เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 59.1-60.3

ตอนที่ 59 - 1 สะท้านตี้เกอ

 

ในห้องหนังสือของจิ้งถิง กงอิ้นกระแอมไอเสียงหนึ่ง ขยับเขยื้อนเรือนร่าง 


 


 


เหมิงหู่ชำเลืองมองนอกหน้าต่างอย่างไม่หยุดหย่อน สายตาร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


กงอิ้นวางสมุดพับลง เขี่ยน้ำมันตะเกียง 


 


 


เหมิงหู่มองดูนอกหน้าต่างที่ไม่มีความเคลื่อนไหว เหงื่อซึมฝ่ามือ 


 


 


กงอิ้นเปิดสมุดพับจนดังพึ่บพั่บ อ่านอย่างรวดเร็วยิ่งทว่าต่างมิได้สั่งการ 


 


 


เหมิงหู่มองดูค่ำคืนมืดมิด อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป 


 


 


เหตุใดน้ำแกงไก่นี้ถึงได้ใช้เวลาส่งยาวนานยาวไกลนัก? หากยังไม่มาส่งอีก เจ้านายคงจะอึดอัดจนสิ้นชีพแล้ว… 


 


 


ฉวยโอกาสยามกงอิ้นขยับเรือนร่างอีกครั้งหนึ่ง เขาแอบย่องออกไปอย่างเงียบเชียบ 


 


 


… 


 


 


เหมิงหู่ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูเล็กด้วยท่าทางงงเป็นไก่ตาแตก มองดูเหยียลี่ว์ฉีใช้มือค้ำกำแพง กำลังยิ้มตาหยีสนทนากับราชินี 


 


 


“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงมาส่งน้ำแกงด้วยพระองค์เอง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มอย่างนุ่มนวลให้จิ่งเหิงปัวที่อ้าปากค้าง ฉวยมือหิ้วโถกระเบื้องไปอย่างแผ่วเบา 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่ถูกทำให้ตกใจจนงงงวยไม่ได้สนใจน้ำแกง ทันได้แต่ถามว่า “มืดค่ำขนาดนี้แล้วเหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก? เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่ในวังเสียหน่อย” 


 


 


“ยามนี้กระหม่อมถูกไต่สวนจึงพักอยู่ที่สำนักเจาหมิง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มชี้ไปยังสิ่งปลูกสร้างสีดำแห่งหนึ่งซึ่งกั้นด้วยทางหลักหนึ่งเส้น เอ่ยว่า “ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้ กระหม่อมกับฝ่าบาทเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว อืม ฝ่าบาทพลันจะประทับอยู่ที่แห่งนี้ คิดแล้วคงด้วยเพราะกระหม่อมเข้ามาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้เป็นแน่? ไอ้หยายังพระราชทานน้ำแกงไก่ปลอบใจกระหม่อมโดยเฉพาะ…กระหม่อมไม่เป็นไร ขอบพระทัยสำหรับน้ำแกงไก่ของพระองค์ อย่าลืมเสด็จประพาสมาบ่อยๆ ล่ะ” 


 


 


“เฮ้ข้าไม่ได้…”จิ่งเหิงปัวยื่นมือจะแย่งน้ำแกง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหดกายอย่างรวดเร็วแล้ว ปิดประตูข้างดัง “พลั่ก” เสียงหนึ่ง หลงเหลือเพียงเสียงหัวเราะเสียงหนึ่งแว่วผ่านกำแพงเลือนราง 


 


 


“ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย! รู้งี้ใส่ยาพิษลงไปด้วยดีกว่า ซดให้ตายไปเลย!” จิ่งเหิงปัวดึงประตูข้างไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่พึมพำไปพลางเดินกลับมาอย่างพยาบาทไปพลาง 


 


 


… 


 


 


เหมิงหู่ที่ยืนนิ่งงันอยู่อีกฝั่งกำแพง เขากำลังกลัดกลุ้มว่าควรกลับไปรายงานเจ้านายอย่างไรดี? 


 


 


ฝ่าบาทตรัสว่าจะมาส่งน้ำแกงไก่ ทว่าถึงครึ่งทางส่งให้ราชครูเหยียลี่ว์แล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันเล่า? 


 


 


เหมิงหู่หันกายอย่างกลุ้มใจ กำลังครุ่นคิดประดิษฐ์วาจาทว่าตกอกตกใจฉับพลัน 


 


 


“นายท่าน!” เสียงเขาสั่นเครือว้าวุ่นเล็กน้อย 


 


 


กงอิ้นเอามือไพล่หลังยืนอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ มองดูประตูบานนั้นด้วยสายตาเยือกเย็นเสียยิ่งกว่าแสงเดือน 


 


 


“นายท่าน…” เสียงของเหมิงหู่แผ่วลงไป ในใจรู้ว่าเจ้านายมองเห็นฉากหนึ่งนั้นแล้ว แอบเกิดความเสียใจว่าก่อนหน้านี้ไม่ควรไปวนเวียนเบื้องหน้าองค์ราชินีเลย 


 


 


รู้อยู่แล้วว่านางพึ่งพาไม่ได้ 


 


 


“ข้าน้อยสั่งอาหารให้ท่าน…” เขาหวังกู้สถานการณ์ 


 


 


กงอิ้นหันกายไปอย่างเงียบเชียบ เดินไปทางห้องหนังสือ 


 


 


“ย้ายสมุดพับที่หกกองตรวจแทนข้ายามข้าไม่อยู่ทุกเล่มเข้ามาให้หมด” เขาเอ่ยว่า “ข้าจะตรวจสอบใหม่อีกรอบหนึ่ง” 


 


 


“เรื่องนี้…” เหมิงหู่ยืนเซ่อซ่า เช่นนั้นต้องมีสมุดพับนับพันเล่มแน่! คืนนี้จะไม่นอนแล้วหรือไร? 


 


 


“อืม?” 


 


 


“ขอรับ!” 


 


 


หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ เหมิงหู่หอบสมุดพับกองโตเท่าภูเขาเดินหอบหายใจฮืดฮาดกลับห้องหนังสือไปพลาง กำชับองครักษ์ในวังอย่างโหดเ**้ยมไปด้วยว่า “เฝ้าสำนักเจาหมิงให้ดี! นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่อนุญาตให้มีผู้ใดเดินเพ่นพ่านตามใจชอบอีก!”  


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวถูกแย่งน้ำแกงไก่ ด่าไปไม่กี่ประโยคก็นอนหลับปุ๋ยแล้ว 


 


 


นางคิดมาตลอดว่าลูกผู้ชายสิบปีค่อยล้างแค้นยังไม่สาย น้ำแกงไก่ของนางไม่ได้แย่งชิงกันได้ง่ายดายขนาดนั้น 


 


 


หลับไปถึงเที่ยงคืนลุกตื่นขึ้นมากลางดึก เงยหน้ามองดูโดยไม่ตั้งใจเห็นหน้าต่างด้านหลังยังสะท้อนแสงตะเกียงรำไร จิ่งเหิงปัวคิดว่าตนเองทางนี้ดับตะเกียงตั้งนานแล้ว มีแสงตะเกียงมาจากไหนอีก เดินสะลึมสะลือไปมองริมหน้าต่าง เหมือนจะเป็นแสงที่สะท้อนออกมาจากข้างห้อง 


 


 


เขายังไม่นอนอีกเหรอ? 


 


 


เป็นราชครูเนี่ยลำบากลำบนจริงๆ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดอย่างเกียจคร้านว่าด้วยเหตุนี้ราชินีเป็นหุ่นเชิดหรือเปล่าไม่สำคัญแล้ว อยู่อย่างเป็นสุขสำคัญที่สุด ขอแค่ไม่ออกกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้นมายับยั้งนางจัดการนาง นางยอมให้มหาอำนาจทั้งหมดอยู่กับกงอิ้นทางนั้นก็ได้…จิ๊จ๊ะเป็นจักรพรรดิมีอะไรดี? ดูสิลำบากแค่ไหน เฮ้อ เสียดายวันนี้เขาไม่ได้ซดน้ำแกงไก่… 


 


 


ดื่มน้ำแกงไก่สักหน่อย ภายหลังจะได้มีแรงกายแรงใจทำตามสัญญาเดิมพันไง เฮ้อ นางชนะสัญญาเดิมพันแล้วยังไม่ทันได้ทวงรางวัลกับเขาเลย หมู่นี้ยุ่งอยู่กับการย้ายข้าวของเข้าวังอะไรเนี่ย ยังคิดไม่ออกเลยว่าควรจะให้เขาทำอะไรดี? ร่ายระบำงดงาม? วิ่งเปลือยกาย? ร้องเพลงรัก? เล่นพูดความจริงหรือเลือกรับคำท้า? หรือว่าโอกาสล้ำค่าขนาดนี้อย่าได้เล่นพิเรนทร์สิ้นเปลือง เก็บไว้ให้เขาทำตามสัญญาสักครั้ง? ท้ายที่สุดแล้วจะเล่นพิเรนทร์ดีล่ะหรือว่าใช้ประโยชน์จริงดีล่ะให้เขาทำทั้งสองอย่างทีละครั้งได้หรือเปล่านะ… 


 


 


นางคิดอย่างสับสนวุ่นวายแล้วล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากใต้หมอน ทรงสี่เหลี่ยมแต่สี่มุมโค้งมน ผิววัตถุเกลี้ยงเกลา ผิวภายนอกขาวนวลแสงมันวาวอ่อนโยน แกะสลักหญ้ารุ่ยเฉ่า[1]ลายฉลุ แสงเรืองสีเขียวคล้ำเปล่งออกมาจากในร่องของลายฉลุรำไร มองไปแวบหนึ่งคล้ายกล่องสบู่ขนาดเล็กที่ทำจากหยก งดงามประณีตอย่างยิ่ง กุมไว้ในฝ่ามือแล้วรู้สึกอบอุ่น แต่นางจำได้ว่าภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงในวันนั้นของสิ่งนี้กลับเยือกเย็นขึ้นมา 


 


 


นางพิจารณาอยู่สักพักยังดูไม่ออกว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์อะไร ยิ่งคิดไม่เข้าใจว่าของที่ดูคล้ายไร้ประโยชน์สิ้นดีสิ่งนี้ ทำไมพอหยิบออกมาถึงทำให้นางผ่านพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จอย่างราบรื่นได้ เพียงแต่มีครั้งหนึ่งนางพลั้งมือทำเจ้าของสิ่งนี้ร่วงลงบนพื้นอย่างไม่ตั้งใจ ยังนึกว่าจะแตกละเอียด ผลคือไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อย มีครั้งหนึ่งตอนดื่มน้ำแกงมือลื่นทำของสิ่งนี้ร่วงลงไปในน้ำแกง ผลคือตอนที่ช้อนขึ้นมาของสิ่งนี้กลับไม่ได้เปื้อนน้ำมันเลยแม้แต่น้อย มันเหมือนจะไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ตอนที่ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็เป็นความมหัศจรรย์แบบหนึ่ง จิ่งเหิงปัวคิดว่าของสิ่งนี้ต้องมีช่วงสำคัญให้ใช้งานแน่นอน เพียงแต่ช่วงสำคัญยังไม่มาถึงเท่านั้นเอง สิ่งของที่ทำให้มหาเทพพกติดตัวเป็นของล้ำค่าได้ อีกทั้งยังมอบให้นางในตอนสำคัญ หรือว่าจะเป็นเพียงกล่องสบู่ของมหาเทพเหรอ? 


 


 


ที่จริงแล้วถ้านี่เป็นกล่องสบู่จริงนางก็ไม่ถือสาหรอก นางยังอยากรู้อยู่เลยว่ามหาเทพใช้กลิ่นหอมของอะไรถึงได้หอมขนาดนั้น… 


 


 


นางคิดอย่างสับสนวุ่นวาย พอศีรษะถึงหมอนก็หลับไปอีก ตอนที่ตื่นมาอีกครั้งพระอาทิตย์สูงพ้นสามไม้ไผ่ กลิ่นหอมเข้มข้นของอาหารเช้าโชยเข้ามาแล้ว 


 


 


พอได้กลิ่นหอมกลิ่นนี้นางก็นึกถึงน้ำแกงไก่เมื่อคืนวาน นั่งไตร่ตรองตรงขอบเตียง ครุ่นคิดวิธีรับมือ 


 


 


จากนั้นนางเยี่ยมชมที่อยู่อาศัยของตนเองสักหน่อย เมื่อคืนวานเหนื่อยเกินไปไม่ทันได้ชม คราวนี้พอมองถึงรู้สึกตัวว่าห้องนี้แม้ว่าเริ่มตกแต่งเมื่อวานตอนบ่าย แต่ไม่ได้ดูฉุกละหุกเร่งรีบ นอกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นางขอให้เพิ่มเข้าไปแล้ว ห้องที่เหลือตกแต่งได้งดงามประณีตหรูหราข้าวของครบครัน ที่สะดุดตาที่สุดก็คือบนกำแพงฝังกระจกทองเหลืองเต็มตัวบานหนึ่ง ขัดเงาจนเกลี้ยงเกลาเรียบเนียน จิ่งเหิงปัวยังไม่เคยเห็นกระจกบานใหญ่ขนาดนี้เลยตั้งแต่มาถึงต่างโลก 


 


 


นางเคยบ่นเรื่องนี้ สมัยโบราณที่ไม่มีกระจกเต็มตัว ไม่มีทางสนองความรู้สึกในการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างโดยตรงที่สุดให้นางได้ 


 


 


นางนึกได้รำไรว่าเมื่อวานตอนบ่ายที่ย้ายข้าวของอยู่ คล้ายมีองครักษ์หามกล่องใบหนึ่งเข้ามา ของสิ่งนี้เหยียลี่ว์ฉีส่งมาให้หรือว่ากงอิ้นส่งมาให้กันแน่นะ? 


 


 


รู้สึกเหมือนจะเป็นเหยียลี่ว์ฉี เจ้าคนนั้นเจ้าชู้รักอิสระ เหมือนเป็นคนที่อ่านความคิดผู้หญิงได้ กงอิ้นเยือกเย็นเป็นภูเขาน้ำแข็ง จะนึกถึงเรื่องนี้ได้เหรอ? 


 


 


นางหัวเราะฮิฮิ ตบกระจกอย่างพอใจ เล่นโยคะไปรอบหนึ่ง เรียกหาขุนนางหญิงมาสืบระดับความอิสระของราชินีก่อนขึ้นครองราชย์อีกครั้ง 


 


 


พอขุนนางหญิงมาถึงก็มองเห็นฝ่าบาทนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง สวมอาภรณ์แนบเนื้อแปลกประหลาดสีแดงลูกท้อทั้งร่าง เหงื่อหอมกรุ่นหยดย้อย ลมหายใจถี่กระชั้น ทรวดทรงน่าประทับใจที่แสดงออกมาอย่างไม่ขวางกั้นเลยแม้แต่น้อยทำให้นางที่หัวโบราณจนเคยชินแล้วหน้าแดงไปถึงหู เบนสายตาออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฝ่าบาท พระองค์ควรทรงเรียนรู้กฎเกณฑ์พิธีการก่อนขึ้นครองราชย์ กองตรวจการวังได้ส่งกูกู[2]พิธีการมาให้พระองค์แล้ว ประเดี๋ยวจะมาถวายบังคมพระองค์ ฉลองพระองค์ชุดนี้พระองค์ทรง…” 


 


 


นางมีสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม น้ำเสียงแข็งทื่อราวแผ่นไม้ ไร้ซึ่งรอยยิ้มแม้เพียงเล็กน้อย 


 


 


พฤติกรรมที่จิ่งเหิงปัวฟันเกี้ยวเมื่อวานสร้างความตื่นตกใจให้นางโดยแท้ หลังเกิดเรื่องขุนนางหญิงท่านนี้นอนพลิกไปพลิกมาครุ่นคิดทั้งคืน คิดว่าตนเองนับว่าเป็นขุนนางพิธีการหญิงที่กองพิธีการคัดเลือกส่งมาอยู่ข้างกายฝ่าบาทเป็นกรณีพิเศษ ต้องปรนนิบัติอยู่ข้างกายฝ่าบาทในระยะยาว คือขุนนางหญิงอันดับหนึ่งที่แบกภารกิจสำคัญ เช่น สั่งสอนฝ่าบาทควบคุมดูแลฝ่าบาท ไม่อาจทำลายความเชื่อถือของกองพิธีการและกองตรวจการวังเด็ดขาด เมื่อวานถูกพฤติกรรมฟันเกี้ยวของราชินีทำให้ตกตะลึง ไม่ได้ปฏิบัติภาระหน้าที่ของตนเองให้ดี วันนี้ต้องควบคุมตนเองไว้ให้ได้ ไม่อาจให้ราชินีทำตามนิสัยอีกแล้วเด็ดขาด มิฉะนั้นพอท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนจะซวยกันหมด 


 


 


แต่สีหน้าแบบไหนก็คล้ายว่าไม่มีความหมายกับจิ่งเหิงปัวทั้งนั้น 


 


 


 


 


 


[1] หญ้ารุ่ยเฉ่า เป็นคำเรียกหญ้ามงคลในสมัยโบราณ เช่น เห็ดหลินจือ หมิงจย๋า เป็นต้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หญ้าเซียน 


 


 


[2] สรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้ผู้มีอาวุโส  

 

 


ตอนที่ 59 - 2 สะท้านตี้เกอ

 

“เสื้อผ้าชุดนี้เป็นอย่างไร?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มลุกขึ้นยืน เสื้อสั้นเขินร่นขึ้นไปทันที ผุดเผยเอวสีขาวราวหิมะผืนหนึ่ง ขุนนางหญิงตกตะลึงอ้าปากค้าง รีบเร่งเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ฉลองพระองค์ทุกชุดของพระองค์ไม่อาจผุดเผยพระวรกายส่วนใดนอกจากพระหัตถ์…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวคล้ายว่าไม่ได้ยินนางเอ่ยวาจา ห่วงแต่รื้อค้นควานหาของในตู้ หันมาครั้งหนึ่งทันที ในมือคว้ากระโปรงสีแดงสดชุดหนึ่งไว้ 


 


 


“เฮ้ เจ้าว่ากระโปรงชุดนี้เป็นอย่างไร?” นางสะบัดกระโปรงออก เหลียวซ้ายแลขวา 


 


 


 ผ้าสีแดงสดบริสุทธิ์มีรอยจีบอยู่บ้างเล็กน้อย ประดับด้ายทองชัดบ้างซ่อนบ้าง แนบเนื้อรัดสะโพก คอเสื้อตรงเนินอก คิดแล้วพอจะจินตนาการได้ว่าหากกระโปรงเช่นนี้สวมบนร่างต้องทรวดทรงวิจิตร คลื่นลมเปลี่ยนผันเป็นแน่ ด้ายทองพลันสว่างพลันมืดมิดดั่งเปล่งแสงระหว่างเคลื่อนไหว 


 


 


“ว้าย ไม่ได้นะเพคะ!” ขุนนางหญิงปริปากปฏิเสธทันควัน มองดวงพักตร์ที่หลบซ่อนหลังกระโปรงของราชินีปราดหนึ่ง ผิวกายสีขาวราวหิมะ สันจมูกสูงโด่ง ริมฝีปากที่สดใสเสียยิ่งกว่าสีแดงของกระโปรง… 


 


 


นางคอแห้งไปเล็กน้อย คิดอยู่ว่าที่จริงแล้วกระโปรงสวยสดงดงามประหนึ่งเพลิงเช่นนี้ หากสวมบนร่างของราชินีที่งามเพริศพริ้งมีน้ำใจไมตรี จะต้องงดงามยิ่งนักเป็นแน่… 


 


 


จิ่งเหิงปัว “อ้อ” เสียงหนึ่ง ฉวยมือทิ้งกระโปรงไปทางหนึ่ง คว้ากระโปรงสุ่มสีทองออกมาอีก 


 


 


“เฮ้ ชุดนี้สวยหรือไม่? วันนี้ข้าจะสวมตัวนี้เป็นอย่างไร?” 


 


 


ขุนนางหญิงจ้องมองกระโปรงสั้นสีทองตัวนั้น ช่วงเอวรวบแน่นชายกระโปรงบานออกสั้นถึงเหนือเข่า คอเสื้อลึกถึงเบื้องล่างกระดูกไหปลาร้า นางจินตนาการได้เลยว่าราชินีที่เรือนร่างดั่งเปลวเพลิงสวมกระโปรงตัวนี้ รวบเอวบางร่างน้อย ผุดเผยขาอ่อนเรียวยาวสีขาวราวหิมะ… 


 


 


“ไม่ได้เพคะ!” เสียงวาจาของขุนนางหญิงพุ่งออกมาจากปาก รีบเร่งสำรวมน้ำเสียงก้มหน้าลง เอ่ยว่า “ฉลองพระองค์ไม่เรียบร้อย ไม่เหมาะสมกับภาพลักษณ์สูงศักดิ์ของพระองค์…” 


 


 


“ชุดนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวไม่ท้อถอย คว้ากระโปรงยาวผ้ามันเงาพิมพ์ลายอีกชุดหนึ่ง พิมพ์ลายแพรวพราวสวยสดงดงาม จัดคู่ได้ทั้งเข้ากันทั้งสะดุดตา 


 


 


มองเห็นชายกระโปรงในใจขุนนางหญิงมั่นคง พอกวาดไปด้านบนกลับขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “เหตุใดฉลองพระองค์ชุดนี้จึงไม่มีท่อนบน? อีกทั้ง เหตุใดช่วงพระอังสามีเพียงสายรัดเรียวบางเส้นเดียว เช่นนั้นพระอังสาทั้ง…” 


 


 


“กระโปรงยาวสายเดี่ยวน่ะ สไตล์โบฮีเมีย รูปแบบที่โรแมนติกที่สุดร่าเริงที่สุดไง ผุดเผยไหล่งามสีขาวราวหิมะออกมา สยายผมยาวดำขลับลงมา สวมคู่กับหมวกริบบิ้นพิมพ์ลาย เสน่ห์ล้นเหลือคิกๆๆ” 


 


 


“ไม่ได้ไม่ได้เพคะ” ขุนนางหญิงส่ายหน้าสุดชีวิต 


 


 


จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “ช่างเถิด” โยนกระโปรงไปทางหนึ่งอย่างไม่สนใจใยดี 


 


 


ขุนนางหญิงแอบมองกระโปรงสวยสดงดงามตัวนั้นปราดหนึ่ง 


 


 


“ชุดนี้? สไตล์โบราณ ดูย้อนยุคพอไหม!” 


 


 


คราวนี้เป็นกี่เพ้ายาวผ้าลายปักสีดำชุดหนึ่ง คอเสื้อทรงสูงแขนกุด ท่อนล่างประดับแพรต่วนลายหลากสีเฉียงขึ้นไปด้านบนของชายกระโปรงเล็กน้อย สีสันบริสุทธิ์สูงส่งตัดกันเด่นชัด ความรู้สึกยั่วยวนโดยกำเนิดของกี่เพ้าพาให้เบื้องหน้าขุนนางหญิงสว่างวูบ ทว่ายามนางยื่นมือไปคว้า พบว่ากระโปรงผ่าข้างสูงถึงด้านบนขาอ่อนนั้น อดจะโบกมือติดต่อกันไม่ได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวก็ไม่เหน็ดเหนื่อย วางลงอีกครั้ง ขุนนางหญิงอดจะมองกระโปรงเหล่านั้นอย่างอิจฉาปราดหนึ่งไม่ได้ คิดว่าราชินีนำกระโปรงสวยงามมากมายขนาดนี้มาจากที่ใด? ทุกชุดออกสู่ท้องตลาดต่างจะทำให้สตรีบ้าคลั่งกระมัง? แม้ว่าไม่อาจสวมไม่กล้าสวม ทว่าเก็บสิ่งของที่งดงามขนาดนี้ไว้มองดูนับเป็นการเสพสุข หากมีคนเฉลียวฉลาดมีฝีมือ ไม่แน่ว่ายังกระทำการปรับปรุงให้ดีขึ้นต่อไปโดยอาศัยรูปแบบแปลกใหม่เหล่านี้ได้ ออกแบบเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้สตรีเพศในตี้เกอสวมใส่ออกมา พอถึงยามนั้นเกรงว่าจะขับเคลื่อนกระแสการแต่งกายของชนชั้นตระกูลผู้ดีในตี้เกอได้อีกครั้ง… 


 


 


“ชุดนี้ล่ะ?” จิ่งเหิงปัวคว้าออกมาอีกชุดหนึ่งปานเล่นกล 


 


 


“ชุดนี้ดีเพคะ!” ขุนนางหญิงเอ่ยชื่นชมครั้งใหญ่ออกมาจากใจจริง กระโปรงสีขาวราวหิมะ วัสดุไหมประหนึ่งจินตภาพ ประดับเลื่อมระยิบระยับเล็กน้อยเหมาะเจาะพอดิบพอดี มีตะเข็บมีคอเสื้อ หน้าอกที่มีรอยจีบรูปดอกไม้สลับซ้อนเป็นชั้น งดงามประณีตหรูหรา แม้ว่าไม่มีแขนเสื้อทว่าสามารถสวมผ้าคลุมผืนเล็กได้ ทั้งพลิ้วไหวทั้งประณีต เพียบพร้อมด้วยความงามแห่งสตรีเพศเป็นที่สุด 


 


 


ดวงตานางเปล่งประกาย สตรีสิ้นไร้แรงต้านทานโดยกำเนิดต่อสิ่งของที่งดงาม ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ไม่ยกเว้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีหันกระโปรงครั้งหนึ่ง 


 


 


“ว้าย!” ขุนนางหญิงอุทานอย่างตื่นตะลึงเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “เหตุใดจึงไม่มีข้างหลัง!” 


 


 


“เปิดหลังน่ะ” จิ่งเหิงปัวถลกเสื้อผ้าขึ้นมาให้ขุนนางหญิงดูแผ่นหลังเรียบเนียนเกลี้ยงเกลาของนาง กล่าวว่า “แผ่นหลังที่งดงามขนาดนี้ ไม่ผุดเผยไม่เสียดายหรือ?” 


 


 


ขุนนางหญิงหน้าแดงก่ำ รีบเร่งหลับตาลงส่ายหน้าสุดชีวิต “ว้ายไม่ๆๆ ได้นะเพคะ ฉลองพระองค์เช่นนี้ทรงสวมไม่ได้…” 


 


 


“เจ้าไม่เข้าใจความสุขในฐานะที่เป็นสตรีเสียจริง” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ คว้าออกมาชุดหนึ่ง กล่าวว่า “พอแล้ว ตัวนี้คงได้แล้วกระมัง?” 


 


 


ขุนนางหญิงลืมตาขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ดวงตากะพริบวูบ 


 


 


“งดงามโดยแท้…” นางเปล่งเสียงถอนใจปานจินตภาพออกมา 


 


 


เบื้องหน้าคือกระโปรงยาวสีม่วงชุดหนึ่ง ท่อนบนเป็นเนื้อลูกไม้ รูปแบบพระราชวังที่เคร่งขรึม แขนพองที่จับจีบออกมาประหนึ่งดอกตูม เอวคอดคาดเข็มขัดลายหนังสีเงินเส้นหนึ่ง ท่อนล่างคือกระโปรงสุ่มยาวผ้าออร์แกนซ่า[1] ซับด้วยผ้าโปร่งสีม่วงเดียวกันชั้นหนึ่ง ประดับพลอยเทียมละเอียดชิ้นเล็กชิ้นน้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวหิ้วกระโปรงยิ้มอย่างแปลกประหลาด รู้อยู่แล้วว่าสไตล์พระราชวังยุโรปประเภทนี้สตรีพวกนี้ต้านทานไม่ไหวแน่ 


 


 


“ชุดนี้…ด้านหลัง…” ขุนนางหญิงในใจมีความหวาดผวา 


 


 


จิ่งเหิงปัวให้นางดูข้างหลัง ถักทึบแน่นหนา 


 


 


ขุนนางหญิงค่อยวางใจ เริ่มชื่นชมเสื้อผ้าอย่างสบายใจโดยแท้จริง ยิ่งมองยิ่งชื่นชอบ เอ่ยว่า “อา ชุดนี้ทั้งหรูหราประณีตทั้งไม่สูญเสียความเคร่งขรึม มีรสชาติอันน่าดื่มด่ำของพระราชวังเป็นพิเศษ เหมาะสมให้สตรีสวมใส่ในวังอย่างยิ่งเพคะ…” 


 


 


“เช่นนั้นก็ชุดนี้เถิด” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยียัดเสื้อผ้าใส่ในมือนาง แล้วผลักนางไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า กล่าวว่า “ไปเปลี่ยนสิ” 


 


 


ห้องน้ำหลังเตียงนางเปลี่ยนเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งนานแล้ว นางยอมออกไปเข้าห้องน้ำข้างนอก แต่ไม่ยอมให้ไม่มีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง 


 


 


“เอ๋?” ขุนนางหญิงคว้ากระโปรงไว้ ยืดคออย่างเซ่อซ่า เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระโปรงนี้พระองค์จะทรงสวมเองไม่ใช่หรือเพคะ?” 


 


 


กระโปรงงดงามขนาดนี้ ให้นางสวมหรือ? มือของขุนนางหญิงจะสั่นเทิ้มแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูสีหน้าของนาง กลอกนัยน์ตายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าลองใส่ดูก่อน ให้ข้ามองดูผลลัพธ์หน่อยไง” 


 


 


“โอ้” ขุนนางหญิงวางใจ ประคองเสื้อผ้าเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและไม่ปิดบังความดีใจ อาภรณ์เช่นนี้ ได้ลองสวมสักหน่อยรู้สึกว่าพึงพอใจยิ่งนักแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ ฉวยมือคว้ากระโปรงยาวพิมพ์ลายสไตล์โบฮีเมียชุดนั้นจากด้านข้างขึ้นมาสวม ซ้ำยังรื้อหมวกสานปีกกว้างสไตล์โบฮีเมียที่ผูกสายริบบิ้นใบหนึ่งออกมา 


 


 


กระเป๋าของนางคือแบบขนาดใหญ่ที่สุดสูงเกือบครึ่งตัวคนคนคนเดียวย้ายไม่ขยับแบบนั้น ในตอนแรกนางสืบค้นวิธีเก็บเสื้อผ้ามากมายในไป่ตู้เพื่อจะยัดของรักของตนเองเข้าไปให้หมด ขอแค่ยัดพวกของล้ำค่าของตนเองให้เต็มที่มากที่สุด ฉะนั้นในกระเป๋าของนางคงจะใส่สัมภาระของไท่สื่อหลันจวินเคอเหวินเจินสามคนรวมกันลงไปได้ แต่ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ต่างถูกเสื้อผ้าครอบครองแล้ว โชคดีที่เสื้อผ้าที่นางเลือกส่วนใหญ่คือกระโปรงผ้าบาง ไม่กินพื้นที่มากเกินไปแบบนั้น ถึงอย่างไรต่อให้เป็นฤดูหนาว นางก็สวมแค่กระโปรง ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวก็พอ…สาวงามที่ทนความหนาวไม่ไหวไม่ใช่สาวงามที่แท้จริง! 


 


 


ผ้าม่านสะบัดเพียงครั้ง ขุนนางหญิงออกมาอย่างขลาดกลัว ก้มหน้ากดชายกระโปรง พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นก็ส่งเสียงฮือฮา 


 


 


“งดงาม!” 


 


 


เสียงนั้นทำให้พวกชุ่ยเจี่ยสามนางตกใจ พวกนางรีบตามมาด้วย ออกันอยู่ปากประตูมองดูอย่างอิจฉา จิ่งเหิงปัวหันหน้ามากล่าวว่า “ดูสิ งามหรือไม่?” 


 


 


สามนางพยักหน้าจากใจจริง แม้แต่สายตาของยงเสวี่ยผู้นิ่งเงียบยังพวยพุ่งด้วยแววอิจฉา 


 


 


ความรักสวยรักงามคือสัญชาตญาณธรรมชาติของสตรี ไม่แบ่งแยกอายุ ถึงขนาดก้าวข้ามกาลเวลา 


 


 


ขุนนางหญิงเขินอายจนไม่กล้าเงยหน้า มือประเดี๋ยวลูบชายกระโปรงประเดี๋ยวม้วนแขนเสื้อ ไม่รู้ว่าควรวางไว้ที่ใด 


 


 


จิ่งเหิงปัวลากนางไปเบื้องหน้ากระจกทองเหลืองเต็มตัวบานใหญ่ กล่าวว่า “อย่าก้มหน้า เงยหน้ายืดอก เรือนร่างของสตรีมิใช่สิ่งที่ให้ผู้ใดเห็นไม่ได้ ทว่าเป็นความงดงามที่สุดซึ่งเทพประทานให้ เจ้าควรจะภาคภูมิใจในสิ่งนี้! มา! มองให้ชัดเจน มองให้ชัดเจนว่าเจ้างดงามเพียงใด!” 


 


 


ในเสียงเกียจคร้านแหบแห้งแห้งเปี่ยมล้นด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ มีความลึกลับอัศจรรย์ ขุนนางหญิงเงยหน้ายืดอกอย่างควบคุมมิได้ ในพริบตาหนึ่งที่มองตนเองจนชัดเจน พวงแก้มแดงซ่านดุจเปลวเพลิงในพริบตาเดียว 


 


 


นางไม่กล้าเชื่อเลยว่า ผู้ที่เรือนร่างเพรียวบางงดงามทรงเสน่ห์ในกระจกคือตนเอง 


 


 


พวกชุ่ยเจี่ยสามนางเปล่งเสียงถอนหายใจด้วยความอิจฉาตรงปากประตู 


 


 


ประหนึ่งเล่นกลโดยแท้ สายตามองดูสตรีมีอายุที่เมื่อครู่ยังเคร่งขรึมคร่ำครึบรรยากาศอึมครึมผนึกแน่นได้ประณีตสวยงามโดยพลัน วัยเยาว์เปี่ยมล้น ยามนี้ทุกคนถึงพบว่า นางเพิ่งอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น 


 


 


“ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย! ช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลย!” จิ่งเหิงปัวหยิบชุดขุนนางหญิงสีเทาที่นางถอดออกขึ้นมาอย่างเสียดาย กล่าวว่า “ดันมากลบฝังในชุดแม่หม้ายแบบนี้แล้ว! ดูสิ! นี่ควรเป็นเสื้อผ้าที่ให้สาวน้อยอายุยี่สิบสวมหรือ! แม่งเฮงซวยเกินไปแล้ว!” 


 


 


“ฝ่าบาท อายุยี่สิบแก่มากแล้วเพคะ…” ขุนนางหญิงก้มหน้าอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ 


 


 


“เหลวไหล อายุยี่สิบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของสตรี สตรีอายุยี่สิบของพวกเราทางนั้นคือคู่รักที่บุรุษทั้งมวลทุ่มเทความรักให้!” 


 


 


“บ้านเกิดของฝ่าบาทคือเผ่าใดหรือ ทำให้คนใฝ่หาเสียจริงเพคะ…” ขุนนางหญิงสีหน้ามัวสลัวแลไม่ได้สังเกตถึงกระโปรงยาวสายเดี่ยวของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“เผ่าใดก็เทียบไม่ได้ เสียดายว่าข้าเองไม่เคยซาบซึ้งให้เต็มที่” จิ่งเหิงปัวถอนหายใจอย่างหาได้ยาก จากนั้นปลุกจิตใจให้ฮึกเหิม กล่าวว่า “ฉะนั้นข้าจะปฏิรูปต้าฮวงให้เต็มที่ ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นประเทศจีนแห่งที่สอง อย่างน้อยที่สุดต้องมีอิสระ!” 


 


 


พอหันหน้ามองเห็นสีหน้าท่าทางงงงวยของทั้งสี่คน นางหัวเราะคิกๆ 


 


 


เส้นทางยังอีกยาวไกลแน่ะ ค่อยๆ ทำไป 


 


 


เช่น จัดการขุนนางหญิงคนนี้ก่อน 


 


 


ถ้าต้องสิ้นเปลืองความคิดฝืนไล่ไปคนหนึ่งส่งมาอีกคนหนึ่ง ไม่สู้ลากเข้าค่ายกลของตนเสียเลยใช่ไหมล่ะ? 


 


 


ตอนนี้ แม่นางน้อยหลงกลเสียแล้ว… 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] ผ้าออร์แกนซ่า เป็นผ้าทอเนื้อโปร่งบางใส ส่วนมากจะนิยมใช้สำหรับเป็นผ้าตกแต่ง  

 

 


ตอนที่ 59 - 3 สะท้านตี้เกอ

 

ไม่รู้ว่าเฟยเฟยกับเจ้าหมาโง่ไถลเข้ามายามใด ดวงตากลมโตสีม่วงคล้ำของเฟยเฟยกะพริบปริบๆ จ้องมองชายกระโปรงสีม่วงของนาง เจ้าหมาโง่หันข้างชื่นชมอย่างวางมาดเป็นผู้อาวุโสว่า “ผาร้างหลังฝนพรำ นภาค่ำสารทเยือนหา หนึ่งแน่งน้อยโสภา เคียงคู่ข้าขึ้นหอนาง” 


 


 


… 


 


 


“เจ้าดูสิ รูปแบบเช่นนี้ สีสันเช่นนี้ เหมาะกับเจ้าเพียงใด” นางประคองไหล่ของขุนนางหญิง กล่าวอย่างสนิทสนมกลมกลืนว่า “ทว่าทรงผมโบราณคร่ำครึของเจ้านี้ไม่ไหว ไม่เข้ากัน ต้องเปลี่ยนทรงผมให้เจ้า” 


 


 


นางกดขุนนางหญิงให้นั่งเบื้องหน้ากระจกแต่งหน้า ขุนนางหญิงมึนงงเคลิบเคลิ้ม ก้นเพิ่งแตะถึงเก้าอี้ รีบเร่งกระโดดขึ้นมาปานต้องอสนี ร้องว่า “ว้าย ไม่ๆ นี่จะเป็นที่นั่งของกระหม่อมไปได้อย่างไร? กระหม่อมกำเริบเสิบสานขนาดนี้ได้อย่างไรเพคะ…” ถอดกระโปรงอย่างรีบเร่งไปพลาง 


 


 


“อย่าขยับ” จิ่งเหิงปัวกดไหล่ของนางไว้ ยิ้มแย้มยั่วยวน กล่าวว่า “เจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำอะไร? ไม่ได้มีคนนอกเสียหน่อย เจิ้นเพียงอยากมองผลลัพธ์ของกระโปรงชุดนี้จึงนำเจ้ามาเป็นนางแบบเท่านั้น เจ้ามีหน้าที่ร่วมมือกับข้าเชื่อฟังข้า ถูกต้องหรือไม่?” 


 


 


ขุนนางหญิงได้แต่พยักหน้า ฟังดูแล้วเรื่องราวเป็นเช่นนี้เอง การออกคำสั่งสมเหตุสมผลของราชินีไม่อาจฝ่าฝืนได้ 


 


 


“ควรทำทรงผมทรงใดดีนะ?” จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ตบศีรษะครั้งหนึ่ง ร้องว่า “ได้ล่ะ” 


 


 


นางหาปากกากระดาษของตนเองมาวาดทรงผมเปียสองชั้นแล้วเกล้ามวยหลังศีรษะทรงหนึ่ง บอกใบ้ให้จิ้งอวิ๋น ถามว่า “ทำได้หรือไม่?” 


 


 


ชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยในสามคนนั้น มีเพียงจิ้งอวิ๋นใส่ใจโฉมภายนอกมากที่สุด ฝีมือทางด้านนี้ไม่เลว 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าจิ้งอวิ๋นที่มีนิสัยทระนงตนไม่ยอมลำบากจะไม่พอใจอยู่บ้าง ผู้ใดจะรู้ว่านางก้าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เกล้ามวยให้ขุนนางหญิงตามแบบอย่างนั้น ฝีมือดีเยี่ยมดังคาด เกล้าได้ไม่ขาดแม้แต่เส้นเดียว งดงามกว่าทรงมูลก้อนหนึ่งที่จิ่งเหิงปัววาดไว้มากนัก 


 


 


จิ่งเหิงปัวฉวยมือรื้อค้นในกล่องสมบัติของตนเอง หาเครื่องประดับศีรษะทรงดอกลิลลี่ใบกว้างประดับคริสตัลพลอยเทียมสีม่วงสไตล์เกาหลีชิ้นหนึ่งออกมาติดผม แสงสีสันทะลักล้นฉับพลัน พลอยเทียมเปล่งประกาย 


 


 


จิ้งอวิ๋นส่งสายตาอิจฉา ผลักขุนนางหญิงให้หันข้างมองด้านหลังศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ขุนนางหญิงเบิกนัยน์ตากว้างโดยพลัน ยื่นมือแตะเครื่องประดับศีรษะที่สวยงามเสียยิ่งกว่าทองคำอัญมณีชิ้นนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา 


 


 


“งดงามนัก…ของสิ่งนี้ต้องราคาสูงลิบลิ่วยิ่งนักเป็นแน่เพคะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดว่าอืมทับทิมเม็ดหนึ่งนั้นบนนิ้วมือเจ้าพอจะซื้อได้สักหมื่นชิ้นเลยล่ะ แต่สิ่งของหายากถึงล้ำค่า นี่น่ะเป็นงานฝีมือยุคปัจจุบัน มีราคาทางยุคสมัย มาอยู่ต้าฮวงย่อมล้ำค่ากว่าทับทิมของพวกเขามากนัก  


 


 


“ลุกขึ้นมองดูผลลัพธ์ทั่วร่าง” 


 


 


ขุนนางหญิงยืนขึ้นมาดั่งความฝัน โฉมสะคราญในกระจก เกศาโสภาดวงหน้าโสภณ อกอวบอิ่มเอวบาง ลูกไม้สีม่วงอ่อนประณีตอ่อนช้อยงดงาม เข็มขัดรวบตึงทอประกายแสงเงิน กระโปรงยาวทรงสุ่มทอดยาวออกมา สาดส่องผ่องอำไพในดวงตาของทุกผู้คนประหนึ่งในฝัน  


 


 


ขุนนางหญิงแทบถูกความงามของตนทำให้ไม่อาจหายใจ เบนสายตาออกไปอย่างเสียดาย ‘ 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองแล้วมองอีก ส่ายหน้า พึมพำว่า “ไม่ไหวๆ แต่งหน้าแข็งทื่อเกินไป” 


 


 


ขุนนางหญิงนิ่งเงียบ “…” 


 


 


ผ่านไปชั่วครู่นางถูกจิ่งเหิงปัวผลักให้นั่งลงอีกครั้ง คราวนี้จิ่งเหิงปัวขนกล่องสีดำใบใหญ่ใบหนึ่งออกมาเปิดออก ก่อนอื่นมองเห็นภายในขาวโพลนเปล่งประกาย พอขุนนางหญิงก้มหน้า มองเห็นจุดกระดำกระด่างสีน้ำตาลอ่อนผืนหนึ่งบนจมูกตนเองฉับพลัน ตกใจจนถอยร่นไปข้างหลัง…นี่คือกระจกหรือ? จะชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร! 


 


 


“มองดูแป้งนี้ของเจ้า ไม่ละเอียดเลยสักนิดเดียว! อีกทั้งเหตุใดเจ้าถึงไม่แต้มชาดสักหน่อย? สีลิปสติกของเจ้าเชยเกินไปแล้ว! คิ้วก็ไม่ได้เขียนให้ดี แนวยาวตรงดิ่งขนาดนี้ คัดเขียนเลขหนึ่งหรือ? รีบไปล้างออก!” 


 


 


ชุ่ยเจี่ยยกน้ำอ่างหนึ่งมาอย่างมือไวตาไวแล้ว เฝ้าอยู่ทางหนึ่งอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง สาวแก่นแก้วยังไม่อาจต่อต้านสัญชาตญาณการแสวงหาความงามของสตรีเพศ  


 


 


ขุนนางหญิงล้างหน้าอย่างเชื่อฟัง ทั้งตื่นตกใจทั้งดีใจเหลือเกิน นางดั่งอยู่ในความฝัน หลงลืมกฎเกณฑ์และการต่อต้านเนิ่นนานแล้ว ในใจเพียงอยากเห็นว่าตนเองจะงดงามได้เพียงใดภายใต้การเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ของราชินี  


 


 


ในกล่องสีดำใบใหญ่ แบ่งเป็นช่องใหญ่ช่องเล็ก ภายในกล่องน้อยกล่องใหญ่พู่กันเอยแปรงเอยมองจนตาพร่าตาลาย จิ่งเหิงปัวรอให้ขุนนางหญิงล้างหน้าเสร็จ นั่งลงเบื้องหน้านางด้วยตนเอง 


 


 


“แล้วเจ้าจะรู้ว่า บนโลกนี้มีทักษะมหัศจรรย์ เบื้องหน้าทักษะเช่นนี้ ต้าฮวงจะไร้ซึ่งสตรีอัปลักษณ์อีก…หลับตาลง” 


 


 


ขุนนางหญิงหลับตาลง  


 


 


นางรู้สึกได้ว่านิ้วมือของราชินีเคลื่อนย้ายอย่างนุ่มนวลบนใบหน้าของตนเองคล้ายว่ากำลังแต่งแต้มสิ่งใด วาดเขียนสิ่งใด บางครั้งจะมีการออกคำสั่งเป็นระยะ  


 


 


“มองไปข้างบน ใช้ อย่ากะพริบตา” 


 


 


“มองมาข้างล่าง…” 


 


 


“เม้มริมฝีปากหน่อย” 


 


 


… 


 


 


ชุ่ยเจี่ยจิ้งอวิ๋นพวกนางมองจนนิ่งงันไปเนิ่นนานแล้ว แรกเริ่มพวกนางมองเห็นใบหน้าที่ถูกทาแป้งจนขาวโพลน น่ากลัวเล็กน้อยด้วยคล้ายสือเกา[1] ทว่าหลังจากลงรองพื้นกลบจุดด่างดำลงแป้งฝุ่นวาดโครงหน้าทาแก้ม สายตามองดูใบหน้ากลมเกลี้ยงที่เดิมทียังพอนับได้ว่าสวยสดงดงาม พลันยิ่งขาว ยิ่งสว่าง เค้าโครงยิ่งแจ่มชัด ถึงขนาดแม้แต่คางยังแหลมมนแล้ว ต่างตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ไม่เข้าใจว่าพู่กันเอยแปรงเอยไขเอยแป้งเอยเหล่านั้น เหตุใดจึงมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ขนาดนี้? 


 


 


จิ้งอวิ๋นมองดูการกระทำของจิ่งเหิงปัวอย่างไม่กะพริบตา พยายามจะจดจำว่าแต่ละครั้งนางใช้สิ่งใดบ้าง ทว่าพู่กันเหล่านั้นดูแล้วมิได้แตกต่างกัน สีสันเหล่านั้นซับซ้อนเช่นนั้น ในกล่องขนาดเล็กเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง กลับแบ่งเป็นช่องเล็กได้หลายสิบช่อง ในช่องทุกช่องคือแป้งชาดสีสันที่นางไม่เคยพบเห็นชนิดหนึ่ง เปล่งประกายแสงเงินมืดครึ้ม ลึกลับยวดยิ่ง  


 


 


นางมองจิ่งเหิงปัวอย่างตระหนักรู้ปราดหนึ่ง หลายครั้งหลายครารู้สึกว่าดวงตานางเว้าลึกยิ่งนัก หางตาเปล่งประกายด้วยแสงสีลึกลับดึงดูดใจ อีกทั้งริมฝีปากของนางดูแล้วสวยสดงดงามอวบอิ่มเค้าโครงเด่นชัดยิ่งนัก ด้วยเพราะมีความเกี่ยวข้องกับกล่องน้อยมหัศจรรย์เหล่านี้หรือ? 


 


 


นึกไม่ถึงว่าแป้งชาดจะมีสีสันมากมายขนาดนี้ได้ สีสันมากมายยังสามารถใช้สอยเช่นนี้ได้ วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาโดยแท้ พอเทียบกันแล้ว นางพลันรู้สึกว่าการประทินโฉมที่ทาแป้งแต้มชาดทาปากแต่เดิมเช่นนั้นแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา คล้ายดั่งภาพวาดที่ไร้ความเคลื่อนไหวโดยแท้  


 


 


แท้จริงแล้วจิ่งเหิงปัวแค่แต่งหน้าอ่อนๆ ให้ขุนนางหญิง ไม่ได้ใช้คอนแทคเลนส์เทปตาสองชั้นขนตาปลอมต่างๆ ทักษะการแต่งหน้าก็คือหนึ่งในความสามารถไม่กี่อย่างที่นางมี อีกทั้งไม่อยากนำออกมาทั้งหมดในครั้งเดียว  


 


 


ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งหน้าของนาง การแต่งหน้าเล็กน้อยเพียงพอจะซ่อมแซมข้อบกพร่องบนใบหน้าของขุนนางหญิงแล้ว ปิดบังสันจมูกค่อนข้างเตี้ยของนาง สร้างเค้าโครงชัดเจนออกมา ทั่วทั้งร่างพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก  


 


 


“เสร็จแล้ว” 


 


 


ขุนนางหญิงลืมตาขึ้น จากนั้นขุนนางหญิงที่ถูกคัดเลือกออกมาด้วยเพราะระวังวาจาและการกระทำเคร่งขรึมถือตนเป็นอย่างยิ่งผู้นี้ เปล่งเสียงกรีดร้องตื่นเต้นดีใจที่ไร้หนทางควบคุมเสียงหนึ่ง  


 


 


“นี่ นี่คือข้าหรือ!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว  


 


 


บทพูดน้ำเน่านี่ทุกครั้งเลย 


 


 


“แต่งหน้าอ่อนๆ เท่านั้น ทว่าอุปนิสัยของเจ้าก็เหมาะสมการแต่งหน้าอ่อนๆ คราวนี้ก็คือผลลัพธ์ทั่วร่างที่แท้จริงแล้ว ยืนขึ้นมาเดินหน่อยสิ” จิ่งเหิงปัวหยิบรองเท้าส้นสูงสีเงินคู่หนึ่งออกมา วางตรงฝ่าเท้าของขุนนางหญิง  


 


 


นางเลือกคู่ที่ส้นสูงเพียงแปดเซนติเมตรโดยเฉพาะ แต่ขุนนางหญิงยังคงถูกรองเท้านี้ทำให้ตกอกตกใจ  


 


 


“รองเท้านี้…” 


 


 


“งดงามหรือไม่?” จิ่งเหิงปัวรักรองเท้าทุกคู่ของนาง รองเท้ากินพื้นที่ รวมทั้งหมดนางมีเพียงสองสามคู่ กล่าวว่า “ให้เจ้ายืมสวมสักหน่อย เฮ้อ ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก” 


 


 


รองเท้าสูงจนทำให้คนมองแล้วเกิดความหวาดกลัว แลงดงามจนทำให้คนไร้หนทางต่อต้าน ขุนนางหญิงสวมรองเท้าอย่างตื่นเต้นดีใจไม่สบายใจในที่สุด พอสวมเสร็จก็เอนเอียงไปอีกทางหนึ่ง จิ่งเหิงปัวที่เตรียมพร้อมตั้งนานแล้วรีบเร่งเข้าไปประคอง  


 


 


“เดินหลายก้าวหน่อยประเดี๋ยวก็เคยชินแล้ว” นางกล่าวว่า “รองเท้าพื้นสูงยามคิมหันต์ของพวกเจ้าขุนนางหญิงก็ไม่ได้แตกต่างกันมากไม่ใช่หรือ?” 


 


 


ยามกระโปรงบานสีม่วงยาววกวนคดเคี้ยวในห้อง ยามนิ้วมือสีขาวราวหิมะจับชายกระโปรงกว้างใหญ่ทั้งสองฝั่งอย่างแผ่วเบา ยามดอกไม้พลอยเทียมสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับบนมวยผมหนาแน่น ยามขุนนางหญิงเชิดสีขาวราวหิมะลำคอยืดอกขึ้นอย่างควบคุมมิได้ ในห้องนี้ดั่งคล้ายมีราชินีเพิ่มมาอีกองค์หนึ่ง  


 


 


เลาะกระดูกเกิดใหม่ ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่านี้  


 


 


สตรีสามนางที่เหลือพลันร่างเล็กนิดเดียว ปรารถนามุดกายเข้าไปในฝุ่นธุลีโดยพลัน  


 


 


เจ้าหมาโง่กระพือปีกบินเข้าไป อยากจะขโมยเครื่องติดผมดอกไป่เหอผลึกธารชิ้นนั้นมาติดบนหัวของตนเอง เฟยเฟยโผเข้าหาชายกระโปรงนาง ซบศีรษะเข้าไป มองสายตามืดคล้ำนั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดความเป็นไปได้ในการมอมเมาคนจนสลบไสลแล้วลากกลับถ้ำ  


 


 


จิ่งเหิงปัวพอใจในผลลัพธ์อย่างมาก ปรบมือ  


 


 


“เสร็จแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นในตลาดกันเถิด” 


 


 


… 


 


 


ความเงียบสงัดระลอกหนึ่ง  


 


 


จากนั้นขุนนางหญิงฉับพลันหันหน้า “อะไรนะเพคะ?” ตกใจจนแม้แต่เสียงยังเพี้ยนไป  


 


 


“เดินเล่นในตลาด” จิ่งเหิงปัวทำสีหน้าเปี่ยมด้วยคำถามว่าเหตุใดต้องทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม กล่าวว่า “ยุ่งวุ่นวายมานานขนาดนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะให้เจิ้นทำเสียแรงเปล่า? สวยจนถึงระดับนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะขังตนเองไว้ในห้องมองนิดหน่อยก็พอแล้ว? มีสำนวนหนึ่งเรียกว่าอะไรนะ? แต่งกายสวยงามไม่ไปเดินตลาดให้ผู้อื่นเชยชมเทียบได้กับสวมชุดแพรท่องราตรี เอาเถิด อย่าขัดพระราชโองการ เจิ้นมิใช่จะทำลายกฎเกณฑ์ เจิ้นเพียงมีแผนการใหม่ทั้งหมดแผนการหนึ่ง อยากจะช่วยเหลือสตรีเพศทุกนางในต้าฮวง บุกเบิกจิตสำนึกแห่งความสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิต ภายภาคหน้าเจิ้นหวังจะอาศัยสิ่งนี้ก่อเป็นร้านเสริมสวยหรือร้านเสื้อผ้าที่มีกิจการสาขา สร้างโอกาสในการจ้างงานให้สตรีเพศแห่งต้าฮวง แก้ไขปัญหาตำแหน่งต่ำต้อยของสตรีเพศแห่งต้าฮวง นี่คือความผาสุกที่เจิ้นแสวงหาเพื่อสตรีเพศแห่งต้าฮวงในฐานะราชินี แลเป็นการกระทำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎร…” 


 


 


ขุนนางหญิงฟังอยู่อย่างวิงเวียนศีรษะ ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเริ่มต้นอย่างไรแลพัฒนาไปอย่างไร เหตุใดเพียงลองสวมกระโปรงแทนชุดหนึ่ง พลันเพิ่มพูนถึงเรื่องใหญ่ของแคว้นที่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎรไปแล้ว เรื่องราวความผิดใหญ่หลวงชัดแจ้งเช่นแอบออกไปเดินเล่นในตลาด เหตุใดพลันเปลี่ยนแปลงเป็น “ถวายงานให้องค์ราชินี ดำเนินการแสดงหุ่นสร้างสรรค์และสำรวจท่าทีโต้ตอบของผู้คนในสถานที่จริงแทนนาง” แล้ว… 


 


 


ถึงอย่างไรยามราชินีแซ่จิ่งเริ่มกล่าวบิดพลิ้วเป็นน้ำไหลไฟดับอย่างแท้จริง ราษฎรต้าฮวงผู้ซื่อสัตย์ย่อมไร้หนทางจำแนกแยกแยะและต่อต้าน ถึงอย่างไรครึ่งชั่วยามต่อมา จิ่งเหิงปัวล่อลวงขุนนางหญิงและสตรีหลายนางไปเดินเล่นในตลาดสมความปรารถนาแล้ว  


 


 


มีขุนนางหญิงนำทางทำให้ออกจากวังง่ายดายยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวนั่งรถม้าออกไป ภายใต้การอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าของขุนนางหญิง นางขัดขืนฝืนใจสวมผ้าคลุมไหล่สีขาวผืนเล็กผืนหนึ่ง 


 


 


บนถนนใหญ่จิ่วกงที่คึกคักที่สุดของตี้เกอในวันนี้ เกิดพายุหมุนน้อยลูกหนึ่ง  


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] สือเกา หรือแร่ยิปซัม (gypsum; CaSO4.H2O) หรือเรียกว่าเกลือจืด มีสีขาว ไม่มีสีหรือสีเทา มีความวาวคล้ายแก้ว มุก หรือไหม  

 

 


ตอนที่ 59 - 4 สะท้านตี้เกอ

 

พายุหมุนเริ่มจากทิศตะวันตกของถนนใหญ่จิ่วกงใกล้กับจัตุรัสหวงเฉิง หมุนไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ยิ่งหมุนยิ่งใหญ่ ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว ยิ่งหมุนยิ่งสะท้านสะเทือน  


 


 


หากมองลงไปจากด้านบน จะมองเห็นฝูงชนสีดำเวียนวน ล้อมรอบจุดน้อยหลากหลายจุดหลากสี จุดน้อยเคลื่อนย้าย ฝูงชนติดตามไปอย่างเชื่องช้าด้วย มีเสียงแอบกระซิบกระซาบแว่วออกมาอย่างต่อเนื่อง  


 


 


“ดู ดูสิ นั่นคือกระโปรงอะไร!” 


 


 


“งดงามยิ่งนัก! ไม่เคยเห็นอาภรณ์ที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย!” 


 


 


“ข้าชื่นชอบชุดสีม่วงนั้น สูงส่ง! ประณีต! สวมแล้วดั่งราชินี! อา นางใช่ราชินีหรือไม่!” 


 


 


“ข้าชื่นชอบชุดกระโปรงหลากสีชุดนั้น งดงามเหลือเกิน! พลิ้วไหวดั่งความฝัน!” 


 


 


“มีร้านใดขายบ้าง? ข้าจะต้องซื้อสักชุด!” 


 


 


“อา มองรองเท้าของนาง รองเท้าสีเงิน สูงยิ่ง ประณีตงดงามนัก! รองเท้ายังทำเป็นรูปร่างเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” 


 


 


“ดูหมวกของนางสิ สายผ้าสีกำลังลอยล่อง!” 


 


 


“อาๆๆ ปิ่นกลัดผมดอกไป่เหอสีม่วงชิ้นนั้นประดิษฐ์อย่างไรกัน! เครื่องประดับที่งดงามที่สุดของข้ายังเทียบไม่ได้ครึ่งหนึ่งของปิ่นกลัดผมนี้!” 


 


 


“พวกเจ้ามองเพียงกระโปรงรองเท้าแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าประทินโฉมการพวกนางประณีตนัก สีริมฝีปากนั้นสวยสดงดงามขนาดนั้นได้อย่างไร? ซ้ำยังเปล่งประกาย!” 


 


 


“ข้าอยากรู้แหล่งที่มาของสิ่งของทั้งหมด!” 


 


 


“เร็วเข้า คิดวิธีติดตามไป ไถ่ถามพวกนางซื้อมาจากที่ใด!” 


 


 


ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านเครื่องประดับ ร้านแปรรูปอัญมณี ร้านรองเท้า ร้านแป้งชาด ช่างปักผ้า พ่อค้าหาบเร่ทุกแห่งทั่วทั้งตี้เกอ…ร้านค้าและผู้ทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งของสตรีแทบจะทั้งหมดต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว  


 


 


บุตรสาวผู้ดีทุกคน สาวน้อยอายุเข้าเกณฑ์แทบจะทุกคนทั่วทั้งนครตี้เกอต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว  


 


 


ลูกหลานตระกูลผู้ดี คุณชายตระกูลขุนนาง พวกเจ้าชู้เสเพลหลายรูปแบบแทบจะทั้งหมดในนครตี้เกอต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว เดินตามกลิ่นหอม ไม่เห็นโฉมสะคราญกลางฝูงชน ยังสามารถมองเห็นกุลสตรีนับมิถ้วน ยามปกติคงไม่ได้เห็นสตรีชุมนุมกันมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว ยิ่งไม่ได้ท่าทางตื่นเต้นหน้าแดงซ่านของพวกนาง  


 


 


อาภรณ์สองนาง ลมหอมสองฝั่งถนน กวาดล้างตี้เกอในพริบตา  


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินกลางฝูงชนอย่างไม่รีบไม่ร้อน มุมปากมีรอยยิ้มเพียงน้อย นางเคยชินกับถูกคนอื่นมองนานแล้ว เดิมทีก็หวังออกมาเตรียมให้คนอื่นมอง ผลลัพธ์ยิ่งสั่นสะเทือนยิ่งดี  


 


 


ครั้งแรกนางไม่อยากแปลกแยกแตกต่าง กระโปรงยาวนับว่าหัวโบราณ ผ้าคลุมไหล่ผืนเล็กสีขาวหิมะบดบังผิวกายที่เปิดเปลือย หมวกปีกกว้างหลากสีบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากแดงราวเพลิงบนผิวกายสีขาวราวหิมะ รูปริมฝีปากอวบอิ่ม เส้นริมฝีปากกระหวัดจนแจ่มชัด แพรวพราวเปล่งประกายใต้เงามืดของปีกหมวก  


 


 


กระโปรงยาวเนื้อผ้าชีฟองล่องลอย กระโปรงหลากสีรวมกันเป็นสีสันที่งดงามที่สุด ดุจฤดูสารทแพรวพราวดุจมหาสมุทรก่อเกลียวคลื่นดุจผกายามวสันต์ผลิบาน ใต้กระโปรงเผยหัวรองเท้าแหลมของรองเท้าส้นสูงสายรัด ประดับด้วยพลอยเทียม เปล่งประกายหลายระลอก  


 


 


ขุนนางหญิงอ่อนวัยข้างกายชื่อว่าซย่าจื่อหรุ่ย มิน่าล่ะนางถึงชื่นชอบสีม่วง จิ่งเหิงปัวติดผ้าตาข่ายสีดำประดับลูกปัดเล็กสีดำบนมวยผมนาง บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางไว้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ผุดเผยออกมาขาวผ่องแดงซ่าน ปลายจมูกเชิดขึ้นเพียงน้อย มีลักษณะอ่อนวัยที่เฉิดฉาย ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบคล้ายดั่งเพิ่งถูกขุดค้นออกมาในยามนี้  


 


 


นางไม่ได้สุขุมเท่าจิ่งเหิงปัวแม้เพียงน้อย ตั้งแต่เค่อแรกที่เดินลงจากรถม้าเหยียบย่ำบนถนนยาวก็เริ่มเสียใจในภายหลัง หากไม่ใช่จิ่งเหิงปัวฝืนลากฝืนดึง คิดว่านางคงต้องวิ่งหันกลับมาเป็นแน่ ยามคนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มุงดูกันยิ่งตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ มือจับชายกระโปรงไว้ไม่หยุดหย่อน รองเท้าส้นสูงก็เอนไปเอียงมาจนไร้หนทางเดินก้าวต่อไป อาศัยจิ้งอวิ๋นประคองทั้งสิ้น 


 


 


“อย่ากลัว พวกเราเดินรอบหนึ่งก็กลับแล้ว” จิ่งเหิงปัวปลอบโยนนาง ยิ้มแย้มกับจิ้งอวิ๋นสามคนอย่างรู้สึกเสียใจ กล่าวว่า “วันนี้เวลาไม่พอ ทำได้เพียงแต่งกายให้จื่อหรุ่ยผู้เดียว คราวหน้าแต่งกายให้พวกเจ้าสวยสดงดงาม ออกมาโปรยเสน่ห์ด้วยกัน” 


 


 


“ช่างมันเถิด” ชุ่ยเจี่ยส่ายหน้า เอ่ยว่า “สวมอาภรณ์จนเป็นเช่นนี้ ข้าคงเดินถนนไม่ได้แล้วล่ะ รองเท้านี้เป็นรองเท้าที่ให้คนสวมหรือ?” 


 


 


ยงเสวี่ยเอ่ยด้วยเสียงเล็กแผ่วเบาว่า “ได้มองดูก็ดีมากแล้ว มีอาภรณ์เหล่านี้ แลต้องมีโชคชะตาค้ำจุน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ชื่นชมวาจาของนาง จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทอยากเผยแพร่อาภรณ์เครื่องแต่งกายเช่นนี้ออกไปใช่หรือไม่? ให้เหล่าสตรีแห่งตี้เกอได้เรียนรู้กันหน่อย ฉวยโอกาสหาเงินหาทองด้วย?” 


 


 


“เจ้าฉลาดนัก!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ “เจ้าทำไหมล่ะ? เงินของสตรีเก็บง่ายที่สุด ต้าฮวงไม่ยากจน ทว่าด้วยเพราะติดต่อสื่อสารกับแคว้นอื่นน้อยเกินไป เหล่าสตรีแต่งกายโบราณล้าหลังเกินไปแล้ว สวรรค์ส่งข้ามาที่แห่งนี้ เพื่อให้ข้ามาเก็บเงินใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดส่วนเกินของพวกนาง!” 


 


 


ยิ่งกว่านั้นยังมีราชินีเช่นนางนี้ กับขุนนางหญิงในพระราชวังเป็นนางแบบจัดแสดงด้วยตนเอง! 


 


 


มองโดยทั่วไปแล้วประเทศที่มีจักรพรรดิทรงเป็นประมุขในยุคปัจจุบันเหล่านั้น เสื้อผ้าเครื่องประดับของเหล่าพระชายาพระราชินีเจ้าหญิงก่อให้เกิดกระแสนิยมตลอดมา สินค้าแบบเดียวกันบนเถาเป่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทุกผู้คนต่างมีความฝันจะเป็นพระชายาสักครั้งหนึ่ง ทำได้เพียงสวมใส่เสื้อผ้าสินค้าแบบเดียวกันกับพระชายาชดเชยสักเล็กน้อย 


 


 


ตอนพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ด้วยเพราะสถานการณ์ไม่ชัดเจน นางเลือกสวมชุดพิธีการที่ทางต้าฮวงตระเตรียมให้อย่างว่านอนสอนง่าย ภายหลังรอให้นางลงหลักปักฐานมั่นคง นางจะทำให้ทั้งตี้เกอทั้งต้าฮวงมองเห็นบุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นของนาง  


 


 


ราชินีเช่นนางนี้ อำนาจที่แท้จริงเทียบราชินีอังกฤษไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อวานนางสอบถามจื่อหรุ่ยแล้ว การสนองความประสงค์ของนางต้องให้กองตรวจการวังและกองพิธีการอนุมัติเช่นกัน มีจำนวนครั้ง เอ่ยเสียดิบดีว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้ราชินีก่อเกิดนิสัยฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง สตรีไม่มีเงินชีวิตอันตราย นางไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองแบบอยากซื้อเสื้อขนสัตว์สักตัวยังต้องทำรายงานครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนั้นอนาคตนางอยากจะตามหาเพื่อนซี้สามคนทั่วทั้งโลกจะทำอย่างไร 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูดวงตาที่เจือด้วยแสงรุ่งโรจน์ของจิ้งอวิ๋น เพิ่งคิดอยากคุยเรื่องแผนการของตนเองกับนางสักหน่อย หรือว่ามอบหมายให้นางจัดการเสียเลย อย่างไรเสียนางต้องการผู้ประสานงานกับโลกภายนอกสักคน ในใจสะท้านกะทันหัน คำกล่าวที่มาถึงปากหยุดลงแล้ว  


 


 


คนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ถึงอย่างไรวางแผนให้เชื่อถือได้สักหน่อยดีกว่า  


 


 


เบื้องหน้าเกิดความวุ่นวายต่อเนื่อง เถ้าแก่กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไม่สนใจผู้กีดขวางทั้งชายทั้งหญิง เบียดฝูงสตรีออกไปสุดชีวิต อยากจะพุ่งเข้ามาสอบถามพวกนาง ซ้ำยังมีผู้อ่อนวัยแต่งกายหรูหรากลุ่มหนึ่ง สั่งให้องครักษ์ไล่ฝูงชนออกไป อยู่ไกลโพ้นยังหัวเราะร่าสอบถามราคาของพวกจิ่งเหิงปัว น้ำเสียงเหลาะแหละ  


 


 


จิ่งเหิงปัวได้ยินมีผู้พึมพำเสียงแผ่วเบาในฝูงชนที่ถูกเบียดออกไป  


 


 


“ตัวประกันที่อยู่ไปวันๆ ในตี้เกอกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าศีรษะจะร่วงพื้นยามใด ยังกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเข้าใจแล้ว นี่คงจะเป็นบุตรชายของผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกกงอิ้นใช้กลอุบายบังคับให้ส่งมาตามตำนาน คนเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ตี้เกอในฐานะองค์ประกัน โดยทั่วไปแล้วถือเป็นบุคคลซึ่งเป็นผู้นำตระกูลของหกแคว้นแปดชนเผ่าในตี้เกอด้วย รับผิดชอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร ควบคุมกำลังทั้งหมดของตระกูลที่อยู่ในตี้เกอ บางครั้งเข้าร่วมการลงมติเรื่องแคว้นด้วย  


 


 


ครั้งก่อนที่จะเข้าสู่ตี้เกอ ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกลักพาตัวเหล่านั้น ส่วนมากคือผู้นำขุนนางหรือกำลังทางทหารใต้บัญชาเหล่าองค์ประกัน ด้วยเพราะการดำรงอยู่ขององค์ประกัน หกแคว้นแปดชนเผ่าจำต้องให้ข้าราชบริพารรวมทั้งองครักษ์ส่วนหนึ่งอยู่ในตี้เกอ ทว่ากษัตริย์ที่แท้จริงต่างอยู่ในอาณาเขตของตนเอง หากไม่ใช่ถูกเรียกเข้าพบในพิธีเฉลิมฉลองไม่อาจก้าวออกมาจากเขตแดน  


 


 


ในฐานะที่เป็นองค์ประกัน มีความกลัดกลุ้มในความเป็นความตายทุกขณะ คงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่สบายใจ สำมะเลเทเมาเจ้าชู้บ้ากามอะไรนั่น คล้ายว่าเป็นการปกป้องตนที่ต้องทำอย่างแน่นอน  


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้ที่มาของคนเหล่านี้แล้วไม่อยากคบค้าสมาคมให้มาก กำลังอยากจะหันหลังกลับ รู้สึกทันทีว่าข้างหลังผิดปกติ มีความรู้สึกดั่งหนามแหลมทิ่มแทงแผ่นหลัง นางหันหลังฉับพลัน มองเห็นดวงตาปานเหยี่ยวคู่หนึ่ง  


 


 


ทั้งย้อนแสง ทั้งท้องฟ้าใกล้มืดมิด ฝูงชนเบียดเสียดจอแจอยู่หลังกายแทบจะมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแวบหนึ่ง แสงนัยน์ตานั้นเยือกเย็นและลึกซึ้ง ทิ่มแทงมายังทิศทางของนางประหนึ่งเข็มแหลม แต่ไอสังหารพลันสูญสลายหายไปปานดาวตก กลับกลายเป็นความมืดสลัวสงบเงียบในครู่หนึ่งนั้นที่สัมผัสสายตานาง จากนั้นคนนั้นหันกายสูญสลายในฝูงชน 


 


 


จิ่งเหิงปัวทันได้แค่มองเห็นเงาด้านหลังสูงใหญ่ของคนนั้น ผมสีดำขลับคงจะค่อนข้างอ่อนวัย ดูจากการแต่งกายของเขา คล้ายว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มองค์ประกันเช่นกัน  


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบจดจำเงาด้านหลังเงานี้ไว้ในใจ  


 


 


ถนนใหญ่จิ่วกงกว้างนัก ฝูงชนที่พวกนางดึงดูดมามากเกินไป เดินไปครึ่งหนึ่งก็ไร้หนทางเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าอีก ผู้ที่มีเจตนาร้านค่อยๆ เข้ามาใกล้ มีบางคนยื่นมือคิดจะดึงกระโปรงของจิ่งเหิงปัว จื่อหรุ่ยเสียใจอย่างไร้สิ้นสุดกับการกระทำของตนตั้งนานแล้ว กัดปากไว้เกือบจะร้องไห้ออกมา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท…พวกเราไม่ควรมา…คนเยอะเหลือเกินออกไปไม่ได้ จะเกิดเรื่องนะเพคะ…” 


 


 


“อืม เท่านี้น่าจะพอแล้ว ควรทิ้งทวนปราดสุดท้ายงามตะลึงพรึงเพริดปราดหนึ่งแล้ว” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า มองเห็นตรอกน้อยตรอกหนึ่งริมถนนเบื้องหน้า ก้าวเข้าไปแล้วหายตัว  


 


 


ลมระลอกหนึ่งพัดผ่าน สะบัดหมวกของนางขึ้นพอดี ผมยาวพัดสยายระหว่างสายริบบิ้นลอยล่อง นางยิ้มแย้มชำเลืองนัยน์ตา  


 


 


ผุดผาดหยกโสภณ อร่ามล้นมนตร์เสน่ห์  


 


 


ในพริบตาเดียวทุกผู้คนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างวูบ ดั่งแล่นเรือบนมหาสมุทรยามรุ่งเช้าพลันได้เห็นพระอาทิตย์ก่อเกิดแสงอรุโณทัยออกมา สายตาพลันเต็มเปี่ยมด้วยสีสันและความสวยสดงดงาม ความเฉิดฉายและความแพรวพราว สวยงามจนกระทั่งเอ่ยไม่ได้ว่าที่ใดงดงาม รู้สึกเพียงคิ้วดำโฉมอำไพ เค้าร่างดุจภาพวาด รู้สึกเพียงตั้งแต่ดวงตาถึงดวงใจ ตั้งแต่ดวงใจถึงวิญญาณต่างสั่นสะท้านในพริบตาเดียว ตื่นตะลึง หลงลืมสิ้นทุกสิ่ง จำได้เพียงครู่หนึ่งนี้ทอดข้ามแสงสว่างและแสงสีสันกลางม่านตา  


 


 


ทุกคนเปล่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงที่ไม่อาจเข้าใจความหมาย ต่างตกตะลึงงงงันไปชั่วครู่ 


 


 


ผ่านไปสักพักถึงมีผู้รู้สึกตัวขึ้นมา  


 


 


“เอ๋! คนล่ะ!” 


 


 


ผู้ที่เหลืออยู่ตกอกตกใจกันใหญ่ สายตามองดูโฉมสะคราญเบื้องหน้าสองนางนั้นที่ห่างออกไปไม่ไกลหายไปโดยพลัน  


 


 


เมื่อครู่ยังถูกล้อมไว้กึ่งกลางฝูงชนอย่างแจ่มแจ้ง แม้มีปีกยังยากจะโผบิน  


 


 


ทุกคนทยอยตามหารอบกาย จะหาเจอได้ที่ใด? สตรีที่สวมอาภรณ์งดงามมหัศจรรย์สองนางนั้นดุจมารผกาพราวเสน่ห์ในเรื่องราวภูตผีปีศาจจิ้งจอก เหินลมจุติมาแล้วยิ้มแย้มจากไป สูญสลายระหว่างสายตาเสียดายอาลัยอาวรณ์ของทุกคน  


 


 


… 


 


 


ครึ่งเค่อให้หลัง จิ่งเหิงปัวลากซย่าจื่อหรุ่ยที่เซ่อซ่ามึนงงกลับมาบนรถม้าที่จอดอยู่ซอกมุมหนึ่งในจัตุรัสหวงเฉิงแล้ว  


 


 


แล้วรออีกสักพัก พวกชุ่ยเจี่ยสามนางกลับมาแล้วเช่นกัน  


 


 


จิ่งเหิงปัวทำได้มากที่สุดแค่พาคนคนหนึ่งหายตัว โชคดีที่พวกชุ่ยเจี่ยได้ยินนางร้องเรียกล่วงหน้า สวมใส่ชุดปกติธรรมดา ในชั่วพริบตานั้นที่จิ่งเหิงปัวลากซย่าจื่อหรุ่ยหายตัว พวกนางหันกายแฝงเข้าไปกลางฝูงชนแล้วกลับมาด้วยตนเอง  


 


 


ภายใต้แสงสว่างรุ่งโรจน์ของพวกจิ่งเหิงปัวสองคน พวกนางก็คือผู้เดินถนนคนหนึ่ง ไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร  


 


 


รถม้าเข้าวังมาอย่างราบรื่นยิ่ง องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังคุ้นเคยกับจื่อหรุ่ยยิ่งนัก เพียงดูป้ายห้อยเอวที่จื่อหรุ่ยยื่นออกมา ไม่ตรวจค้นรถม้าเสียด้วยซ้ำ ผู้สามารถรับตำแหน่งขุนนางหญิงในพระราชวังต้าฮวงต่างผ่านการตรวจสอบและการทดสอบจากกองตรวจการวังครั้งแล้วครั้งเล่า ตนเองแม้แต่ชีวิตเกียรติยศศักดิ์ศรีของทั้งตระกูลยังอยู่ในกำมือของกองตรวจการวัง ไม่อาจทรยศได้โดยแท้  


 


 


เมื่อกลับมาถึงลานบ้านของตนเอง จิ่งเหิงปัวพบอย่างแปลกใจว่าลานบ้านกว้างขึ้นอีกหน่อยแล้ว มีสิ่งของมากมายเพิ่มเข้ามา เหมิงหู่เฝ้าอยู่ปากประตู เดินไปเดินมาด้วยสีหน้าร้อนรน พอมองเห็นนางรีบเร่งเดินเข้าลานบ้านข้างห้องไปแล้ว  


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวถึงนึกได้ว่า แม้ว่าจื่อหรุ่ยมีป้ายห้อยเอวเข้าออกวังได้สะดวก แต่ตนเองออกจากวังครั้งนี้ยังง่ายดายเกินไปหน่อย กงอิ้นไอ้จอมควบคุมนั่นจะไม่ได้สั่งการให้คนตามมาเลยเหรอ? 


 


 


… 


 


 


กงอิ้นฟังรายงานของเหมิงหู่แล้ว วางม้วนหนังสือในมือลง หางตาชำเลืองไปทางคนอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า  


 


 


ผู้นั้นคือเจ้าอ้วน เป็นหนึ่งในผู้ติดตามที่เดินทางไปต้าเยียนด้วย นามว่าอวี่ชุน  


 


 


“เรียนนายท่าน” อวี่ชุนเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงติดตามขุนนางหญิงจื่อหรุ่ยออกจากวัง แลมิได้ทรงกระทำสิ่งใด ทรงพระราชดำเนินบนถนนใหญ่จิ่วกงสามสิบจั้งแล้วเสด็จกลับมา รวมเวลาทั้งสิ้นไม่เกินหนึ่งเค่อ ทว่า… ” เขาเช็ดเหงื่อ นึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเองเบียดเสียดจนผิวเกือบจะลอกออกมาชั้นหนึ่ง ยิ้มขมขื่นเอ่ยว่า “ทว่าทั่วทั้งตี้เกอ ยามนี้คงจะถูกทำให้ตกใจกันทั่วแล้วขอรับ…” 


 


 


“โอ้?” กงอิ้นหันหน้ามาในที่สุด ดวงพักตร์แจ่มชัดใต้แสงทิวาสายัณห์ แสงทองเพียงน้อยเปล่งประกายระยิบระยับบนขนตายาวดกดำ  


 


 


“เรื่องนี้…” อวี่ชุนรู้สึกได้เลยว่าไม่อาจบรรยายความรู้สึกงามตะลึงพรึงเพริดครู่หนึ่งนั้นของตนเองเบื้องหน้าราชครู ทำได้เพียงยิ้มคลุมเครือเอ่ยว่า “ท่านไปดูสักหน่อยย่อมรู้แล้วขอรับ…” 

 

 

 


ตอนที่ 60 - 1 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี

 

จิ่งเหิงปัวที่กลับถึงในวังเพิ่งคิดจะล้างเครื่องสำอาง นึกถึงแผนการที่ร่างไว้เมื่อเช้าวันนี้แผนหนึ่งได้กะทันหัน รีบเร่งลากยงเสวี่ยไปยังห้องครัวน้อยแล้ว


 


 


จื่อหรุ่ยยังคงนั่งอยู่ในห้องประหนึ่งความฝัน นึกถึงทุกสิ่งในวันนี้แล้วเท้าแก้มแย้มยิ้มโง่เขลาเซ่อซ่า


 


 


ในห้องไม่มีผู้ใดอื่น จิ้งอวิ๋นกับชุ่ยเจี่ยต่างเหน็ดเหนื่อยกลับห้องพักผ่อนแล้ว จื่อหรุ่ยนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะเครื่องแป้งปานเดินละเมอ หมอบอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งด้วยทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง ประคองใบหน้าที่แดงจนร้อนผ่าวของตนเองไว้


 


 


นับแต่เข้าวังยามสิบหกจนบัดนี้ล่วงเลยมาสี่ปี เคยชินกับกฎของพระราชวังที่ละเอียดเข้มงวด ท่องจำข้อบัญญัติทุกวี่วัน แต่ละกิริยาวาจาดุจถูกไม้บรรทัดวัดไว้ ถูกสั่งสอนศีลธรรมคำสั่งสอนสตรีทุกชั่วขณะ ด้วยหวังว่าภายภาคหน้าจะได้เป็นขุนนางหญิงที่ได้มาตรฐานที่สุด นางไม่เคยมีความหลงระเริงเช่นวันนี้เลย ไม่เคยเสพสุขสายตาชื่นชมยินดีเช่นนี้เลย ไม่เคยคิดเลยว่าสตรีจะมีชีวิตอยู่อย่างงดงามเช่นนี้ได้!


 


 


จิตใจหวั่นไหวมากล้น นางเลียนแบบจิ่งเหิงปัวอย่างควบคุมมิได้ เท้าคางไว้อย่างเกียจคร้าน สองมือประสานกันสง่างาม ท่วงท่าสตรียิ่งนักท่วงท่าหนึ่ง


 


 



 


 


ยามกงอิ้นเข้ามาในห้อง มองเห็นเงาด้านหลังของชุดกระโปรงสีม่วงเงาหนึ่ง


 


 


พอเห็นเสื้อผ้ารู้ว่าเป็นของจิ่งเหิงปัว กระโปรงยาวที่โดดเด่นสวยงามยิ่งยวด ชายกระโปรงฟูฟ่องพลิ้วไหวทั่วพื้น ข้างล่างผุดเผยส้นรองเท้าประณีตเรียวแหลม ส่วนข้างบนผุดเผยลำคอเรียวบางสีขาวราวหิมะ


 


 


นางยังคงทำท่วงท่าเช่นเคย เท้าคางหมอบอยู่อย่างเกียจคร้าน ปิ่นปักผมดอกไป่เหอพลอยเทียมสีม่วงหลังศีรษะทั้งเรียบหรูงดงามทั้งลึกลับดุจตัวตนของนาง


 


 


มวยผมของนางยุ่งเหยิงอยู่บ้างเล็กน้อย ถูกแสงเงาของอาทิตย์อัสดงชุบจนเหลืองทองกระเซิง เส้นผมหลายกลุ่มขึ้นลงเชื่องช้าตามลมหายใจ


 


 


กงอิ้นพลันรู้สึกว่าลมหายใจว้าวุ่นเล็กน้อยเช่นกัน


 


 


เขาถูกเงาด้านหลังที่ทั้งงามวิจิตรทั้งสูงศักดิ์เงาหนึ่งเช่นนี้จู่โจมโดยตรง


 


 


ในความเคลิบเคลิ้มพระราชวังอึมครึม กระโปรงบานซ้อนชั้น ผู้ใดหวนคำนึงถึงริมฝีปากแดงดุจโลหิตผืนนั้นในแสงเงาของความทรงจำ…


 


 


เขาร่วงสู่ใจกลางความงงงวยที่ไม่รู้ความจริงหรือความฝัน ในใจดั่งทั้งเศร้าโศกทั้งยินดี


 


 


“วันนี้เจ้า…” เขาเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง ตนเองยังไม่รู้ถึงการโพล่งปากออกมาของตนเอง เอ่ยว่า “งดงามจริงแท้…”


 


 


เงาด้านหลังนั้นคล้ายแข็งทื่อ


 


 


เขาสั่นสะท้านเช่นกัน คล้ายนึกไม่ถึงว่าตนเองจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา ทว่าหลังจากเอ่ยออกไป คล้ายไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม ในใจแอบรู้สึกว่าถูกแล้ว เป็นเช่นนี้แล อย่าเก็บงำอีกเลย เอ่ยกับนาง เอ่ยอารมณ์อำพรางเหล่านี้กับนาง เรื่องเก่าที่ฝุ่นจับ ความทรงจำที่หัวมุมกับความปีติยินดีที่พวยพุ่งและความลังเลเล็กน้อยที่พลันปรากฏขึ้นในความทรงจำในยามนี้


 


 


เขาต่อสู้ดิ้นรนจนเกรียงไกรมาครึ่งชีวิต ไม่ยอมปล่อยวางแม้อยู่เบื้องหน้านาง ทว่าถือทิฐิเช่นนี้ยังแลกสิ่งใดมาได้หรือ? เขาพลันอยากลองปล่อยวางดูบ้าง


 


 


ไม่ควรให้การหลบหลีกของเขาสูญสลายนัยน์ตาเฝ้ารอคอยของนางอีก เขาอยากมองดูว่ายามเขาระบายความในใจจะจุดประกายรอยยิ้มของนางได้อย่างแท้จริงหรือไม่


 


 


ช่วงดวงใจมีความเจ็บปวดเบาบาง ทว่ายามนี้เขาไม่อยากใส่ใจ


 


 


เขาเดินก้าวไปเบื้องหน้าแผ่วเบา มือยกขึ้นเพียงน้อยพลันหยุดอยู่กลางอากาศ


 


 


การข้ามผ่านป้อมปราการบางสิ่งต้องการความกล้าหาญและพลัง โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ขาดแคลนของเหล่านี้ ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำ


 


 


มือทอดลงบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา ตำแหน่งที่เขาเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนาน


 


 


“เหิงปัว…”


 


 



 


 


ทั่วร่างของจื่อหรุ่ยแข็งทื่อไปเสียแล้ว


 


 


ยามกงอิ้นปรากฏกายตรงปากประตู นางมองเห็นเขาในกระจกแล้ว ท่าทีโต้ตอบแรกคือหมอบกราบ พลันรู้สึกถึงการแต่งกายและพฤติกรรมของตนเองในยามนี้ต่างมีความผิดใหญ่หลวง


 


 


นางสวมฉลองพระองค์ของราชินี นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะเครื่องพระสำอางของราชินี ซ้ำยังหมอบอยู่อย่างเกียจคร้านอีกได้อย่างไร!


 


 


นี่เป็นโทษประหารชีวิต!


 


 


ราชครูฝ่ายขวาผู้ละเอียดรอบคอบคงจะไม่ให้อภัยนางเป็นแน่!


 


 


ไม่รอให้นางคิดว่าควรทำอย่างไรดี ราชครูเข้ามาแล้ว วาจาประโยคแรกที่ออกมาจากปากได้สะบั้นสติสัมปชัญญะของนางจนหลุดลอย


 


 


เสียงที่หนักแน่นมั่นคงทว่าสั่นระริกเพียงน้อยนั้นคือเสียงของราชครูจริงหรือ? นางโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใดยังเข้าใจได้ว่าในเสียงนั้นผุดเผยความรักความห่วงใยที่ไม่อาจเอ่ยให้ชัดเจนมากเพียงใด


 


 


พอวาจาประโยคนั้นเอ่ยออกมา ทั่วทั้งห้องเปี่ยมล้นด้วยบรรยากาศคลุมเครืออ่อนโยนฉับพลัน ลมหายใจของราชครูหลังกายขึ้นลงเพียงน้อย นางยิ่งหดเกร็งเรือนร่างมากขึ้น ดวงใจเต้นรัวจนคล้ายจะกระโดดออกมาจากคอหอย


 


 


ดวงซวยเกินไปแล้ว…


 


 


ราชครูกับราชินี…


 


 


ความในใจของบุคคลสำคัญเป็นสิ่งที่คนเช่นนางนี้ฟังได้หรือ?


 


 


จื่อหรุ่ยอธิษฐานให้ราชครูกลับไปทั้งเช่นนี้ปานวิกลจริต


 


 


ทว่านางผิดหวังแล้ว


 


 


เขาหยุดยืนแล้ว เขากำลังนิ่งเงียบ เขาคล้ายกำลังใคร่ครวญ…ตัดสินใจว่า…เขาเดินเข้ามาแล้ว!


 


 


จื่อหรุ่ยแทบจะเป็นบ้าแล้ว ความกดดันทางจิตใจขนาดมหึมาทำให้นางมีจิตใจรีบร้อนอยากหันกายคุกเข่าร้องวิงวอนโดยพลัน ทว่านางกลับไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงน้อย


 


 


ราชครูเดินมาถึงหลังกายนาง ความตึงเครียดและความหวาดกลัวทำให้นางรีบเร่งหมอบลงไปด้านล่าง กระจกสาดสะท้อนไม่เห็นใบหน้าของนางอีก ทว่ามองเห็นมือที่ยกขึ้นมาของราชครูได้


 


 


โอ้สวรรค์ อย่านะ…


 


 


มือนั้นยังคงทอดลงมา จากนั้นเสียงวาจาของราชครูค่อยๆ ดังขึ้น…


 


 


เขากำลังเอ่ย…


 


 


เขากำลังเอ่ย!


 


 


ในสมองของจื่อหรุ่ยว่างเปล่าขาวโพลน มีเพียงวาจาเหล่านั้นที่เขาเอ่ยกรอกเข้าไปในสมองอย่างแข็งกระด้าง นางกลับไม่รู้ว่าเขากำลังเอ่ยอะไรไปชั่วขณะ ทั่วร่างแข็งทื่อหาใดเปรียบ ในสมองกลับเอ็ดตะโรบ้าคลั่งพลิกไปมาหลายตลบว่า โอ้สวรรค์อย่าเอ่ยวาจาเหล่านี้กับข้าอย่าเอ่ยวาจาเหล่านี้กับข้าโอ้สวรรค์ข้าตายแน่แล้วข้าตายแน่แล้ว…


 


 


มือที่อยู่บนไหล่กำลังสั่นเทิ้มเพียงน้อยคล้ายว่าจิตใจของราชครูไม่สงบนิ่งเช่นกัน ฉะนั้นเขาที่ความรู้สึกเฉียบไวถึงไม่ได้ค้นพบหรือ?


 


 


สวรรค์เอ๋ย ให้เวลาไหลทวนกลับไปครึ่งวันก่อนเถิด ข้ายอมไม่เคยสวมใส่อาภรณ์ชุดนี้เลย!


 


 



 


 


“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!”


 


 


เสียงเสียงหนึ่งพลันทำลายความแข็งทื่อในครู่นี้


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนงงงวยอยู่บนธรณีประตู มองดูท่วงท่าเบื้องหน้าอย่างไม่รู้สึกตัวเล็กน้อย


 


 


นางถึงขนาดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เงยหน้ามองดูท้องฟ้า เอ๊ะ ไม่มีฟ้าผ่าลงมานะ


 


 


ในขณะเดียวกันนั้นเองกงอิ้นหดมือฉับพลัน ก้มหน้ามองดูสีหน้าพลันเปลี่ยนไป ตวาดเสียงลั่นว่า “เจ้าคือผู้ใด!”


 


 


เสียงดัง “ตุ้บ” เสียงหนึ่ง จื่อหรุ่ยหันกายพุ่งลงบนพื้น เข่ากระแทกพื้นดินเปล่งเสียงทึบหนักเสียงหนึ่ง นางกลับคล้ายไร้ซึ่งความเจ็บปวดแม้เพียงน้อย ศีรษะโขกลงบนพื้นดินดังตึ้งตึ้ง ร้องว่า “ราชครูไว้ชีวิต! ราชครูไว้ชีวิต!”


 


 


บนใบหน้ากงอิ้นมีสีหน้าตื่นตกใจโกรธเคืองอย่างหาได้ยาก เขาหันหน้าจ้องจิ่งเหิงปัวเขม็ง นางยืนอยู่บนธรณีประตู สีหน้าตื่นตะลึง กระโปรงยาวแบบโบฮีเมียทั้งพลิ้วไหวทั้งลอยล่อง แสงดาราที่ริมฝีปากแดงและหางตาเปล่งประกายวูบ รัศมีโค้งงดงามเปี่ยมเสน่ห์ เปี่ยมเสน่ห์จนทำให้ในใจเขาบีบเกร็ง


 


 


จากนั้นเขาหันหน้าจ้องจื่อหรุ่ยเขม็ง พลันเข้าใจว่าเกิดเรื่องใดขึ้น บนใบหน้าสีขาวราวหิมะกะพริบวูบด้วยความโกรธาสายหนึ่งโดยพลัน


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ


 


 


“อย่า!” นางตะโกนร้องเสียงหลง


 


 


คำสั่งของกงอิ้นแว่วทั่วพระราชวังแล้วว่า “ลากออกไป ให้ปลิดชีพตนเอง!”


 


 


“ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!” จื่อหรุ่ยเปล่งเสียงร้องไห้สิ้นหวังเสียงหนึ่ง


 


 


เหมิงหู่กับอวี่ชุนไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดประหนึ่งโผบิน ยื่นมือฉุดเพียงครั้งฉุดลากจื่อหรุ่ยออกไป


 


 


“หยุดนะ!” จิ่งเหิงปัววิ่งเข้าไปขัดขวางอยู่เบื้องหน้าสองคนที่หมางเมินเฉยเมย ร้องว่า “ข้าบอกว่าหยุดนะ!”


 


 


“หยุด” กงอิ้นที่อยู่ข้างหลังนางเอ่ยอย่างเย็นชา


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวก่อเกิดความหวัง หันกายมองเขา


 


 


“อย่าสังหารนางได้หรือไม่? เพราะข้า…”


 


 


“อย่าทำให้อาภรณ์สกปรก” กงอิ้นเอ่ยกับเหมิงหู่


 


 


เหมิงหู่รับบัญชา เหวี่ยงจื่อหรุ่ยลงไปบนพื้น เอ่ยว่า “ถอดอาภรณ์บนกายเจ้าเสีย! เจ้าไม่คู่ควรจะสวมมันไปสิ้นชีพ!”


 


 


จื่อหรุ่ยสั่นไหวระริก ไม่ทันได้กระดากอายแลไม่ทันได้วิงวอนขอร้อง ยื่นมือถอดเข็มขัดอย่างมึนชา มือสั่นเทิ้มมากเกินไป ถอดไปสองครั้งยังถอดไม่ออก


 


 


“ห้ามถอดนะ!” จิ่งเหิงปัวก้าวขึ้นไปขวางนางไว้ ถลึงตามองกงอิ้นด้วยความโกรธ กล่าวว่า “อาศัยอะไรจะสังหารนางซ้ำยังจะเหยียดหยามนาง! นี่ไม่ใช่ความผิดของนาง! ข้าให้นางสวมเอง!”


 


 


“ฝ่าบาท…” ผู้ที่คว้ากระโปรงนางแผ่วเบาอยู่ข้างหลังนางกลับเป็นจื่อหรุ่ย ร้องว่า “อย่า…อย่า…หม่อมฉันเป็นคนผิดเอง หม่อมฉันกระทำเกินหน้าที่แล้ว…หม่อมฉันยินยอมรับความตาย พระองค์ไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ ไม่ต้องตรัสแล้ว!”


 


 


สตรีผอมแห้งน้ำตานองหน้า ใจรู้ว่าวันนี้คงจะไร้โชคเป็นแน่…สิ่งที่ทำให้นางสิ้นชีพมิใช่การสวมอาภรณ์ที่ไม่ควรสวม การกระทำเรื่องที่ไม่ควรกระทำ ทว่าคือการได้ฟังวาจาที่ไม่ควรฟัง

 

 

 


ตอนที่ 60 - 2 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี

 

วาจาทุกประโยคที่ออกมาจากปากของราชครูฝ่ายขวาล้วนทำให้นางดั่งถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง ไม่เพียงแต่มีความคิดความห่วงใยที่ราชครูอาจจะไม่ยอมถ่ายทอดต่อคนนอกตลอดกาล อีกทั้งอาจจะเป็นความลับของราชวงศ์ที่เขาทุ่มเทใจเปิดเผยครั้งแรก ความลับของพระราชวัง ความจริงที่ไม่อาจสัมผัสที่สุดที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกประวัติศาสตร์และเรื่องเก่าเหล่านั้น เจือด้วยลมหายใจกลิ่นคาวโลหิตแห่งราชสำนักที่ฝังลึกถึงขนาดไม่อาจสนทนาบนกระดาษ ทำได้เพียงถ่ายทอดคนต่อคนปากต่อปากโดยผู้ที่สูงส่งที่สุดในราชสำนัก


 


 


ฟังไม่กี่ประโยคนางย่อมสิ้นหวังแล้ว…อย่าว่าแต่นาง ต่อให้เป็นรองเสนาได้ยินวาจาเช่นนี้ยังได้แต่ไปสิ้นชีพ


 


 


เพราะนางกระทำผิดเอง หากแต่แรกเริ่มนางไม่สนใจพะว้าพะวังมากมายขนาดนั้น ไม่หวาดกลัวขนาดนั้น คุกเข่าขออภัยโทษโดยพลันยามราชครูปรากฏกาย หลีกเลี่ยงไม่ให้ราชครูระบายความในใจผิดคน บางครั้งนางอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต


 


 


ยามนี้…จบสิ้นกันแล้ว…


 


 


“อย่าสูญสิ้นความหวังโดยง่าย” จิ่งเหิงปัวผลักเหมิงหู่กับอวี่ชุนออก ประคองนางขึ้นมา ร้องว่า “ข้าน่ะไม่เคยได้ยินว่าสวมเสื้อผ้าชุดเดียวยังเป็นโทษประหารชีวิต! ยิ่งกว่านั้นเสื้อผ้าชุดนี้ข้าเป็นผู้บังคับเจ้าสวมใส่ก่อนเอง!”


 


 


จื่อหรุ่ยมีความทุกข์ยากจะเอ่ย แอบหลั่งน้ำตาเงียบเชียบ


 


 


“ฝ่าบาท” เสียงของกงอิ้นเย็นชานัก เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงหลีกเลี่ยงชั่วคราว”


 


 


“ที่แห่งนี้คือวังบรรทมของข้า” จิ่งเหิงปัวหันกาย นึกไม่ถึงว่ากงอิ้นจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้ ในใจเกิดเพลิงโทสะเช่นกัน ชี้จมูกของตนเอง กล่าวว่า “กงอิ้น ข้ายังเป็นราชินีอยู่หรือไม่?”


 


 


กงอิ้นหันหน้ามา ปลายจมูกดุจน้ำแข็งหยกเยือกเย็นในแสงอาทิตย์อัสดงเลือนราง ทรวดทรงแจ่มชัดดุจหิมะสลัก


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เสียงไร้ซึ่งอารมณ์แม้เพียงน้อยเช่นกัน


 


 


“ข้าคือผู้ปกครองสูงสุดแห่งแคว้นใช่หรือไม่”


 


 


“ในพระนาม ใช่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ข้ามีอำนาจอภัยโทษให้ผู้อื่นหรือไม่?”


 


 


“ขอเพียงอีกฝ่ายมีโทษไม่ถึงประหารชีวิต”


 


 


“สวมอาภรณ์ชุดหนึ่งเป็นโทษประหารชีวิตหรือไม่?”


 


 


“สวมชุดพิธีการของราชินีมีโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”


 


 


“ชุดนั้นไม่ใช่ชุดพิธีการของข้า คือกระโปรงธรรมดาที่ข้าสวมยามปกติ”


 


 


“เช่นเดียวกัน”


 


 


“ข้าไม่เอาเรื่อง!”


 


 


“พระองค์ไม่เอาเรื่อง ย่อมมีผู้อื่นปฏิบัติตามกฎระเบียบมาเอาเรื่อง”


 


 


เหมิงหู่กับอวี่ชุนลากจื่อหรุ่ยไว้ เดินอ้อมจิ่งเหิงปัวขึ้นไปเบื้องหน้า


 


 


สตรีนั้นไม่แค่นแม้เสียงหนึ่ง เส้นผมยาวสยายลงมา สูญเสียความคิดร้องขอชีวิตแลไม่มุ่งหวังได้รับความช่วยเหลือ


 


 


กงอิ้นหลบหลีกสายตาบีบคั้นของจิ่งเหิงปัว หันกายไป


 


 


เสียงของจิ่งเหิงปัวแว่วมาจากหลังกายเขาอย่างชัดเจน


 


 


“หรือว่าราชินีเช่นข้านี้ หวังปกป้องผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งยังทำไม่ได้หรือ?”


 


 


เสียงดั่งคล้ายเศร้าสลดโศกศัลย์


 


 


ในใจกงอิ้นสะท้านวูบ


 


 


นางได้รับบาดเจ็บแล้ว


 


 


สตรีที่อิสระร่าเริง ภายในใจเกรียงไกรเกลี้ยงเกลาคล้ายจะไม่ถูกกักขังในแดนเลวร้ายชั่วกาลนางนี้ ในที่สุดยังคงได้รับบาดเจ็บแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ที่เดิม กุมกำปั้นแน่น สั่นระริกเพียงน้อย


 


 


นางน่ะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้


 


 


มองดูคล้ายมีเพียบพร้อมทุกสิ่ง แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรสักอย่าง


 


 


เขาจะใช้ผลลัพธ์น่าเวทนาเช่นนี้มาเตือนนางว่านิสัยตามใจตนของนางตนเองอาจจะไร้บาดแผล แต่จะทำให้คนข้างกายจะประสบเคราะห์ร้ายน่าเวทนาเหรอ?


 


 


เขาจะบอกนางว่าอย่านึกว่าการแสดงความสามารถโดดเด่นในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จจะทำให้นางกลายเป็นราชินีที่แท้จริง เบื้องหน้ามหาอำนาจที่เขาควบคุมไว้เนิ่นนานแล้ว นางคือหุ่นเชิดตลอดไป!


 


 


คือหุ่นเชิดคนหนึ่งซึ่งแม้แต่คนบริสุทธิ์ข้างกายยังไม่อาจปกป้อง!


 


 


จื่อหรุ่ยถูกลากออกไปอย่างเงียบเชียบ สวมเพียงกระโปรงซับในสีขาวทั่วร่าง กระโปรงยาวสีม่วงโรยราฝุ่นธุลี มัวสลัวอับสีสัน


 


 


กงอิ้นก้าวข้ามประตูอย่างแผ่วเบา


 


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่าฝ่ามือในแขนเสื้อเขากลายเป็นกำปั้น หลังมือผุดเผยเส้นโลหิตเขียว


 


 


ดุจดังไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าครู่หนึ่งนั้นเขาผิดหวังตื่นกลัวเจ็บปวด อารมณ์ดั่งร่วงเหวลึก


 


 


หน้าอกคล้ายถูกขัดขวาง หรือมีเพลิงร้อนแผดเผา นั่นคือโลหิต


 


 


ความในใจที่ใช้ความกล้าหาญยิ่งใหญ่ที่สุดทำลายรั้วกั้นระบายออกมา ทว่าทิ้งขว้างให้ผู้แปลกหน้าฟัง เรื่องนี้ทำให้คนยากจะยอมรับเสียยิ่งกว่าความลับของราชสำนักถูกรับรู้


 


 


ทั้งสภาพการณ์ทั้งเหตุผลทั้งความเป็นจริง ปล่อยขุนนางหญิงผู้นี้ไว้ไม่ได้


 


 


“กงอิ้น!”


 


 


ครู่หนึ่งนี้เสียงของนางไม่ซ้อนด้วยความโกรธแค้นแหลมคมเมื่อครู่แล้ว กลับเป็นความเงียบงันที่หาได้ยาก สองคำนี้ออกเสียงได้เด็ดเดี่ยวชัดเจน เขาไม่เคยได้ยินนางตะโกนใส่เขาเช่นนี้เลย


 


 


คล้ายว่าครู่ต่อมาที่ตะโกนสองอักษรนี้ออกมาคือการตัดขาดที่ไม่คิดจะตะโกนอีกครั้งไปตลอดกาล


 


 


จิ่งเหิงปัวที่เกียจคร้านเจ้าเล่ห์ ไม่เคยตัดขาดตั้งแต่ไหนแต่ไร


 


 


ในใจเขาพลันสั่นสะท้าน เดิมทีคิดไว้แล้วว่าไม่สนใจนางอีก ยามนี้กลับหยุดฝีก้าวลงอย่างควบคุมมิได้


 


 


หยุดฝีก้าวทว่าไม่ได้หันหน้ากลับมา เงาด้านหลังของเขาตรงดิ่งไม่อาจสั่นคลอน


 


 


เสียงของนางแว่วมา ชัดเจน เงียบสงบ ดั่งคล้ายเจือด้วยไอสังหารสามส่วน


 


 


“หากวันนี้เจ้าสังหารนาง เท่ากับประกาศว่าข้าไร้หนทางปกป้องผู้ที่ข้าอยากปกป้องชั่วกาล เช่นนั้นข้าเป็นราชินีนี้มีประโยชน์อะไร? ข้ายังอาศัยสิ่งใดสร้างคุณูปการให้ต้าฮวงของเจ้า? ข้าไม่ใช่แม่พระ จะไม่ทรมานตนเอง หากเจ้าทำร้ายผู้ที่ข้าอยากปกป้อง ข้าจะออกไปจากที่นี่ การเพาะปลูกในบึงโคลน การปรับที่ดินให้ดีขึ้น การทดสอบชนิดพันธุ์ รวมทั้งทุกสิ่งที่ข้ารู้ ทุกสิ่งที่พอจะช่วยเหลือเศรษฐกิจต้าฮวงได้ ข้าจะไม่มอบให้ต้าฮวงแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียวอีก!”


 


 


จิ่งเหิงปัวสีหน้าเขียวคล้ำ จ้องมองเงาด้านหลังที่ตั้งตระหง่านดั่งไม่อาจขัดขืนของเขาเขม็ง


 


 


บางครั้ง มีเพียงเพิ่มผลประโยชน์ของแคว้นและปากท้องของประชาราษฎร์เข้าไปด้วย เขาถึงจะยินยอมตั้งใจครุ่นคิดล่ะมั้ง


 


 


นางคิดอย่างเศร้ารันทดอยู่บ้าง หากตนเองเพียงข่มขู่ว่าจะจากไป คิดว่าคงไม่มีผลแม้แต่น้อยแน่นอน


 


 


กงอิ้นที่หันหลังให้นางยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว เหมิงหู่กับอวี่ชุนพบเจอสองคนทะเลาะวิวาทกันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกต่างหดเกร็งไหล่แน่น หยุดลงตรงหน้าประตู ก้มหน้าไม่กล้าเคลื่อนไหว


 


 


จื่อหรุ่ยหันใบหน้าที่มีคราบน้ำตาลายพร้อยมาอย่างตื่นตะลึง ไม่กล้าเชื่อว่าราชินีจะกระทำการข่มขู่นี้เพื่อนาง นี่เป็นของวิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่ราชินีใช้พึ่งพาให้ประทับราชบัลลังก์ต้าฮวงได้มั่นคงนะ!


 


 


นางยิ่งไม่กล้าเชื่อว่าราชครูที่เอ่ยคำไหนคำนั้น ไม่ประนีประนอมเป็นแน่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมากลับนิ่งเงียบด้วยเพราะเหตุนี้จริงแท้ คล้ายกำลังเลือกสรร


 


 


ราชครูฝ่ายขวากงอิ้น อุปนิสัยเถรตรงเลื่องชื่อ ในยามแรกที่เข้าประจำตำแหน่งราชครูเคยพบเผ่าหวงจินก่อกบฏ ยามนั้นไม่สนใจว่าตำแหน่งใหญ่ยังไม่มั่นคง นำคั่งหลงยกทัพสังหารด้วยตนเอง สงครามนองเลือดทุ่งฮวงหลงสามวันสามคืน โลหิตย้อมหิมะถมแดงฉาน ทหารกบฏผลุนผลันโจมตีตอบโต้ ร้องขอชีวิตด้วยอับจนหนทาง จับตัวราษฎรบริสุทธิ์บุกเมือง ในนั้นยังมีผู้อาวุโสแห่งบ้านเกิดของกงอิ้น กงอิ้นที่อยู่หน้าเมืองไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ พอจุดเพลิงสวรรค์ไหม้ทุ่ง ซากศพเกลื่อนทั่วทุ่งเบื้องหน้าประตูเมืองสามจั้ง


 


 


เอ่ยกันว่านับจากนั้นเป็นต้นมา กงอิ้นไม่ได้กลับบ้านเกิดอีกเลย


 


 


คนผู้หนึ่งเช่นนี้ จะสังหารคนผู้หนึ่งเช่นนางนี้ ทั่วทั้งโลกาไร้ผู้ซึ่งช่วยเหลือได้ ยิ่งกว่านั้นนางมีหนทางรนหาที่ตายโดยแท้


 


 


นิ่งเงียบ


 


 


อากาศในพระราชวังคล้ายถูกบีบอัดจนกลายเป็นแผ่นเบาบางแผ่นหนึ่งซึ่งคมกริบปานใบมีด จุกแน่นหน้าคอหอยของทุกคนจนจะทิ่มแทงผิวถลอกเห็นโลหิตในพริบตาต่อมา


 


 


ทั่วร่างของจื่อหรุ่ยสั่นเทิ้ม หมอบราบไม่กล้าเงยหน้า ไม่มีความกล้าหาญเผชิญโชคชะตาของตนเองแล้ว


 


 


นัยน์ตาที่เบิกกว้างของจิ่งเหิงปัวค่อยๆ มืดมัวเบื้องหน้าความนิ่งเงียบที่ดำเนินต่อไปไม่หยุดหย่อน ดั่งอาทิตย์อัสดงบดบังแสงงงดงามของเมฆเรืองรองหลังแสงสายัณห์


 


 


จากนั้นนางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หันกายจากไปลากกระเป๋าของตนเองจากในห้องลองเสื้อผ้าอย่างยากลำบาก


 


 


พวกชุ่ยเจี่ยสามคนนั้นรีบเดินมาเพราะได้ยินเสียงแล้ว ทว่าไม่กล้าเข้าห้องแลไม่กล้าเอ่ยไกล่เกลี่ย เขย่งเท้ายืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง จ้องมองอย่างเปี่ยมด้วยจิตใจระทมทุกข์


 


 


ล้อลากของกระเป๋าขนาดมหึมาส่งเสียงดังกุกกักบนพื้นศิลาชิงอวิ๋นคล้ายจะบดขยี้บนดวงใจคน


 


 


“ให้นางเอ่ยสาบานมรณะ”


 


 


เสียงที่ดังขึ้นมาโดยพลันของกงอิ้นแทบจะถูกกลบกลืนด้วยเสียงลากกระเป๋า ทว่าทุกผู้คนต่างได้ยินโดยพลันแล้ว


 


 


จื่อหรุ่ยเงยหน้าฉับพลัน ในสายตาสิ้นหวังปะทุด้วยความตื่นตกใจและความดีใจใหญ่ยิ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวโซซัดโซเซ ถูกกระเป๋าขนาดมหึมาพาให้ล้มลง


 


 


ไหล่เกร็งแน่นของเหมิงหู่กับอวี่ชุนคลายลง ไม่กล้าถอนหายใจยาว เพียงแอบประสานสายตากันปราดเดียว


 


 


กงอิ้นไม่ได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่เริ่มจนจบ หลังมือใต้แขนเสื้อสีขาวราวหิมะไร้ซึ่งสีโลหิตเช่นกัน


 


 


“สาบานมรณะหมายความว่าอะไรหรือ…” จิ่งเหิงปัวสอบถามอย่างเจือด้วยความหวังสายหนึ่ง


 


 


“คำสาบานที่ใช้ชีวิตเป็นเครื่องสังเวย ผู้สาบานต้องกินยาสูตรลับของพระราชวัง หากเปิดเผยแม้เพียงน้อยนิด ต้องพบพิษนับหมื่นกัดกินซากศพ สภาพยามสิ้นชีพน่าเวทนานัก คือประเภทหนึ่งที่หนักที่สุดในหมู่คำสาบาน…” เหมิงหู่เพิ่มเข้าไปอีกประโยคหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไรยังรักษาชีวิตไว้ได้…นายท่านคราวนี้เมตตากรุณายิ่งนักแล้ว”


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไม่ใช่เห็นด้วยกับความเมตตากรุณาของบางคน แต่รู้สึกว่ารักษาชีวิตไว้ได้ก็พอ รักษาความลับเดิมทีก็เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ…เดี๋ยวนะ รักษาความลับเหรอ? รักษาความลับอะไร? ไม่ใช่แค่สวมใส่เสื้อผ้าของนางนั่งตำแหน่งของนาง เรื่องนี้ต้องใช้สาบานมรณะมารักษาความลับเหรอ?


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าผิดปกติ หรือว่า เมื่อครู่กงอิ้นเอ่ยอะไรสำคัญบางอย่างกับจื่อหรุ่ย? ฉะนั้นถึงได้โมโหโกรธาขึ้นมาขนาดนี้? ฉะนั้นจื่อหรุ่ยถึงไม่หวังร้องขอชีวิต?


 


 


นางคันยุบยิบในใจทันที แต่มองดูจื่อหรุ่ย แล้วมองดูเงาด้านหลังที่แวบหนึ่งยังหนาวเหน็บของกงอิ้น ก็รู้ว่าเรื่องนี้แปดในสิบตนเองในชาตินี้คงไม่ได้รับรู้แล้ว


 


 


“นักโทษหญิงซย่าจื่อหรุ่ย ขอใช้ชีวิตต่ำต้อยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะรักษาความลับอย่างเคร่งครัด ไม่ถ่ายทอดต่อผู้อื่นกระทั่งสิ้นชีพ ผู้ผิดคำสาบานรวมทั้งครอบครัวร่วมรับความทรมานจากพิษนับหมื่นกัดกลืนดวงใจ หลายชั่วคนถลำสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย ไม่หลุดพ้นชั่วกาล!” จื่อหรุ่ยเอ่ยคำสาบานอย่างร้อนอกร้อนใจเนิ่นนานแล้ว เงยหน้าขึ้นกลืนยาเม็ดเหม็นคาวเม็ดหนึ่งที่เหมิงหู่ส่งมาให้ลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


หลังเสร็จสิ้นเรื่องราวนางอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงบนพื้น อาภรณ์ช่วงหลังเปียกชุ่มดุจรับโทษหนัก


 


 


กงอิ้นไม่ได้หันกายมาตั้งแต่เริ่มจนจบ ยามนี้ข้ามผ่านธรณีประตูในที่สุด


 


 


“จิ่งเหิงปัว” ก่อนออกจากประตูตำหนักสุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ภายหลัง อย่าได้นำผลประโยชน์ของแคว้นมาบีบบังคับข้าอีกตลอดกาล!”


 


 


สมองของจิ่งเหิงปัวสับสนวุ่นวาย ยอกย้อนอย่างไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า “ไม่นำสิ่งนี้มาบังคับจะนำสิ่งใด? หรือว่านำความรู้สึกมาบังคับ? เจ้ามีด้วยหรือ?”


 


 


เงาด้านหลังของกงอิ้นแข็งทื่อ จากนั้นยกเท้าก้าวจากไปด้วยความเร็วยวดยิ่ง 

 

 


ตอนที่ 60 - 3 เยือนตำหนักบรรทมยามราตรี

 

สีหน้าของเหมิงหู่กับอวี่ชุนน่าเวทนานัก


 


 


แม่นางน้อย วาจานี้ของเจ้ายิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าไอสังหารคุกคามเมื่อครู่นั้นอีกนะ?


 


 


เจ้านึกว่าด้วยเพราะเจ้านำผลประโยชน์ของแคว้นมาข่มขู่ นายท่านถึงได้ฝ่าฝืนหลักการยอมอ่อนข้อให้ทั้งสิ้นจริงหรือ!


 


 


ทำอย่างไรดีมีวาจาเอ่ยไม่ได้ เหมิงหู่ชี้เงาด้านหลังของกงอิ้นแล้วชี้จิ่งเหิงปัว เทียบภาษามือกว่าระลอกหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองจนรู้สึกประหลาดใจ “ถุ้ย” เสียงหนึ่ง


 


 


เสียงดังกังวาน


 


 


เหมิงหู่ใช้มือกุมหน้าผาก…โอ้ นายท่าน แท้จริงแล้วท่านพบเจอจิ่งเหิงปัวถึงเป็นโศกนาฏกรรม…


 


 


“ยังไม่ไปอีก!” กงอิ้นที่เดินออกไปไกลลิบแล้วตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง เหมิงหู่อวี่ชุนได้แต่ก้าวตามไปด้วยท่าทางไม่พอใจ


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่หน้าประตู มองดูกงอิ้นข้ามผ่านประตูตำหนักกลับข้างห้องไป ประตูห้องหนังสือปิดลงแน่นหนาดังพลั่กเสียงหนึ่ง ไม่เหมือนแบบเมื่อวานนั้นที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งให้นางแอบมองโดยตลอดอีกแล้ว


 


 


“ไร้เหตุผล!” จิ่งเหิงปัวด่าเสียงหนึ่ง ตนเองกลับมานั่งตรงขอบเตียง หน้าบูดบึ้ง


 


 


“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…” จื่อหรุ่ยร้องไห้สะอึกสะอื้นคลานเข้ามา กอดขาของนางไว้ในครั้งเดียว ร้องว่า “ขออภัยเพคะ…ขออภัยเพคะ…”


 


 


“เป็นข้าที่ต้องขอโทษเจ้านะ” จิ่งเหิงปัวจูงนางขึ้นมา ฉวยมือหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดหน้าให้นาง กล่าวว่า “ข้าไม่ควรทำตามอำเภอใจ ผลลัพธ์กลับทำร้ายเจ้า…” นางหัวเราะขมขื่นเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด ลุกขึ้นเถิด ไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าใช้ใบหน้าขมขื่นขนาดนั้นมามองดูข้า จะทำให้ข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าติดค้างข้าแปดล้านเท่า…จิ๊จ๊ะ ดูเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าเจ้าสิ ร้องไห้จนกลายเป็นภูตผีเสียแล้ว อัปลักษณ์ตายแล้ว…”


 


 


จื่อหรุ่ยค่อยๆ สงบเงียบลงมาท่ามกลางเสียงกล่าวเจื้อยแจ้วแผ่วเบาที่ไม่เข้าท่าทว่าอบอุ่นอย่างยิ่งของนาง


 


 


“เรื่องนั้น…การรักษาความลับที่เจ้าสาบานเมื่อครู่…” จิ่งเหิงปัวลังเลอยากสืบถาม


 


 


“หม่อมฉันเอ่ยคำสาบานพิษ เรื่องนี้หากพระองค์ทรงอยากรู้ คงต้องรอให้หม่อมฉันสิ้นชีพแล้วเพคะ” จื่อหรุ่ยเงยหน้า สีหน้าจริงจัง


 


 


“ได้ ได้ ข้าไม่ถาม ปฏิบัติตามคำสัญญาเป็นเรื่องดี” จิ่งเหิงปัวคิดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่นะอย่างหดหู่


 


 


“หม่อมฉันเพียงอยากเอ่ยว่า” จื่อหรุ่ยเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “พระองค์อย่าได้ทรงเข้าใจราชครูผิดเชียว เรื่องราวในวันนี้เป็นความผิดของหม่อมฉันจริง เขาลงโทษหม่อมฉันเป็นเรื่องสมควร เขา…เขาเป็นคนดีมากคนหนึ่งจริงแท้ ดีมากกับพระองค์…เช่นกันเพคะ”


 


 


“ดีหรือ?” โทสะระลอกหนึ่งของจิ่งเหิงปัวพวยพุ่ง หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทั้งกล่าวว่า “ดีหรือ? ดีจริง!”


 


 


จื่อหรุ่ยมองสีหน้านางพลันรู้ว่าไร้หนทางโน้มนาวอีกชั่วคราว จำเป็นต้องถอนใจแผ่วเบา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ชีวิตนี้ของจื่อหรุ่ยได้พระองค์ทรงช่วยเอาไว้สุดชีวิต นับแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์จะทรงทุบตีหรือสังหาร จะให้จื่อหรุ่ยฝ่าลมลุยเพลิง จื่อหรุ่ยยินยอมพร้อมใจทั้งนั้น นับแต่นี้ชีวิตนี้เป็นของพระองค์”


 


 


“จะต้องการไปเพื่อเหตุใดเล่า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มตามใจตน ตบไหล่ของนาง สายตาชำเลืองไปข้างห้องอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


ที่สุดแล้วนางไม่ใช่คนสมัยโบราณ ความต้องการชีวิตของใคร ความต้องการความจงรักภักดีของใคร สำหรับนางแล้วไร้ซึ่งแรงดึงดูด


 


 


สิ่งของที่นางอยากได้อย่างแท้จริง กลับไม่รู้ว่าผู้อื่นให้ได้หรือเปล่า


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวเหงื่อท่วมร่างดั่งสายฝนอยู่ในห้องครัว


 


 


แต่ไม่ใช่เพราะสมองนางเกิดปัญหาเลยเข้าครัวด้วยตนเอง นางแค่มุดอยู่ในไอร้อนน้ำแกงของยงเสวี่ย พลางเขย่าซองกระดาษน้อยในมืออย่างตื่นเต้นดีใจ


 


 


“ข้าให้จื่อหรุ่ยหามาให้ข้าเลยนะ” จิ่งเหิงปัวลำพองใจ กล่าวว่า “ยาสูตรลับในวังเอาไว้รับมือกับนางในที่มีนิสัยดื้อรั้นเย่อหยิ่งเหล่านั้นโดยเฉพาะ กินแล้วจะอ่อนแอท้องเสียไร้เรี่ยวแรง ยอมให้คนรังแกประหนึ่งทั่วร่างเป็นตะคริว ผ่านไปสามวันอาการจะหายไปเอง ถึงขนาดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสามวันได้ไม่ค่อยชัดเจน…ดียิ่งนัก! นี่มันสร้างขึ้นเพื่อเหยียลี่ว์ฉีแท้ๆ เลย!”


 


 


“เป็ดตุ๋นโสมกับหวงฉี” ยงเสวี่ยเอ่ยว่า “น้ำแกงใสรสเข้มข้นกลบกลิ่นไว้ได้”


 


 


บิดาของยงเสวี่ยเคยเป็นพ่อครัว ภายหลังป่วยไข้เสียชีวิต มารดาขายนางเข้าหอนางโลมเพื่อเลี้ยงดูน้องชาย นางเรียนรู้ฝีมือการทําอาหารจากบิดาตั้งแต่เด็ก หกขวบเริ่มทำอาหารดูแลมารดาและน้องชายแล้วจึงมีความสามารถเรื่องงานบ้านสัพเพเหระ จิ่งเหิงปัวพบว่าเมื่อเทียบกับสาวห้าวแบบชุ่ยเจี่ยและสาวงามขี้โรคแบบจิ้งอวิ๋นแล้ว แม่หนูน้อยที่ไม่สะดุดตาถึงเป็นของล้ำค่า


 


 


ยงเสวี่ยนำน้ำแกงที่เพิ่มวัตถุดิบแล้ววางไว้บนจานรอง จิ่งเหิงปัวกำลังจะยกออกไป ยงเสวี่ยพลันถามว่า “จะเตรียมไว้อีกสักชุดหรือไม่?”


 


 


จิ่งเหิงปัวมองสายตานางก็รู้ว่านางถามว่าจะเหลือน้ำแกงดีไว้ให้กงอิ้นหรือไม่ เมื่อวานส่งไปเขายังไม่ได้ดื่มเลย


 


 


“เหอะ ผู้เป็นมิตรไม่ยุ่งกับผู้เย็นชา!” จิ่งเหิงปัวเชิดหน้ายกน้ำแกงเดินไปแล้ว


 


 


ยงเสวี่ยมองดูเงาด้านหลังของนางอย่างประหลาดใจ…เอ๊ะ เจ้าผู้เป็นมิตรชอบไปยุ่งกับผู้เย็นชา ซ้ำยังยุ่งเกี่ยวอย่างเริงร่านักโดยตลอดไม่ใช่หรือ?


 


 



 


 


กงอิ้นฝังตนเองอยู่ในกองสมุดพับอีกครั้ง คราวนี้ในห้องหนังสือไม่ได้จุดตะเกียงด้วยซ้ำ


 


 


เหมิงหู่กับอวี่ชุนได้แต่ยืนอยู่ในความมืดมิดเช่นกัน แลไม่กล้าหายใจเสียงดัง เหมิงหู่ยิ่งไม่กล้าไปบอกเรื่องอาหารเย็นเป็นนัยให้ทางจิ่งเหิงปัวนั้นเฉกเช่นเมื่อวาน


 


 


ทว่ามีกลิ่นหอมทอดยาวโชยมาเชื่องช้า ในใจสองคนตึงเครียด ต่างรู้ว่าในสถานการณ์ปกติ ห้องครัวข้างห้องอยู่ห่างไกล กลิ่นหอมโชยมาไม่ได้ นอกเสียจากว่าราชินียกน้ำแกงเดินกรีดกรายไปตามถนนอีกแล้ว


 


 


เหมิงหู่ขนหัวลุก แอบอธิษฐานให้องค์ราชินีเกิดมโนธรรมในใจส่งน้ำแกงให้ราชครู เช่นนี้แรงกดอากาศในห้องย่อมแก้ไขได้แล้ว


 


 


ทว่ามองจากระดับการทอดยาวและความเร็วในการประชิดใกล้ของกลิ่นหอมแล้วคล้ายว่าผิดปกติยิ่งนัก


 


 


เหมิงหู่แอบชำเลืองตามองกงอิ้นเพียงครั้ง


 


 


เขาตั้งใจอ่านสมุดพับ หันหน้าเพียงน้อย บนใบหน้างดงามหล่อเหลาไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงคล้ายว่าไม่ได้รับรู้สิ่งใดทั้งนั้น


 


 


เหมิงหู่หันกายเพียงน้อย ชำเลืองมองข้างนอกปราดหนึ่งถึงมองเห็นองค์ราชินีผู้สูงศักดิ์ยกน้ำแกงเยื้องย่างอยู่ข้างประตูพอดีแน่ะ


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวเดินกลับไปกลับมารอบประตูข้างสามรอบแล้ว


 


 


ในใจนางแอบรู้สึกประหลาดใจ ประตูไม่ได้ล็อกชัดๆ ทางหลักใกล้มาก กลิ่นหอมมีแรงทะลุทะลวงอย่างยิ่ง ช่วงเวลากำลังพอเหมาะพอดี เมื่อวานเหยียลี่ว์ฉีแย่งน้ำแกงไปได้ วันนี้ทำไมถึงไม่มาแล้วล่ะ?


 


 


ถ้าเขาไม่มา น้ำแกงเป็ดตุ๋นโสมกับหวงฉีใส่ยาเทียนซือซั่นชามนี้ของนางคงขายไม่ออก ไม่เท่ากับส่งสายตาหวานให้คนตาบอดดูเหรอ?


 


 


นางยังอยากมองดูเหยียลี่ว์ฉีแบบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจะมีท่าทางแบบไหนกันนะ


 


 


ถ้าไม่มาอีกจะทำอย่างไรดี? จะเปิดประตูไปทางนั้นเสียเลยดีไหม?


 


 



 


 


เหมิงหู่แอบร้องขมขื่น


 


 


องค์ราชินียั่วยุเก่งเกินไปแล้ว


 


 


ไม่นึกเลยว่าจะส่งน้ำแกงต่อไปซ้ำยังเตร็ดเตร่ไม่ยอมเลิกรา นางคงไม่รู้แน่ว่าเมื่อวานฝั่งสำนักเจาหมิงนั้นถูกองครักษ์เฝ้าดูแลอย่างเข้มงวดมากขึ้นแล้ว หากราชครูเหยียลี่ว์อยากออกมาคงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว


 


 


กลิ่นหอมนี้มีไอสังหารเช่นนี้โอ้อวดอยู่เบื้องล่างจมูกเจ้านายไม่จบไม่สิ้นเช่นนี้ นี่นางเบื่อหน่ายว่าวันเวลาสงบเงียบเกินไปแล้วหรือว่าอย่างไรเล่า?


 


 


ราชครูไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยดุจรูปสลักที่จมดิ่งในแสงเงา ยิ่งมองยิ่งพาให้คนอกสั่นขวัญแขวน


 


 


เหมิงหู่กำลังจะคิดหาหนทางแอบลอบออกไปโน้มน้าวให้ราชินีออกห่าง


 


 


กงอิ้นพลันวางสมุดพับไว้บนโต๊ะเพียงครั้ง สมุดพับร่วงบนพื้นโต๊ะหวงหลีดังกึกเสียงหนึ่ง สะเทือนจนสองคนต่างสั่นสะท้าน


 


 


จากนั้นกงอิ้นลุกขึ้นโดยพลัน เปิดประตูออกไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


ทิศทางคือประตูข้าง


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวหยุดฝีเท้าลงในการเดินไปมารอบที่สาม สุดท้ายแล้วถอดใจล้มเลิกแผนการไม่ลง ยกน้ำแกงไว้ เท้าหนึ่งถีบประตูข้างให้เปิดออก


 


 


มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมายกโถกระเบื้องนั้นไปจากข้างหลังนาง


 


 


ท่าทางนี้เหมือนกับเมื่อวานราวเป็นพิมพ์เดียวกัน จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ ยังนึกว่าเหยียลี่ว์ฉีจู่โจมกะทันหันอีกครั้ง แต่นึกได้ทันทีว่าทิศทางเหมือนจะไม่ถูกต้อง?


 


 


นางหันหลังอย่างเซ่อซ่าอยู่บ้าง


 


 


แล้วมองเห็นกงอิ้นผู้ประหนึ่งไผ่เขียวบนผาไกลใต้ลำแสงมืดสลัว


 


 


กงอิ้นยกน้ำแกงชามนั้นไว้ เลิกคิ้วขึ้นตามองดูนาง กลางหน้าผากคล้ายมีน้ำค้างหิมะ


 


 


“อยากส่งไปให้เขาหรือ?” เขาถามนาง


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดว่าเป็นแบบนั้น พยักหน้า


 


 


“อยากให้เขาดื่มหรือ?” สีหน้าเขาคล้ายอึมครึมเล็กน้อยทว่าน้ำเสียงยังสงบเงียบ


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอีกครั้ง


 


 


“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร?” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยพลัน


 


 


หัวข้อสนทนาที่กระโดดข้ามแบบนี้ จิ่งเหิงปัวกลับตามติดไปด้วย นางอดจะระบายอารมณ์ไม่ได้ด้วยเพราะอารมณ์ฉุนเฉียวที่โหมซัดระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมากะทันหัน


 


 


“อ๊ะๆๆ เจ้ามันไอ้หน้านิ่งที่ชอบเป็นศัตรูกับข้า! ภูเขาน้ำแข็ง! จักรพรรดิเย็นชา! ไอ้น่ารำคาญ…”


 


 


“เจ้าเอ่ยถูกแล้ว” เขายกน้ำแกงหันไปทางนางปานดื่มคารวะ เอ่ยว่า “ข้าเป็นศัตรูกับเจ้าเสมอ”


 


 


เขายกชามขึ้นดื่มไปสองอึก ฉวยมือสะบัดเพียงครั้ง ชามกระเบื้องกระแทกบนพื้นแหลกละเอียด น้ำแกงกระเซ็นทั่วพื้น


 


 


จากนั้นเขาหันกายจากไปอย่างสง่างามโดยไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว


 


 


ทิ้งจิ่งเหิงปัวที่ถูกท่วงท่ากะหันนี้ทำให้ตะลึงจนปากอ้าตาค้างไว้


 


 


จวบจนเงาด้านหลังที่พึงพอใจของกงอิ้นสูญสลายไปในห้องหนังสือข้างห้อง จิ่งเหิงปัวที่คืนสติขึ้นมาแล้วถึงเปล่งเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งเสียงหนึ่ง


 


 


“กรี๊ดๆๆ เจ้าดื่มผิดแล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม