สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 59-64

 บทที่ 59 อำพราง

โดย

Ink Stone_Fantasy

คนขับแท็กซี่สูงวัยไม่เชื่อข้ออ้างนี้ จึงเปิดกระจกรถมองชายหนุ่มคนนี้แล้วถามอย่างสงสัยว่า “คุณผู้ชาย ถ้าคุณเข้าไปแล้วไม่ออกมา ผมจะทำยังไงล่ะ? ท่าทางคุณก็ดูไม่เหมือนจะอยู่บ้านหลังนี้ได้ด้วยสิ”


เขาโบกรถหน้าสถานีตำรวจ คนขับก็ต้องสงสัยแน่สิ!


“คุณพูดอะไร? ผมเป็นเจ้าของที่นี่! เฮอะ!” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สบถเสียงเย็นชา “คุณรออยู่นี่แหละ”


พูดจบ เขาก็เดินไปกดกริ่งข้างเสาหน้ารั้วเหล็กบานใหญ่ทันที ถ้าไม่ใช่เพราะของหายหมดล่ะก็ เขาก็คงไม่นั่งแท็กซี่กลับมาหรอก


ระหว่างทาง เขายืมโทรศัพท์คนขับรถคนนี้ แต่กลับติดต่อเอดการ์ไม่ได้ จนเขาชักจะเริ่มกังวลแล้ว


กริ่งประตูดังอยู่สักพักใหญ่ แต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตูเลย คนขับแท็กซี่จึงลงมาจากรถ แล้วเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม “คุณผู้ชาย ผมว่าคุณกดนานแค่ไหน ก็คงไม่มีใครออกมาหรอก…แต่ว่า แท็กซี่ไม่ได้นั่งฟรีนะคุณ”


“คุณคิดจะทำอะไร!” ชายหนุ่มตะคอกถาม


พอเขาตะคอกใส่แบบนี้ คนขับแท็กซี่ก็หน้าซีดขาว แล้วชะงักฝีเท้า


ชายหนุ่มคิดว่าท่าทางดุดันของตัวเองคงข่มอีกฝ่ายได้ จึงหัวเราะฮึอย่างเย็นชา คาดไม่ถึงว่าเวลานี้ คนขับแท็กซี่กลับรีบหันหลังเดินกลับไปที่รถตัวเอง แล้วถอยรถเลี้ยวออกไปเต็มกำลังแรงม้า โดยไม่สนใจค่าโดยสารอีก


ชายหนุ่มอึ้งไป…เขาไม่คิดว่าตัวเองจะทำให้คนตกใจได้ขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงหันกลับไปทางรั้วเหล็กบานใหญ่อีกครั้ง ทว่ากลับเห็นคนสวมชุดสูทสีขาวคนหนึ่งเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดนอนคว่ำหน้าอยู่ตรงรั้วประตู


แขนเขาล้วงข้ามรั้วเหล็กออกมาช่วยพยุงร่างเขาไว้พอดี…แต่หัวของเขากลับห้อยลงมาแน่นิ่ง


เห็นแบบนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ตกใจขนลุกซู่ เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมคนขับแท็กซี่ถึงจากไปด้วยอาการหวาดผวาขนาดนั้น


ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าเดินตรงไปหน้ารั้วเหล็ก ก่อนประคองหัวคนผู้นี้ขึ้นมา แล้วก็นึกชื่อคนผู้นี้ออกอย่างรวดเร็ว ‘เกิดอะไรขึ้นในคฤหาสน์นี้กันแน่?’


เขาต้องรู้เรื่องนี้ให้ได้! ชายหนุ่มออกแรงผลักประตู เมื่อพบว่าประตูไม่ได้ล็อก เขาก็แอบลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกัดฟันหยิบปืนพกจากมือศพรายนี้มาถือไว้ พอกลืนน้ำลายแล้วก็เดินย่องเข้าไปในคฤหาสน์


ระหว่างทาง ชายหนุ่มเห็นศพลูกน้องตัวเองนอนเกลื่อนไปหมด!


เวลานี้คฤหาสน์แห่งนี้เงียบสงัดผิดปกติเกินไป


พอเขาผลักประตูออก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาคน ชายหนุ่มจึงลองตะโกนเรียก “เอดการ์! เอดการ์! อยู่หรือเปล่า?” เอดการ์! อยู่หรือเปล่า?


โครม!


เสียงของหล่นดังขึ้น ชายหนุ่มจึงรีบหันควับ ชี้ปืนพกไปข้างหน้าทันที ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม “ใคร!”


“ท่านครับ!” ผู้ชายคนหนึ่งนั่งประคองแขนตัวเองอยู่ตรงหัวมุม ก่อนพยุงตัวลุกขึ้นยืน “คุณปลอดภัย วิเศษมากจริงๆ!”


“โอ้! เจอคนสักที” ชายหนุ่มหน้าชื่นตาบาน รีบเดินเข้าไปประคองหมอนี่ขึ้นมา “บอกฉันมา เกิดอะไรขึ้นที่นี่…”


แต่เขายังพูดไม่ทันจบ เสียงผู้ดูแลบ้านแสนคุ้นเคยก็ดังส่งมา!


“ท่านครับ! ที่แท้ก็อยู่ที่นี่เอง!”


เขาเห็นเอดการ์รีบร้อนเดินลงมาจากชั้นบน เสื้อผ้าเขาดูยุ่งเหยิงไปหมด มีเพียงผมที่ยังเรียบเนี๊ยบ… “ยังดีที่คุณไม่เป็นอะไร! ผมตื่นขึ้นมาในห้องหนังสือก็เห็นศพเยฟิมกับคนอื่นๆ เป็นฝีมือท่านใช่ไหมครับ!”


“ฉัน?” ชายหนุ่มอึ้งไป พร้อมแสดงสีหน้าสงสัย ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เลย “เอดการ์ฟังฉันนะ หลายวันมานี้ฉัน…”


“ท่านครับ ผมว่าตอนนี้ไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้” ผู้ดูแลบ้านชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผมแจ้งโบโลดอฟไปแล้วว่าเกิดเรื่องที่นี่ ฟังนะครับ คุณโบโลดอฟให้เวลาพวกเราเก็บกวาดที่นี่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”


“โบโลดอฟ?” ชายหนุ่มยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก “เดี๋ยวก่อน ที่ฉันมามอสโกครั้งนี้ก็เพื่อเจรจาขอร่วมงานกับโบโลดอฟ แต่ฉันไปเจอเขาตั้งแต่เมื่อไร?”


“โอ้! คุณผู้ชายที่น่าสงสารของผม คุณเคยคุยกับโบโลดอฟไปแล้วก่อนงานประมูลครั้งแรก แถมยังวางแผนกำจัดเยฟิมด้วยไม่ใช่เหรอครับ?” พ่อบ้านชราขมวดคิ้ว “หรือว่าตอนถูกแรงกระแทกของระเบิดมือเมื่อกี้นี้ ความจำของท่านเลยเพี้ยนไปหมด?”


ชายหนุ่มอึ้งไป…สัญชาตญาณบอกเขาว่า เรื่องประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว เขาย่อมอยากรู้ให้แน่ชัดว่าระหว่างนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงคิดจะเอ่ยปากถาม


แต่จู่ๆ เขากลับมึนหัวไปหมด


จากนั้นภาพมากมายก็แวบผ่านเข้ามาในหัวของเขาราวกับภาพหนังม้วนหนึ่งกำลังฉายอยู่ในหัวเขา


ชายหนุ่มหมดสติไป


“คุณผู้ชาย! คุณผู้ชาย! คุณผู้ชาย!!”



เยียร์เกอร์ฟื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเจ็บบนใบหน้า ทันทีที่ลืมตาก็เห็นใบหน้าคุ้นตาอย่างยิ่ง


“คุณวิคเตอร์!” เยียร์เกอร์ดีใจจนรีบคว้าข้อมือวิคเตอร์ไว้ “วิเศษ! คุณไม่เป็นไร! ผมตามหาคุณตั้งนานแหน่ะ! พวกเขาเอาคุณไปขังไว้ที่ไหน!”


วิคเตอร์อึ้งไป แล้วลองครุ่นคิดกับตัวเอง ‘ดูแล้วคนในคฤหาสน์คงไม่ได้บอกเยียร์เกอร์เรื่องของตน แต่ขังเขาไว้ข้างในตลอด’


“ใจเย็นๆ” วิคเตอร์ตบไหล่เยียร์เกอร์ “ไว้ค่อยพูดเรื่องนี้ ที่สำคัญคุณบอกผมได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”


“เอ่อ ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ดูเหมือนที่นี่จะถูกโจมตีอย่างหนัก ผมก็เลยอาศัยช่วงชุลมุนหนีออกมา แล้วก็คิดจะตามหาคุณ!” เยียร์เกอร์ย้อนคิดพลางพูดว่า “คุณวิคเตอร์ ที่นี่มีอาวุธซ่อนอยู่มากมาย ทั้งยังมีคนตายเกลื่อน! ผมว่าพวกเราต้องรีบหาคน…”


“เยียร์เกอร์” คาดไม่ถึงว่าวิคเตอร์จะเรียกเขาด้วยเสียงดัง “เรื่องพวกนั้นไว้ก่อน ผมแค่อยากรู้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหมอนี่?”


วิคเตอร์ชี้นิ้วไป


เยียร์เกอร์จำต้องมองตามนิ้วมือเขาไป แล้วก็เห็นศพนอนอยู่บนพื้นห้องนี้ศพหนึ่ง


ศพแห้งๆ ที่มีสีเทาไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีเลือดสีดำไหลออกมาจากปาก ใบหน้าเขามีเส้นเลือดปรากฏขึ้นชัดเจน เห็นแล้วชวนให้ผวาเป็นที่ยิ่ง!


นี่มัน…เจ้าฆาตกรนั่น!


ในที่สุดเยียร์เกอร์ก็จำเรื่องบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้…เหมือนว่าพอหมอนี่ฉีดอะไรเข้าร่าง ก็เปลี่ยนเป็นตัวยักษ์น่าเกลียดน่ากลัว เยียร์เกอร์ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้ฉีดอะไรเข้าร่างกันแน่ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของดี!


แต่ว่า…หมอนี่ตายได้ยังไง?


เยียร์เกอร์แอบตกใจลึกๆ เขาคิดว่าบางทีตอนที่เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ตัวเขาก็จะเข้าสู่สภาวะที่ไม่อยากให้ใครรับรู้ทันที


พอเขาเข้าสู่สภาวะนั้น เขาก็จะสูญเสียความรู้สึกตัวโดยสิ้นเชิง จำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปด้วยซ้ำ…คงไม่ใช่ว่า ตัวเองเผลอใช้พลังน่ากลัวจัดการเจ้าหมอนี่หรอกนะ?


เยียร์เกอร์มองรอยกรงเล็บหลายรอยบนตัวหมอนี่…ดูเหมือนว่า อาจมีข้อสรุปเพียงอย่างนี้เท่านั้น


พอลองนึกย้อนถึงตัวเองในสภาพไร้สติ และเริ่มทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า เขาก็ไม่อาจปฏิเสธข้อสรุปนี้ได้


“หมอนี่น่ะ คุณจัดการเหรอ?” วิคเตอร์ขมวดคิ้วถาม


เยียร์เกอร์ลังเลไปครู่หนึ่ง “ผมว่า…อาจจะนะ ผมจำไม่ค่อยได้ คุณวิคเตอร์ คุณก็เห็นว่าผมเพิ่งฟื้น ผมไม่รู้หรอกครับ”


“ลำบากคุณแล้ว” วิคเตอร์พยักหน้า แล้ววิเคราะห์ต่อ “แต่ว่าคุณอย่าเพิ่งเอาเรื่องของศพรายนี้ไปบอกคนอื่น แล้วก็อย่าเขียนลงไปในรายงาน ผมจะหาคนมาจัดการศพนี่เอง…เอาเป็นว่า คุณเก็บเรื่องศพนี่เป็นความลับไว้ก่อน”


พอเห็นท่าทางจริงจังของวิคเตอร์ เยียร์เกอร์ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกพยักหน้ายินยอม


เขาลุกขึ้น “จริงสิ คุณวิคเตอร์ พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”


วิคเตอร์หัวเราะ เขามองเด็กหนุ่มที่เป็นห่วงเขามากกว่าตัวเอง ก็อดพูดอ่อนโยนไม่ได้ “ไม่เป็นไรแล้ว เคลียร์หมดแล้ว”


“เคลียร์…เคลียร์แล้ว??”



ตอนที่เดินออกมาจากห้องนี้เยียร์เกอร์ถึงได้พบว่า ตำรวจจำนวนมากพากันมาถึงคฤหาสน์หลังนี้แล้ว…แต่ที่นี่กลับไม่เหมือนในความทรงจำของเขา


ศพนอนเกลื่อนมากมายเหลือเพียงสี่ศพเท่านั้น


ในสวนมีเพียงศพเดียว เป็นศพคนของคนในคฤหาสน์นี้…แถมยังเป็นเพียงคนสวน ส่วนอีกสามคนก็คือเยฟิม และคนร้ายชิงตัวเยฟิมก่อนหน้านี้อีกสองคน


เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


หนูน้อยเยียร์เกอร์ งงจนหน้าซีดเผือด…



“คุณดีขึ้นแล้วเหรอ?”


วิคก้าพยุงเวร่าไปยังต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปจากคฤหาสน์ จนเจอลำธารเล็กๆ สายหนึ่ง จึงให้เธอนั่งพักผ่อนข้างๆ ที่จริงแล้วเขาเหนื่อยมาก สำหรับนักรบที่มีอาวุธเป็นคีย์บอร์ดและรหัส การใช้แรงงานแทบจะเป็นเรื่องห่วยที่สุด


“ก็พอไหว”


เวร่าพยักหน้าเล็กน้อย ตอนนี้เธอเริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงบ้างแล้ว


วิคก้าถอนหายใจ สักพักก็นั่งลงบนทุ่งหญ้า “เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินเสียงนกหวีด ตำรวจคงมาแล้วสินะ ยังดีที่พวกเราหนีเร็ว ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ!”


“ลำบากนายเลย ต้องเพิ่มเงินเดือนให้นายแล้ว” เวร่าหัวเราะแล้วยื่นกำปั้นออกไป


วิคก้าก็ยื่นกำปั้นออกไปชนกับกำปั้นของเวร่าเบาๆ สองคนมองตากันแล้วก็หัวเราะ


“จริงสิ หาน้ำให้ฉันหน่อย ฉันอยากล้างหน้า เมื่อกี้เลอะสีเต็มหน้าไปหมด”เวร่าพูดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้


แม้จะรู้ว่า โดยเนื้อแท้แล้วเจ้านายตัวเองเป็นหญิงสาวรักสวยรักงามมาก แต่วิคก้าก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณผู้หญิง หน้าคุณมีสีตั้งแต่เมื่อไรกัน อย่างมากก็แค่เปื้อนฝุ่นนิดหน่อยเท่านั้นเอง”


“ไม่มีเหรอ?” เวร่าอึ้งไป


เธอลูบหน้าตัวเองอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่ายังรู้สึกหยาบกระด้างไม่สบายตัวเหมือนมีสีติดอยู่ตรงนี้ “หน้าฉันไม่มีสีจริงๆ เหรอ? ฉันหมายถึงสีขาวน่ะ!”


“ไม่มีนะ!”


เวร่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็ยืนยืดเส้นยืดสาย จู่ๆ เธอก็หรี่ตาลงพลางพูดอย่างมีความสุขว่า “ฮ่า ฉันว่าฉันพอรู้แล้ว ว่าพวกเขาใช้ทริคอะไรขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกจากแกลเลอรีได้อย่างไร้ร่องรอย”


“หา? คุณยังคิดเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ?”


วิคก้ามองค้อนใส่เธอทันที


บทที่ 60-1 ‘แอนนา’

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยูริรู้สึกปวดหัวตุบๆ


ส่วนสาเหตุของอาการปวดหัวนั้น เขาคิดว่าคงจะเป็นเพราะเมื่อคืนวานตัวเองดื่มเหล้ามากเกินไป…ดูเหมือนช่วงนี้เขาเอาแต่พึ่งแอลกฮอล์มากขึ้นทุกวัน


เขางัวเงียเอามือนวดขมับตัวเองเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นเหม็นฟุ้งลอยมาเตะจมูก


เขาได้เงินเดือนจากแกลเลอรีน้อยมาก ทั้งส่วนมากยังใช้ไปกับการซื้อสี กระดาษวาดรูปและของอื่นๆ จนแทบไม่เหลือ เขาจึงทำได้แค่เช่าห้องใต้ดินที่ทั้งมืดทั้งอึดอัดแบบนี้อยู่


“สายขนาดนี้แล้วเหรอ?”


ยูริแหงนหน้าขึ้นไปดูนาฬิกาปลุกที่วางไว้บนหัวนอนแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องรีบดีดตัวลุกขึ้นมา พร้อมกับควานหาเสื้อผ้าจากบนพื้น


เสื้อผ้าวางระเกะระกะบนพื้นเหมือนขยะ…ชีวิตชายโสดก็คงเป็นแบบนี้แหละ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายที่ทั้งโสดและจนแบบเขาเลย


เขาหาเสื้อผ้าที่ดมแล้วเหม็นน้อยที่สุดขึ้นมาสวมแบบขอไปที ก่อนเปิดประตูห้องใต้ดินนี้ออกไปทำงาน


“หนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับ กาแฟหนึ่งแก้ว แซนด์วิชหนึ่งชิ้น ทั้งหมดเป็น…”


“นี่”


ยูริเคี้ยวอาหารเช้าพร้อมๆ กับนั่งรถเมล์ไปทำงานที่แกลเลอรีตามปกติ นับเป็นเรื่องโชคดีที่เขาหาที่นั่งในเวลาเร่งด่วนแบบนี้ได้


[…วันนี้ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่หายไปถูกนำไปแขวนใหม่อย่างเป็นทางการ แกลเลอรีก็เปิดตามปกติ]


ยูริพลิกหน้าถัดไปของหนังสือพิมพ์ ก็มองเห็นพาดหัวข่าวแปลกๆ เขาแปลกใจกับเนื้อหาของข่าวนี้ เหมือนเป็นฝันยาวนานตื่นหนึ่ง


วันที่บนหนังสือพิมพ์ก็วันนี้นี่


เขาเผลอกัดริมฝีปากของตัวเอง…อืม รู้สึกเจ็บ คงไม่ได้ฝันไปสินะ


แต่ว่า


ในฐานะที่เขาเป็นพนักงานของแกลเลอรี…แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่คนดูแลทำความสะอาดนอกกำแพงก็ตาม แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ถูกขโมยไปล่ะ?


อีกทั้ง…ยังเกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนอีก?


“ผีหลอกแล้ว!”


ยูริอ่านเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์นี้มาตลอดทาง คาดไม่ถึงเลยว่าส.ส.ในเมืองชื่อดังจะขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกมาได้


ทางตำรวจคลำจนพบเงื่อนงำ จึงบุกไปค้นเจอภาพวาดที่นั่น แต่ยังไม่มีรายงานวิธีการขโมย


ต่อมาทางฝั่งตำรวจจึงจับกุมตัวส.ส.คนนี้ แต่ระหว่างการส่งตัว ส.ส.ผู้นี้กลับสถานีตำรวจก็มีคนมาชิงตัวไป ในระหว่างที่หลบหนี ผู้กระทำผิดและคนร้ายได้บุกรุกเข้าไปในคฤหาสน์หลังหนึ่งในเขตชานเมือง แล้วเกิดการปะทะกับเจ้าของคฤหาสน์แห่งนั้น


เจ้าของคฤหาสน์ให้เหตุผลป้องกันตัวเอง จึงยิงผู้กระทำความผิดรวมถึงส.ส.เยฟิม รวมทั้งหมดสามคนตายคาที่ ส่วนภาพที่หายไปก็ได้ส่งคืนให้แกลเลอรีไปแล้ว พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวชื่นชมกันอีกครั้งอย่างเป็นทางการในวันนี้…


“ผีหลอก…”


ยูริรู้สึกว่าเนื้อหาในหนังสือพิมพ์นี้ช่างไร้สาระสิ้นดี…เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ทำไมเขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ


เขารู้สึกปวดหัวตึบๆ และเริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มหนักไปจนความทรงจำช่วงหนึ่งในหัวขาดหายไปหรือเปล่า


แต่จะว่าไปก็แปลก ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่น่าลืมได้นี่


เขาบีบขมับครุ่นคิดในใจ


หลังตื่นขึ้นเขายังคงรู้สึกทรมานจากอาการเมาค้างอยู่ตลอด จนมาถึงป้ายรถเมล์แล้วก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไร พอยูริลงจากรถเมล์มาแล้ว ก็เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากกว่าเมื่อก่อนยืนรอประตูแกลเลอรีเปิดให้เข้าชม


“ข่าวหนังสือพิมพ์…เป็นเรื่องจริงทั้งหมดเหรอ??”


ยูริพึมพำกับตัวเอง ก่อนมองเวลาถึงแวบหนึ่งก็พบว่าเลยเวลาเข้างานมาแล้ว…ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำเรื่องที่มักทำบ่อยๆ เวลาเข้างานไม่ทันแบบนี้ นั่นก็คือมุดเข้าจากท่อน้ำทิ้งตรงถนนด้านนอกแกลเลอรี


ตรงนี้สามารถผ่านเข้าไปถึงจุดหนึ่งในแกลเลอรีได้พอดี แน่นอนว่าทางออกฝั่งนั้นถูกปิดตายไปนานแล้ว แต่ด้วยเขาทำความสะอาดที่นี่มาพอนานสมควรแล้ว จึงพบทางนี้โดยบังเอิญ ดังนั้น…


หลังจากเขาค้นพบทางเส้นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะมาไม่ทันเวลาเข้างาน แต่กลับไม่มีใครจับได้ว่าเขามาสายอยู่เสมอ


เหมือนใกล้จะถึงเวลาเปิดประตูแล้ว


ยังไม่ทันที่ยูริจะเดินไปเปลี่ยนเครื่องแบบพนักงานที่ห้องพนักงาน ก็ถูกนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาชนอัดจนต้องแอบไปหลบอยู่ข้างๆ ก่อน


“ยูริ! นายมาอยู่ตรงนี้อีกแล้วนะ!”


ในตอนนี้เอง ยูริก็ได้ยินเสียงพนักงานคนหนึ่งเรียกชื่อตัวเอง เหมือนจะชื่อว่า…ลืมไปแล้ว ยังไงเขาก็ไม่ค่อยสนใจคนรอบข้างอยู่แล้ว


“เอ่อ…ฉันกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นายดูทางนี้สิ” ยูริชี้ไปทางพวกนักท่องเที่ยวแล้วพูดว่า “แบบนี้ฉันก็เข้าไปไม่ได้น่ะสิ แต่ฉันมาทันเวลาจริงๆ นะ นายดูสิฉันมาอยู่ที่นี่แล้ว”


แต่พนักงานคนนี้กลับพูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันไม่สนว่านายมาสายหรือเปล่า หรือถึงแม้นายมาสายฉันก็ไม่สน! นายคงไม่ได้ลืมไปหรอกนะว่าตัวเองถูกไล่ออกไปสักพักหนึ่งแล้ว?!”


“อะไรนะ?”


“ฉันบอกว่า! นายถูกไล่ออกแล้ว! ยูริ ฉันจะบอกให้นะ ถ้านายเข้ามาอย่างถูกต้องละก็ พวกเราจะไม่สนใจนายหรอก! แต่ถ้าครั้งหน้านายยังปะปนเข้ามาแบบนี้อีก พวกเราจะต้องแจ้งตำรวจมาจัดการแล้ว!” พนักงานคนนั้นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ออกไปเดี๋ยวนี้! อย่าให้ฉันหมดความอดทน”


“ฉันไม่เข้าใจ! ไล่ออกอะไร? ใครไล่ออก? เมื่อวานฉันยังทำงานอยู่แท้ๆ เลย! ทำไมถึงถูกไล่ออก?” ยูริพุ่งเข้ามาถามเขาอย่างเสียไม่ได้


พนักงานก็รีบถอยหลังทำหน้าแหย “เหม็นชะมัด…แกดื่มเหล้าไปเท่าไรกันแน่? ขอร้องล่ะ พอหัวโล่งก็ออกไปได้แล้วนะ!”


“อธิบายมาสิ!”


พอพนักงานคนนี้โบกมือ พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนก็บุกเข้ามาขนาบข้างเขาทันที แล้วลากตัวยูริออกไปจากแกลเลอดื้อๆ


“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!!”


ยูริถูกผลักออกมาหน้าประตูแกลเลอรีอย่างแรง แล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็พูดว่า “ไปซะๆ อย่าให้พวกเราเห็นแกอีก! แกว่าเดือนนี้ครั้งที่เท่าไรแล้ว? ชอบมายืนเนียนอยู่หน้าภาพมีชื่อเสียงพวกนั้น นึกว่าตัวเองเป็นจิตรกรงั้นเหรอ? ใครจะไปดูภาพขยะที่แกวาดกันวะ!”


“แกพูดว่าไงนะ?!”


“แกจะไปไหม? อย่าหาว่าไม่เตือน!”


พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนยืดอกขึ้นพร้อมกัน ยูริชะงักกึก พร้อมกับถ่มน้ำลายอย่างโกรธเคือง “พวกแกไล่คนออกแบบนี้ไม่ได้! ฉันจะไปฟ้องพวกแกที่กรมแรงงานแน่ๆ! รอดูได้เลย! ถุย!”


ยูริสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วหมุนตัวจากไปอย่างแค้นเคือง แต่ก็ยังรู้สึกแปลก


สุดท้ายก่อนเดินออกจากแกลเลอรี ยูริยังหันกลับไปมองแกลเลอรีอีกครั้ง ก่อนมองหนังสือพิมพ์ในมือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเช้า


ฉับพลันนั้นเขาก็ขยำหนังสือพิมพ์ให้เป็นก้อน แล้วเขวี้ยงลงไปที่หน้าประตูแกลเลอรีอย่างแรง พร้อมกับตวาดเสียงดัง “ฟังไว้นะ! สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องเอารูปของฉันไปแขวนข้างในนั้น!!”



“ยังไหว อืม…อืมงานตอนนี้ยังไหวอยู่ วางใจได้ผมสบายดี แฟนเหรอครับ? ยังไม่ได้คิดเลยครับ อืม ผมรู้แล้วครับแม่”


ไม่ได้ส่งจดหมายให้แม่ที่บ้านเกิดมาสักพักแล้วสินะ?


ยูริยืนอยู่ใต้ตึกเก่าๆ ตึกหนึ่งเพียงลำพัง ฟังแม่พูดจ้ออยู่เงียบๆ “…เอาล่ะ แค่นี้ก่อนนะ ผมจะเริ่มงานแล้ว ผมรักแม่นะครับ”


ยูริยัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าคาดเอว…บอกว่าจะไปฟ้องแกลเลอรีที่กรมแรงงาน แต่ความจริงแล้วเรื่องทำนองนี้เป็นแค่เรื่องเสียเวลาเปล่า


แทนที่จะทำแบบนี้ สู้หางานใหม่ดีกว่า…นี่ยังไม่ได้จ่ายค่าห้องเดือนนี้เลยด้วย


บทที่ 60-2 ‘แอนนา’

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท้องฟ้าของมอสโกยังคงเย็นสดชื่นเหมือนเดิม เช่นเดียวกับตอนที่ตัวเขามาที่นี่ครั้งแรก…ตอนนั้นเขามาพร้อมกับความฝันสินะ?


เขาทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการวาดภาพที่ไม่มีคนเดินถนนคนไหนยอมซื้อมัน สุดท้ายก็ได้แต่วาดรูปตามถนนไปเรื่อยๆ


จำได้ว่าครึ่งปีก่อนอากาศหนาวมาก ส่วนตัวเขาได้แต่นอนตากหิมะบนถนนจนเกือบแข็งตาย


สองมือของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง กำลังเดินอยู่บนถนนอย่างไร้จุดหมาย โดยเลิกคิดไปแล้วว่าโดนไล่ออกเพราะอะไร…ที่สำคัญกว่าคือ ควรจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรดี


“ความฝันกินแทนข้าวไม่ได้นะ”


ยูริจำเจ้าของคำพูดนี้ไม่ได้แล้ว…บางทีตัวเขาอาจไม่มีพรสวรรค์จริงๆ ได้แต่ใช้แรงผลักดันทั้งหมดมาประคับประคองสิ่งที่เรียกว่าความฝัน


แต่เพื่ออาหารสามมื้อและเสื้อผ้านุ่งห่ม เขาก็ควรเริ่มครุ่นคิดให้ดีแล้ว…ว่าถึงเวลาละทิ้งความฝันแล้วหรือยัง


“ที่นี่คือ…”


ยูริหยุดฝีเท้า เขาไม่รู้ตัวว่ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร…อาจเพราะเขามัวแต่คิดปัญหาต่างๆ จนเผลอเดินมาที่นี่อีกครั้ง


ตึกเก่านี้มีด้านหนึ่งก่อด้วยกำแพงอิฐสีแดง ยูริค่อยๆ มองภาพวาดเมืองที่บิดเบี้ยวตรงกำแพงนี้คนเดียว


เขานึกย้อนแล้วก็ตลกตัวเอง…ทำไมตอนนั้นถึงมุ่งมั่นวาดภาพอยู่ที่นี่ทั้งที่หนาวขนาดนั้นได้นะ?


เขาเหมือนมีแรงผลักดันบางอย่าง ให้เติมเส้นไปบนภาพที่เขายอมแพ้ไปตอนนั้น…ไหนๆ วันนี้เขาก็ว่างอยู่แล้ว


ยูริจึงก้มหาก้อนหินบนพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วเดินไปที่ขอบกำแพงพร้อมกับหลับตาลง


หลังจากผ่านไปสักพัก เขาถึงเริ่มลงมือใช้มุมแหลมของหินวาดรอยสีขาวอ่อนทีละเส้นๆ


ภาพนี้วาดได้ยังไม่สมบูรณ์ดี…ตอนนี้ก็แค่เพิ่มสิ่งที่ตกหล่นไปบางอย่าง เหมือนจะใช้เวลาไม่นาน…แต่ก็เหมือนใช้เวลานาน


“เหมือน…ยังขาดอะไรไป”


จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำชัดเจนดังขึ้นจากด้านหลัง ยูริจึงหันตัวไปมองทันที แล้วก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมาอยู่ที่ด้านหลังเขา


ใส่หมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก และชุดกีฬาทั้งตัว…คงจะเป็นคนที่มาวิ่งตอนเช้าล่ะมั้ง แต่เขาคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้มาก “คุณคือ?”


ผ้าปิดปากของนักวิ่งยามเช้าขยับเล็กน้อย เหมือนกำลังอมยิ้มเล็กน้อย “คุณมีความฝันไหมครับ?”


“ความฝัน?” ยูริอึ้งไป


นักวิ่งยามเช้า “อ่า คุณคงลืมไปแล้ว หน้าหนาวปีที่แล้ว ผมเคยถามคุณว่าอากาศหนาวขนาดนี้ ทำไมถึงไม่เผาถ่านในมือเพิ่มความอุ่น”


ความทรงจำเมื่อครั้งนั้นแวบเข้าหัวทันที ยูริยิ้มพร้อมกับพูดปลงว่า “ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคงจะเผาถ่านในมือก้อนนั้นทิ้ง”


นักวิ่งอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆ ว่า “งั้นก็น่าเสียดายมากนะครับ”


ยูริยักไหล่ เงยหน้าขึ้นมองภาพวาดขนาดใหญ่ภาพนี้ แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ก็ไม่แน่ ยังไงก็ไม่มีใครชอบภาพนี้”


“งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วครับ” นักวิ่งยามเช้าบอกลาอย่างสุภาพ


ยูริพยักหน้าเล็กน้อยตอบกลับ ตอนที่เขาเห็นนักวิ่งยามเช้ากำลังหันตัวไป ก็เผลอร้องเรียกอีกฝ่ายไว้ “เดี๋ยวก่อนครับ ช่วยผมสักอย่างได้ไหมครับ?”


“คุณมีอะไรให้ช่วยหรือครับ?”


ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ยูริมักรู้สึกว่าเสียงของอีกฝ่ายเย็นชาเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอขี่หลังหน่อยได้ไหมครับ?”


“ขี่หลัง?”



“ใช่แล้ว ไปทางซ้ายหน่อย อีกหน่อย โอเคแล้วๆ ตรงนี้แหละครับ! นิ่งๆ นะครับ! อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับ!”


ด้านล่างกำแพงอิฐเก่าแก่ นักวิ่งยามเช้าให้ยืมขี่ไหล่ของตัวเอง เพื่อให้เขาไปถึงจุดที่อยู่สูงขึ้นได้


ยูริล้วงหลอดสีจากในเสื้อออกมา ปกติแล้วเขามักจะพกสีจำนวนหนึ่งติดตัวไว้เสมอ…


เขาเริ่มบีบสีจากในหลอดออกมาทั้งหมด ก่อนค่อยๆ ใช้นิ้วแต้มไปที่ด้านซ้ายบนของภาพวาดนี้


สีเหลืองมะนาว


วงกลมหนึ่งวง…พระอาทิตย์หนึ่งดวง


ในเมืองที่บิดเบี้ยว พระอาทิตย์สีเหลืองสดดูขัดกับสีดำมืดของภาพวาดอย่างมาก จนแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด…พอวางยูริลง นักวิ่งยามเช้ากลับจ้องมองอยู่นาน


จู่ๆ เขาก็พูดเสียงเบาว่า “ผมว่าคุณคิดผิดไปนะครับ ที่ว่าไม่มีคนชอบภาพนี้ อย่างน้อยผมก็ชอบมันมาก ในที่สุดผมก็ได้เห็นมันเสร็จสมบูรณ์สักที”


ยูริยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “คุณเป็นคนแปลกจริงๆ”


แล้วยูริก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ผมเสียเวลาไปมากแล้ว ตอนนี้ผมจะต้องไปหางานใหม่ ไม่งั้นครั้งหน้าผมคงไม่เหลือแม้แต่ถ่าน…ลาก่อนนะครับ ดีใจมากๆ ที่ได้พบคุณอีกครั้ง”


“ผมขอทราบชื่อคุณได้ไหมครับ?”


“ยูริ ผมชื่อยูริ”


“คุณชอบวาดรูปไหม?”


ยูริเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าพูดว่า “ตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ”


ทันใดนั้นนักวิ่งยามเช้าก็หยิบปากกาออกมาจากด้านหน้าเสื้อ “ขอมือได้ไหมครับ”


เขาเขียนเบอร์โทรศัพท์ไว้ในมือยูริ แล้วบอกเขาว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชอบวาดรูปเหมือนคุณเลย ว่างๆ ก็ลองคุยดูนะครับ ผมแนะนำให้คุณลองเรียนรู้จากเขา อืม…คุณบอกเขาว่าเพื่อนเก่าที่ชื่อวลาดิมีโรวิชในคลาสยูโดแนะนำมาก็แล้วกัน”


“ยูโด?”


“หวังว่าอีกหน่อยจะได้เห็นผลงานของคุณนะครับ” นักวิ่งยามเช้าพูดชื่อเขาอย่างเรียบเฉยอีกครั้ง “คุณยูริ”



“ที่แท้ก็คนมีเงิน”


ยูริมองเบอร์โทรที่เขียนอยู่บนฝ่ามือตัวเอง แล้วก็มองรถเก๋งสีดำคันหนึ่งที่นักวิ่งยามเช้าคนนี้ขึ้นไปนั่ง…คนขับรถดูกำยำไปหน่อยหรือเปล่า?


คงจะเป็นบอดี้การ์ดล่ะสิ?


ยูริครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกดเบอร์โทรออก


“สวัสดีครับ ที่นี่สถาบันเรปินอาร์ต ผมคือศาสตราจารย์อาบูเลมีร์ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”


ยูริยื่นมือไปตบหน้าตัวเองทันที… สถาบันเรปินอาร์ต…สถาบันโรยัลอาร์ต…อาบูเลมีร์…ผู้มีอิทธิพลในวงการศิลปะนี่!


“วลาดิมีโรวิช…วลาดิมีโรวิช…ยูโด?” ยูริใจเต้นไม่เป็นจังหวะเฉียบพลัน “คงไม่ใช่…เขา!! นี่ฉันขี่หลังเขางั้นเหรอ…!!”


ยูริหันขวับกลับมาดูภาพวาดบนกำแพง


วันนี้เทพแห่งโชคลาภคงเห็นใจเขาแล้วสินะ “ฮัลโหลๆ? สวัสดี? ฮัลโหลๆ? ยังอยู่ในสายไหมครับ?”


“โอ้…สวัสดีครับ!ผมยังอยู่!ผมยังอยู่!ผมชื่อยูริ ขอโทษที่โทรหาครับศาสตราจารย์อาบูเลมีร์ คืออย่างนี้ครับ มีคน…”




ลั่วชิวอ่านเนื้อหาในม้วนหนังแกะบนมือช้าๆ


“ข้อหนึ่งให้คุณยูริลืมทุกอย่างเกี่ยวกับคุณและคุณเยฟิม แล้วย้อนความจำของเขากลับไปก่อนได้เจอกับคุณ…สำเร็จ”


“ข้อสอง ให้โอกาสเขาไล่ตามความฝัน…สำเร็จ”


“ข้อสาม ทำให้คุณยูริกลับไปมีอายุขัยเพิ่มขึ้นยี่สิบห้าปีอีกครั้ง…อืม ขอโทษนะครับคุณแอนนา ก่อนหน้านี้คุณยูริเคยแลกเปลี่ยนกับพวกเรามาแล้ว และวิญญาณของคุณไม่พอซื้ออายุขัยทั้งหมดของเขากลับมา มากสุดก็ได้แค่ยี่สิบห้าปีเท่านั้นครับ”


ลั่วชิวม้วนหนังแกะขึ้นอย่างเบามือ อยู่ภายในบ้านเก่าของโอเล็ก ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พักชั่วคราวของเขา เขามองแอนนาที่อยู่ตรงหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ขอโทษนะครับ ที่พูดไปข้างต้นตรงกับสิ่งที่คุณแอนนาต้องการแล้วใช่หรือเปล่าครับ?”


“โอเคแล้วค่ะ” แอนนาพยักหน้าน้อยๆ


ตอนนี้เธอสงบลงมากอย่างชัดเจน


เธอสงบนิ่งมาก และตอนนี้เอง เธอก็ค่อยๆ ปิดตาของตัวเองลง ยอมรับชะตากรรมหลังจากนี้เพียงลำพัง


ตาย…เธอต้องมอบวิญญาณให้กับอีกฝ่าย แม้นไม่รู้ว่าวิญญาณเป็นแบบไหน แต่เธอกลับรู้จักความตาย


ผ่านไปสักพัก แอนนากลับไม่ได้รู้สึกแปลกไปจากเดิม


นี่ทำให้เธอจำต้องลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจ


“คุณแอนนา ผมมีเรื่องที่สงสัยมากๆ อยู่เรื่องหนึ่ง”


ลั่วชิวพูดถามเสียงเบา “คุณบอกว่าตอนแรกเยฟิมกับภัณฑารักษ์รวมหัวกันขโมยภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ออกมา ความจริงภัณฑารักษ์อาศัยช่วงบำรุงรักษาภาพประจำวันแอบเอาสีชนิดพิเศษไปทาไว้บนภาพ จากนั้นก็แขวนขึ้นไปใหม่ สีประเภทนี้จะทำให้สีค่อยๆ จาง จะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงสองครั้งเริ่มจากยังเห็นจนกระทั่งหายไป”


“อืม…” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนแขวนขึ้นไปยังปกติดี แต่พอใช้รังสีพิเศษยิงใส่ สีพิเศษก็จะปรากฏออกมา ภาพดีๆ ก็จางจนสีเหมือนกรอบรูป ดูเผินๆ แล้วอาจคิดว่าภาพจริงหายไป หลังจากนั้นก็ทำได้แค่แจ้งความ รอให้ตำรวจถามแล้ว ค่อยเอาภาพที่เหลือแต่ ‘กรอบภาพ’ ออกมา ก็ไม่มีใครรู้แล้ว…”


แอนนาถามอย่างเฉยเมยว่า “คุณอยากพูดอะไรกันแน่?”


“ไม่มีอะไรครับ” เจ้าของร้านลั่วเดินผ่านมาหลายก้าวจนถึงตรงห้องรับแขก


ตรงนี้มีขาตั้งภาพอันหนึ่งวางไว้ เขาดึงผ้าคลุมรูปบนขาตั้งภาพนั้นออก เผยให้เห็นภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพหนึ่ง


“นี่…พวกคุณเอามันออกมาจากแกลเลอรี?”


“ไม่ นี่ไม่ใช่ที่แขวนอยู่ในแกลเลอรีตอนนี้ คุณยูริวาดภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพที่สองที่คฤหาสน์…แต่เป็นภาพแรกที่ประมูลในงานของคุณแอนนาครับ”


“เป็นไปไม่ได้ เห็นชัดๆ ว่ายูริทำลายมันไปแล้ว!”


“อืม ผมเก็บกลับมา แล้วก็แอบซ่อมแซมเล็กน้อย” ลั่วชิวยื่นมือไปลูบภาพนี้เบาๆ ก่อนจ้องตาคู่สวยของแอนนา “ระหว่างที่ซ่อมก็เจอเรื่องที่น่าสนใจบางอย่าง เกี่ยวกับสีที่ผมเพิ่งพูดไป”


สีบนภาพค่อยๆ กระจายตัวออกเหลือเป็นคราบเล็กน้อย เหมือนถูกซักขาวอย่างไรอย่างนั้น


แล้วภาพสุภาพสตรีนิรนามก็หายไปไม่เหลือร่องรอย


แต่กลับมีภาพหญิงสาวเปื้อนยิ้มมาแทนที่…เธอมีแววตาอันน่าหลงใหล และรอยยิ้มสวยหยาดเยิ้ม


“ยูริ…”


แอนนายกมือทั้งสองขึ้นปิดปากตัวเองไว้ ก่อนมองภาพวาดแท้จริงที่ซ่อนอยู่อย่างเหม่อลอย


น้ำตาหยดแรกไหลรินจากตาทั้งสองข้างของเธอ พร้อมกับเสียงสะอื้นไม่ขาดสาย


“ขอบคุณ…ที่เคยรักฉัน”


ระหว่างสีดำและสีขาว สีสันต่างๆ ค่อยๆ แพร่กระจายขยายวงออกมา ไม่ได้สว่าง และก็ไม่ได้กว้าง เป็นแค่เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น


แต่ก็เพียงพอให้เจ้าของร้านลั่วหลงใหลและชื่นชมอยู่เงียบๆ



ลูกไฟวิญญาณลอยออกมาจากหน้าผากของแอนนาช้าๆ มันเหมือนดอกแดนดิไลออนล่องลอยไปตามทาง จนสุดท้ายก็ตกมาอยู่บนฝ่ามือลั่วชิว


สีสันแวววาวของมันค่อยๆ ลดลงทีละนิดทีละนิด


“สูงกว่าระดับมาตรฐาน”


คุณสาวใช้ที่กำลังรอคอยอยู่เงียบๆ ก็พูดเสียงเบา พร้อมกับอมยิ้มอยู่ข้างกายนายท่าน “ยินดีด้วยค่ะ”


ลั่วชิวดูอารมณ์ดีทีเดียว เขาหิ้วรูปลงมาจากชั้นวางภาพพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วเพ่งพิจารณาอย่างละเอียด “พอกลับไปแล้ว หาที่แขวนภาพสักที่เถอะ”


“รับทราบค่ะ” คุณสาวใช้ตอบรับเสียงเบา แล้วพูดว่า “เสียดายก็แค่ ยูริสูญเสียความทรงจำไปหมดแล้ว เลยยังไม่ทันตั้งชื่อให้มัน”


“ตั้งชื่อ?” ลั่วชิวอึ้งไป จากนั้นก็พูดพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “มันมีชื่อมานานแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอดูสิ เขาวาดใคร?”


ให้ชื่อว่า…


‘แอนนา’


บทที่ 61 ห้องทำงานที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง


เยียร์เกอร์กำลังนั่งสัปหงกบนเก้าอี้ แน่นอนว่าเขาไม่ได้นั่งว่างๆ ไม่มีงานทำ


แต่เป็นเพราะเขาอดหลับอดนอนเขียนรายงานทั้งคืน กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ทัน ก็เลยสวมชุดเมื่อวานทำงานต่อเสียเลย


ทันใดนั้นเองประตูห้องทำงานก็เปิดออก เยียร์เกอร์ตกใจรีบลุกขึ้นยืนทันที แถมยังยืนหลังตรงมากเป็นพิเศษด้วย “คุณวิคเตอร์! ผมไม่ได้แอบอู้งานนะครับ!”


“เอ่อคือ…ฉันไม่ใช่คุณวิคเตอร์ค่ะ”


เยียร์เกอร์อึ้งชะงักไป


เขารีบหันตัวกลับมาก็เห็นตำรวจหญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู จึงหน้าแตกไปทันที


ตำรวจหญิงอมยิ้มน้อยๆ “อืม คุณวิคเตอร์นั่งอยู่ร้านกาแฟข้างล่างค่ะ เขาบอกให้คุณลงไปหน่อย เหมือนเขาจะรอรับใครบางคน หน้าตาจริงจังมากเลย…อืม ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนะคะ”


“แขก?” เยียร์เกอร์ชะงักไป ก่อนออกจากห้องไปด้วยความมึนงง


เยียร์เกอร์รีบวิ่งลงบันไดไปด้วยความเร็ว หลังจากหาร้านกาแฟเจอแล้ว ก็เห็นวิคเตอร์นั่งหันหลังอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน พอเขาเดินเข้าไปหาก็เห็น ‘แขก’ที่ตำรวจหญิงพูดถึงแล้ว


ใบหน้าตามแบบคนตะวันออก ผมสีดำ แล้วยังสวมเสื้อตัวใหญ่สีดำ…อายุประมาณสามสิบปี?


พอเยียร์เกอร์เห็นสายตาของคนคนนี้ ก็ให้เขากดดันอย่างน่าประหลาด


และในตอนนี้เอง วิคเตอร์ก็หันตัวมามองทางเยียร์เกอร์ พลางพูดว่า “อย่ามัวแต่ยืนนิ่ง มานั่งสิ ผมจะแนะนำให้รู้จัก ท่านนี้คือคุณเยี่ยเหยียนที่มาจากลียงประเทศฝรั่งเศส เขามีเรื่องอยากถามคุณหน่อย คุณตอบไปตามจริงก็พอ”


พูดถึงลียง ประเทศฝรั่งเศส…เยียร์เกอร์ก็ฉุกคิดบางอย่างได้ทันที เขามองวิคเตอร์ แล้วก็มองเยี่ยเหยียนอย่างสงสัย “คุณวิคเตอร์ครับ นี่…”


“ยังจำเรื่องจับพ่อค้ายาชาวอิตาลีในมอสโกเมื่อสองปีก่อนได้ไหม?” วิคเตอร์ยิ้มแล้วพูดต่อ “ครั้งนั้นเป็นการร่วมมือทำภารกิจ ผมกับเขารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ”


“อ๋อ…” เยียร์เกอร์ค่อยๆ นั่งลงอย่างระวัง แม้ว่าจะอยู่คนละหน่วยงาน แต่โดยพื้นฐานแล้วต่างก็ทำงานกวาดล้างผู้กระทำผิดเหมือนกัน คิดได้ดังนั้น เยียร์เกอร์ก็รีบปรับอารมณ์ตนเองอย่างรวดเร็ว “ไม่ทราบว่าคุณเยี่ยมีเรื่องอะไรจะถามผมเหรอครับ?”


“งั้นผมขอเข้าประเด็นเลยนะครับ” เยี่ยเหยียนยิ้ม…แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดภาษารัสเซีย


คงได้แต่ใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกันนะ


เขาคือเยี่ยเหยียนจริงๆ ด้วย เยี่ยเหยียนบินตรงจากฝรั่งเศสมาถึงมอสโกภายในคืนเดียว เพียงเพราะข่าวบางอย่างของวิคเตอร์ก็ทำให้เขาวู่วามได้ถึงขนาดนี้


“ผมอยากรู้เรื่อง ‘ศพ’ ร่างนั้น” เยี่ยเหยียนทำหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “รบกวนคุณเยียร์เกอร์ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ เรื่องทั้งหมดเป็นมายังไง คืออย่างนี้นะคุณเยียร์เกอร์ เรื่องนี้สำคัญกับผมมาก และยังสำคัญกับหน่วยงานของพวกเราทางนู้นมากด้วย หวังว่าคุณจะเล่าทั้งหมดโดยละเอียดนะครับ”


เยียร์เกอร์เผลอมองวิคเตอร์แวบหนึ่ง…ถึงตำรวจอาชญากรรมสากลจะดูเป็นอาชีพน่าเกรงขามมาก แต่ก็ไม่มีอำนาจมาขอข้อมูลโดยตรงจากหน่วยงานตำรวจพื้นที่อื่นนี่นา


เยียร์เกอร์กลับเห็นวิคเตอร์ลอบส่งสายตาอนุญาต เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นก็ได้ครับ คุณเยี่ย คุณถามผมมาได้เลย”


“ทำไมศพถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?”


เยียร์เกอร์หวนนึกถึงตอนนั้น แล้วก็ตอบว่า “ผมจำได้ว่า เขาเหมือนจะฉีดยาในเข็มที่พกติดตัวไปที่คอตัวเอง…”


สายตาของเยี่ยเหยียนเป็นประกายทันที “คุณแน่ใจนะ? ฉีดไปแล้วจริงๆ เหรอ?”


“ครับ” เยียร์เกอร์พยักหน้าพูดว่า “แล้วหลังจากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น เรื่องนี้ผมกล้ายืนยันเลย”


เยี่ยเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย เขาถอนหายใจ แล้วหรี่ตาลง “ในที่สุด…ก็พบเงื่อนงำพวกนั้นบ้างแล้ว”


เยียร์เกอร์ก็ตะลึงจนตาค้างไป



หลังจากซักถามเหตุการณ์เดิมซ้ำไปซ้ำมาไม่น้อยกว่าสิบครั้งแล้ว เยี่ยเหยียนถึงได้ยอมจากไปอย่างพึงพอใจ


บอกว่ายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการอีก


ตอนนี้เหลือเพียงเยียร์เกอร์และวิคเตอร์สองคน


เยียร์เกอร์สงสัยจนอดถามไม่ได้ “คุณวิคเตอร์ครับ…นี่ พวกเราเปิดเผยเรื่องนี้ไปโดยพลการ แบบนี้จะ…”


“ไม่ถือว่าเปิดเผยโดยพลการ” วิคเตอร์พูดเสียงนิ่งเฉย “สิ่งที่เกี่ยวพันอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีเยอะมาก ใช้เวลาชั่วโมงครึ่งก็เล่าไม่หมดหรอก แต่เดี๋ยวต่อไปคุณก็จะค่อยๆ รู้เอง”


“หา?”


จู่ๆ วิคเตอร์ก็ล้วงตั๋วใบหนึ่งออกมาจากเสื้อสูท “นี่เป็นตั๋วเที่ยวบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้ แล้วก็ยังมีจดหมายโยกย้ายตำแหน่งของคุณด้วย”


“หา? คุณวิคเตอร์ ผมไม่เข้าใจ”


“ช่วงนี้ทางฝรั่งเศสกำลังหาคนเพิ่ม น่าจะประมาณหนึ่งเดือนก่อนล่ะมั้ง ตอนที่ผมกับเยี่ยเหยียนติดต่อกัน เขาก็ขอให้ผมช่วยแนะนำคนเจ๋งๆ สักคน ตอนนั้นผมเผลอพูดไม่คิด แล้วผมก็แนะนำคุณไปแล้ว”


“คุณ คุณวิคเตอร์!”


“ฟังนะ” วิคเตอร์พูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า “อย่ามาติดแหง็กอยู่กับผมเลย…ตามผมต้อยๆ แบบนี้ไม่ก้าวหน้าหรอก เพราะผมก็ไม่มีหลักแหล่งแน่นอนเหมือนกัน บางทีผมอาจหยุดตรงนี้ หรืออาจเดินเส้นทางนี้ต่อไป แต่ไม่ว่ายังไง คุณไปหาประสบการณ์ข้างนอกหน่อยก็เป็นเรื่องดี แน่นอนว่า คุณจะปฏิเสธก็ได้ ผมจะไม่บังคับคุณ แต่สมมติว่าคุณเลือกอยู่ต่อ ผมจะยื่นเรื่องย้ายคุณไปอยู่ที่กองพิสูจน์หลักฐาน”


นี่ก็เท่ากับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานี…เป็นการลดตำแหน่งกลายๆ เลยก็ว่าได้


“ผม…ผมขอคิดดูก่อนได้ไหมครับ? ผมคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”


“อย่านานเกินไปล่ะ”




หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ยาคอฟก็ได้กลับบ้านเสียที


เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาทันที พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อภรรยา แต่เรียกอยู่นานก็ไม่มีคนขานรับ จนเขาต้องมองไปรอบๆ อย่างอดสงสัยไม่ได้


ในวินาทีที่สายตาเขาเหลียวไปทางด้านหลัง ยาคอฟก็สะดุ้งโหยงทันที “คุณ…คุณเป็นใคร!”


“คุณหัวหน้าภัณฑารักษ์ ก่อนหน้านี้พวกคุณโยนความผิดเรื่องขโมยภาพวาดให้ฉัน ไม่ทันไรก็ลืมว่าฉันเป็นใครซะแล้ว?”


คนในชุดหนังสีดำคนนี้น่าจะเป็นผู้หญิง แต่สวมหน้ากากตัวตลกสีดำ ไม่เห็นหน้าตา


ยาคอฟขมวดคิ้วถามว่า “คุณ…คุณคือ F&C ตัวจริง?”


เขาก้าวถอยหลังไปช้าๆ พร้อมกับระมัดระวังตัว


“ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะอยู่นิ่งๆ…ไม่อย่างนั้นละก็ ฉันก็ไม่รับประกันว่าคนในบ้าน อ้อ ฉันหมายถึงภรรยาของคุณ แล้วก็ลูกๆ ของคุณน่ะ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับพวกเขาบ้าง”


“คุณคิดจะทำอะไร!” ยาคอฟตะลึงงัน ถามขึ้น ทั้งตกใจทั้งโมโห


“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริงอยู่ที่ไหน?”


“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ? ส่งคืนแกลเลอรี่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ยาคอฟกระวนกระวายจนเหงื่อแตกพลั่ก


“วันนี้หลังจากเปิดให้เข้าชมอีกครั้ง ฉันก็เข้าไปดูมาแล้ว” ใบหน้าของเวร่าเผยรอยยิ้มเยือกเย็นอยู่ใต้หน้ากากตัวตลก “แต่ฉันใช้เครื่องสแกนแบบพิเศษสแกนดูแล้ว…คุณก็รู้ สีชนิดนั้นของพวกคุณ ถ้าใช้รังสีฉายก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ฉันใช้เวลาถึงสองวันเต็มๆ เพื่อทดสอบความเข้มของรังสีชนิดนี้เลยนะ”


“ผม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร!” ยาคอฟเบือนหน้าหนี


“งั้นเหรอ?” เวร่ายังคงยิ้มเยาะต่อแล้วพูดว่า “งั้นจะให้ฉันลองฉายรังสีกับภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ในแกลเลอรีดูหน่อยไหมล่ะ? ฉันว่าต้องมีเรื่องสนุกๆ แน่เลย อ้อจริงสิ ฉันยังเจอสิ่งที่น่าสนใจในบ้านคุณด้วยนะ ดูเหมือนจะเป็นเอกสารการใช้งบประมาณซ่อมแซมแกลเลอรี”


“คุณ…” ยาคอฟสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า “อย่านะ พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ คุณต้องการแค่ภาพวาดของจริงนั่นเท่านั้น แต่ผมบอกคุณได้ว่า มันไม่ได้อยู่ในมือผม คือ…คือเยฟิมบังคับผม ผมไม่มีทางเลือก! หลังจากเอาภาพออกมาได้ ผมก็เอาให้เขาไปเลย! เพราะงั้น ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าภาพวาดอยู่ที่ไหนเหมือนกัน! ถึงผมจะคิดว่าภาพวาดในแกลเลอรีอาจจะเป็นของปลอม แต่ผมก็ได้แต่ทำเป็นไม่รู้เหมือนกัน”


จู่ๆ เวร่าก็เดินมาตรงหน้ายาคอฟ พูดด้วยเสียงแหลมแสบแก้วหูที่ผ่านเครื่องดัดแปลงเสียงว่า “คุณหัวหน้าภัณฑารักษ์ คุณก็รู้ว่าฉันมีชื่อเสียงด้านแย่ๆ ทั้งนั้น…เพราะงั้นฉันจะทำเรื่องอะไรบ้าง ตัวฉันเองก็คาดเดาไม่ได้เหมือนกัน”


“ผมไม่รู้จริงๆ นะ!”


“งั้นเหรอ? แต่ทำไม…พอภาพวาดของจริงที่คุณพูดถึงตกอยู่ในมือของฉันแล้ว ถึงเป็นแค่ภาพ ‘made-in-china’ ล่ะ?”


“ผม ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร…”


เวร่าขี้เกียจพูดต่อ จึงจับตัวเขากดลงไปบนโต๊ะทันที แล้วล้วงมีดเล่มเล็กมาปักลงบนโต๊ะ เฉียดหน้าของหัวหน้าภัณฑารักษ์คนนี้ไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


“ผมบอก ผมบอกแล้ว!อย่าฆ่าผม! ผมจะบอกทุกอย่างเลย!”


ยาคอฟตกใจมากจนหน้าเสีย เขารีบสารภาพทันทีว่า “ภาพวาด…ภาพวาดยังอยู่กับผมที่นี่! ผม ผมรู้ว่าเยฟิมเป็นคนที่ไม่แตะต้องแกลเลอรีเด็ดขาด และเขาก็จะคิดไม่ถึงว่าผมจะแอบสับเปลี่ยนภาพวาดให้เขา…ผมก็แค่เสี่ยงดูสักครั้งเหมือนกัน ผมติดหนี้มากมาย ได้แต่ลองเสี่ยงดูสักครั้ง คุณก็รู้ ครอบครัวนี้พึ่งรายได้ของผมคนเดียว…”


“ฉันไม่สนเรื่องครอบครัวของคุณ ภาพอยู่ที่ไหน?”


“ห้องหนังสือ…ด้านหลังชั้นหนังสือ”


เวร่านำตัวยาคอฟมาถึงในห้องหนังสือ ให้ยาคอฟผลักชั้นหนังสือออก แล้วก็พบภาพที่ใช้กระดาษน้ำมันห่อเอาไว้จริงๆ


หลังจากถูกเวร่าข่มขู่ ยาคอฟก็ได้แต่ฉีกกระดาษน้ำมันออก แล้วเอาสิ่งที่อยู่ข้างในออกมาโดยไม่บ่นสักคำ


แต่หลังจากฉีกกระดาษห่อภาพวาดนี้แล้ว ยาคอฟกลับหน้าซีดเผือด “ทำไมเป็นแบบนี้! ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!”


แล้วเขาก็ทุบทำลายกรอบภาพวาดนี้จนหักต่อหน้าเวร่าทันที!


เวร่าตกใจกับการกระทำของหมอนี่…คงไม่ได้คิดจะทำลายหลักฐานหรอกนะ? แต่กล้าลงมือทำลายภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริงเลยเหรอเนี่ย?


แต่ไม่นานนัก เวร่าก็รู้ว่าทำไมยาคอฟถึงได้หน้าเสียแบบนี้


ด้านหลังของภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่เขาบอกว่าสลับมานี้ ก็มีคำว่า ‘made-in-china’ แสดงอยู่เหมือนกัน


“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้! ภาพวาดของผมล่ะ? ภาพวาดของผมล่ะ!ภาพวาดของผมล่ะ?!! ใครขโมยภาพวาดของผมไป!!!” ยาคอฟอาละวาดพลิกตู้ในห้องหนังสือคว่ำอย่างบ้าคลั่ง


เวร่ามองอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้ว่าหมอนี่คงถูกเล่นงานด้วยเหมือนกัน…งั้นภาพของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”


คุณหนูใหญ่เวร่าทำหน้าเซ็งหมุนตัวจากไปทางหน้าต่างอย่างจนใจสุดๆ จึงได้เห็นภรรยาและลูกๆ ของยาคอฟขับรถกลับบ้านมาพอดี เธอจึงเผลอหลุดยิ้มเยาะ “ขนาดคนในครอบครัวตัวเองไปร่วมงานปาร์ตี้กันก็ยังไม่รู้เลย ยังกล้าพูดว่าทำเพื่อครอบครัวได้เต็มปาก แหวะ”


โทรศัพท์ของเวร่าดังขึ้นในตอนนี้เอง


“ลูกพี่เวร่า เจอข้อมูลของเจ้ามนุษย์หมาป่าที่คุณช่วยไว้ในคฤหาสน์แล้วนะ…ชื่อเยียร์เกอร์ เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนในมอสโก แต่ผมเช็กแล้ว เหมือนเขาจะซื้อตั๋วบินไปฝรั่งเศสพรุ่งนี้แล้วครับ”


“ฝรั่งเศส?” เวร่าอึ้งไป หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดทันทีว่า “วิคก้า ช่วงนี้นายทำงานหนักเลยนะ พวกเราไปฝรั่งเศสกันเถอะ”


“…คุณแน่ใจเหรอว่าไปเที่ยวพักผ่อน??!!!”


“ได้ยินว่าหนุ่มๆ ฝรั่งเศสหล่อทั้งนั้นเลยนะ”


“…เที่ยวบินบ่ายสามโมงโอเคไหมครับ?”




เสียงเคาะประตูดังขึ้น


เสียงดังขึ้นตรงหน้าประตูสำนักงานรองบรรณาธิการนิตยสารซุบซิบที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองนี้


พอเริ่นจื่อหลิงได้ยินเสียงเคาะประตู ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาจากหมอนอิงที่หนุนอยู่ เช็ดน้ำลายที่มุมปากเล็กน้อย ก็เห็นหลีจื่อเดินเข้ามา จึงมองตาค้อน “เธอนี่เอง ฉันก็นึกว่าเป็นยัยบรรณาธิการเต่าซกมกล้านปีนั่นซะอีก”


หลีจื่อเดินเข้ามาด้วยท่าทางลำบากมาก


ทำไมถึงบอกว่าลำบากมากน่ะเหรอ?


ก็ที่นี่ยังกับสุสานรกๆ แถมยังมีกลิ่นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต่างๆ ฟุ้งกระจายไปทั่วน่ะสิ


หลีจื่อมองดูโต๊ะทำงานรกสกปรกอย่างที่สุด ก่อนถอนหายใจพูดว่า “พี่เริ่น ทำไมลั่วชิวไม่อยู่หลายสัปดาห์มานี้ ชีวิตของพี่ถึงเหมือนตกอยู่ในนรกเลยล่ะ ทำโอทีทุกวันไม่ยอมกลับบ้าน แถมยังมาหลับตรงนี้อีก?”


เริ่นจื่อหลิงหาว “ที่บ้านฉันมีชุดที่ใส่ห้าวันยังไม่ได้ซัก เธอจะช่วยฉันซักไหมล่ะ?”


“ขอลาค่ะ!” หลีจื่อรีบบีบจมูกพลางโบกมือไปมา


เริ่นจื่อหลิงยื่นนิ้วกลางให้หลีจื่อ ก่อนยืดเส้นยืดสาย แล้วถามอย่างไม่สบอารมณ์ “มีธุระอะไร บอกมา!ไม่มีธุระก็ออกไป! ฉันจะนอนต่อ!บรรณาธิการมาก็บอกฉันล่วงหน้าด้วยล่ะ!”


“พี่เริ่น มีพัสดุด่วนถึงพี่แน่ะ!”


“พัสดุด่วน?”


“จริงด้วย” หลีจื่อพยักหน้าเล็กน้อย “ดูเหมือนจะเป็นภาพวาดมั้งคะ? พัสดุด่วนจากต่างประเทศ ส่งมาจากมอสโก…น่าจะเป็นของขวัญที่ลั่วชิวส่งมานะ!”


“บ้าเอ๊ย…ส่งภาพวาดอะไรมาให้ฉันเนี่ย? กินไม่ได้สักหน่อย!”


“งั้น…งั้นฉันทิ้งมันไปเลยนะ?”


“ฉันจับเธอโยนทิ้งไปก่อนแล้วกัน!!”



เริ่นจื่อหลิงฉีกห่อพัสดุออก พบว่าเป็นภาพวาดสีน้ำมันภาพหนึ่ง


รองบรรณาธิการเริ่นดื่มกาแฟจนสดชื่นแล้วก็บิดคอคลายเส้น หลายวันมานี้เธอนอนอยู่ในสำนักงานตลอดจนปวดเมื่อยไปหมด…นอนที่บ้านทุกวันตื่นมาก็จะสดชื่นกระฉับกระเฉง ยังไงเตียงที่บ้านก็นอนสบายที่สุด!


เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วมองภาพวาดสีน้ำมันโดยละเอียด แต่ก็ดูอะไรไม่ออก จึงถือภาพวาดสีน้ำมันไปวางชิดผนังห้องทำงานด้านหนึ่ง


“ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ? ชื่อแปลกอะไรแบบนี้นะ!”


เพียงพอลองคิดๆ ดูแล้วแกลเลอรีวิจิตรศิลป์ก็คงมีภาพแบบนี้ล่ะมั้ง?


แต่ตอนที่เธอมองห้องทำงานรกเหมือนกองขยะนี้ ก็รู้สึกว่าภาพวาดสีน้ำมันภาพนี้ไม่ได้ช่วยยกระดับห้องนี้เลยสักนิด


“พอดูดีๆ แล้ว นี่ก็แค่สินค้าพิเศษของสวนสนุกเท่านั้นไม่ใช่เหรอ จะไปมีราคาที่ไหนกัน?” เริ่นจื่อหลิงส่ายหน้าพูดว่า “อาจจะ ‘made-in-china’ ก็ได้นี่!”


บทที่ 62 ที่อยู่เก่าของสมาคม

โดย

Ink Stone_Fantasy

มอร์ส? ยูริ? ดีคาปี้ไม่ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่ายูริเอาเสียเลย ปกติแล้วเขามักขอให้คนอื่นเรียกเขาว่าคุณมอร์ส


โดยเฉพาะหลายวันมานี้…เขาเหมือนฝันเรื่องแปลกๆ บางอย่าง


ในฝัน เขาอยู่ในห้องขังของสถานีตำรวจเพราะถูกใส่ร้ายแบบไม่สามารถอธิบายได้ …แต่ความจริง ช่วงนั้นเขากับโบโลดอฟกำลังวางแผนจัดการเยฟิมอย่างลับๆ มาโดยตลอด


แล้วแผนนี้ก็สำเร็จในที่สุด


“โบโลดอฟ ยินดีกับตำแหน่งส.ส.ด้วยนะครับ สภาต้องการคนเก่งแบบคุณจริงๆ”


ตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ดีคาปี้ แต่อยู่ในห้องส่วนตัวของร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง


“ลำบากคุณแล้ว คุณมอร์ส” โบโลดอฟดูเป็นคนเรียบง่ายกว่าที่มอร์สคิดอยู่บ้าง ในงานเลี้ยงฉลองนี้ พูดได้เลยว่าเป็นงานเลี้ยงที่พูดคุยกันน้อยมาก


นอกจากนี้ โบโลดอฟยังไม่แตะเหล้าเลยแม้แต่น้อย…นับว่าเป็นผู้ชายรัสเซียประเภทหาพบได้ยากยิ่ง


โบโลดอฟมองมอร์สไม่วางตา พร้อมพูดอย่างเฉยเมยว่า “การแต่งตั้งน่าจะอีกสองเดือนถัดไป พอถึงตอนนั้น ผมจะเสนอเรื่องแก้ไขโครงการขนส่งทางเรือในที่ประชุมสภา ซึ่งเอื้อสิทธิประโยชน์ให้กับ ‘บริษัท’ ของคุณมากกว่าเดิมครับ”


“ฮ่าๆๆๆ! โบโลดอฟผมชอบนิสัยทำงานให้เห็นเป็นรูปธรรมแบบนี้จริงๆ” มอร์สหรี่ตาพูดอย่างอารมณ์ดี “แต่ทำงานก็ต้องพักผ่อนบ้างนะครับ ตอนค่ำผมจะจัดสาวสวยเด็ดๆ สักสามสี่คนมาให้คุณ…”


“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมกลับบริษัทก่อนนะครับ” คาดไม่ถึงว่าโบโลดอฟจะลุกขึ้นยืนปฏิเสธกลายๆ แล้วจบด้วย “ไว้ติดต่อกันนะครับ”


มอร์สสีหน้าเหมือนเดิม เขาทำท่าถอนหายใจเสียดาย “งั้นผมจะรอครั้งหน้านะครับ”


โบโลดอฟเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัวให้เรียบร้อยเหมือนตอนขามา ก่อนออกไปพร้อมบอดี้การ์ดข้างตัว


“ชิ โบโลดอฟคนนี้ทำให้ผมนึกถึงเผ่าเจอร์แมนิก*” มอร์สดื่มไวน์ไปอึกหนึ่ง “แต่ไม่ใช่คนรัสเซียดั้งเดิม”


“ท่านครับ โบโลดอฟมีสายเลือดรัสเซียดั้งเดิมโดยแท้ นี่ไม่น่าผิดนะครับ” พ่อบ้านพูดเตือนทันที


มอร์สยักไหล่พูดว่า “นั่นก็แค่ความรู้สึก…ฉันเกลียดคนเย็นชาแบบนี้จริงๆ”


ทันใดนั้นมอร์สก็ลดเสียงเบาลง เหมือนฉุกคิดอะไรได้ “จัดคนไปทำงานที่บริษัทของโบโลดอฟ ฉันไม่ชอบที่เขามาจูงจมูกฉัน”


“รับทราบครับ”



“ท่านคิดจะร่วมมือกับตระกูลดีคาปี้ต่อจริงๆ หรือครับ?” เลขาที่นั่งตัวตรงอยู่บนรถเอ่ยถามทันที


ตอนนี้โบโลดอฟที่หลับตาพักผ่อนอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วถามเลขาว่า “ที่นี่ที่ไหน?”


เลขาก็ตอบกลับว่า “ใกล้ถึงถนนทเวร์สกายาแล้วครับ”


“หยุดรถที ฉันอยากลงไปเดินเล่นหน่อย” โบโลดอฟสั่งด้วยเสียงเบา


เลขาทำได้แค่ให้คนขับที่อยู่ข้างหน้าหาที่จอดรถข้างถนน หลังลงจากรถ โบโลดอฟกลับพูดดักไว้ “พวกนายรอฉันอยู่ตรงนี้ ฉันอยากเดินเล่นคนเดียว”


“แบบนี้อันตรายมากนะครับท่าน” เลขาขมวดคิ้วพูดเตือน


ถนนทเวร์สกายาเต็มไปด้วยร้านค้า โรงแรม และร้านอาหารจำนวนมาก เป็นที่ที่คนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชอบมาละลายทรัพย์ มีคนผ่านไปมามากมาย ย่อมต้องมีพวกนักล้วงกระเป๋าปะปนอยู่ด้วยไม่น้อย เลขาอย่างเขาจะห่วงเรื่องความปลอดภัยของเจ้านายก็ไม่แปลก


“นายลืมไปแล้วเหรอว่าเมื่อก่อนฉันทำงานอะไร?” โบโลดอฟตบบ่าเลขา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “รอฉันตรงนี้แล้วกัน”


เลขาหมดหนทาง เขาย่อมรู้ดีว่าเจ้านายของตัวเองทำอาชีพอะไรมาก่อน


เป็นทหารน่ะสิ




ถ้าบอกว่าสมาคมอยู่ในเมืองของลั่วชิว ซึ่งยึดตำแหน่งเดียวกับร้านค้าในถนนย่านการค้า แต่แค่อยู่ต่างมิติกันละก็ ถ้างั้นก่อนที่สมาคมจะมาตั้งในเมืองของลั่วชิว มันก็คงตั้งซ้อนทับกับสถานที่ไหนสักแห่ง


“ร้านเครื่องหอม?”


“ใช่ค่ะ นี่ก็คือที่อยู่ก่อนสมาคมจะย้ายไป”


เจ้าของร้านลั่วพิจารณาร้านค้าที่ขายของจากต่างที่เป็นอย่างดี…อืม หลักๆ คงเป็นร้านเล็กๆ ที่ขายเครื่องหอมร้านแรกในยุโรป


ยังไงเขาก็ไม่ค่อยเชื่อว่าเจ้าของสมาคมคนก่อนติดบ้านแบบนั้น จะตั้งใจเลือกสถานที่นี้เป็นที่ทำการค้า


อืม…คุณสาวใช้คงเลือกสินะ


ลั่วชิวมองโยวเย่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ…คุณสาวใช้ทำได้แค่หรี่ตาลง เอียงคอถามว่า “นายท่าน มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”


นี่…เอียงคอแอ๊บแบ๊ว?


ยากนักที่จะได้เห็นคุณสาวใช้ทำตัวแอ๊บแบ๊วใส่


“ไม่มีอะไร” เขามองท่าทางของคุณสาวใช้ และไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ยินดีที่จะชื่นชมอยู่เงียบๆ มากกว่า เขายิ้มแล้วพูดว่า “ไหนๆ ก็ไม่ได้มาบ่อย ไปซื้อเครื่องหอมมาสัก…”


แต่จู่ๆ ลั่วชิวก็ชะงักไป แล้วรีบเบนสายตาของตัวเองไปอีกทาง


นั่นมันสัมผัสของการ์ดดำนี่…และการ์ดจะตอบสนองความรู้สึกนึกคิดของผู้ครอบครอง


สัมผัสไม่ได้แรงกล้านัก แต่เหมือนมันกำลังเรียกหาเจ้าของสมาคม โยวเย่เองก็สัมผัสได้เช่นเดียวกัน เธอจึงหยุดฝีเท้าของตัวเองลง พร้อมกับส่งสายตาเชิงสอบถาม


“หาสถานที่คุยกันสักหน่อยเถอะ” ลั่วชิวพูดออกคำสั่งเบาๆ


คุณสาวใช้พยักหน้าเล็กน้อย พร้อมดวงตาสีฟ้าไพลินส่องประกายวูบวาบ…ลั่วชิวเห็นแบบนั้นก็อดนึกถึงครั้งแรกที่เจอกันไม่ได้ แต่ตอนนั้นเขาเจอเธอในฐานะลูกค้า


เธอยังน่าหลงใหลไม่เปลี่ยนไปเลย



โบโลดอฟค่อยๆ รู้สึกผิดปกติ เหมือนเขายิ่งเดิน คนก็ยิ่งบางตาลงเรื่อยๆ


แปลกจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเดินไปในที่เปลี่ยว แต่เป็นผู้คนที่ค่อยๆ หายลับไปต่อหน้าเขาบนถนนเส้นเดิมทีละคนต่างหาก


บนพื้นเริ่มมีควันเทาอึมครึมลอยวนรอบตัวเขา ฉับพลันนั้นโบโลดอฟก็รีบกดหน้าอกตัวเอง


เพราะตรงนั้นมีกระเป๋าด้านในเสื้อสูทอยู่ช่องหนึ่ง ซึ่งเก็บงำความลับที่เขาไม่อาจเปิดเผยได้ชั่วชีวิตนี้…เขาจึงเริ่มเร่งฝีเท้าของตัวเองก้าวฉับๆ สุดท้ายก็มาอยู่ด้านหน้าร้านขายเครื่องหอมร้านหนึ่ง


ใช่ ร้านค้าเล็กๆ แห่งนี้…บางครั้งเขามักจะเผลอเดินมาถึงร้านนี้ แล้วหยุดดูอยู่เงียบๆ สักพักหนึ่ง


หลายครั้งแล้ว ที่เขาไม่ได้อะไรกลับไป แต่ทว่าครั้งนี้…เขามองเห็นสิ่งที่ต่างไปเล็กน้อย


บรรยากาศภายในร้านเงียบไปในฉับพลัน…ราวกับเขาเข้าไปอยู่ในช่องว่างแห่งกาลเวลา


เขามองไม่เห็นเจ้าของร้าน แล้วก็เห็นเพียงลูกค้าสองคน…เป็นเพียงชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งชายผู้นั้นกำลังหันหลังมองดูสินค้าเรียงรายในตู้โชว์


ส่วนผู้หญิงคนนั้น…


“คุณโยวเย่! ไม่เจอกันนานเลยครับ”


โบโลดอฟสูดลมหายใจลึกๆ พอเงยหน้าขึ้นก็ลังเลอยู่สักพัก แต่ยังคงก้าวเข้าไปในร้านเครื่องหอมนี้



“ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ค่ะ คุณโบโลดอฟ” คุณสาวใช้ต้อนรับด้วยรอยยิ้ม


แล้วโบโลดอฟก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากครั้งนั้นมา ผมก็ผ่านมาที่นี่หลายครั้ง แต่ว่า…”


“สมาคมย้ายไปจากที่นี่สักระยะหนึ่งแล้วค่ะ” โยวเย่ยังคงพูดพร้อมรอยยิ้มตามหน้าที่ “แต่หากลูกค้ามีความปรารถนาแรงกล้าพอ คุณก็จะมาถึงร้านของเราค่ะ…คุณโบโลดอฟคงจะลังเลอยู่แถวๆ นี้ทุกครั้งเลยสินะคะ?”


โบโลดอฟหัวเราะเฝื่อน “ยี่สิบปีก่อนผมใช้ความรักของตัวเอง หลังจากมีเงินตั้งตัวเพียงพอแล้ว…จนมาถึงตอนนี้ ก็ยังอยู่ตัวคนเดียว”


เขาส่ายหน้าพูดว่า “หลายปีมานี้ แม้ว่าข้างกายจะมีสาวสวยมากแค่ไหน แต่หัวใจของผมกลับไม่เคยหวั่นไหว ผมคิดว่าความลังเลของผมก็ใช่ว่าจะไม่มีสาเหตุ”


“เป็นแบบนี้นี่เอง” โยวเย่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับหันไปมองนายท่านของเธอเงียบๆ


ตอนนี้โบโลดอฟถึงได้สูดหายใจลึกๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่เจอกันนานนะครับ เจ้าของร้าน”


“แต่ผมคิดว่า พวกเราไม่ได้เจอกันอย่างเป็นทางการ…ใช่ไหมครับ คุณโบโลดอฟ?”


ถึงแม้ว่าหลายวันก่อนผมเพิ่งจะเห็นคุณ แต่คุณมองไม่เห็นผมก็ตาม แต่เจ้าของร้านลั่วก็ยังแอบคิดในใจว่า  ‘ไม่ได้เจอนานกับผีน่ะสิ… ’


______________________________________________________________________________________


*เผ่าเจอร์แมนิก เป็นกลุ่มชนในประวัติศาสตร์ที่เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของยุโรป


บทที่ 63 นี่คือสาเหตุที่คุณกลายเป็นเศรษฐินีงั้นเหรอ?

โดย

Ink Stone_Fantasy

โบโลดอฟได้ยินเสียงนี้ ก็ชะงักไปทันที


เสียงเจ้าของสมาคมไม่เหมือนกับในความทรงจำของเขาเลยสักนิด…เสียงนี้ดูหนุ่มกว่ามาก


 “คุณโบโลดอฟ คนตรงหน้านี้เป็นนายท่านคนใหม่ของพวกเราเองค่ะ”


มีเพียงคุณสาวใช้ที่ตอบความสงสัยของโบโลดอฟด้วยเสียงแผ่วเบา


โบโลดอฟเผลออ้าปากค้าง…ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเจอสมาคมนี้ ก็มีเรื่องให้เขาประหลาดใจไม่หยุดหย่อนจริงๆ


แล้วในเวลานี้เอง


ลั่วชิวก็หยิบผงตะไคร้หอมขวดหนึ่งจากบนชั้นตั้งโชว์ ก่อนดูฉลากสินค้าที่แปะไว้ด้านบน โดยไม่ได้หันไปมอง “คุณโบโลดอฟบอกว่าเคยแวะมาหาสมาคมหลายครั้งแล้ว…มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”


โบโลดอฟลอบมองคุณสาวใช้ที่รูปร่างหน้าตาเหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนแวบหนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่อยากคุยกับเจ้าของคนก่อนเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง”


“ขอคำปรึกษาเหรอครับ?” ลั่วชิวถามอีก


“ก็ประมาณนั้นครับ”


โบโลดอฟพยักหน้ารับเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาประชดหรือหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ “ถ้าปรึกษากับสมาคม ผมรู้สึกเหมือนมันจะได้ผลน่ะครับ”


“แม้ว่าผมกับเขาจะไม่ใช่คนเดียวกัน” ลั่วชิววางขวดในมือกลับไปที่เดิม แล้วก็หยิบอีกขวดหนึ่งขึ้นมา “แต่ว่า เนื้อหาของงานก็ไม่ต่างกันครับ คุณโบโลดอฟอย่าระแวงไปเลย”


โบโลดอฟนิ่งเงียบไปนาน ก่อนเริ่มพูดอีกครั้ง “ผมอยากรู้ สมมติว่าคุณต้องการทำเรื่องหนึ่ง แต่มันดันขัดกับความตั้งใจเดิมของคุณแบบสุดโต่ง ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้คุณไปถึงเป้าหมายได้ทันที…ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกเดินอ้อม หรือก้าวต่อไปข้างหน้าครับ?”


ลั่วชิวตอบอย่างเฉยเมยว่า “แล้วทำไมต้องสมมติว่าเป็นผมด้วยล่ะครับ? คุณโบโลดอฟ จะให้ค่าพิจารณากับผมหรือครับ?”


โบโลดอฟอึ้งไป


จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองถามคำถามโง่เขลาไปเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยแลกเปลี่ยนกับสมาคมแห่งนี้ จนเขาได้รับเงินทุนจำนวนมหาศาลมา ในใจลึกๆ ย่อมรู้สึกเคารพยำเกรงวิธีการอันลึกลับของสมาคมมาโดยตลอด


สมาคมแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยพลังลึกลับ หากเจ้าของสมาคมคิดจะทำเรื่องหนึ่ง…ก็คงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร


“ไม่มีให้หรอกครับ” โบโลดอฟส่ายหน้า จู่ๆ ก็หัวเราะเยาะตนเองว่า “ไม่มีค่าอะไร…ผมถามคำถามโง่ๆ ออกไปจริงๆ”


“คุณ…คุณคิดว่าผมจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้ไหมครับ?”


ลั่วชิวได้ยินโบโลดอฟยิงคำถามมาอีกแล้ว


แต่ลั่วชิวกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน แล้ววางขวดที่อยู่ในมือลงอีกครั้ง ก่อนหยิบขวดใบที่สามออกมาเริ่มอ่านตัวหนังสือบนฉลาก


โบโลดอฟก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่กลับพึมพำดูไม่มั่นใจ “ตอนนั้น หลังจากผมได้รับเงินทุนก้อนนั้นแล้ว ผมก็อาศัยการลงทุนต่างๆ จนผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ผมมีทรัพย์สินมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่า เรียกได้ว่ามหาศาลเลย แต่ว่า…ก็ผ่านไปยี่สิบปีแล้ว”


โบโลดอฟหัวเราะอย่างขมขื่น “ใช้เวลาเก็บเงินทุนตัวคนเดียวไปครึ่งค่อนชีวิตแล้ว แต่ผมกลับไม่รู้สึกพอเลยสักนิด…ผมยังต้องปีนขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเส้นชัยที่ทุกวันนี้ผมยังมองไม่เห็น”


“บางครั้งผมก็คิดว่า ผมจะประสบความสำเร็จได้หรือเปล่า…หรือผมจะทำเรื่องทุกอย่างได้ตามเป้าหรือไม่” โบโลดอฟถอนหายใจพูดต่อ “ผมไม่รู้เลยว่า สุดท้ายแล้วผมจะเดินต่อไปไหวไหม”


ในที่สุดเขาก็หยุดพูด แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ จากเจ้าของสมาคมคนใหม่อยู่นาน


ดูเหมือนว่าในที่สุดเจ้าของสมาคมคนใหม่ก็หาของถูกใจได้ หลังจากเลือกเครื่องหอมเป็นขวดที่สาม เขาจึงใส่ลงตะกร้าในมือของคุณสาวใช้


หลังจากนั้น…เขาก็เดินไปถึงบนตู้โชว์อีกตู้หนึ่ง


โบโลดอฟนิ่งอึ้งไป เขารู้สึกเหมือนถูกมองข้าม จนเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว เพียงแต่ความรู้สึกนี้กลับค่อยๆ สงบลงตามเวลาที่หมุนไป


สงบลงรวดเร็วชนิดที่ว่าเขาเองก็คาดไม่ถึง


“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมครับ” จู่ๆ ลั่วชิวก็ถามขึ้น หลังจากบิดฝาเปิดผงหอมข่าขวดหนึ่งออกแล้วก็ก้มหน้าดม


โบโลดอฟขยับริมฝีปากเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เผลอพยักหน้าเล็กน้อย


แล้วลั่วชิวถึงได้พูดเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ลืมแล้วว่าใครเขียน ในหนังสือเขียนไว้ว่า ถ้าเป็นผู้ให้คำปรึกษา แต่ตอนแนะนำไม่อยากใส่ความคิดเห็นส่วนตัวมากจนเกินไป ถ้าอย่างนั้นแค่ช่วยรับฟังผู้ขอคำปรึกษาก็พอ”


เขาวางผงหอมขิงในมือลงไปในตะกร้าที่โยวเย่ถือ แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นอีกว่า “ในเมื่อตอนแรกคุณโบโลดอฟเลือกใช้ความรักมาแลกเป็นค่าธรรมเนียม ก็พอมองออกว่าคุณต้องการเงินทุนก้อนนั้นมากจริงๆ…เพื่อทำสิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้นผมคิดว่า คุณจะเดินก้าวนี้หรือไม่ คุณน่าจะรู้ตัวเองดี โดยเฉพาะคุณเคยตัดสินใจไปแล้วครั้งหนึ่ง อืม ยังต้องการตัวช่วยเพื่อก้าวเดินนี้หรือเปล่าครับ?”


 “ไม่ครับ” โบโลดอฟส่ายหน้าเบาๆ ราวกับว่าปล่อยวางได้แล้ว “ไม่ต้องการเลยจริงๆ ครับ และก็ไม่จำเป็นด้วยครับ…อันที่จริงผมแค่อยากหาคนรับฟังเท่านั้น ขอบคุณที่ยินดีรับฟังเรื่องของผมนะครับ”


 “ด้วยความยินดีครับ” ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมย “ถือว่าเป็นบริการหลังการขายอย่างหนึ่งครับ”


 “ถ้ามีโอกาส ผมจะมาอีกแน่นอนครับ” โบโลดอฟสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกหนึ่ง แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม พร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อยไปทางลั่วชิวที่หันหลังให้


จากนั้นโบโลดอฟก็เดินไปตรงหน้าโยวเย่อีกครั้ง เขายิ้มเล็กน้อยพลางพูดว่า “คุณโยวเย่ คุณยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ เพื่อแสดงความเคารพของผม…อืม ผมมีคฤหาสถ์หลังหนึ่งอยู่ริมทะเลสาบลาโดกาในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก หากไม่รังเกียจ ยินดีต้อนรับคุณไปพักผ่อนที่นั่นเสมอนะครับ มันเป็นของคุณแล้ว ถ้าอย่างนั้น…ขอตัวก่อนนะครับ”


ดูเหมือนว่าโบโลดอฟจะสบายใจแล้ว จึงก้าวออกจากร้านเล็กๆ นี้ไปด้วยใจนิ่งสงบ


 “เมื่อก่อนคุณโบโลดอฟเป็นนายทหาร เคยเข้าร่วมสงครามเชชเนียในช่วงเริ่มต้น…ดูเหมือนว่าบ้านเกิดของเขาถูกทำลายไม่เหลือซากจากไฟสงครามครั้งนั้น คนในครอบครัวตายหมดแล้ว”


จู่ๆ โยวเย่ก็เล่าเรื่องของเขา


 “อุดมการณ์ของคนคนเดียวไม่อาจสั่นคลอนอุดมการณ์ของทั้งประเทศได้…วิญญาณดวงเดียวก็ไม่เพียงพอจะเปลี่ยนวิถีของประเทศหนึ่งได้เหมือนกัน” ลั่วชิวยักไหล่ “ดูท่าคงจะทำการค้ากับคุณโบโลดอฟคนนี้ได้ยากซะแล้ว แต่ว่า…”


สายตาลั่วชิวทอดมองมาที่คุณสาวใช้อย่างตะลึงงัน


จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดที่คุณสาวใช้เคยพูดไว้ว่า ‘อืม บางครั้งก็จะเจอลูกค้าที่มีไมตรีจิตสักหน่อย ส่งของขวัญเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างให้ค่ะ’


นี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นเศรษฐินี…และน่าจะเป็นมหาเศรษฐินีคนหนึ่งเลยล่ะสินะ?


ของขวัญเล็กๆ…คฤหาสน์ริมทะเลสาบหลังหนึ่งเลยเนี่ยนะ


 “นายท่าน?” คุณสาวใช้เดาความคิดของเจ้าของร้านลั่วไม่ออก


ลั่วชิวกลับยิ้ม ตบตะกร้าซื้อของที่โยวเย่ถืออยู่เบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันเอาแค่นี้แล้วกัน เธออยากได้อะไรก็เลือกเอาเลย”


เขาดีดนิ้วเสียงดังทีหนึ่ง


วินาทีที่เสียงดีดนิ้วดังขึ้น บริเวณรอบๆ ก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ด้านนอกยังคงมีรถสัญจรไปมาเต็มถนน


ตอนที่คิดเงิน ลั่วชิวก็พูดขึ้นทันที “สถานีต่อไปเป็นเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นไง? ถ้าได้พักผ่อนในคฤหาสน์ริมทะเลสาบก็คงวิเศษไปเลย กว่าจะถึงกำหนดกลับก็ยังพอมีเวลาอยู่บ้าง อย่าหายใจทิ้งไปเปล่าๆ เลย”


 “ค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปวางแผนเส้นทางนะคะ”




 “ท่าน ท่านกลับมาแล้ว”


เลขาเห็นโบโลดอฟเดินกลับมา ก็โล่งอกทันที เขากังวลมากว่าเจ้าของบริษัทจะเป็นอะไรไป ยังไงเจ้าของก็เป็นส่วนสำคัญของบริษัท


ธุรกิจแบบนี้ มีอนาคตที่ยากจะจินตนาการได้


โบโลดอฟเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ขึ้นรถไป หลังจากเข้าไปนั่งแล้ว เขาก็พูดทันทีว่า “กลับบริษัท ต่อไปพวกเราต้องยุ่งกันอีกนานเลยล่ะ จริงสิ ผมขอรายชื่อนายทหารที่คุณพูดถึงคราวก่อนด้วยนะ”


 “อีกอย่าง เรื่องโครงการที่แก้ระบบขนส่งทางน้ำ ก็เริ่มดำเนินการแล้วใช่ไหม ถึงไม่ได้แต่งตั้งให้อย่างเป็นทางการ แต่ผมต้องเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้า…อืม คืนนี้ช่วยนัดนายกเทศมนตรีให้ผมหน่อย ดูว่าเขาว่างหรือเปล่า แล้วขอนัดกินข้าวสักมื้อ”


เลขาอึ้งไป แล้วจึงรีบพยักหน้ารับเล็กน้อย…รู้สึกว่าหลังจากเจ้าของไปเดินเล่นเพียงลำพังรอบเดียว ก็มีแรงใจในการทำงานเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว


นี่กะจะอัดตารางเวลาแน่นเอียดเลยสินะ เล่นอัดเรื่องของสองวันไว้ในวันเดียวเลยเหรอ?


 “ทราบแล้วครับท่าน!”



สนามบิน


เยียร์เกอร์หิ้วถุงสัมภาระใบหนึ่งอยู่ บนตัวยังสะพานกระเป๋าเป้ใบใหญ่ๆ อีกใบหนึ่ง เขากำลังวิ่งอยู่ท่ามกลางผู้คน ในที่สุดก็ผ่านขั้นตอนขึ้นเครื่องได้สำเร็จ ก่อนหาที่นั่งของตนเองเจอด้วยความช่วยเหลือของพนักงานบนเครื่องบิน


ในที่สุดก็ได้นั่งลงเสียที


เยียร์เกอร์รู้สึกโล่งอกเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นดีใจอยู่บ้าง เขารู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะย่างกรายสู่ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าตื่นเต้นเร้าใจกว่าเดิม


แต่ก็มีเรื่องที่เขาอดห่วงไม่ได้เช่นกัน นั่นก็คือเรื่อง ‘อาการป่วย’ แปลกๆ ของเขา


เขารู้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ว่าพอโกรธถึงขีดสุดก็จะเริ่มกลายร่าง เขาจึงต้องพยายามเก็บความลับนี้ไว้ตลอดเวลา


บอกไม่ได้ว่าหากมีคนพบเห็นเข้าแล้วจะมีผลลัพธ์อะไรตามมา…มนุษย์หมาป่าป่วนเมืองเหรอ? บางครั้งเขาก็เคยคิดว่า บนโลกใบนี้จะมีพวกเดียวกับเขาอยู่บ้างไหม และยังคิดว่าถ้าเจอแล้วจริงๆ เขาควรจะทำอย่างไร


สาเหตุหลักๆ ที่เข้ามาเป็นตำรวจก็คือ ต้องการเข้าถึงข้อมูลที่คนทั่วไปไม่สามารถอ่านดูได้


แต่เห็นได้ชัดว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นตำรวจสายสืบมาหลายปีแล้ว แต่เขากลับไม่เจอข้อมูลที่มีประโยชน์เลย เขาหวังว่าตัวเองจะได้ข้อมูลลับจากการเข้าไปอยู่ในองค์กรระหว่างประเทศของทางฝรั่งเศส


อย่างเช่น…เหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์?


“คุณเยี่ยอยู่ไหนกันนะ?” เยียร์เกอร์พูดพึมพำกับตัวเอง


“ผมคิดว่าคุณเยี่ยคนนั้นน่าจะอยู่ข้างๆ คุณนี่แหละ”


จู่ๆ ข้างที่นั่งของเขาก็มีเสียงพูดดังขึ้น เป็นภาษารัสเซียที่เพี้ยนมากเลยก็ว่าได้


“งั้นเหรอครับ? อยู่ข้างๆ ผมนี่เองเหรอครับ!” เยียร์เกอร์พยักหน้าขอไปที “อยู่ข้างๆ ผมนี่…คุณ คุณเยี่ย! ทำไม ทำไมคุณถึงมาอยู่ตรงนี้ได้?”


เยี่ยเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ วางหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วยื่นมือออกมา ลุงอายุสามสิบกว่าปีเผยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล “สวัสดีครับ ผมคือเยี่ยเหยียน ผมจะบอกคุณไว้ล่วงหน้า ต่อไปนี้ผมจะเป็นคู่หูของคุณ”


“คู่ คู่หู???”


คุณวิคเตอร์…เพื่อนคุณคนนี้น่ากลัวเหลือเกินครับ!!



“เวร่า! เวร่า! เรียบร้อยหรือยังครับ? ต้องออกรถไปสนามบินแล้ว!”


เสียงวิคก้าดังออกมาจากด้านนอกประตูห้อง


“ใกล้แล้ว”


เวร่าตอบส่งๆ ไป เธอสวมชุดสูทเท่ทั้งตัว กำลังส่องกระจกคิดจะหวีผมตัวเองให้เหมือนลีโอนาโด (เวอร์ชั่นหนุ่ม)


แต่เธอไม่ทันได้สังเกตว่าการ์ดดำที่เธอเคยเขวี้ยงออกไปเป็นไพ่บินแล้วร่วงอยู่มุมผนัง ในชั่วพริบตานี้มันจะลอยขึ้นมา แล้วเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัมภาระของเธอทันที


ในที่สุดเธอก็หวีผมเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็จับกระเป๋าเดินทางตั้งขึ้นแล้วลากออกจากประตูไป


บทที่ 64 เรื่องราวน่าอัศจรรย์และเรื่องราวบนขบวนรถไฟ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เคียฟ เมืองหลวงประเทศยูเครน


มันสร้างขึ้นบนหน้าผาดินสีน้ำตาล สีดำและสีดินแดง แต่ไม่ได้สร้างชิดติดภูเขา แต่สร้างลึกเข้าไปอยู่ในตัวภูเขาเลย และมันก็ใหญ่โตพอสมควร ถึงแม้มองจากที่ไกลๆ ก็ยังเห็นเมืองนี้ได้ชัดเจน


กำแพงสีขาวด้านนอกดูเหมือนกำลังซ่อนความหมายบางอย่างเอาไว้ อีกทั้งสไตล์เรียบง่ายก็เหมือน แสดงจุดยืนของตัวมันเอง


            มันคือ สำนักฝึกบาทหลวงถ้ำคีฟเปเชิร์สกลาวรา


            อนาโตลี่ตามซัลลิแวนกลับไปถึงสำนักฝึกบาทหลวงแห่งนี้ได้สามวันแล้ว


            สามวันนี้ อนาโตลี่ไม่ได้พบซัลลิแวนอีกเลย ดูเหมือนว่าเขาได้เข้าไปในสถานที่ส่วนลึกสุดด้านในของสำนักฝึกบาทหลวงแล้ว ในนั้นคือสถานที่ที่ถึงแม้เขาจะเป็นนักศึกษาจบจากที่นี่ก็ไม่เคยเข้าไปจนกระทั่งทุกวันนี้


            ที่เล่าขานกันว่า…เป็นเขตหวงห้าม ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เป็นที่เล่าลือกันในหมู่พวกนักศึกษาตั้งแต่สมัยที่เขายังเรียนอยู่ที่นี่แล้ว


            ถึงแม้จะรู้ว่าส่วนใหญ่ก็แค่การคาดเดาของพวกนักศึกษาด้วยกัน แต่บาทหลวงอาวุโสของสำนักฝึกบาทหลวงก็ไม่เคยชี้แจงอย่างเป็นทางการเช่นกัน ดังนั้นหลายปีมานี้ ก็เลยเล่าต่อๆ กันมาแบบนี้


            ‘มีเพียงคนที่ได้รับพระเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ถึงสามารถเข้าไปได้’


            อนาโตลี่เป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เล็กๆ เขาถูกทิ้งไว้แถวๆ สำนักฝึกบาทหลวง ต่อมาบาทหลวงอาวุโสคนหนึ่งก็เก็บเขามาเลี้ยง เรียกได้ว่าเขาเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ


            ตอนที่บาทหลวงคนนั้นเจอเขาดูเหมือนจะเป็นช่วงรุ่งอรุณที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพอดี ดังนั้นบาทหลวงอาวุโสจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘อนาโตลี่’


            ซึ่งมีความหมายว่าพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง


            ชีวิตในสำนักฝึกบาทหลวงนั้นเรียบง่ายมาก เรียบง่ายเสียจนเหมือนย้อนกลับไปในสังคมยุคโบราณ เขาเติบโตอยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็กๆ รับศีลล้างบาป จากนั้นก็กลายเป็นบาทหลวงอย่างเป็นทางการ สุดท้ายยังได้รับการยอมรับจากอธิการด้วยผลการเรียนตลอดยี่สิบปีที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นเดียวกัน


            เขาคือผู้มีพรสวรรค์ที่ผู้คนกล่าวขานถึง แต่เขากลับคิดว่า เขาก็แค่ขยันกว่าคนรอบข้างเล็กน้อยเท่านั้น


“อนาโตลี่ อยู่ไหม?”


            ตอนที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อนาโตลี่กำลังสวดภาวนาอยู่ โดยปกติแล้ว เขาก็จะสวดภาวนายามว่างอยู่เสมอ


            มันทำให้เขาได้ปล่อยวางความคิดของตนเอง และสามารถได้ยินคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง


            “อธิการบอกว่า ให้เชิญคุณไปที่ห้องหมายเลขสิบสามครับ”


            เขตหวงห้ามเหรอ?



            อนาโตลี่ได้พบซัลลิแวนและอธิการคนที่มาอวยพรเขาในวันจบการศึกษา…รวมถึงบาทหลวงอาวุโสที่เก็บเขามาจากโลกที่อ้างว้าง และเลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ด้วย


            “อนาโตลี่ ลูกพ่อ มานี่สิ” ตอนนี้บาทหลวงอาวุโสที่เลี้ยงเขามากำลังส่งยิ้มเล็กน้อย พร้อมกวักมือเรียกเขา


            อนาโตลี่เดินมาตรงหน้าคนทั้งสาม แล้วเขาก็เริ่มสังเกต ‘ห้องประชุมหมายเลขสิบสาม’ แห่งนี้ เขาพบว่าที่นี่ดูออกจะเก่าแก่มาก และมีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้…ได้ผลดีกว่าตอนที่เขาสวดภาวนามากนัก


            แต่ในความเป็นจริงนั้น ห้องประชุมหมายเลขสิบสามนี้…ไม่ได้มีลักษณะเป็นห้องประชุมเลย


            พูดกันตามจริงแล้ว ที่นี่เป็นแค่ห้องที่สร้างจากหิน บนผนังรอบๆ แขวนเชิงเทียนเอาไว้ และตรงกลางห้องมีฐานกลมๆ ตั้งอยู่อันหนึ่ง


            เวลานี้ซัลลิแวนก็อยู่ตรงกลางฐานกลมๆ แห่งนี้ และกำลังรอให้เขาไปหา


            อธิการและบาทหลวงอาวุโสยืนอยู่ข้างซ้ายและขวาของซัลลิแวน ตอนที่อนาโตลี่มาถึงตรงหน้าทั้งสามคนแล้ว จู่ๆ บาทหลวงอาวุโสก็ยื่นมือออกมา แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “อนาโตลี่ ลูกพ่อ คุกเข่าลงสิ”


            อนาโตลี่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วคุกเข่าลงบนพื้นทันที


            ตอนนี้เองบาทหลวงอาวุโสก็พูดต่อว่า “ลูกหลับตาเสียเถอะ แล้วก็สวดภาวนาในใจ ตั้งในฟังให้ดี”


            อนาโตลี่ค่อยๆ หลับตาของตนเองลง


            แล้วอธิการกับบาทหลวงอาวุโสก็ค่อยๆ ถอยหลังไปอยู่ตรงขอบของฐานวงกลม ก่อนก้มศีรษะและหลับตาลงพร้อมกัน


            เพราะหากพวกเขาเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตาก็จะถือว่าสบประมาท


            ฉับพลันนั้นบนฐานวงกลมก็เปล่งแสงออกมา ก่อนที่ซัลลิแวนจะย่างกรายเข้ามาหยุดตรงหน้าอนาโตลี่ สองมือของเขากางออก แล้วตัวก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น


            เขากำลังลอยขึ้นไป


            ในชั่วพริบตานั้นเองภายในห้องประชุมหมายเลขสิบสาม ก็สว่างจ้าจากแสงบนตัวของซัลลิแวน และตอนนี้ขนนกสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ก่อนร่วงหล่นสู่พื้นของห้องประชุม


            ปีกเทพเรืองแสงละมุนคู่หนึ่งบนแผ่นหลังซัลลิแวนกำลังกางออกอย่างช้าๆ ในที่สุดซัลลิแวนก็ลืมตาขึ้น


            นัยน์ตาของเขาได้ปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนแล้ว


            และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลำแสงสีทองจากฐานวงกลมกลางห้องประชุมก็สาดแสงอาบลงมาบนตัวอนาโตลี่…ทำให้เขาเหมือนล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรสีทอง


            เขารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและพระเมตตาอันเปี่ยมล้น


            อนาโตลี่คล้ายมัวเมาไปกับความรู้สึกที่แทรกซึมอยู่ในดวงจิตของเขา จนหลงลืมเวลาที่หมุนเวียนไป


            และในตอนนี้เอง!


            ดูเหมือนว่าเขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกโกรธแค้น รวมทั้งความแน่วแน่บางอย่าง…ที่เขาเองก็ไม่แน่ใจ ฉับพลันนั้น ความรู้สึกอบอุ่นและเมตตาก็หายวับไปในพริบตา


            ตัวเขาเหมือนเผชิญอยู่กับพันธนาการอันหนักอึ้งนี้ อนาโตลี่จึงลืมตาทั้งสองข้างของตนขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เขารู้ว่าความทรงจำของเขามีปัญหาบางอย่างซะแล้ว ซัลลิแวนรวมทั้งอธิการเอาจริงเอาจังแบบนี้ ก็เพื่อช่วยเขาปลดปล่อยความทรงจำในส่วนลึก


            แต่ดูเหมือนว่า ถึงแม้จะกลับมาถึงสำนักฝึกบาทหลวงแล้ว และยังเข้ามาถึงห้องประชุมหมายเลขสิบสามแห่งนี้…แต่เขาก็ยังฟื้นความจำที่หลงลืมไปไม่ได้


            “ท่านซัลลิแวนครับ?” อนาโตลี่สุขุมอย่างที่สุด และมองคนตรงหน้าตนเองด้วยความงุนงง


            เหตุการณ์อัศจรรย์รอบตัวได้หายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ซัลลิแวนเพียงแค่หลับตายืนอยู่ตรงที่เดิม…สีหน้าดูซีดขาวลงไปบ้างเล็กน้อย


            ขณะเดียวกันหลังจากอธิการและบาทหลวงอาวุโสได้ยินเสียงอนาโตลี่ ก็ตกใจจนลืมตาขึ้นมา


            แล้วซัลลิแวนก็พูดเรื่องน่าตกใจเล็กน้อยว่า “อนาโตลี่ คุณถูกบางอย่างครอบงำ คุณต้องชำระบาปในตัวคุณ อธิการตัดสิทธิ์อำนาจแห่งพระผู้เป็นเจ้าบนตัวเขาเสีย หลังจากนี้อีกสามวัน ผมจะชำระดวงวิญญาณแปดเปื้อนบนตัวเขาด้วยตัวเอง”


            อนาโตลี่ขยับริมฝีปาก


            เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จิตใจสงบนิ่งตลอดยี่สิบปีของเขา เริ่มหวั่นไหวแล้ว


            เขาไม่เข้าใจ


            แล้ว…การฟื้นความจำที่บอกไว้ล่ะ?




            “เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ในป่าทึบมีปีศาจแสนจิตใจดี แต่หน้าตาอัปลักษณ์ตัวหนึ่ง”


            คุณแม่วัยสาวกำลังเล่านิทานให้ลูกสาวตัวน้อยที่ร้องงอแงฟัง บนขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


            “ต่อมา ปีศาจได้เจอเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นไม่ได้กลัวมัน แต่ใจดีกับปีศาจตนนั้น จนทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ปีศาจจะเก็บผลไม้รสหวานที่สุดจากในป่าทึบ ตักน้ำแร่ใสสะอาดมาให้เด็กหญิงกินทุกๆ วัน แต่ว่าเด็กหญิงต้องรับปากว่าจะไม่บอกคนอื่น”


            ลูกสาวในอ้อมกอดค่อยๆ เริ่มสนใจนิทานเรื่องนี้ ผู้เป็นแม่ยังคงอ่านนิทานต่อไป “ผ่านไปหลายวันแล้ว เด็กหญิงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยมีปีศาจเป็นเพื่อนเล่น แต่แล้ววันหนึ่ง เด็กหญิงก็ให้สีญญาอย่างไร้เดียงสากับปีศาจตนนั้นว่า ในวันที่เธออายุครบสิบแปดปี เธอจะแต่งงานกับปีศาจตนนี้”


            “ต่อมาเด็กหญิงได้ย้ายตามครอบครัวไปโดยไมได้บอกลาปีศาจตนนั้น ปีศาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่มันยังคงเก็บผลไม้ที่ดีที่สุดและเก็บน้ำแร่รสหวานที่สุดมาให้ แต่ทว่ามันกลับไม่เห็นเด็กหญิงคนนี้อีกเลย”


            ลูกสาวในอ้อมกอดฟังมาถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าเศร้าสลด


            ผู้เป็นแม่ลูบใบหน้าเรียวรูปไข่ของเธอเพื่อปลอบใจ แล้วเล่าต่อด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มันคอยนับวันตลอด ใช้กรงเล็บกรีดทำเครื่องหมายบนบ้านต้นไม้ที่มันกับเด็กหญิงเคยสร้างไว้ด้วยกัน ผ่านไปหนึ่งวัน มันก็ขีดหนึ่งขีด แล้วก็เป็นแบบนี้ทุกๆ วัน ทันใดนั้นวันหนึ่ง ปีศาจตนนั้นก็พบว่าเวลาล่วงเลยมาถึงวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของเด็กหญิงแล้ว แต่ในวันนั้น มันก็ยังคงไม่เห็นเด็กหญิงกลับมา”


            พอได้ฟังมาถึงตรงนี้ ลูกสาวก็ยู่ปากแล้วพูดว่า “แม่คะ ปีศาจตนนี้น่าสงสารจังเลยค่ะ! มันจะไม่ได้เจอเด็กหญิงคนนั้นอีกแล้วเหรอคะ?”


            แล้วแม่ก็ตอบเธออย่างอ่อนโยนว่า “ต่อมาก็ได้เจอกันจ้ะ ในที่สุดปีศาจตนนั้นก็รวบรวมความกล้าออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ มันเข้าไปปะปนอยู่กับผู้คน ตามหาเด็กหญิงไปเรื่อย จนในที่สุดมันก็ได้พบกับเด็กหญิงคนนี้แล้ว แน่นอนว่า เด็กหญิงอายุครบสิบแปดปีแล้ว และเป็นสาวน้อยที่งดงามมากคนหนึ่ง”


            “งั้น ปีศาจกับสาวน้อยก็ได้แต่งงานกันแล้วเหรอคะ?”


            ผู้เป็นแม่กำลังคิดจะเล่าตอบการรอคอยของลูกสาว


            คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นทันที “ไม่ได้แต่งงานกัน! สาวน้อยรักคนอื่นแล้ว ปีศาจก็เลยกินสาวน้อยไปในคำเดียวด้วยความโกรธแค้น จากนั้นก็กลายเป็นชายรูปงาม แล้วก็พบกับรักแท้ครั้งใหม่ทันที!”


            ขณะที่พูดอยู่นั้น ผู้เป็นพ่อยังกางมือสองข้างออก แยกเขี้ยวยิงฟันโน้มตัวเข้ามาใกล้ลูกสาวตนเอง “กินลูก พ่อก็จะได้เปลี่ยนเป็นชายรูปงามไงล่ะ! ฮ่าๆ!”


            “อ๊า!”


            ลูกสาวสะดุ้งตกใจจนกระโดดหนีจากอ้อมกอดแม่ทันที แต่ไม่ทันไรเธอก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง แล้วตัวเธอก็เซกำลังจะล้มลงไปกับพื้น


            “ระวัง”


            ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ล้มหรอก แต่พยุงตัวยืนขึ้นมาได้อย่างมั่นคง เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมา เอียงศีรษะมอง สิ่งที่เห็นคือพี่ชายวัยรุ่นที่รูปร่างหน้าตาต่างจากพ่อแม่ของเธอ


            ผมสีดำ นัยน์ตาสีดำ สำหรับเด็กหญิงแล้วไม่ได้พบเห็นคนลักษณะแบบนี้บ่อยนัก


            “ขอโทษค่ะคุณ!” ผู้เป็นแม่เห็นเหตุการณ์ก็รีบลุกจากที่นั่ง กล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดว่า “สามีของฉันแกล้งหยอกลูกเล่นน่ะค่ะ ไม่คิดว่าลูกจะตกใจจนไปชนคุณเข้า ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ”


            ขณะพูดอยู่นั้น ผู้เป็นแม่ก็จ้องสามีของตนด้วยสายตาตำหนิ


            “ไม่เป็นไรครับ” พี่ชายวัยรุ่นยิ้มแล้วลูบศีรษะเด็กน้อย ก่อนพูดขึ้นทันทีว่า “ตอนจบของนิทานที่สามีของคุณผู้หญิงเล่า สนุกสุดๆ เลยล่ะครับ”


            “หา?” พ่อของเด็กหญิงชะงักไป…อึ้งไม่รู้ว่าควรจะตอบชายหนุ่มชาวตะวันออกคนนี้ไปอย่างไรดี


            เขาได้แต่ยิ้มอย่างเก้อเขิน


            “จริงสิ นิทานเรื่องนี้แต่งขึ้นเป็นครั้งแรกเหรอครับ?” จู่ๆ พี่ชายวัยรุ่นก็ถามอย่างแปลกใจ


            ผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงรีบโบกมือตอบ “ไม่ใช่หรอกครับ ยังไงก็เป็นนิทานที่เคยได้ยินคนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังสมัยเด็กๆ ส่วนตอนจบนั่นผมก็แค่พูดส่งๆ คุณอย่าถือสาเลยครับ”


            “งั้นเหรอครับ…งั้นไม่รบกวนแล้วครับ”


            เด็กหญิงมองดูพี่ชายคนนี้เดินไปข้างหลัง จากนั้นปีนขาของคุณพ่อ แล้วโผล่หัวขึ้นมาบนพนักพิง มองเห็นพี่ชายนั่งอยู่ตรงเบาะหลังห่างออกไปห้าหกแถว เธอทำปากจู๋ แล้วก็ก้มหน้ามาพูดกับแม่ของตนเองทันที “แม่คะ! ตรงนั้นมีพี่สาวสวยมากๆ ด้วยค่ะ!”


            “เอาล่ะๆ ใกล้ถึงสถานีหน้าแล้ว นั่งให้เรียบร้อยหน่อย! อีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านคุณย่าของลูกแล้ว!”


            ผู้เป็นแม่พูดเสียงเคร่งขรึม ขณะเดียวกันก็บิดหูสามีของตนเองที่กำลังคิดจะหันไปมองด้านหลังให้หันกลับมา


            ในที่สุดขบวนรถไฟก็หยุดลง


            ถึงสถานีเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้ว


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม