เจ้าสาวจอมจุ้นขอลุ้นรัก 59-75

 ตอนที่ 59

 

 เขาออกจากบ้านไปแล้วจริงๆ

 


ตกกลางคืน หลินเช่อกลับมาที่ห้องนอนและปิดประตู เธอกะว่าจะไม่ยอมให้กู้จิ้งเจ๋อเข้ามา


 


 


หญิงสาวรออยู่พักใหญ่แต่ก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไร


 


 


เธอค่อยๆ แง้มประตูห้องเงียบๆ และได้ยินเสียงกู้จิ้งเจ๋อที่ดูเหมือนจะกำลังคุยโทรศัพท์


 


 


“ฮุ่ยหลิงเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”


 


 


เมื่อได้ยินชื่อโม่ฮุ่ยหลิง หลินเช่อก็ชักอยากรู้และแอบฟังต่อไป


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถือโทรศัพท์และรับฟังโม่ฮุ่ยหลิงคร่ำครวญจากปลายสาย


 


 


[จิ้งเจ๋อคะ ฉันทะเลาะกับครอบครัว ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ให้ฉันไปพักกับคุณสักสองสามวันได้มั้ยคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคิดหนัก “ทำไมเธอถึงทะเลาะกับที่บ้านล่ะ”


 


 


[มันเป็นเพราะ…ช่างมันเถอะค่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีที่ไปแล้ว พ่อกับแม่ยึดบัตรเครดิตของฉันไปหมดเลย]


 


 


“ก็ได้ ฉันจะจัดการหาที่อยู่ให้เธอ แล้วก็จะไปรับเธอเอง”


 


 


[ได้ค่ะ ฉันจะรอนะคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนสั่งการ เขาโบกมือเรียกฉินเฮ่าเข้ามา “เตรียมวิลล่าริมหาดไว้ด้วย ฮุ่ยหลิงต้องการที่อยู่ ฉันจะไปรับเธอเดี๋ยวนี้แหละ”


 


 


“ครับท่าน” ฉินเฮ่าเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังของแล้วก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก


 


 


ขณะถอยออกมา คนสนิทของเขาก็มองเห็นเงาของหลินเช่อวูบหนึ่งและอดไม่ได้ที่จะนึกเห็นใจหล่อน อารมณ์ของกู้จิ้งเจ๋อไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะรับมือได้


 


 


หลินเช่อมองดูกู้จิ้งเจ๋อที่เดินออกจากบ้านไป เธออ้อยอิ่งอยู่ที่ประตูพลางแอบก่นด่าเขาเบาๆ อีตากู้จิ้งเจ๋อใจดำ นี่เขากล้าไปพบผู้หญิงอื่นทั้งที่มีภรรยาอยู่แล้วเหรอเนี่ย


 


 


แต่เมื่อคิดได้ หัวใจเธอก็ชาหนึบ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงต่างหากล่ะที่เป็นรักแท้ของเขา คนที่ไม่ถูกรักคือคนที่ต้องถูกเรียกว่ามือที่สามไม่ใช่เหรอ


 


 


เธอนี่แหละคือมือที่สามสำหรับเขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อออกจากบ้านไปและไม่ได้กลับมาในคืนนั้น


 


 


หลินเช่อได้ยินเสียงเขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับวิลล่าริมอ่าวจนพลอยทำให้เธอจินตนาการไปถึงภาพเขากำลังตระกองกอดกับโม่ฮุ่ยหลิงอยู่ที่นั่น


 


 


ขณะเดียวกัน ที่วิลล่าริมอ่าวนั้น


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงวางกระเป๋าสัมภาระลงแล้วมองดูกู้จิ้งเจ๋ออย่างมีความสุข “ขอบคุณมากนะคะ จิ้งเจ๋อ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อให้สาวใช้จัดการกับข้าวของของโม่ฮุ่ยหลิงในขณะที่ทั้งสองคนนั่งลงบนโซฟา


 


 


“ฮุ่ยหลิง เกิดอะไรขึ้นที่บ้านกันแน่น่ะ”


 


 


โม่ ฮุ่ยหลิงกัดริมฝีปาก “ฉัน…มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ” เธอหลุบตามองพื้น ท่าทางน่าสงสารยิ่ง “พวกเขาไม่เห็นด้วยที่เราสองคนจะคบกันอีกต่อไปแล้วน่ะค่ะ ตอนนี้ที่พวกเขารู้ว่าคุณแต่งงานแล้ว พวกเขาก็เลยพยายามจะหาคนรักให้ พอฉันคัดค้าน เราก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันนี่แหละ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งลงเคียงข้างเธอแล้วมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งนาน “ฮุ่ยหลิง…”


 


 


เธอต้องเป็นทุกข์เพราะเขาแท้ๆ


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงเงยหน้าขึ้น “ฉันไม่ยอมมีแฟนหรอกนะคะ ฉันอยากจะรอคุณ การแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักน่ะไม่มีความสุขหรอกค่ะ ฉันจะไม่ยอมทนทรมานไปทั้งชีวิตแน่ๆ …”


 


 


เธอกำลังพูดถึงตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เตือนให้เขารำลึกด้วยว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้แต่งงานกับคนที่เขารัก และต้องเจอหน้ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยเหมือนกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนิ่วหน้าด้วยความไม่ชอบใจนัก


 


 


แต่เมื่อหันไปมองโม่ฮุ่ยหลิง เขาก็ตัดสินใจที่จะระงับอารมณ์เอาไว้


 


 


วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ รู้สึกหงุดหงิดหัวใจไปหมด


 


 


แม้แต่โม่ฮุ่ยหลิงก็ยังรู้สึกได้ เพราะตั้งแต่เจอหน้ากัน สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อก็เย็นชาเหมือนน้ำแข็ง ดวงตาคมปลาบราวกับใบมีด ริมฝีปากก็คว่ำลงอย่างคนไม่มีความสุข


 


 


แต่โม่ฮุ่ยหลิงกลับยินดี


 


 


บางทีเขาอาจจะไม่พอใจกับสิ่งที่ครอบครัวของเธอปฏิบัติต่อเธอก็ได้


 


 


เธอรู้ดีว่ากู้จิ้งเจ๋อเป็นคนมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง เธอคิดว่าเขาคงจะต้องหึงเธอแน่ๆ เมื่อได้รู้เรื่องนี้


 


 


หญิงสาวก็เอนตัวลงพิงซบเขาก่อนเงยหน้าขึ้นมอง “จิ้งเจ๋อคะ ฉันควรจะทำยังไงดีคะ ครอบครัวก็ยังบังคับฉันไม่เลิก ฉันไม่อยากจะกลับบ้านอีกแล้วล่ะ ใครจะรู้ว่าเขาจะหาผู้ชายแบบไหนมาแต่งงานกับฉันละคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันไปหาเธอแล้วพูดเรียบๆ ว่า “เธอจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้ที่เธอต้องการ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงดึงแขนเขาแล้วถามว่า “คุณจะอยู่กับฉันด้วยหรือเปล่าคะ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจและตอบโดยไม่ต้องหยุดคิด “ฮุ่ยหลิง ทำแบบนี้มันไม่ถูก ฉันเป็นผู้ชายแต่งงานแล้ว”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงหน้าเสีย “แต่ฉันกลัวที่จะต้องอยู่ที่นี่คนเดียวนี่นา”


 


 


“ฉันจัดการส่งสาวใช้มาอยู่ที่นี่แล้วห้าคน แล้วก็มีพ่อครัวกับพนักงานรักษาความปลอดภัยอีก ทุกอย่างปลอดภัยดีแน่นอน ฉันจะไม่ยอมให้มีอะไรเกิดขึ้นที่นี่ เธอวางใจได้”


 


 


“ต่อให้มีคนอยู่ด้วยมากแค่ไหนก็เทียบกับคุณไม่ได้หรอกค่ะ” โม่ฮุ่ยหลิงมองเขา “ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว มันรู้สึกไม่ปลอดภัย”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไร


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงชักจะหัวเสีย “หรือเพราะว่าคุณคิดจะกลับไปนังเมียคนสวยนั่นของคุณใช่มั้ยละคะ เพราะแบบนี้คุณถึงไม่อยากอยู่ที่นี่น่ะ”


 


 


นังเมียคนสวยงั้นเหรอ


 


 


คิ้วของกู้จิ้งเจ๋อขมวดเข้าหากัน ดวงตาเป็นประกาย เขามองโม่ฮุ่ยหลิง “ช่างเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่”


 


 


ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยนอนค้างนอกบ้านหรอก แต่เพราะเขาไม่เคยนอนค้างในห้องเดียวกับเธอต่างหาก เพราะอาการป่วยของเขา ชายหนุ่มจึงไม่เคยใกล้ชิดแตะเนื้อต้องตัวเธอแม้สักครั้ง


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงดีใจยิ่งนัก เธอรีบร้องสั่งให้เตรียมอาหารมื้อค่ำ ใบหน้างามของเธอสดใสแช่มชื่นขึ้นทัน


 


 


ตา


 


 


เมื่อได้เห็นว่าโม่ฮุ่ยหลิงดีใจแค่ไหน กู้จิ้งเจ๋อก็ตัดสินใจได้แน่ชัดว่าจะค้างคืนที่นี่ เขาเป็นหนี้โม่ฮุ่ยหลิงหลายเรื่องแล้ว ถ้าเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้จะทำให้โม่ฮุ่ยหลิงมีความสุขได้ มันก็คงจะช่วยลดความรู้สึกผิดในใจเขาได้เช่นกัน


 


 


ทั้งสองนั่งรับประทานอาหารค่ำด้วยกันในเวลาต่อมาก่อนจะกลับไปยังห้องนอนส่วนตัว กู้จิ้งเจ๋อไม่สนใจแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าโม่ฮุ่ยหลิงอยากจะเรียกเขาเข้าไปและหาทางทำให้เขายอมอยู่ในห้องนั้นกับเธอ แต่ชายหนุ่มตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการเดินเข้าห้องของตัวเองเสียเลย


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงทำได้แค่กระทืบเท้าด้วยความขัดใจและเดินเข้าห้องของตัวเองไป


 


 


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่กลับมาบ้านตลอดทั้งคืนนั้น


 


 


หลินเช่อออกมารับประทานอาหารเช้า มีอาหารเพียงจานเดียววางรอท่าอยู่บนโต๊ะในห้องโถงใหญ่ หญิงสาวชักไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก


 


 


ถึงแม้จะมีคนรับประทานอาหารเพียงคนเดียว แต่บรรดาคนรับใช้ก็ยังคงเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด ทว่าหลินเช่อกลับรู้สึกว่าบ้านทั้งหลังว่างเปล่าเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป


 


 


ไม่ช้า ทางบริษัทก็โทรมาและแจ้งกับเธอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นถึงงานโฆษณาที่เข้ามา หลินเช่อรีบตรงดิ่งไปบริษัทในทันที


 


 


เมื่อไปถึง อวี๋หมินหมิ่นก็อธิบายรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับโฆษณาให้ฟัง งานนี้จะมีคนได้เห็นเป็นจำนวนมาก และการจ้างเธอเป็นพรีเซนเตอร์ก็จะทำให้เธอยิ่งโด่งดังมากขึ้นตามไปด้วย


 


 


แต่ที่หลินเช่อไม่รู้เลยก็คือโอกาสอันดีครั้งนี้จะนำพาเธอไปสู่การถูกใส่ร้ายกันน่าเจ็บปวด

 

 

 


ตอนที่ 60

 

 เขากำลังป้อนอาหารโม่ฮุ่ยหลิง

 


หลินเช่อเดินเข้าไปในบริษัทที่ว่าจ้างเธอโฆษณาพร้อมกับอวี๋หมินหมิ่น เธอชวนคุยไปพลางว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ฉันได้เป็นนางแบบโฆษณา ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีโอกาสได้ทำงานโฆษณาด้วย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนี้เธอกลายเป็นคนมีผลงานแล้วนะ ถึงเวลาที่เธอจะได้เจิดจรัสแล้ว เลิกคิดว่าตัวเองเป็นแค่ดาราตัวประกอบได้แล้ว เธอเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง เข้าใจรึเปล่า”


 


 


หลินเช่อว่า “ฉันแค่ยังไม่ค่อยชินน่ะค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากเลย เมื่อสองสามเดือนก่อน ฉันยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “อาชีพนี้มันก็เป็นแบบนี้แหละ เธอสามารถโด่งดังได้ในชั่วข้ามคืนถ้าเธอคว้าโอกาสไว้ได้ แต่ถึงยังไงเธอก็ต้องระวังด้วย ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะพลาดด้วยเหมือนกัน ถ้าหากว่ามีอะไรมาถ่วงเวลาและเธอไม่สามารถมีชื่อเสียงได้เสียทีละก็ ทางบริษัทจะไม่ยอมเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อรักษาเธอไว้หรอกนะ แถมเธอก็ยังไม่มีเส้นสายในสังคมเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนพวกดาราที่มีชื่อเสียงมั่นคงแล้ว พวกนั้นถ้าทำอะไรพลาดก็ยังมีโอกาสแก้ตัว แต่ถ้าเป็นเธอในช่วงเวลาแบบนี้ เธอจะหาทางกลับมายืนขึ้นอีกครั้งไม่ได้เลย เข้าใจหรือเปล่า”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตั้งใจอบรมหลินเช่อมากเป็นพิเศษเพราะเธอเริ่มที่จะรู้สึกว่าหลินเช่อเองก็เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวคนหนึ่งเลยทีเดียว


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย “ฉันเข้าใจค่ะ”


 


 


ขั้นตอนการเซ็นสัญญาโฆษณาผ่านไปอย่างราบรื่น มีเพียงจังหวะที่เดินออกมาเท่านั้นที่หลินเช่อบังเอิญไปเห็นเซนมิร่า ดาราผู้กำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้เข้า ที่ด้านนอกบริษัทมีผู้คนเข้าแถวเรียงรายและพวกเธอก็พากันหันมามองหลินเช่อกับอวี๋หมินหมิ่นที่กำลังเดินออกมาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


 


 


เซนมิร่าเองก็เพิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ทางบริษัททุ่มทุนกับการโปรโมตเธออย่างมาก แต่ทั้งเธอและหลินเช่อไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ภาพที่เห็นจึงทำให้หญิงสาวงุนงงอยู่ไม่น้อย อวี๋หมินหมิ่นรีบดึงแขนและพาเธอออกไปจากตรงนั้นเสีย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นอธิบายว่า “อย่าไปสนใจเขาเลย เดิมทีโฆษณาชิ้นนี้มันเป็นของเขาน่ะแต่ทางบริษัท เปลี่ยนใจมาเลือกเธอในนาทีสุดท้าย เขาถึงได้โกรธขนาดนั้นไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อร้อง “อย่างนี้ก็แปลว่าฉันแย่งงานโฆษณาเขามาน่ะสิคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “ถ้าเป็นในทางเทคนิคก็คงใช่… แต่สำหรับอาชีพแบบนี้ มันไม่มีหรอกนะไอ้ที่เรียกว่าการขโมยบทน่ะ มีแต่ความจริงเท่านั้น ทางบริษัทโฆษณาเห็นศักยภาพในการเติบโตของเธอเพราะเหตุนี้เขาถึงเลือกดาราที่กำลังจะกลายเป็นดาวรุ่งไงล่ะ”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ดีค่ะ”


 


 


คืนนั้นหลินเช่อตามอวี๋หมินหมิ่นออกไปร่วมรับประทานอาหารค่ำกับคนจากบริษัทโฆษณา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้พวกเขาที่เลือกเธอมาเป็นพรีเซนเตอร์


 


 


ขณะอยู่บนรถ หลินเช่อโทรหาอวี๋หมินหมิ่นเพื่อถามว่าจะให้ไปพบที่ไหน


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ [เธอเข้าไปก่อนได้เลย ที่ห้องสามศูนย์สอง อีกแป๊บเดียวฉันก็ไปถึงแล้ว]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยังคงติดแหง็กอยู่ท่ามกลางการจราจรแออัดและเริ่มที่จะเป็นกังวลแล้ว เธอวางสายแล้วมองไปข้างหน้า ภาพของกู้จิ้งหมิงขณะกำลังเดินทางไปเยือนมณฑลอื่นกำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอขนาดยักษ์ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะจ้องมองดูภาพนั้นอย่างไม่อาจถอนสายตา


 


 


กู้จิ้งหมิงยืนตัวตรง แต่งกายด้วยชุดสูท เขาดูเป็นธรรมชาติอย่างมากบนหน้าจอโทรทัศน์ สีหน้าเป็นมิตรนั้นปกปิดความเข้มงวดพิถีพิถันเอาไว้ อวี๋หมินหมิ่นนึกถึงถ้อยคำต่างๆ ที่ใครต่อใครพากันพูดถึงเขา มีคนพูดว่าเขาเป็นประธานาธิบดีผู้เอาจริงเอาจังที่เข้ามารับมือกับความสัมพันธ์ทางการเมืองทั้งภายในแล้วก็ภายนอกประเทศ อีกทั้งเขายังเป็นผู้นำที่กุมหัวใจของคนจำนวนมากเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นละสายตาจากหน้าจอ แต่ในขณะที่สายตากำลังปรับภาพอยู่นั้นเอง รถที่ขับก็พุ่งเข้าชนรถคันข้างหน้า…เธอชนท้ายคนอื่นเข้าเสียแล้ว…


 


 


“ให้ตายสิ” อวี๋หมินหมิ่นสบถอย่างหัวเสียและรีบก้าวลงจากรถ


 


 


ที่ด้านนอกโรงแรมที่นัดพบ หลินเช่อต่อสายหาอวี๋หมินหมิ่นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ


 


 


เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลินเช่อจึงได้แต่เพียงเข้าไปที่ห้องส่วนตัวตามหมายเลขห้องที่อวี๋หมินหมิ่นบอกไว้เพียงลำพัง


 


 


กระนั้นเมื่อเธอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เธอก็ได้เห็นผู้คนข้างในนั้นกำลังยืนโงนเงน บ้างก็นอนอยู่กับพื้น บ้างก็ยืนตัวงุ้มงอ ทุกคนดูน่าประหลาดมาก และเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่หลินเช่อจะต้องมาพบในคืนนี้…


 


 


หญิงสาวงุนงง เธอหมุนตัวตั้งใจจะก้าวออกไปแต่ใครบางคนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้โดยแรงเสียก่อน…


 


 


ที่โถงทางเดินด้านนอก ไม่มีใครพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เซนมิร่ายืนถือโทรศัพท์พลางกระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก เธอกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ว่า “ฉันมาถึงแล้ว หลินลี่ ขอบคุณที่อุตส่าห์บอกนะว่าหล่อนจะมาที่นี่คืนนี้… ฉันจะจัดหนักชนิดที่ทำเอาหล่อนกลับออกไปไม่ได้เลยทีเดียวล่ะ”


 


 


ก่อนที่หลินเช่อจะทันได้ตั้งตัว เธอก็ได้ยินเสียงตำรวจที่บุกเข้ามา


 


 


“ทุกคน หยุด อย่าขยับ วางยาเสพติดในมือลงแล้วยืนหันหน้าให้ผนังห้องทีละคนนะ”


 


 


ยาเสพติดงั้นเหรอ


 


 


หลินเช่อเหลียวมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง เมื่อได้เห็นสิ่งแปลกตาบางอย่างที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วห้องและผู้คนประหลาดๆ เหล่านั้น เธอก็เข้าใจได้ในที่สุด ความเย็นยะเยือกแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ


 


 


ถ้านักแสดงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เธอหรือเขาเหล่านั้นจะต้องเจอกับอะไร


 


 


ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีตัวอย่างให้เห็นหรอกนะ…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกำลังอยู่ที่ออฟฟิศของเขา และโม่ฮุ่ยหลิงก็โทรศัพท์เข้ามาขัดจังหวะการทำงานของเขาอีกครั้งแล้ว


 


 


ชายหนุ่มเริ่มขุ่นใจ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา โม่ฮุ่ยหลิงคอยไล่ตามเขาชนิดไม่ลดละและรบกวนการทำงานของเขาเป็นอย่างมาก


 


 


เสียงของหล่อนเอ่ยขึ้นว่า [จิ้งเจ๋อคะ นี่คุณจะยังไม่กลับมานอนคืนนี้อีกเหรอคะ]


 


 


หลังจากวันแรกที่เขาอยู่ค้างด้วย เขาก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้พอวันที่สองเขาจึงหาข้ออ้างว่างานยุ่งและไม่ได้ไปที่นั่นอีก


 


 


แต่แล้วโม่ฮุ่ยหลิงก็เริ่มกระหน่ำโทรมาไม่หยุดเพื่อถามถึงงานของเขาว่าเป็นอย่างไรจนทำให้เป็นการยากสำหรับเขาที่จะบอกปัดเธอ


 


 


“ยังยุ่งๆ อยู่นิดหน่อยน่ะ ฮุ่ยหลิง ถ้าเธอเบื่อละก็ฉันจะให้ฉินเฮ่าส่งรถไปรับเธอก็ได้นะ เธอจะได้ไปชอปปิ้ง ฉันสั่งคนให้ทิ้งเครดิตการ์ดเอาไว้ให้เธอใช้แล้ว หรือถ้าเธออยากจะไปชอปปิ้งที่ต่างประเทศก็เอาเครื่องบินของตระกูลกู้ไปได้เลย มันจอดว่างอยู่ที่บ้านแน่ะ”


 


 


[ฉัน…ไม่ได้ต้องการอย่างนั้นค่ะ จิ้งเจ๋อ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ นี่คุณเบื่อฉันแล้วเหรอ นี่ฉันตามตื๊อคุณมากเกินไปใช่มั้ยคะ คุณพยายามจะไล่ฉันไปให้พ้นๆ เหรอคะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนวดหว่างคิ้ว “เปล่า เธอคิดมากไปเองน่ะ”


 


 


ฉินเฮ่ายังคงยืนรออยู่ข้างๆ กู้จิ้งเจ๋อโบกมือและส่งสัญญาณบอกว่าให้รออีกหน่อยและหันไปพูดกับโม่ฮุ่ยหลิงในโทรศัพท์ว่า “ฉันจะออกนอกเมืองไปจัดการธุรกิจสักสองสามวัน เป็นเด็กดีนะ ฮุ่ยหลิง พอเสร็จแล้วฉันจะโทรหา”


 


 


หัวใจของโม่ฮุ่ยหลิงยุบแฟ่บเมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนั้น เธอก็ทำได้แต่เพียงรับคำว่า “ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะวางสายแล้ว รักคุณนะคะจิ้งเจ๋อ”


 


 


โม่ฮุ่ยหลิงไม่อาจกดดันเขามากไปกว่านี้ได้ เธอกลัวเหลือเกินว่ากู้จิ้งเจ๋อจะนึกรังเกียจเธอในช่วงจังหวะเวลาที่สำคัญอย่างมากนี้ แต่ในขณะเดียวกันจะให้เธอทิ้งระยะห่างจากเขาไปเลยก็ทำไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่งั้นกู้จิ้งเจ๋อก็คงจะกลับไปอยู่กับนังแพศยานั่นอีก เรื่องนี้ทำให้โม่ฮุ่ยหลิงกลัดกลุ้มอย่างหนัก


 


 


เธอทำได้แค่วางสายโทรศัพท์และครุ่นคิดว่าเธอควรจะทำอย่างไรดีจึงจะได้ครอบครองเขาโดยสมบูรณ์…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ


 


 


ข้างตัวเขา ฉินเฮ่ามองเห็นกู้จิ้งเจ๋อที่วางสายโทรศัพท์แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ท่านครับ เครื่องบินส่วนตัวเตรียมไว้พร้อมแล้วที่สนามบินครับ กำหนดเวลาเทคออฟเอาไว้พร้อมกับกองบินแห่งชาติซึ่งพร้อมที่จะขึ้นบินในอีกครึ่งชั่วโมงนี้แล้ว ท่านต้องการจะไปสนามบินเลยหรือเปล่าครับ”


 


 


“ตกลง เตรียมตัวได้เลย เราจะไปสนามบินกัน”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยืนขึ้นและเดินออกไป


 


 


ฉินเฮ่านึกถึงหลินเช่อขึ้นมาได้ เขาเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายไม่สนใจหญิงสาวมาสองสามวันแล้ว


 


 


“ท่านครับ เราจะต้องแจ้งคุณผู้หญิงให้ทราบหรือเปล่าครับ”


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อหม่นลง


 


 


“ไม่ต้องหรอก”


 


 


หลินเช่อเหรอ


 


 


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เธอไม่โทรหาเขาแม้แต่ครั้งเดียว


 


 


เธอทำหน้าที่และเติมเต็มความรับผิดชอบในฐานะภรรยาตามสัญญาได้เป็นอย่างดี


 


 


 


 


ในขณะเดียวกันนั้น…


 


 


ที่กรมตำรวจพิเศษ หลินเช่อกำลังถูกสอบปากคำในฐานะที่เธอเป็นนักแสดง


 


 


“สารภาพมาเถอะ หลินเช่อ ที่นี่คุณไม่ได้เป็นดาราแล้วนะ แต่เป็นอาชญากร อุบายแบบนี้มันใช้กับเราไม่ได้หรอก” เจ้าหน้าที่สืบสวนเขม่นมองเธออย่างข่มขู่ เขาเกลียดพวกดาราที่สุด ถึงพวกเขาจะดูสูงส่งและมีอำนาจแต่ความจริงแล้วก็ล้วนแต่เป็นตัวปัญหาทั้งสิ้น

 

 

 


ตอนที่ 61

 

 เราจะกลับบ้านกัน

 


หลินเช่อจำไม่ได้ว่าเธอเล่าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าเธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอพร่ำพูดซ้ำๆ ซากๆ ว่าคนขายยาพวกนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่น้อย


 


 


หญิงสาวถามขึ้น “ฉันโทรหาผู้จัดการของฉันได้ไหมคะ”


 


 


นายตำรวจพ่นลมพรืดอย่างเยาะหยัน “ไม่ได้”


 


 


“งั้นฉันขอโทรหาครอบครัวของฉันได้ไหม”


 


 


“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะให้เธอโทรก็ต่อเมื่อเธอยอมสารภาพเท่านั้น”


 


 


หลินเช่อถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้”


 


 


นายตำรวจตอบว่า “นี่เป็นคดีพิเศษ เธอหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ทั้งที่เป็นดาราแบบนี้”


 


 


ที่ด้านนอก นายตำรวจอีกสองสามคนกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องสอบสวน


 


 


“คนนี้น่าจะเพิ่งมาดังละมั้ง ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนเลย”


 


 


“ใช่ หล่อนเป็นแค่ดาราเล็กๆ ไม่ได้มีนายทุนหนุนหลังหรือมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงอะไร ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาก่อเรื่องแย่ๆ แบบนี้หรอก”


 


 


“ถ้าเธอทำจริงก็สมควรรับโทษ ว่าแต่ทำไมเธอถึงมาเกี่ยวข้องกับพวกค้ายาได้ละเนี่ย ต่อให้ไม่ได้มีพื้นเพมาจากตระกูลดีๆ ก็เถอะ ยังไงก็ไม่น่าจะหาเรื่องทำตัวเองตกต่ำแบบนี้นี่นา”


 


 


“หล่อนคงหาทางแล้วแต่ยังไงก็ไม่ดังเสียทีละมั้ง”


 


 


“แต่หล่อนสวยมากเลยนะ อื้อ ว่าแต่จับหล่อนขังไว้แบบนี้จะดีเหรอ”


 


 


“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แค่ดาราหางแถวอย่างหล่อนจะมีน้ำยาอะไร ต่อให้ตอนอยู่ข้างนอกนั่นจะทำอะไรตามอำเภอใจได้ แต่ถ้ามาอยู่ที่นี่แล้วก็เป็นแค่อาชญากรเท่านั้น ยังไงหล่อนก็ต้องเชื่อฟังเรา”


 


 


เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นท่าว่าไม่อาจเค้นข้อมูลอะไรจากเธอได้แน่ เขาจึงอนุญาตให้เธอโทรศัพท์ได้


 


 


หลินเช่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาอวี๋หมินหมิ่นเป็นคนแรก แต่ก็ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะยังคงไม่รับสาย


 


 


เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลินเช่อจึงไล่ดูรายชื่อในโทรศัพท์ของตัวเอง เมื่อเห็นหมายเลขของกู้จิ้งเจ๋อ เธอก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจโทรหาเขา


 


 


[ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้] แม้แต่เขาก็ยังปิดเครื่องด้วยงั้นเหรอ…


 


 


หญิงสาวหมดปัญญา นายตำรวจกที่มายืนเร่งอยู่ด้านหลังยังหมดความอดทน “เอ้า รีบโทรเร็วเข้าสิ จะโทรหรือไม่โทร ถ้าไม่มีใครรับสายก็กลับเข้าไปได้แล้ว”


 


 


หลินเช่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจึงไล่ดูรายชื่ออีกครั้งก่อนจะตัดสินใจที่จะไม่โทรหาใคร “ช่างมันเถอะ ไม่มีใครที่ฉันอยากจะโทรหาอีกแล้วละ”


 


 


ต่อให้จะต้องตาย เธอก็ไม่มีทางติดต่อตระกูลหลินเป็นอันขาด นอกจากคนพวกนี้แล้ว เธอก็ไม่มีใครอื่นให้โทรหาอีก


 


 


กลับเข้าไปข้างในห้อง หลินเช่อนั่งลงด้วยความรู้สึกสิ้นหวังเล็กๆ เธอเริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เธอไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว และตอนนี้เธอก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวและทรงตัวไม่ค่อยอยู่ อากาศในห้องนั้นค่อนข้างชื้นและทำให้เธอเริ่มรู้สึกหนาว หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเอนกายพิงผนังห้องเพื่อจะพักสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าทั้งเก้าอี้และผนังต่างก็เย็นจัดราวกับน้ำแข็งไม่ปาน


 


 


อีกด้านหนึ่ง


 


 


ฉินเฮ่ายืนอยู่ข้างกู้จิ้งเจ๋อ “ท่านครับ อีกประเดี๋ยวเครื่องบินกำลังจะลงจอด ตอนนี้เราอยู่ในประเทศN แล้วครับ อีกสักครู่จะมีทีมมาคอยต้อนรับเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่ท่านต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้าก่อนที่จะตรงไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของตัวเอง เขาบินมาเป็นเวลาห้าชั่วโมงและคร่ำเคร่งทำงานแทบจะตลอดช่วงเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติภารกิจ ชายหนุ่มก็สามารถกลับมากระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวาได้ทันทีราวกับว่าได้หลับพักผ่อนมาตลอดทาง


 


 


เครื่องบินลงจอดด้วยความรวดเร็ว กู้จิ้งเจ๋อเปิดโทรศัพท์แล้วก็ได้รับสายเรียกเข้าจากโม่ฮุ่ยหลิงแทบจะในทันที


 


 


[จิ้งเจ๋อคะ ฮิๆ ฉันมีเซอไพรส์ให้คุณด้วยละค่ะ]


 


 


“อะไรนะ” กู้จิ้งเจ๋อ ถามด้วยน้ำเสียงงุนงง


 


 


[ฉันอยู่ที่ประเทศ N ค่ะ]


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ เขาคาดไม่ถึงจริงๆ


 


 


ชายหนุ่มถอนใจแล้วพูดกับเธอเพียงว่า “เอาล่ะ รอฉันอยู่ข้างนอกนั่นนะ ทีมต้อนรับของประเทศ N กำลังรอรับฉันอยู่ที่นี่ ฉันคงจะยุ่งอยู่อีกสักพัก แล้วเดี๋ยวฉันจะออกไปตามหาเธอเอง”


 


 


[ก็ได้ค่ะ] โม่ฮุ่ยหลิงทำปากยื่น น้ำเสียงสลดลง เห็นได้ชัดว่าหล่อนไม่ค่อยจะชอบใจนัก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อวางโทรศัพท์ลง เขาเห็นการแจ้งเตือนปรากฏอยู่บนหน้าจอซึ่งบ่งบอกว่ามีสายที่ไม่ได้รับโทรเข้ามาจากเมื่อคืนก่อน


 


 


สายนั้นเป็นสายจากหลินเช่อ


 


 


เขารีบโทรกลับหาเธอในทันทีด้วยความประหลาดใจ


 


 


ฉินเฮ่ายืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกังวลใจเล็กหน่อย เขามองออกไปด้านนอกพลางบอกกับกู้จิ้งเจ๋อว่า “ท่านครับ…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยกมือเป็นเชิงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูด


 


 


โทรศัพท์ต่อสายติดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าผู้ที่รับสายปลายทางกลับไม่ใช่หลินเช่อ แต่กลับเป็นเสียงของชายที่ไม่คุ้นหู


 


 


[นั่นใครน่ะ นี่สถานีตำรวจนะ] เสียงบุคคลที่ปลายสายตอบกลับมาอย่างหัวเสีย


 


 


“หลินเช่ออยู่ไหน” ชายหนุ่มถาม คิ้วขมวดเข้าหากัน


 


 


[หลินเช่อน่ะเรอะ หล่อนถูกขังอยู่ นายเป็นอะไรกับเธอ]


 


 


ถูกขังรึ ดวงตาของกู้จิ้งเจ๋อเป็นประกายวูบขึ้นมาทันควัน


 


 


เขาวางสายโทรศัพท์ก่อนจะจัดการออกคำสั่งกับฉินเฮ่าเดี๋ยวนั้นว่า “ยกเลิกตารางงานทั้งหมด ติดต่อกับบริษัทสายการบินแล้วบอกพวกเขาว่าเราจะบินกลับเดี๋ยวนี้”


 


 


ฉินเฮ่าถึงกับผงะ แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนถ้อยคำทั้งหลายที่ตั้งใจจะคัดค้านลงคอไป


 


 


 


 


“หลินเช่อ มีคนมาประกันตัวเธอ” หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนบอกมาจากนอกห้องขังเช่นนั้น


 


 


เธอไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในแง่ดีแบบนี้ แต่เมื่อก้าวออกจากห้องขัง เธอก็ได้เห็นบุคคลผู้นั้นยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า… ฉินชิงนั่นเอง


 


 


“ฉินชิง ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ละคะ”


 


 


เมื่อฉินชิงมองเห็นใบหน้าสีเผือดของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็เจ็บแปลบ


 


 


สภาพของเธอดูแย่เหลือเกิน ทั้งซูบซีดและอิดโรย ริมฝีปากซีดขาวราวกับหิมะ


 


 


“ทางตำรวจโทรไปที่บ้านตระกูลหลินแล้วบอกว่าเธอถูกขังอยู่ที่นี่ ฉันเป็นห่วงเธอก็เลยรีบมาดู” ฉินชิงตรงเข้ามาช่วยประคอง เมื่อเห็นสภาพร่างกายที่ปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว เขาจึงยกแขนเธอพาดไว้บนไหล่เพื่อช่วยพยุงเธอขณะเดินออกไป


 


 


“ขอบคุณนะคะฉินชิง” หลินเช่อคิดว่าทางตำรวจคงไม่เห็นทางอื่นเลยตัดสินใจโทรศัพท์ไปตามนามสกุลของเธอ บ้านตระกูลหลิน และด้วยความที่คนในบ้านไม่ต้องการจะมาข้องแวะใดๆ กับเธอทั้งสิ้น จึงกลายเป็นฉินชิงที่มาที่นี่แทน


 


 


ฉินชิงบอกว่า “ไปกันเถอะ เธอดูไม่สบายมากเลยนะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านก่อน เธออยู่ที่ไหนล่ะ”


 


 


หลินเช่อไม่อาจบอกได้ว่าเธออาศัยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ ยิ่งกว่านั้นด้วยสภาพของเธอตอนนี้ เธอก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นด้วยเช่นกัน หญิงสาวส่ายหน้าและบอกว่า “แค่พาฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอค่ะ”


 


 


ฉินชิงบอก “งั้นไปที่บ้านฉันแทนก็แล้วกัน ที่โรงแรมคงวุ่นวายเกินไป ตอนนี้มีนักข่าวรออยู่ข้างนอกเต็มไปหมด”


 


 


หลินเช่อหันมามองชายหนุ่ม เธอรู้จักฉินชิงมาตั้งแต่เด็ก เคยไปบ้านเขาก็หลายครั้ง ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลิกอิดออดและพยักหน้าแต่โดยดี หลินเช่อตั้งใจที่จะไม่สนใจคำพูดของเขาที่บอกว่ามีนักข่าวรออยู่เต็มไปหมด เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อกรกับคนพวกนั้นในตอนนี้


 


 


อย่างไรก็ตามเมื่อทั้งคู่มาถึงลานจอดรถ ทั้งหลินลี่และหันไฉ่อิงก็รีบพุ่งตรงเข้ามาจากทิศตรงกันข้าม


 


 


“หลินเช่อ นั่นเธอทำอะไรของเธอน่ะ!” เมื่อหลินลี่ได้เห็นฉากโอบประคองกันอย่างแนบชิดระหว่างหลินเช่อและฉินชิง ใบหน้าของเธอก็แทบจะเปลี่ยนสีด้วยความหึงหวง


 


 


หันไฉ่อิงเองก็มองดูหลินเช่อด้วยสายตาชิงชังไม่แพ้กัน แน่ละว่านังเด็กแพศยานี่ยังคงไม่ตัดใจจากฉินชิงจนถึงตอนนี้ แถมนี่หล่อนยังกล้าโทรเรียกเขาออกมา รนหาที่ตายจริงๆ นะนังคนนี้


 


 


หลินลี่สาวเท้าเข้ามาและผลักหลินเช่ออย่างแรง


 


 


หลินเช่อที่ผ่านความสะบักสะบอมมาตลอดทั้งคืนจนร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เมื่อถูกหลินลี่ผลักเข้า เธอจึงล้มลงไปกองกับพื้นในทันที


 


 


ฉินชิงหันไปตวาดใส่หลินลี่เสียงดังด้วยความตกใจ “นี่เธอทำอะไรน่ะ”


 


 


เขารีบก้มลงไปฉุดร่างหลินเช่อขึ้นมา “หลินเช่อ เป็นยังไงบ้าง”


 


 


หญิงสาวส่ายหน้า เธอเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มเยาะขณะมองไปที่หลินลี่


 


 


เมื่อเห็นฉินชิงมีท่าทีห่วงใยหลินเช่ออย่างเห็นได้ชัด หลินลี่จึงชี้หน้าน้องสาวต่างมารดาด้วยความโกรธที่ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นไปอีก


 


 


“หลินเช่อ นี่เธอพยายามจะทำอะไรกันแน่น่ะ ก็ไหนว่าเธอมีเจ้าพ่อหนุ่มเป็นคนอุปถัมภ์อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นล่ะ โดนเขาเขี่ยทิ้งมาหรือไงถึงได้แล่นรี่กลับมาหาฉินชิงแบบนี้ เธอนี่มันน่ารังเกียจแล้วก็ไร้ยางอายสิ้นดี”


 


 


“หลินลี่ พอทีเถอะ นี่เธอพูดอะไรไร้สาระอย่างนี้น่ะ” น้ำเสียงเข้มข้นของฉินชิงดังขึ้นขัดคอหลินลี่ที่กำลังพล่ามไม่หยุด


 


 


หลินลี่หันไปมองชายหนุ่มอย่างโกรธจัด “ฉินชิงคะ นี่คุณปกป้องแม่นี่งั้นเหรอ คุณเป็นคู่หมั้นฉันนะคะ แล้วทำไมคุณถึงได้มาออกรับแทนหล่อนแบบนี้ล่ะ! ฉันไม่ได้อยู่ดีๆ ก็เป็นแบบนี้หรอกนะคะ นี่เพราะว่าฉันโกรธคุณจนจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว! เพราะแบบนี้ไงล่ะฉันถึงได้พูดจาไร้สาระไม่หยุดแบบนี้น่ะ!”


 


 


ทางด้านหลังของเธอ หันไฉ่อิงรีบเข้ามาฉุดมือลูกสาวออกไป หล่อนกำลังวิตกว่าหลินลี่จะโกรธจัดจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และจะเผลอทำให้ฉินชิงไม่พอใจเข้า


 


 


หล่อนหันไปตวัดสายตาใส่หลินเช่ออย่างมาดร้ายแล้วพูดว่า “หลินเช่อ เธอนั่นแหละเป็นคนผิด เธออยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่มายุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแบบนี้นี่นะ คราวนี้เธอทำเกินไปจริงๆ ทุกคนเขาเข้าใจนะเรื่องที่เธออยากดังจนตัวสั่นน่ะ แต่เธอยอมทำเรื่องโสมมขนาดนี้เพื่อให้ตัวเองโด่งดังได้ลงคอเลยหรือ สิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เธอไม่ควรจะใฝ่ต่ำถึงขนาดนี้เลยนะ และถึงยังไงเธอก็ยังเป็นคนของตระกูลหลิน เธอทำมาเสียอย่างนี้ ตระกูลหลินของเราก็จะต้องพลอยอับอายขายหน้าไปด้วย เธอนี่มันไร้หัวคิดสิ้นดี”

 

 

 


ตอนที่ 62

 

ฉันต้องการตัวคนที่จะมารับผิดชอบเรื่องนี้

 


หลินเช่อยิ้มเยือกเย็นเมื่อเธอมองดูหันไฉ่อิง “คุณแม่เลี้ยงคะ ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าฉันเป็นคนของตระกูลหลินน่ะ ต่อให้ฉันก่อเรื่องขึ้นจริงๆ มันก็เสียแค่ตัวฉันเองเท่านั้น คุณอยากจะคิดอะไรก็สุดแท้แต่คุณ แต่ก็อย่างที่ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น และถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดแล้วละก็ โปรดหลีกทางด้วย ฉันจะกลับบ้าน”


 


 


ฉินชิงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เขาหันไปมองสองแม่ลูกก่อนที่จะช่วยดึงหลินเช่อให้ลุกขึ้น


 


 


ในตอนนั้นเองที่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความผอมบางของอีกฝ่าย ท่อนแขนนั้นเล็กเสียจนแทบจะหักลงได้ทุกเมื่อ


 


 


เขาช่วยเธอพยุงตัวให้กลับขึ้นมายืนอีกครั้ง หลินเช่อรู้สึกว่าร่างกายของเธอเริ่มหนาวยะเยือกและขาแข้งก็เริ่มสั่นระริก


 


 


หันไฉ่อิงเฝ้ามองการกระทำของฉินชิงซึ่งทำให้สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอรั้งหลินลี่ไว้ไม่ให้พูดอะไรอีกเพราะไม่อยากให้ผู้เป็นเขยไม่พอใจลูกสาวของเธอ แต่ในฐานะแม่ เธอก็คงต้องทำอะไรสักอย่าง


 


 


เธอปัดมือของฉินชิงออกแล้วมองหน้าหลินเช่อ “หลินเช่อ เธอทำแบบนี้หมายความว่ายังไง เธอคิดว่าเดี๋ยวนี้พอจะเป็นดารามีชื่อขึ้นมาก็จะหันมาอ่อยฉินชิงงั้นรึ มันจะมากไปหน่อยแล้วนะ คุณชายที่สามของบ้านตระกูลฉินเกินเอื้อมไปสำหรับคนอย่างเธอนะยะ”


 


 


แล้วเธอก็หันมาหาฉินชิง “ฉินชิง แม่นี่น่ะสารพัดมารยาสาไถย หล่อนคิดไม่ดีกับเธอมาตั้งแต่ต้นแล้วนะ เธอมองไม่ออกเอง หนำซ้ำยังมาคอยช่วยเหลือหล่อนแบบนี้อีก! เธอทำให้หลินลี่ผิดหวังมากนะรู้มั้ย!”


 


 


ฉินชิงกัดฟันแน่นแล้วหันไปมองหันไฉ่อิง เขาดีใจที่หลินลี่ไม่เหมือนกับแม่ของเธอ


 


 


ฉินชิงพาหลินเช่อเดินต่อไป เขาไม่อยากจะฟังหันไฉ่อิงพล่ามอะไรอีกแล้ว ขณะที่ทั้งคู่ลากกันถูลู่ถูกังไปนั้น หลินเช่อก็ยังคงรู้สึกพร่ามึน อีกทั้งขาแข้งของเธอก็ไร้เรี่ยวแรง


 


 


เมื่อได้เห็นฉินชิงไม่สนใจ หันไฉ่อิงก็ปราดเข้าไปขวางหน้าด้วยความโกรธ หล่อนกระชากหลินเช่อโดยแรงแล้วสะบัดมือตบลงบนหน้าหญิงสาวฉาดใหญ่


 


 


ในตอนนั้นเอง…


 


 


รถยนต์สองสามคันก็แล่นมาหยุดลงตรงทางเข้า


 


 


ที่ด้านในตัวอาคาร ทุกคนต่างกรูกันออกมานอกสถานีโดยไม่รู้ว่าหัวหน้าหน่วยตำรวจรับรู้ถึงการมาของพวกเขาได้อย่างไร


 


 


หลินลี่และหันไฉ่อิงยืนนิ่งงัน มองดูรถยนต์สีดำหลายคันที่จอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบด้วยความประหลาดใจ


 


 


รถเบนลีย์สีดำทะมึนแล่นเข้ามาจอดตรงกลาง


 


 


ประตูรถเปิดออก แล้วรองเท้าหนังแฮนด์เมดราคาแพงลิบก็ก้าวออกมาแตะพื้น


 


 


ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะขยับตามออกมา กู้จิ้งเจ๋ออยู่ในชุดเสื้อสีเทาและกางเกงสีน้ำเงินเข้ม ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนทางเดินปูด้วยหิน ดวงตาสีดำสนิทลึกลับอยู่กลางดวงหน้าคมสันได้สัดส่วนสมบูรณ์ ราวกับเขานำพาเสน่ห์ของบุรุษเพศให้แผ่กระจายไปทั่วในยามที่ก้าวออกมาจากรถ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ฉินชิงที่กำลังโอบกระชับร่างของหลินเช่อเอาไว้ ความไม่พอใจระบายไปทั่วใบหน้าเคร่งขรึมโดยทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นแววมาดร้ายที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้อารมณ์นั้นจะสัมผัสได้เพียงบางเบา แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนเย็นวาบไปทั่วสันหลัง


 


 


กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตามมาด้านหลังยืนเรียงเป็นแถว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างใหญ่สองคนซึ่งมีหูฟังเสียบติดอยู่ที่หูก้าวเข้ามายืนขนาบสองข้าง ฉินเฮ่าเดินตามมาอย่างนอบน้อม ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาทั้งหลินลี่และหันไฉ่อิงถึงกับตะลึงงัน


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจกุลีกุจอเข้าไปกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ไม่กล้าที่จะเฉียดกรายเข้าไปจนใกล้นัก เขาเอ่ยเพียงเบาๆ ว่า “คุณกู้ขอรับ เราไม่คิดเลยว่าท่านจะมาถึงที่นี่ ก็เลยไม่ได้เตรียมการตอนรับที่เหมาะสมเอาไว้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสนใจมองแต่เพียงหลินเช่อที่ใบหน้าซีดเซียวจนแทบจะไร้สีเลือด เขาก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปหาเธอ


 


 


เมื่อได้เห็นร่างสูงของกู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามาใกล้ ฉินชิงก็ยิ่งยึดมือเข้ากับร่างของหลินเช่อแน่นขึ้นไปอีก


 


 


แม้ว่าจะกังวลใจอยู่ไม่น้อย แต่ฉินชิงก็ปฏิเสธที่จะยอมปล่อยมือจากหญิงสาวและปักหลักยืนนิ่งโดยไม่ยอมถอย


 


 


สายตาของกู้จิ้งเจ๋อนั้นเย็นชาและเต็มไปด้วยความรู้สึกขู่เข็ญคุกคาม


 


 


หลินเช่อเงยหน้าขึ้น ไม่ยอมให้ตัวเธอดูอ่อนแอต่อหน้าเขา แต่หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นยิ่งทำให้สภาพของเธอกลับดูน่าสงสารยิ่งขึ้นไปอีก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคว้าแขนเธอไว้ สายตาของเขาจับจ้องไปที่มือของฉินชิง


 


 


ฉินชิงกัดฟันแน่น เขาไม่อยากจะปล่อยมือ แต่แรงกดดันที่ได้รับก็ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ คลายการเกาะกุมออกอย่างช้าๆ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อช้อนร่างของหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนโดยแทบจะไม่ต้องออกแรง


 


 


หลินเช่อไม่ขัดขืน เธอสูดเอากลิ่นกายของเขาเข้าไป รู้สึกได้ถึงความมั่นคงปลอดภัยเมื่อเขาโอบประคองร่างของเธอไว้ในวงแขน


 


 


สายตาราวกับนักล่าเตรียมตะครุบเหยื่อของกู้จิ้งเจ๋อกวาดมองไปยังฉินชิงที่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าของเขายืนค้ำอยู่ใต้ร่าง


 


 


“กู้จิ้งเจ๋อ ฉัน…” แขนผอมบางของเธอโอบคล้องอยู่รอบคอเขาขณะที่พยายามจะพูด แต่กู้จิ้งเจ๋อห้ามเสียด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “ไม่ต้องพูด”


 


 


หลินเช่อชะงัก เธอกัดริมฝีปากขณะมองหน้าเขาแล้วกล้ำกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ


 


 


เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดีขณะที่ตวัดสายตามองเธอด้วยความชิงชัง


 


 


ถ้าหล่อนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้วก็ควรจะอยู่นิ่งๆ และไม่ต้องพูดพล่ามอะไรอีก


 


 


เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันเย็นยะเยือกเมื่อพวกเขามองกู้จิ้งเจ๋ออุ้มร่างของหลินเช่อเอาไว้ ทุกคนต่างเหลียวมองกันและกัน พลางพยายามหาตัวว่าใครกันที่บังอาจจับตัวผู้หญิงคนนี้ไว้ หมอนั่นจะต้องตกที่นั่งลำบากแน่ที่ไปล่วงเกินกู้จิ้งเจ๋อเข้าแบบนี้ ทางตระกูลกู้ถึงขนาดโทรมาและสั่งให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาคนนี้ในทันที


 


 


เจ้าหน้าที่คนที่ลงมือสอบปากคำหลินเช่อเมื่อครู่ก่อนเนื้อตัวสั่นเทา ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปแสดงตัว อาการสบประมาทเย้ยหยันเมื่อครู่ก่อนบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่นเสียแล้ว


 


 


หลินลี่และหันไฉ่อิงยืนมองเหตุการณ์อย่างไม่ยอมวางตา


 


 


ฝ่ายหลินลี่นั้นกำลังคิดอย่างหัวเสียอยู่ในใจว่า นังหลินเช่อนี่นะ ทำไมมันถึงได้มีผู้ชายระดับนั้นมาคอยปกป้องมันได้


 


 


ยิ่งได้เห็นร่างสูงใหญ่ ทรงอำนาจและเปี่ยมเสน่ห์ของกู้จิ้งเจ๋อที่อุ้มร่างของหลินเช่อเอาไว้ราวกับอุ้มลูกแกะน้อย เขาก็ยิ่งดูหล่อเหลาขึ้นไปอีกหลายเท่า เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้หญิงทุกคนต้องเต้นเร่าด้วยความริษยาตาร้อน


 


 


ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็อยากจะให้ผู้ชายที่ดูดีมีเสน่ห์แบบนี้โอบอุ้มไว้ในวงแขนกันทั้งนั้น มันเซ็กซี่ออกจะตาย


 


 


หลินลี่แช่งชักอยู่ในใจ นังหลินเช่อทำไมมันโชคดีอย่างนี้นะ


 


 


ฉินชิงที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่เช่นกันก็เริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในใจ เขาอยากจะเดินตามไปแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเครื่องแบบสีดำหยุดเขาไว้ด้วยการก้าวมาขวางและแยกเขาออกมาให้ห่างจากคนคู่นั้น เขาไม่สามารถเข้าไปใกล้กว่านี้ได้


 


 


ฉินชิงนึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจ เขาและกู้จิ้งเจ๋อดูต่างกันราวฟ้ากับดิน แม้แต่จะเข้าไปใกล้ตัวกู้จิ้งเจ๋อเขายังทำไม่ได้เลย


 


 


เมื่อทั้งคู่กำลังจะกลับออกไป เจ้าหน้าที่ทุกยศทุกตำแหน่งต่างก็พากันโค้งคำนับโดยเร็วพลันและเดินตามหลังไป หันไฉ่อิงพูดอย่างฉุนๆ “นี่มันหมายความว่ายังไง มาวางท่าอวดเบ่งใส่หน้ากันแบบนี้น่ะรึ”


 


 


หลินลี่เคืองจัดเมื่อพูดขึ้นว่า “นายกู้จิ้งเจ๋อนี่เขาเป็นคนใหญ่คนโตพอตัวน่ะค่ะ”


 


 


ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะภาพของความมีอำนาจและความอ่อนแอก็ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าแล้วอย่างชัดเจน


 


 


ฉินชิงสูดลมหายใจเข้าลึก “ในประเทศนี้ไม่มีใครต่อกรกับพวกตระกูลกู้ได้หรอกครับ คนหนึ่งมีตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง ส่วนอีกคนก็เป็นเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่”


 


 


เมื่อหลินลี่ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศ นังเวรหลินเช่อ…มันไม่คู่ควรกับความโชคดีขนาดนี้เลย


 


 


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออุ้มหลินเช่อไปที่รถ


 


 


เขาก้าวตามหลังเธอขึ้นไป แล้วหญิงสาวก็ทรุดฮวบลงในอ้อมแขนเขา


 


 


เมื่อได้เห็นว่าสภาพของเธอย่ำแย่แค่ไหน สายตาของเขาก็แข็งกร้าวขึ้น เขามองไปข้างหน้าและสั่งฉินเฮ่าว่า “ฉันต้องการตัวคนที่จะมารับผิดชอบเรื่องนี้”


 


 


ฉินเฮ่าพยักหน้า “ครับท่าน”


 

 

 


ตอนที่ 63

 

ทันทีที่หลินเช่อเข้ามาในรถ เธอก็หมดสติลงในอ้อมแขนของกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


หญิงสาวไม่รู้เลยว่าเหตุใดอยู่ๆ ร่างกายของเธอก็อ่อนแอขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่กู้จิ้งเจ๋อคิดว่าน่าจะเป็นเพราะบาดแผลของเธอยังไม่ฟื้นฟูจนหายดี


 


 


แม้ภายนอกแผลจะดูสมานตัวกันดีแล้ว แต่การเสียเลือดเป็นจำนวนมากในเหตุการณ์ครั้งนั้นก็น่าจะส่งผลทำให้ร่างกายของเธออ่อนแออย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออุ้มเธอเข้าไปในบ้านและวางเธอลงบนเตียง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นเมื่อได้เห็นริมฝีปากแห้งแตกและคิ้วที่ขมวดมุ่น


 


 


ให้ตายสิยัยนี่… หาเรื่องใส่ตัวได้ตลอดเลยสิน่า


 


 


เขาเอื้อมมือไปปัดไล้หน้าผากของเธอแผ่วเบา


 


 


เมื่อหญิงสาวรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก


 


 


ขณะที่กู้จิ้งเจ๋อทำท่าจะเดินออกมา เขาก็รู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ที่คว้านิ้วมือเขาเอาไว้ เขาก้มลงมองใบหน้าซีดเซียวนั้นแล้วจึงตัดสินใจที่จะยังคงนั่งอยู่ที่นี่ ฟันของเธอกระทบกันกึกๆ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอกำลังหนาว เขาใช้หลังมืออังหน้าผาก มันร้อนจัดทีเดียว ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวเข้าไปนอนข้างๆ เธอ


 


 


เขาจำได้ถึงสมัยที่ตัวเองเป็นไข้สูงตอนยังเป็นเด็ก เขารู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวไปทั่วร่าง มือและเท้าเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง และมารดาของเขาก็ทำสิ่งเดียวกันกับที่เขากำลังทำอยู่นี่ นั่นคือกอดแขนและขาเขาเอาไว้เพื่อให้อุ่นขึ้นจนกระทั่งสร่างไข้


 


 


เขากอดหลินเช่อไว้แน่น แนบชิดกับอก


 


 


ก่อนจะเอื้อมมือไปกดกริ่งข้างเตียงเพื่อเรียกหาสาวใช้


 


 


“ตามหมอเฉินอวี่เฉิง”


 


 


นายแพทย์เฉินมาถึงภายในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


สาวใช้รีบรายงานว่า “คุณผู้หญิงไม่สบายน่ะค่ะ”


 


 


เฉินอวี่เฉิงพึมพำ “นี่เขายอมให้ฉันตรวจคนไข้อื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”


 


 


เขาเป็นนายแพทย์มีชื่อในระดับนานาชาติจนกระทั่งตระกูลกู้มาพบตัวเขาเข้า ในระหว่างการทำงานวิจัยของตัวเอง เฉินอวี่เฉิงได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่เป็นเพียงแพทย์ประจำตัวกู้จิ้งเจ๋อเพียงผู้เดียวเท่านั้น เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ถ้าหากว่าเขาไม่ต้องทำการวิจัยเกี่ยวกับโรค เขาก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอคนไข้คนอื่นอีกเลย


 


 


เฉินอวี่เฉิงเปิดประตูห้องเข้ามาและได้เห็นกู้จิ้งเจ๋อที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ในอ้อมแขนเขาคือหญิงสาวที่กำลังนอนขดตัวราวกับลูกแมวน้อยๆ


 


 


“ขอโทษครับๆ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณกำลัง…” เฉินอวี่เฉิงรีบลนลานปิดประตูห้อง


 


 


สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อเคร่งขรึมขึ้น


 


 


“เข้ามาสิ” เขาเรียกผู้เป็นนายแพทย์


 


 


เฉินอวี่เฉิงลองคิดทบทวนสิ่งที่ได้เห็นอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้กำลังมีอะไรกันอยู่สักหน่อย ทั้งคู่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดีด้วยเหตุนี้เมื่อกู้จิ้งเจ๋อส่งเสียงเรียก เขาจึงเปิดประตูห้องอีกครั้ง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกำลังมองดูหญิงสาวในอ้อมแขนด้วยความห่วงใยและบอกว่า “เธอเป็นไข้โดยไม่รู้สาเหตุ”


 


 


เพียงแค่คืนเดียวที่ต้องอยู่ในสถานีตำรวจแห่งนั้น หลินเช่อก็สลบไสลไม่ได้สติทันทีที่กลับมาถึงบ้าน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่


 


 


เมื่อเฉินอวี่เฉิงเห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อไม่ได้พูดเล่น เขาก็รีบปราดเข้าไปดูอาการ


 


 


หลังจากได้ตรวจดูแล้ว เขาจึงตอบออกไปด้วยความงุนงงว่า “คุณกู้ครับ ภรรยาของคุณเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อถามย้ำ “แค่เป็นหวัดหรือ”


 


 


“ใช่ครับ เป็นไข้ หายใจติดขัด แล้วก็คออักเสบ นี่เป็นอาการที่ชัดเจนมากของไข้หวัดธรรมดานี่เอง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดูสบายใจขึ้นเล็กน้อยและหันมาบอกว่า “ไปได้แล้ว”


 


 


เฉินอวี่เฉิงพูดไม่ออก เขาถูกเรียกตัวมาโดยด่วน แต่แล้วกลับต้องมาตรวจแค่คนที่เป็นไข้หวัดธรรมดา และพอถึงตอนนี้ก็ถูกไล่กลับง่ายๆ อย่างนี้น่ะหรือ


 


 


“ท่านครับ มีหมอโรคทั่วไปอยู่มากมายเต็มไปหมด บางทีคราวหน้าท่านอาจจะตามตัวพวกเขามาแทนก็ได้นะครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงียบ สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หลินเช่ออย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ก็จริงอยู่ ฉันเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหาด้านสุขภาพอะไรมาหลายปีแล้ว นอกจากนี้ก็ยังไม่มีผลลัพธ์อะไรเพิ่มเติมจากการวิจัยของนายด้วย ที่ฉันดีขึ้นมากทุกวันนี้ก็ดูจะไม่ได้เป็นเพราะนายอีก ถ้างั้นคราวหน้าฉันจะเรียกหาหมอทั่วไปแทนก็แล้วกัน นายไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”


 


 


“…” เฉินอวี่เฉิงรีบตอบอย่างร้อนใจ “ผมแค่ล้อเล่นเท่านั้นน่ะครับ หมอทั่วไปจะไปมีความรู้อะไร ที่คุณผู้หญิงล้มป่วยแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ท่านทำถูกแล้วละครับที่เรียกตัวผมมา”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเงยหน้าขึ้นแล้วปรายตามอง ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้ออกไป


 


 


แล้วเฉินอวี่เฉิงรีบเผ่นผลุงออกมาอย่างว่องไว


 


 


ถึงแม้จะได้รับรู้แล้วว่าเป็นแค่ไข้หวัด แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจเย็นใจได้ เขายังคงกอดเธอเอาไว้แน่น พยายามทำให้มือและเท้าของเธออบอุ่นที่สุด


 


 


หลินเช่อรู้สึกราวกับว่าร่างกายเย็นเฉียบของเธอยังคงอยู่ที่สถานีตำรวจ ทุกข์ทรมานโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆ


 


 


เธอรู้สึกเหมือนร่างของเธอถูกใครบางคนฉุดให้ลุกขึ้น ใครคนนั้นคว้ามือเธอไว้ แล้วช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน


 


 


แล้วจู่ๆ เธอก็จำได้ว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่ข้างฉินชิง หญิงสาวรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยายามที่จะอ้าปากพูด แต่กลับมีเสียงเล็ดลอดออกมาได้เพียงแผ่วเบายิ่ง “ฉินชิง…”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อชะงักในตอนแรก ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ริมฝีปากและตั้งใจฟังให้ดีอีกครั้ง


 


 


เธอพร่ำพูดชื่อเดิมซ้ำด้วยอาการพร่ามึน และมันเป็นชื่อของฉินชิงอย่างแน่นอน…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อปล่อยมือจากร่างเธอทันที เขาลุกขึ้นยืนแล้วจ้องมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง


 


 


“ฉิน…” เธอยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว กู้จิ้งเจ๋อดึงผ้าห่มออก


 


 


“หลินเช่อ ตื่นเถอะ ตั้งสติหน่อยสิ ฉันเป็นใคร” เขาพยายามดึงเธอให้ลุกขึ้นจากเตียง ดวงตาดำสนิทเป็นประกายวับวามด้วยความโกรธ


 


 


หลินเช่อลืมตา ยังคงงุนงงตั้งตัวไม่ติด เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าที่ระบายไปด้วยโทสะของอีกฝ่าย หญิงสาวจึงค่อยๆ ได้สติอย่างช้าๆ


 


 


เป็นกู้จิ้งเจ๋อนั่นเอง


 


 


“คุณเองเหรอคะ” เธอประหลาดใจที่เขามา


 


 


ก็ในเมื่อเธอโทรศัพท์หาเขาไม่ติดนี่นา แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกลอกตาแล้วยิ้มเย็น “ทำไมเหรอ เสียใจที่กลายเป็นฉันแทนที่จะเป็นฉินชิงที่รักละสินะ”


 


 


หลินเช่อตกใจเมื่อได้เห็นความชิงชังลอยกรุ่นอยู่ในสายตาของอีกฝ่าย แล้วเธอก็จำได้ที่เขาบอกว่าเธอเข้าใจความผูกพันในวัยเด็กผิดไป และนั่นไม่ใช่ความรัก


 


 


เขายังคงจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ สายตาของเขาเย็นชาและใบหน้านั้นหมางเมิน


 


 


เธอผลักมือเขาออก


 


 


“ปล่อยฉันนะ คุณจะทำอะไรน่ะ”


 


 


นี่เธอกล้าผลักเขางั้นเหรอ


 


 


แม้กู้จิ้งเจ๋อจะโดนผลัก แต่เขาก็คว้าข้อมือเธอไว้ “ทำไม รังเกียจที่เป็นฉันที่มาแตะเนื้อต้องตัวเธอแทนที่จะเป็นฉินชิงงั้นเหรอ แย่หน่อยนะ พ่อฉินชิงของเธอเขากลายเป็นคู่หมั้นคนอื่นไปแล้วนี่ เธอแอบชอบเขา แต่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำ ยอมแพ้ซะทีเถอะหลินเช่อ”


 


 


“คุณ…” หลินเช่อโกรธจัดเมื่อได้ยินถ้อยคำเชือดเฉือนเช่นนั้น


 


 


เธอรวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มีแกะมือที่เกาะกุมของเขาออก “ปล่อยฉันนะคะ กู้จิ้งเจ๋อ ฉันมันก็แค่ผู้หญิงจอมปลอม อย่ามาแตะตัวฉันให้มือคุณต้องสกปรกเลยค่ะ”


 


 


นั่นยิ่งทำให้กู้จิ้งเจ๋อเดือดดาลหนักขึ้นไปอีก เมื่อได้เห็นความพยายามที่จะดิ้นรนของเธอ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขาใช้มือทั้งสองข้างคว้าหัวไหล่เธอไว้แล้วกดให้นอนลงกับเตียง


 


 


ร่างทั้งสองร่างล้มลงบนฟูกนุ่ม ตัวเขาทาบทับอยู่บนตัวเธอ คร่อมร่างบอบบางเอาไว้ด้วยร่างอันสูงใหญ่สมเป็นบุรุษเพศของตัวเอง


 


 


หลินเช่อกรีดร้อง “กู้จิ้งเจ๋อ ออกไปนะ คุณนี่มัน…คนเลว ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!”


 


 


เธอสามารถใช้เวลาทั้งวันคิดหาคำที่จะด่าทอเขาให้สาใจ


 


 


แม้ว่าร่างกายเธอจะอ่อนแอ แต่เธอก็พยายามดิ้นรนด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี แม้ว่าพละกำลังของเธอจะไม่อาจทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย แต่เธอก็ยังพยายามผลักไสอย่างสุดความสามารถ กำปั้นของเธอเหมือนก้อนสำลีที่ระดมทุบเข้าใส่แผงอกเขา มันไม่ทำชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อครอบครองร่างเธอเอาไว้


 


 


เธอไม่เคยรู้เลยว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เขาก็ยังคงนิ่งสนิทไม่ไหวติงราวกับก้อนหิน และไม่ยอมแม้แต่จะขยับตัว ด้วยความโมโห หญิงสาวยกเข่าขึ้นและเล็งเป้าไปยังส่วนล่าง…

 

 

 


ตอนที่ 64

 

เปลือกตากู้จิ้งเจ๋อกระตุก เขารีบคว้าหัวเข่าเธอไว้ทันควันด้วยมือข้างหนึ่ง


 


 


หลินเช่อคิดอะไรไม่ออก เธอผงกหัวขึ้นแล้วจ้องตรงเข้าไปในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่าย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อไม่คิดว่าเธอจะกล้าทำอะไรอีกจึงแสยะยิ้มใส่อย่างเย้ยหยัน “ว้าว หลินเช่อ นี่เธอพยายามจะฆาตกรรมสามีตัวเองงั้นเหรอ”


 


 


ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ ความคิดที่จะแตะต้องตรงส่วนนั้นของเขาไม่เคยมีอยู่ในหัวเธอมาก่อนเลย แต่ครั้งนี้เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกต่างหากล่ะ…


 


 


มือของเขากุมอยู่รอบหัวเข่ากลม ฝ่ามือใหญ่นั้นกำลังโลมไล้อยู่บนผิวเนื้อนุ่มเนียนของเธอ ใบหน้าเธอแดงร้อนจนต้องตะคอกใส่เขาว่า “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณพยายามจะทำอะไรน่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมองร่างบอบบางที่อยู่ใต้ร่างเขา แล้วใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงเรื่อขึ้นบ้างเช่นกัน เลือดลมในร่างของเขาเริ่มสูบฉีดไปทั่วอย่างช้าๆ ด้วยความรู้สึกปรารถนา “เธอคิดว่าฉันกำลังจะทำอะไรล่ะ”


 


 


แน่ละว่าหลินเช่อไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าเขาพยายามจะทำอะไรเธอ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเขามีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว อีกอย่างคือเขาเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเขาแพ้ผู้หญิงน่ะ


 


 


เธอลองขยับขาไปทางอื่นดูอีกสองสามครั้ง “ถ้าคุณยังไม่ยอมลงไปจากตัวฉันก็ระวังไว้ให้ดีเถอะ ฉันไม่ยอมคุณง่ายๆ หรอกนะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม เขามองดูหน้าอกเธอ มันกำลังยกตัวขึ้นลงอย่างแรงด้วยความฉุนเฉียว “ฉันก็เห็นแล้วล่ะว่าเธอคงจะไม่ยอมง่ายๆ หรอก”


 


 


หลินเช่อตะโกนด้วยความโกรธ “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณสนุกนักหรือไง”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสวนกลับ “ทำไมเหรอ ถ้าทำแบบนี้กับฉันมันไม่สนุก แล้วเธอจะต้องทำกับใครถึงจะสนุกล่ะ กับฉินชิงงั้นรึ”


 


 


หลินเช่อโกรธมากเสียจนรู้สึกเจ็บไปถึงข้างใน “ใช่! กับฉินชิงสิถึงจะสนุก”


 


 


“เธอนี่…” กู้จิ้งเจ๋อบีบมือแรงอย่างลืมตัว หลินเช่อรู้สึกเจ็บปลาบรุนแรงที่ข้อศอก เธอตวัดสายตามองกู้จิ้งเจ๋ออย่างไม่ลดละ


 


 


“ปล่อยฉันนะ กู้จิ้งเจ๋อ ใครเขารังแกกันแบบนี้”


 


 


“รังแกงั้นเหรอ ฉันว่าเธอยังไม่รู้หรอกว่ารังแกคืออะไรน่ะ” ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ยิ่งออกแรงโถมทับลงบนตัวเธอให้มากขึ้นไปอีก มือเขาป่ายปะไปตามชุดที่หญิงสาวสวมก่อนจะเลิกมันขึ้นแล้วสอดมือเข้าไปข้างใต้


 


 


หน้าของเธอคือส่วนที่อ่อนไหว มันรู้สึกเจ็บในทันที เมื่อมือของเขาขยับมาประคองมันเอาไว้ ร่างทั้งร่างของเธอก็แข็งทื่อ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านเข้ามา เธอเกือบจะหลุดปากร้องครวญครางออกไป


 


 


หลินเช่อรีบคว้ามือที่ซุกซนไปทั่วนั้นเอาไว้แล้วตวาดใส่เขาด้วยความโกรธถึงขีดสุด “คุณ…กู้จิ้งเจ๋อ…คุณกำลังทำตัวเป็นอันธพาลอยู่นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อสัมผัสถึงความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในอุ้งมือของตัวเองจนชายหนุ่มรู้สึกลังเลที่จะปล่อยมัน


 


 


เขามองดูหญิงสาวที่อยู่ใต้ร่าง ขบฟันแน่นด้วยความโกรธ “ฉันจะทำให้แน่ใจว่าเธอไม่ไปหาเรื่องใส่ตัวอีก!”


 


 


เมื่อพูดจบ เขาก็ออกแรงคลึงเคล้นโดยไม่ปรานีอีกครั้ง


 


 


หญิงสาวไม่อาจทนไหว เธอหลุดปากส่งเสียงร้องออกมา


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น กู้จิ้งเจ๋อก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป สายตาเปี่ยมด้วยอารมณ์ของเขาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซึ่งผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อบางเบาของเธอ เขาดึงชุดของเธอให้สูงขึ้นไปอีกจนเผยให้เห็นสะดือ ช่วงหน้าท้องที่ไม่มีไขมันส่วนเกินแม้แต่น้อยของเธอดูเชิญชวนยิ่งนักใต้แรงไฟสลัว


 


 


หลินเช่อกัดริมฝีปาก เธอหรี่ตามองบุรุษตรงหน้า ร่างของเขาเด่นตระหง่านอยู่เหนือตัวเธอราวกับองค์ราชา


 


 


“ใช่สิ ยังไงฉันก็ต้องหาเรื่องอีกแน่ ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ กรุณาไปหาผู้หญิงที่เขาไม่สร้างปัญหาให้คุณแทนสิ!” โม่ฮุ่ยหลิงไม่มีทางก่อเรื่องให้เขาแน่ เขาควรจะไปหาหล่อน ไม่ใช่เธอ


 


 


เขาไม่ต้องกลัวว่าโม่ฮุ่ยหลิงจะไปก่อเรื่องที่ไหน เขาไม่มีทางกล้ารังแกโม่ฮุ่ยหลิง เขาทำได้แค่รังแกเธอเท่านั้น


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงดีอะไรแล้วก็เอาแต่คอยสร้างปัญหา แต่เธอก็ไม่เคยอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน


 


 


เธอแค่โชคร้ายเท่านั้น เธอถึงต้องคอยเจอแต่สารพัดปัญหาไม่รู้จบแบบนี้


 


 


รวมถึงผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี่ด้วย เขาเองก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่เธอต้องเผชิญ แล้วยิ่งพักนี้เธอยิ่งอดรู้สึกไม่ได้ว่า เขานี่แหละคือปัญหาใหญ่ที่สุด


 


 


มือใหญ่บีบแน่นอีกครั้ง คราวนี้หลินเช่อร้องออกมาเสียงดัง


 


 


เธอไม่เคยมีประสบการณ์กับผู้ชายมาก่อน หญิงสาวจึงเต็มไปด้วยความประหม่าและขลาดอาย แต่ในเบื้องลึกของหัวใจนั้น กลับมีเศษเสี้ยวบางๆ ของความรู้สึกที่เฝ้ารอ คาดหวังที่จะให้มันเกิดขึ้น ก็ในเมื่อเขาดูเย้ายวนใจขนาดนี้ มันทำให้เธอเร่าร้อนจนถึงจุดถูกปลุกเร้าอารมณ์อย่างเต็มที่แล้ว


 


 


“พูดอีกทีสิ!” เสียงของเขาแหบพร่าและทุ้มต่ำ มันก้องกังวานไปด้วยความเสน่หาอยู่ในหูของเธอ


 


 


หลินเช่อรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกเมื่อร่างของเธอถูกตรึงแน่นลงกับเตียงนอนเช่นนี้ แต่เธอกลับรู้สึกโกรธยิ่งกว่าเมื่อตัวเองถูกปลุกปั่นอารมณ์รัญจวนใจโดยผู้ชายตรงหน้า หญิงสาวจึงตวัดเสียงตอบกลับไป “ถ้าคุณอยากจะฆ่าฉันหรือแล่เนื้อเถือหนังฉันนักละก็ เชิญทำตามสบาย ในเมื่อคุณไม่ชอบที่ฉันคอยเอาแต่ก่อเรื่อง งั้นก็กลับไปหาผู้หญิงคนอื่นสิ!”


 


 


“อะไรกัน นี่ฉันอุตส่าห์ตามไปช่วยเธอ แต่เธอกลับมาทำตัวเย็นชาใส่ฉันแบบนี้น่ะเหรอ ถ้าฉันไม่โผล่ไปที่นั่น ทั้งเธอแล้วก็นายฉินชิงนั่นก็คงจะพลอดรักกันอยู่ตอนนี้ละสินะ”


 


 


“แน่ละสิ ฉันน่ะ…มันไม่ง่ายหรอกนะที่จะมีโอกาสได้ทำตัวบอบบางน่าสงสารต่อหน้าฉินชิงสักครั้งน่ะ แต่คุณกลับทำมันพังหมดเลย”


 


 


“เธอ…นี่เธอกำลังรนหาที่ตายนะ!” ใบหน้าของกู้จิ้งเจ๋อแดงก่ำ ดวงตาของเขาจ้องเธออย่างจะกินเลือดกินเนื้อ


 


 


“ทำไมคะ คุณจะทำอะไรฉันได้อีกงั้นเหรอ” หลินเช่อกรีดร้อง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อออกแรงกระชากชุดของเธอจนขาดออกจากกัน


 


 


หลินเช่อรู้สึกถึงความเย็นที่วาบขึ้นทั่วร่างได้ทันที


 


 


ฉับพลัน ร่างเขาก็แนบชิดลงมาบนร่างเธอ ฟันของเขางับริมฝีปากที่น่าชิงชังของเธอเอาไว้ ขบเม้มมันราวกับจะลงโทษเธอ


 


 


“อือ…” เธอครางออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคือจอมเผด็จการบ้าอำนาจดีๆ นี่เอง


 


 


ความเจ็บทำให้เธอเริ่มน้ำตาริน หยดน้ำใสไหลอาบข้างแก้มลงไปถึงใบหู


 


 


ตอนนี้ความเสียใจทวีเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าอารมณ์อื่นใดที่เธอรู้สึกอยู่ในตอนนี้


 


 


เจ็บทั้งกายและใจ ทั้งหมดนี้มันยากเกินกว่าเธอจะทนรับไหว และเธอรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกินในตอนนี้


 


 


เธอยังอ่อนล้าจากอาการไข้หวัด ร่างกายของเธอจึงอิดโรยไปหมด


 


 


เธอไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้สักนิดที่จะต้านทานผู้ชายที่กำลังรังแกเธออยู่ในตอนนี้ได้


 


 


ริมฝีปากสั่นระริกที่อยู่บนปลายลิ้นของเขาให้ความรู้สึกที่ยากจะหาอะไรมาเทียบได้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจาบจ้วงช่วงชิงริมฝีปากอ่อนหวานนั้นอย่างละโมบ ดูดดึงเอาลมหายใจออกจากกายเธอ


 


 


เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองสั่นเทาอย่างไม่อาจบังคับได้ และในช่วงเวลาต่อมาที่เขาใกล้จะหมดความสามารถในการควบคุมตัวเอง มือของเขาก็แตะโดนน้ำตาของเธอ


 


 


เขาปล่อยตัวเธอทันที ก้มหน้ามองหลินเช่อ


 


 


แก้มของเธอที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาดูบอบบางเหลือเกิน มันทำให้เขาเจ็บปลาบไปถึงก้นบึ้งของหัวใจราวกับถูกทิ่มด้วยปลายเข็ม


 


 


หัวใจของชายหนุ่มอ่อนยวบลงในทันควัน เขาเห็นเธอกำลังร้องไห้ และตัวเขาก็กำลังสับสนสิ้นดี


 


 


เขาไม่เคยต้องรับมือกับน้ำตาผู้หญิงมาก่อนเลย ชายหนุ่มรีบคว้าแขนเธอไว้แล้วเอ่ยถามว่า “เอาล่ะ หยุดร้องเถอะ เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”


 


 


เขาขยับตัวขึ้นนั่ง แล้วยกแขนขึ้นสวมกอดเธอเอาไว้ ดึงตัวเธอขึ้นมาไว้บนตักแล้วซบหน้าลงมา รู้สึกสับสนไม่แน่ใจว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี กู้จิ้งเจ๋อดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วแตะซับน้ำตาบนดวงหน้านั้น


 


 


หลินเช่อพึมพำด้วยความโกรธ “คุณก็ทำเป็นแต่รังแกฉันเท่านั้นแหละ!”


 


 


“…” หัวใจกู้จิ้งเจ๋อเจ็บหนึบ เขารู้สึกเหมือนโดนนาบด้วยของร้อน เป็นความรู้สึกที่ยากจะทน แต่ก็ไม่อาจทำให้มันหายไปได้


 


 


นี่ใครรังแกใครกันแน่


 


 


“ก็ได้ๆ เป็นความผิดของฉันเอง”


 


 


“เสื้อผ้าฉันขาดหมดแล้ว” เธอก้มลงมองตัวเอง แล้วยกมือขึ้นบังบริเวณหน้าอกไว้


 


 


เขาหันไปมอง แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง กู้จิ้งเจ๋อก้มหน้าแล้วพูดส่งๆ ไปว่า “ฉันจะใช้คืนให้”


 


 


“ชุดเดียวไม่พอหรอกนะ”


 


 


“ก็ได้ ฉันจะซื้อให้เธอร้อยชุดเลย”


 


 


“แบบนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย” ขณะที่พูด หลินเช่อก็ยิ่งรู้สึกง่วงงุนหนักขึ้น เธอเพิ่งกินยาเข้าไปและตอนนี้มันก็เริ่มที่จะออกฤทธิ์แล้ว


 


 


เธอหาวหวอดก่อนจะเอนตัวลงซบไหล่เขา ในหัวตอนนี้มีแต่ความง่วงงุนและพร่ามึน


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออ้าแขนรับร่างนั้นเอาไว้ และปล่อยให้เธอได้ซบพิงจนผล็อยหลับไป เขาเอื้อมมือไปแตะมือและเท้าของเธอดู มันไม่เย็นเฉียบอีกแล้ว ดูเหมือนอาการไข้จะทุเลาลงแล้ว


 


 


“นอนซะ ตื่นขึ้นมาเธอจะรู้สึกดีขึ้นเองนั่นแหละ” เขาอดนิ่วหน้าไม่ได้ ฟังดูราวกับว่าเขากำลังบอกเด็กน้อยๆ


 


 


“คุณจะรังแกฉันอีกไม่ได้แล้วนะ” หลินเช่อยังงึมงำแม้ว่ากำลังจวนเจียนจะเข้าสู่ห้วงนิทราเต็มที


 


 


“อืม…” ถ้าเขายังจะรังแกหลินเช่อต่อไปอีกสักครั้งสองครั้งละก็ เขาเดาว่าคงเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องตายเพราะมือเธอเสียก่อนแน่ๆ


 


 


ชายหนุ่มรอจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวหลับสนิทดีแล้วจึงค่อยๆ วางร่างเธอลงบนเตียง


 


 


เขาห่มผ้าให้เธอแล้วก็ต้องกัดฟันแน่นเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่นอนหลับราวกับเด็กน้อยผู้ง่วงงุน


 


 


เธอคือนางฟ้ายามหลับใหล และเป็นยัยตัวร้ายยามลืมตาตื่นอย่างแท้จริง นั่นทำให้เขายิ่งกัดฟันหนักขึ้นไปอีกด้วยความชิงชัง

 

 

 


ตอนที่ 65

 

หลินเช่อนอนหลับสนิทไม่รู้เรื่องรู้ราวตลอดทั้งคืนนั้น


 


 


เธอนอนอยู่อย่างนั้นราวกับว่าเธอกำลังเห็นกู้จิ้งเจ๋อผู้กำลังมองมาด้วยใบหน้าอันอ่อนโยน นุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภายในดวงตาของเขาดูเหมือนวงผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวเป็นระลอก


 


 


ริมฝีปากบางเชิญชวนบิดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเหมาะเจาะ


 


 


เขาจับไหล่เธอแล้วดึงร่างเธอเข้าสู่อ้อมกอดราวกับกำลังมองหญิงผู้ที่เป็นที่รักยิ่ง


 


 


เสียงของเขาช่างปลุกเร้าอารมณ์เหลือเกินเมื่อเอ่ยกับเธอแผ่วเบาว่า “หลินเช่อ ฉันรักเธอ…”


 


 


หลินเช่อตกตะลึงเสียจนหัวใจเต้นโครมคราม แล้วจังหวะต่อมาเธอก็ได้เห็นริมฝีปากของกู้จิ้งเจ๋อที่โน้มต่ำลงมา


 


 


เธอขยับตัวขึ้นไปหา ไปให้ใกล้เขา


 


 


แต่กระนั้นในตอนนั้นเอง…


 


 


เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังสนั่นขึ้น


 


 


หลินเช่อผวาตื่น เธอผุดลุกขึ้นนั่งและได้รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงความฝัน


 


 


บ้าเอ๊ย ทำไมเธอถึงฝันอะไรแบบนี้นะ


 


 


หลินเช่อรีบยกมือลูบผม เธอได้ยินโทรศัพท์ที่ยังคงส่งเสียงดังไม่ขาดสาย หญิงสาวรีบคว้ามาดู


 


 


เป็นสายจากอวี๋หมินหมิ่นนั่นเอง


 


 


[เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ ทำไมอยู่ๆ เธอถึงตกเป็นข่าวว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแบบนี้ได้ล่ะ]


 


 


แน่ละว่าหลินเช่อยังไม่ได้เห็นข่าว เธอไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกกำลังพูดกันว่าอย่างไรบ้าง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ปวดหนึบไว้แล้วตอบกลับไปว่า “ฉันถูกจัดฉากค่ะ!”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นครุ่นคิดบางอย่างอยู่เป็นครู่ก่อนจะตอบว่า [ช่างมันเถอะ เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีตอนที่เธอเข้ามาที่บริษัทก็แล้วกัน]


 


 


“ก็ได้ค่ะ แต่พี่อวี๋คะ ฉันติดต่อหาพี่ไม่ได้เลยเมื่อวานนี้ พี่ไปอยู่ที่ไหนเสียละคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเงียบอีกครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีวิธีบอกที่ดีกว่านี้ เธอจึงตัดสินใจตอบว่า [รถฉันเกิดอุบัติเหตุเมื่อวานนี้น่ะ]


 


 


“…” หลินเช่อร้อง “ทำไมถึงโชคร้ายอย่างนี้ละคะ นี่เราควรจะขึ้นไปไหว้พระบนเขากันบ้างแล้วนะ”


 


 


[ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันนั่นแหละ เอาเถอะ ยังไงก็ค่อยคุยกันอีกทีตอนที่เธอมาบริษัทก็แล้วกัน]


 


 


หลินเช่อกระวีกระวาดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้างเล็กน้อยแต่เธอก็รีบจัดแจงอาบน้ำและแต่งตัวด้วยความว่องไว


 


 


ทันทีที่เธอเปิดประตูห้องน้ำออกมา เธอก็บังเอิญเห็นกู้จิ้งเจ๋อกลับเข้ามาจากข้างนอกพอดี


 


 


เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอในสภาพนั้น เขาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าทันควัน


 


 


ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดว่าขึ้นมาในห้วงคิดอย่างรวดเร็ว เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ลุกขึ้นมาทำไมล่ะ”


 


 


ด้วยความเร่งร้อน หลินเช่อรีบตอบว่า “ฉันจะเข้าไปที่บริษัทค่ะ”


 


 


“ที่บริษัทงั้นเหรอ” สีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อขรึมลง “จะรีบเข้าไปที่นั่นทำไมแต่เช้า”


 


 


“มีปัญหาบางอย่างน่ะค่ะ ฉันต้องรีบเข้าไปจัดการ” หลินเช่อบอก


 


 


“เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่นั่น” เขาคว้าตัวเธอไว้ทันก่อนที่หญิงสาวจะวิ่งพรวดพราดออกไป


 


 


หลินเช่อหันกลับมามองอย่างข้องใจ “ทำไมละคะ”


 


 


“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องไปที่นั่น” เขากวาดตาดูทั่วดวงหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อเพราะฤทธิ์ไข้ “แค่ทำตัวเชื่อฟังแล้วก็อยู่บ้านแต่โดยดีเถอะวันนี้”


 


 


อยู่บ้านแต่โดยดีงั้นเหรอ


 


 


หลินเช่อนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มเมื่อวานนี้ ที่บอกว่าทำไมเธอถึงเอาแต่ก่อเรื่องอยู่เรื่อยขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


แสดงว่าคราวนี้เขาคงคิดว่าเธอจะต้องก่อเรื่องอีกแน่ถ้าออกไปข้างนอก


 


 


หลินเช่อจึงตอบออกไปทันควัน “ไม่ค่ะ ฉันต้องไปจัดการปัญหานี้ที่บริษัทให้เรียบร้อย ถ้าฉันไม่ทำ อาชีพฉันได้จบเห่แน่”


 


 


“อาชีพหลักของเธอคือการทำตัวเป็นคุณผู้หญิงตระกูลกู้” กู้จิ้งเจ๋อมองดูผู้หญิงหัวดื้อด้วยสีหน้าเย็นชา


 


 


หลินเช่อเถียง “ไม่เอาน่า พอเราหย่ากัน ฉันก็เป็นได้แค่อดีตภรรยาที่ไม่ได้ความของคุณเท่านั้นแล้ว ถึงยังไงฉันก็ต้องมีอาชีพของตัวเองไว้เลี้ยงตัว ฉันไปก่อนนะคะ”


 


 


“หลินเช่อ ฉันบอกว่าฉันไม่อนุญาตให้เธอไปยังไงล่ะ!” สุ้มเสียงของชายหนุ่มเริ่มเข้มงวดขึ้น ดวงตาเป็นประกายวับ


 


 


หลินเช่อหันหน้ามาบอก “ฉันรู้น่า คราวนี้ฉันจะไม่ก่อเรื่องอีก ฉันจะไม่สร้างปัญหาให้คุณหรอกนะคะ แต่ฉันต้องไปจัดการธุระอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับฉันอีกหรอกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อก้มลงมอง แม้กระทั่งหลังจากที่เธอก้มหน้าก้มตาสวมรองเท้าจนเสร็จเรียบร้อย คิ้วที่ขมวดมุ่นของชายหนุ่มก็ยังคงไม่คลายลง


 


 


“ฉันไปแล้วนะคะ” เธอหันกลับมาบอกกับเขาอีกครั้ง ท่าทางออกจะหวาดๆ เล็กน้อย


 


 


“อยากทำอะไรก็ตามใจแล้วกัน” กู้จิ้งเจ๋อบอกก่อนจะย่ำโครมๆ เข้าห้องนอนไป


 


 


หลินเช่อเบ้ปาก เธอก็เห็นอยู่แหละว่าเขาโกรธ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่เดินตามไป


 


 


หญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน แม้ว่าความทรงจำของเธอยังติดจะพร่าเลือนอยู่บ้างเพราะความง่วงงุนและมึนด้วยฤทธิ์ยา แต่เธอก็ยังจำได้ว่าทั้งมือและปากของเขาจาบจ้วงร่างกายเธอไปถึงไหนต่อไหนบ้าง…


 


 


ทันใดนั้นริมฝีปากของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย หญิงสาวสั่นหน้าโดยแรงเพื่อสลัดความรู้สึกวาดหวังถึงรสสัมผัสนั้นทิ้งไปและรีบเร่งเดินออกมา


 


 


 


 


ที่บริษัท


 


 


อวี๋หมินหมิ่นถึงขั้นยกมือกุมขมับและพูดว่า “นี่ดูเหมือนจะเป็นแผนการของเซนมิร่า สัญญาพรีเซนเตอร์ของเธอถูกยกเลิก แล้วหล่อนก็เป็นคนที่ได้เซ็นสัญญาใหม่แทนกับบริษัทนั้นอีกครั้ง”


 


 


หลินเช่อไล่อ่านข่าว ไม่มีตรงไหนที่ระบุชื่อของเธอออกมาตรงๆ เพียงแต่บอกว่าดูเหมือนจะมีดาราที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเมื่อเร็วๆ นี้และถูกจับเข้าคุกไปแล้ว เป็นดาราผู้หญิงที่ชื่อขึ้นต้นด้วยตัว ‘ห’ เพิ่งจะเริ่มโด่งดังจากซีรีส์ทางโทรทัศน์เมื่อไม่นานมานี้ ถ้าหากว่าข่าวลือที่ว่านี่เป็นเรื่องจริงละก็ งานนี้จะต้องเกิดปัญหาแน่ว่าทางซีรีส์จะได้ถูกแพร่ภาพตามกำหนดการที่วางแผนไว้หรือเปล่า


 


 


บรรดาชาวเน็ตทั้งหลายก็ฉลาดเหลือเกิน พวกเขานึกออกได้ในทันทีว่าบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงในข่าวก็คือหลินเช่อนั่นเอง


 


 


อวี๋หมินหมิ่นทำท่าเหนื่อยใจ ท่าทางของเธอดูเป็นกังวลอย่างมาก “ทางบริษัทจะพยายามจัดให้เธอไปปรากฏตัวในสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อที่เธอจะได้บอกทุกคนให้รู้ว่าเธอไม่ได้ติดคุก แต่เธอจะต้องจัดการเคลียร์กับทางสถานีตำรวจนั่นให้ชัดเจนก่อนว่าจะไม่มีใครพูดอะไรเรื่องนี้ แล้วนี่เธอไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดใช่มั้ย”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นมองหลินเช่ออย่างติดจะแคลงใจ


 


 


“ไม่แน่นอนค่ะ” หลินเช่อว่า


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพยักหน้า ในเมื่อเธอว่าอย่างนั้น อวี๋หมินหมิ่นก็เชื่อเธอ เพราะหล่อนเองก็ไม่คิดว่าหลินเช่อจะเป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน


 


 


“แล้วตอนนี้ฉันควรทำยังไงคะ”


 


 


“เราจะไปที่บริษัทโฆษณานั่นเพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังก่อน”


 


 


หลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นมาถึงบริษัทโฆษณาภายในเวลาอันรวดเร็ว


 


 


แต่ดูเหมือนโลกจะกลมไปหน่อยเพราะว่าพวกเธอก็ได้พบกับหญิงสาวผู้เป็นศัตรูที่นั่น ขณะก้าวลงจากรถ ทั้งสองก็ได้เห็นเซนมิร่าเดินออกมาจากบริษัทด้วยรองเท้าส้นสูงลิบ


 


 


“อ้าว หลินเช่อ มาได้ยังไงกันล่ะ ฉันได้ข่าวว่าเธอถูกขังอยู่ไม่ใช่เหรอจ๊ะ ออกมาเร็วดีนี่”


 


 


เมื่อได้เห็นหน้าอีกฝ่าย หลินเช่อก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เห็น


 


 


“ใช่ ฉันออกมาแล้ว แต่พวกหน้าโง่อย่างเธอยังเดินเตร่อยู่ข้างนอกแบบนี้ได้ จะให้ต้องติดคุกฉันก็คงไม่แคร์หรอก”


 


 


“นี่แก…หลินเช่อ ยังจะทำยโสไปอีกนะ ฮึ กว่าจะได้เข้าวงการก็ป่านนี้ แถมยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ หัดเรียนรู้จากรุ่นพี่เสียบ้างสิ สิ่งที่เธอต้องมีน่ะเขาเรียกว่ากลยุทธ์จ้ะ”


 


 


“หึ นั่นสินะ คนที่ไม่มีความสามารถที่แท้จริงอะไรเลยอย่างเธอก็คงกล้าทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ” หลินเช่อว่า


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยืนยิ้มอยู่ข้างหลินเช่อ เธอมองดูเซนมิร่าแล้วพูดว่า “มิร่า จะว่าไปเธอเองก็อยู่ในวงการนี้มานานแล้วนะ แต่ฉันจะขอแนะนำอะไรสักอย่างเถอะ ใช้วิธีสกปรกให้น้อยลงหน่อย ไม่อย่างนั้นเธอจะทำตัวเองพังเสียเปล่าๆ”


 


 


เซนมิร่าพ่นลมพรืดอย่างเยาะหยัน “นี่เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน กล้าดียังไงมาพูดกับฉันแบบนี้ ใช่ฉันทำเอง แล้วยังไงล่ะ พวกเธอจะทำอะไรได้ หือ พาแม่ดาราหางแถวของเธอกลับไปนอนไส้แห้งต่อซะเถอะ กล้ามาลองดีกับฉันแบบนี้นี่ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูตัวเองบ้างเลยรึไง”


 


 


เมื่อพูดจบหล่อนก็เดินจงใจเอาไหล่เบียดกระแทกอวี๋หมินหมิ่นแล้วเดินผ่านทั้งคู่ไป


 


 


หลินเช่อกัดริมฝีปากอย่างโกรธแค้นแล้วหันมาพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “ฉันทนดูแม่นี่ทำตัวยโสโอหังแบบนี้ไม่ไหวแล้วนะคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบว่า “ไม่ช้าก็เร็ว หล่อนจะได้ขุดหลุมฝังตัวเองแน่ๆ”


 


 


ผู้หญิงทั้งสองเดินเข้าไปในตัวอาคาร แต่ผู้บริหารของบริษัทกลับพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ต้อนรับว่า “อย่าได้มาที่นี่อีกเลย เราทำอะไรอีกไม่ได้แล้ว บริษัทของเราจะไม่เลือกใช้ศิลปินที่ชื่อเสียงมัวหมองแบบนี้”


 


 


หลังจากพูดจบเขาก็รีบออกปากไล่พวกเธอทั้งคู่โดยไม่รีรอ บริษัทแห่งนี้คุ้นเคยดีกับการที่มีศิลปินดารามาคอยเฝ้ารบกวนสร้างความรำคาญใจอยู่เสมอ


 


 


“ออกไปซะ ไปไป๊ เร็วสิ ออกไปได้แล้ว”


 


 


ทว่าในช่วงจังหวะนั้นเอง ใครบางคนเดินเข้ามาจากด้านนอกและกระซิบอะไรบางอย่างกับพนักงานที่พยายามเสือกไสพวกเธอในตอนแรก


 


 


สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน สายตาที่มองมายังหลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นเองก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย


 


 


เขาผุดลุกขึ้นแล้วพูดว่า “คุณหลินครับ ผมต้องขออภัยกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ด้วย เราเพิ่งได้ข่าวจากทางตำรวจที่แจ้งมาว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดและคุณไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับยาเสพติด ก่อนหน้านี้เราพูดจาไม่เหมาะสมออกไป ทางเราต้องขออภัยอย่างยิ่ง”


 


 


ผู้บริหารของบริษัทยกมือลูบหน้าผาก เหงื่อเย็นๆ เริ่มผุดขึ้นมาเต็มแผ่นหลัง เขายังคงครุ่นคิดกับสิ่งที่เลขาเพิ่งกระซิบบอกมาเมื่อครู่และยังคงคาดไม่ถึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้


 


 


ก่อนหน้านี้ เลขาของเขาบอกว่า “ฉินเฮ่าโทรมาเป็นการส่วนตัวและบอกว่าเขาของานโฆษณาตัวนี้ในฐานะตัวแทนของหลินเช่อ”


 


 


ฉินเฮ่าเป็นบุคคลลึกลับที่ยากจะเข้าใจเสมอมาสำหรับเขา ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่


 


 


เขาคือคนสนิทของกู้จิ้งเจ๋อ และใครบางคนที่พวกเขาไม่อาจเอื้อมถึงได้ แต่ตอนนี้เขากลับโทรศัพท์มาเป็นการส่วนตัวเพื่อของานโฆษณาให้แม่หลินเช่อคนนี้…

 

 

 


ตอนที่ 66

 

หลินเช่อและอวี๋หมินหมิ่นต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย


 


 


เมื่อทั้งคู่กำลังจะกลับออกไป อวี๋หมินหมิ่นก็พูดขึ้นว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ”


 


 


หลินเช่อส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ


 


 


แล้วในตอนนั้นเอง เซนมิร่าก็โผล่เข้ามาก่นตะโกนใส่หลินเช่อทันทีที่เธอพรวดพราดเข้ามาในห้อง


 


 


“หลินเช่อ เธอมีสิทธิ์อะไรมาฉกงานโฆษณาของฉันไปแบบนี้น่ะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรีบก้าวออกไปขวางเซนมิร่าไว้ทันทีด้วยสัญชาตญาณ “ทำไมล่ะ คราวนี้จะมาทำจองหองอะไรอีก วงการนี้น่ะใครดีใครได้นะจ๊ะ ทุกคนต่างก็ต้องแข่งขันกันทั้งนั้น ถ้าเธอทำกับเราได้ แล้วทำไมเราจะทำกับเธอบ้างไม่ได้ล่ะ”


 


 


เซนมิร่าชี้นิ้วใส่หน้าหลินเช่ออย่างโกรธเกรี้ยว “หลินเช่อ เธอไม่รู้ละสิว่าฉันเป็นใคร รู้มั้ยว่าฉันเป็นผู้หญิงของใคร ถ้าเธอกล้าลองดีกับฉันละก็ เธอควรจะ…”


 


 


“คุณหลินเช่อครับ” เสียงหนึ่งดังแหวกผู้คนเข้ามา เป็นเสียงที่ราบเรียบทว่าจริงจัง


 


 


หลายคนหันไปมองแล้วก็ต้องแปลกใจที่ได้เห็นฉินเฮ่ายืนอยู่ตรงนั้น


 


 


ด้านหลังของเขาคือบรรดาบอดี้การ์ดของกู้จิ้งเจ๋อที่ดูทรงอำนาจอย่างยิ่ง ผู้คนโดยรอบต่างพากันมองด้วยความทึ่งจัด


 


 


เซนมิร่ายืนนิ่งงัน เธอลืมกระทั่งเอานิ้วที่กำลังชี้หน้าอีกฝ่ายลงขณะหันไปมองผู้มาใหม่


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยืนนิ่ง มองดูผู้ที่เพิ่งมาถึงด้วยความประหลาดใจ


 


 


หลินเช่อเห็นฉินเฮ่าจึงรีบถามขึ้นว่า “ผู้ช่วยฉิน มาที่นี่ทำไมเหรอคะ”


 


 


ฉินเฮ่าตอบหลินเช่อด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อมอย่างยิ่งว่า “ท่านขอให้ผมมาครับ”


 


 


หลินเช่อพยักหน้ารับรู้และมองไปรอบๆ ตัว หญิงสาวนึกแปลกใจว่าทำไมทุกคนจึงดูหวาดกลัวคนที่เป็นผู้ช่วยเพียงคนเดียวผู้นี้นัก


 


 


เซนมิร่าระงับอารมณ์ของเธอไว้แล้วตวัดสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไปที่หลินเช่อ ใครจะคิดล่ะว่าแม่นี่จะรู้จักคนระดับนี้ด้วย


 


 


หนำซ้ำคุณฉินเฮ่ายังปฏิบัติต่อเธอด้วยความยกย่องอีกต่างหาก นี่นังหลินเช่อไปถูกหวยเบอร์ใหญ่มาจากไหนกันนะ


 


 


หรือจะเป็นเพราะกู้จิ้งเจ๋อจริงๆ ล่ะเนี่ย


 


 


ไม่น่าจะเป็นไปได้น่า…


 


 


เซนมิร่าหมุนตัวแล้วรีบเอ่ยปากทักทายอย่างรวดเร็ว “คุณฉิน สวัสดีค่ะ ฉันเซนมิร่า”


 


 


ฉินเฮ่าเพียงเหลือบตามองหล่อน แม้ว่าเซนมิร่าจะเป็นดารามีชื่อและนามสกุลใหญ่โต แต่ฉินเฮ่าก็ไม่ได้แยแสอะไรเธอ


 


 


เขาหันกลับไปหาหลินเช่อแล้วพูดด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่งให้เซนมิร่าได้ยินด้วยว่า “คุณหลินครับ ท่านบอกว่าถ้ามีใครทำให้คุณไม่พอใจละก็ ท่านจะจัดการให้เอง ไม่ว่าจะเป็นฝังกลบในหิมะ ขับไล่ออกจากประเทศ หรือส่งไปกัมพูชาก็ตาม ท่านจะหาวิธีทำให้คนคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยจากประเทศนี้ได้เลย”


 


 


เซนมิร่าตัวสั่นเมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังของฉินเฮ่า


 


 


ฉินเฮ่าปรายตาดูเธอเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปหาหลินเช่อด้วยท่าทีอ่อนน้อม


 


 


หลินเช่อไม่ได้ใส่ใจเซนมิร่าอีกแล้ว เธอถามฉินเฮ่าว่า “เขาก็มาที่นี่ด้วยเหรอ แล้วเขาอยู่ไหนล่ะจ๊ะ”


 


 


ฉินเฮ่าตอบ “ท่านกำลังรอคุณอยู่ด้านหน้าน่ะครับ”


 


 


หลินเช่อพยักหน้า เธอมองตอบเซนมิร่าก่อนจะหมุนตัวออกไป


 


 


ฉินเฮ่าปล่อยให้เหล่าบอดี้การ์ดตามหลินเช่อไป ขณะที่เขาหันกลับมาและพูดกับเซนมิร่าว่า “ฉันหวังว่าเธอจะยอมรับผิดนะ”


 


 


เซนมิร่าสั่นระริกไปทั่วร่าง


 


 


ขณะมองหลินเช่อเดินออกไป เธอต้องใช้เวลาอีกเป็นครู่กว่าจะหายตัวสั่น นังหลินเช่อนั่นเกี่ยวข้องกับกู้จิ้งเจ๋อจริงๆ น่ะเหรอ หญิงสาวคิดอย่างเกรี้ยวกราด


 


 


ทำไมถึงเป็นแบบนั้นได้ล่ะ


 


 


เธอรู้สึกถึงความกลัวที่แล่นปราดขึ้นมา หญิงสาวรีบคว้าโทรศัพท์แล้วโทรหาหลินลี่ทันที


 


 


เมื่อหลินลี่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น หล่อนก็แทบจะปาโทรศัพท์ทิ้งด้วยความขุ่นเคือง


 


 


หล่อนวางสายแล้วหันมาหาหันไฉ่อิง “นังหลินเช่อมันจะอวดดีเกินไปแล้วนะคะ”


 


 


หันไฉ่อิงถามอย่างไม่อยากเชื่อ “นี่มันคบหากับกู้จิ้งเจ๋อจริงๆ น่ะเหรอ”


 


 


หลินลี่โพล่งออกมาด้วยความโกรธ “ต่อให้คบกันจริง กู้จิ้งเจ๋อเขาก็คงแค่เล่นสนุกกับมันเท่านั้นแหละค่ะ นังหลินเช่อมันไม่มีค่าอะไรสักนิด”


 


 


“ถูกต้องแล้ว นังนั่นไม่สวยเท่าลูกสักหน่อย แต่แม่ไม่เชื่อหรอกนะว่ากู้จิ้งเจ๋อจะชอบนังนั่นแทนที่จะเป็นลูกน่ะ”


 


 


ยิ่งคิด หลินลี่ก็ยิ่งโกรธจัด


 


 


เธออิจฉาหลินเช่อที่มีผู้ชายดีๆ ขนาดนั้นมาคอยปกป้อง


 


 


และยิ่งคิดถึงความสง่างามที่เธอได้เห็นในวันนั้นแล้ว ความอิจฉาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี เขาช่างดูดีอย่างไม่มีใครเทียบได้จริงๆ


 


 


ทำไมนังหลินเช่อมันถึงโชคดีอย่างนี้นะ


 


 


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเดินตามบรรดาบอดี้การ์ดออกไปด้วยสีหน้าสงสัยเต็มแก่


 


 


ทุกคนอยู่ในชุดสูทสีดำสนิท มีหูฟังเสียบหูข้างหนึ่งเอาไว้เหมือนๆ กันทุกคน อวี๋หมินหมิ่นคิดว่าเธอแอบเห็นอาวุธที่เหน็บอยู่ตรงเอวของพวกเขาด้วย


 


 


เหล่าบอดี้การ์ดเข้าแถวรายล้อมพวกเธอทั้งสองคนเมื่อก้าวออกไปด้านนอกตัวอาคาร รถยนต์สีดำจอดเรียงราย โดยมีรถของกู้จิ้งเจ๋ออยู่ตรงกลางพอดิบพอดี


 


 


หลินเช่อจำรถของเขาได้จึงเดินตรงเข้าไปหา


 


 


ประตูรถเปิดออก แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ก้าวออกมา


 


 


ดวงตาของอวี๋หมินหมิ่นเป็นประกายวูบ เธอจำได้ทันทีว่าเขาคือน้องชายของกู้จิ้งหมิง แล้วใบหน้าของเธอก็แดงเรื่อด้วยความกระอักกระอ่วน


 


 


ว่าแต่แล้วนี่หลินเช่อไปรู้จักกับกู้จิ้งเจ๋อได้ยังไงกัน…


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูหลินเช่อแล้วขมวดคิ้ว


 


 


หลินเช่อรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย “เรื่องงานโฆษณาแล้วก็เรื่องสถานีตำรวจนั่น คุณเป็นคนช่วยฉันเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ฉันก็แค่ทักทายไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง”


 


 


ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “มาเถอะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง”


 


 


หลินเช่อพยักหน้าแล้วหันไปพูดกับอวี๋หมินหมิ่นว่า “พี่อวี๋คะ ฉันไปก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันแล้วกัน”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นแอบมองกู้จิ้งเจ๋อเล็กน้อยก่อนถามว่า “นี่เธอกับกู้จิ้งเจ๋อ…”


 


 


“เรา…” หลินเช่อตะกุกตะกัก เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายความสัมพันธ์ของเธอกับเขาว่ายังไงดี


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเข้าใจดีว่าบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เธอเพียงแต่ประหลาดใจและเมื่อมองดูหลินเช่อแล้ว เธอก็รู้สึกว่าหล่อนโชคดีที่ได้รู้จักกับกู้จิ้งเจ๋อ หนึ่งในบุคคลสำคัญของประเทศนี้ เธอจึงยิ้มให้แล้วบอกว่า “เอาล่ะ ไปเถอะ ฉันเองก็จะไปเหมือนกัน”


 


 


หลินเช่อยิ้มให้อวี๋หมินหมิ่นอย่างขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปยังรถปอร์เช่สีน้ำเงินเข้มของกู้จิ้งเจ๋อ


 


 


ชายหนุ่มมองดูอวี๋หมินหมิ่น เธอรีบโค้งและส่งยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ


 


 


เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดใครบางคนที่มีสถานะสูงส่งและทรงอำนาจขนาดนี้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยังคงมองดูเธอและยิ้มตอบเรียบๆ


 


 


อวี๋หมินหมิ่นรีบโค้งอีกครั้งแล้วถอยออกมาเมื่อเห็นว่าเขากำลังจะก้าวขึ้นรถ


 


 


เมื่อชายหนุ่มออกคำสั่ง บอดี้การ์ดในแถวทั้งหลายก็พากันก้าวขึ้นรถและขับออกไปโดยคอยตีวงห้อมล้อมรถปอร์เช่สีน้ำเงินนั้นไว้ตรงกลาง


 


 


บนรถ หลินเช่อมองเขาด้วยท่าทีอายๆ “ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ไม่เป็นไรหรอก เธอเป็นภรรยาฉัน มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วที่ต้องช่วยเธอ”


 


 


หลินเช่อพูดต่อ “ส่วนเรื่องยาเสพติดนั่น ฉันไม่เคยยุ่งกับมันเลยนะคะ จริงๆ นะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมาหาเธอแล้วบอกว่า “ฉันเชื่อใจเธอ”


 


 


หลินเช่อนิ่งไปครู่ใหญ่ เธอรู้สึกซาบซึ้งกับความเชื่อในที่เขามีให้โดยปราศจากคำถาม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อไปว่า “ถึงเธอจะไร้การอบรม มารยาทแย่ ความรู้น้อย แถมยังขี้เกียจตัวเป็นขน แต่ฉันก็เชื่อว่าเธอคงไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”


 


 


“…”


 


 


ขอบคุณที่ชมนะยะ


 


 


หลินเช่ออยากจะบอกเขาว่าอย่าเชื่อใจเธอเลย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดต่อ “อีกอย่าง มันก็เป็นความผิดชอบฉันด้วยที่ทำให้เธอต้องไปเสียเวลาอยู่ที่สถานีตำรวจนั่น”


 


 


“มันเป็นความผิดของคุณได้ยังไงคะ”


 


 


“ในฐานะสามีของเธอ การช่วยเหลือดูแลเธอถือเป็นความรับผิดชอบของฉัน ฉันอยู่ต่างประเทศและไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ตอนนั้นฉันลืมไปหมดว่าอะไรเป็นอะไร ฉันต้องขอโทษด้วย”

 

 

 


ตอนที่ 67

 

“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของคุณสักหน่อย” หลินเช่อโบกมือ


 


 


“ไม่ เธอเป็นภรรยาฉัน” เขายังย้ำหนักแน่น


 


 


หัวใจของหลินเช่อพองโต เขามองเธอด้วยสายตาจริงจัง เติมเต็มหัวใจเธอให้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึก


 


 


เขาบอกว่าเธอเป็นภรรยาของเขา…


 


 


หญิงสาวรีบหันหนี ไม่อยากที่จะมองใบหน้าชวนหลงใหลนั่น


 


 


ไม่ช้าทั้งคู่ก็มาถึงบ้าน


 


 


ทั้งสองเดินตามกันเข้าสู่ตัวบ้าน ชายหนุ่มหันไปสั่งสาวใช้ว่า “เอายาให้คุณผู้หญิงด้วย”


 


 


หลินเช่อหันขวับ กู้จิ้งเจ๋อจึงบอกว่า “เธอเป็นหวัดอยู่นะ กินยาแล้วก็รีบเข้านอนซะ”


 


 


ในห้องนอน หลินเช่อนั่งลงบนเตียง สาวใช้นำยาเข้ามาให้ กู้จิ้งเจ๋อรับยาไว้แล้วส่งสัญญาณบอกให้สาวใช้ออกไปได้ เขาหันมาหาหลินเช่อ “อ้าปากสิ”


 


 


หลินเช่อรีบบอก “ฉันไม่เป็นไรค่ะ จริงๆ นะ ไม่ต้องกินยาหรอก”


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “อ้าปาก เป็นเด็กดีหน่อยสิ”


 


 


เสียงของเขาทุ้มนุ่มชวนฟังราวกับเสียงเชลโล่ หัวใจของหลินเช่อสั่นระรัว คนบ้าอะไรเพอร์เฟกต์ไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัวแบบนี้นะ


 


 


เขาทั้งเซ็กซี่ ชวนมอง ร่ำรวย แถมยังเอาใจใส่และรับผิดชอบอีกต่างหาก


 


 


เขาช่างดีกับเธอเหลือเกิน


 


 


คงเป็นเพราะเขารู้สึกว่าควรจะต้องทำดีกับเธอในฐานะภรรยาตามข้อตกลงนั่นแหละ เขาถึงได้ช่วยเหลือเธอมากมายแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอดรู้สึกจับใจไม่ได้


 


 


แต่แล้วหลินเช่อก็คิดขึ้นได้ว่าวันหนึ่งเธอกับเขาก็ต้องหย่าขาดจากกัน แล้วเธอก็คงไม่มีวันได้พบผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้อีกแล้ว


 


 


หัวใจของเธอปวดหนึบ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อร้องถาม “นี่เธอมัวแต่เหม่ออะไรอยู่ อย่าทำตัวงี่เง่าน่า อ้าปากแล้วก็กินยาซะ”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง รีบหันหนี “ไม่”


 


 


“ไม่กินจริงรึ”


 


 


“ไม่กินค่ะ ฉันไม่เป็นไรสักหน่อย กินยาน่ะไม่ดีต่อร่างกายนะคะ ตอนเด็กๆ ฉันไข้สูงตั้งสี่สิบองศา ยังไม่เห็นจะต้องกินยาเลย เดี๋ยวก็หายเองนั่นแหละค่ะ”


 


 


“สี่สิบองศา…” กู้จิ้งเจ๋อจ้องหน้าเธอ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เธอยังรอดชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้ “ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมสมองเธอถึงได้ทึบนัก คงเพราะเป็นไข้สูงเมื่อตอนเด็กๆ นี่เอง”


 


 


“อีตาบ้า!” หลินเช่อเงยหน้าเถียงฉอดทันที “เพราะแบบนี้ร่างกายฉันถึงได้แข็งแรงมากต่างหากล่ะ! ดูสิว่าฉันเสียเลือดตั้งเยอะแต่ก็ยังรอดมาได้น่ะ”


 


 


“วิธีการของเธอมันไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์นะ ใครบ้างที่ไม่ยอมกินยาเวลามีไข้สูงน่ะ” กู้จิ้งเจ๋อยังคงยืนกราน


 


 


หลินเช่อโต้กลับ “ก็พวกคนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างพวกคุณไงล่ะ พวกเราไม่ได้มีหมอประจำตัวเอาไว้ค่อยโทรหากันทุกคนหรอกนะ สมัยยังเป็นเด็กฉันต้องอยู่กับพี่เลี้ยง แล้วเธอก็ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครจะคอยมาใส่ใจฉันหรอก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะฉันไม่ค่อยจะป่วยกับเขาเท่าไหร่ ร่างกายฉันแข็งแรง ฉันจำได้ว่าเคยเป็นไข้สูงถึงสี่สิบองศาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว ฉันตื่นขึ้นมากลางดึกแต่หาพี่เลี้ยงไม่เจอ ฉันก็เลยออกไปหายามากินเอง แต่ตอนนั้นฉันยังรู้หนังสือแค่ไม่กี่คำ ก็เลยพลาดกินยาเม็ดสีเหลืองเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นยาแก้หวัด ฉันกินเข้าไปทั้งกำเลยละค่ะ พี่เลี้ยงของฉันกลัวแทบขาดใจ ตอนที่เธอต้องรีบพาฉันไปส่งที่คลินิกใกล้บ้าน แต่กลายเป็นว่าฉันไม่เป็นอะไรเลยแถมยังหายไข้อีกต่างหาก คุณหมอบอกว่าถ้าเด็กที่กินยาเป็นประจำน่ะป่านนี้คงตายไปแล้ว ฉันโชคดีที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง”


 


 


ยิ่งได้ยินหญิงสาวเล่าด้วยความไม่อินังขังขอบเช่นนี้ สีหน้าของชายหนุ่มก็ยิ่งบึ้งตึง ปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง เขาขยับเข้ามาใกล้เธอ หลินเช่อเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาดำสนิทของอีกฝ่าย เธอเอนตัวหนีแต่กู้จิ้งเจ๋อกลับพูดด้วยน้ำเสียงคุกคามหนักว่า “กินยาซะ อย่าบังคับให้ฉันต้องใช้วิธีโหดๆ”


 


 


หลินเช่อมองอีกฝ่ายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ริมฝีปากและลำคอของเขากำลังขยับ เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอชักเริ่มร้อนขึ้นทุกที หญิงสาวขยับหันเตรียมตัวเผ่นหนี “ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องกินยาหรอก”


 


 


จังหวะนั้นเอง กู้จิ้งเจ๋อหยิบยาใส่ปากตัวเอง แขนยาวของเขาเอื้อมออกมา มือเขาจับปลายคางเธอ ก่อนที่ริมฝีปากเขาจะกดทาบลงมา


 


 


แล้วลิ้นเย็นเฉียบที่มาพร้อมรสขมของยาก็รุกล้ำเข้ามาในปากของหลินเช่อ


 


 


หลินเช่อกรีดร้อง เธอรู้สึกเหมือนปากของเขาปิดกั้นอากาศทั้งหมดที่จะเข้าสู่ร่างเธอ


 


 


เม็ดยาเลื่อนลงไปในลำคอเพราะเธอต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะ


 


 


ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แม้ว่ายาจะล่วงพ้นลำคอไปแล้ว แต่ลิ้นของเขายังคงค้นควานอยู่ในปากเธอ อย่างไม่อยากจะถอนกลับออกไป


 


 


ผ่านไปเนิ่นนานราวกับชั่วนิรันดร์ เขาจึงถอนริมฝีปากออกไป หลินเช่อไอโขลกๆ กู้จิ้งเจ๋อมองเห็นใบหูที่แดงก่ำของเธอ ริมฝีปากของชายหนุ่มึงบิดโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่ออาการไอทุเลาลง เธอก็เงยหน้าขึ้นมอง เขา กู้จิ้งเจ๋อส่งแก้วน้ำเย็นให้ “ดื่มน้ำซะสิ”


 


 


หลินเช่อจ้องหน้าเขาตาเป๋งไม่ยอมพูดอะไร


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเคลื่อนเข้ามาหาอีกครั้ง สีหน้าขบขันยิ่ง “ทำไม หรืออยากจะให้ฉันบังคับเธอดื่มน้ำด้วยวิธีโหดๆ ด้วยงั้นเหรอ”


 


 


หลินเช่อโพล่งออกมาอย่างโกรธจัด “คนเลว!”


 


 


เธอคว้าแก้วน้ำไปแล้วรีบดื่มอึกใหญ่


 


 


ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีมาก คราวหน้าอย่าท้าทายฉันอีกล่ะ”


 


 


หลินเช่อคิดในใจ อีตานี่เป็นปีศาจชัดๆ


 


 


แต่ถึงยังไงเขาก็อยากให้เธอกินยาเพื่อตัวเธอเองนี่นะ หลินเช่ออดรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมานิดๆ ไม่ได้


 


 


ตอนยังเป็นเด็ก ไม่ค่อยจะมีใครใส่ใจเธอมากนักนอกจากพี่เลี้ยงเพียงคนเดียวเท่านั้น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองเธอ “หวังว่าเธอจะหายเร็วๆ นะ ฉันไม่อยากติดหวัดจากเธอ”


 


 


ให้ตายสิ…


 


 


“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ร่างกายฉันแข็งแรง แป๊บเดียวก็หายดีแล้ว อีกอย่าง ไอ้ที่คุณทำเมื่อกี้นั่นแหละที่จะทำให้ติดหวัดจากฉันง่ายๆ เลย”


 


 


“แข็งแรงงั้นเหรอ อยู่ๆ เธอก็ล้มป่วยโดยไม่รู้สาเหตุเนี่ยนะ” สายตาของกู้จิ้งเจ๋อจับจ้องที่ปากแดงเรื่อของอีกฝ่าย “น้ำลายน่ะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียรู้มั้ย เชื้อเธอน่ะไม่ถูกส่งผ่านมาหรอก ดูแลตัวเองให้ดีก็แล้วกัน”


 


 


“…”


 


 


ก็จริงของเขา เขาได้รับการปฏิบัติเยี่ยงราชาในบ้านตระกูลกู้ออกอย่างนี้ ไม่ว่าใครก็คอยปรนนิบัติดูแล เขาไม่จำเป็นต้องให้เธอเป็นห่วงหรอก


 


 


ต่อให้เขาเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาๆ เขาก็มีคุณหมอทั้งทีมอยู่พร้อมหน้าคอยรักษาให้


 


 


เธอกับเขามาจากโลกคนละใบโดยแท้ หลินเช่อพลันได้คิดถึงความแตกต่างระหว่างเธอและเขา และตัวเธอนั้นอยู่ห่างไกลจากเขาแค่ไหน


 


 


หลินเช่อพูดว่า “ใช่ว่าฉันจะเจออุบัติเหตุมันซะทุกครั้งเมื่อไหร่กันละคะ”


 


 


แต่ก็อีกนั่นแหละ มีหลายอย่างเกิดขึ้นกับเธอในช่วงนี้ ถ้าไม่เจ็บตัวก็ล้มป่วย


 


 


เธออดคิดไม่ได้ โม่ฮุ่ยหลิงคงไม่เคยเจอประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้เหมือนเธอหรอกมั้ง


 


 


หลินเช่อเริ่มตำหนิตัวเธอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมกู้จิ้งเจ๋อถึงได้ชอบโม่ฮุ่ยหลิง เธอเป็นเด็กดี เชื่อฟัง แล้วก็ไม่เคยเอาตัวเองไปเจอกับปัญหาใดๆ


 


 


หลินเช่อคิด บางทีคนอื่นคงพูดถูกแล้วละมั้ง ตอนที่พวกเขาบอกว่าเธอไม่คู่ควรกับกู้จิ้งเจ๋อน่ะ


 


 


ต้องผู้หญิงอย่างโม่ฮุ่ยหลิงสิ ถึงจะเหมาะสมกับเขา


 


 


อย่างน้อยชีวิตของโม่ฮุ่ยหลิงก็สุขสบายและดีงาม ไม่ต้องพบเจอกับปัญหามากมายในชีวิต


 


 


ส่วนผู้หญิงต้อยต่ำอย่างเธอก็มีแต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องปวดหัวที่เธอไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ แม้ว่าจะอยากหลบก็ตาม


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้น “เอาล่ะ รีบเข้านอนซะ”


 


 


“แต่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลย” หลินเช่อบอก


 


 


กู้จิ้งเจ๋อว่า “อย่าอาบเลย เธอยังไม่สบายอยู่ ยังไงก็ไม่มีคนบ่นเรื่องนี้หรอกน่า”


 


 


“แต่…”


 


 


“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปนอนซะ” เขาสั่งแล้วห่มผ้าให้เธอ


 


 


หลินเช่อคิด ผู้ชายคนนี้เป็นจอมบงการตัวจริงเสียงจริงเลย

 

 

 


ตอนที่ 68

 

คืนนั้นกู้จิ้งเจ๋อนอนบนโซฟาที่อยู่ข้างเตียง เมื่อหลินเช่อลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน้ำ เธอก็เห็นเขานอนอยู่ตรงนั้น โชคร้ายที่โซฟานั้นออกจะสั้นไปหน่อยสำหรับคนที่ตัวสูงถึงร้อยเก้าสิบเซนติเมตรอย่างเขา กู้จิ้งเจ๋อต้องยกขาขึ้นพาดเพื่อให้นอนบนโซฟาได้พอดี หลินเช่อเห็นแล้วอดรู้สึกอึดอัดแทนไม่ได้ เธอก้มลงมองดูเขา ริมฝีปากบางของเขาปิดสนิทขณะหลับ หัวคิ้วผ่อนคลายดูไม่คร่ำเคร่งเหมือนที่เห็นตามปกติ ทำให้เขาดูอ่อนโยนยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก ผิวสะอาดเกลี้ยงเกลาจนดูราวกับไม่มีรูขุมขน ชวนให้ผู้หญิงต้องนึกอิจฉา


 


 


เธอเพลิดเพลินกับการมองเขาอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้พลางยกมือขึ้นแตะคางอย่างลืมตัว


 


 


ผู้ชายคนนี้คือสามีของเธอจริงๆ


 


 


ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจ


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นสามีของเธอยังหล่อวายร้ายทีเดียว


 


 


ไม่มีดาราหรือนักแสดงคนไหนจะดูสมบูรณ์แบบไปกว่าเขาอีกแล้ว


 


 


แน่ล่ะว่าที่กู้จิ้งอวี่กลายเป็นดาราผู้โด่งดังได้ก็เป็นเพราะกรรมพันธุ์ชั้นเลิศของตระกูลกู้นี่แหละ


 


 


แล้วไหนจะท่านประธานาธิบดีอีก เขาได้ชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีที่มีเสน่ห์ดึงดูดที่สุดเท่าที่เคยมีมาในรอบหลายปี เห็นได้ชัดว่ากรรมพันธุ์ของตระกูลกู้นั้นยอดเยี่ยมโดยแท้


 


 


หลินเช่อเพิ่งรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้เองว่าแม้เธอจะแต่งงานกับเขามาได้พักใหญ่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พินิจดูเขาอย่างใกล้ชิดแบบนี้


 


 


ดูเหมือนว่าขนตาเขาจะยาวเอามากๆ เมื่อเธอได้มาเห็นชัดๆ แบบนี้


 


 


แล้วหางตาเขาก็เชิดสูงทีเดียวเมื่อเธอได้มาดูใกล้ๆ แบบนี้


 


 


แล้วก็ดูเหมือนว่าริมฝีปากของเขาจะอิ่มเต็มแล้วก็…


 


 


“นี่เธอมาแอบดูอะไรอยู่น่ะ” ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงงึมงำของกู้จิ้งเจ๋อถามออกมา


 


 


หลินเช่อแทบจะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น


 


 


เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็ได้เห็นเขากำลังมองตรงมาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์เต็มแก่ ท่าทีสนุกสนานของเขาทำเอาเธอรู้สึกอับอายเต็มที


 


 


“ฉัน…ฉันก็กำลังมองคุณอยู่ไง ทำไมล่ะ ก็คุณเป็นสามีฉันนี่ ฉันจะมองคุณไม่ได้หรือไงกัน” หลินเช่อว่า เสแสร้งทำท่าทีเป็นปกติ เธอตวัดสายตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง


 


 


ประโยคที่ว่า ‘ก็คุณเป็นสามีฉันนี่’ ทำเอาสายตาของเขาวาววาบ


 


 


ชายหนุ่มยิ้มกว้างขึ้นไปอีกขณะขยับเข้ามาใกล้เธอ


 


 


ใบหน้าของเขาที่พรวดพราดเข้ามาใกล้ทำให้หลินเช่อต้องรีบผงะถอยหนี


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับใช้นิ้วคว้าปลายคางของเธอไว้ได้เสียก่อน ทำให้หญิงสาวไม่อาจขยับตัวไปไหนได้


 


 


เธอตะโกนลั่น “ทำไมต้องเข้ามาซะใกล้ขนาดนี้ด้วยล่ะ”


 


 


“ก็เธอเป็นภรรยาฉัน ฉันจะเข้ามาใกล้หน่อยไม่ได้หรือไง”


 


 


ประโยคที่ว่า ‘ก็เธอเป็นภรรยาฉัน’ ทำเอาแก้มหลินเช่อร้อนผ่าวขึ้นมาในพริบตา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อดูจะกำลังจดจ้องริมฝีปากของเธออย่างยั่วเย้า “ไหนบอกซิ เธอมาทำอะไรอยู่ใกล้ฉันขนาดนั้น”


 


 


“ฉะ…ฉันเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าคุณน่ะค่ะ…” หลินเช่อเลี่ยงที่จะสบสายตาที่มองตรงมา


 


 


“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่มีอะไรบนหน้าฉันสักหน่อย”


 


 


“ต้องมีสิ สงสัยจะเป็นขี้ตาคุณนั่นแหละ” เธอโมเมไปเรื่อย


 


 


“หึๆ เธอคิดว่าคนอื่นเขานอนขี้เซาแบบเธอกันหรือไง” กู้จิ้งเจ๋อพ่นลมพรืด


 


 


หลินเช่อทำตาเขียวใส่


 


 


นี่เขาดูถูกเธออีกแล้วสิเนี่ย


 


 


แต่จะว่าไปมันก็แปลกนะ ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถทำให้ตัวเองดูดีอยู่ได้ทุกเวลา แม้จะในขณะที่กำลังนอนบนโซฟาที่เล็กกว่าตัวเองแบบนี้ ท่านอนของเขาก็ยังน่ามอง ดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่ได้ขยับตัวเลยตลอดทั้งคืน หนำซ้ำใบหน้าก็ยังคงเนียนสะอาด


 


 


“เธอจะบอกหรือไม่บอก ว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่กันแน่” เขามองหน้าหลินเช่ออย่างไม่ลดละ


 


 


“ฉัน…”


 


 


“ถ้าเธอไม่ยอมบอก ฉันจะจูบเธอ” กู้จิ้งเจ๋อเข้ามาประชิดตัวอย่างว่องไว


 


 


หลินเช่อตกใจ รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจะพุ่งเข้ามาจนชนจมูกเธอ แต่เขากลับหยุดอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี


 


 


และจากระยะห่างเพียงน้อยนิดแค่นั้น เขาก็ใช้ลมหายใจของเขาก่อกวนความรู้สึกในใจเธอจนทำให้สองแก้มของหลินเช่อเริ่มรู้สึกยุบยิบขึ้นมา


 


 


“คุณ คุณ คุณนะคุณ…”


 


 


“ตอบผิด” ทันทีที่พูดจบ ริมฝีปากของเขาก็ประทับลงมาบนปากเธอ ปัดไล้ไปมาอย่างแผ่วเบาเหมือนแมลงปอหยอกล้อบนผิวน้ำ


 


 


เมื่อได้เห็นสีหน้าตื่นตระหนกราวกับเห็นผีของหญิงสาว เขาก็หัวเราะออกมาทันที


 


 


“ฉันไม่เคยล้อเล่น” เขาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


หลินเช่อกลัวมากเสียจนออกแรงผลักเขาออกไป


 


 


เมื่อเห็นอีกฝ่ายตะเกียกตะกายสุดชีวิตเพื่อจะหนี คราวนี้กู้จิ้งเจ๋อจึงหลุดปากหัวเราะออกมาจริงๆ


 


 


พอหลินเช่อได้ยินเสียงหัวเราะล้อเลียนของชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้า


 


 


เธอตรงไปยังห้องน้ำแล้วปิดประตูทันที หัวใจเต้นแรงจนแทบกระโจนออกมาจากอก


 


 


จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เธอต้องหนีไปให้พ้นจากเขา


 


 


ไม่อย่างนั้นเธอจะทำอะไรได้กับผู้ชายคนนี้ที่เดี๋ยวนี้ชักจะสนุกใหญ่แล้วกับการได้ทำตัวเป็นอันธพาลหัวโจกอย่างไร้สาเหตุ


 


 


 


 


ตกดึก หลินเช่อนอนไม่หลับ


 


 


ทว่าในวันถัดมา เธอก็ได้รับข่าวดี


 


 


บรรดาข่าวที่ซุบซิบถึงเธอทั้งหลายหายไปจากหน้าสื่อหมดแล้ว ตำรวจเองก็ส่งหนังสือขอโทษมาให้ด้วยความรวดเร็ว แจ้งว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงอุบัติเหตุและเป็นการใส่ความผู้บริสุทธิ์


 


 


นอกจากนี้สัญญาโฆษณาของหลินเช่อก็ได้รับการเซ็นสัญญาเป็นที่เรียบร้อย


 


 


เมื่อหญิงสาวมาถึงบริษัท อวี๋หมินหมิ่นกำลังรอเธออยู่แล้วที่ด้านใน เธออดกระตุกยิ้มด้วยความยินดีไม่ได้เมื่อเห็นหลินเช่อ ขณะเปิดประตูห้องต้อนรับ เธอก็รีบพูดขึ้นว่า “ตามข่าวลือที่ได้ฟังมา เซนมิร่าถูกแบนไปแล้วนะ”


 


 


“หือ ทำไมล่ะคะ” หลินเช่อถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ใครบอกกันคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นว่า “ทุกคนในวงการก็รู้กันหมดนั่นแหละ เซนมิร่าไปล่วงเกินใครบางคนเข้า บริษัทที่เป็นตัวแทนของเธอก็เลยจัดการฉีกสัญญาเธอทิ้ง แล้วตอนนี้ก็ไม่มีบริษัทไหนกล้าเซ็นสัญญารับเธอเข้าสังกัดอีกเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเธอจะได้รับอนุญาตให้รับงานเองได้ แต่ปัญหาสำคัญก็คือไม่มีบริษัทไหนกล้าร่วมงานกับเธออีกนั่นแหละ ฉันเดาว่าสุดท้ายเธอก็คงจะเงียบหายไปหลังจากเรื่องนี้”


 


 


หลินเช่อกะพริบตา เธอรู้สึกว่ามันง่ายดายเสียเหลือเกินที่ใครสักคนจะเลือนหายไปจากอาชีพนี้


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพูดต่อไปว่า “ฉันบอกได้เลยว่ากู้จิ้งเจ๋อนี่ท่าทางจะรักเธอไม่น้อยเลยทีเดียวนะ”


 


 


หน้าของหลินเช่อแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอมองอวี๋หมินหมิ่นด้วยความขัดเขิน แต่เมื่อลองคิดดูให้ดีแล้ว หลินเช่อกลับคิดว่าไม่น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง เขาคงรู้สึกว่าต้องชดใช้ให้เธอ เพราะแม้ว่าจะแต่งงานกันแล้ว แต่เขาก็ยังคงไปหาโม่ฮุ่ยหลิงอยู่เป็นครั้งคราว


 


 


แต่ถึงอย่างไรซะ เธอก็ไม่ได้คิดว่าการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเธอไปก่อเรื่องเข้า แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าปัญหาของเขาเพียงฝ่ายเดียว


 


 


การแต่งงานของเธอและกู้จิ้งเจ๋อเป็นผลมาจากความผิดพลาดของเธอและเขา ซึ่งไม่อาจโทษกันและกันได้


 


 


หลินเช่อถอนหายใจก่อนจะพูดว่า “พี่อวี๋คะ พี่ไม่เข้าใจ นี่มันไม่เกี่ยวกับว่าเขารักฉันหรือเปล่า…ความจริงแล้วเขาเป็นคนดีมาก”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้ม “ถ้าคนอื่นรู้เข้าว่าเธอเรียกกู้จิ้งเจ๋อว่าเป็นคนดีละก็ พวกเขาต้องตกใจตายกันหมดแน่ รู้หรือเปล่า”


 


 


“ทำไมละคะ” หลินเช่อกะพริบตาด้วยความงุนงง


 


 


อวี๋หมินหมิ่นตอบ “ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นว่ากู้จิ้งเจ๋อเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างความกลัวในใจของผู้คน เขาเป็นคนเข้าถึงยาก ยิ่งไปกว่านั้น เธอคิดเหรอว่าคนที่ทำเงินได้มหาศาลอย่างเขาจะเป็นแค่คนใจดีธรรมดาๆ น่ะ”


 


 


หลินเช่อพูดไม่ออก ตอนที่เริ่มรู้จักกัน เธอรู้สึกเพียงว่ากู้จิ้งเจ๋อค่อนข้างจะห่างเหินเย็นชา ชอบออกคำสั่ง แล้วก็น่ารังเกียจ


 


 


แต่หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกัน เธอก็เริ่มคุ้นเคยกับเขาจนไม่ได้รู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว และตอนนี้เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ากู้จิ้งเจ๋อน่ากลัวตรงไหนสักนิด


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “เอาเถอะ เราต้องรีบไปกันแล้วล่ะ ทีมงานได้โอกาสดีสำหรับการโฆษณาซีรีส์มาแล้ว ฉันแน่ใจว่าเธอน่าจะรู้จักรายการ ‘เนชันแนล วินเนอร์’ สินะ”


 


 


“รู้จักสิคะ นั่นเป็นรายการดังของสถานีเลยไม่ใช่เหรอ ใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้นแหละ เรตติงผู้ชมสูงมาก แล้วคนดูทุกเพศทุกวัยก็ชอบรายการนี้ ฉันคนหนึ่งล่ะที่โตมากับการดูรายการนี้เชียวนะคะ” หลินเช่อว่า


 


 


“พวกเธอจะได้ไปออกรายการที่ว่ากันในสัปดาห์นี้ สำหรับคนที่เป็นตัวละครหลักของเรื่อง เธอเองก็จะต้องไปด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเตรียมตัวไว้ให้ดีด้วยล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “นี่ฉันจะได้ไปด้วยเหรอคะ”


 


 


“แน่นอนสิ”


 


 


หลินเช่อดีใจสุดชีวิต เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งเธอจะได้ไปออกรายการที่มีเรตติงผู้ชมสูงลิบลิ่วแบบนี้กับเขาด้วย 

 

 


ตอนที่ 69 นี่คุณมารับฉันเหรอคะ

 

เธอรู้มานานแล้วว่าในเมื่อมันเป็นซีรีส์โทรทัศน์ของกู้จิ้งเจ๋อ ฉะนั้นก็แปลว่าการโปรโมตจะต้องเกิดขึ้นในรายการคุณภาพเยี่ยมแบบนี้เพื่อสร้างความสนใจและประชาสัมพันธ์ก่อนที่ซีรีส์จะออกอากาศ เพียงแต่หลินเช่อไม่คิดว่าตัวเธอเองจะมีโอกาสได้ปรากฏตัวในรายการดังนี้ด้วย อย่างไรก็ตามการประชุมกันระหว่างทีมงานและทีมผู้สร้างก็ยังคงอยู่ในช่วงตัดสินใจว่าพวกเขาจะเลือกใครเมื่อถึงเวลาที่ต้องไปออกรายการจริงๆ


 


 


หลินเช่อเตรียมพร้อมสำหรับงานนี้ด้วยความตื่นเต้นสุดขีด


 


 


แต่เมื่อก้าวออกมาจากบริษัท เธอก็เห็นกู้จิ้งเจ๋อที่เดินทางมารับ


 


 


เขาขับรถเข้ามาที่ด้านนอกตึก หลินเช่อรีบหันไปบอกอวี๋หมินหมิ่นว่า “งั้นฉันไปก่อนนะคะ พี่อวี๋”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นพยักหน้า “ไปเถอะ เร็วเข้า”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเหลือบมองรถปอร์เช่คันกะทัดรัดของตระกูลกู้แล้วก็ได้แต่เนื้อเต้น นี่มันตรงกันข้ามกับที่เธอคิดเอาไว้เลย กลายเป็นว่าหลินเช่อดูจะเกี่ยวข้องกับกู้จิ้งเจ๋อจริงๆ เสียด้วย


 


 


ก่อนหน้านี้เธอไม่แน่ใจว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสิ่งดึงดูดใจในตัวแม่สาวน้อยหลินเช่อคนนี้


 


 


แต่หลังจากที่ได้ปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหล่อนมาสักระยะ เธอก็พบว่าหลินเช่อเป็นคนโผงผางตรงไปตรงมา น่าสนใจและจริงใจไม่น้อยทีเดียว


 


 


หลินเช่อก้าวเข้าไปในรถพลางมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อ “ทำไมถึงมารับฉันได้ละคะ”


 


 


“สามีมารับภรรยาก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอไง” เขากลับเป็นฝ่ายย้อนถามเธอเสียอย่างนั้น


 


 


หัวใจหลินเช่อเต้นระรัว


 


 


ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ตระกูลกู้อยากให้เราไปหาน่ะ ฉันก็เลยมารับเธอนี่แหละ”


 


 


เธอรู้อยู่แล้วหรอก…


 


 


หลินเช่อนึกอายกับสีหน้าดีอกดีใจที่เธอแสดงออกไปในตอนแรกจนหญิงสาวนึกอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดสองฉาด


 


 


ไม่ช้าทั้งคู่ก็ไปถึงคฤหาสน์ตระกูลกู้


 


 


พนักงานรักษาความปลอดภัยตรงทางเข้านั้นเข้มงวดมากทีเดียว แต่เป็นเพราะเธอมากับกู้จิ้งเจ๋อ พวกเขาจึงเพียงแต่ส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มขับรถผ่านประตูสีทองแดงเข้าไปได้ทันที


 


 


เมื่อเข้าไปถึง หลินเช่อไม่ได้เดินเข้าไปพร้อมกู้จิ้งเจ๋อ เธอล่วงหน้าเข้าไปก่อนและมองหามู่หว่านฉิงทันที


 


 


“คุณแม่ขา หนูมาแล้วค่ะ” เธอร้องบอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อก้าวเท้าเข้าบ้าน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินตามไป


 


 


ทันทีที่เห็นหลินเช่อ มู่หว่านฉิงก็ดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เธอสวมกอดแล้วพูดว่า “ทำไมถึงได้ผอมนักละจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อตอบ “ผอมๆ หน่อยไม่ดีเหรอคะ”


 


 


“ก็ต้องไม่ดีอยู่แล้วสิ” มู่หว่านฉิงเงยหน้าขึ้น “จิ้งเจ๋อ ทำไมถึงไม่ดูแลหลินเช่อให้ดีล่ะนี่”


 


 


ชายหนุ่มสะดุ้ง “เป็นความผิดของเธอเองนี่ครับที่งี่เง่า เธอเอาแต่หาเรื่องใส่ตัวอยู่ตลอด เดี๋ยวก็ป่วยบ้าง เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุบ้าง แล้วอย่างนี้ผมจะทำอะไรได้”


 


 


มู่หว่านฉิงร้อง “ไร้สาระน่ะ ลูกก็เอาแต่แก้ตัว อ้อ พี่ชายของลูกกลับมาแล้วนะ เขาอยู่ข้างในแน่ะ”


 


 


มู่หว่านฉิงหันมาบอกกับหลินเช่อ “เธอสองคนไม่ได้จัดงานแต่งงานกันก็เลยยังไม่มีโอกาสได้พบพี่น้องของเขา ไปกับจิ้งเจ๋อสิจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อไม่อยากจะไปด้วยเลยสักนิด


 


 


เธอตวัดสายตามองเขาก่อนจะหันไปทำเสียงฉอเลาะกับมู่หว่านฉิงว่า “แต่หนูอยากอยู่กับคุณแม่อีกสักครู่นี่คะ”


 


 


“จะอยากมาขลุกอยู่กับคนแก่ทำไมกันจ๊ะ ดูสิ จิ้งเจ๋อทำตาเขียวใหญ่แล้ว คู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันอย่างพวกเธอควรจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนะจ๊ะ ไปเถอะ”


 


 


หลินเช่อทำได้แต่มองหน้ากู้จิ้งเจ๋อและเดินตามเขาไปอย่างไม่สู้เต็มใจนัก


 


 


ไม่นานนัก มู่หว่านฉิงก็ตามมาสมทบ เธอเดินตามหลินเช่อและกู้จิ้งเจ๋อเพื่อไปพบกับกู้จิ้งหมิงพร้อมกัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันมามองหญิงสาว เขาก้มหน้าลงมาแล้วพูดกับเธอว่า “ทำไมเธอถึงไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ฉันล่ะฮึ”


 


 


หลินเช่อรีบหันหน้าหนี “ฉันไม่อยากตรงไหนกันคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อคว้ามือเธอไว้โดยเร็ว “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมมองหน้าฉัน”


 


 


เมื่อถูกเขากุมมือเอาไว้แบบนั้น หลินเช่อก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันควัน เธอก้มลงมองมือตัวเองและพยายามสลัดเขาออกอย่างสุดชีวิต “แล้วฉันไม่ยอมมองหน้าคุณตรงไหนกัน”


 


 


“ฉันรู้สึกว่าพักนี้เธอเอาแต่…คอยหลบหน้าฉันอยู่เรื่อย ทำไมล่ะ ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือไง ถึงขนาดต้องคอยหลบหน้ากันแบบนี้”


 


 


“ฉันไม่ได้หลบหน้าคุณสักหน่อยนะคะ เข้าใจผิดรึเปล่า” เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เธอจึงจ้องตอบเขาที่กำลังมองดูเธออย่างเพ่งพินิจ ถึงอย่างไรเธอก็บอกเขาไม่ได้หรอกว่าทุกครั้งที่เธอเห็นเขา ความคิดเธอก็เต็มไปด้วยความคิดอันเย้ายวนรัญจวนหัวใจ ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำได้แค่เพียงสะบัดมือเขาทิ้งและรีบเดินนำไปอย่างรวดเร็ว


 


 


“นี่เธอ…” กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้วด้วยความงุนงงอยู่ด้านหลัง


 


 


มู่หว่านฉิงเฝ้ามองสองหนุ่มสาวจากทางด้านหลังแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้


 


 


พวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเคารพยกย่องกันอย่างสามีภรรยา แทนที่จะเป็นแบบนั้น พวกเขากลับหว่านเสน่ห์ใส่กัน ทำตัวไร้เหตุผล แล้วก็เถียงกันปาวๆ นั่นเป็นสัญญาณอันดีที่บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามีพัฒนาการขึ้นแล้ว


 


 


หลินเช่อเดินตามกู้จิ้งเจ๋อเข้าไปด้านใน


 


 


หญิงสาวพูดขึ้นว่า “โอ้ ฉันคิดว่าจะต้องมีคนติดตามท่านประธานาธิบดีเยอะแยะไปหมดเสียอีกค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าตึง เขาตวัดสายตามองเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขาอยู่ในบ้านตัวเองแล้วจะต้องมีคนติดตามไปทำไมอีก”


 


 


“ก็พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติหรืออะไรพวกนั้นไงละคะ” หลินเช่อเคยเห็นพวกเขาทางโทรทัศน์มาก่อน คนพวกนั้นดูน่ากลัวมากทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “พวกนั้นยังไม่มีทักษะดีเท่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลกู้ด้วยซ้ำ ทันทีที่เข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลกู้ เจ้าหน้าที่พวกนั้นก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว”


 


 


“หือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลกู้เก่งกาจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองหญิงสาวราวกับเป็นคนด้อยปัญญา “นี่เธอไม่เคยดูข่าวเลยสินะ”


 


 


“ก็ต้องดูสิคะ”


 


 


“ไม่มีใครที่กล้าตีพิมพ์รายงานข่าวเกี่ยวกับตระกูลกู้อย่างเป็นทางการหรอก แต่ถึงยังไงก็ยังมีพวกรายงานไม่เป็นทางการบางเรื่อง เธอลองเสิร์ชอินเทอร์เน็ตดูเดี๋ยวก็รู้เอง”


 


 


“เรื่องนี้… คือว่าฉันมักจะอ่านแต่ข่าวบันเทิงน่ะค่ะ”


 


 


“…” กู้จิ้งเจ๋อมองหลินเช่ออย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี “นี่เธอไม่มีอะไรที่ดีกว่านั้นให้ทำหรือยังไง”


 


 


“ทำไมละคะ นี่เขาเรียกว่าความรักในงานที่ทำต่างหาก ในฐานะศิลปินแล้ว แน่นอนว่าฉันก็ต้องให้ความสนใจข่าวบันเทิงอย่างใกล้ชิดสิคะ เชอะ”


 


 


ชายหนุ่มอดยิ้มมุมปากอย่างปราศจากเหตุผลไม่ได้เมื่อได้เห็นท่าทีโมโหโทโสของอีกฝ่าย


 


 


หลินเช่อยังคงถามต่อ “แล้วข่าวที่ว่านั่นคืออะไรละคะ คุณช่วยบอกฉันหน่อยไม่ได้เหรอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตระกูลกู้ได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพในต่างประเทศก่อนจะถูกส่งตัวกลับมา แม้แต่พวกบอดี้การ์ดจากสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติก็ไม่อาจเทียบฝีมือได้แม้แต่น้อย เจ้าหน้าที่ทุกคนที่นี่คือมือปืนซุ่มยิ่งฝีมือเยี่ยม นักมวยปล้ำ นักแกะรอย นักพรางตัว ถ้าไม่ใช่มือดีที่สุดก็ไม่มีทางได้มายืนอยู่ตรงนี้เป็นอันขาด”


 


 


“ว้าว ฟังดูสุดยอดไปเลยค่ะ แล้วนี่ค่าตัวไม่แพงแย่เหรอคะ” หลินเช่อสนใจเรื่องนี้มากกว่าอย่างอื่น


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ก็ไม่ได้แพงอะไรมาก ราวๆ เดือนละสามล้านต่อคน”


 


 


“…” หลินเช่อไม่อาจมองผู้ชายพวกนั้นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป


 


 


พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ร่ำรวยทั้งนั้น


 


 


หลินเช่ออดใจหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ เธอรีบเดินตามกู้จิ้งเจ๋อให้ทัน


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูท่าทางเหมือนคนหิวเงินของเธอแล้วก็อดปากไว้ไม่อยู่ “พอได้แล้วน่า มีฉันเป็นสามีของเธอแบบนี้ เธอเองก็แทบจะเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแล้วเหมือนกัน”


 


 


“เชอะ คุณน่ะหลงตัวเอง” เธอถลึงตาใส่เขา


 


 


กู้จิ้งเจ๋ออดยิ้มไม่ได้


 


 


ไม่ช้า ทั้งสองเข้ามาถึงพื้นที่ส่วนใน


 


 


เป็นภาพแปลกตาที่จะได้เห็นกู้จิ้งหมิงสวมชุดลำลองแบบนี้ เขานั่งอยู่ในห้อง กำลังมองดูอะไรบางอย่าง ท่าทางยุ่งทีเดียว แม้ว่าจะอยู่บ้านแต่เขาก็ยังใช้เวลาไปกับการสะสางงานต่างๆ


 


 


“พี่ ทำไมถึงว่างกลับมาเยี่ยมบ้านได้ล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ


 


 


ส่วนทางด้านหลินเช่อนั้นค่อนข้างจะเป็นกังวล เธอไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มายืนอยู่ต่อหน้าประธานาธิบดีแบบนี้


 


 


ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีสถานะเป็นพี่สามีของเธออีกต่างหาก


 


 


กู้จิ้งหมิงสังเกตเห็นหลินเช่อทันที เขายิ้มก่อนที่ก้าวเข้ามาหาเธอ “นี่คงจะเป็นน้องสะใภ้ละสินะ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้พบกัน ขอโทษด้วยที่ฉันมัวแต่ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ส่วนจิ้งเจ๋อก็เอาแต่ซ่อนตัวเธอไว้เสียมิดชิด ไม่ค่อยจะพาเธอมาบ้านเอาเสียเลย”


 


 


นั่นคงเป็นเพราะเขาไม่ต้องการจะเสียเวลาพาเธอมา เพราะถึงยังไงเธอกับเขาก็เป็นแค่คู่รักปลอมๆ เท่านั้นน่ะสิ


 


 


ในขณะที่คิดเช่นนี้ หลินเช่อก็ฉีกยิ้มและจับมือกับกู้จิ้งหมิง


 


 


เธอรู้สึกว่ากู้จิ้งหมิงไม่ได้ดูเหมือนกับที่เคยเห็นในโทรทัศน์เสียทีเดียว ในทีวีนั้นเขาดูไม่ค่อยเหมือนกับพี่น้องตระกูลกู้ทั้งสองคนนัก แต่เมื่อได้มาเห็นใกล้ๆ เธอจึงเห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาดูคล้ายคลึงกันมากทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 70 พวกเธอสองคนเหมาะสมกันมากจริงๆ

 

ทั้งสองคนจับมือกันอย่างเป็นกันเอง จากทางด้านหลัง มู่หว่านฉิงยืนยิ้มย่องผ่องใสพลางพูดว่า “เร็วเข้า มานั่งเถอะจ้ะ นั่นกำลังมองหาอะไรอยู่เหรอ”


 


 


หลินเช่อรีบเดินเข้าไปประชิดข้างตัวมู่หว่านฉิง “แม่คะ หนูอยากนั่งข้างคุณแม่”


 


 


มู่หว่านฉิงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอคิดว่าคงเป็นการดีกว่าถ้าจะให้กู้จิ้งหมิงและกู้จิ้งเจ๋อได้คุยกันตามลำพัง ด้วยเหตุนี้เธอจึงเลือกที่จะเงียบไว้แล้วหันมาหาหลินเช่อก่อนพูดว่า “จะมาทำตัวติดกันกับแม่อะไรตลอดเวลาละจ๊ะ เดี๋ยวจิ้งเจ๋อก็โกรธเอาหรอก”


 


 


หลินเช่อกอดแขนมู่หว่านฉิงเอาไว้อย่างรักใคร่ “เขาอยากโกรธก็ให้เขาโกรธไปสิคะ หนูอยากอยู่กับคุณแม่ที่สุด หนูไม่ชอบเขานี่นา”


 


 


มู่หว่านฉิงเองก็อยากมีลูกสาวมาคลอเคลียแบบนี้บ้าง เธอคิดมาตลอดว่าถ้าได้มีลูกสาวสักคนน่าจะดี มาตอนนี้เมื่อมีหลินเช่อมาคอยเกาะแกะก็ดูเหมือนว่าจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาให้มู่หว่านฉิงได้เป็นอย่างดี เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อหลินเช่อมากอดแขนเคล้าเคลีย เธอจึงปล่อยให้หญิงสาวเกาะแกะตามสบาย


 


 


อีกด้านหนึ่ง สายตาของกู้จิ้งเจ๋อก็จับจ้องไปที่หญิงสาวอย่างมีความหมาย


 


 


จนกระทั่งกู้จิ้งหมิงเรียกขึ้นนั่นแหละ เขาจึงหันหน้ากลับมา


 


 


“คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ควรจะยังเป็นของเราอยู่นะ” กู้จิ้งเจ๋อเริ่มถกเรื่องเครียดกับกู้จิ้งหมิง


 


 


กู้จิ้งหมิงตอบว่า “ทิศทางเสียงโหวตในเมือง C ยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่ แล้วยังมีอีกสองเมืองที่ทิศทางคะแนนโหวตยังไม่ชัดเจน”


 


 


“เมือง H กับเมือง S น่ะเหรอ”


 


 


“ใช่แล้วล่ะ”


 


 


“เมือง H น่ะประชาชนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มรากหญ้า ถ้าพี่ยินดีที่จะแต่งงานกับคุณนายของท่านประธานาธิบดีที่มาจากชนชั้นพลเรือน พี่ก็น่าจะได้รับคะแนนโหวตจำนวนมากเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนนะ ฉันกำลังจะลงทุนสร้างโรงงานหลายๆ โรงงานในเมือง S อีกครั้งเพื่อจ้างงานคนที่นั่น ทีนี้ก็จะเหลือแค่เมือง H เท่านั้นแล้วที่เราต้องหาทางรับมือ พี่ก็ยังไม่มีภรรยาเสียทีนี่นะ…”


 


 


“…” กู้จิ้งหมิงหน้าตึง เขาเงยหน้ามองมู่หว่านฉิงที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม


 


 


แน่ล่ะว่าทันทีที่มู่หว่านฉิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ดีใจจนเนื้อเต้น “ใช่ๆ น้องชายของลูกพูดถูกแล้ว จิ้งหมิง ตอนนี้ลูกก็อายุมากแล้วนะจ๊ะ ถึงเวลาที่จะต้องคิดลงหลักปักฐานแล้วก็สร้างครอบครัวได้แล้ว ผู้ชายน่ะจะดูมั่นคงแล้วก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวได้ก็ต่อเมื่อเขาแต่งงานแล้ว นี่จะส่งผลดีกับงานของลูกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นลูกเองก็แก่มากแล้วนะ…”


 


 


“แม่ครับ!” กู้จิ้งหมิงวางถ้วยชาแล้วตวัดสายตามองกู้จิ้งเจ๋อ “พอจัดการเรื่องของน้องได้ ตอนนี้ก็เลยหันมาเล่นงานผมกันใหญ่สินะ”


 


 


มู่หว่านฉิงบอก “ก็เพราะแม่คิดว่าที่จิ้งเจ๋อพูดมามันเข้าท่าต่างหากล่ะ อันที่จริงผู้หญิงที่มาจากครอบครัวพื้นเพธรรมดาๆ ก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ พวกเธอจริงใจ ไม่เสแสร้ง แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายๆ แอบซ่อนด้วย จิ้งหมิง ถ้าลูกยอมละก็แม่จะช่วยเลือกให้เอง บางทีถ้าเป็นคุณครูหรือคุณหมอ…ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ”


 


 


หลินเช่อไม่คิดเลยว่าท่านประธานาธิบดีจะตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ได้เพราะถูกกดดันให้แต่งงาน เธออดนึกสนุกไม่ได้ที่ได้เฝ้าดูอยู่ตรงนี้


 


 


สายตาของจิ้งหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาหันมองออกไปด้านนอก และดูเหมือนว่าจะอับจนด้วยคำพูด


 


 


มู่หว่านฉิงดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เธอหันไปหากู้จิ้งเจ๋อและหลินเช่อ “พวกเธอสองคนก็อย่ามัวแต่นั่งมองกันล่ะ ถึงแม้ตอนนี้จะแต่งงานกันแล้ว แต่จิ้งเจ๋อก็ถึงวัยที่ควรจะมีลูกได้แล้วเหมือนกัน ฉันไม่ได้อยากจะบังคับพวกเธอหรอกเพราะยังไงต่างคนต่างก็ยังต้องก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่ถึงยังไงพวกเธอก็ควรจะเริ่มคิดเรื่องนี้กันได้แล้วนะ ได้ยินหรือเปล่าจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อตัวแข็งทื่อ รู้สึกเหมือนตั้งตัวไม่ติด อดเหลือบมองสีหน้าของกู้จิ้งเจ๋อที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามไม่ได้


 


 


ต่างคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความท้อแท้ใจ ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่ากู้จิ้งเจ๋อจะโกรธ หลินเช่อจึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณแม่คะ พวกเรายังสนุกกับการใช้ชีวิตในฐานะคู่รักกันอยู่ สำหรับตอนนี้…เรายังไม่อยากมีลูกน่ะค่ะ”


 


 


มู่หว่านฉิงหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป “นั่นก็จริงอยู่หรอกนะ พวกเธอเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน คงจะยังไม่อยากมีลูกกันแน่ๆ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อขมวดคิ้ว เขามองดูสีหน้าตื่นตระหนกของหลินเช่อเมื่อได้ยินเรื่องลูก


 


 


ถ้าเขามีลูกกับหลินเช่อ…


 


 


เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขามีลูกกับเธอ เด็กชายหรือเด็กหญิงคนนั้นจะต้องออกมาน่ารักอย่างแน่นอนที่สุด


 


 


ผิวของหลินเช่อนั้นขาวจัดจนดูราวกับอาบด้วยน้ำนม ส่วนตัวเขาก็หน้าตาไม่เลวเช่นกัน หากความสัมพันธ์ของเธอและเขาไปถึงจุดนั้น ลูกที่ออกมาคงจะต้องดูดีไร้ที่ติอย่างแน่นอน


 


 


ส่วนเรื่องสติปัญญาของเด็กอาจจะต้องพึ่งพาโชคเสียหน่อย เพราะถ้าลูกชายหรือลูกสาวของเขาได้รับมรดกมันสมองที่ฉลาดน้อยของแม่มาละก็ อนาคตของพวกแกคงจะน่าเป็นห่วงทีเดียว


 


 


เมื่อเห็นกู้จิ้งเจ๋อหน้านิ่วอย่างหนัก หลินเช่อก็รีบพูดต่อ “ใช่ค่ะ ใช่ และทันทีที่พวกเรามีลูกกัน คุณแม่ก็จะไม่ชอบฉันอีกแล้ว คุณแม่ก็จะรักแต่หลานเท่านั้น ฉันยังอยากให้คุณแม่รักฉันต่อไปอีกหน่อยน่ะค่ะ”


 


 


“นั่นก็จริงอีกเหมือนกันจ้ะ เธอยังเด็กมาก เอาไว้โตกว่านี้อีกหน่อยเราค่อยมาว่ากันก็แล้วกันนะ”


 


 


มู่หว่านฉิงลูบหลังลูบไหล่หลินเช่ออย่างรักใคร่


 


 


หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอหันไปยิ้มให้กู้จิ้งเจ๋อที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม แต่สีหน้าเขายังคงเคร่งเครียดอยู่เช่นเดิม


 


 


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ท่าทางเหมือนไม่อยากจะเสียเวลาพูดกับเธอ


 


 


หลินเช่อคิด ยังจะมาทำท่ามากอีก ไม่ได้ยินหรือไงที่เธอบอกว่าเธอกับเขายังไม่อยากมีลูกน่ะ


 


 


ช่วยพูดให้ขนาดนี้แล้ว ยังจะโกรธกันอีกเหรอ


 


 


อย่างไรก็ตามหญิงสาวรู้สึกถึงบางอย่างใต้โต๊ะที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ นิ้วเท้าที่ขยับเข้ามาจั๊กจี้ผิวเนื้อบอบบางที่ต้นขาของเธอ หลินเช่อตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งตัวแข็ง


 


 


ดวงตาที่แทบจะลุกเป็นไฟตวัดไปมองกู้จิ้งเจ๋อที่นั่งทำหน้าตายอยู่ฝั่งตรงกันข้าม พลางนึกแช่งชักเขาอยู่ในหัว นี่เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่


 


 


แต่ถึงกระนั้น ขาของเขาก็ยังของขยับสูงขึ้น


 


 


ชุดกระโปรงของเธอถูกถลกดึงขึ้นมา เธอได้รู้สึกถึงผิวคร้ามของเขาที่ขยับสูงขึ้นมาอย่างช้าๆ ตามหน้าขาของเธอ และกำลังตรงไปยังพื้นที่ที่อ่อนไหวที่สุดของร่างกายเธอ


 


 


หลินเช่อรีบเอียงตัววูบทันที


 


 


มู่หว่านฉิงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นเหรอจ๊ะ”


 


 


หลินเช่อหน้าแดง “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ยุงเท่านั้นเอง”


 


 


เมื่อผู้เป็นแม่สามีได้ยินเช่นนั้น เธอก็ยกมือขึ้นแล้วร้องสั่งว่า “อะไรกัน ทำไมถึงมียุงในห้องได้”


 


 


สาวใช้รีบกุลีกุจอเข้ามาจัดการกับปัญหา


 


 


หลินเช่อถลึงตามองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ


 


 


แต่กู้จิ้งเจ๋อกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังคงก้มหน้าจิบน้ำชาด้วยท่วงทีอันเหมาะเจาะสง่างามตามปกติ


 


 


หญิงสาวอดคิดในใจไม่ได้ หมอนี่คืออสูรร้ายในคราบมนุษย์ชัดๆ


 


 


เธอพยายามข่มใจแล้วนั่งลงแต่โดยดี แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงแขนยาวๆ ที่ยื่นออกมาใต้โต๊ะ ปลายนิ้วแตะลงแผ่วเบาที่ขาเธอ สัมผัสอันจาบจ้วงนั้นทำเอาเธอสะดุ้งสุดตัว


 


 


อีตาบ้านี่!


 


 


นี่เขากล้ามาทำตัวรุ่มร่ามเกเรในช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไงกันนะ


 


 


ตรงกันข้ามกับเธอ มุมปากของกู้จิ้งเจ๋อขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เมื่อรู้สึกได้ถึงผิวเนื้อนุ่มนิ่มในฝ่ามือ สายตาของเขาก็เป็นประกายมีชีวิตชีวาราวกับว่ากำลังพึงใจเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ความร้อนผะผ่าวจากร่างกายเขาถูกถ่ายทอดผ่านถึงเธอทางฝ่ามือใหญ่


 


 


เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังค่อยๆ โลมไล้เธออย่างช้าๆ ความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีทำให้ร่างทั้งร่างของเธอเกร็งเครียดยิ่งกว่าเดิม


 


 


ความดื่มด่ำซาบซ่านค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างของเธอทีละน้อย การลูบไล้ของเขาราวกับมีพลังวิเศษ


 


 


หญิงสาวนึกอยากตบเขาจะให้หน้าหัน แต่ติดที่ยังมีคนอื่นอยู่ที่โต๊ะด้วย


 


 


หลินเช่อจึงทำได้แค่นั่งกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุขอยู่กับที่ เธอตวัดสายตาใส่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าราวกับว่าเธออยากจะขย้ำหัวเขา


 


 


แต่คนถูกมองกลับทำท่าไขสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังคงนั่งหลับตาทำท่าอภิรมย์อยู่อย่างนั้น


 


 


หลินเช่อแทบทนไม่ได้ ด้วยฝีมือการแสดงระดับนี้ เขาเป็นมืออาชีพยิ่งกว่าเธอที่เป็นนักแสดงอาชีพเสียด้วยซ้ำ


 


 


มู่หว่านฉิงมองหลินเช่อด้วยความงุนงง “ยังมียุงอยู่อีกเหรอจ๊ะ”


 


 


หญิงสาวพยักหน้าโดยไวแล้วปรายตามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “เฮอะ ยุงตัวใหญ่เสียด้วยสิคะ”


 


 


มู่หว่านฉิงมองตามสายตาของหญิงสาวไปยังทิศตรงกันข้ามด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นด้วยท่วงท่าอันไร้ที่ติ เขามองหน้าหลินเช่อด้วยสายตาสุดจะไร้เดียงสา


 


 


มู่หว่านฉิงยิ้มออกมา เธอมองหนุ่มสาวทั้งสองสลับกันไปมาและคิดว่า สองคนนี้เข้ากันได้ดีกว่าที่เธอคิดเสียอีก 

 

 


ตอนที่ 71 ทำไมเธอหน้าแดงล่ะ

 

กู้จิ้งหมิงมองคนทั้งสองด้วยสายตาอันแหลมคมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน


 


 


มู่หว่านฉิงย้อนกลับมาคิดถึงการแต่งงานของกู้จิ้งหมิงอีกครั้ง


 


 


“จิ้งหมิง ดูซิว่าตอนนี้น้องชายของลูกมีความสุขแค่ไหน ลูกก็ควรจะรีบจัดการดูตัวเพื่อหาคนมาแต่งงานด้วยสักทีนะ”


 


 


“แม่อย่าเป็นห่วงเรื่องผมเลยครับ ยังไงถ้าแม่อยากมีหลานก็ควรไปเตือนจิ้งเจ๋อนั่นแหละว่าให้พยายามให้หนักเข้า แบบนั้นยังจะมีหวังมากกว่า”


 


 


หลินเช่อรีบนั่งตัวตรงทันควันด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน


 


 


มู่หว่านฉิงพึมพำต่อ “จะทำแบบนั้นได้ ยังไงลูกก็อายุมากกว่าสองคนนี้ แต่ยังไม่มีกระทั่งแฟนด้วยซ้ำ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ”


 


 


หลินเช่อรู้ดีว่าตั้งแต่ประธานาธิบดีเข้ารับตำแหน่ง ผู้คนต่างก็คาดหวังเกี่ยวกับการแต่งงานของเขา แต่อย่างไรก็ตามกู้จิ้งหมิงเองกลับไม่ได้รู้สึกร้อนใจแต่อย่างใด


 


 


เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มาเกือบสามปีแล้ว และทุกคนก็เริ่มนึกสงสัยว่าเหตุใดท่านประธานาธิบดีจึงยังไม่แต่งงานเสียที


 


 


ตอนแรกก็ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้กันออกมาอย่างเปิดเผย แต่เมื่อจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นอีกครั้ง การที่เขาจะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในเดือนสุดท้ายของปีว่าจะออกมาเป็นเช่นไร


 


 


ด้วยเหตุนี้เรื่องการแต่งงานของกู้จิ้งหมิงจึงถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อในการสนทนากันอีกครั้ง


 


 


มู่หว่านฉิงหันมาบอกสองสามีภรรยา “ห้องที่พวกเธอจะพักคืนนี้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วนะ เอาละจ้ะ แม่จะไม่กวนใจทั้งสองคนแล้ว กลับไปพักเถอะ แล้วก็อย่ามัวแต่คุยกับจิ้งหมิงนานเกินไปนักล่ะ จิ้งเจ๋อ หลินเช่อจะเบื่อเสียก่อนถ้าถูกทิ้งไว้ในห้องคนเดียว”


 


 


หลินเช่อรีบมองหน้าคนนั่งตรงข้ามทันที


 


 


เธอกับเขาต้องนอนค้างที่นี่อีกแล้วเหรอ…


 


 


หญิงสาวรู้ดีว่าสองคนพี่น้องไม่ได้พบหน้ากันมานานและอาจจะมีเรื่องให้ต้องพูดคุยกัน เธอจึงอาสาขอตัวออกมาก่อน


 


 


ขณะมองหลินเช่อเดินออกจากห้องไป กู้จิ้งหมิงก็ยิ้มแล้วพูดกับน้องชายว่า “น้องสะใภ้ของฉันท่าทางไม่เลวเลยนะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถอนหายใจ “ถึงยังไงพวกเราก็ถูกบังคับให้ต้องแต่งงานกันอยู่ดี”


 


 


กู้จิ้งหมิงยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม เขามองหน้าอีกฝ่ายแล้วบอกว่า “จากที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่านายจะไม่ได้โดนบังคับไปซะทุกอย่างนี่ ฉันหมายถึงนายโดนบังคับให้ต้องปฏิบัติกับเธออย่างดีด้วยเหรอ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อตอบ “ในเมื่อฉันแต่งงานกับเธอแล้ว เธอก็เป็นภรรยาของฉัน เพราะงั้นฉันก็ควรจะปฏิบัติกับเธอให้ดีสักหน่อย เธออายุแค่ยี่สิบสามเอง ชีวิตแต่งงานอย่างนี้มันไม่ค่อยยุติธรรมกับเธอเท่าไหร่ ยิ่งถ้าฉันทำตัวไม่ดีกับเธอด้วยแล้วน่ะ”


 


 


กู้จิ้งหมิงเบือนหน้ามองไปทางอื่นด้วยท่าทีครุ่นคิดแล้วไม่ได้พูดอะไร


 


 


แต่แล้วจู่ๆ เขาก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยปากถามว่า “วันนั้นที่นายโทรมาถามฉันเกี่ยวกับใครคนหนึ่ง ฉันก็ลืมชื่อหล่อนไปแล้ว คนที่บังเอิญบุกเข้ามาในพื้นที่หวงห้ามของกลาสพาเลซน่ะ”


 


 


ที่พักของประธานาธิบดีถูกเรียกว่าเกลซไทล์พาเลซ พื้นที่คุ้มกันนั้นจึงถูกเรียกชื่อตามสถานที่ พวกเขามีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดที่สุดคอยดูแล


 


 


กู้จิ้งเจ๋อย้อนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น “ใช่แล้วล่ะ เธอเป็นผู้จัดการของหลินเช่อน่ะ วันนั้นเธอได้สร้างปัญหาอะไรหรือเปล่า”


 


 


กู้จิ้งหมิงชะงักไปคงครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเย็นชากว่าเดิมว่า “ไม่หรอก”


 


 


“งั้นก็ดีแล้วล่ะ”


 


 


“หล่อนชื่ออะไรนะ”


 


 


“อวี๋หมินหมิ่น คิดว่าใช่นะ” กู้จิ้งเจ๋อตอบ


 


 


กู้จิ้งหมิงพยักหน้า ท่าทีของเขายังดูคลุมเครือบอกไม่ถูก


 


 


ทั้งสองคนสนทนากันถึงประเด็นสำคัญต่างๆ อยู่อีกชั่วครู่ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของตัวเอง


 


 


กู้จิ้งหมิงมองน้องชายที่เดินออกไปก่อนจะหันไปพูดกับเลขาธิการใหญ่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างว่า “ไปตรวจสอบผู้หญิงที่ชื่ออวี๋หมินหมิ่นนั่นดูซิ จัดการให้แน่ใจด้วยว่าเธอไม่ได้ทิ้งร่องรอยของเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นเอาไว้”


 


 


เลขาใหญ่เข้าใจได้ในทันที เขาพยักหน้าก่อนจะถอยออกไป


 


 


หลินเช่อเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องมาแล้วพักใหญ่ ทันทีที่เธอได้ยินเสียงประตูขยับ เธอก็กระโดดผลุงลงจากเตียงในทันที


 


 


เมื่อถึงเห็นกู้จิ้งเจ๋อโผล่เข้ามา เธอก็เปิดฉากเอ็ดตะโรใส่เขาด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที “กู้จิ้งเจ๋อ คุณทำเรื่องอะไรในเวลาอย่างนี้น่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อทำหน้าตายสนิท “ฉันทำอะไรในเวลาอย่างนี้เหรอ”


 


 


เมื่อมาเห็นอีกฝ่ายทำเป็นปั้นหน้าซื่อ เธอก็ยิ่งตะเบ็งเสียงหนักขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “ก็ที่คุณมาแอบลูบขาฉันอยู่ใต้โต๊ะนั่นไงล่ะ”


 


 


คนโดนเอ็ดนั่งลงแล้วเงยหน้ามอง “แล้วยังไง”


 


 


“คุณ คุณ คุณ นี่คุณกำลังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฉันอยู่นะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยักไหล่แล้วตอบว่า “ฉันทำอย่างงั้นก็เพื่อให้ชีวิตแต่งงานของเราดูสมจริงขึ้นมายังไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อนิ่งอึ้ง “ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ การแสดงของคุณตอนนี้ก็ดูเป็นธรรมชาติมากพอแล้วล่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อยิ้ม “เธอเองก็เป็นธรรมชาติเหมือนกันนะ”


 


 


“ไม่ค่ะ ไม่ ไม่เลย ทักษะการแสดงของฉันน่ะแย่มาก ไม่เป็นธรรมชาติเท่าคุณหรอก”


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เขายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “นี่เธอจะบอกว่าสีหน้าของเธอก่อนหน้านี้นี่เป็นของจริงหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นทำไมเธอถึงหน้าแดงล่ะ หรือว่าเป็นการตอบสนองโดยธรรมชาติ”


 


 


เมื่อได้ยินเขาจี้ถูกจุดแบบนี้ เธอก็ยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปอีก “ใครหน้าแดงกัน!”


 


 


“อยากให้ฉันเดินไปหยิบกระจกให้แล้วส่องดูไหมล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อผุดลุกขึ้นแล้วขยับเข้ามาใกล้


 


 


หลินเช่อรีบลนลานถอยหลัง “ไม่จำเป็นหรอก!”


 


 


เธอต้องยอมให้เขาจริงๆ พอเป็นสถานการณ์เช่นนี้ กู้จิ้งเจ๋อสวมบทบาทแบบนี้ได้ดีเหลือเกิน จนถึงตอนนี้การแสดงของเขาก็ยังคงยอดเยี่ยมเปี่ยมสีสันชนิดที่แยกไม่ออกเลยทีเดียวว่าอะไรคือของจริง


 


 


เธอสบตาชายหนุ่มที่กำลังอมยิ้มอ่อนๆ สายตานั้นลึกล้ำจนดูราวกับว่าจะดูดกลืนวิญญาณของเธอไป หลินเช่อรีบขอตัวเข้าห้องน้ำ เธอจะอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อเข้านอนแต่หัวค่ำและรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด


 


 


พูดง่ายๆ ก็คือในอนาคตเธอจะพยายามมาเยี่ยมเยือนบ้านตระกูลกู้ให้น้อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


 


จนถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสของเขาที่อ้อยอิ่งอยู่ตรงต้นขา กระแสไฟอ่อนๆ ที่แล่นปราดไปทั่ว ทำเอาหญิงสาวต้องสลัดหัวโดยแรงเพื่อจะได้ลืมความรู้สึกอันแสนเย้ายวนนั้นทิ้งไปเสีย


 


 


 


 


เช้าวันต่อมา


 


 


หลินเช่อติดตามบริษัทเพื่อไปเข้าร่วมการถ่ายทำรายการ ‘เนชันแนล วินเนอร์’ รายการวาไรตี้ชื่อดังที่มียอดเรตติงผู้ชมสูงลิบลิ่ว


 


 


ทางบริษัทถือว่านี่เป็นงานสำคัญอย่างมาก เพราะฉะนั้นอวี๋หมินหมิ่นจึงจัดแจงยืมเสื้อผ้าราคาแพงมาเพื่อให้หลินเช่อได้สวมออกรายการ


 


 


เมื่อมองดูชุดและรองเท้าส้นสูงที่อยู่ในถุง อวี๋หมินหมิ่นก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ชุดพวกนี้ก็ไม่เลวหรอกนะ แต่ทางบ้านตระกูลกู้คงมีเสื้อผ้าแพงยิ่งกว่านี้กองอยู่เป็นพะเนินเทินทึกเลยละมัง”


 


 


หลินเช่อถามด้วยความสงสัย “จริงเหรอคะ ฉันดูยี่ห้อของเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ค่อยออกหรอกค่ะ ก็เลยไม่รู้ว่าตัวไหนแพง คราวหน้าพี่อวี๋มาช่วยฉันเลือกหน่อยได้ไหมคะ”


 


 


“ฉันน่ะเหรอ ลืมไปได้เลย คฤหาสน์ตระกูลกู้เขายอมให้คนอื่นเข้าไปได้ด้วยเหรอ”


 


 


“หือ เราจะเข้าไปตอนไหนที่เราอยากเข้าไม่ได้เหรอคะ” หลินเช่อถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


 


 


อวี๋หมินหมิ่นอดที่จะอธิบายให้ฟังไม่ได้ “แน่นอนว่าเธอน่ะอยากเข้าตอนไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่พวกเราคนอื่น เอาล่ะ ไปเตรียมตัวแล้วแต่งหน้าแต่งตาเถอะ”


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลินเช่อก็มาถึงสถานีโทรทัศน์


 


 


ทางรายการมีห้องแต่งตัวโดยเฉพาะเอาไว้ให้ หลินเช่อรู้สึกตื่นเต้นตลอดทางที่เดินเข้าไป เอาแต่คอยเหลียวซ้ายแลขวาไม่หยุด


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลินลี่ก็มาถึงด้วยเหมือนกัน


 


 


เมื่อเห็นว่าหลินเช่อได้มาร่วมถ่ายทำรายการด้วยจริงๆ หลินลี่ก็ได้แต่ทำหน้าเยาะๆ แล้วเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส


 


 


“ตอนนี้รายการคงจะลดระดับลงมากเลยสินะ ถึงให้หมูหมากาไก่ที่ไหนมาออกก็ได้แบบนี้” เสียงของหลินลี่ดังมาจากทางด้านหลัง


 


 


อวี๋หมินหมิ่นเหลือบมองหลินเช่อแล้วพูดกับเธอเหมือนกับกำลังชวนคุยเรื่องทั่วๆ ไปว่า “ฉันได้ยินมาว่าทางเซนมิร่าว่าเธอถูกยกเลิกตารางงานทั้งหมด ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจริงหรือเปล่า แต่มีคนเห็นเธอไปหาลำไพ่ตามเมืองเล็กๆ ด้วย เธอทำกระทั่งยอมรับงานค่าตัวแค่หมื่นเดียวด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเธอจะร้อนเงินจริงๆ”


 


 


ที่ด้านหลังของพวกเธอ สีหน้าของหลินลี่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยิน


 


 


เมื่อนึกถึงหน้ากู้จิ้งเจ๋อ ในใจเธอก็นึกกลัวขึ้นมาฉับพลัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเชิดหน้าอย่างถือตัว เธอเดินนวยนาดออกไปบนรองเท้าส้นสูงลิบพลางพูดว่า “อากาศแถวนี้แย่จริงๆ ไปกันเถอะ เราต้องไปหาห้องแต่งตัวส่วนตัวเพื่อแต่งหน้าให้ฉัน”


 


 


แล้วหลินลี่กับบรรดาผู้ช่วยของเธอก็ชักแถวเดินตึงตังออกไป


 


 


หลินเช่อถาม “ไม่ว่าจะไปที่ไหน เธอก็ต้องทำให้มันเอะอะเสียงดังได้ทุกครั้งไปเลยสินะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้ม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น และเมื่อหันไปมองหมายเลขเรียกเข้า หัวใจเธอก็ต้องกระตุก เธอหันมาบอกหลินเช่อว่าเธอจะขอออกไปรับโทรศัพท์และเดินออกไป


 


 


จนเมื่อออกมาถึงด้านนอกแล้วนั่นแหละ เธอจึงกดรับสาย


 


 


“สวัสดีค่ะ คุณสบายดีหรือเปล่าคะ”


 


 


[คุณอวี๋ มีบางอย่างที่เราต้องคุยกันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย ถ้าคุณสะดวก ผมจะเป็นฝ่ายไปหาคุณเอง]


 


 


อวี๋หมินหมิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก “ฉันบอกคุณแล้วไงคะ ว่าวันนั้นมันเป็นแค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ได้วางแผนร้ายแอบแฝงอะไรสักหน่อย”


 


 


[เราจะช่วยคุยเรื่องนี้กันแบบเจอหน้าได้ไหม]


 


 


“ก็ได้ค่ะ…ถ้าคุณกลัวว่าฉันจะแอบอัดเสียงคุณนักละก็ งั้นก็เข้ามาเจอแล้วคุยกัน”


 


 


 


 


ที่ด้านใน


 


 


หลินลี่แอบเหลือบดูหลินเช่อ หล่อนอิจฉาน้องสาวต่างมารดาอย่างหนักเสียจนแทบจะหน้าเขียว


 


 


หล่อนดึงเอาตัวผู้ช่วยเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “ไปตามหาเสื้อผ้าที่นังหลินเช่อจะใส่คืนนี้มาสิ เห็นกระเป๋าของมันหรือเปล่า เสื้อผ้าที่มันจะสวมคืนนี้ต้องอยู่ในนั้นแน่ ถ้าเจอแล้วก็ให้…” 

 

 


ตอนที่ 72 เกิดเหตุขึ้นระหว่างการถ่ายทำ

 

หลังจากนั้นไม่นาน ภายในห้องแต่งตัว


 


 


ผู้ช่วยร่างเล็กของหลินลี่ก็แอบดอดเข้ามาเงียบๆ


 


 


ที่ด้านหน้า หลินเช่อเพิ่งจะแต่งหน้าเสร็จ แต่แล้วเธอก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากข้างนอก หญิงสาวเหลียวมองหาอวี๋หมินหมิ่นแต่ก็ไม่พบ เธอจึงถามช่างแต่งหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น ช่างแต่งหน้าตอบว่า “ถ้าเสียงดังขนาดนี้ก็น่าจะเป็นเพราะกู้จิ้งอวี่มาถึงแล้วนั่นแหละ”


 


 


ทันทีที่พูดจบ แน่นอนว่าเธอก็ได้เห็นกู้จิ้งอวี่ผลักประตูและเดินเข้ามาในห้องแต่งตัวจริงๆ เสียด้วย


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่ช่างแต่งหน้าได้เห็นดาราหนุ่มเข้ามาในห้องแต่งตัวธรรมดาแบบนี้ เมื่อเห็นเขา พวกเธอจึงพากันยิ้มกว้างอย่างยินดี


 


 


กู้จิ้งอวี่เดินตรงรี่เข้ามาหาหลินเช่อทันที เขานั่งลงแล้วส่งยิ้มก่อนจะพูดว่า “นี่ ดูเหมือนเธอจะผอมไปแล้วนะ เป็นเพราะว่าไม่ได้เจอฉันทุกวันหลังจากถ่ายทำจบละสิ ที่ซูบผอมขนาดนี้เพราะคิดถึงฉันใช่ไหมล่ะ”


 


 


“…” หลินเช่อมองหน้าเขาและพูดอะไรไม่ออก


 


 


ถัดไปไม่ไกลกัน บรรดาช่างแต่งหน้าเองก็ตั้งใจฟังบทสนทนาของทั้งคู่ พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าคนอย่างกู้จิ้งอวี่จะพูดจาหยอกล้อกันเองแบบนี้เป็นด้วย ช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ที่พวกเธอเคยคาดคิดเอาไว้ยิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นดาราดังที่มักจะมีสไตลิสต์ส่วนตัวติดตามไปด้วยทุกที่ ไม่ใช่คนที่ช่างแต่งหน้าทั่วไปจะสามารถเข้าถึงตัวได้ง่ายเลย ทุกคนจึงดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้สัมผัสกู้จิ้งอวี่อย่างใกล้ชิดในครั้งนี้


 


 


เวลาผ่านไป ผู้กำกับก็ส่งคนเข้ามาเร่งเพราะการถ่ายทำใกล้จะเริ่มต้นขึ้นเต็มที่


 


 


หลินเช่อรีบสำรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องสำอางบนใบหน้าก่อนจะสวมเสื้อผ้าที่เธอนำมาด้วย


 


 


ชุดของเธอเป็นชุดกระโปรงสั้นเปิดไหล่ ปักลวดลายดอกไม้อ่อนหวานเข้าชุดกันกับรองเท้าส้นสูงที่ทำให้เธอดูสวยสบายตาน่ามอง ดูแล้วเหมาะเจาะอย่างยิ่งที่จะเข้าร่วมกับรายการวาไรตี้ชื่อดังเช่นนี้


 


 


กู้จิ้งอวี่แตะไหล่เธอพลางพูดว่า “ทำให้ดีที่สุดนะ”


 


 


หลินเช่อยังกังวลใจนิดๆ แต่เธอก็สูดลมหายใจลึกๆ แล้วเดินเข้าไป


 


 


แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต้นขึ้นทันทีพร้อมด้วยเสียงดนตรี


 


 


เพราะมีดาราดังอย่างกู้จิ้งอวี่มาร่วมด้วย ทางทีมโปรดักชันจึงไม่กล้าที่จะจัดหนักเท่าไหร่ พวกเขาได้เล่นเกมสองสามช่วง ส่วนช่วงที่เหลือจะเป็นการให้สัมภาษณ์จากกู้จิ้งอวี่ที่เป็นดาวเด่นเป็นหลัก


 


 


จากด้านข้าง หลินเช่อมองเห็นหลินลี่ที่เดินออกมาด้วยเช่นกัน


 


 


ฝ่ายนั้นมองเธอแล้วก็พ่นลมพรืดออกทางจมูกด้วยท่าทีถือตัว หล่อนเชิดหน้าสูง


 


 


หลังจากนั้นทีมงานทุกคนก็ขึ้นมาบนเวที หลินเช่อยืนอยู่บนเวทีขณะมองลงมายังแฟนๆ และผู้ชมที่แน่นขนัดเต็มห้องส่ง เพราะเขากำลังส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง แสงไฟดวงใหญ่สาดส่องลงมาขนทำให้หน้าของเธอเริ่มรู้สึกร้อน


 


 


เมื่อหลินเช่อจะขยับตัว หลินลี่ก็ผลักเธอออกไปด้านข้างโดยเร็ว


 


 


หญิงสาวงุนงงตั้งตัวไม่ถูก เธอยังไม่มีประสบการณ์บนเวทีมากนัก จึงยังไม่รู้ว่าจะหาทางพาตัวเองกลับเข้าไปในแถวได้อย่างไร


 


 


ในจังหวะนั้นเองเธอก็รู้สึกถึงมือของกู้จิ้งอวี่ที่โผเข้ามาจับและดึงเธอเข้าไปยืนข้างเขา


 


 


พิธีกรผู้มากประสบการณ์มองเห็นเหตุการณ์นั้นได้ในทันที เขาฉีกยิ้มกว้างพลางกวาดตามองไปยังคณะทีมงานและนักแสดงที่ยืนเข้าแถวเรียงราย สายตาของเขาหันมาจับจ้องอยู่ที่หลินเช่อและกู้จิ้งอวี่


 


 


“เมื่อครู่นี้เราแอบเห็นว่าจิ้งอวี่สังเกตเห็นว่าหลินเช่อหาที่ยืนไม่ได้ เขาก็เลยดึงเธอเข้าไปยืนข้างๆ เลยนะครับ”


 


 


คำพูดของพิธีกรทำให้คนทั้งคู่กลายเป็นหัวข้อสนทนาในทันที


 


 


จากทางด้านหลัง หลินลี่ทำหน้าตึงขณะมองดูหลินเช่อที่ยืนอยู่ข้างกู้จิ้งอวี่


 


 


สีหน้าของหลินเช่อออกจะดูขัดเขินเล็กน้อยเมื่อถูกพูดถึงเช่นนั้น ส่วนกู้จิ่งอวี่พูดออกมาหน้าตาเฉยว่า “นี่เป็นครั้งแรกของหลินเช่อบนเวทีนะครับ เธอยังไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่ ในฐานะรุ่นพี่ผมก็คงต้องยื่นมือเข้าช่วยสักหน่อยล่ะ”


 


 


พิธีกรรีบรับลูกทันควัน “อ๋า ช่างคิดจริงๆ เลยนะครับจิ้งอวี่ แล้วหลินเช่อล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง รู้สึกยังไงที่มีจิ้งอวี่คอยดูแลแบบนี้”


 


 


หญิงสาวยิ้มแล้วตอบว่า “ก็รู้สึก… ฉันคิดว่าหลังจากการถ่ายทำวันนี้เสร็จสิ้นลง ฉันน่าจะถูกแฟนๆ ของเขารุมทำร้ายจนตายแน่เลยค่ะ ระบบรักษาความปลอดภัยของรายการนี้ดีอยู่ใช่ไหมคะ คุณจะช่วยดูแลและส่งฉันกลับไปอย่างปลอดภัยหลังจบงานใช่ไหมคะ”


 


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็พากันหัวเราะครืน


 


 


หลินเช่อเริ่มที่จะเข้าใจได้ทีละน้อย ว่าหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับกู้จิ้งอวี่ก็มักจะกลายมาเป็นหัวข้อสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเธอด้วย ในการให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่เธอจึงมีโอกาสที่จะได้พูดอยู่ตลอดเวลา


 


 


ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น หลินลี่กลับไม่ได้มีบทบาทมากเท่าไหร่ เธอถูกเอ่ยถึงเพียงแค่ช่วงแนะนำตัวและอีกครั้งในการสัมภาษณ์เกี่ยวกับพิธีหมั้นของเธอที่เพิ่งผ่านพ้นไป นอกจากนั้นแล้วเธอก็ไม่ได้รับความสนใจใดๆ มากนัก


 


 


หลินลี่หน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ เธอตวัดสายตาไปมองหลินเช่อที่กำลังหัวเราะและพูดคุยอย่างสนุกสนานอยู่ทางด้านหน้า เมื่อหลินเช่อถูกสัมภาษณ์ เธอก็จะพูดคุยอย่างมีชีวิตชีวาด้วยท่าทีที่เป็นกันเอง ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจ เมื่อเห็นการให้สัมภาษณ์ของอีกฝ่ายได้รับการตอบรับที่ดี หลินลี่ก็อดไม่ได้ที่จะย้อนกลับมามองตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าแม่นั่นมีกู้จิ้งอวี่คอยช่วยอยู่น่ะสิ เฮอะ


 


 


หลินลี่คิดอย่างมาดร้าย แต่แกจะยังสนุกอยู่ได้อีกไม่นานหรอก


 


 


ขณะที่คิด หล่อนก็หันไปมองรองเท้าส้นสูงของหลินเช่อด้วยสายตาเจ้าเล่ห์


 


 


ถึงตอนนี้ พิธีกรรายการได้ขอให้นักแสดงหลักในทีมทุกคนเดินไปหยิบขนมในตะกร้าพร้อมกันเพื่อโยนให้กับผู้ชมที่อยู่ด้านล่าง


 


 


ผู้ชมในห้องส่งพากันร้องตะโกนเสียงดังสนั่น ร้องขอขนมกันอื้ออึง โดยเฉพาะเมื่อหันไปทางทิศที่กู้จิ้งอวี่ยืนอยู่


 


 


หลินเช่อหยิบขนมมาเต็มฝ่ามือ เมื่อเธอโยนขนมลงไป หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของรองเท้า เธอนิ่วหน้าอยากจะก้มลงไปมองแต่ก็ไม่มีเวลาพอที่จะทำเช่นนั้น เมื่อเธอหยิบขนมเต็มกำมืออีกครั้ง คราวนี้เธอก็ได้ยินเสียงส้นรองเท้าที่ขยับอย่างรวดเร็ว


 


 


เท้าของหลินเช่อพลิกวูบจนเธอเกือบล้มคว่ำลง


 


 


ใครบางคนที่ด้านหลังร้องเสียงดังออกมา


 


 


โชคดีที่กู้จิ้งอวี่คว้าตัวเธอไว้จากด้านหลังได้ทันการ


 


 


ส้นรองเท้าของเธอหักนั่นเอง


 


 


ที่ด้านหลังพิธีกรตกตะลึง “โอ้ รองเท้าของคุณพังนี่ครับ เปลี่ยนคู่ใหม่เถอะ”


 


 


หลินเช่อหน้าแดงก่ำ เธอรู้สึกได้ว่ากล้องกำลังจับภาพอยู่ที่เธอ ในช่วงเวลาอันน่าวิตกนั่นเอง หลินเช่อก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มและพูดว่า “นี่ฉันน้ำหนักขึ้นเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะเนี่ย ถึงขนาดที่ส้นรองเท้ารับไม่ไหวเลยเชียวนะ”


 


 


ทุกคนพากันหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเช่อตัดสินใจในจังหวะนั้นเอง หญิงสาวก้มลงถอดรองเท้าออก เธอดึงส้นรองเท้าที่หักคาอยู่ทิ้งไปและหันไปถอดรองเท้าอีกข้างออกมาด้วย จากนั้นก็หยิบมันฟาดเข้ากับบันไดจนส้นรองเท้าที่เหลือหักออกมาเป็นที่เรียบร้อย เธอโยนส้นรองเท้าทิ้งไปโดยเร็วและสวมรองเท้ากลับเข้าที่เดิมท่ามกลางสายตาทุกคนที่มองมาอย่างประหลาดใจ “เสร็จแล้วค่ะ”


 


 


พิธีกรรายการมองพลางอ้าปากค้าง แต่ถึงกระนั้นเขาก็รับลูกเธออย่างรวดเร็วว่า “หลินเช่อ คุณนี่โหดจริงเลยนะครับ”


 


 


กู้จิ้งอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ไหลตามน้ำมาด้วย “ใช่ครับ ไม่มีใครในกองถ่ายที่มองเธอว่าเป็นผู้หญิงหรอก”


 


 


หลินเช่อเงยหน้าหันไปมองกล้องก่อนจะฉีกยิ้มกว้างสดใสบันทึกเอาไว้ในกล้องเป็นที่


 


 


ภาพเหตุการณ์น่าประทับใจที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกเรียบร้อยแล้ว


 


 


ที่ด้านล่างผู้กำกับยิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ เขาไม่ลืมที่จะหันไปสั่งผู้ช่วยว่า “เก็บฉากนี้เอาไว้ด้วยนะ มันดูดีทีเดียวแล้วก็น่าจะทำให้คนสนใจได้มากด้วย เราจะใช้มันตัดเป็นภาพตัวอย่าง”


 


 


ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างของเวทีก็อดไม่ได้ที่จะมองดูการกระทำของหลินเช่อซึ่งเป็นเรื่องผิดกับที่คาดคิดเอาไว้มาก แม่สาวคนนี้ใจเด็ดดีทีเดียว


 


 


หลินลี่ยืนฟึดฟัดอยู่ทางด้านหลัง ตอนแรกเธอดีใจที่จะได้ยืนมองหลินเช่อต้องอับอายขายหน้าอยู่ที่หน้าเวที


 


 


แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าแม่นั่นจะยังใจเย็นและแก้ไขเหตุการณ์น่าอายได้อย่างราบรื่น เสียดายชะมัดที่มันไม่ล้มโครมลงกับพื้น


 


 


หลินเช่อกลับมาสู่การถ่ายรายการต่อ เธอมองไปข้างหลังและบังเอิญได้เห็นสายตาเย่อหยิ่งของหลินลี่ นั่นทำให้หญิงสาวเริ่มฉุกคิดอะไรขึ้นมาทันที


 


 


จนกระทั่งการถ่ายทำสิ้นสุดลง ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี


 


 


กู้จิ้งอวี่เดินลงจากเวทีและหันไปมองหลินเช่อ “ขาของเธอไม่เป็นไรใช่ไหม”


 


 


หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มให้ “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ” เธอซาบซึ้งใจจริงๆ ที่กู้จิ้งอวี่คอยช่วยเหลือเธอเป็นอย่างมากแทบตลอดการถ่ายทำ


 


 


กู้จิ้งอวี่พูด “จะมาขอบคุณทำไม คราวหน้าเธอก็เลี้ยงข้าวฉันสิ”


 


 


หลินเช่อยอมตกลงอย่างว่าง่าย “ได้เลยค่ะ”


 


 


หญิงสาวเห็นหลินลี่เดินหน้าเชิดผ่านมา หลินเช่อยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าขณะเฝ้ามองอีกฝ่ายเดินผ่านไป


 


 


มาถึงตอนนี้ อวี๋หมินหมิ่นก็กลับเข้ามาแล้ว


 


 


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อวี๋หมินหมิ่นยังคงตกใจกับภาพน่าหวาดเสียวที่เกิดขึ้นเมื่อมองจากด้านล่างเวที


 


 


หลินเช่อหยิบรองเท้าของเธอขึ้นมา “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะแต่รองเท้าคู่นี้น่าจะแพงมากทีเดียว”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยกรองเท้าขึ้นพิจารณาดูใกล้ๆ แล้วพูดว่า “ใครบางคนทำมันพังนี่ มีรอยกรีดอยู่ตรงนี้นี่ไงล่ะ”


 


 


หลินเช่อหรี่ตา พ่นลมออกทางจมูกและพูดว่า “ฉันรู้ค่ะว่าใครทำ”


 


 


หลินลี่น่ะสิ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ 

 

 


ตอนที่ 73 เสื้อผ้าขาดหมดแล้ว

 

อวี๋หมินหมิ่นออกมาที่สถานีพร้อมกับหลินเช่อ ขณะที่เดินออกมาอวี๋หมินหมิ่นก็หันมาบอกว่า “โชคดีนะที่วันนี้เธอทำได้ไม่เลวเลย เธอคงไม่เจอปัญหาอะไรหรอก”


 


 


หลินเช่อพูดว่า “หลินลี่นี่พยายามหาโอกาสเล่นงานฉันทุกครั้งเลยนะคะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มเมื่อมองดูอีกฝ่าย “พวกเธอเป็นพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ”


 


 


หลินเช่อรีบบอก “พอทีเถอะค่ะ ตระกูลหลินน่ะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีฉันเป็นลูกสาว พี่ก็อยู่กับฉันมานานพอที่จะรู้แล้วนี่คะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มและพูดต่อไปว่า “ฉันไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดแบบพวกคนรวยๆ เขาเท่าไหร่หรอก ครอบครัวของฉันเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แค่ฉันมีเงินส่งให้แม่ทุกเดือนเอาไว้ใช้จ่ายกับเรื่องจำเป็นในชีวิตและให้น้องชายได้เรียนหนังสือก็ดีถมไปแล้ว”


 


 


หลินเช่อรีบแย้ง “ชาวบ้านอะไรกันคะ ฉันเองก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนกันนะ”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “เอาเถอะ เราสองคนก็เป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นที่ไม่มีครอบครัวคอยอุปถัมภ์ค้ำชูแล้วก็ต้องทำงานหนักด้วยตัวเองนี่แหละนะ แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้เธอก็ยังดีกว่าฉันอยู่ดี ดูสิว่ากู้จิ้งเจ๋อดีกับเธอขนาดไหน แถมตอนนี้อาชีพของเธอเองก็อยู่ในช่วงขาขึ้นอีกต่างหาก”


 


 


หลินเช่อร้อง “โอ๊ย พอเถอะค่ะ ก็คงมีแค่อาชีพฉันเท่านั้นแหละที่พึ่งได้ ส่วนผู้ชายคนนั้นน่ะ…”


 


 


“ทำไมล่ะ ฉันคิดว่ากู้จิ้งเจ๋อนี่ก็พึ่งพาได้มากทีเดียวนะ”


 


 


หลินเช่อบอก “เขาแค่ต้องมีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบชีวิตฉันในช่วงนี้น่ะค่ะ”


 


 


“รับผิดชอบเหรอ” อวี๋หมินหมิ่นถามด้วยสุ้มเสียงแปลกใจ


 


 


หลินเช่อรีบพูดต่อ “ช่างเถอะค่ะ เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ลืมมันไปเถอะนะคะ ฉันจะค่อยๆ พยายามไปทีละนิด ถึงยังไงฉันก็ต้องทำงานหนักเพื่ออาชีพการงานของตัวเอง”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นบอก “ถูกต้องแล้วล่ะ ยังไงอาชีพของเราเองก็เป็นสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุด”


 


 


“เงินของเรา เราต้องเป็นคนถือเองสินะคะ!”


 


 


อวี๋หมินหมิ่นยิ้มให้กับท่าทางตลกๆ ของอีกฝ่าย


 


 


หลินเช่อไม่คาดคิดเลยว่าในวันต่อมา ภาพวิดีโอของเธอจะถูกโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตโดยบุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น


 


 


ในวิดีโอ หลินเช่อกำลังฟาดส้นรองเท้าให้หักก่อนจะสวมกลับเข้าไปแล้วถ่ายทำต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนรู้สึกว่าการทำเช่นนี้นั้น หลินเช่อดูเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง และการกระทำของเธอก็ดูมีเสน่ห์อย่างมากด้วย


 


 


นี่ทำให้ทุกคนคิดว่าแม่สาวคนนี้อึดอดทนมากแค่ไหน เธอสวยน่ารักแต่กลับไม่มีท่าทีเสแสร้งแกล้งทำเลย ช่างเป็นคนง่ายๆ เสียจริง


 


 


จำนวนแฟนๆ ที่มาติดตามหน้าเพจเวยป๋อของหลินเช่อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


 


ตอนนี้โพสต์ของเธอในเวยป๋อมีคนเข้ามาคอมเมนต์กว่าพันคนแล้ว


 


 


ที่บ้าน หลินเช่อนั่งไล่ดูเวยป๋อเสียเกือบตลอดทั้งวัน เธอเอาแต่นั่งอ่านคอมเมนต์ต่างๆ และรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในตัวเองที่พองโตจนคับอก


 


 


ข่าวสำหรับวันนี้ก็ถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็ว พาดหัวข่าวนั้นเกี่ยวกับหลินเช่อและกู้จิ้งอวี่ที่มาร่วมถ่ายทำรายการด้วยกันและยังคงมีเคมีที่เข้ากันได้ดีมากตลอดการถ่ายทำ กู้จิ้งอวี่ช่วยปกป้องหลินเช่ออย่างหลักแหลม ส่วนหลินเช่อเองก็กลัวว่าจะโดนแฟนคลับของกู้จิ้งอวี่เล่นงาน


 


 


เมื่อเทียบกับนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ที่มาร่วมถ่ายทำในวันนั้น หลินเช่อเป็นคนที่มีภาพออกอากาศมากที่สุดและได้รับความสนใจมากที่สุดในบรรดาทุกคน ทางบริษัทพอใจกับเรื่องนี้มากและบอกว่าผู้กำกับเองถึงกับมาพูดเป็นการส่วนตัวว่าหลินเช่อมีศักยภาพที่จะกลายเป็นดาราดังได้ในอนาคตทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองเห็นหญิงสาวนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาพร้อมยิ้มอยู่คนเดียวราวกับคนบ้า จึงเดินเข้ามาหาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”


 


 


หลินเช่อรีบเล่าอย่างภาคภูมิ “ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีศักยภาพที่จะเป็นดาราดังได้น่ะค่ะ ดูสิคะ! จำนวนคนติดตามของฉันตอนนี้เพิ่มเป็นล้านคนแล้วนะ”


 


 


“จริงรึ” กู้จิ้งเจ๋อกวาดตามองแล้วยิ้มออกมา เขารู้สึกว่าหลินเช่อเป็นคนที่พอใจกับอะไรง่ายดายเอามากๆ “แฟนคลับของกู้จิ้งอวี่น่าจะเป็นสิบล้านแล้วมั้ง”


 


 


“…” หลินเช่อเงยหน้าขึ้น “ก็เขาเป็นดาราระดับตัวท็อปนี่คะ ฉันแค่ดาราหน้าใหม่เองนะ”


 


 


หลินเช่อกลับไปที่ห้องเตรียมตัวจะเข้านอน แต่แล้วเธอก็สังเกตเห็นว่าตู้เสื้อผ้าดูเหมือนจะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ เธอเปิดตู้เสื้อผ้าใบหนึ่ง หยิบชุดนอนออกมาแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ หลังจากอาบเสร็จแล้ว หญิงสาวจึงได้รู้ว่าเสื้อผ้าที่หยิบมานั้นดูจะแปลกตากว่าที่เคย


 


 


เธอได้เห็นเมื่อส่องกระจกดู ถึงรู้ว่าชุดนอนที่สวมอยู่นั้นบางเบาเสียจนเรียกว่าแทบจะโปร่งแสงเลยทีเดียว…


 


 


หลินเช่อร้องเสียงหลงดังลั่นออกไปถึงข้างนอก “กู้จิ้งเจ๋อ ใครซื้อชุดนอนนี่มาน่ะ ทำไมมันถึงได้ประหลาดอย่างนี้”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อถาม “ประหลาดยังไง”


 


 


หลินเช่อว่า “คือมัน…ประหลาดมากน่ะค่ะ”


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เขาเปิดตู้เสื้อผ้าและสำรวจดูก่อนจะตะโกนกลับเข้าไป “ฉันคิดว่ามันเป็นเสื้อผ้าใหม่ที่แม่ฉันส่งมาให้จากบ้านน่ะ”


 


 


“…” หลินเช่อพูดเสียงอ่อยๆ “รสนิยมของแม่คุณนี่สุดยอดไปเลยนะคะ ว่าแต่ทำไมท่านถึงได้ส่งชุดนอนโป๊ขนาดนี้มาให้ฉันละคะเนี่ย…”


 


 


“บางทีท่านคงอยากจะมีหลานเร็วๆ ละมั้ง…” เขาตอบยิ้มๆ


 


 


“…” หลินเช่อมองดูตัวเองในกระจกอย่างสิ้นหวัง “ช่วยหาชุดนอนตัวอื่นให้ฉันทีเถอะค่ะ!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันกลับไปมองเสื้อผ้าชุดอื่นที่เหลือในตู้ แต่ละชุดล้วนมีความโดดเด่นเฉพาะจุดในตัวเองจนทำให้ชายหนุ่มอดสงสัยขึ้นมานิดๆ ไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชุดนอนวาบหวิวพวกนี้จะดูเป็นอย่างไรบนตัวของหลินเช่อ


 


 


แม้จะควานหาอยู่พักใหญ่ แต่เขาก็ไม่เห็นชุดนอนปกติที่เธอสวมหลงเหลืออยู่เลย ดูเหมือนว่ามารดาของเขาจะตัดสินใจที่จะทำให้เขาและเธอได้ใกล้ชิดกันด้วยวิธีนี้ นั่นคือเหตุผลที่หล่อนส่งเสื้อผ้าแบบนี้มาให้เต็มไปหมด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อร้องบอกไปว่า “ไม่มีเสื้อผ้าที่เธอใส่ได้เลย”


 


 


“งั้นฉันจะทำยังไงดีละคะ…” หลินเช่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ขอยืมเสื้อผ้าของคุณก่อนได้ไหมคะ ฉันจะได้มีอะไรใส่”


 


 


“ของฉันเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อถาม “ก็ทนๆ ใส่ไปเถอะน่า มีส่วนไหนของเธอที่ฉันยังไม่เคยเห็นอีกหรือไง”


 


 


“ก็ฉันไม่อยากใส่นี่ ไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ หลังจากใส่แล้วฉันไม่เอาคืนให้คุณหรอก คุณเองก็มีเสื้อผ้าตั้งเยอะตั้งแยะที่ยังไม่ได้ใช้ ให้ฉันยืมสักตัวจะเป็นไรไปเล่า”


 


 


ไม่นานหลังจากนั้น กู้จิ้งเจ๋อก็เคาะประตูห้อง หลินเช่อค่อยๆ แง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย ไอน้ำจากการอาบน้ำของเธอก่อนหน้านี้ยังคงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องปะปนกับกลิ่นหอมจากครีมอาบน้ำที่เธอใช้ กู้จิ้งเจ๋อมองหน้าเธอแล้วก็พบว่าสองแก้มนั้นแดงก่ำจากการอาบน้ำทีเดียว ใบหน้าอ่อนเยาว์แสนสะอาดนั้นกระตุ้นความรู้สึกอยากปกป้องในตัวเขาให้พลุ่งพล่านขึ้นมาจนสั่นสะท้านไปทั่วร่างอย่างไม่อาจห้ามได้


 


 


หลินเช่อไม่ทันได้สังเกตท่าทีที่แปลกไปของชายหนุ่ม เธอรับเสื้อผ้าไปแล้วปิดประตูอย่างเร่งร้อน


 


 


หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินออกมา เธอสวมชุดนอนตัวโคร่งของเขาพลางพูดอย่างภูมิใจนักหนาว่า “เป็นไงคะ ฉันฉลาดใช่มั้ยล่ะ”


 


 


เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น กู้จิ้งเจ๋อจึงหันไปมอง แล้วเขาก็ได้เห็นกองผ้าขาวๆ เดินผ่านไป หลินเช่อใส่ชุดนอนของเขาอยู่ แต่มันทั้งใหญ่ทั้งหลวมจนดูจะทำให้ร่างของเธอยิ่งดูเล็กลงและบอบบางกว่าที่เคย แขนเสื้อนั้นยาวมากจนถูกม้วนขึ้นไป แขนขาวๆ ที่ลอดออกมานั้นแกว่งไกวไปมาเหมือนรากต้นไม้ คอเสื้อก็กว้างเกินไปจนเผยให้เห็นช่วงกระดูกที่เนินบ่าอันขาวสะอาด เนินอกที่แทบจะไม่ได้รับการปกปิดเผยออกมาให้เห็นอยู่รำไร กู้จิ้งเจ๋อต้องเบือนหน้าหนีในทันที ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง โดยทั่วไปแล้วการที่ผู้หญิงสวมชุดนอนของผู้ชายแบบนี้มักสื่อถึงความสัมพันธ์ที่กำกวมยากจะเข้าใจ


 


 


และทำให้ใครบางคนเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาได้โดยง่ายด้วย


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหันหน้ากลับไป “หลินเช่อ เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดของเธอเถอะ”


 


 


หญิงสาวหันมาด้วยความแปลกใจ “ทำไมละคะ”


 


 


“ฉันจะให้คนออกไปซื้อชุดใหม่ให้” เขายืนขึ้นพลางพูดกับเธอ เขาไม่ยอมหันกลับมามองเธอด้วยซ้ำขณะที่เปิดประตูห้องออกไป


 


 


หลินเช่อเบ้ปาก “แต่ฉันไม่ทำมันพังหรอกนะคะ ก็ได้ ก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่ชอบละก็ฉันคืนให้ก็ได้”


 


 


หลินเช่อบอก “แต่ถ้าคุณให้คนเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนกับของในตู้ แล้วอย่างนี้แม่ของคุณจะไม่สงสัยเรื่องการแต่งงานของเราเหรอคะ”


 


 


ถึงอย่างไรเขาและเธอก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว การจะใส่เสื้อผ้าวาบหวิวแบบนี้ก็ดูไม่น่าจะใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยสักนิด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมองหลินเช่อขณะที่เดินกลับมาหา เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ฉันมีวิธีทำให้พวกเขาหายสงสัย”


 


 


หลินเช่อมองหน้าเขาด้วยความสับสน มุมปากของกู้จิ้งเจ๋อกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาหยิบเสื้อผ้าบางเบาของหลินเช่อขึ้นมา เมื่อเขาออกแรงมือทั้งสองข้าง เนื้อผ้าบอบบางนั้นก็ขาดออกจากกันอย่างง่ายดาย


 


 


สีหน้าของหลินเช่อตกใจอย่างที่สุด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเปิดประตูแล้วร้องบอกออกไปว่า “นี่มันชุดอะไรกัน ดึงทีเดียวก็ขาดหมดแล้ว ช่วยเอาชุดของคุณผู้หญิงไปเปลี่ยนเป็นอะไรที่มันทนมือกว่านี้ทีสิ”


 


 


เขาวางชุดนอนที่ขาดทิ้งไว้ สาวใช้สองสามคนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกันและกันโดยไม่พูดอะไรเมื่อมองเห็นชุดที่ขาดวิ่นนั่น


 


 


ชุดพวกนี้ไม่สามารถรับมือกับความตื่นเต้นเกินเหตุได้หรอกเหรอ


 


 


ที่ด้านหลัง หน้าของหลินเช่อแดงก่ำไปทั้งหน้า


 


 


อีตากู้จิ้งเจ๋อบ้านี่…


 


 


สาวใช้รีบไปนำชุดนอนปกติมาให้ พวกเธอเหลือบด้วยสายตาหยอกเย้าราวกับจะพูดว่า พวกเธอสองคนนี่ออกจะเร่าร้อนกันเกินไปหน่อยแล้วนะ… 

 

 


ตอนที่ 74 อย่าขยับ นอนนิ่งๆ สิ

 

ประตูห้องนอนปิดลง


 


 


หลินเช่อตวัดสายตาเขียวปั๊ดไปยังกู้จิ้งเจ๋อที่ยังคงทำหน้าตาเรียบเฉยเป็นปกติ


 


 


ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ”


 


 


หลินเช่อกระทืบเท้าปึงปัง “เชอะ”


 


 


เธอคว้าชุดนอนแล้วรีบพุ่งเข้าห้องน้ำ


 


 


เขามองเธอลนลานออกไปพลางกลั้นยิ้ม


 


 


อย่างไรก็ตามเขาก็อดเสียใจนิดๆ ไม่ได้เมื่อเหลียวกลับไปมองชุดนอนเนื้อบางที่มีมากมายหลายสีหลายแบบพวกนั้น


 


 


รูปร่างเธอออกจะดี ใส่ชุดนอนพวกนี้แล้วคงจะดูสวยไม่เบาเลยทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วมองดูด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วหลินเช่อก็ก้าวออกมา


 


 


เมื่อได้เปลี่ยนชุด หญิงสาวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก


 


 


ชุดนอนที่เธอสวมอยู่เป็นชุดนอนผ้าลินินตัวยาวที่ไม่ได้เน้นทรวดทรงให้เห็นแม้แต่น้อย ทำให้เธอดูราวกับถังน้ำ


 


 


หลินเช่อคิดว่ามันเป็นชุดที่วิเศษทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อโยนชุดนอนในมือทิ้งแล้วหรี่ตามองดูชุดที่อยู่บนตัวหญิงสาว


 


 


แม่สาวใช้พวกนี้…ไปหาชุดแบบนี้มาจากไหนให้เจ้าหล่อนกันนะ


 


 


หลินเช่อเดินกลับไปที่เตียงอย่างสบายอารมณ์ เธอนั่งลงแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนจะหันไปหยิบกรรไกรตัดเล็บมาและลงมือเล็มเล็บเท้าด้วยท่าทางไม่ใส่ใจอะไร


 


 


กู้จิ้งเจ๋อมองดูอีกฝ่ายด้วยความงงงัน


 


 


ขาเรียวยาวขาวผ่องของเธอไขว้กันอยู่ ตรงกลางระหว่างท่อนขาทั้งสองนั้น ชายหนุ่มสามารถมองเห็นกางเกงในสีขาวของเธอได้อย่างชัดเจน จากรอยแยกเล็กๆ นั้น เขามองเห็นรูปทรงสามเหลี่ยมของชุดชั้นในขลิบริมด้วยลูกไม้และลายดอกไม้ มันกดลงบนผิวเนื้อเธอจนทิ้งร่องรอยเอาไว้ ขาของเธอที่พาดไขว้กันอยู่ กู้จิ้งเจ๋อไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้เดินเข้าไปใกล้เธอมากขึ้นอีกสักสองสามก้าวได้ เขารู้สึกหงุดหงิดกับท่านั่งที่ไม่ระวังตัวของเธอ แต่ก็ไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ เขานึกอยากให้เธอขยับตัวอีกเพื่อให้เนื้อหนังนุ่มเนียนที่อยู่ใต้ชุดนั้นยิ่งเผยออกมาให้เห็นมากขึ้นกว่านี้


 


 


จนกระทั่งตัดเล็บเสร็จ หลินเช่อก็ใช้มือจับเท้าและเป่ามัน ขณะที่หญิงสาวยกเท้าขึ้นสูงนั้นเอง อะไรต่อมิได้ที่อยู่ใต้ชุดก็ปรากฏชัดแก่สายตา


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกถึงคลื่นของความปลุกเร้าที่แผ่กระจายไปทั่วช่องท้อง และเขาไม่อาจทนกับมันได้อีกต่อไปแล้ว


 


 


“หลินเช่อ เธอจะช่วยนั่งให้มันเหมือนผู้หญิงหน่อยได้มั้ย”


 


 


หลินเช่อเงยหน้า “ฉันทำอะไรเหรอคะ”


 


 


“เธอทำอะไรเหรอ อยากรู้หรือเปล่าล่ะ” กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้ว


 


 


ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้โต้ตอบ เขาก็เดินมาถึงตัวเธอแล้ว


 


 


เขาก้มหน้าลงมา แขนทั้งสองข้างเอื้อมออกมาแนบข้างตัวเธอ เขาครอบครองร่างเล็กบางของเธอเอาไว้ในวงแขน ดูเหมือนว่าแค่ออกแรงเพียงเล็กน้อย เธอก็จะถูกผลักให้ล้มลงได้แล้ว


 


 


ดวงตาของหลินเช่อไหววูบ เธอมองดูชายที่อยู่ๆ ก็พรวดพราดเข้ามาใกล้ ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว สายตาของเขาลึกล้ำและเต็มไปด้วยลับลมคมใน


 


 


เขาจับจ้องมาที่หน้าอกเธอ สายตานั้นให้ความรู้สึกเหมือนมือใหญ่ของเขากำลังตะโบมโลมไล้ลงมา ด้วยความอึดอัด หลินเช่ออยากให้เขาถอยออกไปสักหน่อย


 


 


“คุณจะทำอะไรน่ะ” หลินเช่อตาเป็นประกายด้วยความตกใจ


 


 


“เธอยั่วฉันก่อนนะ” กลิ่นลมหายใจของเขาเหมือนดอกกล้วยไม้


 


 


“คุณ…ฉันเปล่าซะหน่อย!”


 


 


“อย่าใส่เสื้อผ้าแบบนี้อีกเวลาที่เธออยู่ใกล้ๆ ผู้ชาย” สายตาของเขาเหมือนจะเป็นคำเตือน มันกวาดมองไปทั่วร่างเธอ เสียงของเขาทุ้มต่ำและแหบพร่าเหมือนเสียงเซลโล่อันไพเราะ


 


 


“ทะ ทำไมล่ะ”


 


 


“เพราะว่า…มันถอดง่ายน่ะสิ” สายตาเขาเลาะเล็มไปตามชายเสื้อ ราวกับว่าจะสามารถมองทะลุเนื้อผ้าเข้าไปถึงเนื้อตัวเธอได้


 


 


หลินเช่อตัวแข็งทื่อ


 


 


ในนาทีต่อมา แขนยาวของเขาก็คว้าเธอมาไว้ในอ้อมอก


 


 


หลินเช่อช็อกสนิท เธอโงนเงนและล้มลงใส่ผ้าห่มนุ่มๆ บนเตียง เธอคว้ามือเขาแล้วดิ้นรนอย่างสุดชีวิต “กู้จิ้งเจ๋อ นี่คุณกำลังทำตัวเป็นอันธพาลอยู่นะคะ!”


 


 


“ชู่ว อย่าขยับ” แขนยาวของเขาเอื้อมออกมาและกอดตระกองไว้รอบร่างเธอ


 


 


เสียงชวนฟังของเขาเหมือนเวทมนตร์ที่ก้องกังวานอยู่ในหู เป็นเหมือนมนต์เสน่ห์อันแสนวิเศษ “ไม่อย่างนั้นฉันจะทำตัวเป็นอันธพาลจริงๆ แล้วนะ”


 


 


“แต่…” เมื่อหลินเช่อพยายามจะขยับตัว เธอก็สัมผัสถึงบางอย่างที่อยู่ด้านหลังของเธอได้อย่างชัดเจน มันกำลังแข็งขึงขึ้นมาเบียดร่างเธออยู่


 


 


หญิงสาวตัวแข็งทื่อ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อนึกออกว่ามันคืออะไร หัวใจเธอกระตุกโลด คราวนี้หลินเช่อไม่กล้าขยับอีกแล้ว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอกอย่างนั้น “เอาล่ะ นั่นแหละ หลับซะ”


 


 


“อะไรนะ…”


 


 


ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ฉันบอกให้เธอหลับซะไงล่ะ ไม่เข้าใจเหรอ”


 


 


“แต่ว่าฉัน…”


 


 


“หรือเธออยากจะออกกำลังก่อนนอนล่ะ” เขาแทบจะขบติ่งหูเธอขณะที่พึมพำออกมา น้ำเสียงยั่วเย้าของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังพูดถึงการออกกำลังกายอีกรูปแบบหนึ่ง


 


 


ร่างกายของหลินเช่อทั้งแข็งทื่อและเครียดเกร็ง เธอรู้สึกได้ถึงเลือดลมที่ดูเหมือนจะไหลย้อนทิศทางอยู่ในตัว สมองของเธอก็พลอยเป็นไปด้วย ตอนนี้เธอก็รู้สึกพร่ามึนไปหมด


 


 


“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง นอนเถอะ” เธอรีบบอก


 


 


เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาแบบนั้นเนิ่นนาน หลินเช่อเริ่มโล่งใจเมื่อเธอรู้สึกได้ว่าสิ่งที่แข็งขึงอยู่ข้างหลังนั้น ค่อยๆ อ่อนตัวลงอย่างช้าๆ ในที่สุด


 


 


กู้จิ้งเจ๋อรู้สึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลมหายใจที่หอบถี่ในทีแรกของเธอค่อยๆ สม่ำเสมอขึ้นจากเสียงที่เขาได้ยิน


 


 


ตัวเขาเองก็ค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกายช้าๆ แม้ว่าร่างกายบางส่วนจะไม่ได้ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็วเหมือนส่วนอื่นก็ตาม


 


 


เขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง เมื่อมองดูหญิงสาวที่หลับสนิทอยู่ในวงแขน เขาจึงค่อยๆ ขยับเพื่อเปลี่ยนท่านอนให้ตัวเอง


 


 


เมื่อก้มหน้าลง เขายังคงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากเส้นผมของเธอ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อหลับตาลงอย่างยากเย็นยิ่ง


 


 


แม่นี่เป็นผู้หญิงที่โง่เง่าเต่าตุ่นที่สุดเลยจริงๆ …


 


 


 


 


วันต่อมา


 


 


เมื่อหลินเช่อตื่นขึ้น เธอก็ได้เห็นว่ากู้จิ้งเจ๋อลุกจากเตียงไปแล้ว


 


 


หญิงสาวรีบวิ่งออกมา จากทางเดินที่ทอดไปยังห้องรับประทานอาหาร เธอก็เห็นเขากำลังนั่งกินอาหารเช้าอยู่


 


 


แต่สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ราวกับว่าเมื่อคืนนอนหลับไม่เต็มที่นัก


 


 


หลินเช่อเดินเข้าไปหาด้วยความรู้สึกผิด เธอจำได้ว่าเมื่อคืนเธอผล็อยหลับไปในอ้อมแขนเขา แต่มาตอนนี้เธอก็ลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้น เธอจึงเอ่ยถามเขา “ทำไมเหรอคะ เมื่อคืนฉันนอนไม่เรียบร้อยเหรอ บอกตามตรงว่าฉันเป็นคนค่อนข้างจะนอนดิ้นน่ะค่ะ…”


 


 


“เปล่า” ชายหนุ่มขยับแขนอย่างปวดเมื่อย


 


 


นี่เป็นผลมาจากการที่เขาแทบไม่ขยับแขนเลยตลอดทั้งคืน


 


 


สาวใช้รีบเข้ามาเสิร์ฟอาหารเช้าให้หลินเช่อ เธอเงยหน้าขึ้นและบอกขอบคุณอย่างสุภาพ


 


 


หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย หลินเช่อคิดว่าจะไปทำงาน แต่กู้จิ้งเจ๋อพูดขึ้นว่า “วันนี้ฉันจะพาเธอไปด้วย ไปกันเถอะ”


 


 


หลินเช่อรีบลุกพรวดขึ้นโดยเร็ว “จริงเหรอคะ งั้นฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”


 


 


ขณะที่มองตามคนที่วิ่งโครมครามเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจแต่ไม่พูดอะไร


 


 


กิริยามารยาทของเธอเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้อยู่เสมอ


 


 


สาวใช้ยิ้มขณะเข้ามาจัดการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร หล่อนพูดขึ้นว่า “ท่านคะ เราต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดที่คุณผู้หญิงท่านส่งมาให้คุณผู้หญิงเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อนึกภาพชุดนอนสุดวาบหวิวเหล่านั้นขึ้นมา “โยนมันทิ้งไปซะให้หมด”


 


 


“ได้ค่ะ แต่น่าเสียดายจังนะคะ ทุกตัวเป็นขนาดตัวของคุณผู้หญิงหมดเลย”


 


 


สาวใช้ยังพูดต่อไป “ชุดนอนตัวอื่นที่เหลือก็ถูกเอาไปทิ้งหมดแล้ว”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้า เมื่อได้ยินเสียงหลินเช่อเอะอะมะเทิ่งอยู่ข้างใน ทุกคนก็เข้าใจได้ว่าเธอกำลังพยายามหาเสื้อผ้าที่จะใส่อยู่นั่นเอง


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบ่นอุบ “เป็นคนซุ่มซ่ามเสียจริง”


 


 


สาวใช้ยิ้มแล้วบอกว่า “ทุกคนก็ต้องมีข้อเสียกันทั้งนั้นค่ะ คุณผู้หญิงเองเป็นคนดี เพราะฉะนั้นจะซุ่มซ่ามไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”


 


 


“เธอเป็นคนดีงั้นเหรอ” กู้จิ้งเจ๋อเลิกคิ้ว


 


 


สาวใช้ตอบ “ใช่ค่ะ คุณผู้หญิงเป็นกันเองกับทุกคน เธอปฏิบัติต่อคนใช้อย่างพวกเราเหมือนกับคนในครอบครัวของเธอเอง ไม่ว่าเราจะทำอะไร เธอก็จะคอยบอกแต่ว่าดีแล้วๆ หลายครั้งที่เธอยกเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่ให้พวกเราด้วยค่ะ ยังมีอีกตอนที่เธอกลับมาพร้อมอาหารเย็น เธอก็ไม่เคยลืมที่จะเอามาฝากพวกเราด้วย เธอเป็นคนน่ารักมากจริงๆ นะคะ”


 


 


หลินเช่อเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันไปมองอย่างเงียบๆ เขาหรี่ตาและพินิจดูเธออย่างละเอียดลออ


 


 


หลินเช่อเดินออกมาและถามด้วยสุ้มเสียงแปลกใจ “มีอะไรเหรอคะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อลุกขึ้น หยิบเสื้อนอกขึ้นสวมด้วยท่าทีสบายๆ “ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”


 


 


หลินเช่อยังไม่ต้องไปร่วมกิจการกรรมโปรโมตซีรีส์ในวันนี้ เธอจึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาๆ แต่ถ้าจะต้องเข้าไปที่บริษัทละก็ เธอจะแต่งตัวด้วยความพิถีพิถันมากขึ้นและแต่งหน้าด้วย 

 

 


ตอนที่ 75 ฉันจะไปชอปปิ้งกับเธอ

 

ซีรีส์โทรทัศน์ได้ออกอากาศตอนปฐมทัศน์ในที่สุด พร้อมกับการโหมโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างยิ่งใหญ่


 


 


ในระหว่างนั้นการโฆษณาซีรีส์ ‘กระบี่ยอดดวงใจ’ ก็ปรากฏให้เห็นทั่วไปหมดในทุกถนน ทุกตรอกซอกซอย


 


 


บางครั้งหลินเช่อก็เห็นโฆษณาซีรีส์ของตัวเองในขณะกำลังเดินชอปปิ้งด้วย


 


 


แต่ตอนนี้ ตอนที่เธอแสดงเพิ่งจะเริ่มออกฉายบ้างเท่านั้น เธอจึงไม่ได้เป็นที่รู้จักของทุกคนเหมือนอย่างกู้จิ้งอวี่ ผู้คนที่เดินไปมาอยู่ตามท้องถนนจึงจำเธอไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าจะออกมาเดินชอปปิ้งก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ หลินเช่อจึงดูไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่าซีรีส์นั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างดีเมื่อออกฉายในตอนแรก


 


 


เรตติงผู้ชมนั้นขึ้นอันดับหนึ่งอย่างสวยงาม และข่าวที่เกี่ยวข้องกับซีรีส์ก็ถูกพูดถึงในฐานะประเด็นร้อนของรายการต่างๆ เต็มไปหมด


 


 


ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะกระแสสนับสนุนจากแฟนๆ ของกู้จิ้งอวี่นั้นนับว่ามหาศาล ทุกๆ วัน บรรดาแฟนคลับของเขาจะติดตามไปให้กำลังใจเขาในทุกกิจกรรมการโปรโมตจนทำให้ทุกคนต้องนึก


 


 


อิจฉา


 


 


ส่วนมู่เฝ่ยหรานพยายามที่จะไม่เป็นจุดสนใจ เธอไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมการประชาสัมพันธ์มากนัก แต่จะเลือกไปเฉพาะในงานที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น ไม่ว่าใครต่างก็บอกว่านี่คือลักษณะของนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่จริงๆ


 


 


ส่วนนักแสดงเล็กๆ อย่างหลินเช่อนั้นสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่เธออยากไป เธอจึงเข้าร่วมกิจกรรมการโปรโมตทุกอย่างชนิดที่เรียกว่าวิ่งจนขาขวิดเลยทีเดียว


 


 


อย่างไรก็ตามเธอเองก็ได้รับประโยชน์มากมายจากการทุ่มเทเช่นนี้ เพราะมันทำให้เธอค่อยๆ พัฒนาความสามารถในการตอบคำถามของนักข่าวขึ้น เธอเริ่มเรียนรู้จากกู้จิ้งอวี่ที่รู้จักตอบคำถามอย่างอ้อมค้อม และจากการที่กู้จิ้งอวี่ดูแลเธอเป็นอย่างดีตลอดเวลา ผลที่ตามมาก็คือการที่ชื่อเสียงของเธอก็เริ่มโด่งดังมากขึ้นทุกขณะ


 


 


ที่น่ายินดีไปกว่านั้นคือบทบาทสาวโหดในซีรีส์ของเธอนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี หลายคนเริ่มออกตัวว่าเป็นแฟนของหลินเช่อ และเริ่มมีการจัดตั้งกลุ่มแฟนคลับขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง


 


 


หญิงสาวรู้ดีว่านี่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น ปรากฏการณ์ครั้งนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะพัฒนาตัวเองได้มากแค่ไหนในอนาคต


 


 


อย่างไรเสียต่อให้เธอจะต้องถูกวิจารณ์ถึงผลงานในครั้งนี้ แต่เธอก็พอใจกับมันมากแล้ว


 


 


วันหนึ่งที่เธอและกู้จิ้งเจ๋อไปรับประทานอาหารที่คฤหาสน์ตระกูลกู้ เป็นจังหวะพอดีกันกับที่ซีรีส์โทรทัศน์นี้กำลังออกอากาศ


 


 


กู้จิ้งเจ๋อจึงได้เห็นหลินเช่อในซีรีส์เรื่องดังกล่าว เธอกำลังถือแส้อยู่ในมือ ดูเด็ดเดี่ยวและสวยสง่าอย่างยิ่ง เรียกว่าเปล่งประกายมากเลยทีเดียวล่ะ


 


 


ตรงกันข้ามกับที่เขาเคยคาดคิดเอาไว้ หลินเช่อมีความสามารถในการแสดงอย่างมาก เขาอดใจไม่ได้ที่จะต้องหันไปมองอีกครั้งแม้ว่าปกติแล้วเขาจะไม่เคยดูอะไรประเภทนี้เลย


 


 


เธอดูน่าทึ่งจริงๆ เขาไม่อยากบอกเลยว่าเธอนั่นน่ะเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ทางการแสดงทีเดียวเชียว


 


 


หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เตรียมตัวกลับบ้าน


 


 


ระหว่างที่กำลังยืนตรงทางเข้าเพื่อรอให้คนขับรถมารับอยู่นั้นเอง อยู่ๆ หลินเช่อก็เอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริง ที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากบ้านเลยนะคะ ทำไมเราต้องรอให้คนขับรถมารับด้วยล่ะ เดินกลับกันดีกว่าค่ะ กินมื้อเย็นเข้าไปตั้งเยอะ ได้เดินย่อยหน่อยน่าจะดีนะคะ”


 


 


ที่ด้านหลังพวกเขา ฉินเฮ่าทำท่าจะเข้ามาห้าม แต่แล้วกู้จิ้งเจ๋อก็ยื่นมือออกมาเป็นสัญญาณบอกให้ฉินเฮ่าเงียบเอาไว้


 


 


ชายหนุ่มแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าแล้วใช้สายตาส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดทั้งหลายทั้งยืนอยู่ทางด้านหลัง


 


 


จากนั้นก็หันมาพยักหน้ากับหลินเช่อ “เอาสิ ทำอย่างที่เธอบอกนั่นแหละ”


 


 


เมื่อก้าวออกมาสู่นอกตัวบ้าน บอดี้การ์ดของกู้จิ้งเจ๋อก็กระจายตัวกันออกเล็กน้อย เขาเหลียวไปมอง เมื่อได้เห็นว่าทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ชายหนุ่มก็เริ่มผ่อนคลายและออกเดินไปตามถนนพร้อมกันกับหลินเช่อ


 


 


นี่เป็นพื้นที่ของเมือง B ย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความมั่งคั่งหรูหรา ทางด้านหลังของพื้นที่แถบนี้เต็มไปด้วยวิลล่าหลังงาม มีสวนขนาดใหญ่และคฤหาสน์มากมายเรียงรายอยู่เต็มไปหมด มีคนอาศัยอยู่แถบนี้ไม่มากนัก


 


 


แต่อย่างไรเสีย หลินเช่อกลับรู้สึกว่าวันนี้ดูจะยิ่งมีผู้คนบางตากว่าปกติเสียอีก


 


 


เธอไม่ได้สังเกตว่ามีบอดี้การ์ดหลายคนเดินตามหลังเธอมา หญิงสาวเตร็ดเตร่ไปตามทางเดินอย่างสบายอารมณ์


 


 


แสงไฟจากข้างถนนสาดส่องลงมายังทางเดินแคบๆ ที่ปูด้วยกระเบื้องหิน ทั้งเงียบสงบและสันโดษ เมื่อมองจากระยะไกล สถานที่แห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมทีเดียว


 


 


เมื่อกวาดตามอง หลินเช่อก็ได้เห็นร้านสบู่แฮนด์เมดที่เปิดขายอยู่ข้างทาง เธอนึกสนใจข้าวของกระจุกกระจิกในร้านและหันไปตะโกนเรียกก่อนจะเดินตรงเข้าไปว่า “กู้จิ้งเจ๋อ ดูสิคะ กระต่ายน้อยนี่ทำซะเหมือนของจริงเลย ฉันอยากซื้อจัง”


 


 


เมื่อเจ้าของร้านมองเห็นกลุ่มคนที่เดินตามหลังทั้งสองมา เขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่านี่ไม่น่าจะใช่ลูกค้าธรรมดาทั่วไป หนำซ้ำพวกเขาเองก็ดูไม่ธรรมดาเลย บรรดาบอดี้การ์ดที่ห้อมล้อมนั้นอยู่ในชุดสีดำสนิ เดินตามหลังคนทั้งคู่เข้ามาเงียบๆ เห็นเพียงเท่านี้ก็เริ่มเย็นสันหลังวาบเสียแล้ว


 


 


เจ้าของร้านสบู่นึกกลัวว่าน่าจะมีคนสำคัญบางคนเข้ามาในร้านค้าเล็กๆ ของเขาเสียแล้ว จึงพูดกับหลินเช่อด้วยความระมัดระวังว่า “ทั้งหมดนี่เป็นงานแฮนด์เมดน่ะครับ มันสามารถทำเป็นรูปทรงต่างๆ ได้ง่ายและยังมีกลิ่นที่มาจากธรรมชาติมากๆ ด้วย”


 


 


เมื่อได้ยินแบบนั้น กู้จิ้งเจ๋อจึงหันไปบอกหลินเช่อว่า “ถ้าเธอชอบ เธอก็สามารถทำสบู่ด้วยตัวเองได้นะ”


 


 


หลินเช่อถาม “จริงเหรอคะ ฉันทำได้ด้วยเหรอคะ”


 


 


เจ้าของร้านรีบตอบโดยไว “ได้แน่นอนครับ เรามีแม่พิมพ์เอาไว้บริการลูกค้าที่อยากจะลองลงมือทำเอง”


 


 


หลินเช่อดีใจเป็นที่สุด เธอฉีกยิ้มเสียจนปากแทบจรดใบหู


 


 


เมื่อกู้จิ้งเจ๋อได้เห็น มุมปากของเขาก็เริ่มกระตุกยิ้มตาม


 


 


เธอเป็นคนที่พอใจกับอะไรง่ายดายเสียจริงๆ แค่ข้าวของเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้เธอยิ้มแก้มแทบปริได้แล้ว


 


 


คนทั้งสองก้าวเข้าไปในร้าน ส่วนบรรดาบอดี้การ์ดนั้นยืนรออยู่เงียบๆ บริเวณด้านนอก


 


 


เมื่อหลินเช่อมองหน้ากู้จิ้งเจ๋อ เธอก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วถามขึ้นว่า “ขอโทษนะคะ ถ้าฉันจะทำสบู่รูปหน้าเขาบ้างเนี่ย คุณคิดว่าจะทำได้มั้ยคะ”


 


 


เจ้าของร้านเอ่ยขึ้น “นั่น…ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้หรอกนะครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเดินเข้ามายืนข้างๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงก้มหน้าลงแล้วยิ้ม “เธอไม่คิดว่านั่นน่ะดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่บ้างเหรอ”


 


 


“ไม่เข้าท่ายังไงล่ะคะ” หลินเช่อถาม


 


 


ชายหนุ่มหัวเราะ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน “สบู่แฮนด์เมดนี่จะต้องถูกใช้เวลาที่เธออาบน้ำใช่ไหมล่ะ แสดงว่าเธอคิดจะใช้สบู่ที่หน้าตาเหมือนฉันถูไปทั่วตัวเธอตอนอาบน้ำอย่างนั้นหรือไง”


 


 


“…” หน้าของหลินเช่อแดงเป็นลูกตำลึง “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย!”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อย่อตัวลงมาจนใกล้ เขามองลำคอระหงของเธอ ค่อยๆ สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าปอด ชายหนุ่มเจตนาที่จะเข้ามาจนใกล้เส้นผมเธอและพูดเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันเองก็อยากให้เธอได้ใช้อยู่เหมือนกัน เอาสิ”


 


 


“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากได้แล้ว ฉันอยากทำเป็นรูปกระต่ายน้อยมากกว่า”


 


 


เจ้าของร้านถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ได้ยินเช่นนั้น


 


 


เขาคอยช่วยหลินเช่อทำสบู่ด้วยการคอยยืนอยู่ข้างๆ แต่ความสามารถของหญิงสาวนั้นค่อนข้างจะมีน้อย สบู่ที่ออกมาจึงมีหน้าตาพิลึกทีเดียว


 


 


กู้จิ้งเจ๋อบ่นพึมพำ “ดูสิว่าเธอซุ่มซ่ามแค่ไหน”


 


 


เมื่อทนกับความเฟอะฟะป้ำเป๋อของเธอไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเริ่มลงมือช่วยเธออย่างจริงจัง


 


 


“ฉันต้องทำยังไงเนี่ย”


 


 


“โง่จริง ขยับมือออกไปอีกหน่อยสิ นั่นมันดูเหมือนกระต่ายที่ไหนกันเล่า”


 


 


“หลินเช่อ ทำไมเธอโง่อย่างนี้นะ”


 


 


หลินเช่อจ้องหน้าคนตัวใหญ่กว่า “เป็นใครก็ประสาทเสียทั้งนั้นแหละค่ะถ้ามีคุณมาคอยเร่งยิกๆ อยู่แบบนี้น่ะ”


 


 


ทั้งสองทะเลาะทุ่มเถียงกันอีกพักใหญ่ จนกระทั่งสามารถทำสบู่แฮนด์เมดออกมาสำเร็จได้ในที่สุด


 


 


เจ้าของร้านยิ้มกริ่มแล้วถามว่า “จะให้ผมช่วยสลักชื่อของพวกคุณลงบนสบู่เพื่อเป็นที่ระลึกด้วยไหมครับ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาสิ”


 


 


หัวใจหลินเช่อลิงโลดด้วยความยินดี เมื่อเธอได้เห็นชื่อของเธอและกู้จิ้งเจ๋อถูกสลักเอาไว้คู่กันที่ข้างก้อนสบู่ เธอก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก


 


 


หลังจากผ่านความลำบากยากเย็นทั้งหลายมาได้ ทั้งสองก็เสร็จสิ้นจากกิจกรรมผลิตสบู่ เจ้าของร้านจัดการห่อสบู่ด้วยถุงอย่างสวยงามให้เป็นที่เรียบร้อย กู้จิ้งเจ๋อหยิบถุงแล้วเดินออกจากร้านมาพร้อมหลินเช่อ


 


 


หลินเช่อพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจยิ่งในความสำเร็จ “ฉันนี่เก่งจริงๆ ดูสิว่าฉันทำออกมาสวยขนาดไหน”


 


 


“เห็นๆ อยู่ว่าเป็นฝีมือฉันทั้งหมดน่ะ…”


 


 


“ไร้สาระน่า ฉันเป็นคนจัดการพวกงานหลักๆ คุณน่ะแค่ยืนมองเท่านั้นเองนะ”


 


 


“ก็ได้ ตราบใดที่ทำให้เธอแฮปปี้”


 


 


“เฮ้ นั่นไอศกรีมนี่นา ฉันอยากกินจังค่ะ”


 


 


กู้จิ้งเจ๋อเหลือบมอง มีร้านไอศกรีมอยู่ตรงนั้น เขาเห็นเด็กเล็กๆ สองสามคนกำลังรับประทานอยู่อย่างเอร็ดอร่อย


 


 


“มันไม่สะอาดนะ อย่ากินเลย”


 


 


“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้สกปรกจริงๆ ฉันกินแล้วก็ไม่ป่วยหรอกน่า นะคะคุณสามี…ซื้อให้ฉันอันนึงนะ”


 


 


เมื่อได้ยินเธอเรียกว่า ‘สามี’ ร่างกายของกู้จิ้งเจ๋อก็รู้สึกซาบซ่าวูบวาบขึ้นมาทันควัน


 


 


เขาลังเลอยู่เป็นครู่ ก่อนจะมองหน้าหลินเช่อและเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจนักว่า “ไปสิ”


 


 


“โอ้ เย้”


 


 


ทั้งสองรีบเดินลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ก้าวมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย พวกเขาก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง


 


 


“จิ้งเจ๋อคะ ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”


 


 


ใครจะคิดเล่าว่าพวกเขาจะได้เจอโม่ฮุ่ยหลิงที่นี่…

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม