ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 587.1-588.2

ตอนที่ 587 - 1 ลงโทษ?

 

นางเซียนแย้มยิ้ม ท่าทางมั่นใจเปี่ยมล้น หลินหว่านหรงตกใจจนกะพริบตาปริบๆ “พี่สาว หรือว่าท่านจะใช้วิชาแปลงโฉมเพื่อเปลี่ยนแปลงใบหน้าในตำนานเพื่อแปลงกายเป็นอวี้เจีย? เรื่องนี้ทำไม่ได้ ลูบคลำนางกับลูบคลำท่าน นั่นมันความรู้สึกคนละแบบนะ” 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะพรวด กล่าวด้วยความจนใจออกมาว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน บนโลกนี้ไหนเลยจะมีวิชาแปลงโฉม นั่นมันเป็นการละเล่นหลอกลวงคนของพวกใช้วิชาหลอกลวงคนในยุทธภพเท่านั้น สถานะและรูปร่างหน้าตาของอวี้เจียคนนี้ต่างจากข้าโดยสิ้นเชิง แล้วข้าจะปลอมตัวเป็นนางทำไมกัน?” 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องประเมินเรือนร่างนางอยู่นาน จากนั้นจึงผงกศีรษะด้วยท่าทีเคร่งขรึมยิ่งนัก “ไม่อาจปลอมตัวได้จริงด้วย พวกท่าน ต่างกันมาก…จากการคะเนด้วยสายตาของข้า ต่อให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ให้เจริญเติบโตไปอีกสิบปีถึงพอฝืนมีไซส์ได้ครึ่งหนึ่งของพี่สาวเทพเซียน แถมนั่นยังเป็นตอนที่นางสวมยกทรงแล้วด้วย เฮ้อ ความแตกต่างระหว่างคนกับคน เหตุใดมันถึงต่างกันอย่างยิ่ง…ใหญ่ขนาดนี้นะ?!” 


 


 


ไซส์อะไร ยกทรงอะไร? หนิงอวี่ซีฟังแล้วก็รู้สึกงุนงง เมื่อเห็นสายตาเขาจ้องมองอยู่บนหน้าอกอันอวบอิ่มของตนเขม็งโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้ง นางถึงรู้ทันที รีบร้องออกมาพร้อมหมุนกายไป หน้าแดงสดใส “โจรน้อยเช่นเจ้านี้ถึงกล้าพูดประโยคนี้ได้ ไม่มีความจริงจังเลยสักนิดเดียว!” 


 


 


“จริงจังๆ จะต้องจริงจัง” หลินหว่านหรงถอนหายใจดังเฮ้อ จับมือนางพร้อมพูดอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ขอให้พี่สาวเข้าใจ ข้าคนนี้นิสัยเที่ยงตรง มีหนึ่งก็พูดหนึ่ง รูปร่างของพี่สาวเดิมทีก็ดีกว่าอวี้เจียเป็นร้อยเท่าอยู่แล้ว หรือว่าจะให้ข้าพูดขัดกับความรู้สึกว่าดีกว่านางแค่สิบเท่า?! นี่ไม่ทำให้ข้าลำบากใจหรอกหรือ ข้าไม่ถนัดพูดโกหกเลยนะ!” 


 


 


หนิงอวี่ซีแม้จะเป็นสตรีผู้เรียบเฉยดั่งนางเซียน แต่เมื่อถูกเจ้าคนหน้าด้านหน้าทนคนนี้พัวพัน ส่งระเบิดความหวานมาให้หลายลูก ก็กลับอดใจเต้นรัวไม่ได้ 


 


 


เหลวไหล! รูปร่างของอวี้เจียผู้นั้นก็ล้ำเลิศของล้ำเลิศเช่นกัน ต่างจากข้าก็แค่ไม่กี่ส่วนเท่านั้น นางหน้าแดงด้วยความอาย ส่งเสียงอืมเบาๆ ขยับมือจนบังเกิดประกายแสงวูบหนึ่ง 


 


 


“อย่า…อย่าลงมือนะ!” หลินหว่านหรงตาไว นางเซียนหนิงมือปรากฏแสงสีเงินวูบหนึ่ง เขาจับก้นตามจิตใต้สำนึก รีบกระโดดหนีไป 


 


 


“ใครใช้ให้เจ้าพูดจาบ้าบอเหล่านี้!” หนิงอวี่ซีมองค้อนเขาด้วยโทสะบางๆ บนดวงหน้ากระจ่างใสคล้ายผัดชาด “ศิษย์น้องอันพูดถูกต้อง กับคนพาลเช่นเจ้าต้องใช้ไม้แข็งก่อนถึงจะควบคุมได้!” 


 


 


“พี่สาวจิ้งจอกพูดเช่นนี้จริงหรือ?” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง ตบมือหัวเราะทันที “ถูกต้องยิ่งนักๆ แข็งก่อนแล้วค่อยอ่อน ข้าใช้วิธีแบบนี้เช่นกัน นี่คือขั้นตอนตามปกติ ทุกคนต่างไม่อาจหนีพ้น!” 


 


 


เห็นเขาหัวเราะหน้าชื่นตาบาน นางเซียนก็บังเกิดลางสังหรณ์ไม่รู้ว่าโจรน้อยคนนี้จะเล่นพิเรนทร์อะไรอีก เพียงแต่หากให้นางเลียนแบบศิษย์น้องอันลงมือสะกดเขาเช่นนั้น ในใจกลับอ่อนยวบ ไม่ยินดียิ่งนัก 


 


 


“เจ้านี่นะ” หนิงอวี่ซีกุมมือเขา ความอ่อนโยนปรากฏให้เห็นในดวงตารางๆ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ความรู้สึกสารพัดสารพัน “…ก็เอาแต่พูดเรื่องจริงจังให้เป็นเรื่องชั่วร้าย แล้วก็ทำให้ชั่วร้ายให้กลายเป็นเรื่องจริงจัง! ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ บนโลกนี้มีแค่เจ้าคนเดียว นี่คือการลงโทษจากสวรรค์ที่ข้าไม่ยืนหยัดกับการบำเพ็ญเพียร ต้องให้ข้าเข้าสู่วัฏสงสารทุกภพทุกชาติ รับทัณฑ์ทรมานอันโหดร้ายจากเจ้า! บนโลกมนุษย์ยังมีความทุกข์ที่ยิ่งกว่านี้อีกหรือ?” 


 


 


นางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกอันเปี่ยมล้น ปรางแก้มดั่งไฟเผา ทว่าสองตากลับสุกใส อ่อนโยนล้นเหลือดั่งวารี หลินหว่านหรงฟังแล้วก็ใจอ่อนยวบ ไม้อ่อนของพี่สาวเทพเซียนนี้ยังใช้งานได้ดีกว่า สูงส่งยิ่งกว่าการบ้าอำนาจและใช้ไม้แข็งของนางจิ้งจอกอันเสียอีก กลับทำให้ข้าไม่อาจเกิดความคิดโต้แย้งแม้แต่น้อย พวกนางศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคน คนหนึ่งอ่อนคนหนึ่งแข็ง กุมชีวิตข้าแล้วจริงๆ  


 


 


“โจรน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าชอบสิ่งใดบนตัวเจ้ามากที่สุด?” นางเซียนก้มหน้าลง พูดเสียงเบาและอ่อนโยน เมื่อพูดถึงคำว่าชอบใบหน้าก็เหมือนแสงอรุณ ดวงตาคล้ายยินดีคล้ายเอียงอาย 


 


 


ชอบสิ่งใดบนตัวข้า? หลินหว่านหรงกะพริบตา รีบมองประเมินร่างกาย จากบนลงล่าง จากนั้นก็จากล่างขึ้นบน มองไปมองมาตาก็ลาย ส่วนที่โดดเด่นมากที่สุดบนตัวข้าก็น่าจะมีแค่ตรงนั้น! เพียงแต่นางเซียนรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีข้อดีอันแสนจะโดดเด่นนี้? 


 


 


“พี่สาว เรื่องนี้ข้ากระดากใจที่จะพูดออกมาจริงๆ นะ!” เขาก้มหน้าลง กล่าวด้วยท่าทางเหนียมอาย 


 


 


“เช่นนั้นข้าพูดก็แล้วกัน” หนิงอวี่ซีผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งที่ข้าชอบมากที่สุดก็คือความจริงใจของเจ้านั่นเอง” 


 


 


ที่แท้ก็เรื่องนี้! หลินหว่านหรงก้มหน้าลงด้วยความละอายใจจริงนัก นางเซียนจับมือเขา ริมฝีปากสีชาดขยับเล็กน้อย “อันที่จริงนับตั้งแต่รู้จักกับเจ้ามา ข้ารู้สึกมาตลอดว่าเจ้าเป็นบุรุษที่มีความจริงใจมากที่สุดในโลก แม้เจ้าจะปลิ้นปล้อน เจ้าเล่ห์ ละโมบ บ้ากาม หน้าตาก็ไม่ได้นับว่าหล่อเหลา…” 


 


 


“พี่สาว เหตุใดท่านถึงชอบพูดย้อนกลับมานะ? คราวนี้ก็ดีเลย ข้อดีของข้าถูกเปิดโปงออกมาจนหมดสิ้นแล้ว” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน 


 


 


หนิงอวี่ซียิ่งรู้สึกอบอุ่นใจ แม้วันๆ โจรน้อยจะเอาแต่สรวลเสเฮฮาไม่จริงจัง ถึงกระนั้นกลับมีหนทางเปลี่ยนความหนักอึ้งให้กลายเป็นผ่อนคลายได้ แม้แต่การพูดจาไม่ดีสักสองสามประโยค เขาก็ทำให้มันกลายเป็นเรื่องดีได้ ใช้จิตใจเช่นนี้มาหลอกสตรีให้ดีใจ เขาคือดาวข่มของสตรีอย่างแท้จริง 


 


 


นางเซียนลูบไล้ใบหน้าเขาอย่างแช่มช้า อ่อนโยนดั่งวารี “นิสัยไร้ยางอายของมนุษย์บนโลกเหล่านี้เมื่อมาอยู่บนตัวเจ้าแล้วกลับล้ำค่ามากที่สุด เพราะเจ้าเป็นคนที่จริงใจมากที่สุด ปลิ้นปล้อนบ้ากามแล้วจะทำไม? บนโลกนี้มีสักกี่คนที่ไม่ใช่เช่นนี้? ไม่ต้องปิดบังและเติมแต่ง อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ อยากหัวเราะก็หัวเราะ ความรักกับความแค้นต่างร้อนแรงเช่นกัน ซื่อสัตย์จริงใจ บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่มีจิตใจเช่นเจ้า?” 


 


 


ที่แท้ข้ากลับมีข้อดีมากขนาดนี้จริงด้วย? ดูท่าว่าก่อนหน้านี้ข้าดูถูกตัวเองแล้วจริงๆ วันหลังยังต้องแสดงข้อดีให้มากกว่านี้สักหน่อยถึงจะถูก หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา ก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย 


 


 


“พี่สาว ข้าไม่ได้ดีอย่างที่ท่านพูด…อันที่จริงยังขาดเรื่องการถ่อมตนไปอีกเรื่องหนึ่งนะ!” 


 


 


“ถ่อมตนมากจริงๆ!” นางเซียนหนิงผงกศีรษะ มองค้อนเขาอย่างขบขันหลายครา 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจขึ้นมาทันที “เอ๊ะ พี่สาวเทพเซียน อยู่ดีไม่ว่าดีท่านมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าทำไม หรือว่า…จะหลอกอะไร?!” 


 


 


“หลอกอะไรกันเล่า?!” หนิงอวี่ซีตำหนิเบาๆ “ข้าต้องการเตือนสติเจ้า เรื่องของอวี้เจีย เจ้าห้ามเลอะเลือนเด็ดขาด” 


 


 


“เลอะเลือน?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง พูดด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “เปล่านะ ข้ารู้สึกว่าข้าฉลาดมากเลยนา!” 


 


 


นางเซียนส่งเสียงอืมเบาๆ “ฉลาดอะไรกัน? ก็แค่หลอกลวงตัวเองเท่านั้นเอง เจ้านึกว่าเอาเองว่าวิธีการที่ใช้กับอวี้เจียคือตาต่อตาฟันต่อฟัน เลยรู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเอง หารู้ไม่สังหารศัตรูสามพัน ตนเองสูญเสียแปดร้อยคนเมื่ออยู่ในสถานการณ์ต่างเป็นเหมือนตัวหมาก อวี้เจียผู้นั้นยากจะไถ่ถอนตัวแล้ว หรือว่าเจ้าจะไม่แปดเปื้อนได้?” 


 


 


นางเซียนหนิงสมกับที่มีดวงตาแหลมคมเสียจริง พูดเพียงประโยคเดียวก็ตรงเป้า จุดสำคัญหลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ หลายครั้ง ฝืนพูดออกมาว่า “นี่ก็…ลองดูก็รู้แล้ว!” 


 


 


หนิงอวี่ซีเหล่มองเขาหลายครั้ง “นี่ยังต้องลองอีกหรือ?! จนถึงวันนี้ข้าถึงเข้าใจความลำบากและความพากเพียรพยายามของศิษย์น้องอันแล้ว! หากเอ่ยถึงสายตาอันลึกซึ้งกว้างไกล ความฉลาดปราดเปรื่องในการมองคน ไม่มีผู้ใดเทียบนางได้” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบพูดขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงเกี่ยวกับพี่สาวจิ้งจอกอีกแล้ว? นางเซียน ท่านพูดให้ชัดเจนสักหน่อยได้หรือไม่ ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ” 


 


 


นางเซียนส่ายหน้าเบาๆ “นี่มีอะไรให้เข้าใจยากกัน…ไม่ว่าอวี้เจียผู้นั้นจะขัดขืนเช่นไร ชะตาของนางก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ตอนนี้เจ้าจะปล่อยนางไปก็ไม่มีอะไรให้กังวล อีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้นางก็ไม่อาจหนีรอดการบุปผาโรยราหยกแหลกสลายได้อยู่ดี หากให้นางไปปรากฏตัวที่งานแข่งขันชิงแพะก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงแต่วิธีการต่างกันก็เท่านั้นเอง” 


 


 


“วิธีการอะไร?” หลินหว่านหรงถามด้วยความตกใจ 


 


 


“เจ้าอย่าเพิ่งถามก่อน” หนิงอวี่ซีถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะต้องการแก้ความกลัดกลุ้มใจให้เจ้า ชีวิตของอวี้เจียผู้นั้นไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือนางมาตั้งนานแล้ว ยังจะมีจุดจบอะไรที่ดีไปกว่านี้อีก? เหตุใดเจ้าถึงระมัดระวังนาง ทั้งยังมัดแขนขานางอีกด้วย?” 


 


 


นางเซียนหนิงพูดชัดเจนมากแล้ว ไม่ว่าจะมองจากด้านใด อวี้เจียล้วนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ เมื่อดูจากการลุ่มหลงสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ของถัวสั่วจั่ว หากอวี้เจียปรากฏตัวอยู่ที่งานแข่งขันชิงแพะ ถูสั่วจั่วย่อมไปแน่นอน เมื่อมีอ๋องขวาเข้าร่วมงานแข่งขันชิงแพะ บวกกับสาวน้อยผู้งดงามมากที่สุดบนทุ่งหญ้า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าข่านทูเจวี๋ยจะปรากฏตัวด้วย นี่ช่างเป็นโอกาสอันดีอันหาได้ยากยิ่งเสียจริง 


 


 


หลินหว่านหรงครุ่นคิดเล็กน้อย บีบกำปั้นทันที “ได้ เช่นนั้นข้าจะไปเดินเที่ยวงานแข่งขันชิงแพะดู” 


 


 


นางเซียนส่งเสียงอืมเบาๆ ยิ้มอย่างเงียบงัน ดวงหน้าอันงดงามกลับเผยความเหนื่อยล้าออกมาหลายส่วน  

 

 


ตอนที่ 587 - 2 ลงโทษ?

 

ด้วยวรยุทธ์ของนางเซียนหนิง สิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวนางถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก หลินหว่านหรงตกใจยกใหญ่ รีบจับมืออันอ่อนนุ่มของนางไว้ “พี่สาวเทพเซียน ท่านเป็นอะไรไป?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีค่อยๆ ซบใบหน้าอันงามล้ำเลิศนั้นลงบนบ่าเขา กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “ข้าบำเพ็ญเพียรมาตั้งแต่เด็ก ไม่ชอบเรื่องหลอกลวงกันไปมาเหล่านี้ การขึ้นเหนือครั้งนี้กลับทำลายหลักการและกฎเกณฑ์ตั้งมากมาย ทั้งยังเล่นลูกไม้กับอวี้เจียอีก เกรงว่าสวรรค์คงต้องลงโทษข้า” 


 


 


“ไม่มีทาง” หลินหว่านหรงหัวใจบีบรัด รีบกอดนางเข้าสู่อ้อมอก “ข้าคนนี้ถึงจะเลวร้ายสุดๆ ต่อให้สวรรค์จะลงโทษ นั่นก็ต้องลงโทษข้า ไม่เกี่ยวกับพี่สาว” 


 


 


“เจ้าคนนี้นี่ ชอบพูดถึงตัวเองในทางที่ไม่ดีอยู่เสมอ” หนิงอวี่ซีซบอยู่ในอ้อมอกเขาแน่น ยิ้มอย่างอ่อนโยนคราหนึ่ง “อันที่จริง เจ้าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมมากที่สุดในแผ่นดิน…โจรน้อย จู่ๆ ข้าก็คิดถึงชุดเจ้าสาวที่อยู่ในถ้ำน้ำแข็งบนเทียนซานขึ้นมา” 


 


 


พี่สาวนางเซียนเป็นอะไรกันแน่? หลินหว่านหรงพลันบังเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลอย่างหนึ่งขึ้นมาภายในใจ “ได้ๆ รอให้รบเสร็จแล้วพวกเราลองกลับไปดู ข้ายังต้องกลับไปที่ตระกูลเซียว ลงมือทำให้ท่านด้วยตัวเองชุดหนึ่งด้วยนะ” 


 


 


หนิงอวี่ซีคลี่ยิ้ม ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อ “ข้ารู้ หากมีวันนั้นเจ้าจะสวมให้ข้าด้วยตัวเองหรือไม่? ไม่ขอปิดบังเจ้า ข้าไม่เคยสวมชุดที่งดงามเช่นนั้นมาก่อนเลย” 


 


 


“แน่นอน แน่นอน ท่านก็รู้ ข้าชอบสวมอาภรณ์ให้พี่สาวมากที่สุดแล้ว” 


 


 


“ไม่รู้จักอาย!” นางเซียนยิ้มอย่างเอียงอาย แนบใบหน้าอันร้อนลวกอยู่บนหน้าอกเขาอย่างแนบแน่น “โจรน้อย ข้าขอพูดความในใจสักประโยคหนึ่ง เจ้าห้ามหัวเราะเยาะข้านะ” 


 


 


“ท่านพูด ท่านพูดเถิด” หลินหว่านหรงจับมือนาง สัมผัสการเต้นชีพจรอันแผ่วเบาของนาง มีกระแสอบอุ่นสายหนึ่งเอ่อท้นขึ้นมาภายในใจ  


 


 


หนิงอวี่ซีหลับตาทั้งสองข้างลง กล่าวอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นว่า “…โจรน้อย ได้อยู่กับเจ้า ต่อให้ต้องผิดกฎสวรรค์ ข้าก็ยอม” 


 


 


“พี่สาว…” มองดูดวงหน้าอันงามพิลาสล้ำเลิศบริสุทธิ์สูงส่งนั้นของนาง หลินหว่านหรงก็สะอื้นอย่างอับจนคำพูด พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว  


 


 


“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่!” นางเซียนยิ้มพลางเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาเขา ขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างอ่อนโยน “คืนนี้ไม่นั่งสมาธิแล้ว เจ้ากอดข้า ห้ามปล่อย” 


 


 


“ได้ ข้าจะกอดท่านทั้งชาติ” ในใจบังเกิดความอ่อนโยนดั่งวารี เขาโอบร่างอันอ่อนนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนางเซียนไว้ในอ้อมกอดแน่นจนแทบจะบดเบียดเข้าไปในร่าง สวรรค์ลงโทษนางเซียน?! ข้าจะลงโทษโจรเฒ่าสวรรค์! 


 


 


อยู่ห่างจากอ๋องขวาทูเจวี๋ยแค่ยี่สิบกว่าจั้ง ค้างคืนด้วยความอกสั่นขวัญแขวนเช่นนี้ไปคืนหนึ่ง เช้าวันต่อมาก็มีมาสายสืบกลับมารายงาน 


 


 


ฟ้าเพิ่งสว่าง ถูสั่วจั่วกับเจ้าคังหนิงก็จากไปแล้ว รอยกีบเท้าม้าลึกซึ่งอยู่บริเวณน้ำตื้นริมทะเลสาบที่พวกมันพักค้างแรมมุ่งตรงออกไปยังสถานที่อันห่างไกล ครานี้หลินหว่านหรงถึงวางใจได้เสียที 


 


 


เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่อไปจากทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ ทุ่งหญ้าแผ่ขยายกว้างไกลเขียวขจีมากขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งผืนพรมซึ่งเชื่อมต่อจนถึงขอบฟ้าผืนหนึ่ง บางทีอาจเพราะทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่กำลังจะออกเดินทางไปรบที่เฮ่อหลานซาน คนเลี้ยงสัตว์บนทุ่งหญ้าจึงมีน้อยยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกระโจมสีขาวแล้ว 


 


 


“นี่ชาวทูเจวี๋ยเกณฑ์ทหารกันแล้วขอรับ” หูปู้กุยชี้หญ้าที่อยู่ใต้เท้า บอกกล่าวหลินหว่านหรง นั่นคือร่องรอยที่เคยตั้งกระโจมเรียงราย ไม่นานก่อนหน้านี้ บริเวณนี้น่าจะเป็นดินแดนชาวทูเจวี๋ยที่เคยอยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ส่วนการหายสาบสูญของพวกมันในตอนนี้ย่อมเป็นผลมาจากการเกณฑ์ทหารของลู่ตงจ้าน 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะส่งเสียงอืม เมื่อดูจากสถานการณ์แต่ละด้าน เฮ่อหลานซานทางนั้นน่าจะมีความเคลื่อนไหวแล้วจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นต้าหัวที่ได้เปรียบอีกด้วย มิเช่นนั้นลู่ตงจ้านไม่มีทางรีบร้อนเรียกระดมพลทหารม้าจำนวนหนึ่งแสนที่เค่อจือเอ่อร์แน่ เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาอยู่ใจกลางท้องทุ่งหญ้า ไม่รู้ว่าสวีจื่อฉิงทางนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ 


 


 


“พี่หู พวกของเสี่ยวสวี่มีข่าวบ้างหรือไม่?” หลินหว่านหรงขยี้ตา ถามด้วยความง่วงงุน เมื่อคืนตระกองกอดนางเซียนเข้านอน แม้จะจะภาพอันงดงามน่าลุ่มหลงถึงกระนั้นกลับมีความในใจและความกังวลมากมาย ไม่อาจข่มตาหลับสนิทได้เลย 


 


 


สวี่เจิ้นกับหน่วยลาดตระเวนทั้งสองออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก่อนจะได้รับรายงานจากพวกเขา ย่อมไม่มีวันเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามแน่นอน นี่นคือมติร่วมกันที่มีตั้งแต่แรกของทุกคน วันนี้เพิ่งเดินทางได้ห้าสิบกว่าลี้ เมื่อมาอยู่กับทหารม้าซึ่งเดินทางรวดเร็วปานสายลมเหล่านี้แล้วก็แทบเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้ แม้จะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็อยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่สองร้อยกว่าลี้ ชนเผ่านอกด่านได้กลิ่นทหารม้าต้าหัวได้ทุกเมื่อ อันตรายคอยคืบคลานมาทีละก้าวเช่นกัน 


 


 


“ยังไม่มีข่าวขอรับ” หูปู้กุยส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา จำนวนคนแค่ไม่กี่สิบคน สืบหาร่องรอยของทัพใหญ่หนึ่งแสนในรังของชาวทูเจวี๋ย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนการร่ายรำอยู่บนปลายดาบ 


 


 


หลินหว่านหรงย่ำก้าวอย่างแช่มช้าไปหลายก้าว ในช่วงเวาที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือความอดทน ความร้อนรนกระวนกระวายอันใดก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ขอเพียงทัพใหญ่ของลู่ตงจ้านออกเดินทางไปห้าร้อยลี้ ทหารม้าห้าพันของเขาก็จะกระโดดโลดเต้นอยู่ในใจกลางดินแดนของชนเผ่านอกด่านได้แล้ว 


 


 


ทหารม้านายหนึ่งควบห้อตะบึงมาถึง กระซิบกระซาบข้างใบหูของหูปู้กุยเบาๆ อยู่หลายประโยค เหล่าหูผงกศีรษะ “ท่านแม่ทัพ การแข่งขันชิงแพะที่ท่านต้องการให้ข้าสืบมีข่าวแล้วขอรับ” 


 


 


“อ้อ?!” หลินหว่านหรงรับเรียบๆ คราหนึ่ง เมื่อคืนสนทนากับนางเซียน ทำให้ใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นอริต่องานแข่งขันชิงแพะนี้อย่างน่าประหลาด กลับเป็นเกาฉิวที่บังเกิดความคึกคักอักโขขึ้นมาทันที “เหล่าหู ว่ามาเร็ว ว่ามาเร็ว ชิงอย่างไร?!” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะแล้วตอบว่า “งานแข่งขันชิงแพะในปีนีจะจัดขึ้นที่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์อีกสามวันให้หลัง ทุกคนบนทุ่งหญ้าต่างรู้กันทั่ว ดินแดนของชนเผ่านอกด่านแต่ละแห่งต่างส่งผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุด รวมทั้งสาวน้อยผู้งดงามมากที่สุดอีกด้วย กำลังเดินทางอย่างหามรุ่งหามค่ำรีบรุดมายังเค่อจือเอ่อร์ ถึงเวลาก็จะมีอะไรดีๆ ให้ดูแล้วล่ะ” 


 


 


“ผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุด?” เกาฉิวเบิกตากว้าง ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ตอนนี้คนจำนวนหลายแสนของพวกมันกำลังรบกับพวกเราที่แนวหน้า แล้วยังมีผู้กล้าที่เก่งกล้าสามารถมากที่สุดมาจากที่ใดกันอีก?” 


 


 


เหล่าหูตบบ่าเกาฉิว ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “น้องเกา นี่เจ้าเข้าใจผิดแล้ว การแข่งขันชิงแพะของชาวทูเจวี๋ยหาใช่การประลองยุทธ์เลือกคู่ที่แสนจะเรียบง่ายเช่นนั้น มันเป็นงานที่ใช้แย่งชิงเกียรติยศ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนน้อยใหญ่ของทูเจวี๋ยเช่นกัน สำหรับแต่ละดินแดน การแข่งขันชิงแพะนี้ยังสำคัญยิ่งกว่าการรบที่แนวหน้าเสียด้วยซ้ำ” 


 


 


อ้อ? เหล่าหูกล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เกาฉิวที่ฉงนสงสัย แม้แต่หลินหว่านหรงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน 


 


 


“แต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านมีขนาดแตกต่างกัน เพื่อการขยับขยายและความอยู่รอด พวกมันจำเป็นต้องหยิบยืมวิธีวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ การเชื่อมดินแดนเพื่อทำให้ตนเองแข็งแกร่ง หากบอกว่าการรบคือสัญลักษณ์ของแคว้นทูเจวี๋ย งานแข่งขันชิงแพะนี้ก็คือสัญลักษณ์ของกำลังที่แท้จริงของแต่ละดินแดน ดินแดนที่ได้รับชัยชนะในงานแข่งขันชิงแพะ ดินแดนเล็กๆ แต่ละแห่งจะต้องเข้าหา แย่งชิงวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์ ทำให้ดินแดนนั้นขยายใหญ่แต่เพียงตระกูลเดียว ดินแดนทั้งสองตระกูลของถูสั่วจั่วกับปาเต๋อหลู่ต่างขยับขยายและแข็งแกร่งเช่นนี้ พูดได้ว่าชนเผ่านอกด่านที่รบอยู่แนวหน้ายังอนุญาตให้มีคนปัญญาทึบโผล่มาไม่กี่คนได้บ้าง แต่ผู้กล้าที่เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะกลับไม่อาจมีพวกอ่อนแอตาขาวได้ เพราะพวกมันไม่เพียงจะสู้รบเพื่อเกียรติยศของดินแดน แต่ยิ่งเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของดินแดนตนอีกด้วย ลองคิดดูก็ได้ น้องเกา หากเจ้าเป็นผู้นำดินแดน เจ้าจะส่งผู้กล้าที่ร้ายกาจที่สุดไปที่ใดกันล่ะ?” 


 


 


“ย่อมต้องชิงแพะ” เหล่าเกาตอบโดยไม่ต้องคิด “แนวหน้ารบพ่ายแพ้ นั่นคือความรับผิดชอบของทุกคน พอไกล่เกลี่ยกล้อมแกล้มให้ผ่านไปได้ แต่หากดินแดนพ่ายแพ้ นั่นคือความรับผิดชอบของข้า แนวหน้ามีผู้กล้ามากขนาดนั้น ไม่มีทางขาดคนอย่างข้าไปสักคนสองคนหรอก” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพลางผงกศีรษะ “ก็คือหลักการนี้นี่ล่ะ เช่นเดียวกัน สาวน้อยชนเผ่านอกด่านที่ส่งออกไปเลือกเขยขวัญ ก็เป็นสตรีที่งดงามมากที่สุดในตระกูลเช่นกัน เพราะพวกนางแบกรับภาระหนักในการในการวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์กับดินแดนใหญ่ สาวงามยิ่งงดงาม ผู้กล้ายิ่งกล้าหาญ แต่ละปีล้วนมีหลายดินแดนที่ลงมือลงไม้ขั้นรุนแรงเพราะเหตุนี้ ดังนั้นน้องเกาไม่ต้องห่วงว่าการแข่งขันชิงแพะจะไม่สนุกสนาน เกรงว่าพอถึงเวลาเจ้าจะดูเสียจนตาลายมากกว่า” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ หลินหว่านหรงกระจ่างแจ้งในทันที นี่ก็คืองานสังคมงานหนึ่งนั่นเอง 


 


 


ขณะที่กำลังสนทนา ทันใดนั้น ณ สถานที่อันห่างไกลก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังแจ่มชัดแว่วเข้ามา เกาฉิวเหล่มองอยู่หลายครั้ง กล่าวด้วยความยินดีออกมาว่า “ข้างหน้ามีข่าวแล้ว คราวนี้ดีเลย ในที่สุดพวกเราก็จะได้บุกเข่นฆ่าเข้าราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว”  

 

 


ตอนที่ 588 - 1 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า

 

นายทหารที่มาร่างสวมชุดชนเผ่านอกด่านตัวหลวมกว้าง ควบม้าดุจโผบิน ห้อตะบึงมุ่งตรงมายังพวกของหูปู้กุย หลินหว่านหรงมองเห็นอย่างชัดเจน นี่คือหนึ่งในหน่วยลาดตระเวนที่ติดตามสวี่เจิ้นไปสืบความเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่าน เพื่อความปลอดภัย คนจำนวนยี่สิบสามสิบคนนี้จึงปลอมแปลงแต่งกายเป็นชาวทูเจวี๋ยทั้งหมด 


 


 


ทหารผู้นั้นมาถึงเบื้องหน้าหลินหว่านหรง รีบพลิกตัวลงจากม้า ไม่สนใจที่จะเช็ดฝุ่นดินที่อยู่บนใบหน้าประสานมือคารวะด้วยความเคารพนบนอบพร้อมพูดว่า “เรียนท่านแม่ทัพ เบื้องหน้ามีรายงานด่วนขอรับ” 


 


 


“พูด!” หลินหว่านหรงโบกมือพูดเสียงทุ้มหนัก 


 


 


“ท่านแม่ทัพสวี่สั่งการให้ข้าน้อยกลับมารายงาน วันนี้ยามเช้าตรู่ ชาวทูเจวี๋ยซึ่งอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ โดยมีทหารชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสน หญ้าเสบียงหนึ่งหมื่นคัน นำทัพโดยลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ย กำลังเคลื่อนที่ลงใต้อย่างรวดเร็วขอรับ” 


 


 


คราวนี้ลู่ตงจ้านรู้จักฉลาดแล้ว ไม่ทำพลาดครั้งใหญ่เช่นปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออีก หญ้าเสบียงเหล่านี้มีทหารชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสนนายคุมส่งด้วยตนเอง ย่อมไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน หลินหว่านหรงผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ชาวทูเจวี๋ยหนึ่งแสนนี้ ตอนนี้เดินทางถึงที่ใดแล้ว?” 


 


 


หน่วยลาดตระเวนรีบตอบ “ขณะที่ท่านแม่ทัพสวี่สั่งให้ข้าน้อยกลับมารายงาน ชาวทูเจวี๋ยเดินทางได้ร้อยลี้แล้วขอรับ” 


 


 


หน่วยลาดตระเวนย้อนกลับมาจำเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม เมื่อคำนวณเช่นนี้ ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนนั้นยามนี้น่าจะอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์ได้เกือบสองร้อยลี้แล้ว ความเร็วในการมุ่งหน้าของลู่ตงจ้านช่างรวดเร็วเสียจริง 


 


 


“ลู่ตงจ้านเหลือทหารม้าไว้ที่เค่อจือเอ่อร์เท่าใด?” หลินหว่านหรงถามเสียงทุ้มหนัก คำถามนี้เป้นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด และเป็นสิ่งที่กำชับสวี่เจิ้นก่อนจากไปครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องสืบให้แน่ชัด 


 


 


นายทหารผู้นั้นผงกศีรษะ “ตามการคาดคะเนของพวกเรา ลู่ตงจ้านเลือกเฟ้นทหารม้าจำนวนหลายหมื่นนายให้รั้งอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์ บวกกับกองกำลังรักษาเมืองที่มีอยู่เดิมของเค่อจือเอ่อร์ อย่างน้อยก็มีสองหมื่นนายขอรับ” 


 


 


เป็นอย่างที่หูปู้กุยคาดไว้จริงด้วย ลู่ตงจ้านทิ้งคนไว้สองหมื่นจริงๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้วิ่งห้อตะบึงอยู่บนทุ่งหญ้าก็แทบจะเหมือนลมสลาตันอันไร้เทียมทานหอบหนึ่ง ณ ส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ดินแดนใหญ่เบื้องหลังชาวทูเจวี๋ย ลู่ตงจ้านกลับเตรียมกองกำลังอย่างเต็มที่ จะเห็นความละเอียดรอบคอบระมัดระวังของมันได้ 


 


 


“พี่หู ท่านเห็นเป็นเช่นไร” หลินหว่านหรงมองเหล่าหูแวบหนึ่งพร้อมไต่ถามความเห็นของเขา 


 


 


หูปู้กุยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ผงกศีรษะอย่างแช่มช้า “ทหารชั้นยอดจำนวนสองแสนเฝ้ารักษาเค่อจือเอ่อร์ถือว่าเพียงพอแล้วจริงๆ หากฝืนบุกโจมตีราชธานีทูเจวี๋ย อย่างน้อยก็ต้องมีสี่ถึงห้าหมื่นคน และบนทุ่งหญ้าจะมีผู้ใดที่มีกำลังกล้าแกร่งถึงเพียงนี้? ลู่ตงจ้านวางแผนคำนวณไว้อย่างล้ำลึกจริงขอรับ!” 


 


 


ความปราดเปรื่องของราชครูทูเจวี๋ยย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน หากต้องการบุกยึดเค่อจือเอ่อร์นั้นไม่อาจใช้กำลังโจมตี ทำได้เพียงใช้สติปัญญาเท่านั้น 


 


 


“โชคยังดีที่มีงานแข่งขันชิงแพะ ถือว่าพวกเรามาถูกเวลาเช่นกัน” เกาฉิวกล่าวพลางหัวเราะร่าอยู่ด้านข้าง 


 


 


ใช่แล้วล่ะ ยังมีงานแข่งขันชิงแพะอยู่ หลินหว่านหรงทอดถอนคราหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ใช้ความไม่เปลี่ยนแปลงรับความเปลี่ยนแปลงจะดีกว่า เมื่อดูจากความเร็วในการเคลื่อนทัพของชนเผ่านอกด่านตอนนี้ พรุ่งนี้เที่ยงพวกมันก็น่าจะออกห่างจากเค่อจือเอ่อร์สามร้อยลี้แล้ว ก่อนพรุ่งนี้เที่ยงสวี่เจิ้นต้องรายงานอีกครั้งหนึ่ง ถึงเวลาหากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน พวกเราจะเพิ่มความเร็วในการเดิน มุ่งไปยังเค่อจือเอ่อร์ได้ทันที” 


 


 


“ดี!” ทุกคนส่งเสียงตะโกนดังลั่นด้วยความเชื่อมั่นเปี่ยมล้น เมื่อได้ยินว่าลู่ตงจ้านนำทัพลงใต้ไปแล้ว ในที่สุดก้อนหินขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ในใจก็ร่วงหล่น ทุกคนต่างบังเกิดความคึกคัก ตัดผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาหิมะ เดินทางรอนแรมนับพันลี้ก็เพื่อช่วงเวลานี้นี่เอง 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยยังมีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้รายงานขอรับ” เมื่อทุกคนสลายตัวไปแล้ว หูปู้กุยก็ดึงตัวหลินหว่านหรงเอาไว้พร้อมพูดเสียงเบา 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเขา หลินหว่านหรงจึงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หูมีเรื่องอะไรก็ว่ามาตามตรง เหตุใดต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย” 


 


 


เหล่าหูหัวเราะหลายครา “…เกี่ยวกับอวี้เจียผู้นั้นขอรับ!” 


 


 


“อวี้เจีย? อวี้เจียเป็นอะไรอีก” หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


หูปู้กุยถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพ หลังจากท่านสนทนากับนางเมื่อวาน แม่หนูคนนี้ก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่พูดจาไม่ยิ้มแย้ม แม้แต่น้ำและอาหารแห้งก็ไม่ดื่มกิน นี่ก็ตั้งสิบสองชั่วยามแล้วนะขอรับ!” 


 


 


“อดอาหาร?!” ดวงตาของหลินหว่านหรงกระจ่างวูบ คิดถึงสภาพอันอิดโรยของนางเซียนเมื่อคืนก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เขาแค่นเสียงพูดออกมาด้วยโทสะ “หากนางอยากอดอาหาร เช่นนั้นก็ให้นางทำไปเถอะ ขอไม่มีเวลาไปปรนนิบัตินาง” 


 


 


หูปู้กุยกล่าวด้วยความระมัดระวัง “สตรีชนเผ่านอกด่านคนนี้เป็นเชลยของพวกเรา และเป็นศัตรูของพวกเราด้วย เดิมทีข้าน้อยก็ไม่อยากจะยุ่ง เพียงแต่หากต้องการบุกโจมตียึดราชธานีทูเจวี๋ย ไม่ใช้นางก็คงไม่ได้ ท่านแม่ทัพอย่าลืมสิว่างานแข่งขันชิงแพะก็จะจัดขึ้นสามวันหลังจากนี้แล้ว ตัวละครเด่นนั้นก็คืออวี้เจีย หากถึงเวลานางหายใจรวยริน พวกเราไม่ใช่เสียงานตั้งแต่ไม่เริ่มหรอกหรือขอรับ?!” 


 


 


ไม่ว่าหลินหว่านหรงจะยอมรับหรือไม่ สิ่งที่เหล่าหูพูดมานั้นก็มีเหตุผลจริง อวี้เจียตอนนี้มีความสำคัญต่อการบุกโจมตีเค่อจือเอ่อร์ของพวกเขามาก หากตอนนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา นั่นถึงเป็นเรื่องได้ไม่คุ้มเสีย 


 


 


“พี่หู ท่านอยากให้ข้าทำอะไรก็ว่ามาตามตรงเถอะ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


เหล่าหูหัวเราะแห้งๆ หลายครั้ง พูดกดเสียงต่ำออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ขอเชิญท่านเสียสละเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยจะดีกว่านะขอรับ…ข้าว่าอวี้เจียผู้นั้นจะต้องฟังท่านแน่ ขอให้ท่านไปคุยกับนางสักหน่อย ถึงแม้นางจะอยากอดอาหาร แต่ก็ต้องรอให้พวกเราบุกยึดเค่อจือเอ่อร์แล้วค่อยทำนะขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง เสียสละเล็กๆ น้อยๆ? พูดจาเสียน่าฟัง นี่มันแค่การเสียสละเล็กๆ น้อยๆ หรือ?! เห็นชัดๆ ว่าพวกเจ้าจะเสียสละความบริสุทธิ์ของข้าเพื่อใช้แผนชายงามนี่นา! 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ น้องหลิน” เจ้าเหล่าเกาคนนี้เห็นได้ชัดว่าได้รับการบอกเป็นนัยจากหูปู้กุยมาตั้งแต่แรก พูดพัดโหมกระพืออยู่ข้างกาย “พวกเราต่างรู้ว่าเจ้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม ไม่เคยกระทำเรื่องเลวร้ายผิดทำนองคลองธรรมมาก่อน เพียงแต่ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เพื่อต้าหัว เพื่อกุนซือสวี เพื่อพี่น้องนับไม่ถ้วนของพวกเรา ขอเชิญน้องหลินกระทำเพื่อสถานการณ์โดยรวม แสดงความรักและเอาใจใส่ต่ออวี้เจีย…อ้อ ไม่ใช่ แค่ปลอบใจ ขอเพียงผ่านสามวันนี้ไปได้อะไรก็ง่ายแล้ว เจ้าจงวางใจอย่างเต็มที่ เรื่องนี้มีแค่ข้ากับเหล่าหูสองคนที่รู้ ข้าเกาฉิวขอรับรองด้วยความเป็นคน พวกเราจะไม่บอกใครเด็ดขาด” 


 


 


“ใช่ๆ ไม่บอกใครเด็ดขาดขอรับ” หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมมาก 


 


 


เจ้าตัวลามกสองตัวนี้นี่! หลินหว่านหรงลอบแค่นเสียง ช่วงเวลาสำคัญคิดแต่จะเสียสละความบริสุทธิ์ของข้า เห็นข้าเป็นคนใจง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ?! เพียงแต่หากอวี้เจียอดอาหารขึ้นมา จะเป็นเรื่องที่จัดการยากมากจริงๆ ไม่รู้ว่าเจ้าอ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วนั่นพอเห็นอวี้เจียที่หายใจรวยรินจะชิงแพะด้วยความคึกคักดีอกดีใจหรือว่ามาสู้ศึกตัดสินกับข้าด้วยเพลิงโทสะลุกโชนกันแน่? ลำบากใจจริงๆ เลยนะ! 


 


 


เหล่าเกากะพริบตาปริบๆ ประชิดเบื้องหน้าเขา “น้องหลิน พิจารณาแล้วเป็นเช่นไร? ยามนี้เป็นช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขันความหวังของเหล่าพี่น้องอยู่ที่ตัวเจ้าทั้งหมดแล้ว” 


 


 


“พูดไร้สาระให้น้อยลงหน่อยเถอะ” หลินหว่านหรงใช้เท้าถีบก้นเขา หัวเราะพร้อมพูดว่า “เรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ก็ให้ข้าไปทำได้? ช่างผิดต่อมโนธรรมของพวกท่านเสียจริงนะ!” 


 


 


เกาฉิวส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “อวี้เจียชอบสนทนากับน้องหลิน นี่เจ้าไปโน้มน้าวนาง ไปช่วยชีวิตนาง แล้วนี่จะเรียกว่าไร้คุณธรรมได้อีกหรือ?! หรือว่าพอเห็นนางอดอาหารแล้วพวกเราต้องเห็นความตายแล้วไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้นคือมีคุณธรรม?…เหล่าหู เจ้าว่าใช่หรือไม่?” 


 


 


ทั้งสองคนยักคิ้วหลิ่วตา ส่งสายตาให้กัน หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตายไม่ได้เด็ดขาด นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย เขาโบกมือด้วยความจนใจ “นังหนูนั่นอยู่ที่ใด?!” 


 


 


“อยู่นี่ๆ ท่านแม่ทัพ เชิญตามข้ามาขอรับ!” หูปู้กุยยินดียิ่งนัก รีบนำทางอยู่ข้างหน้า 


 


 


พูดตามความจริง เมื่อได้เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม้แต่หลินหว่านหรงเองก็ต้องตกใจสะดุ้งโหยง นี่ยังใช่สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ดวงตาสุกใสฟันขาวสะอาด งดงามดั่งดวงจันทร์แรกขึ้นอีกหรือ?  

 

 


ตอนที่ 588 - 2 ไม่มีทางแพ้แก่เจ้า

 

อวี้เจียถูกเชือกมัดแน่นทั้งร่าง เสื้อคลุมหลวมกว้างยับย่นไปทุกหนแห่ง จมลึกเข้าไปในเนื้อ แขนขาวกระจ่างใสเกิดรอยเลือดเป็นริ้วๆ ริมฝีปากขาวซีดปริแตกปราศจากสีเลือด ดวงหน้าอันงดงามซีดราวกระดาษ นอนล้มอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เรือนร่างอันงดงามยวนเย้าราวกับกิ่งไม้ที่สูญเสียพลังชีวิต พร้อมจะแห้งเ**่ยวโรยราไปได้ทุกเมื่อ 


 


 


“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?!” หลินหว่านหรงตกใจยกใหญ่ ถึงแม้จะอยู่ในทะเลแห่งความตายซึ่งมีสภาพแวดล้อมอันยากลำบากมากที่สุด สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ก็ยังดูมีชีวิตชีวา งดงามน่าลุ่มหลงดังเดิม ทุกการกระทำการยิ้มแย้มต่างเหมือนดวงจันทร์อันงดงามบนท้องนภา เห็นๆ อยู่ว่าเห็นต้นไม้น้อยสีเขียวมรกตงดงามต้นหนึ่ง แล้วเหตุใดภายในช่วงเวลาอันสั้นกลับกลายสภาพเป็นโรยราเช่นนี้ได้?! 


 


 


“ผู้ใดมัดนางจนมีสารรูปเช่นนี้?” หลินหว่านหรงสีหน้าปราศจากความรู้สึก หน้าคล้ำราวกับถ่าน 


 


 


หูปู้กุยอึกอักอยู่หลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดออกมาเบาๆ “ท่านแม่ทัพ นี่เหมือนว่าเมื่อคืนท่านจะเป็นคนมัดด้วยตนเองนะขอรับ ท่านยังพูดอีกว่าหากปราศจากคำสั่งของท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามปลดเชือกให้นางอีกด้วย!” 


 


 


เหมือนจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง หลินหว่านหรงลูบคลำจมูก เมื่อวานเดือดดาลมากเกินไป ไม่สนใจว่าอวี้เจียผู้นี้เป็นสตรี เขาลงมือโดยไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย มัดเชือกนั้นอย่างแน่นหนา สองมือสองแขนไพล่อยู่ด้านหลัง ต่างจมเข้าไปในเนื้อ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ คงสภาพอยู่ท่าเดียวเป็นระยะเวลานาน เลือดลมหมุนเวียนไม่สะดวก ทั้งยังเดินทางไกลอีก อย่าว่าแต่อวี้เจียเลย ต่อให้เป็นบุรุษที่มีร่างกายแข็งแรง ก็เกรงว่าคงทนได้ไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งเดินทางออกมาจากทะเลทรายและภูเขาหิมะ ร่างกายอวี้เจียเดิมทีก็อ่อนแอย่ำแย่อยู่แล้ว เมื่อถูกทรมานเช่นนี้หลายครั้ง ต่อให้เป็นต้นไม้น้อยที่มีพลังชีวิตมากเพียงใดก็ต้องโรยราอย่างเงียบงันเช่นกัน 


 


 


ความกังวลของพวกเหล่าหูสองคนไม่ใช่จะไร้เหตุผล ดูจากสภาพของอวี้เจีย เกรงว่าไม่พ้นสามวัน สาวน้อยคนนี้ก็ต้องแหลกสายไปแล้วจริงๆ  


 


 


“ท่านแม่ทัพ ต้องปลดเชือกให้นางหรือไม่ขอรับ” หูปู้กุยถามด้วยความระมัดระวัง 


 


 


“ไม่ต้องแล้ว!” หลินหว่านหรงโบกมือ แค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดโมโห “มาใช้แผนการเจ้าเล่ห์เพทุบายต่อหน้าข้า นี่คือสิ่งที่นางสมควรจะได้รับ!” 


 


 


หูปู้กุยไม่กล้าเอ่ยวาจา เหล่าเกาส่งสายตาให้เขา ทั้งสองจึงถอยออกไป 


 


 


อวี้เจียนอนสงบนิ่งบนพื้น ไม่ขยับเขยื้อน สองตาหลับสนิท ขนตาเรียวยาวประหนึ่งกิ่งหลิวอันอ่อนนุ่ม ริมฝีปากขาวซีดปริแตกปราศจากสีเลือด สิ่งที่สวมอยู่บนร่างนางคือเสื้อคลุมตัวยาวอันแสนจะอบอุ่นที่เฉี่ยวเฉี่ยวทำขึ้นด้วยตนเอง กลับมีหลายจุดที่ขาดแล้ว เผยให้เห็นผิวพรรณที่ขาวกระจ่างใสประดุจหยก 


 


 


เมื่อยืนอยู่ข้างกายสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้กลับสัมผัสลมหายใจแห่งชีวิตไม่ได้แม้แต่น้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งเมื่อวานยังคงมีชีวิตชีวา ยามนี้เหมือนกลายเป็นก้อนหินอันเย็นเฉียบก้อนหนึ่ง ปราศจากความอบอุ่นแม้แต่น้อย 


 


 


ทะเลแห่งความตาย การถล่มบนเทียนซาน ความทรงจำทั้งมวลปรากฏอยู่เบื้องหน้าทีละฉาก ทีละฉากอีกครั้งราวกับภาพยนตร์ หลินหว่านหรงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าหนักอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาออกมาได้ 


 


 


“หรือว่าท่านแม่ทัพหลินจะหมดหนทาง?” เหล่าหูกับเกาฉิวสองคนหลบอยู่ไกลๆ ซุ่มแอบมองอยู่ในพงหญ้า ครั้นเห็นหลินหว่านหรงเงียบงันไม่พูดไม่จา หูปู้กุยเองก็ตกใจ “นี่จะทำเช่นไร อวี้เจียตายตอนนี้ไม่ได้นะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอให้พวกเราโจมตีเค่อจือเอ่อร์ได้เสียก่อนสิ!” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บความคิดกลับไปเถอะ ฝีมือของน้องหลินเจ้ารู้เท่าไหร่กัน? เขาเคยพลาดด้วยหรือ อย่าเห็นว่าเขาไม่พูด แต่สายตานั้นยังร้ายกาจกว่าถ้อยคำหวานนับหมื่นเสียอีก เหล่าหู เจ้าค่อยๆ เรียนรู้ไปเถอะนะ” 


 


 


ร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ? หูปู้กุยแลบลิ้นด้วยความตกใจ 


 


 


ไม่รู้ว่าเงียบงันไปนานเท่าใด หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ค่อยๆ เอื้อมมือออกไป คลำไปที่หว่างเอวอวี้เจีย 


 


 


“ทำอะไรน่ะ!” เสียงดังสวบสาบทำให้อวี้เจียที่กำลังหลับสนิทตกใจตื่น นางร้องด้วยท่าทางอ่อนแรงไร้กำลังคราหนึ่ง รีบลืมตาขึ้นมา กลับเห็นใบหน้าหลินหว่านหรงอยู่ตรงหน้า 


 


 


“เหตุใดถึงเป็นเจ้า!” นางเหม่อลอย สายตาคมกริบขึ้นมา  


 


 


“ดื่มน้ำเถอะ” หลินหว่านหรงหัวเราะ หยิบถุงน้ำที่อยู่บริเวณเอวนางมาแล้วส่งไปที่ปากนาง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยเบือนหน้าไปอย่างดื้อดึง “ไม่ดื่ม! เจ้ามาทำอะไร?!” 


 


 


ถุงน้ำนี้เดิมทีถูกสะเก็ดหินที่ปลิวมากรีดจนเป็นรู อวี้เจียกลับไม่รู้ว่าหาด้ายหยาบมาจากที่ใด เย็บรูนั้นอย่างแน่นหนา ฝีเข็มเป็นระเบียบเรียบร้อย เพียงแต่ด้วยความรีบร้อนหาด้ายหยาบๆ มา สีจึงไม่เข้ากับตัวถุงน้ำ เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนเอาอะไรมาปะอยู่ข้างบน 


 


 


“ได้ยินว่าเจ้าอดอาหาร?!” หลินหว่านหรงไม่ตอบนาง แต่กลับย้อนถาม 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียงอย่างเย็นชา “นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ามาทำอะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจดังเฮ้อ หัวเราะพร้อมพูดว่า “อันที่จริงข้ามาหลอกเจ้า!” 


 


 


เจ้าคนนี้เกิดมาถ้าไม่พูดจาให้ตกใจก็ไม่ยอมเลิกรา ต่อให้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้มีความรู้ความสามารถ เมื่อได้ยินก็ยังต้องตกใจ “หลอกข้า? หลอกอะไรข้า?!” ด้วยความร้อนใจของนาง แม้แต่ความเย็นชาก่อนหน้านี้ก็สิ้นไป 


 


 


“พวกพี่น้องของข้าบอกว่าเจ้าอดอาหาร พวกเขาต่างเป็นห่วงเจ้ามาก รู้ดีว่าเจ้าจะฟังข้า ดังนั้นพวกเขาจึงให้ข้ามาหลอกให้เจ้าดีใจ พูดจาน่าฟังสักหลายประโยค ให้เจ้าดื่มน้ำสักหลายอึก กินอาหารแห้งให้มากสักหน่อย ก็แค่นี้เท่านั้น หวังว่าเจ้าจะไม่ว่าพวกเขา อันที่จริงทุกคนต่างมีเจตนาดี” หลินหว่านหรงแบมือพลางยิ้มแย้ม ดูท่าทางจริงใจมาก 


 


 


“พูดเหลวไหล!” อวี้เจียพูดกัดฟันกรอดด้วยโทสะ “ใครจะฟังเจ้ากัน?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่ฟังข้า? ดูท่าว่าพวกเขาคงคิดผิดไปแล้ว อันที่จริงก็โทษพี่น้องเหล่านี้ไม่ได้ น่าจะเพราะตลอดทางที่ผ่านมา เรื่องที่เจ้ากระทำทั้งหมดคงทำให้พวกเขาเข้าใจผิดกระมัง ไม่ขอปิดบังเจ้า แม้แต่ข้าก็ยังเกือบเข้าใจผิดเลย!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยสีหน้าเย็นชา “อย่างนั้นหรือ แม้แต่เจ้าก็เข้าใจผิด?! อัวเหล่ากง หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าการพูดโกหกเป็นเรื่องไร้ยางอายอย่างหนึ่งหรือ?” 


 


 


“เอาเถอะ ข้ายอมรับว่าไร้ยางอายมากจริงๆ!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เพียงแต่คนใต้หล้าต่างรู้จุดเด่นของข้านี้ เชื่อว่าคุณหนูอวี้เจียก็เคยได้ยินเช่นกัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องประหลาดใจเช่นนี้หรอก…อ้อ เจ้าดื่มน้ำหรือไม่?! ข้ารู้สึกกระหายน้ำบ้างแล้ว” 


 


 


เขาแกว่งถุงน้ำใส่อวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดฟันกรอดไม่เอ่ยวาจา หลินหว่านหรงไม่เกรงใจเช่นกัน วางถุงน้ำไว้ที่ริมฝีปาก ดื่มอึกๆ คำใหญ่หลายคำ ดื่มน้ำสะอาดที่อยู่ในนั้นไปครึ่งหนึ่ง 


 


 


เหตุใดเจ้าคนนี้ถึงไม่มีความหนักแน่นเลยนะ? อวี้เจียมองอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี 


 


 


หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาวด้วยความพึงพอใจหลายครั้ง พูดโดยยังรู้สึกไม่อิ่มเอม “คุณหนูอวี้เจีย อันที่จริงมีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากถามเจ้ามาโดยตลอด เจ้าไม่ต้องตอบก็ได้ แต่หากเจ้าเลือกตอบ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ไร้ยางอายเช่นข้านี้ ได้หรือไม่” 


 


 


ดวงตาของเขาแฝงรอยยิ้ม พูดอย่างมีเลศนัย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเขาจะถามอะไรเช่นกัน เพียงแต่หัวข้อที่เจ้าโจรคนนี้จะพูดดูลึกลับยิ่งนัก ทำให้นางหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้ นางครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นถึงผงกศีรษะเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงอืมคราหนึ่ง 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยได้ยินชื่อข้าใช่หรือไม่?! อ้อ ความหมายของข้าก็คือก่อนที่ข้าจะมาถึงเฮ่อหลานซาน” หลินหว่านหรงจ้องนางพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ 


 


 


อวี้เจียดวงตากระจ่างวูบ กล่าวอย่างดูแคลนออกมา “อัวเหล่ากง? ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ชื่อกระจอกอันไร้นามชื่อหนึ่งเท่านั้น แล้วก่อนหน้านี้ข้าจะเคยได้ยินได้อย่างไร” 


 


 


“อ้อ พูดเช่นนี้คือเคยได้ยินชื่ออื่นของข้าใช่หรือไม่?! เข้าใจๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ กล่าวพร้อมหัวเราะร่า 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถลึงตามองเขาอย่างเดือดดาล “เจ้าเข้าใจอะไร?!” 


 


 


“ข้าเข้าใจว่าเจ้าเข้าใจข้า!” หลินหว่านหรงหัวเราะ กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า 


 


 


เขาพูดเหมือนการเล่นประโยคลิ้นพันอย่างนั้น อวี้เจียนิ่งงัน ก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย เจ้าสนิทกับหลู่ตงจ้านมากหรือไม่?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะเล็กน้อย “นั่นแล้วจะทำไม?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ที่จริงก็ไม่ทำไม ข้าแค่อยากรู้ว่าพวกเจ้าเริ่มสนใจข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เตรียมตัวจัดการข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?!” 


 


 


“จะ…เจ้าพูดอะไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถามด้วยความตกใจ 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “คุณหนูอวี้เจีย หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าการพูดโกหกเป็นเรื่องไร้ยางอายอย่างหนึ่ง?!” 


 


 


นี่คือสิ่งที่อวี้เจียพูดกับเข้าเมื่อครู่ แต่กลับถูกเขาย้อนกลับกลับมาได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด “เรื่องที่เจ้าพูดเหล่านี้ ข้าฟังไม่เข้าใจ” 


 


 


“มองตาข้า!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ มุมปากประดับรอยยิ้มเย็นชา กลับมีบารมีที่ไม่อาจขัดขืนได้ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กวาดตามองเขาคราหนึ่ง เมื่อเห็นความเย็นชาและความดูแคลนภายในดวงตาของเขา นางจึงก้มหน้าลงไปอย่างเงียบงัน แค่นเสียงแล้วพูดว่า “มีอะไรน่าดูกัน…หางตาก็เช็ดไม่แห้ง!” 


 


 


“อย่าเบี่ยงประเด็น!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีดุร้าย ถึงกระนั้นกลับอดยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดหลายครั้งไม่ได้ “คุณหนูอวี้เจีย ดูท่าเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้นะ ข้าไร้ยางอาย ข้ายอมรับต่อหน้าผู้คนในแผ่นดินได้ แต่เจ้าล่ะ?” 


 


 


“ข้าทำไม?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา ใบหน้าปรากฏโทสะบางๆ  


 


 


หลินหว่านหรงเอ่ยอย่างเย็นชา “จะต้องให้ข้าพูดให้ชัดเจนหรือ?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าไม่เคยพบข้าที่เมืองซิงชิ่งหรือ…เงยหน้าขึ้นมา มองตาข้า!” 


 


 


“ตาขาว ข้าไม่ดูหรอก!” อวี้เจียก้มหน้าลงด้วยความหงุดหงิดโมโห กลับปฏิเสธที่จะตอบคำถามเขา 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมายาวๆ หยุดหัวเราะทันที กล่าวด้วยเพลิงโทสะอันพวยพุ่ง “เจ้าไม่มองก็ไม่เป็นไร วันนั้นที่เมืองซิงชิ่ง ผู้ใดที่ลอบสังหารคนแซ่หลินเช่นข้ากับท่านจอมทัพหลี่ ข้ารู้แจ้งแก่ใจดี ผู้ใดปรากฏตัวที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างประจวบเหมาะ ผู้ใดที่จู่ๆ ก็โผล่มาตอนที่ข้ากำลังต้องการหมออยู่พอดี ผู้ใดที่ถูกข้าจับอย่างง่ายดายเช่นนั้น ผู้ใดที่วางแผนชั่วร้ายต่อเนื่องเป็นชุดโดยพุ่งเป้ามาที่นิสัยของข้า ผู้ใดที่แสดงละครต่อหน้าข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ใดที่ชอบการละเล่นเป็นผู้สยบและถูกสยบ เรื่องราวต่อเนื่องเป็นชุด ที่จริงแล้วมัดด้วยเชือกเพียงเส้นเดียวอย่างแน่นหนา มีคนชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด…คุณหนูอวี้เจีย เขาเดาถูกหรือไม่?!” 


 


 


เขาหัวเราะอย่างเดือดดาล มุมปากยิ้มหยัน เย็นเยียบประหนึ่งหิมะน้ำแข็งบนเทียนซาน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม