ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 596-602

 ตอนที่ 596 ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูง 


 


 


กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็ไม่ได้กระโจนเข้าไปหากิ้งก่าโดยไม่คิดอะไร เพราะหากมันมีวิธีฆ่าเขาแม้จะถูกตรึงอยู่ล่ะ แบบนั้นจะทำยังไง 


 


 


และในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังสำรวจกิ้งก่าตัวนี้อยู่นั้น มันก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ศัตรูข้าไล่ล่าข้ามาตลอด แล้วสุดท้ายมันก็ตรึงข้าไว้ที่นี่ ข้าบ่ฮู้เลยว่าเวลาผ่านมานานเท่าไหร่แล้วเพราะที่นี่มืดตึ้บ ลูกกะปอมน่อยของข้าก็โดนมันกำจัดไปหมด พ่อข้าก็บ่ต่างกัน..” 


 


 


“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว” หลี่ว์ซู่เอามือกุมหน้าผาก “ทำไมพูดสำเนียงแบบนั้นล่ะ ไปเรียนมาจากไหนเนี่ย หยุดพูดก่อน ไม่งั้นฉันได้หลุดขำออกมาแน่ถ้ายังแกพูดต่อ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดคิดอยู่นาน แล้วเขาก็ได้ข้อสรุปออกมา สัตว์ที่มีสติปัญญาสูงๆ ต้องเรียนภาษามนุษย์มาจากใครสักคน เพราะงั้นมันคงจะเลียนสำเนียงการพูดมาเหมือนกัน 


 


 


ถ้าอย่างนั้นมันอาจจะเป็นกิ้งก่าที่มาจากอวี้โจวก็ได้ แต่หลี่ว์ซู่ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นตัวอะไรแบบนี้ในอวี้โจวมาก่อน หรือคนสอนอาจจะมาจากอวี้โจวก็ได้ หลี่ว์ซู่ไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้ เมื่อก่อนนั้นปิศาจเลือดระดับ A ก็พูดภาษาจีนกลางได้เหมือนกันเพราะมันเอาข้อมูลมาจากเลือดมนุษย์ หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเหมือนกัน 


 


 


แต่พูดกันตามตรงแล้วสำเนียงของกิ้งก่านี่ยังฟังดูเป็นกันเองกว่าปีศาจเลือดเยอะ… 


 


 


หลี่ว์ซู่จะมีโอกาสได้เจอกับสัตว์ประหลาดที่ส่านโจว ที่ปักกิ่ง หรือที่อื่นๆ ที่แตกต่างกันทางภูมิภาคของจีนไหมนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว สัตว์ประหลาดที่ฉวนโจวจะพูดคำหยาบออกมาอย่างคล่องแคล่วหรือเปล่า แค่คิดก็ตลกแล้ว 


 


 


ยิ่งกว่านั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นว่ากิ้งก่าตัวนี้และพวกที่ไปออกรายการร้องทุกข์ว่าชีวิตของพวกเขาลำบากแค่ไหนนั้นช่างคล้ายกันจริงๆ แต่เอาเข้าแล้วชีวิตของกิ้งก่าตัวนี้ยังน่าสงสารกว่าที่หลี่ว์ซู่เคยเห็นในทีวีอีก หลี่ว์ซู่ลังเลและถามออกไปอีก “แล้วความฝันของแกคืออะไรล่ะ” 


 


 


กิ้งก่าร่วงที่ร่วงหล่นชะงัก 


 


 


มันไม่เข้าใจมุกของหลี่ว์ซู่! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


“ครอบครัวข้าถูกฆ่าตายหมด เหลือข้าไว้แค่ตัวเดียวในโลกนี้แล้ว ผ่านมาหลายปี ข้าก็มีความฝันอยู่อย่างหนึ่ง…” มีแววเศร้าโศกปรากฏอยู่ในสายตาของมัน 


 


 


“ฝันว่าอยากให้ฉันฆ่าแกแล้วส่งไปอยู่กับครอบครัวที่ตายไปใช่ไหม” 


 


 


กิ้งก่าร่วงหล่นงงหนัก 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


ต้องเป็นแก้แค้นให้กับครอบครัวไม่ใช่เรอะ ทำไมถึงไม่เข้าใจกัน!  


 


 


แต่หลี่ว์ซู่นั้นไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องนี้ต่อไปแล้ว เจ้ากิ้งก่าต้องถูกธารน้ำของเขากัดกร่อนตายไป 


 


 


แต่ดูเหมือนว่ากิ้งก่าตัวนั้นจะอ่านใจหลี่ว์ซู่ได้ แล้วอยู่ๆ มันก็หยุดคร่ำครวญ จากนั้นก็ปลี่ยนเป็นขอร้องแทน “ข้าเป็นพาหนะให้เจ้าขี่ได้!” 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยเม้มปากแล้วตอบกลับ “ไม่เอาล่ะ คนอื่นได้ขี่นกกระสา มังกร ช้างยักษ์ นกฟีนิกส์ หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นนกอินทรียักษ์ แล้วจะให้ฉันขี่กิ้งก่าเนี่ยนะ บ้ารึไง” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


มันไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกมนุษย์ปฏิเสธเพียงเพราะดูจากรูปร่างภายนอก หมอนี่เป็นคนยังไงกันเนี่ย มันแข็งแกร่งมากนะ! 


 


 


หลายปีที่ผ่านมากิ้งก่าที่ร่วงหล่นสามารถรู้สึกได้ถึงพลังจิตวิญญาณที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากข้างล่างถ้ำนี่ และมันก็ไม่ปล่อยผ่านอย่างเสียเวลาหรอก มันใช้พลังนั้นมาเพิ่มพลังตัวเอง หากพวกกิ้งก่าลูกกระจ๊อกแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ มันก็จะออกไปได้ 


 


 


กระนั้นการที่โบราณสถานเปิดออกก็ทำให้พลังจิตวิญญาณรอบๆ เข้มข้นขึ้นไปอีกเกือบจะเทียบเท่าสมัยของมันเลย และเสาที่ตรึงเขาไว้นั้นก็เริ่มคลายลงในหลายปีที่ผ่านมา ในเวลาที่สำคัญแบบนี้ มันจึงตัดสินใจฆ่ามนุษย์ที่อยู่บนพื้นผิวข้างบนเพื่อเอาเลือดของพวกมันคลายพลังที่ตรึงร่างไว้ 


 


 


แต่โชคร้ายที่มันต้องมาเจอเด็กหนุ่มคนนี้เข้าในตอนที่มันกำลังวางแผนมาถึงขั้นนี้แล้ว และมันก็สื่อสารกับมนุษย์ไม่ค่อยได้เรื่องเสียด้วยสิ! 


 


 


ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่ก็ถูกกล่อมไปเหมือนกันตอนที่เจ้ากิ้งก่านี่เสนอตัวเป็นสัตว์พาหนะให้เขาขี่ แต่ปัญหาก็คือไอ้เจ้ากิ้งก่านี่เชื่อถือได้จริงเหรอ 


 


 


ถ้าเขารู้วิธีตรึงกิ้งก่านี่ เขาก็คงตอบตกลงไปแล้วโดยไม่ต้องคิดมาก แต่วิธีที่มันถามเขาหลอกล่อมานั้นก็ค่อนข้างเสี่ยงอยู่ 


 


 


หลี่ว์ซู่เป็นคนคิดรอบคอบเสมอ ในสนามรบนั้นเขาไม่ไว้ใจใครเลยนอกจากสหายร่วมรบและตัวเขาเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงรอดพ้นกับดักมาได้นักต่อนักแล้ว 


 


 


ในตอนที่หลี่ว์ซู่กำลังควบคุมธารน้ำให้ไปโอบรอบตัวของกิ้งก่าอยู่นั้น เจ้างูแห่งความโกลาหลที่ตื่นเต้นอยากกลืนกิ้งก่านี่เข้าไปทั้งตัวเต็มแก่ก็เลื้อยออกมาจากน้ำขึ้นมาพันอยู่ที่ไหล่ของหลี่ว์ซู่เพื่อดูเขาควบคุมของเหลว 


 


 


หลี่ว์ซู่ลูบหัวเจ้างูเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะ!” 


 


 


เจ้ากิ้งก่านี่มีบางอย่างแปลกๆ จริงๆ นั่นแหละ นี่เป็นคำอธิบายสาเหตุที่เจ้างูมีท่าทีแบบนี้ โชคดีที่เขาไม่ได้กระโจนเข้าไปหากิ้งก่าก่อน 


 


 


พอกิ้งก่าเห็นว่าหลี่ว์ซู่ไม่ยอมเข้ามาใกล้กว่านี้ และใช้พลังควบคุมน้ำให้ไหลเข้ามากัดกร่อนร่างมันแทน มันก็ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวด 


 


 


ขนาดหมิงเย่ว์เยี่ยยังทนหมอกหนาไม่ได้เลย แล้วกิ้งก่าที่ติดอยู่ในนี้เป็นพันปีจะทนไหวเหรอ! หลี่ว์ซู่รู้สึกมาตลอดว่าหมอกหนานี่เพิ่มพลังกัดกร่อนให้กับธารน้ำศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น 


 


 


แล้วจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นกับตาว่าเสาสีทองนั้นเริ่มถล่มลงมารอบตัวกิ้งก่า มันก็ตวัดลิ้นไปที่หลี่ว์ซู่หลังจากถูกปล่อยออกมาเป็นอิสระ 


 


 


นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายของมันแล้ว มันวางแผนว่าจะใช้การโจมตีนี้เมื่อหลี่ว์ซู่เข้ามาใกล้ แต่เจ้ามนุษย์นี่กลับระมัดระวังกว่าที่มันคาดไว้ และเจ้ากิ้งก่าเองก็รู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของหลี่ว์ซู่มาตลอดเลย… 


 


 


พอมันพร้อมที่จะโจมตีออกไป หลี่ว์ซู่ก็หายไปในอุโมงค์แล้ว 


 


 


“ไม่ทันหรอกเพื่อน” หลี่ว์ซู่หัวเราะ 


 


 


ขณะที่เขาพูด เขาก็ปล่อยพลังน้ำแยกออกจากน้ำกลุ่มหลักไปโอบรอบลิ้นของกิ้งก่า 


 


 


ลิ้นของกิ้งก่านั้นอ่อนแอกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทันใดนั้นมันก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนลามไปทั่วระบบประสาทของมัน จากนั้นธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกกรอกเข้าไปในปากใหญ่ยักษ์และไหลลงกระเพาะของมันไป! 


 


 


“ไว้ชีวิตข้าเถอะ!” กิ้งก่าร่วงหล่นร้อง “ท่านเทพ! ละเว้นข้าเถอะ! ข้าตั้งใจจะรับช้ายท่านสุดกำลังเลย!” 


 


 


“สายไปแล้ว!” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชาและหยิบเอาเก้าอี้พับเล็กๆ ออกมาจากตราแผ่นดิน เขานั่งลงบนเก้าอี้และดูกิ้งก่ายักษ์ถูกธารน้ำย่อยอย่างพอใจ ชีวิตดีอะไรอย่างนี้นะ หลี่ว์ซู่คิด ยิ่งธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งได้แต้มอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่กลัวถ้ำใต้ดินที่น่าสยดสยองนี้เลย ว่าแต่ตอนนี้เขาอยากกินเต้าหู้เหม็นขึ้นมาเลยแฮะ 


 


 


[แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +1000!] 


ตอนที่ 597 งูแห่งความโกลาหลพัฒนา


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนเก้าอี้พับขณะมองดูกิ้งก่าร่วงหล่นโดนธารน้ำศักดิ์สิทธิ์กลืนกินเข้าไป ปริมาณน้ำในธารน้ำนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าเจ้ากิ้งก่าโดนขังอยู่ในนี้มานานเท่าไหร่แล้ว แต่พลังของมันคงถดถอยไปพอตัวทีเดียว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แพ้ง่ายๆ อย่างนี้แน่


 


 


ความเร็วในการกัดกร่อนร่างกิ้งก่าค่อยๆ ลดลง ราวกับว่ากิ้งก่านั้นพยายามจะออกแรงเฮือกสุดท้ายต่อต้านพลังของธารน้ำ แต่สุดท้ายความเร็วในการกัดกร่อนก็เพิ่มกลับขึ้นมาหลังจากท่าทีต่อต้านของกิ้งก่าเริ่มอ่อนแรง


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +1000!]


 


 


ทีนี้แหละ หลี่ว์ซู่บอกได้แล้วว่าเจ้ากิ้งก่านี่สิ้นชีพแล้วเรียบร้อย การที่เขาตัดสินใจกระโดดลงหลุมมาอย่างฉับไวนั้นคุ้มค่าจริงๆ และธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังด้วย


 


 


ถ้าอาวุธวิเศษทั้งหมดของเขาแข็งกร่งเทียบเท่ากับธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และงูแห่งความโกลาหลได้ หลี่ว์ซู่คงกระโดดตัวลอยแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอเรียกตัวเองว่าเป็นยอดฝีมือระดับทะเลสาบเลยได้ไหมเนี่ย ถึงแม้จะเป็นทะเลสาบเล็กๆ แต่ก็เป็นทะเลสาบอยู่ดีใช่ไหมล่ะ…


 


 


ทันใดนั้นเอง งูแห่งความโกลาหลก็กระโจนจากไหล่หลี่ว์ซู่ลงสู่ธารน้ำ หลี่ว์ซู่มองมันด้วยสายตารักใคร่ประหนึ่งมันเป็นลูกในไส้ของเขาเอง


 


 


แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็สังเกตเห็นอะไรผิดแผกไปจากเดิมซึ่งทำให้เขาประหลาดใจ เจ้างูกำลังดูดธารน้ำที่มีหมอกสีดำปนอยู่เข้าไปในปากของมัน


 


 


แม้ส่วนปากของมันจะเล็ก แต่เจ้างูก็ดูดน้ำเข้าไปด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ!


 


 


“เดี๋ยวก่อน!” หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาด้วยความตกใจ “ทำอะไรน่ะ!”


 


 


เขาพยายามเข้าไปคว้าเจ้างูอย่างไว แต่มันดิ้นออกและดูดน้ำต่ออย่างนั้น…


 


 


จากนั้นไม่นาน ปริมาณน้ำในธารน้ำของหลี่ว์ซู่ก็ลดลงกลับมาเหลือเท่ากับสระว่ายน้ำอีกครั้ง และเจ้างูก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วย!


 


 


หลี่ว์ซู่ปาเก้าอี้พับใส่เจ้างู แต่ก็ถูกน้ำกัดกร่อนไป…


 


 


หลี่ว์ซู่เลยตะโกนออกไปอย่างหมดหวัง “ฉันเพิ่งชมแกไปเองนะ! ทำไมไม่รับคำชมไปดีๆ เนี่ย แล้วจะไปเอาอย่างของวิเศษอื่นๆ ทำไม ทำตัวให้ไว้ใจได้หน่อยได้ไหม!”


 


 


“หยุดสิ! เก็บน้ำเอาไว้ให้ฉันใช้บ้าง!”


 


 


“บอกให้หยุดไง!”


 


 


“บ้าเอ๊ย…”


 


 


แล้วธารน้ำปริมาณเทียบเท่ากับทะเลสาบของเขาเล่า เขาวางแผนจะใช้มันเป็นอาวุธจู่โจมแท้ๆ ฝันสลายไปแล้ว เขาไม่คิดเลย!


 


 


งูแห่งความโกลาหลยังคงดูดน้ำเข้าไปต่ออย่างกับหลุมดำ และในตอนนี้ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มสังเกตเห็นว่าเกล็ดของเจ้างูดูเป็นลายชัดเจนขึ้น อีกทั้งเขี้ยวของมันก็คมขึ้นด้วย


 


 


วินาทีต่อมา ตัวของมันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมและมีเขาโผล่ขึ้นมาจากหัว


 


 


แถมดูเหมือนจะมีกรงเล็บงอกออกมาจากผิวหนังอีก เจ้างูกำลังแปลงร่าง!


 


 


พอมันดูดน้ำเข้าไปจนไม่เหลือสักหยดแล้ว เจ้างูก็ดิ้นทุรนทุรายเพราะแปลงร่างไม่เสร็จสมบูรณ์ หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ


 


 


ลูกพ่อ อย่าตายนะ!


 


 


แล้วอยู่ๆ ร่างสีขาวก็โผล่ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่งในมือหลี่ว์ซู่ ไห่กงจื่อปรากฎตัวขึ้นมา เขาพูดเสียงเย็น “สายเลือดมังกรร้าย!”


 


 


หลี่ว์ซู่ตะลึง “อย่าทำร้ายมันนะ! ถ้ากล้าแตะต้องมันละก็ เราเห็นดีกัน!”


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ว่าสายเลือดมังกรโดยบริสุทธิ์อย่างไห่กงจื่อคงจะรังเกียจงูแห่งความโกลาหลที่เขาเอ่ยปากเรียกว่า ‘สายเลือดมังกรร้าย’ เพราะฉะนั้นเขาเลยกลัวว่าไห่กงจื่อจะใช้กระบี่กำจัดเจ้างูทิ้ง


 


 


เขามั่นใจแล้วล่ะว่าเจ้างูกำลังแปลงร่างเป็นมังกร!


 


 


แต่เป็นมังกรอะไรล่ะ มังกรถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในตำนานจีนโบราณเลยนะ จะเป็นมังกรจีนโบราณหรือเป็นมังกรปีศาจดุร้ายก็ช่างเถอะ ยังไงเขาก็คงกลายเป็นผู้บำเพ็ญที่ที่ทรงพลังที่สุดในโลก


 


 


แต่ในความเป็นจริงแล้วไห่กงจื่อไม่ได้ชักกระบี่ออกมาสู้กับหลี่ว์ซู่อย่างที่เขาคิด แต่เขากลับหยิบกลีบกมุธสีม่วงที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาออกมาแล้วปล่อยมันปลิดปลิวไปหาเจ้างู


 


 


พอร่างของเจ้างูสัมผัสเข้ากับกลีบดอกบัว หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ว่ามันหยุดดิ้นทุรนทุราย เขาและขาสี่ข้างปรากฏออกมา ทว่ากรงเล็บของมันมีเพียงสี่กรงเล็บเท่านั้น


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปพักใหญ่ “ที่ช่วยเพราะทนไม่ได้ใช่ไหม”


 


 


ไห่กงจื่อมองหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาเยือกเย็น


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะ โธ่ อาการย้ำคิดย้ำทำของนายนี่เป็นเอามากจริงๆ แฮะ…


 


 


“พูดก็พูดเถอะ ในโลกของคุณเนี่ย มังกรร้ายน่ะไม่ดีไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยื่นมือมาช่วยล่ะ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย


 


 


“เรื่องของเผ่ามังกรไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์จะแส่มายุ่งได้ พูดถึงความดีความชั่วในโลกนี้งั้นหรือ ไม่มีอะไรดีชั่วอย่างหมดจดหรอก เจ้างั่ง” ไห่กงจื่อยั่วยุ


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจทันที เผ่ามังกรก็เป็นเหมือนญาติสนิทกันนี่เอง ขนาดมังกรร้ายยังถือว่าเป็นมังกรอยู่ ญาติห่างๆ ยังไงก็ยังเป็นญาติอยู่ดีสินะ…


 


 


“มังกรเจียวหลง [1] มีสองประเภท หลังผ่านการฝึกบำเพ็ญหลายปี หากพวกมันไม่กลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย มันก็จะกลายเป็นมังกร หากเป็นอย่างหลัง พวกมันจะต้องรับบททดสอบที่ยากเย็นและผ่านไปให้ได้ เพราะฉะนั้นโดยมากจึงกลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายกันเสียมาก ด้วยเหตุนี้หากเจ้างูนี่ยังพอมีความกล้าอยู่และยังพอมีโอกาสกลายร่างเป็นมังกรได้ก็ไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือมัน” ไห่กงจื่อกล่าวแล้วชำเลืองมองหลี่ว์ซู่ “แต่เจ้า…”


 


 


“เอาล่ะๆ เข้าใจแล้ว” หลี่ว์ซู่ส่งไห่กงจื่อกลับเข้าไปในกระบี่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค เขาทนมองใบหน้าเย่อหยิ่งของไห่กงจื่ออีกต่อไปไมไหว


 


 


ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจว่าทำไมการแปลงร่างเป็นมังกรมันต้องยากเย็นอะไรขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้างูแห่งความโกลหลแค่สูบธารน้ำของเขาตามปกติเหรอ


 


 


จะว่าไปตอนนี้จะให้เรียกมันว่า ‘งูแห่งความโกลาหล’ ก็คงไม่เหมาะอีกแล้ว เหลือแค่ ‘โกลาหล’ อย่างเดียวก็พอ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปและหลี่ว์ซู่ก็คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องเปลี่ยนชื่อไปมา คงเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะปักหลักกับชื่อง่ายๆ นี้… หลี่ว์ซู่ลอบมองเจ้าโกลาหล ผิวของมันค่อยๆ ปริแตกออกทีละนิด มันเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วเรียบร้อยหลังจากที่กลีบกมุทสีม่วงปลิวมาสัมผัส


 


 


หลี่ว์ซู่เรียกเจ้าโกลาหลกลับเข้ามาในตราแผ่นดิน ปล่อยให้มันค่อยๆ แปลงร่างไปช้าๆ ทีนี้เขาก็พร้อมจะออกไปจากถ้ำแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่เดินไปข้างหน้าแล้วก็เห็นเสาสีทองกองอยู่กับพื้น เขาสงสัยว่าเสานี้เป็นอาวุธที่เอาไว้ใช้กักขังใครหรือเปล่านะ


 


 


แล้วทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังลั่นเหนือศีรษะ เสียงนั้นดังมากเสียจนหัวใจของเขาสั่นสะเทือนไปด้วย


 


 


แล้วจู่ๆ ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินก็เห็นอสนีบาตรูปมังกรสีม่วงขึ้นมากับพื้น มันสง่างามยิ่งใหญ่แบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน


 


 


เฉินจู่อานพูดกับตัวเองด้วยความตกใจ “อย่าบอกนะว่าพี่ซู่โดนฟ้าผ่าตายจากเวรกรรมที่ตัวเองก่อไว้แล้วน่ะ!”


 


 


 


 


——


 


 


[1] เจียวหลง (蛟龍) เป็นมังกรจีนโบราณชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในน้ำ


ตอนที่ 598 ความบอบช้ำทางจิตของหลี่ว์ซู่ 


 


 


หากมองในมุมเฉินจู่อาน หลี่ว์ซู่ถือว่าหายตัวไปนานเหมือนกัน และในเวลาที่เขาหายตัวไปนั้นก็มีอสนีบาตสีม่วงแปลกตาปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นใต้ดินนั่นแน่ 


 


 


“ไปดูกันเร็ว! รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น” เฉินจู่อานพาคนไปดูบริเวณที่สายฟ้าฟาดลงไป ถ้าหลี่ว์ซู่โดนฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าใส่จริงๆ พวกเขาก็อาจช่วยทันเวลาก็ได้… 


 


 


จากที่เฉินจู่อานเคยได้ยินมา ปกติแล้วสายฟ้าจะไม่ผ่าลงมาที่มนุษย์ แต่อิงตามความเชื่อของจีน หากทำความผิดร้ายแรงมาก็อาจถูกสายฟ้าฟาดตายเอาได้ แล้วเฉินจู่อานก็รู้สึกว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนประเภทนั้นเสียด้วย… ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงสงสัยแล้วว่าทำไมฟ้าไม่ผ่าหลี่ว์ซู่สักที แต่ในที่สุดสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นแล้วสินะ… 


 


 


กลุ่มยอดฝีมือของเครือข่ายฟ้ารีบวิ่งไปที่จุดเกิดเหตุ ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น สายฟ้าที่ฟาดลงมาเมื่อกี้ถึงกับทำให้หินกลายเป็นฝุ่นผงเล็กๆ ได้ 


 


 


จากสายตาของหลี่ว์ซู่ เขาเห็นอสนีบาตสีม่วงนั้นผ่าลงมาคล้ายรูปมังกร 


 


 


“อะไรน่ะ” หลี่ว์ซู่อารมณ์เสีย “ฟ้าลงโทษงั้นเหรอ!” 


 


 


เขาจะลืมเรื่องนี้ได้อย่างไร ตำนานก็บอกกันมาว่ามังกรแบบนั้นจะถูกส่งมาเป็นบทลงโทษของสวรรค์ แต่หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อเรื่องตำนานพวกนี้เลยไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ยังไงก็ไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นกับเขาอยู่แล้วนี่ 


 


 


แต่แล้วเขาก็จำได้ขึ้นมาว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น เขาเรียกไห่กงจื่ออกมาเพื่อคุยด้วย ทำไมถึงยอมไม่ปล่อยให้เจ้านั่นพูดให้จบประโยคนะ?! 


 


 


แต่มันจบแล้วล่ะ จบสิ้นแล้ว ถึงหลี่ว์ซู่จะแกร่งแค่ไหนแต่เขาก็ทนสายฟ้าทรงพลังแบบนี้ไม่ได้หรอก… 


 


 


ในชั่วขณะนั้น เสาสีทองเปล่งแสงออกมาสว่างไสว ลำแสงนั้นพุ่งขึ้นไปยังอสนีบาตและปะทะกัน! 


 


 


มีเสียงฟาดกันดังสนั่นราวกับว่าเสียงนี้ดังขึ้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เสาค่อยๆ พังทลายลงไปทีละต้น หนึ่ง สอง สาม สี่ แล้วเสาทั้งหมดก็ถูกทำลายร่วงหล่นลงไป! 


 


 


ตอนที่เสาพวกนั้นพังร่วงลงมา หลี่ว์ซู่เห็นกับตาว่ามีวิญญาณอยู่ในเสาแต่ละต้น พวกมันเป็นวิญญาณของวิหคสีทอง ทั้งยิ่งใหญ่และสวยงาม ทว่าวิหคเหล่านั้นถูกอสนีบาตทำลายล้างไปเสียแล้ว 


 


 


ในคราวแรกหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าตัวเขานั้นถูกขังไว้และไม่มีทางหลบหนี แต่พออสนีบาตสีม่วงนั้นทำลายเสาสีทองไปเป็นจุณไปก็ดูเหมือนว่ามันจะอ่อนแอลงมาก! 


 


 


ตูม! 


 


 


หลี่ว์ซู่เกือบโดนสายฟ้าฟาด ทว่าเขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยตัวเองให้ถูกจับง่ายๆ หรอก เขาหยิบน้ำเต้าม่วงทองออกมาจากตราแผ่นดินแล้ววางไว้บนหัว สายฟ้าจะได้ฟาดลงมาที่น้ำเต้าก่อน เขาใช้มันเป็นสิ่งกำบัง! 


 


 


น้ำเต้าม่วงทองถึงกับงง 


 


 


หากอสนีบาตผ่าลงมา มันก็จะต้องผ่าลงมาที่น้ำเต้าม่วงทองก่อนจะมาโดนตัวหลี่ว์ซู่ กระบี่บินพุ่งออกจากน้ำเต้าม่วงทองออกไปที่สายฟ้า เขาไม่มีตัวเลือกแล้ว ถ้าไม่โจมตีไปที่สายฟ้านั่น เขาก็คงเป็นฝ่ายถูกโจมตีก่อน! 


 


 


ถ้าไม่มีสายฟ้าฟาดอยู่ตรงหน้า น้ำเต้าม่วงทองก็คงจะโจมตีเข้าไปที่เจ้าของของมันเองแล้ว! 


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็ต้องโจมตีกลับเหมือนกัน เขาบังคับกระบี่บินสองเล่มขึ้นไปหวังจะตัดสายฟ้าให้ขาด ดาบเฉิงอิ่งในมือเขาฟันอากาศฉับโดยไม่ลังเล แล้วทันใดนั้นอากาศก็เริ่มบิดเบี้ยว 


 


 


มีเสียงดังขึ้นมา จากนั้นก็เงียบไป หลี่ว์ซู่ที่กำลังงุนงงอยู่ได้ยินเสียงคนตะโกนอยู่ข้างบน “พี่ซู่! พี่ซู่โดนสายฟ้าฟาดเหรอพี่ซู่!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่นอนแผ่บนพื้นลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ และมองดูดวงจันทร์ผ่านหลุมข้างบน “เปล่า เข้าใจผิดแล้ว…” 


 


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบก็เกิดเหตุฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงดังตามมา หลี่ว์ซู่รีบลุกขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น… 


 


 


“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็น 


 


 


เขาลงไปนอนแผ่อีกครั้งด้วยความสลดใจ เขาเกือบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว มิน่า ไห่กงจื่อถึงได้บอกว่ามังกรนั้นควบคุมยาก 


 


 


เมื่อก่อนเจ้าโกลาหลนั้นควบคุมง่ายแสนง่าย มาตอนนี้ก็น่าประทับใจจริง มันทำให้เขาโดนฟ้าผ่าเอาซะได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกเสียดายเสาสีทองที่พังทลายไปเหมือนกัน ถ้าเขาเก็บมันไว้เองได้ เขาก็คงได้ใช้วิหคสีทองตอนที่เขาเลื่อนเป็นระดับ A แล้ว 


 


 


เขามองดูตราแผ่นดิน น้ำเต้าม่วงทองของเขากลายเป็นสีดำไหม้ ขนาดกระบี่บินที่อยู่ข้างในยังเป็นสีดำด้วยเลย ราวกับกับว่ากระบี่บินรู้ว่าหลี่ว์ซู่เข้าตาจนสุดๆ แล้วถึงพยายามโจมตีออกไปแบบนั้น… 


 


 


เฉินจู่อานโยนเชือกลงไป แล้วเฉินเฮ่าก็ตรึงเชือกไว้ขณะที่เฉินจู่อานโปรยตัวลงไปในหลุม เฉินจู่อานสังเกตเห็นว่ากิ้งก่ากินคนถูกกำจัดไปหมดแล้ว เพราะเขาไม่เห็นวี่แววเลยสักตัว ขนาดเสาสีทองยังสลายกลายเป็นฝุ่นผงแล้วเลย 


 


 


เพราะฉะนั้นเฉินจู่อานจึงคาดว่าไม่มีอะไรอย่างอื่นเหลืออยู่ในหลุมแล้วนอกจากหลี่ว์ซู่ เขากะว่าจะหาข้ออ้างให้หลี่ว์ซู่ แต่ในนี้ไม่มีใครเลยนอกจากหลี่ว์ซู่เอง ถ้าสายฟ้าไม่ได้พุ่งเป้าไปที่หลี่ว์ซู่แล้วมันจะพุ่งเป้าไปที่ใครอีกล่ะ… 


 


 


“พี่ซู่ ต่อไปนี้ทำตัวดีๆ นะ อย่าโดนสายฟ้าฟาดอีกล่ะ” เฉินจู่อานพูดเสียงหนักแน่น 


 


 


“ไสหัวไป” หลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่บนพื้นอารมณ์เสียเต็มที เขาไม่มีแรงแล้ว ลุกขึ้นยังไม่ได้เลย 


 


 


เฉินจู่อานมัดหลี่ว์ซู่ติดไว้กับหลังแล้วปีนเชือกขึ้นไป เขาเอ่ยถาม “พี่ซู่ ข้างล่างนี้ยังมีกิ้งก่ากินคนอยู่ไหม” 


 


 


แต่พูดกันจริงๆ แล้วเฉินจู่อานนั้นเคารหลี่ว์ซู่มาก นอกจากเฉินไป่หลี่ที่เป็นอาจารย์และราชันฟ้าเนี่ยแล้วก็มีหลี่ว์ซู่นี่แหละที่เขาเคารพ หลี่ว์ซู่อาจจะโดนสายฟ้าฟาดอย่างไม่มีที่มาที่ไป แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ถึงจะโดนจนอ่วมก็เถอะ… 


 


 


เฉินจู่อานแน่ใจว่าว่าหลี่ว์ซู่คงไปทำอะไรมาแน่ๆ ถึงได้โดนสายฟ้าฟาดแบบนี้ แต่ในเมื่อหลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรเขาก็ไม่อยากถามต่อ เฉินจู่อานรู้ว่าถ้าเป็นเขาเอง เขาก็คงไม่น่ารอด… 


 


 


ไม่แน่หลี่ว์ซู่อาจจะมาเล่าการผจญภัยใต้ดินให้เขาฟังเองก็ได้ 


 


 


พอเฉินจู่อานเอาหลี่ว์ซู่ขึ้นมาบนพื้นได้แล้ว จู่ๆ ก็มเกิดเสียงฟ้าผ่าตามมาอีก หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปบนฟ้าและเห็นอสนีบาตอยู่หลังก้อนเมฆ เขารีบตะโกน “วิ่งเร็ว! จะไม่ยอมจบง่ายๆ ใช่ไหม!” 


 


 


เฉินจู่อานรีบวิ่งออกไปอย่างแตกตื่น ตอนมาถึงที่นี่ มีเฉินจู่อานกับเฉินเฮ่าแค่สองคนเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาสามคนต้องวิ่งเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอดในทะเลทรายนี้ 


 


 


แล้วสุดท้าย…ฝนก็ตกลงมา เป็นฝนปรอยๆ ที่ร่วงหล่นลงมาในทะเลทรายแห่งนี้ เสียงฟ้าผ่านั่น…เป็นเพียงฟ้าผ่าธรรมดาๆ เท่านั้น 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าอายุสั้นลงไปอีกปีครึ่ง เขาคงหลอนเสียงฟ้าผ่าไปอีกนาน ฮ่าๆ … 


 


 


หลี่ว์ซู่นอนแผ่ร่างในเต็นท์ ใบหน้าของเขาดำปี๋ เขาดูเหมือนคนที่เพิ่งดัดผมมา เป็นผลจากการโดนฟ้าผ่าเข้าไป… 


 


 


แล้วเขาจะเข้าไปในโบราณสถานในเวลาแบบนี้ได้อย่างไร สภาพแบบนี้ดูท่าจะต้องพักสองถึงสามวันกว่าร่างกายจะกลับมาฟื้นฟูเต็มที่ เขาน่าจะเติมพลังดาบรัศในช่วงเวลานี้ได้ เขามานี่ก็เพื่อเข้าไปในโบราณสถาน แต่กลายเป็นว่าต้องมาเจ็บตัวก่อนเข้าไปเสียอีก 


 


 


ก็ได้แต่หวังว่าโบราณสถานจะไม่ปิดไปก่อนในเร็วๆ นี้นะ แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่เสียใจเท่าไหร่แล้วล่ะ เขาได้อะไรกลับคืนมาอย่างงามแล้ว 


 


 


และในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าต้นแบบกระบี่ทั้งหมดทุกเล่มของเขาในทะเลแห่งพลังนั้นมีสายฟ้าสีม่วงพันอยู่รอบๆ! 


 

 

 


ตอนที่ 599 ดาบรัศมีอสนีบาต

 

หลี่ว์ซู่เคยอิจฉาจือเวยและคอรัลที่มีความสามารถในการควบคุมสายฟ้าได้ เพราะที่สุดแล้วสายฟ้าก็เป็นอาวุธทำลายล้างสูงสำหรับมนุษย์ ถ้าเขาไม่ได้มีธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ก็คงประมือกับอสนีบาตไม่ได้ 


 


 


แต่ธารน้ำของเขาเริ่มจะแผลงฤทธิ์เสียแล้ว มันถูกเจ้าโกลาหลดูดเอาไปใช้แปลงร่างหมด… 


 


 


นอกจากนี้เขายังใช้พลังดาบรัศมีไปหมดแล้วด้วยเหมือนกัน ตอนนี้เขาบาดเจ็บ แถมธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็หายไปหมด ตอนราบรื่นก็ราบรื่นมาก แต่พอมีเรื่องทีก็ถล่มเข้ามาไม่ยั้ง กระนั้นเมื่อหลี่ว์ซู่เห็นสายฟ้าที่พันอยู่รอบๆ ต้นแบบกระบี่ เขาก็เต็มตื้นในใจขึ้นมา อย่างน้อยก็พอมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาบ้างหลังจากโดนฟ้าผ่าไป 


 


 


เอาเข้าจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่อาจจะตายจากการโดนอสนีบาตฟาดเลยก็ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องบทลงโทษจากสวรรค์เลย หลี่ว์ซู่ยังด่วนย่ามใจไปไม่ได้ มีงูเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถกลายร่างเป็นมังกรได้ในช่วงเลื่อนระดับพลังนี้ ดูยังไงทางรอดก็มีไม่ค่อยมากนัก 


 


 


ในช่วงที่งูกำลังจะเปลี่ยนร่างเป็นมังกรนั้น การลอกคราบนั้นสูบเอาพลังงานไปมากทีเดียว หลังจากเสร็จสิ้นแล้วมันยังต้องเผชิญกับด่านเคราะห์จากสวรรค์อีก จึงมีงูมากมายเลือกปฏิเสธการฝ่าด่านเลื่อนระดับนี้ 


 


 


หลายพันปีที่ผ่านมายังไม่มีงูตัวไหนที่เปลี่ยนร่างเป็นมังกรสำเร็จเลย 


 


 


การเผชิญด่านเคราะห์จากสวรรค์นั้นถูกใช้เป็นลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติ โดยปกติแล้วผู้ที่โดนสวรรค์ลงโทษจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง 


 


 


แต่ราวกับว่าสวรรค์จาะไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ ในตอนนี้สวรรค์คงอยากฆ่าผู้ฝ่าฝืนกฎธรรมชาติให้ตายราบคาบไปเลยในครั้งเดียว… 


 


 


ถ้าหลี่ว์ซู่ไม่ได้เสาสีทองช่วยไว้ก็คงตายไปนานแล้ว 


 


 


แล้วอย่างนี้พลังดาบรัศมีจะแข็งแกร่งขึ้นหรือเปล่านะ เขาทำได้แค่รอเท่านั้นแหละ แล้วเขาก็ผล็อยหลับไป 


 


 


วันต่อมาดวงตะวันฉายแสงส่องไปทั่วฟ้า เป็นสัญญาณให้คนในค่ายตื่นจากห้วงนิทรา หน่วยปรุงอาหารเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่ต้องตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้า 


 


 


หลี่ว์ซู่ตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยมีสตินัก เมื่อเขาจับต้นชนปลายได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เขาก็ตกใจมาก “พวกนายทำอะไรกัน!” 


 


 


เฉินเฮ่า เฉินจู่อาน และกลุ่มคนรีบวิ่งมาที่หลี่ว์ซู่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง หลังจากที่พวกเขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่ตื่นแล้วก็ยิ้มออกทันที “เพิ่งเคยเห็นคนรอดชีวิตจากฟ้าผ่านี่แหละ เราเป็นห่วงแทบตาย เราก็เลยมาปกป้องนาย” 


 


 


สำหรับเฉินเฮ่าและคนอื่นๆ แล้ว พวกเขาไม่สนหรอกว่าหลี่ว์ซู่จะโดนฟ้าผ่ามา เพราะหลี่ว์ซู่เป็นคนที่ออกหน้าไปกำจัดพวกกิ้งก่านั่นเอง หลี่ว์ซู่เป็นคนตัดสินใจเด็ดเดี่ยวกระโดดลงหลุมไปฆ่ากิ้งก่ากินคนต่อหน้าทั้งหมด เขาช่างกล้าหาญที่เลือกเผชิญหน้ากับความอันตราย พวกเขาก็เคารพหลี่ว์ซู่ในส่วนนั้น พวกเขายอมรับสหายร่วมรบคนนี้ทั้งหัวใจ แล้วในเมื่อสหายคนนี้กำลังบาดเจ็บ พวกเขาก็ต้องมาเยี่ยมอยู่แล้ว อีกอย่าง พวกเขาอยากรู้ด้วยว่าไปทำอีท่าไหนถึงโดนสายฟ้าฟาดมาได้ 


 


 


“มีอะไรให้ไปทำก็ไปทำเถอะ ฉันไม่เป็นไร เดี๋ยวสองวันก็หายแล้ว” หลี่ว์ซู่รำคาญเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคนพวกนี้อยากรู้อยากเห็นกันมากเกินไปแล้ว 


 


 


จากนั้นก็มีแพทย์และพยาบาลทหารเดินเข้ามาในเต็นท์ เมื่อแพทย์เห็นกลุ่มคนในเต็นท์ เขาก็ขมวดคิ้ว “คนไข้ยังมีอาการแสบร้อนตามร่างกายอยู่นะ คนอื่นๆ กรุณาออกไปด้วย เดี๋ยวจะเอาแบคทีเรียและเชื้อโรคเข้ามาติดเขาได้” 


 


 


เฉินจู่อานหัวเราะ “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ร่างกายผู้บำเพ็ญไม่โดนแบคทีเรียเล่นงานง่ายๆ หรอก” 


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็ขัดขึ้นมา “ไม่ได้ยินที่หมอพูดเหรอ ออกไปน่า ฮ่าๆ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” 


 


 


จู่ๆ เฉินจู่อานก็ตัวสั่นขึ้นมา เขาพูดมากเกินไปแล้ว เขารู้สึกตัวแล้วว่าได้ล้อเล่นกับคนที่ไม่สามารถพูดเล่นด้วยได้มากไปหน่อย เฉินจู่อานจึงพาทุกคนออกจากเต็นท์ 


 


 


หมอเดินมาที่เตียงของหลี่ว์ซู่และมองดูเขา เขาจ้องอยู่อย่างนั้นห้านาทีเต็มๆ ด้วยกัน หลี่ว์ซู่คิดว่าหมอคนนี้ช่างเป็นคนลงรายละเอียดในการตรวจเสียจริง แต่แล้วหมอก็ถอนหายใจออกมา “เจ๋งจริงๆ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่งุนงง 


 


 


นี่เป็นเรื่องปกติที่หมอพูดกันเหรอ 


 


 


หมอคนนั้นยังคงถอนใจต่อไป “นี่ผมก็เป็นหมอมาตั้งหลายปีนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มารักษาคนไข้ที่โดนฟ้าผ่ามา” 


 


 


“อย่าดราม่าครับหมอ” หลี่ว์ซู่ว่า 


 


 


หมอคนนั้นเปลี่ยนอารมณ์มาเป็นจริงจังแทน “ระวังเรื่องอาหารด้วย อย่าไปกินอาหารเผ็ดๆ เข้าล่ะ” 


 


 


“ได้ครับ” หลี่ว์ซู่รับทราบ “มีอย่างอื่นอีกไหมครับ” 


 


 


“แค่นั้นแหละ” หมอตอบเรียบๆ 


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาที “หมอมาที่นี่ก็แค่มาดูอาการหลังโดนฟ้าผ่างั้นใช่ไหมครับ” 


 


 


หมอพยักหน้า “ก็หมออย่างเราช่วยอะไรพวกผู้บำเพ็ญไม่ได้มากนี่นา ฟื้นฟูร่างกายกันเก่งขนาดนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ถ้าเกิดบาดเจ็บมาเล็กๆ น้อยๆ แล้วมาหาหมอ ป่านนี้ก็คงหายดีแล้วมั้ง…” 


 


 


“หมอไปเถอะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น 


 


 


แล้วหมอที่ดูสบายๆ กันเองคนนั้นก็เดินออกไปกับพยาบาล จะว่าไปพยาบาลเองก็สวยใช่ย่อยเลยนะ… 


 


 


หลี่ว์ซู่นอนราบลงไปกับเตียงของตัวเองและพักผ่อนเงียบๆ เขาไม่ต้องรีบออกไปไหน ไม่ต้องรีบไปที่โบราณสถานด้วย 


 


 


หลี่ว์ซู่ประหลาดใจเล็กน้อยที่พลังดาบรัศมีใหม่นั้นมีอสนีบาตสีม่วงพันล้อมรอบ สายฟ้าพวกนั้นวิ่งพล่านไปทั่วดาบเปล่งแสง เขาหยิบดาบเล่มหนึ่งออกมาดูใกล้ๆ เส้นของสายฟ้าที่วิ่งนั้นดูราวกับเป็นสัญลักษณ์โบราณอะไรสักอย่างที่ปรากฏเพียงแวบเดียวแล้วก็หายไป 


 


 


เฉินจู่อานหัวเราะ “พี่ซู่นี่มีร่างกายที่เจ๋งไปเลยเนอะ โดนฟ้าผ่ามาก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็หายแล้ว…แล้ว…แล้ว…แล้ว…” 


 


 


จากนั้นเขาก็โดนสายฟ้าสีม่วงจากดาบเปล่งแสงฟาดเข้าไปที่ก้น เกิดเป็นรอยฟันปรากฏขึ้นมา เฉินจู่อานเริ่มตัวสั่น เขาควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เลย… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่กลับขมวดคิ้วเพราะก่อนหน้านี้ดาบรัศมีสามารถใช้ได้หลายครั้ง แต่ดาบรัศมีที่มีอสนีบาตล้อมรอบกลับใช้ได้แค่เพียงครั้งเดียว สายฟ้าจะพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยอัตโนมัติทำให้เฉินจู่อานกลายเป็นแบบนี้ 


 


 


หลังจากนั้นในพริบตา เฉินจู่อานก็หยุดสั่นแล้วก็วิ่งหนีออกไป เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองไปแหย่หล่ว์ซู่เล่นเกินไปแล้วในไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ถ้าเขาไม่รีบหนีไปก่อนหลี่ว์ซู่จะหายดี เขาคงจบเห่แน่! 


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งครุ่นคิดเรื่องพลังใหม่ที่ได้มา ดูเหมือนว่ามันจะมีข้อจัดในการเล็งเป้าหมายสินะ 


 


 


ในช่วงสามวันนี้ เขาขุดภูเขาพลังอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วหลี่ว์ซู่ก็ผิดหวังที่ดาบต้นแบบที่ปรากฏใหม่ไม่มีสายฟ้าสีม่วงพันรอบแล้ว 


 


 


จำนวนของดาบรัศมีหยุดอยู่คงที่เท่านี้ เขามีทั้งหมดเพียงสามร้อยยี่สิบห้าเล่ม และมันคงไม่ลดน้อยลงหรือเพิ่มมากไปกว่านี้แล้ว 


 


 


ก่อนหน้านี้ที่เขาโดนฟ้าผ่า เขาคิดว่าตัวเองนั้นช่างโชคร้าย แต่ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าอยากโดนฟ้าผ่าอีกรอบเสียแล้ว 


 


 


แค่จะให้ฝนตกในทะเลทรายแห้งแล้งแบบนี้ยังเป็นไปได้ยากเลย แล้วจะให้ฟ้าผ่ากลางทะเลเนี่ยนะ หลี่ว์ซู่ไม่มีทางยืนยันได้เลยว่าหากสายฟ้าอื่นผ่าลงมาที่เขา จะมอบความสามารถอย่างเดิมให้หรือเปล่า 


 


 


ถ้าเขาทำให้ดาบรัศมีทั้งหมดมีอสนีบาตล้อมรอบได้แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะมีพลังทำลายล้างสูงเท่านั้น แต่มีความสามารถในการหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้ด้วย นี่คงทำให้เขาปลอดภัยได้ขึ้นอีกระดับหนึ่งง


ตอนที่ 600 มุ่งหน้าสู่โบราณสถาน 


 


 


หลี่ว์ซู่หลอนกับเสียงฟ้าผ่ามาก เพราะบทลงโทษของสวรรค์นั้นเกือบฆ่าเขาตายแล้ว 


 


 


ความกลัวต่อสายฟ้ากลายเป็นสัญชาตญาณของเขาไปเสียแล้ว คงน่าอายไม่น้อยเลยถ้าผู้ชายแข็งแกร่งอย่างเขากลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าขณะกำลังเดินอยู่ในตลาด 


 


 


จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ควรต้องกังวลอะไรเลย ความบอบช้ำทางจิตใจนั้นสลายหายไปแล้วหลังได้รู้ว่าด่านเคราะห์สวรรค์นี่ทำให้พลังดาบรัศมีของเขาแข็งแกร่งขึ้น แถมหลี่ว์ซู่ยังรู้สึกทึ่งกับการฟื้นฟูร่างกายของเขาเองด้วย 


 


 


การตั้งค่ายแถวๆ หลัวปู้พัวเป็นเรื่องที่สะดวกมากในการเคลื่อนย้ายคนเจ็บเพื่อรับการรักษาและยังสะดวกในการเคลื่อนพลหลังจากโบราณสถานปิดตัวลงแล้วอีกด้วย 


 


 


ท้ายที่สุดแล้วผู้เข้าร่วมการสำรวจโบราณสถานกว่าหมื่นคนก็ต้องไปขึ้นรถไฟกลับที่สถานี โดยต้องนั่งรถทหารที่มีอยู่กลับไป เนื่องจากการคมนาคมนั้นไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่นัก 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นการที่โบราณสถานเปิดขึ้นก็ทำให้พลังจิตวิญญาณใบบริเวณนี้เข้มข้นขึ้นมาก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าในภายภาคหน้าจะต้องมีการสร้างระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในบริเวณใกล้เคียงนี้ แล้วพื้นที่รกร้างปราศจากผู้คนก็อาจมีรถไฟความเร็วสูงในอนาคตก็ได้ 


 


 


เรื่องนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่อธิบายได้ว่ามนุษย์นั้นช่างทรงพลัง พวกเราไปไหนก็ได้ในโลกนี้ถ้าอยากจะไป… 


 


 


ขณะที่คนอื่นกำลังยุ่งกับฝึกซ้อมประจำวันอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็ใช้เวลามองดูท้องฟ้าขณะนั่งบนเก้าอี้พับจากในเต็นท์ ไม่มีใครกล้าถามว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


จนกระทั่งเฉินจู่อานรวบรวมความกล้าเข้าไปถาม “พี่ซู่ดูอะไรอยู่น่ะ” 


 


 


“นั่งรอลมพัด” หลี่ว์ซู่ตอบเบาๆ 


 


 


“เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” เฉินจู่อานกล่าวด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“อืม ฉันนี่แหละ นักกวีหนุ่ม” หลี่ว์ซู่ตอบ แม้ที่จริงแล้วเขาจะกำลังรออสนีบาตอยู่ 


 


 


แย่หน่อยที่หลัวปู้พัวนั้นแห้งแล้งตลอดปี ถ้าจะรอให้ฝนตกคงเรียกว่าเป็นการหวังมากไปหน่อย เพราะฝนที่ตกลงมาวันนั้นก็น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่เจ้าโกลาหลแปลงร่างจนเกิดเป็นด่านเคราะห์สวรรค์ ไม่น่าจะมาจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอะไรหรอก 


 


 


เฉินจู่อานที่กำลังเลือกคำอย่างระมัดระวังก็เปิดปากถามหลี่ว์ซู่ “เข้าใจล่ะ พี่เกือบหายดีแล้วนี่ เราไปโบราณสถานกันเลยดีไหม” 


 


 


เฉินจู่อานนั้นกระตือรือร้นอยากไปโบราณสถาน ครอบครัวเขาไม่ค่อยสนับสนุนการฝึกบำเพ็ญเท่าไหร่ แถมปู่ของเขาเองก็ไม่ปล่อยให้เขาอยู่สบายๆ ด้วย แต่หากเขาเข้าไปในโบราณสถานได้ เขาก็น่าจะได้ชื่อเสียงเกียรติยศจากการตามไปเป็นผู้ติดตามของหลี่ว์ซู่ในนั้น 


 


 


เขาไม่ได้บอกหลี่ว์ซู่ว่าครอบครัวของเขานั้นยึดเอารถและทรัพย์สินส่วนตัวกลับไปหลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินตัดสินใจจะเลี้ยงดูเขา ที่บ้านบอกว่าทำอย่างนี้ก็เพื่ออยากสั่งสอน… 


 


 


นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเฉินจู่อานถึงไม่ค่อยเต็มใจอยากให้อะไรตอบแทนกับหลี่ว์ซู่ในการช่วยเขา 


 


 


หลี่ว์ซู่เหลือบมองเฉินจู่อานแวบหนึ่ง “ฉันยังไม่หายดีหรอก” 


 


 


ขาของหลี่ว์ซู่ยังอ่อนแรงอยู่ เขาม่องเท่งแน่ถ้าต้องวิ่งหนีสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งในโบราณสถาน 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยถามตด้วยความอยากรู้ “อยากได้อะไรก็ไปขอที่บ้านได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงอยากรีบเข้าไปในโบราณสถานนัก” 


 


 


“ไม่จริงสักหน่อย!” เฉินจู่อานรีบบ่นทันที “พวกเขายึดรถ ยึดนาฬิกาข้อมือ แล้วก็ระงับบัญชีธนาคารอีก! ผมไม่มีอะไรเหลือเลยพี่ซู่! อยากรู้ไหมว่าทำไม” 


 


 


หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวินาทีแล้วตอบ “เพราะนายทำตัวห่วยเหรอ” 


 


 


เฉินจู่อาน “…” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


“เกี่ยวอะไรกับผมห่วยเนี่ย ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่ไง ปู่น่ะชมพี่ไม่ขาดปากทุกวันในบ้าน บอกว่าพี่จะต้องเติบโตขึ้นมาคนเดียว และครอบครัวผมก็ไม่สามารถเลี้ยงใครออกมาได้แบบพี่เพราะมีครอบครัวดูแลให้ทุกอย่างที่ต้องการอยู่ เขายืนยันเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ก็ต้องทำด้วยตัวเอง!” 


 


 


หลี่ว์ซู่เม้มปาก “ก็เห็นด้วยนะ…” 


 


 


“พี่ซู่! ทั้งหมดน่ะก็เป็นเพราะพี่ พี่ต้องรับผิดชอบนะ” เฉินจู่อานประกาศกร้าวราวกับเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำ 


 


 


“ฉันไม่เป็นแพะรับบาปให้นายหรอก” หลี่ว์ซู่ทำหน้าน่ากลัว “ไม่ใช่ความผิดฉันทั้งหมดหรอกนะ นายต้องรอให้ฉันหายดีก่อนค่อยเข้าไปโบราณสถาน เร็วสุดก็น่าจะพรุ่งนี้ละมั้ง” 


 


 


เฉินจู่อานตาเป็นประกายด้วยความสุข “พรุ่งนี้ก็ได้!” 


 


 


จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็ตื่นเต้นที่จะได้เข้าไปสูบเงินจากในนั้นเหมือนกัน… 


 


 


ประสบการณ์ต่อสู้ของเขาทำให้เขาใจเย็นขึ้นมาก เขาเรียนรู้ที่จะเพิ่มโอกาสชนะให้กับตัวเองแม้ว่าเขาจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ที่ได้เป็นอย่างมาก 


 


 


เช้าวันต่อมาหลี่ว์ซู่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก พลังดวงดาวของเขาพุ่งพล่านในเส้นเลือดเหมือนสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก นี่เป็นสัญญาณบอกว่าเขาหายดีแล้ว 


 


 


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หลี่ว์ซู่ก็เตรียมตัวไปที่โบราณสถาน เขาบอกเฉินเฮ่าแล้วว่าใต้ดินไม่มีกิ้งก่ากินคนแล้ว ค่ายน่าจะปลอดภัยดี อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ แต่อาจจะมีสัตว์ประหลาดอื่นๆ โผล่มาจากพื้นที่ของหลัวปู้พัวก็ได้ 


 


 


เฉินเฮ่าพยักหน้ารับกับการรับ เขารับหน้าที่เป็นคนดูแลความปลอดภัยในค่าย ถ้าไม่มีหลี่ว์ซู่ช่วยแล้วพวกเขาอาจจะแพ้ราบคาบก็ได้ 


 


 


ต่อให้เฉินเฮ่ารู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่ามีกิ้งก่ากินคนอยู่ใต้ดินก่อนที่หลี่ว์ซู่จะลงไป เขาก็คิดว่าทั้งค่ายนี่คงถูกกวาดเละอยู่ดีหากไม่มีหลี่ว์ซู่ 


 


 


อย่าว่าแต่เฉินเฮ่าเลย ต่อให้เป็นหลี่อีเสี้ยวก็คงช่วยให้คนทั้งหมดในค่ายปลอดภัยจากกิ้งก่าระดับ B กว่าร้อยๆ ตัวรอบค่ายไม่ไหวแน่ 


 


 


พอคิดเรื่องนั้นแล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกแย่ที่เสียอาวุธที่ถนัดที่สุดไป ในอนาคตคงมีศัตรูที่น่าปวดหัวอีกเยอะให้เจอ 


 


 


แต่มองในแง่ดีแล้ว เขาก็ยังอยู่รอดมาขุดภูเขาพลังต่อได้ และยังผลิตต้นแบบกระบี่ออกมาได้ตั้งเป็นหมื่นๆ เล่มอย่างกับคนแก่มากประสบการณ์ 


 


 


กระเป๋าของเฉินจู่อานนั้นหนักและเทอะทะ ส่วนใหญ่แล้วมีแต่อาหารอยู่ข้างใน ภารกิจที่เนี่ยถิงให้เขาไปทำนั้นทำเขาทุกข์ทรมานมาก อาหารที่เขาเอาไปพอสัมผัสโดนพิษแล้วก็กินไม่ได้ 


 


 


และที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่มีช่องเก็บของแบบล่องหน ทำให้ของที่เอาไปทั้งหมดปนเปื้อนแก๊สพิษ แต่เฉินจู่อานก็ไม่ได้ผอมลงหรอกนะ… เพราะเขายัดอาหารสำหรับสิบห้าวันลงกระเพาะก่อนไปทำภารกิจปนพิษนั่น 


 


 


เฉินจู่อานจะรู้สึกว่าปากจะว่างถ้าไม่ได้เคี้ยวอะไร นอกจากของที่จำเป็นแล้ว เขาเลยต้องพกอาหารสำหรับสิบห้าวันด้วย… 


 


 


ส่วนหลี่ว์ซู่นั้นไปตัวเปล่า เฉินจู่อานหัวเราะแล้วถามขึ้น “พี่ซู่ นี่พี่ได้พลังวิเศษหลังจากโดนฟ้าผ่ามาเหรอ อิ่มทิพย์หรือไง” 


 


 


“ฉันว่านายนั่นแหละมีพลังพิเศษในการกินจุ นี่เหมาะเลยนะกับการไปทำภารกิจในที่ไกลๆ และลำบากอ่ะ เดี๋ยวเอาไปบอกราชันฟ้าเนี่ยให้ จะได้ออกไปทำภารกิจใหม่ๆ อีก” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!] 


ตอนที่ 601 โลกกระจก 


 


 


รถจี๊ปที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือมีแค่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานในรถเท่านั้น เพราะคนที่เหลือไปโบราณสถานตั้งแต่อีกวันให้หลังหลังจากที่หลี่ว์ซู่กลับมาแล้ว 


 


 


ขณะล้อของรถจี๊ปเคลื่อนไปก็ส่งให้ทรายกระเด็นไปในอากาศ สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยลมหวีดหวิวในทิวทัศน์ที่แปลกประหลาด ไม่แปลกใจเลยว่าสถานที่นี้นั้นถูกพูดกันว่าไม่มีอะไรธรรมดา เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าหลุดเข้าไปในยมโลกที่มนุษย์จินตนาการไว้กัน 


 


 


“พี่ซู่คิดว่าโบราณสถานจะมีอะไรบ้าง” เฉินจู่อานถามอย่างสงสัย 


 


 


“มีสายฟ้าที่ผ่าลงมาที่คน” หลี่ว์ซู่ตอบจากเบาะหลังขณะหลับตา 


 


 


“…อย่ายึดติดอดีตไปเลยพี่ ผมอาจจะพูดผิดเอง แต่พี่ว่าพวกเขาเข้าใกล้วัตถุเก่าแก่กันหรือยัง นี่ก็ผ่านไปเก้าวันหลังจากกลุ่มแรกเข้าไปในโบราณสถานแล้วนะ” 


 


 


“น่าจะมีสายฟ้าที่ผ่าลงมาที่คนได้จริงๆ นะ” หลี่ว์ซู่พูดอย่างใจเย็น 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!] 


 


 


หลายครั้งที่หลี่ว์ซู่คิดว่าการไปต่างประเทศนั้นมีอิสระมากกว่า แต่ไม่ว่าเขาจะชอบพูดแรงๆ ใส่เฉินจู่อานมากเท่าไหร่ เขาก็ยังไม่ลืมว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่เป็นคนแบกเขาออกมาจากหลุมในครั้งนั้น เพราะงั้นเขาเลยไม่อยากทำตัวใจร้ายมากนัก 


 


 


หากไม่ใช่เฉินจู่อานแต่เป็นใครสักคนที่มาจากกลุ่มฟีนิกซ์หรือฝ่ายความศรัทธาละ คงต้องมีการปะทะกันหน่อยล่ะ… 


 


 


เอาอย่างหมอทหารนั่นเป็นต้น จะให้หลี่ว์ซู่ไปชวนทะเลาะกับคนที่มาดูแลอาการบาดเจ็บของเขาที่ค่ายได้ยังไง 


 


 


เพราฉะนั้นการเก็บแต้มอารมณ์จากต่างประเทศเลยเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก สาเหตุที่หลี่ว์ซู่กวนอารมณ์คนอื่นนั้นแตกต่างจากคนอื่น มันไม่ได้มาจากความต้องการจริงๆ ของเขาหรอก 


 


 


ในตอนนี้ยังเหลืออีกครึ่งทางที่จะจุดประกายดวงดาวที่เจ็ดในชั้นที่สามของแผนภูมิดาราของเขา แต้มอารมณ์นั้นจึงมีความสำคัญมากในการเพิ่มความคืบหน้าของการฝึกฝน 


 


 


หลายคนสงสัยว่าทำไมหลี่ว์ซู่ไม่ต้องฝึกฝนพลังอะไรเท่าไหร่เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาฝึกซ้อมตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ และการพูดกวนบาทาคนอื่นก็เป็นหนึ่งในรูปแบบของการฝึกฝนเหมือนกัน 


 


 


เขาเองก็อยากเลื่อนระดับเป็นระดับ B เหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ! 


 


 


แต่ตอนนี้การไต่ระดับในชั้นที่สามมันยากเหลือเกิน ถ้าทุกๆ คนในโลกนี้ให้แต้มอารมณ์กับเขาได้คนละหนึ่งแต้มก็ดีสิ มีคนบนโลกนี้กว่าเจ็ดพันล้านคน เขาก็คงเลื่อนระดับได้ถึง… 


 


 


หลี่ว์ซู่เรื่มคิดคำนวณในหัว… 


 


 


การไปต่างประเทศอาจเป็นตัวเลือกที่เยี่ยมไปเลยก็ได้ เขาคงสามารถกอบโกยทรัพยากรของมาจากโบราณสถานในอเมริกาใต้อย่างที่ผ่านมาไม่นานนี้ แล้วก็อาจจะได้ของวิเศษโบราณด้วย หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะวางแผนการเดินทางเพื่อการฝึกฝนของเขาหลังจากที่จบจากการไปสำรวจหลัวปู้พัว 


 


 


ทันใดนั้นรถก็หยุดลง คนขับเห็นหมอกหนาข้างหน้าแล้วก็หันไปบอกเฉินจู่อานและหลี่ว์ซู่ “ทุกคนครับ หลังจากนี้เราต้องเดินเท้าต่อเข้าไปแล้วนะ” 


 


 


หลี่ว์ซู่เปิดประตูออกไปและมองดูโบราณสถาน “ไปกันเถอะ” 


 


 


เขาเป็นห่วงเสี่ยวอวี๋ หลายวันที่ผ่านมานี่ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงจากแต้มอารมณ์ที่ได้มาจากหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เลย เขาเลยสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า 


 


 


เฉินจู่อานตามเข้าไปติดๆ “พี่ซู่ เข้าไปแล้วช่วยผมด้วยนะ!” 


 


 


“พอเข้าไปแล้วตำแหน่งที่เราจะไปโผล่มันไม่ตายตัวหรอกนะ เพราะงั้นฉันช่วยนายไม่ได้ตลอดหรอก ถึงจะอยากช่วยก็เถอะ แต่สัญญาว่าจะคอยปกป้องถ้าเราเจอกันแล้วกัน” พูดจบเขาก็เดินเข้าไปในโบราณสถานอย่างเฉียบขาด 


 


 


ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็เพิ่งรู้ตัวว่ารอบตัวนั้นเป็นโลกใหม่ที่ทั้งใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด เขาแทบจะยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ไหว ไม่ใช่เพราะพื้นสั่นหรอกนะ แต่เพราะพื้นมันลื่นมากน่ะสิ! 


 


 


เขามองสถานที่ตรงหน้าด้วยความประหลาดใจอย่างมาก ที่พื้นนั้นเป็นกระจกเรียบๆ ที่สามารถเห็นภาพสะท้อนของเขาได้ทั้งหมด 


 


 


ท้องฟ้าในนี้เป็นสีน้ำเงินเหมือนกับข้างนอก และรอยต่อระหว่างเส้นขอบฟ้ากับท้องฟ้าดูแล้วเพลินตาเพลินใจมาก 


 


 


ในนี้มันประหลาดอะไรแบบนี้เนี่ย! โบราณสถานที่เขาเคยไปมานั้นมีพื้นที่เป็นหินหรือดินที่มีความคล้ายคลึงกับภูมิประเทศในโลกมนุษย์ แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเหมือนเลย! 


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามทรงตัวเพื่อไม่ให้ลื่นล้ม 


 


 


แล้วเขาก็รู้สึกถึงคลื่นบางอย่างมาจากข้างหลัง จากนั้นเฉินจู่อานก็โผล่ออกมาจากกลางอากาศ 


 


 


หลี่ว์ซู่ตกตะลึง 


 


 


โอกาสที่พวกเขาจะถูกส่งไปในที่เดียวกันนั้นมีต่ำมาก แต่สุดท้ายก็มาเจอกันจนได้! พอเฉินจู่อานเห็นหน้าหลี่ว์ซู่แล้วเขาทั้งประหลาดใจและดีใจ ทันใดนั้นเขาก็ลื่นล้มบนพื้นที่ห่างออกไปจากหลี่ว์ซู่ประมาณห้าเมตร… 


 


 


“นี่มันอะไรเนี่ยพี่ซู่” เฉินจู่อานพยายามจะยันตัวเองขึ้นมาด้วยการใช้แขน แต่มือของเขาลื่นอยู่บนพื้นอย่างนั้นซ้ำๆ จนหน้าคะมำลงไปกับพื้น! 


 


 


หลี่ว์ซู่มองดูรอบๆ พวกกลุ่มที่มาก่อนหน้าก็เจอแบบนี้ด้วยหรือเปล่านะ ยากแน่ๆ เพื่อนเอ๋ย 


 


 


“พี่ซู่ ช่วยจับหน่อย ผมยืนขึ้นไม่ได้” เฉินจู่อานเรียกให้ช่วย 


 


 


หลี่ว์ซู่สนุกมากที่เห็นเฉินจู่อานลื่นล้มบนพื้นในท่าต่างๆ “ดูนี่สิ ฉันยังยืนได้นิ่งๆ เลย” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


เฉินจู่อานหัวเสีย แต่ก็ยังขอร้องต่อ “รู้แล้วๆ ช่วยผมหน่อย…” 


 


 


หลี่ว์ซู่ฉีกยิ้ม “ฉันว่าสมองนายไม่ปกตินะ มันไม่ช่วยให้นายรักษาสมดุลร่างกายตัวเองได้เลย” 


 


 


ขณะที่พูดเขาก็เดินไปที่เฉินจู่อาน แต่ก็ดันลื่นบนพื้นเหมือนกันตอนที่เดินเข้าไปใกล้ และไหลไปเตะเฉินจู่อานแรงๆ หนึ่งที… 


 


 


เฉินจู่อานอึ้งไปเลย 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!]  


 


 


พอเป็นอย่างนั้นก็ทำให้เฉินจู่อานลื่นไถลเข้าไปอีกสิบเมตรบนพื้นที่ไม่มีแรงเสียดทานนี่… 


 


 


“พี่ซู่…” เฉินจู่อานนอนแผ่ลงบนพื้นกระจก สีหน้าหมดหวังสุดๆ “เมื่อกี้พี่ตั้งใจใช่ไหม…” 


 


 


“เอ่อ…อุบัติเหตุต่างหาก” หลี่ว์ซู่ต่อยลงไปที่พื้น กระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็แตกอยู่ใต้หมัดของเขา 


 


 


พอพื้นไม่ลื่นแล้วหลี่ว์ซู่ก็ยืนขึ้น ดวงตาของเฉินจู่อานก็เป็นประกาย “ฉลาดมากพี่ซู่! คงไม่มีใครคิดวิธีนี้ได้แบบพี่แน่!” 


 


 


เมื่อตอนที่เขาเห็นกิ้งก่ากินคนสองสามวันก่อน เขาก็รีบกระโดดจากรถในขณะที่เฉินจู่อานและคนอื่นๆ รอรถให้หยุดก่อน ตอนนี้ก็เหมือนกัน คนอื่นต่างยอมรับสภาพภายในโบราณสถานนี้ แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกอยู่ในใจลึกๆ ว่าเขาสามารถเปลี่ยนสภาพการณ์ได้ 


 


 


การทำตามสัญชาตญาณเป็นสิ่งสำคัญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามีศัตรูสองคนที่ความสามารถเท่าๆ กัน การทำตามสัญชาตญาณก็จะเป็นสิ่งที่แยกความแตกต่างของทั้งสองคนออกได้ 


 


 


เฉินจู่อานทำตามหลี่ว์ซู่ เขาออกหมัดลงไปบนกระจกเสียงดัง แต่กระจกกลับไม่สะเทือน มือของเฉินจู่อานเกือบหักเป็นชิ้นๆ แล้วไหมล่ะ 


 


 


“ทำไมมันแข็งแบบนี้ล่ะ” เฉินจู่อานร้องด้วยความเจ็บปวด เขาเพิ่งมาเข้าใจว่าความแข็งแกร่งของหลี่ว์ซู่นั้นนำหน้าเขาไปมาก! 


 


 


ถึงเขามีสัญชาตญาณแบบหลี่ว์ซู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก หลี่ว์ซู่นั้นใช้กำปั้นต่อยทีเดียวกระจกก็แตก แต่เขาต้องพยายามต่อยอยู่หลายครั้ง… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!]  


 


 


หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนเศษกระจก เขาสัมผัสได้ว่ากระจกแข็งขนาดไหนขณะที่ต่อยมันแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ 


 


 


เขาเดินไปที่เฉินจู่อาน และทำให้กระจกข้างล่างตัวเขาให้แตกในทุกๆ ก้าวที่เดินไป “ฉันไม่มีพลังมากพอจะทำให้กระจกแตกในทุกๆ ที่ที่เราเดินไปหรอกนะ หาทางอื่นกันเถอะ” 


 


 


ขณะที่พูด หลี่ว์ซู่ก็คิดไปว่าพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนจะแก้ปัญหานี้กันยังไงนะ เพราะขนาดเขาเองก็ยังรู้สึกว่าจัดการยากเลย… 


ตอนที่ 602 โลกประหลาด 


 


 


หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานที่นั่งอยู่บนพื้นกระจกรวมหัวกันคิดว่าจะเอาอย่างไรต่อดี ไม่ใช่ว่าโลกกระจกแห่งนี้จะไม่มีแรงเสียดทานเลย ไม่อย่างนั้นหลี่ว์ซู่คงจะรักษาสมดุลแล้วยืนได้สบายๆ ตั้งแต่เขาเข้ามาแล้ว 


 


 


เขาอยากใช้พลังน้ำของตัวเองสร้างน้ำแข็งขึ้นมาปกคลุมอีกชั้นหนึ่ง จะได้ไถลกันไปได้ แต่ปัญหาคือมีไอน้ำอยู่ในอากาศมากเกินไป คงต้องใช้เวลานานเหมือนกันกว่าน้ำแข็งจะแข็งตัว 


 


 


เฉินจู่อานคิดแล้วพูดออกไป “ถ้ามันเป็นเหมือนสเกตน้ำแข็งก็คงดีเนอะ เราจะได้ไถลตัวกันไปบนกระจกได้ ฮ่าๆ” 


 


 


หลี่วซู่เหลือบมองแล้วตอบ “จะเล่นสเกตน้ำแข็งมันก็ต้องขึ้นอยู่กับแรงเสียนทานของน้ำแข็งด้วย ใครบอกสเกตน้ำแข็งไม่ต้องใช้แรงเสียดทานกัน” 


 


 


จะไถลตัวไปบนน้ำแข็งก็ต้องใช้แรงกระทำจากขาไปที่น้ำแข็ง แต่ทำแบบนั้นบนกระจกไม่ได้หรอก 


 


 


“แต่ตอนนี้เราไม่ต้องกังวลแล้วนี่” เฉินจู่อานหัวเราะ “ตอนแรกผมก็กลัวว่าเราอาจมาช้าไปและไม่ได้อะไรกลับไปเลย แต่พอดูๆ แล้วนักเรียนห้องเต้าหยวนก็คงงงๆ ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันแหละ แค่เดินยังยากเลย นับประสาอะไรกับการไปหาทรัพยากร ผมนึกสภาพออกเลยว่าตอนที่คนอื่นๆ เข้ามาจะเป็นยังไงกัน คงไม่ต่างจากพวกเราหรอก” 


 


 


หลี่ว์ซู่พยักหน้าเห็นด้วย พวกนั้นคงต้องเผชิญปัญหาแบบเดียวกันกับที่หลี่ว์ซู่และเฉินจู่อานเจอตอนเข้ามาในนี้ การจะใช้ความสามารถที่มีของผู้บำเพ็ญนั้นยากมาก 


 


 


แต่เขาก็ไม่กังวลหรอกว่าพวกนั้นจะหนีกันออกไปไม่ได้ เพราะสถานที่แปลกๆ แบบนี้คงทำอะไรเฉินไป่หลี่ไม่ได้มาก เขาคงดั้นด้นหาทางจนพบวัตถุเก่าแก่เข้าจนได้แหละ 


 


 


พอเฉินจู่อานคิดอะไรไม่ออกแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เอาหอกยาวสองเล่มและพรมออกมาจากไหนไม่ทราบด้วยความเร็ว พรมนี่ค่อนข้างใหญ่และกันน้ำ ซึ่งเป็นของที่ได้มาพร้อมชุดเต็นท์กางกลางแจ้งที่หลี่ว์ซู่ซื้อไว้ 


 


 


เฉินจู่อานตาวาว “พี่ซู่ นี่พี่มีที่เก็บของแบบล่องหนจริงๆ ด้วย!” ในตอนนั้นที่หลี่ว์ซู่เอาหอกยาวออกมาเพื่อฆ่ากิ้งก่ากินคน ทุกคนที่นั่นก็สงสัยกันแล้วว่าหลี่ว์ซู่น่าจะมีที่เก็บของแบบล่องหน แต่ก็ไม่มีใครยืนยันความสงสัยนี้ได้ มีคนเดาว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเก็บอาวุธไว้ใต้เสื้อผ้าก็ได้ แต่พรมกันน้ำนี่ไม่ใช่อาวุธ มันต้องเอาออกมาจากที่เก็บของแบบล่องหนแน่ๆ ล่ะ 


 


 


เฉินจู่อานยิ่งตะลึงหนัก เขารู้ว่ามีแต่ราชันฟ้าที่ต้องเดินทางข้ามประเทศไปมาเท่านั้นถึงจะมีกี่เก็บของแบบนี้ไว้ครอบครอง ว่ากันว่าในเครือข่ายฟ้าไม่ค่อยมีของแบบนี้เหลืออยู่แล้ว 


 


 


“เลิกพูดไร้สาระแล้วมานี่” หลี่ว์ซู่พูดขณะก้าวขึ้นไปบนพรมแล้วนั่งลง 


 


 


เฉินจู่อานเข้าใจทันทีว่าหลี่ว์ซู่อยากจะให้ทำอะไร เขาจะใช้หอกกับกระจกซึ่งก็ดีกว่าการต่อยกระจกด้วยกำปั้นแน่ๆ จากนั้นก็เอาพรมกันน้ำนี่ไว้บรรทุกพวกเขา หอกยาวจะช่วยออกแรงดันให้พวกเขาไปข้างหน้าได้ 


 


 


เฉินจู่อานตื่นเต้นมาก คิดถูกจริงๆ ที่ติดตามหลี่ว์ซู่เข้ามาในนี้! 


 


 


เขาก้าวขึ้นพรมตามไป “พร้อมแล้ว!” 


 


 


“งั้นก็ไปกัน!” หลี่ว์ซู่กล่าวอย่างกระฉับกระเฉง 


 


 


เขาใช้พลังแห่งสวรรค์กับหอกสองเล่ม เขาออกแรงทั้งหมดจากแขนเพื่อทำให้กระจกเป็นรูสองรู การออกแรงอย่างมากของเขาทำให้พรมกันน้ำพุ่งตัวไปข้างหน้าเร็วอย่างกับลูกธนู 


 


 


เฉินจู่อานที่นั่งอยู่ข้างหลังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังซ้อนรถมอเตอร์ไซค์อยู่ มันไปเร็วเกินไปมากๆ! และเขาก็ไม่ได้หาอะไรเกาะก่อนเลยด้วย เขาเลยกลิ้งออกไป 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!] 


 


 


“พี่ซู่” เฉินจู่อานที่นอนแผ่อยู่บนกระจกพูดออกมาเศร้าๆ “ผมจะไม่พูดแหย่เล่นอีกแล้ว ช่วยหน่อยเถอะ…” 


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแล้วไถลเข้าไปช่วย “ขอโทษๆ ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ทำแล้วๆ” 


 


 


เฉินจู่อานเลยก้าวขึ้นไปบนพรมอีกรอบด้วยความโล่งใจ เขากอดเอวหลี่ว์ซู่จากขางหลังไว้แน่น… 


 


 


“ไปกัน…” หลี่ว์ซู่ทำสีหน้าไม่สู้ดี ถ้าใครมาเห็นภาพนี้จะทำไงเนี่ย 


 


 


“ผมจะเกาะแน่นไม่ปล่อยเลย!” เฉินจู่อานกลัวว่าหลี่ว์ซู่จะเร่งความเร็วทันทีอีก เขาฉลาดนะ เขาไม่ทำผิดพลาดเป็นครั้งที่สองหรอก 


 


 


หลี่ว์ซู่เอาชุดเย็บผ้าออกมาและเอาเสื้อยืดขาดรุ่งริ่งออกมาด้วยจากตราแห่งแผ่นดิน เขาเย็บหูจับให้เฉินจู่อานไว้บนพรมกันน้ำ เฉินจู่อานดีใจตาเป็นประกายและผละออกจากหลี่ว์ซู่ 


 


 


จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ออกแรงใช้หอกสองเล่มนั้นพาพวกเขาเคลื่อนที่เร็วอย่างกับสายลม 


 


 


ทั้งสองคนมองดูโลกรอบข้าง กระจกนั้นสะท้อนภาพท้องฟ้าสีคราม เทียบกับโลกรอบข้างแล้วดูแล้วทั้งสองคนดูตัวกระจ้อยไปเลย เหมือนกับพวกเขากำลังแล่นเรืออยู่บนผิวทะเลอันเงียบสงบ 


 


 


ชีวิตของพวกเขาสองคนไม่ได้เจอกับความอ้างว้างและใหญ่โตแบบนี้มาก่อนเท่าไหร่หรอก 


 


 


จู่ๆ เฉินจู่อานก็ถอนหายใจ “พี่ซู่ พี่บอกว่าที่นี่ไม่มีอะไรนี่ ผมไม่รู้สึกว่ามันจะมีทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนอยู่ที่นี่เลยนะ” 


 


 


“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก โบราณสถานทุกที่ก็เป็นแบบนี้นั่นแหละ” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว “เราอาจจะรู้กันตอนตกกลางคืนก็ได้” 


 


 


แล้วอยู่ๆ พวกเขาก็เห็นร่างของใครสักคนที่กำลังจะนอนลงบนพื้นจากที่ไกลๆ หลี่ว์ซู่มั่นใจว่าคนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่แน่ พอคนคนนั้นนอนลงแล้ว เขาก็เคี้ยวช็อกโกแลตตุ้ยๆ … 


 


 


เขาสังเกตเห็นว่าใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา พอหันหน้าไปก็เห็นว่าเป็นหลี่ว์ซู่กับเฉินจู่อานที่กำลังมุ่งหน้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาประหลาดใจมาก เลยตะโกนออกไป “ขอติดไปด้วยคนสิ! ตรงนี้ขยับไม่ได้เลย!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ควบคุมให้พรมนั้นไปหยุดห่างจากคนนั้นราวห้าเมตร เด็กหนุ่มคนนั้นคือเจียงเฟิงที่เดินทางมากับเขาด้วยนี่เอง! 


 


 


หลี่ว์ซู่ถามด้วยความฉงน “มาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย” 


 


 


“ฉันติดอยู่นี่ตั้งแต่เข้ามาแล้ว” เจียงเฟิงพูดอย่างอารมณ์เสีย “ขยับไปไหนไม่ได้เลย ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ แล้วก็กินนี่แหละ” 


 


 


หลี่ว์ซู่จำได้ว่าเจียงเฟิงมาถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว เขาเลยถามต่อ “ตอนกลางคืนในนี้มีอะไรเปลี่ยนไปไหม” 


 


 


เจียงเฟิงชะงักไปก่อนตอบว่า “ที่นี่ไม่มีกลางคืนหรอก” 


 


 


“อย่างที่คิดไว้เลย” หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าเงื่อนไขในโบราณสถานนั้นต้องไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่ๆ โลกในโบราณสถานนั้นแตกต่างจากข้างนอกอย่างสิ้นเชิง 


 


 


หลี่เสียนอีเคยบอกไว้ว่าในโบราณสถานจะมีโลกของตัวเองอยู่ข้างใน แล้วทั้งสองโลกจะเหมือนกันได้อย่างไรล่ะ 


 


 


แต่หลี่วซู่สงสัยนิดหน่อย โบราณสถานที่เขาเข้าไปก่อนหน้านั้น ทุกที่จะมีพระจันทร์สีเลือด แปลว่าโบราณสถานทุกที่นั้นพาไปที่เดียวกันหรือเปล่านะ หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปบนฟ้า แต่มันไม่ใช่แค่ไม่มีพระจันทร์สีเลือดหรอก แม้แต่ดวงอาทิตย์ ที่นี่ก็ไม่มีเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่าแสงสว่างบนฟ้าสีครามนี้มาจากไหน แต่สีครามที่ว่านี่ดูจากแตกต่างจากฟ้าของโลกเหมือนกัน 


 


 


งั้นที่นี่ก็ไม่มีมีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีกลางวันและกลางคืน 


 


 


เจียงเฟิงจำได้ว่าเขาเคยถกกันเรื่องจะเอาตัวรอดกันอย่างไรในโบราณสถาน พวกเขาเคยหัวเราะเยาะหลี่ว์ซู่ที่ไม่เตรียมอะไรมาก่อน แต่พอเข้ามาในโบราณสถานแล้วก็เพิ่งเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรเหมือนกับโลกข้างนอกเลย ไม่มีทางที่พวกเขาจะเตรียมตัวล่วงหน้ากันได้ 


 


 


“เอ่อ…นายช่วย…” ก่อนที่เจียงเฟิงจะได้พูดจบประโยค หลี่ว์ซู่ก็เร่งความเร็วพรมกันน้ำออกไปทันที… 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +666!] 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม