ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 593.1-595.2

ตอนที่ 593 - 1 ข่านทูเจวี๋ย

 

ท้องฟ้าสีครามกระจ่างใสราวกับถูกสายน้ำสะอาดบริสุทธิ์ชำระล้าง ปุยเมฆขาวประหนึ่งกำลังลอยล่องกระจัดกระจายอยู่ในห้วงจักรวาล แสงตะวันสีทองกรีดผ่านท้องนภาอันไพศาลราวกับลูกธนูอันคมกริบ สาดส่องลงบนทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต หยาดน้ำค้างที่ยังไม่ได้ระเหยไปที่ใดกลิ้งวนอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าด้วยความอาวรณ์ เปล่งประกายระยิบระยับวับวาว 


 


 


หญ้าเขียว เมฆาขาว นภาคราม ทุ่งหญ้าอาลาซ่านราวกับเป็นสตรีผู้สะอาดบริสุทธิ์นางหนึ่งซึ่งกำลังอ้าอ้อมอกอันงดงามของนางให้แก่ทุกคน 


 


 


บนทุ่งหญ้าม้ารวมตัวกันนับหมื่น เสียงคนอึกทึกคึกคัก กระโจมสีขาวประหนึ่งบุปผาน้อยที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ ปรากฏให้เห็นตรงหน้าทีละหลังๆ ธงหลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนโบกสะบัดพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมบริสุทธิ์ยามโพล้เพล้ อาชาทูเจวี๋ยนับพันนับหมื่นเดินออกหากินบนทุ่งหญ้าอย่างสบายอารมณ์ แผงคอลู่ไหวไปตามสายลม สีดำ สีเหลือง สีขาว ราวกับขุนเขาเคลื่อนไหวได้ซึ่งทอดตัวเรียงรายเชื่อมต่อกันบนทุ่งหญ้า เหล่านายทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าต่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านตัวใหม่เอี่ยม กระโดดยืนกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้าตามใจชอบ การเคลื่อนไหวที่มีความยากสารพัดอย่างปรากฏออกมาไม่รู้จักจบสิ้น ก่อให้เกิดเสียงปรบมือกึกก้องรุนแรงจากคนในชนเผ่าที่มุงดูอยู่รายรอบ 


 


 


ผู้ที่ได้รับความนิยมชมชอบมากที่สุดย่อมเป็นเหล่าผู้กล้าที่บนศีรษะสวมผ้าคลุมหน้าเหล่านั้น คนเหล่านี้ถึงจะเป็นบุคลากรชั้นยอดที่จะเข้าร่วมเทศกาลชิงแพะ รูปร่างของพวกมันต่างกำยำที่สุด แข็งแรงที่สุด ควบม้าเร็วที่สุด แม้จะมองไม่เห็นรูปโฉม ถึงกระนั้นกลับสัมผัสได้ถึงความมั่นใจและความหยิ่งผยองที่ต้องการแสดงฝีมือออกมาให้เห็นอย่างรุนแรงภายในจิตใจพวกมันได้  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยโห่ร้องสนุกสนานอย่างเต็มที่ ส่งมอบคำชมเชยและการปรบมือของพวกมันให้เหล่าผู้กล้าลึกลับเหล่านี้อย่างเต็มที่  


 


 


สาวงามชาวทูเจวี๋ยที่แต่ละดินแดนส่งมาเข้าร่วมการเลือกคู่สวมชุดเทศกาลอันหรูหราอลังการและงดงามมากที่สุดต่างค่อยๆ มารวมตัวกันตรงกึ่งกลางทุ่งหญ้าโดยมีผู้อาวุโสประจำตระกูลเป็นผู้นำพา บริเวณนั้นใช้ท่อนซุงขนาดยักษ์ก่อเป็นปะรำพิธียาวขนาดมหึมา สูงราวสองจั้ง ทอดตัวยาวออกไปหลายลี้ 


 


 


เบื้องหน้าปะรำพิธียาวมีเวทีสูงตั้งอยู่หลายสิบแห่ง บนแต่ละเวทีมีเชือกยาวห้อยลงมา บริเวณปลายเชือกแขวนตะขอเหล็กขนาดมหึมา สิ่งเหล่านี้ต่างนำมาใช้แขวน เมื่อเชือกเส้นนั้นถูกตัดขาด ร่างแพะร่วงลงพื้น งานเทศกาลแข่งขันชิงแพะก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยที่มาเลือกคู่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนางรวมตัวอยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้า หลุดพ้นจากตระกูลของตน ต่างขี่อยู่บนอาชาสีขาวรูปร่างสูงใหญ่ ควบม้าห้อตะบึงอย่างมีความสุข  


 


 


สาวงามอยู่รวมกับม้าขาว กลายเป็นจุดเด่นซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดบนทุ่งหญ้าทันที ผู้กล้าจากแต่ละตระกูล ที่กำลังควบม้าอยู่ ไม่ว่าจะเข้าร่วมการชิงแพะหรือไม่ สายตาของทุกคนล้วนรวมศูนย์อยู่ ณ ที่แห่งนี้  


 


 


เฉกเช่นเมฆาขาวอันงดงามซึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างแช่มช้าอยู่บนทุ่งหญ้า เสียงเพลงอันสดใสของเหล่าดรุณีลอยล่องอยู่บนท้องนภากระจ่าง ดึงดูดเสียงผิวปากและโห่ร้องยินดีจำนวนนับไม่ถ้วน 


 


 


มีผู้กล้าทูเจวี๋ยซึ่งทนความเปล่าเปลี่ยวไม่ไหวขี่ม้าพุ่งเข้าไปหาตั้งแต่แรก ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกน้ำสะอาดสาดใส่ร่าง นี่คือการเตือนต่อผู้รุกล้ำเขตแดนของชนเผ่านอกด่าน 


 


 


เมื่อเห็นเหล่าผู้กล้าซึ่งร่างกายเปียกปอน ยืนนิ่งราวกับไก่ไม้เหล่านั้น รอบด้านก็บังเกิดเสียงโห่ร้องผิวปากขึ้นมาทันที เสียงหัวเราะยวนเย้าของเหล่าดรุณีดังขึ้นเป็นระยะไม่ขาดสาย 


 


 


การเข้าร่วมเทศกาลแข่งขันชิงแพะ ข้อดีที่สุดก็คือขอเพียงเจ้าปิดบังใบหน้าก็จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าเป็นใคร ชาวทูเจวี๋ยใช้วิธีการเช่นนี้ก็เพื่อการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม ไม่ว่าดินแดนจะแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นราชนิกุลผู้รากมากดีหรือชาวบ้านคนเลี้ยงสัตว์สามัญชน ขอเพียงเจ้ามีความสามารถก็จงแสดงออกอย่างเต็มที่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเมื่อจบเรื่องแล้วจะถูกแก้แค้น ด้วยสภาพเช่นนี้การแข่งขันชิงแพะจึงยิ่งน่าตื่นเต้นและสนุกสนาน อีกทั้งจะได้เลือกผู้กล้าที่แท้จริงได้อีกด้วย  


 


 


ส่วนการจำแนกแต่ละดินแดนของแต่ละตระกูลนั้นจะใช้ธงเป็นสัญลักษณ์ อย่างบรรดาธงไป๋หลิง ธงอินทรี ธงพยัคฆ์ที่ได้เห็นวันนั้น ที่จริงแล้วก็คือสัญลักษณ์ของแต่ละตระกูลที่แตกต่างกัน ตระกูลใหญ่น้อยบนทุ่งหญ้ามีนับร้อย มีธงแปลกประหลาดสารพัดสารพัน เหมือนกำลังจัดนิทรรศการนานาชาติอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ณ หัวมุมสุดชายขอบทุ่งหญ้า มีเงาร่างหลายสิบร่างที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆ กลุ่มหนึ่ง บนศีรษะต่างใช้ผ้าดำปิดบังใบหน้า เหลือเพียงดวงตาทั้งสองข้างที่โผล่ออกมาด้านนอก แสดงว่าคนเหล่านี้ต่างเป็นผู้กล้าที่เข้าร่วมการชิงแพะ บนธงของพวกเขาคือสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งกำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ สีหน้าท่าทางดุร้าย พ่นไฟออกจากปากตัวหนึ่ง  


 


 


“เหล่าหู เจ้าธงที่เจ้าเลือกให้พวกเรานี้มันคืออะไรกันแน่ เหตุใดข้าดูอยู่ตั้งนานก็ดูไม่ออก” หนึ่งในชายฉกรรจ์ที่สวมผ้าปิดหน้าคนหนึ่งเหลียวมองรอบด้านด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจทางนี้ถึงเอ่ยปากถามออกมาเบาๆ  


 


 


ในบรรดาดินแดนที่เข้าร่วมการชิงแพะ กลุ่มนี้น่าจะมีขนาดเล็กที่สุดแล้ว มีน้อยนิดราวสิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนตำแหน่งที่พวกเขาเลือกก็ห่างไกลมากที่สุด อยู่ห่างจากกึ่งกลางทุ่งหญ้าหลายลี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นดินแดนขนาดเล็กที่ปราศจากกำลัง 


 


 


เหล่าหูที่อยู่ด้านข้างอธิบาย “เจ้านี่ชาวทูเจวี๋ยเรียกว่าถู่ซีฉือ เป็นสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งเจริญเติบโตอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างกึ่งกลางทางใต้ของทุ่งหญ้ากับทะเลทราย กินม้าป่ากับอูฐเป็นอาหารโดยเฉพาะ แม้แต่สิงโตกับเสือดาวก็ยังต้องกลัวพวกมันอยู่บ้าง ท่านแม่ทัพหลินบอกว่าเจ้าสิ่งนี้คล้ายกับกิเลนของต้าหัวเรามาก ส่วนที่พวกเราปลอมตัวอยู่ตอนนี้ก็คือหนึ่งในดินแดนขนาดเล็กของเถี่ยเล่อเก่าตระกูลซึ่งถูกล้างบางไปแล้ว ชื่อว่าเยวี่ยซื่อ ตำแหน่งของเจ้าเยวี่ยซื่อนี้อยู่ใกล้กับถู่ซีฉือพอดี ดังนั้นจึงเลือกมันมาเป็นสัญลักษณ์ธงของพวกเรา” 


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้เหล่าเกาจึงเข้าใจแล้ว เขาหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง เห็นว่าบนม้าที่อยู่กึ่งกลางขบวนมีคนผู้หนึ่งกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด  


 


 


ขณะนี้กำลังอยู่บนทุ่งหญ้า ชนเผ่านอกด่านมีอยู่เต็มไปหมด ไม่มีผู้ใดสนใจดินแดนอ่อนแอขนาดเล็กเช่นนี้แม้แต่น้อย หลินหว่านหรงค่อนข้างพอใจต่อสถานการณ์เช่นนี้ ดินแดนบนทุ่งหญ้าแม้จะมีมากมาย สภาพในตอนนี้ก็สับสนวุ่นวาย ทว่าทหารม้าจำนวนหนึ่งหมื่นนายซึ่งปักหลักเฝ้าอยู่นอกเมืองกับชนเผ่านอกด่านที่รักษาเมืองกลับแทบปราศจากความเคลื่อนไหว เรื่องนี้ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ามาก หากพวกมันไม่ขยับ แล้วศึกนี้จะสู้อย่างไร? 


 


 


ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด บนเวทีสูงที่อยู่กึ่งกลางทุ่งหญ้าก็ค่อยๆ อึกทึกคึกคัก แต่คนที่อยากเห็นกลับไม่เจอ ปราศจากอ๋องขวาถูสั่วจั่ว และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงข่านทูเจวี๋ย 


 


 


หลินหว่านหรงชี้ไปที่เวทีสูงนั้น ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “พี่เกา ราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์ชาวทูเจวี๋ยมีแค่นี้เองหรือ? ยังไม่พอให้เหล่าเกาใช้ดาบฟันในคราวเดียวเลยนะ” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ที่ไหนกันล่ะขอรับ นี่ก็ยังไม่ได้เริ่มเลย งานเทศกาลชิงแพะของแต่ละปีจะเป็นเทศกาลที่คึกคักมากที่สุดของทูเจวี๋ย ไม่เพียงราชนิกุลและผู้สูงศักดิ์ทุกคนจะต้องมาถึงที่ แม้แต่ข่านทูเจวี๋ยเองก็มาชมอยู่เป็นประจำ ดูจากขนาดในปีนี้แล้ว ต่อให้ข่านทูเจวี๋ยไม่มา แต่ถูสั่วจั่วก็ต้องมาขอรับ” 


 


 


ขณะที่กำลังเอ่ยวาจาก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องมาแต่ไกล ทหารม้าอันเ**้ยมหาญนับพันเหยียย่ำทุ่งหญ้าเข้ามา ซึ่งก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยที่ปักหลักเฝ้าอยู่นอกเมืองนั่นเอง 


 


 


“อ๋องขวามาแล้ว!” ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ใกล้กันส่งเสียงโห่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้น เหล่าผู้กล้าเร่งม้าเข้าไปต้อนรับ ส่วนสาวน้อยทูเจวี๋ยเองก็ชะเง้อมองแต่ไกลไม่หยุด ดวงตาเปล่งประกายเทิดทูน 


 


 


ถูสั่วจั่วนำหน้า ด้านหลังติดตามด้วยชนเผ่านอกด่านซึ่งสวมชุดหรูหราจำนวนยี่สิบสามสิบคน ดูจากการแต่งกายและบารมีแล้วน่าจะเป็นเหล่าขุนนางใหญ่และราชนิกุลที่รั้งอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์แน่ ถัดออกไปอีกก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยชั้นยอด ดูจากขนาดขบวนแล้วก็มีมากราวสองพันกว่าคนได้ คิดว่ามาคุ้มกันอ๋องขวาและเหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย 


 


 


ถูสั่วจั่วเอวสะพายดาบโค้ง สวมชุดทำศึก ยิ้มแย้มและโบกมือให้ทุกคน ทุ่งหญ้าพลันบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีอย่างกึกก้อง ฝูงชนกรูเข้าไปข้างหน้า หัวหน้าของแต่ละดินแดนแสดงการคารวะทักทายต่ออ๋องขวาและขุนนางใหญ่ทุกคน มือถือสุราชั้นยอดชามใหญ่ ตลอดเส้นทางที่ถูสั่วจั่วกับเหล่าราชนิกุลเดินทางมาต่างดื่มสุราราวกับดื่มน้ำเปล่า ยิ่งทำให้เกิดเสียงโห่ร้องยินดี 


 


 


“พี่เกา ท่านว่างานชิงแพะวันนี้ถูสั่วจั่วจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?!” หลินหว่านหรงจ้องมองอยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยถามหูปู้กุยที่อยู่ด้านข้าง  


 


 


เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ข่านทูเจวี๋ยไม่ได้มา นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเสน่ห์ของงานชิงแพะยังไม่เพียงพอ เมื่อขาดการมาถึงของบุคคลสำคัญสูงสุด บุคคลสำคัญที่ว่าก็ย่อมกลายเป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยแล้ว 


 


 


หากถูสั่วจั่วใช้แค่สถานะของผู้ชมมาดูอยู่ด้านข้าง ทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งเฝ้ารักษาอยู่นอกเมืองก็จะไม่โยกย้าย มีแค่อ๋องขวาลงสนามด้วยตนเองเท่านั้น ชาวทูเจวี๋ยถึงจะเพิ่มการระวังป้องกันงานชิงแพะให้เข้มงวดมากขึ้น ช่วงที่การเฝ้าระวังของพวกมันเกิดความเปลี่ยนแปลง ทหารม้าต้าหัวถึงหาโอกาสเข้าเมืองได้ 


 


 


เหล่าหูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจขอรับ ดูจากท่าทางของมัน สวมชุดทหารอยู่บนร่าง เหมือนไม่ได้เตรียมตัวลงสนาม เพียงแต่นี่ก็ไม่แน่ ที่สำคัญต้องดูว่าในกลุ่มสตรีที่มาเลือกคู่เหล่านี้จะมีผู้ที่ทำให้มันหวั่นไหวหรือไม่” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม สีหน้าสงบนิ่งดั่งวารี ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา 


 


 


ผู้ที่ทำให้ถูสั่วจั่วหวั่นไหวคือใคร ทุกคนต่างรู้แจ้งแก่ใจดี อันที่จริงนับตั้งแต่ช่วงเสี้ยวนาทีที่อวี้เจียหายสาบสูญไปอย่างกะทันหัน นี่ก็คือข้อกังขาที่มีอยู่ภายในใจของทุกคนแล้ว แต่แม่ทัพหลินไม่เอ่ยถึงสักคำ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าถามเช่นกัน  

 

 


ตอนที่ 593 - 2 ข่านทูเจวี๋ย

 

ถูสั่วจั่วกับเหล่าราชนิกุลทูเจวี๋ยขี่ม้าอย่างแช่มช้ามายังปะรำพิธียาวท่ามกลางการห้อมล้อมของฝูงชน เมื่อเห็นอ๋องขวาผู้หล่อเหลาและหนุ่มแน่นมายืนอยู่ตรงหน้าตนเอง บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นออกมาทันที  


 


 


ถูสั่วจั่วเดินเข้าไปในปะรำพิธียาว ดวงตาทั้งคู่ประดุจสายฟ้า สายตากวาดสำรวจฝูงชนไม่หยุด เหล่าสาวน้อยยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น ตะโกนกู่ร้องชื่อของมัน เบียดเข้าหาตัวปะรำพิธียาว เมื่อหาเป้าหมายไม่พบ ถูสั่วจั่วมีสีหน้าผิดหวังอยู่บ้าง มันยกมือให้ฝูงชนเล็กน้อย ใบหน้าผุดรอยยิ้มมั่นใจ  


 


 


นักบวชทูเจวี๋ยผู้หนึ่งค่อยๆ เดินขึ้นเวที มือถือผ้าผืนหนึ่ง จากนั้นก็ท่องออกมาเสียงดัง หลินหว่านหรงแทบจะไม่รู้ภาษาทูเจวี๋ย โชคยังดีที่เหล่าหูมีความสามารถเพียงพอ ดังนั้นจึงฟังเขาพูดแปลออกมา 


 


 


ตำแหน่งของนักบวชทูเจวี๋ยในราชสำนักชนเผ่านอกด่านเทียบได้กับรองเสนาบดีประจำกรมพิธีการ ขอเพียงเป็นพิธีใหญ่ อย่างเช่นการสักการบูชา การออกรบ ชาวทูเจวี๋ยก็จะมีพิธีบูชาฟ้า เรื่องนี้ไม่ต่างจากต้าหัว 


 


 


นักบวชสูงวัยผู้นั้นพร่ำบ่นอะไรบางอย่าง น่าจะเป็นการขอพรจากฟ้า สีหน้าของชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างเคร่งขรึม ฟังคำสั่งสอนของมัน บนเวทีสูงเบื้องหน้าปะรำพิธียาวแขวนแพะอ้วนพีที่แช่น้ำเรียบร้อยแล้วอยู่เต็มไปหมด ส่องประกายน้ำมันสีทองแวววาวใต้แสงอาทิตย์  


 


 


“เฮ!” หลินหว่านหรงกำลังสะลึมสะลือ เสียงโห่ร้องยินดีของชนเผ่านอกด่านก็ทำให้เขาตกใจจนได้สติ เมื่อเงยหน้ามองไป ที่แท้นักบวชคนนี้ก็ท่องจบแล้ว แต่ละดินแดนต่างทยอยกันแยกย้าย งานชิงแพะกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว  


 


 


ถูสั่วจั่วเดินเยื้องย่างขึ้นเวทีสูงเวทีหนึ่ง กำลังโบกมือทักทายคนในเผ่า ดูท่าว่าคนที่ตัดเชือกเส้นแรกจะเป็นมันแล้ว  


 


 


งานใหญ่ขนาดนี้ หากเกิดขึ้นที่ต้าหัว ฮ่องเต้ต้องเสด็จด้วยพระองค์เองแน่ แต่ข่านทูเจวี๋ยผู้นั้นกลับทำตัวมีเอกลักษณ์ ไม่มางานด้วยตัวเอง ช่างยากจะเข้าใจยิ่งนัก 


 


 


“น้องหลิน รอบนี้พวกเราจะเข้าร่วมหรือไม่?!” เมื่อเห็นว่างานแข่งขันชิงแพะกำลังจะเกิดขึ้น เกาฉิวจึงถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น หากต้องการเข้าเค่อจือเอ่อร์ก็ต้องเอาชนะการชิงแพะอย่างน้อยสามรอบ เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า “รอก่อนเถอะ ดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน” 


 


 


งานแข่งขันชิงแพะของชนเผ่านอกด่าน ขั้นแรกจะให้สามดินแดนชิงแพะพร้อมกัน ผู้ที่ไปถึงเป้าหมายก่อนจะเป็นผู้ชนะ แต่ละดินแดนเข้าร่วมได้ทุกเมื่อ แต่หากพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวก็จะหมดสิทธิ์ในการแข่งขันต่อไป 


 


 


การแข่งขันชิงแพะกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เหล่าผู้กล้าจากสามดินแดนยืนเป็นรูปสามเส้า อยู่ห่างจากใจกลางทุ่งหญ้าเท่ากัน เหล่าสาวน้อยทูเจวี๋ยที่มาเลือกคู่ครองไม่กะพริบตา ด้วยกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการเลือกผู้กล้าที่เก่งกาจมากที่สุดไป 


 


 


“ปู๊น!” เสียงแตรสัญญาณสั้นกระชั้นดังขึ้น ถูสั่วจั่วสะบัดดาบเงินที่อยู่ในมือ ร่างแพะแช่น้ำร่วงลงพื้นหญ้าอย่างแรง  


 


 


ฝูงชนระเบิดเสียงคำรามโห่ร้องสะเทือนเลื่อนลั่น ผู้กล้าปิดบังใบหน้าจากสามดินแดนเร่งม้าเร็วที่อยู่ใต้ร่างราวกับบ้าคลั่ง ห้อตะบึงไปยังบริเวณที่แพะร่วงหล่นโดยพร้อมเพรียง ทุ่งหญ้าฝุ่นคละคลุ้งขึ้นมาทันที 


 


 


อยู่ห่างแค่ไม่กี่ร้อยจั้ง เพียงพริบตาก็ถึงแล้ว ชาวทูเจวี๋ยซึ่งบุกตะลุยอยู่เบื้องหน้าสุด โน้มตัวอยู่บนม้าเร็วซึ่งกำลังวิ่งห้อตะบึงอยู่ใต้ร่าง สองมือหยิบตัวแพะซึ่งชุ่มโชกด้วยโลหิตขึ้นมาแล้วชูขึ้นฟ้า คนในเผ่าของมันยังไม่ทันได้โห่ร้องยินดีก็ได้ยินเสียงทึบๆ ดังขึ้นมาคราหนึ่ง ศีรษะของผู้กล้าที่เก็บแพะได้คนนั้นรับดาบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่งจนเอนข้างล้มกลิ้งลงไป โลหิตสดๆ สาดกระจาย 


 


 


“เฮ!” ครั้นเห็นประกายโลหิต ชั่วพริบตานั้นชาวทูเจวี๋ยที่อยู่บนทุ่งหญ้าก็เริ่มบ้าคลั่งพวกมันขู่ร้องคำราม ทั้งกระโดดโลดเต้น สองตาสาดประกายตื่นเต้น ออกแรงแกว่งโบกแขนอย่างเต็มที่ ปากตะโกนถ้อยคำแปลกประหลาด 


 


 


ตัวแพะที่มีโลหิตไหลรินตกอยู่ในเงื้อมมือของอีกดินแดนหนึ่งตั้งนานแล้ว พวกมันทิ้งคนไว้ห้าหกคน พยายามกวัดแกว่งดาบโค้งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อขัดขวางการเคลื่อนที่ไล่ตามของศัตรู จากนั้นก็ห้อตะบึงไปยังเป้าหมาย 


 


 


สองดินแดนที่ทิ้งท้ายสองตาแดงก่ำเสียสติทันที ทหารม้าราวยี่สิบคนบุกเข้าไปราวกับเสียสติ เพียงชั่วพริตาก็ฟันคู่ต่อสู้ตกลงจากหลังม้า เหยียบย่ำร่างพวกมันโดยปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย พยายามไล่ตามอย่างเต็มที่ 


 


 


ประกายโลหิตสาดกระจายบนต้นหญ้าเขียวขจีไปตลอดทาง ถึงกระนั้นกลับไม่มีผู้ใดแยแสสิ่งเหล่านี้ เสียงกรีดร้องของสาวน้อย เสียงโห่ร้องยินดีของบุรุษ บรรยากาศในสนามร้อนแรงจนแทบจะคว่ำฟ้าลงมา 


 


 


ท่ามกลางความบ้าคลั่งที่ไม่รู้จักจบสิ้นนี้ เหล่าผู้กล้าจากดินแดนทั้งสามโรมรันพันตูกัน ม้าไม่อาจรุกคืบ ไม่ว่าจะเป็นการฉุดกระชาก การสกัดขัดขวาง การเคลื่อนย้ายเบี่ยงเบน กลยุทธ์ซึ่งกำหนดเป็นมั่นเป็นเหมาะไว้ตั้งแต่แรกต่างไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง มีเพียงเหยียบย่ำร่างของคู่ต่อสู้เท่านั้น พวกมันถึงมุ่งหน้าต่อไปได้ 


 


 


แพะที่ชุ่มโชกโลหิตไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปกี่มือ เหล่าผู้กล้าระเบิดพลังทั่วทั้งสรรพางค์กาย ฟาดฟันเข่นฆ่ากันและกันด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับโลหิต เลือดเนื้อสาดกระจายอย่างต่อเนื่อง มีคนพลิกล้มจากหลังม้าอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังชมการสู้รบต่างตะโกนส่งเสียงให้กำลังใจอย่างบ้าคลั่ง เสียงดังทรงพลังเปี่ยมล้น หาได้เหลือบแลสหายร่วมชนชาติของตนซึ่งล้มอยู่กับพื้นแม้แต่น้อย สาวน้อยชนเผ่านอกด่านต่างกระโดดโลดเต้นด้วยความตื่นเต้น  


 


 


ดาบทื่อก็คือดาบอยู่ดี ความโหดเ**้ยมในการลงมือของชนเผ่านอกด่านไม่ต่างจากการรบอย่างเอาเป็นเอาตายแม้แต่น้อย ขาหักเอวหัก ชาวทูเจวี๋ยที่หล่นจากม้าพวกนั้นเกรงว่าชาตินี้คงปีนขึ้นหลังม้าไม่ได้แล้ว ช่วงนี้เวลานี้ ต่อให้ศัตรูเป็นญาติตัวเอง ผู้กล้าเหล่านี้ก็จะลงมือเช่นกัน ความบ้าเลือดของชนเผ่านอกด่านฝึกฝนด้วยวิธีการเช่นนี้ หลินหว่านหรงส่ายหน้าไม่เอ่ยวาจา ส่วนเกาฉิวก็ลอบเบะปาก 


 


 


ถูสั่วจั่วชินชากับงานชิงแพะอันโหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว สีหน้าของเขาสงบนิ่ง กระทั่งว่าบางครั้งยังยิ้มเพื่อสร้างกำลังใจให้เหล่าผู้กล้าอีกด้วย  


 


 


การแข่งรอบนี้สิ้นสุดลง ในผู้กล้าจำนวนสี่สิบกว่าคนที่ยังขี่ม้าได้เหลือแค่สามคนเท่านั้น พวกมันชูแพะที่แย่งมาได้เหนือศีรษะ พุ่งไปยังจุดหมายด้วยความตื่นเต้นยินดี ชนเผ่านอกด่านกรูเข้าหาพวกมัน สาวน้อยทูเจวี๋ยนางหนึ่งพุ่งไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ นำมาลัยดอกไม้ที่ถักด้วยตนเองแขวนลงบนคอของผู้กล้าคนหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายจากไปด้วยความเขินอาย  


 


 


ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องยินดี นี่หมายความว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งที่หาคนที่ต้องใจได้แล้ว แม้ว่านางจะไม่เคยเห็นแม้แต่รูปโฉมของมันมาก่อนก็ตาม…ความเทิดทูนต่อฝีมือการต่อสู้ของชาวทูเจวี๋ยปรากฏให้เห็นเด่นชัด 


 


 


เหล่าผู้กล้าที่ปิดหน้าปิดตาเหล่านั้นจากไปด้วยความยินดีปรีดา ตามกฎแล้วดินแดนของพวกมันมีคุณสมบัติในการสู้รอบต่อไป หากเอาชนะต่อเนื่องได้สามรอบ พวกมันก็จะเข้าเมืองเพื่อเข้าเฝ้าท่านข่านได้ สิ่งนี้ถือเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งของทั่วทั้งดินแดนการปกครอง 


 


 


เมื่อชมการต่อสู้ก็พอเข้าใจงานแช่งขันชิงแพะนี้บ้างแล้ว หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “ฉวยโอกาสช่วงที่ถูสั่วจั่วยังไม่เข้าร่วมแข่งขัน พี่เกา รอบหน้า พวกเราบุก!” 


 


 


ไม่ว่าการระวังป้องกันเมืองของชนเผ่านอกด่านจะเกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นไรก็จำเป็นต้องมีคนปะปนเข้าไปในราชธานีทูเจวี๋ยเพื่อประสานงาน และการเอาชนะการแข่งขันชิงแพะสามรอบก็คือหนทางที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากเจอถูสั่วจั่ว ศึกนั้นก็ยากที่จะสู้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลงมือก่อน 


 


 


“ใช่แล้ว บุก บุก!” เหล่าเกาพูดหน้าตาระรื่น “ขอเพียงปิดบังใบหน้า พวกเราฟันชนเผ่านอกด่าน แต่ชนเผ่านอกด่านกลับยังต้องโห่ร้องยินดีให้พวกเราอีกด้วย โอกาสเช่นนี้พันปีก็ยากจะได้พบเจอสักครั้ง ทุกคนไม่ต้องเกรงอกเกรงใจกันล่ะ” 


 


 


ทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แม้ชาวต้าหัวจะมีรูปลักษณ์ภายนอกต่างจากชาวทูเจวี๋ย แต่ขอเพียงปกปิดใบหน้า ไม่ว่าใครก็แยกไม่ออกว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้ใด มิหนำซ้ำชนเผ่านอกด่านอยู่ที่แจ้ง พวกเขาอยู่ที่ลับ ศึกครั้งนี้ได้เปรียบครั้งยิ่งใหญ่ 


 


 


หูปู้กุยเดินส่ายอาดๆ ไปหยิบฉลากมา ฉลากที่ชนเผ่านอกด่านทำขึ้นมานั้นง่ายดายยิ่งนัก ก็แค่วาดภาพสัตว์ลงบนหนังแพะเท่านั้น เกาฉิวมองอยู่หลายครั้ง “เอ๊ะ นี่เหมือนจะเป็นเป็ดป่า เคยเห็นที่ทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพลางผงกศีรษะ “น้องเกาความจำดีมาก เจ้าพูดไม่ผิด พวกเราถูกจัดให้เจอกับกลุ่มเป็ด” 


 


 


“พรืด” หลินหว่านหรงซึ่งกำลังหยิบถุงน้ำออกมาดื่มอึกๆ พ่นน้ำออกมาทันที ตกใจจนแทบหายใจติดขัด กลุ่มไก่กลุ่มเป็ดอะไรกัน เครื่องหมายของชาวทูเจวี๋ยเหตุใดมันถึงไร้การศึกษาขนาดนี้ 


 


 


เหล่าหูกลับเข้าใจ ภาษาทูเจวี๋ยไม่มีหนึ่งสองสามสี่ แต่ใช้การจดบันทึกง่ายๆ โดยใช้รูปของสัตว์ อีกทั้งยังเหมาะกับนิสัยของพวกมันอีกด้วย 


 


 


พี่น้องราวยี่สิบคนที่เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะต่างถูกเหล่าหูเลือกเฟ้นมาอย่างดี ไม่เพียงมีวรยุทธ์ดี อีกทั้งยังพูดภาษาทูเจวี๋ยได้หลายประโยค ดังนั้นหากพูดกันอย่างจริงจังแล้ว ภายในกลุ่มนี้ในปัจจุบัน ผู้ที่ภาษาทูเจวี๋ยย่ำแย่มากที่สุดคงไม่พ้นหลินหว่านหรงแล้ว แม้แต่เหล่าเกาก็ยังเก่งกว่าเขา 


 


 


สามกลุ่มภายในกลุ่มเป็ด นอกจากธงเสือแล้วกลับเห็นเงาร่างของกลุ่มนกไป่หลิงด้วย ประโยคพูดเล่นในวันนั้น คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นจริงขึ้นมาได้ เหล่าเกาหัวเราะด้วยความสนุกสนานยิ่งนัก  

 

 


ตอนที่ 593 - 3 ข่านทูเจวี๋ย

 

 


 


 


หลังจากตรวจสอบว่าดาบถูกลับคมออกไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขาอีก ส่วนจุดเริ่มต้นของการชิงแพะนั้นอยู่ห่างจากกึ่งกลางทุ่งหญ้าราวสองร้อยจั้ง ถูสั่วจั่วที่อยู่ในปะรำพิธีกำลังมองประเมินรอบด้าน เห็นชัดว่าจิตใจไม่อยู่กับตัว ดังนั้นจึงไม่มีทางสนใจดินแดนเยวี่ยซื่อเล็กๆ ซึ่งมาจากชายขอบทะเลทรายนี่แน่นอน  


 


 


“ปู๊น!” แตรสัญญาณถูกเป่าดังขึ้น หลินหว่านหรงควบม้าพุ่งขวับออกไป การออกตัวนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ราวกับลอยล่องไปตามเมฆา แม้แต่เหล่าหูเองก็ตามเขาไม่ทันอยู่บ้าง ฝูงชนพลันโห่ร้อง ชมเชยฝีมือการขี่ม้าอันยอดเยี่ยมของเขา เพียงแต่ชาวทูเจวี๋ยแม้ฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำสนิทนี้กลับเป็นใบหน้าของคนผิวเหลือง 


 


 


เสียงลมหวีดหวิวดังอยู่ข้างใบหู ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งจากชนเผ่านอกด่านที่มาชมการสู้รบ มองเห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้มของศัตรูได้รางๆ เค่อจือเอ่อร์อยู่ตรงหน้า ทว่าหลินหว่านหรงกลับมีจิตใจสงบนิ่งดั่งวารี นอกจากเสียงฝีเท้าม้าก็เหมือนไม่ได้ยินสิ่งใดอีกแล้ว 


 


 


ความปราดเปรียวของดินแดนนกไป่หลิงสมดังคำร่ำลือ ผู้ที่บุกอยู่เบื้องหน้าสุดก็คือชนเผ่านอกด่านผู้มีฝีมือในการขี่ม้าล้ำเลิศที่เคยเห็นวันนั้นนั่นเอง มันเคลื่อนที่ดั่งโผบินเบี่ยงร่างไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บแพะที่เปียกชุ่มนั้นอยู่ในมือ คนในตระกูลของนกไป่หลิงต่างโห่ร้องยินดีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


ชนเผ่านอกด่านจากดินแดนเสือดาวกลับไม่ได้กินเสียข้าวสุก ไม่รอให้ดินแดนนกไป่หลิงมีปฏิกิริยาตอบสนอง มีม้าห้าตัวบุกมาจากด้านหลังพวกมัน ล้อมชนเผ่านอกด่านที่ชิงแพะได้ผู้นั้นอยู่กึ่งกลาง ดาบโค้งที่อยู่ในมือกวัดแกว่ง บุกเข้าหาทันที 


 


 


เห็นได้ชัดว่านกไป่หลิงเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก มันตวาดเสียงดังคราหนึ่ง สองมือจับตัวแพะแน่น จากนั้นก็เขวี้ยงไปขางหน้าสุดแรง  


 


 


“หูโหยว (เยี่ยม)!” เสียงตื่นเต้นดังลั่นหลายเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน คนในกลุ่มของนกไป่หลิงซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ข้างหน้าพยายามรับตัวแพะเอาไว้ จากนั้นก็ควบม้าดุจโผบิน พุ่งไปยังจุดหมาย 


 


 


ชนเผ่านอกด่านธงเสือดาวห้าคนที่ล้อมโจมตียังไม่ทันเข้าใจสถานการณ์ ชาวทูเจวี๋ยที่เชี่ยวชาญการขี่ม้าคนนั้นพลันหมุนกายกลับมาแล้วฟันดาบโค้งอันหนักอึ้ง เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้สองคนตกลงจากม้า  


 


 


โอกาสอันดีที่ยากจะพานพบเช่นนี้เหล่าเกาจะพลาดได้อย่างไร เขาเข้าไปตามสถานการณ์ กีบเท้าม้าย่ำลงบนหน้าท้องชนเผ่านอกด่านสองคนอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็ฉวยโอกาสฟันดาบลงไปสองครา ชนเผ่านอกด่านก็สิ้นเสียงไป 


 


 


“หูโหยว (เยี่ยม)!” เมื่อเห็นฝีมือดาบอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ ชาวทูเจวี๋ยที่กำลังมุงดูจึงส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่ง โห่ร้องยินดี สายตาที่มองเกาฉิวเต็มไปด้วยความเคารพและเทิดทูน เหล่าเกายินดียิ่งนัก “หูโหยว พวกเจ้าก็หูโหยวฮ่าๆ!” 


 


 


หูปู้กุยฟันดาบไปสองครั้ง ชนเผ่านอกด่านอีกสามคนที่เหลือก็เอนล้มลงไป นกไป่หลิงตกใจจนต้องหมุนกายแล้ววิ่งหนี ฝีมือการขี่ม้าของชนเผ่านอกด่านยอดเยี่ยมจริงด้วย เหล่าหูตามอยู่ข้างหลังพวกมัน แต่กลับไม่อาจไล่ทันได้ 


 


 


แพะอยู่ในมือนกไป่หลิง ชนเผ่านอกด่านสองตระกูลตะลุมบอนกันตั้งแต่แรก ฝูงม้าวิ่งตัดผ่านไปมา ลงมือไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย ยังโหดเ**้ยมยิ่งกว่าสนามรบเสียอีก ทหารม้าต้าหัวดูเหมือนจะไล่ตามพวกมันไม่ทัน ถึงกระนั้นกลับจงใจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ เล็งจังหวะที่มีคนตกม้าใช้เท้าเหยียบย่ำและดาบฟัน มีความสุขสนุกสนานยิ่งนัก 


 


 


“บุก!” เมื่อเห็นศัตรูเสียพลังไปพอสมควรแล้ว หลินหว่านหรงจึงตวาดต่ำๆ คราหนึ่ง พี่น้องที่อยู่ข้างหลังกรูเข้าไป กวัดแกว่งดาบฟันอย่างเร็วรี่ พวกเขาออมแรงมานาน พลันเหมือนหมาป่าบุกเข้าฝูงแพะ ฟันชนเผ่านอกด่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี ความรู้สึกเช่นนี้ช่างปลุกเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก! 


 


 


มีเหล่าเกาเป็นผู้นำ แม้ดาบจะทื่อแต่ก็เข่นฆ่าอย่างสะใจ เมื่อเห็นว่าเหลือชาวทูเจวี๋ยเพียงไม่กี่คน หูปู้กุยจึงส่งสายตา จากนั้นก็มีทหารต้าหัวหลายนาย ‘ร้องโหยหวน’ แล้วร่วงลงไป ชนเผ่านอกด่านที่มุงดูเลือดลมพลุ่งพล่าน โห่ร้องชมเชย เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระยะ 


 


 


นกไป่หลิงซึ่งยังคงยืนหยัดด้วยความยากลำบากผู้นั้นเมื่อความกดดันลดทอนลงก็ยินดียิ่ง เขวี้ยงแพะออกไปอย่างสุดแรงเสียงดังขวับ 


 


 


ชนเผ่านอกด่านผู้มีฝีมือขี่ม้าอันล้ำเลิศที่อยู่ข้างหน้าคนนั้นรอคอยมาตั้งแต่แรก มันยกมือขึ้นรับ ขณะกำลังจะห้อตะบึงออกไป จู่ๆ ก็มีสายลมเร็วรี่พัดเข้ามาจากข้างหน้า มันรีบหดศีรษะ ร่างแนบชิดกับหลังม้า จากนั้นสองเท้าเหยียบที่วางเท้าและควบพุ่งกระโดดออกไป 


 


 


ไอ้คนเจ้าเล่ห์! หลินหว่านหรงแค่นเสียงด้วยโทสะ ชิงมาอยู่ข้างหน้าขวางเส้นทางของมันไว้ ขณะเดียวกันก็พาดดาบขวาง ฟันไปที่เอวมัน 


 


 


ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นจับแพะเอาไว้ ไม่อาจตอบโต้ได้เลย ด้วยความรีบร้อน ฝีมือการขี่ม้าอันล้ำเลิศจึงได้ใช้งาน มันกอดคอม้า แล้วควบหมุนวน เมื่อดาบฟันมามันก็จะมุดลงไปใต้ท้องม้า 


 


 


วิ่งตีคู่ไปเช่นนี้หลายก้าว ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นขยับขึ้นๆ ลงๆ ราวกับวานร หลินหว่านหรงมองจนตาลายไปหมด ถ้าทำแล้วต้องทำถึงที่สุด เขาหัวเราะฮิคราหนึ่ง ชูดาบใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ฟันลงบนหลังม้าอย่างแรง 


 


 


ม้าทูเจวี๋ยอ่อนยวบล้มลงกับพื้น นกไป่หลิงสูญเสียที่พึ่ง ตื่นตระหนกจนรีบหนีไป ถึงกระนั้นกลับถูกหูปู้กุยที่ไล่ตามมาใช้ดาบฟันจนกลิ้ง 


 


 


“เฮ!” เหล่าเกาชูร่างแพะ บุกมาที่จุดหมายด้วยความตื่นเต้น ชนเผ่านอกด่านกรูเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ กระโดดโลดเต้นโห่ร้องยินดี 


 


 


หลินหว่านหรงจงใจรั้งอยู่ท้ายสุด เงยหน้าทอดสายตามองออกไปไกล เหล่าเชื้อพระวงศ์ทูเจวี๋ยกำลังสุมหัวกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้น ถึงกระนั้นกลับไม่พบเงาร่างถูสั่วจั่วแล้ว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ เป็นอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยอยู่ใกล้เขามากที่สุด เมื่อเห็นเขาเหลียวซ้ายแลขวาจึงรีบเข้ามาใกล้พร้อมเอ่ยถาม 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “ถูสั่วจั่วหายไปแล้ว!” 


 


 


หูปู้กุยตกใจ รีบกวาดตามองหลายครั้ง จริงดังคาด ภายในปะรำพิธียาวนั้นว่างเปล่า อ๋องขวาทูเจวี๋ยไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ 


 


 


“หรือว่าจะไปเข้าส้วม?!” เหล่าหูเอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


ข้าตอบคำถามนี้ของเจ้าได้หรือ?! หลินหว่านหรงกลอกตาค้อนอย่างอับจนปัญญา เหล่าหูหัวเราะฮ่าๆ เกาหัวด้วยความกระดากใจ 


 


 


“ท่านย่ามัน! เหตุใดถึงไม่มีใครมามอบดอกไม้ให้ข้า? ผู้หญิงทูเจวี๋ยตาบอด!” เหล่าเกาเดินเข้ามาด้วยความเดือดดาล ออกแรงกวัดแกว่งดาบโค้งในมือหลายครั้ง 


 


 


ใช่แล้วล่ะ ทำไมถึงไม่มีคนมอบดอกไม้? คำพูดนี้ของเหล่าเกากลับเตือนสติหลินหว่านหรง ด้วยการแสดงออกของเกาฉิววันนี้ เมื่ออยู่ในสายตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยที่ยอมรับแต่ฝีมือไม่ยอมรับคนเหล่านั้น การที่ไม่มีใครมาชื่นชมถือเป็นเรื่องผิดปกติ เขารีบหันหน้ากลับไป เพียงมองก็รู้ปัญหาทันที 


 


 


บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเดิมทีกำลังชมการชิงแพะด้วยอารมณ์คึกคักสนุกสนานยามนี้กลับชะเง้อหน้าไปทางทิศใต้กันหมด กำลังเบิกตากว้างมองหาอะไรบางอย่าง ไม่มองเหล่าเกาซึ่งได้รับชัยชนะทางนี้แม้แต่แวบเดียว 


 


 


สายตาของทุกคนต่างมองไปทางทิศใต้ ทุ่งหญ้าอาลาซ่านซึ่งเมื่อครู่ยังอึกทึกคึกคักกลับสงบนิ่งยิ่งกว่าน้ำในทะเลสาบภายในชั่วพริบตา 


 


 


เมื่อถูสั่วจั่วหายไป สาวน้อยก็ไม่ร้องตะโกน ทุ่งหญ้ากลับกลายเป็นเงียบสงัดเช่นนี้ ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้น? พวกของเหล่าเกาสองคนต่างสบตากัน รู้สึกงุนงงสงสัยอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบจากผู้ใด  


 


 


ถ สถานที่อันห่างไกล ปรากฏจุดดำขนาดเล็กจุดหนึ่งบนทุ่งหญ้า เสียงฝีเท้าดังกุบกับกุบกับกระจ่างชัด กระแทกเข้าไปในจิตใจของทุกคน เรือนร่างค่อยๆ ตกกระทบม่านจักษุ นั่นกลับเป็นม้าน้อยสีขาวปลอดตัวหนึ่ง ส่ายหัวไปมา สีหน้าท่าทางไม่ธรรมดา 


 


 


มีสตรีเยาว์วัยนางหนึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า เรือนผมงามดั่งเมฆาแผ่สยายลงมาราวกับม่านน้ำตกสีนิล ผิวขาวกระจ่างใสราวสระสวรรค์และหยกงาม ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าโปร่งสีอ่อนเบาบาง เนตรงามกลอกเล็กน้อย ดวงตาประหนึ่งระลอกคลื่นฤดูสารท ภายในความดำขลับเปล่งประกายยังแฝงไว้ด้วยสีฟ้าอ่อนที่เกือบจะมองไม่เห็น ล้ำลึกทว่ากระจ่างใส ราวกับทะเลสาบน่ามู่ชั่วที่อยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า สะอาดบริสุทธิ์กระจ่างใส สายลมเอื่อยพัดผ้าคลุมหน้าปลิวเบาๆ มุมปากแดงชุ่มชื่นของนางหยักยกขึ้นเล็กน้อย ก่อเป็นรอยยิ้มซึ่งมีเส้นโค้งอันงดงาม ราวกับจันทร์เสี้ยวที่ลอยขึ้นตรงขอบฟ้า 


 


 


เหมือนที่เจอครั้งแรก! ในใจพลันบังเกิดประโยคนี้ขึ้นมา ทำให้หลินหว่านหรงต้องถอนใจอย่างเงียบงัน 


 


 


“เป็นอวี้เจีย!” หูปู้กุยกับเหล่าเกาตกใจจนอ้าปากค้าง เหล่าสาวน้อยทูเจวี๋ยต่างกรีดร้อง ขึ้นขี่อาชาขาว พุ่งไปยังทิศทางที่อวี้เจียยืนอยู่อย่างบ้าคลั่ง 


 


 


“ปู๊น!” 


 


 


“ปู๊น!” 


 


 


“ปู๊น!” 


 


 


แตรสัญญาณส่งเสียงยาวสามครั้ง ดังทุ้มหนักอยู่บนทุ่งหญ้า ผืนปฐพีสั่นสะเทือนเล็กน้อย เสียงฝีม้าไหลบ่าเข้ามาราวกับอสุนีบาต ใต้เมืองเค่อจือเอ่อร์ ฝุ่นดินคละคลุ้ง เหมือนมีทัพใหญ่นับพันนับหมื่นบุกเข้ามา ธงหมาป่าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนโบกสยายรับสายลม 


 


 


เกาฉิวใช้มือป้องดวงตาทอดสายมองออกไป พูดด้วยความตกใจขึ้นมาว่า “ทหารม้าชาวทูเจวี๋ย อีกทั้งยังมีทหารรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์อีกด้วย พวกมันมาทางนี้กันหมด นี่มันเรื่องอะไรกัน?!” 


 


 


ฝุ่นดินค่อยๆ กระจายสลายไป ทหารชั้นยอดชาวทูเจวี๋ยนับหมื่นยืนเรียงแถวหน้ากระดาน เดินเข้ามาอย่างแช่มช้า เมื่อเค่อจือเอ่อร์ที่อยู่ไกลออกไป เหล่ากองกำลังรักษาเมืองต่างกรูกันออกมาคุ้มกันอยู่เบื้องหลังพวกมัน คนเหล่านี้ต่างเป็นทหารม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ย เข้มงวดมีระเบียบวินัย สีหน้าท่าทางห้าวหาญชาญชัย ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีไอสังหารแผ่พุ่งปะทะเข้ามาแล้ว 


 


 


กึ่งกลางทหารสองกลุ่ม ม้าเหงื่อโลหิตซึ่งมีสีแดงตลอดทั้งร่างจำนวนสิบหกตัวกำลังลากรถม้าขนาดมหึมาให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างแช่มช้า บนรถม้าตั้งกระโจมผ้าม่านสูงลิ่วอยู่หลังหนึ่ง ปักหัวหมาป่าสีทองทั้งสี่ด้าน ลมโบกพัดผ้าม่าน รถม้าคั้นนั้นสงบนิ่งเงียบงัน ไม่รู้เช่นกันว่าผู้ที่นั่งอยู่ในนั้นคือใคร 


 


 


ทหารม้าทูเจวี๋ยค่อยๆ ล้อมอวี้เจียกับสาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านั้นอยู่กึ่งกลาง พวกมันหมุนกายกลับมาอย่างแช่มช้า รูปกระบวนเหมือนวงกลมขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปรอบด้าน กันทุกคนอยู่ข้างนอก ม่านโปร่งสีเหลืองทองแกว่งไกวเบาๆ ท่ามกลางสายลมอันสดชื่น เงาร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร่าเลือน สุดท้ายก็หายลับไปท่ามกลางหมู่คน แม้แต่สาวน้อยทูเจวี๋ยเหล่านั้นก็มองไม่เห็นแล้ว  


 


 


“ข่านทูเจวี๋ยเสด็จแล้ว!”  

 

 

 


ตอนที่ 594 - 1 คนแปลกหน้ากับท่านข่าน

 

ม่านสีเหลือง ปักหัวหมาป่าสีทอง มีม้าเหงื่อโลหิตสายเลือดบริสุทธิ์สิบหกตัวเป็นม้าลาก ผู้ทำเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ นอกจากเข่อข่านของชาวทูเจวี๋ยแล้วยังจะมีใครได้อีก?! 


 


 


ทหารชั้นยอดชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับหมื่นนายหยุดอยู่กลางทุ่งหญ้า ไม่ย่างก้าวฝีเท้า คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ รอบด้านต่างเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของชนเผ่านอกด่านกับเสียงหายใจดังฟืดฟาดไม่หยุดของม้าศึกเท่านั้น สายตาของชาวทูเจวี๋ยทุกคนต่างจ้องมองไปยังม่านกระโจมที่อยู่สูงนั้น ไม่กล้าคลาดสายตาไปแม้แต่ช่วงเสี้ยววินาที ดวงตาเต็มไปด้วยความเทิดทูน  


 


 


“พี่หู ต้าหัวไม่เคยมีใครเห็นเข่อข่านของทูเจวี๋ยจริงๆ หรือ” หลินหว่านหรงเอ่ยถามเสียงทุ้มหนัก  


 


 


หูปู้กุยส่งเสียงอืม ผงกศีรษะเบาๆ “ต้าหัวรบพุ่งกับทูเจวี๋ยมานานหลายปี ระหว่างนั้นเคยมีราชทูตชนเผ่านอกด่านมาเป็นทูตเยือนต้าหัวอยู่หลายคน พวกมันหยิ่งยโสไร้มารยาท กระทำแต่เรื่องเลวร้ายไม่รู้จักยำเกรง กลับคิดเพ้อเจ้อ อาศัยว่ามีกำลังทหารมากกว่ากลับมาขอแบ่งดินแดน เงินและเสบียงกับราชวงศ์ของเรา ทำให้ราชสำนักเราโมโหเดือดดาลยิ่งนัก ถูกต้องเราไล่กลับไปหลายครั้ง ส่วนข่านผีเจียของพวกมันขึ้นครองราชย์มายี่สิบกว่าปี เหตุการณ์เช่นนี้ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ชายแดนของสองแว่นแคว้นรบพุ่งกันไม่หยุด และถูกยึดเอาไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยความกริ้วไฉนเลยฝ่าบาทจะส่งราชทูตไปทูเจวี๋ยเพื่อเข้าพบข่านของพวกมันได้? ส่วนเค่อจือเอ่อร์เมืองหลวงของชนเผ่านอกด่านก็อยู่ลึกถึงใจกลางทุ่งหญ้า ห่างจากต้าหัวหลายพันลี้ นอกจากจะมีพ่อค้าต้าหัวกลุ่มสองกลุ่มที่ขวัญกล้าสักหน่อย เสี่ยงตายเข้าไปทำการค้าเป็นบางครั้งแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เคยเห็น ต่อให้มีพ่อค้าต้าหัวมาถึงจริง ด้วยความสัมพันธ์ของสองแว่นแคว้น พวกมันก็ทำได้แค่แอบหาเงินเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วจะมีผู้ใดเคยเห็นหน้าข่านผีเจียได้เล่าขอรับ!”  


 


 


นี่กลับเป็นเรื่องจริง ด้วยนิสัยรักหน้าตาของราชนิกุลต้าหัว จะมีใครบ้างหลังจากถูกลบหลู่สารพัดสารพันแล้วยังจะมาเยี่ยมคารวะเข่อข่านผู้ป่าเถื่อนคนหนึ่งได้อีกเล่า  


 


 


หลินหว่านหรงคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดเช่นนี้แล้ว เจ้าข่านผีเจียนั่นอย่างน้อยก็ต้องอายุสี่ห้าสิบปีแล้วสิ?!” 


 


 


“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ ครั้งแรกที่ข้าลงสนามรบ เคยทันตอนที่มันยกทัพออกรถด้วยตัวเอง ได้ยินว่าตอนนั้นมันเพิ่งอายุสามสิบปี เพียงแต่น่าเสียดายที่ศึกครานั้นพวกเราพ่ายแพ้ย่อยยับ โฉมหน้าของข่านของชนเผ่านอกด่านคนนี้ยังไม่ได้เห็น ก็ต้องพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้วขอรับ” หูปู้กุยส่ายหน้าด้วยความละอายใจ 


 


 


เหล่าหูเข้ากองทัพมายี่สิบกว่าปีแล้ว ส่วนอายุขัยของชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ได้ยืนยาว เมื่อคำนวณเช่นนี้เจ้าข่านผีเจียนั่นตอนนี้ก็คงต้องแก่ชราภาพมากแล้ว หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ พูดขึ้นมาทันที “พี่หู ท่านมั่นใจหรือไม่ว่าที่ยังดำรงตำแหน่งตอนนี้ยังเป็นข่านผีเจียอยู่?”  


 


 


“น่าจะใช่นะขอรับ นอกจากมันจะตายไปแล้ว…” หูปู้กุยพูด จากนั้นก็ตกใจอย่างยิ่งทันที “ท่านแม่ทัพ หรือว่าท่านจะสงสัยว่าข่านทูเจวี๋ยเปลี่ยนคนไปแล้ว?”  


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าคิดมาตลอดว่าเหตุใดเจ้าคังหนิงมาเค่อจือเอ่อร์นานขนาดนี้แล้ว แต่กลับไม่เคยได้พบข่านทูเจวี๋ยเลย? ด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูงของข่านผีเจียที่มีต่อต้าหัว มันไม่มีทางอยู่ดีไม่ว่าดีก็ละทิ้งหมากชั้นดีเช่นนี้ไปแน่ เรื่องนี้ออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง”  


 


 


แปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ ด้วย หูปู้กุยขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกับพูดว่า “ตามที่ข้าน้อยทราบมา ฤดูใบไม้ผลิปีก่อน ตอนที่ทูเจวี๋ยรุกรานครั้งใหญ่ ข่านผีเจียยังเคยมอบรางวัลให้ผู้กล้าแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านอยู่เลย ครั้นมาถึงฤดูใบไม้ร่วง การรบกำลังอยู่ในช่วงดุเดือด พวกมันได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่ากลับถอยกลับไป ว่ากันว่าเตรียมเสบียงไม่เพียงพอ ท่านจอมทัพหลี่ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน ทั้งยังเคยส่งหน่วยสอดแนมมาสืบข่าวโดยเฉพาะอีกด้วย เพียงแต่นับตั้งแต่ทุ่งหญ้าเป็นต้นไป ชนเผ่านอกด่านขอเพิ่มการระวังป้องกันเป็นชั้นๆ หน่วยสอดแนมวนอยู่ชายขอบทุ่งหญ้าอยู่รอบหนึ่งก็ไม่อาจหาสถานที่ที่จะทะลวงเข้าไปได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องถอยกลับมาขอรับ” 


 


 


“ปัญหาก็อยู่ตรงนี้” เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวช่วงนี้ หลินหว่านหรงก็จดจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ตอนที่เขากับเซียวชิงเสวียนพบกันครั้งแรกที่ริมทะเลสาบเสวียนอู่ สิ่งที่คุยกันก็คือเรื่องนี้ 


 


 


“ชนเผ่านอกด่านรบกับพวกเรามานานกี่ปีแล้ว? พูดได้ว่าพวกมันเตรียมบุกยึดจงหยวนอยู่ตลอดเวลา แล้วเหตุใดถึงทำเรื่องผิดพลาดที่แสนจะเล็กน้อยยิ่งนักอย่างเตรียมการเตรียมหญ้าเสบียงไม่เพียงพอได้ พวกมันทำไมถึงต้องถอยกลับไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วย?”  


 


 


หูปู้กุยดวงตากระจ่างวูบ พูดด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “หรือจะเป็นอย่างที่ท่านแม่ทัพคาดไว้จริงๆ ฤดูหนาวของปีที่แล้วข่านผีเจียเกิดเหตุไม่คาดฝัน ดังนั้นชนเผ่านอกด่านจึงไม่อาจไม่ถอยทัพ?! เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราฉวยโอกาสโจมตีย้อนกลับ พวกมันจึงจงใจปิดบังข่าวสารนี้กับโลกภายนอก?! สวรรค์ หากเป็นเช่นนี้จริง ไม่ใช่ว่าต้าหัวเราพบโอกาสอันดียิ่งซึ่งพันปีจะได้พานพบสักครั้งหรอกหรือ?!” 


 


 


“จะใช่หรือไม่ใช่ อีกประเดี๋ยวก็จะเปิดเผยแล้ว” หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หางตาไปอยู่บนธงหมาป่าสีทองซึ่งกำลังพลิ้วไหวอยู่ไกลๆ ณ สถานที่แห่งนั้นม่านกระโจมสีทองโบกพลิ้วเบาๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยเคลื่อนที่อย่างแช่มช้า รถม้าซึ่งบรรทุกข่านทูเจวี๋ยค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


ตอนนี้ถึงเพิ่งจะมองเห็นอย่างชัดเจน ผู้ที่เป็นผู้นำทหารม้าทูเจวี๋ยก็คือถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยซึ่งหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อครู่นั่นเอง มันขี่ม้าเหงื่อโลหิต สวมชุดเกราะทั้งร่าง ดวงตาปราศจากความผิดหวังที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ แววตากระหยิ่มยิ้มย่อง กวาดสายตามองไปทั่วทุกสารทิศ  


 


 


“ถวายบังคมท่านข่าน!” 


 


 


“ขอท่านข่านกับเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงกัน!”  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนกรูไปข้างหน้า ต่างหมอบกราบกรานอยู่กับพื้นด้วยความเคารพและจริงใจ เปล่งเสียงแซ่ซ้องสาธุการดังลั่นอยู่ไกลๆ ขวบวนของเขอข่านเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทุกแห่งที่ไปถึงทุกคนต่างหมอบกราบกรานอยู่กับพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมอง พวกมันขยับร่างกายไม่หยุดมาจากทิศทางที่ต่างกัน กำลังแสดงการหมอบกราบจากใจจริงต่อเข่อข่าน 


 


 


นับตั้งแต่สถาปนาแคว้นข่านทูเจวี๋ย การรวมตัวของชนเผ่าและการก่อสร้างเมืองหลวงค่อยๆ ก่อตัวจนมีเป็นระบบจรรยามารยาทและระบบขุนนาง มีลักษณะของจักรวรรดิขั้นต้น ความยิ่งใหญ่นี้ไม่ด้อยกว่าฮ่องเต้ต้าหัวมากนัก 


 


 


การมาของข่านทูเจวี๋ยแทบจะดึงดูดสายตาของทุกคน ทหารม้าที่ลู่ตงจ้านทิ้งไว้รวมทั้งทหารรักษาเมืองเค่อจือเอ่อร์ออกมาเคลื่อนไหวจนหมดสิ้น คุ้มกันความปลอดภัยของมันอย่างเต็มที่   


 


 


ภายในกระบวนอันยิ่งใหญ่อลังการนั้น ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็มองไม่เห็นเงาร่างของอวี้เจีย แม้แต่เราสาวน้อยที่มาเลือกคู่ก็ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ที่ใดแล้ว  


 


 


ขบวนค่อยๆ หยุดอยู่ตรงกึ่งกลางทุ่งหญ้า ปะรำพิธียาวซึ่งสร้างจากท่อนซุงกางคลุมด้วยผ้าม่านโปร่งสีเหลือง ธงหมาป่าสีเหลืองปักอยู่ทั้งสี่ด้าน ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนหันร่างไปทางทิศตะวันออกของทุ่งหญ้า คุ้มกันม้าเหงื่อโลหิตสิบหกตัวอยู่กึ่งกลางอย่างแน่นหนา  


 


 


ถูสั่วจั่วผู้งามสง่าควบม้าห้อตะบึงเข้าไปกลางฝูงชน ทันใดนั้นก็ใช้บังเ**ยนดึงหัวม้าขึ้น อาชาพ่วงพีตัวนั้นส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมา ขาหน้าตะกุยอากาศ หมุนวนร่างกาย หันหน้าตรงไปยังขบวนของเขอข่าน อยู่ห่างราวห้าสิบจั้งได้  


 


 


อ๋องขวาพลิกตัวลงจากม้า มือซ้ายจับประคองดาบ มือขวาแตะไว้ที่หน้าอกซ้าย คุกเข่าลงข้างเดียว เสียงอันห้าวหาญทรงพลังดังกึกก้องไปทั่วทุ่งหญ้าภายในชั่วพริบตา “อ๋องขวาถูสั่วจั่วถวายบังคมท่านข่าน ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงคู่พระองค์!”  


 


 


“ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงคู่ท่านข่าน!” เหล่าราษฎรทูเจวี๋ยที่อยู่รอบด้านหมอบด้วยความเคารพนบนอบอยู่กับพื้นตั้งแต่แรก แสดงการคารวะต่อเขอข่านอยู่ข้างหลังถูสั่วจั่ว  


 


 


คำพูดเหล่านี้ย่อมมีหูปู้กุยเป็นผู้แปล หลินหว่านหรงไม่รู้ภาษาทูเจวี๋ยแม้แต่น้อย  


 


 


อ๋องขวากับชาวทูเจวี๋ยทุกคนต่างคุกเข่าอยู่กับพื้น ทุ่งหญ้าเงียบสงัดดั่งวารี แม้แต่เสียงเข็มตกก็ได้ยินอย่างชัดเจน  


 


 


ต่อไปน่าจะเป็นข่านทูเจวี๋ยพูดแล้วกระมัง แล้วเยวี่ยหยาเอ๋อร์เล่า นางไปอยู่ที่ไหนกัน? หลินหว่านหรงใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที กลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างยากจะบรรยายได้ เมื่อหันกลับไปดูอีกครั้ง สีหน้าของทุกคนก็ยังตึงเครียดยิ่งกว่าเขาเสียอีก คิดว่าตอนนี้ความรู้สึกของทุกคนคงเหมือนกันกระมัง  


 


 


“อ๋องขวา เชื้อพระวงศ์ทุกท่าน ราษฎรทูเจวี๋ยทุกคน รีบลุกขึ้นเถิด” ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงเด็กน้อยเสียงหนึ่งราวกับมาจากสรวงสวรรค์ ดังกระจ่างชัดเสนาะหู กรีดความเงียบสงัดบนทุ่งหญ้า ก้องอยู่ข้างใบหูของทุกคน 


 


 


นี่คือข่านทูเจวี๋ย?! หลินหว่านหรงเบิกสองตาโพลงด้วยคาวมตกตะลึง เกาฉิวกับหูปู้กุยก็ยิ่งตกใจจนหุบปากไม่ลง ฟังจากเสียงนี้เห็นชัดว่าเป็นเด็กน้อยอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง ไหนเลยจะเป็นข่านผีเจียอะไรนั่นได้ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านพูดไว้ไม่มีผิด ทูเจวี๋ยจะต้องเกิดเหตุไม่คาดฝันแน่นอน เมื่อคำนวณจากระยะเวลา น่าจะตั้งแต่ต้นฤดูหนาวปีที่แล้ว ท่านย่ามัน! ข่านผีเจียต้องตายแล้วแน่นอน เจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ปิดข่าว ปิดบังพวกเรามาตลอด” หูปู้กุยดึงแขนเสื้อเขา ปากสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น  


 


 


หลินหว่านหรงเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เค่อจือเอ่อร์กับเมืองหลวงต้าหัวอยู่กันไกลลิบลับ ไปมาอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือน รวมกับชนเผ่านอกด่านที่จงใจปิดข่าว ราษฎรทูเจวี๋ยธรรมดาทั่วไปก็ยากจะรู้ความจริงได้ ต้าหัวถูกปิดบังมาหลายเดือนจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร  


 


 


สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือแผนการอันล้ำลึกของชนเผ่านอกด่าน  


 


 


หากคาดไม่ผิด ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วข่านผีเจียก็น่าจะล้มป่วยอย่างหนัก สุดท้ายจึงทำให้ชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบอย่างยิ่งต้องถอยทัพกลับไปด้วยความจนใจ บางทีการล้มป่วยอย่างหนักของข่านผีเจียก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ทุกสิ่งที่เกิดหลังจากนั้นต่างเป็นสิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยวางแผนเอาไว้เป็นอย่างดี 


 


 


หาเหตุผลหลอกเพื่อถอยทัพ ป้องกันการรุกคืบและการสืบข่าวของต้าหัว จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อนลู่ตงจ้านก็มาต้าหัวเพื่อสู่ขอให้ข่านผีเจียราวกับมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงอีก นี่ล้วนเป็นแผนการที่คิดมาอย่างดี 


 


 


รู้ทั้งรู้ว่าการสู่ขอเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ลู่ตงจ้านก็ยอมทำโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การมาของมันไม่มีอะไรมากกว่าเป้าหมายสองประการ หนึ่งคือใช้การสู่ขอของข่านผีเจียเพื่อสืบว่าต้าหัวรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทูเจวี๋ยหรือไม่ ประการที่สองก็คือสืบข่าวทางการทหารของต้าหัว เพื่อเตรียมตัวออกรบในฤดูใบไม้ผลิของปีนี้  


 


 


ส่วนการที่ครึ่งปีต่อมาชาวทูเจวี๋ยกล้าบุกเฮ่อหลานซานอย่างใหญ่โตนั้น สิ่งนี้พิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง ความสัมพันธ์ภายในทูเจวี๋ยถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ก็เป็นพินัยกรรมก่อนจากไปของข่านผีเจีย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต้าหัวก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งไปแล้ว ส่วนชาวทูเจวี๋ยในตอนนี้ก็เดินออกจากความสับสนวุ่นวาย แม้ต้าหัวตะรู้ว่าข่านผีเจียเกิดเรื่อง แต่ก็ไม่อาจชดเชยได้อีกต่อไป  


 


 


ชนเผ่านอกด่านถือว่าวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน แต่ละอย่างล้วนคำนวณอย่างดี ส่วนเบื้องหลังของพวกมันจะต้องมีกุนซือที่ฉลาดปราดเปรื่องอยู่แน่ เจ้ากุนซือคนนี้เป็นใครกันแน่นะ?!  

 

 


ตอนที่ 594 - 2 คนแปลกหน้ากับท่านข่าน

 

เบื้องหน้าผุดใบหน้าเปื้อนยิ้มของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไร้สาเหตุ งดงามล่องลอย ไม่อาจจับต้องได้ 


 


 


“ที่ทูเจวี๋ยของเรา ข้าก็ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดมากที่สุด” คำพูดของลู่ตงจ้านยังคงก้องอยู่ข้างใบหู เขาเพิ่งเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของประโยคนี้ สวรรค์นั้นยุติธรรม ผู้ใดผู้หนึ่งเสพสุขแต่เพียงผู้เดียวโดยเฉพาะ แต่ละชนชาติการล้วนมีผู้ฉลาดหลักแหลมและมีความสามารถจำนวนมาก ต้าหัวเป็นเช่นนี้ ทูเจวี๋ยก็เป็นเช่นนี้  


 


 


ข่านคนใหม่ของทูเจวี๋ยกลับเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง! พวกเขากลับกำลังรบกับเด็กคนหนึ่ง?! นี่มันช่างเป็นข่าวที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง ช่วงเวลาที่เข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ เมื่อนำทุกเรื่องมารวมกันก็ยังไม่น่าตื่นเต้นตึงเครียดเท่ากับวันนี้ เหล่าเกาเลียริมฝีปาก ลำคอแห้งผาก รีบกุมดาบโค้งในมือแน่น “น้องหลิน ตอนนี้จะทำเช่นไร?!”  


 


 


“ทำเช่นไรอะไรกัน?!” หลินหว่านหรงตอบไม่เร็วไม่ช้า “ยืนดูความเปลี่ยนแปลงอย่างสงบนิ่งก็พอ” 


 


 


“แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์กลับมาแล้ว ด้วยความฉลาดของนาง นางต้องรู้ว่าพวกเราซ่อนตัวอยู่ที่…”  


 


 


เกาฉิวพูดไม่ทันจบก็ถูกหลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทางเรียบเฉยเพื่อตัดบท เขาเงียบกันอยู่นาน จากนั้นจึงถอนหายใจเล็กน้อย “วางใจเถอะ อวี้เจียตอนนี้ไม่รู้จักท่าน และไม่รู้จักข้า นางเป็นแค่คนแปลกหน้าซึ่งปราศจากความเกี่ยวข้องกับพวกเราแม้แต่น้อยคนหนึ่งเท่านั้น พี่เกา ท่านจะกลัวคนแปลกหน้าคนหนึ่งหรือ?!”  


 


 


คนแปลกหน้า?! พวกของหูปู้กุยสองคนต่างตกใจเป็นล้นพ้น เรื่องแปลกในวันนี้เหตุใดถึงมีมากมายนัก ก่อนอื่นคือข่านทูเจวี๋ยกลายเป็นเด็กน้อย จากนั้นก็เป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งกลายเป็นคนแปลกหน้าอีก เรื่องที่พวกเขาเจอในชาตินี้ยังไม่พิสดารเท่ากับที่เจอในวันนี้เลย!  


 


 


“ท่านแม่ทัพ นะ…นี่มันเรื่องอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยเกาหัวแกรกๆ เอ่ยถามเสียงเบา 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเบาๆ สายตาไปอยู่ที่ม่านสีเหลืองนั้น เงียบงันไม่เอ่ยวาจา เหล่าเกาออกแรงถลึงตาใส่หูปู้กุยคราหนึ่ง แยกเขี้ยวอย่างดุดัน ทำปากเป็นสองคำออกมาว่า เจ้าโง่!  


 


 


หลังจากเขอข่านเอ่ยปาก ถูสั่วจั่วก็ยืนขึ้น ชาวทูเจวี๋ยโดยรอบลุกขึ้นตามอย่างรวดเร็วเช่นกัน ยืนด้วยคาวมเคารพนบนอบอยู่ด้านข้าง 


 


 


ถูสั่วจั่วกำกำปั้นข้างหนึ่งไว้ตรงหน้าอกแล้วพูดว่า “ท่านข่าน การแข่งขันชิงแพะวันนี้แข่งไปแล้วสี่รอบ มีดินแดนผู้กล้าสี่แห่งที่ได้รับชัยชนะ บุคคลเหล่านี้ล้วนเป็นราษฎรซึ่งจงรักภักดีต่อพระองค์…พี่น้องทั้งหลายอยู่ที่ใด?! รีบแสดงความยินดีต่อท่านข่านเร็ว!” 


 


 


“เฮ! เฮ!” เหล่าผู้กล้าซึ่งได้รับชัยชนะจากการแข่งขันต่างโบกมือด้วยความตื่นเต้นยินดี แสดงการทักทายต่อเข่อข่านและทุกคน พวกของเหล่าหูด้วยควาจำเป็นบีบบังคับจึงต้องโบกมือสองสามครั้งด้วยความจนใจ 


 


 


“ดี!” เสียงอ่อนเยาว์นั้นลอยเข้ามา “ประทานแพะให้ดินแดนละห้าสิบตัว” 


 


 


“ขอบพระทัยท่านข่าน” ถูสั่วจั่วค้อมกายด้วยความเคารพ “เชิญท่านข่านเสด็จขึ้นเวที” 


 


 


ผ้าม่านโปร่งสีเหลืองทองขยับวูบไหวเล็กน้อย คล้ายมีเงาคนเข้าไปในปะรำพิธี รางเลือน มองเห็นไม่ชัด อ๋องขวาใบหน้าประดับรอยยิ้ม จ้องมองด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น อารมณ์ต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง 


 


 


เป็นท่านข่านน้อยคนนี้ที่เอ่ยวาจามาตลอด กลับไม่ได้ยินเสียงของอวี้เจีย ไม่รู้ว่านางอยู่ที่ใด และยิ่งไม่รู้ว่านางมีความสัมพันธ์อะไรกับข่านน้อยคนนี้อีกด้วย แม่ลูก? อย่ามาล้อเล่นน่า หากอวี้เจียเป็นแม่ของข่านน้อยจริง อย่างนั้นข้าก็เป็นท่านพ่อของมันแล้วล่ะ เลี้ยงเด็กไว้เป็นสามี? ชาวทูเจวี๋ยไม่น่าจะชอบเรื่องนี้นะ เดาไปเดามาก็รู้สึกเลอะเทอะ ดังนั้นจึงคร้านที่จะสนใจทันที ยืนดูอย่างเงียบๆ  


 


 


ข่านทูเจวี๋ยขึ้นเวทีไปแล้ว เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยทั้งสี่ด้านจึงใช้ผ้าม่านสีเหลืองปิดบังเอาไว้ มองไม่เห็นผู้ที่อยู่ข้างใน  


 


 


เสียงหัวเราะร่วนเบาๆ ลอยเข้ามา บรรดาสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่กำลังรายล้อมอวี้เจียเหล่านั้นก็เดินออกมาจากหลังผ้าม่าน แต่ละคนต่างอารมณ์คึกคักสนุกสนาน มีบางคนที่ใบหน้ายังแต่งแต้มบางๆ เพิ่มพูนความงามขึ้นมาอีกหลายส่วน  


 


 


ถูสั่วจั่วเบิกตาโต มองประเมินทีละคน มองอยู่ครึ่งค่อนวันกลับไม่เห็นเงาผู้ที่ตนต้องการพบ ใบหน้ามันปรากฏความผิดหวังเล็กน้อย มองไปหลังม่านอยู่หลายครา จากนั้นก็พูดเสียงดังออกมาว่า “ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถามท่านข่าน วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?!” 


 


 


คำถามนี้พอเอ่ยออกไป ทั้งสนามก็ต่างเงียบสงัด เหล่าชนเผ่านอกด่านต่างแย่งกันชะเง้อมองไปข้างหน้า ดวงตาฉายแววเป็นห่วง 


 


 


หลังผ้าม่านเงียบสนิท ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่มีใครตอบ 


 


 


“ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถามท่านข่าน วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?!” อ๋องขวาทูเจวี๋ยรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว เชิดหน้าแอ่นอก เอ่ยถามเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


ที่แท้ในหมู่ชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ได้แน่นแฟ้น มิน่าเล่าเจ้าคังหนิงถึงฉวยโอกาสยุแยงได้! หลินหว่านหรงยิ้มหยันไม่เอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าเจ้าถูสั่วจั่วคนนี้กำลังบีบบังคับให้มอบอำนาจ แม้ไม่รู้ว่าอวี้เจียมีความสัมพันธ์อันใดกับข่านน้อยคนนี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดอวี้เจียถึงไม่ออกมาเลือกคู่ แต่หากต้องให้เขาเลือกระหว่างอวี้เจียกับถูสั่วจั่ว คนโง่ก็ยังรู้ว่าต้องเลือกฝ่ายไหนถึงจะดี 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบอ้าปากกว้าง มองหลังผ้าม่านโปร่งสีเหลืองทองนั้นตาปริบๆ เห็นได้ชัดว่ากำลังรอผลที่จะเกิดขึ้นอยู่ 


 


 


หลังจากถูสั่วจั่วถามต่อเนื่องสองครั้ง ไม่เห็นมีผู้ใดตอบ ขณะกำลังจะเยื้องย่างเข้าไปอีก กลับได้ยินเสียงขวับคราหนึ่ง ผ้าม่านโปร่งสีเหลืองนั้นลูกเลิกขึ้นครึ่งหนึ่ง เสียงเด็กน้อยกระจ่างใสแว่วออกมา “อ๋องขวา นี่เจ้ากำลังตั้งคำถามกับท่านข่านเช่นข้าหรือ?!” 


 


 


ในที่สุดก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของข่านน้อยทูเจวี๋ยคนนี้แล้ว นี่เป็นเด็กชายอายุราวห้าหกขวบคนหนึ่ง คิ้วหนาตาโต ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย สวมชุดชนเผ่านอกด่านสีเหลืองทองทั้งร่าง สะพายดาบโค้งที่เอว กำลังขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามอ๋องขวา 


 


 


“เจ้าเด็กนี่แข็งแรงกำยำ กลับมีบุคลิกของข้าสมัยก่อนอยู่บ้าง” เหล่าเกาพูดพึมพำกับตนเอง 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยชิงหมอบกราบกรานกับพื้น แสดงความเคารพต่อเข่อข่าน ถูสั่วจั่วกลับปราศจากความเกรงกลัว มันส่ายหน้าพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ท่านข่านน้อย ถูสั่วจั่วขอบังอาจทูลถาม วันนี้ยังมีสตรีอื่นที่จะเข้าร่วมการเลือกคู่อีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” 


 


 


เจ้าถูสั่วจั่วคนนี้ช่างบังอาจเสียจริง กลับกล้าเรียกเจ้าเด็กน้อยนั่นว่าท่านข่านน้อยต่อหน้าผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ นี่ถ้าไม่ใช่การรังแกคนอายุน้อยกว่าแล้วจะเรียกว่าอะไรกัน? ขุนนางทรราชต้นตำรับของแท้! หลินหว่านหรงแค่นเสียง 


 


 


เมื่อมองข่านน้อยผู้นั้นอีกครา แม้สีหน้าจะสงบเยือกเย็น การเอ่ยวาจาก็ปราศจากพิรุธ แต่สุดท้ายแล้วอายุก็ยังน้อยเกินไป เมื่อถูกถูสั่วจั่วไล่บี้ถามก็นั่งถอยหลังโดยไม่รู้ตัว สายตาเผยแววหวาดกลัวอยู่หลายส่วน 


 


 


มือน้อยข้างหนึ่งยื่นออกมาจากจากที่สูงทางด้านหลังแล้วจับมือข่านน้อยเอาไว้บริเวณข้อมือขาวสะอาดเผยชายแขนเสื้อสีเหลืองทองเล็กน้อย สีของอาภรณ์นั้นกลับยังสว่างเจิดจ้ากว่าข่านน้อยอยู่หลายส่วน 


 


 


“ถูสั่วจั่ว นี่เจ้ากำลังพูดกับใคร?!” เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งลอยล่องเข้ามาไม่เร็วไม่ช้า เห็นๆ อยู่ว่าเสียงนั้นไม่ดัง ทว่ากลับกรอกเข้าใบหูทุกคนที่อยู่ในทุ่งหญ้าอย่างชัดเจน  


 


 


“อวี้เจีย!” เหล่าเกาตกใจจนแทบกระเด้งตัวลอย รีบปิดปากทันที แอบมองน้องหลินคราหนึ่ง หลินหว่านหรงสายตาเรียบเฉย สีหน้าสงบนิ่ง คล้ายไม่ได้ยินคำพูดเขา 


 


 


ฝูงชนระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี แม้จะยังไม่เห็นโฉมหน้าอวี้เจีย แต่กลับมีควนจำนวนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลงไปด้วยความเคารพ ยังรุนแรงกว่าการกราบกรานให้ข่านน้อยเมื่อครู่มากนัก 


 


 


ถูสั่วจั่วหมอบกราบลงกับพื้น รีบแสดงการคารวะ เคารพนบนอบกว่าเมื่อครู่เป็นร้อยเท่า มันมีสีหน้าสงบนิ่ง ปราศจากความหยิ่งผยองเมื่อครู่ แฝงความตื่นเต้นยินดีออกมาให้เห็นรางๆ  


 


 


หรือว่าสถานะของอวี้เจียยังสูงส่งกว่าข่านน้อยอีก?! หลินหว่านหรงตกใจจนไม่อาจสรรหาถ้อยคำมาบรรยาย นึกถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันขึ้นมาทันที ใบหน้าที่บางครั้งก็หนักอึ้งบางครั้งก็ยินดี ภายในใจเขามักบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยายได้บางอย่างอยู่รางๆ  


 


 


ครั้นนึกถึงเข็มของอันปี้หรูก็อดทอดถอนใจไม่ได้ สายตาของพี่สาวอันช่างเผ็ดร้อนเหลือแสนเสียจริง 


 


 


“รีบดูเร็ว อวี้เจียจะออกมาแล้ว!” เกาฉิวชี้ไปข้างหน้า ตะโกนด้วยความตกใจ 


 


 


ผ้าม่านค่อยๆ ถูกดึงขึ้น เวทีสูงนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนจนหมดสิ้น  


 


 


พรมสีแดงขนาดยักษ์ปูอยู่กึ่งกลาง กลางพรมตั้งบัลลังก์ทูเจวี๋ยขนาดกว้างและสูงใหญ่ไว้ บนบัลลังก์ปูหนังเสือสีทองหลายผืน กว้างใหญ่เหลือคนา สีทองระยิบระยับจับตา สิ่งที่น่าแปลกก็คือบัลลังก์นั่นกลับแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นที่อยู่ด้านบนสูงกว่าด้านล่างหนึ่งข้อเท้า 


 


 


ข่านน้อยนั่งอยู่ข้างล่าง ที่นั่งประมุขที่อยู่ด้านบนกลับมีสตรีผู้งดงามกำลังนั่งอย่างสง่างามนางหนึ่ง 


 


 


ยามนี้นางเอาผ้าคลุมหน้าออกไปแล้ว ผิวขาวกระจ่างใสราวกับบัวหิมะเทียนซาน โครงหน้าอันงดงามทำให้ใบหน้าด้านข้างของนางเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย 


 


 


เมื่อมองใบหน้าด้านตรง ผมงามดั่งเมฆาเกล้าขึ้นสูง ศีรษะรัดแถบฉลุลายสีทองอย่างแน่นหนา พู่ระย้าสองสายแกว่งไกวเบาๆ สูงศักดิ์สง่างาม ดั้งจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากสีชาดหยักยกเล็กน้อย กอปรด้วยรอยยิ้มที่เหมือนมีเหมือนไม่มี เฉกเช่นนิสัยดื้อดึงไม่ยอมคนของนาง ดวงตาล้ำลึกดั่งวารียามฤดูสารท ภายในความดำขลับแฝงสีฟ้าอ่อนรางๆ สาดประกายเย็นเยียบเล็กน้อย  


 


 


ใบหน้าของนางผัดแป้งสีทองบางๆ งามยั่วยวนและมีเอกลักษณ์เฉพาะ เปล่งประกายเจิดจรัสใต้แสงตะวัน คิ้วบางทั้งสองข้างทาสีเข้มบริเวณหางตาแล้วออกแรงปัดโค้งขึ้น ประหนึ่งดาบโค้งที่ออกจากฝัก เย็นเยียบมากบารมีโดยปราศจากข้อกังขา 


 


 


ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านยาวไปจนถึงสองข้างบัลลังก์ แผ่สยายราวกับเมฆา เจิดจรัสยิ่งกว่าดวงตะวัน 


 


 


หูปู้กุยถอนหายใจพร้อมกล่าวพึมพำ “เป็นอวี้เจีย เป็นอวี้เจียจริงด้วย! นางยังนั่งสูงกว่าข่านน้อยเสียอีก!” 


 


 


อวี้เจียใบหน้าประดับรอยยิ้ม มือขวากุมดาบทอง มือซ้ายจับมือของข่านน้อยเอาไว้ ทั้งสองค่อยๆ ยืนขึ้น  


 


 


“เฮ!” ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่โดยรอบกรูเข้าไปราวกับบ้าคลั่ง พยายามร้องตะโกนอย่างเอาเป็นเอาตาย คุกเข่าหมอบกราบกรานอยู่บนพื้นหญ้าใต้เท้าคนทั้งสองรอบด้านมีแต่ฝูงชนอันบ้าคลั่ง เสียงร้องเรียกอันบ้าคลั่ง ทั้งทุ่งหญ้าเหมือนน้ำในหม้อที่ต้มจนเดือดพล่าน 


 


 


“บ้าไปแล้ว บ้ากันหมดแล้ว!” เหล่าเกาส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


หูปู้กุยสีหน้าเหม่อลอย เบิกตาโตจนเท่าไข่ห่าน ปากบัดเดี๋ยวอ้าบัดเดี๋ยวหุบ พูดพึมพำอะไรบางอย่าง 


 


 


รอบด้านต่างเป็นเสียงโห่ร้อง ดังจนหูแทบหนวก คำพูดของชนเผ่านอกด่านหลินหว่านหรงฟังไม่เข้าใจแม้แต่ประโยคเดียว ดังนั้นจึงออกแรงตบร่างเหล่าหูคราหนึ่งพร้อมเอ่ยถามเสียงดัง “พี่หู พวกมันตะโกนเรียกอวี้เจียว่าอะไร?!” 


 


 


หูปู้กุยหน้าซีดเผือด ส่ายหน้าอย่างแรง พูดพึมพำออกมาว่า “ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเชื่อ พวกมันเรียกนางว่า…ท่านข่านใหญ่!”  

 

 


ตอนที่ 595 - 1 ใกล้แค่คืบ

 

“ท่านข่านใหญ่?!” 


 


 


คำพูดนี้พอหลุดออกมา ไม่ใช่แค่เกาฉิวที่ตกใจจนอ้าปากกว้าง แม้แต่หลินหว่านหรงเองก็ตาโตอ้าปากค้างด้วยเช่นกัน อวี้เจียกลับเป็นข่านใหญ่ของชาวทูเจวี๋ย?! นี่คงไม่ได้ล้อเล่นกันหรอกนะ! 


 


 


สถานะของอวี้เจีย เขาคิดถึงความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วน องค์หญิง พระชายา กระทั่งว่าเป็นแม่มดสาวผู้ลี้ลับมากที่สุดบนทุ่งหญ้า ความเป็นไปได้ทั้งหลายต่างคิดมาหมดแล้ว มีแค่ไม่ได้นำนางไปข้องแวะกับเขอข่านเลย บนทุ่งหญ้าอาลาซ่านซึ่งเทิดทูนพลังในการสู้รบ อำนาจของบุรุษเป็นใหญ่ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้งดงามกลับเป็นท่านข่านของชาวทูเจวี๋ย นี่ช่างเหมือนพระเจ้ากำลังล้อเขาเล่นอย่างรุนแรงเลยจริงๆ 


 


 


“เหล่าหู เจ้าไม่ได้ฟังผิดหรอกนะ?” เกาฉิวไม่เชื่อ ลากหูปู้กุยมาถามอีกครั้ง 


 


 


หูปู้กุยส่ายหน้ายิ้มขื่น ชี้ไปข้างหน้าอย่างเร็วรี่ “ข้าฟังผิดได้หรือ? เจ้าลองดูการกราบกรานที่ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นทำกับนางสิ หากไม่ใช่ข่านแล้วใครจะมีเกียรติเท่ากับนางเช่นนี้ได้อีก?”  


 


 


เบื้องหน้าแน่นขนัดไปหมด ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดต่างหมอบยาวด้วยความเคารพนบนอบอยู่กับพื้น ปากท่องถ้อยคำบางอย่าง กำลังโขกศีรษะให้อวี้เจีย 


 


 


“บางทีคืนนี้เจ้าอาจทำความดีโดยไม่เจตนา แต่ก็ต้องมีการตอบแทน อวี้เจียสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า หลังจากทูเจวี๋ยเราบุกโจมตีเมืองต้าหัวของพวกเจ้าจะทำแค่ขับไล่ ไม่เห็นฆ่าสังหารเด็กและสตรีต้าหัวอีก นี่คือการตอบแทนที่มอบให้เจ้า”  


 


 


ตอนบุกโจมตีดินแดนต๋าหลานจา คำพูดที่อวี้เจียกล่าวด้วยความหยิ่งผยองนี้ยังคงดังก้องอยู่ข้างใบหู  


 


 


ดาบทองอันงดงาม ลายสักหมาป่าอันลี้ลับ คำใบ้ที่เหมือนจะเปิดเผยตามไม่เปิดเผยของลู่ตงจ้าน เรื่องราวในอดีตแต่ละฉากแต่ละตอนผุดขึ้นตรงหน้าเขาราวกับภาพยนตร์ เชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน สถานะของอวี้เจียเปิดเผยตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่เขาไม่เคยคิดถึงด้านนี้มาก่อนเลย ความคิดที่ยึดติดมันช่างทำร้ายคนเสียจริง! หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างเงียบงัน  


 


 


เหล่าเกาส่ายหน้าอย่างมีอคติ “ข้ายังไม่เชื่อ บนทุ่งหญ้ามีผู้กล้าตั้งมากมายขนาดนั้น ถูสั่วจั่ว ปาเต๋อหลู่ ลู่ตงจ้าน แต่ละคนก็หาใช่ตะเกียงที่ขาดน้ำมัน แล้วเหตุใดจึงให้อวี้เจียเป็นข่านได้?!” 


 


 


เรื่องนี้เหล่าหูก็ไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็หัวเราะพร้อมพูดออกมาทันที “พี่เกา อย่ามองแค่ตัวของอวี้เจียเท่านั้น ท่านอย่าลืมว่าข้างกายนางยังมีข่านน้อยอีก”  


 


 


เกาฉิวเบ้ปาก “ข่านน้อย ข่านน้อยทำไม?! มันยังไม่ต้องฟังข่านใหญ่อีกหรือ! หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก กฎเกณฑ์ของชนเผ่านอกด่านช่างเลอะเทอะเสียจริง” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ข้ากลับมีความเห็นตรงข้ามกับท่าน พวกมันแต่งตั้งตำแหน่งข่านหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่นี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเพื่อป้องกันความสับสนวุ่นวาย”  


 


 


ป้องกันความสับสนวุ่นวาย? หูปู้กุยกับเกาฉิวต่างงุนงง 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “หากข้าเดาไม่ผิด ข่านน้อยอะไรที่ว่าคนนี้น่าจะเป็นทายาทของข่านผีเจียที่ตายไป ลูกชายสืบทอดกิจการจากบิดา สืบทอดตำแหน่งผู้ปกครอง แต่เดิมก็เป็นหลักแห่งฟ้าดินอยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีคุณสมบัติมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อดูอายุของข่านน้อยก็เกิดปัญหาทันที เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่ง ปกครองแคว้นอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรแคว้นหนึ่ง ทั้งยังต้องเปิดศึกกับต้าหัวอีก นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะอันยิ่งใหญ่เสียจริง” 


 


 


มีปัญหาจริงด้วย หูปู้กุยอดผงกศีรษะไม่ได้ “ขุนนางสูงวัยเจ้าผู้ปกครองเด็กน้อย ในประวัติศาสตร์ของแต่ละราชวงศ์ต่างก็เคยมีมาก่อน สิ่งที่สำคัญมากที่สุดนั่นก็คือต้องเลือกขุนนางใหญ่มาช่วยปกครองบ้านเมืองสนับสนุนบุตรกำพร้าก่อนที่ตนเองจะจากไป ข่านผีเจียเป็นถึงเจ้าผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีกำลังรบอันกล้าแกร่งผู้หนึ่ง ก่อนมอบตำแหน่งไม่มีทางไม่พิจารณาถึงเรื่องพวกนี้แน่”  


 


 


“ขุนนางใหญ่มาช่วยปกครองบ้านเมืองสนับสนุนบุตรกำพร้าอะไรที่ว่า อันที่จริงพวกเราหลับตาก็ยังนับออกมาได้” หลินหว่านหรงงอนิ้วนับ พูดออกมาทีละคน “ปาเต๋อหลู่ ถูสั่วจั่ว ลู่ตงจ้าน หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาหนึ่งราชครู สองสามคนนี้มีอำนาจกล้าแกร่งมากที่สุดในทูเจวี๋ย ปราศจากพวกมัน ไม่ว่าผู้ใดมาช่วยปกครองก็ไม่ไหว” 


 


 


สามคนนี้ยังครอบครองดินแดนเกินครึ่งค่อนแคว้นทูเจวี๋ยเสียอีก ข่านผีเจียไม่อาจไม่แยแสได้ เกาฉิวอยู่ในวังมานานหลายปี เข้าใจเรื่องพวกนี้มากที่สุด ดังนั้นจึงรีบผงกศีรษะแล้วพูดว่า “น้องหลินพูดไม่ผิด เจ้าสามคนนี้ต้องเป็นขุนนางใหญ่ที่ช่วยปกครองบ้านเมืองซึ่งมีอำนาจเท่าเทียมกัน ไม่มีใครด้อยกว่าใคร เช่นนี้แล้วถึงจะสร้างความสมดุลพลังอำนาจของแต่ละฝ่ายได้” 


 


 


“แต่ก็มีปัญหาขึ้นมาอีก” หลินหว่านหรงแบมือพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “อ๋องซ้ายแข็งแกร่งมาก อ๋องขวาแข็งแกร่งมาก ราชครูแข็งแกร่งมาก ในนี้ผู้ที่อ่อนแอและกระจ้อยร่อยมากที่สุดดันเป็นข่านน้อยผู้เยาว์วัยไม่รู้ความ ปราศจากอำนาจที่แท้จริง ข่านผีเจียซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแห่งยุคจะทำร้ายลูกชายตนเองด้วยการป้อนเข้าสู่อ้อมกอดของเสือและหมาป่าได้อย่างไร?!”  


 


 


เหล่าเกากล่าวด้วยความยินดี “ข้าเข้าใจแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีข่านใหญ่เช่นอวี้เจีย”  


 


 


“ไม่ผิด” หลินหว่านหรงกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ข่านใหญ่น่าจะเป็นสิ่งที่ใช้คานอำนาจของแต่ละฝ่ายให้สมดุล คนผู้นี้ไม่เพียงต้องมีชื่อเสียงและฐานะสูงส่งยิ่งในทูเจวี๋ย แต่ยิ่งต้องมีสติปัญญาและความกล้าอันยิ่งใหญ่อีกด้วย มิหนำซ้ำเพื่อรับประกันว่าจะปราศจากความผิดพลาด ข่านผีเจียต้องเลือกคนที่สนิทกับข่านน้อยมากที่สุด ทั้งยังต้องมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่มากที่สุดให้นางอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้นางถึงจะมีความสามารถในการปกป้องข่านน้อย หลังจากข่านน้อยบรรลุนิติภาวะแล้ว นางต้องถอนตัว คืนอำนาจให้เจ้าของเดิม”  


 


 


“ดังนั้นข่านผีเจียจึงเลือกเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่เพียงแต่ฉลาดหลักแหลม แต่ยิ่งเพราะนางเป็นสตรี ไม่อาจส่งผลต่อทุกคน ทำให้ทุกคนรู้สึกวางใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายใต้สมดุลอันแสนจะแยบคายเยี่ยงนี้ เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีมากที่สุด เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ” หูปู้กุยปรบมือด้วยความตื่นเต้น “พูดเช่นนี้แล้วอวี้เจียกับข่านผีเจีย รวมถึงข่านน้อยจะต้องมีความสนิทสนมมากที่สุดเป็นแน่แท้” 


 


 


“ดาบทอง หมาป่าทอง ข่านใหญ่” หลินหว่านหรงมองเหล่าหูด้วยความชมเชน ผงกศีรษะพร้อมถอนหายใจอย่างเงียบงัน “ที่จริงแล้วไม่ว่าจะด้านสติปัญญา รูปโฉม หรือว่าความกล้าหาญ เยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นสุดยอดในทูเจวี๋ย หากให้นางเป็นข่านทูเจวี๋ย เดิมทีก็ไม่มีอะไรน่าแปลก…สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือนางกลับเกิดมาเป็นสตรี ข้าเดาว่าก่อนข่านผีเจียจะสิ้นลง สิ่งที่รู้สึกเสียดายมากที่สุดก็คงเป็นเรื่องนี้นั่นเอง” 


 


 


ปากน่าจะพูดว่าเสียดาย คำว่าในใจกลับรู้สึกยินดีอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง ถ้าหากเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นบุรุษจริงๆ เช่นนั้นการรบระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ยก็จะทวีความโหดร้ายทารุณและรุนแรงมากยิ่งขึ้น น่าเสียดายที่สวรรค์ไม่มีคำว่าถ้าหาก!  


 


 


“เป็นผู้สำเร็จราชการก็ไม่เลวนะ” เหล่าเกาหัวเราะร่วน “ด้วยฝีมือของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้ว ให้เวลานางอีกสักหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นอ๋องซ้ายอ๋องขวาหรือราชครูทูเจวี๋ยอะไรต่อมิอะไรก็ตาม จะมีผู้ใดที่เป็นคู่ต่อสู้นางได้? ถึงเวลาก็ถีบข่านน้อยออกไป ยกผู้สำเร็จราชการขึ้นเป็นใหญ่ ให้นางเป็นข่านสตรีแห่งยุคผู้หนึ่ง จะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้?!”  


 


 


เมื่อเอ่ยถึงฝีมือของอวี้เจีย หลินหว่านหรงก็ไม่เคยสงสัยมาก่อน เพียงแต่นางจะทำเช่นนั้นจริงหรือ? 


 


 


ครั้นทอดสายตามองออกไปไกลๆ ใต้แสงโพล้เพล้ยามวสันต์ ใบหน้าสีทองของข่านใหญ่งดงามสูงสง่า เปล่งประกายเรืองรอง ถึงวิธีการที่นางใช้ออกมาทั้งหมด หลินหว่านหรงก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้  


 


 


“แย่แล้ว!” จู่ๆ หูปู้กุยก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ พูดด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความหงุดหงิด “จับตัวข่านใหญ่ทูเจวี๋ยได้…แต่พวกเรากลับปล่อยตัวนางไป แล้วนี่จะ…” 


 


 


เกาฉิวถลึงตามองเขาคราหนึ่ง เหล่าหูถึงรู้สึกตัวว่าพลั้งปากไป แอบเหลือบมองแม่ทัพหลิน ร้องอ๊ะๆ สองครั้งแล้วไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก 


 


 


เมื่อนึกถึงเข็มเล่มนั้นของพี่สาวอัน ชีวิตของข่านใหญ่ทูเจวี๋ยเหลือแค่ไม่กี่เดือนแล้ว จะจับหรือจะปล่อยมีความแตกต่างอะไรกันเล่า? หลินหว่านหรงส่ายหน้า ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


เกาฉิวกลอกตา หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “อันที่จริงข้ามีวิธีปรับเปลี่ยนอาวุธให้กลายเป็นหยกงามและผ้าแพร ทำให้ทหารต้าหัวเราไม่ต้องหลั่งโลหิตก็จัดการชาวทูเจวี๋ยได้อยู่นะ” 


 


 


ยังมีเรื่องดีๆ แบบนี้อยู่ด้วย? หูปู้กุยรีบถาม “วิธีการอะไร น้องเการีบว่ามา” 


 


 


เกาฉิวตอบด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่ใช่ข่านใหญ่ควบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของทูเจวี๋ยหรอกหรือ? ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาความรู้สึกที่นางมีต่อน้องหลินคิดว่าทุกคนก็คงเห็นแล้วกระมัง ขอเพียงน้องหลินใช้แผนการเพียงเล็กน้อย กุมหัวใจนางมาได้ ด้วยสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะจัดการอ๋องซ้ายขวาก็เหมือนกับการละเล่น เจ้าข่านน้อยนั่นก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว ถึงเวลาร่วมมือกับแผนการชั่วร้ายระหว่างน้องหลินกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อ้อ ไม่ใช่สิ แผนการให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นข่านเพียงหนึ่งเดียวของทูเจวี๋ย การปกครองทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก ต่อจากนั้นน่ะหรือ ฮิฮิ ให้น้องหลินมอบเด็กน้อยอ้วนพีให้ข่านใหญ่ผู้งดงามสักคนหนึ่ง เชื้อพันธุ์บริสุทธิ์จากต้าหัว…มารดามัน! ชาวทูเจวี๋ยชนเผ่านอกด่านอะไรต่อมิอะไรก็จะถูกปกครองโดยชาวต้าหัวจนหมดสิ้น แล้วพวกเราจะไม่ได้ปกครองทุ่งหญ้าแล้วหรอกหรือ?!” 


 


 


เจ้าคนลามกเหล่าเกาคนนี้นี่ ช่างมีความสามารถมารดามันจริงๆ! นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะทำอย่างยิ่ง ขอเพียงแม่ทัพหลินผงกศีรษะ ความสำเร็จอย่างน้อยก็มีถึงหกเจ็ดส่วน! หูปู้กุยเบิกตากว้าง น้ำลายหยดแหมะ คิดแต่จะกอดเหล่าเกาสักหลายครั้ง 


 


 


ลูกชายข้าเป็นข่านทูเจวี๋ย? คำพูดของเกาฉิวทำหลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง แม้คำพูดนั้นจะลามก แต่เหตุผลกลับไม่ลามก เพียงแต่ออกจะต่ำชั้นไปสักหน่อย   

 

 


ตอนที่ 595 - 2 ใกล้แค่คืบ

 

 “ตื่นกันหน่อยเถอะ” เขาใช้เท้าถีบก้นเหล่าเกา หัวเราะแล้วพูดว่า “พวกเจ้าลืมแล้วหรือ อวี้เจียในตอนนี้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับพวกเรา มิหนำซ้ำผู้สำเร็จราชการมันเป็นกันง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร? พวกท่านลองดูสิ ไอ้เจ้าคนบีบให้สละอำนาจนั่นไม่ได้มาหาถึงที่แล้วหรือไง!” 


 


 


“ถูสั่วจั่ว เจ้ากำลังพูดกับผู้ใด?!” เสียงของอวี้เจียไม่หนักไม่เบา ไม่เร็วไม่ช้า แต่ละคำต่างตกกระทบเข้าใบหูทุกคนที่อยู่ในทุ่งหญ้า ใบหน้าสีทองของนางพลันเย็นชา เปล่งประกายบารมี ชาวทูเจวี๋ยหมอบกราบอยู่กับพื้น ไม่กล้ามองดู 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถูกขนานนามว่าดอกนุ่นที่สูงสง่ามากที่สุดบนทุ่งหญ้า ความงดงาม บารมี ความกล้า และสติปัญญาของนาง ต่อให้เป็นทูเจวี๋ยซึ่งได้ชื่อว่าเทิดทูนผู้มีความสามารถในการต่อสู้ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เคารพเทิดทูนนาง บวกกับความสูงศักดิ์ ดาบทองที่อยู่ในมือก็ยิ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด ถูสั่วจั่วผู้หยิ่งผยองก็ไม่กล้าปะทะเช่นกัน 


 


 


มันรีบก้มคารวะลงต่ำ “ขอท่านข่านใหญ่โปรดระงับความโกรธกริ้ว ถูสั่วจั่วปราศจากเจตนาอื่น แต่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นข่านถึงไม่อาจไม่ไต่ถามได้” 


 


 


แม้คำพูดจะยังแฝงการประชดประชัน แต่ความรุนแรงกลับอ่อนลงไปโดยไม่รู้ตัว มันอายุมากกว่าอวี้เจียนับสิบปี ถือเป็นเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน และเป็นอ๋องขวาผู้มีผลงานอันยิ่งใหญ่ แต่หากเปลี่ยนจากอ๋องขวาทูเจวี๋ยเป็นท่านข่านอวี้เจีย แม้จะต่างกันไม่กี่คำ ถึงกระนั้นกลับยากเย็นราวกับปีนป่ายขึ้นสรวงสวรรค์ 


 


 


“อ๋องขวาลำบากแล้ว!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผงกศีรษะเล็กน้อย กลับไม่ตอบรับหรือว่าปฏิเสธ นางมือหนึ่งชูดาบทองขึ้นสูง อีกมือก็จูงข่านน้อยที่อยู่ด้านข้างพร้อมลุกขึ้นค่อยๆ เดินลงมาจากปะรำพิธีอย่างแช่มช้า เดินเข้าไปในทุ่งหญ้าพร้อมโบกมือให้ชาวทูเจวี๋ยทุกคน 


 


 


เสียงสรรเสริญและโห่ร้องยินดีดังสะเทือนไปจนถึงชั้นฟ้า ชาวทูเจวี๋ยกรูไปข้างหน้าราวกับบ้าคลั่ง เวลานี้อวี้เจียไม่ใช่สตรีสามัญชน นางคือข่านใหญ่ทูเจวี๋ยผู้ครอบครองดาบทอง เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งทุ่งหญ้า 


 


 


ตลอดเส้นทางที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เดินมากับข่านน้อยหยุดฝีเท้าเป็นระยะ ทักทายกับราษฎรที่อยู่ด้านข้าง ลูบไล้ม้าศึกของพวกมันด้วยความสนิทสนม ยิ้มแย้มแสดงความจริงใจ คนจำนวนนับไม่ถ้วนกู่ร้องชื่อของข่านใหญ่และข่านน้อย บรรยากาศอันแสนจะคึกคักบนทุ่งหญ้าพลันพุ่งขึ้นถึงขีดสุด  


 


 


เป็นผู้หญิงที่ฉลาดเสียจริง! หลินหว่านหรงถอนหายใจหนักๆ จะด่าว่านางโชว์ออฟก็ได้ แต่การเดินลงจากเวทีสูงสั้นๆ ไม่กี่ก้าวนี้ ถือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ชาวทูเจวี๋ยอย่างยิ่งใหญ่อย่างยากจะบรรยายได้ ข่านใหญ่ทูเจวี๋ยนางรู้จุดอ่อนของตัวเองดี เพียงแต่นางยิ่งรู้จุดเด่นของตนเองยิ่งกว่า ดังนั้นจึงใช้จุดเด่นออกมาจนหมดสิ้นในเวลาเดียวกัน  


 


 


เพียงแต่น่าเสียดายที่อายุขัยของนางกลับเหลือแค่ระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยกว่าวันเท่านั้น หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ใจไม่รู้ว่ามีรสชาติเป็นเช่นไร 


 


 


“ดูเร็ว อวี้เจียเดินมาทางพวกเราแล้ว!” เกาฉิวร้องเรียกเบาๆ รีบก้มหน้าลงไป 


 


 


ทางนั้น เยวี่ยหยาเอ๋อร์กับข่านน้อยผลักทหารม้าทูเจวี๋ยที่คุ้มกันพวกนางออกไป เดินเยื้องย่าง ยิ้มแย้มพลางโบกมือต่อชนเผ่านอกด่านที่อยู่มุมนี้ ถูสั่วจั่วติดตามอยู่ข้างหลังคนทั้งสอง สายตาระแวดระวังกวาดมองรอบด้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังป้องกันไม่ให้ศัตรูลอบทำร้ายท่านข่าน 


 


 


“มาแล้ว!” เหล่าหูตวาดบอกทุกคนเสียงต่ำๆ แสดงเจตนาให้พวกเขาเงียบเสียงลง ภายในคนสิบกว่าคนนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญภาษาทูเจวี๋ยมีน้อยนิด หากผู้ใดถูกอวี้เจียหรือไม่ก็ข่านน้อยไต่ถามก็จะบอกว่าเขาเป็นใบ้ ให้เหล่าหูตอบทั้งหมด 


 


 


สิบจั้ง แปดจั้ง ห้าจั้ง…เยวี่ยหยาเอ๋อร์หาใช่สตรีทูเจวี๋ยผู้งดงามและใสซื่อบริสุทธิ์อีกต่อไป นางแต่งกายสูงศักดิ์ ใบหน้าแม้จะประดับรอยยิ้ม ทว่าสายตานั้นกลับเย็นเยียบแฝงสติปัญญาอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังสะเทือนแก้วหูรอบด้าน หลินหว่านหรงก้มหน้าลง ดึงผ้าปิดหน้าลงมา ร่างกายถอยหลังไป เวลาแบบนี้ไม่มีใครไม่ตื่นเต้นตึงเครียด แต่ระหว่างที่ตื่นเต้นตึงเครียดนี้ ประสาทสัมผัสเขากลับชัดเจนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ทุกครั้งของอวี้เจียอย่างชัดเจน จำแนกเสียงย่างก้าวเพียงเล็กน้อยแต่ละก้าวของนางได้ กระทั่งว่ายังได้ยินเสียงหัวใจเต้นอันสงบนิ่งแต่ละครั้งของนางได้อีกด้วย 


 


 


กลิ่นหอมจางๆ อันคุ้นเคยลอยเข้ามา น้ำหอมตระกูลเซียวอันเป็นหนึ่งไม่มีสอง เสียงเด็กน้อยกระจ่างชัดดังข้างใบหู ข่านน้อยวัยเยาว์ผู้นั้นชี้ธงที่หูปู้กุยกอดอยู่ในอก กะพริบตาแล้วถามว่า “ท่านพี่ นี่คือธงอะไร?!” 


 


 


ครานีไม่ต้องให้หูปู้กุยแปล แค่มองการเคลื่อนไหวของข่านน้อยก็รู้แล้วว่าเขากำลังถามอะไรอยู่ 


 


 


เสียงหัวเราะอันอ่อนโยนตอบกลับไปว่า “นี่เรียกว่าถู่ซี เป็นสัตว์ร้ายที่เติบโตทางใต้ของทะเลทรายชนิดหนึ่ง อยู่ติดกับดินแดนของเยวี่ยซื่อ พวกเจ้าเป็นคนในตระกูลเยวี่ยซื่อหรือ?” 


 


 


ประโยคหลังกลับถามหูปู้กุย เหล่าหูรีบใช้มือเดียวทาบอก “คนตระกูลเยวี่ยซื่อ ขอถวายบังคมท่านข่านใหญ่ ท่านข่านน้อย ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าอยู่เคียงคู่พระองค์” 


 


 


เมื่ออยู่ใกล้ถึงมองเห็นใบหน้าอันงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ได้อย่างชัดเจน ชุดชนเผ่านอกด่านสีเหลืองทองหลวมกว้างห่อหุ้มเรือนร่างอันงดงามของนางไว้อย่างแน่นหนา นัยน์ตาสีฟ้าเล็กน้อยสงบนิ่งและกระจ่างใส ริมฝีปากสีแดงสดงดงามยวนเย้าราวกับจะคั้นเป็นน้ำได้ สีหน้าของนางอิดโรยอยู่บ้าง ถึงกระนั้นใบหน้ากลับยังคงประดับรอยยิ้มที่เป็นมิตร 


 


 


“ดินแดนเยวี่ยซื่อของพวกเจ้าตอนนี้ยังมีคนอีกเท่าใด วัวและแพะเพียงพอหรือไม่ ได้ยินมาว่าเมื่อครู่พวกเจ้าชิงแพะชนะไปรอบหนึ่ง ไม่ธรรมดา!” อวี้เจียผงกศีรษะ ไต่ถามด้วยความห่วงใย 


 


 


เหล่าหูเหงื่อเย็นไหลพราก โชคดีที่แม่ทัพหลินเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า ให้พวกเขาเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ มิเช่นนั้นคงต้องเกิดเรื่องแล้วจริงๆ เขากล่าวด้วยความภาคภูมิทว่าเคารพนบนอบ “เทพแห่งทุ่งหญ้าคุ้มครอง ตอนนี้เยวี่ยซื่อมีคนในตระกูลเก้าร้อยแปดสิบแปดคน วัวแพะนับพันตัวพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ข่านน้อยพอได้ยินก็กลับถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่ เหตุใดคนในตระกูลเยวี่ยซื่อถึงมีน้อยเช่นนี้เล่า?” 


 


 


อวี้เจียส่งเสียงอืมเล็กน้อย “เยวี่ยซื่อเดิมทีเป็นหนึ่งในตระกูลเถี่ยเล่อทั้งเก้า ต่อมาเนื่องจากการศึกจลาจล ทำให้จำนวนคนลดลง ซ่าเอ่อร์มู่ ทูเจวี๋ยของเราประกอบด้วยเผ่าจำนวนมาก คนในเผ่าหลายคนมาจากเถี่ยเล่อเก้าตระกูล สีของดวงตาของพวกเขาแม้จะต่างจากพวกเราเล็กน้อย แต่พวกเขาก็เป็นราษฎรของเราเช่นกัน เจ้าต้องคุ้มครองพวกเขาให้ดี ให้พวกเขาอยู่ดีมีสุข” 


 


 


ข่านน้อยซ่าเอ่อร์มู่ผงกศีรษะ จากนั้นก็ถามอีกว่า “แล้วชาวต้าหัวพวกนั้นล่ะ? พวกนั้นมีคนมากมาย พวกเรากำลังรบกับพวกนั้นอยู่ ต่อไปเมื่อบุกยึดเฮ่อหลานซานได้ ข้าต้องปฏิบัติกับพวกเขาเช่นไร?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มพร้อมตอบว่า “ยามรบจะต้องโหดเ**้ยม ไม่อาจมีเมตตาและใจอ่อนได้ ต้องให้ศัตรูเกรงกลัว แต่เมื่อพวกเขากลายเป็นราษฎรของพวกเรา เจ้าต้องดีกับพวกเขา ให้พวกเขามีเนื้อกิน มีอาภรณ์สวมใส่เช่นเดียวกับคนในเผ่าของพวกเรา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขาถึงไม่ก่อกบฏ…” 


 


 


ถูสั่วจั่วฟังจนต้องส่ายหน้า พูดเสียงดังออกมาว่า “ท่านข่านใหญ่ ถูสั่วจั่วไม่เห็นด้วยกับความเห็นของพระองค์ ทูเจวี๋ยของเรากำลังจะรบได้ดินแดนมา เมื่อเข้าด่านไปก็ต้องกดขี่ชาวต้าหัวให้หนัก ให้พวกมันไม่อาจโงหัวขึ้นตลอดกาล เจ้าคังหนิงคนนั้นพระองค์ก็ทอดพระเนตรแล้ว ชาวต้าหัวต่างมีสันดานเป็นขี้ข้า มีแค่ดาบและโลหิตเท่านั้นถึงจะเป็นการปกครองพวกมันดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ผายลมเจ้าน่ะสิ! หูปู้กุยฟังแล้วก็ต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน 


 


 


“ก็เพราะมีความคิดเช่นท่านเยี่ยงนี้ ดังนั้นชาวต้าหัวถึงต่อต้านพวกเราอย่างเอาเป็นเอาตาย จวบจนวันนี้พวกเราก็ยังยึดเฮ่อหลานซานไม่ได้” อวี้เจียพูดจาด้วยท่าทีเกียจคร้าน จากนั้นก็ไม่ได้เถียงมันอีก ลูบศีรษะข่านน้อยแล้วเอ่ยว่า “ซ่าเอ่อร์มู่ เจ้ารู้จักคิดถึงเรื่องพวกนี้ พี่ดีใจมาก! ต่อไปเจ้าต้องเป็นข่านผู้ปราดเปรื่องมากที่สุดบนทุ่งหญ้าแน่นอน” 


 


 


นางผงกศีรษะให้ข่านน้อย จากนั้นจึงยิ้มให้กับธงของเยวี่ยซื่อพร้อมบุ้ยปาก ข่านน้อยฉลาดหัวไว รีบพูดเสียงดังขึ้นมาว่า “ดินแดนเยวี่ยซื่อมีคนไม่ถึงพันคน แต่กลับได้รับชัยชนะจากการชิงแพะหนึ่งรอบ ช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ พระราชทานแพะอ้วนพีห้าสิบตัว! หากชนะอีก ข้าจะพระราชทานรางวัลอีก! ดินแดนอื่นก็ทำตามนี้เช่นเดียวกัน” 


 


 


“ขอบพระทัยท่านข่านใหญ่ ขอบพระทัยท่านข่านน้อย” หูปู้กุย ‘ซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล’ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบโห่ร้องเสียงดังด้วยความยินดี 


 


 


หลินหว่านหรงมองทุกสิ่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ แม้จะฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นยินดีและสายตาอันร้อนแรงจากชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบก็คาดเดาออกหลายส่วน ไม้นี้ไม่ว่าอ๋องซ้าย อ๋องขวา หรือว่าลู่ตงจ้าน ใครก็สู้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่ได้ ชนชั้นปกครั้งไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย 


 


 


เมื่อสนทนาไปหลายประโยคอวี้เจียก็ผินหน้ากลับมา เดินเยื้องยุรยาตรเบาๆ ยิ้มแย้มให้กับชนเผ่านอกด่านที่อยู่โดยรอบ 


 


 


หลินหว่านหรงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน อวี้เจียเยื้องย่างอย่างแช่มช้า สถานที่ที่หยุดยืนนั้นกลับอยู่ข้างหน้าเขาพอดี เขาตกใจอย่างยิ่ง รีบมุดเข้าไปในฝูงชน เพียงแต่ไม่ว่าจะเบียดอย่างไรก็ไม่ขยับ 


 


 


ระหว่างทั้งสองขวางด้วยคนสามสี่คน เผชิญหน้ากันผ่านซอกคน เขามองเห็นกระทั่งริมฝีปากแดงชุ่มชื่น ขนตาเรียวยาวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างชัดเจน อยู่ไม่ไกล เพียงใกล้แค่คืบ! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม