จารใจรัก 60-65.1
ตอนที่ 60 จวนโหวหลบลี้
จงหย่งโหว ชุยอวิ่น และเซี่ยหลินซีทราบข่าวว่าเซี่ยฟางหวาฟื้นแล้วก็รีบพากันมายังสวนไห่ถัง
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากภายนอกเซี่ยฟางหวาก็ยืดตัวขึ้น ยื่นมือไปดึงฉินเจิงแล้วเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “พวกเขามากันเร็วนัก”
“เจ้าหมดสติไปกะทันหันทำเอาทุกคนตกใจแทบแย่ ใครบ้างจะไม่เป็นห่วง” ฉินเจิงลุกขึ้น ยกมือดีดหน้าผากนาง
เซี่ยฟางหวามองเขา สลัดความไม่พอใจทิ้งแล้วไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก
พอทั้งสองเดินออกมาหน้าประตู จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นก็เข้ามาแล้ว
เมื่อพบหน้ากัน เซี่ยฟางหวากะพริบตามองทุกคน ก่อนส่งเสียงทักทายทีละคนตามลำดับ “ท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซี ป้าฝู”
“ไอ้หยา คุณหนูของข้า ท่านฟื้นมาก็ดีแล้ว” ป้าฝูเบ้าตาแดงช้ำ แย่งเอ่ยขึ้นก่อนใครอื่น “เดิมก็หาได้มีเนื้อหนังมังสาเยอะแยะ ตอนนี้ผอมยิ่งกว่าเดิมอีก เห็นแล้วก็ปวดใจนัก จากนี้ต้องบำรุงร่างกายให้ดี”
“อืม ต่อไปข้าจะระวังให้มากขึ้น” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้นางแล้วพยักหน้า
“ไฉนตาถึงแดงช้ำถึงเพียงนี้” จงหย่งโหวย่นหัวคิ้ว
“คล้ายกับร้องไห้มา” ชุยอวิ่นมองนาง
“ข้าฝันร้าย ตกใจจนร้องไห้ออกมา ถึงฟื้นขึ้นมาได้” เซี่ยฟางหวาลูบหน้าตอบ
“หวาเอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้าเด็กนี่พาลโมโหใส่เจ้าถึงร้องไห้ใช่ไหม” ชุยอวิ่นชี้ฉินเจิงด้วยท่าทีไม่พอใจ
ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็มองเซี่ยฟางหวาอย่างจนปัญญา สื่อความหมายทางแววตาว่า ‘เห็นไหม ข้าพูดไว้มิผิด ท่านลุงเห็นข้าก็ชักสีหน้าไม่ดีใส่’
“ท่านลุง คราวหลังท่านยังใส่ความคนอื่นตามใจชอบอีก ข้าหมดสติไปมิใช่เพราะเขา ห้ามท่านใส่ร้ายเขา” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ยกมือคล้องแขนฉินเจิงแล้วแย้งตอบ
“โหวเหยผู้เฒ่า โบราณกล่าวไว้มิผิดเลยเชียว สตรีมักเข้าข้างคนนอกจริง นางเหนื่อยล้าจนหมดสติไป นึกไม่ถึงว่าจะยังเข้าข้างเจ้าเด็กบ้านี่อีก” ชุยอวิ่นค้อนตามอง หันกลับมาหาจงหย่งโหวทันควัน
“ฟื้นก็ดีแล้ว กินข้าวเสร็จแล้วก็รีบเก็บของกลับไปเสีย” จงหย่งโหวเหลือบมองทั้งสองแล้วแค่นเสียง
“กลับไปไหน” เซี่ยฟางหวารีบถาม
“แน่นอนว่ากลับจวนอิงชินอ๋อง หรือว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อรึ” จงหย่งโหวมองค้อนนาง “เจ้าจะทำให้คนอื่นตกใจ ก็ต้องกลับไปทำให้คนในจวนอิงชินอ๋องตกใจด้วยเช่นกัน ข้าแก่แล้ว ทนไม่ไหวหรอก”
เซี่ยฟางหวาทำปากจู๋ “ข้าเพิ่งฟื้นมาท่านก็ตะโกนใส่ข้าแล้ว มีท่านปู่แบบท่านอีกหรือไม่” พูดจบก็ไม่พอใจ “ข้าข้องใจเหลือเกินว่าข้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านหรือไม่”
“ถ้าไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ข้าไล่เจ้าออกไปตั้งนานแล้ว มีหลานสาวเช่นเจ้า ต้องคอยกังวลไม่จบไม่สิ้น” จงหย่งโหวพูดพลางก็เดินเข้าไปในห้อง
ชุยอวิ่นตามหลังเข้าไปเช่นกัน
“น้องฟางหวา เจ้าฟื้นมาก็ดีแล้ว สองวันนี้พวกเราสบายดี เพียงแต่ลำบากน้องฉินเจิงแล้วที่ต้องอยู่เฝ้าเจ้าข้างเตียงตลอดเวลา ไม่แตะต้องข้าวปลาอาหาร กินไม่ได้นอนไม่หลับ” เซี่ยหลินซียิ้ม
“พี่หลินซี” เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเชิญเขาเข้าไปข้างในเช่นกัน
ทุกคนพากันเข้ามาในห้องรับรองแล้วนั่งลง ซื่อฮว่าตามไล่หลังเข้ามาเอ่ยถาม “โหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน ตอนนี้กำลังเตรียมอาหารให้คุณหนูอยู่ พวกท่านจะทานร่วมกันด้วยหรือไม่เจ้าคะ”
“มื้อกลางวันแม้เร็วไปหน่อย แต่ก็อยู่กินด้วยกันที่นี่เถอะ” จงหย่งโหวมองชุยอวิ่นแวบหนึ่ง “สองวันนี้เราไม่อยากอาหารเพราะหวาเอ๋อร์ ตอนนี้นางฟื้นแล้ว เราคงเจริญอาหารขึ้นบ้าง”
ชุยอวิ่นพยักหน้า
ซื่อฮว่ายิ้มแล้วขานรับ ก่อนรีบกลับออกไป
“หลังเจ้าหมดสติไป เจ้าเด็กบ้านี่ก็อยู่เฝ้าเจ้าด้วยใบหน้านิ่งขรึม เราจึงได้แต่ต้องฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนจากปากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแทน” จงหย่งโหวดื่มน้ำชาอึกหนึ่งแล้วกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็เล่าให้เราฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีข่าวของเจ้าอวิ๋นหลานเลย”
เอ่ยถึงเซี่ยอวิ๋นหลาน เซี่ยฟางหวาเดิมทีกำลังจะดื่มน้ำชาก็ชะงักมือ ไม่ส่งเสียงใด
“เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่” ชุยอวิ่นกังวล
เซี่ยฟางหวาดื่มน้ำชาอึกเล็กๆ ก่อนส่ายหน้าตอบ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่อวิ๋นหลานอยู่ที่ใดกันแน่” พูดจบ นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์เซี่ยอวิ๋นหลานเอาตัวรับหินยักษ์แทนนาง ภายใต้ความไร้หนทางจึงได้แต่ต้องลากเขากระโดดลงจากหน้าผาให้ฟังรอบหนึ่ง
“เจ้าบอกว่าเจ้าอวิ๋นหลานอยากฆ่าตัวตาย?” ชุยอวิ่นตกใจทันที
“ตอนนั้นเดิมข้าหลบได้ ด้วยพลังของเขาก็สามารถหลบได้พ้นเช่นกัน ทว่าเขากลับเอาตัวเข้ารับแทนข้า” เซี่ยฟางหวากุมถ้วยชา ฝ่ามือสั่นระริกแผ่วเบา “ถ้าไม่ใช่ข้าลากเขากระโดดจากหน้าผา ตอนนั้นเขาอาจจะถูกฝังอยู่ใต้โคลน ตายไปแล้วอย่างไม่มีข้อสงสัย”
“เจ้าเด็กคนนี้ เพราะหาทางถอนคำสาปเผาใจไม่ได้หรือ” ชุยอวิ่นทอดถอนใจ มองไปยังจงหย่งโหว
“อวิ๋นหลานดูไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ได้” จงหย่งโหวมีสีหน้านิ่งขรึม
“เหตุใดท่านปู่ถึงคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย แม้พี่อวิ๋นหลานฉลาดหลักแหลม แต่มีความคิดหนักแน่น ทั้งต้องแบกรับคำสาปเผาใจ ต้องทนทุกข์ทรมานจากมัน หรือไม่ก็ยังมีเรื่องที่เขาแบกรับไม่ไหวที่เรายังไม่รู้อีก…” เซี่ยฟางหวาขอบตาร้อนชื้นขึ้นมาทันที ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ
“ตั้งแต่เขามาอยู่ที่จวนจงหย่งโหวแล้วรับช่วงต่องานธุรการในมือเจ้าก็จัดการได้เป็นขั้นเป็นตอนตลอดมา ข้าไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดเลย แม้แต่เจ้าเข้าพิธีสมรส เขาก็…” ชุยอวิ่นพูดพลางก็มองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าเขามีสีหน้าปกติดีก็พูดต่อ “เขาก็สงบนิ่งมาก ไม่คล้ายกับทนทุกข์หรือแบกรับไม่ไหว”
“ส่งคนค้นหาตัวเขาต่อไปเถอะ” จงหย่งโหวบอก “แน่นอนว่าเด็กคนนี้แบกรับไว้มากเกินไป เท่าที่เจ้าเล่ามา ในเมื่อเขากระโดดหน้าผาลงไปพร้อมเจ้า ตัวเจ้าไม่เป็นไร เขาก็ต้องไม่เป็นอะไรด้วยเช่นกัน น่าจะถูกใครช่วยเอาไว้แล้ว”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ฝ่าบาทเสด็จมายังจวนจงหย่งโหวครั้งนี้ เมื่อผ่านประตูเข้ามาก็ตรัสว่าเสียดายความสามารถของหลินซี อยากให้เขาไปติดตามข้างพระวรกายพระองค์ หลินซีอ้างเหตุผลว่ารัชทายาททรงมอบเขาให้เจ้าแล้ว ชีวิตของเขาต้องมีเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจแทน เจ้าคิดว่าอย่างไร” จงหย่งโหวถามอีก
เซี่ยฟางหวามองเซี่ยหลินซี พบว่าเขาเม้มปากเล็กน้อย นางจึงยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้มีเรื่องน่ากังวลมากมาย พี่หลินซีอย่าไปไหนทั้งนั้นเลยดีกว่า ยิ่งข้างพระวรกายฝ่าบาทก็ยิ่งห้ามไป บางทีวันหนึ่งหากเข้าไปมีส่วนร่วมในงานราชสำนัก ถูกม้วนเข้าไปแล้วจะถอนตัวออกมาลำบาก ข้าว่ารอให้สถานการณ์มั่นคงก่อน หากพี่หลินซีมีความคิดอยากเข้าราชสำนัก ค่อยคิดตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“ตอนนี้ข้ายังไม่คิดเข้าราชสำนัก น้องฟางหวาพูดถูกแล้ว ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” เซี่ยหลินซีพยักหน้า
“วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาที่จวนจงหย่งโหวก็เพราะเจ้าใช่ไหม ทรงเรียกเจ้าเข้าวัง แต่เจ้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงเสด็จมาหาเจ้าที่นี่แทน” จงหย่งโหวมองไปยังฉินเจิง “ฝ่าบาททรงอยากพบเจ้าด้วยเรื่องใด พูดได้หรือไม่”
ฉินเจิงตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ใช่เพราะเรื่องคดีพวกนั้นหรือ อยากให้ข้าเร่งปิดคดีให้ได้โดยเร็ว อย่าล่าช้าไปนานกว่านี้” พูดจบก็แค่นเสียงแผ่วเบา “เห็นข้าเป็นตี๋เหรินเจี๋ย*[1]รึ”
จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวต่อ “เพื่อบ้านเมืองหนานฉิน เจ้าจำเป็นต้องปิดคดีโดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวงจำต้องมีคำอธิบายโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงให้ราชสำนัก ราษฎรจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ตั้งแต่เกิดคดีหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกสังหารต่อเนื่องกัน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างอกสั่นขวัญหายตลอดหลายวันนี้”
ฉินเจิงไม่พูดจา
“ในเมื่อหวาเอ๋อร์ฟื้นแล้วก็ต้องบำรุงร่างกายให้ดี ส่วนเจ้า หลังกินข้าวเสร็จแล้วก็รีบไปสะสางงานได้แล้ว รัชทายาทไม่อยู่ในราชสำนัก องค์ชายแปดก็ยังอายุน้อยมาก เรื่องบางอย่างหากเจ้าไม่ทำตอนนี้ใครจะทำแทน ใต้เท้าหานเป็นขุนนางที่ดี ควรเร่งหาตัวฆาตกรเพื่อปลอบขวัญวิญญาณเขาบนสวรรค์” จงหย่งโหวมองไปยังเซี่ยฟางหวาแล้วกล่าวต่อ
ฉินเจิงผงกศีรษะ
เวลานี้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเข้ามา จงหย่งโหวจึงหยุดพูด
เซี่ยฟางหวาแม้เพิ่งฟื้นขึ้นมาทว่าก็ไม่ได้รู้สึกหิว กินข้าวต้มไปถ้วยหนึ่ง พร้อมผักอีกสองคำก็วางตะเกียบลงแล้ว
“กินน้อยถึงเพียงนี้?” ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว
“นางเพิ่งฟื้น ไม่ควรกินมาก ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน” จงหย่งโหวบอก
ฉินเจิงไม่ว่าอะไรอีก
เมื่อกินอาหารเสร็จ เวลายังไม่ถึงยามอู่**[2]
จงหย่งโหวยกมือไล่ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาให้รีบกลับจวนอิงชินอ๋อง
“ท่านปู่ ข้าจะอยู่อีกหนึ่งวัน” เซี่ยฟางหวาไม่อยากกลับ นั่งนิ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา
“มีอะไรน่าอยู่รึ” จงหย่งโหวยกมือไล่
“ข้าอยากคุยกับท่าน” เซี่ยฟางหวามองเขา
“ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูด” จงหย่งโหวตอบ
เซี่ยฟางหวาถลึงตามอง พบว่าเขามีท่าทียืนกรานว่าจะไล่นางกลับ นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างกลุ้มใจ “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน”
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเสียตอนนี้” จงหย่งโหวมองนาง
เซี่ยฟางหวาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนคลึงหว่างคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าทำให้ท่านไม่พอใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าเพิ่งฟื้นมา ท่านก็เอาแต่ไล่ข้า”
“เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าเด็กบ้านี่ก็ไม่ยอมกลับ นานเท่าไรแล้วที่ฝ่าบาทไม่เสด็จออกจากวังหลวง เพื่อพวกเจ้าถึงกับเสด็จมาที่จวนโหวเอง” จงหย่งโหวกระดกเครา “พี่ชายเจ้าไม่อยู่ เจ้าออกเรือนไปแล้ว กว่าจวนจงหย่งโหวจะได้อยู่อย่างสงบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พอเจ้ามาถึงก็นำมาซึ่งคนมากมาย”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลงครู่หนึ่ง “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะคุยกับท่านตอนนี้”
จงหย่งโหวพยักหน้า
“ข้าคิดว่าในเมื่อท่านถอนตัวออกมาตั้งแต่สามปีก่อน ตอนนี้อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่สนใจการบริหารราชสำนัก ตอนนี้ท่านลุงเองก็ถอดเกราะกลับมาแล้วเช่นกัน พี่หลินซีก็ยังไม่คิดจะเข้าราชสำนักตอนนี้ เพื่อท่านพี่กับข้า ท่านถึงไม่ได้ออกจากจวนมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ข้าออกเรือนแล้ว ท่านพี่ก็ไปม่อเป่ยระยะหนึ่ง ไม่มีทางได้หมั้นหมายในเวลาอันใกล้นี้ เช่นนั้นท่านถือโอกาสนี้ออกไปท่องเที่ยวไม่ดีกว่าหรือ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น
จงหย่งโหวชะงักไป
“หวาเอ๋อร์ เจ้าจะให้โหวเหยผู้เฒ่าออกจากเมือง” ชุยอวิ่นแปลกใจเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่ท่านปู่ แต่ท่านลุงกับพี่หลินซีก็ด้วย พวกท่านสามคนไปด้วยกัน” เซี่ยฟางหวาบอก
ชุยอวิ่นแปลกใจยิ่งกว่าเดิม มองไปยังเซี่ยหลินซี พบว่าเขาเองก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาจึงเอ่ยถามขึ้น “เพราะเหตุใด อยู่ในจวนก็ดีอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ในเมืองเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งจวนจงหย่งโหวอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่จับตามอง ข้าคิดว่าหากท่านปู่ออกไปท่องเที่ยว หลีกหนีจากความวุ่นวายน่าจะดีกว่า ถึงอย่างไรตระกูลเซี่ยก็แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว ท่านพี่ก็ได้เป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักแล้วเช่นกัน มีคนรับช่วงต่อแล้ว ท่านปู่อายุมากขึ้นทุกวัน ต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวนก็น่าเบื่อแย่ ท่านลุงอยู่พรมแดนมาหลายปี รู้จักเพียงแค่ม่อเป่ย ไม่รู้ว่าใต้หล้ามีทิวทัศน์มากน้อยเพียงใด พี่หลินซีแทบจะไม่เคยห่างจากเมืองหลวงร้อยลี้เลยกระมัง ออกไปเปิดหูเปิดตามีสิ่งใดไม่ดีหรือ” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่พวกเราไปแล้ว ใครจะอยู่ดูแลบ้าน” จงหย่งโหวขมวดคิ้ว
“ข้ายังอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือ จวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวห่างกันแค่ถนนสองสายกั้นเท่านั้น ไม่ได้ไกลอะไร” เซี่ยฟางหวามองเขา “ท่านอยู่แต่ในจวนไม่ได้ออกไปไหนนานเท่าไรแล้ว ไม่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาหรือ อีกอย่างถึงพวกท่านไม่อยู่ ใครจะกล้าขโมยจวนจงหย่งโหวไป”
“เป็นความคิดของเจ้าหรือ” จงหย่งโหวหันไปมองฉินเจิง พบว่าเขาเอาแต่เงียบก็เอ่ยถาม “เจ้าเจิง เป็นความคิดของเจ้าด้วยใช่หรือไม่”
ฉินเจิงยิ้ม “นางเพิ่งฟื้นมา ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าข้าก็คิดว่ามีเหตุผล” พูดจบก็มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง “เพียงแต่เพราะท่านปู่อายุมากแล้ว ออกไปท่องเที่ยวคงลำบากไม่น้อย ใครจะคอยดูแล ยิ่งไปกว่านั้นจะไปท่องเที่ยวที่ใด จะต้องมีจุดหมายปลายทาง”
“ได้ยินว่าทางทิศตะวันออกของหนานฉิน หลังข้ามทะเลไป อีกฟากฝั่งมีดินแดนอยู่ผืนหนึ่ง เป็นสถานที่เลื่องชื่อที่อัจฉริยะบุรุษเคยไป ท่านปู่เคยไปเป่ยฉีแล้ว สถานที่ต่างๆ ในหนานฉินก็เคยไปมาแล้วเช่นกัน คงไม่รู้สึกแปลกใหม่อะไร มิสู้ไปทะเลบูรพา ข้ามทะเลไปเยือนโลกภายนอกดู ถึงอย่างไรอายุยิ่งมาก บั้นปลายชีวิตหากได้เปิดหูเปิดตาให้มากจะได้ไม่ต้องเสียดายชีวิตนี้” เซี่ยฟางหวาตอบ
“มีแค่คำเล่าลือกันว่าข้ามทะเลบูรพาไปแล้วมีดินแดนอีกผืนหนึ่ง หรือว่าเป็นความจริง” จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็ดูสนใจ
“ท่านปู่ลองไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่พิสูจน์ดู ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่” เซี่ยฟางหวาตอบ
จงหย่งโหวหันไปมองชุยอวิ่น
“ฟังว่าทะเลบูรพาใหญ่มาก น้อยคนนักจะไปเยือน เราจะไปได้จริงหรือ แล้วจะไปอย่างไร” ชุยอวิ่นก็ดูสนใจบ้างเช่นกัน
“นั่งเรือสิ” เซี่ยฟางหวาตอบ “เรือที่หุ้มด้วยเหล็กชั้นดีจะล่องในทะเลได้ ฟังว่าหนึ่งเดือนก็ถึงแล้ว ไม่เห็นว่าจะยากลำบากนัก”
“หากไปทะเลบูรพาได้จริง ข้าก็อยากลองไปดูเช่นกัน” เซี่ยหลินซีเองก็กระตือรือร้นขึ้นมา
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมีความคิดเช่นนี้” จงหย่งโหวลูบเครา ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “เขาไม่ยอมให้ข้าคิดมาก แต่ข้าจะทนไหวได้อย่างไรกัน การปกป้องจวนจงหย่งโหวเป็นความหนักใจของข้าตลอดมา ตอนนี้ท่านพี่ไปม่อเป่ยแล้ว ข้าจึงอยากดูแลท่านให้ดีกว่านี้” หยุดชั่วครู่ก่อนพูดตามความจริง “ยิ่งไปกว่านั้น สามปรมาจารย์เขาไร้นามยังไม่ตาย ครั้งนี้ถูกข้าวางเพลิงทำร้ายไปหนึ่งท่าน ย่อมต้องโกรธแค้นมากเป็นแน่ หากท่านปู่ออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ดีกว่าอยู่ในจวนจงหย่งโหวตลอดเวลา”
จงหย่งโหวพยักหน้า
“หากจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ยไม่ได้คุกคามอำนาจราชสำนัก เช่นนั้นฝ่าบาทจะยังทรงคิดกำจัดจวนจงหย่งโหวอีกหรือไม่ ไม่แน่นอนกระมัง ดังนั้นมิสู้ปล่อยจวนจงหย่งโหวทิ้งร้าง ท่านปู่ปลีกวิเวกไปเสีย” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก
จงหย่งโหวไตร่ตรองพักหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองฉินเจิง “เจ้าคิดเช่นไร”
“โลกภายนอกกว้างใหญ่ ข้าเองก็อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเราจะได้ไปตอนไหน ท่านปู่ไปเสาะหาเส้นทางแทนเราก่อนก็ดี” ฉินเจิงยิ้มตอบ
จงหย่งโหวหันไปมองชุยอวิ่นกับเซี่ยหลินซี
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
“ก็ได้ แล้วแต่เจ้า แต่จะเดินทางเมื่อไร” จงหย่งโหวบอกเซี่ยฟางหวา
“ท่านปู่แอบจัดสรรจวนก่อน อย่ากระโตกกระตาก รอข้ามาจัดการเถอะ” เซี่ยฟางหวาตอบ
“เจ้าจะใช้สมองอีกแล้ว?” จงหย่งโหวกระดกเครา
“ข้าจัดการเองดีกว่า” ฉินเจิงบอก
“ใช้สมองอะไรกัน ขอเพียงปกป้องจวนจงหย่งโหวไว้ได้ ท่านปู่ ท่านลุง ท่านพี่ พี่หลินซีและคนอื่นๆ ปลอดภัย ต่อไปข้าก็คงไม่ต้องวิตกกังวลเกินเหตุแล้ว” เซี่ยฟางหวาหันมามองฉินเจิง “เจ้าจัดการเรื่องคดีให้เต็มที่เถอะ วางใจได้ เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันในชาตินี้ ข้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดีแน่นอน ไม่ประมาทอีกแล้ว”
ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยนาง “ก็ได้ เจ้าจัดการเถอะ”
*ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถัง เป็นขุนนางที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม สามารถพิพากษาคดีความได้โดยที่ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
**ยามอู่ คือ ช่วงเวลา 11:00 น. – 13:00 น.
ตอนที่ 61 สองร้อยปีก่อน
ความคิดจะให้จงหย่งโหว ชุยอวิ่น และเซี่ยหลินซีออกไปท่องโลกภายนอกได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยฟางหวากับฉินเจิงนั่งคุยสัพเพเหระกับทั้งสามต่อพักหนึ่ง ก่อนจะถูกจงหย่งโหวไล่ออกจากจวน
เมื่อออกมาหน้าประตูใหญ่จวนจงหย่งโหว เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองป้ายเดินทองด้วยสายตาซึ่งแฝงไปด้วยความเจ็บปวด
ฉินเจิงกุมมือนางไว้แน่น
เซี่ยฟางหวาสลัดความเสียใจทิ้งไป หันกลับมาพึมพำใส่ฉินเจิงด้วยความไม่พอใจ “ข้าทำผิดต่อท่านปู่ ทำผิดต่อจวนจงหย่งโหว เมื่อท่านปู่ออกเดินทางแล้ว หลังจากนี้หากไม่มีเรื่องใด ข้าก็จะไม่กลับมาอีก”
“ภรรยาที่ไม่อยากกลับบ้านเดิมถึงจะเป็นภรรยาที่ดี หลังจากนี้เจ้าอาศัยที่เรือนลั่วเหมยให้สบายใจเถอะ ที่นั่นต่างหากที่เป็นบ้านของเจ้า” ฉินเจิงลูบศีรษะนางด้วยรอยยิ้มขำ
“ไม่ใช่บ้านของเราหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา
“อืม เป็นบ้านของเรา” ฉินเจิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ
เซี่ยฟางหวาวาดมือกอดเอวเขา แนบลำตัวเข้าหาแผ่นอก เอ่ยเรียกเสียงทุ้ม “ฉินเจิง”
“หืม” ฉินเจิงขานรับแล้วมองนาง “มากอดกันกลางวันแสกๆ เช่นนี้มีคนมองอยู่นะ ไม่กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะเอาหรือ”
“ไม่กลัว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ตั้งแต่เมื่อไรกันที่หนังหน้าข้าไม่ได้หนาเท่าเจ้าแล้ว นี่จะทำเช่นไรดี” ฉินเจิงหัวเราะ
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองด้วยสายตาไม่พอใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตารอบด้านมองมาก็ผละตัวออกจากแผ่นอกเขาอย่างเหนียมอาย ก่อนจับมือเขาลากขึ้นรถม้า
ม่านปิดลง บังพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่กำลังป้องปากลอบยิ้ม
รถม้าเคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูจวนจงหย่งโหว มุ่งหน้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง
ฉินเจิงเอนหลังนั่งพิงผนังรถอย่างสบายอารมณ์ เซี่ยฟางหวาพิงตัวเขาอย่างเคยชินเฉกเช่นเมื่อก่อน วางศีรษะหนุนตักเขา เอนตัวนอนราบอย่างเกียจคร้านเช่นเดียวกัน พลางเงยหน้ามองเขา
ฉินเจิงลูบใบหน้าเซี่ยฟางหวาแผ่วเบา ไล้ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงเรือนร่าง ปลายนิ้วนุ่มนวลทิ้งกระแสไออุ่น แววตาทอประกายอ่อนโยนดั่งผืนน้ำ
เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาตาไม่กะพริบราวกับมองอย่างไรก็ไม่พอ ใบหน้าหล่อเหลาหมดจด แววตาอบอุ่นอ่อนโยน ภายในนั้นมีแค่นางเพียงผู้เดียว
ผ่านไปครู่หนึ่งฉินเจิงก็โน้มศีรษะลงมา ประทับจุมพิตลงบนมุมปากนางแผ่วเบา
เซี่ยฟางหวายกสองมือโอบรอบลำคอเขา กลีบปากบางเปิดออกเนิบนาบ น้อมรับจุมพิตจากเขา
หลากอารมณ์เกาะกุมกัน อ่อนโยนอาลัยด้วยรัก
จุมพิตจบลง ทั้งคู่สบตามองกันด้วยอารมณ์แปรปรวน ลมหายใจของเซี่ยฟางหวายุ่งเหยิง ยกมือสอดเข้าไปใต้อาภรณ์ของฉินเจิง ลากมือผ่านคล้ายไม่รู้ตัว
ลมหายใจของฉินเจิงประเดี๋ยวบางเบาประเดี๋ยวหนักแน่น แววตาค่อยๆ มืดครึ้ม ทันใดนั้นก็ตะครุบมือของเซี่ยฟางหวาเอาไว้แล้วดึงออกมา เอ่ยขึ้นด้วยลำคอแห้งผาก “ถ้าเจ้ายังซนต่อไปเช่นนี้ ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้อยากให้เจ้าอดทน” เซี่ยฟางหวาช้อนตามองด้วยความหลงใหล เอ่ยเสียงกระซิบ
ฉินเจิงหายใจติดขัด จับมือนางไว้แน่น กัดฟันเอ่ยขึ้น “ตรงนี้คือรถม้า”
เซี่ยฟางหวาหน้าเห่อร้อนเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำใด หากแต่มองเขาด้วยความนุ่มนวล
ฉินเจิงพลันโน้มศีรษะลงมาอีกครั้ง มอบจุมพิตอันร้อนแรงให้นางครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนมือไปปิดดวงตานางไว้ ฝ่ามือบดบังใบหน้านางไว้มากกว่าครึ่ง ลมหายใจของเขายุ่งเหยิงอย่างยิ่ง “ถ้าไม่ใช่ว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง เพิ่งฟื้นมาเมื่อครู่ ต่อให้ต้องรีบกลับจวน ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไว้เป็นแน่”
“ร่างกายข้าไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น…” เซี่ยฟางหวากัดปาก เอ่ยเสียงเบา
“เจ้าจงบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเสีย อย่าคิดจะทำให้ข้าตกใจอีก” ฉินเจิงควบคุมเปลวเพลิงที่ใกล้จะปะทุในทรวงอก เอ่ยเตือนด้วยลำคอแห้งผาก
เซี่ยฟางหวาถอนหายใจ กลับมานอนนิ่งอย่างเชื่อฟัง
ผ่านไปพักหนึ่ง ลมหายใจของฉินเจิงก็กลับมานิ่งสงบได้ดังเดิม มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ดีที่สุดว่าจะทรมานข้าอย่างไร”
“ข้าแค่คิดถึงเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาแย้งกลับ
จิตใจของฉินเจิงพลันปั่นป่วน ลมหายใจกลับยุ่งเหยิงขึ้นอีกพักหนึ่งกว่าจะสะกดกลั้นได้ ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดแล้ว”
เซี่ยฟางหวาหยุดพูด
ฉินเจิงก็ไม่เอ่ยคำใดอีก
ความเงียบสงัดอันน่าประหลาดโรยตัวขึ้นในรถม้า
ผ่านไปพักหนึ่งรถม้าก็หยุดลง ซื่อฮว่าเอ่ยขึ้นจากข้างนอก “ท่านอ๋องน้อย คุณหนู ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”
นางเพิ่งพูดจบ เสียงของพระชายาอิงชินอ๋องก็ดังขึ้นมา “หวาเอ๋อร์เพิ่งฟื้น ไฉนถึงรีบกลับจวน ข้าได้ยินคนส่งข่าวบอกยังไม่เชื่อ รีบออกมาดู ที่แท้เป็นเรื่องจริง”
เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงพระชายาอิงชินอ๋องก็รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือจัดทรงผมทันที
ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา
เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหัวเราะก็ตวัดตามองเขา พบว่าเขากำลังพิงผนังรถมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความขำขันอย่างยิ่ง
“เจ้าหัวเราะอะไร” เซี่ยฟางหวาถาม
ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า กวักมือเรียกนาง “ขยับมานี่ ข้าจะช่วยเอง”
เซี่ยฟางหวาขยับเข้าหาทันที
ฉินเจิงขยับมือด้วยความคล่องแคล่ว ขยับปักมวยผมที่เบี้ยวตอนนางนอนให้เป็นระเบียบแผ่วเบา จากนั้นก็เลิกม่านขึ้น กระโดดลงจากรถม้าก่อน แล้วส่งมือมาดึงนางลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล
หน้าจวนอิงชินอ๋องมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ พระชายาอิงชินอ๋องอยู่ข้างหน้าสุด ตามมาด้วยสี่ซุ่น และพวกชุนหลัน
“ท่านแม่” ฉินเจิงเอ่ยเรียกอย่างเกียจคร้าน
“ท่านแม่” เซี่ยฟางหวาเหม่อลอยไปพักหนึ่งก่อนเรียกตาม
“ไฉนถึงไม่อยู่จวนโหวต่ออีกสักหน่อย” พระชายาอิงชินอ๋องจับมือเซี่ยฟางหวาพลางสำรวจมอง
เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ว่ามือนางอบอุ่นยิ่ง นางส่ายหน้าตอบ “ท่านปู่ไม่ชอบที่ข้าสร้างปัญหาเพิ่มให้เขา พอฟื้นก็รีบไล่ข้ากลับมา”
“โหวเหยผู้เฒ่านี่จริงๆ เลย” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “กลับมาก็ดีแล้ว ข้ายังเป็นห่วงไม่หาย เดิมตั้งใจว่าพอกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วค่อยหาเจ้าที่จวนโหวว่าเป็นเช่นไรบ้าง ตอนนี้เจ้าฟื้นมาก็ดีแล้ว” พูดพลางก็จูงมือนางเดินเข้าไปข้างใน
เซี่ยฟางหวาถอนมือฉินเจิงออก ปล่อยให้พระชายาอิงชินอ๋องจูงมือเดินเข้าไปข้างใน
นางเดินผ่านประตูใหญ่จวนอิงชินอ๋องมาแล้วหลายครั้ง มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างแตกต่าง
“รู้สึกเช่นไรบ้าง ยังสบายดีใช่ไหม” พระชายาอิงชินอ๋องเป็นห่วง
“ท่านอย่ากังวลเลย หลายวันก่อนเหนื่อยล้าเกินไปบ้างเท่านั้น หมอหลวงวินิจฉัยเกินจริง ข้ารู้วิชาแพทย์ พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดีแล้ว ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“เช่นนั้นก็ดี สตรีอย่างเราต้องถนอมร่างกายตัวเอง” พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนาง พูดด้วยความคลุมเครือ “ถ้าไม่ระวังตอนนี้ อนาคตจะเสียใจ”
“ท่านวางใจเถอะ ข้าทราบดี ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้” เซี่ยฟางหวาเข้าใจความหมายดี ยิ้มพลางพยักหน้า
“เช้านี้ฝ่าบาทเสด็จไปยังจวนจงหย่งโหว ทรงคุยเรื่องใดกับเจ้า” พระชายาอิงชินอ๋องหันกลับมามองฉินเจิงแวบหนึ่ง
“เรื่องคดี” ฉินเจิงตอบ
“เร่งเจ้ารีบปิดคดีหรืออย่างอื่น” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“ทั้งหมด” ฉินเจิงตอบเสียงเรียบ
พระชายาอิงชินอ๋องกำลังจะพูดอีก ทว่ามองซ้ายขวาแล้วก็เปลี่ยนคำพูด “ถึงเรือนหลักแล้วค่อยคุยกัน”
ฉินเจิงพยักหน้า
เมื่อมาถึงเรือนหลัก ข้ามธรณีประตูเข้ามา อิงชินอ๋องกำลังรออยู่ในห้องรับรองก่อนแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับมาก็พินิจมองทั้งคู่อย่างถี่ถ้วน ก่อนพูดกับเซี่ยฟางหวาด้วยความละมุนละม่อม “สตรีไม่ควรเป็นกังวลมากเกินเหตุ จากนี้พักรักษาตัวให้หายดี อย่าได้บุ่มบ่ามอีกเลย”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“พอได้ยินว่าเจ้าหมดสติไป ท่านอ๋องก็เป็นห่วงเจ้าอย่างยิ่งเช่นกัน เพียงแต่เขาประกาศต่อภายนอกว่าพักรักษาอาการป่วยในจวน ไม่สะดวกออกไปเยี่ยมเจ้าที่จวนโหว” พระชายาอิงชินอ๋องจูงเซี่ยฟางหวามานั่งแล้วยิ้มกล่าว
“ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวายิ้ม
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า มองไปยังฉินเจิง “แม่เจ้าเล่าเรื่องสามปรมาจารย์เขาไร้นามให้ข้าฟังแล้ว”
ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“เขาไร้นามแม้ถูกทำลายไปแล้ว ข่าวที่ได้รับกลับมาคือไม่เหลือผู้รอดชีวิต ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้สามปรมาจารย์กลับยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตลอดเวลา ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าจะกำลังวางแผนในสิ่งที่พวกเราไม่รู้อยู่” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม
ฉินเจิงไม่พูดจา
เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน
“ข้าได้ยินแม่เจ้าบอกว่า ฉือเฟิ่งมาเพื่อชิงตำราเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีในมือเจ้า” อิงชินอ๋องมองเซี่ย
ฟางหวาแล้วถามขึ้น
“เขาต้องการให้ข้ามอบตำราเคล็ดวิชาให้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“นึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์เขาไร้นามก็ต้องการเคล็ดวิชาล้ำค่าของเผ่าภูตผี เพื่อสิ่งใดกันแน่ ข้าไตร่ตรองดูแล้ว คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองร้อยปีก่อน” อิงชินอ๋องกล่าว
“ท่านพ่อหมายถึงเหตุการณ์ใดในอดีต” เซี่ยฟางหวามองอิงชินอ๋อง
“เป็นเหตุการณ์ที่นานมาแล้ว ข้าแค่เคยได้ยินจากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มาเล็กน้อย” อิงชินอ๋องตอบ “และเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยด้วย”
เซี่ยฟางหวายืดหลังตรงฉับพลัน มีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ในอดีตที่อิงชินอ๋องเอ่ยถึงนั้น นางเองก็พอทราบมาบ้างเช่นกัน
“สองร้อยปีก่อน ตระกูลเซี่ยให้กำเนิดผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาดั่งสวรรค์ประทานให้ มีนามว่าเซี่ยหลิงหยวน เป็นลูกหลานทายาทสายตรงในตระกูลเซี่ย” อิงชินอ๋องมองนาง “เจ้าน่าจะรู้จักเขา หรือก็คือพระอาจารย์หุยเจวี๋ยที่ตอนนี้ยังถูกผู้คนเอ่ยถึงและได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ หลังเขามรณภาพไป ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนอาภรณ์ ทั้งแผ่นดินต่างพากันร่ำไห้”
“ข้ารู้จักเขา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“พระอาจารย์หุยเจวี๋ยคัดลอก ‘คัมภีร์หฤทัยสูตร’ ไว้เล่มหนึ่ง ฟังว่าข้างในคัมภีร์แอบซ่อน ‘ภาพความลับแห่งสวรรค์’ เอาไว้ ฟังว่าหากมองภาพนี้ได้ทะลุปรุโปร่งก็จะสอดแนมความลับแห่งสวรรค์ได้ สามารถคำนวณชะตาบ้านเมืองหนานฉิน และคำนวณสวรรค์ลิขิตของทุกคนได้ด้วย” อิงชินอ๋องกล่าว “แท้จริงแล้วภาพความลับแห่งสวรรค์ไม่ใช่แค่คำนวณชะตาบ้านเมืองหนานฉินได้อย่างเดียว แต่ยังคำนวณชะตาของใต้หล้า และจังหวะสวรรค์ลิขิตของผู้ใดก็ตามได้”
เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง
“เล่าลือกันว่าปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนกับองค์หญิงเผ่าภูตผีมีเยื่อใยต่อกัน ทว่ามีกฎเผ่าภูตผีเป็นอุปสรรคขัดขวาง ดังนั้นจึงไม่เคยได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นคู่รักกันเลย ทั้งคู่ได้มอบของแทนใจอันล้ำค่าที่สุดของแต่ละฝ่ายให้กัน สิ่งที่ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนทรงมอบให้คือนโยบายแผ่นดิน ส่วนองค์หญิงเผ่าภูตผีมอบนิทานสุภาษิตเหมืองทองคำให้ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อน ราษฎรได้ยินว่าเป็นทองคำก็มีการเคลื่อนไหว ไหนเลยจะรู้ว่าเหมืองทองคำนั้นเป็นแค่เรื่องโกหกหลอกลวง คำทำนายต่างหากที่เป็นเรื่องจริง สิ่งที่คำทำนายบอกไว้ไม่ใช่เหมืองทองคำ แต่เป็น ‘ภาพความลับแห่งสวรรค์’ ต่างหาก” อิงชินอ๋องกล่าว
“เป็นภาพความลับแห่งสวรรค์ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์หฤทัยสูตรของพระอาจารย์หุยเจวี๋ยหรือ” เซี่ยฟางหวามึนงงไปเล็กน้อย
“ถูกต้อง” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ “ต่อมาระหว่างองค์หญิงเผ่าภูตผีเดินทางกลับก็เสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ นโยบายแผ่นดินภาษาสันสกฤตผีกับเหมืองทองคำทำนายจึงไม่รู้ว่าหล่นหายไปที่ใด”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก
“กระทั่งหนานฉินก่อตั้งราชวงศ์ ตระกูลเซี่ยให้กำเนิดอัจฉริยะบุรุษ พระอาจารย์หุยเจวี๋ยเป็นที่จับตามองของทุกคน” อิงชินอ๋องเล่าต่อ “ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนกับอักษรสันสกฤตผีตกอยู่ในมือเขา ของล้ำค่าเช่นนี้ย่อมเขย่าขวัญราชสำนักหนานฉินกับราชสำนักเป่ยฉี กระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่วัดฝ่าฝอซื่อ พระอาจารย์หุยเจวี๋ยมรณภาพลงฉับพลัน ของล้ำค่าสองสิ่งนี้ลือกันว่าหายเข้ากลีบเมฆไปพร้อมกับเขาด้วย”
“แต่ราชสำนักทั้งสองดินแดนไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างราษฎร ต่างคิดว่าทั้งสองสิ่งอยู่ที่ตระกูลเซี่ย ถึงอย่างไรพระอาจารย์หุยเจวี๋ยก็เป็นคนตระกูลเซี่ย” เซี่ยฟางหวาสมทบ
“มีการคาดการณ์เช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า
“ดังนั้นราชสำนักหนานฉินจึงระแวดระวังตระกูลเซี่ยตลอดมา ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าตระกูลเซี่ยจงรักภักดีต่อบ้านเมือง ทว่ายังคิดหาทางกำจัดทิ้ง นอกจากตระกูลเซี่ยเจริญรุ่งเรืองและมีลูกหลานมากพรสวรรค์มากมายแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งคือนโยบายแผ่นดินภาษาสันสกฤตผีกับภาพความลับแห่งสวรรค์” เซี่ยฟางหวากล่าว “นอกจากภาพความลับแห่งสวรรค์ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์หฤทัยสูตรของพระอาจารย์หุยเจวี๋ยแล้ว ความจริงนโยบายแผ่นดินก็ไม่เห็นว่าจะเป็นนโยบายแผ่นดินที่แท้จริงตรงไหน”
“เจ้ายังรู้อะไรมาอีก” อิงชินอ๋องมองเซี่ยฟางหวาด้วยความมึนงง
“ข้าไม่ทราบ เพียงคิดว่าก็แค่นโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนเท่านั้น ไม่ควรถึงกับต้องดึงดูดความขัดแย้งจากหลายฝ่าย ในนั้นต้องมีความลับเป็นแน่ โดยเฉพาะนโยบายราชวงศ์ก่อนที่เขียนด้วยอักษรสันสกฤตผี” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“อาจจะกระมัง” อิงชินอ๋องพยักหน้า “ตอนนั้นเพื่อนโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนกับภาพความลับแห่งสวรรค์ ปรมาจารย์จากภูเขาลับทั้งสามลูกก็มีการเคลื่อนไหว สุดท้ายเมื่อเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ที่วัดฝ่าฝอซื่อ ปรมาจารย์จากภูเขาลับทั้งสามลูกก็ไม่รอดชีวิตกลับมาสักราย ตายไปพร้อมกับพระอาจารย์หุยเจวี๋ยทั้งหมด”
“มีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาตกใจ
“นี่เป็นความลับทางราชสำนักของราชวงศ์ปัจจุบัน ข้าเคยได้ยินอดีตฮ่องเต้กับเสด็จแม่เอ่ยถึงเลือนราง” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“หวาเอ๋อร์บอกว่าตำราเคล็ดวิชาในมือนางนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเขาไร้นาม ส่วนหนึ่งมาจากหอเก็บตำราในราชสำนัก ส่วนหนึ่งมาจากจวนจงหย่งโหว หรือว่าทั้งสามส่วนนี้มีที่มาความลับบางอย่าง” เวลานี้พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้น
“น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน บางทีสิ่งที่บันทึกไว้ในนโยบายแผ่นดินคือเคล็ดวิชาต้นฉบับก็ไม่อาจล่วงรู้ได้” อิงชินอ๋องส่ายหน้า กล่าวอย่างคลุมเครือ
“หวาเอ๋อร์ เจ้าจำตำราเคล็ดวิชาได้ขึ้นใจแล้วจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องหันมาถามเซี่ยฟางหวา
“ไม่ใช่แค่ตำราเคล็ดวิชาเท่านั้นที่ข้าจำได้ขึ้นใจ แต่คัมภีร์หฤทัยสูตรที่พระอาจารย์หุยเจวี๋ยคัดลอกไว้ข้าก็ได้อ่านมาแล้วเช่นกัน หลังอ่านจบก็เผาทิ้งไปในเปลวเพลิงแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
อิงชินอ๋องกับพระชายาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ
“เป็นความจริง” เซี่ยฟางหวาย้ำ “คืนวันสิ้นปี ข้าเคยไปวัดฝ่าฝอซื่อมาก่อน ขณะที่ฝ่าบาททรงส่งคนไปนำคัมภีร์หฤทัยสูตรกลับมา ข้าก็แย่งมันมาได้เสียก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “คนที่ไปกับข้าด้วยคือหลี่มู่ชิง เขาเห็นกับตาว่าข้าทำลายมันไปแล้ว เป็นพยานได้”
อิงชินอ๋องกับพระชายาทอดถอนใจขึ้นมา หันไปมองฉินเจิง
“ทำลายไปก็ดีแล้ว ของทำร้ายผู้อื่นแบบนั้น เก็บไว้ก็มีแต่จะสร้างหายนะเปล่าๆ” ฉินเจิงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เฉยเมยดังเดิม
อิงชินอ๋องกับพระชายามองหน้ากัน ไม่เอ่ยคำใด
“ท่านพ่อหมายความว่า ไม่ใช่แค่สามปรมาจารย์เขาไร้นามเท่านั้น ยังมีภูเขาลับอีกสองลูกที่ต้องการของสองสิ่งนี้ตลอดมา ยามนี้พอทราบว่าของสองสิ่งอยู่ในมือข้า ต้องทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อให้ได้มันเป็นแน่ ทว่าถ้าพวกเขาได้มันไปแล้วจะทำสิ่งใด ต้องการราชสำนักหนานฉิน หรือมีแผนการของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาในตอนนี้ยังจงรักภักดีต่อราชสำนักหนานฉินหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง
“ช่วงนี้ข้าไม่ได้เข้าวังไปพบฝ่าบาท ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้หรือยัง ยังควบคุมสายลับจากภูเขาลับได้หรือไม่…” อิงชินอ๋องส่ายหน้า มองไปยังฉินเจิง “วันนี้เจ้าได้พบฝ่าบาท มองออกหรือไม่ว่าฝ่าบาททรงมีความคิดเช่นไร”
“ตั้งแต่เขาไร้นามถูกทำลายลงก็ไม่มีข่าวคราวจากภูเขาลับสองลูกอีกเลย” ฉินเจิงตอบเสียงเรียบ “พอฉินอวี้กลับจากขุดลอกคูคลอง พระองค์ทรงเตรียมจะสละบัลลังก์”
ตอนที่ 62 แดงชาดจากลั่วเหมย
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองฉินเจิง พบว่าสีหน้าเขาเรียบนิ่งจนสังเกตอารมณ์ใดไม่ออก
ฝ่าบาทจะทรงสละบัลลังก์?
อดีตกาลแม้มีฮ่องเต้เฝ้ารอให้รัชทายาทดูแลบริหารอำนาจได้ก่อนแล้วค่อยสละบัลลังก์ ทว่าหลายราชวงศ์ที่ผ่านมาก็พบได้น้อยมาก ยามนี้นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงมีเจตนาจะสละบัลลังก์ล่วงหน้าแล้ว เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะพระองค์ทรงชราแล้วจึงควบคุมสายลับราชสำนักไม่อยู่ หรือทรงคิดว่าตนเหลือเวลาอีกไม่มาก จึงอยากมอบให้ฉินอวี้ล่วงหน้าแล้วมองดูบ้านเมืองภายใต้การปกครองของเขา
แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด นี่ก็คุ้มค่าพอให้ผู้คนหลายฝ่ายคาดการณ์วิเคราะห์
“เจ้าพูดอะไร” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยกใหญ่ จากที่เคยนั่งอยู่ก็ผุดลุกขึ้นยืน มองหน้าฉินเจิง
“เสด็จอาตรัสว่าพอฉินอวี้กลับจากขุดลอกคูคลองแล้ว พระองค์ตั้งใจว่าจะสละบัลลังก์” ฉินเจิงมองอิงชินอ๋องแล้วบอกซ้ำ
อิงชินอ๋องมองเขาอย่างไม่เชื่อ
“ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้จริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องก็แปลกใจเช่นกัน ถามด้วยความข้องใจ
“ข้าจะโกหกได้หรือ พระองค์ทรงบอกเช่นนี้จริง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ
“เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องถามต่อ
“ท่านพ่อ ท่านใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วบ้างหรือไม่ สังขารไม่อำนวยต่อเรื่องบางอย่างแล้ว” ฉินเจิงมองอิงชินอ๋องอย่างสบายอารมณ์
อิงชินอ๋องชะงักไป ครู่ต่อมาก็พยักหน้ารับอย่างหมดเรี่ยวแรง
“เสด็จอาก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน” ฉินเจิงบอก “พระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ สังขารก็ไม่อำนวยแล้วเช่นกัน”
อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงเชื่องช้า
“ฝ่าบาททรงสละบัลลังก์เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่อาศัยแค่วาจาของฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว แต่ต้องฟังคำทัดทานจากขุนนางทั้งหมดในราชสำนักด้วยเช่นกัน บอกจะสละบัลลังก์ ครั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่กระทำได้โดยทันที” พระชายามองอิงชินอ๋องแล้วถอนหายใจออกมา
ฉินเจิงไม่พูดจา
“เจ้าเพิ่งฟื้นมา พูดเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าไม่ควรกังวลมากเกินเหตุ แต่ยังดึงเจ้ามาคุยเรื่องนี้อีก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องผินหน้ามองไปยังเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความนุ่มนวล
“ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวาบอก
“สีหน้าเจิงเอ๋อร์ไม่ค่อยดีนัก ตอนเจ้าหมดสติไป เขาต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องยกมือไล่ “สุภาษิตกล่าวว่า เมื่อรถวิ่งมาถึงหน้าภูเขาย่อมมีทางไปต่อ*[1] ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนพัวพันมาจนถึงตอนนี้ หรือเพราะเรื่องฐานะของเจ้า หรือเพราะเรื่องฐานะอื่นก็ตาม ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจแล้ว ฟื้นฟูร่างกายสำคัญกว่ามาก”
เซี่ยฟางหวามองไปยังฉินเจิง พบว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก นางจึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน
ฉินเจิงหาได้เห็นต่างไม่ คว้ามือจูงเซี่ยฟางหวาออกจากเรือนหลักโดยไม่รอช้า
ทั้งคู่ออกจากเรือนหลัก กระทั่งไม่เห็นเงาแล้ว พระชายาถึงกล่าวกับอิงชินอ๋อง “หากฝ่าบาททรงควบคุมสายลับราชสำนักไม่ได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นสายลับราชสำนักคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ คิดแย่งชิงบ้านเมืองหนานฉินอย่างนั้นหรือ”
“ปีนั้นสมัยอดีตฮ่องเต้กับเสด็จแม่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เสด็จแม่เคยเสนอความเห็นเป็นการส่วนตัวกับอดีตฮ่องเต้ว่าควรปิดผนึกภูเขาลับทั้งสามลูกเสีย แต่ภูเขาลับที่เจริญรุ่งเรืองมาพร้อมกับบ้านเมืองหนานฉินจวบจนทุกวันนี้นั้นจะปิดผนึกลงง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ภูเขาลับกับสายลับราชสำนักได้รับการขนานนามว่าเป็นปราการบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของราชสำนักหนานฉิน ไหนเลยจะกำจัดได้ง่ายดายปานนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเป่ยฉีซึ่งมีอำนาจพอๆ กันกับหนานฉินที่คอยจ้องเขมือบอยู่ตลอดเวลา หากหนานฉินสูญเสียปราการนี้ไป เช่นนั้นเป่ยฉีก็จะเข้ารุกราน หนานฉินก็จะมีภัย” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม
“แต่ตอนนี้เล่า เขาไร้นามถูกทำลายลง สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ และคงไม่ฟังพระบัญชาจากฝ่าบาทอีกแล้ว ตอนนี้บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาที่สร้างความโกลาหลวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกเมืองหลวง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ควบคุมไว้ไม่ได้ล่ะก็ ผลลัพธ์เกรงว่าไม่น่าจินตนาการ”
“พวกเขาน่าจะพุ่งเป้ามาที่หวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องบอก “ตอนนี้คอยสังเกตการณ์ไปก่อน รอรัชทายาทกลับมาเถอะ”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
เมื่อฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากเรือนหลัก ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมาเลย เอาแต่กุมมือกันกลับเรือนลั่วเหมย
ทั้งคู่เพิ่งมาถึงหน้าทางเข้าเรือนลั่วเหมย ไป๋ชิงกับจื่อเย่เดิมกำลังคลอเคลียกันบนชิงช้าซึ่งผูกไว้กับกิ่งไม้ เมื่อพวกมันเห็นทั้งคู่กลับมาก็รีบวิ่งเข้ามาหา ตัวหนึ่งกระตุกชายเสื้อคลุมของฉินเจิง ตัวหนึ่งกระตุกชายกระโปรงของเซี่ยฟางหวาพร้อมส่งเสียงร้องระงม
เซี่ยฟางหวาย่อตัวลง ยกมือลูบไป๋ชิง
ฉินเจิงก็ย่อตัวลงเช่นกัน ยกมือลูบจื่อเย่
จิ้งจอกขาวกับเตียวม่วงถูศีรษะเข้ากับฝ่ามือของทั้งคู่ไม่หยุด ปากส่งเสียงร้องคล้ายกับเด็กที่ถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานานแล้วร่ำไห้ต่อทั้งคู่
“หากเรามีลูกแล้วทิ้งเขาไว้ในบ้าน พอพวกเรากลับมา เขาคงเป็นเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ น้อยใจอย่างยิ่ง อ้อนวอนไม่ให้เราทิ้งเขาไว้อีก” เซี่ยฟางหวามองดูเจ้าตัวเล็กทั้งสองก็โพล่งขึ้น
ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองเซี่ยฟางหวา
“เจ้าว่าใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาก็ผินหน้ามองเขาเช่นกัน ถามย้ำเสียงเบา
“อาจจะใช่” ฉินเจิงพยักหน้า
“ฉินเจิง เรามามีลูกกันเถอะ ดีหรือไม่” เซี่ยฟางหวายิ้มบาง
ฉินเจิงมองลึกในนัยน์ตานาง ภายในนั้นราวกับมีทะเลสาบมรกตซ่อนอยู่ ผิวน้ำข้างในสงบนิ่ง เขายกมือลูบศีรษะนาง “เจ้าดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อนเถอะ”
“ร่างกายข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้น มีลูกได้จริงๆ” เซี่ยฟางหวากัดปาก เอื้อมมือดึงแขนเสื้อเขา
ฉินเจิงไม่พูดจา
“ยาของเจ้า ไม่ต้องกินแล้วได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาดึงแขนเสื้อเขาแรงขึ้น
ฉินเจิงขมวดคิ้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้ากินยาห้ามบุตร เพราะกลัวว่าจะทำร้ายสุขภาพข้าจึงให้เหยียนเฉินเขียนใบสั่งยาให้ใช่หรือไม่ ตอนแรกข้ายังไม่รู้ แต่วันนั้นที่ตรวจชีพจรให้เจ้าก็สังเกตพบ วิชาแพทย์ของเหยียนเฉินแม้ล้ำหน้ากว่าข้า แต่ก็ไม่เกินหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น หากข้าตรวจให้ถี่ถ้วนย่อมสังเกตพบ” เซี่ยฟางหวามองเขา
ฉินเจิงเม้มปาก
“ฉินเจิง ข้าอยากมีลูกของเรา เป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่หน้าตาคล้ายเจ้า นิสัยคล้ายเจ้า ไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนคล้ายเจ้าทั้งหมด” เซี่ยฟางหวาขยับเข้าหา
“แล้วเจ้าเล่า” ฉินเจิงมองนาง
“ข้าไม่มีข้อดีอะไร ไม่เหมือนข้าก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา ดึงตัวนางเข้ามาหาแล้วมองนาง “เจ้าไม่มีข้อดีอะไร กลับทำให้ข้าต้องการเพียงเจ้า หากเจ้ามีข้อดี ข้ามีหรือจะไม่ถูกเจ้าทรมานยิ่งกว่านี้”
“ได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาเขย่าข้อมือเขา
“ไม่ได้” ฉินเจิงส่ายหน้า
“เพราะเหตุใด เจ้าไม่อยากมีลูกของเราหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามอง
ฉินเจิงไม่ตอบ กลับดึงนางเดินเข้าไปในห้อง
เซี่ยฟางหวาถูกเขาลากเดินไป แม้จะเอ่ยถามต่ออีกสองครั้ง แต่ก็พบว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถาม นางจึงสะบัดมือเขาออกด้วยความโมโห “ข้าบอกไปแล้ว ข้า…”
“ถึงแม้ร่างกายเจ้ารับไหวก็ไม่ได้” ฉินเจิงหันกลับมา แววตานิ่งขรึม “เจ้าบอกว่า ชาตินี้จะต้องอยู่กับข้าไปจนแก่เฒ่า เช่นนั้นก็ฟังข้าเถอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย”
เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ไม่ส่งเสียงใด
ฉินเจิงเอื้อมมือมาจูงมือนาง
เซี่ยฟางหวาสะบัดออกด้วยความโมโห
ฉินเจิงเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ก็หัวเราะ ยกมือชี้ตัวเอง “ข้าเฝ้าเจ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนนี้เจ้าเพิ่งฟื้นมาย่อมมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง แต่ดูข้าสิ ดูได้ที่ไหนกัน”
เซี่ยฟางหวาเห็นว่าใบหน้าเขาดูอ่อนเพลีย ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดโมโห ปล่อยให้เขาจูงมือเข้าไปในห้อง
ภายในห้องยังเหมือนตอนก่อนที่ทั้งคู่ออกไป สะอาดเรียบร้อยอย่างยิ่ง
ฉินเจิงมองไปยังเตียงแล้วเอ่ยถาม “ฟ้ายังสว่างอยู่ เจ้าจะมานอนกับข้าสักพักหรือว่า…”
“ข้านอนด้วย” เซี่ยฟางหวารีบตอบ
ฉินเจิงพยักหน้า ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วจูงนางไปนอนบนเตียง
ม่านบนเตียงหล่นลง ฉินเจิงหลับตานอน ไม่นานก็ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอออกมา
เซี่ยฟางหวานอนข้างกาย ช้อนตามองเขา กะแล้วว่าคงอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ผล็อยหลับไปแล้ว นางนิ่งมองเขาโดยไม่ละสายตาออกมาแม้แต่ครู่เดียว
ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ยกมือหยิกข้อมืออีกข้างของตัวเองอย่างแรง ความเจ็บแล่นปราดจนนางส่งเสียงร้องแผ่วเบา
“เป็นอะไร” ฉินเจิงตกใจตื่น รีบเอ่ยถามทันที
“ไม่มีอะไร เจ้านอนต่อเถอะ” เซี่ยฟางหวารีบส่ายหน้า หดมือซ่อนในแขนเสื้อ
ฉินเจิงมองนางด้วยความสงสัย
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้ายืนยันแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้านอนต่อเถอะ” พูดจบ เห็นว่าเขาไม่ยอมนอนต่อจึงลุกมายืนข้างหน้าเตียง “ข้าไม่ง่วง ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า ข้าจะไปเขียนใบสั่งยาให้ใหม่ แล้วต้มยามาให้เจ้า”
“มีคนทำงานมากพอแล้ว ไหนเลยต้องให้เจ้าต้มเองด้วย” ฉินเจิงหัวเราะ
“เจ้าก็บอกเองว่าฟ้ายังสว่างอยู่ ข้านอนไม่หลับ แต่เจ้าเหนื่อยล้ามาก เพื่อไม่เป็นการรบกวนเจ้า ออกไปต้มยาก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ ถือเป็นการฆ่าเวลา” เซี่ยฟางหวาลูบตัวเขา “เจ้ารีบนอนเถอะ พอเจ้าหลับแล้วข้าค่อยออกไป”
ฉินเจิงพยักหน้าเป็นการตกลง ก่อนหลับตาลงใหม่
ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินออกมาแผ่วเบา
ซื่อฮว่าเห็นเซี่ยฟางหวาเดินออกมาก็ก้าวมาหา เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู ท่านไม่พักผ่อนหรือ”
“เขาเหนื่อยจึงพักผ่อนอยู่ ข้าเพิ่งตื่นมา ไม่ได้เหนื่อยอะไร” เซี่ยฟางหวาตอบ “ข้าได้ยินว่าตอนอยู่จวน
จงหย่งโหว อู๋เหลียงเป็นคนเขียนใบสั่งยาให้ข้า เอามาให้ข้าดูหน่อย”
ซื่อฮว่าพยักหน้าแล้วส่งใบสั่งยาให้นาง
เซี่ยฟางหวาอ่านดูครู่หนึ่งก็แก้ตัวยาบางชนิด ก่อนส่งคืนให้นาง “ต้มยาตามนี้แทน”
ซื่อฮว่าขานรับ
“ใบสั่งยาของฉินเจิงเล่า” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“อยู่ที่บ่าวเช่นกันเจ้าค่ะ แม้ท่านหมดสติไป แต่สองวันนี้บ่าวก็ทำตามคำสั่งของท่าน กำชับให้ท่านอ๋องน้อยดื่มยาสม่ำเสมอ” ซื่อฮว่ารีบนำออกมา
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ถือใบสั่งยาแล้วแก้ตัวยาบางชนิด “ต้มตามนี้ ต้องดื่มอีกเจ็ดวัน”
ซื่อฮว่าผงกศีรษะ
“ไปกันเถอะ ข้าจะไปห้องครัวเล็กกับเจ้าด้วย” เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินไปยังห้องครัวเล็ก
ซื่อฮว่าเรียกซื่อม่อมากำชับให้นางนำยาไปเปลี่ยน จากนั้นตัวเองก็ตามเซี่ยฟางหวาไปยังห้องครัวเล็ก
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทำอาหาร หลินชีจึงไม่อยู่ที่ห้องครัวเล็ก ข้างในไม่มีผู้ใด
เซี่ยฟางหวาย่อตัวลงก่อไฟในเตา ซื่อฮว่าล้างหม้อต้มยาให้สะอาด ไม่นานซื่อม่อก็นำยากลับมา เมื่อจุดไฟได้แล้ว เซี่ยฟางหวาก็นั่งตรงหน้าเตา หยิบพัดมาพัดขณะรอต้มยา
“ความจริงบ่าวทำเองก็ได้ คุณหนูควรไปพักผ่อน” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา
“ข้าอยู่ในห้องก็รบกวนเขา ออกมาหาอะไรทำดีกว่า” เซี่ยฟางหวามองหม้อต้มยาที่เกิดฟองเดือด พลันหยุดพัดไปชั่วขณะ “ซื่อม่อไปเฝ้าประตู ซื่อฮว่าเอาของที่ไปนำมาจากเมืองผิงหยางออกมาให้ข้าดู”
ซื่อม่อรีบไปเฝ้าหน้าประตูตามคำสั่ง
ซื่อฮว่าหยิบของสิ่งหนึ่งที่ถูกห่อด้วยผ้าออกมาจากอกเสื้อส่งให้เซี่ยฟางหวา ก่อนกระซิบขึ้นว่า “สิ่งนี้หาเจอจากที่อยู่ที่อวี้จั๋วได้ให้ไว้”
เซี่ยฟางหวาคลี่ห่อผ้าออก ข้างในเป็นผ้าไหมหลายทบพับซ้อนกัน นางค่อยๆ เปิดผ้าไหมออก ตัวอักษรที่ถูกบันทึกเอาไว้ข้างในปรากฏแก่สายตา
นางอ่านดูครู่หนึ่งก็มือสั่น ผ้าไหมตกลงบนพื้น ร่างกายสั่นระริก
“คุณหนู” ซื่อม่อมองด้วยความกังวล
เซี่ยฟางหวานั่งเหม่อ มองผ้าไหมบนพื้นอย่างสติล่องลอย
“ท่านเป็นอะไรไปหรือ บันทึกหมาป่านี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา นางรู้สึกได้ว่าตั้งแต่เห็นอวี้จั๋วใช้วิชาคุมหมาป่ากับตาตัวเองวันนั้น คุณหนูก็มักใจลอยบ่อยครั้ง
เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ สายตาคล้ายจับจ้องบนผ้าไหมเนิ่นนานไม่ละสายตา
ซื่อฮว่าไม่เข้าใจ มองเซี่ยฟางหวาด้วยความเป็นห่วง ทว่าไม่กล้ารบกวนนาง
ผ่านไปเนิ่นนาน เซี่ยฟางหวาก็ค่อยๆ โน้มตัวลงเก็บผ้าไหมบนพื้นขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ใช้ปลายนิ้วสัมผัสผ้าไหมแผ่วเบา บนนั้นมีคราบเลือดสีแดงด่างเป็นจุด ดูคล้ายกับดอกเหมยที่ถูกบรรจงวาดลงไป นางนิ่งมองพักหนึ่งแล้วเอ่ยบอกซื่อฮว่า “ไปตามอวี้จั๋วมา”
“คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา
“ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
ซื่อฮว่าเดินออกไป
ไม่นานอวี้จั๋วก็เดินเข้ามา เขามองเซี่ยฟางหวาด้วยรอยยิ้มกริ่ม “พี่สะใภ้ ท่านเรียกข้าหรือ”
“เจ้ามานี่สิ ข้าอยากถามเจ้าว่า ตอนฉินเจิงให้ผ้าไหมชิ้นนี้กับเจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้วหรือ” เซี่ยฟางหวามองตอบด้วยแววตาอ่อนโยน แย้มยิ้มเป็นปกติ กวักมือเรียกเขามาหา
อวี้จั๋วมองด้วยความสงสัยครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้”
“ข้าหมายถึงข้างบน ไฉนถึงคล้ายกับ…เปื้อนเลือด” เซี่ยฟางหวาถาม
อวี้จั๋วเก้าศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ทราบ ตอนท่านพี่ให้มาก็เป็นเช่นนี้แล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เป็นเลือดหรือ ข้านึกว่าตั้งใจวาดเป็นดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยเสียอีก”
“เจ้าลองทบทวนดู ตอนนั้นเขาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเงียบพักหนึ่งแล้วโคลงผ้าไหมในมือ
อวี้จั๋วนึกทบทวนก่อนเกาศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า “เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ข้าจำไม่ได้แล้ว” พูดจบก็สงสัย “พี่สะใภ้ มีอะไรหรือ หากท่านอยากทราบก็ถามท่านพี่โดยตรงก็ได้แล้วนี่ เขาต้องบอกท่านแน่”
“ใช่แล้ว เขาต้องบอกข้า” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมาแล้วกล่าวต่อ “ข้าอยากเรียนวิชาคุมหมาป่า ในเมื่อเจ้าบรรลุสิ่งนี้แล้ว ยกให้ข้าเป็นเช่นไร ข้าจะยกตำราฝึกกระบี่ให้เจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน”
“ตำราฝึกกระบี่อะไร” อวี้จั๋วรีบถาม
“ถ้าเรียนตำราฝึกกระบี่เล่มนี้จนบรรลุ สองปีให้หลัง เฟยเยี่ยนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า” เซี่ยฟางหวาตอบ
“แลก” อวี้จั๋วดีใจยกใหญ่
“ไปนำตำราฝึกกระบี่ยอดเยี่ยมที่เก็บไว้ในสินเดิมของข้ามาให้อวี้จั๋ว” เซี่ยฟางหวาหันกลับมาบอกซื่อฮว่า
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบออกไป
ไม่นานซื่อฮว่าก็นำตำราฝึกกระบี่กลับมาส่งให้อวี้จั๋ว เขาถือกลับออกไปด้วยความดีใจ
เซี่ยฟางหวาถือผ้าไหมชิ้นนั้นแล้วมองอีกพักหนึ่ง ก่อนเก็บมันเข้าอกเสื้อเชื่องช้า แล้วหันกลับมาถามซื่อฮว่า “เจ้าเคยไปบนยอดหน้าผาปี้เทียนหลังวัดฝ่าฝอซื่อหรือไม่”
ซื่อฮว่าส่ายหน้าตอบ “คุณหนู ท่านมีเรื่องใดจะสั่งงานหรือไม่”
เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งพลางเม้มปาก เดิมอยากสั่งงานบางอย่าง ทว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนคำพูด “ส่งคนไปสืบดูว่าท่านตาออกจากหนานฉินสักพักแล้ว ตอนนี้ไปถึงที่ใดแล้ว อีกอย่างส่งข่าวบอก
ชิงเกอด้วยว่าให้เขารีบเตรียมการ คืนนี้จะส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกจากเมือง”
“คืนนี้?” ซื่อฮว่ามึนงง
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ สายตาหยุดลงบนเตาไฟ “แล้วก็ส่งจดหมายไปหาเหยียนเฉินด้วย ขอให้ผู้เฒ่าเทียนตี้จากหอเทียนจีเก๋อมาที่เมืองหลวง บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญต้องให้พวกเขาช่วย”
ซื่อฮว่าพินิจมองเซี่ยฟางหวา พบว่านางมีใบหน้าสงบนิ่งจึงรีบพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ”
*เมื่อรถวิ่งมาถึงหน้าภูเขาย่อมมีทางไปต่อ หมายถึง เหตุการณ์ใดก็ตามเมื่อถึงที่สุดแล้วย่อมมีทางออกเสมอ
ตอนที่ 63 หนึ่งเตียงบรรเลงรัก
ฉินเจิงเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังจากเซี่ยฟางหวาต้มยากลับมาที่ห้อง เขายังคงนอนหลับอยู่
เซี่ยฟางหวาถอยห่างจากประตูห้องอีกครั้ง เดินเลียบใต้ชายคาไปตามแนวกำแพงฝั่งทิศตะวันตก บนกำแพงยังคงมีภาพวาดและตัวอักษรบันทึกสลักเอาไว้เหมือนเดิม
นางเดินเลียบเชื่องช้าพลางใช้มือสัมผัสร่องรอยพวกนั้น ท้ายสุดก็ย่อตัวลงนั่งพิงเชิงกำแพง
“คุณหนู บนพื้นเย็นนะเจ้าคะ” ซื่อฮว่าขยับเข้ามาพร้อมเอ่ยเสียงเบา
เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ถึงแม้ท่านอยากนั่งตรงนี้ แต่ก็ควรให้บ่าวไปนำเบาะมารองนั่ง” ซื่อฮว่ากล่าวอีก “ร่างกายท่านเดิมทีอ่อนแออยู่แล้ว หากท่านอ๋องน้อยตื่นมา เห็นว่าท่านมานั่งอยู่ตรงนี้ คงตำหนิบ่าวที่ไม่ดูแลท่านให้ดี”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปนำเบาะรองนั่งมา” เซี่ยฟางหวาบอก
ซื่อฮว่าเห็นว่านางตัดสินใจแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้จึงได้ไปเดินไปทำตามคำสั่ง
ไม่นานนางก็นำเบาะรองนั่งหนากลับมา รองสะโพกให้เซี่ยฟางหวานั่ง
“เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” เซี่ยฟางหวานั่งลงบนเบาะแล้วยกมือไล่นาง
ซื่อฮว่าพยักหน้ารับ ถอยห่างออกมาแล้วไปทำงานอื่น
เซี่ยฟางหวาเอนหลังทิ้งน้ำหนักทั้งหมดพิงกำแพงแล้วหลับตาลง ปล่อยให้สายลมกระทบใบหน้า ปล่อยให้ดอกเหมยปลิวละล่องผ่าน ปล่อยให้ความรู้สึกนึกคิดในสมองและก้นบึ้งหัวใจตีกันยุ่งเหยิง
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ประตูห้องถูกเปิดออก ฉินเจิงเดินออกมาจากข้างใน เขากวาดตามองก็เห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งอยู่ใต้เชิงกำแพง
ประตูห้องไม่ได้อยู่ห่างจากกำแพงล้อมเรือนมากนัก ทว่าก็ไม่ใกล้ คล้ายมองเห็นชายกระโปรงหรูหราและใบหน้าเรียบนิ่งของนางผ่านรอยแยกกิ่งต้นลั่วเหมยได้เลือนราง กระแสลมพัดผ่าน ดอกลั่วเหมยปลิวว่อน นางกำลังนั่งพิงกำแพงคล้ายรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกำแพงล้อมเรือน
เซี่ยฟางหวาในตอนนี้ ไม่ว่าผู้ใดเห็นแล้วต่างเกิดความปรารถนาบางอย่างอัดอั้นในใจ
เขานิ่งมองนางพักหนึ่ง ก่อนก้าวเดินไปหา
เมื่อได้ยินฝีเท้าเขาเดินมา เซี่ยฟางหวาก็หันไปมอง ทันใดนั้นใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งก็แย้มยิ้มกว้างให้เขา “ตื่นแล้วหรือ”
ฉินเจิงชะงักเท้า มองใบหน้าสว่างเจิดจ้าของนาง ราวกับความไม่ชัดเจนและความเรียบนิ่งที่เขาได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เขาเม้มปากก่อนเอ่ยถามขึ้น “ไฉนถึงมานั่งอยู่ตรงนี้”
“รู้สึกว่าพอมานั่งตรงนี้แล้วก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความรักของเจ้าที่มีต่อข้า นั่งไปพักหนึ่งก็สัมผัสได้ว่าความรักหนักแน่นกว่าเดิม” เซี่ยฟางหวาตอบ
ฉินเจิงหัวเราะ มุมปากยกสูงขึ้น “เมื่อครู่กำลังคิดสิ่งใดอยู่”
“ไม่ได้คิดอะไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“หืม” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
เซี่ยฟางหวากะพริบตามอง ก่อนชี้นิ้วไปที่กำแพงแล้วเอ่ยขึ้น “มีบางสิ่งไม่ค่อยเข้าใจนัก”
“ลองถามมาสิ” ฉินเจิงมองนาง
“เจ้าดูสิ ตอนเจ้ายังเด็กขนาดนั้นไฉนถึงจำข้าได้ ทั้งยังหลงรักข้า และรอข้ามานานถึงเพียงนี้ อายุน้อยขนาดนั้นก็รู้จักความรักแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาชี้นิ้วค้าง
“ที่แท้ก็กำลังคิดเรื่องนี้” ฉินเจิงหัวเราะ
“ไม่น่าสงสัยหรอกหรือ เด็กตัวน้อยกลับรู้จักความรักชายหญิงแล้ว ความจริงแล้วเป็นไปแทบไม่ได้เลย” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองเขา
ฉินเจิงก้าวขึ้นมานั่งใต้เชิงกำแพงกับนาง เขาเอนหลังพิงกำแพงก่อนขยับเข้าใกล้นาง พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าเคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนั้นข้าใช้ธนูยิงนกยิงโดนปิ่นมุกบนศีรษะเจ้าตกลงมา ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจ้ามีท่าทางสุขุมเยือกเย็นก็รู้สึกสนใจขึ้นมา หลังจากนั้นข้าก็สะกดรอยตามเจ้าออกจากเมือง เดิมอยากรู้ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะแฝงตัวเข้าไปในสายลับราชสำนัก ข้ารู้สึกสนใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่าไม่ระวังกลับถูกฉินห้าวทำร้ายจนเกือบตายที่สุสานไร้ญาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็จดจำเจ้าได้ ไม่เคยลืมเลือนอีกเลย สะสมเป็นเวลานานเข้าก็กลายเป็นความคะนึงหา ถ้าไม่ได้แต่งเจ้าเข้ามาก็ไม่มีวันเลิกราเด็ดขาด”
“เป็นเช่นนี้หรือ” เซี่ยฟางหวาเอียงศีรษะมอง
“ไม่ใช่เช่นนี้แล้วยังเพราะสิ่งใดอีก ไหนเจ้าลองพูดให้ข้าฟัง” ฉินเจิงดีดหน้าผากนาง
“ช่วงนี้สมองข้าเริ่มทื่อแล้ว ถ้ายังถูกเจ้าดีดต่อไปแบบนี้คงยิ่งโง่กันพอดี” เซี่ยฟางหวามองค้อนด้วยความไม่พอใจ
“โง่หน่อยก็ดี เจ้าจะได้ไม่ต้องคิดมาก ทรมานร่างกายเปล่าๆ” ฉินเจิงบอก
“ฉินเจิง ช่วงนี้มีภาพบางอย่างแล่นขึ้นในสมองข้าบ่อยครั้ง ก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยบอกแล้วว่าข้าเกิดมาในจวนจงหย่งโหว เจ้าเกิดมาในจวนอิงชินอ๋อง ชาติก่อนหากข้าไม่ได้ไปเขาไร้นามเหมือนชาตินี้ ก็น่าจะต้องเข้าวังบ่อยครั้งถึงจะถูก ไหนเลยจะไม่รู้จักเจ้าได้ ข้าจำพี่อวิ๋นหลานได้ ก็น่าจะมีความทรงจำมากกว่านี้ ถูกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาซบศีรษะลงบนตัวเขา กล่าวเสียงเรียบ
“แล้วเป็นภาพแบบใดที่แล่นขึ้นในสมองเจ้าบ่อยๆ” ฉินเจิงเม้มปาก ยกมือลูบศีรษะนาง
“ยุ่งเหยิงมาก แล่นขึ้นมาเพียงครู่เดียว จับความรู้สึกไม่ได้เลย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ดังนั้นทำให้เจ้าเกิดความฉงน กลัดกลุ้มใจเช่นนี้” ฉินเจิงถาม
เซี่ยฟางหวาตอบ “อืม” แล้วพูดต่อ “เช่นนั้นกระมัง ข้ามักรู้สึกสับสนมาก มีบางสิ่งก่อกวนความคิดข้า ทำให้ข้าคล้ายลืมบางสิ่งไปมากมาย ยิ่งคิดหาคำตอบ สมองก็ยิ่งขาวโพลนว่างเปล่า แต่เมื่อไม่คิด มันกลับแล่นขึ้นมาอีกครั้ง”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดแล้ว เรื่องเมื่อชาติก่อน นึกไม่ออกแล้วสำคัญตรงไหน” ฉินเจิงดึงนางเข้ามากอด “สิ่งสำคัญคือชาตินี้ สวรรค์อุตส่าห์ให้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ เหตุใดถึงต้องเอาชาติก่อนมาพัวพันกับชาตินี้ด้วย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวขึ้นอีก “ยิ่งไปกว่านั้น ในความทรงจำของเจ้าไม่มีข้า ไม่ต้องนึกถึงก็ดี”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าความทรงจำของข้าไม่มีเจ้า” เซี่ยฟางหวานวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าบอกเองว่าชาติก่อนเสียเลือดมากจนตาย เท่านี้ก็ชี้ชัดแล้วว่าไม่มีข้า เพราะหากข้าอยู่ด้วย ไฉนเลยจะปล่อยให้เจ้ามีจุดจบเช่นนั้น” ฉินเจิงก้มหน้าจุมพิตนาง
เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก
“ไม่ต้องคิดมากแล้ว ถ้าเจ้ายังคิดมากเช่นนี้ต่อไป ถึงดื่มยารสขมพวกนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ แล้วเมื่อไรร่างกายจะแข็งแรงดี” ฉินเจิงแง้มปากนางเผยอออก มอบจุมพิตอันลึกซึ้งให้ ลมหายใจเริ่มแตกซ่านเล็กน้อย
“ตรงนี้เป็นข้างนอก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ยกมือดันเขาออก
“พื้นที่ของข้า จะทำสิ่งใดก็ได้” ฉินเจิงพูดพลางก็อุ้มนางขึ้นมา เดินเข้าไปในห้อง
ประตูห้องปิดลงหลังเขาเดินเข้ามา เขาวางเซี่ยฟางหวาลงบนเตียงก่อนจะคร่อมกายทาบทับ จุมพิตนางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า “เดิมไม่อยากรังแกเจ้า เจ้ากลับคิดมากไม่ยอมฟังข้า ข้าว่าเช่นนั้นก็ควรทำให้เจ้าเหนื่อย พอเหนื่อยแล้วจะได้ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น…”
พูดพลางก็แก้ปมสายคาดเอวนาง ชุดกระโปรงสีควันอันงดงามแยกออกร่วงหล่น เผยให้เห็นผิวขาวเนียนเกลี้ยงเกลาดุจหยกน้ำงาม
เซี่ยฟางหวายกมือโอบกอดเขา ใช้ลำคอตนเองคลอเคลียเข้ากับต้นคอเขา พร่ำเรียกด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “ฉินเจิง ฉินเจิง ฉินเจิง…”
“ถ้ายังเรียกต่อไปเช่นนี้ ข้าคงเสียนิสัยกันพอดี” ฉินเจิงหัวเราะแผ่ว ก่อนมอบจุมพิตอันร้อนแรงให้นาง
ตะวันแม้คล้อยใกล้ลาลับ ทว่ายังเป็นตอนกลางวัน แสงภายนอกสว่างอย่างยิ่ง
ม่านริมหน้าต่างตกลงทำให้ภายในห้องมืดสลัว ม่านบนเตียงปิดทับอีกชั้น บดบังเพลงรักบนเตียงใหญ่
ตะวันสิ้นแสง แทนที่ด้วยแสงจันทร์
ถ้อยคำพลอดรักไม่เสื่อมคลาย ใบหน้าสะสวยขึ้นสีระเรื่อ
กระทั่งเซี่ยฟางหวาเหนื่อยจนขยับปลายนิ้วไม่ได้ ฉินเจิงถึงยอมปล่อย ตระกองกอดนางผล็อยหลับไป
หนุนนอนเคียงข้างหลับฝันดีผ่านราตรีนี้ไปด้วยกัน
เซี่ยฟางหวาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ตะวันสายโด่งของวันถัดมาแล้ว นางลืมตาขึ้น ยื่นมือสัมผัสบนฟูกนอนข้างกาย พบว่าบริเวณนั้นเย็นเยียบ มองทั่วห้องก็ไม่เห็นเงาฉินเจิง นางกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง รู้สึกปวดเมื่อยทั่วร่างกายและอ่อนเพลียอย่างยิ่ง หลังนั่งนิ่งบนเตียงพักหนึ่งก็คลุมเสื้อลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูห้องออกมา
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบเข้ามาหา
เซี่ยฟางหวาพิงกรอบประตู มองท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใสข้างนอก ดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยอาบแสงแดดด้วยความสงบ วันที่อากาศดีเช่นนี้ไม่พบฉินเจิง นางจึงเอ่ยถาม “ฉินเจิงเล่า ไปไหนแล้ว”
“กะแล้วว่าพอคุณหนูตื่นมาต้องถามหาท่านอ๋องน้อย” ซื่อฮว่าเม้มปากกลั้นยิ้ม “ท่านอ๋องน้อยถูกคนจากกรมอาญาเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ก่อนไปกำชับพวกเราไว้ว่า หากคุณหนูถามหาก็บอกท่านว่าเขาไปกรมอาญา เดาว่านอกจากกรมอาญาแล้ว คนของศาลต้าหลี่ก็มาหาเขาเช่นกัน คิดว่าวันนี้คงยุ่งทั้งวัน หากตอนบ่ายท่านไม่อยากออกไปไหนก็อยู่ทานมื้อกลางวันที่เรือนลั่วเหมย ไม่ต้องรอเขา ตอนเย็นจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “เป็นเรื่องคดีพวกนั้นอีกแล้วหรือ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น” ซื่อฮว่าตอบ “ท่านอ๋องน้อยยังสั่งอีกว่าอย่าให้คุณหนูคิดมาก รักษาร่างกายให้ดี ไม่ต้องสนใจคดีพวกนี้แล้ว”
เซี่ยฟางหวานวดคลึงหว่างคิ้วแล้วผงกศีรษะ
“เมื่อคืนชิงเกอจัดการนำโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีออกจากเมืองหลวงแล้ว นอกจากนำสายลับจวนโหวไปด้วยจำนวนหนึ่งแล้ว หอเทียนจีเก๋อยังส่งผู้คุ้มกันติดตามในที่ลับด้วย เขาบอกให้คุณหนูวางใจได้ จะต้องส่งโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีไปยังสถานที่ที่ท่านกำหนดไว้อย่างปลอดภัยแน่นอน” ซื่อฮว่าก้าวขึ้นมากระซิบข้างหู
“อืม” เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วถามต่อ “หาที่พักของท่านตา ท่านพี่ และเหยียนเฉินเจอหรือยัง”
“ท่านอาวุโสชุยออกจากเป่ยฉีมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก ตอนนี้ยังไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา “แต่ตอนนี้ท่านโหวกับคุณชายเหยียนเฉินอยู่ที่หลินอัน หลินอันเกิดน้ำท่วมหนักมากจนทำให้สะพานขาด พวกเขาจึงติดค้างอยู่ที่หลินอัน บังเอิญพบองค์รัชทายาทไปขุดลอกคูคลองที่นั่น ตอนนี้จึงอยู่ร่วมกับท่านโหวและคุณชายเหยียนเฉิน ห่างจากเมืองหลวงแปดร้อยลี้เจ้าค่ะ”
“รัชทายาทขุดลอกคูคลอง นึกไม่ถึงเลยว่าไปไกลขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว
“หลินอันเป็นแหล่งผลิตเสบียงอาหารและหญ้าเลี้ยงม้าที่สำคัญ ครั้งนี้หลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง ส่งผลกระทบกับการจัดหาเสบียงอาหารในหนานฉินตลอดปี โดยเฉพาะการจัดสรรให้กรมทหาร องค์รัชทายาททรงนำเงินที่พ่อค้ามั่งคั่ง ผู้มีฐานะ และจวนต่างๆ บริจาคให้ไปแจกจ่ายช่วยเหลือด้วยตัวเอง ขุนนางแต่ละพื้นที่ร่วมมือด้วย ฟังว่าหลายวันก่อนไปถึงหลินอันแล้ว เนื่องจากหลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง ท่านโหวจึงให้ตระกูลเซี่ยที่มีกิจการในหลินอันช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยเช่นกัน” ซื่อฮว่าบอก
“มิน่าฉินอวี้ถึงรีบไปขุดลอกคูคลอง เพราะเสบียงเลี้ยงทหารกับม้า การเกษตรและการเก็บเกี่ยว ส่งผลกระทบกับกำลังของชาติในปีนี้โดยตรง” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“ใช่เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าตอบ “เกรงว่าองค์รัชทายาทคงยังมิได้กลับเมืองในเวลาอันสั้นนี้ ส่วนหลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรง เกรงว่าท่านโหวเซี่ยของเราคงต้องเสียเวลาอยู่ที่หลินอันระยะหนึ่งกว่าจะได้เดินทางไปรับช่วงต่ออำนาจการทหารที่ม่อเป่ย”
“ข้าจำได้ว่าข้างกายท่านพี่มีชูฉือที่ฉินอวี้ส่งไปติดตามอยู่ด้วย” เซี่ยฟางหวาถาม
“ชูฉือติดตามท่านโหวตลอดเวลา” ซื่อฮว่าพยักหน้า
“แปดร้อยลี้จากเมืองหลวงไปยังหลินอันก็ไม่ได้ไกลนัก จดหมายที่ส่งไปหาเหยียนเฉินน่าจะไปถึงคืนวันนี้กระมัง ถ้าเหยียนเฉินส่งจดหมายกลับมา ไม่คืนพรุ่งนี้ก็เช้ามะรืนคงมาถึง เช่นนั้น…” เซี่ยฟางหวานวดหว่างคิ้ว
นางกำลังไตร่ตรอง สี่ซุ่นก็เข้ามาที่เรือนลั่วเหมยด้วยความรีบร้อน หลังพบนางก็รีบเอ่ยขึ้น “พระชายาน้อย ฝ่าบาททรงส่งคนมาเรียกท่านรีบเข้าวังขอรับ”
“หืม” เซี่ยฟางหวามองเขา “ด้วยเรื่องใด”
“อู๋กงกงเป็นคนมาถ่ายทอดข้อความ มิได้บอกอันใด” สี่ซุ่นมองนางแวบหนึ่ง “บ่าวได้รับคำสั่งจากพระชายาว่า ขอเพียงเป็นเรื่องของพระชายาน้อยก็ต้องไปรายงานให้นางทราบก่อน เมื่อครู่พระชายาบอกให้บ่าวช่วยปฏิเสธแทนท่าน อ้างว่าตอนนี้ท่านยังไม่แข็งแรงดี ทว่าก่อนท่านอ๋องน้อยออกไปได้กำชับบ่าวไว้ว่า หากมีใครมาหาท่านก็ไม่ต้องปิดบัง ให้ท่านตัดสินใจเอง บ่าวจึงมารายงาน”
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วตอบเขาว่า “ร่างกายข้ายังไม่แข็งแรงพอ ไม่สะดวกเข้าวัง ปฏิเสธไปเถิด”
“ขอรับ” สี่ซุ่นขานรับแล้วรีบออกไป
ซื่อฮวาเห็นสี่ซุ่นออกไปแล้วก็ขยับเข้าใกล้เซี่ยฟางหวาแล้วกระซิบ “คุณหนู เมื่อวานฝ่าบาทเพิ่งพบท่านอ๋องน้อยไป วันนี้ก็รีบร้อนอยากพบท่านอีก ต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ ฝ่าบาททรงไม่โปรดปรานท่านตลอดมา”
“น่าจะเป็นเรื่องจวนจงหย่งโหว” เซี่ยฟางหวายิ้ม
“คุณหนูเตรียมการส่งโหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน และคุณชายหลินซีออกจากเมืองหลวงลับๆ ท่านคิดว่าฝ่าบาททรงทราบแล้วหรือ” ซื่อฮว่าตกใจ
“สายลับราชสำนักจับตามองจวนจงหย่งโหวตลอดมา ขอเพียงจวนจงหย่งโหวมีการเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ย่อมปิดบังฝ่าบาทในวังหลวงไม่ได้เช่นกัน” เซี่ยฟางหวาบอก “อีกอย่าง เรื่องที่พวกเขาออกเดินทางก็ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับขนาดนั้น”
“คุณหนู ฝ่าบาทจะทรงตำหนิหรือไม่” ซื่อฮว่ากังวลเล็กน้อย
“จวนจงหย่งโหวไม่ได้ทำอันใดผิด ท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีไม่มีตำแหน่งทางราชการ ย่อมเข้าออกเมืองได้โดยอิสระอยู่แล้ว ถึงแม้พระองค์จะทรงตำหนิ แต่จะทรงตั้งคำถามได้อย่างไร” เซี่ยฟางหวาไม่ยี่หระ
ซื่อฮว่าพยักหน้า
เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วสั่งงาน “เจ้าไปที่เรือนหลัก บอกพระชายาว่าเมื่อคืนข้าได้ส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกจากเมืองแล้ว หนึ่งเพื่อให้จวนจงหย่งโหวหายหน้าไปจากเมือง สองเพื่อไม่ให้ปรมาจารย์ภูเขาลับลงมือกับท่านปู่ คาดว่าฝ่าบาทน่าจะทรงทราบข่าวจึงอยากพบข้าด้วยเรื่องนี้”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าขานรับแล้วรีบเดินออกไป
เซี่ยฟางหวายืนหน้าประตูพักหนึ่งก่อนกลับเข้าห้อง ซื่อม่อเข้ามาปรนนิบัติกิจวัตรยามเช้าให้นาง
ไม่นานซื่อฮว่าก็กลับมารายงาน “คุณหนู พระชายาบอกว่าทราบแล้ว เมื่อคืนก่อนโหวเหยผู้เฒ่าออกเดินทางได้ส่งคนมาบอกนางแล้วเจ้าค่ะ นางบอกว่าในเมืองวุ่นวายถึงเพียงนี้ โหวเหยผู้เฒ่าถูกกักอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว ยามนี้ได้ออกไปท่องโลกภายนอกก็ดีเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ในยามนี้แล้ว เพียงแต่ระหว่างทางต้องมีการคุ้มกันอย่างดี ฝ่าบาททรงทราบข่าวได้ เช่นนั้นผู้อื่นก็ทราบข่าวได้เช่นกัน”
เซี่ยฟางหวายืนริมหน้าต่าง มองไปยังต้นเซียนเค่อไหลที่ถูกแสงแดดส่องกระทบ แววตานางพลันดุดันเยือกเย็นขึ้นมา “หากผู้อื่นทราบข่าวก็ดี กลัวก็แต่พวกเขาจะไม่ทราบข่าว”
ซื่อฮว่ามองนางด้วยความไม่เข้าใจ
เวลานี้ซื่อม่อก็ยกอาหารกลางวันเข้ามา เซี่ยฟางหวาเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ
หลังทานมื้อกลางวันเสร็จ เซี่ยฟางหวาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาพักผ่อน
ไม่นานก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากนอกจวนว่า “ฮองเฮาเสด็จ”
เซี่ยฟางหวาแสร้งไม่ได้ยิน นั่งต่อเงียบๆ
ไม่นานซื่อฮว่าก็ผลักประตูเข้ามา กล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนู ฮองเฮาเสด็จมาที่จวนของเราเจ้าค่ะ ตรัสว่าได้ยินว่าท่านร่างกายไม่แข็งแรงจึงเสด็จมาเยี่ยมท่านที่จวนด้วยตัวเอง พระชายาออกไปรับเสด็จแล้ว ทว่ามิได้ไปที่เรือนหลัก หากแต่ตรงมายังเรือนลั่วเหมยของเรา”
ตอนที่ 64-1 โรคระบาดในหลินอัน
ฮองเฮาเสด็จมาหานางด้วยพระองค์เองเพราะเหตุใด
เซี่ยฟางหวาเดินมาที่หน้ากระจกทรงกลีบกระจับ หยิบตลับแต่งหน้าออกมา ทาแป้งแต่งแต้มลงบนใบหน้าแผ่วเบา
ซื่อฮว่ายืนมองเซี่ยฟางหวาจากข้างหลังด้วยความไม่เข้าใจ
ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็มาถึงหน้าประตูพร้อมกับฮองเฮา ฮองเฮามีฝีเท้าเร่งรีบราวกับร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
“ฮองเฮา ทรงรีบมาพบหวาเอ๋อร์ด้วยเหตุใดกันแน่ หวาเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรงดี เพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังหมดสติไป สภาพร่างกายยังอ่อนแอนัก” เสียงของพระชายาอิงชินอ๋องดังขึ้น
“พี่สะใภ้ ข้ามีเรื่องด่วนแน่นอน รอพบพระชายาน้อยแล้วค่อยอธิบายให้ทั้งท่านและนางฟังทีเดียว ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจเลย” ฮองเฮาทรงเข้ามาในห้องพลางตรัสพลาง
พระชายาอิงชินอ๋องแม้เกิดความข้องใจ ทว่าก็ได้แต่เงียบลง
เซี่ยฟางหวาวางตลับแป้งแล้วลุกขึ้นยืน มองซื่อฮว่าที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยท่าทางอ่อนแอยิ่ง
ซื่อฮว่าเบิกตากว้าง นางที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณหนูเห็นเพียงนางทาแป้งบางๆ ชั้นหนึ่งบนใบหน้าพักหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าในเวลาเพียงชั่วพริบตากลับทำให้ตนเองมีใบหน้าซีดขาวย่ำแย่อย่างยิ่งได้ หากมิได้เห็นเองกับตา นางคงเชื่อไปแล้วว่าคุณหนูป่วยหนัก นางรีบเข้ามาประคองแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู”
“พยุงข้าออกไป” เซี่ยฟางหวาทิ้งน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งพิงกายซื่อฮว่าแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง
ซื่อฮว่าพยักหน้า พยุงเซี่ยฟางหวาเดินออกไปอย่างระวัง
ทั้งสองมาถึงหน้าประตูก็ประจวบเหมาะที่ฮองเฮาและพระชายาอิงชินอ๋องมาถึงหน้าประตูด้วยพอดี
ทันทีที่ม่านถูกแหวกออก ฮองเฮาก็ทรงเห็นเซี่ยฟางหวาออกมาต้อนรับโดยมีสาวใช้คอยพยุงทุกย่างก้าว ใบหน้าซีดขาวจนเหมือนผีอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่ว่านางรูปโฉมงดงามอยู่เป็นทุนเดิม คงสร้างความตกใจแก่ผู้พบเห็นได้แม้เป็นช่วงกลางวันแสกๆ นางผงะตกใจ “พระชายาน้อย?”
“อาหญิง” เซี่ยฟางหวาทำความเคารพอย่างอ่อนแรง
“นี่เจ้า…” ฮองเฮาทรงมองนาง
เซี่ยฟางหวายกมุมปากเล็กน้อย “ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น มิได้เป็นปัญหาใหญ่” จากนั้นนางก็บอกให้ซื่อฮว่าหลีกทางออกจากประตู “เชิญอาหญิงกับท่านแม่เข้ามาข้างในก่อนเถิด”
ฮองเฮาหันไปมองพระชายาอิงชินอ๋อง
“เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าหวาเอ๋อร์เพิ่งฟื้นหลังหมดสติไป ร่างกายจึงยังไม่แข็งแรงดี เข้าข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ชะงักเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเพียงพริบตาก็เข้าใจสถานการณ์ นางถอนหายใจกล่าว
ฮองเฮาได้แต่เข้าไปในห้อง
ทั้งสามนั่งลงในห้องรับรอง พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรินน้ำชาต้อนรับ
“ร่างกายข้าไม่พร้อมจึงมิได้ออกไปรับเสด็จ เสียมารยาทต่อเสด็จอาแล้ว ขออาหญิงอย่าทรงตำหนิเลย” เซี่ยฟางหวาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไอสองสามครั้ง กล่าวด้วยความอ่อนแอยิ่ง
“คนกันเอง ไม่ต้องมากพิธีหรอก อีกอย่างเจ้าก็ป่วยอยู่ ยังมัวคำนึงเรื่องพิธีการมากไปทำไมกัน” ฮองเฮาทรงพินิจมองเซี่ยฟางหวาถี่ถ้วน พบว่าสีหน้านางย่ำแย่มาก อ่อนแอถึงเพียงนี้ คล้ายกับเพิ่งฟื้นหลังหมดสติไปจริงๆ นางถอนหายใจออกมา “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“ก่อนหน้านี้เสด็จอาทรงส่งคนมาเรียกข้าเข้าเฝ้า ข้าเพิ่งตื่นมานั้นอ่อนเพลียอย่างมากจึงไปเข้าเฝ้าไม่ไหว ไม่คิดเลยว่าอาหญิงจะเสด็จมาหาไวเช่นนี้ มีเรื่องด่วนใดหรือไม่ มิทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงได้ดูร้อนรนเช่นนี้” เซี่ยฟางหวามองนาง
“ฮองเฮา หรือว่าหวาเอ๋อร์กระทำสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องสื่อความหมายว่าทรงมาเพื่อตำหนิหรือไม่
ฮองเฮาทรงปกครองวังหลังมายาวนานย่อมเข้าใจความหมายของพระชายาอิงชินอ๋องดี หากเป็นการตำหนิ นางย่อมไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว ทว่านางส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว พระชายาน้อยต้องวิ่งเต้นบากบั่นเรื่องคดีความที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวง สร้างความเหนื่อยล้าต่อตัวเองย่อมควรได้รับคำชมเชยมากกว่า ไหนเลยจะยังหาเรื่องมาตำหนิได้ วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกนางด้วยเรื่องอื่น สุขภาพของฝ่าบาทเองก็ไม่ค่อยดีนัก ด้วยความร้อนพระทัยทว่าเสด็จออกจากวังหลวงไม่ได้ ข้าจึงจำต้องมาเอง”
“โอ้” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย “เรื่องใดหรือ”
“ก่อนหน้านี้ไม่นานฝ่าบาททรงได้รับรายงานด่วน หลังหลินอันประสบอุทกภัยใหญ่คล้ายกับเกิดโรคห่าระบาดขึ้น” ฮองเฮาตรัสเสียงเบา “รัชทายาทกลัวว่าจะสร้างความตื่นตระหนกต่อราษฎร ก่อให้เกิดการจลาจล ตอนนี้จึงออกคำสั่งปิดเมืองหลินอันชั่วคราว ยังไม่ได้ส่งข่าวกลับมาที่เมืองหลวง”
“อะไรนะ” เซี่ยฟางหวามองฮองเฮาด้วยความตกใจ
“เจ้าคงทราบว่าฝ่าบาททรงส่งสายสอดแนมไว้ข้างกายรัชทายาท แม้รัชทายาทยังไม่ส่งสาส์นกราบทูลเร่งด่วนกลับมา แต่ทันทีที่เกิดเรื่องก็ทราบข่าวแล้ว เดิมฝ่าบาททรงตั้งใจว่าหลังรัชทายาทกลับเมืองแล้วจะมอบภาระหน้าที่สำคัญให้เขา สละบัลลังก์ให้เขาขึ้นราชาภิเษกแทน ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับรัชทายาท ข้าซึ่งมีฐานะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาท ยามนี้ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายเหลือเกิน หมอหลวงซุนถูกสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่มีหมอหลวงฝีมือดีในเมืองอีกแล้ว เกรงว่าอนาคตจะควบคุมโรคระบาดไม่อยู่ หลังฝ่าบาททรงไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วก็ส่งคนมาเชิญเจ้า ทว่าเจ้าไม่ได้เข้าวังหลวง ข้าจึงได้แต่ต้องมาด้วยตัวเอง” ฮองเฮาพยักพระพักตร์ให้นาง ตรัสด้วยความกลัดกลุ้ม
เซี่ยฟางหวานึกขึ้นได้ว่าเซี่ยม่อหานเองก็อยู่ที่เมืองหลินอัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ฮองเฮา นี่เป็นเรื่องจริงหรือ หลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรงเรื่องนี้ข้าได้ข่าวมาบ้าง แต่ยังไม่ได้ยินว่าเกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน” พระชายาอิงชินอ๋องรีบเอ่ยขึ้น
“ข่าวว่าคล้ายเกิดโรคห่าระบาด ครั้งนี้ฝนตกหนักมาก หลายพื้นที่ทั่วหนานฉินเกิดน้ำท่วม มีหลินอันที่เดียวที่ประสบภัยหนักที่สุด ไม่ใช่แค่ท่วมที่นาเท่านั้น บ้านเรือนยังพังถล่ม มวลน้ำคร่าชีวิตคนไปมากน้อย
อวี้เอ๋อร์เดินทางไปขุดลอกคูคลอง แม้รีบไปแล้วช่วยเหลือได้ทันกาล แต่ก็ยังมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก” ฮองเฮาตรัสด้วยพระเนตรแดงก่ำ “พี่สะใภ้ ฝ่าบาทยังทรงมีโอรสอีกมากมาย แต่ข้ามีแค่อวี้เอ๋อร์คนเดียว แม้เขาเฉลียวฉลาด แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับโรคระบาดเช่นนี้ หากเป็นอันใดขึ้นมา ข้าผู้เป็นมารดาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใด
“ข้าได้ยินว่าท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่หลินอันด้วยไม่ใช่หรือ” ฮองเฮาตรัสอีก
“นั่นไม่ใช่ว่าเหลียนเอ๋อร์ก็อยู่หลินอันด้วยหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ได้ข่าวมาว่าท่านพี่ติดอยู่ที่หลินอันจริง แต่ข้ายังไม่ได้รับข่าวว่าเกิดโรคระบาดที่หลินอัน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อาหญิงทรงอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ก่อนพี่ชายข้าออกเดินทาง รัชทายาททรงมอบชูฉือให้ท่านพี่แล้ว ในเมื่อท่านพี่อยู่หลินอัน แสดงว่าชูฉือก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย คุณชายชูฉือมีวิชาแพทย์ดีเยี่ยม ก่อนหน้านี้ขุนนางจวนใหญ่เกิดล้มป่วยฉับพลันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมเพียงใด
รัชทายาทยังไม่ส่งสาส์นกราบทูลเร่งด่วนขอความช่วยมายังเมืองหลวง แสดงว่าสถานการณ์ในหลินอันยังไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น ตอนนี้น่าจะยังอยู่ในการควบคุม”
“ข้ากังวลว่าอวี้เอ๋อร์จะฝืนดันทุรัง เด็กคนนี้แม้มีไหวพริบดีเยี่ยม แต่ก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมาก” ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็สบายพระทัยขึ้นเล็กน้อย
“ฝ่าบาททรงให้เจ้ามาหาหวาเอ๋อร์เองหรือ หมายความว่าอยากให้หวาเอ๋อร์ไปหลินอัน เพราะนางมีวิชาแพทย์” พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งก็ถามขึ้น
“หลังฝ่าบาททรงทราบข่าว คิดว่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอวี้เอ๋อร์ อีกอย่างหลินอันก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก แค่แปดร้อยลี้เท่านั้นเอง หากเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริงก็ไม่อาจแพร่กระจายไปได้ เพื่อไม่ให้ข่าวลือเล็ดลอดออกไป ทำให้ราษฎรในหนานฉินเกิดความตื่นตระหนก” ฮองเฮาตรัสด้วยใจจริง “ฝ่าบาททรงเรียกข้าไปพบเพื่อให้ข้ามาหาพระชายาน้อย ถึงอย่างไรวิชาแพทย์ของนางก็เป็นที่ประจักษ์ อีกอย่างท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่หลินอัน ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของรัชทายาทเท่านั้น ยังมีความปลอดภัยของท่านโหวเซี่ยด้วย พระชายาน้อยย่อมไม่นิ่งดูดายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเหลียนเอ๋อร์ก็อยู่ที่หลินอันด้วย”
“เจ้าก็เห็นแล้วว่าหวาเอ๋อร์อยู่ในสภาพนี้ ไหนเลยจะออกจากเมืองหลวงได้ หากนางออกไปทั้งแบบนี้ ข้าก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น หลินอันมีคนอยู่มากถึงเพียงนั้นแล้ว ไฉนถึงให้นางไปอีก โรคห่าระบาดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา
“พี่สะใภ้ ชูฉือมีวิชาแพทย์จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่เปลือกนอกนั้นไม่อาจวัดกันได้ด้วยความสำเร็จเพียงครั้งเดียว หากหลินอันเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริง เราจะนิ่งดูดายไม่ได้” ขอบตาฮองเฮาร้อนชื้น “ข้าไม่มีทางอื่นแล้ว ได้แต่มาหาท่าน”
“ฮองเฮาอย่าเพิ่งร้อนใจ อวี้เอ๋อร์แม้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี แต่ไม่ใช่คนไม่รู้จักขอบเขต เขาเป็น
รัชทายาทที่ฝ่าบาททรงอบรมเลี้ยงดูมา เป็นผู้สืบทอดบ้านเมืองในอนาคต ย่อมทราบหนักเบาดี ในเมื่อเขายังไม่ส่งข่าวมาที่เมืองหลวง แสดงว่าเหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรง หลินอันยังอยู่ในการควบคุม หากควบคุมไม่ได้แล้ว เขาจะต้องขอความช่วยเหลือเป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้รอดูสถานการณ์ก่อนเถิด”
“แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เราต่างมีฐานะเป็นพ่อแม่ หรือว่าพี่สะใภ้ไม่เป็นห่วงเหลียนเอ๋อร์หรือ ถึงนางไม่ได้เติบโตข้างกายท่าน แต่ท่านก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนาง” ฮองเฮาค่อนข้างร้อนพระทัย
“ฮองเฮา เหลียนเอ๋อร์เป็นลูกข้า ไม่ว่าเมื่อใดก็ยังเป็นลูกสาวข้าเสมอ ข้าย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ถึงกับควบคุมไม่ได้ เจ้ามีฐานะเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
ฮองเฮานิ่งชะงักไป
“อีกอย่างเจ้ากับฝ่าบาททรงทราบหรือยังว่าเขาไร้นามแม้ถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ภูเขาลับยังมีชีวิตอยู่ สามวันก่อนปรมาจารย์ฉือเฟิ่งอาศัยสายลับราชสำนักปล่อยข่าวปลอมว่าโหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวป่วยหนัก หลอกเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์กลับมา ทว่ากลับซุ่มวางค่ายกลลอบทำร้ายระหว่างทางกลับเมือง และเมื่อสองวันก่อนหน้านั้น เจิงเอ๋อร์เดินทางไปช่วยหวาเอ๋อร์ที่อารามลี่อวิ๋นกลางดึกก็ถูกลอบสังหารด้วยเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ” ฮองเฮาตกพระทัย
“ดังนั้นตอนนี้ยังเชื่อข่าวจากสายลับได้หรือไม่ จำต้องใช้วิจารณญาณ” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“สายลับราชสำนักขึ้นตรงต่อราชสำนักตลอดมา นี่…กี่ปีมาแล้ว พวกเขาพึ่งพาอาศัยและไว้ใจได้ จะเป็นไปได้อย่างไร” ฮองเฮามีพระพักตร์เปลี่ยนไป
“เพราะที่ผ่านมาเราพึ่งพาอาศัยมากเกินควร อาจทำให้กลายเป็นคนปลิ้นปล้อน” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ “เจ้าลองคิดดูสิ ในช่วงเวลาไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวงมากมาย ใต้หล้ามีใครบางที่มีความสามารถสร้างสถานการณ์ภายใต้สายตาพวกเราได้ หลายปีที่ผ่านมา หนานฉินกับเป่ยฉีมีฐานะเท่าเทียมกันหากแต่ตั้งป้อมประจันหน้ากัน เป่ยฉีมีเจตนาแทรกแซง แต่ก็ไม่อาจแทรกแซงได้มากถึงเพียงนี้ ยามนี้หากไม่ใช่สายลับราชสำนักก่อกวน ย่อมไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้โดยเด็ดขาด”
“เช่นนั้นแล้ว…นี่ควรทำเช่นไรดี” พระพักตร์ฮองเฮาค่อยๆ ซีดลง
“เวลานี้ยิ่งควรวางตัวสงบนิ่ง อย่าตีตนไปก่อนไข้” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “เจ้าอยู่ในวังหลวงมาหลายปีแล้ว วันนี้พี่สะใภ้ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี เจ้าอยู่ในวังอย่างสงบเถอะ อย่าเข้ามาผสมโรงในเรื่องพวกนี้เลย ฉินอวี้โตแล้ว สามารถจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ อุตส่าห์ไปถึงม่อเป่ยและรอดกลับมาได้ หากเขาต้องสืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็ยิ่งต้องฝึกฝนหาประสบการณ์ เจ้าอยู่ในวังอย่างสงบสุข เขาที่อยู่ข้างนอกถึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างสบายใจ”
พระพักตร์ร้อนใจของฮองเฮาค่อยๆ สงบลง เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตรัสด้วยความละอายใจ “ต่อหน้าพี่ สะใภ้ข้ามักละอายใจตัวเองเสมอมา” หยุดชั่วครู่แล้วลดเสียงต่ำลง “มิน่าที่ผ่านมาฝ่าบาทจึงนึกถึงท่านตลอดเวลา”
“เหลวไหล” พระชายาอิงชินอ๋องตำหนิ
“ข้าเทียบท่านไม่ได้เลย ที่ผ่านมาแม้คนอื่นไม่กล้าพูด แต่ข้าก็รู้ตัวเองดี อดีตไทเฮาทรงมีสายพระเนตรเฉียบแหลม เพื่อตัดเยื่อใยที่มีต่อบัลลังก์ของท่านอ๋อง แม้ไม่อาจมอบราชบัลลังก์ให้เขาได้กลับมอบภรรยาที่ดีให้แก่เขา มีท่านคอยคุมฝ่าบาท ทำให้ท่านอ๋องไร้ซึ่งความกังวล ท่านอ๋องช่างมีวาสนาดีกว่าฝ่าบาทนัก” ฮองเฮาทรงมองนางพร้อมตรัสเสียงเรียบ
“วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป นับวันยิ่งพูดจาไม่น่าฟัง ถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ยังกล้ากล่าวออกมาได้”
พระชายาอิงชินอ๋องตีหน้านิ่ง “พูดจาเช่นนี้ต่อหน้าลูกๆ ถึงเจ้าไม่อาย แต่ข้าอาย เอาล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้ารีบกลับวังหลวงเถิด”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มองไปเซี่ยฟางหวา
เซี่ยฟางหวาเท้าแขน นั่งตรงนั้นด้วยสภาพอ่อนแอยิ่ง สีหน้าย่ำแย่ลงทุกที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอตัวกลับวังหลวงก่อน ส่วนเรื่องหลินอัน ตอนนี้เรารอข่าวคราวก่อนก็แล้วกัน พระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ รีบรักษาตัวเถอะ หากหลินอันเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริง ในเมืองหลวงไม่มีหมอฝีมือดีคนอื่น เกรงว่าต้องให้เจ้าไปแล้ว” ฮองเฮาทรงมองนางแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา
“อาหญิงตรัสถูกแล้ว ข้าจะรีบรักษาตัวให้หายดี” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ฮองเฮาทรงมองไปยังพระชายาอิงชินอ๋อง พระชายาลุกขึ้นยืน “ข้าไปส่งฮองเฮาออกจากจวน”
ฮองเฮาพยักพระพักตร์ ทั้งสองออกจากเรือนลั่วเหมยตามกันไป
ตอนที่ 64-2 โรคระบาดในหลินอัน
เมื่อทั้งสองเดินออกไปไกลแล้ว เซี่ยฟางหวาก็เรียกซื่อฮว่ามาสั่งงาน “ไปตรวจสอบดูว่าหลินอันผิดปกติจริงหรือไม่ มีเค้าลางว่าเกิดโรคห่าระบาดหรือไม่ นอกจากนี้ไปตรวจดูสถานการณ์ข้างกายฝ่าบาทด้วย”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบออกไป
พระชายาอิงชินอ๋องส่งฮองเฮาเสด็จกลับแล้วก็มาที่เรือนลั่วเหมยอีกครั้ง
เซี่ยฟางหวาลบแป้งบนใบหน้าออกแล้ว กำลังนั่งจัดกระถางต้นเชียนเค่อไหลอยู่ในห้องรับรอง
พระชายาอิงชินอ๋องพินิจมองนางแล้วก็โล่งอก “เมื่อครู่ตอนเห็นเจ้าข้ายังตกใจตาม” หยุดชั่วครู่แล้วลดเสียงเบาลง “เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นข่าวปลอมที่สายลับราชสำนักปล่อยออกมาหรือไม่ เพื่อจงใจสร้างแผนลวง”
“ยังไม่แน่ชัด ข้าให้คนไปสืบข่าวดูแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า
“ไม่ให้หยุดพักสักวันเดียวเลยจริงๆ” พระชายาอิงชินอ๋องนวดคลึงหว่างคิ้ว
เซี่ยฟางหวาเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด
“ก่อนเจิงเอ๋อร์ออกไปได้บอกว่าหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อไร” พระชายาอิงชินอ๋องถาม
“บอกว่าจะกลับตอนเย็น” เซี่ยฟางหวาตอบ
“หลังอุทกภัยใหญ่ผ่านไป หากจัดการไม่ดีต้องก่อให้เกิดโรคห่าระบาดเป็นแน่ หากเกิดขึ้นจริงๆ สำหรับเมืองหลวงหนานฉินในตอนนี้ถือเป็นเรื่องผีซ้ำด้ำพลอย หวังว่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความจริง มิฉะนั้นคงเกี่ยวพันกับอีกหลายชีวิต” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงเบา “เหยียนเฉินเดินทางไปพร้อมท่านพี่ด้วย หากท่านพี่ติดอยู่ที่หลินอัน เขาก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย ท่านแม่วางใจเถิด มีเหยียนเฉินอยู่ด้วย ถึงแม้เกิดโรคระบาดขึ้นที่หลินอันก็ย่อมควบคุมได้แน่นอน”
“จริงด้วย ข้าลืมคุณชายเหยียนเฉินไปเสียสนิท” พระชายาอิงชินอ๋องดีใจ ทว่าก็กลับมากังวลอีกครั้ง “ฟังว่าเขามีฐานะเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี เป็นน้องชายแท้ๆ ของอวี้กุ้ยเฟย เป็นทายาทตระกูลอวี้ ฐานะนี้…หากว่า…”
“ถึงแม้เขาเป็นคนตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี เป็นพระมาตุลา แต่ก็ไม่ได้เห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ไม่ยอมมองดูโรคห่าระบาดโดยไม่ช่วยเหลือแน่นอน ในเมื่อข้าให้เขาเดินทางไปพร้อมท่านพี่ด้วย เขาก็เป็นคนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้ายืนยัน
“เป็นคนที่เจ้าไว้เนื้อเชื่อใจก็ดี เช่นนี้ข้าเองก็เบาใจลงแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเหลียนเอ๋อร์มากเกินไป”
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“ในเมื่อฉินเจิงให้ท่านพี่พาน้องไป เขาย่อมดูแลนางอย่างดีแน่นอน ท่านวางใจเถิด” เซี่ยฟางหวาบอก
พระชายาอิงชินอ๋องผงกศีรษะ
ทั้งสองพูดคุยเรื่อยเปื่อยพักหนึ่ง ซื่อฮว่าก็เดินเข้ามา มองพระชายาอิงชินอ๋องก่อนแวบหนึ่ง
“ท่านแม่ไม่ใช่คนอื่น สืบข่าวได้ความว่าอย่างไร บอกมาเถอะ” เซี่ยฟางหวายกมือสั่ง
“เรียนคุณหนู เกี่ยวกับสถานการณ์ที่หลินอัน ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวใดเจ้าค่ะ แต่สืบข่าวสถานการณ์ในเมืองหลวงมาได้บ้าง ก่อนที่ฝ่าบาททรงส่งคนมาเรียกท่านเข้าวังหลวง ทรงได้รับรายงานด่วนจากสายลับราชสำนักจริง ต่อมาพอท่านมิได้เข้าวัง หลังจากอู๋กงกงกลับไปทูลรายงานต่อฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงส่งคนไปตามฮองเฮามา ตรงกับที่ฮองเฮาตรัสทุกประการเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารายงาน
“ยังมีอีกหรือไม่” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
ซื่อฮว่าพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่นานอวี้เชียนอ๋องเพิ่งเข้าวังหลวง ตอนนี้กำลังเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่เจ้าค่ะ”
“อวี้เชียนอ๋อง?” พระชายาอิงชินอ๋องสมทบ “เขาไม่ใช่ว่ากำลังตามหาหลานชายอยู่หรือ ไฉนถึงเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้ เข้าเฝ้าด้วยเรื่องใด สืบความได้หรือไม่”
“อวี้เชียนอ๋องกับฝ่าบาทสนทนากันลับๆ ในวัง ไล่บ่าวรับใช้ออกมาทั้งหมดเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่าส่ายหน้า
“ตอนนี้ยังหาลูกชายของฉินอี้ไม่พบ สถานที่สุดท้ายไม่ชัดเจน ฟังว่าหลังเกิดเรื่อง จวนอวี้เชียนอ๋องก็ทำการค้นหาตลอดมา” พระชายาอิงชินอ๋องบอก “ตั้งแต่เกิดคดีต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวงอย่างคดีค่ายใหญ่เขาตะวันตก หมอหลวงซุนถูกสังหาร ใต้เท้าหานถูกสังหาร คดีอารามลี่อวิ๋น คดีองค์หญิงใหญ่ถูกลอบทำร้าย เรื่องนี้กลับถูกมองข้ามไปแล้ว” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้เขาเข้าวังหลวง ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องใด”
“เจ้าลองไปตรวจสอบสถานการณ์พักนี้ของจวนอวี้เชียนอ๋องดู” เซี่ยฟางหวาไตร่ตรองพักหนึ่งก็สั่งงานซื่อฮว่า
ซื่อฮว่าขานรับแล้วเดินออกไป
“ตั้งแต่พระชายาอวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมา และมาขอร้องข้าที่จวนอิงชินอ๋อง ข้าก็ไม่ได้พบนางอีกเลย” พระชายาอิงชินอ๋องครุ่นคิดแล้วกล่าวขึ้น “ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ ข้าไปเยี่ยมนางที่จวนอวี้เชียนอ๋องสักหน่อยดีกว่า”
“ท่านแม่คิดเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน แม้เราให้การช่วยเหลือ แต่ไม่ได้ช่วยตามหาเด็กจนพบ ถึงไปเยี่ยมก็เป็นเรื่องปกติ” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า
“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อน ข้าจะไปจวนอวี้เชียนอ๋องสักครู่” พระชายาอิงชินอ๋องลุกขึ้น เอ่ยทิ้งท้ายแล้วเดินออกไป
หลังพระชายาอิงชินอ๋องออกไปแล้ว เซี่ยฟางหวาก็กลับเข้าห้อง เอนตัวนอนบนตั่งตัวนิ่มอย่างเกียจคร้าน หลับตาพักผ่อนต่อจากเมื่อครู่
ไม่นานซื่อฮว่าก็กลับมารายงานต่อเซี่ยฟางหวา “คุณหนู ระยะนี้จวนอวี้เชียนอ๋องตามหาตัวเด็กไปทั่วตลอดเวลา กำลังคนที่จวนอวี้เชียนอ๋องนำมาที่เมืองด้วยต่างเคลื่อนไหวทั้งหมด นอกจากเข้าวังไปขอร้องฝ่าบาท ยังร้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลทั่วไปมากมาย จวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวของเราก็เป็นส่วนหนึ่ง พวกเขายังขอร้องจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา จวนหย่งคังโหว และจวนใหญ่ที่มีการไปมาหาสู่กับ
อวี้เชียนอ๋องด้วย หลายจวนต่างช่วยตามหาตัวเด็กไม่มากก็น้อยตลอดหลายวันนี้”
“เจ้าว่าเด็กคนนี้หายตัวไปถูกจังหวะหรือไม่” เซี่ยฟางหวาพลันหรี่ตาลง เอ่ยถามซื่อฮว่า
“คุณหนูหมายความว่าอย่างไร” ซื่อฮว่ามึนงง
“ข้าหมายความว่า หลังเด็กคนนี้หายตัวไป ทั้งในและนอกเมืองหลวงต่างเกิดคดีต่อเนื่องกัน เพราะเด็กคนนี้หายไป นอกจากวังหลวง จวนอิงชินอ๋อง จวนจงหย่งโหว ยังมีจวนใหญ่ในเมืองต่างช่วยกันส่งกำลังคนออกตามหาไม่มากก็น้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อธิบายได้ว่า ทุกฝ่ายที่มีอำนาจทั้งในและนอกเมืองหลวงต่างมีการเคลื่อนไหวพร้อมกัน ทำให้การปิดคดีครั้งนี้ค่อนข้างยาก ไม่พบเบาะแสใดให้สาวไปถึงผู้อยู่เบื้องหลังเลย”
เซี่ยฟางหวาตอบ
“คล้ายเป็นเช่นนี้ คุณหนู หากท่านไม่พูด บ่าวก็คงมองไม่ออก” ซื่อฮว่ากระจ่างแจ้ง
เซี่ยฟางหวามีสีหน้านิ่งขรึมเล็กน้อย “หากเมื่อครู่ไม่ได้ให้เจ้าไปสืบดูการเคลื่อนไหวในวังหลวงพอดี ประจวบเหมาะที่อวี้เชียนอ๋องเข้าวัง ข้าก็แทบลืมจวนอวี้เชียนอ๋องไปแล้ว เบื้องหน้าเนื่องจากจวนอวี้เชียนอ๋องสูญเสียทายาทไปซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ทุกฝ่ายต่างตามหาตัวเด็กคนนี้ เรื่องใหญ่เช่นนี้ทำให้เกิดหมอกควันลอยเป็นเกลียวขึ้นไป ทำให้หลายคนคิดว่าจวนอวี้เชียนอ๋องยังเอาตัวเองไม่รอดในบางเรื่อง คงไร้อำนาจร่วมผสมโรง ควรวางตัวอยู่นอกสถานการณ์ ทว่าดัน…”
“คุณหนู ท่านจะบอกว่าการเคลื่อนไหวในเมืองหลวงระยะนี้ มีจวนอวี้เชียนอ๋องวางแผนอยู่เบื้องหลังหรือ” ซื่อฮว่ากระซิบเสียงเบา
“ถ้าไม่ได้วางแผนลับก็คงคอยผสมโรง” สายตาของเซี่ยฟางหวาเยือกเย็นลง “เจ้าไปหาอวี้จั๋ว บอกเขาไปหาฉินเจิง รายงานเรื่องนี้ให้ฉินเจิงทราบ เรื่องภายในวังหลวง ถึงแม้ปิดประตูคุยกันทำให้พวกเราสืบความไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าฉินเจิงสืบไม่ได้ อย่างไรเขาก็โตมาในวังหลวง”
“บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้” ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินออกไป
ไม่นานอวี้จั๋วก็ออกจากเรือนลั่วเหมย
เซี่ยฟางหวาพักสายตาอีกพักหนึ่งก่อนตะโกนเรียกขึ้น “ซื่อม่อ”
“คุณหนู” ซื่อม่อขานรับแล้วเดินเข้ามา
“เจ้าไปสืบดูว่าพักนี้หลี่มู่ชิงทำอะไรอยู่” เซี่ยฟางหวาสั่งงาน
“เจ้าค่ะ” ซื่อม่อกลับออกไป
พักใหญ่ต่อมาซื่อม่อก็กลับมารายงาน “คุณหนู ตั้งแต่กลับจากค่ายใหญ่เขาตะวันตกวันนั้น คุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวากับท่านอ๋องน้อยไปยังจวนหมอหลวงซุนและกรมอาญาด้วยกัน ต่อมาท่านก็ออกจากเมืองด้วยเรื่องท่านหญิงจินเยี่ยนและท่านหญิงน้อยเยี่ยน จากนั้นพอทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นกับท่าน ท่านอ๋องน้อยก็ฝากงานในมือทั้งหมดให้คุณชายหลี่ หลายวันนี้คุณชายหลี่มิได้อยู่เฉย หากแต่ตรวจสอบคดีเหล่านี้อยู่ ทว่าคล้ายกับไม่มีความคืบหน้าเลย วันนี้ท่านอ๋องน้อยอยู่ที่กรมอาญา เขาอยู่ที่ศาลต้าหลี่เจ้าค่ะ”
“หลี่หรูปี้เล่า” เซี่ยฟางหวาถามอีก
“ตั้งแต่คุณหนูหลี่ออกจากวังก็เก็บตัวอยู่ในจวน ไม่ออกมาพบปะผู้คน อยู่สวดมนต์กับฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเจ้าค่ะ” ซื่อม่อตอบ
เซี่ยฟางหวาพยักหน้าก่อนยกมือไล่นาง
ซื่อม่อเดินออกไป
ครึ่งชั่วยามถัดมาอวี้จั๋วก็กลับมารายงานขึ้นที่นอกหน้าต่างเสียงเบา “พี่สะใภ้ ข้าไปหาท่านพี่แล้ว เขาบอกว่าทราบแล้ว และบอกให้ท่านรักษาตัวให้ดี อย่าเป็นกังวล”
เซี่ยฟางหวาตอบ “อืม” แล้วถามต่อ “เท่านี้หรือ ไม่ได้บอกอย่างอื่นแล้ว”
“เขากำลังยุ่ง หลังฟังจบก็เพียงพยักหน้าแล้วบอกว่าทราบแล้ว ไม่ได้บอกสิ่งใดอีก” อวี้จั๋วเกาศีรษะ
เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใดอีก
อวี้จั๋วผละตัวออกจากนอกหน้าต่าง กลับไปทำงานของตัวเอง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม พระชายาอิงชินอ๋องก็กลับมาแล้วตรงมายังเรือนลั่วเหมยด้วยความรีบร้อน เมื่อเห็นเซี่ยฟางหวาก็กล่าวด้วยสีหน้าย่ำแย่มาก “พระชายาอวี้เชียนอ๋องผิดปกติ หลานชายหายตัวไปยังหาไม่พบ คนเป็นย่าก็ควรกินอาหารไม่ลง ผอมซูบลงทุกวันไม่ใช่หรือ ยังมีกระจิตกระใจมาเรียนจัดดอกไม้อีกรึ ตอนข้าไปถึงประจวบเหมาะกับที่พระชายาอวี้เชียนอ๋องกำลังเรียนจัดดอกไม้พอดี ดูสบายใจไร้กังวลเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าหลานชายหายไปแล้วนางเลือดเย็นไร้หัวใจ เช่นนั้นเรื่องที่เด็กหายตัวไปก็เป็นเรื่องโกหก เดิมทีเด็กไม่ได้หายตัวไป ไม่รู้ว่าวางแผนใดลับหลังกันแน่”
ตอนที่ 65-1 โหดร้ายทารุณ
ได้ยินพระชายาอิงชินอ๋องบอกเช่นนี้ เซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้นว่า “เป็นดังคาด”
“หวาเอ๋อร์ เจ้ารู้สิ่งใดแล้วหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองนางด้วยความมึนงง
“ท่านแม่ ข้าแค่รู้สึกว่าเกิดเรื่องขึ้นในเมืองมากเช่นนี้ ผู้อยู่เบื้องหลังกับจวนอวี้เชียนอ๋องต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่ ท่านว่าหลานชายอวี้เชียนอ๋องหายไป เขาไม่เพียงแค่ไปหาฝ่าบาท จวนอิงชินอ๋อง จวนจงหย่งโหว และจวนใหญ่อื่นๆ ภายในเมือง อำนาจแต่ละฝ่ายต่างมีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ทั้งหลอกตบตาเขาก็ดี ทั้งมีไมตรีช่วยเขาตามหาหลานชายจริงๆ ก็ดี สุดท้ายก็มีการเคลื่อนไหวเกี่ยวพันไปหมดทั้งในและนอกเมืองหลวง หลังเกิดเรื่องก็เกิดคดีสังหารตามมาไม่หยุด ลูกหลานเขาหายตัวไปกลับทำให้ถูกมองข้ามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีพวกนี้ได้ง่าย บางทีอาจชักนำให้เข้าใจผิด” เซี่ยฟางหวารั้งมือพระชายาอิงชินอ๋องนั่งลงแล้วกล่าวขึ้น
“จวนอวี้เชียนอ๋อง” พระชายาอิงชินอ๋องกระแทกถ้วยชา กล่าวด้วยโทสะ “พวกเขาหมายจะทำสิ่งใดกันแน่ ต้องการปั่นป่วนหนานฉินรึ”
“ตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดาของข้า ยังตัดสินชี้ชัดมิได้ ท่านแม่อย่างเพิ่งร้อนใจเลย” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเบา “ข้าให้คนนำเรื่องนี้ไปบอกฉินเจิงแล้ว เขาน่าจะมีความคิดใดบ้าง”
พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ระงับโทสะลง ลูบมือนาง “อวี้เชียนอ๋องเข้าเมืองมาเพราะรัชทายาท หากเขาเกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลังจริง ไม่รู้ว่ารัชทายาททรงทราบหรือไม่ หากเป็นรัชทายาทที่ทรงชี้แนะให้ทำ เช่นนั้น…” นางพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
“หากรัชทายาททรงนำบ้านเมืองมาล้อเล่น เช่นนั้นก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นจักรพรรดิ” เซี่ยฟางหวายิ้ม
พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า
“อวี้เชียนอ๋องก็ใช้แซ่ฉิน เป็นราชนิกุลหนานฉินเช่นกัน” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก “ฉินอวี้ใช้งานอวี้เชียนอ๋อง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเป็นดาบสองคม” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทราบหรือไม่ ตอนนั้นเหตุใด
อวี้เชียนอ๋องถึงได้เขตปกครองที่หลิงหนาน”
“เรื่องนี้ข้ารู้” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “สมัยนั้นเนื่องจากท่านอ๋องมีความผิดปกติที่ขาจึงหมดสิทธิ์ได้สืบทอดราชบัลลังก์ บรรดาองค์ชายต่างช่วงชิงประจบสอพลอไทเฮากับท่านอ๋อง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงมีไหวพริบเรียนรู้ไว มีพรสวรรค์รอบด้าน มีชื่อเสียงควบคู่มากับซื่อจื่อเซี่ย ราชวงศ์มีองค์ชายเช่นนี้กำเนิดขึ้นมา ถึงแม้เขาไม่คิดแย่งชิงก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาขององค์ชายท่านอื่น เต๋อฉือไทเฮาทรงเลือกหลี่ว์กุ้ยเหรินกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้ชาญฉลาดจากบรรดาองค์ชาย ระหว่างสนับสนุนให้ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ต้องผ่านการประลองฝีมืออย่างสุดกำลังจากทั้งที่แจ้งและที่ลับ ในที่สุดก็ได้สืบทอดราชบัลลังก์”
เซี่ยฟางหวาพยักหน้า เรื่องนี้นางพอทราบมาบ้าง
“บรรดาองค์ชายจากตอนนั้น ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงอวี้เชียนอ๋องผู้เดียว นั่นย่อมมีสาเหตุเช่นกัน ตอนนั้นมีพี่น้องจำนวนมาก การแย่งชิงตำแหน่งครั้งนั้นส่งผลให้ทั้งตาย ทั้งบาดเจ็บ ทั้งถูกเนรเทศ อวี้เชียนอ๋องกลับไม่เคยร่วมแย่งชิงบัลลังก์เลย ทำเพียงแค่แลกสิ่งที่มีอยู่ในมือเพื่อเอาตัวรอด” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “หากทำตามความคิดของไทเฮา อวี้เชียนอ๋องก็ไม่ควรไว้ชีวิตเช่นกัน แต่ท่านอ๋องมีเมตตา คิดว่าพี่น้องทั้งหลายต่างมีจุดจบอันน่าเวทนาแล้ว หากแม้แต่อวี้เชียนอ๋องที่ไม่นิยมความขัดแย้ง ปรารถนาเพียงปกป้องตัวเองเท่านั้นยังไม่ยอมไว้ชีวิต เช่นนั้นจะสร้างชื่อเสียงแง่ลบแก่ฝ่าบาท ถูกอนุชนประณามไปอีกพันปี ฝ่าบาททรงคิดว่ามีเหตุผล ครั้นแล้วก็ไว้ชีวิตอวี้เชียนอ๋อง มอบเขตปกครองหลิงหนานให้ดูแล”
เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ
“อวี้เชียนอ๋องอยู่ที่หลิงหนานตลอดมา กระทั่งก่อนไทเฮาสวรรคต ทรงออกพระราชเสาวนีย์สั่งเสียไว้ล่วงหน้าว่าห้ามอวี้เชียนอ๋องกลับมาร่วมพิธีไว้ทุกข์โดยเด็ดขาด” พระชายาอิงชินอ๋องบอก “ดังนั้นสี่ปีก่อน
อวี้เชียนอ๋องจึงไม่ได้กลับมา กระทั่งปีนี้ฝ่าบาททรงอาศัยวันเกิดท่านอ๋อง เรียกอวี้เชียนอ๋องกลับเมือง ฟังว่าเป็นความคิดของฉินอวี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้เชียนอ๋องกลับเมืองหลวงหลังจากที่ฝ่าบาททรงราชาภิเษก”
“หลิงหนาน ความจริงแล้วเป็นดินแดนที่ห่างสายพระเนตรฮ่องเต้” เซี่ยฟางหวาบอก “อีกอย่างเท่าที่ข้าทราบมา หลิงหนานมีอัจฉริยะบุคคลจำนวนมาก”
“หวาเอ๋อร์ เจ้าจะบอกว่าอวี้เชียนอ๋องมีเจตนาเป็นปรปักษ์หรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมองนาง
“นี่ต้องถามรัชทายาทแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ในเมื่อรัชทายาทกล้าใช้เขาก็ต้องมีเหตุผลเป็นแน่”
พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจก่อนนวดหว่างคิ้ว “ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เจ้ารีบพักผ่อนดีกว่า บอกแล้วว่าจะไม่ให้เจ้ากังวลใจ ข้ากลับนำเรื่องนี้มาปรึกษาเจ้าก่อน”
“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางส่ายหน้า
พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนางก่อนลุกขึ้นยืน กำชับสองสามประโยคก่อนออกจากเรือนลั่วเหมย
เซี่ยฟางหวานั่งต่ออีกพักหนึ่งก่อนกลับไปนอนที่เตียง ไม่นานก็ผล็อยหลับไป
ไม่รู้ว่าหลับไปนานเพียงใด กระทั่งสัมผัสได้ว่าบนหน้ามีบางสิ่ง นางยกมือปัดมันออกไปให้พ้นดวงหน้า ทว่าไม่นานสิ่งนั้นก็กลับมาก่อกวนบนใบหน้าอีกครั้ง นางยกมือจับมันเอาไว้แล้วลืมตาขึ้น
ภาพเบื้องหน้าเป็นนิ้วมือที่ถูกนางจับเอาไว้ นางหันหน้าเชื่องช้า ถึงเห็นว่าฉินเจิงนั่งพิงตั่งอยู่ข้างเตียงอย่างเกียจคร้าน เขากำลังเหลือบมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟัง “ตื่นแล้วรึ”
“เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวากะพริบตามอง เขย่านิ้วมือเขาถามขึ้น
“ครึ่งชั่วยามก่อน” ฉินเจิงมองนาง “ข้าเห็นว่าฟ้ามืดแล้วแต่เจ้ายังไม่ยอมตื่น กลัวว่าเจ้าจะหลับไปจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้จึงได้แต่ต้องปลุกเจ้าขึ้นมา”
เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นนั่งเชื่องช้า พบว่าจุดตะเกียงในห้องแล้วเพราะภายนอกมืดสนิท “ยามใดแล้ว”
“ยามซวี*[1]แล้ว” ฉินเจิงตอบ
“ดึกขนาดนี้แล้วรึ ข้าหลับไปถึงครึ่งวันเชียวรึ” เซี่ยฟางหวาตกใจ
“คล้ายเป็นเช่นนั้น” ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา
เซี่ยฟางหวาปล่อยนิ้วเขา ก่อนล้มตัวลงนอนใหม่อย่างเกียจคร้าน “น้อยครั้งจะไม่ฝันถึงสิ่งใดเลย”
“ยังอยากนอนต่ออีกหรือ” ฉินเจิงมองนาง
เซี่ยฟางหวาหาวก่อนตอบ “อืม”
“ไม่ต้องนอนต่อแล้ว ลุกมากินมื้อเย็นก่อน คนในหมู่บ้านของหลี่มู่ชิงส่งปลาเหลืองมาให้เขาหลายตัว เขารู้ว่าช่วงนี้ร่างกายเจ้าไม่ค่อยแข็งแรงจึงให้คนนำมาให้ ข้าสั่งคนครัวนำไปทำอาหารแล้ว” ฉินเจิงดึงนางขึ้นมา
“ปลาเหลืองรึ” เซี่ยฟางหวารีบลุกขึ้นทันที
“เขารู้ด้วยว่าเจ้าชอบสิ่งใดบ้าง” ฉินเจิงดีดหน้าผากนาง ลุกลงจากเตียงด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง
เซี่ยฟางหวาลูบศีรษะป้อยๆ รอให้ตัวเองตื่นดีแล้วก็ลุกตามเขามา “วันนี้มีสิ่งใดคืบหน้าบ้างหรือไม่”
“ไม่มี” ฉินเจิงนั่งลงที่โต๊ะ รินน้ำชาส่งให้นาง
เซี่ยฟางหวามองเขา ออกไปตั้งหนึ่งวันจะไม่มีความคืบหน้าใดเลยได้อย่างไร เพียงแค่ไม่อยากบอกนางก็เท่านั้น นางเบะปากแล้วยกน้ำชาขึ้นดื่ม เมื่อเขาไม่บอก นางก็ไม่ซักถามต่อ
ไม่นานซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเย็นเข้ามา
เซี่ยฟางหวาเห็นว่ากับข้าวมีปลาเหลืองจริง นางรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วยิ้มกล่าว “ปลาเหลืองมีถิ่นกำเนิดในทะเลบูรพา นึกไม่ถึงว่าหมู่บ้านของหลี่มู่ชิงจะหาปลาชนิดนี้มาได้ ดูท่าคงมีคนเคยไปทะเลบูรพามาแล้ว”
“ตอนนำปลามาให้ เขาบอกว่ามีกิจการทางน้ำอยู่ โดยเฉพาะการกู้ภัยเลียบทะเลบูรพา หากเจ้าต้องการสิ่งใดก็ขอความช่วยเหลือจากเขาได้” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“ท่าทางเรื่องท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีไปทะเลบูรพาคงเผยแพร่ออกไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม
ฉินเจิงไม่ออกความเห็น
“ในเมื่อเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็มีเรื่องให้เขาช่วยเล็กน้อย” เซี่ยฟางหวาครุ่นคิด “พรุ่งนี้ให้เขามาที่จวนของเราหน่อย ข้าจะคุยกับเขาต่อหน้า”
“ไม่ได้” ฉินเจิงปฏิเสธทันที “เจ้าจะให้เขาทำอะไร ข้าจะบอกแทนให้”
เซี่ยฟางหวาตวัดตามองเขา
“จิตใจเขาจะได้ไม่ว้าวุ่น” ฉินเจิงแค่นเสียงในลำคอเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็รบกวนสามีไปบอกคุณชายหลี่ด้วยว่า หากเขามีเรือเดินทะเลเยอะ ข้าขอยืมสักสิบลำ” เซี่ยฟางหวาหัวเราะ
“เจ้าต้องการเรือเดินทะเลมากขนาดนั้นไปทำไม” ฉินเจิงเลิกคิ้ว
“คุ้มครองท่านปู่ออกทะเลน่ะสิ แม้ข้าเตรียมไว้เองแล้วสองลำ แต่จะไปเพียงพอได้อย่างไรกัน” เซี่ยฟางหวาทำท่าเหมือนเป็นความลับ
“ได้ พรุ่งนี้ข้าจะบอกเขาให้” ฉินเจิงรับคำ
ทั้งคู่คุยเล่นอีกครู่หนึ่งก่อนตั้งใจทานมื้อเย็น
หลังมื้อเย็นจบลง ฉินเจิงนั่งพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า เมื่อเซี่ยฟางหวาสั่งคนเข้ามาเก็บกวาดอาหารที่เหลือบนโต๊ะก็ลุกขึ้นยืน เดินมาซ้อนหลังฉินเจิง ก่อนยกมือนวดไหล่ทุบหลังให้เขา
“เดิมข้านึกว่าจะแต่งคุณหนูเข้ามา ข้าต้องเป็นคนคอยปรนนิบัติ ไม่นึกเลยว่าจะได้ผลลัพธ์เหนือความคาดหมายไปมาก ตอนนี้เห็นแล้วว่าเป็นภรรยาที่ดี” ฉินเจิงเอ่ยขึ้นอย่างเพลิดเพลินยิ่ง
เซี่ยฟางหวาได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ทุบอย่างแรง
ฉินเจิงร้องอุทานก่อนพึมพำขึ้น “ชมก็ไม่ได้”
เซี่ยฟางหวาหัวเราะ ผ่อนกิริยาอ่อนลง
ผ่านไปพักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าฉินเจิงจะนั่งหลับบนเก้าอี้
เซี่ยฟางหวาผละมือออกเชื่องช้า นิ่งมองเขาเงียบๆ หลายวันนี้เขาคงเหนื่อยมาก มักจะหลับไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้เสมอ…
ฉินเจิงที่นางรู้จักควรเป็นชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ควบม้าสะบัดแส้ เป็นคุณชายผู้โดดเด่นสะดุดตาในเมืองหลวง มีบุคลิกสง่าผ่าเผย กระทำตามอำเภอใจ ไม่เอาจริงเอาจัง เต็มไปด้วยความยโสโอหัง ไม่ควรแบกรับความรับผิดชอบในราชสำนักไว้บนบ่าเช่นนี้ เรื่องแล้วเรื่องเล่าทับบนศีรษะเขาจนกลบนิสัยตามอำเภอใจไปแล้ว ทำให้รู้สึกถึงแรงกดดันอย่างยิ่ง
นางมองเขาพักหนึ่ง คิดอยากปลุกเขา ทว่าก็รู้สึกว่าน้อยครั้งจะเห็นเขาหลับเช่นนี้จึงตัดสินใจไม่ปลุก ปล่อยให้เขาได้หลับต่ออีกสักหน่อยแล้วกัน
“คุณหนู” ไม่นานซื่อฮว่าก็ส่งเสียงเรียกแผ่วเบาจากหน้าประตู
เซี่ยฟางหวาเดินออกมาเปิดประตูมองนาง “มีเรื่องใด”
“จดหมายจากคุณชายเหยียนเฉินเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ายื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้
เซี่ยฟางหวารับมาเปิดอ่านเชื่องช้า จดหมายอีกฉบับหนึ่งจากข้างในร่วงตกลงบนพื้นขณะนางเปิดออก นางย่อตัวเก็บกระดาษจดหมายขึ้นมา พบว่าข้างในเขียนข้อความสั้นๆ บรรทัดหนึ่ง ลงชื่อแนบท้ายไว้ว่าฉินอวี้
เซี่ยฟางหวาอ่านจบก็ขมวดคิ้ว เก็บกระดาษจดหมายนั้นไว้แล้วเปิดอ่านจดหมายของเหยียนเฉิน เนื้อความในจดหมายของเขาก็เขียนไว้สั้นๆ เช่นเดียวกัน
เซี่ยฟางหวาอ่านจบก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณหนู เกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา
“เกิดโรคห่าระบาดที่เมืองหลินอันจริง เริ่มคร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า
“แล้วท่านโหวเล่า” ซื่อฮว่าตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป
“ตอนนี้ท่านพี่ปลอดภัยดี” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก “เมื่อโรคห่าระบาดขึ้นมา ลำพังแค่กำลังของคนคนเดียวเกรงว่ายากจะควบคุมได้” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฐานะพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีของเหยียนเฉินจะถูกเปิดโปงแล้ว หากมีคนอาศัยเรื่องโรคห่าระบาดก่อเรื่อง ผลลัพธ์เป็นเช่นไรคงทราบดี”
“เช่นนั้นทำอย่างไรดีเล่า” ซื่อฮว่าเอ่ยถามเสียงเบา “หรือว่าคุณหนูจะไปเมืองหลินอันเอง ร่างกายท่านเพิ่งจะดีขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น…”
“ในเมื่อเป็นโรคห่าระบาดจริง ถึงแม้ร่างกายข้าไม่พร้อมก็ต้องไป” เซี่ยฟางหวาเก็บจดหมายแล้วบอกซื่อฮว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ข้าจะปรึกษาฉินเจิงก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง”
“เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากลับออกไป
*ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19:00 น. – 21:00 น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น