระดับ A งั้นก็หมายความว่า เฉิงชิวเฉี่ยวต้องอยู่ในระดับ C ขั้นสูง และคงใช้มีดบินได้อะไรแบบนั้นแน่ๆ ย! 


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้มั่วเฉิงไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปเด็ดขาด! “พี่ชาย ช่วยพวกเราก่อน อย่าเพิ่งไปเลยนะ!” 


 


 


เฉิงชิวเฉี่ยวงงงวย “ให้ตายเถอะ หลี่ว์ซู่ก็อยู่นี่แล้วไง นายไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเราหรอก ปล่อยฉันไปได้แล้ว ที่อื่นๆ ยังอยู่ในอันตรายอยู่นะ!” 


 


 


“พี่หลี่ว์ซู่งั้นเหรอ” มั่วเฉิงคงปล่อยเฉิงชิวเฉี่ยวไปด้วยความงุนงงไม่แพ้กัน เฉิงชิวเฉี่ยวไปแล้ว ปล่อยให้มั่วเฉิงคงมองไปที่หลี่ว์ซู่อยู่คนเดียว 


 


 


“เขาเป็นยอดฝีมือตัวจริงสินะ…” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม