ชายาเคียงหทัย 59.3-61.3

ตอนที่ 59-3 ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ

 

เมื่อถึงการแสดงร่ายรำ มีหญิงสาวในชุดสีสันสดใสปรากฏขึ้นในตำหนัก เยี่ยหลีถึงกับมองนางรำสาวที่งดงามเลิศล้ำด้วยความตกใจ ก่อนหันหน้าไปถามว่า “เหยาจีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาหัวเราะเบา “น่าจะเชิญนางมาทำการแสดงในวังโดยเฉพาะกระมัง เหยาจีเติมโตมาในโรงละคร ฝีมือการร่ายรำถือว่าเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง ในงานวันเกิดของไทเฮาเมื่อปีที่แล้วยังเคยเชิญนางเข้ามาทำการแสดงในวังโดยเฉพาะ”


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไรบ้าง”


 


 


           ม่อซิวเหยาตอบว่า “แน่นอนว่าย่อมดี อาหลีเล่า”


 


 


           เยี่ยหลีหันกลับไปมองอีกพักใหญ่ ก่อนพยักหน้า “ก็ดีจริงๆ” ชื่อเสียงของเหยาจีนางก็เคยได้ยินมาหลายครั้ง ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของเมืองหลวง นางเกิดและเติบโตในโรงละคร อาศัยฝีมือในการดีดฉินและการร่ายรำทำให้ชื่อลือเลื่องไปทั่วเมืองหลวง อายุยังไม่เต็มยี่สิบห้าปีดีก็ได้เป็นเจ้าของชิงเฉิงฝาง หอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คบค้าสมาคมกับผู้มีอิทธิพลมากมาย ได้ยินว่าคุณชายมู่หยาง ทายาทของท่านมู่หยางโหวก็คือเพื่อนสนิทของนาง คุณชายสามตระกูลเฟิ่งก็คบหากับนางฉันมิตร ในยุคสมัยนี้คงมีหญิงสาวประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ และเป็นตัวเองเช่นนี้ได้


 


 


           ขึ้นชื่อว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แน่นอนว่าย่อมเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มองไปแล้วผู้ชายอย่างน้อยๆ เจ็ดในสิบคนต่างมีสีหน้าตะลึงงันด้วยกันทั้งนั้น ส่วนหญิงสาวทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าทั้งอิจฉาและคับแค้นใจ และแน่นอนว่าย่อมมีสายตาที่ชื่นชมด้วยความจริงใจปนอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น เมื่อการแสดงจบลง เหยาจีก็หายตัวไปนอกตำหนักโดยทันที เหลือเพียงกลิ่นหอมที่ทำให้คนเฝ้าฝันถึงเท่านั้น เมื่อเห็นผู้คนในตำหนักค่อยๆ มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เยี่ยหลีจึงยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นไปอีก จึงหันไปบอกม่อซิวเหยาว่านางจะออกไปสูดอากาศข้างนอก แล้วเยี่ยหลีจึงพาชิงหลวนและชิงซวงค่อยๆ ถอยออกไปจากตำหนักเงียบๆ


 


 


           นอกตำหนัก สายลมยามค่ำพัดอ่อนๆ พัดพาเอากลิ่นเหล้าที่ติดตัวนางออกไป เยี่ยหลีสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้สนใจเสียงดนตรีที่ดังมาจากในตำหนักอีก วังหลวงในยามค่ำคืนดูจะเงียบสงบเป็นพิเศษ เยี่ยหลีเดินเรื่อยๆ ไปตามทางเดินเล็กๆ จิตใจที่ก่อนหน้านี้ร้อนรนค่อยๆ สงบลง ในขณะที่นางกำลังเดินไปนั่งยังศาลารับลมนั้นเอง ก็มีนางกำนัลไม่คุ้นหน้าเข้ามาขวางทั้งสามคนไว้ “บ่าวคารวะพระชายาติ้งอ๋องเพคะ”


 


 


           ชิงหลวนเข้ามาบังเยี่ยหลีไว้ด้วยความหวาดระแวง ก่อนถามว่า “เจ้าเป็นใคร”


 


 


           นางกำนัลคนนั้นโค้งตัวลง “บ่าวเป็นนางกำนัลของตำหนักเยี่ยเจาอี๋เพคะ เยี่ยเจาอี๋ให้มาเชิญพระชายาติ้งอ๋องไปที่ตำหนักเหยาหวาเพคะ”


 


 


           เยี่ยเย่ว์กำลังตั้งครรภ์จึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย เมื่อตอนบ่ายก็ได้ให้นางกำนัลมาเชิญนางแล้วทีหนึ่ง ตอนนั้นเยี่ยหลีได้บอกปัดไปอ้อมๆ เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าเยี่ยเย่ว์กำลังคิดอะไร แต่ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่นางก็ไม่ได้คิดจะให้ตระกูลเยี่ยมาใช้นางหาประโยชน์ได้ง่ายๆ ที่สำคัญคือสิ่งที่เยี่ยเย่ว์คิดนั้นไม่ค่อยจะเข้าท่าเอาเสียเลย หากนางระวังหน่อย รู้จักรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี จนคลอดบุตรออกมาได้แล้ว ก็จะมีที่ให้พึ่งพิง หากไม่คิดอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี ถึงแม้จะพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่เยี่ยหลีกลับคิดว่า เยี่ยเย่ว์ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอย่างที่ตระกูลเยี่ยเข้าใจ


 


 


           “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปบอกเยี่ยเจาอี๋ทีว่าหากมีเรื่องอันใด ไว้อีกสองวันข้าเข้าวังมาค่อยมาพบนางอีกที วันนี้เอาไว้ก่อนเถิด”


 


 


           นางกำนัลคนนั้นสีหน้าดูร้อนรน “พระชายาโปรดอภัยด้วย เจาอี๋เหนียงเหนียงมีเรื่องด่วนที่จะต้องปรึกษากับพระชายาจริงๆ เพคะ”


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อให้มีเรื่องด่วนจริง เกรงว่าปรึกษากับข้าก็คงไม่มีประโยชน์ จริงสิ ตอนนี้มารดาของเยี่ยเจาอี๋เองก็อยู่ในวังเช่นกัน เช่นนั้นให้ข้าส่งคนไปเชิญนางมาให้ เจ้าว่าดีหรือไม่”


 


 


           “พระชายา เจาอี๋เหนียงเหนียงเชิญให้พระชายาเข้าเฝ้าคนเดียวเพคะ!” นางกำนัลคนนั้นกล่าว


 


 


เมื่อพูดว่าเข้าเฝ้าก็ดูจะเป็นการบังคับนางเสียแล้ว เยี่ยหลีหน้าขรึมลง หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่า ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องไปเข้าเฝ้าเจาอี๋คนหนึ่งด้วย!” นางเน้นเสียงคำว่าเข้าเฝ้า ฐานะชายาติ้งอ๋องสูงส่งยิ่งนัก ต่อให้อยู่ในวังยังต้องทำความเคารพเพียงฮองเฮาและไทเฮาเท่านั้น ต่อให้เป็นกุ้ยเฟยนางยังต้องคำนับเพียงครึ่งท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจาอี๋ธรรมดาๆ คนหนึ่งเลย หากได้พบหน้ากันจริงๆ กลับต้องเป็นเยี่ยเย่ว์เสียด้วยซ้ำที่จะต้องคารวะเยี่ยหลีครึ่งท่าเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อตำหนักติ้งอ๋อง


 


 


           “คือ…บ่าวพูดผิดไปแล้ว พระชายาโปรดอภัยด้วย เยี่ยเจาอี๋มีเรื่องด่วนจริงๆ ขอให้พระชายาเห็นแก่ความเป็นพี่น้องไปพบสักครั้งเถิดเพคะ”


 


 


           เยี่ยหลีมองนางกำนัลด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “จะว่าไป ข้าก็เคยไปที่ตำหนักเหยาหวา แต่ดูไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย” นางกำนัลคนนั้นฝืนยิ้ม “บ่าวหน้าตาธรรมดาๆ พระชายาอาจจะจำไม่ได้เพคะ”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่หรอก ข้ามั่นใจว่าในบรรดานางกำนัลข้างกายหกคน และนางกำนัลที่คอยรับใช้ในตำหนักอีกแปดคนไม่มีเจ้าอยู่ในนั้น หรือว่าเยี่ยเจาอี๋ใช้ให้สาวใช้ปัดกวาดมาเชิญข้ากัน”


 


 


           “บ่าว…” นางกำนัลผู้นั้นสีหน้าร้อนรน หมุนตัวจะเดินกลับ เยี่ยหลีส่งสายตาไปให้ชิงหลวน ชิงหลวนก้าวขึ้นหน้าไปก่อนสับเข้าที่ท้ายทอยของนางโดยแทบจะไม่ต้องใช้แรง ร่างนางกำนัลคนนั้นอ่อนระทวยลงกับกองพื้นโดยทันที


 


 


           “พระชายา” ชิงอวี้ย่นคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีเพื่อรอรับคำสั่ง


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจู่ๆ กันหมุนตัวหันไปมองพุ่มไม้ริมทาง “ใครน่ะ”


 


 


           “พระชายาติ้งอ๋อง” มีร่างบางร่างหนึ่งเดินออกมา ใบหน้างดงามดูสงบนิ่งขึ้นภายใต้แสงจันทร์


 


 


           “แม่นางเหยาจี” เยี่ยหลีกล่าว “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


           เหยาจียิ้มสบายๆ “ข้ามิบังอาจ ชายาติ้งอ๋องเรียกข้าว่าเหยาจีก็พอเพคะ”


 


 


           เหยาจีเดินขึ้นหน้ามา เหลือบมองนางกำนัลที่ไม่ได้สติอยู่ที่พื้นแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น “พระชายาติ้งอ๋อง นี่คือ…”


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “เมื่อสักครู่แม่นางเหยาจีก็ได้ยินแล้วมิใช่หรือ ไม่มีอะไรหรอก ในวังหลวงอันกว้างใหญ่มักมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นได้เสมอมิใช่หรือ” นางโบกมือไปทางด้านหลัง ก็มีเงาคนในชุดดำประหนึ่งภูติผีปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเยี่ยหลีทันที


 


 


“พระชายา”


 


 


เยี่ยหลีชี้ไปที่พื้น “พาตัวนางไปที อย่าทำให้คนอื่นตื่นตกใจ” เงาดำนั้นแบกร่างนางกำนัลขึ้น แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็หายไปในความมืดทันที


 


 


           “ได้ยินเฟิ่งซานพูดถึงนานแล้วว่าพระชายาติ้งอ๋องจัดการอะไรได้เด็ดขาด วันนี้ได้เห็นกับตา สมดังคำร่ำลือจริงๆ” เหยาจีเอ่ยกลั้วหัวเราะ


 


 


           “คุณชายเฟิ่งซานเคยพูดเรื่องข้ากับท่านหรือ” นางจำได้ว่า ตนไม่ได้สนิทสนมกับคุณชายเฟิ่งซานผู้โด่งดังแห่งเมืองหลวงสักเท่าใดนัก


 


 


           เหยาจียกมุมปากขึ้นยิ้ม เลื่อนสายตามองไปทางอื่น “เฟิ่งซานชื่นชมในตัวพระชายามาก เหยาจีชื่นชมในสายตาของเขามาโดยตลอด วันนี้มีโอกาสได้พบพระชายาถือว่ามีบุญอย่างมาก”


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงยิ้ม “ได้พบแม่นางที่เป็นนางรำอันดับหนึ่งแห่งชิงเฉิงฝางก็เป็นบุญของเยี่ยหลีเช่นกัน”


 


 


           “เรื่องเมื่อสักครู่ข้าจะเก็บเป็นความลับ” เหยาจีกะพริบตาคู่งาม ใบหน้าอันเย้ายวนดูมีแววขี้เล่น


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ขอบคุณมาก ดึกแล้วเหตุใดแม่นางจึงยังอยู่ที่นี่”


 


 


เหยาจีได้แต่ถอนใจ “มีบางคนและบางเรื่องที่น่ารำคาญเหลือเกิน ข้าแค่มาหาที่หลบเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีวาสนาได้พบกับพระชายา”


 


 


           เยี่ยหลีเข้าใจโดยทันที เหยาจีมีใบหน้าที่งดงามจับจิตจับใจ คงถูกใจคนเข้าไม่น้อย เพียงแต่กล้าที่จะตอแยนางในวังหลวงเช่นนี้ ดูท่าว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา “หรือให้ข้าให้คนไปส่งแม่นางออกจากวังดีหรือไม่”


 


 


           สีหน้าเหยาจีเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “เช่นนั้นข้าขอบคุณพระชายามาก”


 


 


           “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เยี่ยหลีหันไปสั่งการกับชิงอวี้ แล้วจึงเอ่ยขอตัวกับเหยาจี เดินกลับไปยังตำหนักใหญ่ที่ยังคงมีการแสดงอยู่


 


 


           เมื่อม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีเดินกลับมา จึงส่งสายตาสงสัยไปให้ เยี่ยหลีส่ายหน้าบอกว่าตนไม่เป็นอะไร แล้วเดินไปนั่งลงข้างม่อซิวเหยา หลังจากเอ่ยกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานเมื่อครู่ให้ม่อซิวเหยาฟังคร่าวๆ ม่อซิวเหยาจึงพยักหน้า “อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปสืบความ คืนนี้อาหลีอยู่ข้างกายข้าไว้ดีกว่านะ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วจึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในตำหนักใหญ่ดูจะแปลกกว่าตอนที่นางออกไปเสียอีก เสียงดนตรีและการแสดงเงียบลงแล้ว สายตาของทุกคนต่างเหลือบมองไปทางคณะทูตจากแคว้นซีหลิงและหนานจ้าวเป็นพักๆ แม้แต่ตอนที่เยี่ยหลีเข้ามายังมีไม่กี่คนที่สังเกตเห็น


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงยิ้มแปลกๆ ส่งมาให้เยี่ยหลี ก่อนลอบใช้คางชี้ไปทางแคว้นซีหลิง เยี่ยหลีมองตามไป กลับเห็นว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิงกำลังตาแดงร้องไห้อยู่ วันนี้ดูท่าจะไม่ใช่วันดีขององค์หญิงหลิงอวิ๋น ผ่านไปไม่เท่าไรก็มีเรื่องให้ร้องไห้อีกแล้ว


 


 


           “เกิดอะไรขึ้นหรือ” เยี่ยหลีกระซิบถาม


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้มเยือกเย็น “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อบอกว่าแคว้นซีหลิงต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับต้าฉู่ด้วยการแต่งงาน ยังพูดไม่ทันจบ…องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็รีบพูดปฏิเสธ สุดท้าย…ฮ่องเต้เห็นด้วยที่จะสานสัมพันธ์กับแคว้นซีหลิงด้วยการแต่งงาน แต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะไม่ได้แต่งเข้าวัง”


 


 


           “จากนั้นเล่า”


 


 


           “จากนั้นหนานจ้าวก็ได้ส่งหนังสือจากท่านอ๋องแห่งหนานจ้าว ว่ายินยอมที่จะให้องค์หญิงซีสยาแต่งงานมาอยู่ที่ต้าฉู่”


 


 


           “…”


 


 


           “ความหมายของฮ่องเต้คือ องค์หญิงซีสยาแต่งเข้าวัง ส่วนองค์หญิงหลิงอวิ๋นให้แต่งงานกับหลีอ๋อง” 

 

 


ตอนที่ 60-1 การลอบสังหารในป่าไผ่

 

         “ความหมายของฝ่าบาทคือ ให้องค์หญิงซีสยาแต่งเข้าวัง ส่วนองค์หญิงหลิงอวิ๋นพระราชทานสมรสให้กับหลีอ๋อง” 


 


 


           เยี่ยหลีรีบหันไปมองเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่ข้างกายม่อจิ่งหลี ก็เห็นนางกำลังจ้ององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยใบหน้าบึ้งตึงอยู่ ทางด้านแคว้นหนานจ้าว สีหน้าขององค์หญิงซีสยาก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน ส่วนสีหน้าของม่อจิ่งหลีก็ดูไม่ดีเอาเสียเลย จ้องมององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ดูน่าสงสารด้วยสีหน้านิ่งขรึม เยี่ยหลีมองไปทางม่อจิ่งฉีที่ดูจะพออกพอใจกับการจัดการของตนเองอย่างครุ่นคิด  นางไม่ค่อยเข้าใจนักว่าฮ่องเต้พระองค์นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ หรือจะเป็นเพียงเพราะองค์หญิงหลิงอวิ๋นทำให้พระองค์โกรธจึงได้พระราชทานนางให้สมรสกับหลีอ๋อง แต่องค์หญิงซีสยามาอยู่ที่ต้าฉู่ได้หลายเดือนแล้ว ม่อจิ่งฉีไม่มีทางไม่ทราบข่าวลือในเมืองหลวงเรื่องม่อจิ่งหลีและองค์หญิงซีสยาแน่นอน 


 


 


           “ฝ่าบาทมิอาจให้จิ่งหลีมีความสัมพันธ์ใดๆ กับหนานจ้าวได้อีก ต่อให้ไม่มีองค์หญิงหลิงอวิ๋นก็ไม่มีทางพระราชทานองค์หญิงซีสยาให้แต่งงานกับเขาเป็นอันขาด” ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าเยี่ยหลีนึกสงสัยเรื่องอะไรอยู่ ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยให้นางฟังเรียบๆ “แคว้นหนานจ้าวเป็นพวกหยาบช้า บอกว่าแคว้นตนเองประชาชนอ่อนแอ แต่เอาเข้าจริงจิตใจห้าวหาญนัก ติดแค่มีจำนวนประชากรน้อย ทำให้ยากที่จะเป็นใหญ่ขึ้นมาได้”  


 


 


เยี่ยหลีกระซิบเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทไม่ต้องการให้หลีอ๋องกับแคว้นหนานจ้าวสานสัมพันธ์กันหรือ แต่ดูเหมือนว่าแคว้นซีหลิงจะเข้มแข็งกว่าแคว้นหนานจ้าว”  


 


 


ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “แคว้นซีหลิงกับต้าฉู่มีความแค้นกันมาแต่ไหนแต่ไร นอกเสียจากม่อจิ่งหลีจะคิดกบฎ มิเช่นนั้นแล้วแคว้นซีหลิงก็ไม่สามารถเอื้อประโยชน์อันใดให้แก่เขาได้ อีกอย่าง…ฝ่าบาทไม่ต้องการให้มีพระโอรสที่เป็นสายเลือดของพระองค์มีเชื้อสายแคว้นซีหลิงอยู่อย่างแน่นอน” 


 


 


           เยี่ยหลีเข้าใจในบัดดล มองม่อจิ่งหลีด้วยความเห็นใจ ดูท่าน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้คนนี้ คงทำให้พี่ชายผู้เป็นฮ่องเต้วางใจไม่ได้มากนักสินะ 


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะเบาๆ “อาหลี เจ้าใจอ่อนเกินไป ในบรรดาเชื้อพระวงค์ไม่เคยมีใครที่ไม่ทะเยอทะยาน” 


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป ไตร่ตรองคำพูดของม่อซิวเหยาอย่างละเอียด สายตาที่มองไปทางม่อซิวเหยาดูใช้ความคิดอย่างหนัก เพียงแต่…ในหัวของม่อจิ่งหลีฉลาดพอที่จะคิดอะไรซับซ้อนเช่นนั้นเชียวหรือ หรือว่าเขาเล่นละครมาโดยตลอดกันแน่นะ 


 


 


           เมื่อกลับถึงตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อยู่ในวังแค่เพียงครึ่งวัน แต่กลับรู้สึกเหนื่อยกว่าทั้งเดือนรวมกันเสียอีก หลังจากแยกกับม่อซิวเหยาแล้ว เยี่ยหลีกลับเข้าเรือนของตน หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวก็พาคนออกมาต้อนรับทันที ดูท่าว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังเมื่อตอนบ่ายคงมาถึงในตำหนักแล้ว หมัวมัวทั้งสองสำรวจเยี่ยหลีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดีจึงค่อยวางใจลง เยี่ยหลีร้องขอของว่างยามดึก หลินหมัวมัวจึงโบกมือให้คนนำอาหารเข้ามา เป็นโจ๊กไก่ที่ดูเหมือนจะเตรียมไว้ก่อนแล้ว เยี่ยหลีมองโจ๊กไก่ตรงหน้าที่แทบจะพอกินได้สามคน “หมัวมัว ถึงแม้ข้าจะหิวมาก แต่ก็ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะกินจุถึงเพียงนี้หรอกนะ” 


 


 


           เว่ยหมัวมัวเหลือบมองนางด้วยความไม่พอใจ “พระชายา ท่านคิดว่ามีท่านคนเดียวหรือที่หิว” 


 


 


           เยี่ยหลีกะพริบตาอย่างงงงวย พวกชิงหลวนต่างก็ออกไปกินข้าวกันแล้วนี่นา 


 


 


           เว่ยหมัวมัวยัดถาดโจ๊กไก่ใส่มือเยี่ยหลีด้วยสีหน้าผิดหวังเป็นที่สุด “ท่านอ๋องเข้าห้องหนังสือไปแล้ว พระชายานำโจ๊กไปส่งแล้วอยู่กินกับท่านอ๋องเถิดเพคะ” 


 


 


           “เรื่องนี้…ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้ใครเอาไปส่งให้อาจิ่นก็พอ” 


 


 


           “พระชายา!” หลินหมัวมัวจ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเป็นภรรยาของท่านอ๋องนะเพคะ เรื่องส่งของว่างมื้อดึกเช่นนี้จะให้คนอื่นทำได้อย่างไร หรือว่าเมื่อตอนอยู่ที่บ้านตระกูลสวี ฮูหยินรองจะลืมสอนท่านเรื่องหน้าที่ของภรรยา” 


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินหมัวมัวเตรียมจะอบรมนางอีกชุดใหญ่ เยี่ยหลีจึงรีบยกถาดโจ๊กขึ้น “หมัวมัว ข้ารู้แล้ว ข้าจะนำไปให้ท่านอ๋องเดียวนี้” ไม่รอให้หลินหมัวมัวว่าอะไรอีก นางรีบยกถาดโจ๊กเดินตัวปลิวออกไปทันที เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนช่างน่าสงสารยิ่งนัก หมัวมัวทั้งสองเอาแต่พร่ำสอนนางไม่หยุด แต่เมื่อเทียบกับแม่นมแล้ว เยี่ยหลีนึกกลัวหลินหมัวมัวที่รับใช้ข้างกายท่านแม่มามากกว่า หากนางเริ่มเอ่ยปากเมื่อใด เป็นต้องได้อ้างคำสอนโน้นนี้ทั้งทฤษฎี ทั้งหลักการ จนทำให้นางได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด คนทั่วไปไม่มีทางรับการต่อว่าทั้งทางวาจาและจิตใจเช่นนี้ได้แน่นอน 


 


 


           นางได้แต่ยกของว่างมื้อดึกไปตามทางเดินของตำหนัก สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังต่างทิ้งระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างรู้งาน ม่อซิวเหยายังคงพักอยู่เรือนเดิมที่เขาเคยอยู่ก่อนแต่งงาน ซี่งเป็นเรือนที่อยู่ติดกับเรือนของเยี่ยหลี ดังนั้นเยี่ยหลียังนึกบ่นไม่ทันเสร็จดีก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือของม่อซิวเหยาแล้ว ในขณะที่กำลังจะเคาะประตูนั้น ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาลอยออกมาจากในห้องว่า “อาหลีหรือ เข้ามาสิ” 


 


 


           นางผลักประตูเข้าไป ม่อซิวเหยากำลังถือพู่กันเขียนอะไรอยู่ใต้แสงเทียน เมื่อเห็นเยี่ยหลีเข้ามาจึงเงยหน้าขึ้นมอง “เหตุใดจึงมาที่นี่ เจ้าไม่พักผ่อนหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีเดินเข้าไปก่อนวางของลงที่ฟากหนึ่ง “รบกวนท่านหรือเปล่า” 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า มองของที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “เจ้านำมื้อดึกมาให้ข้าหรือ” 


 


 


           ไม่รู้ทำไมเยี่ยหลีจึงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา พยายามบังคับน้ำเสียงที่เอ่ยถามให้เป็นปกติ “ทำไม ข้ามาส่งมือดึกให้ท่านไม่ได้หรือ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า วางพู่กันในมือลง “ข้าเพียงแค่ประหลาดใจว่าเหตุใดอาหลีถึงได้มาส่งมื้อดึกให้ข้าด้วยตนเองเช่นนี้ อืม…มิน่าข้ากลับมาตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นใครนำอาหารมาให้ข้าเลย ที่แท้ พอแต่งพระชายาเข้ามา คนอื่นก็ขี้เกียจจะใส่ใจข้าเสียแล้ว”  


 


 


เยี่ยหลีได้แต่กลอกตาใส่เขา “ท่านจะกินหรือไม่กิน”  


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้า “พระชายานำมาให้ด้วยตนเองเช่นนี้จะไม่กินได้อย่างไร” 


 


 


           ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะ เยี่ยหลีหยิบชามมาสองใบ ก่อนตักโจ๊กชามหนึ่งส่งให้ม่อซิวเหยา ถึงแม้หลายวันนี้ทั้งสองคนจะกินข้าวด้วยกันเกือบทุกวัน แต่การกินมื้อดึกด้วยกันเช่นนี้ถือเป็นครั้งแรก ระหว่างที่กินโจ๊ก ม่อซิวเหยาก็คิดอะไรไปด้วย “พรุ่งนี้หากไม่มีเรื่องอะไร ไปพบพี่สะใภ้ใหญ่เป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “นี่ก็ผ่านมานานแล้ว ถึงเวลาควรไปคารวะพี่สะใภ้ใหญ่เสียที หวังว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไม่ถือโทษข้านะ”  


 


 


ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก” 


 


 


           “แล้วข้าต้องเตรียมอะไรหรือไม่” เยี่ยหลีถาม 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกเราแค่ไปพบพี่สะใภ้ใหญ่ก็พอแล้ว” 


 


 


           เมื่อนึกถึงพี่สะใภ้ใหญ่ผู้เก็บตัวแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกถอนใจ สตรีคนหนึ่งทำให้ตนเองต้องใช้ชีวิตอย่างแห้งเ**่ยวในช่วงอายุที่งดงามที่สุดเช่นนั้น ทำให้นางอดรู้สึกเสียดายไม่ได้จริงๆ 


 


 


           “นางกำนัลเมื่อคืนนี้ท่านจัดการอย่างไรหรือ” เยี่ยหลีถามถึงนางกำนัลที่เข้ามาขวางทางนางคนนั้น  


 


 


ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “นั่นไม่ใช่นางกำนัลของวังหลวง” 


 


 


           “ไม่ใช่หรือ” เยี่ยหลีตกใจ วังหลวงกลายเป็นสถานที่ที่ให้คนนอกเข้าออกได้ตามใจตั้งแต่เมื่อไรกัน ตอนกลางคืนฮ่องเต้นอนหลับสนิทได้หรือ  


 


 


ม่อซิวเหยายิ้ม “ไม่ใช่นางกำนัลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีนางกำนัล แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใช่คนของวังหลวง คนในวังที่พอมีความสามารถมักมีไพ่ตายในมือที่ไม่ให้คนอื่นรู้” 


 


 


           “แต่ว่า นางกำนัลคนนั้นไม่ได้ดูพิเศษที่ตรงไหนเลยนะ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “บางครั้งคนที่ดูไม่พิเศษเอาเสียเลยนี่ละจึงจะเป็นนักฆ่ามือฉมัง” 


 


 


           “ไม่ยอมบอกว่าเป็นคนของใครหรือ” 


 


 


           “เป็นพวกยอมพลีชีพ” ม่อซิวเหยากล่าว เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ หากปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จคนพวกนี้ก็จะต้องตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมไม่ยอมตอบอะไรออกมาเป็นแน่ 


 


 


           “เพียงแต่ คนในวังที่จะมีพวกยอมพลีชีพเช่นนี้ไม่มากนัก ดังนั้นอาหลี…อีกหน่อยหากมีความจำเป็นต้องเข้าวัง เจ้าต้องระวังให้มาก” 


 


 


           “ข้ารู้แล้ว” เยี่ยหลีพยักหน้า นางก็ไม่ใช่พวกชอบหาเรื่องให้ตัวเองอยู่แล้ว  

 

 


ตอนที่ 60-2 การลอบสังหารในป่าไผ่

 

เวินซื่อ ชายาติ้งอ๋องคนก่อนไม่ได้อาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋อง ปีต่อมาหลังจากที่ม่อซิวเหวินเสียชีวิต เวินซื่อที่กำลังเศร้าโศกเสียใจก็ได้ย้ายไปถือศีลอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ที่นอกเมือง คนที่ติดตามนางไปยังมีภรรยารองของม่อซิวเหวินอีกสองคน นับตั้งแต่ย้ายไปอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ นอกจากวันครบรอบวันตายของม่อซิวเหวินแล้ว เวินซื่อก็ไม่ได้กลับตำหนักติ้งอ๋องอีกเลย หลายปีก่อน ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ม่อซิวเหยาปิดประตูไม่ยอมออกไปไหน ดังนั้นถึงแม้เขาจะให้ความเคารพพี่สะใภ้คนนี้ แต่พวกเขาก็ไม่คุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย


 


 


           ด้วยเยี่ยหลีได้รับความเห็นชอบจากม่อซิวเหยา นางจึงตื่นแต่เช้าเพื่อออกมาฝึกฝนร่างกายอย่างเปิดเผย จากนั้นจึงไปกินข้าวเช้าพร้อมกับม่อซิวเหยา แล้วทั้งสองก็ออกเดินทางด้วยรถม้าไปยังสำนักชีอู๋เย่ว์ที่นอกเมือง


 


 


           สำนักชีอู๋เย่ว์ตั้งอยู่บนเขาลูกเล็กที่มีทัศนียภาพงดงามด้านนอกเมืองหลวง และยังเป็นวัดประจำตระกูลของตำหนักติ้งอ๋องอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่มีแขกหรือคนผ่านไปมามาจุดธูปไหว้พระ ตลอดทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความสงบอันน่ารื่นรมย์ เมื่อเข้าไปยังสำนักชีก็ได้กลิ่นหอมของธูปลอยอยู่ในอากาศ เยี่ยหลีย่นจมูกอย่างไม่คุ้นเคย ม่อซิวเหยาหันหน้ามามองนาง “เป็นอันใดไป”


 


 


           เยี่ยหลีตอบเสียงเบาอย่างอายๆ “ข้าไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ” อีกเดี๋ยวเข้าไปข้างในแล้วนางยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไหว้หรือไม่ คนที่ไม่ได้นับถือแต่ต้องไปกราบไว้ต่อหน้าพระพุทธรูป ดูจะไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าไร แต่หากคนอื่นมองมาแล้วคงไม่ถือว่ามีมารยาทสักเท่าไรกระมัง


 


 


           ม่อซิวเหยาหัวเราะน้อยๆ “มิน่า ถึงไม่เคยเห็นอาหลีเข้าเมืองไปจุดธูปไหว้พระเลย”


 


 


ในเมืองหลวงของต้าฉู่ ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้ดีจากตระกูลใหญ่หรือคุณหนูทั่วไป ต่างชอบไปตามวัดใหญ่ๆ หรือสำนักชีในเมือง บ้างจุดธูปไหว้พระ บ้างเสี่ยงเซียมซี บ้างขอให้ทุกอย่างราบรื่น บางคนขอให้ได้คู่ที่สมใจ แต่ดูเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไปเข้าวัดเพื่อเสี่ยงเซียมซีหรือจุดธูปไหว้พระมาก่อนเลย


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ในเมื่อข้าไม่เชื่อในพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะกล้าไปขอให้ท่านช่วยคุ้มครองอย่างไรได้ แต่หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีอยู่จริง แล้วทุกวันมีพุทธศาสนิกชนมากราบไหว้เช่นนี้ ท่านจะช่วยไหวได้อย่างไร”


 


 


ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มองเยี่ยหลียิ้มๆ “ดังนั้น อาหลีจึงเชื่อในตนเองมากกว่าหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น ยิ้มกว้าง “หากแม้แต่ตนเองยังไม่เชื่อแล้ว ในโลกนี้ยังจะมีอะไรให้เชื่ออีกหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยาพยักหน้าเห็นด้วย “พอดีเลย ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน แล้วแต่อาหลีเลย”


 


 


           ไม่นาน ก็มีแม่ชีเดินออกมานำทั้งสองเข้าไปด้านใน เวินซื่อเป็นสตรีที่สุภาพนุ่มนวลมาก ถึงแม้รูปลักษณ์จะไม่ได้งดงามโดดเด่น แต่ความสงบและเรียบนิ่งที่ปรากฏให้เห็นตรงหว่างคิ้วทำให้รูปลักษณ์นางดูพิเศษขึ้นหลายส่วน ถึงแม้จะอยู่ในชุดนางชีสีเทา แต่ก็ไม่สามารถบดบังความสุภาพอ่อนโยนอย่างผู้มีการศึกษาได้ เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา แววตาอันนิ่งสงบของนางไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าจิตใจของนางนิ่งเรียบดุจสายน้ำไปเสียแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างว่า จิตใจนางแห้งแล้งไปเสียแล้ว


 


 


           “ซิวเหยาคารวะพี่สะใภ้” ม่อซิวเหยาจับมือเยี่ยหลีให้เดินขึ้นมาพร้อมพูดกับเวินซื่อว่า “พี่สะใภ้ นี่คืออาหลี”


 


 


           เยี่ยหลีก้าวขึ้นไปคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะพี่สะใภ้”


 


 


           สายตาของเวินซื่อมองใบหน้าและเก้าอี้รถเข็นของม่อซิวเหยา ก่อนหันไปมองเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว ในดวงตาที่สงบนิ่งมีแววของความเสียใจ นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร พวกเจ้าเข้ามานั่งสิ”


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณ ก่อนเดินไปนั่งลงข้างเวินซื่อ เวินซื่อดึงนางเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจ ก่อนหยิบกล่องผ้าไหมที่ดูค่อนข้างเก่าจากด้านข้างมาส่งให้นาง “ข้าถือว่าไม่ได้อยู่ในทางโลกแล้ว จึงไม่มีของขวัญแรกพบหน้าอะไรให้เจ้า นี่เป็นของที่เมื่อตอนข้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋อง ท่านอ๋อง…พี่ใหญ่ของเจ้าให้ข้าไว้ บอกว่าเป็นของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ เจ้ารับไว้เถิด”


 


 


           “นี่…” ถึงแม้กล่องผ้าไหมนี้ดูจะเป็นของเก่า แต่ร่องรอยภายนอกมีความมันวาวอยู่มาก ดูออกว่ามีคนคอยนำออกมาเช็ดถูอยู่บ่อยๆ นี่คงเป็นของที่เวินซื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก เวินซื่อยิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหัว “รับไว้เถิด ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้ใช้ของพวกนี้แล้ว”


 


 


เยี่ยหลีจึงไม่ได้ปฏิเสธอีก รับกล่องผ้าไหมไว้แล้วกล่าวว่า “ขอบคุณพี่สะใภ้มากเจ้าค่ะ”


 


 


           เวินซื่อจับมือและมองหน้าเยี่ยหลี “พี่ใหญ่ของเจ้าก็มีน้องรองเป็นน้องชายเพียงคนเดียว ข้าที่เป็นพี่สะใภ้…ก็ไม่ได้ความเอาเสียเลยจริงๆ อีกหน่อยน้องสะใภ้กับน้องรองต้องคอยช่วยเหลือกันให้ดี ใช้ชีวิตให้ดีเถิดนะ”


 


 


เยี่ยหลีเข้าใจดีว่าที่เวินซื่อพูดถึง คือสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในตำหนักติ้งอ๋อง นางกลับไม่ได้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องเพื่อคอยช่วยม่อซิวเหยาจัดการงานต่างๆ ภายในตำหนัก แต่กลับทอดทิ้งม่อซิวเหยาที่บาดเจ็บสาหัสและพิการมาถือศีล เรื่องนี้เยี่ยหลีกลับไม่คิดว่าเป็นความผิดของเวินซื่อ ตอนนั้นนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่อายุยังไม่ยี่สิบปีดี ทั้งยังไม่ใช่หญิงสาวที่ได้รับการอบรมมาจากบ้านที่เป็นตระกูลใหญ่ การที่อยู่ดีๆ สามีมาเสียชีวิตลง ทายาทเพียงคนเดียวของตำหนักก็บาดเจ็บสาหัสและกลายเป็นคนพิการ สำหรับหญิงสาวที่ไม่เข้มแข็งพอ ก็ถือเป็นการยากที่จะประคับประคองตำหนักติ้งอ๋องไว้ได้


 


 


           “ขอบคุณพี่สะใภ้ที่สั่งสอนเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้า เหลือบมองม่อซิวเหยาก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ในเมื่อข้าแต่งงานกับท่านอ๋องแล้ว ต่อไปย่อมพร้อมร่วมรับการสรรเสริญและการดูหมิ่นด้วยกันเจ้าค่ะ”


 


 


           “ดี เช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว” เวินซื่อพยักหน้าด้วยความซาบซึ้ง


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “พี่สะใภ้อยู่ที่นี่คนเดียวไม่เหงาหรือเจ้าคะ ไม่สู้กลับตำหนัก…พี่สะใภ้กลับไปถือศีลที่ตำหนักก็ยังได้นะเจ้าคะ”


 


 


           เวินซื่อส่ายหน้า “ข้าชินกับความสงบที่นี่เสียแล้ว หากกลับไปสิกลับจะไม่ชิน” เยี่ยหลีเอ่ยโน้มน้าวอีกหลายครั้ง แต่เวินซื่อก็ยังไม่ยอมจึงยอมแพ้ และคุยกันอีกพักใหญ่ เวินซื่อรั้งทั้งสองไว้ให้กินข้าวกลางวันด้วยกัน จากนั้นจึงได้บอกว่าตนยังต้องคัดลอกพระคัมภีร์ ให้ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีออกไปเดินดูรอบๆ


 


 


           สำนักชีอู๋เย่ว์ถึงจะเป็นเพียงวัดประจำตระกูล แต่กลับมีพื้นที่ไม่น้อยเลย เยี่ยหลีเข็นม่อซิวเหยาเดินไปทางด้านหลังของสำนักชีที่เป็นป่าไผ่ ด้วยเพราะเรื่องของเวินซื่อทำให้จิตใจของเยี่ยหลีรู้สึกหนักหน่วงยิ่งนัก


 


 


           “อาหลี หากเป็นเจ้าคงไม่เป็นเช่นพี่สะใภ้หรอก ใช่หรือไม่” ครู่ใหญ่ จึงได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า เมื่อนึกขึ้นได้ว่าม่อซิวเหยามองไม่เห็นท่าทางของนาง จึงได้พูดขึ้นว่า “ไม่หรอก ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี”


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “แบบนี้สิดี พี่สะใภ้…อันที่จริงไม่เหมาะที่จะเป็นชายาของตำหนักติ้งอ๋อง เป็นตระกูลม่อของเราเองที่ผิดต่อนาง” หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ต้องการที่จะขจัดความเคลือบแคลงใจของม่อจิ่งฉี คงไม่เลือกเวินซื่อที่เป็นลูกสาวของบ้านบัณฑิตธรรมดาๆ คนหนึ่ง


 


 


เยี่ยหลีนิ่งคิด “บางทีพี่สะใภ้อาจไม่นึกเสียใจ” ทุกครั้งที่ได้ยินเวินซื่อพูดถึงผู้เป็นสามี เยี่ยหลีเห็นแววอ่อนโยนและความคิดถึงในดวงตาที่นิ่งสงบคู่นั้น ม่อซิวเหวินอาจเลือกนางเพราะเห็นแก่ตำหนักติ้งอ๋อง แต่ความรู้สึกที่เวินซื่อมีต่อม่อซิวเหวิน หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ม่อซิวเหวินมีต่อเวินซื่อ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีความรักร่วมอยู่ด้วย


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “ตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยให้โอกาสนางได้รู้สึกเสียใจ” ต้าฉู่เพียงห้ามไม่ให้หญิงสาวที่บิดาเสียชีวิตแล้วแต่งงานใหม่ แต่การเป็นแม่หม้ายของตำหนักติ้งอ๋อง การแต่งงานใหม่ก็ไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เวินซื่อที่ไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะสู้หน้าผู้คน และไม่สามารถแม้แต่คิดสิ่งที่จะทำให้ตนเองเสียใจทีหลัง


 


 


“เพียงแต่…อาหลี ข้าอนุญาตให้เจ้าเสียใจทีหลังได้”


 


 


           “ท่านอ๋องกำลังบอกข้าว่า หากท่านตายไปข้าสามารถแต่งงานใหม่ได้หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม


 


 


           ม่อซิวเหยาไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้า “อืม ข้าหมายความเช่นนั้น”


 


 


           เยี่ยหลีเหลือบมองขึ้นฟ้า แอบกลอกตาบนในขณะที่ม่อซิวเหยามองไม่เห็น ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหนทำให้นางต้องหัวเราะเยาะออกมา “เช่นนั้น…ท่านอ๋องคิดอยากจะตายเร็วดีหรือว่าอยากจะหาเรื่องตายเร็วดีหรือ”


 


 


เขาเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังคำถามประหลาดๆ ของนาง ม่อซิวเหยายิ้ม “ข้าว่าข้าจะพยายามตายเมื่อตอนอายุมากแล้วดีกว่า”


 


 


           “อะไรนะ นี่ไม่ใช่ข่าวดีเอาเสียเลย…”


 


 


           “หลบไป!” เยี่ยหลียังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ม่อซิวเหยาก็หมุนตัวมาผลักเยี่ยหลีให้หลบไปทันที


 


 


           “สวบ! สวบ! สวบ!” ทันใดนั้นก็มีเสียงแหวกอากาศพุ่งตรงเข้ามา ต้นไผ่ข้างกายเยี่ยหลีมีประกายเย็นวาบของดาวกระจายทรงข้าวหลามตัดสามดอกปักอยู่


 


 


           “ในเมื่อมาแล้ว เหตุใดจึงไม่ออกมาพบหน้ากันเล่า” ม่อซิวเหยาหลุบตาลง จ้องมองมือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนของเก้าอี้รถเข็นพร้อมเอ่ยขึ้นเรียบๆ


 


 


           “ฮ่าๆ…ม่อซิวเหยา ในที่สุดเจ้าก็ยอมออกมาจากตำหนักติ้งอ๋องแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่กล้าออกมาพบเจอผู้คนแล้วเสียอีก” เสียงหัวเราะอย่างหยิ่งผยองดังขึ้น พร้อมกับเงาของร่างที่สูงใหญ่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในป่าไผ่ จากนั้นก็มีกลุ่มชายชุดดำเข้ามาล้อมปิดไว้ โดยมีสามคนล้อมไว้ตรงกลาง


 


 


           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าเย็นเยียบประหนึ่งหิมะ “เจ้าพูดเช่นนี้…กล้าที่จะเปิดหน้าแล้วพูดอีกครั้งหรือไม่”


 


 


           เสียงหัวเราะของผู้มาใหม่หยุดลงทันที ดวงตามีประกายดุดัน เขาส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปยังเยี่ยหลี “ท่านนี้…คือพระชายาติ้งอ๋องหรือ”


 


 


           “ถูกต้อง ข้า…ยังไม่ได้ขอคำชี้แนะเลย” เยี่ยหลีผงกศีรษะให้


 


 


           “ใจกล้าดีนี่” ชายหนุ่มเอ่ยชื่นชม มองเยี่ยหลีด้วยความเสียดาย “ช่างน่าเสียดาย…”


 


 


           “ม่อซิวเหยา มีสาวงามเช่นนี้ฝังคู่ไปกับเจ้า เจ้าก็คงไม่มีอะไรต้องนึกเสียใจอีกแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้นั้นไม่พูดพล่ามทำเพลง เขาขมวดคิ้วแล้วหันไปโบกมืออีกทีหนึ่ง ชายชุดดำก็ล้อมใกล้เข้ามาทันที


 


 


           “พาตัวพระชายาไปก่อน” ม่อซิวเหยาเอ่ยสั่งการเรียบๆ มีเงาสามสี่ร่างพุ่งเข้ามารวมในกลุ่มอย่างรวดเร็ว อาจิ่นกระโดดลงตรงหน้าม่อซิวเหยาพร้อมกระบี่ยาวในมือ เล็งกระบี่ไปยังกลุ่มชายชุดดำที่ล้อมอยู่ด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นมีคนสองคนกระโดดลงข้างกายเยี่ยหลีซ้ายคนขวาคน เตรียมที่จะพาตัวเยี่ยหลีออกไป ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็เริ่มเข้าต่อสู้กับชายชุดดำทันที เยี่ยหลีมองไปรอบๆ เห็นว่าคนที่อาจิ่นพามามีเพียงเจ็ดหรือแปดคน หากต้องให้คนพานางไปสองคน ก็จะเหลือเพียงห้าคนเท่านั้น แต่ชายชุดดำที่ล้อมอยู่นี้อย่างน้อยๆ ก็มีถึงยี่สิบถึงสามสิบคนได้ ไม่มีเวลาให้คิดนาน เยี่ยหลีรีบสะบัดมือองครักษ์ออก “อยู่ช่วยที่นี่”


 


 


           “พระชายา…” องครักษ์อึ้งไป อยากจะพูดขัด แต่เยี่ยหลีกลับผลักร่างนั้นออกอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหันไปจัดการชายชุดดำที่หมายจะลอบทำร้าย “ไม่ต้องพูดไร้สาระ จัดการคนพวกนี้ก่อนค่อยว่ากัน” ระหว่างพูดก็ได้หมุนตัวกลับไปเตะนักฆ่าที่จะเข้ามาลงมือ เท้ากระทืบลงไปยังนักฆ่าที่เมื่อครู่นางเพิ่งจัดการจนล้มไปแล้วเตรียมตัวที่จะลุกขึ้นมาใหม่ นักฆ่าคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะแน่นิ่งไป


 


 


           องครักษ์ทั้งสองหันมาสบตากัน พร้อมตัดสินใจว่าจะทำตามคำสั่งของพระชายา จัดการนักฆ่าพวกนี้ก่อนค่อยว่ากัน ถึงแม้จะเป็นองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาก็ยังดูไม่ออกว่าพระชายาใช้กระบวนท่าอะไรในการจัดการ แต่ไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขาเห็นว่าพระชายาใช้เพียงสองกระบวนท่าในการป้องกันนักฆ่าคนหนึ่งพร้อมกระทืบนักฆ่าอีกคนหนึ่งจนสลบไป เจ้าคนดวงซวยที่สลบเหมือดอยู่ที่พื้นนั้น ถ้าโชคดีหน่อยคงได้นอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างน้อยก็สามหรือห้าเดือน แต่หากโชคไม่ดีก็คงได้เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต


 


 


เยี่ยหลีต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว จิตใจเยือกเย็น ถึงแม้จะมั่นใจในฝีมือของตนพอสมควร แต่เอาเข้าจริงเยี่ยหลีกลับเข้าไม่ถึงความลึกซึ้งของศิลปะการต่อสู้ของคนยุคโบราณสักเท่าไร และนางก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องลงมือจริงๆ จังๆ มาก่อน หากมีวิชาตัวเบาอย่างของคุณชายเฟิงเย่ว์แล้วละก็ คงรับมือได้ไม่ง่ายนัก ด้วยเพราะคนยุคปัจจุบันต่อให้เก่งเพียงใดก็ยังไม่ถึงขั้นบินไปบินมาได้ แต่ยังโชคดีที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีวิชาตัวเบาที่สามารถบินไปบินมาได้อย่างคุณชายเฟิงเย่ว์ หากเป็นการต่อสู้ระยะใกล้แล้ว เยี่ยหลีคิดว่าตนเองมีฝีมือมากพอที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือได้


 


 


           นักฆ่าเหล่านี้ดูจะไม่คาดคิดมาก่อนว่าชายาติ้งอ๋องที่ดูไม่มีพิษมีภัยคนนี้จะสามารถล้มพวกของตนได้ง่ายๆ พอตั้งสติได้ก็มีอีกคนที่ถูกเยี่ยหลีซัดลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว 

 

 


ตอนที่ 60-3 การลอบสังหารในป่าไผ่

 

ชาติที่แล้วเยี่ยหลีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆ มามากมาย ตั้งแต่เล็กๆ ก็ได้เรียนวิชาต่อสู้ ทั้งเทควันโด ยูโด และแน่นอนว่ามีประสบการณ์การต่อสู้กับพี่ๆ น้องๆ ทั้งหญิงและชายมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อได้เข้ากองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เข้าร่วมกับหน่วยพิเศษ การเรียนที่ว่าก็เปลี่ยนจากการล้มคู่ต่อสู้เป็นสังหารคู่ต่อสู้แทน พละกำลังของผู้หญิงถึงอย่างไรก็สู้ของผู้ชายไม่ได้ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงถนัดการใช้เทคนิคและความเร็วในการต่อสู้มาโดยตลอด การสังหารด้วยหนึ่งกระบวนท่าเช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่ผู้ชายในหน่วยก็ยังมีไม่กี่คนที่กล้าประมือกับนาง ในตอนแรกนางยังจัดการได้ไม่ค่อยถนัดมือนัก แต่เมื่อล้มอีกฝ่ายไปได้สองคน ความรู้สึกเก่าๆ ก็ค่อยๆ เริ่มที่จะกลับมา ผลจากความมุ่งมั่นฝึกฝนร่างกายมาหลายปีนี้ มีโอกาสได้แสดงออกมาให้เห็นแล้ว มิเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เยี่ยหลีผ่านประสบการณ์การสู้รบมาเพียงไร มีฝีมือแค่ไหน แต่หากร่างกายไม่เอื้ออำนวย ก็เปล่าประโยชน์


 


 


           “พระ…พระชายา…” อาจิ่นที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายม่อซิวเหยาอย่างจงรักภักดี เมื่อเห็นสถานการณ์ของอีกฟากหนึ่งแล้วก็ได้แต่ตื่นตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออก หญิงที่เพียงยกเท้าถีบก็สามารถทำให้นักฆ่าที่ตัวสูงใหญ่กว่าเขากระอักเลือดได้คนนั้น คือพระชายาที่แสนจะสุภาพบอบบางท่านนั้นหรือ จู่ๆ อาจิ่นก็นึกถึงคืนนั้นที่เขาเหมือนเห็นกับตาว่าพระชายาใช้วิธีการอะไรสักอย่างทำให้หลีอ๋องสลบไป เขาคิดมาตลอดว่าพระชายาคงใช้อาวุธลับอะไรสักอย่าง แต่ดูจากตอนนี้แล้ว นางดูจะใช้กำลังจัดการเสียมากกว่าละมัง


 


 


           “อาหลี!” เสียงม่อซิวเหยาดังขึ้นทางด้านหลัง ในตอนนั้นเองก็มีกระบี่พุ่งตรงมาจากทางด้านหลัง เยี่ยหลีรีบเอนตัวไปทางด้านหลังหลบปลายกระบี่ของนักฆ่าที่พุ่งมาที่นาง พร้อมใช้กริชที่ไม่รู้อยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไร ฟันเข้าที่ข้อมือที่จับกระบี่อยู่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จับมือนั้นไว้มั่นก่อนอาศัยตัวเขาที่ยืนอยู่เป็นหลักแล้วจับบิดไปทางด้านหลัง จนแขนเกิดเสียงดังกร๊อบ ชายคนนั้นก็ตาเหลือกลงไปกองกับพื้นทันที เยี่ยหลีก้มลงมองด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าตรงหน้าอกชายผู้นั้นมีมีดเล่มเล็กปักอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ปลายมีดแทงทะลุเข้าไปที่เนื้อ เหลือเพียงส่วนด้ามจับที่โผล่พ้นออกมา เห็นชัดว่าเขาถูกแทงตายโดยทันที


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว รีบพุ่งตัวผ่านนักฆ่าทั้งหลายที่รายล้อมเข้ามาไปอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ให้เจ้าหนีไปก่อนหรือ”


 


 


           ระหว่างที่เยี่ยหลีกำลังส่งสายตาเตือนนักฆ่าที่ล้อมอยู่กับอาจิ่นนั้น ก็เอ่ยตอบเขาว่า “หากออกไปเจอคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าจะทำอย่างไร ฟากพี่สะใภ้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”


 


 


           “มีคนไปคอยคุ้มกันพี่สะใภ้แล้ว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ในสำนักซีอู๋เย่ว์มีค่ายกลอยู่มาก หากคนพวกนั้นบุกเข้าไปที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก่อน พวกเราคงรู้ตัวนานแล้ว”


 


 


           ผ่านไปพักหนึ่ง นักฆ่ายี่สิบกว่าคนก็ถูกจัดการไปได้แล้วกว่าครึ่ง ชายคนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ ผู้นั้นหัวเราะอย่างเย้ยหยันว่า “องครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องนี่ไม่เสียชื่อจริงๆ น่าเสียดายที่คนน้อยไปหน่อย!” ชายผู้นั้นพุ่งรี่เข้ามา พร้อมกระบี่ในมือที่เล็งตรงมายังม่อซิวเหยา อาจิ่นรีบกระชับกระบี่ในมือเข้าไปขวางเขาไว้ ทั้งสองคนประมือกันไปสิบกว่ากระบวนท่า แต่ถึงอย่างไรอาจิ่นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปี ไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียวก็ถูกปลายกระบี่ของชายผู้นั้นเล่นงานจนเสียหลักไป ซ้ำแขวนขวายังมีรอยเลือดทะลักออกมาอีกด้วย ชายผู้นั้นไม่ได้สนใจอาจิ่น เมื่อกันเขาออกไปได้แล้ว จึงพุ่งกระบี่เข้าใส่ม่อซิวเหยาอีกครั้ง อาจิ่นร้องด้วยความตกใจ คิดอยากจะลุกเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ถูกนักฆ่าอีกสองคนเข้ามาขวางไว้จนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้


 


 


           “อาหลี หลบไป” ม่อซิวเหยาผลักอาหลีให้หลบไป พร้อมเลื่อนเก้าอี้รถเข็นให้ถอยไปทางด้านหลัง เมื่อหลบกระบี่ไปได้ทีหนึ่ง ทีที่สองก็ตามเข้ามาซ้ำอย่างรุนแรงกว่าเดิม คนที่นั่งขยับไปไหนไม่ได้อยู่บนรถเข็น ย่อมมีความคล่องตัวสู้คนที่ยืนอยู่ไม่ได้ ม่อซิวเหยาเอนตัวหลบทำให้ปลายกระบี่พุ่งเข้าที่พนักพิงของเก้าอี้รถเข็น ม่อซิวเหยายื่นมือไปจับปลายกระบี่ไว้ ขยับแขนเสื้อเพียงเล็กน้อยก็มีอาวุธลับพุ่งตรงไปยังร่างชายผู้นั้นทันที ชายผู้นั้นตกใจรีบชักกระบี่ออกก่อนพุ่งตัวถอยห่างออกไป จึงหลบอาวุธลับที่พุ่งตรงเข้าใส่ได้ ชายหนุ่มยิ้มเย็น ก่อนกระโดดขึ้นไปอยู่ด้านบน ดูเหมือนเขาจะมองออกแล้วว่า จุดอ่อนที่สุดของม่อซิวเหยาก็คือการที่ขยับไปไหนไม่ได้ ต่อให้เขามีความสามารถมากเพียงใด อาวุธลับเยอะแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีวันใช้หมด ม่อซิวเหยาเองก็ไม่หลบหลีกอีกต่อไป เขาสะบัดแส้เส้นยาวขึ้นไปในอากาศเสียงดังฟึ่บ ระยะห่างของทั้งสองไกลขึ้น และทันใดนั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีใครเริ่มลงมือก่อน


 


 


           เยี่ยหลีที่ยืนอยู่อีกด้านก็ไม่รีบร้อน ระหว่างที่ช่วยจัดการคนที่ลอบจะเข้าทำร้ายม่อซิวเหยาที่ถูกล้อมอยู่ ก็จ้องมองชายผู้นั้นเพื่อหาจุดอ่อนของเขาไปด้วย


 


 


           สุดท้าย เมื่อแส้ของม่อซิวเหยาพันเข้าที่ปลายกระบี่ของชายผู้นั้น เยี่ยหลียิ้มก่อนที่จะดึงเอาปิ่นทองบนศีรษะออกมาขว้างใส่ข้อมือของเขา จนดาบหลุดจากมือไป ทันใดนั้นเยี่ยหลีก็พุ่งกริชเข้าใส่อย่างมุ่งทำร้าย กระบวนท่าของเยี่ยหลีถ้าเทียบกับตำราลับของการต่อสู้เล่มไหนๆ แล้ว ถึงแม้จะไม่เรียกว่าดุดัน แต่เพียงสามกระบวนท่า ห้ากระบวนท่า ก็ทำให้ไหล่ขวาและแขนซ้ายของเขาเกิดเป็นรอยแผลได้ เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะด้วยความไม่พอใจ ก่อนเสี่ยงอันตรายพุ่งปลายกริชเข้าใส่หน้าอกของชายผู้นั้นโดยไม่สนว่ามือขวาของเขากำลังพุ่งเข้าใส่ตน สีหน้าชายผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที ใช้มือขวาตบเข้าที่เยี่ยหลีอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตอนนี้เยี่ยหลีจะถอยก็ถอยไม่ทันเสียแล้ว ทันใดนั้น ก็มีปลายแส้เรียวเล็กพุ่งมาพันเข้าที่เอวของเยี่ยหลี ก่อนมีแรงดึงเยี่ยหลีออกไปทางด้านหลัง เยี่ยหลีหลบฝ่ามือของชายผู้นั้นออกมาได้อย่างปลอดภัย ก่อนมาหยุดยืนนิ่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา


 


 


           ชายผู้นั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลสีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดไปทันที เขากัดฟันแน่น แผลบริเวณหน้าอกมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ตอนที่แส้ของม่อซิวเหยามาพาเอาตัวเยี่ยหลีออกไปนั้น เยี่ยหลีบิดกริชที่แทงอยู่ที่หน้าอกเขา กริชที่แหลมคมดูจะบิดเนื้อหน้าอกเขาไปครึ่งรอบก่อนถูกดึงออกไป ตอนนี้หน้าอกเขาจึงมีเลือดไหลออกจากปากแผลฉกรรจ์ เอามือกดอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วก้มมองกริชในมืออย่างไม่พอใจ กริชประเภทนี้เมื่อเทียบกับดาบยาวที่เยี่ยหลีชอบแล้ว สิ่งนี้ถือได้ว่าเป็นขยะชัดๆ


 


 


           “แค่กๆ… กับแค่พระชายาติ้งอ๋อง ไม่คิดว่าจะมีความร้ายกาจซ่อนอยู่” ชายผู้นั้นยกมือกดปากแผลที่หน้าอกไว้ กระแอมไอก่อนเอ่ยขึ้น


 


 


           “หากคนอื่นไม่ทำข้า ข้าก็จะไม่ทำใคร” เยี่ยหลีจ้องเขาพร้อมเอ่ยเสียงเย็น


 


 


           “วันนี้ข้าจะพอแค่นี้ก่อน ม่อซิวเหยา วันนี้ถือว่าเจ้าดวงดีที่ได้แต่งงานกับพระชายาที่มีฝืมือร้ายกาจ” ชายผู้นั้นเหลือบมองลูกน้องที่ถูกจัดการจนเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน รู้ดีว่าการลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวเสียแล้ว ถึงจะเหลือลูกน้องอยู่อีกเจ็ดแปดคน แต่หากมีจำนวนเท่ากันแล้ว ลูกน้องของเขาคงไม่สามารถจัดการกับองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องได้ “แต่ต่อให้เจ้ารอดไปได้ครั้งหรือสองครั้ง แต่หากแปดครั้งหรือสิบครั้ง เจ้าก็รอดไปไม่ได้ตลอดหรอก ม่อซิวเหยา เจ้าคงรู้ดีว่ามีอีกกี่คนที่คิดอยากเอาชีวิตเจ้า ฮ่าๆ…ข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่ใต้ดิน!” พูดจบ ชายผู้นั้นก็ได้ทิ้งม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไว้ ก่อนพูดเสียงดุดันว่า “ล้มเลิกภารกิจ แยกย้าย!” จากนั้นนักฆ่าในชุดดำก็ค่อยๆ ล่าถอยพร้อมกับขวางทางองครักษ์ที่ตามมาจัดการพวกตนไว้ ก่อนจะถูกกระบี่แทงเข้าไปคนละทีจนสิ้นใจตาย


 


 


           “ตาม!”


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “พวกมันหมดทางแล้ว ไม่ต้องตามหรอก กลับกันก่อนเถิด”


 


 


           องครักษ์ที่คิดจะตามไป จึงหยุดลงทันที อาจิ่นโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขาตรวจตรานักฆ่าที่นอนอยู่ที่พื้นทันที


 


 


           อาจิ่นไม่ได้สนใจแผนบนไหล่ขวาของตน เขากระชับกระบี่ของตนในมือ “พระชายา…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “เพียงแค่โชคช่วยน่ะ” เมื่อสักครู่ดูเหมือนจะชนะได้ง่ายๆ แต่หากไม่มีม่อซิวเหยาคอยช่วย ต่อให้สามารถทำให้นักฆ่าคนนั้นบาดเจ็บได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็คงต้องเจ็บหนักอยู่ดี เพราะไม่ว่าเรื่องพละกำลังหรือความเร็วนางล้วนมีไม่เพียงพอ มีหลายครั้งที่นางทำร้ายอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ด้วยเพราะกำลังไม่พอ ทำให้ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บหนักได้ อีกอย่างคือต่อให้หาจุดอ่อนของอีกฝ่ายพบ แต่ด้วยเพราะตนมีความเร็วไม่พอทำให้ไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ


 


 


           “ท่านเก่งกาจมาก อาจิ่นเอาชนะเขาไมได้” อาจิ่นเอ่ยยืนยันอีกครั้ง


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “หากข้าจัดการเขาไม่ได้ภายในหนึ่งเค่อ คนที่ตายคงเป็นข้า”


 


 


           “พระชายาเก่งกาจเหลือเกิน อาจิ่นขอเรียนวิชาต่อสู้กับพระชายาได้หรือไม่” อาจิ่นเป็นเด็กมีความดันทุรังคนหนึ่ง จึงจ้องมองเยี่ยหลีอย่างไม่ลดละ หากเขาเก่งกาจได้อย่างพระชายา เมื่อสักครู่คงไม่ต้องถึงมือท่านอ๋อง


 


 


           ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าสับสน “ข้าคิดว่าอาหลีเป็นเพียงวิชาป้องกันตัวเท่านั้น ตอนนี้ดูท่าข้าจะเข้าใจผิดไปเสียแล้ว อาหลีมักทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ” ที่เยี่ยหลีจัดการศัตรูเมื่อสักครู่ เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง แววตากับการโจมตีโดยไม่ลังเลเช่นนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวธรรมดาทั่วไปมีแน่นอน ต่อให้ในหมู่องครักษ์เองก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เด็ดเดี่ยวและดุดันเท่านาง เขากล้าพูดได้เลยว่า ต่อให้มีองครักษ์สามคนรุมโจมตีนางพร้อมๆ กัน คนที่แพ้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอาหลี แค่เพียงม่อซิวเหยาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เยี่ยหลีที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างลูกคุณหนูตั้งแต่เด็กๆ เหตุใดจึงมีฝีมือเช่นนี้ได้ ใครไม่รู้คงคิดว่านางเป็นคนที่เกิดและเติบโตในสนามรบ คุ้นเคยกับการเกิดและการตาย ไม่ใช่คุณหนูลูกผู้ดีที่เกิดในตระกูลใหญ่


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ไม่รีบร้อนที่จะอธิบายตัวเอง “ขอเพียงท่านอ๋องไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจก็พอแล้ว”


 


 


           ม่อซิวเหยามองนางอยู่เป็นนาน ในที่สุดจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วถามว่า “อาหลี เจ้าคือคุณหนูสามตระกูลเยี่ย และเป็นหลานสาวของตระกูลสวีจริงๆ หรือ”


 


 


           เยี่ยหลีตอบว่า “แน่นอนสิ”


 


 


           “เช่นนั้น…ไว้รอเจ้าอยากเล่าก่อนค่อยเล่าให้ข้าฟังก็แล้วกัน”


 


 


           เยี่ยหลีอึ้งไป มองม่อซิวเหยาอยู่นานโดยไม่ได้พูดอะไร ด้วยสถานการณ์ของม่อซิวเหยาและตำหนักติ้งอ๋อง การที่สามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมาก ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงได้เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ถึงแม้ตอนนี้ข้าจะบอกทุกเรื่องให้ท่านฟังไม่ได้ แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่าข้าคือเยี่ยหลี อีกอย่าง การที่ข้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นอื่น”


 


 


           “ข้าเชื่อเจ้า พวกเราเป็นสามีภรรายากันมิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาพูดเสียงเบา


 


 


           “ขอบคุณมาก” เยี่ยหลีพูดเสียงเบา รู้สึกโล่งใจขึ้น นางไม่ใช่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า หากถูกจับได้ว่านางไม่เหมือนกับคนอื่นจะทำอย่างไร เดิมทีเคยนางคิดจะให้ม่อซิวเหยาช่วยหาอาจารย์มาฝึกวิชาการต่อสู้ให้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ทำให้ทุกคนเริ่มชิน แต่อันที่จริงวิธีการนี้ก็ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร อย่างน้อยนางก็ไม่มั่นใจว่าจะปิดม่อซิวเหยาได้ หากเกิดไปทำให้ม่อซิวเหยานึกสงสัยเข้าจะยิ่งลำบาก ตอนนี้ถือว่าประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็ยินดีที่จะเชื่อใจนาง ไม่ว่าจะเชื่อมากเชื่อน้อย แต่ก็มากกว่าที่นางเคยคาดคิดไว้มากแล้ว 

 

 


ตอนที่ 61-1 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา

 

“อาหลี ระวัง!”


 


 


ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาดังขึ้น จนทำให้เยี่ยหลีตกใจหันไปมอง ก็เห็นลูกธนูเหล็กกำลังพุ่งตรงมาที่นาง เยี่ยหลีขว้างกริชในมือออกไปทันที เมื่อเห็นมีเงาคนขยับ ก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งมาผลักนางลงกับพื้น


 


 


“ม่อ…ซิวเหยา…” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกด้วยความไม่มั่นใจ ยกมือขึ้นประคองแผ่นหลังของม่อซิวเหยา แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างซึมออกมา


 


 


ม่อซิวเหยาล้มลงข้างกายเยี่ยหลีอย่างหมดแรง พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร…”


 


 


“ท่านอ๋อง!” อาจิ่นรีบเข้ามาประคองม่อซิวเหยา


 


 


 ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ใบหน้าซีดขาว “ข้าไม่เป็นไร ลองดูว่ายังมีใครรอดชีวิตอยู่หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งมองไปข้างหน้า คนที่ยิงลูกธนูเหล็กเมื่อครู่ร่วงลงมานอนตายอยู่ที่พื้น หน้าอกมีกริชของนางปักอยู่ และคนนี้เอง…เป็นคนที่เยี่ยหลีจัดการจนสลบไป ไม่รู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เยี่ยหลียิ้มขื่นๆ ในใจ นี่นางห่างหายจากสนามรบไปนานเสียจนลืมไปแล้วหรือว่าอะไรที่เรียกว่าไม่ประมาท นางถึงขั้นปล่อยให้คนรอดชีวิตอยู่ได้ตั้งหลายคนในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่…อันที่จริงนอกจากคนสุดท้ายคนนี้แล้ว นางไม่ได้ทำให้ใครตายเลยสักคน หากคนเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาได้…นางอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้


 


 


มือใหญ่อุ่นๆ วางลงบนมือของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยามองหน้านางแล้วยิ้มน้อยๆ “อาหลี ข้าไม่เป็นไร”


 


 


เยี่ยหลีกัดริมฝีปาก พูดเสียงดุว่า “บาดเจ็บแล้วยังว่าไม่เป็นอะไรอีกหรือ เช่นนั้นแล้วต้องอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นอะไร” นางให้อาจิ่นประคองม่อซิวเหยาไว้ เยี่ยหลีดึงกริชของตนกลับมาเช็ดทำความสะอาด จากนั้นพลิกดูเสื้อด้านหลังเขาเห็นว่าเลือดที่ออกมาสีดูปกติดี ลูกธนูนั้นคงไม่ได้อาบยาพิษไว้ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงต่ำๆ ว่า “ไม่ตายก็ถือว่าไม่เป็นอะไร”


 


 


เยี่ยหลีกัดฟัน โบกมือให้อาจิ่นและองครักษ์อีกคนมานำตัวเขากลับสำนักชีอู๋เย่ว์ ไม่ต้องรอให้นางสั่ง ก็มีองครักษ์คนหนึ่งกระโดดลอยขึ้นไป คงไปเชิญท่านหมอมาเป็นแน่


 


 


เมื่อกลับไปถึงสำนักชีอู๋เย่ว์ ก็เป็นอย่างที่ม่อซิวเหยาบอกไว้ ในสำนักชีอู๋เย่ว์ไม่มีนักฆ่าเข้ามาโจมตีจริงๆ เมื่อเวินซื่อทราบข่าว นางก็ออกมารอพวกเขาที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกลับมาก็รีบเข้ามาพาพวกเขาไปยังห้องพักแขกที่จัดเตรียมไว้ ถึงแม้อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยาดูจะไม่สาหัสมาก แต่เยี่ยหลีสังเกตดูแล้วว่าธนูเหล็กดอกนั้นมีตะขออยู่ด้วย ตอนเอาลูกธนูออกคงจะมีเลือดทะลักออกมามากพอดูทีเดียว เยี่ยหลีกลัวว่าจะทำให้เวินซื่อตกใจ จึงได้เชิญให้เวินซื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียก่อน เวินซื่อมองหน้านางก่อนที่จะออกไปเตรียมอาหารให้พวกเขาด้วยสีหน้าไม่วางใจ


 


 


ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วเป็นพักๆ เพราะบาดแผลที่หลัง เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ็บมากหรือ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”


 


 


ม่อซิวเหยาฝืนยิ้ม “หมอมาแล้วก็เพียงเอาลูกธนูออกเท่านั้น ให้อาจิ่นจัดการเลยเถิด เขาน่าจะคล่องแคล่วกว่าหมอเสียอีก”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองอาจิ่น “เขาเอาลูกธนูออกเป็นหรือ ลูกธนูเหล็กดอกนั้นมีตะขออยู่ด้วยนะ” หากเป็นลูกธนูทั่วไปและไม่ได้ปักเข้าที่ส่วนสำคัญ ดึงออกมาธรรมดาก็ได้แล้ว แต่ลูกธนูที่มีตะขออยู่ด้วยนั้นดึงออกยากนัก หากฝืนดึงออกมา เกรงว่าคงกระชากเนื้อติดออกมาด้วยชิ้นใหญ่เป็นแน่ อาจิ่นส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


ม่อซิวเหยาไม่สนใจ “หากยิงทะลุไปเลยคงประหยัดเวลาไปมาก”


 


 


เยี่ยหลีมองเขานิ่ง อดที่จะพูดประชดออกไปไม่ได้ “หากยิงทะลุต่ำไปสักสองชุ่น[1] คงได้ประหยัดเวลาไปได้จริงๆ”


 


 


“อาหลี…เจ้าโกรธหรือ” ม่อซิวเหยาถอนใจ มองนางด้วยสายตาอบอุ่นประหนึ่งคนที่ถูกลูกธนูปักเข้าที่หลังไม่ใช่เขาเสียอย่างนั้น


 


 


“ข้า! …” เยี่ยหลีก้มหน้าลงอย่างหัวเสีย ครู่ใหญ่จึงจะสงบลงได้ “ขอโทษด้วย ข้ากำลังโกรธตัวเองอยู่” หากไม่ใช่เพราะนางประมาทศัตรูเกินไป หากนางไม่ได้กำลังคิดอะไรจนเหม่อลอย ม่อซิวเหยาคงไม่บาดเจ็บ นางใช้ชีวิตที่สงบสุขเกินไปมาหลายปี จนทำให้ความระแวดระวังของนางลดถอยลง หากอยู่ในสนามรบอย่างเมื่อก่อน นางคงได้ตายไปสักสิบเจ็ดสิบแปดรอบแล้ว


 


 


แล้วท่านหมอก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เพราะถูกคนยกคอเสื้อลากเข้ามา หมอคนนี้ดูจะมีความกล้าอยู่หลายส่วน โดนหิ้วคอเสื้อรีบวิ่งมาตลอดทางเช่นนี้แล้วเมื่อถูกปล่อยตัวลงกับพื้นยังเข้ามาตรวจบาดแผลม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด เมื่อดูแผลเสร็จแล้ว หมอยังได้หยิบเอาลูกธนูเหล็กที่เยี่ยหลีเก็บกลับมาดูอยู่พักใหญ่ ก่อนพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะใช้มีดเปิดปากแผลให้กว้างขึ้นแล้วค่อยดึงออกมา หรือไม่ก็…แทงลงไปอีกหน่อยแล้วดึงออกทางข้างหน้า พวกท่านเห็นว่า…”


 


 


“อย่างหลังก็แล้วกัน”


 


 


“ดึงออกทางข้างหน้า”


 


 


เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาพูดขึ้นพร้อมกัน พูดจบยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่าย เยี่ยหลีเลื่อนสายตากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านหมอ ท่านเห็นว่าอย่างไร” ท่านหมอพยักหน้าด้วยความพอใจ “ทั้งสองท่านเลือกได้หลักแหลมนัก การเอาธนูออกด้วยวิธีนี้ ถึงจะฟังดูเจ็บมาก แต่ก็เจ็บเพียงแค่ตอนนั้น แต่การใช้มีดค่อยๆ กรีดเนื้อกลับจะค่อยๆ ทรมาน อีกทั้งยังหายช้าอีกด้วย”


 


 


“ท่านหมอดูจะเชี่ยวชาญกับบาดแผลจากธนูเช่นนี้” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้น ระหว่างที่ประคองม่อซิวเหยาง นางก็มองท่านหมอที่เตรียมพร้อมอย่างคล่องแคล่วไปด้วย


 


 


ท่านหมอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองว่า “แต่ก่อนข้าเป็นหมอทหาร”


 


 


ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง


 


 


ท่านหมอทำความสะอาดปลายลูกธนู จากนั้นจึงได้จับปลายธนูไว้มั่นก่อนดันไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นร่างของม่อซิวเหยาแข็งเกร็งขึ้น มือข้างหนึ่งจับแขนของเยี่ยหลีไว้แน่น เยี่ยหลีประคองเขาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร มองท่านหมอใช้เชือกที่มัดไว้เป็นปมเกี่ยวเข้าส่วนหัวของธนูที่โผล่พ้นออกมาพร้อมกับตะขอแล้วจึงออกแรงดึง ลูกธนูเหล็กทั้งดอกก็หลุดออกจากหน้าอกของม่อซิวเหยาพร้อมกับเลือดจำนวนหนึ่งกระเด็นตามออกมา ท่านหมอรับสุราที่มาทำความสะอาดแผลให้เขา จากนั้นจึงทายาพร้อมกับนำผ้าขาวมาพันแผลให้เขาอย่างชำนาญ เสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผาก “เสร็จแล้ว ไม่ได้ถูกส่วนที่เป็นอันตราย และไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก ใส่ยาใหม่วันละครั้ง แล้วรักษาตัวให้ดีก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”


 


 


เยี่ยหลีมองอ่างน้ำที่แดงด้วยสีเลือด แล้วยังมีผ้าสีขาวที่เต็มไปด้วยเลือดอีกกองใหญ่ “ต้องกินยาอะไรหรือไม่ อย่างพวกยาบำรุงเลือด”


 


 


ท่านหมอเบ้ปากอย่างดูแคลน “ท่านอ๋องอายุยังน้อย สุขภาพก็ไม่แย่ พักผ่อนให้ดีเป็นใช้ได้ แต่หากพระชายาไม่วางใจจริงๆ จะตุ๋นน้ำแกงซื่ออู้ทัง[2] น้ำแกงตังกุยบำรุงเลือด หรือพวกน้ำแกงพุทราแดงก็ได้” เยี่ยหลีมองใบสั่งยาใช้ภายนอกพร้อมท่านหมอที่กอดกระเป๋ายา เยี่ยหลีก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ทำไมนางถึงรู้สึกว่าน้ำแกงที่ท่านหมอพูดถึงนั้นดูเป็นน้ำแกงที่ให้ผู้หญิงกินเสียมากกว่า “ท่านหมอท่านนี้…ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”


 


 


ม่อซิวเหยายิ้ม “นั่นเป็นหมอประจำตำหนักของเรา เมื่อก่อนเป็นหมอทหารประจำหน่วยเฮยอวิ๋นฉี”


 


 


ม่อซิวเหยาบาดเจ็บ เวินซื่อจึงให้ทั้งสองพักฟื้นอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก่อน ค่อยยังชั่วแล้วค่อยกลับเมืองหลวง แต่กลับถูกม่อซิวเหยาปฏิเสธ เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ในเมื่อนักฆ่าพวกนั้นกล้าลอบสังหารม่อซิวเหยาอย่างอุกอาจทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงเพียงเท่านี้ได้ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่ล้มเลิกเพียงเพราะความล้มเหลวในครั้งนี้ เวินซื่อเองก็ลตัดสินใจที่จะละทิ้งทางโลกไปแล้ว หากพวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไป รังแต่จะนำพาอันตรายมาให้นางเปล่าๆ จนเมื่อองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องมาถึง ม่อซิวเหยาจึงสั่งให้ทิ้งคนจำนวนหนึ่งไว้คอยอารักขาเวินซื่อ แล้วจึงได้พาอาหลีกลับเมืองหลวง


 


 


เรื่องที่ท่านติ้งอ๋องถูกโจมตีจนบาดเจ็บใกล้เมืองหลวงนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะสั่งให้คนปิดข่าวนี้ไว้ เมื่อพวกเขากลับถึงเมืองหลวง บรรดาผู้มียศศักดิ์ในเมืองหลวงดูจะยังไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็ไม่ต้องไปราชการทุกวันเหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ว่างอยู่ ถือโอกาสพักฟื้นอยู่ที่ตำหนักเสียเลย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อกลับถึงตำหนักมาได้ไม่เท่าไร ซุนหมัวมัวก็อาศัยข้ออ้างที่ว่าม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บต้องมีคนคอยดูแลใกล้ชิด จับม่อซิวเหยาส่งเข้ามาอยู่ที่เรือนของเยี่ยหลีเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวรวมถึงหัวหน้าพ่อบ้านม่อต่างเห็นดีด้วย สั่งการให้บ่าวขนข้าวของของม่อซิวเหยาไปห้องใหม่ด้วยความยินดี  ท่าทางตื่นเต้นยินดีนั้น ดูเหมือนจะลืมเรื่องที่เจ้านายของตนถูกลอบสังหารจนบาดเจ็บหนักไปเสียสนิท


 


 


ด้วยความพยายามอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนทั้งตำหนัก ทำให้เยี่ยหลีต้องจำใจรับหน้าที่ใส่ยาให้ม่อซิวเหยาทุกวัน ถึงแม้เยี่ยหลีเคยเป็นทหารที่เห็นการบาดเจ็บและการตายมามาก แต่เมื่อได้เห็นบาดแผลบนตัวของม่อซิวเหยาแล้ว ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ดี ไม่เพียงบาดแผลบริเวณหน้าอกและแผ่นหลังเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลจากกระบี่ และรอยแผลอื่นๆ อีกเต็มไปหมด ทำให้คนยากที่จะนำร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลนี้รวมเข้ากับภาพลักษณ์คุณชายผู้แสนสุภาพของม่อซิวเหยาได้ บัดนี้เยี่ยหลีเข้าใจแล้วว่า ที่ม่อซิวเหยาพูดว่า “ไม่ตายก็ถือว่าไม่เป็นอะไร” นั้น หมายความว่าอย่างไร คนที่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นแล้วยังสามารถรอดชีวิตมาได้ ย่อมเคยผ่านเหตุการณ์เหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาอย่างที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้เป็นแน่ ทุกครั้งที่นางมาใส่ยาให้แล้วเห็นเขาส่งยิ้มให้นางอย่างสงบเช่นนี้ ในใจเยี่ยหลีอดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นไม่ได้ แต่นางไม่ใช่คนที่ชอบคิดยอกย้อน จึงรีบสรุปว่าที่นางรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้เป็นเพราะม่อซิวเหยาต้องบาดเจ็บก็เพราะนาง พร้อมทั้งพยายามที่จะชดเชยและแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว


 


 


 


 


 


 


[1] ชุ่น หน่วยนิ้วของจีน หรือประมาณ 3.3 เซนติเมตร


 


 


[2] ซื่ออู้ทัง ต้นตำรับยาบำรุงเลือดของจีน 

 

 


ตอนที่ 61-2 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา

 

เยี่ยหลีปฏิเสธเรื่องที่ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาบอกว่าจะหาอาจารย์มาฝึกเพลงกระบี่ให้กับนาง ในทุกวันนอกเหนือจากคอยจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตำหนักและดูแลม่อซิวเหยาแล้ว เวลาที่เหลือนางทุ่มเทให้กับสนามฝึกลับภายในตำหนัก มุ่งมั่นฝึกฝนพละกำลังและความเร็วของตนเอง ขณะเดียวกันก็ค่อยฝึกกำลังภายในตามที่ม่อซิวเหยาแนะนำ แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่า การฝึกกำลังภายในนั้นไม่ใช่ว่าคิดจะทำก็ทำได้เลย เพราะเรื่องกำลังภายในที่ว่านี้ ว่ากันว่าสามารถฝึกจนถึงขั้นสามารถแยกภูเขาหรือหินได้เลยทีเดียว เยี่ยหลีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องใช้มือตนเองในการแยกภูเขาหรือหินด้วยเล่า หากสามารถฟื้นร่างกายจนอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดของนางได้แล้ว ต่อให้ไม่มีกำลังภายใน หมัดของนางก็สามารถต่อยกระดูกคนให้หักได้แล้ว แต่ที่ทำให้เยี่ยหลีพอใจก็คือ ร่างกายนี้มีความสามารถที่ซ่อนอยู่พอตัวทีเดียว อย่างที่ม่อซิวเหยาบอกว่า ถือได้ว่าเป็นร่างกายที่เหมาะแก่การฝึกการต่อสู้


 


 


ดังนั้น เยี่ยหลีจึงใช้เวลากว่าครึ่งค่อนวันอยู่ในสนามฝึกซ้อมที่ถูกนางปรับเปลี่ยนไปไม่น้อย ด้วยมีเพียงนางกับม่อซิวเหยาที่มาใช้สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ได้เข้ามายุ่งว่านางจะเปลี่ยนอะไรอย่างไร หรือจะฝึกซ้อมอย่างไร เพียงแค่บางครั้งที่ไม่มีธุระอะไรก็จะมาดูนางฝึกอยู่ที่ข้างสนาม มีเพียงอาจิ่นที่ตั้งแต่ได้เห็นฝีมือของเยี่ยหลีในการจัดการกับศัตรูแล้วก็ได้แต่เฝ้าคิดถึง ทุกครั้งที่ติดตามม่อซิวเหยามาก็จะตั้งหน้าตั้งตาดูเยี่ยหลีกับชิงซวงและชิงหลวนที่มาร่วมฝึกด้วย ขาดก็แค่ยังไม่ได้ขอให้พระชายารับตนเป็นศิษย์เท่านั้น


 


 


ม่อซิวเหยาเกิดมาในตระกูลที่เป็นชายชาติทหาร ในตอนนี้เขายังดูไม่ออกจริงๆ ว่าการฝึกของเยี่ยหลีมีข้อดีอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ก็ค่อยๆ เข้าใจถึงวิธีการ เมื่อเขาเห็นอาจิ่นจ้องมองร่างของหญิงงามทั้งสามคนฝึกฝนกันอยู่ในสนามอย่างน่าสงสาร ม่อซิวเหยาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขอร้องแทนเขา เมื่อเยี่ยหลีได้ฟังก็เพียงหัวเราะ


 


 


“ตอนนี้ข้าเพียงฝึกให้ร่างกายฟื้นฟูกลับมาเท่านั้น ความสำคัญตอนนี้คือการฝึกพละกำลัง ความเร็ว และความอดทน ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร อาจิ่นเพียงแค่ต้องติดตามท่านทุกวันคงไม่มีเวลาเท่านั้นเอง”


 


 


ฟื้นฟูคำนี้ทำให้ม่อซิวเหยาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อาหลีคิดว่าการฝึกเช่นนี้จะทำให้สามารถต่อกรกับผู้มีวิชาที่ฝีมือดีได้หรือ”


 


 


เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รับผ้าเช็ดหน้าจากมือม่อซิวเหยามาซับเหงื่อ “แล้วแต่คนกระมัง วิธีการนี้ของข้าสำคัญที่ใช้เวลาน้อย อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถ พรสวรรค์ และความเข้าใจเฉพาะตัวของแต่ละคนมากนัก ยกตัวอย่างเช่นวิธีการฝึกกำลังภายในที่ท่านให้ข้ามาก็แล้วกัน หากไม่คำนึงถึงความฉลาดและความสามารถในการเข้าใจแล้ว ต่อให้ข้าฝึกวันละสิบชั่วยาม จะต้องใช้ระยะเวลานานแค่ไหนกว่าจะฝึกได้สำเร็จ”


 


 


ม่อซิวเหยานิ่งคิด เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองเขา “การฝึกของข้า ถึงแม้จะฝึกจนกระโดดขึ้นหลังคาหรือวิ่งบนกำแพงได้อย่างยอดฝีมือนักบู๊ไม่ได้ แต่อย่างมากหนึ่งปี ก็สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงที่สุดได้ และหากได้ฝึกทักษะของแต่ละด้านอย่างจริงจัง…ยอดฝีมือนักบู๊อย่างไรก็มีเพียงชีวิตเดียว” ม่อซิวเหยาจึงได้เข้าใจ คนที่ร่างกายดีมีมาก แต่ยอดฝีมือนักบู๊กลับมีไม่มากนัก ดังนั้นไม่ใช่ทุกคนที่ร่างกายแข็งแรงจะสามารถเป็นยอดฝีมือนักบู๊ได้ แต่เยี่ยหลีดูจะค้นหาเส้นทางในการฝึกฝนใหม่ เปิดกำลังภายในทางอ้อม อาศัยกำลังในการฝึกการต่อสู้ดูจะทำให้คนกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้


 


 


“ความคิดของอาหลีพิเศษมาก ข้าจะรอชมผลงานของอาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ


 


 


“ขอบคุณมาก” เยี่ยหลีหัวเราะ นางไม่ติดหากจะเปิดเผยบางอย่างให้ม่อซิวเหยารู้ เพราะมีเพียงม่อซิวเหยาเท่านั้นที่สามารถให้ในสิ่งที่นางต้องการได้


 


 


ทั้งตำหนักนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่พอใจกับความลุ่มหลงในศิลปะการต่อสู้ของเยี่ยหลี นั่นก็คือหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัว ทั้งสองคนดูจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่า เหตุใดคุณหนูที่เคยจะเรียบร้อยและบอบบางเมื่อแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องแล้วถึงได้เปลี่ยนไปชอบถือมีดใช้อาวุธเสียได้ พวกนางถึงขั้นคิดหาทางพูดอ้อมๆ ว่าหญิงสาวที่ดีควรจะสุภาพอ่อนหวาน หากแข็งแกร่งเกินไปจะทำให้ท่านอ๋องไม่ชอบ พวกนางพร่ำบ่นเสียจนแค่เยี่ยหลีได้ยินเสียงหมัวมัวทั้งสองก็แทบอยากจะหมุนตัววิ่งหนีไปทันที แต่ม่อซิวเหยากลับเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกไปเสียอย่างนั้น จึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ปล่อยให้เยี่ยหลีถูกหมัวมัวทั้งสองบ่นจนเหนื่อยอ่อนไปเอง


 


 


“ท่านอ๋อง พระชายา ตำหนักหลีอ๋องส่งจดหมายเชิญมาพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อนำจดหมายเชิญร่วมงานมงคลสมรสสีแดงสดรูปมังกรหงส์คู่เข้ามาให้ด้วยตนเอง


 


 


เยี่ยหลียื่นมือไปรับพร้อมเลิกคิ้ว “หลีอ๋องรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาเป็นชายาหรือ”


 


 


หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็ทราบดีว่าตอนนี้คนที่เป็นชายาหลีอ๋องคือน้องสาวแท้ๆ ของพระชายา จึงเอ่ยปากอธิบายว่า “ในจดหมายเชิญที่ส่งมาจากตำหนักหลีอ๋องเขียนว่ารับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาเป็นเป็นพระชายาร่วมพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลายวันนี้ ทั้งเพราะอาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา ทั้งเยี่ยหลีเองก็มัวแต่ยุ่งเรื่องของตนเองอยู่ จึงไม่ได้ไปสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน จนเยี่ยหลีเกือบลืมเรื่องงานแต่งงานขององค์หญิงหลิงอวิ๋นและองค์หญิงซีสยาไปเสียแล้ว


 


 


“เช่นนั้น…องค์หญิงซีสยาเข้าวังไปหรือยัง” เยี่ยหลีถามด้วยความอยากรู้


 


 


หัวหน้าพ่อบ้านม่อตอบ “องค์หญิงซีสยาตอนนี้ยังอยู่ที่ตำหนักองค์หญิงเจาหยางพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนฮ่องเต้และฮองเฮาจะให้เลือกวันมงคลในเดือนแปดเป็นวันรับองค์หญิงซีสยาเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ แต่ได้พระราชทานพระนามพร้อมยศศักดิ์ลงมาแล้ว องค์ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งองค์หญิงซีสยาให้เป็นสยาเฟยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนทางองค์หญิงหลิงอวิ๋น ด้วยเพราะเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อจะต้องรีบออกเดินทางกลับแคว้นซีหลิง จึงต้องรีบจัดงานแต่งงานให้เร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” ที่หัวหน้าพ่อบ้านม่อไม่ได้เอ่ยถึงคือ ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะได้เป็นพระชายาร่วม แต่ถึงอย่างไรพระชายาร่วมก็ไม่เหมือนกับพระชายาเอก ย่อมไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมงานให้มากมายเช่นตอนแต่งพระชายาเอก


 


 


“งานเลี้ยงจะจัดขึ้นเมื่อใด” ม่อซิวเหยาถาม


 


 


“อีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว หัวหน้าพ่อบ้านไปเตรียมของขวัญแสดงความยินดีแทนข้ากับพระชายาที”


 


 


หัวหน้าพ่อบ้านม่อถามด้วยความลังเล “ความหมายของท่านอ๋องคือจะไปร่วมงานแต่งงานหรือพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องเพิ่งจะถูกลอบสังหารมา การจะออกไปร่วมงานเลี้ยงย่อมน่าเป็นห่วง


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ คงไม่อาจเก็บตัวอยู่แต่บ้านได้กระมัง รีบไปเตรียมการเถิด”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านรับคำแล้วออกไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เพียงต้องเตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้กับหลีอ๋องเท่านั้น เขายังต้องจัดหาองครักษ์และองครักษ์ลับที่ไว้คอยติดตามข้างกายท่านอ๋องและพระชายาอีกด้วย จะต้องให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก


 


 


เมื่อเห็นหัวหน้าพ่อบ้านม่อรีบเดินออกไป เยี่ยหลีจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ นางหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ไม่รู้ทำไม ข้าจึงมักรู้สึกว่าวันสบายๆ กำลังจะหมดลงแล้ว”


 


 


ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เจ้าชอบใช้ชีวิตสบายๆ หรือ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ให้ดีที่สุดคือสงบสุข ราบรื่นไปจนแก่ จากนั้นก็นอนอยู่บนเตียงรอวันสุดท้ายอย่างไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจภายหลัง”


 


 


ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงต้องฝึกวิชาต่อสู้ด้วยเล่า” ม่อซิวเหยารู้สึกว่าเยี่ยหลีเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตนเองอยู่มาก ถึงแม้นางจะแสดงออกว่าตนเองเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลที่แสนจะสุภาพเรียบร้อย แต่ตั้งแต่พบกันครั้งแรก เขาก็รู้สึกว่านางไม่เหมือนกับคุณหนูลูกผู้ดีเอาเสียเลย บางครั้งนางยังดูเป็นบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่มากกว่ามู่หรงถิงเสียอีก แววตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายออกมาให้เห็นในบางครั้งนั้นยิ่งไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ในหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งแน่นอน


 


 


เยี่ยหลีถอนใจ “ท่านคิดเสียว่าข้าเตรียมพร้อมไว้สำหรับเวลาสงบสุขก็แล้วกัน” ต่อให้บอกเขาว่านางต้องการที่จะมีชีวิตอันสงบสุขเฉกเช่นเดียวกับลูกผู้ดีมีตระกูลทั่วไป แต่ในใจเยี่ยหลีรู้ดีกว่า ไม่มีทางที่นางจะยกชีวิตของตนทั้งหมดไปไว้ในมือคนอื่นอย่างเช่นเวินซื่อเด็ดขาด เรื่องที่ท่านพ่อปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เท่าเทียม กฎระเบียบอันซับซ้อน หรือแม้แต่เรื่องงานแต่งงานของตนเอง นางสามารถยอมได้ แต่นางจะไม่มีทางยอมในเรื่องที่เป็นตัวตนของเยี่ยหลีอย่างแน่นอน นางไม่มีทางยอมให้ตนเองกลายเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอที่ทำอะไรไม่เป็น ปกป้องตัวเองยังไม่ได้ ต้องคอยแต่จะพึ่งพาคนอื่น เป็นอันขาด หลายสิ่งหลายอย่างที่นางเตรียมพร้อมไว้ ชาตินี้ทั้งชาตินางอาจจะไม่มีวันได้ใช้มัน แต่นางยินดีที่จะมีมันไว้อย่างนั้นตลอดชีวิต นางไม่อยากให้ถึงวันหนึ่งเมื่อนางต้องการที่จะใช้แล้วกลับพบว่าตนเองไม่มี


 


 


“งานสังคมนอกบ้านเหล่านั้น หากอาหลีไม่ชอบจะไม่เข้าไปยุ่งก็ย่อมได้” ม่อซิวเหยากล่าว “จะมีคนคอยจัดการเรื่องเหล่านั้นเอง ถึงอย่างไร…ตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้จำเป็นต้องมีคนไปมาหาสู่ให้มากมายอยู่แล้ว”


 


 


เยี่ยหลีเข้าใจ การที่ตำหนักติ้งอ๋องอยู่อย่างเงียบเชียบมาหลายปีนั้น เป็นที่พอใจแก่คนในวังคนนั้นอยู่แล้ว หลายปีมานี้ค่อยๆ กดอำนาจบารมีของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ลง หากมาตอนนี้ นางที่เพิ่งได้เป็นชายาติ้งอ๋องทำให้ตำหนักติ้งอ๋องกลับมามีชีวิตชีวามากจนเกินไป มีแต่จะทำให้ฝ่าบาทเกิดความเคลือบแคลงใจขึ้นมาอีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในหัวของเยี่ยหลีก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา “เหตุใดจู่ๆ แคว้นหนานจ้าวกับแคว้นซีหลิงจึงได้คิดอยากจะสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่หรือ”


 


 


เหตุผลที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นบอกก่อนหน้านี้เป็นแค่เพียงเหตุผลเด็กๆ เท่านั้น แคว้นซีหลิงกับต้าฉู่ดูจะเป็นคู่อริที่สวรรค์กำหนดไว้ เมื่อแคว้นซีหลิงพบเจอกับภัยพิบัติ แค่ต้าฉู่ไม่อาศัยจังหวะนี้เข้าโจมตีก็ถือว่าดีมากแล้ว กับแค่การส่งองค์หญิงคนหนึ่งมาแต่งงานแค่นี้จะช่วยแก้ไขอันใดได้หรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาตาเป็นประกาย “หนานจ้าวก็เพียงแค่ตามน้ำ คนที่อยากสานสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับต้าฉู่จริงๆ คือซีหลิง”


 


 


เยี่ยหลีหลุบตาลง นางรู้สึกว่าความคิดในหัวของตนวิ่งกลับไปกลับมารวดเร็วเกินไป แต่คิดไม่ตกสักเรื่อง ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงได้เงยหน้าขึ้นถามว่า “หากต้าฉู่ต้องเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ตำหนักติ้งอ๋องจะทำอย่างไร”


 


 


ม่อซิวเหยาอึ้งไป ในดวงตาปรากฏแววแห่งความเศร้าโศกที่ยากจะสังเกตเห็นได้ ครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงขรึมขึ้นว่า “ตำหนักติ้งอ๋องไม่มีคนที่สามารถไปออกรบได้อีกแล้ว อีกไม่เกินห้าปี ความยิ่งใหญ่กว่าร้อยปีของตำหนักติ้งอ๋องจะสูญสลายไป” 

 

 


ตอนที่ 61-3 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา

 

ประชาชนมักลืมอะไรได้ง่ายๆ ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะเคยปกป้องต้าฉู่มาเป็นร้อยปี แม้ในสายตาพวกเขา ตำหนักติ้งอ๋องจะเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งสงคราม แต่เพียงเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง แล้วตำหนักติ้งอ๋องไม่สามารถช่วยอะไรได้ เมื่อนั้นพวกเขาจะจดจำความรุ่งโรจน์ในอดีตไม่ได้อีก เหลือก็เพียงความทรงจำที่ว่าตำหนักติ้งอ๋องไร้ความสามารถเท่านั้น ถึงตอนนั้น…ตำหนักติ้งอ๋องก็คงไม่สามารถโทษอะไรพวกเขาได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด 


 


 


“เป่ยหรง…” ในห้องหนังสือเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงอ่อนๆ ของเยี่ยหลีดังขึ้น นางมองหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของม่อซิวเหยาแล้วได้แต่ถอนใจ ใต้หล้าสงบสุข ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขไม่ดีหรือ เหตุใดจึงต้องจับพวกเขาเข้าไปอยู่ในสงครามที่ไร้ความปราณีด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็นเช่นนั้นด้วย เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเข้าใจว่าผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายคิดอะไรกันอยู่ 


 


 


อยู่ดีๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกว่าชายผู้นี้น่าสงสารนัก เดิมทีเขาควรเป็นผู้ที่มีปณิธานอันแรงกล้า คอยดูแลความสงบสุขของประเทศเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา แต่กลับต้องมาหมุนวนอยู่ในมรสุมชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยเพราะพี่ชายมาด่วนจากไป ตั้งแต่อายุได้สิบแปดปีเขาก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถให้ได้ไปหมด เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงที่ยืนยาวมากว่าร้อยปีของตำหนักติ้งอ๋อง และหลังจากที่ต้องมาสูญเสียร่างกายที่แข็งแรง รูปโฉมที่งดงามไปแล้ว เขายังต้องคอยระแวดระวังการสอดแนมและแผนการที่อีกฝ่ายจ้องจะเล่นงานเขาอีก แล้วยังพวกลอบฆ่าที่ไม่รู้จะโผล่มาเมื่อไร คนฉลาดๆ เช่นเขา อาจมองเห็นอนาคตของตำหนักติ้งอ๋องอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่ยินยอม และยังไม่ยอมแพ้เท่านั้น 


 


 


“สามารถ…ถอยได้หรือไม่” เยี่ยหลีถาม แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ได้แต่หัวเสียกับความไม่ประสาของตน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนที่ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว ยังมีสักกี่คนที่สามารถถอยลงมาได้ 


 


 


ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “ม่อซิวเหยาถอยได้ แต่ทหารแปดแสนนายของตระกูลม่อ กับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกห้าหมื่นคนจะถอยไปอยู่ที่ใด” 


 


 


เยี่ยหลีเงียบไป คนของตระกูลม่อ คนที่ฉลาดอย่างม่อหลิวฟางที่เคยเป็นผู้สำเร็จราชการ หรือแม้แต่ประมุขตระกูลม่อทุกยุคทุกสมัย พวกเขาไม่มีทางโง่กว่าตัวนาง ประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋องสามารถเดินจากไปโดยไม่สนใจอะไรก็ยังได้ ผืนดินใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ จะมีที่ใดที่พวกเขาไปไม่ได้บ้าง แต่กองทัพที่ภักดีต่อตระกูลม่อ ภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้ละทิ้งไปได้ง่ายเช่นนั้น ในตอนที่ต้าฉู่ลำบาก ต้าฉู่ต้องการพวกเขา แต่เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาทุกคนต่างกลายเป็นหอกข้างแคร่ในสายตาของฮ่องเต้ หากประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋องละทิ้งพวกเขาไป บทสุดท้ายที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการสลายกองทัพและถูกกดขี่ แต่บทสรุปที่เลวร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าที่จะคาดเดา กองทัพหลายแสนคน ในสายตาของฮ่องเต้แล้วบางครั้งอาจไม่สู้หมากตัวหนึ่งในมือเสียด้วยซ้ำ 


 


 


“หากเป่ยหรงต้องกลับเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ท่านคิดว่าจะทำเช่นไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม 


 


 


ม่อซิวเหยาหันไปตอบนางอย่างสงบว่า “นำทหารออกไปสู้รบ อาหลี ถึงตอนนั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่อวิ๋นโจว มีท่านชิงอวิ๋นอยู่จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้า หากข้า…ราชสำนักจะยิ่งไม่กล้าแตะต้องเจ้า” 


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าขัน ตอนแรกพวกเขาคุยเรื่องแต่งชายาร่วมของม่อจิ่งหลีอยู่ดีๆ เหตุใดจึงได้เปลี่ยนมาคุยเรื่องพวกนี้ได้ ทั้งๆ ที่…ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีแววว่าจะเกิดเลยอีกด้วย แต่ความไม่สบายใจลึกๆ ของนางกลับบอกนางว่า เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ สมองจะคิดเพ้อเจ้อขึ้น ต่อให้เป็นเรื่องที่นางคิดเพ้อเจ้อขึ้น ม่อซิวเหยาก็ไม่มีทางเพ้อเจ้อไปกับนาง 


 


 


นางเมินหน้าหนี ไม่สนใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาพูด เยี่ยหลีเปลี่ยนเรื่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หลีอ๋องจะแต่งชายาร่วมแล้ว ข้าควรกลับไปจวนเยี่ยเสียหน่อยหรือไม่” 


 


 


เยี่ยหลีไม่ต้องลำบากคิด ยังไม่ทันเที่ยงวัน ก็มีพ่อบ้านเข้ามารายงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยให้มาเชิญเยี่ยหลีกลับบ้าน ด้วยเพราะมีเรื่องจะปรึกษา 


 


 


เมื่อกลับถึงจวนเยี่ย เยี่ยหลีก็ถูกเชิญไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าทันที เพียงก้าวเข้าไปในหรงเล่อถังก็เห็นเยี่ยอิ๋งที่ร้องไห้จนตาบวมแดงกำลังคร่ำครวญด้วยความโกรธกับหวังซื่ออยู่ ฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยก็นั่งอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง เยี่ยหลีเบ้ปาก เริ่มเข้าใจแล้วว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ “ท่านย่า ท่านพ่อ” 


 


 


“หลีเอ๋อร์…” เมื่อเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็ตาเป็นประกายทันที รีบกวักมือเรียกให้เยี่ยหลีเดินเข้ามาใกล้ๆ เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจกลับนึกเบื่อหน่าย ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่คิดว่านางจะสามารถยุ่งเรื่องการพระราชทานสมรสของฮ่องเต้ได้หรอกกระมัง นางเป็นเพียงชายาติ้งอ๋อง อย่าว่าแต่เรื่องที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงเลย ต่อให้แค่รับอนุเข้าตำหนัก นางก็ไปยุ่งอะไรไม่ได้  


 


 


“หลีเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียที เจ้าดูน้องสาวเจ้าสิ…อิ๋งเอ๋อร์ช่างน่าสงสารนัก…” 


 


 


เยี่ยหลีเดินขึ้นไปข้างหน้า เหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่กำลังร้องให้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของหวังซื่อ นางนั่งลงถัดลงมาจากเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนกล่าวว่า “น้องสี่เป็นอันใดไปหรือ” 


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความร้อนใจว่า “อิ๋งเอ๋อร์แต่งงานเข้าไปได้ม่ถึงเดือนดี หลีอ๋องก็จะแต่งชายาร่วมเสียแล้ว เช่นนี้จะให้จวนเจ้ากรมของเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จะให้น้องของเจ้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร” 


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “เมื่อสักครู่ท่านอ๋องของข้าก็ได้รับจดหมายเชิญจากตำหนักหลีอ๋อง ถ้าเช่นนั้นเวลานี้น้องสี่ควรอยู่จัดการงานที่ตำหนัก หนีมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน”  


 


 


หวังซื่อถลึงตาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดอะไรน่ะ! อิ๋งเอ๋อร์เป็นถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังต่อว่าเรื่องที่นางกลับมาบ้านอีกหรือ เยี่ยหลีเจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ ท่านอ๋อง ท่านดู…” 


 


 


“หุบปาก!” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าปรายตามองหวังซื่อก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “หลีเอ๋อร์พูดถูก เมื่อครู่คนแก่อย่างข้าก็บอกพวกเจ้าอยู่เป็นครึ่งวัน เจ้าทำเหมือนมันเป็นเพียงลมผ่านหูหรือ ตอนนี้ตำหนักหลีอ๋องกำลังเตรียมจัดงานสมรส อิ๋งเอ๋อร์ที่เป็นชายาเอกไม่ไปออกหน้าเป็นแม่งาน เจ้าจะให้คนอื่นเห็นว่าอย่างไร”  


 


 


หวังซื่อพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เป็นเพราะหลีอ๋องผิดต่ออิ๋งเอ๋อร์ จะให้อิ๋งเอ๋อร์ไปจัดงานแต่งงานให้เขาได้อย่างไร นี่ยังมีหลักเกณฑ์อะไรกันอีกหรือ”  


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเยาะ “รับสั่งของฝ่าบาทก็คือหลักเกณฑ์ คืนที่ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงไม่ลุกขึ้นมาขัดราชโองการเล่า อย่าได้ออกความเห็นโง่ๆ เช่นนั้นให้เยี่ยอิ๋งฟังเลย” 


 


 


ในหัวของเยี่ยหลีมีแต่เรื่องที่คุยกับม่อซิวเหยาเมื่อตอนเช้า ตอนนี้จะมีแก่ใจมาฟังพวกนางพูดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร นางอดทนพูดโน้มน้าวเยี่ยอิ๋งอยู่หลายประโยค แต่เยี่ยอิ๋งกลับไม่ใส่ใจ ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับอกหวังซื่อ “ฮือๆ…ท่านพ่อ ต้องโทษพวกท่าน เหตุใดตอนนั้นพวกท่านต้องให้ข้าแต่งงานกับหลีอ๋องให้ได้…หากไม่เพราะเช่นนี้ ลูกจะถูกรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร…เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นนาง…” 


 


 


“อิ๋งเอ๋อร์!” เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยเรียกนางเสียงต่ำอย่างใช้ความอดทน จ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้านิ่งขรึม สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยแข็งกระด้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เยี่ยอิ๋งยิ่งซุกลงกับอกของหวังซื่อเข้าไปอีก เช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร เยี่ยหลีหลุบตาลงไม่พูดอะไร ปกปิดแวววูบไหวในตาไว้ไม่ให้ใครเห็น ที่แท้เรื่องที่เยี่ยอิ๋งลอบคบหากับม่อจิ่งหลีไม่ได้เป็นความคิดของเยี่ยอิ๋งหรอกหรึอ เช่นนั้น…ท่านพ่อของนางให้ลูกสาวตนเองไปคบหากับคู่หมั้นของลูกสาวตนอีกคนนี่หมายความว่าอย่างไร 


 


 


“พอแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร” เจ้ากรมเยี่ยโบกมืออย่างหมดความอดทน ก่อนมองไปทางเยี่ยหลี “หลีเอ๋อร์ เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


เยี่ยหลีกดความสงสัยในใจลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ราชโองการมิอาจขัด ทั้งยังเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นด้วยแล้ว ยิ่งไม่สามารถต่อรองได้” 


 


 


เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “หรือจะให้เรื่องมันเป็นไปเช่นนี้หรือ หากเป็นคนที่ฐานะต่ำต้อยยังว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิงเชียวนะ” 


 


 


เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ยิ่งเพราะนางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิง ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่ มิใช่หรือเจ้าคะ ท่านพ่อ” 


 


 


เจ้ากรมเยี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่คิ้วจะค่อยๆ คลายออก “ถูกต้อง ทายาทในอนาคตของหลีอ๋องไม่มีทางมีสายเลือดของแคว้นซีหลิงได้ อีกอย่าง ในวังวันนั้นองค์หญิงซีหลิงแผลงฤทธิ์เสียขนาดนั้น เกรงว่าคงทำให้หลีอ๋องเกิดความรู้สึกไม่ดีกับนางไม่มากก็น้อย ขอเพียงอิ๋งเอ๋อร์สามารถกุมอำนาจหลักในตำหนักไว้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับองค์หญิงคนหนึ่งที่แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรอก” 


 


 


“หากน้องสี่ต้องการที่จะยืนอยู่ในตำหนักได้ คงจะต้องเริ่มเข้าหาทางเสียนเจาไท่เฟย” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ 


 


 


“อะไรนะ!” เยี่ยอิ๋งร้องเสียงแหลมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ยายแก่นั้นไม่ชอบหน้าข้ามาตลอด เจ้ายังจะให้ข้าไปเอาใจนางอีกหรือ นางคิดแต่จะหาทางทรมานข้า! ข้า…” 


 


 


เยี่ยหลีย่นคิ้ว เอ่ยขัดนางว่า “เสียนเจาไท่เฟยเป็นน้าสาวแท้ๆ ของหลีอ๋อง ทั้งยังเป็นน้องสาวขององค์ไทเฮา เจ้าไม่คิดจะเอาใจนาง แต่มีคนอีกมากมายที่คิด อีกอย่าง ข้าจะไม่ได้จะให้เจ้าไปเอาใจนาง ขอเพียงเจ้าทำให้นางไม่สามารถหาเรื่องจับผิดเจ้าได้ ดีที่สุดคือเจ้าสามารถทำให้นางคิดว่าเจ้าเป็นพระชายาที่นางพอใจ” เสียนเจาไท่เฟยใช้ชีวิตอยู่ในวังมาหลายสิบปี คงไม่สามารถเอาใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว เกรงว่าจะมีแต่วาดเสือไม่สำเร็จจนกลายเป็นหมา จากเยินยอจะกลายเป็นด่าทอเสียมากกว่า 


 


 


เยี่ยอิ๋งพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ตั้งแต่พวกเราแต่งงานมา นางจ้องแต่จะจับผิดข้า เพียงแค่ข้าลงมือทำอะไร นั่นก็ไม่ถูก นี่ก็ไม่ดี! ข้าจะทำให้นางพอใจได้อย่างไร” 


 


 


“นางจับผิดเจ้า เจ้าก็ต้องอดทน หากมีเวลาก็ขอให้ท่านย่าช่วยชี้แนะว่าจะเป็นภรรายาที่ดีได้อย่างไร เจ้าเป็นน้องสาวของเจาอี๋ บุตรสาวของเจ้ากรมเยี่ย มีตำแหน่งเป็นถึงชายาเอก ข้อได้เปรียบของเจ้ามากกว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่มาจากต่างแคว้นตั้งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากเรื่องแค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ ก็เก็บข้าวของกลับมาอยู่จวนเจ้ากรมเลยเสียเถิด ถึงอย่างไรท่านพ่อกับฮูหยินก็คงไม่รังเกียจที่จะเลี้ยงเจ้าไปตลอดชีวิต” 


 


 


“เจ้า!” เยี่ยหลีลืมเรื่องที่ตัวเองโดนรังแกไปชั่วคราว โกรธจนหน้าเรียวแดงก่ำไปหมด สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีประหนึ่งมีประกายไฟลุกขึ้น นางหัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยแดกดันว่า “ใช้สิ หากเจ้าไม่รู้จักอดทน ป่านนี้คงได้ร้องไห้วิ่งกลับมาจวนเจ้ากรมแล้ว ไม่สิ…หากข้าเป็นเจ้า คงผู้คอตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้แต่งงานแล้ว”  


 


 


เยี่ยหลีขี้เกียจจะไปต่อปากต่อคำกับนาง นางวางแก้วชาในมือลงนิ่งๆ ก่อนปรายตามอง “หากยังมีแรงมาหาเรื่องข้า สู้กลับไปทำเรื่องที่เจ้าควรทำเสียยังดีกว่า” 


 


 


เยี่ยอิ๋งยังคิดอยากสวนกลับ แต่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากลับตบโต๊ะเสียก่อน “อิ๋งเอ๋อร์ เอะอะพอหรือยัง! หัดเรียนรู้จากพี่สามของเจ้าบ้าง ดูสิว่าตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไร” 


 


 


เยี่ยหลีอึ้งไป หวนนึกเรื่องของตนได้ก็อดที่จะร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจขึ้นมาอีกไม่ได้ นางเช็ดน้ำตาไปพลาง พูดไปพลางว่า “หลานจะเป็นอย่างไรได้เจ้าคะ ที่หลานต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะใครกัน ในเมืองหลวงตอนนี้ไม่รู้มีกี่คนที่กำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ ฮือๆ…ท่านอ๋องทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร…ข้าทำอะไรผิดไปหรือ” 


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางร้องไห้จนปวดหัวไปหมด จึงพูดด้วยความหัวเสียว่า “พอได้แล้ว ร้องไปจะมีประโยชน์อันใด เจ้าก็เป็นแต่ร้องไห้ เจ้าแต่งงานไปแล้ว ยังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ตามใจเหมือนตอนอยู่ที่บ้านหรือ ใครก็ได้ ให้คนไปเชิญหลีอ๋องมารับตัวคุณหนูสี่กลับตำหนักที” 


 


 


“ท่านย่า” 


 


 


เยี่ยหลีเอ่ยขัดนาง “ในเมื่อน้องสี่กลับมาแล้วจะอยู่นานอีกหน่อยก็คงไม่เป็นอันใด หลีอ๋องคงจะมารับนางด้วยตนเอง หากพวกเราให้ใครไปเชิญหลีอ๋องมาตอนนี้จะมีแต่ทำให้นางกลายเป็นคนไม่สำคัญไปนะเจ้าคะ” 


 


 


เจ้ากรมเยี่ยมองเยี่ยหลีอย่างเห็นด้วย “ท่านแม่ ที่หลีเอ๋อร์พูดก็มีเหตุผลนะขอรับ” 


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านวดขมับแล้วถอนหายใจ “นางทำให้ข้าโกรธเสียจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว” 


 


 


“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน ฮูหยิน หลีอ๋องมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านเข้ามาเอ่ยรายงานที่หน้าประตู 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม