แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ 601-619
บทที่ 601 ปล่อยซอมบี้ตัวนั้นเดี๋ยวนี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิงม่อคิดอย่างนี้
เดิมศพน้ำเหล่านี้ล้วนเคยเป็นซอมบี้ธรรมดามาก่อน แต่ตัวแพร่เชื้อนั่นใช้วิธีการบางอย่างทำให้พวกมันมารวมตัวกันที่นี่
จับ ล่อลวง หรือค่อยๆ นำเข้ามาทีละชุด…สรุปว่ามีความเป็นไปได้ทุกทาง หลิงม่อไม่อาจเดาได้ในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรเสียเวลาไปคิดเรื่องอย่างนี้
หลังจากที่ซอมบี้เหล่านี้ถูกนำตัวมาที่นี่ พวกมันก็ได้ถูกเชื้อไวรัสชนิดแพร่ใส่
อาจถูกแพร่เชื้อผ่านการกัด หรืออาจด้วยวิธีอื่นๆ…
แต่ซอมบี้ส่วนใหญ่ไม่อาจรองรับเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ ดังนั้นซอมบี้โชคร้ายพวกนั้นจึงได้กลายเป็นศพน้ำ
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ พวกมันตายในระหว่างที่กำลังกลายร่าง แต่ศพของพวกมันกลับไม่เน่าเสีย แต่กลายเป็นปุ๋ยแทน ซึ่งทำหน้าที่ม่านสกัดกั้นพลังจิตและป้องกันกลิ่นไม่ให้แพร่กระจายออกไป
ก๊าซร้อนชื้นในร่างกายที่พวกมันสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่แน่ว่าอาจก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกได้เลยทีเดียว…
สุดยอดปุ๋ยหมื่นสรรพคุณชัดๆ!
ทว่ากลับมีส่วนน้อยในพวกมัน ที่สามารถกลายพันธุ์ด้วยเชื้อไวรัสมหาภัยนี้จนสำเร็จ และกลายเป็นซอมบี้กลายร่างในที่สุด
ซอมบี้กลายร่างพวกนี้กับซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ที่หลิงม่อค้นพบ มีความแตกต่างกันมาก
การกลายพันธุ์ของซอมบี้กลายร่างมีจุดเด่นอยู่ตรงรูปลักษณ์ภายนอก โดยส่วนมากจะเป็นที่แขนขาและประสาทสัมผัสทั้งห้า (จมูก ตา ปาก หู ลิ้น) มีจำนวนน้อยที่เกิดการกลายพันธุ์กับอวัยวะภายใน ส่วนมากแล้วจะสามารถแยกออกทันทีที่เห็น
แต่ซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ไม่เหมือนกัน หากพวกมันไม่เป็นฝ่ายเปิดเผยออกมาก่อน พวกมันก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากซอมบี้ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
โดยสรุปก็คือ ซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ก็คือผลผลิตที่เกิดจากการรวมร่างของซอมบี้ธรรมดาและซอมบี้กลายร่าง…
แต่ซอมบี้ที่อยู่ในนี้เป็นซอมบี้กลายร่างอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไรพวกหลิงม่อก็เจอมาแล้วหลายตัว
ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่ซอมบี้พวกนี้ควรออกจากเตาอบแล้ว หรือเป็นเพราะถูกพวกเขาทำให้แตกตื่น ถึงได้ออกจากโรงงานมากันอย่างนี้…
แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ ที่นี่ต้องอยู่มานานแล้วแน่นอน และซอมบี้กลายร่างที่ผลิตขึ้นมาก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มนี้เท่านั้น
ก็เหมือนกับหัวหน้าแก๊งค์ซอมบี้ที่พวกเขาเจอข้างบนเมื่อกี้ ดูอย่างไรก็เหมือนเป็นผลผลิตที่ถูกสร้างขึ้นจากที่นี่
ที่หัวหน้าแก๊งค์ตัวนั้นถูกล่อเข้ามา ไม่แน่อาจเป็นเพราะพวกหลิงม่อเข้าใกล้โรงงานใต้ดินแห่งนี้เกินไปก็ได้…
“ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วเวลากว่าครึ่งปีที่ผ่านมาผลิตไปได้กี่ตัวแล้วล่ะ? หรือว่าเพิ่งเริ่มเปิดกิจการได้ไม่นาน? แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวของที่นี่ก็ยังไม่กลายเป็นขยะ แต่กลับสามารถนำมาใช้ประโยชน์ซ้ำได้อีก…ช่างเป็นโรงงานที่สุดยอมจริงๆ! แต่ไม่รู้ว่าผู้จัดการโรงงานอยู่ที่ไหน…” หลิงม่อคิดในใจ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวแต่คิดมาก ซอมบี้ตัวที่กำลังพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากเมือกบนกำแพงนี้ ใกล้จะทะลวงพันธนาการชั้นสุดท้ายออกมาได้แล้ว! หากปล่อยให้มันเป็นอิสระ ที่นี่ก็จะมีซอมบี้กลายร่างน้องใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว นั่นไม่เท่ากับเป็นการเพิ่มปัญหาหรือ?
หลิงม่อยัดไฟฉายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ เหลือไว้เพียงแสงรางๆ มืออีกข้างก็คลำหามีดต่อสู้ที่ตกพื้นไปเมื่อกี้
ขั้นตอนเหล่านี้ทำให้หลิงม่อสะอิดสะเอียนสุดๆ ที่นี่มีพื้นอาคารเรียบๆ ที่ไหนล่ะ มีแต่เมือกเต็มไปหมด!
พอเขาคว้ามีดได้ ก็รีบสะบัดเมือกที่ติดอยู่เต็มฝ่ามือออกอย่างขยะแขยงทันที “อี๋ๆๆ ติดเต็มมือไปหมดเลย…”
โชคดีที่มันแค่น่าขยะแขยงเท่านั้น ฝ่ามือเขาไม่มีบาดแผล แค่เชื้อไวรัสที่แทรกซึมผ่านรูขุมขนเข้าไปยังไม่ถึงขั้นทำให้เขาติดเชื้อได้
ถ้าหากแค่นี้ยังทำให้เขาติดเชื้อได้ เชื้อไวรัสซอมบี้รวมถึงเชื้อไวรัสซอมบี้กลายร่างมากมายที่อยู่ในตัวเขา ก็คงกลายเป็นแค่ของไร้ค่าไปแล้ว
ถ้าอย่างไรก็ดูดกลืนน้ำหวานเพิ่มอีกนิด ไม่แน่อาจสามารถสร้างสารแอนติบอดีขึ้นมาได้บ้าง…
สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คืออากาศร้อนชื้นในนี้ ถ้าหากว่าเชื้อไวรัสเหล่านี้แค่แทรกซึมผ่านรูขุมขนก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้ ป่านนี้เขาคงกลายพันธุ์ไปนานแล้ว
ในเมื่ออยู่ในนี้มานานแต่ก็ไม่ได้กลายร่างเพราะเหตุนี้ ถ้าอย่างนั้นหากสัมผัสนิดๆ หน่อยๆ ก็คงไม่เป็นอะไร
แต่ถ้าหากปล่อยให้เลือดและเมือกสัมผัสกันโดยตรงจะอันตรายมาก ดังนั้นแม้หลิงม่อจะถือมีดไว้ แต่เขาก็ไม่ได้บุ่มบ่ามพุ่งเข้าไปทันที
ขนาดเมื่อกี้ยังไม่ถูกจับ แต่หากวิ่งเข้าไปแล้วโดนทำร้ายเอาตอนนี้ คงจะน่าอายแย่…
“กรร กรร!”
ซอมบี้ตัวนั้นคำรามเสียงต่ำอีกครั้ง ร่างกายท่อนบนของมันโน้มต่ำลงจนแทบจะขนานกับพื้นแล้ว น่าเสียดายที่อยู่ห่างกันแค่เอื้อม แต่ก็ยังคว้าไม่ถึงหลิงม่ออยู่ดี
หลิงม่อเม้มปาก เขาจับมีดแน่นแล้วสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อซอมบี้ตัวนี้ยืดตัวของมันจนสุด และใกล้จะดึงขาออกมาได้ทั้งสองข้าง หลิงม่อพลันกระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ตอนนี้พลังจิตของเขาจะใช้ไม่ได้ผลแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองใช้หนวดสัมผัสทางจิตอีกครั้ง
หนวดสัมผัสเส้นหนึ่งพุ่งเข้าไปพันมือข้างนั้นของมัน ส่วนอีกเส้นก็พุ่งเข้าไปรัดคอของมัน
แต่สิ่งที่เป็นไปตามที่คาดไว้คือ ขณะที่หนวดสัมผัสสองเส้นสัมผัสโดนร่างของซอมบี้ตัวนี้ หลิงม่อก็รู้สึกถึงแรงต้านทันที
ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ แต่หลิงม่อก็ยังฝืนกลายสภาพหนวดสัมผัสให้กลายเป็นสสารจับต้องได้จนสำเร็จ
ถึงแม้ไม่สามารถพันธนาการซอมบี้ตัวนี้ได้อย่างอยู่หมัด แต่กลับสามารถทำให้การเคลื่อนไหวของมันสะดุดไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง
“โอกาสทองมาถึงแล้ว!”
หลิงม่อเร่งฝีเท้าประชิดตัวเข้าไปตามแนวแขนของซอมบี้ตัวนี้ เขาอาศัยแรงพุ่งตัวแทงส่งมีดเข้าไปที่หน้าอกของมัน
“อึกอึกอึก…”
ดวงตาของซอมบี้เบิกกว้างขึ้นทันที มันจ้องหลิงม่อด้วยสายตาที่ดุดันและเย็นชาอยู่อย่างนั้น
หลิงม่อกัดฟัน พลันบิดข้อมือเต็มแรง
“อ๊อก…”
ปากของซอมบี้อ้ากว้างอย่างไม่สามารถควบคุมได้ มันกระอักเลือดสีดำออกมาคำโต ร่างกายกระตุกสั่นสองสามที จากนั้นก็ตัวอ่อนล้มลงไป
หลิงม่อเพิ่งจะโล่งอกได้ไม่นาน จู่ๆ เมือกที่อยู่อีกฝั่งก็มีเสียงแหวกดังขึ้น ใบหน้าหนึ่งมุดออกมาจากรอยแยกทันใด
“กรร…”
“…น่าทึ่งอะไรอย่างนี้!” หลิงม่อถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ทว่าคราวนี้เขามีความพร้อมแล้ว ไม่มีทางตกเป็นฝ่ายถูกกระทำเหมือนเมื่อกี้แน่ๆ
ซอมบี้ตัวนี้เพิ่งจะส่งเสียงคำรามได้คำเดียว ก็ถูกหลิงม่อจัดการซึ่งๆ หน้าในดาบเดียว
“อ้าว เพิ่งจะส่งเสียงร้องหลังแรกเกิด พี่ก็แทงมันตายซะแล้ว…” เสียงของซย่าน่าดังมาจากข้างหลัง
“ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ทำไมพอมันออกมาจากปากเธอ ฉันถึงได้กลายเป็นฆาตกรโรคจิตไปได้ล่ะ!” หลิงม่อพยายามดึงมีดพกออกมาสุดแรง พร้อมเบี่ยงตัวหลบออกไปด้านข้างอย่างชำนาญ
เลือดสายหนึ่งพุ่งกระฉูดออกมาจากรูแผล สาดลงบนพื้นตรงหน้ารองเท้าหนังของเขาพอดี
ซย่าน่าหามเคียวดาบไว้บนบ่า เธอมองหน้าหลิงม่อแล้วหัวเราะ “ฮิฮิ รีบมาดูเร็วว่าพวกเราหาอะไรเจอ”
“อะไร?” หลิงม่อถามอย่างสงสัย
สิบกว่าวินาทีผ่านไป สีหน้าตื่นเต้นดีใจของหลิงม่อก็ค่อยๆ ถอดสีและหายไปในที่สุด
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาทั้งคู่หรี่เล็ก มุมปากเผยรอยยิ้มแปลกๆ…
“ทำไม…แกมาอยู่ที่นี่ได้?”
จู่ๆ หลิงม่อก็ถอนหายใจ แล้วยื่นมือเข้าไป
เขาลูบหน้าผากเสี่ยวป๋าย พลางถามขึ้นว่า “ตอบมาเร็ว…ยัยซอมบี้โลลิสมองทึบตัวนั้นไปไหนแล้ว!”
“แบ๊!”
เสี่ยวป๋ายส่ายหน้าหนึ่งครั้ง มันหลับตาเพื่อรับรู้สัมผัสจากฝ่ามืออุ่นๆ ของหลิงม่อ
แต่ยังรับรู้ได้ไม่นาน จู่ๆ มันก็รู้สึกเหมือนหัวถูกกด “ฉันบอกให้พวกแกวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วตั้งแต่เมื่อไหร่หา! ไหนบอกมาสิ แกก็มีสติปัญญาอยู่บ้างใช่ไหม? แกเข้าใจที่ฉันพูดใช่หรือเปล่า? แย่ที่สุด เป็นเพราะฉันใจดีกับพวกแกมากไปใช่ไหม พวกแกก็เลยปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาอย่างนี้!”
“นี่ พี่หลิง พี่แค่เลี้ยงมันแบบปล่อยตามมีตามเกิดนะ…” ซย่าน่าเตือน
“หึหึ ปกติฉันโอ๋แกมากไปจริงๆ!” หลิงม่อด่าต่ออย่างโมโห
“ไม่ใช่ยัยอวี๋ซือหรานหรอกหรอที่คอยโอ๋มัน? มันไม่ได้อยู่กับพี่ตลอดเวลาซักหน่อย…” ซน่าน่านังคงเอ่ยขัดเสียงเบาต่อไป
“เข้าใจที่พูดใช่ไหม? ดูออกหรือเปล่าว่าฉันโมโหน่ะ?” หลิงม่อระบายความโกรธ
“คือว่า…เหมือนมันจะงงๆ นะ” คราวนี้เป็นหลี่ย่าหลินที่ดูออก…
เย่เลี่ยนเดินเข้ามาเงียบๆ จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปกอดหัวเสี่ยวป๋าย
มือของหลิงม่อที่ยกขึ้นหมายจะตบหัวต่อพลันชะงักค้างกลางอากาศ และลดมือลงอย่างจนใจ “อย่าทำอย่างนี้สิ…ฉันไม่ได้รังแกมันซักหน่อย…”
“แบ๊~” เสี่ยวป๋ายขยับตัวไปมาอย่างน้อยอกน้อยใจ มันถูไถหัวไปมาในอ้อมกอดของเย่เลี่ยน
พอเห็นว่าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้ออดอ้อนเป็นด้วย…หลิงม่อก็โมโหขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าแกไม่ใช่ตัวเมียล่ะก็…ฉันจะ…” หลิงม่อหงุดหงิดสุดๆ
ตอนนี้เขาอยากจะตะโกนออกไปดังๆ ว่า “ปล่อยยัยซอมบี้ตัวนั้นเดี๋ยวนี้ นั่นมันของฉัน!”
แต่ว่า…มีเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไขก่อน
เสียงโครมครามเมื่อกี้ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของหลิงม่อ แต่ในเมือเสี่ยวป๋ายอยู่ที่นี่ แล้วอวี๋ซือหรานล่ะ?
แถมฟังจากที่อวี๋ซือหรานพูดเมื่อกี้แล้ว ตอนนี้เสี่ยวป๋ายน่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากนี่นา…
หลิงม่อกำลังคิดจะไปตามหาต่อ แต่กลับได้ยินเย่เลี่ยนพูดขึ้นมาว่า “ปะ…เป็นอะไรไป?”
“อะไรเป็นอะไรไป?” หลิงม่อส่องไฟฉายไปทางนั้น
เสี่ยวป๋ายที่เมื่อกี้ยังทำตัวออดอ้อนออเซาะ ตอนนี้กลับโงนเงนไปมา
ร่างกายขนาดใหญ่ของมันฟุบลงกับพื้นทันใด สายตาพลันไร้ชีวิตชีวา…
ถึงแม้ในเวลาปกติมันจะมีขอบตาที่เข้มมากอยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับดูโทรมผิดปกติ
—————————————————————————–
ตอนที่ 602
บทที่ 602 แหล่งแพร่เชื้อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ที่แท้มันก็ลำบากอยู่จริงๆ
หลิงม่อรีบกระเถิบเข้าไปดูใกล้ๆ เขาอาศัยแสงไฟฉายขมุกขมัวตรวจอาการของเสี่ยวป๋าย
ตอนนี้เสี่ยวป๋ายนอนฟุบอยู่กับพื้น แขนขากางออก พร้อมกับครางเสียงเบาๆ อย่างทรมาน
พอถูกแสงสว่างส่อง มันก็พยายามยกเปลือกตาขึ้นเหลือบมองหลิงม่อ จากนั้นปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนแรง
“เป็นอะไรไปกันแน่…”
หลิงม่อไม่เคยเห็นซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์มีอาการอย่างนี้มาก่อน ดูเหมือนมันกำลัง…ป่วย?
แต่มันเป็นไปได้หรอ! มีเชื้อไวรัสตัวไหนที่สู้เชื้อไวรัสซอมบี้ได้อีก?
ทว่าในฐานะที่เป็นถึง “นักฆ่ามือฉกาจ” ผู้ไม่เคยกลัวสิ่งใด เสี่ยวป๋ายไม่ได้เกลือกกลิ้งไปมาอย่างทรมาน แต่กำลังอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ
“บนตัวมีแผล?”
หลิงม่อแหวกขนที่ทั้งหนาและยาวของมันออกเพื่อหาบาดแผล แต่กลับพบแค่แผลถลอกเล็กๆ ไม่กี่แผลเท่านั้น
แผลเล็กๆ อย่างนี้สำหรับเสี่ยวป๋ายไม่ระคายเคืองซักนิด ไม่ใช่เพราะแปลพวกนี้แน่ๆ
“อ้าปากให้ดูหน่อยซิ” หลิงม่อยื่นมือไปอ้าปากของเสี่ยวป๋าย
“แบ๊…”
พอเสี่ยวป๋ายอ้าปาก ปากของมันก็กว้างพอที่จะกลืนหัวหลิงม่อลงไปทั้งหัวเลยทีเดียว
หากเปลี่ยนคนอื่นมาเห็นปากกว้างๆ ที่อ้าอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ เดาว่าคงจะตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้าไปแล้ว
แต่หลิงม่อในฐานะผู้ควบคุม เขาไม่สนใจเรื่องอย่างนี้เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นตอนที่ปากกว้างๆ ของเสี่ยวป๋ายปรากฏตรงหน้า หลิงม่อก็มุดหัวเข้าไปข้างในโดยไม่ระวังตัว ขณะเดียวกันก็ส่องไฟฉายเข้าไปด้วย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…
“ว๊ากกก!”
ทันใดนั้นหลิงม่อส่งเสียงร้องตกใจขึ้นมา พร้อมกับถอยกรูดออกมาด้วยหน้าถอดสี
“นั่นนั่นนั่น…”
เขาชี้ไปที่ปากกว้างๆ ของเสี่ยวป๋าย หลังกลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอไป เขาก็พูดแม้จะยังไม่หายช็อก “ในคอของเสี่ยวป๋าย…”
ไม่น่าแปลกที่หลิงม่อจะตื่นอกตกใจ สำหรับมนุษย์ที่ยังปกติดีทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม ภาพที่เห็นนั้นน่ากลัวมากจริงๆ
เสี้ยววินาทีที่แสงไฟฉายส่องเข้าไป หลิงม่อเห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านในสุดของปากใหญ่ๆ นั่น!
แถมมือข้างนั้นยังกางนิ้วทั้งห้าออก เหมือนอยากจะคว้าอะไรไว้ก่อนที่จะลื่นลงไป…
จากมุมมองของหลิงม่อ มือข้างนั้นเหมือนมือที่ต้องการจะลากเขาลงนรกชัดๆ!
หลังตั้งสติ หลิงม่อจึงเพิ่งค้นพบว่าพวกเย่เลี่ยนกำลังมองตัวเองด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด
โดยเฉพาะซย่าน่า หลังจากที่เธอชะโงกหน้าเข้าไปดู เธอก็ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ก็แค่อาหารติดตอเท่านั้นเองนี่…”
“อื้มๆ!” เย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินพยักหน้าพร้อมกัน
“…”
หลิงม่อพูดไม่ออก ทำไมกลายเป็นว่าเขาทำตัวโอเวอร์ไปซะได้ล่ะ?
“ฉันเคยบอกตั้งกี่หนแล้วว่าห้ามกินอาหารมั่วซั่ว! ถึงนี่จะเป็นซอมบี้ แต่อย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเป็นคน คิดถึงความรู้สึกของฉันบ้างสิ…”
หลิงม่อทำเป็นบ่นไม่พอใจ แต่ซย่าน่ากลับถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วบอกว่า “เสี่ยวป๋าย อดทนแป๊ปหนึ่งนะ…เพื่อเจ้านายผู้โชคร้ายของแก”
“แอ๊…” เสี่ยวป๋ายครางตอบเบาๆ
“เธอจะทำอะไร?”
หลิงม่อเบิกตามองซย่าน่านั่งยองๆ ลงมา จากนั้นก็ยื่นแขนบอบบางเข้าไปในปากกว้างๆ ของเสี่ยวป๋าย
“อา จับได้แล้ว” ซย่าน่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยขึ้นมาประโยคหนึ่ง แต่จู่ๆ สีหน้าเธอก็แปลกไป “เอ๋…”
“เป็นอะไรไป?” หลิงม่อตระหนกขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่รู้เหมือนกัน…” ซย่าน่ารับคำลอยๆ แต่จู่ๆ เธอก็ดึงมือออกมาอย่างรวดเร็ว
มือข้างนั้นถูกซย่าน่ากระชากออกมา และสิ่งที่ถูกลากตามก็คือศีรษะล้านเลี่ยน และร่างกายของมนุษย์…
ตอนนี้หลิงม่อช็อกค้างไปแล้ว…
นั่นมันซอมบี้ที่ร่างกายยังครบถ้วนดีอยู่! แล้วก็…ตัวเล็กมาก!
เล็กจน…เหมือนเด็กทารกตัวน้อยๆ!
พูดให้ถูกก็คือ ซอมบี้ตัวนี้ตัวเล็กกว่าทารกทั่วไปมาก เหมือนแมวน้อยแรกเกิดอย่างไรอย่างนั้น
แต่มือข้างนั้นกลับไม่เข้ากับร่างกายของมันซักนิด มือของมันยาวกว่าตัวถึงครึ่งส่วน…
ทว่าขณะที่หลิงม่อกำลังจ้องมองด้วยความตกตะลึง จู่ๆ มือข้างนั้นที่ทำหลิงม่อตกใจเมื่อกี้ กลับยื่นมาคว้าข้อเท้าของเขา
“ว๊ากก!”
หลิงม่อตอบสนองตามสัญชาตญาณแทบจะในทันที เสี้ยววินาทีที่ถูกคว้าข้อเท้าเขายกเท้าขึ้นถีบออกไปตามจิตใต้สำนึก
“จี๊ด!”
ท่ามกลางเสียงร้องประหลาด ซอมบี้น้อยตัวนี้ลอยไปกระแทกกับผนังอย่างแรง หลังร่วงลงบนพื้นมันก็เอาแขนขาทั้งสี่แตะพื้นและจ้องหลิงม่อด้วยสายตาที่เหมือนหมาตัวเล็กๆ กำลังขู่ศัตรู
ถึงแม้รูปร่างจะไม่ต่างจากทารกนัก ทว่าดวงตาแดงเลือดคู่นั้นของมันไม่ได้สะท้อนแววตาไร้เดียงสาแต่อย่างใด กลับเป็นแววตาที่โหดเหี้ยม
ท่ามกลางกลุ่มคน เขาพุ่งเป้าไปที่หลิงม่อซึ่งเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวเหมือนที่คาดไว้
“ว้าว ตอบสนองเร็วจัง” หลี่ย่าหลินชม
“ไม่ได้กำลังดูละครอยู่นะ!” หลิงม่อพุดอย่างหงุดหงิด
“ว้าว ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย!” ซย่าน่าพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
คราวนี้หลิงม่อถึงกับคลั่งขึ้นมาทันที “เธอรู้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วใช่ไหม?”
“ถ้าไม่ลากออกมาฉันก็ยืนยันไม่ได้นี่นา” ซย่าน่าพูดเหมือนไร้ความผิด
ท่าทางของซอมบี้ทารกตัวนี้เหมือนไม่อยากออกมาจากหลอดทางเดินอาหารของเสี่ยวป๋ายเลยแม้แต้น้อย มันจ้องหลิงม่ออย่างระแวดระวัง พลางกระโดดไปมาอยู่ที่เดิมด้วยความเร็ว
“มันคงไม่ได้มองฉันเป็นเหยื่อจริงๆ หรอกใช่ไหม…” หลิงม่อมุมปากกระตุก
“อย่าเข้าใจผิด ในสายตาของมันพี่เป็นแค่เนื้อก้อนใหญ่ๆ เท่านั้นแหละ” ซย่าน่าอธิบาย “มันไม่มีทางถอยเพราะพี่ตัวใหญ่กว่าอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งตื่นเต้นเพราะเหตุนี้”
“…ขอบคุณสำหรับคำอธิบายของเธอนะ หึหึ ฉันรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย…”
หลิงม่อเองก็คอยระวังซอมบี้ทารกตัวนี้อย่างระมัดนะวัง ขณะเดียวกันก็บอกว่า “ดูเหมือนแหล่งแพร่เชื้อนั่นจะมีเป้าหมายครอบคลุมดีจริงๆ นะ แม้แต่ซอมบี้แรกเกิดก็ไม่เว้น”
“พูดอะไรของพี่น่ะ…” ซย่าน่าหัวเราะคิกคัก “ก็นี่แหละแหล่งแพร่เชื้อ”
“อะไรนะ?” หลิงม่อตะลึงค้าง
ไอ้ตัวเล็กนี่…คือแหล่งแพร่เชื้อ?!
ซย่าน่าแบมือของตัวเองให้เขาดู หลิงม่อจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ในฝ่ามืของเธอมีอะไรบางอย่างอยู่
ของสีขาว ที่เหมือนหลอดดูด…
“ฉันดึงออกมาจากตัวของมัน” ซย่าน่าหัวเราะ
หลิงม่อหันไปพิจารณาซอมบี้ทารกตัวนั้นอ่างละเอียดอีกครั้ง แต่กลับไม่พบจุดที่น่าสงสัยว่าจะเป็นบาดแผล
“เมื่อกี้มันคิดจะกัดฉัน” ซย่าน่าพูดต่อ
หลิงม่อกระจ่างขึ้นมาทันใด เมื่อซอมบี้ทารกตัวนี้อ้าปากร้องขึ้นมาครั้ง เขาก็เห็นหลอดดูดคล้ายกันที่เหลือเพียงครึ่งเดียวจริงๆ
ถ้าอย่างนั้น บางทีอาจไม่ใช่เสี่ยวป๋ายที่เป็นฝ่ายกลืนมัน?
ยังไม่ต้องไปสนว่าเหตุการณ์เมื่อกี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…เรื่องที่หลิงม่ออยากรู้ที่สุดในตอนนี้คือ เสี่ยวป๋าย…ติดเชื้อหรือยัง?
“จี๊ด จี๊ดด!”
เสี้ยววินาทีที่สายตาของหลิงม่อเบนออกไป ซอมบี้ทารกฉวยโอกาสนี้กระโจนตัวลอย
มือใหญ่คู่นั้นของมันค่อนข้างแข็งแรง แค่ยันพื้นเต็มแรง ก็ทำให้มันกระโดดสูงได้ถึงสองเมตรเลยทีเดียว มันกระโจนเข้ามาใส่หลิงม่อตรงๆ
ดูจากการโจมตีครั้งนี้ของมันหลิงม่อก็เข้าใจ ที่แท้วิธีการแพร่เชื้อของสัตว์ประหลาดตัวนี้ หรือวิธีการกินอาหาร ก็คือขย้ำหน้า…
แต่หน้าของเสี่ยวป๋ายใหญ่เกินไป ปากก็กว้างมาก ดังนั้นพอมันอ้าปากก็เลยงับเจ้าสิ่งนี้เข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“คิดว่าฉันอ่อนแอจริงๆ หรอ”
หลิงม่อถูกเจ้าสิ่งนี้ทำให้ตกใจติดๆ กันถึงสองครั้ง คราวนี้เขาโกรธแล้วจริงๆ
ถึงแม้พลังจิตของเขาจะถูกสกัดกั้นเอาไว้ แต่เขาได้พิสูจน์แล้วว่าหนวดสัมผัสของเขายังคงมีประสิทธิภาพหนึ่งในสิบไว้ได้อยู่…
ซอมบี้ทารกเคลื่อนไหวเร็วมาก แต่จุดอ่อนของมันก็เด่นชัดมากเช่นกัน
ในขณะที่มันกำลังกระโจนตัวลอยเข้าใส่หลิงม่อ ทันใดนั้นมันถูกหนวดสัมผัสทางจิตเส้นหนึ่งขวางไว้กลางทาง
“จี๊ด!”
ซอมบี้ทารกที่น้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐานถูกดีดตัวลอยออกไป ขณะเดียวกับที่กำลังร่วง ก็มีหนวดสัมผัสอีกเส้นรอดีดมันอยู่ข้างหลัง…
หลังทำอย่างนี้ซ้ำๆ อยู่หนึ่งนาที ในที่สุดซอมบี้ทารกที่หน้ามืดตาลายตัวนี้ก็ร่วงลงบนพื้นดัง “พลั่ก” จากนั้นก็ถูกซย่าน่ากระชากขึ้นมา
ยัยจอมแก่นเขย่าร่างซอมบี้ทารกไปมา จากนั้นก็บอกว่า “มันสลบไปแล้ว”
ถูกดีดกลับไปมากลับมานับครั้งไม่ถ้วน ซ้ำยังถูกโจมตีด้วยพลังจิตปริมาณน้อยผสมด้วย ไม่สลบก็แปลกแล้วล่ะ
“อืม ยังไม่ต้องจัดการมันตอนนี้ แต่ระวังหน่อยแล้วกัน” หลิงม่อบอก
ซอมบี้ทารกเหมือนเด็กน้อยแรกเกิดไม่มีผิด แต่กลับไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเด็กทารกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย
ตัวเล็กๆ แค่ตัวเดียว ก็มีพลังสังหารเทียบเท่ากับเด็กหมีหนึ่งร้อยคนแล้ว
“อืม” ซย่าน่าพนักหน้า เธอยกซอมบี้ทารกขึ้นพิจารณาดูอย่างอยากรู้อยากเห็น ปรากฏว่าถึงแม้จะอยู่ในอาการมึนๆ แต่เจ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยก็ยังไม่ลืมที่จะแยกเขี้ยวขู่ ซย่าน่าเห็นแล้วหัวเราะชอบใจยกใหญ่
หลิงม่อหันไปดูเสี่ยวป๋าย เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็ยังคงลู่หัวลงอย่างไร้ชีวิตชีวาเหมือนเดิม แต่มันเริ่มพยายามลุกขึ้นแล้ว
“ทำไงดี เป็นไปได้มากว่ามันอาจติดเชื้อแล้ว” หลิงม่อพูดขึ้นอย่างกังวล
หลี่ย่าหลินกระเถิบเข้ามาดมฟุดฟิด แล้วบอกว่า “ปริมาณไม่มากนะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้มันคงประคองสติไม่ได้ไปแล้ว”
“ยังไงนะ?” หลิงม่อถาม
เย่เลี่ยนมองซ้ายมองขวา แล้วพูดแทรกขึ้น “พี่…พี่ดู…”
หลิงม่อมองผ่านมุมมองสายตาของเธอรอบหนึ่ง และหลังจากอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กระจ่างขึ้นมา “ใช่จริงด้วย!”
—————————————————————————–
ตอนที่ 603
บทที่ 603 ใครเผาผลาญพลังได้นานกว่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
แค่ดูจากสภาพของศพน้ำตัวอื่นๆ ก็เดาได้ไม่ยากแล้วว่าหลังจากถูกแพร่เชื้อใส่ พวกมันก็สูญเสียความสามารถในการต่อต้านไปทันที
ศพมากมายขนาดนี้ แต่ทุกตัวแขนขาอยู่ครบ บนร่างกายไม่มีร่องรอยของการต่อสู้เลยซักนิด
ถ้าหากพวกมันเคยถูกปลุกตื่นเพราะความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน สถานการณ์คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน
ซอมบี้ที่ได้รับบาดเจ็บตัวหนึ่งจะทำลายทุกอย่างที่อยู่รอบกายจนสิ้น พวกมันจะคลุ้มคลั่งกว่าปกติถึงสิบเท่าร้อยเท่า กัดพวกเดียวกัน หักแขนขาที่บาดเจ็บของตัวเองออก หรือแม้กระทั่งหรือควักอวัยวะภายในที่เสียหายออกมาเป็นๆ…
ซอมบี้คือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ที่โหดเหี้ยมและคลุ้มคลั่งขนาดนั้น ความโหดร้ายและน่ากลัวของพวกมันไม่ได้กระทำต่อสิ่งมีชีวิตอื่นเท่านั้น พวกมันกระทำต่อพวกเดียวกัน หรือแม้แต่ตัวเองด้วย
อย่างเสี่ยวป๋ายตอนนี้ที่ยังมีแรงเหลือพอขยับตัว อย่าว่าแต่ทำลายข้าวของเลย แม้แต่พังลานจอดรถแห่งนี้ให้พินาศยับเยินมันก็ทำได้
แต่ถ้าหากมันไม่คลุ้มคลั่ง หรือพยายามสลัดสายสัมพันธ์ทางจิตของหลิงม่อออก ก็แสดงว่ามันไม่ได้มีอันตรายมาก
และไม่ว่าจะเป็นซอมบี้หรือสัตว์กลายพันธุ์ พวกมันล้วนอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง
“แต่ว่า…ถึงปริมาณจะไม่มาก แต่ก็ถือว่าติดเชื้อแล้วไม่ใช่หรอ?” หลิงม่อแย้งขึ้น
“แต่ถ้าดูจากปริมาณในตอนนี้ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้มันกลายเป็นศพน้ำหรอกน่า อ้อ ใช่สิ ยังมีอีกเรื่อง” ซย่าน่าพูดต่อ “ที่นี่…มีสัตว์กลายพันธุ์หรือเปล่า?”
“จริงด้วย…” หลิงม่อพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
ถูกต้องแล้ว เขายังไม่เห็นสัตว์กลายพันธุ์ในนี้ซักตัวเลย
ถึงแม้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือซอมบี้ หรือแม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ เชื้อไวรัวที่อยู่ในร่างกายล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน แต่วิวัฒนาการมาจนถึงตอนนี้ ลักษณะเด่นของเชื้อไวรัสได้เปลี่ยนแปลงไปจนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“แต่ถ้าหากเชื้อไวรัสกลายร่างอย่างเจ้าเมือกขุ่นๆ พวกนี้ สามารถเข้ากับเชื้อไวรัสในร่างกายของเสี่ยวป๋ายได้ล่ะก็…มันจะเป็นอย่างไรนะ?” หลิงม่อขมวดคิ้วครุ่นคิด
ซย่าน่าตอบอย่างมั่นใจ “มันก็จะเกิดการกลายร่างนิดหน่อยล่ะมั้ง ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“…” สีหน้าของหลิงม่อค้างเติ่งไปทันที
สิบกว่าวินาทีผ่านไป หลิงม่อกำหมัดแน่น และทำหน้าเศร้า “ไม่ได้นะ…อุตส่าห์เติบโตมาอย่างสง่างามขนาดนี้แล้วแท้ๆ…”
“แต่มันก็ไม่แน่นะ” ซย่าน่ากระพริบตาปริบๆ แล้วตัดบทหลิงม่อ “เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นสัตว์กลายพันธุ์นี่นา”
เธอพูดถูก ไม่มีกรณีตัวอย่าง ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ได้ทั้งนั้นว่าเสี่ยวป๋ายจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร
“ดูซิว่าคราวหลังแกจะกล้ากินของมั่วๆ อีกหรือเปล่า” หลิงม่อขยี้หัวเสี่ยวป๋ายอย่างหมั่นไส้
เสี่ยวป๋ายเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกไม่ดีนัก มันจึงครางเบาๆ “แบ๊”
“เอ๋ ใช่สิ…ในเมื่อแกถูกล้อมโจมตีอยู่ที่นี่ แล้วอวี๋ซือหรานกับเฮยซือล่ะ?” เงาร่างของใครอีกคนผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่ออีกครั้ง
“วูบ!”
ทันใดนั้น ประกายแสงสีแดงโฉบผ่านด้านหลังหลิงม่อไปอย่างรวดเร็วพร้อมสายลมที่พัดผ่านไป
หลิงม่อตอบสนองได้ค่อนข้างเร็ว บวกกับเมื่อกี้เขามีประสบการณ์ที่จู่ๆ ก็มีซอมบี้โผล่มาข้างหลังแล้ว ดังนั้นเขาจึงตั้งสมาธิและคอยระวังตัวไว้ตลอดเวลา
อยู่ในความมืดแบบนี้เขาอาจมองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ยังได้ยินเสียง ดังนั้นจึงโฉบกายหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เงาร่างสีดำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสุดขีด เคลื่อนผ่านตัวเขาไปอย่างฉิวเฉียด
ขณะที่ทั้งสองเคลื่อนตัวผ่านกัน พวกเขาอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ
หลิงม่อกระทั่งได้กลิ่นแปลกๆ จากตัวอีกฝ่าย พูดให้ชัดคือกลิ่นน้ำเมือกที่ฉุนกว่านั่นเอง…
หลิงม่อรู้สึกอันตรายและตกใจมาก ทว่าเขายังไม่ทันดีใจที่ตัวเองหลบพ้น ก็พบว่าเงาร่างดำนั้นไม่ได้หยุดพักเลย
“ไม่ใช่สิ…” หลิงม่อตระหนกสุดขีด “ซย่าน่าระวัง!”
เป้าหมายของเงาร่างดำนี้ ไม่ใช่เขา!
การจู่โจมเขาเมื่อกี้เป็นเพียงการหลอกล่อ เป้าหมายของเงาร่างนี้ คือซย่าน่า!
เป็นไปดังคาด เมื่อเงาร่างดำนี้กระโจนไปถึงตัวซย่าน่า หลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนล้วนโดนล่อให้พุ่งเข้ามาช่วยหลิงม่อแล้ว
ดูจากความเร็ว พวกเธอไปช่วยซย่าน่าไม่ทันแน่
ถึงแม้หลี่ย่าหลินจะรีบโฉบกายด้วยความเร็ว จนเกิดเงาร่างขึ้นมาหลายเงาพร้อมกัน แต่เธอเพิ่งจะใช้กระบวนท่า “ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง” ได้เพียงไม่นาน เธอก็ต้องเซไปเซมาและเผยร่างที่แท้จริงออกมาทันที
ดูจากสายตามึนงงและฝีเท้าไม่มั่นคงของเธอแล้ว หลิงม่อเข้าใจทันที
นั่นมัน…การจู่โจมทางจิต!
เย่เลี่ยนยกปืนขึ้น แต่กลับไม่สามารถล็อกเผ้าอีกฝ่ายได้ จะตามไปทุบหัวก็ไม่ทันแล้ว
ซย่าน่าได้รับคำเตือนจากหลิงม่อ และเธอเองก็รับรู้ได้ถึงอันตรายด้วยเช่นกัน
แต่มือข้างหนึ่งของเธอยังจับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวเล็กไว้อยู่เลย เธอใช้มือข้างเดียวที่เหลือยกเคียวดาบขึ้นพาดขวางไว้ด้านหน้า
ขณะเดียวกันแสงสีแดงพลันประกายวาบขึ้นที่ข้างหลังเธอ ร่างดวงจิตน่าน่าแยกร่างออกไปทันที
ทว่าน่าน่าเพิ่งจะปรากฏตัว ก็ดูสภาพไม่สู้ดีนัก ร่างกายของเธอประกายแปลบปลาบเหมือนภาพโทรทัศน์ที่สัญญาณติดขัด ดูก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดีเท่าไหร่
“ฉัน…ขยับตัวไม่ได้เลย…” เสียงพูดของน่าน่าเหมือนแผ่นซีดีที่สะดุดติดๆ ขัดๆ
เฮยน่ากับหลิงม่ออึ้งไปพร้อมๆ กัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
เป็นหลิงม่อที่ตั้งสติได้เร็วที่สุด น่าน่าเป็นร่างดวงจิตโดยบริสุทธิ์นะ ขนาดเขายังโดนสกัดกั้นพลังจิตมากขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าน่าน่าจะโดนขนาดไหน
ตอนนี้เธอเหมือนกำลังถูกคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนอย่างรุนแรง สัญญาณของเธอเลวร้ายถึงขีดสุด
และหากปล่อยให้เฮยน่าซึ่งไม่มีร่างดวงจิตคอยช่วยเหลือ เผชิญหน้ากับศัตรูที่สามารถใช้พลังจิตจู่โจมได้ ต้องอันตรายมากแน่นอน!
แค่ดูจากความเร็วก็รู้แล้ว ถึงเงาร่างดำนี้จะไม่ใช่ชนชั้นสูง ก็คงไม่ต่างกันมาก!
ยิ่งถ้าหากอีกฝ่ายอาจเป็นซอมบี้กลายร่าง การคาดคะเนระดับพลังก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว…
แต่…คิดจะจู่โจมซย่าน่าต่อหน้าต่อตาหลิงม่ออย่างนั้นหรอ? เรื่องแบบนี้ อย่าฝันไปเลย!
หนวดสัมผัสหลายเส้นพุ่งตามไปติดๆ อีกฝ่ายเองก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการซัดพลังจิตจู่โจมกลับมาทันที
พลังงานทางจิตสองกลุ่มปะทะกันอย่างแรง ทว่าหลิงม่อกลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ พลังจิตของหลิงม่อถูกจำกัดอย่างรุนแรง แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ
การเริ่มต้นที่ไม่ยุติธรรมอย่างนี้ หลิงม่อย่อมไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“อ๊ะ…”
หลิงม่อที่รู้สึกปวดหนึบที่ศีรษะหลุดร้องเจ็บปวดออกมา แต่พอคิดว่าเงาร่างดำนั้นกำลังพุ่งเข้าไปหาซย่าน่า เลือดในกายเขาก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที
“คิดว่าโจมตีเป็นฝ่ายเดียวรึไง?”
หลิงม่อเดือดดาล ดวงแสงแห่งจิตของเขาพลันเกิดคลื่นโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาทันที
ตลอดช่วงที่ผ่านมา เขามักได้รับผลกระทบจาก “ของขวัญ” ที่ราชินีแมงมุมทิ้งไว้ให้ ส่งผลให้สภาวะจิตใจของเขาไม่ค่อยดีนัก
แต่หากพูดถึงพื้นฐาน เขาปูพื้นฐานตัวเองไว้อย่างดีที่สุด
เวลานี้ภายใต้ผลกระทบจากทั้งความขึ้งโกรธและกังวลใจ ทำให้พลังงานทางจิตที่ถูกปลุกตื่นพรั่งพรูออกมาและก่อตัวเป็นเกราะป้องกันสีแดงอยู่รอบกายเขา
นี่เป็นผลจากการที่เขาฝึกฝนการควบคุมพลังจิตได้ถึงขั้นสุดยอดแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นพลังงานทางจิตมากมายที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกันในเสี้ยววินาทีอย่างนี้ ยากที่จะควบคุมพร้อมกันได้
การทำอย่างนี้มีผลเข่นเดียวกับการควบคุมกำลัง ออกหมัดไม่ว่าใครก็ทำเป็น ทว่าออกแรงจู่โจมไปนับร้อยครั้ง แต่กลับแตะโดนแค่ผิวกายของอีกฝ่าย ของอย่างนี้เดาว่าคงมีคนทำได้ไม่มาก
แม้หลิงม่อจะยังควบคุมพลังได้ไม่ถึงขั้นนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ทำได้ถึงขั้นที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดได้แล้ว
เงาร่างดำที่เมื่อกี้ยังพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเล รับรู้ได้ถึงพลังจิตกลุ่มหนึ่งที่กำลังม้วนตัวเข้ามาทันที แต่ก็ยังคงวิ่งตรงต่อไปไม่เปลี่ยนเป้าหมาย
“วอนนักนะ!”
ไฟโทสะลุกพล่านในใจหลิงม่อ อีกฝ่ายตั้งใจเมินเขา และยังคงพุ่งเป้าไปที่ซย่าน่าเหมือนเดิม!
เห็นเขาเป็นอากาศธาตุหรอ!
หนวดสัมผัสนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าไปราวกับคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง เส้นที่หนึ่งถูกสกัดกั้น ก็ยังมีเส้นที่สอง เส้นที่สาม…มีอีกเป็นร้อยเส้น!
วินาทีที่เข้าใกล้อีกฝ่าย หนวดสัมผัสมากมายเหล่านั้นกลายเป็นสสารจับต้องได้ทันที
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่างนี้ทำเอาเงาร่างดำถึงกับลนลานทำอะไรไม่ถูก ส่งผลให้การเคลื่อนไหวช้าลงทันที
“ยังไม่หมดแค่นี้!”
หลิงม่อรู้สึกได้ว่าดวงแสงแห่งจิตของตัวเองกำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว พลังงานกำลังหดหายอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับไม่คิดจะถอยเลยซักนิด
เขาในตอนนี้ ถ้าหากใช้พลังออกไปสิบส่วน ประสิทธิภาพที่ได้อย่างมากสุดก็แค่หนึ่งในสิบของเวลาปกติเท่านั้น
แต่หลิงม่อไม่สนใจการเผาผลาญพลังงานนี่อีกแล้ว เมื่อก่อนเขาระวังมาโดยตลอด แต่เมื่อไหร่ที่แฟนสาวคนใดคนหนึ่งของเขาตกอยู่ในอันตราย การระวังตัวอย่างนี้ก็หมดความหมายกับเขาไปทันที
พูดได้ว่า พลังทั้งหมดที่ประหยัดและเก็บสะสมมาโดยตลอด ก็มีไว้เพื่อใช้รับมือกับสถานการณ์อย่างนี้นั่นเอง
การระวังตัวของหลิงม่อไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเท่านั้น เหตุผลที่สำคัญกว่าคือทำไปเพื่อปกป้องพวกเย่เลี่ยน
และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่ต้องดึงพลังงานเหล่านี้ออกมาใช้แล้ว
“กลืนกิน!”
ทันใดนั้น หนวดสัมผัสในรูปสสารทั้งหมดที่กำลังถูกต้านทานไว้ได้ พลันกลายสภาพกลับไปเป็นไร้รูปร่างอีกครั้ง และพุ่งเข้าไปรวมอยู่ในพลังงานที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาเพื่อต้านหลิงม่อ
แม้หายไปหนึ่งเส้น แต่ยังมีหนวดสัมผัสอีกมากมายกำลังกลืนกิน!
“ดูซิว่าใครจะผลาญพลังงานได้นานกว่า!”
ดวงตาของหลิงม่อเริ่มมีประกายแดงขึ้นมาอ่อนๆ พลังงานทางจิตที่ลดฮวบลงอย่างรวดเร็วทำให้เขารับรู้ได้ถึงอันตราย แต่พลังงานที่ดูดกลืนมาได้กลับทำให้เต็มตื้นยิ่งกว่า!
“แกเสร็จฉันแน่!”
ในสถานการณ์อย่างนี้ ข้อได้เปรียบของหลิงม่อคือตัวเขาเดิมก็มีพลังจิตมหาศาลอยู่แล้ว
และข้อได้เปรียบอย่างนี้ ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่พลังจิตไม่เพียงพอ เขาก็จะยังสามารถยืนหยัดอยู่ต่อหน้าผู้มีความสามารถพิเศษหลายๆ คนได้
ถึงแม้ในตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้า จะเป็นซอมบี้ก็ตาม
—————————————————————————–
บทที่ 604 ขุมนรกสีเลือดในความทรงจำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เป็นไปตามคาด เมื่อหลิงม่อจู่โจมโดยไม่คำนึงถึงระดับการเผลผลาญ ในที่สุดเงาร่างดำนั้นก็ถูกเขาหยุดยั้งไว้ได้
เมื่อกี้เงาร่างดำไม่เห็นมนุษย์คนนี้อยู่ในสายตา กระทั่งใช้เขาเป็นตัวเปิดทาง แต่ตอนนี้มันกลับต้องพุ่งเป้าความสนใจที่หลิงม่ออย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว
แต่เพิ่งจะยื้อหยุดกับหลิงม่อได้ไม่ได้ หลิงม่อก็พบว่า อีกฝ่ายดูร้อนรนมาก
“จี๊ด จี๊ด!”
ซอมบี้ทารกดิ้นขลุกขลักอย่างอ่อนแรงอยู่ในมือซย่าน่า มันอ้าปากส่งเสียงร้อง หลอดที่เหลือเพียงครึ่งเดียวในช่องปากของมันยังคงยื่นๆ หดๆ อยู่อย่างนั้น
พอได้ยินเสียงร้อง เงาร่างดำก็เหลือบมองไปข้างหลังอย่างไม่รู้ตัว คลื่นดวงจิตพลันเกิดช่องโหว่ขึ้นทันที
“โอกาสดีล่ะ!”
ถึงแม้จะแค่เสี้ยววินาที แต่หลิงม่อกลับจับสัมผัสได้อย่างรวดเร็ว
ภายใต้การควบคุมของเขา หนวดสัมผัสทางจิตหลายเส้นพุ่งตรงออกไปยังจุดอ่อนของดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายทันที
พลังจิตถูกสกัดกั้นไว้ ไม่ว่าจะเป็นจู่โจมในรูปสสารหรือพลังจิตก่อกวน ล้วนประสิทธิภาพต่ำถึงขีดสุด
ดังนั้นวิธีการโจมตีของหลิงม่อมีเพียงหนึ่งเดียวคือ กิน!
หนวดสัมผัสเหล่านี้หากเริ่มจับตัวเป็นสสารเมื่อไหร่ก็จะมลายหายไปอย่างรวดเร็ว แต่พอหลิงม่อสั่งให้พวกมันเกาะติดดวงแสงแห่งจิตของอีกฝ่ายไว้ให้แน่นเหมือนตั๊กแตน พร้อมกับสั่งให้กลืนกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม หลิงม่อกลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ!
พลังจิตของซอมบี้ตัวนี้ กลับแข็งแกร่งไม่เบา!
ทว่าการค้นพบที่เหนือความคาดหมายนี้ ไม่เพียงไม่ได้ทำให้หลิงม่อรู้สึกกดดัน ตรงกันข้าม เขากลับรู้สึกยินดีอย่างควบคุมไม่ได้!
ต้องบอกก่อนว่า เขาไม่ได้เจอคนที่เหมาะสมสำหรับการถูกกลืนกินมานานมากแล้ว!
ตอนที่อยู่ในกองกำลัง F ถึงแม้จะมีผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็พุ่งเข้าไปดูดพลังมาไม่ได้นี่นา! เขาไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตซักหน่อย…
และพอเจอซอมบี้ พวกมันต่างก็ไม่ได้มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง พลังงานอันน้อยนิดที่ได้มาจากการดูดกลืนพวกมัน ยังไม่มากเท่าพลังงานที่หลิงม่อเผาผลาญไปตอนที่โจมตีและกลืนกินพวกมันเลย
แต่ซอมบี้กลายร่างตัวนี้ที่อยู่ตรงเขา กลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง!
หลิงม่อรู้สึกได้ สมองของอีกฝ่ายต้องผ่านการกลายพันธุ์มาอย่างแน่นอน พลังงานทางจิตที่ซอมบี้ตัวนี้มี แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับซย่าน่าเลยก็ว่าได้!
“นี่มันสายพันธุ์ไหนกันแน่…”
หลังจากดีอกดีใจ หลิงม่อก็อดคิดอย่างสงสัยไม่ได้
พอถูกหลิงม่อกลืนกิน ซอมบี้ตัวนี้ก็แสดงอาการเจ็บปวดทรมาน จู่ๆ มันก็อ้าปากคำรามเสียงดัง และกระโจนเข้าใส่หลิงม่อทันที
“หึหึ เข้ามาเลย” หลิงม่อหัวเราะ
อีกฝ่ายคงจะเข้าใจอยู่บ้างว่าอะไรคือการท้าทาย มันคิดจะเบรกกะทันหันหลังจากวิ่งไปได้ครึ่งทาง แต่กลับพบว่าซอมบี้สาวอีกสองตัวล้อมเข้ามาเรียบร้อยแล้ว
“จี๊ด จี๊ด!”
ซอมบี้ทารกกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงเงาร่างดำ หรือกำลังร้องขอความช่วยเหลือจากเงาร่างดำกันแน่
เสียงร้องของมันส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงาร่างดำอย่างเห็นได้ชัด เดิมเงาร่างดำยังมีโอกาสต้านทานไปได้ครู่หนึ่ง แต่เพราะเสียงร้องของซอมบี้ทารกมันจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสิ้นเชิง
ด้านพลังจิต เงาร่างดำถูกหลิงม่อเล่นงานอยู่หมัด จึงไม่มีโอกาสแบ่งสมาธิไปจู่โจมเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลิน
ความจริงแล้วในด้านวิธีการใช้พลังจิต เงาร่างดำมีวิธีการใช้พลังเพียงรูปแบบเดียว ซึ่งก็คือจู่โจมดวงจิต…
ส่วนหลิงม่อนั้น ถึงแม้สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อเขา แต่การที่เขาคิดกลวิธีใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทัน
หลังก้าวข้ามความอึดอัดที่ถูกสกัดพลังในตอนแรก หลิงม่อรู้สึกว่าตัวเองโจมจีได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เขารู้สึกกระทั่งว่าที่แห่งนี้เป็นสนามฝึกซ้อมที่ไม่เลวสำหรับเขา การใช้พลังพิเศษในที่แห่งนี้ ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากกว่าเดิม
ถ้าหากไม่ใช่ว่าตอนนี้ไม่สะดวกอยู่นานล่ะก็ เขายังอยากฝึกซ้อมต่ออีกซักหน่อย
เมื่อท่าไม้ตายในการสังหารเพียงหนึ่งเดียวใช้ไม่ได้ผล อาศัยเพียงความเร็วและกำลัง เงาร่างดำไม่อาจต้านทานการโจมตีขนาบข้างซ้ายขวาจาหลี่ย่าหลินและเย่เลี่ยนได้
เย่เลี่ยนลั่นกระสุนออกไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่กลับสามารถทำให้มันได้แผลใหญ่ทุกนัด ส่วนหลี่ย่าหลินนั้นโฉบกายไปมาราวภาพลวงตาที่จับต้องไม่ได้ องศาในการโจมตีก็พลิกแพลงจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เหมือนงูที่เลื้อยไปเลื้อยมาอยู่ในพงหญ้าไม่มีผิด
ยืนหยัดได้ไม่นาน ท่ามกลางเสียงกรีดน้องแหลมๆ ของเงาร่างดำ มันถูกเย่เลี่ยนใช้ปืนจ่อไปที่ส่วนท้องและลั่นไกจนเลือดเนื้อกระจุยกระจายในชั่วพริบตา
“เดี๋ยวก่อน! อย่างเพิ่งฆ่า!” หลิงม่อรีบร้องห้าม
เงาร่างดำกระเด็นลอยออกไปข้างหลัง หลิงม่อรีบวิ่งตามไปติดๆ
ร่างกายของซอมบี้เงาร่างดำที่ยังไม่สิ้นลมกระตุกสั่นอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานมันก็อ่อนแรงนอนลงไปบนพื้นด้วยดวงตาไร้พลังชีวิต
ระหว่างที่กำลังกลืนกินพลังจิตของอีกฝ่าย ภาพความทรงจำก็ผุดขึ้นมาให้หลิงม่อเห็นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เหมือนทุกครั้ง…
จากภาพที่ขาดๆ หายๆ เหล่านั้น ซอมบี้ตัวนี้ไม่ใช่แหล่งแพร่เชื้อที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นตัวแรก แต่กลับเป็นซอมบี้กลายร่างที่ถูก “ผลิตออกมา” ชุดแรก
เหมือนอย่างที่หลิงม่อเดาไว้ อวัยวะหลักที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของพวกมัน ไม่ใช่มือ และไม่ใช่เท้า แต่เป็นสมอง
ซึ่งนั่นไม่เพียงทำให้พวกมันฉลาดกว่าซอมบี้ทั่วไป แต่ยังทำให้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งอีกด้วย
จอมคลุ้มคลั่งที่พวกหลิงม่อเจอก่อนหน้านี้ เป็นกลุ่มซอมบี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่วนมือเป็นหลัก สมองของมันเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย ถึงแม้สติปัญญาเพิ่มขึ้น แต่มันกลับเป็นผลิตภัณฑ์บกพร่องที่ไม่ได้รับพลังจิตไปด้วย
อีกอย่างหากพูดให้ถูกต้อง ซอมบี้ตัวที่ถูกหลิงม่อดูดกลืนพลังนี้ เมื่อเทียบกับแหล่งแพร่เชื้อตัวแรกสุด ถือว่ายังห่างชั้นกันไกล
สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือพวกมันไม่เหมือนผู้มีพลังจิตที่เป็นมนุษย์ ที่ต้องพัฒนาพลังจิตโดยผ่านการฝึกฝน และต้องพักฟื้นเป็นเวลานานหลังจากเผาผลาญพลังจิตไป
แต่วิธีการพักฟื้นของพวกมัน ก็คือทำให้ตัวเองกลายเป็น “ดักแด้” อีกครั้ง
น้ำเมือกเหล่านี้สามารถสกัดกั้นพลังจิตเอาไว้ได้ และสามารถดูดกลืนได้ในปริมาณเล็กน้อย ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองทางเลยทีเดียว
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่จอมคลุ้มคลั่งเลือกไปจากที่นี่ แต่ซอมบี้สมองดีตัวนี้กลับเลือกที่จะอยู่ที่นี่ต่อ
ที่นี่ถือว่าเป็นรังของพวกมัน ในฐานะซอมบี้ระดับสูง พวกมันเองก็มีลักษณะนิสัยออกไปล่าเหยื่อ และเอาเหยื่อกลับมาเหมือนกัน
น้ำเมือกเหล่านี้ปกปิดตัวตนของพวกมันได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องที่ว่าพวกมันถูกอวี๋ซือหรานเจอได้อย่างไร คงทำได้แค่ถามยัยซอมบี้โลลิให้รู้เรื่องหลังจากตามหาพวกเธอจนเจอ
เวลานี้สิ่งที่กวนใจหลิงม่อที่สุด คือหนึ่งในภาพเหล่านั้นที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งประกายขึ้นมา…
มันทั้งน่าทึ่งและน่ากลัว เหมือนปีศาจเหล่านี้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด แต่ขณะเดียวกันมันกลับดูแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาประกายแดงคู่นั้นลึกล้ำมาก ราวกับบ่อโลหิตที่ก้นบึ้งลึกจนมองไม่เห็น
เพียงมองแวบเดียว ก็ทำให้รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปทั้งตัว…
ตัวแพร่เชื้อตัวแรก!
คำคำนี้ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงม่อทันที
มีเพียงตัวแพร่เชื้อตัวแรกเท่านั้น ที่จะมีดวงตาอย่างนี้ได้…
มันคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพลังจิตพัฒนาจนถึงระดับที่สูงมากพอแล้วเท่านั้น สำหรับคนจิตอ่อน เพียงสบดวงตาคู่นี้เข้าก็ดวงจิตก็จะถูกก่อกวนได้อย่างง่ายดายแล้ว
แต่คนที่สามารถเอาตัวรอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นคนจิตแข็งเสียวส่วนใหญ่
ส่วนซอมบี้…เดาว่ายังไม่ทันได้สบตากัน ซอมบี้ก็คงวิ่งเข้ามาหาเองแล้ว
“ฟู่!”
หลิงม่อตั้งสติให้มั่นทันที เขาสะบัดหัวไปมา
“นายเป็นอะไรไปน่ะ?” หลี่ย่าหลินถาม
ดวงตาคู่นั้นยังติดตรึงอยู่ในหัวของเขาไม่หาย “ผมว่า ผมเจอซอมบี้ตัวหนึ่ง…” เขาอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสับสน “ซอมบี้ที่อาจมีพลังจิตที่แข็งแกร่งที่สุด”
“อยู่ที่ไหน?” ซย่าน่าตวัดสายตามองไปรอบตัวทันที
“ไม่ได้อยู่ที่นี่” หลิงม่อส่ายหน้าไปมา “แต่…มันไปจากที่นี่นานมากแล้ว”
ในภาพที่หลิงม่อเห็น ดวงตาสีแดงคู่นั้นโผล่ขึ้นมาเพียงครั้งเดียว และซอมบี้ตัวนี้ก็เป็น “ผลิตภัณฑ์” ชุดแรก
ถ้าหากในสมองของมันไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับตัวแพร่เชื้อตัวแรกที่มากกว่านี้ ก็แสดงว่าอีกฝ่ายได้จากที่นี่ไป หลังจากที่สร้างพวกมันขึ้นมา
นับจากนั้นมาโรงงานแห่งนี้ก็ถูก ”ผลิตภัณฑ์” เหล่านี้ควบคุมดูแล และพวกมันก็ขับเคลื่อนวงจรการผลิตนี้มาเรื่อยๆ
ในทางทฤษฎี ความเป็นไปได้ที่ “ผลิตภัณฑ์” ชุดต่อๆ มาจะมีพลังจิตจะลดต่ำลงเรื่อยๆ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมพวกหลิงม่อถึงได้เจอแต่ซอมบี้กลายร่าง ซึ่งกลายร่างตรงส่วนแขนและขาเป็นหลัก
“อา อย่างนั้นหรอ…” พอได้ยินคำตอบของหลิงม่อ ซย่าน่าก็ทำได้เพียงหยุดกวาดมองรอบด้าน
“อืม…” หลิงม่อส่งเสียงรับคำ ขณะเดียวกันก็กุมศีรษะลุกขึ้นยืน
เขายิ้มออกมาอย่างประหลาดใจปนดีใจ หลังจากที่ซอมบี้กลายร่างตัวนี้ถูกดูดพลังจนหมด เขาก็ได้รับการฟื้นฟูพลังจิตกลับมาแทบจะทั้งหมดตามที่คาดไว้
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีพลังงานอีกส่วนที่กำลังถูกดูดกลืนอย่างช้าๆ ทันทีที่ขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น พลังจิตโดยรวมของเขาก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
และพลังจิตโดยรวมของซอมบี้ตัวนี้ บางทีอาจมีไม่ถึงหนึ่งในสิบของตัวแพร่เชื้อตัวแรกเลยก็เป็นได้…
“อย่าใจร้อนๆ…” หลิงม่อรีบหักห้ามความคิดตัวเองทันที แล้วบอกว่า “ต้องรีบตามหาอวี๋ซือหรานอีก พวกเราลงมาข้างล่างนี้สิบกว่านาทีแล้ว หากชักช้าอีก พวกมู่เฉินต้องลงมาตามหาแน่ๆ”
“แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกอวี๋ซือหรานอยู่ที่ไหน…” หลี่ย่าหลินเสยผม แล้วบอก
หลิงม่อมองซอมบี้ทารกในมือซย่าน่าด้วยสายตาแปลกๆ แล้วหัวเราะคิกคัก “พวกเรามีเจ้านี่อยู่ไม่ใช่หรอ?”
—————————————————————————–
บทที่ 605 ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จี๊ด จี๊ด!” ซอมบี้ทารกขัดขืน
หลิงม่อได้ใจ “โอ๊ะ แกยังไม่ยอมรับอีกหรอ? ไอ้ซอมบี้ตัวนั้นน่าจะถือว่าเป็นพ่อของแกสินะ? มันต้องตายก็เพราะแกไม่ใช่รึไงล่ะ?”
“จี๊ด~!” เดาว่าซอมบี้ทารกคงไม่เคยเจอมนุษย์ที่ไม่กลัวตายอย่างนี้ ถึงขนาดกล้าเล่นหน้าเล่นตาต่อหน้ามัน แล้วยังพูดพล่ามไร้สาระไม่ยอมหยุดอีก…
มันกรีดร้องเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหู พลางตวัดขาสั้นๆ ออกมาหมายจะเตะหลิงม่อ
แต่ซย่าน่าเพียงดึงมือถอยหลัง การโจมตีของซอมบี้ทารกตัวนี้ก็ล้มเหลวเสียแล้ว
ช่างเป็นรูปร่างที่สร้างปมด้อยอันน่าเจ็บปวด!
“จะใช้มันหายังไง?” ซย่าน่าเหลือบมองซอมบี้ตัวเล็กด้วยหางตา แล้วถามขึ้น
“พวกเธอดูนี่…” หลิงม่อไม่ได้ตอบตรงๆ แต่เขามองออกไปรอบๆ ตัว
ท่ามกลางความมืด ปรากฏจุดสีแดงเลือนรางขึ้นมาอีกมายหมาย ไม่ต้องเดาก็รู้ ว่าพวกนั้นล้วนเป็นซอมบี้
“ดูจากพฤติกรรมของซอมบี้ตัวเมื่อกี้ ฉันคิดว่ามันได้ตั้งใจโจมตีเธอ แต่มันต้องการจะแย่งเจ้าตัวเล็กนั่นกลับไป ยังจำซอมบี้ร่างทารกที่เราเคยเห็นที่เมือง A ได้ไหม?” หลิงม่อเดินเข้าไปใกล้พวกเย่เลี่ยนช้าๆ พลางพูดเสียงเบา
หลี่ย่าหลินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “อื้ม!” เธอพูดอย่างคิดถึงสุดๆ “ลูกน้อยบินได้!”
“…จะว่างั้นก็ได้ ซอมบี้ทารกถูกพวกมันใช้เป็น ‘นักรบ’ แต่ขณะเดียวกันก็จะถูกพวกมันปกป้องด้วยชีวิตเหมือนกัน ถูกไหม?” หลิงม่อพูดต่อไปว่า “ทฤษฎีนี้ใช้ได้กับที่นี่เหมือนกัน ที่ซอมบี้ทารกนี้ออกมาล่าเหยื่อ ขณะเดียวกันก็จะได้รับการคุ้มครองจากซอมบี้ตัวอื่นๆ ที่อยู่ในนี้ เธอดูเสี่ยวป๋าย มันถูกโจมตี แต่มันได้ถูกโจมตีโดยซอมบี้ทารกเพียงตัวเดียว ซอมบี้ตัวใหญ่จะร่วมมือกับซอมบี้ทารกในการออกล่าเหยื่อ ก็เหมือนกับพวกสัตว์ป่าที่กระเตงลูกน้อยออกไปล่าเหยื่อด้วย”
“ตอนนี้มันถูกพวกเราจับตัวเป็นเชลย ก็เท่ากับพวกเราได้โคมไฟนำทางในที่แห่งนี้แล้ว” หลิงม่อพยายามอธิบายอย่างเข้าใจง่ายที่สุด
ซย่าน่าเข้าใจ แต่หลี่ย่าหลินกับเย่เลี่ยนไม่แน่ว่าจะเข้าใจ ดังนั้นหลิงม่อจึงเลือกใช้การยกตัวอย่างที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา
เรื่องจริงได้ยืนยันแล้วว่า เขาทำอย่างนี้ได้ผลกว่ามาก
“พี่หลิงกำลังจะบอกว่า จะมีซอมบี้เข้ามาโจมตีเรามากกว่านี้อีกหรอ?” ซย่าน่าถาม
“อื่ม ไม่ว่าอวี๋ซือหรานจะอยู่ที่ไหน การเคลื่อนไหวทางนี้จะต้องดึงดูดเธอมา” หลิงม่อยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ
เย่เลี่ยนเอียงคอ แล้วถามอย่างงุนงงว่า “ทำ…ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่า…” รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงม่อพลันเปลี่ยนเป็นกัดฟันกรอด แถมพวกเย่เลี่ยนยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่า มนุษย์ผู้นี้กำลังหักข้อนิ้วตัวเองดัง “กร๊อบแกร๊บๆ” “เพราะเธอจะไม่มีทางพลาดเรื่องแบบนี้ ไม่แน่ว่าพวกเรากับซอมบี้พวกนี้อาจพ่ายแพ้ยับเยินทั้งสองฝ่ายก็ได้?”
“หึหึหึหึหึ…”
เย่เลี่ยนมองหลิงม่อด้วยสายตางงๆ จากนั้นก็ดึงชายเสื้อซย่าน่า “น่าน่า…”
“ฉันรู้” ซย่าน่าพยักหน้าอย่างขึงขัง “พี่เดาไม่ผิดหรอก นี่คือมนุษย์ประเภทพิเศษที่เราเห็นในหนังสือไง”
“ผู้ป่วยประสาท?” หลี่ย่าหลินแย่งตอบ
สาวๆ ซอมบี้มองตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมาพร้อมๆ กัน
“เอ๋ พวกเธอยิ้มอะไรกัน?” หลิงม่อที่ดึงสติกลับมาแล้วถามขึ้น
“ไม่มีอะไร…ก็แค่ ได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นน่ะ” ซย่าน่าตอบ
“อ้อ ดีนี่ ตั้งใจเรียนรู้ต่อไปล่ะ” หลิงม่อพูดอย่างไม่เอะใจ จากนั้นก็โบกมือ “ทางนี้ พวกเราเดินลงไปในห้างฯ ใต้ดินก่อนแล้วกัน ปล่อยให้ซอมบี้พวกนี้ตามมา ถึงแม้อวี๋ซือหรานจะสัมผัสไม่ได้ แต่เฮยซือจะต้องรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้แน่นอน”
“ทำไมต้องไปห้างฯ ใต้ดิน? พวกเราไม่กลับไปรวมตัวกับมนุษย์พวกนั้นหรอ?” หลี่ย่าหลินถามอย่างสงสัย
“เรื่องนี้น่ะหรอ…ผมยังมีแผนอื่นอยู่…” หลิงม่อยิ้มเบาๆ
………..
ภายในห้างฯ ขายโทรศัพท์มือถือ เงาร่างที่กำลังสั่นอย่างรุนแรงยกปืนขึ้นเล็ง และค่อยๆ เดินอยู่ระหว่างชั้นวางของกับโปสเตอร์
“มู่เฉิน! ซย่าจื้อ! หลิงม่อ!” สวี่ซูหานตะโกนเรียกเบาๆ ด้วยเสียงสั่นๆ แต่กลับไม่ได้การตอบรับใดๆ
ด้านในห้างฯ ยังคงมืดสลัว มองไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ตรงนั้น แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนไม่มีอะไรอยู่เลย
สวี่ซูหานข่มกลั้นความกลัวในใจอย่างสุดความสามารถ เธอหอบหายใจกระชั้นชิด “อย่ากลัวๆ… ฉันไม่ใช่คน ฉันไม่ใช่คน…”
“เคร้ง!”
“กรี๊ด!” จู่ๆ ส้นเท้าของเธอก็ไปเตะโดนเหล็กเส้นที่ไม่ได้ถูกติดตั้งให้ดี จนทำให้เกิดเสียงกระทบเบาๆ ขึ้น
แต่เพียงเสียงอันแผ่วเบาก็สามารถทำให้สวี่ซูหานในตอนนี้ตกใจจนแทบซ็อกตาย “คนอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย!”
ตอนนี้เธอได้ค้นหาไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งของห้างแล้ว
ด้านหลังประตูกระจกและโปสเตอร์ขนาดใหญ่ เธอมองเห็นซอมบี้พวกนั้นที่กำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่ข้างนอก
พวกมันอยู่ไม่ไกลห้างฯ แต่ก็ไม่ได้ใกล้มาก จำนวนกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อกี้เล็กน้อย
เหล่าสัตว์ประหลาดที่ในเวลาปกติทั้งน่ากลัวและน่าเกลียดพวกนั้น กลับทำให้สวี่ซูหานรู้สึกอุ่นใจในเวลาอย่างนี้
แม้อยู่ในที่ที่ทั้งมืดและเงียบสงัดอย่างนี้ แต่ข้างนอกมีสัตว์ประหลาดพวกนั้นอยู่ อย่างน้อยก็แสดงว่าข้างในนี้จะไม่มีอะไรโผล่ออกมากะทันหัน…
“ว้าก!”
ทันใดนั้นเสียงร้องดังฟังชัดเสียงหนึ่งพลันดังมาจากด้านข้าง สวี่ซูหานตกใจจนตัวสั่นไปทั้งตัว หัวใจแทบจะหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่ม ปืนในมือยกขึ้นเล็งไปยังต้นตอของเสียงทันที
“กรี๊ดดด!”
“เฮ้ยย อย่าร้อง!”
เจ้าของเสียงร้องเองก็ตกใจจนกระโดดโหยงๆ เหมือนกัน ขณะเดียวกับที่คว้ากระบอกปืน ก็ใช้นิ้วมือซุกเข้าในไกปืนด้วย ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นปิดปากสวี่ซูหาน
สวี่ซูหานเบิกตากว้าง หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็สงบสติอารมณ์ได้
“อื้อ อื้อ…?”
“ถูกต้อง ฉันเอง! เธอจะขี้กลับเกินไปแล้วนะ…” มู่เฉินทำหน้ายู่มองหน้าสวี่ซูหาน จากนั้นก็เดินผ่านตัวเธอไปเพื่อมองออกไปข้างนอก
โชคดี ระบบเก็บเสียงของที่นี่ยังถือว่าทำมาได้ดี ซอมบี้ที่อยู่ข้างนอกเลยไม่ได้ยินเสียงอะไร
“แต่ทำไมเธออยู่คนเดียวล่ะ? ซย่าจื้อล่ะ? แล้ว…ไอ้เบื๊อกกับเหล่าแฟนสาวล่ะ ไปไหนแล้ว?” มู่เฉินหันกลับมา แล้วถามสวี่ซูหานอย่างสงสัย
สวี่ซูหานยังคงเบิกตากว้าง ไม่ตอบคำถาม
“อ้อๆ…โทษที ฉันกลัวเธอจะเสียงดังจนซอมบี้พวกนั้นได้ยินน่ะ…” มู่เฉินรีบปล่อยมือออก แล้วพูดอย่างเก้อเขิน
แต่ในวินาทีต่อมา เหตุการณ์ที่กระอักกระอ่วนยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น…
สายตาของสวี่ซูหานยังคงนิ่ง หน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงสองสามที ในขณะที่มู่เฉินฉายแววตาสงสัยเตรียมจะถาม อดีตผู้ประกาศข่าวหญิงคนนี้ก็อ้าปากกว้างทันที
“อ้วก~!”
น้ำใสๆ จำนวนหนึ่งถูกอาเจียนออกมา เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำหูน้ำตา พลางโบกมือไล่มู่เฉิน “นาย…อยู่ห่างๆ ฉันหน่อย…”
“…” มู่เฉินอึ้ง จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะร่ำไห้
ก็แค่ใช้มือปิดปากเธอเท่านั้นเอง! ถึงขนาดต้องอ้วกออกมาเลยหรอ?!
สวี่ซูหานใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากและแก้ม แต่พอเห็นคราบสกปรกสีเขียวบนผ้าเช็ดหน้า เธอก็อ้วกออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่อีกครั้ง…
“เฮ้ย เธอพอได้แล้วมั้ง อ้วกอยู่ได้ ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้วนะ!” มู่เฉินโวยวายอย่างเจ็บปวด “ถ้าเป็นหลิงม่อเธอคงจะไม่อ้วกใช่ไหมล่ะ?”
“หลิม่อเขาตัวเหม็นเหมือนนายไหมล่ะ…”
“จุ๊จุ๊ มีใครกำลังแอบชอบคนอื่นอยู่สินะ!”
“แอบชอบบ้าบออะไร! อยู่ห่างๆ ฉันเลย!”
“หน้าแดงแล้วๆ!”
“ไปไกลๆ!”
สองคนนี้ คนหนึ่งยืนเท้ากำแพงพูดพล่ามไม่ยอมหยุด อีกคนยืนพิงชั้นวางสินค้าแล้วอ้วกครั้งแล้วครั่งเล่า ทั้งสองต่างไม่รู้ตัวว่าตอนนี้มีเงาร่างหนึ่งกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
“ครืด…ครืดด…”
เสียงเหมือนบางสิ่งถูกลากดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และในที่สุดเสียงนี้ก็ลอยเข้าสู่โสตประสาทของมู่เฉินและสวี่ซูหาน
“เสียงอะไรน่ะ!” สวี่ซูหานกลายเป็นคนขี้ระแวงไปแล้วในตอนนี้ เธอกระโดดโหยงยกปืนขึ้นเล็ง และแนบตัวชิดผนัง เธอทำทุกอย่างอย่างรวดเร็วไม่มีติดขัด
มู่เฉินเองก็รีบชักมีดออกมา แต่ในขณะนั้นเอง แผ่นหลังของใครคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านหลังเสาปูนด้านนั้น
“ซย่าจื้อ?” มู่เฉินตาไวจำได้ทันที
ทว่าภาพที่เห็นตามมาติดๆ ทำให้เขาต้องอ้าปากกว้างอย่างตกตะลึง…
สิ่งที่โผล่อออกมาพร้อมกับซย่าจื้อ ก็คือศพที่ถูกเขาลากกลับหัวมาด้วย…
พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก ซย่าจื้อก็เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็โบกมือมาทางมู่เฉินและสวี่ซูหาน
“…ฉันคิดไปเอง หรือว่าซย่าจื้อในตอนนี้เหมือนฆาตกรโรคจิตจริงๆ?” มู่เฉินเองก็ยกมือโบกกลับให้เขา แต่ปากกลับถามขึ้นอย่างนี้
สวี่ซูหานนิ่งไป จากนั้นก็พยักหน้า
พอศพถูกลากเข้ามาใกล้ๆ มู่เฉินก็สติกระเจิงไปทันที
“เฮ้ยยยย! นี่มันซอมบี้ที่ฉันไล่ตามไปนี่นา! ฉันก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าทำไมไม่เจอ ที่แท้นายก็ตามหาเจอแล้วนี่เอง!” มู่เฉินพูดอย่างแปลกใจ
ตอนนั้น หลังจากที่เขาเห็นเงาที่อยู่หลังป้ายโฆษณา เขาก็ตามไปด้วยตัวคนเดียว แต่เขากลับมองเห็นแต่เงาครั้งแล้วครั้งเล่า จนคลาดกันไปในที่สุด
ส่วนสถานการณ์ฝั่งซย่าจื้อนั้นหลังจากที่เขาโบกไม้โบกมือทำภาษามืออยู่ชุดใหญ่ ก็มีสวี่ซูหานเป็นผู้ “แปล” ว่า “เขาถูกโปสเตอร์ขยับได้ดึงดูดความสนใจ โปสเตอร์พวกนั้นขยับแผ่นแล้วแผ่นเล่า จากนั้นก็เขาก็เจอซอมบี้ตัวนี้อยู่ตรงทางหนีฉุกเฉิน…”
“น่าแปลลก ฉันนึกว่าซอมบี้ตัวนี้จะเข้ามาลอบโจมตีซะอีก ทำไมมันถึงได้วิ่งไปที่ทางหนีฉุกเฉินได้ล่ะ?” มู่เฉินจับคางพลางขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนคนคิดหนัก
ซย่าจื้อและสวี่ซูหานจ้องศพ แล้วก็พากันส่ายหน้าตาม
“ช่างเถอะ พวกหลิงม่อล่ะ?” มู่เฉินถามขึ้นอีกครั้ง
สวี่ซูหานส่ายหน้าช้าๆ เป็นการบอกว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“อะไรกัน พวกนั้นก็หายไปเหมือนกันหรอ?” มู่เฉินทำตาโต “รีบตามหาเถอะ ถ้าพวกนั้นหายตัวไป อ้ายเฟิงต้องเอาเรื่องฉันแน่ๆ!”
—————————————————————————–
บทที่ 606 อุณหภูมิของเลือด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เร็วเข้าๆ!”
หลิงม่อเอ่ยปากเร่ง พลางผลักประตูสีดำทึบบานใหญ่ที่ขวางอยู่ด้านหน้าออก
แอ๊ด!
ทันทีที่ประตูเปิดออก อากาศเย็นๆ ก็หลั่งไหลเข้ามา
“ฟืดด!”
หลิงม่อสูดหายใจลึกๆ ทันที ทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย ระบบระบายอากาศของที่นี่ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าลานจอดรถเมื่อกี้หลายเท่า ถ้าหากต้องอยู่ในนั้นไปอีกซักนาทีเดียว หลิงม่อสงสัยว่าทางเดินหายใจของเขาจะเกิดปัญหาหรือเปล่า…
เขาใช้ไฟฉายส่องไปทั่วรอบหนึ่ง จากนั้นก็เลือกทางเดินเส้นหนึ่งจากทางเดินมากมายที่เชื่อมกันไปเชื่อมกันมาอยู่ตรงหน้า “ไปทางนี้กัน”
“ซอมบี้พวกนั้นใกล้จะตามมาทันแล้ว แถมยังมีจำนวนมากแล้วด้วย” ซย่าน่าเหลือบมองไปข้างหลังแวบหนึ่ง แล้วบอก
“ไม่เป็นไร ประสิทธิภาพในการสกัดกั้นพลังของที่นี่เริ่มอ่อนลงแล้ว ถึงแม้จะมีซอมบี้สมองดีอย่างนั้นโผล่มาอีก ก็จัดการได้สบายแล้ว” หลิงม่อเดินหน้าต่อไป พลางยกมือขึ้นดันราวแขวนเสื้อผ้าที่ขวางอยู่ให้พ้นทาง
แต่ราวแขวนเสื้อผ้านี้เก่ามากแล้ว แค่ผลักเบาๆ ข้อต่อส่วนล่างก็หลุดออกจากกันทันที “เคร้งคร้างๆ” มันล้มลงไปบนกองเสื้อผ้าที่เก่าเหมือนผ้าขี้ริ้วบนพื้นข้างๆ
วัตถุสีขาวด้านโผล่ออกมาจากกองเศษผ้ากองนั้น หลิงม่อส่องไฟฉายไป สายตาสบเข้ากับเบ้าตากลวงโบ๋คู่นั้นพอดี
“ที่นี่ก็มีศพเหมือนกัน…” หลิงม่อหนังศีรษะตึงชา
“สถานที่แบบนี้เมื่อก่อนคงจะคึกคักมาก มีศพก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่างพี่ก็เห็นมาไม่ใช่น้อยๆ แล้ว…” ซย่าน่าส่ายหัวไปมา เธอก้าวขากว้างๆ ข้ามไป พลางพูดขึ้น
หลิงม่อตั้งสติ และเดิมอ้อมตามไป ปากก็พูดไปว่า “ก็ฉันคิดว่าที่นี่ยังไม่เปิดทำการนี่ อีกอย่าง…ฉันเคยเห็นมามากก็จริง แต่ทุกครั้งที่เห็น ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่”
“ทำไมล่ะ?” หลี่ย่าหลินที่เดินตามอยู่ข้างหลังถาม
“เห็นพวกเดียวกันตายแล้วสะเทือนใจล่ะมั้ง ฉันมักจะคิดไปว่าญาติและเพื่อนๆ กลายเป็นอย่างนี้ไปแล้วหรือเปล่า…” หลิงม่อพูดเสียงเบา
“แต่พี่ก็ฆ่าคนไม่ใช่หรอ? มนุษย์เมื่อเห็นศัตรูล้ม ก็คงรู้สึกดีเหมือนกันใช่หรือเปล่าล่ะ?” ซย่าน่าไล่จี้อย่างไม่ลดละ
หลิงม่อนิ่งไป จากนั้นก็หัวเราะหยันๆ “ใช่ เพราะฉะนั้นมนุษย์ถึงได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนไงล่ะ”
“มีทั้งด้านเห็นอกเห็นใจ และด้านเลือดเย็นหรอ? ซับซ้อนอย่างว่าจริงๆ นั่นแหละ” ซย่าน่าบอก
หลิงม่อไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี นี่ก็คือมนุษย์ในสายตาของซอมบี้…
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อก็รู้สึกเหมือนแขนเสื้อถูกกระตุกครั้งหนึ่ง
。
เขาหันกลับไปมอง ท่ามกลางความมืด ดวงตาของเย่เลี่ยนกำลังทอประกายสีแดงอ่อนๆ แต่มันไม่ได้แฝงแววกระหายเลือด กลับดูลึกลับน่าค้นหาเสียมากกว่า
เธอกระพริบตาปริบๆ ราวกับกำลังพิจารณาดูหลิงม่ออย่างละเอียด
“เป็นอะไรไป?” หลิงม่อถามเสียงอ่อนโยน
“ พี่หลิง พี่น่ะ…” เย่เลี่ยนยังคงพูดตะกุกตะกักอยู่ แต่แต่ละคำที่พูดออกมากลับชัดถ้อยชัดคำ “เป็นอย่างนี้…ก็ดีแล้ว”
“อืม” หลิงม่ออดยิ้มออกมาไม่ได้
คำพูดนี้ ทำไมฟังดูคุ้นๆ นะ?
“อ๊ะ ใช่แล้ว” จู่ๆ ซย่าน่าก้ช็หันกลับมา “ระวังอย่างเหยียบ…”
“แกร๊ก…”
หลิงม่อชะงักราวกับถูกคาถาสะกดนิ่งเข้า รวมทั้งสีหน้าก็ค้างเติ่งไปด้วย
“ศพ…” ซย่าน่าโบกมือไม้ไปมาเหมือนจะบอกว่าตัวเองไม่ผิด
“ขอบใจ…ที่บอก…” หลิงม่อเค้นคำพูดลอดไรฟัน
ซอมบี้ที่ตามพวกเขาออกมาจากลานจอดรถใต้ดินเมื่อกี้มีสิบกว่าตัว ซอมบี้กลายร่างมากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเอาไปทิ้งไว้ตรงไหนก็เป็นปัญหาทั้งนั้น
แต่โชคดีที่หลายตัวในกลุ่มพวกมันเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งออกมาจากเตาอบมาสดๆ ร้อนๆ พวกนั้นไม่เพียงไม่ชินดับร่างกายตัวเอง แต่ระดับวิวัฒนาการก็ยังไม่สูงด้วย
ซอมบี้พวกนี้คือจำนวนทั้งหมดที่เหลืออยู่ในโรงงานซอมบี้ ต้องขอบคุณซย่าน่า ที่ทำให้เจ้าซอมบี้ทารกในมือเธอกรีดร้องได้อย่างเต็มเสียง…
“อย่าเพิ่งรีบออกไป พาพวกมันเดินวนที่นี่รอบหนึ่ง อ้อ ใช่สิ รุ่นพี่รีบไปหาของพวกนั้นเร็วเข้า ของที่เมื่อกี้ผมเพิ่งบอกพี่ไปน่ะ”
“อื้ม!” หลี่ย่าหลินตอบรับอย่างแข็งขัน จากนั้นก็โฉบร่างหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“พวกมันตามมาแล้ว!” ซย่าน่าร้องบอกเสียงเบา
เสียงกระแทกประตูใหญ่ดังมาจากด้านหลัง ขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามและเสียงร้องไม่เป็นภาษาของซอมบี้ดังขึ้นพร้อมกัน
“ไป!”
หลิงม่อดึงกระเป๋าสะพายบนแผ่นหลังให้กระชับ ยื่นมือออกไปจับมือเย่เลี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มออกวิ่งท่ามกลางความมืดมิด
แสงเลือนรางของไฟฉายส่องออกไปข้างหน้าได้ไม่ไกลนัก หลิงม่อก็ไม่ได้วิ่งเร็วเท่าไหร่
เย่เลี่ยนที่ถูกลากให้วิ่งตามเงยหน้ามองหลิงม่อ จู่ๆ เธอก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
ถูกซอมบี้พวกนั้นไล่ล่า แต่ทำไมเขาถึงยิ้มมุมปากแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ? มนุษย์กลัวอันตรายและความตายมากไม่ใช่หรอ?
จะว่าไปแล้ว น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาโกรธเพราะชีวิตที่ลำบาก แล้วก็ไม่เคยเห็นเขาบ่นอะไรเลยด้วย…
แม้แต่ตอนที่เขาด่าใคร ในแววตาก็มักแฝงไปด้วยรอยยิ้ม…
“มนุษย์…ช่างน่าแปลก” ในสมองของเย่เลี่ยนพลันมีคำนี้ผุดขึ้นมา
ทันใดนั้นภาพภาพหนึ่งก็แล่นผ่านสมองเธอรางๆ…
เหมือนกับว่า พวกเขารู้จักกันตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว?
ถึงแม้ตอนที่เธอนึกย้อนไปถึงความทรงจำเหล่านั้น เธอมักไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วคลื่นดวงจิตของเธอก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป แต่ไม่รู้เพราะอะไร เธอชอบที่จะนึกถึงมันมาก
………..
ตอนนั้น คนคนนี้มักมีแต่หนวดเคราสั้นๆ เต็มหน้า ดวงตาแดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่เปิดประตู จะต้องเห็นเขาคาบบุหรี่ไว้ในปากในสภาพอดโรยสุดขีดทุกครั้ง
แต่วินาทีที่เขาเห็นเธอ รอยยิ้มผ่อนคลายและโล่งใจจะปรากฏอยู่บนหน้าเขาทันที
“เอาของอร่อยอะไรมาให้ฉันกันล่ะ?” มือใหญ่ๆ ข้างนั้นมักยื่นออกมา และสัมผัสเส้นผมนุ่มลื่นเป็นระเบียบของเธอเบาๆ
“พี่กินบะหมี่สำเร็จรูปอีกแล้วหรอ? บอกกี่ครั้งแล้ว มันไม่ดีต่อกระเพาะนะ พี่ทำกับข้าวให้ตัวเองกินบ้างไม่ได้หรอ?” เธอปัดมือเขาออก แล้วเริ่มบ่น
“ฉันทำอร่อยสู้เธอไม่ได้นี่นา”
“ฉันก็ต้องเข้าเรียนนะ มาหาพี่ได้แค่วันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้นแหละ!” เธอบ่นกระปอดกระแปด พลางเดินเข้าไปในห้อง
“ฉันทำแล้วนะ” เด็กหนุ่มเดินตามหลังเธอเข้าไปในห้อง ไม่ต้องดูเธอก็รู้ ว่าเขากำลังน้ำสายสอและจ้องกล่องข้าวในมือเธออยู่
“ทำอะไร?” เธอเก็บชุดน้ำชาที่วางระเกะระกะบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเอาผ้าคลุมโซฟาโยนเข้าไปในเครื่องซักผ้า
“ต้มหมี่…”
“ลวกหมี่เหอะ?”
“ใส่ผักเพิ่มด้วยนา”
เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปมองเขา บอกว่า “พี่เป็นแบบนี้ตลอด…”
“ยังไงก็มีเธอคอยดูแลอยู่นี่นา คุณป้าแม่บ้าน” เขาหัวเราะ
“ฉันแก่ขนาดนั้นที่ไหนกัน!” เธอทำทีเป็นโมโห “อีกอย่างฉันดูแลพี่ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ!”
“อ้าวๆๆ ไม่ได้นะ เธอรับปากฉันแล้วว่าจะดูแลกันไปลอดชีวิตน่ะ” เขาพูดอย่างไม่อายปาก
“พี่นี่มัน…เจ้าเล่ห์นักนะ! ช่างเถอะ พี่เป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่าดื้อไปมากกว่านี้ล่ะ…”
………..
ตอนนั้น เขาก็ดูเหมือนผ่อนคลายมาโดยตลอด…
เย่เลี่ยนนึกย้อนไปถึงความทรงจำอีกส่วนหนึ่ง ความทรงจำเหล่านี้เป็นส่วนที่เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ทีละเล็กละน้อยในช่วงที่ผ่านมา แต่เธอยังไม่เคยบอกใครซักคน
น่าจะเป็น…ความทรงจำตอนที่เธอเพิ่งจะเริ่มมีความสามารถในการจดจำ…
เธอรู้สึกว่าตัวเองสะลึมสะลือมาก บางครั้งก็เหมือนจำอะไรบางอย่างได้ แต่บางครั้งก็เหมือนไม่รับรู้อะไรเลย
แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามแต่ ขอเพียงเธอลืมตาขึ้น ด้านหลังม่านตาสีแดงเลือดของเธอ มักมีใบหน้าของเขาปรากฏอยู่เสมอ
อยากฉีกทึ้งและกัด อยากเห็นเลือดพุ่งออกมาจากลำคอของเขา อยากควักเครื่องในของเขาออกมา…
หิวเหลือเกิน…กระหายเหลือเกิน…
แต่…ทำไมถึงขยับไม่ได้ล่ะ?!
อยากขยับมือ แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้…
ทรมานมาก!
“อื้อ อื้อ…” เธอพยายามขัดขืนสุดแรง จ้องมนุษย์ตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เย่เลี่ยน อย่าขยับนะ เดี๋ยวฉันเช็ดหน้าให้” มนุษย์คนนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าในมือ
“กรร!” ความรู้สึกกระวนกระวายอย่างรุนแรงทำให้เย่เลี่ยนคลั่งขึ้นมา แต่เธอทำได้เพียงมองดูอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ตัวเอง
กลิ่นอายที่ทำให้เธอหิวกระหาย ลอยเข้ามาจมูกไม่หยุด กระทั่งลอยมากระทบดวงหน้า และลำคออันแห้งผากของเธอ
“เย่เลี่ยนของพี่สวยที่สุดจริงๆ แต่เปื้อนเลือดอย่างนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ…อ๊ะๆ อย่าดิ้นสิ เธอทำอย่างนี้ฉันปวดหัวมากนะ…”
น่ารำคาญ…เสียงดังน่ารำคาญ…
แต่มือของเขาแผ่วเบามาก สายตาก็อ่อนโยนมากเหมือนกัน…
ทำไม? ทั้งๆ ที่เป็นเหยื่อ…
ฝ่ามือของเขาสัมผัสถูกใบหน้าของเธอเป้นครั้งคราว อุณหภูมิที่ทำให้เธอกระวนกระวายแล่นปราดผ่านสัมผัสนั้น…
………..
“ใช่แล้ว นี่คืออุณหภูมิของมนุษย์”
เย่เลี่ยนดึงสติกลับมายังห้างฯ ใต้ดินแห่งนี้ และในทางเดินเส้นนี้
เธอยังคงมองมือตัวเองที่ถูกหลิงม่อกุมไว้แน่น ในดวงตาเลื่อนลอยพลันฉายแววผิดปกติไปเล็กน้อย
“อุณหภูมิร่างกาย…” เธอขยับนิ้วเล็กน้อย แล้วพลิกมือกลับไปกุมมือหลิงม่อตอบอย่างช้าๆ และนุ่มนวล
ท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิด หลิงม่อยังคงออกวิ่งต่อไป เขาไม่ทันสังเกตเห็นหรือรับรู้ถึงการกระทำเล็กๆ ของเย่เลี่ยน
ทว่าเขารู้สึกได้ว่ามือของตัวเองเย็นกว่าเดิม แต่เขาก็ไม่ปล่อยมือ กลับจับแน่นยิ่งกว่าเดิม
“อุณหภูมิของมนุษย์…สบายจังเลย” เย่เลี่ยนขยับปากเบาๆ นับตั้งแต่กลายร่างเป็นซอมบี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธออยากจะลองยิ้มผ่อนคลายเลียนแบบมนุษย์คนนี้ดูสักครั้ง
ในความมืด รอยยิ้มของเธอดูไม่ค่อยเข้ากันนัก แต่สายตาของเธอกลับอ่อนโยนยิ่งกว่าเวลาไหนๆ…
จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่า สำหรับซอมบี้ผู้กระหายเลือดและเย็นชา บางทีอุณหภูมิร่างกายของมนุษย์…ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใน หรืออุณหภูมิของเลือด อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดพวกเธอจริงๆ ก็ได้
ซอมบี้สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป แต่กลับกำลังหันกลับมาไล่ตามสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง…
“พี่หลิง” เย่เลี่ยนเรียกเขา
“หื้ม?” เย่เลี่ยนถามโดยไม่หันมามอง
เหล่าซอมบี้กำลังวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ เสียง “โครมคราม” ดังไล่หลังมาเป็นระยะๆ
ทว่าในสภาพแวดล้อมอันซับซ้อนอย่างนี้ พวกมันไม่มีทางตามทันในเร็วๆ นี้แน่นอน
“ตอนนี้พี่…กำลังดูแล…ฉันใช่ไหม?” เย่เลี่ยนถามเสียงเบา
“ห๊ะ? ทำไมจู่ๆ ก็ถามอย่างนี้ล่ะ? ก็ไม่ถือว่าดูแลหรอกนะ…” หลิงม่อกระชับมือเย่เลี่ยน แล้วพาเธอวิ่งผ่านทางเลี้ยวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดอย่างเหนื่อยหอบเล็กน้อย “ไม่มีพวกเธอฉันก็คงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ อีกอย่าง พอวิวัฒนาการของพวกเธอสูงขึ้น พวกเธอก็คงไม่ต้องการให้ฉันดูแลแล้วมั้ง? ตอนนี้ใส่เสื้อผ้าเองก็เป็นแล้ว โดยเฉพาะเสื้อชั้นในน่ะ!”
ประโยคสุดท้ายของเขาแฝงแววบ่นอย่างไม่พอใจชัดเจน…
“พวก…พวกฉัน…ดูแล…” เย่เลี่ยนพูดตะกุกตะกัก
ขณะที่เธอกำลังพูด เสียงโครมครามก็ดังขึ้นจากข้างหลังอีกครั้ง ไม่นานชั้นกระจกขนาดใหญ่ก็ล้มลงมาในจุดที่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสิบเมตร
“เชี่ยย!”
หลิงม่อดึงตัวเย่เลี่ยนเข้ามาในอ้อมกอดโดยอัตโนมัติ ตาข่ายหนวดสัมผัสทางจิตพลันกางออกอย่างรวดเร็ว
เศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยมากระทบตาข่ายหนวดสัมผัส พร้อมกับถูกดีดลอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หลิงม่อหายใจแรงจนอกกว้างกระเพื่อมขึ้นลง เขาขมวดคิ้วถาม “อ้อ ใช่สิ เมื่อกี้เธอพูดว่าไงนะ?”
เย่เลี่ยนเงยหน้าขึ้นมาในอ้อมกอดของหลิงม่อ แล้วส่ายหน้าเบาๆ “เปล่า…ฉันบอกว่า พวกฉันดูแลพี่ได้นะ”
“เอ๋? เป็นเด็กดีแล้วสินะ ฮิฮิ แต่เชื่อฟังฉันก็เท่ากับเป็นการดูแลฉันแล้ว…” หลิงม่อยิ้มประหลาด
เสียงซย่าน่าดังมาจากข้างหน้า “พี่หลิง?”
“หื้ม?”
“พี่รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเศษกระจกไม่ระคายผิวพวกฉัน?”
“…ฮ่าฮ่าฮ่า ก็ฉันทำไปตามสัญชาตญาณนี่นา”
—————————————————————————–
ตอนที่ 607
“ตึง!”
ท่ามกลางความมืดอันเงียบสงัด เสียงสนั่นลั่นฟ้าดังมาจากที่ไกลๆ เหมือนเสียงที่เกิดจากวัตถุหนักๆ ล้มกระแทกพื้น
“เฮยซือ แกได้ยินไหม?”
ศีรษะเล็กๆ ของใครบางคนยื่นออกมาจากมุมผนัง ดวงตาสีแดงขาวแยกชัดกลอกไปกลอกมารอบหนึ่ง พลางมองไปยังทางเดินมืดๆ เส้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง “ใช่ศพหรือเปล่า?”
เธอสูดดมจมูกเต็มที่ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มตื่นเต้นดีใจออกมา “ซอมบี้พวกนั้น…น่าจะถูกเสี่ยวป๋ายล่อออกไปแล้วสินะ! ตรงนั้นมีกลิ่นแรงมาก!”
“คิกคิก! คราวนี้เสร็จฉันล่ะ!”
พูดไป ซอมบี้โลลิก็เอียงคอมองหัวไหล่ตัวเอง
ไหล่ของเธอตอนนี้ถูกเลือดย้อมจนแดงเถือก ใต้เสื้อที่ถูกฟันจนฉีกขาด มีรอยแผลเป็นยาวๆ อยู่เส้นหนึ่งอยู่ในคราบเลือด
“อื่ม หายดีแล้ว” อวี๋ซือหรานยกมือขึ้นลูบแผล แล้วพูดขึ้น
ความสามารถในการสมานแผลของซอมบี้ชนชั้นสูงน่ากลัวจริงๆ ขอเพียงไม่ใช่อาการบาดเจ็บหนักอย่างกะโหลกแตกหรือเครื่องในเละ พวกมันก็ล้วนสมานแผลได้อย่างรวดเร็ว
นี่คือลักษณะเด่นของเชื้อไวรัส แล้วก็เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ซอมบี้ได้รับในฐานะนักล่าเลือดเย็น
ยิ่งระดับวิวัฒนาการสูงเท่าไหร่ ความเร็วในการสมานแผลก็ยิ่งขึ้นเท่านั้น
เมื่อควบรวมกับการโจมตีอันบ้าคลั่งไม่กลัวบาดเจ็บจากซอมบี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันทำให้เหล่าผู้รอดชีวิตรู้สึกกดดันมากขนาดไหน
แต่ความสามารถระดับที่ทำให้แขนขาที่ขาดงอกขึ้นมาใหม่ได้ ปัจจุบันยังไม่พบซอมบี้ที่สามารถทำได้
อย่างน้อยซอมบี้โลลิก็ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น ดังนั้นเธอจึงถือว่านี่คือข้อสรุปสุดท้ายโดยพลการ
ทว่าผู้ร้ายที่สร้างบาดแผลให้เธอ กลับทำให้อวี๋ซือหรานตะขิดตะขวงใจมาก—
ซอมบี้ที่ปล่อยคลื่นไฟฟ้าในสมองเป็น และทำตัวน่าชิงชังเหมือนมนุษย์ไส้กรอกตัวนั้น!
ทั้งที่เธอร่วมมือกับเฮยซือ แต่กลับถูกซอมบี้ตัวนั้นใช้วิธีการแปลกประหลาดก่อกวนจนได้ ไม่เพียงกำจัดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ยังได้รับบาดเจ็บกลับมาอีก
บวกกับตอนนั้นเสี่ยวป๋ายกำลังดึงดูดความสนใจจากไอ้เด็กผีตัวนั้นและซอมบี้ตัวอื่นๆ อยู่พอดี ดังนั้นอวี๋ซือหรานจึงฉวยโอกาสแสดงพรสวรรค์ในการทิ้งเพื่อน โดยรีบพาเฮยซือวิ่งหนีไปทันที
แต่ไอ้ซอมบี้น่ารำคาญตัวนั้นกลับตามติดพวกเธออย่างไม่ลดละ เหมือนกับว่าบนตัวพวกเธอมีบางสิ่งที่ทำให้มันสนใจอยู่…
มีอะไรให้น่าสนใจกัน?!
สุดท้ายก็เป็นเฮยซือที่เตือนเธอ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมเฮยซือไว้กับมนุษย์ไส้กรอกนั่นก็ได้!
“ไอ้มนุษย์ไส้กรอกชั่ว ไม่ว่าอยู่ไหนก็ตามมาได้ตลอดเลย!” ในตอนนั้น อวี่ซือหรานด่าหลิงม่อในใจด้วยคำศัพท์ที่เธออุตส่าห์พยายามคิดค้นขึ้นมาสดๆ ใหม่ๆ
สายสัมพันธ์แบบนี้อยากตัดก็ตัดไม่ได้ อีกอย่างเฮยซือไม่มีทางเชื่อฟังเธอทุกอย่างอยู่แล้ว…
แต่ถ้าจะให้ยอมแพ้ง่ายๆ เธอก็ทำไม่ได้
ทว่าในขณะที่เธอตัดสินใจจะย้อนกลับไปอีกครั้ง ซอมบี้ตัวนี้ก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ทำไมไม่ตามมาแล้วล่ะ? อวี๋ซือหรานไม่เข้าใจ และเธอก็ไม่อยากจะเปลืองสมองไปคิดต่อด้วย
ถึงยังไงก็ถือเป็นเรื่องดีนี่! ไม่แน่ว่ามันอาจย้อนกลับไปไล่ตามเสี่ยวป๋ายแทนแล้วก็ได้
เสี่ยวป๋ายหนังหนาจะตาย แค่โดนตีแปดครั้งสิบครั้งไม่เป็นไรหรอก…
“เรื่องสำคัญคือ…ได้ของมาแล้ว!”
อวี๋ซือหรานพูด พลางยกมือล้วงเข้าไปในร่องอกของตัวเอง
นิ้วมือขาวเนียนสองนิ้วคีบเอาวัตถุกลมกึ่งโปร่งใสเหมือนแมงกะพรุนที่เรืองแสงได้ออกมาจากร่องอกลึก ของสิ่งนั้นหยืดหยุ่นได้ มันกำลังขยับเบาๆ อยู่ในมือเธอ พร้อมกับปล่อยแสงสว่างเรืองรองออกมา
ซอมบี้โลลิจ้องของวัตถุชิ้นเล็กในมือตัวเองตาเป็นมัน เธอแลบลิ้นออกมาเลียปากตัวเองอย่างห้ามใจไม่อยู่
“ไม่เสียแรงที่ต้องไปเสี่ยงอันตรายกลับมา เสี่ยวป๋ายเองก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ถึงขนาดรั้งพวกมันไว้ได้ทั้งหมดจริงๆ”
ซอมบี้โลลิจับ “แมงกะพรุน” ในมือตัวเองพลิกไปพลิกมา แล้วพูดอย่างคาดหวังว่า “เฮยซือ เธอว่าเจ้าของสิ่งนี้มีไว้ทำอะไร? กินหรอ? ฉันคิดว่ามันเหมือน…”
พูดไป เธอก็อดแลบลิ้นสีชมพูดอ่อนออกมาไม่ได้
แต่ในเสี้ยววินาทีที่ลิ้นของเธอกำลังจะสัมผัสถูก “แมงกะพรุน” ทันใดนั้นปากเล็กๆ ของเธอกลับต้องปิดลงอย่างไม่คาดคิด
“โอ๊ยยยย!”
ซอมบี้โลลิเบิกตากว้างแล้วยกมือขึ้นกุมปากตัวเอง เธอกระโดดโหยงๆ อยู่กับที่ ปากก็ร้องลั่นไม่เป็นภาษา “เฮยซือแก…! ฮืออ ลิ้นของฉัน! ไอ้นี่มันขาดแล้วงอกใหม่ไม่ได้นะโว้ย!”
“งือออ? อะไรนะ? แกกำลังบอกว่า…พวกมนุษย์ไส้กรอกก็อยู่ทางนั้นเหมือนกัน?”
อวี๋ซือหรานค่อยๆ ลดมือลง บนดวงหน้าบิดเบี้ยวเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่พลันฉายแววซุกซน “อย่างนี้…ก็พอดีเลยน่ะสิ ถ้าหากพวกนั้นพ่ายแพ้ยับเยินกันทั้งสองฝ่าย พวกเราก็สามารถฉวยโอกาสนี้หลุดออกจากพันธนาการของพวกนั้นได้ไม่ใช่หรอ?! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ฉันนี่มันอัจฉริยะในหมู่ซอมบี้จริงๆ! ยัยซย่าน่าอะไรนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันซักนิด! เหอะ เอาแต่ดูถูกอยู่ได้ว่าตอนฉันเป็นมนุษย์ก็อายุแค่ 12 ขวบ หลังจากกลายร่างเป็นซอมบี้อย่างมากก็เหมือนเด็กอายุ 6 ขวบ พวกชอบทำเป็นรู้ดีไปทุกเรื่อง”
“เฮยซือ พวกเราไปกันเถอะ! ไม่แน่นะ…ฮิฮิ ฉันอาจจะได้ไส้กรอกติดมือกลับมาซักอันสองอันก็ได้!”
ซอมบี้โลลิยัด “แมงกะพรุน” กลับเข้าไปในร่องอกตัวเองอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็มองออกไปข้างนอก หลังเห็นว่าไม่มีเงาคน เธอก็กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว
ในความมืดอันสงัดเงียบ ซอมบี้โลลิพูดเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้งว่า “เฮยซือ พวกเราถือโอกาสช่วยเสี่ยวป๋ายกลับมาด้วยกันเถอะ”
“อะไรนะ?! ฉันเนี่ยนะ! ฉันไม่ได้ชอบมันนะ! ฉันเป็นซอมบี้นะยะ! เป็นซอมบี้ ฉันจะไปชอบอะไรได้ไงล่ะ! มันเป็นความรู้ทั่วไปนะเธอเข้าใจไหม?…ฉันต้องการ…ฉันหมายถึง…มีมันอยู่ก็เหมือนมีรถไง หากจำเป็นจริงๆ มันก็เป็นอาหารแห้งให้ฉันได้ด้วย! ถ้าตายก็น่าเสียดายเกินไปน่ะสิ…อื้มๆ เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ”
“หยุด…ห้ามหัวเราะนะ! เป็นแค่หมาตัวหนึ่ง หัวเราะอะไรไม่ทราบห๊ะ! แกมีคำพูดในใจมากมายขนาดนี้ เจ้ามนุษย์ไส้กรอกนั่นยังไม่รู้นี่! คอยดูเถอะฉันจะฟ้องเขา!”
………..
“ได้ผลแล้ว” หลิงม่อลากเย่เลี่ยนวิ่งผ่านทางเลี้ยวอีกครั้ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างดีใจ
“อะ…อะไรหรอ?” เย่เลี่ยนถาม
ซย่าน่าเองก็วิ่งตามมาติดๆ แต่เคียวดาบในมือของเธอกลับไม่ได้อยู่ว่าง เธอใช้มันยกร่างซอมบี้ที่กระโจนเข้ามาจากด้านข้างขึ้นกลางอากาศ “พี่หลิงกำลังบอกว่า พวกนั้นตามแล้ว อวี๋ซือหรานกับเฮยซือน่ะ”
“อ้อ…” เย่เลี่ยนพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ
“พี่หลิงวิ่งมาทางนี้ก็เพราะเรื่องนี้สินะ? ยิ่งออกห่างจากลานจอดรถ พลังสัมผัสรู้ยิ่งแกร่งขึ้น แต่ถ้าพวกเราสัมผัสรู้ได้ถึงพวกนั้น ก็แสดงว่าพวกนั้นก็สามารถสัมผัสรู้ได้ถึงพวกเราด้วยน่ะสิ?” ซย่าน่าถามอย่างสงสัย
หลิงม่อหัวเราะคิกคัก “ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เท่านั้น ยังมีอีกเรื่อง ถ้าพวกนั้นสัมผัสถึงพวกเราไม่ได้ จะตามมาได้ไงล่ะ? ซอมบี้ก็มีนิสัยส่วนตัวของซอมบี้เหมือนกันนะ นิสัยของยัยอวี๋ซือหรานน่ะ มองออกง่ายจะตายไป”
“ก็ 12 ขวบนี่นะ…”
“หลังกลายร่างก็ต้องหักลบสติปัญญาออกอีกหรือเปล่า?”
“ครึ่งหนึ่ง?”
“เหลือหนึ่งส่วนสิบ”
“อ้อ…”
คราวนี้เย่เลี่ยนกับซย่าน่าพยักหน้าพร้อมกันอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง สายตาที่มองออกไปในความมืดก็เริ่มดูตื่นเต้นขึ้นมา
ถึงแม้การลอบโจมตีจะสนุกมาก แต่เปลี่ยนวิธีมาเป็นเปิดประตูรอให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาเองบ้างเป็นบางครั้ง ก็ดูเหมือนจะน่าสนใจอยู่ไม่น้อย!
หลังจากที่พาพวกซอมบี้วิ่งวนอยู่หลายรอบ ในที่สุดระหว่างวิ่งไล่กวดกันจำนวนของซอมบี้พวกนี้ก็เริ่มลดลง
ซอมบี้ทารกเองก็ดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายลง มันกรีดร้องเต็มเสียง แต่ปรากฏว่ามันกลับถูกซย่าน่าเอาเศษผ้าสกปรกยัดปากทันที
เดิมหลิงม่อคิดว่ามันออกจะโหดร้ายเกินคนไปหน่อย แต่พอเขายื่นมือไปดึงผ้าก้อนนั้นออกมา กลับมองเห็นปากที่กำลังอ้ากว้างของซอมบี้ทารกพอดี
หลอดที่เหลือเพียงครึ่งเดียวนั่นกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในนั้น ฟันแหลมคมสองแถวล่างบนงับมาที่ข้อมือของเขาโดยตรง
ดวงตาที่สะท้อนแววดุร้ายและกระหายเลือดคู่นั้น กลับจ้องมองมายังเส้นเลือดบนลำคอของหลิงม่ออย่างปรารถนาแรงกล้า
“กับซอมบี้ประเภทนี้…ไม่ต้องมีความเป็นคนก็ได้โว้ย!” หลิงม่อยัดผ้าก้อนนั้นกลับไปอีกครั้ง
ในขณะนั้น อวี๋ซือหรานและเฮยซือได้มาถึงบริเวณใกล้เคียงพวกเขาแล้ว
ซอมบี้โลลิหลบอยู่ข้างหลัง เงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวข้างหน้า พลางยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “ถ้าหากพวกนั้นกำลังสู้กันอย่างดุเดือดล่ะก็ พวกเราค่อยราดน้ำมันใส่เข้าไปอีกกันดีกว่า…รู้แล้วน่า ฉันรู้ว่าแกไม่มีทางลงมือเองแน่ ถ้าอย่างนั้นแกก็ปล่อยให้ฉันลงมือเองได้ไหม? พวกเราเป็นร่างร่วมกันนะอย่าลืม…”
“รับปากแล้วนะ? อิอิ อย่างนี้ค่อยใกล้ชิดกันขึ้นมาหน่อย”
อวี๋ซือหรานย่อกายลงครึ่งตัว พลางพุ่งไปข้างหน้าตามแนวผนัง จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
อวี๋ซือหรานที่นั่งหลบอยู่ใต้โต๊ะกำลังจ้องออกไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นสุดๆ สายตาของเธอกำลังสแกนหาบางสิ่งท่ามกลางฝูงซอมบี้
“เห็นแล้ว!”
คนที่หลบอยู่ข้างหลังซอมบี้สาวนั่น มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าต้องเป็นเจ้ามนุษย์ไส้กรอกจอมเจ้าเล่ห์นั่นแน่ๆ!
ขณะที่ซอมบี้พวกนั้นกระโจนเข้าไป การเคลื่อนไหวของพวกมันก็ตะแปลกไป จากนั้นซอมบี้สาวสองตัวนั้นก็จะฉวยโอกาสกระโจนเข้าใส่ ลงมือแค่สองสามครั้งก็จัดการเรียบร้อยแล้ว
“ปั๊ดโธ่ ช่างเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันที่ไร้สมองจริงๆ เลยพวกนี้นี่!” อวี๋ซือหรานเห็นท่าไม่ดี หากเป็นอย่างนี้ต่อไป หลิงม่อต้องชนะแน่ๆ
เธอกวาดมองอีกครั้ง แล้วในที่สุดก็มองเห็นวัตถุสีขาวกลมๆ
“เสี่ยวป๋าย!”
—————————————————————————–
ตอนที่ 608
สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และขนปุกปุยตัวหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ในมุมผนัง มองแวบแรกเหมือนปอมปอมยักษ์สีขาวมากจริงๆ…ถ้าหากไม่ใช่ว่าหางกลมๆ ตรงก้นของมันส่ายไปส่ายมาสะดุดตาขนาดนั้นล่ะก็นะ
“ทำไมฉันรู้สึกว่าเสี่ยวป๋ายดูท่าไม่ค่อยดีเลยล่ะ?” อวี๋ซือหรานชะโงกหน้าไปข้างหน้าอย่างห้ามใจไม่ได้ พร้อมกับถามขึ้นเสียงเบา
หลายวินาทีผ่านไป สีหน้าของซอมบี้โลลิก็ดูแย่ลงถนัดตา ขณะเดียวกันก็กำหมัดแน่นแล้วสบถเสียงดัง “เฮ้ย! ถึงแม้ฉันจะเป็นคนตัดสินใจให้มันเป็นคนจุดชนวนสงคราม แต่อย่าลืมนะว่าแกก็เป็นร่างร่วมของฉันน่ะ! แกจะห้ามฉันก็ได้นี่!…อย่าเชียวนะ! อย่ามาเล่นลูกไม้ ‘ฉันเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง’ กับฉันเชียวนะ ฉันก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งเหมือนกันเหอะ!”
“ไม่! ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเป็นอัจฉริยะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันเป็นเด็กเล่า! ฉันเป็น…อัจฉริยะเด็กไงเล่า!”
อวี๋ซือหรานทำท่ากระฟัดกระเฟียดขณะ “พูดกับตัวเอง” อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยมองไปทางเสี่ยวป๋าย “มันดูไม่เหมือนบาดเจ็บนะ…”
สภาพของเสี่ยวป๋ายในตอนนี้ดูอ่อนแรงมากจริงๆ ถึงแม้จากผลการสังเกต จะทำให้มั่นใจได้ว่ามันจะไม่กลายร่างเป็นศพน้ำเพราะติดเชื้ออย่างแน่นอน แต่เมื่อคิดว่าเชื้อไวรัสสัตว์กลายพันธุ์กำลังต่อสู้กับเมือกขุ่นๆ ชนิดนี้อยู่ในร่างกายของมัน แถมในไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มันก็เพิ่งถูกกระชากซอมบี้ทารกออกมาจากคอหอย จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าทำไมมันถึงอยู่ในสภาพนี้
น่าเสียดายที่ทั้งอวี๋ซือหรานและเฮยซือต่างก็ไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นซอมบี้โลลิจึงคิดเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่นทันที
“ซือหราน ช่วยฉันด้วย แบ๊!”
“แบ๊! ฉันได้รับบาดเจ็บภายใน!”
“แบ๊~ แบ๊~”
“ไม่ๆๆๆ” อวี๋ซือหรานสะบัดหน้าไปมา เพื่อสลัดจินตนาการเหล่านี้ออกจากหัวไป
ทว่าสีหน้าของเธอยังดูแปลกไปอย่างควบคุมไม่อยู่ เธอกัดริมฝีปากแรงๆ แล้วบริหารนิ้วมือสองสามที
“ไม่เป็นไร ขอแค่ช่วยมันออกมาจากเงื้อมมือของเจ้ามนุษย์คนนั้นได้ พวกเราก็จะถือว่าหายกันแล้ว!”
ไม่นานเธอก็หาทางออกที่เหมาะสมได้ และหลังจากได้ข้อสรุปนี้อวี๋ซือหรานก็ดูผ่อนคลายลงมาก
“ฟู่ว! น่าแปลกจริงๆ…” ซอมบี้โลลิยกมือขึ้นลูบหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง แล้วพูดอย่างสงสัย “เมื่อกี้ฉันรู้สึกว่ามันอึดอัดอยู่ตรงนี้ แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ดีขึ้นแล้วล่ะ? ไม่ใช่เพราะหมดแรงหรอกหรอ? แปลกจัง…”
หลังจากล็อกตำแหน่งของเสี่ยวป๋ายแล้ว อวี๋ซือหรานก็รีบมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็แนบตัวชิดกำแพงแล้วค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้มัน
ซอมบี้ที่ไล่ตามมากำลังสู้อยู่กับพวกหลิงม่อ ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะไม่มีเวลาหันมาสนใจเธอ
ไม่นานอวี๋ซือหรานก็เข้าใกล้เสี่ยวป๋ายได้อย่างราบรื่น ระยะห่างระหว่างทั้งสองกระชั้นชิดขึ้นจนเหลือไม่ถึงห้าเมตร
เธอซ่อนอยู่หลังชั้นวางสินค้าที่หักไปครึ่งท่อน แล้วโผล่หัวออกไปแอบดูพวกหลิงม่ออย่างระวังสุดขีด
“ไม่ถูกจับได้!”
ซอมบี้โลลิฉีกยิ้ม จากนั้นก็หันไปส่งสัญญาณให้เสี่ยวป๋าย “ชู่ว! ชู่วๆ!”
เสี่ยวป๋ายยกศีรษะอันหนักหน่วงขึ้นมองอย่างระแวง พลางยกเปลือกตาเหลือบมองมาทางต้นตอเสียง
“ชู่วๆ! ทางนี้!”
ซอมบี้โลลิยกมือขึ้นโบกไปมา “ชู่ว! ฉันมาช่วยแกแล้ว!”
“แบ๊?” เสี่ยวป๋ายขยับสะโพกเล็กน้อย แล้วเอียงคอมองมาอย่างงุนงง
“อย่าขยับสิ…” ซอมบี้โลลิทำท่ากดมือลง เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พลางสังเกตพวกหลิงม่ออย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปด้วย
“พวกเพื่อนๆ ให้ฉันช่วยพวแกซักครั้งนะ” อวี๋ซือหรานยิ้มประหลาด จากนั้นก็ล้วงบางสิ่งออกมาจากประเป๋าเป้
ในฐานะสมาชิกในกลุ่มของหลิงม่อ ซอมบี้โลลิย่อมหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องแบกกระเป๋าเป้ด้วย
และเนื่องจากหลิงม่อต้องการระวังพวกมู่เฉินด้วย ดังนั้นสิ่งของมีประโยชน์ส่วนมาก จึงถูกเก็บไว้กับอวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋าย
ทว่าหากเทียบกระเป๋าเป็บนตัวอวี๋ซือหรานกับกระเป๋าเป้ของเสี่ยวป๋าย ขนาดและน้ำหนักเบากว่ามากทีเดียว
“คิกคิก เจ้ามนุษย์ไส้กรอก…”
ซอมบี้โลลิล้วงมีดเล็กๆ เล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเป้ จากนั้นก็เล็งเป้าไปทางหลิงม่อ
เดิมเธอไม่ค่อยเคยชินกับการใช้อาวุธเท่าไหร่นัก แต่เพื่อจัดการกับหลิงม่อ เธอจะยอมฝืนใจตัวเองซักแป๊บหนึ่ง
“เหอๆๆ…”
ซอมบี้โลลิกระชับมีดไว้ในมือแน่น พลางซ่อนตัวอยู่อีกฝั่งเพื่อจ้องหาช่องโหว่ในการโจมตีเงียบๆ
สำหรับซอมบี้ตัวอื่นๆ หลิงม่อแนบตัวประชิดผนัง แล้วยังหลบอยู่ข้างหลังซอมบี้สาวชนชั้นสูงสองตัวอย่างมิดชิดขนาดนี้ แถมยังมีวิธีการโจมตีที่ยากจะหลบเลี่ยงได้อีก ความเป็นไปได้ที่จะสามารถเข้าใกล้ตัวเขาแทบจะหลายเป็น 0
แต่หากมองออกไปจากมุมที่อวี๋ซือหรานยืนอยู่ กลับสามารถมองเห็นด้านข้างของหลิงม่อได้อย่างเหมาะเจาะ
ยิ่งบวกกับระยะห่างระหว่างทั้งสอง อวี๋ซือหรานมั่นใจว่าตัวเองต้องโจมตีสำเร็จแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลิงม่อไม่มีทางคาดเดาได้แน่นอน ว่าเธอจะเกลี้ยกล่อมเฮยซือสำเร็จ…
“หึหึ เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ปล่อยให้ซอมบี้ตัวหนึ่งกับสัตว์กลายพันธุ์ตัวหนึ่งอยู่ด้วยกันทุกวันอย่างนี้ ฝ่ายที่ชนะย่อมต้องเป็นซอมบี้ที่ฉลาดกว่าแน่นอนอยู่แล้ว!” อวี่ซือหรานลอบหัวเราะหยันในใจ
และในขณะนี้ การต่อสู้เบื้องหน้าก็กำลังดำเนินไปสู่ช่วงที่ดุเดือดที่สุด
ร่างซอมบี้ที่ล้มลงไปอย่างต่อเนื่องไม่เพียงไม่ได้ทำให้ซอมบี้ที่เหลือกลัวจนถอยหนี กลับกัน ยิ่งไปกระตุ้นความปรารถนาในการต่อสู้ให้รุนแรงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ถึงแม้ว่าพวกมันจะเป็นซอมบี้กลายร่างที่เพิ่งเกิด แต่หากวัดกันเรื่องพลัง พวกมันรับมือยากกว่าซอมบี้ระดับกลายพันธุ์มาก
แน่นอนว่าในยุคสมัยที่มีซอมบี้กลายพันธุ์เกลื่อนไปหมดทุกที่อย่างนี้ การที่พวกมันจะแกร่งล้ำหน้าซอมบี้กลายพันธุ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่อย่างน้อยในด้านจำนวน พวกมันยังห่างชั้นอีกไกล
จุดเด่นที่น่ากลัวที่สุดของซอมบี้กลายร่างคือพลังในการเจริญเติบโตของพวกมัน ซึ่งมันคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดที่ทำให้พวกมันมีบทบาทสำคัญในหมู่ซอมบี้
แต่น่าเสียดาย ที่ในวินาทีนี้ อาวุธชิ้นนี้กลับไร้ประโยชน์
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ชนชั้นสูงสองตัว แล้วยังมีปีศาจหนวดในร่างคนอีกหนึ่งคน พวกมันไม่มีโอกาสให้เจริญเติบโตได้อีกต่อไป
“ฉึบ!”
เคียวดาบของซย่าน่าฟันออกไปในแนวขวาง เพื่อกันซอมบี้สองตัวที่เพิ่งถูกหลิงม่อฉุดรั้งไว้กลางทางให้ถอยออกไปอีกครั้ง
และขณะเดียวกับที่พวกมันถอยหลัง เย่เลี่ยนก็ได้ยกปืนขึ้นเล็งและลั่นกระสุนออกไปติดๆ กันสองนัด
หลังเสียงลั่นไกดังสนั่นติดกันสองครั้ง ศีรษะของหนึ่งในซอมบี้สองตัวนั้นก็กระจุยหายไปกับอากาศในพริบตา เลือดพุ่งออกมาจากลำคอของมันเหมือนน้ำพุ จากนั้นมันก็ล้มลงไป ส่วนซอมบี้อีกตัวก็ขาขาดไปข้างหนึ่ง
ซอมบี้ตัวที่สองยังคงคำราม “กรร” และหมายจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง แต่มันกลับไม่คุ้นเคยกับการต้องเดินขาเดียว เพิ่งจะกระโจนไปข้างหน้าได้นิดเดียว มันก็พุ่งชนพวกเดียวกันล้มลงไปด้วยตัวหนึ่ง
ถึงแม้จะพุ่งชนผิดตัว แต่ซอมบี้ตัวนี้กลับไม่คิดจะยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย
กลิ่นคาวเลือดฉุนๆ แล้วยังมีเงาแห่งความตายที่เกิดจากภาวะเสียเลือดมาก ทำให้ซอมบี้ขาด้วนตัวนี้เข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่งอย่างรวดเร็ว
มันนอนทับอยู่บนตัวซอมบี้ผู้โชคร้ายตัวนั้น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปควักสมองของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ซอมบี้…ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพรสวรรค์ด้านการทิ้งเพื่อนจริงๆ…” หลิงม่อรำพึงรำพัน แล้วฉวยโอกาสหันไปชื่นชม “เด็กโง่! ทำดีมาก!”
“แหะ…” เย่เลี่ยนเม้มปาก ดวงตากลมโตจ้องมองหลิงม่อพลางกระพริบปริบๆ
ส่วนซย่าน่าพูดขึ้นโดยไม่หันมามอง “ฉวยโอกาสตอนที่น่าน่ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่…ฉันต้องบอกว่า นี่เป็นเพียงกฎการเอาตัวรอดที่รุนแรงที่สุดเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรอ…”
ขณะที่พูดอยู่ ซอมบี้ขาด้วนตัวนั้นได้คว้าแขนของพวกเดียวกันที่กำลังดิ้นขัดขืน จากนั้นก็ดึงจนหลุดออกมาเป็นๆ
“ก็ใช่น่ะสิ มนุษย์อาจคิดว่ามันเป็นภาพที่น่ากลัว แต่สำหรับพวกเรา การเสียสละพวกเดียวกันที่อ่อนแอ การต่อสู้กันภายในที่เหมาะสม ล้วนสามารถส่งเสริมให้วิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วได้มากกว่า” ซย่าน่า หรือก็คือเฮยน่าพูดพร้อมหัวเราะคิกคัก
“นักเรียนดีเด่น…” หลิงม่อถูกคำพูดของเธอทำให้ตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าไม่นานสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นดูแคลน “เธอแน่ใจหรอกว่าพวกมันไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง?”
ขณะเดียวกัน ซอมบี้อีกสองตัวก็ได้เข้ามาร่วมวงก่อการจลาจล ทว่าพวกมันกลับจับตัวซอมบี้ขาด้วนจากทางซ้ายและขวา ไม่ทันเห็นว่าพวกมันลงมือทำอะไร เห็นเพียงเลือกและเศษชิ้นเนื้อกระจายไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง
เศษอวัยวะภายในที่ถูกโยนขึ้นกลางอากาศร่วงตกลงบนพื้นภายใต้แสงสว่างจากไฟฉายของหลิงม่อดัง “แปะๆ” ตอนนี้เหมือนพวกเขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางโรงเชือดสัตว์อันโหดร้ายอย่างไรอย่างนั้น
“เอิ่ม…” ซย่าน่าลังเลอยู่ครูหนึ่ง จากนั้นก็ต้องยอมรับอย่างรันทด “เอาเถอะ พี่พูดถูก พวกมันก็แค่หิวน่ะ…อีกอย่าง…พวกมันก็ต้องการเชื้อไวรัสด้วย…แต่แล้วยังไงล่ะ! มันก็เป็นสัญชาตญาณนี่นา! อีกอย่างสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้เป็นความคิดของน่าน่าทั้งนั้นแหละ!”
หึหึหึ พอน่าน่าไม่อยู่ก็ฉวยโอกาสป้ายสีเธอเลยหรอ?” หลิงม่อยิ้มประหลาด
“แล้วทำไม เธอเป็นคนคนเดียวกับฉันนะ! ฉันก็คือเธอ เธอก็คือฉัน อย่างมากเธอก็แค่โดนตัวเองใส่ร้ายเท่านั้นเอง…” เฮยน่าเริ่มเถียงข้างๆ คูๆ ไปเรื่อย…
“ยังมีเวลาคุยกันอีก…” ท่ามกลางเงามืด ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งกำลังจ้องพวกเขาสามคนด้วยแววตาประสงค์ร้าย
“สวบ!”
คมมีดทอแสงวูบวาบขึ้นกลางอากาศเคล้าด้วยเสียงหัวเราะเยือกเย็นของซอมบี้โลลิ แขนเรียวเล็กของเธอง้างไปด้านหลัง โดยเล็งเป้าไปที่เงาร่างหนึ่งในนั้น …
“คิกคิก ถึงแม้นายจะดูใจจดใจจ่อมาก แต่ว่า…”
องศาปลายมีดของเธอเบี่ยงออกไปเล็กน้อย พร้อมกับที่สายตาของเธอเบนออกจากตัวหลิงม่อ ไปยังซย่าน่าแทน
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันฉลาด!”
—————————————————————————–
ตอนที่ 609
ทันใดนั้นประกายมีดพลันร่วงวูบ!
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือเสียงลั่นร้องของใครคนหนึ่ง “อ๊ะ!”
ทว่าเสียงเสียงนี้ กลับไม่ใช่ทั้งของซย่าน่า และไม่ใช่ของหลิงม่อเช่นกัน…
เย่เลี่ยนที่กำลังเล็งปืนไปที่ซอมบี้ตัวหนึ่งหันขวับไปมองทางต้นเสียงอย่างงงๆ “เอ๋?”
ในสายตาขี้สงสัยของเธอ สะท้อนเงาร่างของอวี๋ซือหรานที่เดิมซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นกำลังยืนเบิกตากว้าง และอ้าปากค้าง พลางร้องลั่นอย่างตกใจ “กรี๊ดดด!”
เสียงกรีดร้องครั้งนี้ของซอมบี้โลลิ เหมือนเสียงกรีดร้องของเด็กผู้หญิงมนุษย์เวลาตกใจมาก
แตกต่างกันเพียงเด็กสาวมนุษย์เหล่านั้นมักมีน้ำตาอาบแก้ม แต่ซอมบี้โลลิมีเพียงความงุนงงอยู่บนใบหน้าเท่านั้น
อวี๋ซือหรานไม่ใช่คนที่จะถูกสัตว์ “ตัวเล็ก” อย่างแมลงสาบหรือหนูทำให้สะดุ้งตกใจได้ สาเหตุที่เธอกรีดร้องตกใจออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ เป็นเพราะมีดเล่มเมื่อกี้ที่ควรพุ่งไปทางซย่าน่า เพื่อเป็นการเปิดประตูก้าวสู่ชีวิตใหม่ของเธอ ตอนนี้กลับหันมาจ่ออยู่ตรงลูกตาซ้ายของเธอในระยะเพียงหนึ่งเซนติเมตรเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เธอยากจะเชื่อที่สุดคือ มีดเล่มนี้ยังคงอยู่ในมือของเธอ
“นี่มันๆๆๆ…นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
อวี๋ซือหรานกรีดร้องพร้อมตั้งคำถามอยู่ในใจ
แต่พอสบตากับเย่เลี่ยนได้เพียงแวบเดียว เสียงกรีดร้องของเธอก็เบาลงทันที
“ใช่แล้วๆ! ถูกจับได้แล้วแน่ๆ! ไม่ได้การล่ะ เราต้องรีบหนีแล้ว! หนี…ก่อน…”
อวี๋ซือหรานที่กำลังวิตกสุดๆ กัดริมฝีปากแน่น พลางก้าวถอยหลัง แต่ไม่นานเธอกลับค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นแขนหรือขาทั้งคู่ของตัวเอง ล้วนไม่ยอมฟังคำสั่งของเธอ
เธอทำได้มากสุดเพียงกระพริบตาปริบๆ หรือไม่ก็เลือกที่จะกรีดร้องต่อไป
“เฮยซือ! ฉันต้องขอบใจแกไหมที่อุตส่าห์เหลือปากกับตาให้ฉันเนี่ย! พวกเราตกลงกันดีแล้วไม่ใช่หรอ? อีกอย่างฉันไม่ได้โจมตีเจ้ามนุษย์คนนั้นซักหน่อยนะ!”
อวี๋ซือหรานยังคงพล่ามบ่นไม่หยุด ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ เธอก็ค้นพบว่า เย่เลี่ยนที่สบตากับเธอไม่กี่วินาทีได้หันหน้ากลับไปทางเดิมแล้ว
ส่วนซย่าน่าและหลิงม่อก็เหมือนจะไม่สังเกตเห็นเธอเลยซักนิด พวกเขายังคงจดจ่ออยู่กับการรับมือซอมบี้กลายร่างพวกนั้นเต็มที่
“หรือว่า…ไม่ได้ยิน? แต่ถึงแม้ที่นี่จะเสียงดังไปหน่อย…ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว”
ซอมบี้โลลิพยายามกลอกตาไปทางซ้าย เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเสี่ยวป๋าย “ชิ่วๆ! เสี่ยวป๋าย!”
“เฮ้ย! มาช่วยฉันเร็ว ฉันต้องกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะกลับมาช่วยแกนะ” อวี๋ซือหรานพูดขึ้น
แต่เสี่ยวป๋ายเพียงยกเปลือกตากขึ้นมองเล็กน้อย จากนั้นก็นอนหมอบลงไปเหมือนเดิม
“เฮ้ย! ชิ่ว! เสี่ยวป๋าย! เจ้าแพนด้า! อย่ามาทำเป็นไม่ได้ยินนะ!”
“เสี่ยวป๋าย เอาอย่างนี้ไหมพวกเรามาตกลงกันก่อน? ฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งแกอีกแล้ว!”
“เสี่ยวป๋ายป๋าย?”
ภายใต้เสียงร้องเรียกอย่างไม่ลดละของอวี๋ซือหราน ในที่สุดหมีแพนด้ากลายพันธุ์ที่ไม่ยอมตอบสนองต่อสิ่งใดก็เริ่มมีปฏิกิริยาเล็กน้อยแล้ว
แต่ท่ามกลางสายตาตื่นเต้นดีใจของอวี๋ซือหราน เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ตัวนี้กลับยกอุ้งเท้าสองข้างขึ้นมา จากนั้นก็วางทับไว้บนหูทั้งสองของตัวเอง…
มันมุดหน้าลงไปแล้ว!
“ไอ้หมีแพนด้าเลว…ฉันว่าแล้วเชียวว่าหมีกับซอมบี้เข้ากันไม่ได้หรอก!”
อวี๋ซือหรานได้แต่กัดฟันบ่นอย่างเจ็บใจ จากนั้นก็หันไปมองหลิงม่ออีกครั้ง
แต่พอเห็นมนุษย์คนนี้ยังยืนหันหลังให้ตัวเองอยู่ และไม่สังเกตเห็นเธอซักนิด อวี๋ซือหรานกลับรู้สึกโล่งอกทันที…
สามนาทีผ่านไป ซอมบี้ตัวสุดท้ายล้มลงไป
และในที่สุดอวี๋ซือหรานก็รอจนหลิงม่อหันมาทางเธอ ทว่าสีหน้าท่าทางของมนุษย์ไส้กรอกผู้นี้แตกต่างจากที่เธอคิดไว้เล็กน้อย
“ไส้กรอก…นาย…” อวี๋ซือหรานยืนมองหลิงม่อเดินเข้ามาช้าๆ ก็อดเอ่ยปากเรียกขึ้นมาไม่ได้
“ฉันทำไม?” หลิงม่อนวดหว่างคิ้ว พลางถามกลับ
“ตอนนี้นายควรจะขมวดคิ้วเป็นปม และเบิกตากว้างจนลูกตาแทบถลนออกมาจากเบ้าไม่ใช่หรอ?” อวี๋ซือหรานถาม
“ฉันไปทำอย่างนั้น…อ๋อ นั่นเป็นท่าทางตอนฉันโกรธสินพชะ” หลิงม่อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ขณะเดียวกันก็หันไปถามเย่เลี่ยนเบาๆ “ตาฉันเหมือนจะถลนออกมาจากเบ้าจริงๆ หรอ?”
เย่เลี่ยนครุ่นคิดอย่างจริงจัง จากนั้นก็พยักหน้าขึ้นลง
“อย่างนั้นหรอ…” หลิงม่อลูบตาเบาๆ กระแอมเขินสองสามที จากนั้นก็เดินไปทางอวี๋ซือหราน
ท่าทางของเขาที่มีต่ออวี๋ซือหรานในวันนี้แตกต่างไปจากเวลาปกติจริงๆ ที่ผ่านมาเขามักโมโหเธอบ่อยๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูสงบนิ่งมาก
“สนุกไหม?” หลิงม่อถาม
“หื้ม?” อวี๋ซือหรานกระพริบตาปริบๆ
“ก็…” หลิงม่อโบกมือพร้อมตะโกนเรียกซย่าน่า “เอามีดลงเถอะ”
คราวนี้อวี๋ซือหรานถึงกับต้องเบิกตากว้าง เธอหันไปมองซย่าน่าอย่างช็อกสุดขีด
เด็กสาวผมยาวคนนั้นเสยผมขึ้น บนดวงหน้าที่บริสุทธิ์สดใส กลับเปื้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “เฮยซือ เอาลงซะ”
อวี๋ซือหรานรีบตวัดสายตาไปมองแขนตัวเองลดลงต่อหน้าต่อตา และมีดเล่มนั้นก็ถูกหลิงม่อยึดไป
“ถึงแม้เธอจะเลือกมาตอนที่พวกเรากำลังสู้อยู่ และหวังว่าฉันจะไม่รับรู้ถึงการมาของพวกเธอ…แต่ความคิดนี้เป็นความคิดที่โง่มาก” หลิงม่อบอก
“แต่ถึงจะสัมผัสได้ นายก็ไม่มีเวลา…อีกอย่างเฮยซือกับฉันก็กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วด้วย!” อวี๋ซือหรานยังคงทำท่าเหมือนคนที่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
“เธอรู้ตัวไหมว่าเพิ่งเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับตั๊กแตนน่ะ?” (ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน หมายถึง ผู้สมรู้ร่วมคิด หรือลงเรือลำเดียวกันในภาษาไทย) หลิงม่อพูดอย่างขบขัน จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันไม่มีเวลาหันมาสนใจเธอมากนักจริงๆ แต่เธอคิดจริงๆ หรอว่าตัวเองจะทำให้เฮยซือทรยศได้? ฮ่าฮ่า…”
“ทำไมจะไม่ได้!” อวี๋ซือหรานถาม
ซย่าน่าเดินยิ้มหวานเข้ามา และยกมือขึ้นหยิกแก้มอวี๋ซือหรานไปมา “เหตุผลง่ายมาก เพราะเฮยซือถูกฉันล้างสมอง…หมายถึงสั่งสอนมาไงล่ะ เธอคิดว่าแค่เธออยู่กับมันเพียงไม่นาน มันก็จะเชื่อฟังเธอหรอ? อืมม มันเริ่มเชื่อฟังเธอแล้วก็จริง แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่าเป็นเพราะอะไร?”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของซย่าน่าก็เปลี่ยนไปเหมือนมีบางอย่างแอบแฝงอยู่
อวี๋ซือหรานจ้องซย่าน่าอย่างมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนอย่างฉุกคิดขึ้นได้ “อ๋ออ…”
“ถูกต้องแล้ว ฉันสั่งให้มันยอมให้ความร่วมมือกับเธอในขอบเขตที่เหมาะสม ถึงอย่างไรพวกเธอก็เป็นร่างร่วม หากทำอย่างนั้นจะยิ่งทำให้พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันเร็วขึ้น เมื่อไหร่ที่พวกเธอเป็นหนึ่งเดียวกันมากพอ ก็ไม่ต้องทำอย่างนี้ต่อไปแล้ว…แต่ขอบเขตที่ว่า ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ” ซย่าน่าโน้มตัวลงเล็กน้อย เพื่อให้สายตาของเธอกับอวี๋ซือหรานอยู่ในระดับเดียวกัน
ดูออกว่าเธออยากจะนั่งลงไปซะเลย แต่หากทำอย่างนั้นก็จะกลายเป็นว่าเธอกำลังดูถูกซอมบี้โลลิแทน
หลิงม่อที่ยืนอยู่อีกฝั่งอดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้…
คิดไม่ถึงว่าซอมบี้ก็จะมีปัญหาเรื่องความสูงกับเขาเหมือนกัน…
“ขอบเขต?” อวี๋ซือหรานอึ้งค้างไปแล้ว จะให้สมองอันน้อยนิดของเธอทำการประมวลข้อมูลมากมายขนาดนี้ เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินกำลังของเธอ
“หึหึหึ…ก็อย่างเช่นการทำร้ายฉะ…” หลิงม่อพูดแทรกอย่างแอบสะใจเบาๆ
“ฉัน” ซย่าน่ายกนิ้วขึ้นมาชี้ที่จมูกของตัวเอง
“หา?!” คำตอบนี้ทำเอาหลิงม่อตะลึงไปเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเมื่อก่อนคำสั่งที่เขามอบหมายให้เธอสั่งสอนเฮยซือ โดยหลักแล้วจะยึดเรื่องที่ไม่สามารถทำร้ายเขาเป็นหลักนี่นา!
แต่เมื่อหลิงม่อถามคำถามนี้ออกมาด้วยความสงสัย ซย่าน่ากลับยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “ความจริงข้อแรกคือห้ามทำร้ายฉันน่ะ…”
“ทำไมล่ะ?!” หลิงม่อตะลึง
“ก็ล้างสมองน่ะ…จู่ๆ ฉันก็ทำไปอย่างไม่รู้ตัวเลย…” ซย่าน่าเอียงคอ แล้วหัวเราะ
“แต่ว่า…” หลิงม่อออกจะทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็คิดได้
ก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือปกป้องพวกเธอนี่นา
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่า “ที่สุนัขยักษ์สุดเท่ห์ของเขาเปลี่ยนไปต้องเป็นเพราะอย่างนี้แน่ๆ” ก็ตามแต่…
“ถ้าอย่างนั้น ก็แปลว่าเฮยซือหลอกฉันหรอ? แสดงว่ามันหลอกฉันให้มาติดกับดักสินะ?” จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ถามขึ้น
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ความจริงมันก็คือเธอ พลังจิตของพวกเธอทั้งสอง…คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะหลอกรวมเป็นหนึ่งแล้วล่ะ” หลิงม่อยั่งยองๆ ลงตรงหน้าอวี๋ซือหราน พลางยกมือขึ้นวางบนไหล่ซอมบี้โลลิ “แต่ว่าความรู้สึกที่เหมือนถูกเพื่อนขายบ้างอย่างนี้น่ะ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”
“หา?” อวี๋ซือหรานงงตึ๊บไปอีกครั้ง
“ฉันหมายถึง ถูกคนที่สนิทมากหลอกอย่างนี้ รู้สึกไม่ดีมากใช่ไหมล่ะ? อีกอย่างเธอจะอัดมันก็ไม่ได้ หรือจะทำอะไรก็ไม่ได้…” หลิงม่อบอก
“ฉันไม่ได้อยากอัด…” อวี๋วือหรานกำลังพยายามใช้ความคิด
แต่ในตอนนั้นเอง เส้นไหมสีเงินกึ่งโปร่งแสงสองเส้นกลับพุ่งออกมา จากนั้นก็เลื้อยเข้าไปในร่องหน้าอกลึกๆ ของอวี๋ซือหราน
เมื่อ “แมงกะพรุน” เรืองแสงก้อนหนึ่งถูกล้วงออกมา และถูกส่งต่อไปยังมือของหลิงม่อ ในที่สุดอวี๋ซือหรานก็ร้องเสียงดังออกมาอย่างทนไม่ได้ “กรี๊ดด! เฮยซือฉันจะกินแกซะ!”
“ใช่แล้ว ความรู้สึกอย่างนี้แหละ เธออยากจะกินก็กินไม่ได้” หลิงม่อยิ้มระรื่น พลางยกมือตบแก้มอวี๋ซือหรานเบาๆ มืออีกข้างก็ล้วงบางสิ่งออกมาแล้วยัดใส่ฝ่ามือของอวี๋ซือหราน “ถึงแม้ซอมบี้จะไม่โกหก แต่ในตอนที่ซอมบี้ไม่เข้าใจแม้กระทั่งว่าสมองของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ คำพูดที่พูดออกมาก็จะเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป”
—————————————————————————–
ตอนที่ 610
“เจ้าของชิ้นนี้…คืออะไรกันแน่?”
หลิงม่อจับ “แมงกะพรุน” ก้อนนั้นไว้ในมือ แล้วถามอย่างสงสัย
มันทั้งนิ่มนิดๆ สัมผัสเย็นหน่อยๆ ถึงแม้จะมีกลิ่นเหมือนน้ำเมือกพวกนั้นมาก แต่แค่ดูจากรูปร่างของมันอย่างไรก็ไม่สามารถเดาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
“พวกเธอมาที่นี่เพื่อเจ้าสิ่งนี้สินะ?” พวกเธอไม่ตอบ หลิงม่อจึงหันไปมองหน้าอวี๋ซือหราน
ถูกหลิงม่อจ้อง สีหน้าของอวี๋ซือหรานแสดงถึงความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้จะไม่ได้โดนด่า และไม่ได้โดนทำโทษอะไร แต่ในใจของเธอกลับรู้สึกไม่สบายเอาเสียเลย
อวี๋ซือหรานก้มหน้ามองหน้าอกตัวเอง แล้วคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่แน่ว่าความรู้สึกแปลกๆ ตรงหน้าอกนี้ อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องการเผาผลาญพลังงานทางร่างกายเลยก็ได้…”
แต่ว่า…ความรู้สึกอย่างนี้มันแปลกมากจริงๆ
ตอนที่อยู่กับป้านเยว่ เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยซักครั้ง
และตอนทำเรื่องนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้
ขายเพื่อน? แล้วยังไงล่ะ!
ก็ไม่ใช่คู่ครองซักหน่อย อีกอย่างคนที่ทำร้ายเสี่ยวป๋ายก็ไม่ใช่เธอนี่!
แต่…ทำไมเวลามองตาหลิงม่อทีไร เธอถึงได้รู้สึกไม่กล้าเงยหน้านะ?
นอกจากนี้เธอหลบหนีไม่สำเร็จ ความจริงต้องรู้สึกโมโหถึงจะถูกสิ!
แต่ทำไมหลังจากใจเย็นลง เธอกลับพบว่าความจริงตัวเองไม่ได้อยากกินเฮยซือจริงๆ ล่ะ?
ความรู้สึกนี้มัน…ช่างซับซ้อน
พยายามหลบหนี หนีไปจากมนุษย์คนนี้และเหล่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่เลือกเดินผิดทางให้ไกลที่สุด นั่นคือสิ่งที่เธอต้องการอย่างแรงกล้ามาตลอดไม่ใช่หรือ?
ซอมบี้โลลิสับสนเล็กน้อย จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าเจ้ามนุษย์ไส้กรอกคนนี้พูดถูกอยู่ประโยคหนึ่ง
เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าสมองของตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ในตอนนี้
นี่ไม่ใช่สมองที่ซอมบี้ควรมีนะ! ความคิดของซอมบี้ควรจะง่าย และตรงไปตรงมามากกว่านี้สิ!
อวี๋ซือหรานรู้สึกหงุดหงิดมาก…
“นี่ ฉันถามเธออยู่นะ” หลิงม่อกำ “แมงกะพรุน” ไว้ในมือ พลางยกมือข้างนั้นขึ้นเขกกะโหลกอวี๋ซือหราน
“อ๊ะ…” อวี๋ซือหรานสะดุ้ง แล้วตอบอึกอักว่า “ใช่…”
“ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรกันแน่?” หลิงม่อถาม
“ไม่รู้…น่าจะเป็นของใช้ทารกอะไรซักอย่าง…” อวี๋ซือหรานเบนสายตาไปทางซอมบี้ทารกที่ถูกซย่าน่าจับไว้
หลิงม่อมองตามสายตาของเธอ แล้วก็อึ้งไป
เขาก้มหน้ามอง “แมงกะพรุน” ในมือตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองซอมบี้ทารกตัวนั้น แล้วก็ถามด้วนสีหน้ายุ่งเหยิง “เธอคงไม่ได้ไปเอามาจากมันหรอกใช่ไหม?”
“อืม…มันเป็นคนทำให้พวกเราเจอที่นี่ เพราะเวลาออกล่ามันทำตัวโจ่งแจ้งเกินไป…” อวี๋ซือหรานตอบเสียงเบา
“อ่า…” สายตาของหลิงม่อฉายแววครุ่นคิด
หลังเงียบไปหลายวินาที จู่ๆ เขาก็คำรามขึ้นมา “เป็นเพราะพวกเธอวิ่งเพ่นพ่านไปทั่วไม่ยอมฟังเสียงเรียกต่างหาก! ไม่อย่างนั้นจะมาเจอเจ้านี่ได้ยังไง!””
แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว หลิงม่อจึงบ่นแค่คำสองคำ จากนั้นก็หันกลับมาสนใจ “แมงกะพรุน” ในมือต่อ
“แล้ว วิธีใช้ล่ะ? ดื่มนม?”
พอเห็นหลิงม่อหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง อวี๋ซือหรานก็ตอบออกไปอย่างรู้หน้าที่ “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…”
“…”
“อย่าเขกหัวฉันนะ! แค่ไม่แน่ใจเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าไม่รู้อะไรเลยนี่นา” อวี๋ซือหรานรีบเอนหลังหลบทันที ตอนนี้เธอถูกปล่อยให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระได้แล้ว ทว่าในสถานการณ์อย่างนี้ เธอไม่มีอารมณ์คิดจะหนีไปไหนแล้ว
“สัตว์ประหลาดตัวเล็กนั่น…” อวี๋ซือหรานชี้ไปทางซอมบี้ทารก แล้วบอกว่า “ในปากของมันมีหลอดดูดอยู่เส้นหนึ่ง พวกนายรู้หรือเปล่า?”
“รู้แน่นอนอยู่แล้ว…” หลิงม่อพยักหน้าตอบ
อวี๋ซือหรานทำท่าหวนนึก พลางบอกว่า “หลอดดูดนั่นของมันไม่เพียงสามารถฉีดเชื้อไวรัสในตัวของมันใส่ร่างกายซอมบี้ตัวอื่นได้ ยังสามารถดูดของอีกฝ่าย…”
“เดี๋ยวๆ ดูดอะไร?” หลิงม่อขมวดคิ้วทันที
อวี๋ซือหรานส่ายหน้าอย่างซื่อๆ “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ตอนที่ฉันเห็น มันก็กำลังอยู่บนหัวของซอมบี้ตัวหนึ่ง ตอนแรกฉันก็นึกว่า…”
“ซอมบี้ตัวแม่?” หลิงม่อพูดเสริมให้
“อืม…” อวี๋ซือหรานพยักหน้า สีหน้าของเธอเริ่มดูประหลาดขึ้น เสียงก็เริ่มเบาลงกว่าเดิม “แต่พอดูไปสักพัก ถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เลย มันกำลังแทงหลอดดูดนั่นเข้าไปในสมองของซอมบี้ตัวนั้น เหมือนกำลังดูดอะไรบางอย่างอยู่ พอดูดเสร็จ ซอมบี้ตัวนั้นกลับยังไม่ตาย”
“จากนั้น มันก็เอาของที่ดูดออกมา มาปล่อยไว้ในนี้” อวี๋ซือหรานมอง “แมงกะพรุน” ก้อนนั้นด้วยแววตาร้อนรุ่ม แล้วพูดเสริมว่า “จริงๆ แล้วเจ้าสิ่งนี้งอกอยู่บนหัวมันล่ะ…”
“อะไรนะ?” หลิงม่อถือ “แมงกะพรุน” ไว้ในมือ พลันอึ้งไป
“พวกเราดึงมันออกมาตอนที่ลอบโจมตีมัน จากนั้นมันก็เอาแต่ไล่ตามพวกเราไม่ยอมปล่อย เจ้าของสิ่งนี้ก็ตกอยู่ในลานจอดรถ ต่อมา…”
“เธอก็ทิ้งเสี่ยวป๋ายไป ปล่อยให้มันไปเผชิญหน้ากับซอมบี้มากมายขนาดนั้น แล้วตัวเองก็หาโอกาสไปตามเก็บสิ่งนี้กลับคืนมา?” หลิงม่อตัดบทเธอ แล้วพูดแทรกแทน
อวี๋ซือหรานหลุบตาต่ำลง มือสองข้างประสานเข้าหากันพร้อมพยักหน้า
หลิงม่อจ้องซอมบี้โลลิอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ยัด “แมงกะพรุน” ใส่กระเป๋าตัวเอง “ทางรุ่นพี่น่าจะใกล้แล้วล่ะ พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ”
“แต่ว่าเสี่ยวป๋าย…” อวี๋ซือหรานชี้ไปทางเสี่ยวป๋าย
เธอเพิ่งจะพูดจบ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันที
เจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ทีเมื่อกี้สภาพเหมือนใกล้ตาย ตอนนี้กลับพลิกตัวและลุกขึ้นมา
ถึงแม้ท่าทางเหมือนยังไม่หายดีเต็มที่ แต่สภาพดูคนละเรื่องกับเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง
“แกๆๆ…” อวี๋ซือหรานอึ้งจนไม่สามารถหุบปากลงได้
หลิงม่อยื่นมือไปลูบหัวเจ้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์เบาๆ แล้วบอกว่า “อย่างไรฉันก็มียาอยู่นะ ถึงแม้มันจะติดเชื้อ แต่ถ้าหากมันเป็นปริมาณที่เหมาะกับการฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมาได้ก็ไม่มีปัญหา”
“ถ้าอย่างนั้น…เมื่อกี้…” อวี๋ซือหรานยังคงช็อกไม่หาย
“หลอกล่อเธอให้มาติดเย็ดเฉยๆ” หลิงม่อกระชับกระเป๋าเป้ พลางบอก
ไม่รอให้อวี๋ซือหรานมีปฏิกิริยาตอบกลับ หลิงม่อก็พูดเสริมเข้าไปอีกคำ “แต่ว่า…ที่เธอกลับมาช่วยเสี่ยวป๋าย ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก”
อวี๋ซือหรานยังคงสับสนงุนงงอยู่ เธอมองแผ่นหลังของหลิงม่ออยู่อย่างนั้น
ทว่าเธอกลับได้ยินเสียงหลิงม่อกับซย่าน่าคุยกันรางๆ—
“ถ้าหากว่าเธอทิ้งเสี่ยวป๋ายไปจริงๆ พี่จะไล่เธอไปหรอ?” ซย่าน่าถาม
“หื้ม?”
“อย่ามาทำเสียงอย่างนี้ พี่ตอบมาให้ชัดเจนเลยนะ!”
“นี่ พี่หลิง!”
หลังนิ่งไปหลายวินาที จู่ๆ อวี๋ซือหรานก็ได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็ค่อยๆ กำหมัดแน่น
“ทำไมฉันต้องไปช่วยเสี่ยวป๋ายด้วย! ทั้งๆ ที่อาจจะถูกไล่ไปอย่างมีความสุขแล้วแท้ๆ!” อวี๋ซือหรานทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง
“เฮยซือแกหุบปากไปเลย! ตอนนี้ฉันยังไม่อยากคุยกับแก! ถ้าย้อนเวลากลับไปอีกครั้งงั้นหรอ! ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อีกครั้ง…ฉันก็คงน่าจะ…”
“ยัยหมาเลว! อย่าคิดว่าเข้าไปในสมองฉันแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!”
“…โอ๊ย! ห้ามใช้มือของฉันหยิกแก้มฉันนะ!”
………..
“ใช่สิ” หลิงม่อหันไปมองซย่าน่า แล้วถามว่า “ที่รูปร่างเฮยซือประหลาดไปอย่างนี้…”
“ก็เอาเถอะ เราเปลี่ยนคำถามกันดีกว่า สติปัญญาของมันอยู่ในระดับไหนแล้ว?” หลิงม่อเปลี่ยนคำถามที่ยากจะเข้าใจสำหรับตัวเอง
ซย่าน่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “น่าจะถึงระดับที่สามารถด่าคนได้แล้วนะ”
“อย่างเช่น?” หลิงม่อเริ่มสนใจ
“โฮ่ง!” ซย่าน่าเลียนเสียงเห่าเบาๆ แล้วยังจ้องหลิงม่อด้วยดวงตาน่าเอ็นดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เหลือก็แต่ยื่นอุ้งเท้าออกมาเท่านั้น
“ถึงจะน่ารักมาก…แต่มันแปลว่าอะไร?” หลิงม่อถามอย่างสงสัย
“ช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาจริงๆ แค่ทำท่าทางน่าสงสารเข้าหน่อย ก็สามารถหลอกให้ตายใจได้แล้ว…หึหึหึหึ”
สีหน้าของซย่าน่าพลันดูร้ายกาจขึ้นมาทันที น้ำเสียงก็ฟังดูแปลกๆ โดยเฉพาะเมื่อเธอยังคงทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเมื่อกี้อยู่ ความขัดแย้งที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนอย่างนี้จึงดูแปลกไม่น้อย
หลิงม่อทำหน้ายุ่งแล้วสบตากับซย่าน่าอยู่ครู่หนึ่ง เขาขยับปาก จากนั้นก็พูดว่า “ความหมายของมันยาวจังเลยนะ”
“ใช่ไหมล่ะ?! ยัยหมาตัวเมียนั่น…ความจริงพูดมากจะตาย” สีหน้าของซย่าน่ากลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เธอส่ายหน้ารำพึงรำพัน พร้อมเดินนำไปข้างหน้า
“งั้น…หรอ?”
หลิงม่อขมวดคิ้ว แล้วหันกลับไปเอาไฟฉายส่องตรงลำคออวี๋ซือหราน
ผ้าพันคอผืนนั้น…พูดมากขนาดนั้นเชียวหรอ?
………..
สองนาทีต่อมา พวกหลิงม่อมองเห็นทางออกอยู่ตรงหน้า
ที่นี่น่าจะอยู่ห่างจากห้างฯ ขายมือถือโดยมีทางเดินอย่างน้อยสองเส้นกั้นอยู่ พวกมู่เฉินไม่มีทางตามหามาจนถึงที่นี่
“แต่ว่า…พวกเราต้องให้สัญญาณอะไรพวกเขาหน่อย”
หลิงม่อล้วงวัตถุทรงกลมขนาดเล็กลูกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เขาก็เดินข้ามประตูทางออกเป็นคนแรก
—————————————————————————–
ตอนที่ 611
“วี้หว่อๆๆ!”
เสียงเตือนภัยแหลมเสียดแทงแก้วหู ดังไปทั่วถนนทั้งเส้น
เหล่าซอมบี้ที่กำลังเดินวนเวียนไปมาบนถนน ชะงักพร้อมกันแทบจะทันที พวกมันหันขวับมองไปทางเดียวกัน
ดวงตาสีแดงเลือดที่เดิมล่องลอยไร้จุดหมายพลันเป็นเปล่งประกายขึ้นทันตาเห็น ร่างกายที่เดิมค่อนข้างแข็งกระด้างยามนี้ได้ยินเสียงกระดูกเคลื่อนดังกร๊อบแกร๊บ
ราวกับสัตว์ประหลาดที่ปีนออกมาจากหลุมศพได้กลิ่นของสิ่งมีชีวิต แล้วค่อยๆ ฟื้นคืนสติกลับคืนมา
“สวบ!”
ซอมบี้ตัวที่หนึ่งขยับขา และวิ่งพุ่งออกไปจากฝูงซอมบี้
เพียงไม่นาน ซอมบี้ทุกตัวก็เคลื่อนไหวตามไปติดๆ
ซอมบี้เหล่านี้บ้างก็วิ่งไปตามถนน บ้างก็กระโดดข้ามซากรถยนต์ที่จอดทิ้งไว้ หรือไม่ก็ใช้วิธีโหนสายไฟฟ้าเลยทีเดียว…
บนถนนที่เงียบและวังเวงมาเนิ่นนาน พลันเกิดเหตุจลาจลขึ้นทันใด
เหล่าสัตว์ประหลาดวิ่งทะยานอย่างบ้าคลั่ง เสียงฝีเท้ารัวเร็วและวุ่นวายเหล่านั้น รวมถึงเสียงกระแทกชนที่ดังปะปนกันไป …
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม ความเงียบอีกอย่างหนึ่งได้ก่อตัวขึ้นมา
ราวกับว่านรกกำลังมาเยือน…
“เสียงดังมาก”
หลิงม่อวิ่งลงบันไดกลับมายังห้างฯ ใต้ดินอีกครั้ง พร้อมกับซ่อนตัวอยู่ในมุมผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
จากมุมที่เขาอยู่ สามารถแอบมองได้อย่างชัดเจนว่าซอมบี้พวกนั้นวิ่งผ่านทางเส้นนี้ไปอย่างไร
เท้ามากมายเหล่านั้นที่เต็มไปด้วยคราบเลือดเก่าๆ ดูทั้งสกปรกและกระหายเลือด กำลังสิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ถึงยี่สิบกว่าเมตร
“พี่ทำได้ไง?” ซย่าน่าถามอย่างสงสัย เสียงเตือนภัยยังคงดังมาจนถึงตอนนี้อยู่เลย
ด้วยโสตประสาทอันอ่อนไหวของซอมบี้ เธอสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงเตือนภัยนี้ดังมาจากทางไหน
ไม่ใช่ที่นี่ แล้วก็ไม่ใช่ตรงปากประตู แต่อยู่ที่ไหนซักแห่งใกล้ๆ บริเวณนี้
สิ่งที่ทำให้ซย่าน่าไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เธอรู้สึกว่าเสียงนี้อาจดังมาจากกลางอากาศ
“ฮิฮิ ที่จริงก็แค่ใช้ของเล็กๆ น้อยๆ น่ะ มันชื่อว่าอุปกรณ์เตือนภัยหมาป่า คุณภาพไม่เลวเลยนะเนี่ย นานขนาดนี้แล้วยังใช้ได้อีก เอาเป็นว่า ฉันใช้พลังจิตเอามันขึ้นไปห้อยไว้บนสายไฟ จากนั้นก็กดปุ่มให้มันดัง แล้วก็ได้ประสิทธิภาพอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้” หลิงม่อพูด พลางเขายกนิ้วขึ้นอุดหู แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “จะว่าไปเสียงของมันนี่ดังได้มาตรฐานจริงๆ เลยนะเนี่ย…”
ซย่าจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “อย่างนี้เอง…แต่บอกตามตรงว่าฉันสงสัยมากกว่า ว่าพี่เก็บอุปกรณ์ป้องกันหมาป่ามาทำไม…”
“ฮิฮิ…”
“แต่ว่าเสียงนี้ต้องดึงมนุษย์พวกนั้นมาได้แน่ๆ” ซย่าน่ายกแขนขึ้นกอดอก เธอมองออกไปข้างนอก พลางพูดขึ้น
“แน่นอน” หลิงม่อจ้องไปที่รอยแยกเส้นนั้น แล้วพยักหน้า……
………..
“พวกเธอระหวังหน่อย”
ณ ศูนย์คอมพิวเตอร์ใต้ดิน พวกสวี่ซูหานกำลังถือไฟฉาย และเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง
สวี่ซูหานที่เดินรั้งอยู่ท้ายสุด เห็นทางเดินข้างหน้าอันมืดมิด ก็ยกปืนขึ้นเล็งพลางขยับคอไปมาอย่างตื่นตระหนก
เธอหันกลับไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง ตอนนี้แสงสว่างอ่อนๆ ที่ออกมาจากทางเข้าลิฟท์ กลับทำให้เธอรู้สึกว่ารอบข้างมืดมิดยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางความมืด เหมือนว่าเงามืดเหล่านั้นกำลังเคลื่อนไหวอยู่ทุกที่
“เดี๋ยวก่อน!”
ด้านหน้ามีเสียงผู้ชายดังสวนมา
“กรี๊ด!” สวี่ซูหานที่กำลังจ้องเข้าไปในความมืดรอบตัวอย่างกวาดวิตกพลันร้องเสียงแหลมขึ้นมา ปากปืนส่ายไปมาเล็กน้อย
“เฮ้ยๆ ใจเย็น…” มู่เฉินที่เป็นคนพูดขึ้นตกใจจนต้องยกมือขึ้น “ทำไมวันนี้เธออ่อนไหวจังน่ะ?”
สวี่ซูหานถอนหายใจยาวๆ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “แล้วจู่ๆ นายจะตะโกนขึ้นมาทำไมล่ะ! ไม่รู้หรือไงว่าสถานที่อย่างนี้ทำให้คนคิดฟุ้งซ่านได้ง่ายๆ น่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเธอช่วยควบคุมจินตนาการอันล้ำเลิศของตัวเองหน่อยได้ไหมล่ะ?” มู่เฉินกลอกตาอย่างเอือมระอา แล้วพูดต่อว่า “ฉันจะบอกว่า พวกหลิงม่อจะมาที่แบบนี้จริงๆ น่ะหรอ? ฉันหมายถึง…พวกเขาจะมาที่นี่ทำไม? นอกจากของเก่าๆ พังๆ ที่นี่ก็ไม่มีอะไรเลยนะ”
“แต่ว่า…พวกเราตามหาทั่วทุกชั้นแล้วนะ นอกเสียจากว่าพวกเขาไปจากที่นี่แล้ว” สวี่ซูหานพูดพร้อมขมวดคิ้ว
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ซย่าจื้อกลับทำมือเป็นสัญญาณว่าให้เงียบ
“วี้หว่อๆๆ…”
“พวกนายได้ยินไหม…” สวี่ซูหานมองออกไปรอบตัวอย่างตื่นตระหนก “เสียงนั่นไหม…”
“เหมือนจะดังมาจากข้างบนนะ…” มู่เฉินเองก็รีบเงี่ยหูฟังทันที แล้วพูดขึ้นอย่างตกใจและสงสัยว่า “ดูเหมือนเธอจะเดาถูกแล้วล่ะ”
ทั้งสามคนสบตากัน จากนั้นก็รีบหันหลังวิ่งขึ้นไปชั้นบน
ยิ่งเข้าใกล้ลิฟท์ เสียงนั่นก็ยิ่งชัดเจน
หลังจากเดินขึ้นมาในห้างฯ ขายมือถือ สีหน้าช็อกของมู่เฉินก็ได้แปลกไป “ล้อเล่นรึเปล่า? เสียงเตือนภัย?”
“นี่มัน…เหมือนดังมาจากทางนั้น…อีกอย่างซอมบี้ข้างนอกก็หายไปหมดแล้วด้วย” สวี่ซูหานรีบวิ่งไปประชิดหน้าต่างขอบติดพื้นทันที หลังจากมองออกไปข้างนอกครู่หนึ่งเธอก็หันมาบอกว่า “ต้องเป็นพวกหลิงม่อแน่ๆ กองกำลัง F ไม่มีทางทำอย่างนี้แน่ๆ”
“ดีเหลือเกิน!” มู่เฉินฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็กัดฟันกรอดคำรามขึ้นมา “ปัญหาคือ…พวกเราจะข้ามไปได้ยังไงวะ?!”
พอคิดว่ามีซอมบี้จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งไปรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น สวี่ซูหานและซย่าจื้อพลันหน้าถอดสีทันที
มันคือปัญหาใหญ่เลยล่ะ…
ทว่าพวกเขากลับไม่รู้เลย ขณะที่พวกเขาวิ่งขึ้นไปบนห้าง ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นในศูนย์คอมพิวเตอร์ใต้ดินอย่างเงียบเชียบ
เมื่อดวงตาสีแดงหายวับไป ประกายสีแดงก็ปรากฏขึ้นภายในตัวห้าง จากนั้นก็ยิ่งประกายสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ…
“แบ๊?”
จู่ๆ เสี่ยวป๋ายก็เงยหน้าขึ้น มันสูดดมฟุดฟิด จากนั้นก็มองไปด้านหลัง
พอเห็นท่าทางอย่างนี้ของมัน อวี๋ซือหรานก็มองตามไปข้างหลัง จากนั้นก็บอกว่า “ดูเหมือนจะมีควัน…”
“อ่าฮะ รุ่นพี่เองแหละ” หลิงม่อหัวเราะ แล้วบอก
ซย่าน่ามองหลิงม่ออย่างครุ่นคิด จากนั้นก็พูดขึ้นเหมือนคิดอะไรบางอย่างออก “พี่หลิง หรือว่าพี่ให้รุ่นพี่ไป…วางเพลิง?”
“อื่ม ฉันให้พี่เขาเผาที่นั่นทิ้งซะ ลองคำนวณเวลาดูแล้วพวกนั้นน่าจะลงไปแล้วล่ะ ฉันก็เลยต้องอยู่ตรงนี้เพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกนั้น และล่อพวกนั้นออกมา ส่วนทางรุ่นพี่ก็จะจุดไฟครั้งสุดท้าย จะวางเพลิงในลานจอดรถไม่ใช่เรื่องยากอะไรอยู่แล้ว” หลิงม่อพยักหน้าตอบ
ทว่าตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ถือว่าปลอดภัยมาก กว่าไฟและควันจะมาถึงที่นี่ เดาว่าต้องใช้เวลาอีกซักระยะหนึ่ง
และห่อนที่จะตัดสินใจ หลิงม่อก็ได้คำนวณก่อนแล้ว ถึงแม้การวางเพลิงครั้งนี้จะเผาที่นี่ให้กลายเป็นจุณโดยไม่มีอุปสรรคอะไรมาขัดขวาง มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานีโทรทัศน์อย่างแน่นอน
แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเขาอาจต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้จำนวนมากและอากาศที่ย่ำแย่…
“อย่างนี้เองหรอ…แต่ว่า ทำไมล่ะ?” ซย่าน่ายังคงไม่ค่อยเข้าใจ
หลิงม่อยื่นมือไปล้วงสิ่งของบางอย่างที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยฟิล์มถนอมอาหารอย่างดี หากดูให้ดีก็จะเห็นว่ามันคือน้ำเมือกนั่นเอง “สำหรับผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิต ของอย่างนี้เป็นเหมือนฝันร้าย ฉันจะปล่อยให้สิ่งนี้ถึงมือนิพพานไม่ได้ ถ้าเกิดว่าพวกเขามีกำลังในการวิจัยการผลิตซ้ำล่ะ?”
“มันก็จริง…แต่ตอนนี้พี่มีเมือกอยู่ในมือ แล้วยังมีอวัยวะพิเศษของสัตว์ประหลาดตัวเล็กนั่นอีก ไม่แน่พวกเราอาจศึกษาอะไรจากมันได้บ้าง” ซย่าน่าพูดอย่างคาดหวัง
“ก็หวังว่านะ น่าเสียดายที่ของสิ่งนี้กลิ่นแรงเกินไป ไม่สามารถพกติดตัวไปได้มาก แต่เอาไปน้อยก็น่าจะไม่ได้ผล” หลิงม่อส่ายหน้าอย่างเสียดาย
“แต่ว่า…ตอนนี้พวกเรา…” จู่ๆ เย่เลี่ยนก็พูดแทรกขึ้นมา สีหน้าของซอมบี้สาวตัวนี้ดูมึนงงกว่าซย่าน่ามาก ถ้าหากว่าซย่าน่าเข้าใจแค่บางส่วน ก็แสดงว่าเธอไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องนี้น่ะ…ความสัมพันธ์ของมนุษย์บางครั้งก็ซับซ้อนมาก แทนที่จะบอกว่าตอนนี้พวกเราร่วมมือกันอยู่ บอกว่าพวกเราต่างจำเป็นต้องหาผลประโยชน์จากกันจะเหมาะกว่า ฉันอยากตามพวกเขาไปหานิพพาน พวกเขาเองก็อยากให้ฉันไปติดกับด้วยตัวเองเหมือนกัน”
“เรื่องบางเรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละ มีทั้งอันตรายและผลประโยชน์ ถ้าไม่เดินไปจนสุดทาง ก็ไม่มีทางรู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร”
หลิงม่อพยายามพูดให้เข้าใจง่ายหน่อย
เย่เลี่ยนเบิกตากว้างแล้วจ้องเขา หลังเงียบไปหลายวินาที แม้หลิงม่อจะมองเธอด้วยสายตาคาดหวังว่าเธอจะเข้าใจ แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงส่ายหน้าไปมา
“โอเค ขอเวลาฉันคิดหน่อยว่าควรพูดยังไง…” หลิงม่อถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจริงจังสุดๆ
“ก่อนที่จะเกิดพี่ไม่มีทางรู้เลยว่าตุ๊กตาตัวน้อยนั่นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ซย่าน่าพูดอย่างรวดเร็ว
“อ้อ…” คราวนี้เยเลี่ยนเข้าใจแล้ว แถมยังพยักหน้าแรงๆ “ที่แท้พวกพี่…ก็มีความสัมพันธ์อย่างนี้กันเองหรอ”
“ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันทั้งนั้นเถอะ!” หลิงม่อโวย
คำนวณเวลาดูแล้ว พวกมู่เฉินกับรุ่นพี่น่าจะถึงกันแล้ว
อุปกรณ์เตือนภัยยังคงส่งเสียงร้องสุดชีวิต ทว่าไม่ช้าก็เร็วคงหนีไม่พ้นถูกซอมบี้พังจนละเอียดคามือ
แต่ปัญหาก็คือ…
“รุ่นพี่ล่ะ?”
—————————————————————————–
ตอนที่ 612
ไม่ใช่แค่รุ่นพี่ที่ไม่มารวมตัวกับพวกเขาตรงตามเวลา หลิงม่อยังค้นพบเรื่องแปลกอีกเรื่อง
สัตว์ประหลาดตัวน้อยที่เดิมถูกห้อยติดอยู่กับเคียวดาบของซย่าน่า…หายตัวไปแล้ว!
“ไอ้ตัวเล็กนั่นล่ะ!” หลิงม่อกวาดมองไปทั่ว แล้วร้องออกมาอย่างตะลึง
เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้นิสัยดุร้าย หลิงม่อไม่คิดจะเก็บไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้พอเห็นว่าใกล้ได้เวลารวมตัวกับพวกมู่เฉินแล้ว หลิงม่อย่อมต้องหาวิธีจัดการมันก่อน
แต่ไม่คิดเลยว่าตอนนี้พอนึกถึงมันขึ้นมาได้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวเล็กก็ได้หายตัวไปแล้ว!
“เอ๋? เมื่อกี้ฉันยังเห็นอยู่เลย” ซย่าน่าเองก็แปลกใจ ดูจากสถานการณ์ของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวเล็กในตอนนี้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่ามันแอบหนีออกไปจากกลุ่มคนได้อย่างไร
ทว่าเมื่อกี้ทุกคนมัวแต่หันไปสนใจสถานการณ์ด้านนอก แล้วยังมีเสียงเตือนภัยคอยกลบเสียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ อีกด้วย…
“ช่างเถอะ ถึงยังไงตอนนี้มันก็ไม่มีอันตรายอะไรอีกแล้ว” หลิงม่อใช้พลังจิตสำรวจบริเวณใกล้เคียงรอบหนึ่ง พอเห็นว่าไม่พบอะไร จึงพูดขึ้นพร้อมยักไหล่
เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อไม่มี “แมงกะพรุน” อยู่บนหัวแล้ว หลอดดูดในปากก็ไม่มีแล้ว แม้ว่าเรื่องที่มันหนีไปได้จะทำให้หลิงม่อเหนือความคาดหมาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องให้เขาออกแรงลงมือตามหา
กลับเป็นเรื่องรุ่นพี่มากกว่า ทำไมยังไม่มาอีกล่ะ…หลิงม่อพึมพำในใจอย่างกังวลเล็กน้อย
ในขณะที่หลิงม่อหันหน้าไปมองตรงทางออก ท่ามกลางความมืด มีเงาหนึ่งกำลังขยับเขยื้อนเบาๆ
พวกซย่าน่ายังไม่ทันสังเกตเห็น เงาร่างนี้พลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ในห้างสรรพสินค้าใต้ดินอันมืดมิด หลังจากที่เงาร่างนั้นวิ่งเข้าไปด้านในได้ระยะหนึ่ง ก็หยุดอยู่ตรงหน้าชั้นวางของ
“ชู่ว อย่าเสียงดังนะ”
เงาร่างนั้นวางเงาร่างเล็กๆ อีกเงาลงบนชั้นวางของเบาๆ แล้วพูดเสียงเบา
และเงาร่างที่สะท้อนชัดอยู่ในดวงตาสีแดงเลือดของเงาร่างตัวเล็ก กลับเป็นหลี่ย่าหลิน
รุ่นพี่ดึงเอาเมือกที่ติดอยู่บนตัวลงมา พลางหัวเราะคิกคักมองเจ้าตัวเล็กที่ถูกเธอลักตัวออกมา
มีความสามารถในการหายตัว บวกกับน้ำเมือกที่สามารถอำพรางตัวจากพลังจิตของหลิงม่อได้ จากนั้นก็เลือกลงมือในจังหวะที่ความสนใจถูกดึงดูดออกไป…
หลังจากลงมือสำเร็จ แล้วใช้ความสามารถในการแฝงตัวของซอมบี้ ปรากฏว่าเธอสามารถกลบร่องรอยได้อย่างมิดชิดตามคาด
“จี๊ดๆ!”
ซอมบี้ทารกยังคงมีอาการมึนงง ทว่าพอถูกวางตัวลง มันก็รีบวางท่าเหมือนจะดึงดาบชักธนูทันที มันแยกเขี้ยว แล้วมองหลี่ย่าหลินอย่างดุดัน
“คิกคิก…” หลี่ย่าหลินไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา เธอยกมือขึ้นหยิกแก้มเจ้าซอมบี้ทารก
หลิงม่อชอบทำอย่างนี้ที่สุด แต่ซอมบี้ทารกเคยถูกสัมผัสแบบนี้เสียที่ไหน
มันร้องเสียงหลง ร่างเล็กๆ ของมันตึงเกร็งทั้งร่าง มือที่ใหญ่ผิดปกติยกขึ้นบังไว้ข้างหน้าตัวเองทันที
หลายนาทีผ่านไป พอเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซอมบี้ทารกเลยแง้มนิ้วออกเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง
แต่มันเพิ่งจะแอบมองลอดออกไปข้างนอกได้ไม่นาน ก็พบว่าก้อนเหนียวหนืดก้อนหนึ่งถูกยื่นมาไว้ตรงหน้าของมัน
“กินซะสิ ถึงจะคุณภาพแย่ แต่มันก็ช่วยให้แกฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมาได้บ้างล่ะนะ จากนั้น…แกก็หนีไปซะ” หลี่ย่าหลินรออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่เห็นซอมบี้ทารกยื่นมือออกมารับ เลยหัวเราะแล้ววางก้อนเหนียวหนืดไว้ข้างๆ มัน การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ซอมบี้ทารกตกอกตกใจอีกครั้ง ถ้าหากไม่ใช่ว่าขยับตัวไม่ได้ มันคงกระโดดลงจากตู้วางของแล้ววิ่งหนีไปแล้ว
“เดี๋ยวที่นี่ก็จะถูกเผาแล้ว…อืม หลังจากที่แกฟื้นฟูเรี่ยวแรงกลับมาได้นิดหน่อย ไฟก็คงจะลามมาถึงที่นี่แล้วล่ะ ถ้าแกวิ่งเร็ว ก็จะรอดชีวิต แต่ถ้าวิ่งช้า…คิกคิก เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก แกน่าจะวิ่งได้เร็วมาก”
หลี่ย่าหลินพูดอย่างคนมีความอดทน เธอไม่สนใจว่าซอมบี้ทารกจะเข้าใจไหม “แต่ต่อไปอย่าให้พวกเราเจอแกอีกล่ะ ถึงแม้แกเองก็ทำไปเพื่อมีชีวิตรอด แต่คู่ครองมนุษย์ของฉันจะโกรธมาก” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เธอก็เม้มปากแน่น “ดีจัง ที่แกเกิดมาได้…ฉันเองก็อยากสืบพันธุ์ แต่กลับไม่เคยทำสำเร็จเลย”
“อีกอย่างฉันอยากรู้เรื่องแกมากเลยล่ะ ต่อไปแกจะเติบโตไปเป็นยังไง? แกต่างจากพวกฉัน แกเป็นซอมบี้บริสุทธิ์…” หลี่ย่าหลินจ้องมองซอมบ้ารกอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นอย่างสงสัย
“จี๊ด…” เจ้าซอมบี้ทารกมึนตึ๊บไปแล้ว เทียบกับสิ่งที่หลี่ย่าหลินพูด เหมือนมันจะเอาแต่สนใจเรื่องระยะห่างกับหลี่ย่าหลินที่ใกล้จนอันตรายมากกว่า
พอมันสะบัดหัวไปมาแล้วนั่งตัวตรง กลับพบว่าข้างกายไม่มีใครอยู่แล้ว
มันกวาดตามองรอบตัวอย่างหวาดวิตกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับมามองข้างกายตัวเอง
ก้อนไวรัสเหนียวหนืดเล็กๆ ก้อนนั้น กำลังปล่อยกลิ่นหอมเย้ายวนอยู่ตรงนั้น
“อึกก!”
ซอมบี้ทารกกลืนน้ำลาย จากนั้นก็กระโจนใส่อย่างหิวกระหาย…
………..
“ถ้ารุ่นพี่ยังไม่มาอีก ฉันจะไปตามหาแล้ว” ในสองนาทีที่ผ่านมานี้ หลิงม่อชะเง้อคอมองหานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถึงแม้จะรู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่เห็นเปลวไผ และยังไม่ได้กลิ่นควัน แต่หลิงม่อก็ยังคงร้อนใจมาก
ตอนนี้เขาถึงขนาดนึกเสียใจที่ให้หลี่ย่าหลินไปทำเรื่องอย่างนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในทุกด้านก็ตาม
แต่…บางครั้งสติปัญญาก็เป็นจุดด่างพร้อยนี่นา!
“รุ่นพี่คงไม่ได้ถูกแสงไฟล่อลวงเหมือนอย่างซอมบี้ธรรมดาอีกครั้งหรอกนะ! ถึงแม้ไม่กี่วันก่อนหน้าเธอจะเอาแต่จ้องฉันสูบบุหรี่…” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้น
ซย่าน่าเห็นหลิงม่อเป็นห่วงจนสติแตกไปอย่างนี้ จึงอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นหรอก รุ่นพี่ไม่ใช่ซอมบี้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะ”
“แต่ว่า…”
ยังพูดไม่ทันจบ หลิงม่อก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นตากำลังวิ่งออกมาจากความมืดอย่างรวดเร็ว
หลี่ย่าหลินที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงราวกับภาพเงาชวนหลงใหล ทั้งงดงาม รวดเร็ว รูปทรงองค์เอวก็ร้อนแรง อย่างเช่นกระต่ายคู่นั้นที่กำลังโดดเด้งอย่างซุกซนอยู่บนหน้าอกเธอ
หลิงม่อถอนหายใจโล่งอกยาวๆ แล้วถามว่า “รุ่นพี่ทำไมพี่มาช้าขนาดนี้?”
หลี่ย่าหลินที่วิ่งมาถึงตรงหน้า ยิ้มตาหยีแล้วยกมือขึ้นโกยกระต่ายสองตัวให้เข้าที่ก่อนที่มันจะหลุดออกมาวิ่งเล่นข้างนอก แต่เธอกลับไม่ตอบคำถามหลิงม่อ “ไฟใกล้จะลามมาถึงนี่แล้ว รีบไปกันเถอะ”
“ห๊ะ?” หลิงม่อเพิ่งจะทำหน้าสงสับ หลี่ย่าหลินก็วกระเถิบเข้ามากอดแขนเขา กระต่ายนุ่มนิ่มสองตัวนั้นหนีบแขนเขาไว้กลางร่องอกพอดี
ความรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตพลุ่งพล่านไปทั่วตัว ยัยตัวร้ายนี่!
“ฮิฮิ รีบไปกันเถอะน่า!”
เธอเอ่ยปากเร่ง พลางลากหลิงม่อ
ขณะที่หลิงม่อฝืนยิ้มฝืดๆ ในสมองของเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
ทว่าเขามองหลี่ย่าหลิน อ้าปากหมายจะถาม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถามออกไป
จากมุมมองของเขา ในสายตาของหลี่ย่าหลิน มีบางสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาจากเวลาปกติ
ไม่ใช่สายตาที่เย็นชาและดึงดูดเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันมี…ความหวังเพิ่มขึ้นมาด้วย?
……….
พวกหลิงม่อเพิ่งจะโผล่ออกมาจากห้างงสรรพสินค้าใต้ดิน ก็ถูกพวกมู่เฉินที่อยู่เยื้องออกไปด้านหน้าเจอเข้าพอดี
ทว่าการพบกันโดยมีถนนเส้นหนึ่งกั้นขวางไว้อย่างนี้ ทำให้สีหน้าของมู่เฉินดูไม่ดีนัก
“ตอนนี้จะทำไงเนี่ย?!”
เขาทำไม้ทำมืออย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็ยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง แล้วชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม สุดท้ายก็จิ้มนิ้วแรงๆ เพื่อชี้ไปทางฝูงซอมบี้ที่เบียดแน่นกันอยู่ทางนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินเกือบจะคลั่งสติแตกก็คือ หลิงม่อกลับหันมามองทางนี้แวบเดียว แล้วหันหน้ากลับไปตามเดิม
“ไอ้…สารเลว! กล้าเมินฉัน!” มู่เฉินคำรามดุดัน
แต่หลิงม่อที่กำลังถูกมู่เฉินก่นด่ากลับหันไปพูดกับอวี๋ซือหรานและเสี่ยวป๋ายว่า “พวกเธอรออยู่ที่นี่เงียบๆ ซักสองนาที พอพวกฉันไปจากที่นี่พวกเธอก็ค่อยออกมา ครั้งนี้พวกเธอเดินตามหลังพวกฉันมา”
“ไม่ต้องให้พวกเราล่อซอมบี้เพื่อเปิดทางแล้วหรอ?” อวี๋ซือหรานยักไหล่อย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วถามขึ้น
“ไม่ต้อง อยู่กับพวกนิพพาน ระวังตัวไว้หน่อยก็ดี พวกเธอตามอยู่ข้างหลัง ก็ถือว่าเป็นกองหนุนอยู่ข้างหลัง” หลิงม่อส่ายหน้าแล้วบอก
หลังจากกำชับเสร็จ เขาก็หันหน้ากลับมา แต่ก็ยังคงไม่หันไปมองมู่เฉินที่กำลังพยายามโบกไม้โบกมืออย่างสุดชีวิต แต่กลับหันไปมองฝูงซอมบี้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ซอมบี้พวกนั้นมีบางส่วนปีนขึ้นไปบนเสาไฟฟ้าแล้ว กระทั่งมีบางตัวถึงขั้นห้อยโหนอยู่บนสายไฟ
และอุปกรณ์เตือนภัยชิ้นเล็กๆ นั้นก็ถูกแขวนไว้ตรงกลาง ซึ่งใกล้ตะถูกพวกซอมบี้คว้าได้แล้ว
“หลังจากวิวัฒนาการก็มีสิตปัญญาแล้วแท้ๆ แต่ทำไมยังหมกมุ่นกับของแบบนี้อยู่ได้นะ…” หลิงม่อถอนหายใจยาวๆ
“แล้วทำไมพวกพี่ถึงได้สนใจดนตรีกันล่ะ?” ซย่าน่ายอกย้อน
“มันใช่เรื่องเดียวกันหรอ?!” หลิงม่อมองซย่าน่าอย่างตกตะลึง
ทว่าไม่นานเขาก็ทำท่าเหมือนจะสื่อว่า ไม่ฟังคำตอบดีกว่า…เขาไม่อยากถูกทำลายทัศนคติที่มีต่อโลกใบนี้อีกแล้ว
“ความจริงสถานการณ์ดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากเลยนะ”
หลิงม่อมองเหล่าซอมบี้ที่ไปออกันอยู่บริเวณนั้น เขาเดาคร่าวๆ ว่าน่าจะมีอย่างน้อย 100 กว่าตัว
และทันทีที่พวกเขาโผล่หัวออกจากที่ซ่อนตัว ซอมบี้พวกนั้นก็จะรีบเปลี่ยนเป้าหมาย แล้ววิ่งกรูกันมาทางนี้อย่างรวดเร็ว
ถูกซอมบี้นับร้อยตัวล้อมรอบไว้จะรู้สึกยังไงนะ? หลิงม่อไม่อยากสัมผัสความรู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว
—————————————————————————–
บทที่ 613 จุดชนวนความวุ่นวาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
สถานการณ์อย่างนี้ เรียกว่าดีได้ด้วยหรอ?
พวกเย่เลี่ยนดูเหมือนจะไม่เข้าใจนัก
แม้แต่พลังของพวกเธอสามคนรวมกัน ก็ยังเป็นเรื่องยากที่ต้องรับมือกับซอมบี้ฝูงใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นหลิงม่อก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง
ถึงแม้เขาจะเริ่มมีความสามารถในการรองรับเชื้อไวรัสแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปลอดภัยเมื่ออยู่ต่อหน้าเชื้อไวรัส
ใครจะไปรู้ว่าถ้าหากได้รับเกิดขนาด จะเป็นเหตุทำให้เชื้อไวรัสที่สั่งสมอยู่ในตัวหลิงม่อระเบิดออกมาในครั้งเดียวหรือไม่?
ถึงแม้จะโชคดีไม่ติดเชื้อ แต่การโจมตีอันดุร้ายของเหล่าซอมบี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
สิ่งที่ทำให้ซอมบี้ธรรมดาแข็งแกร่ง ก็คือจำนวนของพวกมัน
ภายใต้วงล้อมที่แน่นหนาของซอมบี้ที่แม้แต่ลมก็พัดผ่านไม่ได้ ต้องคอยรับมือกับกรงเล็บนับไม่ถ้วนที่ยื่นเข้ามาหมายจะตะครุบตัวเอง มันเป็นสถานการณ์ที่ยากจะสงบนิ่งได้
และไม่ว่าจะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษที่เก่งกาจเพียงใดหากเผลอไผลในสถานการณ์อย่างนี้ไปเพียงชั่วครู่ วินาทีถัดไปเขาก็จะถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆ จนไม่เหลือซากอย่างไม่ต้องสงสัย
“พวกเธอมองฉันอย่างนั้นทำไม?” หลิงม่อหันกลับมา แล้วก็พบว่าพวกเย่เลี่ยนกำลังยืนจ้องเขากันอยู่
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ “วางใจน่า ฉันไม่ไปรนหาที่ตายหรอก พวกเธอดูสิ ตอนนี้ พวกมันกำลังยืนรวมกันอยู่ในจุดเดียวกัน…”
“และฉันก็แค่…”
พูดไป จู่ๆ เขาก็สูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไป
เมื่อคิ้วของขมวดเข้าหากัน มือข้างนั้นที่กำลังแบอยู่ก็ค่อยๆ กำเข้าหากัน
“นั่นเขากำลังทำอะไรอยู่?” มู่เฉินที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในมุมผนังเยื้องออกไปด้านหน้า ตอนนี้กำลังมองการกระทำหลิงม่อด้วยอาการปากอ้าตาค้าง
สวี่ซูหานกำลังยกหูฟังขึ้นเสียบ ได้ยินมู่เฉินถามก็บอกว่า “ผู้มีความสามารถพิเศษส่วนมากมักจะทำการสะกดจิตตัวเองก่อนที่จะแสดงพลังออกมา และพฤติกรรมอย่างนั้นของเขาก็คือการใช้การเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นตัวทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการสะกดจิต เพื่อทำให้สามารถปลดปล่อยพลังพิเศษออกมาอย่างแม่นยำและยอดเยี่ยมยิ่งกว่า นั่นมันเข้าใจยากตรงไหน?”
พูดจบ เธอก็เหลือบมองมู่เฉินอย่างผิดหวัง
“เรื่องนี้ฉันก็รู้เหอะ!” มู่เฉินเคือง “ฉันอยากรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรกันแน่ต่างหาก! ที่นี่มีซอมบี้มากขนาดนี้ แต่หมอนั่นกลับไม่ส่งสัญญากลับมาให้ฉันซักนิด ตกลงว่ากำลังคิดหาวิธีไปหลอกล่อซอมบี้พวกนั้นออกไป หรือว่าจะทำอะไรกันแน่ ยังไงก็ควรตกลงกันก่อนแล้วค่อยลงมือหรือเปล่าล่ะ!”
“ล่อออกไป…เดาว่าคงทำไม่ได้หรอก” สวี่ซูหานมองซ้ายมองขวา เพื่อพิจารณาสภาพแวดล้อม “ที่นี่หากไม่ใช่ตึกสูงก็มีแต่อาคารขนาดใหญ่ ถึงนายจะจะล่อออกไป แต่โอกาสที่นายจะหนีรอดออกไปอย่างมีชีวิตกลับน้อยมาก”
“ก็จริงนะ…เอ๋ ไม่ใช่สิ! ทำไมมันฟังดูทะแม่งๆ ล่ะ! นี่ตัดสินใจกันแล้วหรอว่าฉันต้องเป็นคนไป?” มู่เฉินอึ้ง
สวี่ซูหานพยักหน้าอย่างไร้ความปรานี “เพราะมันอันตรายมากนี่นา”
“เธอก็รู้เหมือนกันนี่! ขอบใจเธอมากจริงๆ…” มู่เฉินพูดกระแทกแดกกัน
ทว่าสวี่ซูหานกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินซักนิด เธอหันไปมองหลิงม่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เธอเองก็สงสัยในการกระทำของเขาเหมือนกับมู่เฉิน
ความจริง การหลอกล่อซอมบี้ออกไปเป็นเรื่องที่อันตรายมากจริงๆ
ถ้าหากว่ามีเวลาและอุปกรณ์ที่เพียงพอต่อการติดตั้งการควบคุมระยะไกล ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด ถ้าไม่อย่างนั้นคนที่รับหน้าที่หลอกล่อซอมบี้ก็คงต้องแบกรับอันตรายอย่างใหญ่หลวงไว้บนบ่า
เหตุผลง่ายมาก เพราะไม่มีใครรู้ว่าแถวนี้จะมีซอมบี้โผล่ออกมาอีกมากน้อยเท่าไหร่กันแน่
ซอมบี้ที่ถูกหลอกล่อออกมาไม่ได้มีเพียงเป้าหมายที่ต้องการ แต่ยังมีแขกไม่ได้รับเชิญมากมายที่จะโผล่ออกมาจากซอกมุมต่างๆ อีกฝูงใหญ่
และในจำนวนนั้นก็มีระดับสูงรวมอยู่ด้วยหลายตัว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนรับหน้าที่หลอกล่อผู้ซึ่งตกอยู่ในวงล้อมของซอมบี้โชคร้ายสุดๆ
ในเวลาอย่างนี้เพื่อเป็นการลดระดับความเสี่ยง การมองหาตำแหน่งที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างเห็นได้ชัด
ต้องเป็นจุดที่ป้องกันซอมบี้ได้ และมีทางถอยหนีเอาตัวรอดได้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น
และพวกสวี่ซูหานก็ไม่มีทั้งเวลาในการติดตั้งการควบคุมระยะไกล และหาตำแหน่งที่เหมาะสมไม่ได้ด้วย
ถึงแม้จะจนใจ แต่ทั้งสามคนก็ทำได้เพียงรออย่างร้อนใจอยู่ฝั่งตรงข้าม และทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้เลย
แม้แต่มู่เฉินเองก็ยังต้องยอมรับอย่างเลี่ยงไม่ได้…ถึงเขาจะไม่เต็มใจสุดๆ ก็ตาม แต่คนที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ก็มีแค่หลิงม่อเท่านั้น
พอเห็นว่ามือของซอมบี้ตัวนั้นใกล้จะสัมผัสโดนอุปกรณ์เตือนภัยชิ้นนั้นแล้ว แต่กลับไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า เหงื่อเย็นๆ ผุดพรายเต็มหน้าผากของมู่เฉินด้วยความกังวล
ถ้าหากเสียงเตือนภัยดับไป ซอมบี้พวกนั้นก็จะแยกย้ายกันไป แล้วหลิงม่อกับพวกเขาก็จะถูกซอมบี้ฝูงใหญ่นี้หมายหัว
“ไม่ว่านายคิดจะทำอะไร ก็รีบทำเข้าเซ่!”
มู่เฉินกัดฟันกรอด แล้วเร่งเร้าเสียงเบา
สวี่ซูหานยกปืนขึ้นเล็ง ขณะเดียวกันก็หอบหายใจกระชั้นชิดด้วยความลุ้นระทึก
ทันใดนั้นเหมือนเวลาเดินช้าลง นิ้วมือของซอมบี้ที่กำลังยื่นออกไปข้างหน้า อุปกรณ์เตือนภัยที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนสายไฟ แล้วยังมีหลิงม่อที่กำลังจ้องฝูงซอมบี้อย่างจดจ่อ
“เร็วเข้าเซ่!” สายตาของพวกมู่เฉินล้วนกำลังสื่อความหมายเดียวกันออกมา
กำหมัดแล้ว!
มือข้างนั้นของหลิงม่อกำหมัดแน่น และในวินาทีที่หมัดของเขาปรากฏ สายไฟเส้นที่มีซอมบี้ปีนป่ายอยู่เต็มไปหมด รวมถึงเสาไฟข้างทางหลายต้นในบริเวณนั้น ทยอยเกิดเสียงดัง “แคร่ก แคร่ก แคร่ก” จากนั้นก็ล้มลงไปทับฝูงซอมบี้ที่อยู่เบื้องล่างทันที
เหล่าซอมบี้ที่รวมตัวกันอยู่ใต้เสาไฟฟ้าและอุปกรณ์เตือนภัย กำลังยืนเบียดเสียดกันและจ้องขึ้นไปที่อุปกรณ์เตือนภัยที่อยู่ข้างบน
ซอมบี้หลายตัวถูกเหวี่ยงร่วงลงมาจากสายไฟก่อน เมื่อเสียง “โครม” ดังสนั่นไปทั่วบริเวณ เสาปูนต้นนี้ก็ล้มลงไปกลางฝูงซอมบี้อย่างแรง
ซอมบี้บางส่วนแม้ว่าสังเกตเห็นแล้ว แต่เนื่องจากมีพวกเดียวกันอยู่มากเกินไป พวกมันจึงหลบหลีกไม่ทัน
หยาดเลือดมากมายพุ่งกระฉูดไปทั่วบริเวณ เมื่อเสาไฟข้างทางล้มลงอย่างต่อเนื่อง ซอมบี้ทั้งฝูงก็ได้เข้าสู่ห้วงชุลมุนวุ่นวาย
และอุปกรณ์เตือนภัยที่ดึงดูดความสนใจอันแรงกล้าจากพวกมัน ก็ได้เงียบลงทันทีที่ตกถึงพื้น…
“สำเร็จ!”
หลิงม่อยกมือปาดเหงื่อ แล้วยิ้มออกมา
อาศัยพลังจิตทำให้เสาไฟฟ้าพวกนั้นล้มลง สำหรับเขาถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งทีเดียว
แต่โชคดีที่เมื่อกี้เขาดูดกลืนพลังจิตของซอมบี้สมองดีมาก่อน ทำให้เขายืนหยัดมาได้จนจบ
แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญเป็นเพราะหลิงม่อใช้เทคนิคเล็กน้อย ไม่ได้อาศัยแต่หนวดสัมผัสเพียงอย่างเดียว
และไม่รู้เป็นเพราะอะไร หลังจากที่ใช้พลังจิตไปในปริมาณมากหลายๆ ครั้ง หลิงม่อไม่เพียงไม่รู้สึกถึงร่องรอยการบาดเจ็บของดวงแสงแห่งจิต แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามันแข็งแรงยิ่งขึ้น
ทว่าตอนนี้สถานการณ์คับขัน เขาเพียงเอะใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีก
“เชี่ย! ทำอย่างนี้ได้ด้วยหรอ!”
พวกมู่เฉินถูกภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ตะลึงค้างไปแล้ว แต่ละคนอ้าปากกว้างเหมือนช็อกมาก
เสาไฟฟ้าหนึ่งต้นล้มทับซอมบี้ตายได้ไม่กี่ตัว ส่วนเสาไฟข้างทางยิ่งไม่สามารถทำให้ซอมบี้ตายได้
ทว่าซอมบี้จำนวนมากที่บาดเจ็บรวมถึงกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง แล้วยังมีความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนเสาไฟฟ้าล้ม กลับทำให้ซอมบี้ทั้งฝูงเริ่มหันมาเข่นฆ่ากันเอง
พวกมันมัวแต่วุ่นวายกันเอง ทำให้พวกหลิงม่อมีช่องทางในการหนี
“คนคนนี้ยังมีฝีมือซ่อนอยู่อีกมากแค่ไหนกันแน่…” สายตาที่มู่เฉินมองหลิงม่อ แปรเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิงสุดขีด
ตอนแรกเขานึกว่าตัวเองเริ่มเข้าใจคนคนนี้แล้ว แต่ทำไมพอมาถึงตอนนี้ เขากลับรู้สึกยิ่งอยู่ยิ่งไม่รู้จักหลิงม่อแล้วล่ะ?
กับคนประเภทนี้ ควรร่วมมือด้วย หรือเป็นศัตรูถึงจะดีกันนะ?
หลิงม่อยื่นหน้าออกไปสังเกตสถานการณ์ด้านนอกครู่หนึ่ง เขาควบคุมซอมบี้สองสามตัวที่อยู่ใกล้พวกเขา เพื่อให้มันจุดชนวนการเข่นฆ่ากันเองภายใน หลังจากนั้นก็รีบหันกลับมากวักมือ “พวกเราไป!”
ทว่าก่อนจะพุ่งออกไป เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง แล้วมองไปที่เสี่ยวป๋ายกับอวี๋ซือหรานที่ยืนรออย่างเชื่อฟังอยู่ข้างล่างบันได
“จำคำพูดฉันไว้ให้ดี อย่าวิ่งเพ่นพ่านไปไหนอีก” หลิงม่อบอก
อวี๋ซือหรานเบะปากมองบน แต่สุดท้ายเธอก็ต้านทานสายตาของหลิงม่อไม่ไหวอยู่ดี จึงพยักหน้าอย่างยอมจำนน แล้วลากเสียงยาวๆ ตอบ “เข้าใจแล้วน่าาา…”
“ขอโทษเสี่ยวป๋ายดีๆ ซะล่ะ” หลิงม่อพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
“แบ๊!”
ไม่รู้ว่าเสี่ยวป๋ายเข้าใจที่หลิงม่อพูด หรือเพียงมีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำว่า “เสี่ยวป่าย” เท่านั้น มันรีบส่ายศีรษะไปทางหลิงม่อสองสามที
“โอเค ไป!”
หลิงม่อโบกมือ จากนั้นก็หันหน้าวิ่งขึ้นไปบนบันได
เสี้ยววินาทีที่พุ่งออกจากประตู หลิงม่อกลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจได้คล่องมากขึ้น
ห่างออกไปสิบกว่าเมตร ซอมบี้นับร้อยตัวกำลังเข่นฆ่ากันเอง เลือดพุ่งกระฉูดไปทั่วสารทิศ แขนขาขาดลอยละลิ่ว ทว่ากลิ่นคาวเลือดที่ลอยตลบอบอวลไปทั่วทุกอณูของอากาศ กลับทำให้หลิงม่อรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
นี่คือโลกที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ถึงแม้สกปรก เสื่อมโทรม และเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแห่งการฆ่าฟัน แต่กลับมีพวกเย่เลี่ยนคอยอยู่ข้างกาย
“จะไม่ลงไปใต้ดินอีกแล้ว!”
หลิงม่อรีบวิ่งข้ามถนน ขณะที่ยกมือขึ้นโบกไปทางพวกมู่เฉิน ในใจก็คิดไปอย่างขุ่นเคือง
ระหว่างทางเขาวิ่งเหยียบฝาท่อใต้ดินแผ่นหนึ่ง และอาจเพราะฝาท่อแผ่นนี้เก่ามากแล้ว มันจึงเขย่าไปมาเล็กน้อย
หลิงม่อหันกลับไปมองแวบหนึ่ง พอเห็นว่าไม่ได้ดึงดูดความสนใจของซอมบี้ ก็รีบหันกลับไปวิ่งต่อ
แต่ในขณะนั้นเอง ฝาท่อที่เดิมหยุดเขย่าแล้ว กลับถูกยกขึ้นเล็กน้อย…
—————————————————————————–
บทที่ 614 พบกันอย่างลับๆ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ๋?”
เย่เลี่ยนที่เพิ่งจะวิ่งไปถึงทางเลี้ยวหันกลับไป แล้วจ้องฝาท่อแผ่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
“มีอะไรหรอ?” หลิงม่อมองเธออย่างสงสัย แล้วถามขึ้น
เย่เลี่ยนเอียงคอเล็กน้อย เหมือนกำลังใช้ความคิด แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา
ขณะเดียวกัน มู่เฉินก็วิ่งเข้ามาสมทบ เพิ่งจะเดินมาถึงตัวหลิงม่อเขาก็ยกฝ่ามือตบลงไปบนไหล่เขาแรงๆ “โอ้โห เจ๋งไม่เบาเลยนะนายเนี่ย!”
สีหน้าท่าทางของเขาบอกไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ เหมือนกำลังแอบวางแผนในใจว่าจะซ้อมหลิงม่อให้อ่วมอย่างไรดี แต่ขณะเดียวกันก็คอยเตือนตัวเองว่าสู้เขาไม่ได้แน่ๆ
“บอกตามตรง ตอนแรกฉันคิดว่านายกำลังรนหาที่ตาย คิดไม่ถึงว่านายจะฝีมือจัดการได้จริงๆ แต่ครั้งหน้า พวกเราทำกันอย่างเงียบๆ หน่อยเป็นไง? ไม่ๆๆ…จะให้ดีอย่ามีครั้งหน้าเลยดีกว่า” มู่เฉินฉีกยิ้มที่ดูก็รู้ว่าฝืดแค่ไหน ทว่าตอนที่บอกว่าหลิงม่อมีฝีมือ น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้เสียดสีนัก
“บีบก็บีบแล้ว ควรปล่อยมือได้แล้วมั้ง?” หลิงม่อถลึงตาจ้องมู่เฉินอย่างเคืองๆ แล้วพูดขึ้น
“แฮ่มๆ…” มู่เฉินปล่อยมือที่กำลังแอบบีบไหล่หลิงม่ออย่างกระอักกระอ่วน แล้วเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน “อยู่ที่นี่นานๆ ไม่ดี พวกเราเดินไปคุยไปไหม?”
“ถ้าอย่างนั้นไปทางนี้กันเถอะ” สวี่ซูหานชี้ไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล “ถึงแม้จะต้องอ้อมหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะขนาดนี้ เลือกเดินเส้นทางที่ลับตาคนจะดีกว่า เมื่อกี้ฉันอ่านป้ายบอกทางแล้ว ไปทางนี้ไม่น่าจะมีปัญหา”
“เอาตามที่พวกเธอว่าเลย” หลิงม่อตอบอย่างบินดี
คำพูดนี้ทำให้มู่เฉินไม่พอใจขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนหน้าใครกันล่ะที่เอาแต่หาข้ออ้างเดินอ้อมอยู่ตลอดน่ะ!
ขณะที่ทุกคนเดินเข้าไปในซอยเล็กๆ เส้นนั้น การเข่นฆ่ากันเองของฝูงซอมบี้ได้ดำเนินไปถึงขั้นเลือดและเศษเนื้อนองเต็มพื้นแล้ว ภาพสถานที่เกิดเหตุอย่างนั้นใครเห็นก็ต้องแข้งขาอ่อนกันทั้งนั้น
ถ้าหากไม่ใช่ว่าเจอกับตัวเอง เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่มีทางคาดคิด ว่าเหล่าสัตว์ประหลาดที่ดูไม่ต่างจากมนุษย์พวกนี้ จะสามารถฉีกร่างพวกเดียวกันทั้งเป็นอย่างนี้
และมนุษย์ที่อ่อนแอกว่าพวกมันมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมันก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอสุดๆ
หลายคนที่กำลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดในตอนนี้แม้ว่าเป็นผู้รอดชีวิตมากประสบการณ์ แต่สีหน้าก็ยังดูย่ำแย่อยู่ดี
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่ถนนเล็กๆ อีกเส้น ถึงได้รู้สึกหายใจหายคอได้คล่องขึ้นบ้าง
เพราะประสิทธิภาพเสียงอันทรงพลังของอุปกรณ์เตือนภัย ถนนเส้นที่พวกเข้าเพิ่งเดินเข้ามาจึงโล่งเปล่า ไม่มีซอมบี้เลยซักตัว
“ตอนนี้คงพูดได้แล้วมั้ง? พวกนายออกจากห้างฯ ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง?” มู่เฉินมองหน้ามองหลัง จากนั้นก็ถามอย่างอดทนรอไม่ไหว
“เห็นเงาร่างหลายเงา ก็เลยวิ่งตามไป…” หลิงม่อพูดนิ่งๆ
“ตอบได้มักง่ายมาก…แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ พวกเราก็เจอมาเหมือนกันน่ะสิ? แต่ว่า…ทำไมพวกนายถึงได้วิ่งตามไปไกลถึงถนนสองเส้นล่ะ? กัดไม่ปล่อยเกินไปแล้วมั้ง!” มู่เฉินพูด พร้อมกลอกตามองบน
หลิงม่อไม่ได้ตอบคำถามนี้ หลังพูดจาถากถางเสร็จ มู่เฉินเองก็ไม่ได้ถามต่อ
บรรยากาศในทีมพลันเงียบกริบขึ้นมาทันใด บนถนนอันวังเวง เหลือเพียงเสียงย่างเท้าเร็วๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง
แต่ด้านหลังสุดของทีม ซย่าจื้อที่เงียบมาโดยตลอด ตอนนี้กลับก้มหน้าลง แล้วจู่ๆ ก็กระตุกยิ้มมุมปาก
รอยยิ้มไม่น่าดู และประหลาดสุดๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา…
………..
เมืองตงหมิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง X เกือบ 200 กิโลเมตร โดยมีเมืองใกล้เคียง เป็นเมืองระดับสองเมืองหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการแพทย์
ตอนที่ล้วงความลับเรื่องชื่อเมืองมาจากมู่เฉินได้ หลิงม่อก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่เลยทีเดียว
เมืองแห่งการแพทย์! ทำไมเขาถึงคาดไม่ถึงนะ!
สำหรับสาขาย่อยของนิพพาน จะยังมีที่ไหนเหมาะสมไปกว่าเมืองตงหมิงอีก?!
พวกหลิงม่อเร่งเดินทางอย่างไม่หยุดพัก แต่กว่าจะถึงเมืองตงหมิง ก็ยังคงต้องเสียเวลาเดินทางไปถึงห้าวันเต็มๆ
ไม่ใช่เพราะพวกหลิงม่อเดินทางช้า แต่เป็นเพราะระหว่างทางมีซอมบี้มากมายจนนับไม่ถ้วน
และยิ่งเดินไปตามทาง ก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่าเหล่าซอมบี้ได้วิวัฒนาการขึ้นพร้อมกันอย่างถ้วนหน้า
บวกกับความยากลำบากอื่นๆ ระหว่างทางแค่ต้องหาอาหารและเปลี่ยนยานพาหนะ ก็เสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว
ทว่าตอนที่หลิงม่อใช้มือถือดูแผนที่ เขากลับค้นพบอีกเรื่องหนึ่ง
เมืองตงหมิน กับเมืองชุ่ยหู อยู่ไม่ไกลกันมากนัก…
เพียงแต่ว่าเมืองชุ่ยหูต้องเดินไปยังทิศใต้อีกระยะทางหนึ่ง แต่หากดูจากในแผนที่ ทั้งสองเมืองอยู่ใกล้กันจนแทบจะกลายเป็นเมืองใกล้เคียงแล้ว
“ซอมบี้ความแกร่งสูงสุด…นิพพานสาขาย่อย…” หลิงม่อนำทั้งสองอย่างนี้มาพิจารณาในใจเงียบๆ แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปอะไร
บางทีอาจจะแค่อยู่ใกล้กันเฉยๆ ล่ะมั้ง?
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถช่วยให้ซอมบี้วิวัฒนาการอย่างรวดเร็วเหมือนเขา
สิ่งที่ศูนย์วิจัยของนิพพานและฟอลคอนทำนั้น อย่างมากก็เรียกว่าการแทรกแซง
“มาถึงได้แค่ตรงนี้แล้วล่ะ ลงรถ” มู่เฉินกระโดดลงจากรถไปก่อน แล้วหันมาบอก
หลิงม่อเองก็หยุดรถ เขารอให้เย่เลี่ยนลงจากรถก่อน แล้วตัวเองค่อยกระโดดตามลงไป จากนั้นก็หันไปดูเบาะนั่งของตัวเอง “จักรยานก็ปั่นเข้าไปไม่ได้หรอ?”
ก่อนหน้านี้ที่ด่านเก็บค่าทางด่วนพวกเขาเห็นรถเก๋งกำลังถูกซอมบี้ตัวหนึ่งเตะฝากระโปรงรถจนบูดเบี้ยว จากนั้นก็ถูกซอมบี้อีกตัวที่สวมชุดพนักงานเก็บค่าทางด่วนกระชากประตูรถจนหลุด
“วิธีเก็บค่าทางด่วนที่นี่ช่างตรงไปตรงมาและดุดันดีจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อรำพึงรำพัน
เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงคว้าจักรยานที่กลุ่มนักปั่นทิ้งไว้ข้างทาง ถึงยางจะแบนแล้ว แต่ก็ยังพอฝืนปั่นไปได้…
พวกเขาปั่นจักรยานตุปัดตุเป๋นานเกือบหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเข้าเขตเมืองตงหมิงอย่างเป็นทางการในที่สุด
ความจริง พวกเขาเพิ่งจะผ่านแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ทั้งเก่าและโทรมมาป้ายหนึ่ง “ตงหมิง ยินดีต้อนรับ”
“ไม่ได้ ตงหมิงมีประชากรเยอะมาก นายเข้าใจใช่ไหม” มู่เฉินโยนจักรยานทิ้งไปอีกทาง แล้วบอก
“ฉันก็นึกว่าในเมื่อสาขาย่อยของพวกนายอยู่ที่นี่ ที่นี่ก็คงเป็นเมืองโล่งๆ ของพวกนายโดยเฉพาะซะอีก” หลิงม่อมองซ้ายมองขวา แล้วบอก
จุดที่พวกเขาจอดรถเป็นสวนของเกสต์เฮาส์เก่าๆ แห่งหนึ่ง สวนแห่งนี้ไม่เพียงดูโล่งเปล่า แม้แต่บ้านหลังนั้นก็ยังดูเก่าทรุดโทรมมาก
ทว่ากำแพงล้อมรั้วสูงๆ กำลับเป็นกำบังให้พวกเขาได้เป็นอย่างดี จากตรงนี้มองออกไปข้างนอก ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอาคารบ้านเรือนที่อยู่ริมถนนสองข้างทาง
“อะฮึ่มๆ…” มู่เฉินเหมือนอยากจะพูดอะไรในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นกระแอมเบาๆ แทน
พอเห็นหลิงม่อจ้องตัวเอง เขาก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่ออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย แล้วบอกว่า “เอาเป็นว่า ระวังซอมบี้ไว้ก่อนสำคัญที่สุด”
“อา…เข้าใจแล้ว” หลิงม่อพูดเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ “นายต้องการหนูทดลอง”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด…” มู่เฉินค้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็รีบกลืนคำพูดที่หลุดออกมาของตัวเองลงคอไปทันที “พวกเราพักก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งเถอะ ฉันจะเข้าไปดูในนั้นหน้อยว่ามีน้ำไหม”
เขาพูดไป ก็ดึงมีดออกมา แล้วเดินเข้าไปในเกสต์เฮาส์แห่งนั้น
หลิงม่อพูดขึ้นอย่างตะลึงว่า “อ้าว ที่นี่ไม่ใช่จุดพักเท้าที่พวกนายใช้เป็นประจำหรอกหรอ?!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่! ทำไมคิดงั้น?” มู่เฉินหันกลับมาถาม
“ก็ที่นี่ไม่มีซอมบี้นี่” หลิงม่อยังคงเบิกตากว้าง
สวี่ซูหานพูดแทรกขึ้นมาว่า “นายคิดว่าที่นี่จะกิจการดีแค่ไหนล่ะ? แต่ที่แบบนี้ฉันขอไม่เข้าไปดีกว่านะ สกปรกเกิน…ฉันไปสังเกตบริเวณรอบๆ แล้วกัน”
พูดไปเธอก็เดินออกไปทางประตูใหญ่ ทว่าถึงแม้เธอจะแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หลิงม่อก็ยังอดขำออกมาไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้กลัวสถานที่แบบนี้จริงๆ สินะ…
ซย่าจื้อเองก็เพิ่งกลับจาไปสำรวจบริเวณรอบๆ มา พอเห็นอย่างนี้จึงเดินตามไปด้วย
ซย่าน่าเดินมาหาหลิงม่อ แล้วถามว่า “พวกเราจะไปด้วยไหม?”
หลิงม่อหันไปมองเย่เลี่ยนและหลี่ย่าหลินที่กำลังจ้องเกสต์เฮาส์อย่างไม่ยอมวางตา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างจนใจ “ไปกันเถอะ”
ความจริงน้ำที่หลิงม่อพกมาก็มีจำกัดมากเหมือนกัน ของอย่างนี้จะปล่อยให้ขาดไม่ได้ แต่มันทั้งกินเนื้อที่ แล้วยังน้ำหนักมากอีกต่างหาก ถึงอยากจะพกก็พกไม่ได้มากนัก
แต่สถานที่อย่างนี้ จะมีน้ำหรอ?
แถมตอนนี้ในสมองของหลิงม่อยังคิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง…
ทั้งๆ ที่ใกล้จะถึงนิพพานแล้ว ทำไมต้องมาค้นหาสิ่งของเอาตอนนี้ด้วยล่ะ?
น่าสงสัย…
“แอ๊ด—!”
มู่เฉินผลักประตูใหญ่ที่ถูกเปิดแง้มทิ้งไว้ บนขอบประตูและพื้นข้างๆ ยังมีคราบเลือดสีเข้มเก่าๆ ติดอยู่ รวมถึงร่องรอยการถูกลากเป็นเส้นยาว
ทว่าเขากลับไม่ได้สังเกตนานนัก เขารีบยกมีดขึ้นแล้วเดินหันข้างเข้าไปอย่างระมัดระวัง
การตกแต่งในห้องล็อบบี้เรียบง่ายมาก เคาน์เตอร์หนึ่งตัว คอมพิวเตอร์เปื้อนฝุ่นที่ล้มอยู่บนพื้นหนึ่งเครื่อง แล้วยังมีโซฟาที่ถูกวางไว้ด้านข้างอีกหนึ่งตัว พร้อมกับต้นบอนไซเหี่ยวเฉาที่วางขนาบทั้งสองข้าง
“ทางนี้…ไม่มีซอมบี้…ทางนั้น…ก็ไม่มี…”
มู่เฉินตรวจสอบห้องเล็กๆ สองห้องและห้องน้ำหนึ่งห้องที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นก็พรวดตัวออกมา ดึงซย่าจื้อที่กำลังมองซ้ายมองขวาเข้าไปในห้องน้ำ
“โครม!”
ประตูห้องน้ำถูกมู่เฉินปิดอย่างรวดเร็ว ในห้องอันคับแคบและมืดมิด พลันเงียบกริบขึ้นมาทันที
—————————————————————————–
บทที่ 615 ฉันมีแผน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องแคบๆ ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอนี้ คนสองคนกำลังจ้องตากันอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้น ซย่าจื้อเม้มปากเล็กน้อย แล้วเหล่มองมู่เฉินอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปทางกลอนประตูอย่างรวดเร็ว
“อย่า!”
มู่เฉินรีบคว้าแขนของซย่าจื้อไว้ทัน “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ!”
ขณะนั้นเอง เสียงเด็กสาวก็ดังเข้ามาจากข้างนอก ฟังจากเสียงแล้วน่าจะอยู่ตรงหน้าประตูนี้เอง
“เอ๋ แล้วพวกนั้นล่ะ?”
เสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังปะปนกับเสียงพูดคุยฟังไม่ได้ศัพท์ตามติดๆ
และตอนนี้มู่เฉินก็กำลังยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูกซย่าจื้อเอาไว้ มืออีกข้างก็กำแขนเขาไว้แน่น แล้วยังใช้ร่างตัวเองดันตัวเขาให้ติดกับผนังอีกต่างหาก
ตัวเขาเองก็กลั้นหายใจตามไปด้วย แล้วเงี่ยหูฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างตั้งใจ
“พวกนั้นขึ้นไปข้างบนแล้วมั้ง? ก็ที่นี่ไม่มีอะไรนี่…” เสียงของหลิงม่อดังเข้ามา
ไม่นาน เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนก็ดังขึ้น
มู่เฉินที่กำลังตึงเกร็งพลันโล่งใจทันที เขากำลังจะปล่อยมือ แต่ทันใดนั้นบานประตูห้องเก่าๆ บานนั้นกลับดัง “โครม”
เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำเอามู่เฉินตกใจจนหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ พลางก้าวถอยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
กลอนประตูทรงกลมสไตล์เก่าๆ นั่นเริ่มบิดช้าๆ สายตาของมู่เฉินตวัดมองไปทางกลอนประตูนั้นทันที
เมื่อกี้เขา…ได้ล็อกกลอนหรือเปล่า?!
แต่ที่น่าเศร้าก็คือ เขากลับจำไม่ได้แล้ว!
แต่ถ้าหากเข้าไปดันประตูไว้ตอนนี้ล่ะก็ เกรงว่าจะไม่ได้ผล…
ในตอนนั้นเอง เสียงร้องเรียกจากที่ไกลๆ ก็ดังขึ้น “พี่เย่เลี่ยน เร็วเข้า!”
“อ้อ…” เสียงตอบนิ่มนวลดังมาจากนอกประตู
กลอนประตูหยุดหมุนแล้ว ยานประตูเองก็ไม่โยกแล้วเหมือนกัน
แต่มู่เฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม จนกระทั่งกลั้นหายใจไม่อยู่แล้ว ถึงได้พ่นลมหายใจออกมายาวๆ ในที่สุด
ความจริงแค่ถูกเย่เลี่ยนพบเข้าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปัญหาก็คือหลิงม่ออยู่ใกล้ๆ น่ะสิ…
“อื้อ อื้อ!”
เสียงร้องอู้อี้เสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน ทำให้มู่เฉินตกอกตกใจอีกครั้ง
ทว่าไม่นานเขาก็ค้นพบว่า เสียงนี้จริงๆ แล้วเป็นเสียงที่ดังออกมาจากปากของซย่าจื้อเอง
ซย่าจื้อที่ไม่ได้เตรียมตัวเลยถูกอุดปากอุดจมูกนานขนาดนี้ หน้าของเขาเริ่มซีดเหมือนแผ่นเหล็กแล้ว
“อ๊ะ…ขอโทษที” มู่เฉินรีบปล่อยมู่เฉินออก
ซย่าจื้อยกมือขึ้นกุมลำคอและหายใจอยากยากลำบาก พลางยืนพิงผนัง
“เมื่อกี้เหตุการณ์มันฉุกละหุกไปหน่อย ฉันตื่นเต้นไปนิด…” มู่เฉินอธิบายเล็กน้อย แต่หลังจากพบว่าซย่าจื้อไม่ได้ฟังอยู่ เขาจึงเปลี่ยนเข้าเรื่องสำคัญอย่างกระอักกระอ่วน “ความจริงแล้ว ที่ผ่านมาฉันมองหาจังหวะดีๆ ที่เราสามคนจะหลบหน้าพวกหลิงม่อ แล้วคุยกันตามลำพังมาโดยตลอด”
“แต่นับตั้งแต่ที่ถูกพวกนั้นตลบหลังในกองกำลัง F เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้พวกเราเลย แต่ยังโชคดี พอหลายวันผ่านไป บวกกับเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ในที่สุดเขาก็ลดการระวังตัวลงซักที”
หลังพูดเสร็จ มู่เฉินก็พบว่าสีหน้าของซย่าจื้อดูตื่นตะลึงมาก แล้วยังเบิกตากว้างจ้องเขาด้วย
“…เอาเถอะ ต้องมาคุยเรื่องนี้ในห้องน้ำอย่างนี้ ไม่ถือว่าเขาลดการระวังตัวจริงๆ แต่ฉันก็แค่ทำไปเพื่อหาโอกาสนี่นา!” มู่เฉินโวยอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้นายวางใจได้รึยัง? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่อย่างที่นายคิด จะซื่อบื้อก็ควรมีขีดจำกัดบ้างนะ!”
ซย่าจื้อส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ทำให้มู่เฉินอดเคืองขึ้นมาไม่ได้
ทว่าเขาถลึงตาโตไม่พอใจอยู่ครู่เดียว แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้ แล้วบอกว่า
“ตอนแรกฉันอยากเรียกสวี่ซูหานเข้ามาด้วย แต่อยู่กันสามคนอาจกลายเป็นจุดสังเกตที่ใหญ่เกินไป เวลาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ดังนั้นพวกเรารีบหน่อยแล้วล่ะ”
“ตลอดทางมานี้ฉันพยายามลองติดต่อหมายเลข 0 อย่างเต็มที่ แต่กลับทำไม่สำเร็จเลยซักครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือไอ้บ้าหลิงม่อนั่นคนเดียว ดังนั้นจนกระทั่งตอนนี้ ทางสาขาย่อยจึงยังไม่รู้ว่าฝั่งพวกเราสถานการณ์เป็นอย่างไรแล้วบ้าง ซึ่งก็หมายความว่า ข้อตกลงที่เราทำร่วมกับหลิงม่อ เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นลับหลัง เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่าจะได้รับการยอมรับจากสาขาไหม”
มู่เฉินถอนหายใจ แล้วบอกว่า “หลิงม่อไม่มีทางที่จะไม่คำนึงถึงจุดนี้ แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยพูดถึงเลยล่ะ? เพราะความจริงเขากำลังใช้พวกเราเป็นตัวประกันไงล่ะ สำหรับเขา พวกเราคือหลักประกันว่าข้อตกลงจะได้ผล เรื่องนี้ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ คงไม่ต้องให้ฉันพูดอะไรมาก แต่ปัญหาคือ ทางสาขาจะตัดสินใจอย่างไร นายจะมั่นใจได้หรอ? ฉันคิดว่าพวกเราไม่ว่าใครก็ต่างไม่สามารถ…อีกอย่าง สิ่งสำคัญคือ พวกเราไม่ควรถูกหนีบไว้ตรงกลางโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนี้! ดังนั้นต่อไปนี้คือแผนของฉัน…”
“ให้คนสองคนเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกหลิงม่อไว้ แล้วให้อีกหนึ่งคนที่เหลือฉวยโอกาสหนีกลับไป ทำอย่างนั้นพวกเราจะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายถูกควบคุมอีกต่อไป นายคิดว่าไงบ้าง?” มู่เฉินถามความเห็นเขา
ซย่าจื้อเหมือนจะตกใจเล็กน้อยที่ได้ยินแผนของเขา เขาจ้องมุมผนังด้วยสายตามึนงง เหมือนกำลังพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก
มู่เฉินเองก็ไม่ได้เร่งเร้าเขา เพราะแผนการนี้แม้จะฟังดูง่ายมาก แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ที่ค่อนข้างรับมือยาก
ใครจะอยู่? ใครจะไป?
สองคนที่อยู่ต่ออาจไม่ถูกหลิงม่อฆ่าทิ้งหลังจากความแตกก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขายังมีประโยชน์อยู่
ทว่านั่นกลับไม่ได้เป็นหลักประกันได้ว่าพวกเขาจะปลอดภัยไปตอลด ถ้าหากทางสาขาปฏิเสธข้อเสนอจากหลิงม่อ เมื่อถึงเวลานั้นความเป็นความตายของสองคนที่เหลือคงเป็นเรื่องยากจะคาดเดา
สรุปแล้วก็คือ ทันทีที่ตัดสินใจอยู่ต่อ ก็แสดงว่าชีวิตของพวกเขาจะอยู่ในกำมือของนิพพานสาขาย่อยและหลิงม่อต่อไป ความเป็นความตายล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสองฝ่ายนั้น
ความรู้สึกที่เหมือนชีวิตตัวเองขึ้นอยู่กับคนอื่น ไม่ว่ากับใครย่อมไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี
และอีกหนึ่งคนที่หนีไป ก็ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่ต้องฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อกลับไปให้ถึงนิพพานเพียงลำพัง รวมถึงการสอบสวนทุกรูปแบบจากสาขาย่อยที่จะต้องเจอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คนคนนี้ต้องแบกรับชีวิตของอีกสองคนที่อยู่ต่อไว้บนบ่า จะสามารถเกลี้ยกล่อมนิพพานได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับคนคนนี้
ดังนั้นปัญหาใหม่จึงเกิดขึ้นตามมา ในสามคนนี้ ใครกันที่จะได้รับความไว้วางใจจากอีกสองคนที่เหลือ?
ซย่าจื้อคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นทำภาษามือ
มู่เฉินกระพริบตาปริบๆ แล้วบอกว่า “ให้หนีไปทั้งสามคนงั้นหรอ?…อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า”
ซย่าจื้อก้มหน้าลงอย่างหดหู่ หากเทียบกับข้อเสนอของเขา แผนการของมู่เฉินดูจะเป็นไปได้มากกว่าจริงๆ
พลังของพวกเขาสามคนเมื่อเทียบกับพวกหลิงม่อแล้ว เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนเกินไป
อยากหลบหนีกันสำเร็จทั้งสามคน ความเป็นได้ต่ำเกินไป
และทันทีที่พวกเขาเผยพิรุธ เป็นไปได้มากว่าหลิงม่ออาจจะทำการสังหารล้างบางทันที
จากที่อยู่ด้วยกันมาในระยะที่ผ่านมานี้ พวกเขาเองก็พอเข้าใจพื้นฐานนิสัยของหลิงม่อบ้างแล้ว
ถึงแม้ในเวลาปกติคนคนนี้มักจะยิ้มอย่างผ่อนคลาย นอกจากเรื่องหมกมุ่นในทรัพย์สินเป็นพิเศษโดยรวมก็ถือว่าเป็นคุยง่ายคนหนึ่ง แต่ทันทีที่ทำให้เขาโมโห เขาจะไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนสามารถใจไม้ไส้ระกำและกระทำต่อกันอย่างอำมหิตได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ
ลองหนีดูก่อน หากถูกจับได้แล้วค่อยร้องขอชีวิต เรื่องอย่างนี้ขนาดใช้นิ้วเท้าคิดยังรู้เลยว่ารนหาที่ตายชัดๆ
“ฉันจะถ่วงเวลาเขาไว้หนึ่งวัน ก็น่าจะ…” มู่เฉินมองนาฬิกาบนข้อมือ แล้วบอกว่า “หากเริ่มนับตั้งแต่ตอนนี้ อย่างมากก็มีเวลา 27 ชั่วโมง ในช่วงเวลานี้ คิดให้ดีก็แล้วกัน”
สุดท้าย มู่เฉินพูดเสริมอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “ฉันเชื่อใจพวกนายทั้งสองคนมาก ถึงแม้ทั้งนายกับสวี่ซูหานจะไม่เคยเรียกซักครั้ง แต่ว่า…ถึงยังไงฉันก็เป็นหัวหน้าทีม ฉันจะเคารพการตัดสินใจของพวกนาย”
ซย่าจื้อยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่เฉินก็ยกมือขึ้นเกาเท้าทอยอย่างเก้อเขิน แล้วบอกว่า “คำพูดเป็นการเป็นงานอย่างนี้ พูดออกไปแล้วก็น่าอายเหมือนกันแฮะ…”
หลังจากผลักประตูออกอย่างระมัดระวัง มู่เฉินยื่นหัวออกไปดูข้างนอกก่อน พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ เขาจึงรีบปลีกตัวออกจากที่นั่นอย่างเบามือเบาเท้า
แต่เพิ่งจะเดินไปถึงบริเวณบันได เสียงตะโกนเรียกที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง “นี่!”
มู่เฉินตัวแข็ง พลางชะงักเท้าหยุดทันที จากนั้นก็ค่อยๆ หันหน้าไป “ทำไม?”
ซย่าน่ายืนอยู่บนขั้นไดพร้อมกับเคียวดาบคู่ใจที่ดูมีเอกลักษณ์มากของเธอ เธอกำลังมองลงมาจากข้างบน “นายไปไหนมา? แล้วคุณลุงน้ำเต้าหน้าตายล่ะ?”
“ฉัน…พวกฉัน…” มู่เฉินอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดโพล่งออกไป “ซย่าจื้อบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ!”
“อา…นายก็เลยไปดูเขาเข้าห้องน้ำ?” ซย่าน่าพยักหน้า
“เปล่าๆๆ!” พอเห็นซย่าน่าทำสายตาดูถูกและประเมินเขา มู่เฉินก็สติหลุดทันที “ไม่ใช่…ฉัน…”
“ไม่ต้องมาอธิบายกับฉันหรอก ไม่มีประโยชน์” ซย่าน่าสะบัดเสียง จากนั้นก็หันหน้าเดินขึ้นไปข้างบน
“ฉัน…คือว่า…” มู่เฉินเกาหัวแรงๆ “ใช่แล้ว! ฉันจะไปอธิบายให้เธอฟังทำไมเนี่ย!”
“นี่ ไหนบอกว่าตามหาน้ำไง? พวกเราเจออยู่ที่ชั้นบนแล้ว รีบขึ้นมายกสิ” เสียงซย่าน่าดังมาแต่ไกล
มู่เฉินน้ำตาไหลอาบแก้ม “ที่แท้ก็มาหาฉันเพื่อหวังจะใช้แรงงาน ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงได้เป็นฝ่ายมาคุยกับฉันก่อน…”
—————————————————————————–
บทที่ 616 ต่างคนต่างความคิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเกสต์เฮาส์เก่าๆ หลังนี้ หลิงม่อหาสิ่งของบางอย่างเจอจริงๆ
ในโกดังเก็บของห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสาม พอเปิดประตูเข้าไปก็มีแต่กลิ่นเหม็นอับ รวมถึงกองฝุ่นมากมาย
บนกล่องเก็บของจำนวนหนึ่งที่กองไว้ในห้องเต็มไปด้วยรา บางจุดถึงขนาดมีวัตถุเม็ดเล็กๆ สีดำน่าสงสัยกองไว้ด้วย
ทว่าหลังจากมองข้ามรายละเอียดเหล่านี้ไป แล้วมองแค่เครื่องดื่มเพิ่มพลังงานและอาหารที่หลิงม่อเลือกหยิบออกมาได้ ก็ถือว่าน่าดึงดูดไม่น้อย
“แถมยังไม่หมดอายุด้วย!”
การค้นพบนี้ทำให้มู่เฉินที่ตอนแรกอารมณ์หงุดหงิดนำพลันเปลี่ยนเป็นกระโดดโลดเต้นขึ้นมา จนถึงขั้นเลือกที่จะเมินคำพูดของหลิงม่อที่ว่า “นายรู้ใช่ไหมว่าของพวกนี้ไม่ใช่ของนาย?”
“ในนี้มีอีกตั้งหลายกล่อง พวกนายเปิดดูหรือยัง?” หลังจากที่มู่เฉินยัดของทุกอย่างใส่กระเป่าเสร็จแล้ว เขาก็ตาแหลมเหลือบไปเห็นมุมห้องมุมหนึ่ง
ในห้องนี้นอกจากกล่องเก็บของที่กองกันเต็มไปหมดแล้ว ยังมีเตียงสปริงอยู่อีกหนึ่งหลัง แค่เห็นผ้าห่มและเบาะรองสกปรกๆ ที่อยู่บนเตียงก็รู้แล้วว่า เมื่อก่อนห้องนี้ต้องเป็น “ห้องพัก” ของพนักงานแน่นอน
“น่าจะมีแต่อุปกรณ์อาบน้ำนะ พวกที่ใช้กันในโรงแรมน่ะ” หลิงม่อเดินเข้าไปพลิกเปิดดูเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างไม่ค่อยสนใจว่า “ของแบบนี้นิพพานของพวกนายก็คงจะไม่ขาดแคลนหรือเปล่า?”
“ไม่ขาด…” มู่เฉินตอบทันที “ความจริงของประเภทแป้งฝุ่นทาตัวจะได้รับความนิยมมากหน่อย นายเข้าใจใช่ไหม”
“พูดถึงนิพพาน…สำนักงานใหญ่ของพวกนายอยู่ที่ไหนล่ะ?” จู่ๆ หลิงม่อก็ถามขึ้นมา
คำถามนี้ทำเอามู่เฉินค้างเติ่งทันที เขาอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนสบู่ก้อนเล็กๆ ที่เขากำลังสังเกตดูอย่างละเอียดในมือทิ้งไป “ฉันเองไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ปฏิเสธได้ไร้ความซื่อสัตย์มาก” หลิงม่อส่ายหน้า
“แฮ่ๆ รอให้นายทำงานกับเราจนคุ้นเคยกันก่อนเถอะน่า ไม่แน่นายอาจกลายเป็นผู้ร่วมงานกับสำนักงานใหญ่ของพวกฉันด้วยก็ได้นะ” มู่เฉินหัวเราะเก้อๆ
“เรื่องนั้นน่ะ…ไว้ว่ากันทีหลังเถอะ” หลิงม่อตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจ
“ใช่สิ” หลิงม่อเพิ่งจะเงียบไปได้ไม่ถึงสองวินาที ก็เปิดปากถามอีกครั้ง “คิดไว้หรือยังว่าจะบอกกับสาขาย่อยของพวกนายว่ายังไง?”
“แล้วนายล่ะคิดไว้หรือยัง…ว่าหลังไปถึงที่นั่นแล้ว จะจัดการยังไง?” มู่เฉินใจเต้น “ตึกตัก” แต่เขากลับอดถามกลับไม่ได้
เขาถามออกไปอย่างไม่ค่อยกลัว โดยเฉพาะเมื่อเขาบอกแผนการของตัวเองกับซย่าจื้อไปแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตอนนี้ตัวเองมีทางหนีทีไล่แล้ว
ก็แค่ถามคงไม่ถึงขั้นรนหาที่ตายหรอก ยิ่งรู้ข้อมูลมาก ก็ยิ่งทำให้คนที่จะหนีไปมีความมั่นใจมากขึ้น
ทว่าหลิงม่อกลับเหมือนไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพียงยิ้มบางๆ แล้วบอกว่า “นายไม่มีคำตอบในใจบ้างหรอ?”
“ก็เพราะไม่มีถึงได้ถามนายนี่ไง!”
ความตื่นเต้นและคาดหวังในใจของมู่เฉินหายวับไปกับตา แต่เขาก็ไม่ได้บ่นอะไรออกไป
ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ จะปล่อยให้เขาดูถูกไม่ได้
“ฮะๆ…” มู่เฉินหัวเราะเบาๆ
คำตอบอย่างนี้ น่าจะถือว่าชัดเจนยิ่งกว่าพูดออกมาตรงๆ แล้วมั้ง…เขาแอบคิดในใจ
แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดคือ เขายังคงไม่สามารถล้วงความลับอะไรจากหลิงม่อได้เลย
พอเห็นว่าหลิงม่อหยุดตั้งคำถามในที่สุด มู่เฉินก็ลอบถอนหายใจโล่งอก แต่ขณะเดียวกันก็แอบกลอกตามองบนไม่ได้ “คิดแต่จะล้วงความลับจากฉันอยู่เรื่อย แต่พอถามอะไรหน่อยกลับไม่ยอมบอกอะไรเลย…”
จากนั้นเขาก็ทำหน้าบูดหน้าบึ้งอย่างอดไม่ได้ เขาแบกกระเป่าเป้ใบใหญ่อย่างยากลำบาก พลางเหล่มองไปทางพวกหลิงม่อ
บอกซย่าจื้อไปแล้วว่าให้เวลา 27 ชั่วโมง แต่จะถ่วงเวลาพวกเขาไว้ยังไงดีล่ะ…
และความจริงเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่มากพอ เพราะเขาได้รวมเวลาในการคัดเลือกคนหนีรวมไว้ในนี้แล้ว!
“ใช่สิ ถ้าตอนนี้ฉันบอกว่าฉันปวดท้อง จะถ่วงเวลาไว้ได้ซักสองชั่วโมงไหมนะ?” มู่เฉินครุ่นคิด พลางเบนสายตามองไปที่กล่องเก็บของที่ถูกเปิดทิ้งไว้ข้างๆ ตัว
ในกล่องเก็บของที่เต็มไปด้วยรอยกัดแทะนั่น พายกรอบที่ถุงบรรจุภัณฑ์ฉีกขาดหลายถุงถูกวางทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวตรงนั้น…
มู่เฉินจ้องมองอยู่นานสองนาน จากนั้นก็ยืดคอกลืนน้ำลายดังเอื้อก “ไม่เอาดีกว่า!”
……….
ในซอยเล็กๆ เส้นหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของเกสต์เฮาส์ หมีแพนด้าที่ขนาดตัวใหญ่ผิดปกติกำลังเดินเบียดอยู่ระหว่างกำแพงสองด้านอย่างยากลำบาก และบนหัวของมัน มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนอนพิงอยู่ในสภาพอารมณ์ที่เหมือนเบื่อหน่ายสุดขีด
ห่างออกไปจากพวกเขาไม่ไกลมาก มีซอมบี้สิบกว่าตัวยืนอยู่ตรงนั้น แต่เด็กสาวตัวเล็กกลับทำเหมือนมองไม่เห็นซักนิด
เธอกำลังงับก้อนเหนียวหนืดไว้ในปากก้อนหนึ่ง และจ้องไปยังประตูเหล็กเก่าๆ ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้า
ประตูเหล็กบานนั้นเกือบจะปิดสนิท เหลือไว้เพียงช่องเล็กๆ ข้างล่างที่กว้างประมาณฝ่ามือหนึ่ง และจากทิศที่เธออยู่ก็มองไม่เห็นอะไรเลย
ทว่าหลังจากที่เส้นไหมสีเงินยื่นออกไปจากคอเธอเส้นหนึ่ง เด็กสาวตัวเล็กคนนี้ก็ทำหน้าผิดหวังทันที “อ้าว เป็นมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นซะงั้น”
“แบ๊!” หมีแพนด้ากลายพันธุ์เองก็ยกหนังตาขึ้น สภาพเหมือนไม่ค่อยมีแรง
“จะว่าไป เสี่ยวป๋าย ตกลงว่าร่างกายภายในของแกเป็นไงบ้างแล้ว?” เด็กสาวตัวเล็กพลันชะโงกตัวไปด้านหน้าหมีแพนด้ากลายพันธุ์ เพื่อมองหน้ากับมันตรงๆ “แกจะกลายเป็นเหมือนกัน หรือเหมือนเฮยซือ? หรือว่าจะกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวเล็กที่แพร่เชื้อใส่แกนั่น?”
เสี่ยวป๋ายส่ายหัวไปมา แล้วร้องไม่พอใจ “แบ๊…”
“ในเมื่อเป็นถึงสมบัติของชาติ ทำไมแกถึงได้กลายพันธุ์ช้าขนาดนี้ล่ะ? ไม่น่าล่ะถึงได้อยู่ในสภาพอย่างนี้ทั้งปีทั้งชาติ…ขนาดติดเชื้อไวรัสแล้วก็ยังเปลี่ยนไปแค่สีขน”
พูดไป ดวงตาของซอมบี้โลลิก็ประกายแดงอ่อนๆ ขึ้นมาชั่วขณะ จากนั้นก็ถอนหายใจ “ถึงจะย้อมขนแล้วก็ยังดูออกว่าแกเป็นหมีแพนด้า”
“แบ๊…” คราวนี้เสียงร้องของเสี่ยวป๋ายเริ่มฟังดูน้อยอกน้อยใจ…
………..
สวี่ซูหานในตอนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่านอกประตูใหญ่บานนั้น มีดวงตาสามคู่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่
ทว่าถึงแม้เธอจะเป็นคนเสนอตัวเดินดูบริเวณรอบๆ เอง แต่เธอกลับไม่ได้มีความคิดที่จะหนีเลยแม้แต่น้อย
ในกลุ่มสามคน เธอเป็นคนที่เคลื่อนไหวน้อยที่สุด เรี่ยวแรงก็น้อยที่สุดด้วย
และหากคิดดูดีๆ ถ้าเธอหนีไม่แน่ว่าเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่เหลืออาจเข้าร่วมการไล่ล่าเธอด้วย
สวี่ซูหานมองเรื่องนี้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้เธอก็ยังคงรู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กน้อย
“พวกนั้นไว้ใจฉันกันจริงๆ…” สวี่ซูหานนั่งอยู่บนจักรยาน เธอจ้องมองประตูใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองบนเกสต์เฮาส์
ในสวนหน้าเกสต์เฮาส์ ตอนนี้มีเธออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น
“หลิงม่อ…นึกว่าเขาจะยืนจ้องฉันจากบนนั้นซะอีก” พอไม่เห็นอะไร เธอก็ก้มหน้าลงมา พร้อมกับอดประตุกยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ “นี่ฉันเป็นอะไรของฉัน ไม่ถูกจ้องแล้วไม่ชอบงั้นหรอ? ไม่ได้ๆ จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้นะ…”
แต่หลังจากที่เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูเกสต์เฮาส์
“ซย่าจื้อ?” เธอมองเขาอย่างแปลกใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “พวกนายกำลังหาของอยู่ไม่ใช่หรอ?”
ซย่าจื้อยังคงอยู่ในสภาพสะบักสะบอม ทว่าเขาเองก็มองตามสายของสวี่ซูหานขึ้นไปข้างบนเหมือนกัน
“ทำไม นายมีเรื่องจะพูดกับฉันหรอ?” สวี่ซูหานถามอย่างสงสัยเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นดึงหูฟังออก
ซย่าจื้อมองหน้าเธอ แล้วเม้มปาก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา
สวี่ซูหานหัวเราะขึ้นมา แล้วบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่ามู่เฉินทำตัวน่ารำคาญอีกแล้วใช่ไหม?”
ครั้งนี้ซย่าจื้อกลับพยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน
“ฉันเองก็รำคาญเขามากเหมือนกัน แต่นายไม่รู้สึกหรอ ว่าเจ้าหลิงม่อนั่นก็พูดมากเหมือนกันนะ?” สวี่ซูหานถาม “ฉันน่ะชินบ้างแล้วล่ะ ความจริงแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ รู้สึกไม่กดดันเท่าไหร่”
“นายฟังอยู่หรือเปล่า?” สวี่ซูหานถามขึ้นอีก
ซย่าจื้อที่กำลังเงยหน้ามองข้างบนค่อยๆ ก้มหน้าลงมา แล้วหันไปพยักหน้าให้สวี่ซูหาน
สวี่ซูหานกลับไม่ได้มองขึ้นไปข้างบน เธอเริ่มคุยจ้อต่อพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
แต่ถ้าหากเมื่อกี้เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็จะพบว่าม่านหน้าต่างกำลังสั่นไหวเบาๆ
“ใช้ให้ซย่าจื้อผู้มีตัวตนและบทบาทน้อยที่สุดไปเป็นคนส่งข่าว ช่างเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดจริงๆ!”
ด้านหลังม่านหน้าต่างมู่เฉินกำลัแอบงลิงโลดอยู่เงียบๆ “ถ้าเปลี่ยนเป็นฉันไปคุยกับสวี่ซูหาน พวกหลิงม่อต้องสงสัยอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าวันนี้เขาต้องเลือกซย่าจื้อเข้ามาปรึกษาด้วยเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่การลอบสังเกตการณ์ของพวกหลิงม่อก็ถือว่ามีส่วนสำคัญเหมือนกัน
ในด้านนี้ ซย่าจื้อมีข้อได้เปรียบที่มีมาตั้งแต่เกิด
ความจริง แม้แต่มู่เฉินซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับเขา ก็ยังลืมว่ามีซย่าจื้ออยู่ด้วยบ่อยครั้ง กลับเป็นหลิงม่อซึ่งมักจะมองเห็นภาษามือและสีหน้าของเขา ทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานอึ้งไม่น้อย
แต่ว่า…คงจะไม่ถูกสงสัยมากไปหรอกมั้ง?
“ซย่าจื้อเอ๋ย นายช่างเป็นสิ่งมีชีวิตพิสดารที่ควรมีติดตัวไว้จริงๆ!” มู่เฉินหัวเราะคิกคัก
“ปังๆ!”
เสียงทุบประตูดังออกมาจากด้านหลัง ทำเอามู่เฉินสะดุ้งตกใจจนตัวสั่น
“เฮ้ย นายใช้เวลานานเกินไปแล้วมั้ง ท่อปัสสาวะมีปัญหารึไง?” เสียงของหลิงม่อดังมาจากด้านนอก
มู่เฉินกระแอมทันที เขาขมวดคิ้วแล้วเดินอ้อมกะโหลกคนที่วางไว้ตรงมุมห้องน้ำ พลางตะโกนเสียงดัง “นายลองมาโดนคนตายจ้องไหมล่ะ? ฉันจะพลาดบ้างไม่ได้รึไง!”
—————————————————————————–
บทที่ 617 เสียงประหลาดในเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนจะออกไป มู่เฉินยังคงอดไม่ได้ที่จะแหวกมุมหนึ่งของม่านหน้าต่างออกดูข้างล่างอีกครั้ง จากนั้นก็ฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ “หลิงม่อ นายคิดว่าพวกฉันจะนั่งรอความตายอย่างนี้จริงๆ น่ะหรอ? คอยดูแล้วกัน…”
………..
“วูบ!”
เสียงสายลมพัดผ่านสี่แยกเป็นระยะๆ ธงหลากสีสันที่ห้อยไว้ข้างทางต่างก็สั่นดัง “พั่บๆ” ตามไปด้วย
รถโดยสารประจำทางพลิกคว่ำอยู่กึ่งกลางถนน ซอมบี้สภาพมอมแมมและน่ากลัวสิบกว่าตัวกำลังเบิกดวงตาสีแดงกลวงโบ๋กว้างๆ และเดินวนเวียนไปมาอยู่อย่างนั้น
ดูจากสภาพบนท้องถนนแล้ว เมืองตงหมิงเหมือนจะไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ทั้งวังเวง เสื่อมโทรม และถูกซอมบี้ยึดครองพื้นที่เหมือนกัน
ทันใดนั้น เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งก็ได้ดึงดูดความสนใจจากซอมบี้เหล่านี้ พวกมันเงยหน้าขึ้นพร้อมกันเหมือนหุ่นยนต์ไขลานที่ถูกหมุน ดวงตาที่ประกายความอันตรายออกมา กวาดมองรอบทิศด้วยความปรารถนาแรงกล้า
“กึกๆ…”
เสียงเบาๆ นั่นเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่พอฟังดีๆ กลับเหมือนคนที่พูดไม่ชัดคนหนึ่ง กำลังพยายามเปล่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาจากลำคอมากกว่า
เหล่าซอมบี้หมุนคอไปมาเพื่อตามหาแหล่งที่มาของเสียง กรงเล็บอันแหลมคมขยุ้มเข้าออกไม่หยุด
เสียงเรือนรางไม่ชัดเจนนี้ทำให้พวกมันกระวนกระวายอยู่ไม่สุข ทว่าเมื่อพวกมันยืดคอยาวๆ ยกเปลือกตาขึ้น และบิดข้อมือไปมาช้าๆ กลับดูเหมือนฝูงหมาป่าดุร้ายที่พร้อมจะกระโจนตะครุบเหยื่ออย่างไม่รีรอ
“โครม!”
เสียงสนั่นดังขึ้นทันใด ขณะเดียวกันภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา บนพื้นพลันปรากฏเงาร่างที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องจนรูปร่างบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
เท้าเปล่าคู่นั้นที่กระโดดลงบนพื้นอย่างแรงถูกกลบมิดด้วยฝุ่นควันที่ตลบอบอวล ขณะเดียวกัน เงาร่างนั้นพลันกางแขนทั้งสองข้างออก “โฮกกก!”
“กรร กรร!”
เหล่าซอมบี้เองก็ต่างมีปฏิกิริยาตอบกลับโดยการแยกเขี้ยวแยกเล็บ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พวกมันใช้ทั้งเท้าและมือปีนป่ายและกระโดดข้ามซากรถยนต์ และทิ้งรอยขีดข่วนลึกๆ ไว้บนตัวรถพวกนั้น
ขณะที่ซอมบี้ตัวแรกกระโดดขึ้นกลางอากาศหมายจะกระโจนใส่เจ้าของเงาร่างนั้น ซอมบี้สิบกว่าตัวที่วิ่งตามหลังมันมาก็กระโจนใส่พร้อมกันจากทุกทิศทาง
สถานการณ์อย่างนี้ ถึงแม้จะเป็นซอมบี้ระดับสูงก็ไม่ใช่ว่าจะรับมือได้อย่างง่ายดาย…
“ฉึก!”
ซอมบี้ตัวแรกยังลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าทันใดนั้นท้องของมันกลับปรากฏรูแผลเหวอะหวะขึ้นมาหนึ่งรู “พลั่ก” จากนั้นมันก็ร่วงลงบนพื้นอย่างแรง
ขณะที่หยดเลือดของมันยังกระเซ็นอยู่กลางอากาศ ซอมบี้ตัวที่สองก็ถูกโจมตีอย่างแรงจนปลิวออกไป
ทั้งเศษเนื้อ และแขนขา เพียงหนึ่งนาทีไห้หลัง ถนนสี่แยกแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่จัดแสดงชิ้นส่วนตุ๊กตาไปในพริบตา
และเท้าเปล่าคู่นั้นที่กำลังยืนอยู่บนกองเลือด พลันยกขึ้นสูง และเหยียบลงไปบนศีรษะของซอมบี้ตัวหนึ่งที่นอนอยู่ข้างเท้า
ซอมบี้ที่ไม่มีร่างกายท่อนล่างตัวนี้เพิ่งจะตะเกียกตะกายคลานเข้ามา ก็ถูกเหยียบหัวไว้กับพื้นอย่างแรงซะแล้ว
มันยังคงเบิกตาสีแดงเลือดกว้าง แต่เลือดสดๆ สายหนึ่งเริ่มไหลลงมาจากหัวของมัน…
“โฮกกก!”
เสียงคำรามเกรี้ยวกราด ดังขึ้นอีกครั้ง…
………..
“เสียงอะไรน่ะ?” หลิงม่อหยุดเดิน แล้วมองออกไปอย่างสงสัย
มู่เฉินทำหน้าเหมือนจะพูดว่า “ทำเป็นตื่นตูมไปได้” แล้วบอกว่า “ก็ซอมบี้ไง…”
“แต่เสียงนี้มัน…ดังเกินไปไหม?” หลิงม่อยังคงทำหน้าสงสัย
“ใช่” ซย่าน่าเองก็พนักหน้าเห็นด้วย เธอก็กำลังเงยหน้ามองออกไปเหมือนกัน
ในเมืองแห่งนี้มีแต่อาคารบ้านเรือนเต็มไปหมด เสียงแบบนี้ อย่างมากก็ทำได้แค่สันนิษฐานว่าเสียงมาจากบริเวณใกล้ๆ แต่กลับยากที่จำระบุตำแหน่งชัดเจน
“ใจเย็นก่อน ก็แค่ซอมบี้ร้องโอเปร่าเองน่า เธอคิดว่าซอมบี้ไม่มีคีย์เสียงสูงหรือไง?” มู่เฉินกลอกตาขาว
พูดไปเขาก็ส่ายหนาอย่างผิดหวังเล็กน้อย “รู้เขารู้เรา ถึงจะสามารถรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ทำความเข้าใจซอมบี้ให้มากๆ หน่อยแล้วกันนะ…”
“ฉันเนี่ยนะไม่เข้าใจซอมบี้?” ซย่าเบิกตากว้าง แล้วฉีกยิ้มบางๆ หันไปมองหลิงม่อ
หลิงม่อเพียงแอบส่ายหน้าให้เธอเงียบๆ…
เสียงนั่นมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องระดับเสียง แต่มันยังให้ความรู้สึกเหมือนสิงโตคำรามพาให้อกสั่นขวัญแขวนด้วย
และเสียงอย่างนี้ หลิงม่อเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก…
“จะว่าไปแล้ว…” มู่เฉินมองไปด้านหลังกลุ่มคนอย่างเหนื่อยหน่าย สวี่ซูหานเดินรั้งอยู่ท้ายสุด เธอกำลังกระชับปืนและสังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างระมัดระวัง “นายจะระวังพวกฉันออกนอกหน้าเกินไปแล้วนะ”
“ก็มาถึงถิ่นพวกนายแล้วนี่นา” หลิงม่อพูดอย่างเรียบเฉยจนทำเอามู่เฉินหมดคำพูด
หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาก็จะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับสวี่ซูหาน แต่โชคดีที่พวกเขายังมีคนส่งข่าวที่เป็นเสมือนเงา
ถ้าหากไม่ตั้งใจมองหาในกลุ่มคนดีๆ ก็ยากที่จะมองเห็นซย่าจื้อผู้ที่ไม่เคยเปล่งเสียงใดๆ ซ้ำยังชอบอยู่ในมุมมืดในแวบแรกอย่างแน่นอน
เขาเหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่เคยทำเรื่องที่เป็นการดึงดูดความสนใจจากคนอื่น และไม่เคยปริปากให้ใครมาสนใจเขา แม้กระทั่งสีหน้าท่าทางของเขาก็ยังแทบจะไร้บทบาทใดๆ…หน้าไร้อารมณ์ แล้วยังหน้าตาธรรมดาอีก…
ทว่าตอนที่มู่เฉินมองไป ซย่าจื้อกลับตอบสนองกลับทันที
เขาเดินไปหามู่เฉินอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ…
“เอ๋? ไม่นะๆๆ…อย่าเพิ่งเข้ามาตอนนี้!” มู่เฉินคิดอย่างแตกตื่นในใจ
ถึงแม้ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกหลิงม่อกำลังสนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างอยู่ แต่เขาจะเดินเข้ามาทั้งอย่างนี้เลยหรอ…
เอาเถอะ ไม่มีใครสนใจเลย…เขาถูกมองข้ามได้อย่างหมดจดงดงาม
มู่เฉินปากอ้าตาค้าง เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรเรียกสิ่งนี้ว่าพรสวรรค์หรือเรื่องน่าเศร้าดี…
แต่ถ้าพวกเขาสองคนจะคุยกัน ก็คงทำได้แค่แอบคุยกันโดยทีเป็นมองทางไปพลาง และลดเสียงให้เบาที่สุดไปพลาง
“เป็นไงบ้างแล้ว?” มู่เฉินแทบจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกมาให้เบาที่สุด
ซย่าจื้อกลับดูสงบนิ่งมาก ตาทั้งสองข้างของเขามองตรงไปยังเบื้องหน้า นิ้วมือที่ซุกไว้ในกางเกงดีดส่งสัญญาณเบาๆ จากนั้นก็ทำมือ “OK” ให้เขาเห็น
“ถ้างั้น…” มู่เฉินถาม “เธอล่ะ? เลือกใคร? แล้วนายเลือกใคร?”
การคุยกันโดยใช้รหัสลับอย่างนี้ทำให้มู่เฉินปลอดภัยขึ้นเล็กน้อย เพราะถึงใครมาได้ยินแผนก็ไม่แตกอยู่ดี
มู่เฉินใจเต้นไม่เป็นระส่ำเล็กน้อย เขารู้ว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเชื่อใจตัวเองที่สุด แต่กลับเป็นเรื่องยากที่สุดที่จะเลือกตัวเอง
เรื่องนี้ เขาเองก็เป็นเหมือนกัน
เพราะแม้ว่าเส้นทางการหลบหนีจะยากลำบาก แต่ก็น่าจะดีกว่าอยู่เป็นตัวประกันที่นี่…
ซย่าจื้อคิดหนัก จากนั้นก็ชี้ตัวเองก่อน
“เธอเลือกนาย?” มู่เฉินถามอย่างผิดหวังเล็กน้อย
ซย่าจื้อพยักหน้า จากนั้นเขาก็ชี้ไปข้างหลัง
“แล้วนายก็เลือกเธอ?”
ทว่าต่อมา ซย่าจื้อก็หันนิ้วกลับมาชี้ที่ตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
เขาฉีกยิ้มที่ดูแหยแกสุดๆ ให้มู่เฉิน จากนั้นก็เดินกลับไปอยู่ในกลุ่มของพวกหลิงม่อ
“เฮ้ยเดี๋ยว!”
มู่เฉินตะโกนเรียกเขาเสียงเบา แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับ
สีหน้าของเขาดูยุ่งยาก แต่ขณะเดียวก็ดูปวดหัว
สวี่ซูหานเลือกซย่าจื้อ และซย่าจื้อก็เลือกเธอ
แต่ท่าทีสุดท้ายของซย่าจื้อกลับบ่งบอกว่า เขาขอสละสิทธิ์…
สละสิทธิ์ในสถานการณ์อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขาหลีกทางให้สวี่ซูหานได้เดินไปบนเส้นทางที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าไม่ใช่หรือ?
ไม่คิดเลยว่าซย่าจื้อจะเป็นคนใจกว้างอย่างนี้ แต่พอคิดดูอีกที เขาไม่ค่อยเข้าใจนิสัยใจคอของซย่าจื้อมากนัก
ไม่มีใครเข้าใจซย่าจื้อเลย…
ไม่ว่าอย่างไร การที่เขาเลือกอย่างนี้ทำให้มู่เฉินรู้สึกทึ่งไม่น้อย เขาตัดสินใจที่จะทำอย่างนี้ด้วยความเด็ดเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ…
แต่เมื่อเป็นอย่างนี้ ความจริงมู่เฉินก็จะเหลืออยู่แค่ทางเลือกสุดท้าย
มู่เฉินหันกลับไปมองสวี่ซูหาน จากนั้นก็สูดหายใจลึกๆ
ทันทีที่ทั้งสองสบตากัน ท่าทางก็ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติเล็กน้อย
และหลังจากที่มู่เฉินจ้องสวี่ซูหานอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันกลับไป
“เธอ…เอาเป็นเธอก็แล้วกัน…ซย่าจื้อไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจทำอะไรส่งๆ เราเองก็น่าจะเชื่อใจเธอได้เหมือนกัน อีกอย่างเธอมีสาทะศิลป์ แล้วยังมีเสียงที่อัดไว้มากขนาดนั้น…”
มู่เฉินกระชับด้ามมีดแน่น แล้วคิดในใจ “ที่เหลือก็เหลือแค่ปัญหาเดียวแล้ว ควรลงมือตอนไหนดี?
………..
สำหรับพวกหลิงม่อ เมืองตงหมิงเป็นสถานที่ที่พวกเขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เคยมาที่นี่ซักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะตามหานิพพานในเมืองนี้เจอได้อย่างไร
ดังนั้นหน้าที่สำคัญอย่างการนำทาง ย่อมต้องตกเป็นของพวกมู่เฉินอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
ทว่าหลังจากเดินอ้อมมากว่าครึ่งวัน ความอดทนของหลิงม่อก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว
“พาพวกเราไปให้ถึงที่หมายภายในวันนี้”
“เป็นไปไม่ได้” มู่เฉินหันหน้ากลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว “นายไม่เห็นหรอว่ามีซอมบี้เยอะไหน?”
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองจงใจพาเดินอ้อม แต่ซอมบี้บนถนนเส้นนี้มีอยู่เยอะมากจริงๆ
แน่นอนว่านี่เป็นเหตุผลที่เขาเลือกใช้เส้นทางที่คึกคักขนาดนี้ และเรื่องจริงก็ได้ยืนยันแล้วว่าเขาเลือกได้ไม่เลว
“เดินทางกลางคืนด้วยก็ได้” หลิงม่อพูดต่อ
“ไม่ได้ จะเคลื่อนไหวกลางคืนไม่ได้เด็ดขาด” พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของสวี่ซูหานก็เริ่มเปลี่ยนสี
“ฮ่า…” หลิงม่อจ้องมองสีหน้าของสามคนนี้อย่างสนอกสนใจ “ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว”
เขาผ่านการเดินทางตอนกลางคืนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจริงๆ ถึงแม้อัตราความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าหากระวังตัวขึ้นอีกหน่อยก็ยังพอรับมือได้
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือปฏิกิริยาของสามคนนี้ ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจับผิดอะไรบางอย่างได้
—————————————————————————–
บทที่ 618 ผู้รอดชีวิตมืออาชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่เมื่อกี้ที่ได้ยินเสียงคำรามประหลาด หลิงม่อก็เริ่มมีลางสังหรณ์รางๆ—
คนของนิพพานสาขาย่อยสามคนนี้ ต้องปิดบังบางอย่างเกี่ยวกับเมืองตงหมิงไว้อย่างแน่นอน
แต่พอคิดอย่างนี้ หลิงม่อกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
เดิมทีเขามาที่นี่เพื่อการวิจัยเชื้อไวรัสและหมายเลข 0 เท่านั้น แต่ดูท่าแล้วอาจจะมีเซอร์ไพรส์บางอย่างรอเขาอยู่ก็ได้
ไม่เสียชื่อที่เป็นถึงนิพพานจริงๆ…
แต่ถ้าหากไปถามพวกมู่เฉินตรงๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าผลที่ได้จะออกมาเป็นอย่างไร
แต่ยิ่งพวกเขาเป็นอย่างนี้ หลิงม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเดินทางตอนกลางคืนได้
รอจนตกดึก มู่เฉินที่จงใจพาพวกเขาเดินอ้อมอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ เกรงว่าก็คงเกิดกลัวขึ้นมาบ้างเหมือนกัน
ในอีกด้าน หลิงม่อสามารถฉวยโอกาสสืบเรื่องราวให้ชัดเจน เชื่อว่าหากมีพวกเขาอยู่ด้วย อันตรายก็คงจะน้อยลง…
ความจริงแล้ว หลิงม่อก็พอรับรู้ได้ถึงความกังวลของพวกมู่เฉินอยู่บ้าง
ทว่าอาศัยแค่วิธีการพาอ้อมอย่างนี้ อย่างมากก็คงทำได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น
ถูกต้องแล้ว แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น…
พอถูกหลิงม่อจ้อง มู่เฉินกลับรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
สายตาของเขาเมื่อกี้…หรือว่าจะรู้อะไรเขาแล้ว?
ความคิดนี้ทำเอามู่เฉินคอแห้งผากไปทันที ทว่าไม่นานเขาก็ตั้งสติแล้วทำตัวนิ่งเข้าไว้
ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก…
ถ้าเขารู้แล้ว ถึงเขาจะไม่เปลี่ยนท่าที แต่เด็กผู้หญิงที่อยู่กับเขาพวกนั้นล่ะ?
ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวผมยาวหน้าตาสะสวยท่าทางซื่อๆ คนนั้น แต่สาวเลือดผสมที่มักแผ่รังสีอันตรายกับเด็กผู้หญิงผมยาวคนนั้นล่ะ?
โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงผมยาวคนนั้น…
มู่เฉินเหล่มองซย่าน่าแวบหนึ่ง ในใจก็จินตนาการไปถึงภาพน่ากลัวบางอย่าง
อย่างเช่นขณะเดินทาง เด็กผู้หญิงคนนี้มักฟันซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าขาดออกเป็นสองท่อน โดยที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอ …
“เลือดเย็นดั่งฤดูหนาวในขั้วโลกใต้…” มู่เฉินขนลุกซู่ ในใจพลางให้คำนิยามแก่ซย่าน่า
ทว่าพอเป็นอย่างนี้ เขากลับคลายกังวลลงมาก
หากแผนการสำเร็จ อัตราการรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น เมื่อนึกถึง “บทลงโทษ” ที่อาจได้รับหลังความแตกก็ไม่ได้ยากเกินรับไหวขนาดนั้นอีกต่อไป…
“ไม่…มันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้อยู่ดี” มู่เฉินลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลอบส่ายหัวกับตัวเอง
“คิดในแง่ดีสิ ตัวประกันสองคนเทียบกับคนสามคน ถึงแม้จำนวนจะลดน้อยลง แต่กลับมีค่ามากขึ้น น่าจะไม่ลงไม้ลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก น่าจะนะ …”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้แล้วกัน” หลิงม่อบอก
มู่เฉินดึงสติกลับมา แล้วบอกว่า “นี่นายใช้คำพูดบังคับกันโต้งๆ อย่างนี้เลยหรอ!”
หลิงม่อหยักหน้า “ก็นายเป็นเชลยนี่”
“…ขอบใจที่อุตส่าห์เตือนนะ! แต่ถึงทุกคนจะรู้เรื่องนี้ดี แต่นายช่วยปกปิดมันเอาไว้อย่างเดิมจะได้ไหม!”
มู่เฉินยังอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเดินทางกลางคืนอีกซักหน่อย แต่จู่ๆ เขากลับเหลือบไปเห็นซย่าจื้อที่ยืนเฉยื้องออกไปด้านหลังหลิงม่อ
ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะดูเหมือนไร้ตัวตนตลอดเวลา แต่ ณ วินาทีนี้ ในตอนที่เขายักคิ้วหลิ่วตา ทำหน้าเหมือนเป็นคนโรคกล้ามเนื้อกระตุกบนใบหน้าอย่างนั้น มู่เฉินไม่มีทางมองข้ามเขาไปได้จริงๆ…
พอเห็นมู่เฉินมองมา ซย่าจื้อก็รีบส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นเขาก็กลับไปทำหน้าตายไร้อารมณ์เหมือนเดิมในชั่วพริบตา
“เอิ่มม…”
มู่เฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับหลิงม่ออย่างไม่พอใจเล็กน้อย “พวกนายอยากรนหาที่ตาย ก็เอาตามที่นายว่าแล้วกัน!”
“นี่…”
สวี่ซูหานที่กำลังยืนถือปืนอยู่อีกกำลังหน้าหงิกหน้างอเล็กน้อย
เธอเองก็พยายามส่งซิกทางสายตาให้มู่เฉิน แต่กว่ามู่เฉินจะสังเกตเห็น เธอก็กลอกตามองบนไปเสียแล้ว
สิ่งที่สวี่ซูหานต้องการจะสื่อนั้นชัดเจนมาก เธอหวังว่ามู่เฉินจะสามารถทำให้หลิงม่อเปลี่ยนความคิดได้
แต่มู่เฉินไม่เพียงไม่คิดจะเอ่ยปากคัดค้านออกไปอีกครั้ง แต่กลับฉวยโอกาสตอนหลิงม่อกำลังพูด หันมาส่ายหน้าให้เธอเงียบๆ
คราวนี้สวี่ซูหานถึงกับเอือมระอา เธอขมวดคิ้ว พลางกัดฟันกรอดจ้องมู่เฉิน
มู่เฉินยักไหล่ขึ้นลง แล้วหันหน้ากลับไปเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
พอเขาหันไปมองซย่าจื้ออีกครั้ง หวังว่าจะได้รับสัญญาณอะไรจากเขาซักหน่อย กลับพบว่าเจ้าหมอนั่นกลับไปเป็น “ท่อนไม้” อีกครั้งแล้ว
“เชี่ย!”
มู่เฉินสบถด่าในใจ
เขาขมวดคิ้ว แล้วนึกไปถึงอีกปัญหาหนึ่ง “ทำไมทิศทางของเรื่อง เหมือนยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของฉันอยู่ล่ะ?”
……….
หากพูดกันแค่เรื่องพื้นที่ เมืองตงหมิงไม่ถือว่าใหญ่มาก แต่ผลิตภัณฑ์ยาและเครื่องมือการรักษาทางแพทย์อันเลื่องชื่อ กลับนำพาเขตเมืองอันเนืองแน่นไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมาย และประชากรอันล้นหลามมาให้เมืองแห่งนี้
ในสมัยก่อน สองเรื่องนี้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองเมืองหนึ่งเจริญรุ่งเรืองหรือไม่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมาตรฐานการวัดระดับความอันตรายไปเสียแล้ว
ถ้าหากต้องจัดระดับเมืองตงหมิงจริงๆ หลิงม่อจะให้คะแนนความอันตรายอยู่ที่ “ค่อนข้างอันตราย”
“ขนาดกองทัพอากาศยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่เลย” หลิงม่อลองนึกย้อนดู แล้วก็ต้องสงสัยในเรื่องนี้
ทว่างานอย่างการสำรวจพื้นที่ คืองานที่กองทัพอากาศเก่าทำ แต่ฟอลคอนที่สองในตอนนี้จะรู้เรื่องนี้หรือยัง หลิงม่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
แวบแรกเขานึกถึงเฟิ่งจื่อซวนผู้เป็นพี่เมียของเขาทันที แต่พอหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจึงรู้ว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณ
“ไหนบอกว่าเป็นรุ่นปรับปรุง…” หลิงม่อถอนหายใจ แล้วยัดเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋า
ในเมื่อไม่สามารถเอาข้อมูลจากฝ่ายที่สามมาได้ ก็คงต้องไปดูด้วยตัวเองแล้วล่ะ
เส้นทางที่มู่เฉินพาพวกเขาไปล้วนอยู่ในใจกลางเมือง การทำอย่างนี้นอกจากจะถ่วงเวลาได้แล้ว ยังสามารถทำให้พวกหลิงม่อหมดเรี่ยวแรงและพลังจิตไปด้วย
เหนื่อยแล้วจะทำอะไรได้อีก? ก็ต้องพักไง
มู่เฉินคำนวณไว้ได้ดี แต่เขาไม่คิดว่าพวกหลิงม่อจะชินชอบกับการเดินอ้อมขนาดนี้
ในฐานะผู้รอดชีวิตที่ไม่มีกลุ่ม ความสามารถในการใช้ชีวิตในเมืองของหลิงม่อย่อมไม่ธรรมดา
มุดซอย อ้อมตึก กระโดดหน้าต่างเข้าไปในร้าน ทำอย่างไรถึงจะหลบซอมบี้ได้ เขาก็จะทำอย่างนั้น
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เขาไม่เคยผิดพลาด!
คนทั่วไปหากเดินทางอย่างนี้ จะต้องเดินอย่างระวังทุกฝีก้าว และตัดสินใจอย่างรอบคอบจากทุกวิถีทาง เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเจออะไรรออยู่ข้างหน้า
แต่หลิงม่อกลับยกเท้าปุ๊ปออกเดินปั๊บ เขาไม่เคยมีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านพลังจิตก็ตาม แต่ความสามารถในการตัดสินใจอย่างนี้สุดยอดเกินไปแล้ว!
และเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ คนที่ทรมานกลับกลายเป็นมู่เฉินแทน เขาต้องเค้นสมองคิดอย่างหนักตลอดเวลา ว่าตกลงว่าถนนสายไหนคือสายที่ไกลที่สุดกันแน่? ยังมีที่ไหนให้พาอ้อมไปได้อีก?
ทว่าถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ บางครั้งพวกเขาก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้เหมือนกัน
ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับซอมบี้ ก็ยังต้องเสียเวลาและแรงไม่น้อยทีเดียว
แต่วิธีการของหลิงม่อกลับทำให้เรื่องง่ายดายขึ้นมาก และไม่ต้องเสียเวลาอย่างที่มู่เฉินคิดไว้ในตอนแรก
หลิงม่อเพียงมองหาอาคารก่อสร้างหลังหนึ่ง จากนั้นเขาก็จะหลบเข้าไปในมุม เพื่อวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่ข้างหลังเด็กสาวสามคนนั้น
ถ้าหากทั้งสองฝ่ายเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก พวกมู่เฉินต้องดูถูกการกระทำอย่างนี้ของหลิงม่อแน่นอน
แต่เวลานี้พวกเขากลับรู้ดี ถึงแม้หลิงม่อไม่ได้ยืนขวางอยู่ด้านหน้า แต่บทบาทของเขาในทีมเล็กๆ นั่นสำคัญมากอย่างที่ไม่มีใครมาทดแทนได้
เขาเหมือนระบบศูนย์กลางควบคุม คือสายเชื่อมต่อสำคัญที่คอยประสานให้เด็กสาวสามคนนั้นทำงานร่วมกันอย่างสมบูรณ์แบบ
และการต่อสู้ของทีมนี้กับซอมบี้ ไม่เพียงรวดเร็ว แต่ยังหมดจดอีกด้วย!
หลิงม่อที่ยืนอยู่หลังสุดจะคอยใช้พลังจิตเพื่อทำการก่อกวนสนามรบทุกรูปแบบ ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่แค่ดูจากที่จู่ๆ ซอมบี้พวกนั้นก็เคลื่อนไหวแปลกๆ ก็พอจะเดาอะไรได้บ้าง
ส่วนเด็กสาวที่ถือปืนไรเฟิลไว้ในมือยืนอยู่ข้างหน้าหลิงม่อ เธอคนนั้นจะคอยเลือกยิงสังหารซอมบี้ระดับสูงที่ปรากฏตัวอยู่ในฝูง และขอเพียงอีกฝ่ายอยู่ในครรลองสายตาของเธอแม้เพียงวินาทีเดียว เธอก็สามารถลั่นไกด้วยความมั่นใจอย่างรวดเร็วทุกครั้ง
ในฐานะที่เป็นผู้ใช้อาวุธปืนเหมือนกัน แล้วยังเป็นผู้มีความสามารถพิเศษอีกด้วย สวี่ซูหานยอมรับว่าฝีมือการยิงปืนระดับนี้หากตัวเองพยายามสุดกำลังแล้วก็ยังคงทำได้แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
แต่ความแตกต่างที่แท้จริงอยู่ตรงที่ เย่เลี่ยนทำเรื่องอย่างนี้ได้อย่างสบายๆ และอัตราความสำเร็จก็สูงมากจนทำให้คนดูต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
เธอไม่ได้ต้องการให้ถึงตายในลูกปืนนัดเดียว แต่ลูกกระสุนปืนไรเฟิลที่มีอานุภาพร้ายแรงนั้น แม้จะยิงโดนแค่นิ้วเท้า ก็สามารถทำให้เป้าหมายสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา
และในทางตรงกันข้าม ซอมบี้ที่ได้รับบาดเจ็บกลับยิ่งอันตรายมากว่า สำหรับผู้รอดชีวิตมันเป็นอย่างนั้น สำหรับพวกเดียวกันกับมันก็เช่นกัน
คนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือซย่าน่า เคียวดาบเล่มนั้นเมื่ออยู่ในมือเธอก็เหมือนกลายเป็นใบมีดคมๆ ที่กำลังร่ายรำเพลงดาบอันงดงาม มันฉวัดเฉวียนไปมาอยู่บนฟลอร์เต้นรำ พลางปลิดชีพของสิ่งมีชีวิตที่อยู่โดยรอบไปด้วย รอบกายมีสายฝนแห่งเลือดโปรยปรายเป็นฉากหลังประกอบ
และหากพวกมู่เฉินสังเกตให้ดี พวกเขาก็จะมองเห็นหลี่ย่าหลินหนึ่งคนหรือหลายคนปรากฏตัวรางๆ อยู่ท่ามกลางสายฝนแห่งเลือดนั่น
เป้าหมายในการลงมือของเธอคือเหล่าซอมบี้ที่วนเวียนอยู่รอบนอก ซึ่งกำลังมองหาโอกาสจะกระโจนเข้าไปร่วมวง
เหล่าซอมบี้ที่เดิมหลบกระสุนและเคียวดาบพ้นแล้ว แต่จู่ๆ ก็ชะงักกึกไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นไม่นานลำคอของพวกมันก็เริ่มมีเลือดพุ่งออกมา พอพวกมู่เฉินเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็อดรู้สึกเสียววูบที่ลำคอไม่ได้
หมดจดงดงามเกินไปแล้ว!
—————————————————————————–
บทที่ 619 เจ้าเมือง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมลงมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พักผ่อนในร้านค้าแห่งหนึ่งได้ซักพักแล้ว หลิงม่อก็เร่งให้ออกเดินทางอีกครั้ง
มู่เฉินสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจกลับร้อนรุ่มดั่งถูกไฟเผา
ตอนที่เขาเดินตามออกไป สมองของเขามืดแปดด้านไม่ต่างจากสถานการณ์ในตอนนี้
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงเบาละล่องเสียงหนึ่งก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา
“รอสัญญาณ”
มู่เฉินหัวใจกระตุกวูบ เขาตื่นตัวขึ้นมาทันที
เงาหลังที่เพิ่งเดินเฉียดไหล่เขาไปเมื่อกี้…คือซย่าจื้อ
หรือว่าภารกิจหลบหนีของพวกเขา จะเริ่มดำเนินการในคืนนี้?
มู่เฉินถึงกับตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ เขารีบหันหน้ากลับไปมองสวี่ซูหาน
“อีกเดี๋ยว เธอต้องเดินอยู่ข้างๆ ฉันในระยะห้าเมตร” ซย่าน่าพูดขึ้นพอดี
สวี่ซูหานพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว หลายวันมานี้ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดนี่”
“แต่บางครั้งคนที่เธอเดิมตามกลับเปลี่ยนเป็นรุ่นพี่แทน” ซย่าน่าพูดเสริม
“ใช่ แต่ก็เหมือนกันไม่ใช่หรอ?” สวี่ซูหานถามอย่างไม่เข้าใจ
ซย่าน่านิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย “เชื่อฉัน เดินตามฉันจะปลอดภัยกว่า”
“อย่างงั้นหรอ…” สวี่ซูหานมุมปากกระตุก
เธอไม่ค่อยเชื่อคำพูดของซย่าน่านัก ดูจากการแสดงออกในระหว่างต่อสู้ รุ่นพี่ดูน่าเข้าใกล้กว่าเห็นๆ…
อาจเพราะสวี่ซูหานรับรู้ได้ถึงสายตาของมู่เฉิน ดังนั้นหลังจากแอบเหล่มองซย่าน่าเล็กน้อย เธอก็มองไปทางมู่เฉิน
เสี้ยววินาทีที่สายตาประสานกัน สวี่ซูหานนิ่งไปก่อน จากนั้นก็พยักหน้า
“คิดจะลงมือกลางคืนจริงๆ หรอ…” มู่เฉินขมวดคิ้วเบาๆ
เวลากลางคืนถือเป็นกำบังที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลบหนี แต่ระดับความอันตรายกลับค่อนข้างสูง
ตัดสินใจจะหนีไปตอนนี้จริงๆ งั้นหรอ?
ทว่าพอคิดดูอีกที หากไม่ทำคืนนี้ พวกเขาก็จะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ที่หลิงม่อยังพอทนกับการถ่วงเวลาของพวกได้ เพราะเขายังอยากที่จะพูดคุยกับนิพพานสาขาย่อยด้วยความสันติ
แต่ถ้าหากเขาหมดความอดทนเมื่อไหร่ เรื่องราวก็จะดำเนินไปในทิศทางที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป
พอถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นเบี้ยต่อรองที่ถูกวางไว้ตรงกลาง
เป็นแค่เบี้ยต่อรองจะทำอะไรได้ล่ะ?
เพราะฉะนั้น มีแค่คืนนี้เท่านั้น…
เสี้ยววินาทีที่ก้าวข้ามประตูใหญ่ หัวใจของมู่เฉินก็เต้นระรัวทันที
กังวล? หรือว่าดีใจ? หรืออาจรู้สึกทั้งสองอย่าง
ความรู้สึกอย่างนี้ เขาไม่เคยได้สัมผัสมานานแล้ว
นั่นทำให้เขานึกถึงตอนที่ภัยพิบัติเพิ่งเกิด ตอนนั้นเขาก็เหมือนกับคนส่วนมาก ทั้งไม่อยากตาย และไร้พละกำลัง
สิ่งที่มีมาตลอดกลับถูกทำลายไปในพริบตา ความเจ็บปวดและสิ้นหวังที่เกิดขึ้นยามที่ข้างหน้าช่างมืดมน เป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียยิ่งกว่าความตายที่เกิดขึ้นรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
แต่ทุกวินาทีที่เขามีชีวิตอยู่ เขาก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอย่างนั้น
นั่นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทำให้สมบูรณ์ และทำให้เขาตระหนักได้ถึงความปรารถนาในการเอาชีวิตรอด
ของอย่างนี้มักถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกของสัญชาติญาณมนุษย์ แม้แต่คนที่ใช้ชีวิตเหมือนหนูท่อมาโดยตลอดก็ด้วย คนส่วนมากมักดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่ออยู่ต่อไป
ทุกข์ทรมาน แต่แข็งแกร่งขึ้น
ทว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่การมีชีวิตอยู่ได้กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างนี้?
จู่ๆ สายตาของมู่เฉินก็ดูหม่นหมองลงไป…
บางทีอาจเพราะตอนนั้นยอมทำทุกอย่างขอแค่มีชีวิตรอดก็พอ แต่ตอนนี้กลับทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีชีวิตที่น่าอนาถและน่าสงสารขนาดนั้น
ความปรารถนาช่างเป็นสิ่งที่ไร้ขีดจำกัดจริงๆ…
“ไปกันเถอะ” เสียงของหลิงม่อดังมาจากข้างหน้า
มู่เฉินดึงสติกลับมา “อ้อ…”
เห็นแผ่นหลังของหลิงม่อ มู่เฉินอดคิดไม่ได้ แล้วเจ้าหมอนี่ล่ะ เขาดิ้นรนไปเพื่ออะไรกันแน่…
เมืองตงหมิงในยามค่ำคืนเมื่อเปรียบเทียบกับกลางวันแล้ว แทบจะกลายเป็นวิวทิวทัศน์คนละแบบกันเลยทีเดียว
เมืองตงหมิงในตอนกลางวันเต็มไปด้วยอันตรายทุกหนแห่ง แต่พอตกกลางคืน เหมือนที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่รวมตัวจัดงานรื่นเริงของเหล่าสัตว์ประหลาด
เงาร่างที่แวบไปแวบมา จุดสีแดงมากมายที่ลอยอยู่กลางอากาศ เสียงคำราม เสียงเคี้ยวอาหาร กลิ่นคาวเลือดที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
“ชู่ว เบาหน่อยสิ”
มู่เฉินที่ทำหน้าที่นำทางหลบอยู่หลังเสาไฟต้นหนึ่ง เขาหันกลับไปทำท่ากดมือลง
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะทำเสร็จ เสียงของหลิงม่อก็ดังมาจากด้านข้าง “ทำไมฉันรู้สึกว่าซอมบี้ที่นี่ดูมีชีวิตชีวากว่าที่อื่นล่ะ? หมายถึงกลางคืนน่ะ”
“ชู่ว!!!” มู่เฉินหน้าถอดสีครั้งใหญ่
“วางใจเถอะ ซอมบี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากเราในทางตรงถึงยี่สิบเมตร ตรงกลางยังมีผนังกั้นไว้อีกด้วย” หลิงม่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ถ้านายยังชู่วดังกว่านี้อีกนิดหนึ่ง มันก็จะมาฉี่รดนายแล้วล่ะ”
“พลังจิตของนายมีระบบวัดระยะห่างด้วยหรอ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
“ฝึกมา ถ้าไม่งั้นนายคิดว่าวันๆ ฉันทำอะไรอยู่ในกองกำลัง F ล่ะ?” หลิงม่อพยักหน้า “เรื่องนี้ไม่ยาก นายแค่ต้องหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ตัวเอง…”
“พอๆๆ…” มู่เฉินตัดบทหลิงม่ออย่างไม่สบอารมณ์ แล้วถามเขาว่า “พวกมันมีชีวิตชีวาตรงไหนกัน?”
“แน่นอนว่ามี” หลิงม่อพยักหน้าแล้วบอกว่า “ซอมบี้ที่อื่นถึงแม้ว่าพอตกกลางคืนก็จะคลุ้มคลั่งง่ายกว่ากลางวัน แต่พฤติกรรมส่วนมากจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไป แต่ที่นี่…” หลิงม่อชี้ไปข้างหน้า ตรงกลางถนนเส้นนั้นยังมีกองเลือดสดใหม่อยู่หลายกอง รวมถึงโครงกระดูกและเศษเนื้อบางส่วนด้วย “เห็นไหม?”
“เห็น…เห็นแล้ว” รุ่นพี่จ้องกองเลือดเหล่านั้นอย่างไม่วางตา พลางพยักหน้ารับ
“คุมตัวเองหน่อย…” หลิงม่อกระแอมสองสามที แล้วดึงรุ่นพี่ให้ไปยืนข้างหลังตัวเอง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “ที่นี่พอตกกลางคืน ก็ไม่ต่างอะไรจากถึงเวลาเปิดงานเลี้ยง ซอมบี้ระดับสูงเริ่มออกล่า ซอมบี้ที่อ่อนแอถูกกำจัดทิ้ง…”
สีหน้าของมู่เฉินดูแย่ลงเล็กน้อย “นายอ่อนไหวเกินไปแล้ว…”
เขาเพิ่งจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากที่ไกลๆ
หลิงม่อหัวเราะให้มู่เฉินเบาๆ “นายว่างั้นหรอ?”
เสียงนั้น คือเสียงคำรามแปลกๆ ที่หลิงม่อได้ยินเมื่อตอนกลางวัน
แต่ตอนนี้เสียงกลับยิ่งชัดเจนขึ้น ระยะห่าง ก็เริ่มน้อยลง…
ถ้าหากตอนนี้พวกมู่เฉินสังเกตดีๆ ก็จะพบว่าเด็กสาวสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กำลังจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน
“พวกเรารีบไปกันเถอะ!” มู่เฉินหน้าเริ่มเปลี่ยนสี
“ไม่ทันแล้วล่ะ” หลิงม่อส่ายหน้า
มู่เฉิงอึ้ง จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองที่อีกฝั่งของถนนตามสายตาของหลิงม่อ
“ตึง ตึง ตึง!”
เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมันก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พื้นดินเหมือนกำลังสั่นสะเทือน มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าดวงไฟข้างทางที่ห้อยอยู่บนหัวกำลังสั่นไหวไปมา
เขาหันขวับไปมองหน้าหลิงม่อ แล้วหันไปมองกองเลือดนั่นอีกครั้ง
ที่หลิงม่อคุยกับเขา ก็เพื่อจงใจถ่วงเวลา?
“โชคไม่เข้าข้างกันเลยจริงๆ…” มู่เฉินกัดฟัน
เขามัวแต่คิดเรื่องแผนการและทางอ้อมอยู่เต็มสมอง แต่กลับลืมไปว่าหลิงม่อก็มีจุประสงค์ของเขาเหมือนกัน จนสุดท้ายก็ปล่อยให้เขาฉวยโอกาสขึ้นนำจนได้
“หลิงม่อ ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงได้สนใจซอมบี้มากขนาดนี้ แต่ฉันอยากจะบอกนายว่า พวกเราซวยแล้วล่ะ” มู่เฉินพูดเร็วๆ
“ตอนที่ฉันถามนายก็ควรบอกกันตรงๆ สิ” หลิงม่อยังคงดูสงบนิ่ง ทว่าดูจากสายตาที่จดจ่อของเขา เห็นชัดว่าเขาเริ่มรวบรวมสมาธิแล้ว
มู่เฉินถึงกับพูดไม่ออก และทำได้แค่หุบปาก
“นี่ไม่ใช่ซอมบี้ธรรมดา…” สวี่ซูหานก้าวถอยช้าๆ ปากก็พูดขึ้น
ตึง!
เมื่อเสียงสนั่นดังขึ้นครั้งสุดท้าย เงาร่างดำๆ เงาหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมเลี้ยวของอีกฝั่งถนน
“โฮกก!”
เงาร่างดำนั้นพลันแอ่นร่างกายท่อนบนขึ้น พลางยืดคอเปล่งเสียงคำรามดังก้อง
ลูกกระเดือกของหลิงม่อขยับขึ้นลง ปากก๊พึมพำออกมาว่า “นั่นมัน…ตัวอะไรกันเนี่ย?”
“เจ้าเมืองแห่งตงหมิง” มู่เฉินพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
หลิงม่อไม่เคยเห็นซอมบี้อย่างนี้มาก่อนเลยซักครั้ง…
แม้ในสถานการณ์ที่ซอมบี้กลายร่างมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
มันคือซอมบี้เพศชายตัวหนึ่ง ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ไม่สวมรองเท้า สิ่งเดียวที่มันสวมไว้คือกางเกงขาดๆ ซอมซ่อตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่แขนขาทั้งสี่ข้างของมันกลับกำยำและดูมีเรี่ยวแรงมากว่าซอมบี้ทุกตัวที่หลิงม่อเคยเจอมา กล้ามเนื้อที่ปูดขึ้นมาเป็นมัดๆ ก็ดูแข็งแรง
ดวงตาสีแดงเลือดอันเย็นชาคู่นั้นจ้องมาทางพวกเขาเขม็ง ในริมฝีปากหนาที่กำลังอ้าออกเล็กน้อย ยังมีเลือดย้อยออกมาสายหนึ่ง
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สะดุดสายตาผู้คนมากที่สุด ก็คือความสูงของมัน
มันเป็นซอมบี้ยักษ์ที่มีความสูงถึงสามเมตรกว่าเลยทีเดียว…
“ตึง!”
เสียงสนั่นดึงขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับดังมาจากข้างหลัง
มู่เฉินรีบหันกลับไปมอง สีหน้าบูดบึ้งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแย่สุดขีด “อีกอย่าง…พวกมันเคลื่อนไหวพร้อมกับคู่ครองของพวกมัน”
หลิงม่อก็หันกลับไปดูเหมือนกัน สีหน้าของเขาเองก็แย่ลงเล็กน้อย
อีกฟากของถนน มีซอมบี้ยักษ์เพศหญิงปรากฏขึ้นมาอีกตัว
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเหมือนกัน แล้วยังมีดวงตาที่เหมือนกันอีก…พวกเขาถูกล้อมหน้าล้อมหลังเสียแล้ว
“โฮกก!”
ซอมบี้ทั้งสองตัวประกบหน้าหลัง เปล่งเสียงคำรามก้องขึ้นมาพร้อมๆ กัน
สายตาของพวกมันฉายแววดีใจขึ้นมาทันที และแทบจะก้าวขาพร้อมๆ กัน
“เข้าไปในอาคาร!” หลิงม่อตะโกนสั่งอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ซอมบี้สองตัววิ่งพุ่งเข้ามาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง พวกหลิงม่อก็หันหน้าวิ่งเข้าไปในตึกใหญ่ตึกหนึ่งที่อยู่ข้างทาง
—————————————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น