ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 603-606.2

ตอนที่ 603 ดมกลิ่นรู้จักม้า

 

คำถามนี้ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติตอบได้ อย่างน้อยที่สุดเหล่าหูกับเหล่าเกาก็ตอบไม่ได้ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เงาหลังของท่าน ข่านดาบทองค่อยๆ เคลื่อนไกลห่างออกไปท่ามกลางการคุ้มกันของทหารม้า จนสุดท้ายก็ลาลับไปท่ามกลางแสงสายัณห์สีทอง 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบค่อยๆ สลายตัวไป ผู้กล้าที่ปิดบังใบหน้าจำนวนหนึ่งถูกบรรดาสาวน้อยห้อมล้อมไว้ตั้งแต่แรก กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจา มอบมาลัยดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วน ยังมีบางคนที่หน้าสะสวยสักหน่อยกำลังมองประเมินดินแดนเยวี่ยซื่อด้วยท่าทีขวยเขิน คิดจะเข้ามามอบดอกไม้แต่ก็ขาดความกล้า 


 


 


อย่างไรเสียเยวี่ยซื่อคือดินแดนที่ท่านข่านดาบทองทรงเลือกด้วยตนเอง ผู้กล้าที่ร้ายกาจมากที่สุดย่อมต้องให้ท่านข่านใหญ่ผู้งดงามกอปรด้วยสติปัญญาทรงเลือกก่อน ส่วนคนที่เหลือถึงจะมาถึงคราวพวกนาง 


 


 


“น้องหลิน เจ้าดูสิ สาวน้อยชนเผ่านอกด่านเหล่านี้กำลังจ้องมองเจ้าตาไม่กะพริบเลยนะ!” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ขอเพียงเจ้าร้องออกมาคำเดียวว่าข้าต้องการหาคนมาอุ่นเตียง คืนนี้สาวงามที่นอนบนพื้นหญ้าก็จะมีเป็นภูเขาเลากาแล้ว ฮิๆ!” 


 


 


เหล่านายทหารต้าหัวซึ่งอยู่รายล้อมแม่ทัพหลินต่างหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศผ่อนคลายเหลือล้น เดิมทีการแข่งขันชิงแพะนี้เป็นการแข่งขันตามประเพณีของชนเผ่านอกด่าน ยอดฝีมือคับคั่ง ผู้กล้ามากล้น แต่ละครั้งจะต้องสู้รบพัวพันกันอย่างยาวนานนากจะตัดสิน เพียงแต่ปีนี้เหนือความคาดหมายมากที่สุด ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่างานเทศกาลแข่งขันชิงแพะที่ชนเผ่านอกด่านภาคภูมิใจกลับให้ทัพอันโดดเดี่ยวของต้าหัวซึ่งล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าชิงความเป็นหนึ่งแทน ทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนมากขนาดนี้อีก แล้วนี่ยังจะมีเรื่องที่น่าสนุกยิ่งกว่านี้อีกหรือ?! 


 


 


ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่อ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วซึ่งมีชื่อเสียงอุโฆษปทั่วทุ่งหญ้าก็ยังพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือแม่ทัพหลินอีก แม้วิธีการจะต่ำช้าเป็นอันธพาลอยู่บ้างก็ตาม แต่การลงสนามรบสู้แลกชีวิตกันเช่นนี้แต่เดิมก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเปิดเผยตรงไปตรงมาอยู่แล้ว ชนะก็คือวีรบุรุษ ถูสั่วจั่วพ่ายแพ้จนอับจนคำพูด! สรุปแล้วการรบวันนี้ได้กำไรมหาศาล! 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า หัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “ต้องการหาคนมาอุ่นเตียง? พี่เกา ท่านไปเองเถอะนะ! ข้าคนนี้เป็นพวกจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ เห็นสาวงามดั่งสิ่งปฏิกูล ทุกคนต่างรู้กันดี…เพียงแต่จะว่าไป” เขามองรอบด้านหลายครั้ง กล่าวพลางถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย “หากจะหาสิ่งปฏิกูลจากสาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านี้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายแล้วหรือ!” 


 


 


เกาฉิวผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ก็ไม่เป็นไร ดับไฟเสียทุกคนก็เหมือนกันแล้ว! พอลืมตามอง หวา สิ่งปฏิกูลเต็มไปหมดเลย!” 


 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้ แม้แต่คำพูดก็แฝงความลามกอนาจาร ไม่ว่าจะมาแบบไหนกลับไม่เคยบ่ายเบี่ยง หูปู้กุยฟังแล้วก็สนุกสนานยิ่งนัก 


 


 


สรวลเสเฮฮากันไปหลายประโยค หลินหว่านหรงก็เหลียวมองประเมินรอบด้าน ดวงตะวันลาลับ ณ ทิศประจิม ม่านท้องฟ้ายามสนธยากำลังมาเยือน ดินแดนหลายสิบดินแดนที่มีคุณสมบัติเข้าไปในเค่อจือเอ่อร์วิ่งห้อตะบึงไปมาอยู่บนทุ่งหญ้าโดยไม่แม้แต่จะถอดหน้ากาก ร้องเพลงอย่างมีความสุข เฉลิมฉลองชัยชนะ ส่วนชนเผ่านอกด่านที่มีจำนวนมากกว่ากลับไร้สาวนาเข้าไปในราชธานี พวกมันเก็บค่ายกระโจมกันอย่างเงียบๆ รีบรุดกลับดินแดนตนภายในคืนนี้ 


 


 


สำหรับผู้พ่ายแพ้เหล่านี้ หากต้องการความเคารพและการชื่นชมจากดินแดนอื่น มีแค่ต้องกลับมาใหม่ปีหน้าเท่านั้น  


 


 


อาชาพ่วงพีส่งเสียงร้องยาวๆ อยู่บนทุ่งหญ้า วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุดหย่อน ถึงกระนั้นไปกลับมีมาก มามีน้อยยิ่ง ชาวทูเจวี๋ยที่พ่ายแพ้จากไปอย่างหม่นหมอง ที่เหลืออยู่ก็มีแค่คนสามสี่ร้อยคนจากสิบกว่าดินแดนเท่านั้น ซึ่งในนั้นก็รวมถึงเยวี่ยซื่อด้วย รอบด้านมีแต่หญ้าแห้งที่ม้ากินเหลือกับร่องรอยจากการตั้งค่าย ยุ่งเหยิงเละเทะไปหมด ทุ่งหญ้าซึ่งชุลมุนวุ่นวายทั้งวันเงียบสงบภายในชั่วพริบตาตามเสียงคนที่หายไป  


 


 


ทหารม้าหมาป่าหลายหมื่นนายซึ่งเดิมทีปักหลักอยู่นอกเมืองติดตามอวี้เจียเข้าเมืองไปแล้ว รอบด้านล้วนเงียบสงัดและว่างเปล่า เทศกาลแข่งขันชิงแพะจบสิ้น ทหารม้าทูเจวี๋ยจึงไม่จำเป็นต้องปักหลักอยู่นอกเมืองเป็นธรรมดา เรื่องนี้กลับไม่ได้เหนือความคาดหมาย 


 


 


มองดูพี่น้องสามสิบกว่าคนซึ่งกำลังรายล้อมอยู่รอบตัว เมื่อเทียบกับสิบกว่าคนในการแข่งชิงแพะก่อนหน้านี้ถือว่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า พวกเขากำลังเดินตรวจตราอย่างลับๆ อยู่รอบด้าน หูปู้กุยเลือกเฟ้นคนเหล่านี้มาอย่างดี แต่ละคนต่างพูดภาษาทูเจวี๋ยได้หลายประโยค หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พี่หู คนมาครบแล้วหรือไม่?!” 


 


 


“มาครบแล้วขอรับ!” หูปู้กุยกะพริบตา หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ คราวนี้อาศัยใบบุญของท่าน พี่น้องหลายสิบคนของเรานี้ถึงเข้าเมืองอย่างเปิดเผยได้” 


 


 


ดินแดนซึ่งชนะสามรอบขึ้นไปต่างมีสิทธิ์เข้าเค่อจือเอ่อร์เพื่อร่วมสนุกกับงานเลี้ยงที่ข่านใหญ่จัดขึ้นได้ เพียงแต่หลังจากเข้าเมืองแล้วจะดำเนินการเช่นไรกลับเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งนัก 


 


 


ตามแผนก่อนหน้านี้ของเขา เทศกาลแข่งขันชิงแพะเป็นงานใหญ่ของชนเผ่านอกด่านซึ่งมีปีละครั้ง คึกคักและยิ่งใหญ่ จะต้องมีราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์จำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันที่วังหลวง ทหารม้าทูเจวี๋ยคุ้มกันข่านและเหล่าผู้สูงศักดิ์อยู่นอกเมือง จิตใจตึงเครียด เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด การป้องกันเมืองย่อมเผยจุดอ่อนออกมา อีกทั้งเค่อจือเอ่อร์ในคืนนี้จะสนุกสนานคึกคักกันทั้งคืนเพราะงานเทศกาลชิงแพะอะไรที่ว่า ขอเพียงคิดหาหนทางก่อความวุ่นวายเล็กน้อย ยึดกำแพงเมืองและเปิดประตูเมืองอย่างรวดเร็ว ทหารม้าจำนวนห้าพันฉวยโอกาสขณะที่ชนเผ่านอกด่านยังไม่รู้ตัว ใช้ความเร็วดุจสายอสุนีบาตบุกยึดวังหลวงทูเจวี๋ย สู้ให้มันรับมือไม่ทัน เมื่อชิงวังหลวง จับกุมข่านและผู้มีอำนาจสำคัญของทูเจวี๋ยได้ เช่นนั้นก็เท่ากับสูบจิตวิญญาณของเค่อจือเอ่อร์ไป ราชธานีทูเจวี๋ยย่อมล่มสลาย ชนเผ่านอกด่านย่อมถูกทำลายไปเอง 


 


 


แม้จะคำนวณอย่างดี เพียงแต่ระหว่างนั้นกลับเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงตั้งมากมาย สู้ศึกครั้งใหญ่กับอ๋องขวาอย่างแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แถมเยวี่ยซื่อยังได้ที่หนึ่งในงานแข่งขันชิงแพะอีก ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่ดินแดนเล็กและอ่อนแอที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีกต่อไป แต่เป็นเป้าสายตาของทุกคน ช่องว่างที่จะให้พวกเขาก่อการไม่ได้มากเท่ากับก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน การปะปนเข้าเค่อจือเอ่อร์คือหนทางเดียวที่พวกเขาเลือกได้ 


 


 


“เข้าเมืองอย่างเปิดเผยอาจไม่ใช่โชคดีก็ได้” หลินหว่านหรงถอนหายใจ พูดพึมพำกับตนเอง 


 


 


เหล่าหูเข้าใจความลำบากของเขา ดังนั้นจึงกล่าวระคนหัวเราะอยู่ข้างใบหู “ท่านแม่ทัพวางใจเถิดขอรับ สวี่เจิ้นพาพี่น้องหลายพันที่เหลือเดินทางตั้งแต่แรกแล้ว ต่อให้โชคร้ายกว่านี้ พวกเขาก็บุกเข้าเมืองโดยตรงได้เลย อย่างมากก็คือตาย ตอนพวกเราออกมาไม่ได้คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือขอรับ? ต่อให้ฆ่าชนเผ่านอกด่านไม่ได้ก็ต้องทำให้พวกมันตกใจจนตาย…” 


 


 


เมื่อได้ยินเหล่าหูพูดจาสบอารมณ์ยิ่งนัก หลินหว่านหรงจึงหัวเราะฮ่าๆ อารมร์ผ่อนคลายลงไปหลายส่วนทันที หูปู้กุยมองรอบด้านอย่างมีลับลมคมนัย พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ยังมีอีกเรื่องที่ไม่กล้าบอกท่านขอรับ เมื่อครู่ตอนที่พวกเราชิงแพะ บรรดาพี่น้องที่เหลืออยู่ฉวยโอกาสช่วงที่ชนเผ่านอกด่านดูการต่อสู้ไปเอาน้ำมันต้นถงจากเผ่าละแวกใกล้เคียงมา ตอนนี้วางอยู่บนหลังม้าทั้งหมดแล้ว ท่านคิดดูสิขอรับ เค่อจือเอ่อร์คืนนี้ร้องรำทำเพลง ต้อนรับเหล่าวีรบุรุษผู้ชิงแพะอย่างยิ่งใหญ่ นั่นไม่ใช่ต้องมีผู้คนล้นหลาม ฝูงชนคับคั่ง เบียดเสียดยัดเยียดกันหรอกหรือ? หากมีม้าเพลิงที่ควันลุกโผล่พรวดออกมาจากที่ใดสักที่หนึ่ง ฮิๆ นั่นจะเป็นภาพเช่นไรกันนะ!” 


 


 


“จริงหรือ?!” หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก รีบเหลือบมองม้าศึกที่อยู่ข้างกาย สองข้างท้องม้าทูเจวี๋ยตัวนั้นมีกระบอกไม้ไผ่ยาวหลายฉื่อห้อยอยู่หลายกระบอก ต่างถุงใช้ผ้าปิดบัง ปริมาณคล้ายไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


“อ้อ” เกาฉิวเงี่ยหูฟังอยู่ด้านข้างมาตั้งนาน พูดพร้อมทำปากกลมโตด้วยความยินดียิ่ง “เหล่าหูตัวดี รู้จักขโมยน้ำมันแล้ว!” 


 


 


“ขโมยอะไรกัน” หูปู้กุยมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ฉวยโอกาสช่วงปลอดคนเข้าไปเที่ยวชมในกระโจมผู้อื่นสักครา จากนั้นก็เอาน้ำมันติดมือมาเล็กน้อย นี่เรียกว่าขโมยหรือ? นี่เขาเรียกว่าตัก! เหล่าเกา เจ้ากลับไปหาอาจารย์มาสักคนแล้วเรียนตัวอักษรใหม่เถอะนะ!” 


 


 


“ใช่ๆ ตักน้ำมัน ไม่ได้ขโมยน้ำมัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ รู้สึกโล่งอกยิ่งนัก เมื่อมีอาชาเพลิงหลายสิบตัวนี้ ต่อให้ยึดเค่อจือเอ่อร์ไม่ได้ ข้าก็ต้องทำให้มันวุ่นวาย! 


 


 


จู่ๆ เกาฉิวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบพูดออกมาว่า “ต่อให้พวกเรามีอาชาเพลิง แต่ทหารม้าทูเจวี๋ยนับหมื่นนั่นก็เข้าเมืองแล้ว หากพวกมันขวางอยู่หน้าประตูวัง นี่จะกลายเป็นศัตรูมากฝั่งเราน้อย สู้ยากนา!” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขา แย้มยิ้มพลางส่ายหน้า “พี่เกา พวกเราไม่ได้มาแข่งจำนวนคนกับพวกมัน พวกเรากำลังแข่งกันว่าใครจะลงมือรวดเร็วกว่ากัน! ท่านดูสิ นั่นก็คือพระราชวังของทูเจวี๋ย” 


 


 


เขาชี้มือไป พวกเกาฉิวสองคนมองไปตามทิศทางของนิ้วมือเขา ท่ามกลางแสงสายัณห์สีแดงเข้ม กำแพงเมืองหยาบหนาของเค่อจือเอ่อร์ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ห่างจากตัวกำแพงเมืองไม่ไกลจะมองเห็นศาลาหอคอยที่มีหลังคาสีเหลืองกระเบื้องทอง ทางเดินสีแดงสลับเขียวอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างเตี้ยๆ ที่อยู่โดยรอบ เห็นได้ชัดว่ามันดูสูงส่งและสะดุดตามาก 


 


 


“เมื่อดูจากการจัดผังเมืองเค่อจือเอ่อร์ วังหลวงอยู่ไม่ไกลจากประตูเมือง สิ่งนี้เมื่ออยู่ที่ต้าหัวเราช่างเป็นเรื่องที่ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อย ดูท่าทางชาวทูเจวี๋ยไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการสร้างเมืองสักเท่าไหร่!” 


 


 


หูปู้กุยฟังแล้วก็ผงกศีรษะ เมืองหลวงในประวัติศาสตร์หัวเซี่ย มีเมืองใดบ้างที่มีประตูเป็นชั้นๆ ตำหนักสูงกำแพงศิลาหนา พระราชวังชาวทูเจวี๋ยแห่งนี้โครงสร้างเรียบง่าย สร้างแบบหยาบๆ กระทั่งยังเทียบศาลาว่าการภายในเมืองอันแสนจะมั่งคั่งเมืองใดเมืองหนึ่งในเจียงหนานไม่ได้เสียด้วยซ้ำ 


 


 


“และเมื่อตัดสินจากขนาดของหอและศาลาเหล่านั้น วังหลวงของทูเจวี๋ยจุคนได้สองพันคนนั่นก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะ “ดังนั้นทหารม้าทูเจวี๋ยไม่อาจปักหลักอยู่ที่นี่ทั้งหมดได้ พวกมันต้องยังมีค่ายทหารอยู่ในเมือง ในเมื่อเป็นค่ายทหารก็ต้องอยู่ห่างจากวังหลวงสักช่วงหนึ่ง!” 


 


 


“แต่ไกลเท่าไหร่ล่ะ?!” เหล่าเกาขมวดคิ้ว นี่ถึงจะเป็นประเด็นสำคัญของปัญหานี้ 


 


 


“ง่ายดายมาก” แม่ทัพหลินแบมือแล้วพูดว่า “พี่เกา หากท่านเป็นข่านทูเจวี๋ย เมื่อมีทหารม้านับหมื่นอยู่ข้างกายเช่นนี้ ท่านคิดจะเอาพวกมันไปไว้ไกลเท่าใด?!” 


 


 


“ก็ต้องยิ่งใกล้ก็ยิ่งดี!” เหล่าเกาตอบโพล่งออกมา จากนั้นเมื่อครุ่นคิดจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ก็ไม่ถูกนะ ไพร่พลตั้งหมื่นกว่าคนนี้หาใช่จำนวนน้อยๆ ดาบทวนของจริงทั้งนั้น หากอยู่ใกล้เกินไปผู้ใดจะรับรองว่าในหมู่พวกมันไม่มีคนคิดกบฏ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแล้วเอ่ยว่า “นี่ก็คือโรคของเจ้าผู้ปกครอง กระหายอำนาจทางการทหาร แต่กลับกลับการก่อกบฏของทหารอีกด้วย จะต้องรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง พวกท่านอย่าลืมว่าทหารนับหมื่นนี้เป็นคนในเผ่าถูสั่วจั่ว!” 


 


 


เข้าใจแล้ว! หูปู้กุยกับเกาฉิวตกใจพร้อมกัน 


 


 


“ดังนั้นจึงพูดได้ว่าขอเพียงพวกเราเคลื่อนไหวรวดเร็วพอ เปิดประตูเมืองทันท่วงที ก่อนบุกเข้าวังหลวง โอกาสของพวกเรากับชาวทูเจวี๋ยอย่างน้อยก็ครึ่งต่อครึ่ง! แม้จะมีความเสี่ยงสูงมาก แต่พวกเราก็ต้องทำ นั่นเพราะพวกเรามาเพื่อสิ่งนี้!” เขาโบกมือตัดสินใจเป็นแม่นมั่น ดวงตาผุดไอสังหารเย็นเยียบ “ขอเพียงยึดวังหลวงทูเจวี๋ยได้ นั่นก็คือความสำเร็จของพวกเราแล้ว!” 


 


 


หูปู้กุยพอฟังก็เลือดลมร้อนระอุพลุ่งพล่าน รีบปรบมือคราหนึ่ง “ดี เอาตามนี้! คืนนี้พวกเราไปเปิดประตูเมืองกัน!” 


 


 


“พี่หูรีบร้อนอะไร” หลินหว่านหรงหัวเราะ “ตอนนี้ยังไม่ได้เข้าเมือง สถานการณ์ด้านในยังไม่ชัดเจน มาพูดเรื่องพวกนี้ออกจะเร็วเกินไป พวกเรามีแนวทางแล้ว พอเข้าเมืองค่อยทำตามสถานการณ์ก็ได้” 


 


 


ร้อนใจเกินไปบ้างจริงๆ เหล่าหูหัวเราะด้วยความกระดากใจ 


 


 


ม่านราตรีค่อยๆ เคลื่อนตัวลงท่ามกลาง ไอหมอกยามสนธยา ทุ่งหญ้าขมุกขมัวไปหมด มองเห็นธงหมาป่าที่ปลิวไสวอยู่บนกำแพงเมืองไกลๆ ได้เล็กน้อย มีดินแดนที่ได้รับชัยชนะไปรออยู่ใต้เมืองอย่างอดรนทนไม่ได้ กำลังเตรียมตัวเข้าเค่อจือเอ่อร์ หน้ากากของผู้กล้าทุกคนไม่ได้ถอด นี่คือเครื่องยืนยันเกียรติยศ พวกมันต้องการเปิดในงานเลี้ยงภายในพระราชวังเพื่อเสพสุขกับเสียงโห่ร้องยินดีจากปวงชน 


 


 


ประตูเมืองเปิดอย่างแช่มช้า ทหารทูเจวี๋ยที่เฝ้าประตูเมืองสอบถามเล็กน้อยสองสามประโยค เหล่าผู้กล้าแกว่งธงซึ่งแสดงสัญลักษณ์ดินแดนของตนเองด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นเส้นทางก็ปลอดโปร่งปราศจากการสกัดขัดขวาง 


 


 


เค่อจือเอ่อร์ตั้งอยู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ไม่เคยถูกโจมตีมาก่อน ชาวทูเจวี๋ยเชื่อมั่นในความสามารถของตนอย่างเปี่ยมล้น การป้องกันจะผ่อนคลายก็เป็นที่ให้อภัยได้ 


 


 


หูปู้กุยเอ่ยถามเบาๆ “พวกเราเข้าตอนนี้ด้วยเลยหรือไม่ขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงมองท้องฟ้า จากนั้นจึงส่ายหน้าเล็กน้อย “เข้าไปตอนนี้จะกลายเป็นจุดสนใจของผู้อื่นเท่านั้น รออีกสักหน่อยจะดีกว่า” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮิคราหนึ่ง “น้องหลิน ข้ามีเรื่องหนึ่งที่สงสัยมานานมากแล้ว เจ้าจับพิรุธได้อย่างไรว่าอวี้เจียเล่นตุกติกกับม้า?” 


 


 


เมื่อถามเช่นนี้เหล่าหูก็หันหน้ามาทันที เห็นชัดว่าเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน 


 


 


แม่ทัพหลินหัวเราะ “หลักการน่ะหรือ อันที่จริงก็ง่ายดายนัก ม้าก็เหมือนพวกเรา มีจมูกมีตา มีปากและก็มีขา ต่างเป็นอวัยวะในการรับรู้ทั้งสิ้น อาชาสีผสมตัวนั้นไม่ยอมขยับเท้าจะต้องเกิดปัญหาจากส่วนใดส่วนหนึ่งแน่ ดังนั้นข้าจึงดูที่ขาม้าก่อน ขาไม่มีปัญหาก็ไปที่หูกับดวงตาของม้า ส่วนที่มองเห็นชัดเจนมากที่สุด อวี้เจียยากจะเล่นตุกติก ดังนั้นส่วนที่เหลือก็ต้องเป็นที่จมูกกับปากแล้ว” 


 


 


มีเหตุผล! หูปู้กุยผงกศีรษะ จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัยต่อไป “เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงตัดสินว่านางเล่นตุกติกที่จมูก แต่ไม่ใช่ที่ปากล่ะขอรับ?” 


 


 


“นี่ยังต้องขอบคุณถูสั่วจั่ว” หลินหว่านหรงผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “ตอนที่ลูกสมุนมันป้อนหญ้าข้าตั้งใจมองอยู่ ม้าน้อยตัวนั้นถูกสวมตะกร้อครอบปาก ถึงกระนั้นกลับยังออกแรงขยับเข้าไปใกล้ นี่หมายความว่าปากของมันไม่มีปัญหา อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้มีปัญหารุนแรง ด้วยเหตุนี้ส่วนที่เล่นตุกติกได้ง่ายมากที่สุดและพบเห็นยากมากที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือจมูกของม้า อวี้เจียสาดผงสมุนไพรที่ทำมาจากดอกไม้และใบหญ้าชนิดหนึ่ง ข้าดมแล้วได้กลิ่นหอมจางๆ แต่สำหรับม้ากลิ่นนี้อาจเป็นสิ่งที่มันเกลียดอยู่พอดี ดังนั้นข้าเอาแส้หวดมันมันก็ไม่ไป! ข้าคิดหาวิธีได้ เอาน้ำสาดใส่จมูกเพื่อละลายผงยา เมื่อกลิ่นเบาบางลงมันจึงเปลี่ยนเป็นม้าธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง! ต่อมาก็แอบป้ายยาปลุกกำหนัดให้ม้าของนาง จากนั้นก็ไปป้ายที่ก้นม้าข้าเล็กน้อย ดังนั้นนางก็เลยวิ่งไล่ตามข้าไป ฮ่าๆ มันก็ง่ายๆ แบบนี้นี่เอง!” 


 


 


“ดมกลิ่นรู้จักม้า? น้องหลิน เจ้าช่างมีจมูกอันร้ายกาจเสียจริง!” เหล่าเกาชูนิ้วโป้งชมเชยยกใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม  


 


 


หูปู้กุยส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ หลักการเหล่านี้พูดแล้วง่ายดาย แทบเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ แต่การสังเกตเรื่องละเอียดปลีกย่อย ขบคิดพิจารณาอย่างยอดเยี่ยมนั้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้ ผู้อื่นเอาแต่ด่าทอว่าแม่ทัพหลินใช้เป็นแต่ฝีปาก นึกว่าสิ่งที่เขาได้มาทั้งหมดนั้นเอาฝีปากแลกกลับมา ซึ่งนั่นถือเป็นการมองเขาด้วยสายตาอันตื้นเขินนัก 


 


 


“แย่แล้ว!” ขณะที่หูปู้กุยยังอยู่ในห้วงความคิดก็ได้ยินแม่ทัพหลินส่งเสียงด้วยความตกใจ “ข้ารู้แล้วว่าทำไมอวี้เจียถึงขี่ม้าของข้า!”  

 

 


ตอนที่ 604 - 1 ผู้กล้าใบ้

 

 


 


 


หูปู้กุยพอลองครุ่นคิดก็เข้าใจ “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คืออวี้เจียอยากจะดูว่าที่ทาอยู่ตรงก้นม้าคือผงยาอะไรใช่หรือไม่ขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ด้วยความดื้อดึงของสาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนั้น นางต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ม้าน้อยของตนเสียสตินั้นมันคืออะไรกันแน่ เมื่อคิดว่านางซึ่งสูงส่งเป็นถึงท่านข่านใหญ่แห่งทูเจวี๋ย แต่กลับต้องมาตรวจก้นม้าด้วยตัวเอง ว่าไปแล้วก็น่าขำอยู่บ้าง 


 


 


“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง” เกาฉิวกล่าวระคนหัวเราะด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “น้องหลินวางใจได้ ผงยาที่ข้าให้เจ้าส่วนผสมหลักคือนมของแม่หมูติดสัด สิ่งที่ผสมลงไปก็คือนมแพะและนมวัวที่อยู่ในช่วงให้นมลูก จากนั้นก็เติมเครื่องหอมดอกไม้ใบหญ้าที่เห็นได้ทั่วไปอีกหลายชนิด ต่างเป็นของระดับล่างที่ข้าซื้อจากเมืองซิงชิ่ง มิหนำซ้ำว่ากันว่าส่วนใหญ่เอามาขายที่ทุ่งหญ้า ชนเผ่านอกด่านใช้เพื่อผสมพันธุ์ม้าโดยเฉพาะ หลายครั้งก่อนหน้านี้ข้ากระดากใจที่จะเอาออกมาใช้ เพราะเอาเจ้านี่มาใช้กับคนไม่ค่อยได้ผลมากนัก อย่างมากก็แค่ร้อนรนกระสับกระส่าย แต่กับวัวเอยอูฐเอยอะไรต่อมิอะไร กลับใช้ได้ผลทุกครั้ง ผลลัพธ์มหัศจรรย์ เดิมทีเตรียมมอบให้น้องหลินใช้ไต่สวนเชลย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ใช้ ฮิๆ น่าเสียดาย ถือว่าชนเผ่านอกด่านพวกนั้นโชคดี บนทุ่งหญ้านี้มันเป็นของที่เห็นได้บ่อยๆ ต่อให้อวี้เจียจำแนกออกมาได้ก็ไม่ได้อะไรมากนัก” 


 


 


เอาเจ้านี่มาใช้ไต่สวนเชลย! นั่นจะเป็นการไต่สวนอย่างไร หูปู้กุยขนลุก ไม่ว่าฟังคำพูดเหล่าเกาเช่นไรก็มักรู้สึกแฝงความชั่วร้ายอยู่ตลอดเลยนะ 


 


 


ที่แท้ก็ใช้ผสมพันธุ์ม้าโดยเฉพาะ มิน่าถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง รู้สึกเสียดายยิ่งนัก ผลิตภัณฑ์สีเขียวชั้นดีที่ทำมาจากนมบริสุทธิ์ทำไมถึงให้สัตว์เดรัจฉานไปใช้สิ้นเปลืองได้นะ 


 


 


ฟ้าค่อยๆ มืด ทุ่งหญ้าขมุกขมัวสลัวมืดมนไปหมด แสงไฟหรุบหรู่หลายดวงสาดส่องมาจากกำแพงเมืองเค่อจือเอ่อร์ ชนเผ่านอกด่านสร้างโคมไฟไม่ได้ บนกำแพงเมืองใช้คบเพลิงส่องสว่างทั้งหมด สายลมยามราตรีอันเย็นเยียบบนทุ่งหญ้าพัดเข้ามา เปลวไฟขยับวูบไหว เพียงประเดี๋ยวเดียวก็ดับไปเกินครึ่ง บนกำแพงเมืองมืดมิดไปหมด ชาวทูเจวี๋ยเหมือนจะเคยชินกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร 


 


 


พลขี่ม้าเร็ววิ่งห้อตะบึงมาคนหนึ่ง จากนั้นก็ประชิดข้างใบหูหูปู้กุยพร้อมเอ่ยถ้อยคำไปหลายประโยค เหล่าหูผงกศีรษะ พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ พวกของสวี่เจิ้นหุ้มกีบเท้าม้า หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ก็จะไปถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้ขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ มองดูขบวนเข้าเมืองที่กระจัดกระจายมีจำนวนไม่มากตรงหน้า เหลือแค่ไม่กี่คนแล้ว เขาโบกมือพร้อมตวาดออกมาว่า “เค่อจือเอ่อร์อยู่ข้างหน้า พี่น้องทั้งหลาย ตามข้าไป!” 


 


 


ไพร่พลเกือบสี่สิบคนคำรามต่ำ ๆพร้อมกันคราหนึ่ง จากนั้นก็หักหัวม้าติดตามอยู่ข้างหลังแม่ทัพหลิน ขี่ม้าตามสบายโดยไม่ใช้บังเ**ยน มุ่งไปที่ประตูเมืองเค่อจือเอ่อร์ 


 


 


ราชธานีของชนเผ่านอกด่านเข้าใกล้มากขึ้นทีละก้าวๆ ใบหน้าหยาบกระด้างของชาวทูเจวี๋ยที่เดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมืองมองเห็นอย่างชัดเจนใต้แสงไฟอันหรุบหรู่ เมื่อหวนนึกถึงการเดินทางเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายช่วงหนึ่งเดือนกว่านี้ ทุกสิ่งก็เพื่อการมาถึงของช่วงเวลานี้ ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที หลินหว่านหรงจับอานม้าแน่น สงบอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตนไว้ 


 


 


กำแพงเมืองเค่อจือเอ่อร์ก่อด้วยก้อนหินซึ่งยังไม่ผ่านการขัดขนาดยักษ์ มุมและคมโผล่โดดออกมา ตะปุ่มตะป่ำไม่ราบเรียบ เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนเม่น คนที่มีมือเท้าปราดเปรียวสักหน่อยแทบจะปีนป่ายขึ้นไปตามมุมที่อยู่ระหว่างซอกหินทีละก้าวทีละก้าวได้  


 


 


การสร้างเมืองไม่ใช่ความถนัดของชาวทูเจวี๋ยจริงๆ เมื่อยืนอยู่ใต้กำแพงเมืองอันหยาบกระด้างเช่นนี้ หลินหว่านหรงก็ต้องรู้สึกทอดถอนใจ 


 


 


“หยุด พวกเจ้าเป็นดินแดนใด!” หน้าประตูเมือง ทหารยามทูเจวี๋ยสองนายขวางขบวนหูปู้กุยพร้อมตวาดถามเสียงดัง 


 


 


“พวกเรา!” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ออกแรงโบกสะบัดธงถู่ฉือที่อยู่ในมือ กล่าวด้วยท่าทีน่าเกรงขามออกมาว่า “ดินแดนเยวี่ยซื่อ! พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือไร!” 


 


 


หากเป็นก่อนการแข่งขันชิงแพะผีสางถึงจะรู้ว่าเยวี่ยซื่อคืออะไร แต่ยามนี้สถานการณ์แปรผันโดยสิ้นเชิง ข่าวเรื่องดินแดนเยวี่ยซื่อซึ่งมีขนาดเล็กที่สุดบนทุ่งหญ้าเอาชนะการแข่งขันชิงแพะนั้นแพร่สะพัดทั้งในและนอกเค่อจือเอ่อร์ตั้งนานแล้ว พวกมันไม่เพียงเอาชนะอ๋องขวา แม้แต่ข่านใหญ่ดาบทองผู้งดงามและฉลาดปราดเปรื่องมากที่สุดก็ยังถูกพวกมันชิงตัวไปได้ มีหน้ามีตา ไร้ผู้ต่อกร ส่วนข่าวเรื่องท่านข่านใหญ่ทรงเป็นฝ่ายเชิญชวนให้ผู้กล้าใบ้ของเผ่านี้เข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังก็ยิ่งแพร่สะพัดไปอย่างเอิกเกริก ต่างรู้กันทั่วไป  


 


 


เมื่อเห็นธงถู่ฉือที่อยู่ในมือหูปู้กุย นั่นคือสัญลักษณ์ของผู้แข็งแกร่ง สีหน้าของทหารยามแปรเปลี่ยนในบัดดล ใช้มือเดียวแตะอกพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “ขอแสดงความนับถือต่อผู้กล้าที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุดบนทุ่งหญ้า เชิญทุกท่านเข้าเมือง!” 


 


 


รสชาติในการถูกชาวทูเจวี๋ยเคารพเทิดทูนมันช่างไม่ธรรมดาเสียจริง หูปู้กุยได้ยินแล้วก็เบิกบานใจ โบกมือพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ผู้กล้าทั้งหลาย ตามข้าไป!” 


 


 


“ฮู้ว…” บรรดาผู้กล้าที่อยู่ข้างหลังเขาเปล่งเสียงคำรามหมาป่าดังสะเทือนถึงชั้นฟ้า เดินเลียบประตูเมืองซึ่งค่อยๆ เปิดอย่างแช่มช้า ควบม้าเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง ดาบโค้งในมือกรีดเป็นแสงสีเงินเปล่งประกายพร้อมกัน ราวกับสายฟ้าแลบที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เย็นเยียบไร้ผู้ใดเปรียบ ทหารยามทูเจวี๋ยเห็นแล้วก็ใจสั่นสะท้านไม่หยุด ไม่เสียทีที่เป็นผู้กล้าที่ร้ายกาจมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ท่วงท่านั้นเมื่อเทียบกับดินแดนของอ๋องขวาก็ยังเหนือล้ำกว่าหรือแม้แต่ไม่อาจเทียบได้ 


 


 


เมื่อเข้าประตูเมืองก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีปะทะเข้ามา ครั้นเงยหน้ามอง บนถนนอันกว้างใหญ่เบื้องหน้านั้นแน่นขนัด ไปหมด ทุกแห่งมีแต่คบเพลิงที่ชูขึ้นสูง ทุกแห่งมีแต่ฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียด เหล่าผู้กล้าที่เข้าเมืองก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ถอดหน้ากากก็ถูกห้อมล้อม ชาวทูเจวี๋ยถือสุรานมม้า จุดกองไฟบนถนน ร้องรำทำเพลงอยู่รอบตัวพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวทูเจวี๋ยที่รู้จักหรือไม่รู้จักกันต่างเข้าร่วมทั้งหมด เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขและเสียงร้องรำทำเพลงดังอยู่ทุกแห่งหน 


 


 


ทหารทูเจวี๋ยที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองก็หมุนกายมาด้วยความคึกคักสนุกสนานเช่นกัน ร้องเพลงตามฝูงชน ท่าทางอันแสนจะผ่อนคลายนั้นไหนเลยจะเหมือนทหารที่ปักหลักเฝ้าเมืองหลวง ว่าไปแล้วชนเผ่านอกด่านเดิมทีก็ไม่ใช่พวกมีระเบียบวินัยอยู่แล้ว ความดุร้ายป่าเถื่อน กำลังรบอันกล้าแกร่งถึงจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวของพวกมันต่างหาก 


 


 


สองข้างถนนผู้คนต่างเบียดล้อมเข้ามา แย่งกันมุงดู ร้องรำทำเพลง คึกคักราวกับฉลองปีใหม่ 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ความตกใจย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง หลินหว่านหรงส่งสายตาให้หูปู้กุย จากนั้นก็ทำปากบุ้ยใบ้ไปทางกำแพงเมืองด้านหลัง เหล่าหูโบกมืออย่างรู้ใจ พี่น้องราวสามสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขาพาเกาฉิวแบ่งกระจายเป็นกลุ่มย่อยกลืนหายไปท่ามกลางฝูงชน เหลือเพียงสิบกว่าคนที่เดินตามต่อไป 


 


 


โครงสร้างของพระราชวังชนเผ่านอกด่านยังเรียบง่ายตรงไปตรงมามากกว่าที่คิดไว้เสียอีก หินใต้เท้าก่อเรียงกันเป็นถนนยาว เดินเรียงแถวด้วยม้าขนาดใหญ่ได้หกตัว นี่เป็นถนนที่ดูเป็นผู้เป็นคนมากที่สุดเพียงแห่งเดียวในเค่อจือเอ่อร์ 


 


 


สองข้างทางเลียนแบบต้าหัว เต็มไปด้วยร้านรวง เพียงแต่มาตรฐานสิ่งปลูกสร้างของชาวทูเจวี๋ยนั้นแย่ยิ่งนัก พวกมันปราศจากแนวคิดก่ออิฐสร้างกำแพงมุงกระเบื้องแม้แต่น้อย หลายห้องใช้แผ่นไม้ผุพังต่อกัน เอียงกระเท่เร่ ต่อให้เป็นพื้นที่หน้าร้าน พ่อค้าส่วนใหญ่กลับตั้งกระโจมอยู่สองข้างทางโดยตรง ทั้งอาศัยเป็นบ้านและใช้ทำการค้าได้ด้วย สะดวกยิ่งนัก ทั้งเค่อจือเอ่อร์ไม่เห็นกำแพงอิฐ ทั่วทั้งเมืองมีแต่บ้านไม้ที่สร้างขึ้นมาหยาบๆ และกระโจมสีขาวเท่านั้น คนและม้าอยู่ปะปนกัน สับสนอลหม่าน เทียบไม่ได้แม้แต่ตลาดในเขตบ้านนอกของต้าหัวแห่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ 


 


 


หูปู้กุยเดินอยู่ข้างกายหลินหว่านหรง ทำปากบุ้ยใบ้ กล่าวอย่างดูแคลนออกมาว่า “สภาพผุพังเช่นนี้ก็กล้าเรียกว่าเมืองหลวงด้วย ยังสู้อำเภอบ้านนอกที่จี้หนิงของเราก็ยังไม่ได้! ชนเผ่านอกด่านออกจะขี้โม้มากเกินไปแล้วล่ะมั้ง!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เทียบแบบนี้ไม่ได้! แรกสุดนั้นชาวทูเจวี๋ยเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน ต่อมาจึงพัฒนาเป็นอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม จนช่วงหลายปีนี้ถึงเริ่มสร้างที่พักถาวรเลียนแบบต้าหัว ระหว่างนี้ผ่านความเพียรพยายามอย่างยากลำบากมาหลายยุคหลายสมัย แต่หากต้องการให้พวกมันมีมาตรฐานของสิ่งปลูกสร้างและการตั้งรกรากเช่นต้าหัวนั้นภายในชั่วข้ามคืนก็ออกจะร้องขอสูงเกินไปสักหน่อย สภาพในตอนนี้ก็ไม่ธรรมดามากแล้ว!” 


 


 


“ดินแดนเยวี่ยซื่อ!” เสียงร้องด้วยความตกใจลอยมาจากถนน ไม่รู้ว่าเป็นชาวทูเจวี๋ยคนใดที่จดจำธงใหญ่ที่หูปู้กุยวางพาดบ่าอยู่ในมือได้  


 


 


เสียงร้องตะโกนนี้ไม่ธรรมดา ถนนใหญ่พลันเดือดพล่าน ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกรูกันเข้ามา ล้อมหลินหว่านหรงและทหารม้าสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังไว้กึ่งกลาง แย่งชมความสง่างามของพวกเขา รอบด้านมีแต่เสียงตะโกนเรียกด้วยภาษาชนเผ่านอกด่านดังอื้ออึง เหล่าสาวน้อยพยายามโบกกำปั้นน้อยอย่างสุดแรง ดวงหน้าแดงก่ำ เสียงกระจ่างใสที่ผสมปนเปอยู่ในนั้นฟังแล้วก็ช่างรื่นหูยิ่งนัก 


 


 


“พี่หู พวกนางตะโกนว่าอะไร!” หลินหว่านหรงแอบถามกดเสียงต่ำ  


 


 


“พวกนางพูดว่าเจ้าใบ้ ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า!” เหล่าหูหัวเราะฮิฮะพลางแปลกลับมา 


 


 


แม่ทัพหลินได้ยินแล้วก็ขนลุก รีบหดคอลงไป ยังไม่ได้เห็นหน้าข้าก็อยากจะแต่งกับข้าแล้ว ผู้หญิงทูเจวี๋ยยังห้าวหาญกว่าผู้ชายเสียอีกนะ   

 

 


ตอนที่ 604 - 2 ผู้กล้าใบ้

 

ขณะที่เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง บนพื้นก็จุดกองไฟไปหลายกองแล้ว สาวน้อยทูเจวี๋ยที่บังเกิดความคึกคักสนุกสนานหลายสิบคนสวมชุดเทศกาลที่มีสีสันสดใสมากที่สุดต่างจับมือกันแล้วโอบล้อมรอบพวกเขา เป่าขลุ่ยของชนเผ่านอกด่านอันแสนจะไพเราะ กระโดดโลดเต้นร่ายรำอย่างมีความสุข แสงเพลิงส่องใบหน้าสาวสะพรั่งและเรือนร่างอันแสนยอดเยี่ยมของพวกนาง ทำให้คนอดจมดิ่งลงไปในความร้อนแรงประดุจเปลวเพลิงของพวกนางไม่ได้


 


 


เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้อง ที่แท้สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามนางหนึ่งเดินหลุดออกมาด้วยความกล้าหาญ ใบหน้าผุดดอกท้อสีแดงสดใส บิดเอวที่คดกิ่วประดุจกิ่งหลิว ขับขานเบาๆ พร้อมร่ายรำ ค่อยๆ เข้ามาใกล้ด้านหน้าอาชาของหลินหว่านหรง


 


 


นี่ก็คือ ‘เจ้าใบ้’ ผู้มีชื่อเสียงที่ร่ำลือกัน เป็นผู้แข็งแกร่งที่ชิงท่านข่านใหญ่ผู้งดงามและฉลาดปราดเปรื่องไปได้!


 


 


ชาวทูเจวี๋ยจำนวนไม่น้อยที่รู้ที่มาของนักขี่ที่อยู่บนหลังม้า ดังนั้นจึงปรบมือเสียงกึกก้องดังระลอกคลื่น โห่ร้องยินดีดั่งเสียงอสุนีบาตออกมาทันที ฝูงชนเบียดเสียดมาหาพวกเขา สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นอยู่หน้าสุด ใบหน้าแดงสดใส แกว่งไกวบิดเร่าเรือนร่างอันน่าลุ่มหลง มองทหารม้าใบ้ด้วยความเอียงอาย ทันใดนั้นนางก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างเร็วรี่พร้อมนำใบหน้าแดงสดใสแนบกับใบหน้าม้าของเขา


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบต่างตะลึงงันก่อน ต่อมาก็ระเบิดเสียงปรบมือดั่งอสุนีบาต เสียงกรีดร้องดังไปทั่วสารทิศ แม้แต่ทหารยามที่อยู่บนกำแพงเมืองก็ยังอดส่งเสียงผิวปาก หัวเราะอย่างแปลกประหลาดไม่ได้เช่นกัน ใบหน้าสาวน้อยแดงก่ำดั่งอิงเถาภายในชั่วพริบตา เหลือบมองทหารม้าใบ้ด้วยความเขินอายและมุ่งหวังคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้ววิ่งจากไป


 


 


“หญิงงามมีใจ ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับท่านด้วยนะขอรับ!” เหล่าหูกล่าวพลางหัวเราะร่วน


 


 


หลินหว่านหรงเบ้ปากด้วยความไม่เข้าใจ “หญิงงามมีใจอะไรกัน ชอบกันตอนไหน!”


 


 


หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “สาวงามชนเผ่านอกด่านเป็นฝ่ายโผเข้าสู่อ้อมอกเอง นี่ยังไม่ใช่ชอบอีกหรือ ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้ที่ข่านใหญ่เลือก สตรีธรรมดาทั่วไปไม่กล้าแต่งกับท่าน แต่ตามธรรมเนียมชาวทูเจวี๋ย หากสตรีนางหนึ่งเป็นฝ่ายแนบศีรษะกับใบหน้าม้าศึกของผู้กล้า นั่นหมายความว่านางยินดีมีบุพเพราตรีเดียว ร่วมผ่านค่ำคืนอันดีงามกับผู้กล้าคนนี้ ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขวาง แม้แต่ข่านก็ไม่ได้ แม้ท่านจะเป็นบุรุษของเจ้าผู้ปกครอง พวกนางก็จะแย่งท่านเช่นนี้ ร่วมอภิรมย์กับท่านเช่นนี้ แน่นอนว่าแค่ครั้งเดียวเท่านั้นขอรับ!”


 


 


นี่ก็คือต้นแบบของวันไนท์สแตนด์ ช่างห้าวหาญชาญชัยเสียเหลือเกิน! แม่ทัพหลินได้ยินแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง รีบพูดขึ้นมาว่า “พี่หู พวกเราเดินเร็วสักหน่อยเถอะ มีบทเรียนก่อนหน้านี้ เชื้อเพลิงของข้าไม่อาจรั่วไหล!”


 


 


เมื่อมีสาวน้อยคนก่อนเป็นผู้นำ เหล่าสาวงามหลังจากนั้นจึงทำเลียนแบบบ้าง ต่างคนต่างกรูหาเจ้าใบ้ แม่ทัพหลินรีบดึงบังเ**ยน ขยับเบียดไปข้างหน้าท่างกลางฝูงชน เหล่าหูสนุกสนานจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง


 


 


ถนนใหญ่อึกทึกคึกคัก กลิ่นสุราและเสียงแห่งความยินดีมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง บรรดาชนเผ่านอกด่านดื่มจนใบหน้าใบหูแดง แม้แต่ฝีเท้าในการเริงระบำก็เริ่มสับสน เมื่อทอดสายตามองไปข้างหน้าไกลๆ พระราชวังอันแสนจะหรูหราสง่างามหลังหนึ่งปรากฏมุมหนึ่งให้เห็นอยู่รำไร ชายคาเรียงราย กระเบื้องทองและแก้ว ห่างประตูเมืองไม่ถึงสองลี้ เจิดจ้าเปล่งประกายเมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างที่อยู่โดยรอบ


 


 


ตรงนั้นก็เป็นพระราชวังของชาวทูเจวี๋ยแล้ว หลินหว่านหรงกับเหล่าหูสบตากัน กำมือทั้งสองข้างแน่นด้วยความตื่นเต้น


 


 


“หลีกไป หลีกไป!” ทันใดนั้นก็มีเสียงกระด้างห้าวหลายเสียงดังแว่วออกมาจากฝูงชนซึ่งกำลังโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นข้างหน้าเยวี่ยซื่อ ผู้คนถูกทหารทูเจวี๋ยที่สวมชุดเกราะกลุ่มหนึ่งใช้กำลังแหวกเป็นเส้นทางอันคับแคบสายหนึ่ง คุ้มกันสาวน้อยทูเจวี๋ซึ่ยงสวมอาภรณ์สีสันสดใส หน้าตางดงามน่ารักสองนางซึ่งกำลังเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่อดูจากทิศทางกลับกำลังมุ่งมาทางนี้


 


 


เรื่องอะไรกัน? หลินหว่านหรงตกใจ รีบส่งสายตาให้หูปู้กุย ทุกคนต่างกุมดาบโค้งที่อยู่ตรงเอวแน่น


 


 


ทหารทูเจวี๋ยออกแรงแวหกฝูงชนอย่างสุดกำลัง สาวน้อยสองนางนั้นเดินมาถึงข้างหมู่คน จากนั้นก็เยด้วยเสียงเจื้อยแจ้วออกมาว่า “พวกเจ้าคือดินแดนเยวี่ยซื่อใช่หรือไม่!”


 


 


“ใช่แล้ว” หูปู้กุยตอบอย่างภาคภูมิ


 


 


ใบหน้าสาวน้อยผุดรอยยิ้มหวาน เอ่ยด้วยความเคารพนบนอบ “ถ้าอย่างนั้นท่านใดคือผู้กล้าใบ้ผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทุ่งหญ้า!”


 


 


ผู้กล้าใบ้ สมญานามนี้กลับโด่งดังนัก เหล่าหูฝืนกลั้นหัวเราะ รีบผลักแม่ทัพหลินที่ตาโตอ้าปากค้างอยู่ข้างกายออกมา “ท่านนี้! ท่านนี้คือผู้กล้าใบ้ผู้มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วทุ่งหญ้า!”


 


 


“อ๊า…อ๊า…” เจ้าใบ้ชี้มือชี้ไม้ทำท่าทาง แสดงสถานะของตน


 


 


สาวน้อยผงกศีรษะ ยอบกายเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “ผู้กล้าผู้สูงส่ง ท่านรับปากท่านข่านใหญ่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง ตอนนี้งานเลี้ยงเริ่มแล้ว เหตุใดท่านถึงยังไปไม่ถึงงานอีกเล่า!”


 


 


พวกนางพูดอะไร เจ้าใบ้ฟังไม่ออกสักคำเดียว รู้สึกร้อนใจมาก เหงื่อเย็นไหลพรั่งพรู สาวน้อยสองคนนั้นเหมือนรู้ว่าเขาฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงใช้ภาษามือถามอีกรอบหนึ่ง เมื่อดูจากท่าทางอันเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น คล้ายมีคนอบรมมาโดยเฉพาะ เหล่าหูหลบอยู่ด้านข้างพลางแอบส่งสายตาบอกใบ้มาให้


 


 


งานเลี้ยงเริ่มแล้ว! หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง เขาเงยหน้ามอง จริงดังคาด ดินแดนชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหน้าพวกนั้นกำลังเดินเข้าไปในวัง เหลือแค่ปลายแถวอยู่ข้างนอก ส่วนชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่โดยรอบกลับล้อมเยวี่ยซื่ออยู่กึ่งกลาง ไม่อาจเดินหน้าไปได้


 


 


“พวกเราคือบ่าวผู้ติดตามของท่านข่านใหญ่ ท่านข่านดาบทองผู้สูงส่งส่งพวกเรามารับท่าน” เมื่อเห็นคนใบ้เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความร้อนใจ ทำอะไรไม่ถูก สาวน้อยทูเจวี๋ยสองคนจึงรีบปลอบโยนด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านข่านตรัสว่าท่านคือผู้กล้า จะต้องมีคนจำนวนมากสนใจท่าน ทั้งยังคิดฉวยโอกาสนี้ครอบครองร่างกายท่านอีกด้วย เพียงแต่ท่านเป็นผู้กล้า ไม่อาจถูกล่อลวงเด็ดขาด หากผู้ใดกล้ารังแกท่าน ท่านจงแจ้งท่านข่าน ท่านข่านใหญ่ต้องทรงไม่ละเว้นพวกมันแน่นอน!”


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งคนมารับข้า แถมยังเตือนข้าว่าต้องทนการล่อลวงให้ได้อีก นี่มันเรื่องอะไรกันนี่! เขาส่ายหน้าอย่างหมดแรง หัวเราะร้องไห้ไม่ออก


 


 


สาวน้อยชี้ไปยังฝูงชนที่โอบล้อมอยู่ จากนั้นก็พูดเสียงดัง “บอกมา พวกมันรังแกท่านใช่หรือไม่! ไม่ต้องกลัว ท่านข่านใหญ่จะทรงตัดสินให้ท่านเอง!”


 


 


เจ้าใบ้รีบโบกมือร้องอ๊าๆ ใจรู้สึกหมดแรง ข่านใหญ่จะเป็นผู้ตัดสินให้ข้า นี่มันโลกไหนกัน ผู้หญิงยังแข็งแกร่งกว่าผู้ชายเสียอีก! เมื่อเห็นว่าผู้กล้าใบ้คล้ายไม่ได้ถูกรังแก สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองถึงผงกศีรษะด้วยความพอใจ หนึ่งในนั้นปรบมือเบาๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงกระดิ่งลมดังกรุ๊งกริ๊งไพเราะเสนาะหูแว่วเข้ามา


 


 


ณ สถานที่อันห่างไกล ทันใดนั้นก็มีเสลี่ยงซึ่งห้อยผ้าม่านโปร่งสีชมพูสูงเคลื่อนที่เข้ามา เสลี่ยงนั้นใช้ผู้กล้าทูเจวี๋ยแปดคนหาม ล้อมด้วยผ้าโปร่งสีชมพู กำลังแกว่งไกวขึ้นลงกลางสายลมราวกับเมฆาที่ลอยล่องและบางเบา


 


 


เมื่อมองลอดผ่านผ้าโปร่งอันบางเบาและดูอบอุ่นนั้นจะเห็นเบาะรองนั่งสีแดงดันอ่อนนุ่มและผ้าห่มแพรสีเหลืองทองได้รางๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมสะอาดจางๆ ซึ่งเหมือนมีเหมือนไม่มีอีกด้วย ทุกแห่งที่เสลี่ยงนั้นผ่านไปถึงก็จะแหวกออกเป็นช่องทางขนาดเล็กสายหนึ่งโดยอัตโนมัติ ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างก้มหน้าให้ความเคารพ มือแตะอกแสดงการคารวะ เคารพนบนอบอย่างล้นเหลือ


 


 


นี่คืออะไร! เมื่อเห็นเสลี่ยงสูงอันงดงามที่ชาวทูเจวี๋ยแปดคนนั้นเดินหามตรงเข้ามาทางนี้ หลินหว่านหรงก็อดประหลาดใจไม่ได้


 


 


เมื่อวางเสลี่ยงนั้นลงเรียบร้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองต่างค้อมกายพร้อมกัน จากนั้นจึงพูดออกมาเบาๆ ว่า “ด้วยพระบัญชาของท่านข่านใหญ่ ขอเชิญผู้กล้าใบ้ขึ้นเสลี่ยง!”


 


 


ขึ้นเสลี่ยง! คราวนี้ไม่ต้องให้เหล่าหูลอบส่งสายตา แค่มองการคเลื่อนไหวของสาวน้อยก็เข้าใจแล้วว่าพวกนางกำลังพูดอะไรอยู่ เสลี่ยงนี้กลับเอามารับข้า? เป็นไปไม่ได้น่า ม่านสีชมพูขนาดนี้ให้ผู้ชายนั่งที่ไหนกัน หากแพร่ออกไปยังจะไม่เป็นเรื่องน่าขำตายแล้วหรือ


 


 


“เชิญผู้กล้าขึ้นเสลี่ยง!” ไม่รอให้เขาลังเล สาวน้อยทั้งสองเร่งรัดพร้อมกันอีกครา หนึ่งในนั้นยังแหวกผ้าม่านสีชมพูอันเบาบางขึ้น พร้อมค้อมเอว รอคอยให้เขาขึ้นนั่งด้วยความเคารพ บุรุษและสตรีที่อยู่โดยรอบใช้สายตาอิจฉาอย่างล้นเหลือบมองเขา


 


 


เกาทัณฑ์พาดอยู่บนสาย ไม่อาจไม่ยิง เจ้าใบ้กัดฟันกรอด ส่งสายตาให้เหล่าหู จากนั้นก็เดินขึ้นเสลี่ยงอย่างแช่มช้า


 


 


เพิ่งก้าวเข้าไปสาวน้อยผู้นั้นก็ปล่อยม่านสีชมพูลงมา ชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยแปดคนออกแรงพร้อมกัน ยกเขาพร้อมกับเสลี่ยง ค่อยๆ เดินเยื้องย่างไปยังพระราชวังทูเจวี๋ย หูปู้กุยรีบนำทุคนตามไป


 


 


เมื่อนั่งลงบนเบาะนั่งอันอ่อนนุ่มนั้น กลิ่นหอมจางๆ ก็ปะทะจมูกเข้ามา ผ้าห่มซึ่งทำจากผ้าไหมเรียบลื่นและอ่อนนุ่มเหมือนผิวของอวี้เจีย


 


 


แหงนหน้ามองกระโจมผ้าม่านสีชมพูที่พลิ้วไสวเบาๆ เขาเหลียวซ้ายแลขวา คิดแล้วคิดอีก จู่ๆ ก็ร้องไอ้โหยวออกมาคราหนึ่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างเร็วรี่ “แย่แล้ว หรือว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะร่วมห้องกับข้า!” 

 

 


ตอนที่ 605 - 1 วังหลังของข่านใหญ่

 

เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทั้งตกใจทั้งจั๊กจี้ ทั้งวูบทั้งวาบ เมื่อมองข้างกายอีกครา กระโจมผ้าม่านสีชมพู ผ้าห่มที่เรียบลื่นดุจแพรไหม ผ้าม่านงามพลิ้วไสว กลิ่นหอมจางๆ กระชากวิญญาณ ทุกแห่งต่างวาบหวาม ราวกับตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เมื่อล้มตัวนอนลงไปแล้วก็ไม่อยากลุกขึ้นมาอีก


 


 


“อ๊า…อ๊า…” ไหนเลยจะอยู่บนเสลี่ยงได้อีก เขารีบเลิกผ้าม่านพร้อมยื่นหน้าออกไป พยายามโบกมือให้หูปู้กุยอย่างเอาเป็นเอาตาย


 


 


ก็แค่นั่งเสลี่ยงเองไม่ใช่เหรอ เหตุใดแม่ทัพหลินถึงขวัญอ่อนขึ้นมาได้? เหล่าหูเห็นแล้วก็งุนงงสงสัย แต่แม่ทัพหลินกันมีปากแต่พูดไม่ได้อีก เมื่อเห็นความร้อนใจที่มีอยู่เต็มใบหน้าของเขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี


 


 


เสลี่ยงโยกคลอนแช่มช้า เข้าใกล้พระราชวังทูเจวี๋ยโดยไม่รู้ตัว ประตูใหญ่สีชาดนั้นอยู่แค่ตรงหน้า ทหารรักษาการณ์สองนายเฝ้าด้วยความระมัดระวังอยู่สองข้าง ตรวจสอบทุกดินแดนที่เข้าวังหลวง


 


 


ขนาดของพระราชวังทูเจวี๋ยยังใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับวังหลวงของต้าหัว พื้นที่ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ ความประณีตและความยิ่งใหญ่สลับซับซ้อนของสิ่งปลูกสร้างก็ยิ่งราวกับเมฆาและดินโคลน


 


 


มาตรฐานสิ่งปลูกสร้างชาวทูเจวี๋ยหยุดอยู่แค่ระดับเอาอิฐหินมาก่อกันง่ายๆ เท่านั้น แม้แต่ภายในภายในวังหลวงซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของพวกมันก็ยังปราศจากข้อยกเว้น กำแพงวังต่างก่อด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ งานหยาบกระด้างไม่น่าดูชม มีทางสายหนึ่งซึ่งปูด้วยเศษหินเชื่อมตรงไปยังประตูหลักหน้ากำแพงเมือง


 


 


ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยชนเผ่านอกด่านกับพิณม้าจากด้านในเบาๆ มีเสียงหัวเราะเริงร่าของชาวทูเจวี๋ยลอยออกมาเป็นระยะ ทั้งยังระคนด้วยกลิ่นหอมของสุรานมม้าอันเข้มข้นอีกด้วย เหมือนว่าตำแหน่งของพระตำหนักใหญ่ซึ่งจัดงานเลี้ยงอยู่ไม่ไกลจากประตู


 


 


และนี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์โดยอ้อมถึงความเล็กคับแคบ การก่อสร้างอย่างง่ายๆ และหยาบกระด้างของพระราชวังทูเจวี๋ย เมื่อเทียบกับสามพระตำหนักหกหมู่เรือนและตำหนักข้างจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าหัว พระราชวังทูเจวี๋ยเล็กกระจ้อยร่อยจนแทบจะเมินไปได้เลย แม้แต่ที่ว่าการในเจียงหนานก็ยังดีกว่ามาก


 


 


ทหารรักษาการณ์ประจำประตูวังเมื่อเห็นเสลี่ยงนั้นเข้ามาใกล้ก็รีบรั้งสีหน้าอันดุร้ายกลับทันที ใช้มือแตะอดก้มศีรษะด้วยความเคารพนบนอบ สาวน้อยทูเจวี๋ยไม่มองพวกมันแม้แต่แวบเดียว เดินตัดผ่านประตูวังเข้าไป เหล่าหูซึ่งตามอยู่ข้างหลังพวกนางก็ได้อาศัยบารมีไปด้วย ทหารรักษาการณ์รั้งม้าของพวกเขาไว้ เพียงตรวจตราดาบทื่อที่ห้อยอยู่บนร่างเขาเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็โบกมือแล้วปล่อยพวกเขาเข้าไป


 


 


เพิ่งเข้าประตูมาก็ได้ยินอึกทึกและเสียงหัวเราะเบิกบานลอยเข้ามาจากที่ไกลๆ เป็นระยะ ห่างจากประตูหลักไปไม่ถึงสองสามร้อยจั้งคือพระตำหนักขนาดมหึมาซึ่งสว่างเจิดจ้าหลังหนึ่ง


 


 


โครงสร้างของพระตำหนักหลังนั้นสร้างจากไม้แท้ทั้งหลัง ทั้งสูงทั้งกว้างใหญ่ ระเบียงทางเดินและชายคาทอดยาว   ยิ่งใหญ่อลังการยิ่งนัก บนคานประตูของพระตำหนักใหญ่ต่างใช้ไม้แท้แกะฉลุลวดลาย ติดทับด้วยกระดาษหนังวัวที่โปร่งแสง มีแสงสีเหลืองทอดลอดออกมาให้เห็นรำไร


 


 


การปลูกสร้างพระราชวังแห่งนี้วิจิตรงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการ บังเกิดข้อเปรียบเทียบกับบ้านหินที่สร้างขึ้นมาอย่างหยาบๆ รอบด้านอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าต้องมีช่างฝีมือผู้มีความสามารถชาวต้าหัวช่วยชาวทูเจวี๋ยออกแบบแน่นอน


 


 


สองข้างของประตูหลักพระตำหนักใหญ่ต่างแขวนประดับหัวหมาป่าสีทองขนาดยักษ์ซึ่งกำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน ท่าทางดุร้าย เสียงหัวเราะสนุกสนานกับกลิ่นของสุราอาหารเข้มข้นลอยออกมาจากพระตำหนัก เสียงอึกทึกคึกคักดังไม่ขาดสาย


 


 


เมื่อเห็นทหารม้าใบ้เลิกผ้าม่านมองในพระตำหนักไม่หยุด ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ สาวน้อยทูเจวี๋ยนางหนึ่งจึงหัวเราะพร้อมทำท่าทางภาษามือ “ที่นั่นก็คือสถานที่ที่ท่านข่านใหญ่ทรงออกว่าราชการสะสางราชกิจต่างๆ งานเลี้ยงในคืนนี้ก็จัดขึ้นที่นั่น ท่านดูสิ งานเลี้ยงเริ่มกันแล้ว ผู้กล้า ท่านมาสายเกินไปแล้วนะ!”


 


 


ออกว่าราชการกับพระราชทานงานเลี้ยงต่างใช้สถานที่เดียวกัน นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับต้าหัว ชาวทูเจวี๋ยยังไม่ได้เรียนรู้บรรดาพิธีการอันสลับซับซ้อนต่างๆ ของต้าหัว และพวกมันก็ไม่สนใจด้วย


 


 


ชนเผ่านอกด่านหลายคนกรูเข้ามา พาพวกของหูปู้กุยเดินไปทางพระตำหนักใหญ่ที่กำลังจัดงานเลี้ยงด้วยท่าทางเคารพนบนอบ


 


 


ขณะที่หลินหว่านหรงกำลังรู้สึกทอดถอนใจอยู่นั้น เสลี่ยงกลับเลี้ยวผิดเปลี่ยนทิศ ไม่ติดตามพวกหูปู้กุย แต่กลับเลียบทางเดินด้านข้างไป หลบหลีพระตำหนัก ไปด้านหลังอย่างรีบร้อน


 


 


“อ๊า…อ๊า…” เจ้าใบ้ตกใจจนหน้าถอดสี รีบโบกมือขอความช่วยเหลือ หูปู้กุยรับรู้ทันที พุ่งปราดมาขวางหน้าสาวน้อย “นี่จะทำอะไร พวกเจ้าจะพาผู้กล้าของพวกเราไปที่ใด?!”


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยหัวเราะแล้วตอบว่า “ผู้กล้าใบ้คือผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า และยิ่งเป็นแขกผู้สูงส่งมากที่สุดของท่านข่านใหญ่ เขาย่อมได้รับการปรนนิบัติที่ดีที่สุด พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีใครรังแกเขาหรอก!”


 


 


ดูจากท่าทางก็รู้ว่าแย่แล้ว เจ้าใบ้ชี้มือชี้ไม้ ร้องอ๊าๆ เสียงดัง แทบจะกระโดดลงมาจากเสลี่ยง


 


 


สาวน้อยหันหน้ากลับมา ใช้มือส่งภาษาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ผู้กล้า ท่านไม่ต้องกลัว ท่านข่านใหญ่คือผู้ปกครองแห่งยุค ตรัสแล้วไม่คืนคำ พระองค์ต้องดีต่อท่านแน่นอน! ขอเพียงท่านยอมพระองค์ก็จะมียศถาบรรดาศักดิ์รอคอยท่านไม่รู้จักจบสิ้น!”


 


 


หา?! เหล่าหูตาค้างไปแล้ว ให้แม่ทัพหลินยอมอวี้เจีย นี่มันหมายความว่าอะไร?!


 


 


เจ้าใบ้ฟังแล้วก๊อกสั่นขวัญหาย ขนลุกชันทั้งร่าง จบแล้วจบแล้ว ดูจากท่าทาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องร่วมอภิรมย์กับข้าแน่นอน! เสียตัวน่ะเรื่องเล็ก แต่เสียชื่อเสียงน่ะเรื่องใหญ่! หรือว่าต้องเสียสละชื่อเสียงของข้าเพื่อบ้านเมืองกับราษฎร?! สวรรค์ ทำไมเราถึงต้องเจอเรื่องโหดร้ายไร้มนุษยธรรมแบบนี้ด้วย!


 


 


ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้นสายตาก็เหลือบมองเล็กน้อย เห็นว่าบนท้องฟ้าอันห่างไกลนอกเมืองมีพลุอันเจิดจ้าคลี่บานดอกหนึ่ง แม้จะเงียบงัน ถึงกระนั้นกลับงดงามเจิดจ้าเด่นสะดุดตายิ่งนัก! เหล่าหูสีหน้าตื่นตะลึง รีบส่งสายตาให้แม่ทัพหลิน ผู้สำเร็จการใหญ่ ไม่ยึดติดกับเรื่องปลีกย่อย เชื่อว่าด้วยความสามารถของท่านแม่ทัพจะต้องสยบอวี้เจียได้แน่! ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เพื่อต้าหัว คงต้องขอให้ท่านเสียสละบ้างแล้วล่ะ!!


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หูปู้กุยหัวเราะฮ่าฮ่า ใช้มือเดียวแตะอก กล่าวด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “ข่านใหญ่บังเกิดความชื่นชอบถือเป็นเรื่องมหามงคลของเยวี่ยซื่อเรา อ้อ เขายังอายอยู่บ้าง ช่างเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์เสียจริง! ขอทั้งสองจงรีบพาผู้กล้าไปเถอะ เวลาอันดีงามไม่รอใครนะ!”


 


 


เจ้าบ้าร้องอ๊าๆ เสียงดัง ดิ้นรนขัดขืน สาวน้อยทูเจวี๋ยหัวเราะคิกคักพลางโบกมือ ผ้าม่านสีชมพูถูกปล่อยลง เสลี่ยงไปยังราชวังอย่างเร็วรี่ดั่งโผบิน พวกหูปู้กุยต่างสบตากัน เชิดหน้าแอ่นอก สาวเท้ายาวๆ เดินไปยังพระตำหนักกลางของชาวทูเจวี๋ยหลังนั้น


 


 


เจ้าเหล่าหูคนนี้ขายข้าแบบนี้เลยหรือ? ช่างไร้คุณธรรมมารดามันเสียจริง!! แม่ทัพหลินปล่อยผ้าม่านลงอย่างเดือดดาล เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตีอกชกหัวด้วยความเคียดแค้นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด เบื้องหน้าพลันผุดดวงหน้าอันงดงาม ผิวพรรณเรียบลื่นของอวี้เจีย ทุกรอยยิ้มทุกการขมวดคิ้วต่างเต็มไปด้วยความน่าสงสัย


 


 


“หยุด!” ขณะที่ใจกำลังคันยุบยิบราวกับมีแมวข่วน ทันใดนั้นก็ได้ยินบุรุษผู้หนึ่งใช้ตวาดเสียงดังด้วยภาษาชนเผ่านอกด่าน เสลี่ยงหยุดทันที


 


 


เมื่อเห็นผู้ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าผู้นั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองต่างสบตากัน ยอบกายแสดงการคารวะพร้อมเอ่ยว่า “คารวะใต้เท้าอ๋องขวา!”


 


 


เจ้าใบ้รีบเลิกผ้าม่านแล้วแอบมองข้างนอก จริงดังคาด ผู้ที่ขวางอยู่ข้างหน้าก็คืออ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วซึ่งถูกเหล่าหูฟังขาหักไปข้างหนึ่งนั่นเอง!


 


 


มันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้หยาบๆ ตัวหนึ่ง ถูกชนเผ่านอกด่านสองคนแบกมา หน้ากากเอาออกไปแล้ว แม้จะดามด้วยท่อนไม้แล้วก็ตาม แต่น่องที่ห้อยลงมาของมันก็ยังคงอ่อนปวกเปียก คล้ายแกว่งไกวไปตามลมได้ เหล่าหูลงมือโหดเ**้ยมเพียงใด พอฟันดาบนี้ลงไป กระดูกขาของถูสั่วจั่วก็แหลกละเอียด ไม่อาจยืนได้ตลอดกาล


 


 


อ๋องขวาเปลี่ยนชุดแล้ว บริเวณเป้าคล้ายยังไม่ได้พันแผลให้เรียบร้อยดี มีโลหิตซึมออกมาเล็กน้อย ทุกถ้อยคำที่พูดออกมาต่างกระทบกระเทือนอาการบาดเจ็บที่บาดแผลมัน ถูกหลินหว่านหรงใช้มือทิ่มอย่างรุนแรง เบ้าตาทั้งสองของมันบวมช้ำแดงไปหมด ลูกตาปูดโปนออกมาข้างนอก ตาทั้งสองข้างบวมจนเหลือแค่เส้นเล็กๆ เท่านั้น


 


 


ผู้กล้าผู้หล่อเหลาและไร้เทียมทานมากที่สุดบนทุ่งหญ้า อ๋องขวาถูสั่วจั่วผู้ได้รับการชื่นชมจากสาวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนกลับตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ ไม่เพียงเสียโฉมขาหัก เกรงว่าแม้แต่การสืบสกุลก็คงมีปัญหา แม่ทัพหลินอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้ เกิดมาหน้าตาหล่อไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่หน้าตาหล่อแล้วยังจะมาเดินไปเดินมาอยู่หน้าข้า นั่นความผิดอย่างมหันต์ของเจ้า


 


 


“ผู้ที่นั่งอยู่บนเสลี่ยงคือใคร?!” ถูสั่วจั่วคล้ายดื่มสุรามา ใบหน้าแดงก่ำ ใช้มือที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ดีเพียงข้างเดียวชี้กระโจมผ้าม่านสีชมพูนั้นพร้อมเอ่ยถามเสียงดัง


 


 


สาวน้อยทั้งสองตอบพร้อมกัน “เรียนท่านอ๋องขวา ท่านนี้คือผู้กล้าเยวี่ยซื่อที่ท่านข่านใหญ่ดาบทองต้องการพบเจ้าค่ะ!”


 


 


“เยวี่ยซื่อ?!” ดวงตาที่ลืมไม่ขึ้นของอ๋องขวาสาดประกายเคียดแค้นอย่างรุนแรง มันตะเกียกตะกายยืนขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกระเด้งขาเดียวขึ้น ออกแรงกวัดแกว่งดาบโค้งในมือ ตวาดอย่างบ้าคลั่งออกมา “ให้มันลงมา! ถูสั่วจั่วจะฆ่ามัน! ข้าจะฆ่ามันให้จงได้!!”


 


 


เสียงร้องดังสุดแรงเกิดอย่างบ้าคลั่งนั้นช่างบาดหูยิ่งนัก ทหารยามที่อยู่โดยรอบรีบคุ้มกันอยู่รอบเสลี่ยง สาวน้อยผู้หนึ่งรีบกล่าวด้วยโทสะ “ท่านอ๋องขวา ท่านคิดจะทำอะไร? หรือว่าแม้แต่รับสั่งของข่านใหญ่ก็กล้าขัดขืนด้วย?!”


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ใต้เท้าอ๋องขวา อดทนอดกลั้นสักหน่อยเถอะขอรับ พวกเราต้องมีหนทางแน่นอน!” ชายคนหนึ่งรีบขวาง อ๋องขวาเอาไว้ กล่าวด้วยความห่วงใยข้างกายมัน


 


 


เสียงนี้ฟังแล้วดูคุ้นหูอยู่บ้าง หลินหว่านหรงยื่นหน้าออกไปมองด้านนอก อ๋องน้อยเจ้าคังหนิงยืนอยู่ข้างกายถูสั่วจั่ว กำลังเหลือบเข้าไปในกระโจมด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ


 


 


ไอ้เจ้าเศษสวะคนนี้! หลินหว่านหรงด่าทอด้วยโทสะอยู่ในใจ รีบปล่อยผ้าม่านลง


 


 


หากเป็นกาลก่อน ถูสั่วจั่วบารมีล้นฟ้า จะมีผู้ใดกล้าขวางหน้ามัน? เพียงแต่ตอนนี้ไม่เหมือนวันวาน มันถูกคนอัดจนสภาพย่ำแย่ไปหลายแห่ง รูปโฉมไม่เหมือนเดิม ถูสั่วจั่วในยามนี้หาใช่ อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้ห้าวหาญไร้เทียมทาน ยิ่งใหญ่เกรียงไกรภายในใจชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นอีกต่อไป แม้แต่นางกำนัลตัวเล็กๆ สองคนยังกล้ามาจเจ้ากี้เจ้าการต่อหน้าเขา


 


 


“ได้ ข้าจะไปหาท่านข่านใหญ่!!” ถูสั่วจั่วกำหมัดอย่างสุดกำลัง หางตาปริแตก ความเคียดแค้นที่สาดประกายออกมาจากดวงตาแทบจะทะลุผ้าม่านเข้าไป 

 

 


ตอนที่ 605 - 2 วังหลังของข่านใหญ่

 

ครั้นลากตัวอ๋องขวาผู้เดือดดาลจากไปอย่างยากเย็น สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นำทางข้างหน้าถึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ตบหน้าอกอันอวบอิ่ม สาวน้อยคนหนึ่งเลิกผ้าม่านสีชมพูเบาๆ ทำท่าภาษามือพร้อมกล่าวปลอบใจเจ้าใบ้ที่ตกใจจนหน้าถอดสีด้วยเสียงอันอ่อนโยน “ผู้กล้า ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นคนของท่านข่านใหญ่ นางต้องคุ้มครองท่านแน่นอน!” 


 


 


ข้าเป็นคนของข่านใหญ่?! คำพูดประโยคนี้พลันเผยความคิดมักใหญ่ใฝ่สูงของอวี้เจียออกมาจนหมดสิ้นทันที เจ้าใบ้ ส่ายหน้าด้วยความเศร้าใจและโมโห จิตใจรวดร้าวยากจะทานทน 


 


 


เมื่อเกิดเหตุถูสั่วจั่วขวางหน้ารถ ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันจะโผล่มาอีกหรือไม่ ดังนั้นเสลี่ยงจึงเร่งความเร็วขึ้นมาก เมื่อเดินไปถึงทางเข้าสวนแห่งหนึ่งก็ค่อยๆ หยุดลง สาวน้อยทูเจวี๋ยเชิญเขาลงมาพร้อมยิ้มงามยวนเย้า “ผู้กล้า พวกเราถึงแล้ว!” 


 


 


ถึงแล้ว?! เจ้าใบ้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพิ่งเดินลงจากเสลี่ยงก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจำนวนนับไม่ถ้วนแว่วมาจากข้างกาย สาวน้อยทูเจวี๋ยหลายสิบคนไม่รู้ว่ากรูมาจากที่ใด ล้อมเขาอยู่กึ่งกลางอย่างแน่นหนา แต่ละคนต่างเบิกตากว้างมองประเมินเขา เล็งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ยอมละเว้นสักแห่งเดียว 


 


 


สาวน้อยที่ถูกเลือกเข้าวังทูเจวี๋ยได้ รูปโฉมย่อมไม่ด้อยกว่าที่ใด สิ่งที่เยี่ยมยิ่งกว่าก็คือสายตาอันเผ็ดร้อนของพวกนางที่ส่งสายตาของชาวต่างชาตินั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยเกิดมาก็ขวัญกล้า ไม่ปกปิดการยั่วยวนแม้แต่น้อย สายตาของแต่ละคนต่างแวววาวราวกับจะหยดออกมาเป็นน้ำได้ 


 


 


โอ๊ยๆ ข้าคงไม่ได้เข้ามาดินแดนแม่หม้ายหรอกนะ?! ถูกสตรีชาวทูเจวี๋ยเป็นฝูงโอบล้อมอยู่ตรงกลาง สายตาของพวกนางราวกับจะแก้ผ้าคนจนหมดสิ้น ต่อให้แม่ทัพหลินห้าวหาญชาญชัยเหลือล้น ถึงกระนั้นก็ยังอดตื่นตระหนกจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั้งร่างไม่ได้ 


 


 


เบื้องหน้ามีแต่เสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจา เรือนร่างสารพัดรูปแบบ เห็นแล้วก็ดวงตาพร่าพราย เจ้าใบ้รีบตบหน้าอก หอบหายใจหนักๆ ยาวๆ  


 


 


เมื่อเห็นเขามีสภาพเช่นนี้ บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยก็หัวเราะทันที มีบางคนที่ขวัญกล้าเข้ามาจับมือเขา บางคนยังอดมาจับเอวเขาสักครั้งสองครั้งไม่ได้อีกด้วย 


 


 


เหมือนแพะเข้าฝูงหมาป่าเสียจริง! ผู้กล้าใบ้ปราศจากเรี่ยวแรงจะโต้กลับ รู้สึกทอดถอนใจ เนื่องจากอับจนหนทาง ดังนั้นจึงทำได้เพียงเปลี่ยนการล่วงละเมิดให้เป็นการเสพสุขเท่านั้น 


 


 


“ผู้กล้า ท่านไม่ต้องกลัว!” สาวน้อยทูเจวี๋ยที่พาเขามาหัวเราะพร้อมทำท่าภาษามือพูดปลอบโยน “ที่นี่คือพระตำหนักส่วนพระองค์ของท่านข่านใหญ่ นอกจากท่านข่านน้อยจะมาเป็นบางครั้ง ท่านเป็นบุรุษที่มาสถานที่แห่งนี้เป็นคนแรก! มิหนำซ้ำยังเป็นผู้กล้าผู้ชนะเทศกาลชิงแพะอีกด้วย พี่น้องทั้งหลายจึงชอบที่จะมองท่าน! หากเปลี่ยนเป็นบุรุษอื่น ผีสางถึงจะสนใจพวกมัน!” 


 


 


ที่นี่คือพระตำหนักส่วนตัวของอวี้เจีย? นั่นไม่ใช่วังหลังของข่านใหญ่ในตำนานหรอกหรือ?! เจ้าใบ้รีบเงยหน้ามองไป เห็นว่าสถานที่แห่งนี้ต่างจากพระตำหนักเบื้องหน้า ศาลารายหอเก๋ง สะพานน้อยสายธารไหล ในความหยาบแฝงความวิจิตร ประหนึ่งสวนแห่งเจียงหนานบนทุ่งหญ้า อ่อนโยนละเอียดบรรจง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือของสตรี  


 


 


เขากำลังมองประเมินไปรอบด้าน สาวน้อยทูเจวี๋ยที่เป็นผู้นำสองคนนั้นจู่ๆ ก็จับมือเขาแล้วชี้ไปยังบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่กลางสวนข้างหน้าพร้อมยิ้มให้เขาพร้อมกัน ภายในบ้านไม้หลังนั้นมีควันพวยพุ่งลอยเอื่อย ไม่รู้ว่าคือสถานที่อันใด  


 


 


“เชิญผู้กล้าชำระล้างเปลี่ยนอาภรณ์!” นางกำนัลนางหนึ่งใช้สองมือถือชุดชนเผ่านอกด่านตัวใหม่ตัวหนึ่ง ปรากฏด้ายทองให้เห็นอยู่รำไร สาวน้อยที่เป็นหัวหน้าพูดเสียงเบาพร้อมทำท่าทางประกอบ 


 


 


ชำระล้างเปลี่ยนอาภรณ์?! หลินหว่านหรงใช้สองมือปิดหน้าอกตามจิตใต้สำนึก! สาวน้อยผู้นั้นหัวเราะคิกคัก ดวงตาเปล่งประกาย ทำภาษามือพร้อมเอ่ยว่า “ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ล่วงเกินท่านแน่!” 


 


 


มารดามัน นี่มันโลกอะไรกันนี่?! ผู้กล้าแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห เอื้อมมือไปปลดหน้ากาก 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยตกใจสะดุ้งโหยง รีบขัดขวางการกระทำของเขาไว้ “ไม่ได้นะเจ้าคะ! ผู้กล้า หน้ากากของท่านเป็นสัญลักษณ์อันสูงส่ง มีแค่ท่านข่านดาบทองเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติถอดให้ท่านได้!” 


 


 


สิ่งที่ต้องการก็คือเรื่องนี้! เจ้าใบ้วางใจทันที สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นำทางสองคนจูงมือเขาหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ค่อยๆ เดินไปทางบ้านไม้หลังนั้น นางกำนัลที่อยู่โดยรอบต่างมองพวกนางด้วยสีหน้าอิจฉา 


 


 


เพิ่งเดินไปใกล้ก็มีไอร้อนปะทะใบหน้า ภายในบ้านไม้ซึ่งอยู่กลางสวนกลับเป็นบ่อน้ำร้อนที่มีตาน้ำผุดขึ้นมา ฟองของน้ำผุดขึ้นไม่หยุด มีกลิ่นหอมสะอาดเจือจางของกำมะถัน ไอน้ำลอยวนอยู่โดยรอบ ราวกับอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ 


 


 


แม่สาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ช่างรู้จักเลือกสถานที่เสียจริง มีบ่อน้ำร้อนที่ผุดตลอดทั้งปีเช่นนี้ ให้ข้าแช่อยู่ที่นี่ทุกวันก็ยอม 


 


 


ทั้งสองข้างต่างมีมือน้องสองมือที่กำลังลูบไล้ร่างกายเขาอย่างแช่มช้า เจ้าใบ้ตกใจจนบังเกิดปฏิภาณ กระเด้งออกไปราวกับไฟช็อต หมุนกายพร้อมเบิกตาโพล่ง มือไม้ทำท่าทางเป็นระวิง “เจ้า เจ้าจะทำอะไรน่ะ?!” 


 


 


“ปรนนิบัติผู้กล้าชำระล้างร่างกาย” สาวน้อยทั้งสองใบหน้าแดงสดใส ก้มหน้าพร้อมเอ่ยว่า “นี่เป็นสิ่งที่ท่านข่านใหญ่ทรงกำชับมา!” 


 


 


หาสาวสวยมาช่วยข้าอาบน้ำ?! หลินหว่านหรงรู้สึกหน้ามืดตาลายทันที แม้เขาจะมีองค์หญิงเป็นเมีย แต่ตอนอยู่ต้าหัว อาบน้ำก็ยังต้องทำด้วยตัวเองอยู่ ไม่เคยมีเมียคนไหนเป็นฝ่ายหาสาวใช้มาช่วยเขาอาบน้ำมาก่อน ไม่คิดว่าครั้งแรกที่ได้เสพสุขกับเรื่องนี้กลับเป็นที่พระราชวังทูเจวี๋ยซึ่งอยู่บนทุ่งหญ้านอกชายแดน ทั้งยังเป็นสาวงามคู่อีกด้วย อวี้เจียช่างดีต่อข้าเสียจริง! 


 


 


เมื่อเห็นเขาลังเลอยู่นาน สาวน้อยหน้าแดงสดใสนางหนึ่งรวบรวมความกล้า ยื่นมือน้อยมาที่ชุดของเขา ส่วนอีกคนก็ใช้ภาษามือด้วยท่าทีเขินอาย “ผู้กล้า ท่านไม่ต้องอาย พวกเราก็ครั้งแรกเช่นกันเจ้าค่ะ!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยช่างเกิดมาเจ้าชู้เสียจริง ครั้งแรกของนางนี้ยังเชี่ยวชาญกว่าครั้งแรกของข้าเป็นร้อยเท่าเสียอีก! ผู้กล้าร้องอ๊าๆ สองครั้ง สองมือทำท่าทาง ผลักร่างของพวกนางให้หันกลับไป 


 


 


ช่างเป็นคนซื่อเสียจริ! เมื่อได้ยินเสียงถอดชุดดังสวบสาบจากข้างหลัง สาวน้อยสองคนใบหน้าใบหูแดง หัวเราะพรวดออกมาเบาๆ  


 


 


“ตูม” ข้างหลังมีเสียงกระโดดน้ำ ผู้กล้ากองเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กระโดดลงบ่อน้ำร้อนโดนสวมหน้ากาก  กำลังนั่งหดคออยู่มุมหนึ่ง แววตาสาดประกายหวาดกลัว 


 


 


ไม่เคยเห็นผู้กล้าที่ขี้อายขนาดนี้มาก่อน แต่เขากลับเป็นผู้ที่ทำให้ถูสั่วจั่วพ่ายแพ้ได้! สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองบังเกิดความรู้สึกรักใคร่อยากปกป้องผู้กล้าใบ้ ฝืนสะกดกลั้นความอายพร้อมถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก เหลือเพียงชุดน้อยแนบร่าง พลางย่างลงไปในน้ำอย่างแช่มช้า 


 


 


สตรีทูเจวี๋ยขี่ม้าออกกำลังกายมานานหลายปี รูปร่างค่อนข้างดียิ่งนัก หน้าหลังโค้งเว้า ส่วนสัดยอดเยี่ยม สาวน้อยสองคนนี้เป็นหัวหน้านางกำนัล ดังนั้นจึงยิ่งเป็นสุดยอดของสุดยอด 


 


 


คราบน้ำชุ่มผิวพรรณที่ขาวนวลดั่งหยกงามอันน่าลุ่มหลงของพวกนาง กระจ่างใสดุจวารี ชุดตัวน้อยบางเบาราวปีกจักจั่น เมื่อลงน้ำก็เปียกชุ่มจนหมดสิ้น แนบชิดสนิทเรือนร่าง ยิ่งขับเส้นสายของเรือนร่างอันแสนจะงดงามและน่าลุ่มหลงของพวกนางให้เด่นออกมาอีก 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยสองคนหน้าแดงระเรื่อ ค่อยๆ เข้ามาใกล้ข้างกายเขา คล้ายมีเจตนาคล้ายไม่มีเจตนา ใช้ขาเรียวยาวทั้งสองข้างแนบชิดกับขาเขา ขณะเดียวกันก็วักน้ำใสสะอาดพร่างพรมลงบนตัวเขา มือน้อยแฝงอาการสั่นเทาอันอ่อนโยนค่อยๆ ลูบไล้ 


 


 


นี่จะทำอะไร?! หลินหว่านหรงตกใจยกใหญ่ ใจจั๊กจี้ยากจะทานทน ถูกสาวงามซึ่งแทบจะไม่ได้สวมอาภรณ์สองคนแนบต้นขา อกอวบอิ่มยังออกแรงเสียดสีอยู่บนร่างอีก เป็นสิ่งที่ผู้ชายทนไม่ได้เลยจริงๆ ! 


 


 


ห้ามเสียมารยาทมอง! ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ศึกบุกยึดเค่อจือเอ่อร์เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เขาไม่กล้าคิดอะไรเลยเถิดแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงรีบพ่นลมหายใจออกมายาวๆ นั่งตัวตรงอีกสักหน่อย 


 


 


เพียงแต่สาวน้อยทูเจวี๋ยสองคนนี้กลับเหมือนไม่ยอมให้โอกาสเขา หน้าแดงด้วยความอาย มือน้อยฉวยโอกาสช่วงที่วักน้ำกดนวดร่างกายเขาทุกแห่งหน เบาบ้าง หนักบ้าง คล้ายต้องการบีบเค้นให้วิญญาณออกจากร่าง 


 


 


นี่มันคือการเสพสุขหรือว่าการรับทัณฑ์ทรมานกันแน่นะ?! เขายิ้มขืนพลางส่ายหน้า กระแสความร้อนถั่งท้นพุ่งตรงขึ้นมาจากท้องน้อย 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองเมื่อเห็นเขามีท่าทีเขินอายกลับยิ่งขวัญกล้ามากขึ้น ไม่สนใจว่าผ้าตรงอกตนเปียกโชก ภาพอันงดงามปรากฏให้เห็นจนหมดสิ้น ขยับจะแทบจะตะกายอยู่บนร่างเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวของเขาได้อย่างชัดเจน 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยเนตรงามเปล่งประกาย เหลือบมองลงไปใต้น้ำอันใสสะอาดคราหนึ่ง จากนั้นก็หน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที พวกนางหัวเราะยวนเย้า ใช้มือน้อยที่เปียกชุ่มบีบคลึงหน้าอกเขาเบาๆ “ท่านผู้กล้า ท่านช่างกล้าหาญเสียจริงนะ!!” 


 


 


“เจ้าเองก็กล้ามากนะ!” สายตาของผู้กล้าไปอยู่ที่หน้าอกนางพร้อมคิดในใจ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาพร้อมทำท่าภาษามือ กล่าวด้วยความประหลาดใจออกมาว่า “ท่านข่านใหญ่เคยตรัสไว้ ผู้กล้าทูเจวี๋ยของเรานิสัยเปิดเผยเลือดร้อน ไม่เคยควบคุมตัวเอง แต่ผู้กล้าเหมือนจะต่างจากผู้อื่น มิน่าท่านข่านใหญ่ถึงทรงให้พวกเรา…” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยไอหลายครั้ง สาวน้อยผู้นั้นจึงรีบหุบปากไป 


 


 


หลินหว่านหรงตกตะลึงทันที ห้วงสมองกลับเย็นวาบในบัดดล นางหนูอวี้เจียคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง เมื่ออยู่ต่อหน้าการยั่วยวนราคะหากทำตัวอยู่ในกรอบในจารีตก็จะมีแต่ทำให้คนสงสัยเท่านั้น ปล่อยเนื้อปล่อยตัวถึงจะถูกต้อง มารดามัน ข้าไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นวิญญูชนจริงๆ ด้วย! 


 


 


“อ๊า” พอเขาปลดปล่อยก็ร้ายกาจขึ้นมาทันที ลูบคลำตามใจชอบไปสองสามครา สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองส่งเสียงร้องด้วยความตกใจอย่างต่อเนื่อง กระโดดหลบออกไปด้วยใบหน้าใบหูแดง 


 


 


“ผู้กล้า ท่านช่างร้ายนัก!!” สาวน้อยเขินอายยากจะทานทน อดส่งเสียงเบาๆ ไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ใช้ภาษามือ เพียงแต่บนโลกนี้มีสายตาหลายอย่างที่ใช้ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องแปลแม้แต่น้อย! 


 


 


ผู้หญิงพูดประโยคนี้ออกมาแสดงชัดว่าเจ้ายังร้ายไม่พอ หลินหว่านหรงจิตใจกระจ่างในสดุจกระจก ดังนั้นจึงบีบคลึงเปะปะจากบนลงล่าง เอารัดเอาเปรียบไปหลายครา สตรีทูเจวี๋ยสองคนนั้นจึงทนไม่ไหว ดวงตาพร่าเลือน หอบหายใจหนักพร้อมเอ่ยออกมาว่า “ผู้กล้า ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านคือคนของข่านใหญ่ พระนางยังไม่ตรัส พวกเราไม่อาจล่วงละเมิดท่านได้!” 


 


 


ข้าชอบการล่วงละเมิดของพวกเจ้ามากนะ! แม่ทัพหลินรั้งมือกลับ นึกขึ้นได้ทันทีว่านี่คือวังหลังของอวี้เจีย ทุกอย่างจะตรงกันข้าม! 


 


 


ที่แท้ผู้กล้าใบคนนี้ยังร้ายกว่าคนทั่วไปมากมายนัก สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งสองไม่กล้าดูแคลนเขาอีกต่อไป ช่วยเขาสวมอาภรณ์ด้วยใบหน้าร้อนลวก จัดแจงอย่างเอาใจใส่ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความเอียงอาย “ชำระล้างเสร็จสิ้น ผู้กล้า เชิญท่านตามพวกเรามาเจ้าค่ะ!” 


 


 


ห่างจากบ่อน้ำร้านไม่ไกลนักมีหออันวิจิตรอยู่หลังหนึ่ง เพิ่งเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงบานประตูที่อยู่ข้างหลังดังขึ้นมาเบาๆ สาวน้อยทูเจวี๋ยสองคนปิดประตูจากข้างนอกแล้ว 


 


 


ภายในห้องแขวนผ้าโปร่งสีชมพูเต็มไปหมด กำลังโบกพลิ้วตามสายลมเบาๆ พัดผ่านแก้มเป็นระยะ อ่อนโยนเรียบลื่นราวกับมือน้อยของสตรี  


 


 


ส่วนลึกของผ้าม่านปรากฏเตียงงาช้างอันกว้างใหญ่ให้เห็นอยู่รำไร ในความกระจ่างใสแฝงสีชมพูจางๆ ให้เห็น เปล่งประกายงดงาม วิจิตรบรรจง ราวกับดอกท้อซึ่งเบ่งบานเต็มที่ ผ้าห่มสีเหลืองทองสะอาดอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กำจายไปทั่ว บริเวณกึ่งกลางเตียงแขวนกระดิ่งอูฐสีทองขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มไว้อันหนึ่ง มือเรียวยาวข้างหนึ่งค่อยๆ ยื่นไปอย่างแช่มช้า พร้อมดึงแกว่งไกวเบาๆ  


 


 


“กร๊งกริ๊ง” “กรุ๊งกริ๊ง” เสียงกระดิ่งลมสดใสดังก้องไปทั้งห้องดอกท้อผลิบาน ค่อยๆ แทกรซึมเข้าสู่ใจคนดั่งบทเพลงอันไพเราะเสนาะหูที่สุดบทหนึ่ง 


 


 


สตรีซึ่งนั่งอยู่กลางเตียงหันหน้ากลับมา ยิ้มให้เขาเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าใบ้ เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?!” 

 

 

 


ตอนที่ 606 - 1 ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ข...

 

อวี้เจียสวมหมวกผ้าสักหลาดสีเหลืองทองบนศีรษะ พู่ระย้าหลายเส้นห้อยอยู่ข้างใบหูอันงดงามของนาง เจิดจรัสสะดุดตา นางสวมชุดกระโปรงยาวตามแบบฉบับชนเผ่านอกด่านสีทอง บนชุดปักหัวหมาป่าสีทองซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน สีหน้าท่าทางเหมือนจริงอยู่เต็มไปหมด บ้างก็มองด้วยโทสะ บ้างก็ส่งเสียงขู่คำราม ความน่าเกรงขามล้นเหลือ บารมีแผ่ซ่าน บนสาบเสื้อกลับเพิ่มรังดุมสีเหลืองส้มแถวหนึ่ง ไล่จากหน้าอกอันอวบอิ่มตรงไปยังใต้ท้องน้อยด้านขวา เมื่ออยู่ท่ามกลางหัวหมาป่าที่มีอยู่เต็มไปหมดนั้นกลับเพิ่มความอ่อนโยนของสตรีขึ้น ทั้งสูงส่งทั้งงามสง่า 


 


 


นางค่อยๆ ยืนขึ้น เสื้อตัวนอกลายหมาป่าสีทองซึ่งแสดงสถานะห่อหุ้มเรือนร่างอันงามล้ำเลิศของนางอยู่ในนั้นอย่างแน่นหนา ชายกระโปรงยาวลากพื้น ภายใต้แสงไฟสลัว ส่องสะท้อนเงาอันแสนจะงดงามร่างหนึ่ง 


 


 


อวี้เจียใช้มือหนึ่งปัดกระดิ่งอูฐ หมุนกายมาพร้อมมองเขาเบาๆ ท่ามกลางสีชมพูที่มีอยู่ทั่วห้อง ใบหน้ากระจ่างใสของนางประหนึ่งงาช้างหยกขาวที่มีสีแดงระเรื่อ มุมปากสีสันสดใสเปล่งประกายแวววาวราวกับจะหยาดหยดออกมาเป็นน้ำได้  


 


 


นางถามอะไรน่ะ? เจ้าใบ้เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ผ้าโปร่งภายในห้องพลิ้วไสว กระดิ่งอูฐส่งเสียงดัง กลิ่นหอมจางๆ ลอยอบอวล ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ทั้งอ่อนโยนทั้งวาบหวาม ภายในห้องแห่งนี้ นอกจากอวี้เจียกับเขาก็ปราศจากบุคคลที่สามแล้ว  


 


 


“เจ้าไม่ได้ยินข้าพูดจริงหรือ?!” เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังข้างใบหูเขา ลมหายใจหอมกรุ่นแฝงไอร้อนตกกระทบใบหน้าเขาเล็กน้อย ทำให้เขาตกใจสะดุ้งโหยง 


 


 


เมื่อหันกลับไปมอง ดวงหน้าอันงามพิลาสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งซับสีแดงระเรื่ออยู่ห่างจากเขาแค่คืบ กลิ่นหอมจางๆ ของสุรานมแพะลอยเข้ามา อวี้เจียคล้ายจะเมามายอยู่บ้าง ริมฝีปากสีแดงของนางขมุบขมิบเล็กน้อย นัยน์ตาทั้งสองข้างเปล่งประกายวาววับดั่งดาวประกายพรึก กำลังจ้องมองเขาเขม็ง คล้ายกำลังสงสัยอะไรบางอย่าง ทั้งคล้ายกำลังหาอะไรบางอย่าง 


 


 


เมื่อเห็นรูปโฉมซึ่งทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้านั้น ใจของเจ้าใบ้ก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง รีบถอยหลังไปหลายก้าว ก้มหน้าพลางใช้สองมือโบกสะเปะสะปะไปมา 


 


 


“เจ้า มองข้า!!” เสียงเย็นเยียบคมกริบคล้ายล่องลอยมาจากขอบฟ้า แฝงอำนาจและบารมีที่ไม่อาจต้านทานได้ นิ้วมือขาวกระจ่างใสนุ่มนิ่มสองนิ้วเชยคางเขาเบาๆ ยกใบหน้าเขาขึ้นมาอย่างแช่มช้า 


 


 


อวี้เจียใช้สายตากระเซ้า ดวงตาประดุจสายฟ้า ใช้ท่าทีของเจ้าผู้ปกครอง สองนิ้วรองใต้คางเขาเบาๆ จ้องมองเขาเขม็ง ดวงตาอันลุ่มลึกนั้นคล้ายยิงเข้าสู่ใจคน 


 


 


แม่เอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ นังหนูคนนี้พอเป็นเจ้าแล้ว เราก็กลายเป็นเมียน้อยให้นางเลือกอย่างนั้นหรือ เจ้าใบ้ร่ำร้องอย่างเป็นทุกข์ภายในใจไม่หยุดหัวเราะร้องไห้ไม่ออก 


 


 


ทั้งสองคนจ้องหน้า ใบหน้าอยู่แค่คืบ ได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นถี่ของอีกฝ่ายได้รางๆ ภายในดวงตาอวี้เจียปรากฏไอน้ำบางๆ ชั้นหนึ่ง “เจ้าไม่รู้จักข้าจริงหรือ? แต่ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่างว่าข้าต้องรู้จักเจ้า!” 


 


 


เจ้าใบ้ร้องอ๊าๆ เสียงดัง ส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย  


 


 


“เจ้าปฏิเสธก็ไร้ประโยชน์” สีหน้าแน่วแน่บนใบหน้าท่านข่านดาบทองผู้งดงามกระจ่างวูบ “ฝีมืออันต่ำช้าที่เจ้าใช้เอาชนะถูสั่วจั่ว พฤติกรรมต่ำชั้นด้วยการป้ายผงยาที่ม้าศึก ข้าเหมือนเคยรู้จักมาก่อน แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกอย่างหนึ่ง…” 


 


 


เจ้าใบ้มองนางด้วยความงุนงงสงสัย เยวี่ยหยาเอ๋อร์แววตาล้ำลึก กล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอยออกมาว่า “…เมื่อเจ้าปรากฏตัวอยู่หน้าข้า จู่ๆ ข้าก็รู้สึกใจสลาย ไม่อาจควบคุมความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้เจ้าได้ ข้าคิดว่าข้าต้องเคยพบเจ้าแน่นอน! ลางสังหรณ์สำคัญต่อข้ามาก หากใช้งานผิดพลาด ข้าก็ไม่มีทางเสียใจภายหลัง! ข้าพูดเรื่องพวกนี้เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่?!” 


 


 


ฟังออกก็แปลกแล้ว ด้วยระดับภาษาทูเจวี๋ยของหลินหว่านหรงทำได้แค่มองนางอ้าปากเท่านั้น 


 


 


สายตาของเจ้าใบ้ทั้งลังเลทั้งอับจนหนทาง สายตานั้นไม่อาจเสแสร้งออกมาได้ อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็จับมือเขาแน่นอย่างเงียบงัน ขนตายาวกระเพื่อมไหว น้ำตาไหลรินลงมาอย่างแช่มช้า “เมื่อกลับมาจากชายแดน ข้าเหมือนลืมเรื่องราวไปหลายอย่างอย่างน่าประหลาด! สำหรับข้า การลืมเลือนนี้อาจเป็นสิ่งที่ข้าตามหามาทั้งชีวิตก็ได้ เป็นใครที่ทำให้ข้าลืม? เหตุใดมันถึงต้องทำเช่นนี้กับข้า…ข้าแค้นมัน ข้าจะไม่ละเว้นมันแน่!” 


 


 


ท่านข่านใหญ่ดาบทองกำมือทั้งสองแน่นในบัดดล ฟันงามกัดปากจนปริแตก ดวงตาสาดประกายเคียดแค้นชิงชังเหนือประมาณ ประหนึ่งดวงไฟอันร้อนแรงที่ต้องการจะแผดเผาทุกสิ่ง 


 


 


ถึงอย่างไรหลินหว่านหรงก็ฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว เขาเหลียวซ้ายแลขวา สายตาเต็มไปด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไหนเลยจะรู้ว่าอวี้เจียแค้นเขาจนถึงขีดสุดแล้ว 


 


 


หากเป็นคนที่ทำสิ่งใดก็ไม่ได้ยิน สิ่งใดก็อาจพูดออกมาได้เช่นเจ้าใบ้ นั่นกลับปลอดเรื่องราวน่ารำคาญใจไปตั้งมากมาย อวี้เจียถอนหายใจแผ่วเบา เช็ดน้ำตา จับมือเขาพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าชอบสถานที่แห่งนี้หรือไม่? นี่คือห้องของอวี้เจีย!” 


 


 


เจ้าใบ้เบิกตาโพลงมองนาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะ จูงมือเขาแล้วเดินไปเดินมาภายในห้องอันกว้างขวาง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ยิน แต่ไม่เป็นไรนะ อวี้เจียก็คือหูของเจ้า! พออยู่กับเจ้า ข้าพูดอะไรก็ได้ ข้าชอบแบบนี้ เจ้าดูสินี่คือกวานเหยา (หนึ่งในเครื่องเคลือบประเภทเหยาซึ่งผลิตโดยของทางการ โดยมีตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ซ่ง) ชั้นดี ตอนข้าอายุสิบหกแอบเสด็จพ่อออกไปที่เมืองซิงชิ่งแล้วใช้สุรานมม้าที่ข้าบ่มเองแลกมา นี่คือใบชา นี่คือเครื่องประทินโฉม นี่คือตำรารวบรวมโคลงกลอนของต้าหัว นี่คือชุดที่ข้าทำเอง นี่คือ…” 


 


 


นางมองขวดแก้วที่ว่างเปล่าขวดนั้นก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง สายตาเหม่อลอยพร่าเลือน “นี่เรียกว่า เป็นสิ่งที่ชาวต้าหัวคิดค้นขึ้นมาใหม่ ข้าชอบมากที่สุด…น่าแปลก ทำไมถึงว่างเปล่าได้นะ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงจิตใจกระจ่างใสดั่งกระจก สิ่งนี้ตอนข้ามผ่านทะเลแห่งความตาย นางเทน้ำหอมทิ้งแล้วแอบเก็บน้ำที่แบ่งให้เก็บ จากนั้นแอบนำน้ำที่มีค่าเป็นล้นพ้นนั้นมอบให้อัวเหล่ากง 


 


 


“อ๊า อ๊า!” เจ้าใบ้นำจมูกเข้าไปใกล้ขวดแก้ว สูดดมลึกๆ ไปหลายครั้งพร้อมผงกศีรษะไม่หยุด 


 


 


“เจ้าก็ชอบหรือ?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวด้วยความยินดี “ไม่เป็นไร ข้างกายข้ายังมีอีก! คนที่ทำน้ำหอมชาวต้าหัวผู้นั้นเป็นพ่อค้าหน้าเลือด ราคาของน้ำหอมหนึ่งขวดซื้อวัวได้สามสิบตัว ทั้งยังไม่อาจซื้อได้บ่อยครั้ง ข้าจ่ายเงินไปสามเท่าถึงจะซื้อมาได้สองขวด!” 


 


 


โชคดีที่หลินหว่านหรงฟังนางพูดไม่ออก ไม่เช่นนั้นก็คงกระเด้งเป็นเจ้าเข้าแน่นอน คุณหนู เจ้าซื้อของจากตลาดมืด ราคานั่นก็ต้องเอามาลงที่หัวข้าด้วยหรือ?! 


 


 


“ยังมีเจ้านี่ ผ้าม่านโปร่งสีชมพู เป็นผ้าไหมเจียงหนานชั้นดี สตรีต้าหัวตอนออกเรือนต่างเลือกสีนี้ ข้าชอบมากเช่นกัน——เจ้าใบ้ งามหรือไม่?!” นางใช้ผ้าโปร่งสีชมพูอันพลิ้วไสวปกปิดใบหน้าเบาๆ เผยเพียงดวงตากระจ่างใสอยู่ภายนอกเท่านั้น ในความเอียงอายแฝงความยินดี สีหน้านั้นเหมือนการพบครั้งแรกที่เมืองซิงชิ่ง 


 


 


ชีวิตหนอชีวิต! มองดูดวงหน้าอันงามเฉิดฉันยวนเย้าดุจบุปผานี้ เจ้าใบ้ก็ถอนหายใจอย่างอับจนถ้อยคำ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์จับมือเขา เดินย่ำเท้าเบาๆ ภายในห้องนอนตนเอง เสียงหัวเราะดังไม่หยุด หลินหว่านหรงใจเต้นโครมคราม เขารู้ว่าที่อวี้เจียสนิทสนมเขาเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นผู้กล้าใบ้ที่เอาชนะการแข่งขันชิงแพะ สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือใจนางรู้สึกสนิทสนมกับเขาโดยไม่รู้ตัว ราวกับความเคยชินที่บ่มเพาะมานานหลายปี ต่อให้นางลืมเขาจนหมดสิ้น แต่ความเคยชินที่ฝังรากลึกนั้น พอบอกให้เปลี่ยนไหนเลยจะเปลี่ยนได้? 


 


 


เดินไปถึงกึ่งกลางห้องโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองคนหยุดพร้อมกัน อวี้เจียนั่งลงอย่างแช่มช้า ลูบผ้าห่มอันอ่อนนุ่มข้างกายพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “เคยเห็นสิ่งนี้หรือไม่? นี่เรียกว่าเตียงงาช้าง เสด็จพ่อประทานให้ข้า เดินมีต้องรอให้ข้าใช้ เดิมทีจะรอให้ข้าใช้ในงานอภิเษก เพียงแต่พระองค์ก็ทรงรอไม่ถึงวันนั้น!” 


 


 


อวี้เจียก้มหน้าอย่างเงียบงัน น้ำตาคลอหน่วย จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนตบบ่าเบาๆ ดังนั้นจึงเงยหน้ามอง เจ้าใบ้มองนางด้วยสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย ไม่รีรอให้เขาลังเล ดึงเขาให้นั่งลงข้างกายตนเอง “เจ้ารู้หรือไม่ ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเสด็จพ่อก็คือต้องสยบต้าหัว! เพื่อสิ่งนี้ท่านกับชาวต้าหัวจึงสู้รบกันมาทั้งชีวิต แม้จะสิ้นไปแล้วก็ต้องปิดบังชาวต้าหัว! ข้าติดตามข้างกายเสด็จพ่อมาตั้งแต่เล็ก สนใจวัฒนธรรมต้าหัวอย่างยิ่ง มีหลายสิ่งแค่คิดก็เข้าใจ แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังชมว่าข้าฉลาด ดังนั้นถึงทรงมอบภาระอันหนักอึ้งนี้ให้ข้า” เจ้าใบ้ฟังนางพูดไม่รู้เรื่อง เพียงแต่อวี้เจียดันชอบวิธีการระบายความเครียดเช่นนี้ นางมองเจ้าใบ้ที่กำลังงุนงงพร้อมเอ่ยเสียงเบา “อันที่จริงพวกเราทูเจวี๋ยหาได้แข็งแกร่งดั่งที่คิด โดยเฉพาะหลังจากเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ปาเต๋อหลู่ครอบครองกำลัง จ้องตำแหน่งข่านตาเป็นมัน ส่วนถูสั่วจั่วกลับเอาแต่คิดจะแต่งงานกับข้า ต้องการชิงอำนาจอย่างเงียบๆ มีเพียงราชครูลู่ตงจ้านที่มีสายตายาวไกลอยู่บ้าง ถึงกระนั้นกลับลำบากเพราะปราศจากอำนาจที่แท้จริง ส่วนซ่าเอ่อร์มู่ก็อายุน้อยขนาดนั้น สิบปีหลังจากนี้ข้ายังต้องมอบทุ่งหญ้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์มอบให้เขาอีก” 


 


 


นางซบบ่าหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าใบ้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอวี้เจียอิจฉาเจ้ามากแค่ไหน เพราะเจ้าไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ไม่เหมือนข้าที่มีความหงุดหงิดรำคาญใจนับไม่ถ้วน! เจ้าเป็นผู้กล้าใบ้ผู้ไร้ทุกข์ไร้กังวลไปตลอดกาลได้!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กอดแขนเขาแน่น ซบศีรษะลงบนบ่าเขา เรือนร่างอันอ่อนนุ่มนิ่มสั่นเทาเล็กน้อย การอิงแอบนี้เกิดจากความคุ้นชินที่ยังหลงเหลือเล็กน้อยภายในจิตใจ ถึงกระนั้นกลับแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติไม่ขัดเขิน ยามนี้ตอนนี้ ต่างจากวันวานที่หลินหว่านหรงหาโอกาสจงใจเอารัดเอาเปรียบนางโดยสิ้นเชิง 


 


 


แม้จะมีกำแพงทางภาษา ทว่ากลับยังสัมผัสความเปราะบางภายในใจนางได้ เจ้าใบ้พ่นลมหายใจยาว เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา 


 


 


อวี้เจียได้ยินเขาถอนหายใจก็รีบเงยหน้าพร้อมเอ่ยถามเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกลัว วันที่มีข้าอยู่ ไม่มีผู้ใดที่ทำร้ายเจ้าได้! ต่อให้เจ้าเป็นคนหูหนวก เป็นเจ้าใบ้แล้วจะทำไม ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเจ้า ข้าจะตัดลิ้นมันผู้นั้น ข้าต้องปกป้องเจ้า ให้เจ้าเป็นผู้ที่มีความสุขมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน อวี้เจียขอสาบานด้วยชีวิต!!” 


 


 


สายตายึดมั่นของอวี้เจียกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก เจ้าใบ้มองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้เพราะอะไร จมูกพลันร้าวระบม เบ้าตาแดงขึ้นมา 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างตะลึงงัน พูดด้วยภาษามือด้วยความตื่นเต้นยินดีทันที “เจ้าใบ้ เจ้า เจ้าฟังข้าพูดเข้าใจ?!” 


 


 


ก็แค่ประโยคนี้เท่านั้นล่ะ! เจ้าใบ้ผงกศีรษะเบาๆ  


 


 


“เจ้าใบ้ เจ้าช่างร้ายกาจเสียจริง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลรินดั่งสายฝน “เสด็จพ่อสิ้นไปแล้ว ข้าเลี้ยงเสี่ยวซ่าเอ่อร์มู่ตัวคนเดียว ลำบากมากเลย! ผู้อื่นต่างมีหูมีปาก แต่พวกมันไม่เคยรู้ว่าข้ากำลังพูดอะไรอยู่ บนโลกนี้ผู้ที่ฟังข้าพูดเข้าใจเพียงหนึ่งเดียวก็มีแต่เจ้าแล้ว!” 


 


 


อวี้เจียที่กำลังหลั่งน้ำตางดงามใสและบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ ในห้วงเวลาที่ปราศจากการสวมหน้ากาก นางหาใช่เจ้าดินแดนที่งามล้ำเลิศกอปรด้วยสติปัญญาและแผนการที่ปกครองทุ่งหญ้าคนนั้นอีกต่อไป แต่เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยที่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ที่รู้จักยิ้มและหัวเราะคนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


ประโยคนี้ฟังไม่ออกอีกแล้ว! เจ้าใบ้ยิ้มขื่น 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใบหน้าประดับด้วยหยาดน้ำตา มองเจ้าใบ้หลายครั้ง ทันใดนั้นก็ยืนขึ้นพร้อมกดเขาให้นั่งลงบนเตียงงาช้าง พูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้านั่งตรงนี้ นั่งให้ดี!” 


 


 


นี่จะทำอะไรน่ะ? ผ้าห่มใต้ร่างอ่อนนุ่ม ทว่าเจ้าใบ้กลับนั่งอยู่ไม่เป็นสุข อวี้เจียมองเขา พูดด้วยความหนักแน่นและยึดมั่นออกมาว่า “ข้าต้องตามหาสิ่งที่เป็นของข้ากลับมาทั้งหมด ไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติมาทำให้ข้าลืม! เจ้าใบ้ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็อยากจะเห็นเจ้า!” 


 


 


นิ้วมือเรียวยาวห้านิ้วกางออกเล็กน้อย เพียงชั่วพริบตาก็เคลื่อนมาดึงหน้ากากที่อยู่บนศีรษะเจ้าใบ้ 


 


 


จำเป็นด้วยหรือ การลืมเลือนเดิมทีก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว!! หลินหว่านหรงความรู้สึกหลากหลายระคนอยู่ในใจ สองมือกำจนส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ กลับรู้สึกไม่อาจหักใจลงมือ 

 

 

 


ตอนที่ 606 - 2 ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ข...

 

“เคร้ง!” เสียงอาวุธกระทบกันดังกระจ่างชัด กรีดทะลุผ่านความเงียบสงัดภายในห้องภายในชั่วพริบตา 


 


 


“ผู้ใดเอะอะโวยวายอยู่ข้างนอก?!” มือเรียวยาวของอวี้เจียชะงักเล็กน้อย นางหมุนกายแล้วตวาดด้วยโทสะ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเย็นชา สองตาล้ำลึก ทั้งสูงส่งที่มากบารมี สาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ใสซื่อปลาสนาการไปภายในชั่วพริบตา ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือท่านข่านดาบทองผู้สงบเยือกเย็นและมากด้วยสติปัญญา 


 


 


“ใครกล้าขวางข้า…” มีเสียงตวาดด้วยโทสะของบุรุษคนหนึ่งดังมามาแต่ไกล ตามมาด้วยเสียงอาวุธกระทบกัน “ท่านข่านใหญ่ อวี้เจีย เหตุใดพระองค์ถึงไม่พบถูสั่วจั่ว?! เจ้าเศษสวะเยวี่ยซื่อ เจ้าไสหัวออกมาให้ข้า! ถูสั่วจั่วต้องการสู้ศึกตัดสินเป็นตายกับเจ้า!” 


 


 


อวี้เจียสายตาเย็นชา เสียงพูดด้วยความตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกของนางกำนัลผู้เป็นหัวหน้าคนนั้นดังมาจากนอกประตู “ทูลท่านข่านใหญ่ ท่านอ๋องขวาส่งเสียงเอะอะโวยวายอยู่นอกวัง บอกว่าต้องพบพระองค์ให้จงได้! ตอนนี้กำลังปะทะกับทหารรักษาการณ์อยู่เพคะ!” 


 


 


ท่านข่านใหญ่แค่นเสียงด้วยโทสะ ขณะกำลังจะผลักประตูออกไป จู่ๆ ก็รั้งฝีเท้า นางหมุนกายพร้อมจับมือเจ้าใบ้ กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “เจ้าออกไปพร้อมข้า! ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่ ใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้!” 


 


 


ข้ากลัวมัน? คำพูดนี้ตรงข้ามแล้วกระมัง หรือว่าที่มันพิการไปทั้งร่างคือตกลงมาจากหลังม้าด้วยตัวเอง? หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ ผงกศีรษะด้วยท่าทีเสแสร้งว่ากังวล 


 


 


อวี้เจียหันกลับไปมองด้วยความอาวรณ์ มือน้อยดิ่งกระดิ่งอูฐเบาๆ คราหนึ่ง ทั้งสองเดินก้าวข้ามประตูท่ามกลางเสียงกระดิ่งดังสดใส เพิ่งก้าวเข้าไปในสวนก็ได้ยินเสียงตวาดคำรามอ๊าๆ ด้วยโทสะจากข้างนอก ถูสั่วจั่วที่ขาหักอยู่กำลังเงื้อดาบโค้งบุกเข้ามาโดยไม่สนใจการขัดขวางจากทหารองครักษ์ 


 


 


เมื่อเห็นอวี้เจียออกมา ถูสั่วจั่วก็นิ่งอึ้ง พูดด้วยความยินดีออกมาทันที “อวี้เจีย…ท่านข่านใหญ่ พระองค์ออกมาแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ยอมพบแล้ว!” 


 


 


อวี้เจียแววตาเย็นเยียบ สายตาไปอยู่ที่ดาบโค้งในมือมัน กล่าวอย่างเรียบเฉยออกมาว่า “อ๋องขวา เจ้าจะก่อกบฏหรือ?!” 


 


 


“เคร้ง” ดาบโค้งในมือถูสั่วจั่วร่วงลงพื้นในบัดดล มันไม่สนขาข้างที่หัก รับค้อมกายก้มศีรษะ เจ็บปวดจนหน้าซีด “ถูสั่วจั่วมิบังอาจ เพียงแต่ข้าขอเข้าเฝ้าท่านข่านใหญ่ด้วยความร้อนใจ ถึงได้หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ! ขอท่านข่านใหญ่โปรดประทานอภัยด้วย!” 


 


 


“หุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ?” อวี้เจียกล่าวไม่เร็วไม่ข้า “แคว้นข่านทูเจวี๋ยของเราไม่มีกฎระเบียบอย่างนั้นหรือ? ตอนที่เสด็จพ่อของข้ายังอยู่ เจ้าจะหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะเยี่ยงนี้หรือไม่?! บุกรุกสถานที่หวงห้ามโดยพลการ ส่งเสียงตวาดคำรามในวังหลัง เรื่องนี้เจ้าไม่ใช่แค่ต้องแก้ตัวกับข้าเท่านั้น แต่ยิ่งต้องแก้ตัวกับราษฎรทูเจวี๋ยอีกด้วย” 


 


 


คำพูดนี้หนักหนายิ่งนัก อวี้เจียรับสืบทอดบัลลังก์จากท่านข่านใหญ่ก็แค่ครึ่งปีกว่า กำลังอยู่ในช่วงสร้างบารมี ถูสั่วจั่วหน้าซีดเผือด ฟันดาบโค้งเสียงดัง “ฉับ” ในบัดดล นิ้วโป้งมือซ้ายปลิวหมุนออกไป โลหิตไหลทะลัก หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตะลึงงัน ไม่เสียทีที่เป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ย เจ้านี่ช่างเ**้ยมสมชื่อ! 


 


 


“นี่เจ้าทำอะไร?” อวี้เจียรีบเดินเข้าไปหนึ่งก้าวพร้อมกล่าวด้วยความห่วงใย “อ๋องขวาเป็นเสาหลักของทูเจวี๋ยเรา เหตุใดถึงทำร้ายร่างกายตนเอง? มาเร็ว มาทายาทำแผลให้ท่านอ๋องขวา!” 


 


 


ถูสั่วจั่วผลักทหารรักษาพระองค์ที่เข้ามาทายา ปล่อยให้นิ้วมีโลหิตไหลทะลัก ก้มกายหมอบกราบพร้อมพูดว่า “ใจที่ถูสั่วจั่วมีต่อท่านข่านใหญ่ ฟ้าดินเป็นพยาน!” 


 


 


ต่อให้อ๋องขวาจะวางอำนาจมากอีกสักเพียงใด ทว่าความรู้สึกที่มีต่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับจริงแท้แน่นอน เพียงแต่มันกลับไร้ความสามารถที่จะสยบอวี้เจีย หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ 


 


 


“อ๋องขวารีบลุกขึ้นเถิด!” อวี้เจียประคองถูสั่วจั่วขึ้นด้วยตนเอง มีทหารองครักษ์สองนายเข้ามาพยุงเขาขึ้นแล้ว  


 


 


เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดีขึ้น ข้างกายถูสั่วจั่วก็มีคนผู้หนึ่งรีบออกมาข้างหน้าพร้อมหมอบกราบ พูดเสียงดังออกมาว่า “กระหม่อมทายาทเฉิงอ๋องเจ้าคังหนิงแห่งต้าหัว ถวายบังคมท่านข่านดาบทอง ขอท่านข่านใหญ่ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง งดงามยั้งยืนยง” 


 


 


นี่คือภาษาต้าหัวของแท้ หลินหว่านหรงได้ยินไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ลอบเคียดแค้นอยู่ในใจ ชิงเสวียนกับเซียนเอ๋อร์ทำไมถึงมีลูกพี่ลูกน้องแบบนี้ได้นะ ช่างน่าขายขี้หน้าจนถึงบ้านท่านยายมันแล้ว 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเจ้าคังหนิงที่หมอบกราบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นชาด้วยความดูแคลน “ทายาทเฉิงอ๋อง? ต้าหัวยังมีเฉิงอ๋องอยู่อีกหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้?!” 


 


 


การตบหน้าครั้งนี้ช่างดังดีเสียจริง เจ้าคังหนิงหน้าแดงดั่งตับหมู หมอบกราบกรานพูดพึมพำ ไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไร หลินหว่านหรงรู้สึกสาแก่ใจ อยากจะกอดเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้วหอมสักสองฟอดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป 


 


 


“อ๋องขวาขอพบข้ามีเรื่องอันใด?!” อวี้เจียไม่สนใจเจ้าคังหนิง หันไปหาถูสั่วจั่ว ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


อ๋องขวามองคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหลังนาง กัดฟันกรอดแล้วตอบว่า “ถูสั่วจั่วมีคำขอเพียงหนึ่งเดียว ขอท่านข่านใหญ่โปรดทรงอนุญาต” 


 


 


เมื่อเห็นสายตาเคียดแค้นของถูสั่วจั่วก็รู้ว่ามันไม่ได้มีเจตนาดี อวี้เจียดึงเจ้าใบ้ไปข้างหลัง พูดเบาๆ ว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้ายืนข้างหลังข้า มีข้าอยู่ เขาไม่กล้าทำอะไรเจ้า” 


 


 


ฟังนางพูดไม่เข้าใจ แต่กลับรู้ว่านางหมายความว่าอะไร เจ้าใบ้จิตใจร้าวรอน จับมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์พลางก้มหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาอันเปล่งประกายของเขา อวี้เจียพลันนิ่งงันไปทั้งร่าง “ข้าเคยพบเจ้า ข้าต้องเคยพบเจ้าแน่!” นางอื้นโดยไม่รู้ตัว พูดพึมพำกับตัวเอง คล้ายกำลังค้นหาอะไรบางอย่างอย่างสุดกำลัง  


 


 


ความห่วงใยที่ท่านข่านใหญ่มีต่อคนเผ่าเยวี่ยซื่อปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ ถูสั่วจั่วแทบจะคลั่ง มันใช้มือที่โลหิตไหลรินชี้เจ้าใบ้พร้อมพูดเสียงดังทันที “ทูลท่านข่านใหญ่ ถูสั่วจั่วต้องการสู้ตัดสินชี้เป็นชี้ตายกับเจ้าคนเผ่าเยวี่ยซื่อคนนี้ต่อหน้าดินแดนที่ได้ชัยชนะทั้งหมดอีกครั้ง! เจ้าใบ้ เจ้ากล้าหรือไม่กล้ารับ?!” 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่มันกำลังเห่าหอนอะไรอยู่ เจ้าใบ้เบะปากอย่างดูแคลน เมื่อกวาดตามองกลับเห็นเจ้าคังหนิงซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นกำลังแอบมองประเมินเขาอยู่  


 


 


“หึ” เขาถลึงตาใส่ทันที มองอ๋องหนิงด้วยสายตามีโทสะ เจ้าคังหนิงตกใจจนสั่นสะท้าน รีบหมอบอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับอีกต่อไป จัดการกับคนพรรค์นี้ การหลบเลี่ยงก็มีแต่จะยิ่งสร้างความสงสัยให้มัน ไม่สู้ให้ตัวมันหดหัวกลับไปอย่างว่าง่ายจะดีกว่า 


 


 


“สู้ตัดสินเป็นตาย?!” อวี้เจียถอนหายใจเล็กน้อย “ถูสั่วจั่ว ตอนนี้เจ้ายังมีคุณสมบัติพูดเรื่องนี้อยู่อีกหรือ?!” 


 


 


ในการแข่งขันชิงแพะ ถูสั่วจั่วถูกเจ้าใบ้ของเยวี่ยซื่อทำให้ร่วงลงจากม้าทุกคนต่างเห็นกับตา หากบอกว่าสู้ตัดสินชี้เป็นชี้ตาย อ๋องขวาในตอนนั้นก็น่าจะตายไปแล้ว! ไหนเลยจะปล่อยให้มันมาขอสู้อีกครั้งในตอนนี้ได้อีก? 


 


 


“เจ้าใบ้ พวกเราไปกันเถอะ!” ท่านข่านใหญ่ส่ายหน้าเล็กน้อย พาเจ้าใบ้เดินมุ่งหน้าไป 


 


 


“อวี้เจีย…” ถูสั่วจั่วร้อนใจแล้ว กระเด้งขาเดียวขึ้นมา รีบขวางอยู่เบื้องหน้านาง “——ท่านข่านใหญ่ ขอพระองค์โปรดทรงประทานโอกาสให้ข้าอีกครั้งหนึ่ง พวกเราเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นพระองค์ ถูสั่วจั่วก็สาบานแล้วว่าจะต้องสู่ขอพระองค์มาเป็นภรรยาให้จงได้ หลายปีนี้ขึ้นเหนือล่องใต้เพื่อออกรบ ทำลายเถี่ยเล่อ สยบทุ่งหญ้า ถูสั่วจั่วไม่เคยขอรับรางวัลจากท่านข่านมาก่อน ใจข้ามีเพียงความหวังเดียวเท่านั้น นั่นคือขอท่านข่านโปรดทรงประทานอวี้เจียผู้งดงามและชาญฉลาดมากที่สุดบนทุ่งหญ้าให้เป็นภรรยาของถูสั่วจั่ว อวี้เจีย ท่านข่านใหญ่ ถูสั่วจั่วยินดีตายเพื่อพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงประทานโอกาสให้ข้าอีกครั้ง!” 


 


 


ถูสั่วจั่วอารมณ์พลุ่งพล่านจนใบหน้าแดงก่ำ ลูกตาที่ถลนออกมาเต็มไปด้วยเส้นเลือด น่ากลัวมากเป็นพิเศษ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบว่า “ถูสั่วจั่ว ข้าซาบซึ้งต่อความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ามาก เพียงแต่ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว! ขณะที่แขวนดาบทอง ข้ามอบโอกาสให้บุรุษแห่งทุ่งหญ้าทุกคน เป็นเจ้าที่สูญเสียมันไปเอง! กติกาการแข่งขันชิงแพะที่บรรพชนของพวกเราตั้งไว้เพื่ออะไร? หากข้าทำเพื่อเรื่องส่วนตัวเพราะเจ้าเป็นอ๋องขวา เช่นนั้นผู้ที่พ่ายแพ้ทุกคนก็มาขอโอกาสครั้งที่สองกับข้าได้ นี่ถือเป็นการลบหลู่ผู้กล้า! โอกาสมีให้ทุกคนแค่ครั้งเดียว เจ้าเป็นเช่นนี้ ผู้กล้าใบ้ก็เป็นเช่นนี้” 


 


 


คำพูดอันแผ่วเบาและอ่อนโยนของอวี้เจียประหนึ่งดาบที่ทิ่มแทงใจอ๋องขวา พูดไปพูดมา ก็ต้องโทษที่ตัวเองที่คว้าโอกาสไม่ได้ และยิ่งต้องโทษเจ้าคนถ่อยต่ำช้าเยวี่ยซื่อคนนั้น มันมองข้ามท่านข่านใหญ่ จ้องมองคนเผ่าเยวี่ยซื่อเขม็ง สองตาแดงก่ำ ตวาดออกมาว่า “เจ้าใบ้ ข้าไม่มีทางละเว้นเจ้า พวกเราไปเจอที่งานเลี้ยง!” 


 


 


มารดามัน เป็นเจ้าเป๋บวกขันทีก็ยังกล้ามาดุต่อหน้าข้าขนาดนี้? ดูท่ายังอัดมันโหดไม่พอ! อ๋องขวาถูกองครักษ์สองนายประคองจากไปแล้ว หลินหว่านหรงถ่มน้ำลายอย่างดุดัน คิดด้วยความรู้สึกเดือดดาล 


 


 


“เจ้าใบ้ เจ้าจะร้องไห้เพื่อสตรีที่ชอบหรือไม่?” ท่านข่านใหญ่พลันจับมือเขาพร้อมเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาและอ่อนโยน 


 


 


ฟังไม่รู้เรื่อง! เจ้าใบ้ร้องอ๊าๆ ออกมาหลายครั้งทันที เหมือนเสียงห่านร้อง! 


 


 


ห้องโถงใหญ่ที่ใช้จัดงานเลี้ยงอยู่ห่างจากวังหลังของอวี้เจียไม่ถึงหนึ่งลี้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ คนยังไม่ทันเข้าพระตำหนัก เสียงเอะอะโวยวาย กลิ่นสุราอาหารก็ลอยเข้ามาแล้ว 


 


 


งานเลี้ยงของชาวทูเจวี๋ยอะไรที่ว่าแม้ห่างไกลจากคำว่าพิถีพิถัน ทว่ากลับพร้อมพรั่งยิ่งนัก บนโต๊ะมีเนื้อวัวต้มสูงชิ้นโตวางสุมเต็มไปหมด บนคานย่างจำนวนสามสิบกว่าคานแขวนแพะย่างทั้งตัวที่เปล่งประกายมันวาว บนตัวแพะย่างทุกต่างเสียบดาบโค้งทูเจวี๋ยสองเล่มเพื่อบริการให้คนเถือแบ่ง น้ำมันหยดลงบนกองไฟไม่หยุด ส่งเสียงดังเพียะๆ เบาๆ สุรานมม้าหกสาดกระจายไปทั่ว กลิ่นฉุนรุนแรงลอยเข้าจมูก ถึงกระนั้นกลับกระตุ้นพยาธิในท้องคน  


 


 


แม้เป็นงานเลี้ยงที่ท่านข่านใหญ่จัดขึ้น แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเคยชินของชนเผ่านอกด่านได้ เมื่อเห็นแพะตัวไหนที่ย่างจนสุกก็จะไม่สนใจสิ่งใด ใช้มือที่เปื้อนน้ำมันคว้าจับ ชนเผ่านอกด่านที่มีอยู่ทั่วพระตำหนัก แต่ละคนต่างใบหน้ามันวาว มือมันวาว มีเพียงไม่กี่คนที่กินอย่างมีมารยาท ใช้ดาบหั่นเป็นชิ้นเล็กแล้วค่อยเคี้ยว เมื่อมองให้ดีกลับเป็นพวกของเหล่าหู 


 


 


ผู้กล้าที่ปิดหน้าในพระตำหนักใหญ่มีจำนวนไม่มากแล้ว พวกของเหล่าหูคือเยวี่ยซื่อที่ได้รับชัยชนะ ท่าข่านดาบทองยังไม่มา ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเปิดหน้ากากของพวกเขา 


 


 


“ถวายบังคมท่านข่านใหญ่!” เมื่อเห็นอวี้เจียเข้ามาแล้ว ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ภายในพระตำหนักจึงรีบวางขาแพะน่องแพะลง มือที่เปียกและมันแตะที่อก แสดงการคารวะด้วยความเคารพนบนอบ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะพร้อมผงกศีรษะ “ผู้กล้าทุกท่านสนุกต่อไปเถอะ!” 


 


 


เมื่อเห็นแม่ทัพหลินเข้ามาในพระตำหนักตามหลังอวี้เจีย พวกของหูปู้กุยก็ยินดีเป็นล้นพ้น รีบกรูเข้ามา 


 


 


ชนเผ่านอกด่านภายในพระตำหนักแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งอยู่บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ใกล้บัลลังก์ภายในท้องพระโรง มีราวยี่สิบสามสิบคนได้ ยิ่งเข้าใกล้บัลลังก์มากเท่าใด สถานะก็ยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น ถูสั่วจั่วที่ขาพิการนั่งเป็นประธาน ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองเยวี่ยซื่ออย่างเย็นชา ส่วนอีกฝ่ายกลับเป็นเหล่าผู้กล้าที่เอาชนะการแข่งขันชิงแพะได้สามรอบ มีราวร้อยกว่าคน พวกมันนั่งอยู่กลางพระตำหนักใหญ่ ส่วนใหญ่ปลดหน้ากากลงแล้ว กำลังกล่าวทักทายสหายอย่างคึกคัก 


 


 


“เสด็จพี่ ท่านมาแล้ว!” ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่วิ่งลงมาจากบัลลังก์ราวกับโผบิน กุมมืออวี้เจียแน่น เขามองเจ้าใบ้ที่อยู่หลัง อวี้เจียพร้อมถามด้วยความประหลาดใจ “ผู้กล้า เจ้ามาพร้อมกับท่านข่านใหญ่หรือ?!” 


 


 


“เขาย่อมมาพร้อมกับข้า” ใบหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงระเรื่อเล็กน้อย  


 


 


“ข้ารู้แล้ว” ซ่าเอ่อร์มู่ผงกศีรษะ ควักดาบทองออกมาจากอก “เสด็จพี่ มอบให้ท่าน!” 


 


 


อวี้เจียอืมเล็กน้อย รับดาบทองมากุมอยู่ในมือ มองเจ้าใบ้หลายครั้ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป “ซ่าเอ่อร์มู่ เหล่าผู้กล้าในท้องพระโรงนี้เจ้าจำได้หมดแล้วหรือไม่?” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน” ข่านน้อยผงกศีรษะอย่างเป็นการเป็นงาน ชี้ไปที่แต่ละดินแดนที่อยู่กึ่งกลาง “ทุกคนต่างเป็นผู้กล้าที่เอาชนะสามครั้งขึ้นไป ข้าปลดหน้ากากด้วยตนเอง ข้ายังดื่มสุรากับเขาทุกคนอีกด้วย ชื่อข้าก็เรียกถูก ใช่หรือไม่ ผู้กล้าทั้งหลาย?!” 


 


 


“พวกเราจะจดจำพระมหากรุณาธิคุณของท่านข่านน้อยไปตลอดกาล!” ดินแดนหลายสิบดินแดนตะโกนพร้อมกัน หน้ากากที่ถูกท่านข่านน้อยปลดออกถือเป็นเกียรติยศ สิ่งนี้เป็นทุนรอนเพียงพอให้พวกมันภาคภูมิใจได้! 


 


 


“ดีมาก ซ่าเอ่อร์มู่!” อวี้เจียตบบ่าข่านน้อยด้วยความยินดี ชี้ไปด้านล่างบัลลังก์พร้อมเอ่ยว่า “ยังมีเหล่าเชื้อพระวงศ์และพระญาติเหล่านี้อีก พวกเขายิ่งเป็นเสาหลักสำคัญของทูเจวี๋ยเรา เจ้าควรไปดื่มสุรากับพวกเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากพวกเขาด้วย!” 


 


 


ข่านน้อยตอบอย่างภาคภูมิ “เสด็จพี่ พระญาติเหล่านี้ข้าก็ดื่มด้วยแล้ว!” 


 


 


“ข่านน้อยทรงมีพระทัยกว้างขวาง! ท่านข่านใหญ่ทรงสั่งสอนอย่างดี!” ใต้บัลลังก์ ราชนิกุลทั้งหมดต้องค้อมกายแสดงการคารวะ แม้แต่ถูสั่วจั่วก็ยังลุกส่ายโอนเอนขึ้นมาด้วย นอกจากลู่ตงจ้านกับปาเต๋อหลู่ ยอดคนของทูเจวี๋ยทั้งหมดต่างรวมตัวกันที่นี่แล้ว 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เบ้าตาแดงเล็กน้อย กล่าวด้วยความภูมิใจออกมา “ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้าช่างยอดเยี่ยม พี่ภูมิใจแทนเจ้า” 


 


 


หูปู้กุยตื่นตะลึงอยู่บ้าง เจ้าเด็กนี่ดื่มทางนั้นทีทางนี้ที หรือว่ามันจะเป็นเซียนสุรา? หลินหว่านหรงกลับมีจิตใจกระจ่างแจ้ง ผู้ที่มีความสามารถมากหาใช่ข่านน้อย แต่เป็นอวี้เจียที่ใช้ฝีมืออันล้ำเลิศของนาง ผสมยาแก้เมาเล็กน้อย แต่ก็ยังยากเย็นนักกว่าจะดื่มได้ราวกับน้ำ นางกำลังบ่มเพราะบารมีให้ซ่าเอ่อร์มู่ทุกด้าน ความลำบากพากเพียรปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน 


 


 


ท่านข่านใหญ่ประคองมือข่านน้อย สองพี่น้องนั่งลงบนบัลลังก์ทูเจวี๋ยซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดนั้นอย่างแช่มช้า พระตำหนักใหญ่เงียบสงัดโดยพลัน 


 


 


“ทูลท่านข่านใหญ่ ยังมีดินแดนสุดท้ายกำลังรอคอสองพระหัตถ์อันสูงส่งของพระองค์เพื่อเปิดหน้ากากให้อยู่!” เสียงของนักบวชทูเจวี๋ยลอยมาอย่างแช่มช้า ภายในพระตำหนักครึกครื้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าดินแดนสุดท้ายคือผู้ใด นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดในการแข่งขันชิงแพะแล้ว 


 


 


พลุเจิดจ้าหลายดอกส่องสว่างท้องฟ้านอกเมืองเค่อจือเอ่อร์ หูปู้กุยชะเง้อมอง รู้สึกยินดียิ่งนัก รีบส่งสายตาให้ทุกคน เผ่าเยวี่ยซื่อสิบกว่าคนยืนขึ้นโดยไม่ให้รู้ตัว เข้าใกล้คานที่แขวนแพะนั้น มือกุมดาบโค้งที่เปื้อนคราบน้ำมันเต็มไปหมดนั้นแน่น ชาวทูเจวี๋ยเห็นพวกเขามีท่าทีดุดันห้าวหาญ กลับยังนึกว่าพวกเขาจะเรียงแถวเพื่อรับคำอวยพรจากท่านข่านใหญ่ เสียงแห่งความยินดีจึงยิ่งครึกครื้นมากยิ่งขึ้น  


 


 


อวี้เจียค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างแช่มช้า ออกแรงกุมดาบทองในมือแน่น ขณะกำลังจะเอื้อนเอ่ยวาจา กลับเห็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยพยายามออกแรงยืนขึ้นอย่างเต็มที่พร้อมพูดเสียงดัง “ช้าก่อน!” ถูสั่วจั่วหมุนกาย ใช้มือเดียวทาบอก เผชิญหน้าอวี้เจียพร้อมกล่าวด้วยความเคารพ “ทูลท่านข่านใหญ่ ในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า ถูสั่วจั่วต้องการสู้ตัดสินกับผู้กล้าใบ้ ไม่ตายไม่เลิกรา!” 


 


 


“เจ้า…” อวี้เจียโกรธจนหน้าซีด มือที่กุ่มดาบทองสั่นไม่หยุด 


 


 


ภายในพระตำหนักใหญ่บังเกิดความวุ่นวาย แม้จะบอกว่าคำขอของถูสั่วจั่วออกจะเกินเลยไปบ้าง แต่การได้เห็นผู้กล้าใบ้แสดงฝีมือ สิ่งนี้แทบจะเป็นความหวังของทุกคน 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ทำอย่างไรดี?!” หูปู้กุยรีบพูดกดเสียงต่ำ 


 


 


“เตรียมตัวลงมือ!” หลินหว่านหรงแค่นสี่คำออกมาด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก ถือดาบทื่อในมือ สาวเท้ายาวๆ ก้าวไปข้างหน้า  


 


 


นี่ผู้กล้าใบ้เป็นอะไรไป ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง มองเขาด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร 


 


 


เจ้าใบ้เดินมาข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว เดินไปข้างกายถูสั่วจั่วอย่างแช่มช้า จ้องมองมันด้วยสายตาเย็นชา 


 


 


“เจ้าจะทำอะไร?!” อ๋องขวาทูเจวี๋ยกระเด้งขาเดียวขึ้นมา ตื่นตระหนกจนรีบถอยหลังไปสองก้าว ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาก็รู้สึกว่ามีหมัดหนักๆ กระแทกหน้าผากตัวเองหมัดหนึ่ง “ทำมารดาเจ้าน่ะสิ!” 


 


 


ความเคลื่อนไหวนี้เพียงชั่วประกายไฟ ทุกคนยังไม่ทันรู้สึกตัว ร่างกายถูสั่วจั่วก็ล้มครืนลงกับพื้นแล้ว เจ้าคังหนิงที่อยู่ข้างมันตกใจจนกลิ้งตะเกียกตะกายมุดลงขั้นบันไดไป วิธีการอันป่าเถื่อนเช่นนี้มันคุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยได้อีก ชี้นิ้วรัวด้วยความตกใจ พูดจาติดอ่าง “เจ้า เจ้าคือ…” 


 


 


“เจ้าใบ้…” อวี้เจียเบิกตาโพลง หน้าอกสะท้อนขึ้นลงเร็วรี่ มองเขาอย่างเหม่อลอย 


 


 


ในดวงตาผู้กล้าผุดประกายน้ำบางๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “ขอโทษด้วย น้องสาว ชาติหน้าจะเป็นเจ้าใบ้ของเจ้า!!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม