ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 599.1-602

ตอนที่ 599 - 1 ชิงท่านข่าน

 

ขณะนี้กำลังเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมากที่สุด ถูสั่วจั่วกวาดล้างทั้งทุ่งหญ้า กำลังมหาศาลไร้เทียมทาน เอาชนะดินแดนที่มีคุณสมบัติท้าประลองที่มีอยู่ทั้งหมด สมญานามผู้กล้าอันดับหนึ่งต้องเป็นของมันแน่นอน หากข่านใหญ่พึงพอใจมัน ก็จะปล่อยให้มันเอาดาบทองไป ถูสั่วจั่วได้รับทั้งชื่อเสียงและหญิงงาม นับแต่นี้จะเป็นท่านข่านผู้เป็นหนึ่งไม่มีสองบนทุ่งหญ้า 


 


 


ช่วงเวลานี้สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ร่างอวี้เจีย ขอเพียงนางผงกศีรษะเบาๆ ประวัติศาสตร์ของทุ่งหญ้าและแคว้นข่านถูกเจวี๋ยก็จะถูกเขียนขึ้นใหม่ ตัวของถูสั่วจั่วจึงยิ่งตาไม่กะพริบ เนตรพยัคฆ์จ้องมองเงาร่างอันงดงามน่าลุ่มหลงนั้นเขม็ง 


 


 


“ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้ายินดีให้ถูสั่วจั่วเป็นสามีของข้าหรือไม่?!” เสียงสตรีดังไพเราะเสนาะหูกวาดผ่านทุ่งหญ้าราวสายลมยาววสันต์ เข้าสู่ใบหูของทุกคน อ่อนโยนและอบอุ่น อวี้เจียยิ้มแย้มพลางเอ่ยถามข่านน้อยที่อยู่ข้างกาย ดวงหน้าประดุจหยกของนางเปล่งประกายสีทองเจิดจรัสท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง แม้จะให้ข่านใหญ่กุมอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือทว่าอนาคตของทุ่งหญ้านั้นเป็นของซ่าเอ่อร์มู่ คำถามนี้เป็นการให้เกียรติเจ้าแห่งทุ่งหญ้าในอนาคต 


 


 


ข่านน้อยคิดแล้วคิดอีก ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อ๋องขวากำลังวังชาไร้ขีดจำกัด เป็นผู้กล้าผู้มีชื่อเสียงในทุ่งหญ้า ร้ายกาจมาก เพียงแต่ด้านการยิงธนูกลับยอดเยี่ยมสู้ท่านข่านใหญ่ไม่ได้!” 


 


 


เสียงเด็กน้อยอันกระจ่างชัดของเขาแฝงความเยาว์วัยดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้าในน้ำเสียงแฝงความเสียดายอยู่บางๆ ความหมายแฝงในประโยคสุดท้ายไม่ว่าใครก็ฟังออก  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่รอบด้านเริ่มกระซิบกระซาบ ข่านน้อยพูดไม่ผิด อ๋องขวาอาจสยบทุกดินแดนได้ แต่มันไม่ได้สยบอวี้เจีย อย่างน้อยด้านการยิงธนูก็ไม่อาจสยบนางได้ 


 


 


หากอวี้เจียสตรีทูเจวี๋ยเป็นสตรีสามัญชนก็ช่างมันเถอะ แต่นางดันเป็นข่านใหญ่ดาบทอง เป็นผู้ปกครองอันแสนจะโดดเด่นซึ่งทั้งงดงาม มีสติปัญญา และมีความสามารถในการรบ เป็นยอดคนที่ร้อยปีพันปีถึงจะมีสักคนหนึ่ง ผู้กล้าทั่วทั้งทุ่งหญ้าไม่มีผู้ใดไม่เคารพเทิดทูนนางรักใคร่นาง? อ๋องขวาดาบเงินนางจากใช้กำลังกล้าแกร่งเอาชนะนาง ไม่ว่าเรื่องสติปัญญาหรือว่าฝีมือการยิงธนูต่างอ่อนด้อยกว่าข่านใหญ่ยิ่งนัก ให้ข่านใหญ่ดาบทองผู้งามพิลาสนางนี้ตบแต่งกับบุรุษที่ไม่อาจสยบนางได้ นี่เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการออก เป็นการหมิ่นเกียรติผู้กล้าทูเจวี๋ย 


 


 


คำพูดของซ่าเอ่อร์มู่ไม่หนักไม่เบา แต่กลับทำให้สภาพจิตใจของชาวทูเจวี๋ยเกิดความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างน่าอัศจรรย์ทันที เลือกผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดในทูเจวี๋ยเพื่อไปเด็ดดอกนุ่นอันสูงศักดิ์ที่สุด เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นเรื่องเล่าขานที่แพร่หลายไปนานนับพันปีบนทุ่งหญ้าเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ จู่ๆ ชาวทูเจวี๋ยกลับพบว่าถูสั่วจั่วผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดอะไรที่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าดอกนุ่นผู้สูงศักดิ์ของตนกลับมีแต่จุดบกพร่องทั่วร่าง ไม่อาจหยิบยกเอ่ยถึงเคียงคู่ได้เลย ความคิดเช่นนี้ทำให้ชาวทูเจวี๋ยหมดอารมณ์ทันที ความเคารพเทิดทูนที่มีต่ออ๋องขวาก็ลดลงไปมากเช่นกัน 


 


 


คำพูดของข่านน้อยสะกิดบาดแผล ความหงุดหงิดโมโหของถูสั่วจั่วเอ่ยถึงก็รู้ได้ เพียงแต่ซ่าเอ่อร์มู่อายุยังน้อย ทั้งยังกล่าวความจริงอีก อ๋องขวาไม่อาจแสดงโทสะออกมาได้ มันแค่นเสียง ควบม้าไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่ มุ่งไปยังดาบทองที่อยู่กลางสนาม ดูจากท่าทางนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการบีบให้อวี้เจียแสดงท่าทีแล้ว 


 


 


“น้องหลิน เจ้าคนแซ่ถูคนนี้ยังต่ำช้ามากกว่าเจ้าเสียอีกนะ!” เกาฉิวทนดูไม่ได้จริงๆ ส่งเสียงด่าทออย่างมีน้ำโห 


 


 


ข้าต่ำช้ามากเลยหรือ?! แม่ทัพหลินกลอกตาค้อน หงุดหงิดและอายจนกลายเป็นโทสะ 


 


 


ข่านน้อยหงุดหงิดบ้างแล้วเช่นกัน การกระทำเช่นนี้ของอ๋องขวาเป็นการดูแคลนอำนาจของเขาเป็นยิ่งนัก เขาจับมือพี่สาวแน่น หน้าตาบึ้งตึง พูดเสียงดังออกมาว่า “ถูสั่วจั่ว ลองดูรายชื่อเสียก่อน เจ้านึกว่าตนเองสยบดินแดนทั้งหมดได้แล้วหรือ?!” 


 


 


เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา หลินหว่านหรงก็อึ้งเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ปรบมือฉาดอย่างเร็วรี่ สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ “แย่แล้ว!” 


 


 


หูปู้กุยถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพ อะไรแย่หรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด “พี่หู ในดินแดนที่ชนะสามครั้งต่อเนื่องขึ้นไปทั้งหมด เหลือแค่พวกเราที่ไม่ได้ประมือกับถูสั่วจั่วใช่หรือไม่?!” 


 


 


“น่าจะใช่ขอรับ!” หูปู้กุยคิดแล้วคิดอีก สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยน กล่าวด้วยความตกใจอย่างยิ่ง “ท่านแม่ทัพ ท่านหมายความว่าพวกเราเอาชนะสามรอบ แต่กลับไม่ได้ไปแข่งกับถูสั่วจั่วเลยมีคนสังเกตเห็นพวกเราแล้ว?!” 


 


 


ช่างรอบคอบร้อยละเลยเพียงหนึ่งเสียจริง! หลินหว่านหรงหงุดหงิดเสียใจอย่างบอกไม่ถูก เอาชนะสามรอบก็เข้าเมืองได้ เดิมทีเป็นเรื่องปราศจากพิรุธ แต่พวกเขากลับไม่ได้ลงสนามอีก เรื่องนี้หากอยู่ในสายตาชาวทูเจวี๋ยทั่วไปบางทีอาจไม่เป็นอะไร แต่อวี้เจียผู้นั้นเป็นใครกัน? ในเมื่อนางแขวนดาบทอง ทั้งยังลอบระวังป้องกันถูสั่วจั่ว กับสถานการณ์ในสนามแห่งนี้ย่อมรู้ดีราวกับนิ้วมือตัวเอง เยวี่ยซื่อที่ไม่เคยพ่ายแพ้กลับไม่ออกรบอีก นี่จะไม่สร้างความสงสัยให้นางได้อย่างไร? 


 


 


เดิมทีคิดจะเป็นดินแดนที่ไม่มีใครสนใจมากที่สุด ตอนนี้กลับดีเลย กลายเป็นจุดศูนย์รวมที่มีแต่คนสนใจ ความหงุดหงิดเสียใจของเขาไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว หากรู้ตั้งแต่แรกก็จะสู้อีกสักรอบ สู้ให้มันแพ้ไปเลย! 


 


 


เกาฉิวรู้สึกถึงปัญหาที่แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ก็บอกว่าพวกเราสู้อ๋องขวาไม่ได้ ยอมแพ้ทันทีก็ไม่จบเรื่องแล้วหรือ?!” 


 


 


“ไม่ได้” หูปู้กุยส่ายหน้าอย่างแรง “น้องเกา เจ้าไม่เข้าใจนิสัยชาวทูเจวี๋ย ชนเผ่านอกด่านเคารพเทิดทูนความสามารถในการรบ ไม่ว่าดินแดนใหญ่เล็กแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ไม่มีดินแดนใดที่เลือกยอมแพ้โดยไม่รบ เจ้าก็เห็นแล้ว ถูสั่วจั่วมีกำลังกล้าแกร่งมากขนาดนั้น แต่ก็ยังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนไปท้าประลองมัน นี่ก็คือทุ่งหญ้า หากพวกเราบุ่มบ่ามยอมแพ้ กลับจะสร้างความน่าสงสัย” 


 


 


“เช่นนั้นไม่สู้ก็ไม่ได้แล้วสิ?” เกาฉิวพูดอย่างไม่แยแส “เช่นนั้นพวกเราก็จงใจแพ้ระหว่างสู้ตัดสินให้ถูสั่วจั่วก็ได้ ไม่เหมือนกันหรอกหรือ!” 


 


 


จงใจแพ้ให้ถูสั่วจั่วอะไรกัน? ต่อให้ไม่จงใจ เจ้าสู้ผู้อื่นเขาได้หรือ? 


 


 


เหล่าหูเหลือบมองเกาฉิวด้วยความขบขันหลายครั้ง กล่าวกับหลินหว่านหรงว่า “น้องเกากล่าวมีเหตุผล พวกเราไม่อาจยอมแพ้โดยตรง แต่ก็เลือกแพ้ระหว่างสู้ตัดสินได้” 


 


 


“ต่อให้คิดจะแพ้ก็ไม่ใช่ข้าพูดแล้วจบเรื่อง ตอนนี้พวกเราเป็นหมากที่อยู่ในมือของผู้อื่นแล้ว” หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า ความหงุดหงิดปรากฏให้เห็นโดยไม่ต้องเอ่ย  


 


 


แพ้ก็ไม่ได้? นี่มันเหตุผลอะไรกัน แล้วพวกเราเป็นหมากของใคร? เหล่าเกากับเหล่าหูต่างสบตากันด้วยความสงสัยหลายครั้ง 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ข้าควรคิดได้ตั้งแต่แรก หลังจากดินแดนของปาเต๋อหลู่พ่ายแพ้ อวี้เจียต้องคิดหาวิธีการใหม่ เยวี่ยซื่อชนะต่อเนื่องสามรอบแต่ไม่ออกรบอีก ต้องหนีไม่พ้นสายตานางแน่นอน ผู้ชนะก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกถูสั่วจั่วโจมตีพ่ายแพ้ไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ต้องเลือกแล้ว” 


 


 


“แต่ต่อให้พวกเราลงสนามก็ไม่แน่ว่าจะชนะนะขอรับ!” หูปู้กุยพูดพึมพำ 


 


 


“พวกเราไม่แน่ว่าจะชนะ แต่อวี้เจียต้องไม่แพ้แน่! พวกเราไม่รู้ว่านางจะใช้วิธีการใด สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ ครั้งนี้พวกเรากลายเป็นแพะรับบาปตัวโตในการสู้ตัดสินกับอ๋องขวา!” หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดเหลือล้น 


 


 


เกาฉิวกลับปลงตก กล่าวระคนหัวเราะออกมา “สู้ตัดสินก็สู้ตัดสินสิ ฉวยโอกาสลากถูสั่วจั่วลงจากม้า ให้น้องหลินเจ้าไปเป็นสามีของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ คลอดลูกชายสักสิบกว่าคน เลือกคนหนึ่งเป็นท่านข่าน พวกเราปกครองทุ่งหญ้าอย่างสงบสุข!” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นชัดว่าเห็นด้วยกับความคิดของเหล่าเกา เพียงแต่พวกเขากลับลืมไป ต่อให้ได้รับชัยชนะจริง งานเลี้ยงใหญ่คืนนี้ อวี้เจียจะเปิดผ้าคลุมหน้าของพวกเขาต่อหน้าทุกคน ถึงเวลาจะเกิดการเข่นฆ่ากันอย่างไรบ้างก็ไม่ยากที่จะจินตนาการ 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มขื่น “เอาชนะก็เป็นเรื่องดีแล้วหรือ นั่นมันก็แค่ทำงานให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์โดยไม่ได้อะไรกลับมาเสียมากกว่า ถึงตอนนั้นถูสั่วจั่วเกลียดพวกเราเข้ากระดูกดำ แต่อวี้เจียกลับป่าวประกาศออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ได้ว่านางไม่ถูกใจผู้กล้าที่ได้รับชัยชนะคนไหนเลย ทำให้ถูสั่วจั่วซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล เรื่องอ๋องขวาบีบให้แต่งงานย่อมเลิกแล้วกันไป” 


 


 


แพ้ก็ไม่ได้ ชนะก็ยาก ศึกครั้งนี้ช่างสู้ยากจริงๆ หูปู้กุยกับเกาฉิวต่างมองหน้ากัน ไม่คิดว่าเดินผิดไปก้าวเดียวกลับต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้ 


 


 


“ช่างเถอะ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลาค่อยทำตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ที่ควรสู้ก็สู้ ที่ควรหนีก็หนี สรุปแล้วไม่อาจเปิดเผยสถานะของพวกเราได้ และไม่อาจให้เหล่าพี่น้องเสียเปรียบด้วยเช่นกัน!” แม่ทัพหลินกัดฟันกรอด พูดตัดสินใจหนักแน่น 


 

 

 


ตอนที่ 599 - 2 ชิงท่านข่าน

 

เมื่อคำพูดของข่านน้อยหลุดออกมา ถูสั่วจั่วอึ้งเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ในเผ่ามันมีคนวิ่งออกมาข้างหน้าแล้ว นำรายชื่อของแต่ละชนเผ่าที่ได้รับชัยชนะมาตรงหน้ามัน  


 


 


อ๋องขวาพลิกอ่านไปหลายหน้า จากนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “เหลือแค่เยวี่ยซื่อเล็กๆ เพียงแห่งเดียวเท่านั้นเอง พวกมันขวัญฝ่อตั้งแต่แรก ไม่กล้าลงสนามไปแล้ว…” 


 


 


“ใครบอกว่าพวกเราไม่กล่าลงสนาม?! ไป!” หูปู้กุยตวาดด้วยภาษาทูเจวี๋ย ทหารม้าราวสิบกว่าคนข้างหลังที่เหลือบุกเข้าสนามราวกับลมพายุหมุน เชิดหน้าอย่างภาคภูมิ จ้องตาถูสั่วจั่ว 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสุดท้ายจะยังมีคนที่ไม่กลัวตายกล้าท้าประลองถูสั่วจั่วอยู่อีก มิหนำซ้ำยังเป็นดินแดนที่อ่อนแอและเล็กที่สุดบนทุ่งหญ้าอีกด้วย  


 


 


ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่พูดเสียงดัง “เผ่าเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าชนะต่อเนื่องสามรอบ ทั้งยังมีความกล้ามหาศาลมาท้าประลองอ๋องขวา จิตใจช่างน่าชื่นชมเสียจริง ประทานแพะอ้วนพีให้อีกห้าร้อยตัว หากได้รับชัยชนะ ข้าจะประทานม้าเหงื่อโลหิตให้อีกหนึ่งตัว!” 


 


 


ม้าเหงื่อโลหิตเป็นสัตว์เทพขั้นใด ชนเผ่านอกด่านที่อยู่รอบด้านต่างอิจฉาเป็นล้นพ้น นี่เป็นการเสนอให้ก่อนที่จะสู้จนอ๋องขวาพ่ายแพ้ การชนะสามรอบของเยวี่ยซื่อ นอกจากจะลงมือโหดเ**้ยมเป็นพิเศษแล้วก็ไม่มีอะไรโดดเด่น กระทั่งว่ายังแฝงการอาศัยจังหวะและโชคช่วยเล็กน้อยอีกด้วย ให้พวกมันไปล้มอ๋องขวาจะทำด้หรือ? 


 


 


“เยี่ยม!” ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ในเมื่อพวกเจ้ากล้ามา ข้าก็จะจัดการพวกเจ้าเช่นกัน ข่านน้อย ม้าเหงื่อโลหิตของพระองค์ตัวนั้นเกรงว่าคงไม่ได้ประทานแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฮ่าๆๆ!” 


 


 


เมื่อได้ยินอ๋องขวาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เหล่าเกาหัวเราะฮิคราหนึ่ง “มิน่าอวี้เจียถึงไม่ชอบมัน เจ้าหน้าขาวทูเจวี๋ยคนนี้หัวเราะช่างน่าเกลียดมารดามันเสียจริง อย่างกับเป็ดตัวผู้!” 


 


 


สนามแห่งนี้เหลือแค่เยวี่ยซื่อกับอ๋องขวาสองดินแดนแล้ว ทั้งสองฝ่ายยืนนิ่งอยู่ที่จุดเริ่มต้น ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ อวี้เจียนั่งอยู่บนปะรำพิธียาว สีหน้าเรียบเฉย ปราศจากความผิดปกติแม้แต่น้อย 


 


 


เหตุใดนางถึงยังไม่เคลื่อนไหวอีก หรือว่าข้าจะเดาผิด? หลินหว่านหรงลอบสงสัยอยู่ในใจ 


 


 


สองฝ่ายต่างประจำตำแหน่ง เสียงโห่ร้องของเหล่าชนเผ่านอกด่านดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้กลับแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งสร้างกำลังใจให้ ส่วนที่เหลือกลับตะโกนให้เยวี่ยซื่อ 


 


 


แตรสัญญาณของนักบวชยกไปที่ริมฝีปากอย่างแช่มช้า ขณะกำลังจะเป่ากลับได้ยินเสียงสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้น “ช้าก่อน!” 


 


 


ทุกคนต่างเงยหน้ามอง กลับเป็นข่านใหญ่ดาบทองผุ้งดงามยืนขึ้นแล้ว กำลังยิ้มให้กับทุกคน 


 


 


อ๋องขวารอจนทนไม่ไหวตั้งแต่แรก รีบพูดขึ้นมาว่า “ข่านใหญ่ไม่ทราบว่าทรงมีรับสั่งอันใด?!” 


 


 


อวี้เจียเอ่ยอย่างแช่มช้า “ในเมื่อเป็นการแข่งขันชิงแพะรอบสุดท้าย ทั้งยังมีผู้กล้าที่ชมดูจำนวนมากขนาดนี้อีก ตัวข้าคิดว่าไม่สู้เพิ่มความยากให้มากขึ้นอีกสักหน่อยจะดีกว่า!! 


 


 


ก่อนหน้านี้ฝีมือยิงธนูของถูสั่วจั่วพ่ายแพ้ให้อวี้เจีย เป็นที่หัวเราะเยาะมาตั้งแต่แรก ครานี่พอได้ยินว่าข่านใหญ่จะเพิ่มความยาก หากมันชนะ เช่นนั้นก็จะอุดปากทุกคนได้ มันพลันรู้สึกยินดี หัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “แล้วแต่ข่านใหญ่ทรงรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้สายตาที่เอ่ยวาจาได้เหลือบมองทางนี้อีกครา หูปู้กุยพูดว่า “เยวี่ยซื่อปราศจากความเกรงกลัวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


อวี้เจียผงกศีรษะ เดินย่างแช่มช้าลงจากปะรำพิธี ประนมมือพร้อมออกแรงตบสองครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงกู่ร้องกระจ่างชัดหลายครั้ง ณ สถานที่อันห่างไกล อาชาน้อยงามสง่าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ ลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา 


 


 


ทุ่งหญ้าค่อยๆ เงียบสงัดลง ความฉลาดเฉลียวของท่านข่านดาบทองทุกคนต่างรู้ดี การเดิมพันซึ่งเกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางจะเสนอการทดสอบเช่นไรออกมา 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลิกตัวขึ้นม้า กระตุกบังเ**ยนอย่างแรง อาชาน้อยก่อเป็นแสงสายฟ้าแลบ เหินอากาศออกไปราวกับโผบิน วิ่งห้อตะบึงอย่างเร็วรี่บนทุ่งหญ้า ชาวทูเจวี๋ยปรบมือเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งสายน้ำบ่า ส่งเสียงชมเชยให้นาง  


 


 


ฝีมือการขี่ม้าของแม่หนูคนนี้ยังเก่งกล้ากว่าข้ามมากมายนัก แม่ทัพหลินลอบทอดถอนใจ กลับบ้านคราวนี้ต้องตั้งใจฝึกฝนวิชาขี่ม้ากับฮูหยินแต่ละคน ห้ามล้าหลังผู้อื่นเป็นอันขาด! 


 


 


อวี้เจียวิ่งไปถึงกึ่งกลางทุ่งหญ้ากลับดึงบังเ**ยนพร้อมหยุดลงอย่างแช่มช้า นางยิ้มแย้มเล็กน้อย พูดเสียงดังออกมาว่า “การแข่งขันสุดท้ายในวันนี้ให้เริ่มจากตรงนี้ ข้าหนึ่งคนหนึ่งม้ายืนอยู่ตรงนี้ จะไม่จากไปเด็ดขาด ทั้งสองใยต่อสู้ฆ่าฟันกันอย่างอิสระ แต่ห้ามแตะต้องข้ากับม้าของข้า ผู้ใดพาข้ากับม้าของข้าถึงเส้นชัยได้ก่อนก็จะได้รับชัยชนะ!” 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยตะลึงงัน จากนั้นก็ระเบิดเสียงโห่ร้องดังไปถึงขอบฟ้า ที่แท้การเพิ่มความยากที่อวี้เจียว่าไว้ก็คือข่านใหญ่ผู้งดงามลงสนามด้วยตนเอง ใช้ร่างกายเป็นแพะ สิ่งนี้เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันกันธรรมดาก่อนหน้านี้ยังสนุกสนานกว่าเป็นร้อยเท่า เร้าใจกว่าเป็นพันเท่า ความยากเช่นนี้เป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนชื่นชอบ  


 


 


เสียงโห่ร้องดังกึกก้องทั่วทุ่งหญ้า ความตื่นเต้นพัดผ่านทุกคน ชิงท่านข่านดาบทองผู้งดงาม นี่มันช่างเป็นเรื่องเร้าใจเสียเหลือเกิน! แม้แต่ถูสั่วจั่วเองก็ยังกระโดดโลดเต้นยินดีไม่ได้ นี่เห็นชัดว่าอวี้เจียกำลังให้โอกาสมัน ขอเพียงมันชิงพาอวี้เจียกับม้าของนางไปถึงเส้นชัยก่อน ความอับอายเรื่องฝีมือยิงธนูก่อนหน้านี้ถือว่าหายกันโดยสิ้นเชิง  


 


 


คนเราเมื่อบ้าคลั่งก็จะกลายเป็นโง่งม ต่อให้เป็นคนฉลาดอีกสักเพียงใดก็ไม่มีข้อยกเว้น อวี้เจียถือว่ากำจุดอ่อนของนิสัยมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ มองดูอ๋องขวาทูเจวี๋ยที่หน้าชื่นตาบาน ระรื่นรื่นรมย์ หลินหว่านหรงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างสงบนิ่งจิตใจกระจ่างชัดราวกับกระจกใส 


 


 


“ชิงท่านข่าน นี่มันกติกาอะไรกัน?!” หูปู้กุยงุนงงเล็กน้อยแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “ชิงท่านข่าน? ใครชิงใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ นี่ไม่ใช่กติกา แต่เป็นกับดัก! ครั้งนี้พวกเราถือว่าถูกคนเล่นงานแล้ว!” 


 


 


เกาฉิวส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายของเขา 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “เฉลยก็แล้วกัน การละเล่นชิงท่านข่านนี้ เป็นข้ออ้างให้อวี้เจียเข้าร่วมการชิงแพะเท่านั้น แต่นางดันปกปิดได้ดียิ่ง ล่อลวงใจชาวทูเจวี๋ยเป็นล้นพ้น แม้แต่ข้าก็ยังหวั่นไหวบ้าง” 


 


 


ไม่ฟังไม่รู้ พอได้ฟังก็ตกใจสะดุ้งโหยง แม่ทัพหลินพูดไม่ผิด โดยไม่รู้ตัว อวี้เจียกลับร่วมงานชิงแพะด้วยตัวเองแล้ว แต่ทุกคนต่างไม่รู้สึกตัว ด้วยความตกตะลึง หูปู้กุยจึงถามด้วยความสงสัยออกมา “เช่นนั้นเหตุใดพวกเราถูกคนเล่นงานล่ะขอรับ?!” 


 


 


แม่ทัพหลินถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้ไม่ว่าอวี้เจียเลือกดินแดนใดก็เหมือนกัน เพราะนางไม่ได้ต้องการให้พวกเราเอาชัยชนะให้นาง แต่แค่ต้องการตัวแทนเช่นนี้ ทำให้นางมีโอกาสเข้าร่วมการชิงแพะด้วยตัวเอง นางจะได้ขัดขวางชัยชนะของถูสั่วจั่วด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือ หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ เปลี่ยนเยวี่ยซื่อเป็นแมว เป็นดวงอาทิตย์ (เยวี่ยแปลว่าพระจันทร์) ดินแดนใดก็ได้ ขอเพียงเจ้ามีคุณสมบัติท้าทายถูสั่วจั่ว สำหรับอวี้เจียแล้วก็เหมือนกัน เพียงแต่น่าเสียดายที่พวกเราเป็นดินแดนที่ไม่คิดจะก้าวหน้ามากที่สุดบนทุ่งหญ้า เหลือตัวเองไว้ท้ายสุดอย่างโง่งม และรอบสุดท้ายนี้เป็นช่วงที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์มีเหตุผลในการเปลี่ยนกฎการแข่งขันมากที่สุด ผู้อื่นไม่อาจหาเหตุผลมาคัดค้านได้เลย ผลลัพธ์ พวกเรากระแทกปากกระบอกปืนอวี้เจียด้วยตัวเอง กลายเป็นของเล่นในมือนาง” 


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ทุกคนจึงเข้าใจ สติปัญญาของอวี้เจียเหนือล้ำกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการ 


 


 


“น้องหลิน เช่นนั้นรอบสุดท้ายพวกเราควรทำเช่นไร?!” เกาฉิวถามอย่างจริงจัง  


 


 


“ดูนาฬิกาทรายสามอันนั้น เวลาที่ยาวนานมากที่สุดก็ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ม้าของอวี้เจียย่อมขยับไม่ไปแน่ ถูสั่วจั่วก็อย่าคิดเช่นกัน ช่วงที่ยื้อกันนั้น เพื่อรับประกันชัยชนะ อ๋องขวาต้องบุกเข่นฆ่าพวกเรามากยิ่งขึ้นแน่ อวี้เจียต้องการสละเยวี่ยซื่อ ขัดขวางถูสั่วจั่ว” หลินหว่านหรงแค่นเสียง ดวงตาสาดประกายดุร้าย “ในเมื่อต้องปะทะแล้ว หลบก็หลบไม่พ้น เช่นนั้นพวกเราก็โหดกันสักหน่อย ลงมือก่อนเป็นผู้ได้เปรียบ พี่เกา ห้ามยั้งไมตรีกับผู้ใด เข้าไปแล้วเล็งไปที่ถูสั่วจั่ว ฟันมันให้ตาย!” 


 


 


“ได้!” เมื่อได้ฟังคำส่งของเขาเช่นนี้ เกาฉิวก็ตื่นเต้นจนเสียดสีกำปั้น เผชิญหน้ากับอ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้องอาจห้าวหาญ ครั้งนี้ถือเป็นการศึกที่มีจำนวนคนน้อยที่สุดครั้งแรกนับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้า แต่ยิ่งอันตรายมากที่สุดเท่าใด กลับยิ่งเร้าใจมากที่สุดเท่านั้น 


 


 


ท่านข่านดาบทองใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบเข้ามามุงรายล้อมตั้งแต่แรก เรื่องน่าสนุกสนานเช่นการชิงท่านข่านนี้ บนทุ่งหญ้าพันปีก็ยากจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง! ทุกคนต่างมีเพียงความคิดเดียว พวกมันจะรอดูว่าผู้ใดจะพาผู้ปกครองผู้งามพิลาสคนนี้บุกทะลวงเส้นชัย 


 


 


ถูสั่วจั่วกับเหล่าผู้กล้าของมันเสียดสีกำปั้น ดึงหัวม้าที่ขยับกระสับกระส่ายด้วยความตื่นเต้น เตรียมตัวออกเดินทางได้ทุกเมื่อ 


 


 


อวี้เจียขี่อยู่บนอาชาที่ยังไม่เจริญวัย ยืนอย่างสงบนิ่งอยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้า นัยน์ทั้งคู่ล้ำลึกดุจวารี ดวงหน้าสีทองผุดรอยยิ้มที่ทำให้คนลุ่มหลง 


 


 


“ปู๊น!” นักบวชเป่าแตรสัญญาณเสียงสั้นกระชั้น ทุ่งหญ้าเหมือนน้ำที่เดือดพล่านทันที ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างกรูไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ศึกสุดยอดครั้งเนื่องจากมีท่านข่านดาบทองเข้าร่วมด้วยพระองค์เอง ทุกอย่างจึงสลับซับซ้อนยากจะแยกแยะได้  


 


 


“ฆ่า!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ เขากับผู้กล้าสิบกว่าคนที่อยู่ข้างหลังกลายร่างเป็นกระบี่คมที่ออกจากฝัก เล็งไปที่ถูสั่วจั่ว พุ่งปราดออกไปอย่างรวดเร็ว  

 

 


ตอนที่ 600 - 1 ศึกครั้งใหญ่กับอ๋องขวา

 

ความเร็วของทั้งสองฝ่ายดั่งสายฟ้า ทว่าม้าศึกที่อยู่ใต้ร่างเหล่าผู้กล้าของอ๋องขวานั้นคัดสรรมาอย่างดี ยอดเยี่ยมเหนือล้ำกว่าต้าหัว ระยะทางหลายร้อยลี้ที่วิ่งห้อตะบึงไปยังกึ่งกลางทุ่งหญ้านี้ พวกมันค่อยๆ นำหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


ครั้นเห็นคนสองกลุ่มนี้วิ่งกรูเข้ามาหา ข่านใหญ่ดาบทองผงกศีรษะแย้มยิ้ม นางหยิบผ้าสีดำออกมาจากข้างหลังผืนหนึ่งแล้วนำมาปิดบังดวงตาของอาชาสีขาวแซมดำตัวนั้น ทั้งยังใช้ตะกร้อซึ้งทำมาจากไม้ไผ่ครอบไว้ที่ปากมันอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ อาชาสีขาวแซมดำตัวนั้นดวงตาไม่อาจมองเห็น ปากไม่อาจกินอาหารได้ 


 


 


เกาฉิวเห็นแล้วประหลาดใจยิ่งนัก หวดม้าแล้วไล่ตามหลินหว่านหรงกับหูปู้กุย พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “น้องหลิน นี่อวี้เจียจะทำอะไรน่ะ?!” 


 


 


“ปิดตาม้า ให้มันไม่กลัวแสงไฟ สวมตะกร้อปาก ก็ไม่กลัวจะถูกล่อหลอกด้วยอาหาร! นังหนูคนนี้หาหนทางเล่นตุกติกไม่ได้” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางอธิบาย เหล่าเการ้องอ้อออกมาคราหนึ่ง กระทั่งว่ายังนับถือความคิดของอวี้เจียอีกด้วย 


 


 


หากเอ่ยถึงตัวม้าและทักษะการขี่ม้า ขบวนของถูสั่วจั่วต่างได้เปรียบ พวกมันวิ่งห้อตะบึงตลอดทาง ใช้ทักษะการขี่ม้าจนถึงขีดสุด ชิงนำหน้าเยวี่ยซื่อหลายสิบจั้ง บุกไปเบื้องหน้าอวี้เจีย ข่านใหญ่ขี่อยู่บนหลังม้าไม่ขยับเขยื้อน เพียงผงกศีรษะให้ถูสั่วจั่วเล็กน้อยเพื่อแสดงความยินดีให้พวกมันเท่านั้น  


 


 


เห็นชัดว่าอ๋องขวาเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก เมื่อไปถึงเบื้องหน้าอวี้เจียมันก็โบกมือ ทหารม้าหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังมันก็แยกเป็นสองกลุ่ม มีสี่คนที่กระโดดไปข้างหลังม้าตัวนั้นอย่างเร็วรี่พร้อมหวดแส้ม้าพร้อมกัน แส้ส่งเสียงเพียะๆ เอะอะวุ่นวาย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้กระทบร่างม้า นี่คือวิธีที่ชาวทูเจวี๋ยใช้ไล่ม้าอยู่ประจำ เพียงแต่คราวนี้คล้ายจะไม่เห็นผลมากนัก อาชาสีขาวแซมเทาตัวสั่นเล็กน้อย ค่อยๆ เบือนหน้าไปด้านข้าง ถึงกระนั้นกลับไม่ยอมขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่บนทุ่งหญ้าต่างเป็นยอดฝีมือในการไล่ม้า เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้จึงอดร้องด้วยความตกใจไม่ได้  


 


 


เมื่อลองครั้งแรกไม่สำเร็จ ถูสั่วจั่วก็ไม่ร้อนใจ โบกมืออีกครั้ง ข้างหลังก็มีผู้กล้าสองคนพุ่งปราดออกมา มือถือหญ้าเขียวที่อาชาทูเจวี๋ยชอบกินมากที่สุดแล้วส่งไปเบื้องหน้าอาชาตัวนั้น เพียงแต่ปากอาชาครอบตะกร้อเอาไว้ อวี้เจียสะบัดบังเ**ยนเล็กน้อย อาชาน้อยออกแรงสะบัดหัวสองคราอย่างแรง ปัดหญ้าเขียวชอุ่มนั้นไปด้านข้าง ปราศจากความอาวรณ์แม้แต่น้อย 


 


 


ม้าไม่กินหญ้า ตีก็ไม่ไป ภาพเหตุการณ์อันน่าประหลาดเช่นนี้ แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยซึ่งคบหากับม้ามาตลอดชีวิตก็ยังงุนงงอยู่บ้าง 


 


 


หลินหว่านหรงกลับไม่เหลือบแลเรื่องพวกนี้ เมื่อเห็นขบวนของถูสั่วจั่วแบ่งเป็นสองกลุ่มหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เขาก็ผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น พูดอย่างเร็วรี่ออกมาว่า “พี่เกา พี่หู ยุทธวิธีในการรบของพวกเราต้องเปลี่ยนแปลงชั่วคราว อย่าไปสนใจ ถูสั่วจั่ว รวบรวมกำลังไว้ก่อน โจมตีลูกสมุนมันโดยเฉพาะ ระลอกแรก ตีก้นม้าข้างหลัง!” 


 


 


หูปู้กุยเห็นแล้วก็เข้าใจ นี่คือกลยุทธ์ตีให้พ่ายทีละคน ถึงอย่างไรถูสั่วจั่วก็ขยับม้าของอวี้เจียไม่ได้อยู่แล้ว มันหนีไม่รอดแน่นอน ฉวยโอกาสช่วงที่กองกำลังของมันกระจัดกระจายพอดี เล็งจังหวะกำจัดผู้กล้าใต้สังกัดของมัน ทำให้มันโดดเดี่ยว สุดท้ายก็ค่อยไปจัดการมันอีกที 


 


 


“ฟิ้ว!” แม่ทัพหลินส่งเสียงผิวปากแปลกประหลาดหลายครั้ง บุกตีคู่อยู่เบื้องหน้าสุดกับเกาฉิว ดาบโค้งในมือสาดประกายเย็นเยียบ 


 


 


เหล่าผู้กล้าของถูสั่วจั่วเบื้องหลังหวดแส้ เบื้องหน้าป้อนหญ้า กำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่ ดินแดนเยวี่ยซื่ออันเ**้ยมหาญนั้นกลับไปถึงภายในชั่วพริบตา คนสิบกว่าคนบุกไปด้านหลังม้าของอวี้เจียราวกับลมพายุ “ระวัง!” เมื่อเห็นไอสังหารอันรุนแรงของเยวี่ยซื่อ ถูสั่วจั่วก็รับรู้ถึงอันตรายได้ทันที รีบร้องออกมาอย่างรวดเร็ว เร่งม้าไล่ตามไปช่วยคนในเผ่าตน 


 


 


โอกาสชนะอยู่แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น แล้วหลินหว่านหรงจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่ไปได้อย่างไร เขาควบม้าอย่างบ้าคลั่ง มุ่งไปที่ชนเผ่านอกด่านสี่คนที่อยู่ข้างหลังอวี้เจีย ถ้าการสู้ตะลุมบอนแบบนี้ยังไม่ชนะอีก ไม่สู้ให้เขาเอาหัวชนเต้าหู้ให้ตายไปเลยจะดีกว่า 


 


 


“ฮึ่ย!” เหล่าเกาตวาดออกมาคราหนึ่ง ดาบโค้งในมือปราศจากกระบวนท่าใดๆ ทั้งสิ้น ตรงไปตรงมา เล็งแล้วฟันไปที่ใบหน้าชาวทูเจวี๋ยอย่างสุดกำลัง ผู้กล้าในดินแดนถูสั่วจั่วมีชื่อเสียงในทุ่งหญ้าเรื่องความโหดเ**้ยมดุร้ายป่าเถื่อน แล้วจะไปกลัวเกรงเยวี่ยซื่อเล็กๆ นี้ได้อย่างไร มันยกมือขึ้น ดาบโค้งในมือต้านดาบใหญ่ของเกาฉิวได้พอดี 


 


 


ระหว่างที่บังเกิดเสียง ‘เคร้ง’ กระจ่างชัด สะเก็ดไฟก็สาดกระจาย เกาฉิวมีกำลังวังชาเช่นใด ดาบใหญ่ออกแรงดันลงไป กดอยู่ที่ลำคอชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นทันที ชนเผ่านอกด่านหน้าแดงคอเกร็ง เอ็นเขียวปูดโปนบนหน้าผาก เหงื่อไหลริน ข้อมือสั่นระริกอย่างรุนแรง 


 


 


“อ๊า!” เลือดก็สาดกระจายท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน แม่ทัพหลินไม่รู้ว่าบุกเข่นฆ่าออกมาจากที่ใด เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใช้ดาบฟันลงบนหัวของชนเผ่านอกด่านคนนี้โดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็พูดกดเสียงต่ำ “พี่เกา สู้เร็ว ตัดสินใจเร็ว อย่าชักช้า!” 


 


 


หูปู้กุยทางนั้นก็ฟันดาบฉับอย่างเร็วรี่ ทำให้ชาวทูเจวี๋ยอีกคนพลิกตกจากม้า 


 


 


ประกายโลหิตและเสียงร้องโอดโอยกระตุ้นโทสะถูสั่วจั่ว มันร้องอ๊าๆ เสียงดัง กวัดแกว่งดาบโค้งแล้วบุกตรงเข้ามา 


 


 


พวกเกาฉิวสามคนต่างส่งสายตาให้กัน เล็งชาวทูเจวี๋ยที่ยังขัดขืนอยู่อีกคนหนึ่ง สามคนสามดาบออกแรงฟังลงไปพร้อมกันด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งร่าง เรี่ยวแรงที่ใช้ในคราวนี้ ต่อให้ถูสั่วจั่วมาด้วยตนเองก็ขวางไม่อยู่ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังอวี้เจียหายไปภายในชั่วพริบตา 


 


 


“ไป!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงต่ำคราหนึ่งพร้อมพุ่งปราดออกไป ด้านหลังมีลมดาบกวาดวูบเข้ามา สุดท้ายถูสั่วจั่วซึ่งร้องขู่คำรามด้วยโทสะก็มาช้าไปครึ่งก้าว นักขี่ม้าสิบกว่าคนมาเร็วไปก็เร็ว ฟันคนในเผ่าถูสั่วจั่วสี่คนพลิกร่วง จากนั้นก็ควบม้ากลับไปยังเส้นทางขามาอีก ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มองอวี้เจียแม้แต่แวบเดียว 


 


 


“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยที่สนับสนุนเยวี่ยซื่อพลันโห่ร้องเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น แม้แต่พวกมันเองก็คาดไม่ถึงว่าเยวี่ยซื่อจะกลับดุร้ายป่าเถื่อนเยี่ยงนี้ พอมาก็ทำให้อ๋องขวาเสียเปรียบครั้งใหญ่ ขณะนี้ข้างกายถูสั่วจั่วเหลือคนเพียงหกเจ็ดคน แม้กำลังวังชาของมันจะมหาศาลไร้ขีดจำกัด แต่เยวี่ยซื่อก็ได้เปรียบด้านจำนวนคน ศึกครั้งนี้มีดีให้ดูแล้ว! 


 


 


ด้วยความย่ามใจถูสั่วจั่วจึงถูกเยวี่ยซื่อที่อ่อนแอมากที่สุดลอบโจมตี ความหงุดหงิดโมโหภายในใจแค่เห็นก็ไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ขอเพียงข่านใหญ่ไม่ได้ถูกคนชิงตัวไป เช่นนั้นทุกอย่างก็ยังอยู่ในกำมือ 


 


 


ตามกติกาต้องพาข่านใหญ่กับม้าของนางจากไป ห้ามใช้กำลังรุนแรงเข้าโจมตี ถูสั่วจั่วครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสั่งการคนในเผ่าสองคนอยู่หลายประโยค สองคนนั้นหาหญ้าแห้งมาปูเป็นวงกลมโดยเว้นช่องว่าง ล้อมอาชาสีผสมตัวนั้นอยู่กึ่งกลาง จากนั้นก็จุดไฟ 


 


 


เปลวไฟถูกจุดขึ้น อวี้เจียกับม้าสีผสมของนางถูกโอบล้อมอยู่กึ่งกลาง หากคิดจะออกไปก็เหลือเพียงทางเดียว นั่นคือออกทางช่องว่างช่องนั้น! 


 


 


“เจ้าหนุ่มนี่ฉลาดมากเลยนะ รู้จักใช้ไฟด้วย!” พวกของเกาฉิววิ่งห้อตะบึงไปครู่หนึ่งก็ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง ทอดสายตามองวงล้อมเพลิงกลางสนามอยู่ไกลๆ ถูสั่วจั่วรู้เช่นกันว่าเยวี่ยซื่อกำลังรอการโจมตีระลอกที่สองอยู่ ดังนั้นจึงยืนจัดกระบวนป้องกันเรียบร้อยตั้งแต่แรก ไม่ให้พวกเขามีโอกาสได้ลงมือ 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ฉลาดมากเลยหรือ? ก็ไม่แน่!! ม้าของอวี้เจียถูกปิดตา ไม่กลัวแสงไฟแม้แต่น้อย นี่ถูสั่วจั่วกำลังบีบให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ควบม้าไปข้างหน้าด้วยตนเอง เพียงแต่มันกลับลืมไปว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์กำหนดเวลาไว้สามนาฬิกาทราย จุดไฟล้อมเพื่อให้นางขี่ม้าไปข้างหน้าเช่นนี้ แต่ละครั้งก็ทำให้แค่เดินหน้าไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าสามวันก็ยังไม่ถึงเส้นชัย! เพียงแต่ถูสั่วจั่วกลับเตือนสติข้าเรื่องหนึ่ง มันใช้ไฟได้ ข้าก็ใช้ไฟได้นี่นา! พี่เกา รีบไปหาท่อนไม้มาจำนวนหนึ่ง ให้พวกพี่น้องมันที่จุดไฟไว้ด้วยกัน จากนั้นก็พันด้วยหญ้าแห้ง อีกประเดี๋ยวจะได้ใช้งาน!!” 


 


 


เกาฉิวรีบรับบัญชา ไม่นานนักทุกคนก็มัดคบเพลิงเรียบร้อย! 


 


 


ระหว่างที่สนทนา อวี้เจียเร่งอาชาน้อยสีผสมใต้ร่างให้ขยับจริงๆ ด้วย เพียงแต่อาชาน้อยตัวนั้นคล้ายไม่ยอมฟังแม้แต่ผู้เป็นนาย วนไปวนมาอยู่นานถึงขยับเขยื้อนไปสองสามก้าวอย่างไม่ยินยอม เมื่อก้าวออกจากวงล้อมเพลิงก็ยังอดแหงนหน้าส่งเสียงฟืดฟาดไม่ได้  


 


 


คนในเผ่าอ๋องขวารีบสร้างวงล้อมเพลิงอีกครั้ง ทว่าถูสั่วจั่วกลับรู้สึกถึงปัญหาได้ มันวนรอบอาชาสีผสมของอวี้เจียอยู่นาน แต่ก็ไม่พบว่าต้นตอของปัญหาอยู่ที่ใด 


 


 


หูปู้กุยทางนี้เห็นแล้วก็สงสัยเช่นกัน พูดพึมพำออกมาว่า “แปลก ม้าของอวี้เจียเป็นอะไร เหตุใดถึงไม่เดินนะ ดูจากสีหน้าท่าทางของมัน นอกจากไม่ยอมเดินแล้ว ทุกอย่างก็ปกติดีนี่นา!” 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะฮ่าๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่เดินก็ดีเลย เยวี่ยหยาเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องแต่งกับพ่อหนุ่มหน้าขาวทูเจวี๋ยแล้ว ฮิฮิ ดูเร็ว ถูสั่วจั่วจะใช้กำลังแล้ว…มารดามัน! เจ้าหนุ่มนี่ช่างหน้าไม่อาย!” 


 


 


ใช้กำลัง?! อ๋องขวาทูเจวี๋ยใช้กำลังกับข่านใหญ่?! คำพูดนี้ช่างสร้างความสั่นสะเทือนเสียจริง ทุกคนต่างตกใจอย่างยิ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมอง ที่แท้ถูสั่วจั่วก็เดินวนรอบม้าอยู่หลายรอบหาคำตอบไม่ได้ ดังนั้นจึงทำให้มันรุ้แล้วรู้รอดไปเลย คว้าบังเ**ยนที่จมูกอาชาสีผสมแล้วออกแรงกระชากไปข้างหน้า 


 


 


อวี้เจียขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ได้ส่งเสียง คิดว่าคงยอมรับการกระทำของมันอย่างเงียบๆ แล้ว  


 


 


มารดามัน! นี่ไม่ใช่การใช้กำลังบังคับหรอกหรือ? ผิดกติกา ผิดกติกาอย่างร้ายแรงอย่างยิ่ง ขอให้เตะอ๋องขวาออกจากสนามไป! หลินหว่านหรงแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห ชาวทูเจวี๋ยที่มุงดูก็ส่ายหน้าเช่นกัน เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น การกระทำนี้ของอ๋องขวาช่างเป็นการลดเกียรติของตนเสียจริง เพียงแต่เมื่อลองคิดดูว่ามันทำเพื่อท่านจ่างผู้งดงามล้ำเลิศ กลับรู้สึกน่าให้อภัย 


 


 


อาชาน้อยคล้ายต่อต้านพฤติกรรมของอ๋องขวายิ่งนัก ถอยร่างไปข้างหลัง ไม่ว่ามันจะขยับดึงเช่นไรก็ไม่ยอมเคลื่อนไปแม้แต่ก้าวเดียว คนในเผ่าถูสั่วจั่วมาช่วยเช่นกัน ชายฉกรรจ์สามสี่คนดึงบังเ**ยนที่จมูกม้า อีกทั้งยังมีอีกสองคนที่จุดไฟเผาวงล้อมเพลิงอยู่ข้างหลังอีก การแข่งขันชิงแพะรอบนี้ในวันนี้กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ยากจะได้พบเห็นนับพันปีบนทุ่งหญ้า! 


 


 


เกาฉิวทนไม่ไหวแล้ว กระโดดออกมาด่าทอ “ผู้ชายมากขนาดนี้รังแกผู้หญิงตัวคนเดียว ช่างขายขี้หน้ามารดามันเสียจริง!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมส่ายศีรษะ “ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นอวี้เจียที่กำลังรังแกถูสั่วจั่วอยู่นะ ท่านไม่เห็นหรือ ฉุดกระชากลากถูกกันตั้งนานแล้ว ม้าน้อยของนางก็ไม่ได้ขยับแม้แต่ก้าวเดียว!” 


 


 


จริงดังคาด ไม่ว่าพวกของถูสั่วจั่วจะออกแรงสักเพียงใด อาชาสีขาวสลับเทาตัวนั้นกลับเหมือนถูกมัดเอาไว้ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ไม่ขยับแม้แต่ก้าวเดียว รูจมูกปรากฏรอยเลือดให้เห็นรางๆ 


 


 


“ถูสั่วจั่ว เจ้าคิดจะใช้กำลังอย่างนั้นหรือ?!” ในที่สุดแม้แต่ข่านใหญ่ดาบทองก็ทนไม่ได้เช่นกัน ตวาดด้วยโทสะอยู่บนหลังม้า ชนเผ่านอกด่านที่อยู่รอบด้านต่างด่าทอด้วยความเดือดดาล 


 


 


“ฆ่า!” เมื่อเห็นว่าทุกคนเตรียมตัวที่จะหยุด หลินหว่านหรงก็ตวาดออกมาอย่างทันท่วงที เสียงฝีเท้าม้าดังอย่างเร็วรี่ ดินแดนเยวี่ยซื่อวิ่งฝุ่นตลบกลับมาอีกครั้ง! 


 


 


ถูสั่วจั่วแค่นเสียง ปล่อยมือที่จูงม้าออกไป รอคอยพร้อมกับคนในเผ่าด้วยสีหน้าจริงจัง รอการมาถึงของเยวี่ยซื่ออย่างสงบนิ่ง 


 


 


ม้ารวดเร็วยิ่งนัก เพียงครู่เดียวก็ปะทะกับอ๋องขวา ดวงตาถูสั่วจั่วสาดประกายอำมหิต ดาบม้ากวัดแกว่งตะโกนเสียงดังลั่น “เหล่าผู้กล้า กำจัดเยวี่ยซื่อให้สิ้นซาก บุก!”  

 

 


ตอนที่ 600 - 2 ศึกครั้งใหญ่กับอ๋องขวา

 

ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันยี่สิบกว่าลี้ หมอบกายพุ่งปะทะเข้าหากัน ความเร็วม้าของหลินหว่านหรงไม่ได้ลดทอนลง เมื่อเห็นวงล้อมเพลิงซึ่งลุกโชติช่วง อยู่ใกล้แค่เอื้อมนั้น จู่ๆ ก็ตวาดเสียงต่ำๆ ออกมา “พี่น้องทั้งหลาย จุดไฟ!” 


 


 


ท่อนไม้ที่มัดอย่างลวกๆ ในมือของเขาถูกโยนเข้ากองไฟอย่างเร็วรี่ ที่จุดไฟถูกจุดสว่างเสียงดังพรึบ คบเพลิงหลายสิบอันลุกแผดเผา  


 


 


ถูสั่วจั่วยังไม่ทันรู้ตัวว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร ทั้งสองฝ่ายก็ประชิดกันเสียแล้ว 


 


 


“โยน!” หูปู้กุยตวาดเสียงดังด้วยภาษาทูเจวี๋ย คบเพลิงหลายสิบอันถูกเขวี้ยงออกไปราวกับมีดวงตางอกเงย ทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันยิ่งนัก ไม่ทันได้หลบหลีก สะเก็ดเพลิงก็สาดกระจายเสียงดังพรึบๆ คนในเผ่าถูสั่วจั่วปัดคบเพลิงออกเป็นพัลวัน อาชาที่อยู่ใต้ร่างพวกมันถูกแสงเพลิงกระตุ้นจนตกใจ บิดกายพร้อมถีบขาหลัง สะบัดหัวส่งเสียงร้อง กระบวนทัพของชนเผ่านอกด่านเสียกระบวนอย่างยิ่งทันที “อย่าสับสน บุกไปกับข้า!” ถูสั่วจั่วผ่านการรบมาอย่างช่ำชอง ออกแรงดึงบังเ**ยน ทำให้ม้าซึ่งกำลังกระวนกระวายหยุดนิ่งพร้อมตวาดเสียงดัง 


 


 


ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จะปล่อยให้พลาดไปได้อย่างไร! หูปู้กุยคำราม พุ่งปราดเข้าไป จากนั้นจึงใช้ดาบฟันคู่ต่อสู้อย่างหนักหน่วง คู่ต่อสู้ที่เขาเลือกหาใช่ใครอื่น เป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วนั่นเอง! 


 


 


ถูสั่วจั่วชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุ่งหญ้า พละกำลังมิใช่ธรรมดา เมื่อเผชิญกับคมดาบหูปู้กุย มันไม่หลบไม่หนี เงื้อดาบขึ้นรับ เสียง ‘เคร้ง’ ดังลั่น สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่ว หูปู้กุยรู้สึกข้อมือชา ดาบโค้งแทบกระเด็นหลุดออกไป 


 


 


อ๋องขวากำดาบโค้งแน่น ดวงตาแฝงความประหลาดใจอยู่หลายส่วนเช่นกัน เยวี่ยซื่อเล็กๆ กลับมีผู้กล้าเช่นนี้อยู่ด้วย! 


 


 


“อ๊า!” มีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างหลัง ถูสั่วจั่วหันกลับไปมองก็เห็นว่าคู่ต่อสู้สิบกว่าคนฉวยโอกาสช่วงที่กระบวนทัพของคนในเผาตนสับสนวุ่นวาย หยิบยืมความได้เปรียบของจำนวนคน ใช้แผนแบ่งแยกแล้วโอบล้อม สองคนที่เป็นผู้นำต่ำช้ายิ่งนัก คนหนึ่งอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาลบุกอย่างแข็งกร้าว ส่วนอีกคนกลับแอบแทงข้างหลังโดยเฉพาะ คนในเผ่าหกเจ็ดคนที่เหลือล้มลงไปครึ่งหนึ่งภายในชั่วพริบตา 


 


 


“อ๊า!” ถูสั่วจั่วส่งเสียงตวาดด้วยโทสะ เงื้อคมดาบ หันกลับไปช่วยคนในเผ่าตนอย่างเดือดดาล หูปู้กุยกลับเหมือนเงาตามตัว แต่ละดาบล้วนถึงจุดตาย ประกบติดพัวพันมัน แต่กลับไม่ได้ปะทะแลกกับมัน 


 


 


ติดกับแล้ว! อ๋องขวาถึงได้สติกลับมา เมื่อเผชิญหน้ากับคนเผ่าเยวี่ยซื่อซึ่งมาเพื่อพัวพันตนเองโดยเฉพาะ พละกำลังของมันอาจด้อยกว่าตนอยู่หลายส่วน แต่หากต้องการพัวพันตนเองกลับง่ายดายนัก เจ้านี่มันกำลังฉกชิงเวลาให้คนในกลุ่มของมัน หากถึงเวลาจัดการมันได้ คนในเผ่าก็ต้องถูกกลืนกินจนหมดสิ้นแน่นอน 


 


 


ด้วยความร้อนใจระคนโทสะ ถูสั่วจั่วระเบิดพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด มันส่งเสียงฮึบคราหนึ่ง ดาบโค้งรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ ฟันลงตรงหน้าหูปู้กุย เหล่าหูขยับวูบหลบอย่างเร็วรี่ คมดาบของอ๋องขวาทูเจวี๋ยไม่ลดละ ฟันกวัดแกว่งไปมา ประกายเย็นเยียบสายหนึ่งกรีดผ่านหน้าท้องหูปู้กุย ทำให้เขาตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นทั่วร่าง 


 


 


ถูสั่วจั่วฉวยโอกาสนี้ใช้เท้ากระโดดกระแทกที่พักเท้า คำรามออกมาด้วยโทสะคราหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้ากลับมาพร้อมบุกเข้าหาคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่รวมตัวอยู่นั้น 


 


 


ใช้สองสู้หนึ่ง มีข้อได้เปรียบด้านจำนวนคน ทั้งยังมีเหล่าเกาซึ่งมีพรสวรรค์ด้านต่อยตีเช่นนี้อีก เดิมทีนึกว่าจะจัดการอย่าง่ายดาย เพียงแต่ผู้กล้าของถูสั่วจั่วสมดังคำร่ำลือ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ ถึงกระนั้นกลับไม่ประหวั่นลนลานแม้แต่น้อย แต่ละคนต่างห้าวหาญไม่กลัวตาย การบุกเข่นฆ่านี้ใช้เวลาไปมากมายนัก ทำให้หูปู้กุยแทบถูกถูสั่วจั่วทำร้ายสาหัส 


 


 


“ระวัง!” เกาฉิวรวมพลังกับหลินหว่านหรงฟันผู้กล้าคนสุดท้ายของถูสั่วจั่วให้ล้มลงไป เมื่อหมุนกายกลับมาก็เห็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยควบม้าประดุจโผบิน ดาบประดุจสายฟ้าแลบ ไล่ฟันมาที่แผ่นหลังของน้องหลิน อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง เสียงลมดังอยู่ข้างใบหูเบาๆ 


 


 


“มารดาเจ้า!” ระหว่างช่วงคับขัน คมดาบใกล้ถึงแผ่นหลัง มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหลังไม่ทันแล้ว หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด หันหน้ากลับไปทันที ดาบโค้งหลุดออกจากมือ เขวี้ยงออกไปอย่างเร็วรี่ พุ่งไปยังใบหน้าถูสั่วจั่ว 


 


 


อยู่ห่างกันแค่คืบ ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลยแม้แต่น้อย ดาบนี้แม้จะฟันเจ้าคนเผ่าเยวี่ยซื่อนั่นได้ แต่ตัวเองกลับต้องเสี่ยงชีวิตด้วยเช่นกัน ถูสั่วจั่วลังเลเล็กน้อย เสียง ‘เคร้ง’ คมชัดดังขึ้น ฟันปัดดาบที่ปลิวมาของหลินหว่านหรงออกไป เกาฉิวฉวยโอกาสนี้ฟันดาบเข้ารับหน้า ตัดการบุกโจมตีของถูสั่วจั่ว 


 


 


ถือว่าเก็บชีวิตกลับมาได้แล้ว ความรู้สึกหวาดกลัวยังไม่ทันบังเกิดแต่กลับจุดเพลิงโทสะที่แท้จริงของเขาขึ้นมา มารดามัน ชาวทูเจวี๋ยแน่นักหรือไง? ข้าเคยกลัวใครที่ไหนกัน?! 


 


 


เมื่อเห็นอ๋องขวาชูดาบรับเกาฉิว ถูสั่วจั่วก็อยู่ห่างจากตนไม่ถึงครึ่งจั้ง หลินหว่านหรงพลันกระโดดออกจากหลังม้าไปยังด้านหลังถูสั่วจั่วแล้วรัดคอมันอย่างแรง 


 


 


“ท่าน ท่านแม่ทัพหลิน…” หูปู้กุยตกใจจนลิ้นพันกัน 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบนิ่งอึ้ง! ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าดินแดนเยวี่ยซื่อที่ไม่อยู่ในสายตามากที่สุดกลับมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้แรงกล้าเช่นนี้ ไม่เพียงแต่กำจัดผู้กล้าของถูสั่วจั่ว แต่ยังกระโดดขึ้นหลังม้าสู้ประชิดตัวกับอ๋องขวาผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย การต่อสู้รอบสุดท้ายนี้ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง! บรรดาชนเผ่านอกด่านต่างโห่ร้องเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น คราวนี้กลับส่งเสียงชมเชยให้ดินแดนเยวี่ยซื่อผู้อ่อนแอโดยพร้อมเพรียงกัน แม้แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ยังปรกาฎแววตกใจภายในดวงตาอยู่หลายส่วนพร้อมผงกศีรษะเล็กน้อย 


 


 


คนเผ่าเยวี่ยซื่อกลับเ**้ยมหาญเยี่ยงนี้ อ๋องขวาทูเจวี๋ยตกใจอย่างยิ่ง มันใช้ดาบขวางการโจมตีของเกาฉิวศอกซ้ายกระแทกไปที่ศีรษะของผู้ลอบโจมตีที่อยู่ด้านหลัง! 


 


 


“กล้ากระแทกข้า? ข้าจะทิ่มเจ้าให้ตาย!” แม่ทัพหลินส่งเสียงคำรามเดือดดาลอยู่ในใจ สองมือว่องไวดุจสายฟ้าแลบ ออกแรงทิ่มเข้าไปในเบ้าตาถูสั่วจั่วอย่างสุดแรง 


 


 


“อ๊า!” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของอ๋องขวาดังไปทั่วทุ่งหญ้า มันส่ายหน้าอย่างแรง อาชาใต้ร่างเชิดหัวขึ้นสูงพร้อมส่งเสียงร้อง คล้ายรับรู้ความเจ็บปวดของผู้เป็นนายได้ ครานี้ชาวทูเจวี๋ยทุกคนต่างนิ่งงัน ส่วนอวี้เจียก็อึ้งเช่นกัน! 


 


 


หากเอ่ยถึงความสามารถในการเล่นมวยปล้ำ ถูสั่วจั่วถือเป็นอันดับต้นๆ ของทูเจวี๋ย แต่วันนี้มันกลับแบ่งแยกสมาธิ มือหนึ่งต้องต่อกรกับเกาฉิวผู้แข็งแกร่งดุดัน ส่วนอีกข้างกลับต้องรับมือกับผู้ลอบโจมตีทางด้านหลัง ทั้งยังพบกับวิธีการต่ำช้าอย่างการแทงดวงตาคนทั้งสองข้างซึ่งไม่เคยมีผู้ใดใช้บนทุ่งหญ้ามาก่อนอีกด้วย การเสียเปรียบครั้งนี้จึงไม่นับว่าเหนือความคาดหมาย 


 


 


เกาฉิวเห็นแล้วก็ลอบสาแก่ใจ สิ่งที่สู้กันล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าคาดไม่ถึง และนี่ถึงเป็นฝีมือของน้องหลิน! 


 


 


ถูสั่วจั่วบาดเจ็บดวงตาครั้งนี้ทำให้การมองเห็นสูญสิ้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังเป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ย ความเ**้ยมหาญแข็งแกร่งหาได้คุยโว มันใช้มือหนึ่งดึงบังเ**ยนม้า อาศัยทักษะการขี่ม้าอันเยี่ยมยอดเชิดหัวม้าขึ้นสูงพร้อมหมุนวนอย่างต่อเนื่อง ต้องการสลัดคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหลังออกไป ขณะเดียวกันก็ออกแรงขยับกวัดแกว่งข้อศอกไปข้างหลัง พยายามโจมตี เพียงแต่ด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง กำลังที่ข้อศอกมันจึงลดทอนไปมากกระแทกไปที่ดั้งจมูกหลินหว่านหรงพร้อมเสียงลมหวีดหวิว 


 


 


เปียกๆ เค็มๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าเลือดกำเดาออกแล้ว กลิ่นคาวเลือดยิ่งกระตุ้นความป่าเถื่อน ฉวยโอกาสช่วงที่ถูสั่วจั่วเจ็บตามองเห็นไม่ชัด เขาใช้กำปั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้า สองอสุนีบาตกรอกใบหู หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ตุบๆ สองครั้ง กระแทกไปที่ขมับถูสั่วจั่วอย่างนักหน่วง 


 


 


ขณะนี้ทั้งสองคนกลายเป็นเล่นมวยปล้ำบนหลังม้า พัวพันกันอยู่ เกาฉิวถือดาบเล็งอยู่นาน ถึงกระนั้นกลับกลัวว่าจะเล็งผิดจนฟันน้องหลิน 


 


 


ครานี้ไม่ใช่การล้อเล่นแล้ว หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงสลบไปตั้งแต่แรก อ๋องขวาออกแรงสะบัดศีรษะ ดาบโค้งที่อยู่ในมือกุมไม่มั่นแล้ว หล่นลงพื้นเสียงดังแคร้ง แต่ร่างกายมันมีกำลังมหาศาล แล้วจะถูกเขาทำร้ายจนล้มได้อย่างไรกัน มันหันหน้ากลับมาทันที ส่งเสียงขู่คราหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ศีรษะกระแทกหน้าอกหลินหว่านหรง 


 


 


ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ หลินหว่านหรงเงื้อหมัดขึ้น จากนั้นก็กระแทกดั้งจมูกมันไปตรงๆ โลหิตกระเซ็น ถูสั่วจั่วมีคราวบโลหิตเต็มใบหน้า ใบหน้าบิดเบี้ยว ถึงกระนั้นกลับยังคงกระแทกหน้าอกเขาต่อไป  


 


 


หลินหว่านหรงแค่นเสียงทึบ หัวใจคล้ายมีหนอนหลายสิบตัวไต่ขึ้นไป เลือดลมพลุ่งพล่านไม่หยุด แต่เมื่อเทียบกับถูสั่วจั่ว สิ่งเหล่านี้ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงแม้แต่น้อย เขาเงื้อกำปั้นทั้งสองขึ้นพร้อมกัน กระแทกขมับอ๋องขวาราวกับหยาดฝน 


 


 


นับตั้งแต่ดวงตาถูกทิ่มแทง ให้เจ้าคนเผ่าเยวี่ยซื่อคนนี้ปีนขึ้นมาบนหลังม้า ถูสั่วจั่วก็เดินผิดพลาด พ่ายแพ้ทั้งกระดาน หากเอ่ยถึงดาบแท้หอกแท้ มันไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่หากเอ่ยถึงการต่อสู้ตะลุมบอนถึงตายเช่นนี้ มันมีกำลังมหาศาล ผู้อื่นก็ต่ำช้า ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะก็ยังไม่แน่ 


 


 


พลังในการต้านทานการโจมตีของถูสั่วจั่วกล้าแกร่งยิ่งนัก แม้จะมึนงงใกล้จะสลบ ถึงกระนั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ละทิ้งการต่อต้าน มันจิกเอวหลินหว่านหรงแน่น อ้าปากที่เต็มไปด้วยโลหิตสดๆ แล้วงับไปที่คอเขา 


 


 


“มารดาเจ้าสิ!” หลินหว่านหรงเอาจนถึงที่สุด ใช้ศีรษะกระแทกไปที่ดั้งจมูกมันตรงๆ ประกายโลหิตกระเซ็นไปทั่ว ถูสั่วจั่วเห็นดวงดาวเต็มไปหมด ปากและจมูกปริแตก โลหิตไหลริน หลินหว่านหรงฉวยโอกาสอัดหมัดหนักๆ คราหนึ่งกระแทกไปที่คางมัน ทำให้จนฟันของมันลอยกระเด็นออกไป 


 


 


อาชาที่อยู่ใต้ร่างถูสั่วจั่วคล้ายจิตใจเชื่อมประสาน มันรับรู้ถึงอันตรายของเจ้านาย พลันชูคอร้องออกมายาวๆ สองขาชูขึ้นสูง ต้องการสลัดคนเผ่าเยวี่ยซื่อให้หลุดไป 


 


 


หลินหว่านหรงมีสติแจ่มชัดยิ่ง ฉวยโอกาสนี้คว้าร่างอ๋องขวาแล้วออกแรงเหวี่ยง โยนลงพื้นอย่างแรง ขณะที่ถูสั่วจั่วกำลังจะตกจากหลังม้าจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ท่ามกลางคราบเลือดอันน่าหวาดกลัว มันตวาดอ๊าออกมาคราหนึ่งแล้วถ่มโลหิตออกมา พร้อมออกแรงจิกเนื้อที่เอวหลินหว่านหรง สองคนร่วงลงไปพร้อมกัน 


 


 


“อ๊า!” เสียงร้องโหยหวนดังลั่น 


 


 


“น้องหลิน (ท่านแม่ทัพ)!” เกาฉิวกับหูปู้กุยร้องเรียกพร้อมกัน กรูไปข้างหน้า เห็นว่าหลินหว่านหรงคุกเข่าอยู่กับพื้น หัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกหนักๆ ลงบนเป้าถูสั่วจั่ว แม้จะไม่เห็นใบหน้ามัน ถึงกระนั้นกลับรอยยิ้มอันบิดเบี้ยวชั่วร้ายของเขาได้ อ๋องขวาทูเจวี๋ยกุมเป้า กลิ้งไปทั่วพื้น ร้องโหยหวนดังลั่น  


 


 


โหดเ**้ยมเหลือเกิน! เหล่าเกามองจนตาโตอ้าปากค้าง คราวนี้แม้อ๋องขวาจะเข้าราชวังทูเจวี๋ยได้ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ไปเป็นสามี แต่ไปเป็นขันที! 


 


 


มองดูอ๋องขวาทูเจวี๋ยที่กลิ้งไปมาด้วยความเจ็บปวด หลินหว่านหรงก็ขยิบตาให้หูปู้กุย จากนั้นก็เข้าไป ‘พัวพัน’ กับมันต่อไป โอกาสดีที่หาได้ยากนักเช่นนี้เหล่าหูจะพลาดได้อย่างไร? เขาควบม้าไปข้างหน้า ใช้ดาบฟันหนักๆ ไปที่ขาถูสั่วจั่ว หลินหว่านหรงอยู่ใกล้มากที่สุด ได้ยินเสียงกระดูกหักอย่างชัดเจน  


 


 


“หยุดมือ!” อวี้เจียที่อยู่ทางนั้นนั่งไม่ติดแล้ว รีบร้องเรียกออกมา 


 


 


หูปู้กุยหมุนร่างกลับมาด้วยท่าทีเคารพนบนอบ ใช้มือเดียวแตะอกแสดงการคารวะข่านใหญ่ อวี้เจียผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เยวี่ยซื่อ พวกเจ้าเป็นดินแดนที่ยอดเยี่ยม!” 


 


 


ทุ่งหญ้าบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีลั่นฟ้าสะเทือนดิน ถูสั่วจั่วแพ้แล้ว! เยวี่ยซื่อที่อ่อนแอทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้สำเร็จ พวกมันทำให้อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หยิ่งทระนงพ่ายแพ้ได้ สิ่งที่ทุ่งหญ้าเทิดทูนก็คือวีรบุรุษ เยวี่ยซื่อคือวีรบุรุษของพวกมัน 


 


 


ด้วยสภาพเช่นนี้ ถูสั่วจั่วปราศจากกำลังที่จะสู้รบอีกต่อไป คนในเผ่าอ๋องขวาหามมันออกไปด้วยท่าทางหน้าละห้อยคอตก อ๋องขวาหลับตา สะกดกลั้นความเจ็บปวด ตวาดเสียงดังออกมาว่า “ดินแดนเยวี่ยซื่อ ความอัปยศในวันนี้ ถูสั่วจั่วจะต้องเอาคืนเป็นสองเท่า! พวกเจ้าจงรอ!” 


 


 


“ถูสั่วจั่ว” อวี้เจียกล่าวเสียงทุ้มหนัก “เจ้าไม่ต้องสิ้นหวัง ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องกลับมาผงาดอีกครั้งแน่!” 


 


 


“อวี้เจีย!” อ๋องขวาดวงตาเปียกชื้น พูดหลุดพระนามของข่านใหญ่ออกมา จากนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องทันที รีบพูดแก้ออกมาว่า “ท่านข่านใหญ่ เชื่อกระหม่อม ถูสั่วจั่วเก่งที่สุดในทุ่งหญ้า! ข้าต้องไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังอย่างแน่นอน!” 


 


 


อวี้เจียผงกศีรษะเล็กน้อย ถอนหายใจพร้อมโบกมือให้คนในเผ่าหามมันออกไป  


 


 


ผู้ที่ตื่นเต้นมากที่สุดบนสนามเห็นจะไม่พ้นข่านน้อยแล้ว เขาผุดลุกขึ้นมาพร้อมพูดเสียงดังว่า “คนเผ่าเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าเป็นดินแดนที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ข้าไม่กล่าววาจาล้อเล่นแน่นอน ต้องประทานม้าเหงื่อโลหิตที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าหนึ่งตัวเป็นรางวัลแน่! นอกจากนี้จะประทานลานปศุสัตว์อันอุดมสมบูรณ์ให้พวกเจ้าผื่นหนึ่งอีกด้วย ให้คนในเผ่าของพวกเจ้ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ยิ่งใหญ่เกรียงไกร สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมให้ทูเจวี๋ยเราอีก!” 


 


 


“ขอบพระทัยท่านข่าน!” หูปู้กุยค้อมกายคารวะด้วยความ ‘ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล’ 


 


 


เกาฉิวขยับวูบมาข้างกายหลินหว่านหรง พูดอย่างร้อนรนว่า “น้องหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิ “ไม่เป็นไร เลือดกำเดาออกสองสายเท่านั้นเอง กลับไปกินโสมพันปีสักร้อยต้นก็หายแล้ว! สิ่งสำคัญที่สุดก็คือวันนี้สู้ได้สะใจ! ถุย ผู้กล้าแห่งทุ่งหญ้าอะไรกัน อาจมสุนัข! ไม่ถูกชะตาไอ้เจ้านี่มาตั้งนานแล้ว!” 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “เพราะมันเล็งเยวี่ยหยาเอ๋อร์กระมัง…ทุกคนต่างเป็นผู้ชาย ข้าเข้าใจได้!” 


 


 


เจ้าเข้าใจผายลมน่ะสิ! หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายศีรษะ 


 


 


อ๋องขวาแพ้แล้ว นาฬิกาทรายนั้นเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ข่านใหญ่กับม้าสุดที่รักของนางยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ดูท่าการชิงข่านคงไม่เกิดอะไรขึ้นแล้ว! 


 


 


“คนเผ่าเยวี่ยซื่อ แม้พวกเจ้าจะกล้าหาญที่สุดในทุ่งหญ้า แต่พวกเจ้าทำร้ายอ๋องขวาถูสั่วจั่วผู้สูงศักดิ์ที่สุดของทูเจวี๋ยเรา” ดวงตาของข่านใหญ่ค่อยๆ เย็นชา ทันใดนั้นก็กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “พวกเจ้าที่ลงสนามในวันนี้ ทุกคนหักขาหนึ่งข้างเพื่อขอขมาอ๋องขวา! วันหน้าข้าจะประทานรางวัลให้ดินแดนของพวกเจ้า ให้พวกเจ้าได้มีเกียรติมั่งมีศรีสุข ไม่ถูกดูหมิ่นตลอดกาล!” 


 


 


อะไรนะ?! เหล่าเกาเป็นบื้อใบ้ทันที รีบกุมดาบโค้งแน่น 


 


 


อวี้เจียสายตาเย็นเยียบ รอบด้านมีทหารม้าทูเจวี๋ยกรูเข้ามาแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงเข้าใจในทันที นี่คืออวี้เจียกำลังเล่นลูกไม้อยู่ แม้ถูสั่วจั่วจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กำลังอันกล้าแกร่งภายในดินแดนของมันยังคงอยู่ หากต้องการปลอบขวัญพวกมันก็ต้องมีคนเสียสละ และเยวี่ยซื่อที่ได้รับชัยชนะ เมื่อเทียบกับตระกูลของอ๋องขวาน้ำหนักก็น้อยจนแทบไม่ต้องนับ ดังนั้นพวกเขาย่อมเป็นแพะรับบาปชั้นดีที่สุดแล้ว! 


 


 


อ๋องขวาแม้จะพ่ายแพ้ แต่เยวี่ยซื่อกลับไม่ชนะเช่นกัน ผู้ชนะที่แท้จริงก็คือแม่สาวอวี้เจียคนนี้! 


 


 


ทหารต้าหัวทั้งหมดต่างกำดาบโค้งแน่น สถานการณ์ภายในสนามตึงเครียดจนไม่อาจหายใจ หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด พูดข้างใบหูหูปู้กุยไปหลายประโยค 


 


 


เหล่าหูรีบควบม้าไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่ กล่าวด้วยความหยิ่งผยองว่า “ทูลข่านใหญ่ การแข่งขันชิงแพะในวันนี้ยังไม่จบสิ้น ภายในช่วงเวลาที่กำหนดไว้ เยวี่ยซื่อเราต้องพาข่านใหญ่บุกทะลวงเส้นชัยพ่ะย่ะค่ะ!”  

 

 


ตอนที่ 601 - 1 เจ้าเป็นใคร

 

เสียงดังฟังชัดกระจ่างใส เสียงที่เอ่ยออกมานั้นดังก้องอยู่ในใบหูชนเผ่านอกด่านทุกคน 


 


 


เมื่อดูจากสถานการณ์ในสนามตอนนี้ แม้ถูสั่วจั่วจะพ่ายแพ้ แต่เยวี่ยซื่อก็ยังไม่ได้ชิงตัวข่านใหญ่ไปถึงเส้นชัย ดังนั้นพวกมันจึงยังไม่ถือว่าได้รับชัยชนะ ด้วยสถานะของอวี้เจีย การจัดการดินแดนที่ไม่ได้รับชัยชนะย่อมไม่ถือเป็นเรื่องหนักหนาอะไร เพียงแต่เยวี่ยซื่อก็ถือว่าหัวไว พวกมันยกผลการแข่งขันที่ยังไม่ได้สรุปออกมาอย่างทันท่วงที คิดจะสู้เฮือกสุดท้าย หากพวกมันชนะ ต่อให้ท่านข่านใหญ่ดาบทองคิดจะจัดการพวกมันก็ไม่อาจหาเหตุผลได้ และหากพ่ายแพ้ ผลลัพธ์ก็ไม่มีทางแย่ไปกว่าตอนนี้แล้ว 


 


 


ปฏิกิริยาของดินแดนเยวี่ยซื่อกลับรวดเร็วยิ่งนัก อวี้เจียรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเล็กน้อย นางแย้มยิ้มบางๆ ตบแผ่นหลังอาชาน้อยเบาๆ ด้วยความรักใคร่ มองหูปู้กุยพร้อมเอ่ยว่า “พวกเจ้ามั่นใจว่าจะขยับม้าของข้าได้? เชื่อว่าการกระทำเมื่อครู่ของอ๋องขวาพวกเจ้าก็เห็นไปแล้ว! มีเวลาแค่หนึ่งนาฬิกาทรายเท่านั้น…” 


 


 


ข้ามั่นใจผายลมน่ะสิ! ยังไม่ใช่แม่ทัพหลินบีบอีกหรือ! เหล่าหูแอบเหลือบมองหลินหว่านหรงแวบหนึ่ง เห็นเขากำลังหลบอยู่ข้างหลัง กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเกาฉิวอยู่ ประเดี๋ยวผงกศีรษะ ประเดี๋ยวก็ส่ายหน้า ไม่รู้ว่าคิดพิเรนทร์อะไรกันอยู่ 


 


 


เรื่องมาถึงตรงหน้า จะไปทางใดก็ดาบ หมดสิ้นหนทางแล้ว เหล่าหูฝืนประสานมือ “ท่านข่านใหญ่ คนเผ่าเยวี่ยซื่อยินดีที่จะลองอย่างสุดความสามารถสักครั้งพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ดี พวกเจ้าเริ่มได้แล้ว!!” ข่านดาบทองผงกศีรษะ ดึงบังเ**ยนม้าพร้อมนั่งนิ่งไม่ไหวติง ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมาอีก  


 


 


แพ้ก็ต้องถูกคนฟันขา! หูปู้กุยแผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขารีบหมุนกายกลับมามอง ‘คนในเผ่า’ ตนหลายครั้ง ชี้สะเปะสะปะไปที่คนคนหนึ่ง รีบชี้โบ๊ชี้เบ๊ตวาดออกมาว่า “เจ้า ไปจูงม้าให้ท่านข่าน!” 


 


 


เขาแทบจะกระชากคนในเผ่าผู้นั้นออกไป ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบมองเห็นอย่างชัดเจน เจ้าคนนี้ก็คือคนที่สู้ตะลุมบอนบนหลังม้ากับอ๋องขวาเมื่อครู่นั่นเอง เจ้านี่อำมหิตกับถูสั่วจั่วมากเสียขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่าพออยู่ต่อหน้าท่านข่านใหญ่กลับอ่อนแอปวกเปียก หรือว่ามันจะถูกความงามของท่านข่านใหญ่ทำให้ลุ่มหลง? 


 


 


“แม่ทัพหลิน พี่น้องทั้งหลายต้องอาศัยท่านแล้วล่ะขอรับ” พอพูดฝากฝังก็ยื่นมือผลักเขาออกไปอย่างแรง 


 


 


คนเผ่าเยวี่ยซื่อโผกะโผลกกะเผลกออกมาจนแทบจะล้มอยู่เบื้องหน้าม้าท่านข่านใหญ่ เมื่อเห็นมันผู้นั้นมีท่าทางเงอะงะงุ่มง่าม เหล่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อวี้เจียเองก็ยังอดส่ายหน้าไม่ได้ 


 


 


ระหว่างที่ทุกคนกำลังหัวเราะอยู่นั้น คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้นั้นกลับคุกเข่าอยู่ข้างม้าไม่ลุกขึ้น มันเบิกตากว้าง ตรวจสอบขาและกีบเท้าของอาชาน้อยอย่างถ้วนถี่ ไม่ละเว้นแม้สักกระผีกเดียว 


 


 


เห็นมันผู้นี้ตั้งอกตั้งใจถึงเพียงนี้ ชาวทูเจวี๋ยโดยรอบที่ฉลาดสักหน่อยก็ค่อยๆ สัมผัสอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อดร้องเอ๊ะไม่ได้ สีหน้าดูแคลนค่อยๆ เลือนหายไป ทว่าอวี้เจียกลับยิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา 


 


 


“เหล่าหู น้องหลินกำลังหาอะไรอยู่น่ะ?!” เกาฉิวดึงแขนเสื้อหูปู้กุยพร้อมเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นตึงเครียด 


 


 


“โอ๊ย ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงนะ?!” หูปู้กุยจับศีรษะด้วยความหงุดหงิด “เขากำลังหาเข็มอยู่!” 


 


 


เกาฉิวเบิกตาถลน ถามด้วยความไม่เข้าใจ “หาเข็ม? หาเข็มอะไร?!” 


 


 


เหล่าหูผงกศีรษะ พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “เจ้าลองคิดดู ม้าของอวี้เจียปกติดีทุกอย่าง แต่ไม่ว่าจะตีจะทำให้ตกใจอย่างไรก็ไม่ขยับฝีเท้า นี่มันเพราะอะไร?” 


 


 


เกาฉิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดด้วยความยินดีขึ้นมาทันที “เจ้าหมายความว่านางแทงเข็มเอาไว้ที่กีบเท้าม้า ดังนั้นม้าตัวนั้นถึงไม่เดิน? มีเหตุผลๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เหล่าหูเจ้าก็มีช่วงที่ฉลาดด้วยนะ!” 


 


 


“ข้าฉลาดผายลมน่ะสิ ยังไม่ใช่ท่านแม่ทัพหลินที่เตือนสติข้าหรอกหรือ” เหล่าหูส่ายหน้า “เพียงแต่เรื่องพวกนี้เป็นการคาดเดา ต้องดูว่าแม่ทัพหลินพบอะไรหรือไม่” 


 


 


ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอยู่นั้น หลินหว่านหรงกลับยืนขึ้นพร้อมส่ายหน้าอย่างแช่มช้า สองมือว่างเปล่า เห็นชัดว่าไม่ได้อะไร ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบส่งเสียงไม่สบอารมณ์ ไม่พอใจที่เขาสงสัยว่าท่านข่านใหญ่จะใช้ลูกไม้กระจอกเช่นนี้ยิ่งนัก ส่วนเกาฉิวก็ส่งเสียงเฮ้อออกมาเช่นกัน 


 


 


อวี้เจียดวงตาเผยแววกระหยิ่มใจเล็กน้อย ชี้ไปที่นาฬิกาทรายบนปะรำพิธีพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คนเผ่าเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าต้องทำเวลาสักหน่อยนะ นาฬิกาทรายไหลไปหนึ่งส่วนแล้ว!” 


 


 


ไม่ต้องให้นางบอกหลินหว่านหรงก็รู้ว่าเวลาบีบคั้น เพียงแต่ความฉลาดของอวี้เจียนั้นหาใช่การคุยโว นางไม่ได้เล่นตุกติกที่ขาม้าแม้แต่น้อย แล้วจะไปหาเบาะแสได้อย่างไรกัน? เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเซ็งแซ่จากชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบ เหล่าเกาเหล่าหูก็ค่อยๆ ก้มหน้าลงไป บรรยากาศหนักอึ้งอย่างล้นเหลือ 


 


 


หลินหว่านหรงฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ แผ่นหลังชุ่มโชกตั้งแต่แรก เมื่อเห็นรอยยิ้มได้ใจบนใบหน้าสีทองของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ทั้งแปลกใหม่ทั้งคุ้นเคย เขาก็พลันยื่นมือออกไปลูบหลังมือของนางทันที 


 


 


“บังอาจ!” ข่านดาบทองตกใจพร้อมรีบหดมือกลับไป เสียง ‘เพียะ’ ดังกระจ่างชัด นางหวดแส้ม้า กำลังจะฟาดไปที่คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้บังอาจคนนี้ 


 


 


คนเผ่าเยวี่ยซื่อเหมือนไม่ได้ยินเสียงตวาดด้วยโทสะของนาง ฉวยโอกาสช่วงที่นางคลายมือดึงบังเ**ยนม้าแล้วดึงลงมา พินิจใบหน้าและปากของอาชาสีผสมอย่างละเอียด กระทั่งยังนำไปใกล้จมูกพร้อมสูดดมหลายครั้งอีกด้วย 


 


 


อวี้เจียดวงตาฉายแววตกใจ แส้ม้าในมือกลับหยุดโดยไม่รู้ตัว นางชิงบังเ**ยนนั้นกลับพร้อมดึงหักหัวม้าออกไป ไม่ให้เขาแตะต้องอาชาของตนเองอีก  


 


 


หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันร่างกลับมา สาวเท้ายาวๆ กลับไป หยิบถุงน้ำสามสี่ถุงมาจากหลังม้า จากนั้นก็กลับไปเบื้องหน้าอวี้เจียอย่างเร็วรี่ เขาไปมาประดุจสายลม ไม่เพียงชาวทูเจวี๋ยจะไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แม้แต่เกาฉิวกับหูปู้กุยเห็นแล้วก็ยังต้องงุนงงยกใหญ่ 


 


 


อวี้เจียมองถุงน้ำที่อยู่ในมือของเขา ขนตายาวกระเพื่อมไหว คล้ายงุนงงเล็กน้อย เมื่อเห็นเขาเปิดจุกถุงน้ำอย่างรวดเร็ว ข่านดาบทองผู้งดงามก็ตื่นตระหนกทันที ร้องตวาดเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง รีบดึงบังเ**ยนเพื่อเบี่ยงหัวม้าไป ทว่าหลินหว่านหรงกลับมือไวตาไว น้ำสะอาดจากถุงน้ำหลายถุงสาดออกไปพร้อมกัน ราดลงบนจมูกและปากม้าพอดี หยดน้ำไหลริน แม้แต่บังเ**ยนที่อยู่ในมืออวี้เจียก็เปียกชุ่มไปด้วย 


 


 


อาชาน้อยส่ายหน้าส่งเสียงฟืดฟาดจามไม่หยุด มันบิดร่างกายเร็วรี่พร้อมหมุนวนอย่างต่อเนื่อง เยวี่ยหยาเอ๋อร์หมุนไปตามการกระโดดโลดเต้นของม้า สะบัดบังเ**ยนไม่หยุด ตวาดอย่างมีน้ำโห โชคดีที่นางมีทักษะการขี่ม้าเป็นเลิศ ดังนั้นถึงทำให้ม้าค่อยๆ ยืนสงบนิ่งได้ 


 


 


ป่านนี้แล้วยังจะพลาดอีกหรือ หลินหว่านหรงแอบส่งสายตาให้หูปู้กุย เหล่าหูรับรู้ด้วยใจทันที 


 


 


“ไป!” คนเผ่าเยวี่ยซื่อขี่ม้ารวดเร็วดุจสายลม เพียงชั่วพริบตาก็โผล่อยู่ข้างหลังอวี้เจีย 


 


 


เสียง ‘เพียะ’ ดังกระจ่างชัดคราหนึ่ง หูปู้กุยหวดแส้ม้าเบาๆ ม้าน้อยของอวี้เจียสั่นสะท้าน ขยับบิดเร่าด้วยความกระวนกระวาย 


 


 


ไม่รู้ว่าน้องหลินใช้วิธีการใด อาชาสีผสมตัวนี้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว ต่อให้เป็นนักขี่ธรรมดาทั่วไปก็บังคับให้มันไปได้ เหล่าเกาเห็นแล้วก็ยินดียิ่งนัก ออกแรงหวดแส้ม้าเสียงดัง ‘เพียะๆ’ อาชาน้อยสีผสมตัวนั้นตกใจจนวิ่งวน ยกกีบเท้าขึ้น กำลังจะวิ่งห้อตะบึงข้างหน้า 


 


 


ข่านดาบทองรู้ว่าแย่แล้ว นางกัดฟันกรอดทันที ออกแรงคว้าบังเ**ยน ดึงกระชากหัวม้าบัดเดี๋ยวแรงบัดเดี๋ยวผ่อน อาชาน้อยวิ่งกุบกับไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อหลุดพ้นจากอันตรายก็ค่อยๆ หยุดลงอีกครา 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ฉลาดเฉลียวเสียจริง นางรู้ว่าลูกไม้ของตนถูกคนดูออกแล้ว ดังนั้นจึงอาศัยทักษะการขี่ม้าชั้นเลิศ อาศัยประโยชน์จากช่องว่างระหว่างที่คนเผ่าเยวี่ยซื่อกำลังไล่ม้า บัดเดี๋ยวเดินบัดเดี๋ยวหยุด ขอเพียงลากเวลาให้นาฬิกาทรายไหลจนหมดได้ นางก็ยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี 


 


 


นังหนูเจ้าเล่ห์คนนี้นี่! หลินหว่านหรงหงุดหงิดโมโหอยู่ในใจ พลิกตัวขึ้นม้าพร้อมตบก้นม้าอย่างแรง ม้าทูเจวี๋ยยกขาแล้ววิ่งห้อตะบึง เพียงชั่วพริบตาก็ไล่อวี้เจียทันแล้ว 


 


 


แค่คนเผ่าเยวี่ยซื่อคนเดียวจะทำอะไรข้าได้?! อวี้เจียมองเขาด้วยท่าทีเรียบเฉย ใบหน้าผุดรอยยิ้มหยิ่งผยอง 


 


 


เมื่อคิดถึงลูกเล่นของสาวน้อยคนนี้ หลินหว่านหรงก็ทั้งหงุดหงิดโมโหทั้งอับจนปัญญาอยู่บ้าง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะจัดการเจ้าไม่ได้! เขาหัวเราะฮิฮะสองครา เคลื่อนที่ไม่เท่าไหร่ม้าก็มาถึงข้างกายนาง ขวางการเดินหน้าของนางไว้  

 

 


ตอนที่ 601 - 2 เจ้าเป็นใคร

 

 นาฬิกาทรายเหลือแค่ครึ่งเดียวแล้ว จะถูกคนขัดขวางก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยังคงยิ้มแย้ม อาชาสีผสมใต้ร่างนางจู่ๆ กลับเชิดหน้าส่งเสียงร้อง เดินไปข้างหน้าสองก้าว ต้องการใช้หัวกระแทกก้นม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหน้า 


 


 


อวี้เจียร้องอ๊ะ ปรากฏสีหน้าประหลาดใจ เรื่องที่ทำให้นางตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นสิ่งที่ตามมา ม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหน้าคล้ายทนการรบกวนไม่ได้ วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหลายก้าว อาชาสีผสมของนางกลับไล่ตามติด เอาใบหน้าดันร่างและใบหน้าอาชาที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ยอมห่างแม้แต่ก้าวเดียว 


 


 


“หยุด!” ด้วยความตกใจ ข่านดาบทองไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว รีบดึงบังเ**ยนต้องการให้ม้าหยุด แต่เจ้าม้ากลับระเบิดโทสะทันที มันยกขาหน้าขึ้นในบัดดล เชิดหัวสูงพร้อมส่งเสียงร้อง วิ่งวนเป็นวงกลม ความรุนแรงนั้นทำให้คนสั่นสะท้าน เกือบสะบัดเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้อ่อนแอหลุดจากหลังม้า  


 


 


ความดื้อดึงแข็งกร้าวของอวี้เจียกลับยิ่งทำให้คนเคารพนับถือ นางกอดคอม้าแน่น ปล่อยให้ม้าน้อยกระโดดโลดเต้น ร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายนางหมือนดั่งเรือใบไม้น้อยที่ลอยล่องอยู่กลางระลอกคลื่นอันบ้าคลั่ง ทว่ากลับกัดฟันกรอดไม่ยอมส่งเสียงสักแอะเดียว! 


 


 


“ไป!” หลินหว่านหรงตวาดต่ำ ๆ คราหนึ่ง หวดแส้ลงบนก้นม้าอย่างรุนแรง ม้าทูเจวี๋ยแหงนหน้ากู่ร้องยาว พุ่งปราดไปข้างหน้าราวกับดาวตกและสายฟ้าแลบ อาชาสีผสมของอวี้เจียเห็นรูปการณ์ก็ร้องตาม ร่างกายตามติดอยู่ด้านหลังหลินหว่านหรงประดุจสายฟ้า 


 


 


ม้าเร็วสองตัว หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ หนึ่งดำหนึ่งผสม ประหนึ่งสายลมอันบ้าคลั่งพัดผ่านม้วนทุ่งหญ้า กวาดม้วนใบหญ้า ให้พุ่งผ่านเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ราวกับดาวตกอันเจิดจ้ามากที่สุด 


 


 


“ข่านดาบทองถูกพวกเราชิงไปแล้ว!” หูปู้กุยนำทหารสิบกว่าคนไล่ตามอยู่ด้านหลัง ชูแขนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงแหบห้าวดึงกึกก้องทั่วทุ่งหญ้าดั่งเสียวอสุนีบาต 


 


 


ด้วยความงดงามและสติปัญญาของข่านดาบทอง มีเพียงผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงชิงตัวนางไปได้! ชาวทูเจวี๋ยต่างเปล่งเสียงโห่ร้องยินดีอย่างเต็มที่ เสียงปรบมือและเสียงคำรามดังต่อเนื่องจนทำให้ทุ่งหญ้าสั่นสะเทือน 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องดังลั่นฟ้าสะเทือนดินของคนในเผ่า อวี้เจียซึ่งทนทุกข์พลิกคว่ำไปมาบนหลังม้ากลับมีความทุกข์ทว่ามิอาจเอ่ยปากออกมาได้ อาชาที่นางเชื่อใจมากที่สุดไล่ตามก้นคนเผ่าเยวี่ยซื่อราวกับเสียสติ ไม่ว่านางจะกระแทกที่พักเท้า ดึงกระชากบังเ**ยนเช่นไร กลับแลกมาด้วยการต่อต้านที่รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ภายใต้ความบ้าคลั่งเช่นนี้ ต่อให้มีทักษะการขี่ม้าล้ำเลิศเช่นไรก็ไร้ประโยชน์ นางสูญเสียการควบคุมม้าโดยสิ้นเชิง เป็นม้าที่พานางวิ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหน้าพานางวิ่งห้อตะบึง 


 


 


หันกลับไปมองสายตาอันเดือดดาล ริมฝีปากสีชาดที่ถูกกัดแน่นของอวี้เจีย หลินหว่านหรงกลับรู้สึกสาแก่ใจอย่างบอกไม่ถูก วันนี้เขาโดนนังหนูนี่ทำให้ลำบากไม่น้อย ไม่เพียงต้องสู้แลกชีวิตกับถูสั่วจั่ว แถมยังเกือบถูกอวี้เจียหักขาข้างหนึ่งอีก หากไม่ใช่เขาฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ วันนี้เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็ต้องทิ้งไว้ที่นี่! ตอนนี้ถือว่าให้นางลองลิ้มรสความลำบากบ้างแล้ว! 


 


 


เขาควบม้าดุจโผบิน ไม่คิดจะหยุดพักแม้แต่น้อย ชนเผ่านอกด่านบนทุ่งหญ้าเห็นแค่ม้าสองตัวหนึ่งหน้าหนึ่งหลังวิ่งอย่างเร็วรี่ดั่งสายฟ้าแลบ ทุกคนต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี ไหนเลยจะรู้สภาพของข่านใหญ่ได้ 


 


 


อวี้เจียคือผู้ปกครองชั้นยอดแห่งทุ่งหญ้า จิตใจและความห้าวหาญหาใช่ธรรมดา แม้จะถูกกระทำจนม้าบ้าคลั่ง ถึงกระนั้นตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่เคยยอมแพ้ 


 


 


ม้าน้อยวิ่งห้อตะบึงอยู่ครู่หนึ่ง หอบหายใจแฮ่กๆ เบ้าตาแดงก่ำราวกับเปลวเพลิง เท้าลื่นสะดุดเล็กน้อย คล้ายกำลังกะเผลก เมื่อลองควบคุมบังเ**ยน ม้าน้อยกลับยังส่ายหน้าอย่างรุนแรง แต่ไม่ได้พลุ่งพล่านเช่นก่อนหน้านี้แล้ว 


 


 


เมื่อเห็นว่านาฬิกาทรายใกล้ไหลจนหมดสิ้น เส้นชัยอยู่แค่เบื้องหน้า คนเผ่าเยวี่ยซื่อที่อยู่ข้างหน้าตนไม่กี่จั้งกลับวิ่งพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตื่นเต้นยินดีอยู่ในใจ ดึงบังเ**ยนม้าอย่างแยบคาย แรงต้านทานของม้าอ่อนลงไปเรื่อยๆ คล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรงแล้ว 


 


 


“หยุด!” เมื่อเห็นว่าเส้นชัยอยู่ตรงหน้า ไม่มีเวลาให้ลังเลแล้ว อวี้เจียก็กัดฟันกรอดอย่างแรง ดึงบังเ**ยนทันที 


 


 


“ฮี้!” อาชาสีผสมซึ่งกำลังวิ่งราวกับเกาทัณฑ์ถูกดึงจมูก สองตามันแดงดั่งโลหิต บ้าคลั่งภายในชั่วพริบตา มันแหงนหน้าอย่างเร็วรี่ แผงคอตั้งชัน ขาทั้งสี่ตะกุยอากาศพร้อมกัน ร่างกายหมุนวนอยู่กลางอากาศอย่างเร็วรี่ประหนึ่งใบหลิวท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง  


 


 


หลินหว่านหรงที่กำลังควบม้าอยู่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติจากด้านหลัง ดังนั้นจึงรีบดึงม้าแล้วหันกลับไปมอง อวี้เจียผมเผ้าโบกสยาย ใบหน้าขาวซีด ราวกับดอกบัวที่กระจัดพลัดพราย อยู่กลางสายลม เขาอดบังเกิดเพลิงโทสะพลุ่งพล่านไม่ได้ ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่โง่ขนาดนี้มาก่อน ม้าตัวเมียที่ติดสัดเจ้าก็กล้าหาเรื่องด้วยหรือ?! 


 


 


เรี่ยวแรงที่อาชาตัวนั้นหมุนวนอยู่กลางอากาศรุนแรงมากเพียงใด ต่อให้มีทักษะการขี่ม้าดีอีกสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจใช้งานได้ อวี้เจียรู้สึกว่าร่างกายเหมือนโคมลอยซึ่งอัดเต็มด้วยอากาศซึ่งกำลังลอยล่องอยู่ ร่างม้าออกห่างจากตนไป 


 


 


ไม่ทันได้ตกใจว่าเหตุใดม้าตัวนี้ถึงได้เสียสติเช่นนี้แล้ว เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ไม่สนใจทุกสิ่ง รู้เพียงว่าให้กลั้นลมหายใจเฮือกสุดท้าย คว้าแผงคอที่กำลังปลิวสยายอยู่บนร่างม้าตัวนั้นแน่น 


 


 


ด้วยความเจ็บปวด อาชาสีผสมร้องด้วยโทสะทันที สองขายังไม่ทันถึงพื้นก็เหยียดคอไปข้างหน้าแล้วสะบัดอย่างแรง เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง อวี้เจียไม่อาจบังคับแรงที่มือได้อีกต่อไป เสียงดังขวับคราหนึ่ง ร่างกายหลุดขวางออกไปราวกับกลีบดอกบัวที่หลุดร่วงท่ามกลางลมพายุหมุน 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ ถึงกระนั้นกลับไม่อาจไปช่วยได้ทัน 


 


 


เมฆาขาวยิ่ง หญ้าเขียวขจียิ่ง ท้องฟ้าสีครามยิ่ง ท่ามกลางสติอันรางเลือน อวี้เจียหลับตาอย่างแช่มช้า บางทีดอกนุ่นที่งดงามที่สุดและสูงส่งที่สุดบนทุ่งหญ้าอาจโรยราไปทั้งอย่างนี้ 


 


 


พรึบ! เสียงลมเร็วรี่ดังข้างใบหู ม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว อวี้เจียรู้สึกว่าร่างกายตนเองใกล้จะสัมผัสพื้นแล้ว ชั่วพริบตาที่จะกระแทกพลันมีแขนกำยำทรงพลังข้างหนึ่งยื่นเฉียงเข้ามาโอบเอวนางแน่นราวกับคีมเหล็ก คนผู้นั้นทำราวกับชิงแพะสองขากระแทกตัวม้า ร่างกวาดผ่านพื้นอย่างรวดเร็ว ใช้มือเดียวขวางโอบ กวาดเอวอันคอดกิ่วของนางขึ้นมา  


 


 


“อ๊า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ร้องด้วยความตกใจ ร่างกายลอยล่องเบาหวิวขึ้นไปราวกับลอยอยู่บนปุยเมฆ คนเผ่าเยวี่ยซื่ออันกล้าแกร่งใช้มือเดียวโอบเอวนาง ยกเบาๆ เพียงครั้งเดียวอวี้เจียก็นั่งอยู่บนอานม้าเบื้องหน้าอย่างมั่นคง ซุกเข้าสู่อ้อมกอดเขาโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองนั่งเคียงคู่อยู่บนอาน วิ่งห้อตะบึงออกไปอย่างเร็วรี่ 


 


 


นับตั้งแต่ข่านดาบทองตกม้าจนถึงคนเผ่าเยวี่ยซื่อเข้าช่วยเหลืออย่างเร็วรี่ การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เพียงชั่วระยะประกายไฟเท่านั้น เสียงโห่ร้องตกใจของชนเผ่านอกด่านยังไม่ทันเปล่งออกมา อาชาทูเจวี๋ยซึ่งวิ่งทะยานราวกับโผบินตัวนั้นกลับไม่อาจยั้งท่าร่าง โผทะยานขึ้นกลางอากาศข้ามผ่านทุกคนไปราวกับเทพอาชาที่เหาะลงมาจากสรวงสวรรค์ มุ่งตรงไปยังทิศทางอันแสนไกล  


 


 


ดวงตะวันขนาดมหึมาค่อยๆ ลาลับทุ่งหญ้า ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงสีแดงโลหิต สองคนนั้นเงาร่างประสานกัน ค่อยๆ กลายเป็นจุดสีดำขนาดเล็กที่ขยับวูบลอยล่อง ราวกับจมหายไปในท้องฟ้า  


 


 


“ลงไป!” อาชาทูเจวี๋ยวิ่งออกไปหลายร้อยลี้ ข่านดาบทองนั่งอย่างมั่นคง อาการใจเต้นกลับเป็นปกติ ดวงหน้าอันงดงามแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หันร่างกลับมาแล้วใช้หมัดกระแทกท้องหลินหว่านหรงอย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง นางเป็นยอดหญิงงามไร้ผู้ใดเปรียบบนทุ่งหญ้า ไม่มีวันยอมให้ชายใดมาล่วงละเมิดตนเองแน่ แม้คนเผ่าเยวี่ยซื่อผู้เ**้ยมหาญคนนี้จะช่วยชีวิตตนเองก็ไม่ได้! 


 


 


“อึก!” หลินหว่านหรงส่งเสียงเจ็บปวดอยู่ในลำคอ งอร่างโดยไม่รู้ตัว หอบหายใจหนักกระชั้นถี่ เหงื่อไหลดั่งสายฝน 


 


 


อวี้เจียแม้จะเป็นสตรี แต่นางก็น้าวคันศรได้สองหน ดาราคู่ไล่จันทรา แล้วจะดูแคลนพละกำลังได้อย่างไร? การลงมืออย่างกะทันหันครานี้ ยังไม่ทันได้ระวังป้องกัน คนเผ่าเยวี่ยซื่อก็ถูกอัดหนักๆ คราหนึ่งโดยไม่ได้ไต่ถาม เลือดลมและอวัยวะภายในต่างขย้อนขึ้นมา  


 


 


หรือว่านี่คือกรรมตามสนองที่ข้าเคยแหย่นางก่อนหน้านี้?! หลินหว่านหรงหอบหายใจหนักพลางยิ้มขื่น 


 


 


เมื่อได้ยินเขาแค่นเสียงด้วยความเจ็บปวด อวี้เจียก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายสัมผัสอะไรได้ มองเขาอย่างเหม่อลอย สายตาทั้งงุนงงทั้งพร่าเลือน  


 


 


“เจ้าเป็นใคร?!” นางพูดพึมพำ คำพูดอันแผ่วเบาแช่มช้ากอปรด้วยความอ่อนโยนที่ตนยากจะรับรู้ได้ ถึงแม้เป็นภาษาทูเจวี๋ย แต่หลินหว่านหรงกลับฟังออกว่านางกำลังพูดอะไรอย่างชัดเจน 


 


 


ข้าเป็นใคร?! 


 


 


ใช่แล้ว ข้าเป็นใคร?! 


 


 


ท่ามกลางห้วงความฝันอันรางเลือน ห่างเหินดั่งชาติภพหนึ่ง ระยะทางอันแสนจะยาวไกลมากที่สุดบนโลก ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว หลินหว่านหรงจิตใจพลุ่งพล่าน ราวกับก้อนหินขนาดยักษ์น้ำหนักหลายร้อยหลายพันชั่งกดทับตนเองอย่างรุนแรง กดดันจนไม่อาจหายใจได้ แต่เขากลับไม่อาจร้องไห้ ไม่อาจหัวเราะ ชีวิตเกิดมาไม่เกิดเศร้าใจขนาดนี้มาก่อน! 


 


 


“อ๊ะ…อ๊า…อ๊า…” เขาเบิกตาโพลง อ้าปากกว้าง ออกแรงแกว่งแขวนไปมา ทำท่าทางชี้มือชี้ไม้ เนื่องจากกลัวว่าอวี้เจียจะไม่เข้าใจตนเอง ยังเขียนสะเปะสะปะบนฝ่ามือตัวเองอีกหลายครั้ง  


 


 


อวี้เจียมองอยู่นาน จากนั้นก็ผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ที่แท้ก็คนใบ้!”  

 

 


ตอนที่ 602 ข้าจะจำเจ้าเอาไว้

 

“อ๊า…อ๊า…” กระโดดลงจากม้าพร้อมจูงบังเ**ยน ชี้ไปที่หูของตัวเอง จากนั้นก็ชี้ไปที่ปาก แสดงความหมายว่าไม่ได้ยินที่นางพูด  


 


 


ผู้ที่พูดไม่ได้ส่วนใหญ่จะหูหนวกด้วย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ย่อมรู้เหตุผลนี้ นางนั่งอยู่บนม้า จ้องตาเจ้าใบ้ ใบหน้าปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย นางพูดเสียงเบาออกมาว่า “เหมือนข้าจะเคยเห็นเจ้าที่ไหนมาก่อน…เจ้าเป็นใบ้จริงหรือ?!” 


 


 


เจ้าใบ้ออกแรงส่ายหน้า สายตางุนงง ฟังนางพูดไม่เข้าใจแม้แต่น้อย อวี้เจียถอนหายใจ “น่าเสียดาย เหตุใดเจ้าถึงเป็นใบ้ได้?” 


 


 


ภาษาทูเจวี๋ยที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยออกมา หลินหว่านหรงฟังไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ความร้อนรนอับจนปัญญาปรากฏให้เห็นภายในดวงตา สีหน้าท่าทางไม่ต่างจากคนหูหนวกเป็นใบ้แม้แต่น้อย ไม่ต้องแสดงเสียด้วยซ้ำ 


 


 


การวิ่งห้อตะบึงคราวนี้ไม่รู้ว่าวิ่งออกมากี่ลี้ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ไกลๆ มองไม่เห็นแล้ว ม้าทูเจวี๋ยของนางค่อยๆ ลดความเร็วของฝีเท้า  


 


 


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในการชิงแพะครั้งสุดท้ายเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ขมวดคิ้ว นางกระโดดลงจากม้าทันที ขวางเจ้าใบ้อยู่ข้างหน้าแล้วชี้ไปที่หัวม้า มือน้อยชี้ไปที่ข้างแก้ม แหงนหน้าทำท่าดื่มน้ำ จากนั้นก็ใช้มือเดียวประคองใบหน้าเอนศีรษะ เบิกตากว้างมองดูเขา  


 


 


นี่ทำอะไรน่ะ? เจ้าใบ้จ้องนางด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง 


 


 


อวี้เจียรีบทำการกระทำเมื่อครู่ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง หลินหว่านหรงมองนางชี้มือชี้ไม้ก็เข้าใจในทันที นังหนูคนนี้กำลังเล่นใบ้คำอยู่นี่เอง สมัยนี้ภาษามือยังไม่มีมาตรฐาน เพียงแต่อวี้เจียมีพรสวรรค์สูงล้ำ การทำท่าทางเหมือนจริง ทำให้คนเห็นแล้วก็เข้าใจ นางกำลังถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงสาดน้ำใส่หน้าม้าน้อย?” 


 


 


เจ้าใบ้นำใบหน้าประชิดจมูกม้า ทำท่าทางดมกลิ่น จากนั้นก็เงยหน้าร้องอ๊าๆ สองครั้ง มองนางด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง 


 


 


อวี้เจียรู้ทันที เพราะเจ้าคนนี้เป็นคนใบ้ ดังนั้นจมูกของมันถึงไวมากกว่าเดิม ได้กลิ่นยาสลบที่ตนเองทาบนบังเ**ยนและหัวม้า มันสาดน้ำใส่ใบหน้าและจมูกม้าก็เพื่อละลายผงยาสลบ ทำให้ม้าหลุดพ้นจากความหวาดกลัวจากกลิ่นยาสลบ 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงคิดออกว่าข้าทายาสลบอยู่บนจมูกม้าแต่ไม่ใช่ที่อื่นล่ะ?!” อวี้เจียใช้มือชี้ที่หน้าอกมัน จากนั้นก็จิ้มที่หัวใจตัวเองพร้อมเอนศีรษะ ทำท่าทางสงสัย ออกแรงตบจมูกม้า ใช้มือทำท่าภาษามือ 


 


 


เจ้าใบ้ผงกศีรษะ ลอบหัวเราะอยู่ในใจ ดูไม่ออกจริงๆ นะนี่ ที่แท้แม่หนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีความสามารถเป็นอาจารย์สอนภาษามือกับเขาด้วย 


 


 


เขาเดินไปข้างกายม้า ลูบหลังมันเบาๆ พร้อมชี้ที่ตนเอง จากนั้นก็ตบหน้าอก ทำท่าทางใจเต้นตุบๆ ปากร้องอ๊ะๆ หลายครั้ง ท่าทางแม้จะดูน่ารักตลกขบขัน แต่อวี้เจียกลับเข้าใจความหมายได้ “ม้าก็เหมือนข้า ต่างก็มีชีวิต!” 


 


 


นางหัวเราะพลางผงกศีรษะ ขณะกำลังจะเอ่ยวาจาสายตาก็ไปอยู่ที่ข้อมือ เมื่อเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจสายตาก็ชะงักงันทันที  


 


 


เป็นอะไรไปล่ะ? หลินหว่านหรงตกใจ ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไรอวี้เจียก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมชี้ไปที่ข้อมือของเขาแล้ว นางเอ่ยถามเบาๆ ว่า “นี่คืออะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบมองข้อมือ รอยฟันโค้งจางๆ รอยหนึ่งเปล่งประกายอ่อนโยนภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง 


 


 


ซวยแล้ว เขาร่ำร้องด้วยความร้อนรนอยู่ในใจ คิดจะรั้งมือกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว นี่เป็นรอยฟันที่อวี้เจียทิ้งเอาไว้ขณะที่ขัดขืนอย่างรุนแรงตอนที่จัดการนางในวันนั้น ครั้นปรากฏขึ้นมาอีก ด้วยนิสัยอันแข็งกร้าวดื้อด้านของอวี้เจีย ใครจะรู้ว่านางจะคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง 


 


 


“อ๊ะ…อ๊ะ…” ด้วยความร้อนใจ เจ้าใบ้ใช้สองมือทำท่าทางอย่างต่อเนื่อง ทำท่าสุนัขใหญ่โผเขมือบเหยื่ออย่างดุร้าย อวี้เจียกล่าวด้วยความสงสัย “เจ้าบอกว่านี่คือสุนัขกัดเจ้า? ข้าว่าไม่ค่อยเหมือนนะ นี่เหมือนข้ากัด…” 


 


 


นางหยุดพูดอย่างทันท่วงที ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย เอาตัวเองไปเทียบกับสุนัข คำพูดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางซึ่งมีสถานะเป็นข่านใหญ่ดาบทองจะพูดออกจากปากมาได้ โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามคือคนใบ้คนหนึ่งเท่านั้น 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผงกศีรษะ เงยหน้ามองพร้อมกล่าวด้วยความสงสัย “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้ารู้สึกว่าเหมือนเคยพบเจ้าที่ไหนมาก่อน เจ้าล่ะ เคยพบข้าหรือไม่?!” 


 


 


เจ้าใบ้เบิกตาโพลง ใบหน้างุนงง 


 


 


ลืมไป เจ้าคนนี้ทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้ แล้วจะได้ยินข้าพูดได้อย่างไรกันเล่า? อวี้เจียส่ายหน้า หัวเราะพลางตบหัวม้าทูเจวี๋ยหลายครั้ง พูดด้วยภาษามือว่า “เอาล่ะ เจ้าพูดต่อไป เหตุใดถึงคิดออกว่าข้าทายาสลบไว้ที่จมูกม้า?” 


 


 


ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะให้นางเบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาได้ เจ้าใบ้ผงกศีรษะอย่างอกสั่นขวัญแขวน ย่างก้าวเร็วรี่พุ่งปราดไปข้างกายม้าทูเจวี๋ย เขาตบขาม้า จากนั้นลูบไล้หู ดวงตา จมูก และปากของมัน ต่อมาก็ชี้ท้องฟ้าและทุ่งหญ้า ใช้มือเดียวแนบหน้าอก ทำท่าทางของการรับรู้ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าม้ากับพวกเราก็เหมือนกัน หากมันจะรับรู้ทุ่งหญ้าและท้องฟ้าก็ต้องอาศัยดวงตา จมูก ปาก อีกทั้งขา! สาเหตุที่ม้าน้อยของข้าไม่เดิน จะต้องเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างนี้แน่ ดังนั้นเจ้าถึงเริ่มดูที่ขาม้าก่อน จากนั้นค่อยไปที่อวัยวะทั้งห้า?!” 


 


 


นางจ้องหลินหว่านหรง พูดจารวดเร็วยิ่งนัก เสียงกระจ่างชัดดั่งกระดิ่งลม ด้วยภาษาทูเจวี๋ยอันแสนจะน่าเวทนาไม่กี่ประโยคของคนแซ่หลิน ไหนเลยจะเข้าใจได้ว่านางกำลังพูดอะไรอยู่ 


 


 


“อ๊ะ…อ๊ะ…” เจ้าใบ้รีบโบกมือ แสดงความหมายว่าข้าฟังไม่ออกว่าเจ้าพูดอะไร 


 


 


มองดูเจ้าใบ้เบิกตากว้าง ท่าทางงงงวยไม่รู้เรื่อง อวี้เจียจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “เจ้าไม่ได้ยินข้าพูดก็ไม่เป็นไร แต่ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าแล้ว บางทีเจ้าอาจเป็นคนใบ้ที่ฉลาดมากที่สุดบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ เพียงแต่พฤติกรรมต่ำช้าที่เจ้าแอบทายาปลุกกำหนัดบนตัวม้ากลับไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะทนได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?” นางใบหน้าเย็นชา คิ้วงามเลิกขึ้น สีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ไม่แสดงโทสะกลับแผ่บารมี เพียงแต่น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามทั้งหูหนวกทั้งเป็นใบ้ มองดูนางด้วยตาที่เบิกกว้างราวกับคนปัญญาอ่อน ทำให้ความน่าเกรงขามของนางไม่อาจใช้งานได้ 


 


 


เจ้าคนใบ้คนนี้ชิงข่านใหญ่ท่ามกลางสายตาฝูงชน เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนเห็นกับตา ตอนนี้ไม่อาจลงโทษมันตามใจชอบได้ แม้แต่ความน่าเกรงขามของข่านใหญ่ก็ไม่อาจใช้กับมัน อวี้เจียกัดฟันกรอด กล่าวด้วยความรู้สึกทั้งเดือดดาลทั้งจนใจเล็กน้อย “ครั้งนี้เจ้าทำเพื่อปกป้องคนในเผ่าเจ้า ข้าเข้าใจ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามมีอีก หากให้ข้าเห็นว่าเจ้าใช้วิธีการต่ำช้าพวกนั้นอีกล่ะก็ ข้าจะหักขาเจ้าเสีย ให้เจ้าขี่ม้าไม่ได้อีกต่อไป! เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 


 


 


เจ้าใบ้อือๆ หลายครั้ง เดินไปข้างกายม้าช้าๆ หันหลังให้นางพลางลูบไล้แผงคอของอาชาสีนิลเบาๆ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา   


 


 


เมื่อเห็นท่าทางตกใจหวาดกลัวและไม่ได้รับความเป็นธรรมของมัน ใจของข่านใหญ่ดาบทองก็ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร จู่ๆ ก็รู้สึกรวดร้าวเล็กน้อย จ้องมองเงาหลังที่ว้าเหว่ของเจ้าใบ้อย่างเหม่อลอย นางนิ่งงันอยู่นาน จากนั้นก็พูดเบาๆ ออกมาว่า “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร?!” 


 


 


คำถามนี้เจ้าใบ้ย่อมฟังไม่เข้าใจ ตบหลังม้าเบาๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ท่าทางสบายอารมณ์ยิ่งนัก 


 


 


อวี้เจียรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นมันตอบสนอง ใจพลันเต้นรัวดังตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางไม่รู้เช่นกันว่าความรู้สึกมาจากที่ใด เดินสองก้าวอย่างฉับพลัน พุ่งปราดไปข้างหน้า เบิกตากว้างพลางจ้องมอง “เจ้าใบ้ ข้าอยากเห็นเจ้า!” 


 


 


การพุ่งเข้ามาของนางครั้งนี้ทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยงทันที เห็นสาวน้อยคนนี้เผยอริมฝีปากสีชาดเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่านางจะทำอะไร หากถามว่าตอนนี้เขาเสียดายเรื่องอะไรมากที่สุด สิ่งนั้นก็คือไม่ได้เรียนภาษาทูเจวี๋ยจนชำนาญนั่นเอง 


 


 


มันเป็นคนใบ้จริงๆ! เมื่อเห็นท่าทางบื้อใบ้งงงวย ไม่รู้เรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้นของคนตรงหน้า อวี้เจียก็ทอดถอนใจเล็กน้อย ลงมือรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบเพื่อดึงผ้าคลุมหน้า 


 


 


ช่วงเสี้ยววนาทีนี้แม้จะไม่ได้ยินแต่ก็มองเห็น! หรือว่าจะถูกนางจับได้แล้ว?! ข้างหลังเป็นม้า ปราศจากหนทางถอย ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงมองข้อมืองดงามประดุจหยกที่อยู่ใกล้แค่คืบนั้น เขาใช้ความคิดเร็วรี่ กัดฟันกรอด ขณะที่กำลังจะลงมือจับตัวนางไว้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเรียกเซ็งแซ่อยู่ไกล ๆ “ท่านข่านใหญ่ ท่านข่านใหญ่…” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย มืองามหยุดอยู่กลางอากาศ เบือนหน้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าห่างออกไปหลายร้อยจั้ง ชาวทูเจวี๋ยจำนวนมหาศาลกำลังควบม้าห้อตะบึงมา ผู้ที่อยู่หน้าสุดก็คือทหารม้าหมาป่าทูเจวี๋ยซึ่งรับผิดชอบการคุ้มกันความปลอดภัยของนาง ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่อยู่กึ่งกลาง หวดแส้ม้าเร่งความเร็ว วิ่งเข้ามาหาอย่างเร็วรี่ ไม่ไกลจากตัวเขา ชนเผ่าเยวี่ยซื่อที่ได้รับชัยชนะกำลังสิ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าประดุจสายลม 


 


 


หลินหว่านหรงถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ เหงื่อเย็นไหลพร่างพรู หากถูกอวี้เจียเปิดหน้ากาก ความยากลำบากในการรอนแรมช่วงหลายเดือนนี้ก็จะจบสิ้นภายในชั่วพริบตา พี่สาวนางเซียนพูดถูก จิตใจของอวี้เจียมุ่งมั่นหาใดเปรียบ ยิ่งอยู่ใกล้นางก็ยิ่งอันตราย 


 


 


ทหารม้าทูเจวี๋ยมาอยู่ตรงหน้าภายในชั่วพริบตา เมื่อสูญเสียโอกาสดีที่สุดที่จะได้เปิดหน้ากากไปแล้ว เยวี่ยหยาเอ๋อร์จึงรั้งมือกลับไปอย่างหงุดหงิด แววตาปรากฏความผิดหวังให้เห็นรางๆ 


 


 


“ท่านพี่ ท่านไม่เป็นอะไรนะ?!” ม้าเพิ่งมาถึง ข่านน้อยก็โผลงจากหลังม้าแล้ว โผมาอยู่เบื้องหน้าอวี้เจียด้วยความตื่นเต้น เขาจับมือข่านใหญ่แน่น ดวงตามีน้ำตาคลอให้เห็นรางๆ เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง แบกภาระอันแสนจะหนักอึ้งเหลือล้นไว้บนบ่า มิหนำซ้ำข่านใหญ่ซึ่งเป็นที่พึ่งพิงกลับหายสาญสูญภายในชั่วพริบตาอีก ความมหาศาลของแรงกดดันนั้นเพียงคิดก็รู้ได้ 


 


 


อวี้เจียจุบมือข่านน้อย ผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “ข้าสบายดี ซ่าเอ่อร์มู่ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” 


 


 


ซ่าเอ่อร์มู่ร้องด้วยความตื่นเต้น เดินวนรอบพี่สาวรอบหนึ่ง สายตาไปอยู่ที่คนข้างกายอวี้เจีย “ท่านพี่ นี่คือคนเผ่าเยวี่ยซื่อที่ชิงตัวท่านได้คนนั้นหรือ?! นี่ เจ้าชื่ออะไร เจ้าชิงท่านข่านใหญ่ใหญ่ได้อย่างไร?!” 


 


 


หูปู้กุยพุ่งปราดไปอยู่ข้างกายหลินหว่านหรงตั้งแต่แรก ทั้งสองคนยังไม่ได้ทันพูดคุยกัน ข่านน้อยก็เอ่ยถามมาเป็นชุดแล้ว ภายใต้สายทุกคน เหล่าหูไม่อาจแปลได้ เขาร้อนใจจนเหงื่อเย็นไหลพราก ถึงกระนั้นกลับได้ยินอวี้เจียพูดเบาๆ ออกมาว่า “เจ้าคนนี้มันเป็นคนใบ้…ซ่าเอ่อร์มู่ ไม่ต้องถามแล้ว มันพูดไม่ได้!” ซ่าเอ่อร์มู่ดวงตาฉายแววผิดหวังอย่างยิ่ง ผู้ที่ทำให้อ๋องขวาร่วงลงจากม้าก็คือเจ้าใบ้คนนี้? ช่างเหลือเชื่อเหลือเกิน 


 


 


“ท่านพี่ เช่นนั้นดาบทองเล่มนี้…” ข่านน้อยมองดาบทองของอวี้เจียที่ประคองอยู่ในมือ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยถามออกมาเบาๆ  


 


 


เมื่อคำพูดของซ่าเอ่อร์มู่หลุดออกมา รอบด้านพลันเงียบสงัดทันที การถือครองดาบทองคือคำถามสุดท้ายของการแข่งขันชิงแพะในวันนี้ และเป็นคำตอบที่ทุกคนอยากรู้ด้วย แม้แต่พวกของเหล่าหูก็ยังอดกลั้นลมหายใจเพื่อฟังว่าอวี้เจียจะตอบเช่นไรไม่ได้ ข่านใหญ่รับดาบทองไปกุมอยู่ในมือ ข้อมือบอบบางกำแน่นเสียจนปรากฏเส้นเอ็นสีเขียวปูดขึ้นมาบาง  


 


 


นางเงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็ย่างก้าวเบาๆ เดินเข้าหาหลินหว่านหรงไม่เร็วไม่ช้า เหล่าเกาส่งเสียงฮิคราหนึ่ง ดึงแขนเสื้อน้องหลินแน่น 


 


 


ฝีเท้าของอวี้เจียเหยียบย่างอยู่บนทุ่งหญ้า เสียงซ่าๆ เบาๆ ดังก้องวนเวียนอยู่ภายในจิตใจทุกคน มองดูนางเดินเข้าหาเจ้าใบ้ทีละก้าว ความตึงเครียดในอากาศราวกับจะระเบิดออก แม้แต่เสียงเข็มตกก็ยังได้ยินชัดเจน  


 


 


หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว อวี้เจียใบหน้าอมยิ้ม ร่างกายใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ดาบทองในมือเปล่งประกายเจิดจรัส  


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่านางจะมอบดาบทองให้เจ้าใบ้ อวี้เจียกลับเดินผ่านมันไปแล้วจูงม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างหลังมัน 


 


 


“ซ่าเอ่อร์มู่ พวกเราไป!” ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามสนธยา ข่านใหญ่สายตาเย็นเยียบ วงหน้าอันงดงามเปล่งประกายสีทอง ท่าทางน่าเกรงขาม นางออกแรงหวดแส้ม้า ข่านน้อยร้องเสียงดังว่าเยี่ยม จากนั้นก็หักหัวม้าตามติดอยู่ข้างหลังพี่สาว ทหารม้านับพันเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า 


 


 


ข่านใหญ่ไม่ได้ต้องใจคนเผ่าเยวี่ยซื่อคนนั้น! ชนเผ่านอกด่านส่ายหน้าที่อยู่โดยรอบถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย ผู้กล้าเยวี่ยซื่อคนนี้ใช้กำลังสู้กับอ๋องขวา แย่งชิงท่านข่าน ไม่ว่าด้านการต่อสู้หรือสติปัญญาต่างเป็นเลิศ ถึงกระนั้นกลับไม่ได้รับการชื่นชอบจากท่านข่านดาบทอง ช่างน่าเสียดายจริงๆ! 


 


 


เหล่าเกาแค่นเสียงพร้อมพูดอย่างชั่วร้าย “น้องหลิน ไม่ต้อผิดหวัง รอให้พวกเราชิงตัวนางมาอุ่นเตียงให้เจ้าดีกว่า! นางหลบหนีโชคชะตาในการอุ่นเตียงให้เจ้าไม่ได้หรอก!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา ยังไม่ทันพูดก็เห็นขบวนม้าที่อยู่ข้างหน้าค่อยๆ หยุดลง อาชาสีดำตัวหนึ่งวิ่งผ่านฝูงชน ห้อตะบึงอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบมาถึงเบื้องหน้าเขา มันแหงนหน้าสะบัดกีบเท้า ออกแรงส่งเสียงร้อง หยุดอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ที่ขี่อยู่บนม้าทัดปอยผมข้างหูเบาๆ พร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้าใบ้ คืนนี้ในเมืองมีงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ เจ้าอยากมาหรือไม่?!” 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ระเบิดเสียงโห่ร้องยินดีดังสะเทือนเลื่อนลั่น 


 


 


“อ๊ะ อ๊ะ…” เหล่าหูเหล่าเการวมพลังอยู่ข้างหลัง ออกแรงกดกดหัวเจ้าใบ้ลง ผงกศีรษะเหมือนไก่จิกข้าวสาร ชาวทูเจวี๋ยยิ่งหัวเราะดังมากขึ้น 


 


 


อวี้เจียใบหน้าผุดรอยยิ้ม เอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ข้าไม่รู้ว่าข้าเคยพบเจ้าหรือไม่! แต่เจ้าเป็นผู้กล้าที่มีพฤติกรรมเลวร้ายมากที่สุด ทักษะการขี่ม้าย่ำแย่มากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา! ดังนั้นข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”  


 


 


“ไป!” เมื่อข่านใหญ่กล่าวระคนหัวเราะจบก็หมุนกายห้อตะบึงจากไป ชาวทูเจวี๋ยนับพันห้อมล้อมคุ้มกันเงาร่างอันงดงามอยู่กึ่งกลาง เพียงชั่วพริบตาก็หายลับไปแล้ว 


 


 


“หมายความว่าอะไร?” เมื่อฟังเหล่าหูแปลจบ หลินหว่านหรงก็เอ่ยถามด้วยท่าทางเหม่อลอย ยากเย็นนักกว่าเขาจะหาโอกาสเอ่ยปากพูดได้สักครั้ง แต่ตนเองกลับต้องงุนงงไปเสียอย่างนั้น  


 


 


“ไม่มีอะไรขอรับ นางกำลังชมข้อดีของท่าน!” เหล่าเกาแสร้งกล่าวปลอบใจ 


 


 


“ไม่ได้ถามเรื่องนี้!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมใช้เท้าเตะก้นเขา “ข้าถามว่าม้าที่อวี้เจียขี่ไปเหตุใดถึงเป็นม้าของข้า?” ระเบิดลูกแรกผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้ยังมีลูกที่สองอีก ระเบิดต่อเนื่องล่ะสินะ… 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม