ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 589-595

 ตอนที่ 589 ฮีโร่ก็เคารพฮีโร่ด้วยกันเอง


 


 


พวกเขาใช้เวลาเดินทางไปที่หลัวปู้พัวกันหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ พวกนักเรียนห้องเต้าหยวนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มแรกและกลุ่มที่สองคงจะไปถึงโบราณสถานกันแล้ว


 


 


การที่โบราณสถานหลัวปู้พัวนี้ถูกค้นพบขึ้นนับเป็นเรื่องบังเอิญมาก เพราะพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่และมักถูกใช้เป็นสถานที่ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ ขนาดนักวิทยาศาสตร์เองยังไม่ค่อยมาที่นี่เลย


 


 


ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าโบราณสถานหลัวปู้พัวนั้นจะมีข่าวดีมาให้เมื่อไหร่ ตอนสถานที่นี้ถูกค้นพบก็เกือบจะถูกเปิดออกอยู่แล้ว


 


 


เนี่ยถิงอนุญาตให้นักเรียนห้องเต้าหยวนที่มีความสามารถมากกว่าระดับ E ขึ้นไปสามารถมาเข้าร่วมได้ เหตุผลหนึ่งก็คือให้พวกเขาได้มาฝึกฝน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าช่วงนี้มีผู้บุกรุกเข้ามาที่ชายแดนเยอะมาก ไม่มีใครรู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือบาทหลวงของฝ่ายศรัทธาหายไปที่ไหน และเนี่ยถิงเองก็ยังไม่กล้าเชือดไก่ให้ลิงดูแบบไม่ระมัดระวังเลย


 


 


เพราะฉะนั้นนักเรียนห้องเต้าหยวนถึงได้รับอนุญาตให้มาได้ ส่วนพวกเครือข่ายฟ้าดินก็มีความรับผิดชอบในการปกป้องดินแดนของตัวเอง


 


 


หลี่ว์ซู่ที่เพิ่งได้ยินคำเยาะเย้ยจากเจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ นั้นไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เขาพยายามจะล้วงเอาข้อมูลจากพวกเขา “พวกนายเคยได้ยินชื่อหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่วป่ะ”


 


 


สีหน้าของเจียงเฟิงและหลี่เจียนเหรินเปลี่ยนไปทันที “เราเอาชนะหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้หรอก แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรนี่นา เธออยู่ตั้งระดับ C เชียวนะ! เพราะงั้นมันก็ไม่น่าอายหรอกที่เราจะเอาชนะเธอไม่ได้! แต่อย่าคิดว่าเราแพ้เธอแล้วเราจะสั่งสอนนายไม่ได้นะ ถ้านายได้ไปฝึกทหารจริงๆ มันก็เหมือนกันแหละ แถมการเจ็บตัวระหว่างการต่อสู้จริงๆ น่ะธรรมดาออก”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +199!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่เจียนเหริน +199!]


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้แต้มอารมณ์จากพวกเขามาก็ชะงักไป งั้นที่เจ้าพวกนี้ต้องเจ็บตัวไปนอนโรงพยาบาลก็เพราะโดนเสี่ยวอวี๋อัดมางั้นเหรอ…


 


 


เขาแค่อยากรู้เฉยๆ ว่าเสี่ยวอวี๋เป็นยังไงบ้างที่ค่ายฝึกซ้อม แต่พวกเขากลับคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเอาเรื่องเสี่ยวอวี๋มาเยาะเย้ยพวกเขาซะอย่างนั้น…


 


 


“พวกนายมีกันตั้งมากเท่านี้แต่ก็ยังเอาชนะเธอไม่ได้เหรอ ตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เธอจริงๆ หรือเปล่าน่ะ” หลี่ว์ซู่สงสัย ถ้าเสี่ยวอวี๋ไม่ได้ใช้แอนโธนี่และจอห์นสันแล้ว เธอก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าคนระดับ C ธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนะ


 


 


เด็กนักเรียนอีกคนตอบมาตามตรง “เราคิดวิธีการต่างๆ นานาพุ่งเป้าไปที่เธอแล้ว แต่เวลามีไม่มากพอให้เราประสานทีมได้ ก็เลยไม่ได้ข้อสรุปแผน แถมความสามารถเธอยังแซงหน้าพวกเราไปมาก เธอทำลายรูปแบบการจัดตำแหน่งทีมต่อสู้ของเราได้ง่ายๆ เลย แล้วกลุ่มผู้หญิงก็มีทีมเวิร์กดีกว่าเรา ฮึกเหิมกว่าเรามาก ทั้งดุดันและกระโชกโฮกฮาก เราเอาชนะไม่ได้เลย”


 


 


หลี่ว์ซู่เม้มปาก งั้นนี่ก็เป็นสถานการณ์ที่ค่ายทหารจริงๆ สินะ


 


 


ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเสี่ยวอวี๋ไปเอาแต้มอารมณ์จากเด็กผู้ชายมากมายมาจากไหน เธอได้มาจากการอัดคนอื่นในการฝึกการต่อสู้นี่เอง หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกเสียใจเล็กๆ ถ้าเขารู้ว่าการค่ายฝึกทหารจะได้แต้มอารมณ์มากขนาดนี้ เขาคงขอไปฝึกเองตั้งนานแล้ว


 


 


“แต่ถึงเราโดนเธออัดเราก็ยังเคารพเธออยู่นะ” เจียงเฟิงพูดอย่างเย็นชา “เธอไม่ได้เอาสายเลือดของเธอมาโน้มน้าวคนอื่นนี่ เธอใช้ความสามารถล้วนๆ”


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังถูกประชดประชันอยู่ หลี่เจียนเหรินหัวเราะออกมา “ใช่แล้วล่ะ สำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้วฉันเคารพพวกเธอเลยล่ะ พวกเธอเปลี่ยนตัวเองจากแกะน้อยแสนอ่อนแอกลายเป็นพยัคฒ์ที่แสนดุร้าย ความเก่งกาจของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋จปล่อยผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้เลย”


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนพวกนี้ชื่นชมเสี่ยวอวี๋และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ราวเป็นฮีโร่เลย และเขาก็รู้สึกแปลกๆ กับอะไรแบบนี้ด้วย…


 


 


“ฉันได้ยินมาว่าเสี่ยวอวี๋มีพี่ชายที่เก่งกว่าเธออีก ชื่อหลี่ว์ซู่หรืออะไรนี่แหละ เขาอยู่ระดับ C แล้วนอกจากนั้นยังมียศเป็นพันตรีอีก! หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดถึงเขาให้ฟังบ่อยๆ ว่าไม่มีใครเอาชนะหลี่ว์ซู่ได้ เขาได้ออกไปทำภารกิจกับพวกหัวกะทิระดับ A แล้วพวกยอดฝีมือในต่างประเทศก็ออกหมายจับเขาด้วยนะ! ใครจะรู้ว่าอาจจะมีคนอย่างเขาโผล่มาอีกก็ได้ ยุคนี้น่ะเป็นยุคของฮีโร่แท้ๆ เลย” เจียงเฟิงถอนหายใจออกมา


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกแปลกขึ้นไปอีก “ใช่แล้วๆๆ ยุคของฮีโร่ หลี่ว์ซู่คนนี้น่าจะเป็นคนที่มีฝีมือมากๆ เลยนะ แถมยังหล่ออีกด้วย เขาทั้งรวยและยังหนุ่มแน่น เดี๋ยวนะ ขอคิดคำชมเพิ่มก่อน”


 


 


เจียงเฟิงพูดอย่างดูถูก “เป็นฮีโร่แล้วเกี่ยวอะไรกับรวย”


 


 


“ไม่ใช่อย่างนั้นๆ นี่น่ะ…” หลี่ว์ซู่เน้นย้ำ


 


 


เจียงเฟิงไม่เข้าใจ


 


 


หลี่เจียนเหรินหัวเราะเสียงเย็น “นายพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นหลี่ว์ซู่เองอย่างนั้นแหละ”


 


 


หลังจากหลี่ว์ซู่กลับมาจากกลุ่มทวยเทพแล้ว ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับเขาก็ถูกเก็บเป็นความลับหมด เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะเห็นรูปของหลี่ว์ซู่ได้แม้แต่ใบเดียวหลังจากได้ฟังความสำเร็จของเขาทั้งหมดนั่นแล้วภมข้อมูลที่เจียงเฟิงได้มายังเก่าแล้วอีกต่างหาก หลี่ว์ซู่มียศเป็นร้อยเอกแล้ว


 


 


ทั้งความคิดและความรู้สึกของนักเรียนห้องเต้าหยวนนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก ถึงพวกเขาจะรู้เรื่องความสามารถของหลี่ว์ซู่และคิดว่าเขาเป็นฮีโร่คนหนึ่งแล้ว แต่ถ้าจะให้พูดสั้นๆ แล้วความคิดและความรู้สึกของนักเรียนพวกนี้นั้นซับซ้อนอย่างที่พูดนั่นแหละ


 


 


รถทหารได้ออกตัวอีกครั้งไปทางทิศตะวันตก บนถนนนั้นเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา พอหลี่ว์ซู่เริ่มเห็นรถทหารที่ดูคล้ายๆ กัน เขาก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากโบราณสถานหลัวปู้พัวแล้ว


 


 


บรรยากาศรอบๆ เริ่มดูแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ความกว้างใหญ่ของโลกและธรรมชาติช่างน่าลึกลับและน่าอัศจรรย์ ทิวทัศน์ที่เขียวชอุ่มได้ถูกแทนที่ด้วยทรายสีเหลืองอร่ามและสันเขาแบบยาร์แดงขึ้นมา เหมือนกับว่าพวกเขาได้เข้าไปในอีกโลหนึ่งแล้ว


 


 


จากนั้นรถก็ชะลอและหยุดลง หลี่ว์ซู่ได้ยินคนข้างนอกพูดว่า “ออกมาให้หมด ขอดูเอกสารด้วย”


 


 


คนขับเดินมาบอกทั้งแปดคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง “ทุกคนลงมาแล้วเอาเอกสารไปตรวจ พอเราเข้าไปแล้วจะต้องเดินเท้าเข้าไปต่อ”


 


 


หลี่ว์ซู่กระโดดลงมาจากรถทหารและมองไปรอบๆ ค่ายทหารขนาดใหญ่ถูกสร้างอยู่บนผืนดินเคยเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยู่มาก่อน


 


 


จนตอนนี้มันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน…


 


 


หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เวลากำลังเข้าช่วงโพล้เพล้ เขาเตรียมเอกสารเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ก แต่เจียงเฟิงกับทุกคนนั้นไปก่อนล่วงหน้าแล้ว


 


 


ทุกๆ คนได้เข้าไปโดยไม่มีปัญหาอะไรติดขัด หลังจากเอกสารของทุกคนถูกเอาไปสแกนเรียบร้อยแล้วก็จะมียศทหารและรายละเอียดเกี่ยวกับคนคนนั้นปรากฏขึ้นมา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เอาเอกสารของหลี่ว์ซู่ไปสแกนแล้วมันกลับขึ้นมาว่า ‘ลับสุดยอด’


 


 


พวกเขาไม่สามารถเห็นอะไรได้เลย! ไม่ว่าจะเป็นชื่อ อายุ เพศ หรือกระทั่งยศ! มีแค่ตัวหนังสือค่บรรทัดเดียวอยู่ตรงข้างล่างกระดาษ ซึ่งเขียนไว้ว่าเขาสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ยกเว้นพื้นที่หวงห้ามของระดับ A แถมยังมีลายเซ็นของเนี่ยถิงกำกับไว้ด้วย!


 


 


ทหารเจ้าหน้าที่สองคนนั้นมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “เอ่อ.. เชิญเข้ามาได้ครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่โค้งคำนับตอบ “ขอบคุณครับ”


 


 


พอเจียงเฟิงและเพื่อนๆ เห็นหลี่ว์ซู่เดินเข้ามาได้ก็ตะลึงกันหมด ถ้าหลี่ว์ซู่เป็นแค่ลูกของครอบครัวที่มีอิทธิพลเท่านั้น แล้วจะอะไรอธิบายเรื่อง ‘ลับสุดยอด’ นั่นได้อย่างไรล่ะ


 


 


นี่ไม่ใช่สิ่งที่ครอบครัวพวกนั้นจะได้รับการปฏิบัติแบบนี้นะ แล้วลายเซ็นของเนี่ยถิงก็ยิ่งทำให้น่าตกใจกว่าเดิมอีก พวกเด็กนักเรียนห้องเต้าหยวนเขาชื่นชมและเคารพเนี่ยถิงมาก


ตอนที่ 590 สายตาดี


 


 


หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในค่ายทหารแล้ว กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่คอยดำเนินการก็เข้ามาต้อนรับ ผู้ที่เดินทางเข้ามาในค่ายแล้วจะต้องติดตราไว้ที่หน้าอกเผื่อว่าจะต้องเดินไปไหนมาไหนในค่าย


 


 


การรักษาความปลอดในนี้เข้มงวดมาก เพราะผู้ลี้ภัยมักจะหนีมาที่นี่ ที่นี่เป็นที่ที่คนรุกล้ำจากภายนอกจะเข้าประเทศมาตอนไหนก็ได้ การจะเฝ้ายามพื้นที่กว้างขวางเช่นนี้ทำได้ยากมาก


 


 


หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย “แล้วพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนที่เหลือไปไหนกันหมดล่ะครับ”


 


 


คนที่เดินนำตอบ “โบราณสถานเปิดออกแล้ว คนที่มาถึงก่อนก็เลยเดินทางไปที่โน่นกันหมดแล้ว เดี๋ยวนายต้องรอคนกลุ่มสุดท้ายมาถึงก่อน ถึงจะไปโบราณสถานได้ ไม่รีบใช่ไหม”


 


 


ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาต้องทำให้ทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าหากปล่อยให้ทุกคนที่มาถึงไปที่โบราณสถานได้ทันทีคงวุ่นวายน่าดู


 


 


“ไม่รีบครับ ว่าแต่โบราณสถานอยู่ไหนกันล่ะครับ” หลี่ว์ซู่ถาม เขากะว่าจะไปหาเสี่ยวอวี๋หลังจากนี้ เขาคิดว่าเสี่ยวอวี๋น่าจะยังไม่ได้เข้าไปในโบราณสถาน แค่คิดว่ามีนักเรียนห้องเต้าหยวนกลุ่มหนึ่งได้เข้าไปสำรวจหาของก่อนเขามันก็น่าเสียใจเหมือนกันนะ…


 


 


แต่หลี่ว์ซู่มีประสบการณ์ที่เคยเข้าไปสำเร็จมาแล้ว เขารู้ว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าจะเข้าไปในโบราณสถานหนึ่งหรือสองวันหลังจากนั้น ยังไงก็น่าจะหาของเจ๋งๆ ในนั้นได้อยู่แล้ว


 


 


“โบราณสถานตั้งอยู่ทางเหนือของหลัวปู้พัว ห่างขึ้นมาเจ็ดกิโลเมตร เราจะต้องนั่งรถไปที่นั่น แต่เราเข้าไปใกล้มากไม่ได้ เราเข้าไปเฝ้ายามได้เพียงรอบนอกเท่านั้น” คนพูดเหมือนจะเป็นคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดิน งานของคนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินนั้นคือการเฝ้ายามรอบๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าไปในโบราณสถานได้


 


 


เครือข่ายฟ้าดินจะมีสิทธิ์ผูกขาดโบราณสถานในประเทศ ไม่เหมือนกับโบราณสถานต่างประเทศหรอกที่กลายเป็นงานวัดของผู้บำเพ็ญจากทั่วโลกไปเลย


 


 


“พวกเขาเข้าไปนานหรือยังครับ” หลี่ว์ซู่ถามอย่างสบายๆ


 


 


“ห้าวันแล้วล่ะ” ใครบางคนตอบ


 


 


หลี่ว์ซู่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “นักเรียนพวกนั้นตกอยู่ในอันตรายแล้วครับ! พวกเราที่เป็นสหายร่วมรบจะต้องรีบเข้าไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย!”


 


 


สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่เดินนำกล่าว “ไหนบอกว่าไม่รีบไง รอจนกว่ากลุ่มสุดท้ายจะมาถึงก่อน ฉันเพิ่งได้รับข้อมูลว่ากลุ่มนั้นจะมาถึงในอีกชั่วโมงครึ่งนี้แล้ว”


 


 


รถไฟมาไม่ถึงที่นี่แน่ๆ งั้นรถทหารก็คงเป็นพาหนะเดียวที่ใช้เดินทางมาที่นี่


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้ยินว่านักเรียนห้องเต้าหยวนไปถึงที่นั่นตั้งห้าวันแล้วเขาก็ใจร้อนแทบทนไม่ไหว เฉินไปหลี่เป็นคนนำในภารกิจนั้นเอง ด้วยความสามารถของเฉินไป่หลี่แล้ว เขาสามารถหาวัตถุเก่าแก่ได้ภายในไม่กี่วันเท่านั้น แล้วหลี่ว์ซู่จะถ่อมาที่ทำไมกัน


 


 


เมื่อขบวนรถมาถึงแล้ว นักเรียนจากห้องเต้าหยวนประมาณร้อยคนก็เดินลงมาจากรถทหารห้าคัน


 


 


มีร่างอ้วนเดินนำมาและรีบวิ่งเข้ามาด้วยความกล้าหาญ เจ้าตุ้ยนุ้ยนี่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักเรียนพวกนี้ และนักเรียนคนอื่นๆ ก็คอยยืนอยู่ล้อมรอบหัวหน้าของพวกเขา


 


 


เจียงเฟิงที่มองพวกนั้นอยู่พูดออกมา “พวกนี้น่าจะเป็นหัวกะทิระดับ A ที่เพิ่งกลับมาจากการทำภารกิจ”


 


 


เสียงเขาเจือไปด้วยความอิจฉาอยู่ในนั้น พวกหัวกะทิระดับ A แต่ละคนที่กลับมานั้นล้วนเปลี่ยนไปทั้งนั้น เมื่อก่อนนักเรียนระดับทั่วไปก็แค่ชื่นชมในความสามารถของพวกเขา ที่สุดแล้วระหว่างพวกเขาก็ไม่มีต่างกันมาก แค่เพียงพวกหัวกะทิมีความสามารถมากกว่าเท่านั้น


 


 


แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกหัวกะทิพวกนี้ได้รับประสบการณ์การหลั่งเลือดและเผชิญความยากลำบากเพื่อจะเป็นยอดฝีมือกันแล้ว ทุกๆ คนไม่ได้แค่ชื่นชมพวกเขา แต่ทั้งเคารพและบูชาพวกเขาเลยต่างหาก


 


 


เด็กนักเรียนกลุ่มนั้นเดินเข้ามา เมื่อเจ้าตุ้ยนุ้ยเห็นหลี่ว์ซู่และคนในกลุ่ม เขาก็หยุดเดินทันใด ราวกับว่าไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็นและอยากจะเห็นหน้าให้ชัดๆ เลยเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงครวญครางดังขึ้นมา “พี่ซู่! พี่ซู่จริงๆ ด้วย! พี่รู้ไหมว่าผมต้องลำบากมากแค่ไหนในสองเดือนที่ผ่านมาเนี่ย”


 


 


หลี่ว์ซู่พูดตอบ “เฉินจู่อาน…”


 


 


หลี่ว์ซู่บอกตรงๆ เลยว่าเฉินจู่อานเปลี่ยนไปมาก เมื่อก่อนเขาเป็นเด็กอ้วนๆ คนหนึ่ง ทว่าในตอนนี้เขากลับดูแข็งแกร่งขึ้นมา แต่น้ำหนักของเขาก็ไม่ได้ลดลงเลย หลี่ว์ซู่รู้ว่าเฉินจู่อานนั้นไม่ใช่หัวกะทิระดับ A แต่เขาก็ได้รับคำสั่งจากเนี่ยถิงให้ไปทำภารกิจให้สำเร็จ และการจัดการของเนี่ยถิงนั้นชาญฉลาดมาก อย่างภารกิจของเฉาชิงฉือนั้นเต็มไปด้วยอันตรายสุดๆ ส่วนภารกิจของเฉินจู่อานที่มีความสามารถต่ำกว่าจะเป็นภารกิจที่เอาไว้ทดสอบความมุ่งมั่นและความอดทนของเขาแทน


 


 


หลี่ว์ซู่ถามอย่างสงสัย “สายตานายเป็นอะไรน่ะ นายมองไม่เห็นฉันจากที่ไกลๆ เหรอ”


 


 


เฉินจู่อานดึงหลี่ว์ซู่ออกไปข้างๆ แล้วถามเบาๆ “พี่ไม่รู้เหรอว่าราชันฟ้าเนี่ยส่งผมไปทำอะไรมาบ้าง ที่ที่ผมไปมันมีพิษด้วย! ผมตาเกือบบอด!”


 


 


เฉินจู่อานนั้นเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะมาบ่นให้ฟัง แต่ก็ไม่ได้บอกรายละเอียดของภารกิจ แน่ล่ะว่ามันต้องถูกปิดเป็นความลับ


 


 


“อ้อ…” หลี่ว์ซู่พยักหน้า “รู้สึกว่านายจะได้อะไรมาเยอะแยะจากภารกิจนี้เลยนี่ โตขึ้นเยอะเลยนะ”


 


 


เฉินจู่อานหัวเราะ “แต่ตอนนี้สายตาผมไม่ดีไปแล้วล่ะพี่ ผมมองอะไรจากไกลๆ ไม่เห็นแล้ว หมอบอกว่ากว่าจะหายดีก็ต้องใช้เวลาหกเดือน งั้นผมรบกวนพี่ช่วยปกป้องผมตอนเข้าไปในโบราณสถานทีนะ เรายังซี้กันอยู่ใช่ไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่เหลือบมองเฉินจู่อาน เขาไม่ได้ใส่นาฬิกาข้อมือด้วยซ้ำ แล้วเขาก็ชี้ไปที่พระอาทิตย์ตก “นั่นอะไรน่ะ”


 


 


“เอ่อ…” เฉินจู่อานอึ้ง “ดวงอาทิตย์ไงครับ”


 


 


“ดวงอาทิตย์ห่างออกไปตั้งเก้าสิบสองล้านเก้าแสนห้าหมื่นกิโลเมตร อยากเห็นไกลไปกว่านั้นแค่ไหนล่ะ” หลี่ว์ซู่ถาม


 


 


เฉิยจู่อาน “…”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +666!]


 


 


“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนก็มากันแล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะ” หลี่ว์ซู่เริ่มใจร้อน


 


 


เมื่อเจียงเฟิงเห็นเฉินจู่อานและหลี่ว์ซู่พูดคุยกันเงียบๆ ตรงมุม เขารู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจไอ้ลูกคนมีอิทธิพลคนนี้ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในค่ายนี้เลย พวกเขาเข้าใจผิดไปเหรอ เขาได้ยินเฉินจู่อานเรียกหลี่ว์ซู่ว่าพี่ซู่ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ซู่งั้นเหรอ ชื่ออะไรของมันเนี่ย แถมพวกคนที่ตามเฉินจู่อานมาก็ดูเคารพหลี่ว์ซู่อย่างกับว่าเป็นพวกหัวกะทิระดับ A ด้วยอย่างนั้นแหละ


 


 


เฉินจู่อานบอกแค่ว่าเขาไปทำภารกิจและไปฝึกทหารร่วมกับพวกหัวกะทิระดับ A แต่เมื่อมีคนถามเรื่องความสามารถที่แท้จริงของเขา เขากลับเปลี่ยนเรื่องไปพูดเรื่องอื่น ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นแล้ว เรื่องความลับที่ว่าเขาไม่ใช่หัวกะทิระดับ A ก็คงแตกออกมา เขาคงจัดการเรื่องนี้ได้ยากถ้ามันเป็นแบบนั้น


 


 


ชีวิตคนจะมีความหมายอะไรถ้าคนเราไม่ทำตามอย่างที่ต้องการ


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นอยากจะเข้าไปในโบราณสถานใจแทบขาด เขาขอให้สมาชิกของเครือข่ายฟ้าจัดรถไปส่งเขาที่โบราณสถานนั้น เฉินจู่อานก็เกาะติดหลี่ว์ซู่อย่างกับข้าวเหนียว เขาตามหลี่ว์ซู่ไปทุกที่ที่หลี่ว์ซู่ไป สำหรับเฉินจู่อานแล้วเขารู้ว่าไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าการตีสนิทกับหลี่ว์ซู่ตอนที่พวกเขาเข้าโบราณสถานไป


 


 


เฉินไปหลี่ ปู่ของเขาก็อยู่ในโบราณสถานด้วย แต่เฉินจู่อานไม่สามารถคลานกลับไปขอพึ่งเขาได้หรอก!


 


 


ขบวนรถทหารก็มุ่งหน้าอย่างรวดเร็วไปที่ทางเหนือ พอตอนที่พวกเขาออกมาจากค่ายแล้วพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป แสงสุดท้ายของวันได้จากไปแล้ว


 


 


ในเวลานั้น อยู่ๆ ก็มีหลุมขนาดมหึมาเปิดออกในค่าย!


ตอนที่ 591 กิ้งก่ากินคน


 


 


พื้นทรายร่วงลงไปในหลุมเสียงดัง เต็นท์ที่กางอยู่จมลงไปอยู่ในทรายบางส่วน


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขนาดทหารที่มากด้วยประสบการณ์ก็ยังไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน


 


 


จู่ๆ ก็มีกิ้งก่ายักษ์หลายตัวไต่ขึ้นมาจากหลุม ตาของพวกมันแดงก่ำ และตัวของพวกมันก็ยาวมากกว่าสามเมตร ลิ้นของพวกมันแลบออกมาจากปาก ราวกับว่ามันจะกลืนคนเข้าไปทั้งตัวได้เลย


 


 


พวกทหารเอาปืนกลไรเฟิลออกมาแล้วระดมยิงไปที่กิ้งก่าพวกนั้น แต่กระสุนดูปืนจะใช้ไม่ได้กับเกล็ดหนาๆ นั่น พวกมันไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลย กิ่งก่าพวกนี้วิ่งบนพื้นทรายเร็วกว่าตอนที่ไม่มีอะไรมาขวางเสียอีก


 


 


หลายคนรีบไปเอาอาวุธหนักออกมา แต่จรวดพวกนั้นก็เล็งไปที่พวกกิ้งก่าวิ่งเร็วยากเหลือเกิน


 


 


จนกระทั่งมีทหารลองปาระเบิดไปที่พวกกิ้งก่าตัวหนึ่ง มันหยุดนิ่งไปสักพัก แต่ต่อมามันก็วิ่งเข้าหากลุ่มคนอย่างดุร้าย


 


 


ในค่ายนั้นมีอาวุธที่มีพลังทำลายล้างหนักกว่า แต่ปัญหาก็คือกิ้งก่าพวกนั้นมันวิ่งออกมาจากค่ายน่ะสิ พวกเขาไม่สามารถระเบิดค่ายทิ้งได้เสียด้วย


 


 


ทันใดนั้น สมาชิกในเครือข่ายฟ้าดินก็ชักดาบออกมาแล้ววิ่งไปข้างหน้า พวกเขาต่างโชว์ความสามารถกันเต็มที่ได้เลยในเวลาแบบนี้ และพวกเขาจะชักช้าไม่ได้ ทหารธรรมดาๆ อาจจะตายไปตอนไหนก็ได้ ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยว่ากิ้งก่าพวกนี้มันจะออกมาจากใต้ดิน ทั้งยังไม่รู้แน่ชัดอีกด้วยว่าพวกมันมาจากไหน


 


 


พอเฉินจู่อานเห็นแบบนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “หยุดรถ!”


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะส่งเสียงออกมาเสร็จ หลี่ว์ซู่ก็กระโจนลงจากรถไปแล้วในตอนที่รถยังไม่หยุดด้วยซ้ำ เขารีบวิ่งไปที่ค่ายทันที


 


 


ด้วยร่างกายของผู้บำเพ็ญแล้ว เขาไม่ต้องรอให้รถหยุดก็ได้ ผู้บำเพ็ญไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องแรงเฉื่อยหรือความสูง พวกเขาต้องตอบสนองอย่างรวดเร็ว


 


 


ถึงหลี่ว์ซู่อยากจะไปที่โบราณสถานมากแค่ไหน แต่ชีวิตของคนพวกนี้ก็สำคัญสำหรับเขาเหมือนกัน


 


 


ตราแผ่นดินที่เขามีนั้นไม่ใช่เรื่องลับอะไร ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในมือของสือเสวจิ้นหรือเนี่ยถิงก็ตาม แล้วทันใดนั้น หอกก็ปรากฏขึ้นมาในมือหลี่ว์ซู่ เขาปามันออกไปที่พวกกิ้งก่าด้วยความเร็วที่เร็วกว่าระเบิดจรวดอาร์พีจี หอกนั้นส่งเสียงคำรามดังขณะตัดผ่าอากาศไป กิ้งก่าที่กำลังพุ่งเข้ามาหาผู้คนนั้นอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด


 


 


หอกนั้นปักเข้าไปที่ซี่โครงด้านซ้ายของมัน มันส่งเสียงร้องแหลมแสบแก้วหู อาวุธแหลมแทงทะลุเข้าไปที่ซี่โครงด้านขวา


 


 


กิ้งก่าโซซัดโซเซไปข้างๆ แทบจะยืนตรงไม่ไหว!


 


 


หลี่ว์ซู่ใช้หอกไปแล้วทั้งหมดยี่สิบเล่มตอนบุกฐานทวยเทพ ตอนนี้เหลืออยู่อีกแค่ห้าเล่มเท่านั้น และทั้งห้าเล่มก็ถูกใช้โจมตีกิ้งก่าที่กำลังวิ่งไล่ทหารอย่างจังไปแล้วทั้งห้าตัว


 


 


กิ้งก่าตัวที่โดนโจมตีนั้นพยายามจะลุกขึ้นมาโจมตีกลับ แต่พอพวกมันยืนขึ้น มันก็ล้มลงไปเหมือนเดิม หลี่ว์ซู่เล็งอาวุธไปไม่ค่อยแม่นหรอก แต่แรงจากหอกที่พุ่งผ่านอากาศไปทำให้พวกกิ้งก่าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก หัวใจของพวกมันอยู่ใต้ซี่โครง และหัวใจจะหยุดทำงานเพราะแรงจากหอกนี้ได้ ถึงแม้ว่าหอกจะไม่ได้ปักเข้าไปที่หัวใจตรงๆ ก็ตาม


 


 


จากที่หลี่ว์ซู่สังเกตดูแล้ว กิ้งก่าพวกนี้น่าจะอยู่ประมาณระดับ D และพวกที่แข็งแกร่งหน่อยอาจจะอยู่ที่ระดับ C เลยก็ได้ พวกมันจะเข้าโจมตีทหารธรรมดาๆ เป็นหลัก สมาชิกจากเครือข่ายฟ้าดินและยอดฝีมือระดับ C จะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน แต่เครือข่ายฟ้าก็ไม่สามารถจัดให้คนระดับ C จำนวนมากมาประจำอยู่ที่ค่ายนี่ได้ ถึงแม้จะมีหลายคนที่เลื่อนเป็นระดับ C แล้วก็ตาม


 


 


เพราะแค่จัดผู้บำเพ็ญระดับ C ราวสองถึงสามคนมาประจำอยู่ที่ชายแดนเพื่อคอยเฝ้าป้องกันพวกผู้บุกรุกก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อมีกิ้งก่ากว่าสิบตัวบุกเข้ามาในค่ายแล้ว พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก


 


 


ส่วนพวกสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินคนอื่นๆ ก็ดูจะทำอะไรพวกกิ้งก่าไม่ได้เพราะพวกกิ้งก่านั้นเร็วเกินไป


 


 


จนตอนนี้หอกห้าเล่มก็พุ่งผ่านอากาศไปและปักไปที่กิ้งก่าที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา พวกเขาตกใจกันมาก มีผู้แข็งแกร่งมาช่วยพวกเขาแล้ว!


 


 


เฉินจู่อานวิ่งไล่ตามหลี่ว์ซู่มาอย่างบ้าคลั่งจากด้านหลัง เขาดูหัวเสียเล็กน้อย เพราะหลังจากเข้ารับการฝึกทหารมาแล้ว เขาคิดว่าช่องว่างความสามารถระหว่างเขากับหลี่ว์ซู่ต้องหดลงบ้างแล้ว แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังคงเป็นหลี่ว์ซู่เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งของเขานั้นเป็นอีกระดับจริงๆ


 


 


เจียงเฟิงและคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร พอพวกเขาเห็นว่าหอกพุ่งตรงออกไปแบบนั้น พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่แค่เด็กเส้นที่มาจากครอบครัวมีอิทธิพล ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับหลี่ว์ซู่นั้นราวกับฟ้าและเหว


 


 


ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นหลี่ว์ซู่ปล่อยดาบแสงเกือบล่องหนออกไปกว่าร้อยเล่ม พลังดาบรัศมีพวกนั้นบินออกไปอย่างยุ่งเหยิงโดยไม่มีการจัดลำดับก่อนหลัง แต่สุดท้ายพลังดาบทั้งหมดนั้นก็พุ่งเข้าไปโดนกิ้งก่ายักษ์กินคนอย่างจัง


 


 


ไม่มีใครเคยเห็นการโจมตีเช่นนี้มาก่อน ถ้าพวกเขาได้พบกับการโจมตีแบบนี้ในการต่อสู้จริงๆ คงจะไม่มีใครเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน!


 


 


“เดี๋ยวนะ พวกนายไม่เคยได้ยินการโจมตีด้วยหอกแบบนี้มาก่อนเหรอ ทักษะการปาหอกของเขาดีเป็นบ้าเลย!”


 


 


“เขาคือหลี่ว์ซู่ไม่ใช่เหรอ” มีคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างตกใจ


 


 


เฉินจู่อานวิ่งไปพูดไปจนหายใจไม่ทัน “บ้าไปแล้ว จะมีใครดุดันไปกว่าหลี่ว์ซู่อีกเหรอ”


 


 


เขาอิจฉาทักษะดาบของหลี่ว์ซู่จริงๆ นี่มันเป็นวิชาจากหอเกียรติกระบี่นี่ พลังดาบรัศมีล่องหนเนี่ย!


 


 


หลี่ว์ซู่ขมวดคิ้วแล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างดุดัน ตอนที่เขาขุดภูเขาพลังไปล่าสุด เขาก็ได้พลังดาบรัศมีเพิ่มขึ้นมาอีกสามเล่ม พลังดาบรัศมีพวกนี้โจมตีใส่กิ้งก่ากินคอเป็นระลอกๆ ดาบทั้งหมดนั้นพุ่งเข้าไปปักตัวกิ้งก่าระดับ C เพียงไม่กี่เซนติเมตร ถ้าหลี่ว์ซู่อยากจะฆ่าพวกนี้จริงๆ เขาจะต้องเล็งพลังดาบรัศมีหลายๆ เล่มเข้าไปที่จุดเดียวกันย้ำๆ เขาได้เปรียบเรื่องจำนวนของดาบ เขาสามารถใช้ข้อได้เปรียบนี้เพื่อเอาชนะกิ้งก่าพวกนี้!


 


 


การบังคับพลังดาบรัศมีสำหรับหลี่ว์ซู่แล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย แต่จะให้เล็งเป้าหลายๆ เป้าในคราวเดียวกันก็เป็นเรื่องท้าท้ายพอดู


 


 


พอพลังดาบรัศมีพวกนี้เจาะเข้าไปในผิวของพวกกิ้งก่าแล้วหลี่ว์ซู่ก็ไม่ใส่ใจเล็งให้เข้าเป้าอีกเลย เพราะพลังดาบรัศมีพวกนี้จู่โจมพวกกิ้งก่าอย่างบ้าคลั่งจากภายนอก ค่อยๆ ปลิดชีวิตมัน


 


 


เสียงร้องโหยหวนดังมาจากพวกกิ้งก่า และหลี่ว์ซู่พอใจมาก ถ้ามีกิ้งก่าระดับ C โผล่มาอีก เขาอาจจะมีพลังดาบรัศมีไม่พอใช้


 


 


ดูเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นฝ่ายที่ดุร้ายกว่า หลังจากที่เขาปล่อยพลังดาบรัศมีออกไปแล้ว พลังดาบรัศมีอีกพันกว่าเล่มก็ตามหลังมาติดๆ เขาไม่ปรานีใดๆ ทั้งนั้น หลี่ว์ซู่เริ่มจะมีพลังดาบรัศมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว ถ้าเขาอยากใช้มันอีกก็ต้องรอไปอีกสามวันเป็นอย่างน้อย เขาจำได้ว่าตอนที่ไปหาข้อมูลของหลัวปู้พัว เขาเจอว่ามีการรายงานเห็นกิ้งก่ากว่าพันตัวถูกพบเจอในระหว่างกลุ่มหิน และสุดท้ายพวกมันก็โดนฆ่าตายด้วยอาวุธหนักทำลายล้างสูง และมีคนกล่าวอีกว่าที่แห่งนี้ควรเป็นที่เอาไว้ทดลองระเบิดนิวเคลียร์เพราะเหตุนี้นี่เอง


 


 


แต่ข้อมูลที่ว่ามาก็ไม่ถูกต้องทั้งหมด อย่างน้อยๆ กิ้งก่ายักษ์กินคนพวกนี้ก็ยังไม่ตายล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่เดินทอดน่องเข้าไปที่หลุมลึกนั้นและมองลงไปในความมืดด้านล่าง มันจะมีกิ้งก่าแบบนี้โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินอีกหรือเปล่านะ


ตอนที่ 592 พี่น้องตระกูลเฉิน


 


 


หลังจากที่กิ้งก่ากินคนล้มลงไปบนพื้นแล้ว ก็มีบางตัวที่ตายไปและบางตัวที่นอนหายใจพะงาบๆ พวกคนที่ค่ายนั้นต่างกลั้นหายใจเข้าไปตรวจดูกิ้งก่ากันอย่างระมัดระวังโดยเตรียมพร้อมกับการโจมตีกลับ แต่หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยยู่บนปากหลุมนั้นกลับอยู่ในท่าทีสบายๆ เพราะเขารู้ว่ากิ้งก่าพวกนั้นน่ะซี้แหงแก๋ไปแล้ว


 


 


สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่เป็นคนดูแลค่ายทหารก็เดินเข้าไปหากิ้งก่าพร้อมกับทีมเขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจที่ยืนยันได้เรียบร้อยแล้วว่ากิ้งก่าพวกนี้จะไม่ทำอันตรายอะไรอีกต่อไปแล้ว เขาหยิบเอาหอกห้าเล่มขึ้ยมาแล้วเดินตรงเข้ามาหาหลี่ว์ซู่


 


 


แล้วคนอื่นๆ ก็รีบเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บซึ่งบาดเจ็บกันมากกว่าสิบคนด้วยกันในการต่อสู้สั้นๆ นี่


 


 


เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใครเลย เพราะไม่มีใครจะคาดคิดว่าจะมีสัตว์ประหลาดปรากฏตัวขึ้นมาในค่ายหรอก จึงมีคำสั่งให้ตั้งแนวป้องกันและป้อมปราการรอบค่ายทันที และให้สร้างฐานทัพทหารที่ใกล้ที่สุดด้วย เพื่อขอความช่วยเหลือด้านอาวุธโดยการใช้อุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม


 


 


ค่ายทหารจะเข้ามาโดยขึ้นทางด่วนธรรมดาไม่ได้ ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากในการขนส่งอุปกรณ์เป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดในสถานการณ์นี้


 


 


สมาชิกเครือข่ายฟ้าดินที่ดูแลค่ายไม่เคยเจอกับหลี่ว์ซู่มาก่อน หลังจากที่เขายื่นหอกห้าเล่มให้หลี่ว์ซู่แล้ว หลี่ว์ซู่ก็เก็บพวกหอกนั้นไว้ในตราแผ่นดินดังเดิมด้วยการโบกมือผ่านหอกง่ายๆ “มีคนในเครือข่ายฟ้าดินได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าครับ”


 


 


“มีแค่คนเดียว มีสองคนที่ซี่โครงหักหลังจากโดนกิ้งก่าพุ่งเข้าใส่” ผู้ชายคนนั้นตอบ “ฉันชื่อเฉินเฮ่า แล้วนายล่ะ”


 


 


สำหรับเขาแล้ว ความสามารถของหลี่ว์ซู่ที่เขาเห็นเมื่อกี้นั้นแข็งแกร่งจนเกินไป พลังดาบรัศมีล่องหนนั้นยากที่จะรู้ได้ว่าชั่วขณะนั้นมันอยู่ตรงไหนแล้ว เพราะมีแค่เสียงในอากาศที่ไหลวนให้ได้ยินเท่านั้น


 


 


การปล่อยพลังดาบรัศมีกว่าหลายร้อยเล่มพร้อมกันแบบนั้นทำให้กิ้งก่าพวกนี้ตัวขาดออกจากกันได้เพียงไม่กี่วินาที ความแข็งแกร่งของเขานั้นเทียบเท่ากับพวกราชันฟ้าเลย


 


 


เขาต้องอยู่บนระดับ C เป็นอย่างน้อยล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่เหลือบมองไปที่เฉินเฮ่า “เป็นความลับครับ”


 


 


“เข้าใจล่ะ” เฉินเฮ่าพยักหน้ารับรู้ “งั้นฉันไม่ถามต่อแล้ว”


 


 


เฉินเฮ่ารู้สึกเคารพคนตรงหน้าขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นกลายเป็นไพ่ตายของเครือข่ายฟ้าดินไปเสียแล้ว


 


 


แต่แล้วอยู่ๆ เขาได้ยินเสียงของเฉินจู่อานตะโกนไล่หลังมา “พี่ซู่ครับ! พี่ซู่!”


 


 


เอ่อ…


 


 


เฉินเฮ่าไม่เข้าใจ ไหนบอกว่าเป็นความลับไง


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินเฮ่า +199!]


 


 


เฉินเฮ่าหันไปถามเฉินจู่อาน “นายรู้จักกันเหรอ”


 


 


“หวัดดีฮะ พี่เฮ่า” เฉินจู่อานทักทายลูกพี่ลูกน้อง แล้วอยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงกระซิบ “คนนี้ชื่อหลี่ว์ซู่ คนที่ช่วยคุณปู่เลื่อนระดับเป็นระดับ A ไง จำได้ไหมครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่พูดไม่ออก ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าทั้งสองคนจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ที่เต๊ะท่าไปเมื่อกี้ก็ล้มเหลวซะแล้วสิ!


 


 


แต่เรื่องนี้ก็เข้าใจได้อยู่ อย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นคนของครอบครัวเฉินและมีเฉินไป่หลี่เป็นผู้นำทีม


 


 


เฉินเฮ่าได้ยินชื่อหลี่ว์ซู่มานานแล้วจากเฉินจู่อาน เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้


 


 


ต่อให้เป็นระดับ B ก็อาจจะไม่สามารถต้านทานพลังที่ระเบิดออกมาก่อนหน้านี้ได้เลย


 


 


ในขณะที่เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ กำลังมองดูทหารเก็บกวาดศพของกิ้งก่าสิบกว่าตัว พวกเขาก็รู้แล้วว่าคนที่พวกเขาเคยเยาะเย้ยมาก่อนคือใครกันแน่


 


 


แถมพวกเขายังชมหลี่ว์ซู่ไปซะเยอะต่อหน้าเจ้าตัวเองด้วย ให้ตายเถอะหน้าของพวกเขาแดงก่ำไปด้วยความอับอายไปหมดแล้ว


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +666!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลีเจียนเหริน +666!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


“เราเอาไงกันต่อดีล่ะ” เฉินเฮ่าถามหลี่ว์ซู่


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังใช้ความคิด เขารู้สึกถึงคลื่นพลังงานเล็กน้อยใต้ดิน แปลว่ากำลังมีอะไรผิดปกติอยู่ข้างล่างนั่นแน่


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้ที่โบราณสถานเปิดออกแล้วถึงห้าวันด้วยกัน เขาจะต้องรีบเข้าไปที่นั่นก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป แล้วเขาจะมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่าค่ายจะปลอดภัยถ้าเขาจากค่ายไป


 


 


จำนวนผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มมากขึ้นถ้าเกิดการโจมตีขึ้นมาอีกระลอก ถึงแม้ว่าประสิทธิภาพของกองทัพจะมีมากแค่ไหนแต่การจะย้ายค่ายทั้งค่ายไปทั้งหมดในสองวันก็ฟังดูเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากค่ายนั้นใหญ่มาก


 


 


หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ แต่เขาตัดสินใจแล้ว เขาสั่งการออกไปอย่างใจเย็น


 


 


“ทั้งสองคนเฝ้าค่ายอยู่ที่นี่นะ ต้องทำให้แนวป้องกันของเราแข็งแกร่งให้มากด้วย เดี๋ยวฉันลงไปข้างล่างก่อนล่ะ”


 


 


“พี่จะลงไปคนเดียวเหรอ” เฉินจู่อานถามอย่างตกใจ


 


 


ตอนนี้มันยังบอกได้ยากว่าถ้ำข้างล่างนั้นลึกเท่าไหร่ มีรูปแบบเป็นอย่างไร มันเปิดออกบนพื้นอย่างกับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เปิดปากออกมา ยิ่งไปกว่านั้นการระบายอากาศข้างล่างนั่นมีลมหวีดหวิวราวกับเป็นเสียงหอนมาจากด้านใต้


 


 


พวกคนขวัญอ่อนคงเหงื่อแตกพลั่กๆ ได้เพียงแค่มองลงไปในหลุมแล้ว อย่าว่าแต่ลงไปข้างล่างนั่นคนเดียวเลย


 


 


หลี่ว์ซู่เองยังไม่ลังเลเองเลย เพราะเขาใช้พลังดาบรัศมีไปจนหมดทะเลพลังแล้ว นั่นยิ่งทำให้เขาอ่อนแอไปมากในสถานการณ์อันตรายอย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีกิ้งก่าฝูงใหญ่โผล่มาที่ค่ายอีกก็คงจะอันตรายถึงตายแน่ๆ เขารับผิดชอบคนเดียวไม่ไหวหรอก


 


 


จริงๆ แล้วเขากำลังคิดอยู่ว่าจะแอบเข้าในโบราณสถานหลังจากที่จัดการอันตรายใต้ดินนี่ ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดแล้ว เขายังสามารถใช้ความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าระดับ B ของตัวเองหนีรอดออกมาได้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเขาจะคิดหาวิธีเอาตัวเองออกมาอย่างเร่งด่วยให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรใดๆ ก็ตาม


 


 


“แต่พี่ลงไปข้างล่างคนเดียวไม่ได้นะ ข้างล่างมันอันตรายเกินไป พี่ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ข้างล่างนั่นบ้าง” เฉินจู่อานพยายามจะหยุดหลี่ว์ซู่


 


 


หลี่ว์ซู่มองเขาจากข้างๆ “ก็ได้ งั้นนายมาด้วยกันสิ”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินจู่อาน +999!]


 


 


“ไอ้หยา!” เฉินจู่อานตะโกนออกมาทันที “ผมว่ามีทรายเข้าตาน่ะ เดี๋ยวตาบอดแน่เลย แค่นี้สายตาผมก็แย่พอแล้ว! ผมลงไปกับพี่ไม่ได้หรอก”


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปที่เฉินจู่อานอย่างไร้อารมณ์ เฉินจู่อานนั้นปิดตาของเขาอย่างกับว่าเจ็บตาปางตายจริงๆ แต่ลูกพี่ลูกน้องของเฉินจู่อานนั้นพูดแรงยิ่งกว่า “มานี่มา เดี๋ยวเป่าออกให้ เราจะลงไปสามคนเลยถ้าตาของนายโอเคแล้ว”


 


 


เฉินเฮ่าดึงมือเฉินจู่อานออกขณะพูด ในฐานะที่เขาเป็นคนระดับ C เริ่มต้น เฉินจู่อานจะปฏิเสธเฉินเฮ่าที่อยู่ระดับ C สูงๆ ได้อย่างไรล่ะ


 


 


เฉินเฮ่าเปิดตาเฉินจู่อานแล้วเป่าลมเข้าไป แต่เสมหะเขากลับกระเด็นเข้าไปบนหน้าของเฉินจู่อาน…


 


 


เฉินจู่อานชะงักไป


 


 


หลี่ว์ซู่พึมพำ “…อี๋ แหยะอะ…”


 


 


เฉินเฮ่าต้องรับผิดชอบดูแลค่ายโดยมีปัญหาต่างๆ เข้ามาไม่หยุดหย่อนอย่างพายุทะเลทราย การขาดน้ำ และหน้าที่ต่างๆ ที่ต้องแบกรับไว้บนบ่า ทำให้ช่วงนี้เขาเครียดมากๆ ร่างกายภายในเลยค่อนข้างร้อนระอุ เป็นผลให้ร่างกายขับเสมหะออกมามาก…


 


 


เฉินเฮ่าเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และเฉินจู่อานก็กำลังหงุดหงิด!


 


 


“ฮ่าๆๆ ไม่ได้ตั้งใจน่ะ… จริงๆ นะ…” เฉินเฮ่าอับอายเป็นอย่างมาก


 


 


“เฉินเฮ่า พี่ตายแน่” เฉินจู่อานคำรามอย่างโมโห “ผมจะไปบอกพี่สะใภ้ว่าพี่แอบซุกเงินไว้!”


 


 


เฉินเฮ่ากระวนกระวายขึ้นมาทันที “ขอโทษ! ฉันขอโทษ!”


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่อยากรอต่อไปอีกแล้ว เขาหยิบเอากระจกส่องตะวันออกมาจากตราแผ่นดินแล้วกระโดดลงไปในหน้าผานั่นโดยไม่ลังเลอีกต่อไป


 


 


และในตอนนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมาไม่ไกลจากเจียงเฟิงซึ่งเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ “เสี่ยวอวี๋พูดถูกแล้ว เราน่ะอ่อนกว่าหลี่ว์ซู่จริงๆ กระจอกมากกว่าเยอะเลยด้วย”


ตอนที่ 593 รังกิ้งก่า 


 


 


ทั้งเฉินจู่อานและเฉินเฮ่าต่างก็ไม่มีใครคาดคิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นคนฉับไวและหนักแน่นแบบนี้ เขาไม่รอให้ได้คุยเจรจากันเลย 


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็ตะโกนขึ้นมาจากข้างล่างหลุมที่ค่อนข้างลึกพอตัว “พวกนายสองคนไม่ต้องตามมาหรอก” 


 


 


ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความลังเล เฉินจู่อานสูดหายใจเข้าลึกและถามออกไป “เราลงไปกันด้วยดีไหมพี่” 


 


 


“แน่สิ เราตามเขาไปได้นี่” พอเฉินเฮ่ากำลังจะกระโดดลงไป เฉินจู่อานก็รีบหยุดเขาไว้ เฉินเฮ่าก็ไม่เข้าใจ “เป็นเพื่อนซี้กันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ตามเขาลงไปล่ะ ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายจะทำยังไง” 


 


 


“ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากลงไปหรอก” เฉินจู่อานพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ตกลงไปลึกขนาดนั้น สำหรับเขาคงไม่เป็นไร แต่สำหรับเราเนี่ยสิ…” 


 


 


ได้ยินเขาพูด เฉินเฮ่าก็เริ่มกังวลขึ้นมา เขาเลยสั่งให้คนของเขาไปอุปกรณ์ให้แสงที่มีประสิทธิภาพสูงมาให้ั 


 


 


ทั้งความสามารถของเขาและเฉินจู่อานนั้นต่ำกว่าหลี่ว์ซู่มาก ถ้าตกลงไปพวกเขาอาจพิการเลยก็เป็นได้… 


 


 


เมื่ออุปกรณ์ให้แสงมาถึง เฉินเฮ่าก็รู้สึกว่าที่เฉินจู่อานว่ามานั้นถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าโครงสร้างของหลุมนี้เป็นอย่างไร ดูแล้วก็น่าจะลึกราวๆ สักร้อยเมตรได้ เฉินเฮ่าสงสัยมากว่าหลี่ว์ซู่ไปเอาความกล้ามาจากไหนที่จะกระโดดลงไปแบบนั้น 


 


 


ยิ่งกว่านั้นหลี่ว์ซู่ก็ดูเหมือนไม่อยากรอพวกเขาเลย เขาหายไปกับความมืดข้างล่างนั่นแล้ว! ในหลุมข้างล่างมีทางเดินที่เชื่อมไปยังทิศทางต่างๆ ได้ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าหลี่ว์ซู่เลือกไปทางไหน อย่าว่าแต่เรื่องไปช่วยหลี่ว์ซู่เลย ถ้าพวกเขาเลือกผิดทางแล้วไม่แน่อาจจะตายอยู่ข้างในนั้นเลยก็ได้ 


 


 


“เราลงไปแบบนั้นไม่ได้หรอก” เฉินเฮ่าส่ายหัว ตอนนี้เขาเริ่มใจเย็นลงแล้ว เขามีหน้าที่รับผิดชอบค่าย เพราะฉะนั้นเขาจะทำอะไรตามใจคนเดียวแบบนั้นไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่และบทบาทที่ต้องทำ และเฉินเฮ่าจะต้องอยู่กับทีมของตัวเองในสถานการณ์แบบนี้ 


 


 


ไม่ใช่ว่าเขากลัวตายหรอกนะ เขาอยากตามหลี่ว์ซู่ไปจริงๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่าหลี่ว์ซู่ไปไหนแล้ว 


 


 


“จู่อาน อย่าไปที่โบราณสถานเลย” จากนั้นเฉินเฮ่าก็หันไปหาพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนและสั่งการพวกเขา “ฉันขอให้พวกนายทุกคนสร้างแนวป้องกันค่ายจนกว่าหลี่ว์ซู่จะกลับมา มีใครมีปัญหาอะไรไหม” 


 


 


“ไม่มีครับ!” 


 


 


“ไม่มีครับ!” เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ ต่างตอบแบบเดียวกัน ตามแผนที่วางไว้ตอนแรกนั้น พวกเขาต้องไปที่โบราณสถานซึ่งย่อมได้รับประโยชน์มากกว่า แต่ความคิดของพวกเขาได้เปลี่ยนไปหลังจากผ่านการฝึกทหารมา 


 


 


ทหารหลายคนคิดว่าการฝึกติดต่อกันสามเดือนนั้นหนักเกินกว่าที่คนที่เข้ามาใหม่จะทนได้ แต่พวกเขาก็ได้เติบโตขึ้นมากในเวลาที่ผ่านมา 


 


 


… 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินอยู่ในหลุมถ้ำเพียงคนเดียว เขาไม่ได้ใช้กระจกส่องตะวันเป็นแหล่งให้แสงภายในนี้ ทว่าเขากลับใช้ซือโก่วและฝูฉื่อที่กะพริบให้แสงอยู่รอบๆ ตัว เนื่องจากกระจกส่องตะวันจะทำให้เขาตกเป็นเป้าได้ง่าย และกระบี่บินสองเล่มก็สามารถปกป้องเขาได้ด้วย 


 


 


เขาไม่ได้ลงมาข้างล่างนี่เพื่อฆ่ากิ้งก่าหรอก มันเป็นหน้าที่เขาก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น 


 


 


ทว่าเจ้างูแห่งความโกลาหลของเขาที่ว่ายเวียนเล่นอยู่ที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์สีดำในตราแผ่นดินนั้นก็กลับเริ่มร้อนรนขึ้นมา อย่างกับว่ามันหิวกิ้งก่าพวกนั้นอย่างนั้นแหละ! 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเจ้างูยังดูจะสนใจอะไรบางอย่างใต้หลุมนี้ด้วย! หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าตอนนี้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และงูแห่งความโกลาหลนั้นน่าจะเป็นอาวุธที่ไว้ใจได้ในขณะนี้ที่สุดแล้ว หลี่ว์ซู่สัมผัสได้ว่าเขาสามารถทำให้อาวุธสองอย่างนี้ของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นได้ 


 


 


และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงกระโดดลงมาโดยไม่ต้องคิดมากเลย ว่ากันตามตรง ธารน้ำสีทองของเขานี่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของตัวเขาในต่างประเทศเลย แค่เห็นก็รู้ได้ทันที 


 


 


แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว หมอกหนาสีดำได้เข้าไปผสมกับในน้ำ ทำให้ธารน้ำกลายเป็นสีดำ ดังนั้นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาจึงไม่มีใครจำได้อีก แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้อยากเปิดเผยตัวเองอยู่แล้ว 


 


 


ที่สุดแล้วทุกคนในค่ายก็ไม่ได้เชื่อถือได้ทั้งหมดหรอก 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยไม่สนใจพวกซากกิ้งก่าข้างบนพื้นนั่นและมาตามหากิ้งก่าใต้ดินตัวอื่นๆ ดีกว่า 


 


 


แต่เขาก็ไม่แน่ใจอยู่อย่างหนึ่ง เขาไม่ได้ค่าอารมณ์มาจากพวกกิ้งก่าเลย แปลว่ากิ้งก่าพวกนี้ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทักษะการคิดพัฒนาเท่าไหร่ พวกมันคงจะหาอาหารกินตามสัญชาตญาณ หรือไม่ก็อาจจะถูกบางอย่างสั่งพวกมันมาก็ได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าอย่างหลังน่าจะเป็นไปได้ที่สุด เพราะธารน้ำศักดิ์สิทธิ์และงูของเขาจะไม่สนใจพวกสัตว์ทั่วไปหรอก 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่กลัวด้วยหากศัตรูนั้นต้องการซ่อนตัว เพราะถ้าศัตรูเป็นผู้มีพลังระดับ A จริงก็คงโผล่หน้าออกมาให้เห็นนานแล้ว 


 


 


หลี่ว์ซู่สนใจกำแพงหินข้างล่างนี้มากกว่า บนพื้นมีรอยเท้าของพวกกิ้งก่ายักษ์ปรากฏอยู่ แปลว่ามันต้องวิ่งมาทางนี้แล้วก็ปีนขึ้นไป ขณะที่เขาเดินไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่ามีบ่อน้ำใต้ดินที่เชื่อมต่อไปถึงข้างบน แต่มันก็ถือว่าไกลจากค่ายพอควรเลย หลี่ว์ซู่คิดว่าเฉินเฮ่า เฉินจู่อานและทุกคนคงทำหน้าที่ปกป้องค่ายได้ ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างที่เพิ่งเกิดไปเมื่อครู่ 


 


 


และเขาก็คงช่วยคลายกังวลให้คนข้างบนได้ ถ้าเขาทำภารกิจล่ากิ้งก่าต่อไปด้วยตัวเอง 


 


 


อุโมงค์สีดำนี่ทอดยาววกวนไปเรื่อยๆ มันไม่เล็กเลยนะเนี่ย เพราะกิ้งก่ายักษ์ที่ขนาดตอนนอนราบก็ยังสูงกว่าหลี่ว์ซู่นั้นสามารถลอดผ่านอุโมงค์นี้ไปได้ 


 


 


หลัวปู้พัวนี่ช่างลึกลับเสียจริง มีความลับยิ่งใหญ่ที่ถูกปกปิดภายใต้พื้นที่แห้งแล้งแบบนี้ พวกกิ้งก่าที่รอดชีวิตจากการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ได้นั้นเป็นเพราะว่ารังของมันอยู่ลึกไปใต้ดินถึงหลายร้อยเมตรนี่เอง 


 


 


แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยุดเดิน เขาได้ยินเสียงน้ำหรือของเหลวอะไรสักอย่างหยดลงมาจากข้างหลังของเขาเอง 


 


 


หลี่ว์ซู่เอาเสื้อยืดออกมาจากตราแผ่นดิน เสื้อตัวนี้มีกระเป๋าทรงกลมติดอยู่ที่ข้างหน้า ซึ่งน่าจะเอามาใส่กระจกส่องตะวันได้พอดิบพอดี… 


 


 


เมื่อก่อนนั้นกระจกส่องตะวันถือว่ามีประโยชน์มากในความมืดในขณะที่หลี่ว์ซู่ต่อสู้กับโนกิวะ ทาเกะโนบุใต้โบราณสถานเกาะช้าง นอกจากจะช่วยสร้างแสงสว่างแล้วยังสร้างความเสียหายให้กับสายตาของศัตรูด้วย แต่อย่างไรมันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ถ้าต้องถือตลอดเวลาน่ะนะ 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่อยากยอมรับความจริงเลยว่าอาวุธที่ทรงพลังขนาดนี้กลับมีข้อจำกัดในการใช้งานจากภายนอก เขาก็เลยเย็บกระเป๋าให้เสื้อตัวนี้เพื่อการณ์นี้แหละ ถึงแม้ว่าเขาจะดูเหมือนไอรอนแมนก็เถอะ เขาไม่สนใจหรอก แถมแสงที่ส่องออกมาจากอกยังสว่างกว่าไอรอนแมนอีก… 


 


 


หลี่ว์ซู่หมุนตัวกลับทำให้แสงจากหน้าอกส่องไปข้างหน้าเขาด้วย ทำให้กิ้งก่าที่ถูกแขวนกลับหัวไว้บนเพดานถ้ำกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วตกลงมาบนพื้นถ้ำ 


 


 


บอกเลยว่าผู้เชี่ยวชาญระดับ B อย่งโนกิวะ ทาเกะโนบุยังไม่สามารถต้านทานแสงนี้ได้เลย แล้วกิ้งก่าระดับ C พวกนี้เหรอจะทนได้ 


 


 


กิ้งก่าตัวนี้คงจะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้เตรียมอุปกรณ์มาครบครันแบบนี้ด้วย แต่หลี่ว์ซู่แอบเสียดายเล็กๆ ที่กิ้งก่าให้ค่าอารมณ์เขาไม่ได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่ยกมือขึ้น แล้วธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลออกมาจากตราแผ่นดินและโอบรัดตัวกิ้งก่าไว้ เพียงสิบวินาที กิ้งก่ายักษ์ก็ถูกกัดกร่อนไปเสียหมด นี่แหละคือพลังของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากการดูดซับพลังจากหมอกหนาสีดำ! 


ตอนที่ 594 อ่อนแอ 


 


 


กิ้งก่าตัวนั้นตะกายตัวดิ้นรนเอาชีวิตรอดขณะที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เอ่อท่วมอยู่ทั่วร่างของมัน ทว่าก็ไม่เป็นผล ทันใดนั้นงูแห่งความโกลาหลที่ซ่อนตัวอยู่ในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เลื้อยออกมาจัดการกิ้งก่าเข้าที่คอของมัน หลี่ว์ซู่สัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยว่าเจ้างูนั้นปล่อยพลังแห่งความมืดไปยังกิ้งก่า ทำให้กิ้งก่าถึงกับแน่นิ่งไปในทันที เวลาที่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการปลิดชีพกิ้งก่ายิ่งลดน้อยลงเข้าไปอีก 


 


 


และในสิบวินาทีต่อมา กิ้งก่ายักษ์กินคนก็ได้จากโลกไป 


 


 


ข้างล่างนี่ยังมีอะไรแปลกๆ อีกเยอะ หลี่ว์ซู่เดินต่อไป เจ้างูแห่งความโกลาหลตื่นเต้นจนถึงขั้นไม่ยอมกลับเข้าไปในตราแผ่นดินอีกเลย ตอนนี้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็เลยเพิ่มปริมาณมากขึ้น หลี่ว์ซู่ไม่แน่ใจว่ามวลน้ำเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่หลังจากที่ดูดกลืนกิ้งก่ายักษ์เข้าไป เขาต้องหาเจ้าพวกกิ้งก่านี่อีก จะได้พิสูจน์เรื่องนี้ให้รู้แน่ชัด… 


 


 


เมื่อหลี่ว์ซู่เห็นว่าเจ้างูไม่ยอมกลับเข้าไปในตราแผ่นดินแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร ขควบคุมให้ธารน้ำไหลไปตามทางที่เขาเดินไปด้วย คนปะทุพลังสายธาตุน้ำอย่างเขาจะได้รู้ได้ว่ามีอันตรายใดอยู่รอบข้างหรือเปล่า 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินต่อไปข้างหน้า ส่วนเจ้างูก็ช่วยให้หลี่ว์ซู่เลือกทางเดินที่ถูกต้อง 


 


 


สิบนาทีผ่านไป หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ว่าพื้นมีการสั่นสะเทือน เหมือนกับว่ามีกองทัพกำลังมุ่งหน้ามาที่เขาอย่างนั้นแหละ! 


 


 


หลี่ว์ซู่สงบสติอารมณ์ลง เขาคาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าคงมีกิ้งก่าเหลืออยู่ราวร้อยกว่าตัว แต่ดูเหมือนเขาจะเดาผิดไป ใครกันนะที่เลี้ยงดูพวกกิ้งก่านี่ไว้มากมาย เป้าหมายของพวกเขาคืออะไรกัน 


 


 


ถ้าเกิดกิ้งก่ากินคนพวกนี้บุกเข้าโจมตีเมืองที่ใกล้ที่สุดจากที่นี่ เมืองนั้นคงย่อยยับไม่เหลือซากก่อนที่เฉินไป่หลี่หรือเนี่ยถิงจะมาถึงเสียอีก 


 


 


กิ้งก่าพวกนี้ไม่ใช่แค่เร็วเท่านั้น แต่มันยังอึดอีกด้วย การทำลายเมืองที่ไม่มีการปกป้องใดๆ คงง่ายมากสำหรับพวกมัน 


 


 


หลี่ว์ซู่ควบคุมธารน้ำให้กระจายไปในทุกทิศทางในถ้ำนี้ เขานั่งลงที่ทางแยกและลอยตัวอยู่ในน้ำขณะรอให้ของเหลวกระจายตัวไปั 


 


 


ทันใดนั้นกิ้งก่ากินคนก็ปรากฏตัวที่ทางเดินรอบๆ พวกมันจ้องมองของเหลวสีดำอย่างระมัดระวัง หลี่ว์ซู่ยังคงลอยตัวในน้ำต่อไปไม่ขยับเขยื้อน เขาเดาไว้ว่าพวกกิ้งก่าที่ล้อมเขาไว้น่าจะมีอย่างน้อยที่สุดก็ร้อยตัวได้ 


 


 


แต่พวกกิ้งก่าไม่ได้รีบเข้ามาโจมตีเขา ราวกับว่ามันกำลังรอดูสถานการณ์อยู่ 


 


 


พวกมันไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนคอยควบคุมพวกกิ้งก่าพวกนี้ เป็นไปได้ว่าเมื่อกิ้งก่าตัวแรกถูกกำจัดไปด้วยธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็มีการส่งสัญญาณไปบอกคนควบคุมในช่องทางต่างๆ เพราะฉะนั้นกิ้งก่าพวกนี้เลยรู้ว่าหลี่ว์ซู่อยู่ที่ไหน แถมมันยังรู้ความสามารถของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย 


 


 


และต่อมาพวกกิ้งก่ากินคนสิบกว่าตัวก็วิ่งเข้ามาหาหลี่ว์ซู่ประหนึ่งพวกมันไม่กลัวธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้เลยสักนิด พวกมันดาหน้ากันเข้ามาในธารน้ำ ราวกับจะใช้จำนวนที่มีช่วยเจือจางความเข้มข้นของพลังโจมตีของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ 


 


 


แต่ปริมาณของธารน้ำก็เยอะอยู่เหมือนกัน เขาสามารถใช้น้ำนี่โอบล้อมกลุ่มกิ้งก่าที่วิ่งเข้ามาโจมตีนี้ได้ทั้งหมด แต่หากมีเยอะกว่านี้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน ก็เหมือนทักษะการโจมตีหมู่ที่สามารถจู่โจมศัตรูกว่าสิบคนได้ในเวลาเดียวกันนั่นล่ะ เพียงแต่ตอนนี้เขาต้องสู้กับศัตรูกว่าร้อยตัว ทุกอย่างช่างเกี่ยวข้องกันจริง 


 


 


ตรงหน้าเขามีกิ้งกว่าอยู่หลายสิบตัว และหลี่ว์ซู่คงจะประเมินธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ต่ำไปหน่อย! 


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่ควบคุมน้ำกวาดเอากิ้งก่าเข้าไป ทันใดนั้นงูแห่งความโกลาหลก็เลื้อยเข้าไปเหมือนดาบที่พุ่งโจมตีเข้าไปที่กิ้งก่าอย่างรวดเร็ว 


 


 


งูแห่งความโกลาหลเลื้อยเข้าไปที่กิ้งก่าทีละตัวโดยไม่มีสิ่งใดต่อต้าน มันเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างกับดาวตกและไม่ทิ้งรอยอะไรไว้เบื้องหลังเลย 


 


 


เจ้างูกัดกิ้งก่าและปล่อยพลังงานมืดเข้าไปในตัวพวกมัน ร่างของกิ้งก่าถูกกัดกร่อนจนหยุดขยับไปในที่สุด หลี่ว์ซู่ยืนอยู่บนธารน้ำโดยไม่ขยับเขยื้อน งูแห่งความโกลาหลจัดการศัตรูชุดนี้ไปเสียราบคาบ 


 


 


หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่บนธารน้ำ พยายามจับสัมผัสบรรยากาศโดยรอบว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เขาต้องการสัมผัสหาพลังนั้นให้ได้และหาให้เจอว่าใครเป็นผู้บงการกิ้งก่ากินคนพวกนี้ 


 


 


ดูเหมือนว่าคนบงการจะใช้กิ้งก่าสิบกว่าตัวเมื่อกี้มาทดสอบความแข็งแกร่งของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เขามี แล้วทันใดนั้นเอง กิ้งก่ากว่าร้อยตัวก็กรูกันเข้ามาในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ในเวลาเดียวกัน 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้ขยับเขยื้อน เขาปล่อยของเหลวไปตามทางต่างๆ มันไหลไปเอ่อท่วมตัวกิ้งก่ากินคนตรงทางเดินและหยุดการเคลื่อนไหวของพวกมัน 


 


 


พื้นที่ใต้ดินนี่ใหญ่มาก แต่ไม่ว่าจะใหญ่มากแค่ไหนก็ต้องมีขีดจำกัดของขนาดเหมือนกัน ตอนนี้หลี่ว์ซู่ย้ายมาอยู่บริเวณทางเดินแล้ว ไม่ใช่ที่ทางแยกอีกต่อไป เขาจะได้จัดการกับพวกกิ้งก่าในจำนวนน้อยลงไปในคราวเดียว 


 


 


ในสถานที่แบบนี้แล้ว การเคลื่อนไหวของหลี่ว์ซู่นั้นรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด! เมื่อธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้กลืนกินกิ้งก่าสิบกว่าตัวเข้าไป หลี่ว์ซู่ก็รู้แล้วว่ากิ้งก่าแต่ละตัวนั้นให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นมาเท่าไหร่ นี่เป็นอาวุธที่เหมาะกับการต่อสู้นี้จริงๆ! 


 


 


ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลเชี่ยวไปทั่วทั้งถ้ำ ขนาดกำแพงหินที่ขรุขระยังถูกน้ำกัดกร่อนให้เป็นกำแพงเรียบๆ ได้เลย 


 


 


ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ โขดหินในแม่น้ำคงจะเรียบขึ้นมาได้หลังจากผ่านไปแล้วหลายพันปี หรือไม่ก็อาจจะนานกว่านั้น แต่ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้มีฤทธิ์กัดกร่อน ก็เลยทำให้หินเรียบขึ้นได้ภ่ยในไม่กี่นาที 


 


 


ในขณะที่กิ้งก่ากินคนล้มตายไปเรื่อยๆ ปริมาณน้ำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกัน เป็นเรื่องค่อนข้างลำบากสำหรับหลี่ว์ซู่ที่ต้องสู้กับกิ้งก่ากินคนร้อยตัวภายในครั้งเดียว แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะสู้สุดตัว ขนาดซือโก่วและฝูฉื่อยังพุ่งออกไปโจมตีพวกกิ้งก่าเลย 


 


 


กระบี่บินสองเล่มนั้นหมุนผ่านอากาศเหมือนเครื่องปั่น หากจะโจมตีทะลุผิวหนังหนาๆ ของกิ้งก่า คนคนหนึ่งอาจต้องใช้อาวุธมีคมมากกว่าหลายชิ้น แต่ซือโก่วและฝูฉื่อนั้นต่างออกไป! 


 


 


จิตวิญญาณกระบี่พุ่งออกมาจากซือโก่วและพุ่งเข้าไปตบหน้าพวกกิ้งก่า 


 


 


แล้วอยู่ๆ ผนังถ้ำข้างบนหลี่ว์ซู่ก็ถล่มลงมา จากนั้นกิ้งก่าตัวหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหาหลี่ว์ซู่ กิ้งก่าตัวนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าตัวอื่นๆ ผู้บงการคงอยากใช้กิ้งก่าตัวนี้กำจัดหลี่ว์ซู่ตอนที่เขาไม่มีซือโก่วและฝูฉื่อป้องกัน! 


 


 


เจ้ากิ้งก่ากินคนตัวนี้อยู่ระดับ B ช่วงต้นเลยทีเดียว! 


 


 


หลี่ว์ซู่ใจเย็นมาก เขามองไปที่กิ้งก่าตัวนั้นที่วิ่งสวนธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เข้ามาหาอย่างดุร้าย หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าผู้บงการนั้นอยู่ไม่ไกล แต่กระนั้น เด็กหนุ่มก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เขารอโอกาสนี้มานานแล้ว! 


 


 


หลี่ว์ซู่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ความคล่องตัวของเขานั้นไม่เป็นรองใคร 


 


 


ตอนที่กิ้งก่ากินคนนั้นทะลุเข้ามาในกำแพงหิน หลี่ว์ซู่ก็เร่งรุดไปข้างหน้าและฟันกิ้งก่าเข้าไป ความจริงแล้วเขาถือกระบี่เฉิงอิ่งไว้ในมืออยู่ตลอดเวลา! 


 


 


มีร่างเล็กๆ ถลาออกมาจากซือโก่ว มันตบหน้ากิ้งก่าที่อยู่เบื้องหน้าหลี่ว์ซู่ และกิ้งก่าก็ไม่ได้ทันระวังกับการจู่โจมนี้ มันถึงกับเซไปข้างๆ ด้วยแรงตบ! 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +1 +1 +1+…] 


 


 


จิตวิญญาณกระบี่นั้นขนาดจิดริด แต่ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับระดับ C ขั้นสูงๆ เลยทีเดียว! หลี่ว์ซู่มานั่งคิดว่ามันคงจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าจิตวิญญาณกระบี่ไม่ได้มีวิธีการโจมตีแค่การตบเพียงอย่างเดียว… 


 


 


ดาบเฉิงอิ่งในมือหลี่ว์ซู่เสียบเข้าไปที่หัวของกิ้งก่าขณะที่มันกำลังอ่อนแอ เขาฝึกท่านี้มาหลายครั้งแล้ว ถ้านี่ฆ่าเข้ากิ้งก่าภายในครั้งเดียวไม่ได้ การฝึกที่ผ่านมาคงไร้ความหมายน่าดู 


 


 


แล้วหัวของกิ้งก่าก็ถูกผ่าครึ่ง! เหมือนกับเอามีดร้อนไปวางไว้บนน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น! 


 


 


เนี่ยถิงบอกให้หลี่ว์ซู่อดทนใจเย็นขณะฝึกกระบี่ แต่เขาไม่เคยบอกเลยว่าดาบเฉิงอิ่งจะเป็นอาวุธวิเศษที่คมกริบที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา 


 


 


มันทั้งคมและล่องหน ความแข็งแกร่งของหลี่ว์ซู่ได้เพิ่มขึ้นมาแล้วจากกระบี่เฉิงอิ่งนี้! 


ตอนที่ 595 แต้มอารมณ์จากการไขปริศนา 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ากระบี่เฉิงอิ่งนั้นยอดเยี่ยมมาก ถ้าคนบงการไม่รู้ว่าเขาได้ลงมาข้างล่างนี้แล้วตั้งแต่แรกก็คงไม่ส่งคนกิ้งก่ากินคนระดับ B มาหรอก 


 


 


ถ้าคนบงการอยากจะซ่อนตัว หลี่ว์ซู่ก็คงไม่มีตัวเลือกใดนอกจากทำให้เขาหวาดกลัวไปเรื่อยๆ 


 


 


หลี่ว์ซู่เพิ่งสังเกตว่ากิ้งก่าที่เหลือนั้นเริ่มจะถอยทัพกลับกันแล้ว เป็นอย่างนี้ได้ไงเนี่ย! 


 


 


กิ้งก่ากินคนนี่ใช้ไว้เป็นอาวุธแท้ๆ หลี่ว์ซู่เอาชนะพวกกิ้งก่าได้ก็เพราะเขาใช้ทุกวิถีทางที่มี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาสู้ต่อไม่ไหวนะ แค่ไม่มีทริคอื่นจะมาเล่นด้วยแล้วต่างหาก! 


 


 


หลังจากที่พยายามไปมากแล้ว เขาจะจะปล่อยอาวุธออกไปมากขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่สิ เขาจะปล่อยให้พวกกิ้งก่าหนีออกไปเยอะขนาดนี้ได้อย่างไรต่างหาก เพราะถ้าเอาเจ้าพวกนี้มารวมกัน เขาคงเพิ่มปริมาณธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ จากสระน้ำให้กลายเป็นทะเลสาบได้ภายในการสู้เพียงครั้งเดียวได้เลยล่ะ! 


 


 


พวกกิ้งก่านั้นวิ่งหนีกันไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มันวิ่งหนีหลี่ว์ซู่ที่เป็นคนสังหารกิ้งก่าที่เหลือกันหัวซุกหัวซุนจาก 


 


 


หลี่ว์ซู่ตกใจมาก งั้นแสดงว่าไอ้กิ้งก่าตัวใหญ่ยักษ์นั่นเป็นผู้ควบคุมกิ้งก่าที่เหลืองั้นเหรอ! 


 


 


เรื่องนี้พอจะเป็นไปได้แฮะ หลี่ว์ซู่เริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมา เขายอมรับว่าตอนที่ฆ่ากิ้งก่าระดับ B ได้ก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย ถ้ากิ้งก่าพวกนี้ยังเก็บท่าโจมตีอื่นไว้อยู่ มีหวังเขาตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ 


 


 


เขารีบเข้าระบบไปเช็กดูเพื่อหาคำตอบ ถ้ากิ้งก่าพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยฉลาดจริงๆ มันก็คงให้แต้มอารมณ์เขาไม่ได้หรอก 


 


 


แต่อย่างที่คาดไว้เลย เขาเจอรายการแต้มอารมณ์เด้งยาวเป็นพรวนว่า [ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าร่วงหล่น +999!] 


 


 


เขารู้แหละว่ากิ้งก่าพวกนี้มีชื่อเรียกว่ากิ้งก่าที่ร่วงหล่น แต่กิ้งก่าตัวสุดท้ายนั้นแตกต่างออกไป เพราะกิ้งก่าตัวนั้นให้แต้มอารมณ์แค่ +1 เท่านั้น 


 


 


นี่น่ากลัวนะเนี่ย ถ้าระดับของกิ้งก่าธรรมดาๆ ยังเป็นระดับ B ได้ แล้วกิ้งก่าตัวนั้นล่ะจะอยู่ระดับไหน 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ความสามารถของตัวเองดี ตอนที่เขาติดตามกิ้งก่ากินคนไป เขาก็ให้ความสนใจกับสิ่งรอบๆ ข้างเหมือนกัน ทั้งฝูฉื่อและซือโก่วต่างก็กลับคืนมาหาเขา 


 


 


หลี่ว์ซู่อยากปกป้องชีวิตตัวเองมากกว่าสังหารกิ้งก่าเพิ่ม เขาเริ่มรู้สึกวหวาดหวั่นขึ้นมาเลยจัดการฆ่าพวกกิ้งก่าที่วิ่งหนีไปยังทางออกทันที 


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่ตามพวกกิ้งก่าไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเพิ่งสังเกตว่าแม้กิ้งก่าพวกนี้จะวิ่งหนีไปสารพัดทิศทาง แต่พวกมันจะไม่ไปที่ที่งูแห่งความโกลาหลอยากจะไปก่อนหน้านี้ 


 


 


งั้นกิ้งก่าพวกนี้ก็มีไว้ล่อเขาน่ะสิ คนบงการไม่อยากโผล่หน้ามาเจอเขาอย่างนั้นเหรอ 


 


 


ถ้าคนบงการเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีระดับสูงกว่านี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหลี่ว์ซู่เสียหน่อย หลี่ว์ซู่ที่ครุ่นคิดอย่างหนักเปลี่ยนใจทันที เขามุ่งหน้าไปยังทางที่จะไปแต่แรกด้วยความเร็วสูงสุด เขาดูระบบบันทึกแต้มอารมณ์ขณะที่ควบคุมธารน้ำไปด้วย 


 


 


เป็นตามที่คาด พอหลี่ว์ซู่เปลี่ยนทางแล้ว เขาก็ได้แต้มอารมณ์เพิ่มขึ้นมาเลย 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +299!] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +310!] 


 


 


แต้มอารมณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เวลาผ่านไป นี่อาจเป็นกับดักก็ได้ แต่แต้มอารมณ์ที่ได้มานั้นคือของจริง ไม่มีทางที่มันจะผิดพลาดได้! ในการต่อสู้ครั้งนี้ หลี่ว์ซู่ใช้แต้มอารมณ์เป็นการนำทาง! 


 


 


พวกกิ้งก่าที่ก่อนหน้านี้วิ่งหนีไปทั่วทิศทางเปลี่ยนทางมาปิดทางหลี่ว์ซู่ มันทำเหมือนกับว่าต้องการจะส่งเขาออกไป ถ้าพวกกิ้งก่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาในเวลาที่เขากำลังมุ่งหน้าไปนั้น เขาก็ต้องใช้ความพยายามในการปัดพวกมันออกไป แต่กิ้งก่าพวกนี้วิ่งไปทั่วทุกที่ พอมันหันกลับมาปิดทาง หลี่ว์ซู่ก็ทำให้พวกมันไม่ทันได้ป้องกันตัว มันเลยวิ่งเข้ามากันหลี่ว์ซู่ออกไปและมาเป็นอาหารของธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ว์ซู่นั่นเอง 


 


 


ดูเหมือนว่าศัตรูของเขาจะเข้าตาจนแล้ว หลี่ว์ซู่งงไปเลย มันรู้งั้นสิว่ากำลังโดนล่าอยู่ และมันก็ไม่อยากจะมาเจอหน้าหลี่ว์ซู่ งั้นการวิ่งหนีไปจะไม่พอเหรอ ทำไมถึงส่งกิ้งก่ากินคนตั้งมากมายมาปิดทางเขาล่ะ 


 


 


ปริมาณธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่คิดว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเลย ระดับของของเหลวเริ่มเพิ่มขึ้นจบเกือบจะเทียบเท่าทะเลสาบแล้ว! 


 


 


หากเขาต้องไปต่อสู้ที่ต่างประเทศ เขาก็แค่ปล่อยพลังน้ำใส่ศัตรูและโจมตีต่อใต้น้ำได้เลย แบบนี้คงได้เปรียบในทุกที่ละนะ! 


 


 


ก่อนหน้านี่ที่กิ้งก่ากว่าสิบตัววิ่งเข้าหาเขา หลี่ว์ซู่แอบกังวลใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้ หลังเขากำจัดกิ้งก่ากว่าร้อยตัวไปภายในครั้งเดียวแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกตื่นตระหนกอีกเลย 


 


 


หลี่ว์ซู่มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ที่ทางออก และงูแห่งความโกลาหลก็เลื้อยอย่างตื่นเต้นไปในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ 


 


 


มีกิ้งก่ากินคนเดินออกมาข้างหน้า มันดูราวกับโกรธจัดมากแล้ว และจะใช้พลังที่มีปิดทางขัดขวางหลี่ว์ซู่ให้ได้ 


 


 


[แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


แล้วถ้ำข้างหน้าหลี่ว์ซู่ก็เปิดออก เขาเห็นกิ้งก่ากินคนขนาดใหญ่ยักษ์กว่าปกติอยู่ตรงหน้า ร่างกายของมันมีสีดำและตั้งตระหง่านเหนือหลี่ว์ซู่เหมือนอาคารสูง พูดตามตรงแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่เคยเห็นสัตว์ที่ตัวใหญ่มหึมาขนาดนี้ อย่างกับไดโนเสาร์เลย! 


 


 


กิ้งก่าตัวนี้ตาสีแดงก่ำเหมือนเลือด ตาดำของมันนั้นเล็กผอมเหมือนกับเป็นแค่รอยแยก มันดูดุร้ายมาก แต่ทว่า… 


 


 


มันมีเสาสีทองห้าเสาเสียบทะลุผ่านขาสี่ขาของมันและเสียบไปที่ลิ้นด้วย ทำให้มันติดอยู่กับที่ ขยับเขยื้อนไม่ได้… 


 


 


“อย่างนี้นี่เอง เพราะแบบนี้ถึงได้พยายามกันจัง หนีไม่ได้สินะ” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจ “ให้ตาย ใครเป็นคนใจร้ายเอาแกมาขังไว้ที่นี่เนี่ย ขนาดลิ้นยังถูกตรึงไว้เลย เกิดอะไรขึ้นกับนาย” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


กิ้งก่ากินนั่นพูดขึ้น “เจ้า…” 


 


 


หลี่ว์ซู่รีบตัดบทแล้วถอนหายใจต่อไป “แกนี่มันเหลือเชื่อไปเลยนะ ขนาดถูกตรึงขนาดนี้ยังรอดมาได้ตั้งหลายพันปี พูดได้ขณะลิ้นถูกตรึงไว้อีกต่างหาก พี่ชาย เจ๋งมากจริงๆ!” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากกิ้งก่าที่ร่วงหล่น +999!] 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นพลังจากกิ้งก่าได้ ด้วยเหตุนี้หลี่ว์ซู่จึงคิดว่าเสาสีทองทั้งห้านี้คงเอาไว้จำกัดพลังของมันด้วย 


 


 


บอกตรงๆ ว่าหลี่ว์ซู่นั้นประหลาดใจมาก เขาไม่รู้เลยว่ากิ้งก่าที่ร่วงหล่นจะถูกขังไว้อยู่ที่นี่ และเขาก็รู้สึกได้ด้วยว่ามันผ่านมานานแล้วด้วย แต่คนที่เอากิ้งก่าตัวนี้มาตรึงขังไว้ที่นี่ก็น่าจะฆ่าต้นตอของปัญหาไปให้จบๆ ได้นี่ ทำไมถึงไม่ทำอย่างนั้นล่ะ 


 


 


หากเป็นในภาพยนตร์ พวกสัตว์ประหลาดจะถูกจับตรึงไว้เพราะไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ แต่หลี่ว์ซู่คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลย ถ้าตรึงสัตว์ประหลาดไว้แล้ว แบบนี้ก็ค่อยๆ ฆ่ามันได้แล้วสิ เพราะมันขยับไปไหนไม่ได้แล้วนี่นา ทีนี้ก็มีเวลาฆ่ามันได้แล้ว แต่เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้ดูหนังที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอหรอก เขาเลยไม่เข้าใจตรรกะของหนังเลยจริงๆ 


 


 


แต่สำหรับเจ้ากิ้งก่ายักษ์ตรงหน้าเขานั้น เขารู้เลยว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะตรึงมันไว้แบบนี้เพียงเพราะฆ่ามันไม่ได้ ถ้าฆ่าไม่ได้จริงๆ แล้วทำไมมันต้องตกใจกลัวด้วยล่ะ 


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าใครก็ตามที่จับกิ้งก่ามาตรึงอย่างโหดร้ายแบบนี้น่าจะต้องเกลียดกิ้งก่าตัวนี้มาก คนคนนั้นเลยจับมันมาตรึงไว้แล้วทรมานมันซะ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม