ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 588.3-592

ตอนที่ 588 - 3 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า

 

  


อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย ตกตะลึงพรึงเพริด เจ็บปวดเคียดแค้น หงุดหงิดโมโห ถึงกระนั้นกลับเผยความตื่นเต้นยินดีบางๆ ออกมาเล็กน้อย ภายในดวงตาสีฟ้าลุ่มลึกของนางปรากฏแววตาสารพัดสารพัน สับสนซับซ้อนอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


“เจ้าเลือกไม่ตอบก็ได้” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ข้าจะไม่บังคับเจ้าเช่นกัน อย่างไรเสียบางเวลา บางเรื่องราวก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ เพียงแต่การละเล่นอดอาหารเช่นนี้ เจ้าอย่าเล่นเลยก็แล้วกันนะ ข้ากลัวว่าเจ้าจะทนไม่ไหวจริงๆ” 


 


 


“พรืด” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นกลับเอ่ยปากหัวเราะอย่างแปลกประหลาด งดงามยวนเย้าดั่งบุปผา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอดอาหารก็เป็นเรื่องเท็จ?!” 


 


 


“จริงได้หรือ?” หลินหว่านหรงหงุดหงิดแล้ว โยนถุงน้ำนั้นไปเบื้องหน้านาง “รอยริมฝีปากสีแดงสดมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม! ข้าสงสัยนะว่าเจ้าไม่ต้องใช้มือก็ดื่มน้ำได้ด้วย? หรือเจ้าจะเป็นเทพเซียน?” 


 


 


“ข้าไม่ใช่เทพเซียน” อวี้เจียกล่าวระคนยิ้ม ริมฝีปากน้อยงับจุกถุงน้ำเบื้องหน้า เพียงสองสามทีก็บิดออก น้ำทะเลเสาบกระจ่างใสค่อยๆ ไหลออกมา “พวกเราชาวทูเจวี๋ยเติบโตบนหลังม้า แม้สองมือสองเท้าจะถูกมัดไว้ก็ยังมีวิธีการอื่นอีก ข้ามีปาก ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง!” 


 


 


ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง?! หลินหว่านหรงร้องอาอ้าปากกว้าง หรือว่านังหนูนี่กำลังคิดจะยั่วข้า? 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์พลันถอนหายใจยาว สีหน้าหดหู่เล็กน้อย “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ เจ้ารู้ว่าข้าหลอกเจ้าได้อย่างไร?” 


 


 


“เรื่องนี้ พูดไปแล้วก็ไม่มีค่าอะไร” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “เพราะนิสัยข้าค่อนข้างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียเปรียบ ทุกครั้งข้าจะเพิ่มความคิดระแวดระวัง ป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกผู้อื่นหลอกเอาได้” 


 


 


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวี้เจียผงกศีรษะ “เจ้าหลอกคนมามาก ดังนั้นตนเองจึงสร้างความตื่นตัว เผชิญเรื่องราวใดก็ต้องระวังการถูกหลอกเอาไว้ก่อน ข้าถือว่าเป็นเจ้าเล่ห์น้อยพบมิจฉาชีพตัวใหญ่ ถือว่าสมน้ำหน้าแล้ว” 


 


 


เจ้าเล่ห์น้อยพบมิจฉาชีพตัวใหญ่อะไรกัน ต้องพูดตรงขนาดนั้นเพื่ออะไร? หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา “ส่วนเรื่องที่จับพิรุธเจ้าได้ นอกจากที่พูดไปก่อนหน้านั้น อีกทั้งเจ้าแสดงออกร้อนใจเกินไป ต้องรู้ว่าข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็มีชื่อเสียงเรื่องแข้งแข็งตรงไปตรงมา ไม่ถูกล่อลวง แล้วข้าจะติดกับเจ้าง่ายดายเช่นนั้นได้อย่างไร?” 


 


 


อวี้เจียหน้าแดงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ “ผู้อื่นต่างพูดกันว่าเจ้าเหลาะแหละต่ำช้า ละโมโลภมากบ้ากาม ไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่พวกเขาล้วนผิดไปแล้ว พวกเขาเห็นแค่เปลือกนอก ก็อย่างเช่นเรื่องของข้า เจ้าพินิจอย่างถ้วนถี่ ใช้ใจพิจารณา จะมีสักกี่คนที่มีสายตาเช่นเจ้านี้ สิ่งที่มีทั้งหมดในปัจจุบัน ไม่ใช่ใช้แค่หนังหน้าของเจ้า ยิ่งต้องใช้สติปัญญาของเจ้าแลกมา ลู่ตงจ้านพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย หลินซาน เจ้าเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่งจริงๆ อวี้เจียนับถือเจ้ามาก” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าอ่อนลง และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เรียกนามอันสร้างชื่อให้หลินหว่านหรงในต้าหัว เพียงแต่เมื่อได้ยินอยู่ในหูของอัวเหล่ากง เหตุใดกลับรู้สึกไม่ดี ใจแอบรู้สึกหดหู่อย่างน่าประหลาด  


 


 


“พวกเราต่างก็เหมือนกันกระมัง” หลินหว่านหรงประสานมือคารวะ กล่าวพลางหัวเราะร่า “เมื่อจ้องมองยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เจ้าเองยังกล้าคิดเพ้อฝันที่จะสยบเช่นกัน คุณหนูอวี้เจีย จิตใจและความมุ่งมั่นของเจ้า ข้านับถืออย่างล้นเหลือจริงๆ แน่นอนว่าทักษะการแสดงของเจ้าก็ดีกว่าที่ข้าคาดไว้มากนัก หลายครั้งที่ข้านึกว่าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง” 


 


 


เจ้าคนนี้หนังหน้าช่างหนาไม่ธรรมดาเสียจริง อวี้เจียผงกศีรษะเล็กน้อย “เจ้าก็เยี่ยมมากเช่นกัน ทุกครั้งที่เจอก็หักล้าง เห็นๆ อยู่ว่าทุกสิ่งคือเรื่องเท็จ แต่มักทำให้คนรู้สึกว่านั่นคือเรื่องจริง หลินซาน เจ้าทำกับสตรีเยี่ยงนี้ทุกครั้งใช่หรือไม่? มิน่าที่ต้าหัวถึงหลอกลวงสตรีได้มากมายขนาดนั้น อีกทั้งแต่ละคนต่างมอบใจให้เจ้าอย่างเต็มที่ เจ้าเก่งมากจริงๆ แม้แต่ความจอมปลอมก็ยังจริงใจ!” 


 


 


แค่กๆ อย่าพูดเหลวไหล พี่สาวนางเซียนยังฟังอยู่ด้านข้างนะ หลินหว่านหรงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจ แม้ทั้งสองคนจะไม่หลอกลวงเอาใจซึ่งกันและกันแล้ว แต่การประชันฝีปากกลับแหลมคมยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเสียงอ่อนออกมาคราหนึ่ง “หลินซาน เจ้าจะซื่อสัตย์สักครั้งได้หรือไม่ เจ้าโปรดบอกข้ามา อวี้เจียยังมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่วัน?!” 


 


 


“หา?!” หลินหว่านหรงร้องด้วยความตกใจ รีบกะพริบตาแล้วพูดว่า “ชีวิตอะไร เจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ข้าไม่หลอกเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้ายังมาหลอกข้าอีก? เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้าเป็นหมอ นับตั้งแต่เจ้าชักนำสตรีงามยวนเย้าดั่งจิ้งจอกผู้นั้นเข้ามา ลอบลงมือกับข้า ข้าก็รู้แล้ว” 


 


 


สตรีซึ่งเหมือนนางจิ้งจอกที่นางพูดย่อมเป็นพี่สาวอันแล้ว ที่แท้อวี้เจียก็รู้ทุกอย่าง มีแต่ข้าที่ยังปิดบัง แผนการและสติปัญญาของผู้หญิงคนนี้ช่างล้ำลึกยากหยั่งถึงเสียจริง 


 


 


“เจ้าพูดถึงเรื่องนี้เองหรือ ข้าก็ไม่ค่อยรู้นะ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “พี่สาวอันลงมือ ข้าไม่เคยสอดมือมาก่อน ใช่แล้วล่ะ เจ้าเป็นหมอเทวดาที่ข้านับถือมาก น่าจะรักษาเจ้านี่หายกระมัง” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งไม่ผงกศีรษะและไม่ส่ายหน้า เหล่มองเขาหลายครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง “เห็น ๆ อยู่ว่ารู้ทุกอย่าง แต่กลับเสแสร้งว่าไม่รู้อะไรทั้งนั้น เจ้าคนนี้ ไร้ยางอายจนถึงขีดสุดจริงๆ ด้วย เจ้าถามข้าว่ารักษาได้หรือไม่ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าก่อน ข้ารักษาหายหรือไม่หาย เจ้าชอบผลลัพธ์ใดมากกว่ากัน?!” 


 


 


คำถามยากขนาดนี้ แล้วจะให้ข้าตอบอย่างไรกันเล่า หลินหว่านหรงอ้าปากส่งเสียงอาอา ถึงกระนั้นกลับพูดอะไรไม่ออก 


 


 


“ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจเช่นกัน” อวี้เจียคลี่ยิ้ม “ผ่านเรื่องครั้งนี้ ในที่สุดข้าก็เข้าใจ ลู่ตงจ้านกล่าวไว้ไม่ผิด ในบรรดานิสัยของเจ้า จุดเด่นกับจุดด้อยมากพอกัน แต่เจ้ากลับจริงใจกว่าทุกคน หากต้าหัวมีแต่คนเช่นเจ้า พวกเราก็ไม่ต้องรบกับพวกเจ้าแล้วล่ะ” 


 


 


ต้าหัวมีแต่คนแบบข้า? นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรกัน จะไปหาสาวสวยแบ่งพวกมันมากขนาดนั้นได้จากที่ไหน ได้สนทนากับอวี้เจียที่จริงใจคนนี้ไปหลายประโยค ถึงรู้สึกว่าทูเจวี๋ยผู้นี้ที่แท้ก็มีด้านที่ผ่าเผยตรงไปตรงมากับเขาด้วย 


 


 


อวี้เจียมองเขา ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ต้องขอบคุณเจ้ามากที่พาข้าไปเส้นทางสายไหม นี่คือช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขมากที่สุด รู้สึกแปลกใหม่มากที่สุด แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงรู้เรื่องราวตั้งมากมายเช่นนี้ แต่เจ้าทำให้ข้าเข้าใจเรื่องหนึ่ง โลกนี้มันช่างกว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ” 


 


 


“ใช่แล้วๆ โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลมากจริงๆ ดังนั้นเจ้าไม่อาจนำสายตาไปไว้ ณ พื้นที่จำกัดบริเวณใดบริเวณหนึ่ง อย่างเช่นต้าหัว!” หลินหว่านหรงรีบโน้มน้าว 


 


 


อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “เจ้ายกทัพมาถึงเมืองแล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าตอนนี้จะมีความหมายหรือ?!” 


 


 


“ยกทัพมาถึงเมืองก็เพราะชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าบีบคั้น หรือว่าข้าไม่อยากกลับบ้านไปเล่นวิดพื้นกับเมียที่บ้านหรอกหรือ?” หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชาเช่นกัน 


 


 


ทั้งสองคนพอสนทนา มุมมองขัดแย้งเกี่ยวกับศัตรูและชนชาติก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง นี่แทบจะเป็นสิ่งที่ไม่อาจไกล่เกลี่ยกันได้ 


 


 


“ช่างเถอะๆ ไม่พูดเรื่องน่าเบื่อพวกนี้แล้ว ยากนักที่จะคุยอย่างเปิดเผยกับเจ้าเช่นนี้สักครั้ง” หลินหว่านหรงโบกมือ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเป็นหนึ่งในสตรีที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา หากเจ้าไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย พวกเราอาจเป็นสหายที่ดีต่อกันได้ ไม่ขอปิดบังเจ้าแล้ว บนโลกนี้ข้ามีเงินมาก ผู้รู้ใจมาก เมียมาก แต่สหายมีไม่มาก” 


 


 


“เพราะเหตุใด? ชาวทูเจวี๋ยเป็นสหายกับเจ้าไม่ได้หรือ?! นี่เจ้าใช้เหตุผลอะไรกัน?” อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง ความดื้อด้านบังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


“อย่าถามเรื่องเหตุผลกับข้า” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ โบกมือด้วยความไม่พอใจ “เหตุผลอยู่ในมือชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้า!” 


 


 


“เจ้า!” อวี้เจียถลึงตาโพลงมองเขา ความอายหงุดหงิดและโมโหระคนกัน ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าควรเถียงเช่นไร 


 


 


จะว่าไปก็แปลก พูดหัวข้อนี้กับสาวน้อยทูเจวี๋ย ใจเขากลับผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เขาหัวเราะร่าตบใบหน้าอวี้เจียสองครั้ง “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าแล้ว หลายวันนี้ข้าจะค่อนข้างยุ่ง ตัวเจ้าก็ว่าง่ายสักหน่อยเถอะ อย่าให้ข้าอุดปากเจ้าอีกเลยนะ” 


 


 


“ยุ่งอะไร? ยุ่งในการโจมตีราชธานีของข้าหรือ” อวี้เจียดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบอย่างรวดเร็ว 


 


 


หลินหว่านหรงประคองนางขึ้นนั่ง คลายเชือกที่แขนนอกออกไปหลายส่วน ทว่าเชือกนั้นกลับยังคงมัดอยู่ เขายิ้มเล็กน้อย “ใช่แล้วจะทำไม? หรือเจ้านึกว่าข้ามาเที่ยวที่นี่หรือ? พักผ่อนให้ดีๆ เถอะ” 


 


 


เขาฮัมเพลงเดินออกไปข้างนอก อวี้เจียกัดฟันกรอด ร้องเรียกเบาๆ ว่า “อัวเหล่ากง!” 


 


 


“หา?” หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา ร้องด้วยความตกใจ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” 


 


 


หลินหว่านหรงเข้าไปใกล้เบื้องหน้านางด้วยความสงสัยเปี่ยมล้น ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาก็รู้สึกได้ว่าริมฝีปากอันอบอุ่นชุ่มชื้นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กวาดผ่านใบหน้าตนราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ มาอย่างรวดเร็ว ไปยิ่งรวดเร็ว 


 


 


อวี้เจียใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ถึงกระนั้นสีหน้ากลับแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบมิได้ “…เจ้าจำไว้ อวี้เจีย ไม่มีทางพ่ายแพ้แก่เจ้าเช่นนี้แน่!”  

 

 


ตอนที่ 589 - 1 ตื้นตันจนร้องไห้

 

ลอบโจมตี? อัวเหล่ากงลูบแก้ม ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ชั่วร้าย คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้แล้วนะ ไม่เช่นนั้นข้าจะเอาคืน” 


 


 


อวี้เจียเหลือบมองเขาเล็กน้อยหลายครั้ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ด้วยสถานะของพวกเราสองคน…เจ้ารู้สึกว่ายังจะมีคราวหน้าอีกหรือ?!” 


 


 


นางมีสีหน้าเรียบเฉย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ภายในดวงตาอันล้ำลึกดุจวารีหนักแน่นไม่หวั่นไหว ประหนึ่งทะเลสาบอันสงบนิ่ง ความเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลานี้ เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้งดงามและเต็มไปด้วยความรู้สึกกลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน บางทีผู้ที่อยู่ตรงหน้ายามนี้ถึงจะเป็นอวี้เจียตัวจริง 


 


 


“ไม่มีคราวหน้า? นั่นย่อมดีที่สุดแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางผงกศีรษะ “เจ้าก็รู้ ข้าคนนี้เป็นคนที่รู้สึกหวั่นไหวอย่างง่ายดาย กลัวจริงๆ ว่าจะมีสักวันที่ไม่ระวัง ตกหลุมพรางของเจ้า ตอนนี้ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจมากแล้ว” 


 


 


อวี้เจียตอบรับอืมเรียบๆ คราหนึ่ง “ข้าวางใจยิ่งกว่าเจ้า เพราะเจ้าจะไม่หลอกข้าอีกต่อไปแล้ว!” 


 


 


ดูคำพูดนี้สิ ข้าเป็นคนเลวขนาดนั้นเลยหรือไง?! เขาหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา โบกมืออวี้เจีย สะบัดก้นแล้วจากไป 


 


 


ณ สถานที่อันห่างไกล หูปู้กุยยื่นศีรษะออกมาจากพงหญ้า เหล่มองทางนี้หลายคราอย่างระมัดระวัง “เหตุใดแม่ทัพหลินถึงไปทั้งอย่างนี้ล่ะ สรุปว่าเขาโน้มน้าวสำเร็จหรือไม่นะ?!” 


 


 


“น้องหลินเคยพลาดที่ไหนกัน?” เหล่าเกาถลึงตามองเขาด้วยความไม่พอใจ “เจ้าไม่เห็นหรือ พอให้เขาไปปลอบใจด้วยตัวเอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ตื้นตันจนร้องไห้!” 


 


 


ตื้นตันจนร้องไห้?! หูปู้กุยรีบเบิกตาโพลง 


 


 


ทอดสายตามองออกไปไกลๆ อวี้เจียนั่งอยู่บนพื้น สงบนิ่งเรียบเฉยสง่างาม รอยยิ้มบนใบหน้าน่าลุ่มหลงเหนือธรรมดา บางครั้งภายในดวงตาก็มีไอน้ำรางเลือน ประหนึ่งฟองสบู่ที่เปล่งประกายสีรุ้งภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง กำสรดเศร้าทว่างดงาม  


 


 


“พี่สาว ท่านว่าเหตุใดคนเราถึงต้องมีใจกันด้วยนะ?!” อาทิตย์อัสดงสีแดงสดส่องกระทบทุ่งหญ้า สาดเป็นแสงสีทองไปทั่วแดนดิน นั่งอยู่บนเนินเคียงคู่กับนางเซียน จ้องมองดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ค่อยๆ ลาลับไป ณ สถานที่อันไกลโพ้น หลินหว่านหรงพลันพ่นลมหายใจยาวออกมา ยิ้มร่าพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


คำถามของโจรน้อยมักจะแปลกประหลาด เหมือนจะไม่มีคำตอบแต่ก็เหมือนมีคำตอบ แม้นางเซียนจะฉลาดปราดเปรื่องก็ไม่รู้ว่าควรตอบเขาเช่นไรดี นางทัดปอยผมที่พลิ้วตามสายลมข้างใบหูเบาๆ ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ต้นไม้มีราก คนมีใจ นี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ เพื่อให้เจ้ารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ จะมีคำว่าทำไมมากมายขนาดนั้นไปทำไม” 


 


 


“ไม่ถูก” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ข้าว่าสวรรค์ประทานจิตวิญญาณให้ข้าก็เพื่อให้พวกเราอดทนต่อความทุกข์ทรมาน” 


 


 


นางเซียนพูดตำหนิ “จะทนกับความทุกข์ทรมานได้อย่างไรเจ้าลองว่ามาสิ” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ “เมื่อมีใจถึงมีความปีติยินดีและความกลัดกลุ้ม ชีวิตคนเราล้วนต้องผ่านความยินดีและความทุกข์กันทั้งนั้น บางครั้งหัวเราะบางครั้งร้องไห้ สุขทุกข์ระคนกัน นี่ไม่ใช่ความทรมานแล้วจะเป็นอะไรได้อีก? นับไปนับมา รวมจิตใจคนบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่รู้ว่าที่แท้ความสุขมีมากกว่า หรือว่าความทุกข์มีมากกว่ากัน!” 


 


 


คำพูดของโจรน้อยช่างล้ำลึกนะ! หนิงอวี่ซีอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะพรวดออกมาทันที “ใจคนเราจะรวมกันได้อย่างไร?! ข้าว่าเจ้าจงใจทำเรื่องให้เป็นไปไม่ได้ต่างหาก เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็ทุกข์ คิดว่าผู้อื่นฟังไม่ออกหรือ? อ้อมไปอ้อมมา ยังไม่ใช่พูดถึงอวี้เจียผู้นั้นหรอกหรือ?!” 


 


 


“เปล่า ไม่เกี่ยวกับนางเลย ข้าขอสาบานด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของข้า” หลินหว่านหรงรีบโบกมือ สาบานถ้วยถ้อยคำจริงจัง 


 


 


นางเซียนส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ชักกระบี่ออกมาเบาๆ คมกระบี่บวาววับโบกอยู่ตรงหน้าเขาหลายครา “เช็ดไอ้สิ่งสกปรกเละเทะบนหน้าให้แห้งก่อนเถอะ นี่ไม่ใช่อาศัยแค่ความสุขความทุกข์แล้วจะเกิดขึ้นมาได้นะ” 


 


 


บนคมกระบี่สะท้อนเงาของเขาอย่างชัดเจน บนใบหน้าดำมีรอยริมฝีปากสีแดงสดอยู่รอยหนึ่ง ราวกับจันทร์เสี้ยวโค้งงามบนขอบฟ้า มองเห็นเด่นชัด งดงามน่าลุ่มหลง  


 


 


“เอ๊ะ” หลินหว่านหรงรีบปิดแก้ม ร้องด้วยความตกใจ “นี่มาจากไหนกัน? เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย พวกเหล่าหูช่างไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว ข้าถูกลอบกัด พวกเขากลับไม่มาช่วยข้า อ๊ะๆ พี่สาวอย่าทิ่มข้า…ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นอวี้เจียทำอย่างแน่นอน น่าแค้นใจที่ข้าชะล่าใจเกินไป เหตุใดถึงไม่รู้สึกตัวนะ?” 


 


 


พรึบ เข็มเงินที่อยู่ในมือของหนิงอวี่ซีซัดออกไปอย่างรวดเร็วราวสายอสุนีบาต จมเข้าไปในลำต้นของต้นไม้เบื้องหน้าพอดี นางเซียนแย้มยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “ข้าจะทิ่มเจ้าทำไมกัน? ศิษย์น้องอันบอกมาแล้ว เจ้าของอย่างเข็มเงินนี้เก็บเอาไว้ก็ขึ้นรา ต้องเอาออกมาตากแดดสักหน่อยถึงจะให้รักษาความแหลมคมของมันได้! ข้าไม่รู้เช่นกันว่านางพูดถูกหรือไม่” 


 


 


“ใช่ๆ มีเหตุผล” โจรน้อยรีบเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก 


 


 


“เจ้านะ” นางเซียนจิ้มหน้าผากเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ทำตัวไม่ซื่อเยี่ยงนี้! หากศิษย์น้องอันอยู่ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะถูกนางเล่นงานเท่าใดแล้ว นางพูดเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ลงมือแล้วเจ้าต้องเห็นดีแน่” 


 


 


เมื่อได้ยินนางเซียนเอ่ยถึงอันปี้หรู ใบหน้าของนางจิ้งจอกซึ่งทั้งตำหนิทั้งยินดีดวงหน้านั้นก็ผุดขึ้นตรงหน้าเบาๆ โจรน้อยพูดจาหน้าระรื่นออกมาว่า “พี่สาวไม่ต้องเป็นห่วงแทนข้า นางลงมือ ข้าก็ลงมือเป็น ช่วงนี้น้องชายศึกษาท่าไม้ตายใหม่ เรียกว่าท่าฝ่ามือจับมังกร เป็นวิชาทำลายเสื้อตัวในโดยเฉพาะ อ้อ ไม่ใช่ เป็นวิชาในตระกูล ถือว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่มีความรวดเร็วใดที่จะทำลายได้ หากมีเวลาว่าง ข้าอยากจะประมือกับพี่สาวสักครา ทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกัน” 


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดถึงวิชาเสื้อตัวในก็รู้ว่าคือวิชาอะไรแล้ว หนิงอวี่ซีรีบร้องออกมาเบาๆ ใบหน้าแดงสดใส ถูกเขาก่อกวนเช่นนี้ แม้แต่คำพูดสั่งสอนก็พูดไม่ออก นางเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจคราหนึ่ง “คำพูดเมื่อครู่ของพวกเจ้าข้าฟังอยู่ด้านข้าง อวี้เจียผู้นั้นเกรงว่าคงเกิดความรู้สึกต่อเจ้าจริงแล้ว” 


 


 


“ไม่น่ากระมัง” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความระมัดระวัง “แม่นางคนนี้หาได้จัดการง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ จู่ๆ ก็กลายเป็นเปิดเผยเสียขนาดนั้น ใครจะรู้ว่านางไม่ได้กำลังแสดงละครฉากหนึ่งอยู่?! ไม่ขอปิดบังพี่สาว ข้ากลัวนางบ้างแล้วจริงๆ” 


 


 


“นี่เขาเรียกว่าเมื่อโดนงูกัดก็จะกลัวเชือกไปสิบปี” นางเซียนหนิงหัวเราะออกมาทันที “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ผ่านไปอีกสองวัน เมื่องานแข่งขันชิงแพะนั่นเริ่มขึ้นและบุกยึดราชธานีชนเผ่านอกด่านได้แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องพบเจอนางอีกต่อไป” 


 


 


“ข้าก็คิดเช่นนี้…ไม่พบเจออีกต่อไป” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง ผงกศีรษะอย่างจริงจัง จ้องมองอาทิตย์ยามเย็นสีเข้มนั้น ความรู้สึกภายในจิตใจยากจะบรรยายออกมาได้ 


 


 


เชื่อเจ้าสิถึงจะแปลก! นางเซียนเบะปาก เพียงแต่เหมื่อเห็นความง่วงงุนและความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา ใจก็อ่อนลงทันที ไม่อยากพูดเรื่องของผู้อื่นอีกต่อไป ทั้งสองซบกันแนบแน่น กลายเป็นเงาร่างที่ไม่พรากจากกันตลอดกาลคู่หนึ่งใต้อาทิตย์อัสดงขนาดมหึมา… 


 


 


“ไป!” 


 


 


“ไป!” 


 


 


เสียงฝีเท้าม้าดังบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เป็นระยะ ดังเบาสลับกันไป ทหารม้าที่รวมกลุ่มกันควบม้าห้อตะบึงอย่างเร้วรี่บนทุ่งหญ้า ขนาดไม่ธรรมดา เมื่อดูจากจำนวนก็มีมากถึงหลายพันคนได้  


 


 


เพียงแต่พูดแล้วก็แปลก ชนเผ่านอกด่านหลายพันคนนี้กลับแบ่งเป็นขบวนที่มีขนาดแตกต่างกัน ขนาดใหญ่มีเจ็ดแปดสิบคน ขนาดเล็กมีแค่สิบคน ช่วงห่างของแต่ละกลุ่มนั้นไกลมาก ระยะห่างอย่างน้อยก็สองลี้ แต่ละกลุ่มเป็นเอกเทศ รวมกันเป็นกองทหารม้า บางครั้งก็รวมกลุ่ม บางครั้งก็แยกจากกัน ประหนึ่งกำลังฝึกกระบวนอะไรบางอย่าง กระโจมสีขาวขนาดใหญ่น้อยค่อยๆ แผ่ขยายออกไปบนทุ่งหญ้าสีเขียวเข้มราวกับเมฆที่จรดท้องฟ้า  


 


 


เสียงฝีเท้าอีกกลุ่มดังขึ้นมา จุดดำหลายสิบจุดวิ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ดุจสายลม 


 


 


อยู่กันไกลยิ่งนัก กอปรกับม่านราตรีค่อยๆ คลี่ตัวลง ชนเผ่านอกด่านแต่ละกลุ่มกำลังฝึกฝนอย่างตึงเครียด กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดเงยหน้ามองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว 


 


 


ท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกดิน ม้าเร็วทูเจวี๋ยที่แข็งแรงกำยำหลายสิบตัวห้อตะบึงมาอย่างเร็วรี่ ทหารม้าที่อยู่บนม้าสวมชุดของชนเผ่านอกด่านอันหลวมกว้าง ระหว่างที่พุ่งปราดเข้ามา ร่างกายก็หมอบแนบชิดอยู่บนหลังม้า ราวกับลูกธนูที่พร้อมจะหลุดออกจากแล่ง บางครั้งก็เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกครึ้ม แฝงไอสังหารรุนแรงออกมาเล็กน้อย  


 


 


ฟ้าเริ่มมืด รอบด้านของทุ่งหญ้าต่างมีม้าเร็วเช่นนี้ ระหว่างกลุ่มก็ต่างปกครองดูแลกันเอง ไม่มีผู้ใดสนใจขบวนม้าสิบกว่าคนนี้ 


 


 


“หยุด!” ผู้ที่เป็นหัวหน้าเบื้องหน้าดึงบังเ**ยนอย่างชำนาญ ฝีเท้าม้าทูเจวี๋ยค่อยๆ เชื่องช้าลง เขานำม้าย่ำเบาๆ หลายก้าว หันหน้ากลับไปแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ เดินทางรอบคอบ! ที่นี่อยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่ยี่สิบลี้แล้วขอรับ” 


 


 


“ยี่สิบลี้?” หลินหว่านหรงดึงเสื้อคลุมตัวยาวของทูเจวี๋ยลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ซุกซ่อนอยู่ ดวงตากลอกวนไปมา มองประเมินรอบด้านอย่างระแวดระวัง “นี่มันชนเผ่านอกด่านจากที่ใดกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีตั้งหลายร้อยก้อนเลยนะ! พวกมันอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่ยี่สิบลี้ แล้วเหตุใดถึงไม่เข้าเมืองไป?” 


 


 


นับจากข่าวแรกที่สวี่เจิ้นส่งกลับมาเมื่อวาน จนถึงวันนี้หลังเที่ยงก็เป็นรายงานครั้งที่สองแล้ว ทัพใหญ่หนึ่งแสนที่ลู่ตงจ้านเป็นผู้นำเดินทางออกห่างไปสามร้อยลี้ เพียงพอให้แม่ทัพหลินสะบัดธงรบ เคลื่อนทัพรุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วได้แล้ว ฝีเท้าของทหารม้าต้าหัวเหยียบย่างถึงบริเวณรอบนอกเค่อจือเอ่อร์ บริเวณที่อยู่ห่างจากราชธานีของชนเผ่านอกด่านใกล้ที่สุดก็แค่หนึ่งร้อยสามสิบลี้เท่านั้น พวกเขารับรู้ได้กระทั่งลมหายใจของชนเผ่านอกด่าน  

 

 


ตอนที่ 589 - 2 ตื้นตันจนร้องไห้

 

ในช่วงเวลาสำคัญที่แม้แต่สะเก็ดไฟเล็กๆ ก็จุดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาได้นี้ หลินหว่านหรงไม่พอใจแค่รายงานของหน่วยลาดตระเวนแล้ว หากไม่ได้เห็นสถานการณ์ของเค่อจือเอ่อร์ด้วยตาตนเอง เขาก็รู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นถึงฉวยโอกาสช่วงโพล้เพล้มาสืบข่าวกับหูปู้กุยด้วยตนเอง 


 


 


หลายร้อยก้อนจริงๆ ด้วยนะ! หูปู้กุยกลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ  เจ้าพวกนี้ต่างเป็นบุคคลชั้นยอดจากแต่ละดินแดนที่มาเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะ มะรืนทุ่งหญ้านี้ก็จะจัดงานใหญ่แล้ว พวกมันไม่ฉวยโอกาสช่วงสุดท้ายเพื่อฝึกฝน วิ่งแจ้นเข้าเมืองไปทำอะไรเล่าขอรับ?” 


 


 


“เจ้าพวกนี้ต่างมาเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะ?” หลินหว่านหรงตกใจ ท่ามกลางขบวนที่วิ่งห้อตะบึงอยู่บนทุ่งหญ้า อาชาพ่วงพีเร็วรี่ดั่งสายฟ้า เหล่าทหารม้าที่อยู่บนม้ากระโดดบิด ค้อมเอว พลิกตัว กระโดดคร่อม สลับกันไป การเคลื่อนไหวที่มีระดับความยากสูงส่งสารพัดอย่างปรากฏให้เห็นเป็นระยะ ราวกับเล่นกายกรรม ร่างกายคล้ายงอกเงยอยู่บนหลังม้า 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ “ใช่ขอรับ แต่ละกลุ่มต่างเป็นบุคคลชั้นยอดที่มาจากแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่าน ท่านดูสิ พวกมันยังมีธงของตัวเองอีกด้วย” 


 


 


จริงอย่างที่ว่า ท่ามกลางกระโจมที่มีอยู่เป็นแถบนั้นต่างมีธงที่มีความแตกต่างกันโบกสะบัด ธงอินทรี ธงจิ้งจอก ธงกระต่าย สัญลักษณ์ของแต่ละดินแดนล้วนไม่เหมือนกัน หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง ชี้ไปยังกระโจมหลังหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างไกลพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ยังมีธงนกกระจอกด้วย? ชนเผ่านอกด่านนี่ช่างมีความคิดสร้างสรรค์เสียจริงนะ!” 


 


 


หูปู้กุยกวาดตามองหลายครั้ง เห็นว่าสิ่งที่วาดอยู่บนธงผืนนั้นคือนกน้อย ซึ่งมีท่าทีองอาจมีชีวิตชีวาตัวหนึ่ง กำลังเชิดหัวบินขึ้นสูงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เหล่าหูรู้สึกทนไม่ไหวแล้วจริงๆ “เรียนท่านแม่ทัพ นั่น…นั่นไม่ใช่นกกระจอกขอรับ!” 


 


 


“ไม่ใช่นกกระจอก?” หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว “หรือว่าจะเป็นนกเขา?! พอมาอยู่บนทุ่งหญ้าพันธุกรรมก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน นกเขาก็กลายสภาพเป็นแบบนี้…สู้นกกระจอกก็ยังไม่ได้!” 


 


 


เหล่าหูหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่ทัพ นี่ ทั้งไม่ใช่นกกระจอกและไม่ใช่นกเขาขอรับ มันเรียกว่านกไป่หลิง แค่กๆ ไป่หลิงที่ร้องเพลงได้นั่นน่ะขอรับ ใช้นกไป่หลิงมาเป็นธง หมายความว่าดินแดนนี้คล่องแคล่วปราดเปรียว ร้องรำทำเพลงเก่งกาจ” 


 


 


“ที่แท้ก็ไป่หลิง” หลินหว่านหรงร้องอ๊ะๆ สองครา พูดด้วยความเดือดดาล “ฝีมือการวาดภาพของชนเผ่านอกด่านนี่นช่างแย่เสียจริง ข้าไม่เห็นมันเป็นแมลงวันก็ถือว่าได้เปรียบมันแล้ว!” 


 


 


“หูโหยว (เยี่ยม)!” เขาพูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นยินดีดังแว่วมาจากดินแดน ‘แมลงวัน’ นั่น ดังนั้นจึงรีบทอดสายตามองไป 


 


 


เห็นม้าในขบวนของดินแดน ‘แมลงวัน’ อาชาพ่วงพีจำนวนสิบตัวกำลังวิ่งห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ดั่งโผบิน ชนเผ่านอกด่านผู้หนึ่งกอดหลังม้าแล้วห้อยร่างอยู่ใต้ท้องม้า แผ่นหลังของม้าทูเจวี๋ยอันสง่างามตัวนั้นว่างเปล่า ทั้งปราศจากอานม้าและปราศจากที่วางเท้า เร็วรี่ประดุจสายลม ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นขยับขวับคราหนึ่ง หมุนวนรอบใต้ท้องม้า กลับพลิกตัวขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็หมุนวนสามร้อยหกสิบองศาอีกสองรอบลอดผ่าน พลิกตัวจากใต้ท้องม้าอย่างต่อเนื่อง เพียงอึดใจเดียวก็ทำไปสามรอบ การเคลื่อนไหวทั้งหมดจดงดงาม ปลอดโปร่งและสง่างาม ชนเผ่านอกด่านที่ชมอยู่ด้านข้างปรบมือเสียงดังกึกก้อง ชื่นชมยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงมองดูแล้วก็กะพริบตา แม่เอ๊ย! กอดแม่ม้าแล้วหมุนวนสามรอบ มันไม่เวียนหัวเหรอ? ไอ้เจ้านี่ ไม่ไปเต้นแทงโก้ก็ออกจะน่าเสียดายแล้ว!! 


 


 


หากเอ่ยถึงการขี่ม้า อย่างไรเสียก็ผ่านความเป็นความตายบนหลังม้ามานับไม่ถ้วน หลินหว่านหรงถือว่าเชี่ยวชาญเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับชาวทูเจวี๋ยผู้นี้มันช่างต่างกันเหลือเกิน แม้จะเป็นศัตรูกัน แต่ทุกคนต่างไม่อาจไม่นับถือการขี่ม้าของชาวทูเจวี๋ย 


 


 


“ดินแดนนกไป่หลิงนี้ ตอนพวกเราชิงแพะ ทางที่ดีก็อย่าไปเจอเลย” หลินหว่านหรงอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง ยังไม่ทันพูดก็ได้ยินเสียงตะโกนเข่นฆ่าด้วยโทสะและเสียงด่าทออย่างเร่งร้อนแว่วเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง เมื่อหันหน้ากลับไปมองก็เห็นม้าเร็ววิ่งพุ่งตัดผ่านทุ่งอยู่อย่างเร็วรี่ดังลมพายุหมุน  


 


 


หัวแพะโลหิตหยาดหยดหัวหนึ่งถูกโยนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ จากนั้นก็ร่วงหล่นบนพื้นไกลๆ ชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยคนพุ่งเข้าหาราวกับเสียสติ ดาบโค้งในมือฟันสหายร่วมชนเผ่าตรงหน้าอย่างไม่ไว้ไมตรี แบ่งเป็นสองฝ่าย กำลังตะลุมบอนกันอยู่ ผู้ใดที่ชิงหัวแพะได้ผู้นั้นก็คือผู้ที่ย่ำแย่มากที่สุด  


 


 


หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง “ชิงแพะยังต้องใช้ดาบด้วยหรือ? มารดามัน! นี่คือการชิงแพะหือว่าฟันแพะกันแน่?!” 


 


 


“ย่อมต้องใช้ดาบสิขอรับ” หูปู้กุยส่งเสียงฮิคราหนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านยังไม่เคยเห็นการชิงแพะนี้ จะไม่เข้าใจก็เป็นเรื่องปกติ ขอให้ข้าน้อยเล่าให้ท่านฟังดูนะขอรับ การชิงแพะนี้อันที่จริงแล้วไม่ได้ชิงหัวแพะ ก่อนงานชิงแพะทุกครั้ง ชาวทูเจวี๋ยจะสังหารแพะอ้วนพีจำนวนหลายตัว ตัดหัวและเท้าของมัน จากนั้นก็เอาแพะไปแช่ในน้ำ และยังต้องกรอกน้ำใส่ท้องแพะอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวของแพะก็จะแข็งแรง ตอนแข่งจะได้ไม่ถูกดึงทึ้งจนขาด” 


 


 


นี่กลับมีเหตุผลอยู่บ้าง หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เช่นนั้นจะเอาดาบไปทำอะไรอีก? หรือว่าจะเอามาเฉือนเนื้อแพะ?” 


 


 


เหล่าหูส่ายหน้า “ไม่ใช่เฉือนเนื้อแพะขอรับ แต่เอามาฟันคน ทุกครั้งเมื่อเริ่มการชิงแพะ ชาวทูเจวี๋ยจะเลือกคนออกคำสั่งมาหนึ่งคน ให้มันวางตัวแพะอยู่กลางทุ่งหญ้า ทุกกลุ่มที่เข้าร่วมการแข่งขันอย่างน้อยก็สิบกว่าคน อย่างมากก็ถึงร้อยคน แต่ละคนต่างขี่ม้าคนละตัว อยู่ห่างจากแพะนั้นเท่าเทียมกัน รอคอยเพียงเสียงคำสั่ง แต่ละกลุ่มควบม้าเข้าแย่งชิง แต่ละกลุ่มต้องแบ่งงานกัน บุกแย่ง คุ้มกัน และขัดขวาง ไม่สนใจว่าท่านจะใช้วิธีการใด ถือดาบฟัน ถือหอกแทง ขอเพียงแย่งแพะมาจากมือของฝ่ายตรงข้ามและไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนได้ ท่านก็จะเป็นผู้ชนะขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงขนลุกซู่ นี่มันการแข่งขันชิงแพะที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการแข่งขันฟันคนนะ ชนเผ่านอกด่านสมกับเป็นชนเผ่านอกด่าน ความป่าเถื่อนนั้นช่างไม่ธรรมดา งานชิงแพะที่จัดขึ้นมายังน่าดูกว่าการแข่งขันรักบี้เสียอีก แถมยังแฝงคาวเลือดอีกด้วย 


 


 


“เพียงแต่ชนเผ่านอกด่านย่อมไม่โง่จนถึงขั้นฆ่าฟันกันเอง ผู้ที่ลงสนามนอกจากปิดบังหน้าตาเพื่อป้องกันการผูกพยาบาทแล้ว อาวุธที่แต่ละกลุ่มนำลงสนามก็ต้องลับคมออก หรือก็คือดาบทื่อที่พวกเราพูดกัน ก่อนงานต้องผ่านการตรวจสอบ ปกติแล้วฟันคนไม่ตาย อย่างมากก็แขนขาดขาหัก ส่วนดินแดนที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ แม้จะสู้กันอย่างดุร้าย แต่ก็แค่การฝึกซ้อมเสมือนจริงเท่านั้น ยังห่างไกลจากการแข่งขันชิงแพะอย่างแท้จริงไกลโขขอรับ” 


 


 


แล้วดาบทื่อมันไม่ใช่ดาบหรือไง? ฟังการอธิบายจากเหล่าหู หลินหว่านหรงก็ใจเย็นวาบขึ้นมาทันที การแข่งขันชิงแพะนี้ไม่ได้น่าสนุกเช่นนั้น หากเอาชีวิตน้อยมาทิ้งไว้ที่งสนามชิงแพะของชนเผ่านอกด่าน นั่นถึงจะเป็นเรื่องน่าขบขันมากที่สุดในต้าหัวอย่างแท้จริงแล้ว 


 


 


“เอ่อ พี่หู ข้าขอคิดดูให้ถ้วนถี่” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากต้องชิงแพะ พวกเราเลือกนกไป่หลิงนั่นก่อนจะดีกว่า ตอนนี้ดูแล้ว เทียบกับดาบใหญ่ทางนั้น นกไป่หลิงกลายเป็นหมัดเท้าปักบุปผาไปโดยปริยาย” 


 


 


ประโยคนี้พูดจนทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้แจ้งแก่ใจ หากพูดถึงความอ่อนแอ ก็ถือว่าพวกเขานั้นอ่อนแอที่สุดแล้ว 


 


 


“พี่หู เช่นนั้นพวกต้องรายงานตัวเช่นไร?!” 


 


 


เหล่าหูส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่ต้องรายงานตัวขอรับ สิ่งที่เน้นในงานชิงแพะนี้ก็คือมาเมื่อไหร่ก็ได้สู้เมื่อไหร่ก็ได้ ขอเพียงคนกล้าท้า ผู้ชนะคนใดก็ตามก็ต้องรับคำท้าโดยปราศจากเงื่อนไข ไม่ว่าท่านจะสู้มาแล้วกี่รอบ แน่นอนว่าดินแดนที่พ่ายแพ้ไปแล้วหมดสิทธิ์ที่จะท้า และดินแดนที่ท้าเหล่านั้นอย่างน้อยก็ต้องสู้ครบสามรอบถึงจะมีคุณสมบัติ ดังนั้นจึงพูดว่าผู้ชนะงานชิงแพะนี้ถึงจะเป็นผู้กล้าบนทุ่งหญ้าอย่างแท้จริง และเหตุใดแต่ละดินแดนบนทุ่งหญ้าถึงส่งนักรบชั้นยอดมางานชิงแพะ ก็เนื่องจากเหตุผลนี้นี่ล่ะขอรับ” 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยดุร้ายป่าเถื่อนจริงด้วย การเลือกเฟ้นทุ่งหญ้าเช่นนี้ถึงจะเป็นขวัญใจมหาชน หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ในเมื่องานแข่งขันชิงแพะนี้จะต้องไปให้จงได้ ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องสนใจมันแล้ว พี่หู พวกเราลองมุ่งหน้าเข้าไปสืบอีกสักหน่อย ไปดูเค่อจือเอ่อร์กัน” 


 


 


“ไม่ได้ขอรับ ข้างหน้าอันตรายเกินไป!” หูปู้กุยพูดเพิ่งจบก็ได้ยินเสียงพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีฝุ่นดินคละคลุ้งอยู่ไกลๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยแน่นขนัดกำลังกรูมาทางพวกเขาราวกับน้ำท่วมไหลหลากอย่างรุนแรง  

 

 


ตอนที่ 590 - 1 ดาบทองและดาบเงิน

 

แสนยานุภาพของทหารม้าเหล่านี้มีถึงหลายหมื่นคน แต่ละคนต่างกำยำล่ำสัน ดาบม้ากรีดเป็นลำแสงเปล่งประกาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ผ่านการกรำศึกมานาน 


 


 


“หรือว่าชนเผ่านอกด่านจะหาพวกเราเจอแล้ว?!” หูปู้กุยตกใจ รีบคุ้มกันอยู่เบื้องหน้าหลินหว่านหรง 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “พี่หูไม่ต้องตื่นเต้น คิดจะหาพวกเราเจอ ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่ายดายขนาดนั้น? เจ้าพวกนี้น่าจะเป็นทหารม้านับหมื่นที่เจ้าลู่ตงจ้านทิ้งเอาไว้มากกว่า ลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” 


 


 


ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านซึ่งกำลังซ้อมชิงแพะอยู่โดยรอบก็หยุดลง กำลังมองไปข้างหน้าด้วยความงุนงงสงสัย 


 


 


ทูเจวี๋ยทหารม้าซึ่งกำยำบึกบึนดุจขุนเขานั้นเคลื่อนที่มาได้สักระยะหนึ่งก็ค่อยๆ ลดทอนความเร็วลง มีคนผู้หนึ่งออกมาจากขบวน รูปร่างสูงใหญ่ คิ้วหน้าเบ้าตาลึก สองตาเปล่งประกาย 


 


 


“ถูสั่วจั่ว?!” หลินหว่านหรงตกใจ ชนเผ่านอกด่านที่เป็นหัวหน้านี้ก็คืออ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หล่อเหลาและหนุ่มแน่นคนนั้นนั่นเอง ถูสั่วจั่วสวมชุดชนเผ่านอกด่านอันหรูหราสูงค่า ดวงสาดประกายเย็นเยียบ สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วยบารมี อาชาชั้นยอดใต้ร่างมันเป็นสีโลหิตตลอดทั้งร่าง ท่าทางมิใช่ธรรมดา ยืนตระหง่านท่ามกลางหมู่อาชา ม้าที่ชนเผ่านอกด่านนั่งขี่อยู่ต่างติดตามอย่างเชื่อฟังข้างหลังมันราวกับดาวล้อมเดือน นี่ก็คือม้าเหงื่อโลหิตสมบัติล้ำค่าของทูเจวี๋ยในตำนานแล้ว  


 


 


“ม้าดี!” หูปู้กุยกดเสียงต่ำ ถอนหายใจเปี่ยมล้นด้วยความอิจฉาชื่นชม กาลก่อนพวกของลู่ตงจ้านมาเป็นราชทูตที่ต้าหัว เคยมอบม้าเหงื่อโลหิตให้หลินหว่านหรงสองตัว หูปู้กุยไม่เพียงเคยเห็น มิหนำซ้ำยังเคยฝึกสอนมันอีกด้วย เพียงแต่อาชาที่อยู่ใต้ร่างถูสั่วจั่วตัวนี้ ไม่ว่ารูปร่างหรือว่าอายุต่างเหนือล้ำกว่าเจ้าสองตัวนั้นมาก ดูท่าว่าม้าเหงื่อโลหิตก็แบ่งระดับด้วยเช่นกัน ที่ชาวทูเจวี๋ยมอบหใแม่ทัพหลิน ก็แค่ระดับรองเท่านั้นเอง 


 


 


หลินหว่านหรงอยู่กับม้ามานาน มีสายตาของป๋อเล่อ[1]อยู่หลายส่วนเช่นกัน เมื่อมองม้าของถูสั่วจั่วก็รู้ว่าเป็นเช่นไร เขาอดถ่มน้ำลายอย่างแรงพร้อมพูดจาอย่างเดือดดาลไม่ได้ “ชาวทูเจวี๋ยนี่ช่างมีคุณธรรมนักนะ เอาของระดับรองมาเป็นของดี กลับรังแกมาถึงหัวข้าได้ หากไม่เล่นงานมันหนักๆ สักหน่อย พวกมันก็จะไม่รู้ว่าพี่หลินซานมีตาที่สาม!” 


 


 


หูปู้กุยฝืนกลั้นหัวเราะ เอาของล้ำค่าของชาวทูเจวี๋ยมา มอบปืนใหญ่ฟักสับปะรังเคเป็นของประดับให้พวกมันกระบอกหนึ่ง แถมยังทำให้ลู่ตงจ้านเข้าห้องมืดอยู่ในคุกตั้งหลายวัน หากบอกว่าร้ายกาจ แม่ทัพหลินท่านก็ร้ายกว่าชาวทูเจวี๋ยมาก 


 


 


ทหารม้านับหมื่นยืนนิ่งอยู่บนทุ่งหญ้า กอปรด้วยบารมีอันแผ่ไพศาล ถูสั่วจั่วมีท่าทีสงบนิ่ง กุนซือชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างกายเขาคนหนึ่งกลับส่งเสียงจีลีกวาลา พูดเสียงดังอะไรบางอย่างออกมา เสียงของเจ้าคนนี้ทุ้มหนักทรงพลัง ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันตั้งหลายร้อยจั้งก็อยากได้ยินเสียงของมัน 


 


 


หลินหว่านหรงเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห “ภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านี่เป็นสำเนียงบ้านนอก ช่างไม่ได้มาตรฐานเสียเหลือเกิน ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ พี่หู ท่านมาแปลดีกว่า” 


 


 


“ไม่ได้มาตรฐานจริงๆ ด้วย” เหล่าหูกล่าวระคนหัวเราะ “มันพูดว่า ได้รับบัญชาจากใต้เท้าอ๋องขวา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจากการแข่งขันชิงแพะระหว่างดินแดนต่างๆ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนสิ้นสุดงาน ภายในรัศมีสิบลี้รอบเค่อจือเอ่อร์ ทางราชธานีจะส่งทหารมาเฝ้า แต่ละดินแดนห้ามโจมตีต่อสู้ทะเลาะเบาะแว้ง ผู้ฝ่าฝืนจะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน เมื่องานชิงแพะสิ้นสุดลง แต่ละดินแดนถึงเข้าราชธานีเพื่อคารวะท่านข่านได้…” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ก่อนการแข่งขันกลิ่นของความขัดแย้งระหว่างดินแดนต่างๆ ก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้นแล้ว ถูสั่วจั่วกำลังดำเนินการอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการกระทบกระทั่งกันระหว่างดินแดน อ๋องขวาทูเจวี๋ยช่างสมดังคำร่ำลือเสียจริง อายุยังไม่มาก ทว่าการจัดการเรื่องราวต่างๆ กลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก 


 


 


“…และภายในงานแข่งขันชิงแพะ ผู้กล้าซึ่งได้รับชัยชนะสุดท้าย ขณะเริ่มงานเลี้ยงกลางคืนในราชธานี ท่านข่านจะเป็นผู้เปิดเผยใบหน้าและมอบรางวัลด้วยตนเอง” เหล่าหูพูดแรงต่อไป 


 


 


เรื่องนี้กลับน่าสนใจอยู่บ้าง ข่านทูเจวี๋ยเปิดใบหน้าของผู้กล้าบนทุ่งหญ้าด้วยตนเอง ทั้งลึกลับทั้งน่าตื่นเต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรางวัลอันแสนจะล้ำเลิศอีก เพียงพอที่จะกระตุ้นความบ้าคลั่งและความเดือดร้อนของชาวทูเจวี๋ยอย่างเต็มที่ ให้พวกมันไปแย่งชิงที่หนึ่งด้วยความกล้าหาญ เมื่อเป็นเช่นนี้ความยากของการชิงแพะนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมาก ชาวทูเจวี๋ยเป็นยอดฝีมือในการกระตุ้นจิตใจคนเหมือนกันนะนี่ 


 


 


เมื่อกุนซือผู้นั้นประกาศคำสั่งเสร็จสิ้น แต่ละดินแดนก็เริ่มเป่าแตรสัญญาณ เสียงดังแพร่ไปทั่วทุ่งหญ้า สิ่งนี้หมายความว่าชาวทูเจวี๋ยจะทำตามคำสั่งของกองทัพ 


 


 


“เอ๊ะ ผู้หญิง!” เกาฉิวที่ไม่ส่งเสียงสักแอะมาตลอดทางเบิกดวงตาทั้งสองข้างขึ้นในทันที ดวงตาสาดประกายวาวโรจน์ พูดออกมาเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นยินดี  


 


 


ภายในค่ายของแต่ละดินแดนบังเกิดเสียงหัวเราะสดใสดังคิกคักแว่วมาทันที ผ้าม่านของกระโจมถูกเลิกขึ้นไป เผยให้เห็นใบหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่ง เป็นผู้หญิงจริงด้วย เจ้าลามกเหล่าเกาคนนี้ หูกลับยอดเยี่ยมยิ่งนัก 


 


 


สตรีชนเผ่านอกด่านเหล่านี้ส่วนใหญ่อายุสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมแม้จะไกลห่างจากอวี้เจียลิบลับ แต่ในหมู่ชาวทูเจวี๋ยกลับถือว่าหาได้ยากแล้ว พวกนางสวมอาภรณ์หรูหราตามเทศกาลอันแสนจะงดงาม ขับเด่นรูปร่างให้ดูอรชรอ้อนแอ้น กำลังหัวเราะร่วนพลางมองประเมินออกมานอกกระโจม  


 


 


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกนางกำลังมองผู้ใดอยู่ อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หล่อเหลาและหนุ่มแน่นเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุ่งหญ้ามาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงยิ่งเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของสาวน้อยทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วน สาวน้อยจากแต่ละดินแดนซึ่งฉวยงานแข่งขันชิงแพะคราวนี้เพื่อเลือกคู่ครอง เกรงว่าคงมีครึ่งหนึ่งที่มาเพื่อมันแล้ว และเรื่องนี้ยังมีความเป็นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการกะประมาณแบบรักษาน้ำใจอีกด้วย 


 


 


มีสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งขวัญกล้าอยู่หลายคนควบม้าออกมาจากค่าย มุ่งตรงมาที่อ๋องขวาตั้งแต่แรก ครั้นเข้าใกล้ถูสั่วจั่ว พวกนางกลับเขินอายขึ้นมา กระโดดลงจากม้า ปรบมือเบาๆ ร่ายรำล้อมรอบตัวนั้น สายตาส่งไปยังอ๋องขวาผู้หนุ่มแน่นเป็นระยะ เสียงเพลงอันน่าฟังลอยขึ้นสู่ขอบฟ้า  


 


 


ถูสั่วจั่วยิ้มพลางกระโดดลงจากม้าเหงื่อโลหิต จับมือกับสาวน้อยเหล่านี้จนกลายเป็นวงกลม ร่ายรำท่าของชนเผ่านอกด่านพร้อมกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข พรสวรรค์ในการร้องรำทำเพลงของชาวทูเจวี๋ยเผยออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว ผู้กล้าและสาวน้อยจากแต่ละดินแดนเป็นท้องทะเลแห่งความสุข แม้แต่อาหารนับหมื่นนั้นก็ยังส่งเสียงผิวปากพร้อมปรบมือ เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งมีรูปโฉมธรรมดาเหล่านี้ ครั้นร่ายรำท่วงท่าของชนเผ่านอกด่านขึ้นมายังงามยวนเย้าเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นอวี้เจีย นั่นจะมีภาพเป็นเช่นไรนะ? ความคิดซึ่งบังเกิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้หลินหว่านหรงตกใจในบัดดล เขารีบส่ายหน้า สลัดความคิดที่ไม่เป็นจริงเหล่านี้ออกจากหัวสมองไปให้หมด  


 


 


“ที่แท้สตรีทูเจวี๋ยก็ชอบหนุ่มน้อยหน้ามนเช่นกัน แถมยังเป็นฝ่ายเโผเข้าสู่อ้อมอกเองอีกด้วย ช่างไม่รู้จักยางอายเสียจริง” เมื่อเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยหมุนวนรายล้อมอ๋องขวา เหล่าเกาเห็นแล้วก็พร่ำบ่นด้วยความเดือดดาล  


 


 


เจ้าคนนี้น่าจะรู้สึกอัดอั้นในกองทัพมานาน หิวกระหายจนไม่เลือกอาหาร แม้แต่สตรีทูเจวี๋ยก็หึงไปกับเขาด้วย หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “พี่เกา นี่ท่านโทษพวกนางผิดไปแล้ว นิสัยของชนเผ่านอกด่านต่างจากพวกเรา รูปแบบของความรักและการแต่งงานก็ยิ่งคนละเรื่อง เมื่อชอบแล้วก็ต้องพูดออกมา เรื่องนี้ชนเผ่านอกด่านเปิดเผยตรงไปตรงมากว่าพวกเรามาก”  


 


 


“แม่ทัพหลินกล่าวถูกต้อง เหล่าเกา หากเจ้ารู้สึกหึงหวงจริง เช่นนั้นก็ง่ายมาก รอให้สู้ศึกเค่อจือเอ่อร์เสร็จแล้ว ข้าจะไปจับสาวทูเจวี๋ยมาให้เจ้าสองคน ให้เจ้าเสพสุขกับการโผเข้าสู่อ้อมอกเช่นกัน” หูปู้กุยหัวเราะกระเซ้า 


 


 


เกาฉิวส่ายหน้าอย่างดูแคลน “หากต้องการให้สาวๆ ทูเจวี๋ยพวกนี้โผเข้าสู่อ้อมอกจริง นั่นยังไม่ง่ายดายอีกหรือ? ชิงอันดับหนึ่งงานแข่งขันชิงแพะมา ไม่ว่าจะเป็นสาวทูเจวี๋ยประเภทใด นั่นยังจะไม่นอนลงให้หรือ?!” 


 


 


ที่แท้เจ้านี่กลับมีความคิดเช่นนี้ หลินหว่านหรงกับหูปู้กุยต่างมองหน้ากัน เปล่งเสียงหัวเราะออกมาทันที ความปรารถนาของเหล่าเกาก็เป็นแค่เรื่องขำขันเท่านั้น ภารกิจอันดับหนึ่งในการเข้าร่วมงานชิงแพะก็คือปะปนเข้าสู่ทูเจวี๋ยราชธานี ส่วนเรื่องจะได้ที่หนึ่งหรือแม้กระทั่งเข้าใกล้ข่านทูเจวี๋ยได้หรือไม่นั้น นั่นก็คงต้องดูมติสวรรค์แล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ป๋อเล่อ บุคคลในประวัติศาสตร์ยุคชุนชิว ว่ากันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดูลักษณ์ของม้า  

 

 


ตอนที่ 590 - 2 ดาบทองและดาบเงิน

 

ขณะที่คนทั้งหลายกำลังสนทนากันอยู่นั้น ทางนั้นก็พลันบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีแว่วเข้ามา ชนเผ่านอกด่านไม่รู้ว่าหยุดการร้องรำทำเพลงไปตั้งแต่เมื่อใด ต่างถอยแหวกออกไปรอบทิศทาง เหลือพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่ยิ่งนักไว้บริเวณหนึ่ง 


 


 


ถูสั่วจั่วซึ่งยืนอยู่กึ่งกลางมีท่าทีสงบนิ่ง ฝั่งตรงข้ามของมันกลับเป็นผู้กล้าชาวทูเจวี๋ยเอวหนาแขนกลมจำนวนยี่สิบคนได้ เหล่าสาวน้อยชนเผ่านอกด่านที่เริ่มรวมตัวกันยืนอยู่ข้างหลังถูสั่วจั่ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชูแขนโห่ร้องยินดี สายตาเคารพเทิดทูนจ้องมองอ๋องขวาเขม็ง แต่ละดินแดนที่อยู่รอบนอกรวมถึงทหารม้าที่ถูสั่วจั่วพามาต่างล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่   


 


 


หลินหว่านหรงแม้ฟังไม่เข้าใจว่าพวกนางกำลังตะโกนว่าอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพวกนางก็รู้ว่ากำลังกู่ร้องตะโกนสร้างบารมีให้อ๋องขวาอยู่ ถูสั่วจั่วถอดเสื้อคลุมตัวยาวออกไปอย่างแช่มช้า ไม่เห็นชุดสั้นอันประณีต เรือนร่างแข็งแกร่งสมดุล ก่อให้เกิดเสียงขอร้องกรีดร้องของเหล่าสาวน้อยขึ้นมาทันที มันควักของอย่างหนึ่งออกมาจากอกแล้วมอบให้ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลัง เปล่งประกายสีเงินระยิบระยับ หลินหว่านหรงสายตาดียิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาที่มองเห็นของสิ่งนั้นอย่างชัดเจนก็อดร้องเอ๊ะด้วยความตกใจออกมาไม่ได้  


 


 


“นั่นคืออะไร?!” เห็นชัดว่าเหล่าหูก็สังเกตเห็นความผิดปกติได้เช่นกัน ดังนั้นจึงรีบเลยถาม  


 


 


เกาฉิวเบิกตาโตมองอยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงพูดด้วยความสงสัย “เหมือนจะเป็นดาบเล็กเล่มหนึ่ง สีเงิน อ๊ะ ข้า นึกออกแล้ว อวี้เจียก็มีแบบนี้เหมือนกันนี่นา” 


 


 


สิ่งที่ถูสั่วจั่วกุมอยู่ในมือก็คือดาบโค้งเล่มหนึ่ง รูปแบบ ขนาด แม้กระทั่งความประณีตก็เหมือนดาบทองของอวี้เจียไม่ผิดเพี้ยน สิ่งที่ต่างกันเพียงสิ่งเดียวก็คือดาบของถูสั่วจั่วเล่มนี้ทำมาจากเงินบริสุทธิ์ งดงามด้อยกว่าดาบทองของอวี้เจียเล็กน้อย 


 


 


ดาบทองกับดาบเงิน เดิมทีน่าจะคู่กัน หรือว่าถูสั่วจั่วกับอวี้เจียจะถูกหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก? มองดูดาบเงินที่อยู่ในมือของอ๋องขวา หลินหว่านหรงก็รู้สึกประหลาดใจจนยากจะสรรหาถ้อยคำมาสาธยายได้  


 


 


ถูสั่วจั่วส่งดาบโค้งที่อยู่ในมือให้ผู้ติดตาม จากนั้นก็ตบแขนเสื้อและข้อมือเบาๆ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ซุกซ่อนอาวุธไว้ในตัว จากนั้นก็โบกมือ ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังก็ส่งที่ปิดหน้าสีดำจำนวนหลายสิบผืนให้ผู้กล้าทูเจวี๋ยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม 


 


 


ที่ปิดหน้านี้ทำมาจากผ้าสีดำสนิท เมื่อสวมลงบนศีรษะจะเผยให้เห็นเพียงดวงตาสองข้างเท่านั้น หูปู้กุยรีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพ น้องเกา พวกท่านจงดูให้ดี นี่ก็คือหน้ากากที่ใช้ในการแข่งขันชิงแพะ” 


 


 


นี่ก็ไม่ต่างจากที่ปิดหน้าตอนปล้นชิงทรัพย์สักเท่าไหร่ หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่พวกมันกำลังจะทำอะไร? วันนี้ก็ไม่ใช่งานชิงแพะเสียหน่อย เหตุใดยังต้องปิดหน้ากันด้วย” 


 


 


“เหมือนว่าอ๋องขวาต้องการจะแข่งกับดินแดนใดสักดินแดนหนึ่งขอรับ” หูปู้กุยมองอย่างถ้วนถี่คราหนึ่ง “การสวมที่ปิดหน้าก็เผื่อไม่ให้อ๋องขวาเห็นใบหน้าชัดเจน ไม่ต้องกังวลว่าจะมีการแก้แค้น เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงจะทำให้คู่ต่อสู้โจมตีอย่างวางใจ ไม่ต่างจากหลักการในการชิงแพะเท่าใดนักขอรับ” 


 


 


เพิ่งพูดจบเสียงแตรสัญญาณก็ถูกเป่าดังขึ้นมาจากทางนั้น เสียงตะโกนอย่างสุดกำลังของสาวน้อยกับเสียงโห่ร้องของเหล่าผู้กล้าดังไปทั่วทุ่งหญ้า ตอนนี้ฝูงชนมารวมตัวกันบดบังสายตามากขึ้นเรื่อยๆ พวกของหลินหว่านหรงรีบหาเนินเขาสูงแล้วมองลงไปข้างล่าง 


 


 


กึ่งกลางสนามนั้นตอกเสาไม้อวบใหญ่ลงไปต้นหนึ่ง ถูสั่วจั่วเปลี่ยนเป็นม้าธรรมดาตัวหนึ่งแล้ว อยู่ห่างจากเสาไม้ต้นนั้นราวสี่สิบลี้ ฝั่งตรงข้ามของมันก็คือผู้กล้าที่ชนเผ่านอกด่านเลือกเฟ้นมาอย่างดี มีถึงยี่สิบคน อยู่ห่างจากเสาไม้เท่ากับถูสั่วจั่ว  


 


 


หลินหว่านหรงมองเพียงแวบเดียวก็เข้าใจ นี่ชนเผ่านอกด่านกำลังเล่นชิงช้าเสาไม้กันอยู่ ถูสั่วจั่วคนเดียวท้าทายคนจำนวนยี่สิบคน ปล่อยม้าเหงื่อโลหิตไปไม่ขี่ อีกทั้งยังจงใจเปลี่ยนเป็นม้าทูเจวี๋ยธรรมดาตัวหนึ่งอีกด้วย นี่คือต้องการสร้างบารมี หากแบบนี้ก็ชนะได้ เช่นนั้นในงานแข่งขันชิงแพะ ยังจะมีผู้ใดกล้ามาแย่งชิงกับเขาอีก 


 


 


“ปู๊น!” เสียงแตรสัญญาณกระจ่างชัดและเร่งเร้าเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันที การชิงเสาเริ่มขึ้นแล้ว 


 


 


“เพียะ!” ถูสั่วจั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมากที่สุด หวดแส้ฟาดลงบนก้นม้า ม้าทูเจวี๋ยชักฝีเท้าวิ่งห้อตะบึง พุ่งปราดออกไปราวกับเกาทัณฑ์ ทหารม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็ไม่ชักช้า ม้าเร็วจำนวนยี่สิบตัวพุ่งกราดเข้ามาราวกับสายลมที่พัดเมฆาจนกระจัดกระจาย ทั้งสองฝ่ายต่างควบเข้าหาเสาไม้ที่อยู่กึ่งกลางด้วยความรวดเร็วยิ่งนักพร้อมกัน 


 


 


เสียงกรีดร้องของเหล่าสาวน้อยทูเจวี๋ยกรีดผ่านท้องนภายามราตรี ฝูงชนที่ชมการต่อสู้โห่ร้องไม่หยุด มีที่กู่ร้องตะโกนเพื่ออ๋องขวา ก็ย่อมมีที่ช่วยสร้างบารมีให้คู่ต่อสู้เป็นธรรมดา ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้เสาไม้ต้นนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ฝุ่นดินฟุ้งกระจายปกคลุมใบหน้าอันหล่อเหลาของถูสั่วจั่ว เพียงช่วงเวลาเท่ากับประกายไฟ อ๋องขวาร่างอยู่บนม้า พลันใช้เท้าเหยียบที่พักเท้าทั้งสองข้าง เหยียดแขนทั้งสองข้างออกไปในบัดดล ขณะที่ม้าควบผ่านมันก็รวมกำลังของมือทั้งสองข้าง กอดเสาต้นนั้นแน่น  


 


 


ทหารม้ายี่สิบคนของฝั่งตรงข้ามอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่จั้ง เมื่อเห็นอ๋องขวาเหยียดมือออกไป ม้าหลายสิบตัวก็กรูกันเข้ามาราวกับเสียสติ ถ้ามือเหล็กที่อยู่ข้างหน้าสุดจำนวนหลายข้างมาพร้อมเสียงลมหวีดหวิว กระแทกถูสั่วจั่วโดยไม่ไว้ไมตรี 


 


 


“ฮ่า!” ถูสั่วจั่วตวาดเสียงดังด้วยใบหน้าแดงก่ำ เสาไม้ซึ่งถูกตอกลงไปในดินลึกกว่าหนึ่งฉื่อต้นนั้นกลับยกขึ้นมาตามเสียงตะโกน เศษดินร่วงหล่นดังซ่าๆ ถูกอ๋องขวาอุ้มพาดขวางอยู่ในมือ 


 


 


กำลังวังชาอันรุนแรงมหาศาลเช่นนี้ทำให้ชนเผ่านอกด่านที่มุงดูอยู่ต่างตกตะลึงพรึงเพริด ผ่านไปครู่หนึ่งก็เกิดเสียงลั่นฟ้าสะเทือนดิน เสียงปรบมือดังขึ้นนานไม่หยุด  


 


 


หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็อ้าปากหุบไม่ลง เสาไม้ที่หุบใหญ่ขนาดนั้น ตอกลงไปในพื้นลึกตั้งหลายฉื่อ มันขี่อยู่บนหลังม้าก็ดึงขวับออกมาได้แล้ว ตายังไม่ทันกะพริบสักครั้งหนึ่ง ที่แท้เจ้านี่มันกินอะไรโตมากันแน่? หรือว่าจะเป็นมนุษย์วานรที่ลงมาจากไท่ซาน?  


 


 


ขณะที่ถูสั่วจั่วถอนเสาไม้มาอยู่ในมือ ทหารม้าฝ่ายตรงข้ามก็เข้ามาดั่งสายลม ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน อ๋องขวาไม่ร้อนรนและไม่ตกใจ วางขวางเสาไม้ที่อยู่ในมือ แล้วกวาดฟาดไปยังศัตรู  


 


 


“อ๊า!” ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ผู้กล้าสามคนที่อยู่ตรงหน้าถูกฟาดตรงท้องและเอวจนร่วงหล่นจากม้า การหยุดชะงักครั้งนี้กลับสร้างเวลาให้กับพวกที่อยู่ข้างหลัง ทหารม้าสิบกว่าคนที่เหลืออยู่เข้ามาใกล้ถูสั่วจั่วภายในชั่วพริบตา คนจำนวนสองถึงสามคนกระโดดขึ้นออกจากหลังม้าพุ่งตรงมาที่มัน นี่คือวิธีการเล่นมวยปล้ำของชาวทูเจวี๋ย หากอ๋องขวาถูกพุ่งเข้าใส่จนล้มลงกับพื้น คนจำนวนสิบกว่าคนก็จะเข้ามากด ต่อให้มันมีเรี่ยวแรงมหาศาลอีกสักเพียงใดก็ไม่อาจใช้งานได้  


 


 


เห็นได้ชัดว่าถูสั่วจั่วดูเจตนาของคู่ต่อสู้ออก มันหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง ท่อนไม้กรีดผ่านราวกับสายลม การโจมตีครั้งนี้พลังมหาศาลยิ่งนัก ผู้กล้าสามคนร่วงลงพื้น ไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว  


 


 


“ฮี้!” อาชาที่อยู่ใต้ร่างอ๋องขวาพลันยกขาหน้ากู่ร้องทันที ร่างยวบลงไป จากนั้นก็ค่อยๆ ล้มลง 


 


 


หลินหว่านหรงมองเห็นอย่างชัดเจน ชนเผ่านอกด่านสามคนที่โผนำหน้าเข้าไปเพียงทำหน้าที่ปิดบังเท่านั้น ชั่วพริบตาที่พวกมันร่วงลงพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ชนเผ่านอกด่านอีกสองคนก็กระโดดลงจากหลังม้า กำปั้นทั้งสองประดุจสายลม โจมตีไปที่มาของอ๋องขวาจากทั้งสองข้างพร้อมกัน ถูกดวงตาของม้าเข้าพอดี ม้าทูเจวี๋ยตัวนั้นร้องด้วยความเจ็บปวดครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ล้มอ่อนยวบลงไป 


 


 


เสียบลูกตาก็ได้ด้วย? เป็นอย่างที่เหล่าหูว่าไว้จริง ใช้ได้ทุกวิธีการ หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก รู้จักการแข่งขันชิงแพะนี้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น 


 


 


ต่อให้ถูสั่วจั่วจะห้าวหาญชาญชัยอีกสักเพียงใดก็มีแค่สองมือสองเท้า ไม่อาจจัดการได้รอบด้าน มันมีประสบการณ์รบมานับไม่ถ้วน ชั่วพริบตาที่ม้าซึ่งขี่อยู่ใต้ร่างล้มลง มันกลับกระเด้งร่างออกไปราวกับสายลม ขณะที่ร่อนลงพื้นก็ฟาดกระแทกไปที่ท้ายทอยของผู้กล้าที่แอบลอบโจมตีอย่างรุนแรง  


 


 


แม้จะอยู่ห่างไกลยิ่งนัก แต่หลินหว่านหรงก็ยังได้ยินเสียงกระดูกแตกอย่างชัดเจน ผู้กล้าคนนั้นตัวอ่อนปวกเปียกล้มลงบนพื้น ดิ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย 


 


 


“ช่างทรงพลังเสียง ช่างเ**้ยมโหดเสียจริง!” แม้แต่เกาฉิวก็ยังอดสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ เห็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยลงมือก็รู้ว่ามันปีนป่ายขึ้นมาจากกองซากศพ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามันเกิดมาก็มีพละกำลังอันน่าอัศจรรย์ แค่ความโหดเ**้ยมที่ถึงแก่ความตายนั้นก็เพียงพอทำให้คนอกสั่นขวัญแขวนแล้ว  


 


 


“หูโหยว (เยี่ยม) หูโหยว (เยี่ยม)!” เหล่าบุรุษและสตรีชาวทูเจวี๋ยกลับไม่มีผู้ใดแยแสความเป็นความตายของคนร่วมชนชาติ สถานการณ์อันดุเดือดน่าตื่นเต้นเช่นนี้ทำให้พวกมันอารมณ์พลุ่งพล่านเหลือล้น เสียงกู่ร้องยินดีดังขึ้นสลับไปมา 


 


 


เหล่าผู้กล้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นคล้ายจ่ายค่าตอบแทนออกไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่การบีบคั้นให้อ๋องขวาลงจากม้าได้ สิ่งนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จของพวกมันแล้ว ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น สิบกว่าคนที่เหลืออยู่จึงควบม้าห้อตะบึง พุ่งกระแทกมาเบื้องหน้าถูสั่วจั่ว  


 


 


อ๋องขวาทูเจวี๋ยขยับวูบไหวอย่างรวดเร็ว หวดท่อนไม้ออกไปโดยปราศจากความลังเลแม้แต่น้อย กระแทกลงบนหลังม้าเข้าพอดี ทั้งม้าทั้งคนจึงร่างขยับวูบลงไปพร้อมกัน 


 


 


เสียงดัง “เพียะ!” แผ่นหลังถูสั่วจั่วถูกแส้ฟาดอย่างหนักคราหนึ่ง มันไม่แม้แต่จะหันไปมอง หมุนกายแล้วอัดกำปั้นไปหมัดหนึ่ง ม้าที่อยู่ข้างหลังลอยกระเด็นออกไป  


 


 


เคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้งก็จัดการคนไปแล้วหลายคน เหลือเพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น ความล้มเหลวอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่ากระตุ้นโทสะของเหล่าผู้กล้า พวกมันกระโดดลงจากม้า ล้อมถูสั่วจั่วอยู่กึ่งกลาง ขณะกำลังจะใช้วิธีการต่อสู้แบบมวยปล้ำเข้าไปกอดขาทั้งสองข้างของมันไว้ อ๋องขวากลับพุ่งปราดออกไปราวกับสายลม ไหล่ซ้ายขวาโจมตีต่อเนื่องอย่างรุนแรงสองครั้ง กระแทกคางของฝ่ายตรงข้ามพอดี และขณะเดียวกัน ท่อนไม้ที่อยู่ในมือก็ฟาดออกไปกระแทกขาของคนอีกผู้หนึ่ง  


 


 


ด้วยพละกำลังของมัน ศัตรูไหนเลยจะได้เปรียบ การล้อมโจมตีถูกทำลายลงภายในชั่วพริบตา กระทั่งว่าถูสั่วจั่วไม่ต้องขี่ม้าเสียด้วยซ้ำ แค่เดินเยื้องย่างไปที่จุดหมายปลายทางเท่านั้น ชั่วพริบตาที่บรรลุถึงเป้าหมายมันก็ชูเสาไม้ที่ชิงมาอยู่ในมือถือขึ้นสูง ใบหน้ารอยยิ้มยิ่งผยองอย่างยิ่ง 


 


 


“เฮ! เฮ!” เสียงโห่ร้องของชนเผ่านอกด่านนับหมื่นผสมด้วยเสียงกรีดร้องของสาวน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน คลื่นเสียงอันร้อนแรงนั้นทำให้ท้องฟ้าของทุ่งหญ้าแห่งนี้เกือบจะถล่มลงมา 


 


 


อ๋องขวาทูเจวี๋ยชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ทุกการโจมตีของมันต่างเกิดจากการฝึกซ้อมระหว่างรบพุ่งมานานแรมปี ล้วนถึงจุดตาย 


 


 


ขณะเดียวกับที่ชาวทูเจวี๋ยโห่ร้องแสดงความยินดีให้กับถูสั่วจั่วนั้น กลับหามีผู้ใดแยแสผู้กล้าที่นอนกับพื้นเหล่านั้นแม้แต่น้อย ชนเผ่านอกด่านยี่สิบคนที่อยู่บนพื้นซึ่งสามารถขยับพลิกตัวได้ก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเช่นกัน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงร้องโอดโอยเสียด้วยซ้ำ 


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าหนักอึ้ง หน้าดำราวกับถ่าน พูดไม่ออกอยู่นาน  

 

 


ตอนที่ 591 ลืมเลือน

 

เมื่อใกล้ถึงการแข่งขันชิงแพะ รัศมีหลายลี้รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ก็ถูกปิดกั้น หากคิดจะเข้าสู่ราชธานีทูเจวี๋ยอย่างเงียบๆ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ยืนอยู่บนเนินเขาสูง ใช้สายตาเคลื่อนไปบนล่างชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังโห่ร้องยินดีตรงหน้า จากนั้นจึงทอดสายตามองออกไปไกล ท่ามกลางราตรีอันมืดสลัว เมืองแห่งทุ่งหญ้าอันใหญ่โตอลังการตกกระทบม่านจักษุ  


 


 


ปราการเมืองแห่งนี้เป็นสี่เหลี่ยม ครองพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล หากมองเพียงแวบเดียวก็เหมือนป้อมปราการศิลาซึ่งงอกเงยอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวขจี กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านสูงราวสี่ถึงห้าจั้งได้ ใช้ก้อนศิลาขนาดใหญ่ผิดปกติก่อขึ้นมา โดดเด่นสูงตระหง่าน ในความหยาบกระด้างนั้นแฝงด้วยความยิ่งใหญ่ ทุกระยะสิบจั้งบนกำแพงเมืองจะมีพื้นยกแห่งหนึ่ง ธงหมาป่าทูเจวี๋ยโบกสะบัด ดาบม้าแวววาวของทหารม้ารักษาเมืองส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงยามพลบค่ำ 


 


 


เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านยิ่งใหญ่อลังการมากกว่าที่จินตนาการไว้มากนัก ตัวหอคอยเมืองไม่เพียงจะสูงใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ อากาศภายในเมืองก็มีแสงสีทองสว่างวูบไหวให้เห็นอยู่หลังรางๆ นั่นคือมุมหลังคาของพระราชวังทูเจวี๋ย ควันไฟจากการประกอบอาหารลอยอยู่ทั่วทุกสารทิศภายในตัวเมือง ได้ยินเสียงคนพลุกพล่านอยู่แว่วๆ ซึ่งต่างเป็นเครื่องพิสูจน์ความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของราชธานีชนเผ่านอกด่านได้ 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยหลังจากประสบมรสุมมานานหลายร้อยปีในที่สุดก็รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่ง นอกจากนั้นยังสร้างปราการเมืองอันแข็งแกร่งอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งนี้ด้วย และศิลาขนาดใหญ่ที่ใช้สร้างราชธานีแห่งนี้ เป็นพวกมันแบกใส่บ่าขนย้ายขึ้นไปทีละก้อนทีละก้อน งานฝีมือของเมืองแห่งทุ่งหญ้าแม้จะหยาบกระด้าง ถึงกระนั้นกลับเป็นเครื่องพิสูจน์ความพากเพียรพยายามนับร้อยปีของชาวทูเจวี๋ย 


 


 


“นี่ก็คือเค่อจือเอ่อร์หรือ?” ในที่สุดเกาฉิวก็ทนไม่ได้ ดึงตัวหูปู้กุยที่อยู่ข้างกายพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


เหล่าหูผงกศีรษะด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “น่าจะใช่แล้ว ปราการเมืองที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้บนทุ่งหญ้า คงหาแห่งที่สองไม่ได้อีกแล้ว”  


 


 


เหล่าเกาส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนใจไม่เอ่ยวาจา เห็นได้ชัดว่าขนาดและบารมีของราชธานีทูเจวี๋ยอยู่เหนือความคาดหมายของเขาอยู่ไกลโข 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ ก่อนหน้านี้ออกจะดูแคลนชาวทูเจวี๋ยเกินไปแล้วจริงๆ พวกมันผงาดอยู่บนทุ่งหญ้ามาเป็นร้อยปี นอกจากความกล้าหาญดุดัน ก็ต้องค่อนข้างมีสติปัญญาด้วยเช่นกัน ไม่ต้องเอ่ยไปไกล แค่การสร้างเมืองแห่งราชธานีที่แข็งแกร่งและสูงตระหง่านเช่นนี้ได้ ในประวัติศาสตร์หลายพันปีของทุ่งหญ้าอาลาซ่านจะมีดินแดนของชนเผ่าเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนใดที่มีความยิ่งใหญ่เช่นนี้? เมื่ออยู่ต่อหน้าปราการเมืองอันแข็งแกร่งเช่นนี้ หากอาศัยทหารม้าห้าพันฝืนใช้กำลังบุกยึด นั่นเท่ากับเป็นคนบ้าที่กำลังพูดเรื่องเพ้อเจ้ออยู่จริงๆ 


 


 


หูปู้กุยพูดกดเสียงต่ำ “ด้วยกำลังของพวกเราในตอนนี้ หากต้องการยึดเค่อจือเอ่อร์ การใช้กำลังโจมตีเกรงว่าคงจะไม่ได้ ต้องยึดด้วยสติปัญญาถึงจะถูก” 


 


 


ความนัยของเหล่าหู หลินหว่านหรงเข้าใจดี ด้วยการป้องกันอย่างเข้มงวดของชนเผ่านอกด่านเยี่ยงนี้ โอกาสที่จะลอบเข้าเมืองเพียงหนึ่งเดียวก็คืองานแข่งขันชิงแพะซึ่งจะจัดขึ้นในวันมะรืนนี้เท่านั้น พวกเขาปราศจากทางเลือกอื่นใดอีก อย่างไรก็ตามด้วยสถานะของพวกเขาหากเข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะ ก็ยิ่งเหมือนแพะเข้าสู่ถ้ำเสือ อันตรายรอบด้าน หากประมาทพลาดพลั้ง ถูกคนดึงผ้าปิดหน้าออกไป พวกเขาก็จะตกอยู่ในวงล้อมอันหนาแน่นของชาวทูเจวี๋ยทันที นั่นจะเป็นสถานการณ์อันน่าอนาถเพียงใด ตอนนี้ก็จินตนาการได้ 


 


 


“น้องหลิน จะทำเช่นไร” สายตาของทุกคนไปอยู่บนใบหน้าเขา กำลังรอคอยคำตอบของเขาอยู่ 


 


 


ทอดสายตามองชาวทูเจวี๋ยที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุขอยู่ไกลๆ หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่เป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็หมุนกาย พร้อมฟาดก้นม้าหนักๆ คราหนึ่ง “ กลับไปแล้วค่อยว่ากัน ไป!” 


 


 


อาชาจำนวนหลายสิบตัวหมุนตัวกลับไป จากนั้นจึงวิ่งห้อตะบึงไปตามเส้นทางขามา ก่อให้เกิดฝุ่นดินคละคลุ้งอยู่ข้างหลัง   


 


 


“อวี้เจียล่ะ?!” เมื่อกลับมาถึงบริเวณค่ายที่ซ่อนตัว ยังไม่ทันกระโดดลงจากม้าศึก หลินหว่านหรงก็เลยถามหลี่อู่หลิงที่เข้ามารับหน้า 


 


 


เมื่อเห็นเขาหัวคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าหนักอึ้ง เสี่ยวหลี่จื่อก็นิ่งงันไป รีบถามขึ้นมาว่า “ซ่อนตัวอยู่ในป่าตรงนั้น มีพี่น้องหลายคนกำลังเฝ้านางอยู่ พี่หลิน มีอะไรหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า ไม่ตอบหลี่อู่หลิง เดินสาวเท้ายาวๆ เข้าไปในป่า 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งพิงต้นไม้หันหลังให้เขา กำลังใช้สองมือซึ่งถูกมัดอย่างแน่นหนาเด็ดดอกไม้น้อยสีสันสดใสดอกหนึ่งที่อยู่บนพื้น นางมีสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าพผุดรอยยิ้มหวาน บนแก้มขาวกระจ่างใสปรากฏลักยิ้มอันงดงามคู่หนึ่งให้เห็นรางๆ 


 


 


“หลินซาน” เมื่อได้ยินฝีเท้าเร่งร้อนทางด้านหลัง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็หันหน้ากลับมา เมื่อเห็นหลินหว่านหรงมา นางจึงหัวเราะเบาๆ ด้วยความยินดี “เจ้ามาเยี่ยมข้าหรือ?!” 


 


 


เมื่อได้ยินนางเรียกว่าหลินซานก็รู้สึกไม่คุ้นหูอยู่บ้างจริงๆ หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ยิ้มหน้าระรื่นพลางเดินเข้าไปหา “ใช่แล้วล่ะ ข้ามาเยี่ยมเจ้า น้องสาว เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่?! อ้อ ดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้วันหลังเจ้าอย่าเล่นพวกมันเลยดีกว่า”  


 


 


เมื่อถูกงูกัดก็จะกลัวเชือกไปสิบปี ระหว่างที่เขาเอ่ยวาจาก็ฉวยโอกาสช่วงที่อวี้เจียไม่ทันระวัง ชิงดอกไม้ที่อยู่ในมือนางมา ออกแรงโยนทิ้งออกไปไกลโข ไม่ให้นางมีโอกาสแจ้งเตือนชาวทูเจวี๋ยได้อีก 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าคนนี้ช่างโง่จริง แผนการเดิมๆ หรือว่าข้ายังจะใช้เป็นครั้งที่สองได้อีกหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “แผนการเดิมๆ เมื่ออยู่ในมือเจ้าใช้เป็นสิบครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข้ายอมเชื่อว่ามี แต่ไม่ยอมเชื่อว่าไม่มี”  


 


 


อวี้เจียส่ายหน้า ยิ้มแย้มเล็กน้อย เงียบงันไม่เอ่ยวาจา 


 


 


หลินหว่านหรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองอวี้เจียอยู่หลายครั้ง จู่ๆ ก็ขยับร่างกาย เดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน เขามาเร็ว ไปก็เร็ว รวมกันแล้วยังพูดไม่ถึงสองประโยค สีหน้าแปลกประหลาดย่ำแย่ยิ่งนัก สถานการณ์เช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย รีบถามขึ้นมาว่า “หลินซาน เจ้าจะไปแล้วหรือ?!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ข้าจะไปทำเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง” หลินหว่านหรงยั้งฝีเท้า แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมา เขานิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเคยรู้สึกเสียใจต่อการตัดสินใจของเจ้าหรือไม่?!” 


 


 


“เสียใจ?!” อวี้เจียยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “ในภาษาทูเจวี๋ยของพวกเราไม่เคยมีคำนี้มาก่อน” 


 


 


สตรีทูเจวี๋ยผู้หยิ่งผยองและเชื่อมั่นในตัวเอง! หลินหว่านหรงโบกมือ ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เดินมุ่งตรงออกไป 


 


 


เมื่อมาถึงนอกป่า พวกของเกาฉิวสองคนก็กำลังเดินมาพอดี เมื่อเห็นเขาออกมาก็วิ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วด้วยความยินดี “น้องหลิน เป็นอย่างไร ตัดสินใจแล้วหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “ไปแค่พวกเรายังไม่ได้ขอรับ การแข่งขันชิงแพะนี้ ตัวละครสำคัญก็คืออวี้เจีย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาหนทางให้นางไปโผล่อยู่ข้างกายอ๋องขวาได้ทันเวลาถึงจะถูกต้อง สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือห้ามให้นางเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา”  


 


 


“ไม่อย่างนั้นพวกเราวางยาพิษ ทำให้นางกลายเป็นคนปัญญาอ่อนดีหรือไม่?” เกาฉิวกล่าวด้วยความโหดเ**้ยม 


 


 


หูปู้กุยตกใจอย่างยิ่ง เจ้าเหล่าเกาคนนี้ช่างมีความอำมหิตอยู่หลายส่วนจริงๆ เลยนะ เพียงแต่หากปราศจากหนทางแล้วจริงๆ ความคิดนี้ก็น่าจะลองได้ ต้องดูว่าแม่ทัพหลินจะหักใจลงมือได้หรือไม่  


 


 


“วางยาพิษ? ท่านวางยาพิษชนะอวี้เจียได้หรือ” หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าเกาด้วยความขบขัน คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของอวี้เจียยังจะมีผู้ใดที่วางยาพิษล้มนางได้อีก? 


 


 


เกาฉิวนิ่งอึ้งอยู่เช่นกัน พูดด้วยความหงุดหงิดโมโหว่า “ถ้าอย่างนั้นจะทำเช่นไร พวกเราไม่อาจเอานางส่งมอบให้เจ้าคนแซ่ถูเปล่าๆ เช่นนี้ได้หรอกนะ” 


 


 


“ต้องมีวิธี ลองให้ข้าลองคิดดูก่อนก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงส่ายหน้า เรื่องแบบนี้ต้องขอความช่วยเหลือจากนางเซียนเท่านั้นแล้ว นางเคยพูดไว้ว่านางมีวิธี 


 


 


พวกเหล่าเกาสองคนจากไปด้วยความหงุดหงิด หลินหว่านหรงหลับตาลงครุ่นคิด รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่บ้าง แม้จะบอกว่าที่พาอวี้เจียมาตลอดทางนั้นก็เพื่อจะใช้ประโยชน์นางได้สักวันหนึ่ง เพียงแต่เมื่อช่วงเวลานั้นมาถึงเข้าจริง รสชาตินั้นกลับหาใช่จะใช้ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำมาสาธยายได้  


 


 


“เจ้าตัดสินใจจริงแล้วหรือ?!” หนิงอวี่ซีมายืนอย่างสงบนิ่งอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ น้ำเสียงสงบนิ่งแช่มช้าและอ่อนโยน ประหนึ่งเสียงแห่งธรรมชาติ 


 


 


หลินหว่านหรงจับมือนาง หัวเราะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าตัดสินใจกันตั้งแต่แรกแล้วหรือ เหตุใดพี่สาวถึงยังมาถามข้าอีก”  


 


 


“ไม่เหมือนกัน” นางเซียนหนิงส่ายหน้าด้วยท่าทีขึงขัง “ข้าไม่เคยบอกเจ้าถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ ข้าหวังว่าก่อนที่เจ้าจะตัดสินใจ เจ้าจะพิจารณาถึงผลลัพธ์ให้ถ้วนถี่” 


 


 


หนิงอวี่ซีสีหน้าหนักอึ้ง หลินหว่านหรงถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ “มีอะไรรุนแรง? พี่สาว ท่านพอจะพูดให้ชัดเจนสักหน่อยได้หรือไม่”  


 


 


นางเซียนย่ำเท้าอย่างแช่มช้าไปหลายก้าว จากนั้นจึงเอ่ยออกมาเบาๆ “วัตถุประสงค์ที่เจ้าเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะนี้ก็เพื่อใช้อวี้เจียล่อให้อ๋องขวาทูเจวี๋ยกับเชื้อพระวงศ์อื่นออกมา เมื่อเป็นเช่นนี้ทหารม้าทูเจวี๋ยจะต้องเคลื่อนย้ายกำลังหลักในการเฝ้ารักษามาอยู่นอกเมือง การป้องกันตัวเมืองก็จะผ่อนคลายลง เมื่อถูสั่วจั่วเข้าร่วมงานชิงแพะ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าข่านทูเจวี๋ยอาจมาร่วมชมด้วยตนเอง หากมีโอกาสก็จะบุกจับกุมข่านทูเจวี๋ยพร้อมขุนนางสำคัญทุกคนทันที เรื่องนั้นย่อมดีมากแน่นอน แต่ถ้าการระวังป้องกันนอกเมืองของพวกมันเข้มงวดกวดขันจนเกินไปจนปราศจากโอกาสลงมือ เจ้าก็ฉวยโอกาสช่วงที่เมืองว่างเปล่าและมีความวุ่นวายปะปนเข้าสู่เมืองเค่อจือเอ่อร์ไปพร้อมกับทุกดินแดนการปกครองได้ ขอเพียงเข้าราชธานีทูเจวี๋ยแล้ว การทำลายเมืองก็สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้าพูดถูกหรือไม่?!” 


 


 


“ถูก ถูก พี่สาว รู้ใจข้าจริงด้วย” หลินหว่านหรงชูนิ้วพร้อมกล่าวชมเชย 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะขึ้นมา “ดินแดนการปกครองของชนเผ่านอกด่านที่มีคุณสมบัติเข้าเมืองล้วนต้องเข้าร่วมการชิงแพะ หากเจ้าอยากมีโอกาสปะปนเข้าไป ก็จำเป็นต้องได้รับชัยชนะสักหลายรอบ วิธีการนี้แม้จะเสี่ยงอยู่สักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จุดสำคัญที่แฝงอยู่ในนั้นอยู่ที่ตัวของอวี้เจีย ต้องการให้นางปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าชนเผ่านอกด่าน แต่กลับไม่อาจให้นางเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา…”  


 


 


สิ่งที่หลินหว่านหรงกังวลก็คือเรื่องนี้ เขารีบถามขึ้นมาว่า “พี่สาว ท่านเคยบอกว่ามีวิธีไม่ใช่หรือ?!”  


 


 


นางเซียนถอนหายใจ “ข้ามีวิธีจริงๆ เพียงแต่กลัวว่าเจ้าจะลงมือไม่ได้…หากไม่อยากให้อวี้เจียเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา วิธีการที่ดีที่สุดก็คือให้นางลืมเรื่องราวทุกสิ่ง” 


 


 


“ลืมเรื่องราวทุกสิ่ง?” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “นี่ต้องทำอย่างไรถึงจะลืม?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีจับมือเขาพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “โจรน้อย เจ้ายังจำเหตุการณ์ที่พวกเราได้พบกันครั้งแรกหรือไม่?!”  


 


 


“จำได้ ย่อมจำได้แน่ ตอนนั้นข้ายิงปืนใส่ท่านไปหลายนัด ท่านก็ซัดเข็มเงินใส่ข้าหลายเล่มเช่นกัน ตอนนี้พอคิดดู การยิงซัดเช่นนี้ที่แท้ก็เป็นบุพเพสันนิวาสที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว” เขาหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ทว่าว่าภายในใจกลับรู้สึกงุนงง เห็นอยู่ว่ากำลังพูดถึงอวี้เจีย แล้วเหตุใดนางเซียนโยงไปถึงเรื่องที่ทั้งสองคนพบกันครั้งแรกได้ล่ะ 


 


 


“…ข้ากับเจ้าไม่เคยรู้จักกัน วันนั้นที่ทำกับเจ้าเช่นนั้นก็เพราะความจำเป็นบังคับ วาสนาระหว่างเจ้ากับชิงเสวียนเฉกเช่นจันทราในวารี บุปผางามในคันฉ่อง เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กาซัดเข็มเงินนี้ไม่ทำร้ายถึงแก่ชีวิตของเจ้า ถึงกระนั้นกลับทำให้เจ้าลืมเรื่องของชิงเสวียน เจ้าอย่าโทษข้าเลย…”  


 


 


นางเซียนหนิงน้ำเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย เข็มเงินที่อยู่ในมือเปล่งประกายวูบวาบ คล้ายกลับไปในป่านอกเมืองในวันนั้นอีกครั้งหนึ่ง นั่นเป็นการพบหน้าครั้งแรกของทั้งสองคน มีหลายสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดกาล บทสนทนานี้เป็นนางเซียนที่พูดออกมาจากปากเอง  


 


 


แค่ได้ยินประโยคสุดท้าย หลินหว่านหรงก็เข้าใจเจตนาของหนิงอวี่ซีแล้ว ในเมื่อนางมีวิธีทำให้ข้าลืมชิงเสวียนได้ เช่นนั้นก็ย่อมทำให้อวี้เจียลืมข้าได้ด้วยเช่นกัน น้ำลืมรักสองถ้วยบนโลกนี้ต่างถูกข้าดื่มทั้งสิ้น! เขาเลียริมฝีปากที่ปริแห้ง รสชาติที่มีอยู่ภายในใจอยากจะสรรหาถ้อยคำมาบรรยาย เขาถอนหายใจยาวพร้อมกับพูดว่า “พี่สาว ท่านจะฝังเข็มให้อวี้เจีย ทำให้นางลืมข้าหรือ?!”  


 


 


หนิงอวี่ซีตอบด้วยความอับจนปัญญา “ไม่ใช่ให้นางลืมเจ้า แต่ทำให้นางลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากออกจากเฮ่อหลานซานแล้วเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่ว่าจะเป็นทะเลแห่งความตายหรือว่ายอดเขาเทียนซาน ขอให้ฝันนางก็ไม่มีวันนึกถึงเรื่องพวกนี้ได้ตลอดกาล” 


 


 


ทุกสิ่งทุกอย่างต่างถูกลบออกไปอย่างง่ายดายแบบนี้เลยหรือ?! หลินหว่านหรงยืนนิ่งเหม่อลอย พูดไม่ออกอยู่นาน 


 


 


เขาไม่มีวันสงสัยสิ่งที่หนิงอวี่ซีพูดออกมาแน่นอน อันที่จริงวันนั้นเขาก็เกือบมีชะตาชีวิตเช่นอวี้เจียแล้ว คิดไม่ถึงว่าผ่านมานานขนาดนี้เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นกับสตรีผู้งดงามต่างชนชาติผู้หนึ่งได้ ผู้ที่สร้างเรื่องเลวร้ายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นตัวเอง สวรรค์นี้ช่างรู้จักล้อเล่นเสียจริง 


 


 


เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่เอ่ยวาจาและไม่ขยับเขยื้อน รู้สึกอึดอัดคับข้องแปลกประหลาดประหนึ่งระลอกคลื่นขนาดใหญ่ และมีเพียงหนิงอวี่ซีที่เคยสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้ 


 


 


“โจรน้อย…” นางเซียนดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ ภายในดวงตาแผ่ความห่วงใยอันเปี่ยมล้นออกมา 


 


 


หลินหว่านหรงกำลังถอนหายใจออกมายาวๆ ยิ้มให้นางเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร ในฐานะที่เป็นผู้รบชนะ ข้ามีสิทธิ์ที่จะจัดการเชลยศึก ไม่ว่านางจะงดงามหรือว่าขี้เหร่ เป็นบุรุษหรือว่าสตรี การพานางมาก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกหรือ? นางเซียนพี่สาว ท่านเตรียมลงมือเมื่อไหร่?!” 


 


 


“โจรน้อย เจ้า…” หนิงอวี่ซีมอง ขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ท่าทางอ้ำอึ้ง 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะ “คนหนึ่งคือชาวต้าหัว คนหนึ่งคือชาวทูเจวี๋ย ชนชาติที่เป็นศัตรูกันสองชนชาติ…การลืมเลือน สำหรับนางอาจเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้วก็ได้ ชีวิตของนางก็เหลือแค่ไม่กี่เดือนแล้ว ก็ให้นางใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไร้ทุกข์ไร้กังวลไปเถอะ” 


 


 


นางเซียนหนิงกล่าวด้วยท่าทีเหม่อลอย “นางลืมเลือนได้ แต่เจ้าล่ะ เจ้าจะทำเช่นไร?! การเก็บความรู้สึกต่อไปจำเป็นต้องใช้ความกล้ามากกว่าการลืมเลือนเสียอีก!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ พลางส่ายหน้า “พี่สาว เหตุใดท่านถึงพูดจาลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าเป็นคนเรียบง่าย ไม่ได้คิดสลับซับซ้อนมากขนาดท่าน” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาอยู่นาน นี่เป็นครั้งแรกที่นางมองไม่ทะลุจิตใจของโจรน้อย ความรู้สึกที่บัดเดี๋ยวใกล้บัดเดี๋ยวไกลเช่นนี้กระทำให้นางรู้สึกลุ่มหลงอยู่บ้าง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ด้วยนิสัยดื้อด้านของอวี้เจีย วิธีการลบความทรงจำเช่นนี้หาใช่แค่การฝังเข็มง่ายดายเยี่ยงนั้น เกรงว่าค่ายังต้องสิ้นเปลืองพลังวัตรไปจำนวนหนึ่งอีกด้วย วิธีการทำเช่นนี้ถือว่าผิดต่อหลักแห่งฟ้ายิ่งนัก ครั้งนี้สวรรค์จะต้องลงทัณฑ์ข้าแน่นอน”  


 


 


หลินหว่านหรงกุมมือทั้งสองข้างของนางนั่นพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “วางใจได้ การลงทุนทั้งหมดข้าจะรับไว้เอง ข้าขอสาบานต่อฟ้าว่าจะสู้จนตัวตาย!”  

 

 


ตอนที่ 592 มอบดอกกุหลาบให้ท่าน

 

คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ สตรีผู้เฉลียวฉลาดและสูงส่งอย่างอวี้เจียนี้ นับตั้งแต่ช่วงเสี้ยววินาทีที่นางเข้าใกล้พวกเขาก็น่าจะคาดการณ์ถึงจุดจบเมื่อยามพ่ายแพ้ได้แล้ว หรือไม่ก็นางมีความมั่นใจเปี่ยมล้นต่อเสน่ห์ของตนเองจนไม่เคยคิดถึงเรื่องความพ่ายแพ้มาก่อน 


 


 


สุดท้ายการละเล่นย่อมมีผลแพ้และชนะ เมื่อแพ้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทน สิ่งนี้คือหลักการแห่งฟ้าดิน กับอวี้เจียเป็นเช่นนี้ กับหลินหว่านหรงก็เป็นเช่นนี้ ลองคิดดูแล้วภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน หากแผนการของเยวี่ยหยาเอ๋อร์สำเร็จลุล่วง หลินซานผู้มีชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งต้าหัวกลายเป็นขุนนางที่ยอมสยบอยู่ใต้ชายกระโปรงสตรีทูเจวี๋ย นั่นจะเป็นการหมิ่นเกียรติต้าหัวมากเพียงใด? ไม่มีผู้ใดจินตนาการออกได้ 


 


 


เมื่อมองจากมุมนี้ อวี้เจียซึ่งเป็นผู้ก่อความวุ่นวายพ่ายแพ้ต่อแผนการร้ายที่นางเพียรพยายามวางแผนด้วยตัวเอง ก็เหมือนเป็นโชคชะตาที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว ไม่มีค่าให้เห็นใจแม้แต่น้อย 


 


 


เพียงแต่เรื่องราวบนโลกนี้ไม่เคยแบ่งแยกถูกผิดดีเลวโดยสมบูรณ์อย่างง่ายดายเช่นนั้นมาก่อน ทั้งสองคนอยู่ในสถานะของชนชาติที่เป็นศัตรูกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหายร่วมชาติและบรรพชน การเสแสร้งหลอกลวง แสดงละครตลอดเวลา ลอบใช้แผนการ ประชันสติปัญญาและความกล้าหาญ หากว่ากันจริงๆ แล้วจะมีใครกล้าพูดว่าพวกเขาทำผิดบ้าง? 


 


 


หนิงอวี่ซีเข้าใจความรู้สึกของเขามากที่สุด นางอิงแอบอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบงัน พวกเขาสองคนมือและใจเชื่อมประสาน และมีเพียงความอุ่นใจเล็กๆ ถึงทำให้พวกเขาสัมผัสถึงความอบอุ่นทางร่างกายได้ ค่ำคืนนี้นอนพลิกตัวกลับไปกลับมา ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ จวบจนฟ้าใกล้สางถึงได้งีบหลับไปด้วยอาการสะลึมสะลือ  


 


 


“พี่เกา ไปพาอวี้เจียมา” ใช้น้ำสะอาดชำระล้างใบหน้า น้ำในทะเลสาบอันเย็นเฉียบทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ หวนคืนสู่ความมีชีวิตชีวาถึงแม้ภายในดวงตายังเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงเข้ม ถามว่าสมองกลับสงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


เกาฉิวมองเขาด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้หากน้องหลินต้องการกระเซ้าเย้าแหย่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ไม่ต้องใช้ให้คนใครพามา เดินตรงไปไม่กี่ก้าวก็ถึง ใช้ฝีปากเล่นลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ มีความสุขสนุกสนานจะแย่ แต่เหตุใดวันนี้กลับกลายเป็นมีพิธีรีตอง? นี่ก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยนี่นา 


 


 


เขาคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงถ่ายทอดคำสั่งลงไป  


 


 


ไอหมอกยามเช้าลอยวนอยู่เหนือต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี เปล่งประกายสีรุ้ง หลินหว่านหรงมองดูหยาดน้ำค้างที่เปล่งประกายนั้นทีละหยดๆ ด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก 


 


 


เสียงฝีเท้าแช่มช้าและชดช้อยดังแว่วเข้ามา คล้ายยินดีปรีดาทั้งคล้ายหนักอึ้ง หลินหว่านหรงเงยหน้า เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์เดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ มือทั้งสองข้างของนางถูกมัดอยู่ข้างหลัง เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ยังไม่เอ่ยวาจาก็แย้มยิ้มออกมาเสียก่อน ระหว่างซ่อมเชือกที่มัดอย่างแน่นหนานั้นกลับเสียบดอกไม้ป่าเป็นพุ่มหนา แกว่งไกวไปมาเบาๆ ตามการโยกย้ายของนาง สีแดง สีเหลืองบ้าง สีขาว หลากสีสันสดใส งดงามน่าดูยิ่งนัก   


 


 


“ไปเอาดอกไม้พวกนี้มาจากที่ใด?!” หลินหว่านหรงขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


“ข้าเด็ดตอนตื่นนอนเมื่อเช้า เป็นอย่างไร งามใช่หรือไม่?!” อวี้เจียหัวเราะเบาๆ มองเขาอย่างได้ใจหลายครั้ง ความสุขที่มีอยู่ในดวงตานั้น กลับเหมือนเขาต่างหากที่เป็นเชลย 


 


 


เห็นผีแล้วจริงๆ! สองมือของนางถูกมัด แล้วจะไปเด็ดดอกไม้จากที่ไหน หรือว่าจะใช้ปาก…พอพูดถึงปาก เขาก็รีบกวาดสายตาไปที่มุมปากของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ริมฝีปากสีแดงสดของสาวน้อยทูเจวี๋ยเปื้อนดินเล็กน้อย มีบางจุดที่ยังมีคราบโลหิตไหลซึมออกมาอีกด้วย 


 


 


หลินหว่านหรงตะลึงงันเล็กน้อย อวี้เจียหัวเราะออกมาในทันที “เจ้าคนนี้ช่างใจแคบเสียจริง ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว วิธีการเดียวกัน ข้าไม่มีวันใช้เป็นครั้งที่สองเด็ดขาด แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังมัดมือมัดเท้าข้าอยู่อีก”  


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วเดินเข้าไปหา “นับแต่โบราณมา คนที่ใช้ปากเด็ดดอกไม้ก็มีเจ้าคนแรก แม้ข้าจะได้รับสมญานามว่าบุรุษจอมเด็ดบุปผาก็ตาม แต่กับน้องสาวเช่นเจ้า ข้ายังต้องรู้สึกนับถือ” 


 


 


ระหว่างที่เขาพูดมือก็ปรากฏแสงวูบวาบ ดาบโค้งตัดเชือกขาดไปแล้ว เชือกปอร่วงหล่นลงพื้น ถือว่าปล่อยอวี้เจียให้เป็นอิสระแล้ว 


 


 


อวี้เจียเหยียดเอวคอดกิ่วออกไปจนสุด แค่นเสียงแล้วพูดว่า “ยังจะมาพูดอีก นี่ต้องโทษเจ้า ตรงนี้ ยังมีตรงนี้อีก ถูกดอกไม้ทิ่มแทงจนถลอกหมดแล้ว หลินซาน ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้าเน้นเรื่องรักหยกถนอมบุปผา แล้วเหตุใดพอเป็นตัวเจ้ากลับไม่เห็นแม้แต่น้อย?” 


 


 


ระหว่างที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์เอ่ยวาจาก็เช็ดริมฝีปากสีแดงชาดเบาๆ จากนั้นก็ประชิดเข้าไปเบื้องหน้าเขา ให้เขามองดู กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้าจมูก นั่นเป็นกลิ่นน้ำหอมอันคุ้นเคย อวี้เจียคล้ายปราศจากความระแวดระวังต่อเขาแม้แต่น้อย ร่างกายอยู่ชิดเขายิ่งนัก คล้ายต้องกายแนบติดกับเขา 


 


 


บนริมฝีปากสีแดงอันอ่อนนุ่มมีโลหิตซึมออกมาสองหยด เมื่ออยู่กับฟันงามขาวสะอาดของนางต่างขับเด่นซึ่งกันและกัน ดูงดงามยิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเก็บช่อดอกไม้ซึ่งหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา“ดอกกุหลาบเดิมทีก็มีหนาม แต่เจ้ากลับเก็บดอกกุหลาบโดยเฉพาะ ไม่ทิ่มแทงเจ้าแล้วจะทิ่มแทงผู้ใด?!”  


 


 


“มีหนามแล้วจะทำไม?!” อวี้เจียแค่นเสียง เด็ดกลีบกุหลาบขาวมากลีบหนึ่งแล้วคาบอยู่ที่ปาก “เจ้าเห็นแค่มันมีหนาม แต่กลับไม่รู้จักความอ่อนโยนของมัน…เจ้าดู ห้ามเลือดได้แล้ว?!” 


 


 


บนกลีบกุหลาบขาวเปื้อนคราบเลือดจางๆ บาดแผลที่อยู่บนริมฝีปากของสาวน้อยปราศจากเลือดซึมออกมาอีก ปิดสนิทกลายเป็นรอยขนาดเล็ก ดูช่างน่าอัศจรรย์เป็นล้นพ้น 


 


 


“กุหลาบก็ห้ามเลือดได้?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ หากเอ่ยถึงวิชาแพทย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าอวี้เจียเขาก็ช่างเหมือนเด็กน้อยในโรงเรียนอนุบาลเสียจริง  


 


 


“อืม” อวี้เจียนำกลีบดอกกุหลาบขาวกลีบนั้นใส่มือเขา “เจ้าลองดูก็รู้แล้ว” 


 


 


“อย่าเลยดีกว่า ข้า…ข้าเห็นเลือดแล้วหน้ามืด!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ รีบโบกมือปฏิเสธทันที  


 


 


“เจ้าเห็นเลือดแล้วหน้ามืด แต่ข้าเห็นเจ้าแล้วหน้ามืด!” อวี้เจียแค่นเสียง แย่งช่อดอกไม้ที่มีน้ำหยดช่อนั้นกลับมาจากมือเขา จากนั้นจึงนำมาใกล้จมูกแล้วสูดดมลึกๆ คราหนึ่ง นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “ในทุ่งหญ้าของเรา ดอกไม้นี้เรียกว่าอีลี่ซา เมื่อแปลเป็นต้าหัวก็หมายถึงบุปผารักยืนยง มันบานช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น ปกติยากจะพบเห็นยิ่งนัก ตามตำนานของทูเจวี๋ยเรา ผู้ที่เด็ดอีลี่ซาได้หมื่นดอกก็จะได้รับความสุขไปชั่วชีวิต หลินซาน เจ้าเชื่อเรื่องพวกนี้หรือไม่” 


 


 


หลินหว่านหรงเกาหัวแกรกๆ “น่าจะเชื่อกระมัง อีลี่ซาเป็นหลักฐานของความสุข เพียงแต่ที่ต้าหัวของเราทุกคนชอบเรียกมันว่าดอกกุหลาบ ดอกกุหลาบนี้มีความหมายมากมาย สีที่ต่างกันก็มีความหมายต่างกัน” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวระคนหัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้ข้ารู้ คำวิจารณ์อันเหนือชั้นของเจ้าข้าได้ยินมาตั้งนานแล้ว ที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ก็คือน้ำหอมกุหลาบที่เจ้าทำขึ้นมา รีบดมดูสิ…” 


 


 


นางยื่นมือขาวกระจ่างใสประดุจหยกมาเบื้องหน้าหลินหว่านหรง ราวกับเด็กสาวที่ร้อนใจต้องการจะแสดงให้ดู ตรงข้ามกับความสุขุมนุ่มลึกในกาลก่อนโดยสิ้นเชิง  


 


 


กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ลอยเข้าจมูก วันนั้นตอนที่ตรวจค้นเมืองซิงชิ่งก็ได้กลิ่นนี้แล้ว หลินหว่านหรงโบกมือ หัวเราะพร้อมพูดว่า “ขอบใจที่เจ้าอุดหนุนการค้าของข้า หากรู้จักกันเร็วกว่านี้สักหน่อย ข้าต้องลดให้เจ้าหนึ่งจากเก้าสิบเก้าแน่นอน หากจำนวนมาก ลดสองส่วนก็คุยกันได้ นี่เป็นราคามิตรภาพล้วนๆ ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด กับคนอื่นข้าก็ไม่เคยลดราคามาก่อนเลยนะ” 


 


 


“มิน่าชาวต้าหัวต่างเรียกเจ้าว่าพ่อค้าหน้าเลือด!” อวี้เจียหัวเราะคิกคัก โบกดอกไม้ในมือ ถอนหายใจลึกแล้วเอ่ยว่า “ดอกกุหลาบชื่อนี้มีความหมายลึกซึ้ง ข้าชอบมาก…กุหลาบแดง กุหลาบขาว กุหลาบเหลือง วันนี้ข้าเด็ดมาตั้งเยอะเลยนะ! หลินซาน สตรีต้าหัวของพวกเจ้าชอบดอกไม้ชนิดนี้ด้วยใช่หรือไม่” 


 


 


“น่าจะใช่กระมัง! ข้าคนนี้ค่อนข้างตรงไปตรงมา วิธีการในการไล่ตามสตรีก็มีไม่มากนัก กับเรื่องพวกนี้ ไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ” เขาตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาหลายครั้ง ส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคนนี้นี่นะ นอกจากการพูดโกหกจะเป็นเรื่องจริงแล้ว เรื่องอื่นก็ปลอมทั้งสิ้น ตอนอยู่ที่ทะเลแห่งความตาย ข้าตื้นตันใจตั้งหลายครั้ง มาดูตอนนี้สิ ที่แท้ก็ปลอมทั้งนั้น” 


 


 


“เช่นกันๆ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง 


 


 


“ใช่แล้ว เช่นกันๆ นั่นไม่อาจโทษเจ้าได้เช่นกัน เพราะทุกคนต่างปลอมกันทั้งนั้น” อวี้เจียหลุบตาลงเบาๆ เงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา เด็ดกุหลาบขาวมาดอกหนึ่งแล้วนำมาทัดบนเส้นผมที่งดงามประดุจเมฆา เผยฟันขาวให้หลินหว่านหรงเล็กน้อย “หลินซาน ข้างามหรือไม่?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผิวขาวกระจ่างใส ดวงตาดั่งวารียามวสันต์ มองเขาอย่างอ่อนโยน ราวกับดอกไม้ที่ผลิบาน เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่รู้จักก่อนหน้านี้ก็ราวกับเป็นคนละคน หลินหว่านหรงผงกศีรษะอย่างเหม่อลอย “งาม! งามจริงๆ” 


 


 


อวี้เจียเชิดใบหน้าเบาๆ “ขอบใจคำชมของเจ้า แต่ขอให้ครั้งนี้เจ้าไม่ได้ทำตัวจอมปลอม” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจแล้วส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา “บางทีเจ้าอาจพูดไม่ผิด ข้าเป็นคนเลวร้ายมากจริงๆ” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มร่าพลางมองเขา “ถือว่าเจ้าพูดความจริงเสียที เข้าใจได้ ต้าหัวของเจ้ามีคำพูดเก่าแก่อยู่ประโยคหนึ่ง นั่นคือทำอะไรห้ามเกินสามครั้ง เจ้าก็ชื่อหลินซานมิใช่หรือ ย่อมเป็นคนที่เลวร้ายมากที่สุดแล้ว!” 


 


 


ที่แท้ชื่อของข้าก็เข้าใจแบบนี้ได้ด้วย จินตนาการของนังหนูนี่ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง 


 


 


“เจ้าพูดไม่ผิด ข้าเป็นคนเลวมากที่สุดคนนั้นจริงๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ส่งดาบทองที่อยู่ในมือให้อวี้เจีย “นี่ คืนให้เจ้า!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด สองมือกำจนแน่น ลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็รับดาบทองมาด้วยอาการสั่นเทา เสียงเช้งดังขึ้นมาเบาๆ ดาบอันคมกริบออกจากฝัก สาวน้อยทูเจวี๋ยจ้องมองดวงหน้างดงามประดุจบุปผาที่สะท้อนอยู่บนตัวดาบนั้น ยืนนิ่งและเหม่อลอย 


 


 


“ได้ยินว่าถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยมีดาบเงินอยู่เล่มหนึ่ง…” หลินหว่านหรงเอ่ยปากอย่างแช่มช้า พูดยังไม่ทันจบ อวี้เจียกลับส่ายหน้าพร้อมแย้มยิ้ม นางออกแรงโบกช่อดอกไม้ในมือ “หลินซาน ข้าให้เจ้าสักดอกก็แล้วกันนะ เจ้าชอบสีแดง สีเหลือง หรือว่าสีขาว?” มือเรียวยาวของนางดึงดอกกุหลาบที่อยู่ในมือเล่น เอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจัง 


 


 


หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “ไม่เอาๆ ข้าคนนี้ชอบเด็ดบุปผาด้วยตัวเอง ไม่เคยต้องให้ผู้อื่นมอบให้” 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง “ครั้งนี้ต้องเป็นข้อยกเว้น!” 


 


 


“เพราะอะไร?!” หลินหว่านหรงมองนางด้วยความฉงนสงสัย  


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตอบเรียบๆ “ดวงจันทร์มีกลมมีเว้าแหว่ง มีพบมีพรากจาก ข้าไม่รู้เช่นกันว่าวันหลังยังจะจำเจ้าได้อีกหรือไม่! ดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง ถือว่าเป็นที่ระลึกก็แล้วกัน” 


 


 


ผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว! หลินหว่านหรงตะลึงงัน 


 


 


อวี้เจียมองเขาอยู่หลายครั้ง โบกดอกไม้สีสันสดใสอยู่ตรงหน้าเขา “ว่ามา ดอกไม้ที่งดงามมากมายขนาดนี้ เจ้าต้องการดอกใด?!” 


 


 


ภายในน้ำเสียงของนางกลับแฝงการห้ามปฏิเสธ หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงหัวเราะพร้อมยื่นมือออกไป “เอาสีเหลืองนี้ก็แล้วกัน ดอกกุหลาบสีเหลืองค่อนข้างเหมาะกับนิสัยของข้า หนามก็น้อยด้วย” 


 


 


“ในทุ่งหญ้าของพวกเรา อีลี่ซาสีเหลืองมอบให้ผู้อาวุโสเท่านั้น” อวี้เจียเอ่ยด้วยใบหน้าปราศจากความรู้สึก  


 


 


หลินหว่านหรงรีบหดมือกลับไป “อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้าแล้ว เอาสีขาวก็แล้วกัน ค่อนข้างสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับนิสัยของข้า” 


 


 


อวี้เจียส่ายหน้า “อีลี่ซาสีขาวมอบให้สตรีที่ตั้งครรภ์ เจ้าอยากได้จริงหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้เจ้าดอกหนึ่งก็ได้” 


 


 


กฎเกณฑ์บนทุ่งหญ้าช่างมากมายเสียจริงนะ หลินหว่านหรงหัวเราะแหะๆ แล้วรั้งมือกลับไป “ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ…ข้าพูดตั้งแต่แรกแล้ว กุหลาบมีหนามมากนะ! พวกเราเปลี่ยนการรำลึกถึงเป็นอย่างอื่นเถอะ อย่างเช่นการลงนามเอย การกอดกันเอย อะไรพวกนี้…”  


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้าเบาๆ นางหักดอกกุหลาบสีแดงที่งดงามมากที่สุดและมีสีสันสดใสมากที่สุดมาดอกหนึ่ง จากนั้นจึงทัดข้างใบหูหลินหว่านหรงอย่างแช่มช้า หลินหว่านหรงพลันสะดุ้งขึ้นในทันที “ทำอะไรน่ะ นี่มันประเพณีอะไรกัน? ข้าเป็นผู้ชายนะ!” 


 


 


“หยดน้ำแห่งห้วงคำนึงในปีก่อน จำแลงเป็นน้ำตารดพฤกษา บุรุษหนุ่มบ้านใดที่ชมวสันต์ หักกุหลาบแดงออกมาดอกหนึ่ง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์พึมพำกับตนเอง มองเขาด้วยท่าทีเลื่อนลอย ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “ช่างน่าเกลียดเสียจริง!”  


 


 


ผู้ชายทัดดอกไม้ นั่นจะไม่น่าเกลียดได้อีกหรือ? ด้วยความหงุดหงิดโมโหอย่างรุนแรง หลินหว่านหรงจึงดึงดอกกุหลาบแล้วกำลังจะโยนทิ้ง อวี้เจียถอนหายใจบางๆ แล้วพูดว่า “ทูเจวี๋ยกับต้าหัว สุดท้ายแล้วก็เป็นโลกสองโลก ดอกไม้เล็กๆ ดอกหนึ่ง ถือเป็นของที่ระลึกชิ้นสุดท้ายก็แล้วกัน เจ้าจะโยนมันไปก็ได้ เพราะชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้า สิ่งที่คุ้นชินมากที่สุดก็คือการลืมเลือน! แม้แต่หลินซานซึ่งได้รับการขนานนามว่าฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในต้าหัวก็ปราศจากข้อยกเว้นเช่นกัน”  


 


 


นางหยิบถุงน้ำมา จากนั้นก็ดื่มลงไปหลายอึก น้ำทะเลสาบกระจ่างใสไหลออกมาตามมุมปาก ไหลไปตามลำคออันเรียวยาวราวกับหงส์ฟ้าสีขาวจนทำให้อาภรณ์ของนางเปียก ถึงกระนั้นนางกลับไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย 


 


 


“ข้าไม่ชินกับการรำลึกและการถูกรำลึกจริงๆ!” หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า  


 


 


“ข้าก็ไม่ชิน” อวี้เจียมองเขาด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น “ก็เหมือนข้าที่ไม่ชินเรียกเจ้าว่าหลินซาน ถึงแม้ข้าจะรู้ทั้งรู้ว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านั้นมันเลวร้ายมากก็ตาม” 


 


 


ที่แท้นังหนูนี่ก็รู้ตั้งแต่แรกแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ใบหน้าแดงอย่างยากจะเกิดขึ้น 


 


 


“หลินซาน พวกเราจะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้วหรือ?” ลมหายใจของอวี้เจียค่อยๆ กระชั้นถี่ หนังตาหนักอึ้ง นางเหมือนรับรู้อะไรได้ พยายามเอ่ยถามอย่างเต็มที่ 


 


 


หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว เงียบงันไม่เอ่ยวาจา 


 


 


ใบหน้าอวี้เจียซับสีแดงอันแสนจะแปลกประหลาด นางเบิกตากว้างมองดูเขา ภายในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความตื่นตระหนกและความรู้สึกไร้กำลังช่วยเหลือตนเอง  


 


 


“อัวเหล่ากง!” นางตะโกนเสียงดังโดยใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่ทั้งร่าง ทว่าเสียงกลับแผ่วเบาราวกับเสียงยุง แม้แต่ตัวนางเองก็แทบจะไม่ได้ยิน 


 


 


แขนทรงพลังคู่หนึ่งกอดนางไว้อย่างเงียบงัน เมื่อเห็นดวงตาคมกริบเปล่งประกายระยิบยักของโจรต้าหัว นางก็คลี่ยิ้มออกมาทันที  


 


 


ร่างกายอ่อนยวบ ล้มลงไปอย่างแช่มช้า สองตาอันงดงามค่อยๆ ปิดลง หลับสนิทไปอย่างเงียบงัน…… 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม