แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 585-596

ตอนที่ 585 ลูกสาวกับเจ้าของร้าน

 

“ถึงแกไม่พูดพวกเราก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่อยู่แล้ว คดีนี้ก็เหมือนมีดที่แขวนอยู่บนหัวพวกเรา หากยังปิดไม่ได้แต่ละวันฉันก็อยู่อย่างไม่สบายใจ” หลินเจ๋อกว่างกัดฟันด้วยความโกรธ คนร้ายคดีนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ ตำรวจมากมายขนาดนี้ก็ยังตามจับไม่ได้ 


 


 


“แกนี่ยังอาฆาตแค้นคนร้ายเหมือนเดิมเลยนะ ฉันยังจำคำพูดตอนที่แกเพิ่งเข้าหน่วยทหารได้เลย ผมเข้าทหารหน่วยรบพิเศษก็เพื่อเป็นตำรวจสืบสวนพิเศษ ตอนนี้ฝันเป็นจริงแล้วสินะ” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างกำลังคิดอยากจะชมอวี๋หมิงหลางกลับบ้านตามมารยาท แต่กลับได้ยินอวี๋หมิงหลางพูดต่อ 


 


 


“แต่ว่าพอแกเข้าเป็นตำรวจสืบสวนพิเศษแล้ว ปัญหาที่แกแก้ไม่ได้ก็ยังต้องขอความช่วยเหลือจากพวกเราทหารหน่วยรบพิเศษ การรวมเป็นหนึ่งเดียวระหว่างการบิดเบือนกับความคืบหน้าของสรรพสิ่งตามกฎแห่งการหักล้างข้อขัดแย้ง แกน่ะบิดเบือนไปเป็นวงกว้างสุดท้ายก็กลับไปที่จุดเริ่มต้น ฮ่าๆๆ” 


 


 


เสียงลงท้ายทำให้หลินเจ๋อกว่างอยากเข้าไปอัดอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“ฝากไว้ก่อนเถอะ พวกเราตำรวจสืบสวนพิเศษไม่ได้กินหญ้า ไม่เชื่อหรอกว่าหากไม่มีพวกแกพวกเราจะปิดคดีไม่ได้” 


 


 


สายตาของทั้งสองคนจ้องกันเหมือนมีประกายไฟแลบออกมา เสี่ยวเชี่ยนที่อยู่ข้างๆเห็นแล้วจึงพูดเสริม 


 


 


“พวกนายสองคนเหมือนที่เขาว่ากันว่ายิ่งรักยิ่งแค้นหรือเปล่า?” 


 


 


“……” อวี๋หมิงหลางสะอิดสะเอียน 


 


 


หลินเจ๋อกว่างเองก็อยากอาเจียน ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วเบือนหนีออกพร้อมกัน ใครอยากเป็นเพื่อนกับกอริลล่า/หมาจิ้งจอกกัน? 


 


 


หลินเจ๋อกว่างต้องไปลาดตระเวนต่อ อวี๋หมิงหลางพาเสี่ยวเชี่ยนไปหามื้อดึกกิน 


 


 


การกินซาลาเปาน้ำไข่ปูแสนอร่อยเป็นมื้อดึกถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ เสี่ยวเชี่ยนค้นพบว่านับตั้งแต่อวี๋หมิงหลางกลับมา อาหารการกินช่วงมื้อดึกของเธอดูจะควบคุมไม่ได้เรื่อยๆ 


 


 


เนื้อย่างเสียบไม้ยังไม่เท่าไร ชาบูก็ฟาดมาแล้ว ตอนนี้ยังพาเธอมากินซาลาเปาน้ำไข่ปูมื้อดึกอีก ปากเสี่ยวเชี่ยนก็ปฏิเสธ แต่กินเอร็ดอร่อยกว่าใคร 


 


 


ซาลาเปาน้ำร้านนี้รสชาติเด็ดมาก แป้งบางใส คีบขึ้นมามองเห็นน้ำซุปข้างในเคลื่อนไหว น้ำซุปรสกลมกล่อมรวมกับไข่ปูสดใหม่ ได้กินยามหิวตอนมื้อดึกแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องอันแสนสุขบนโลกมนุษย์ 


 


 


เนื่องจากไม่เจอคนรู้จัก อวี๋หมิงหลางจึงสั่งเหล้าข้าวให้เสี่ยวเชี่ยน กินปูขนห้ามดื่มเบียร์ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นโรคเก๊าท์ได้ง่ายๆ เหล้าข้าวจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ไม่แสบกระเพาะ ช่วยลดฤทธิ์เย็นจากปู 


 


 


อาหารดีเหล้าเด็ดช่วยคลายความหงุดหงิดจากตอนออกอากาศได้ อวี๋หมิงหลางเป็นห่วงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ จึงจงใจเลือกหัวข้อสนทนาเบาๆมาคุยกับเธอเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ 


 


 


“ลูกเชี่ยน รู้ไหมว่าเหล้าข้าวมีชื่อเรียกอย่างอื่นว่าอะไร?” 


 


 


แต่กลับนึกไม่ถึงว่าหัวข้อนี้จะทำให้เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดใจ 


 


 


“สถานที่แห่งหนึ่งทางใต้ หลังจากที่ลูกสาวถือกำเนิดบนโลกใบนี้ส่งเสียงร้องออกมาเป็นครั้งแรก พ่อก็จะเอาข้าวเหนียวไปหมักเป็นเหล้าลูกสาว แล้วฝังไว้ที่ใต้ต้นกุ้ยฮวา ซึ่งเปรียบเสมือนความรักของพ่อได้ถูกฝังลงไปด้วย ซึ่งมันก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของเหล้าข้าว พอลูกสาวถึงเวลาที่ต้องแต่งงานไปอยู่บ้านสามี ก็จะตักเหล้านั้นออกมาเป็นครั้งแรกจำนวนสามชามให้ พ่อตัวเอง พ่อสามี และก็สามี มีความหมายที่ว่าครอบครัวเจริญรุ่งเรือง นี่แหละเหล้าลูกสาว บางที่ตอนคลอดลูกชายก็จะหมักเหล้าเหลือง แบบนั้นเรียกว่าเหล้าจอมหงวน แต่ถ้าลูกสาวตายในช่วงวัยเด็ก เหล้าก็จะถูกขุดออกมาดื่มจนหมด แบบนั้นไม่เรียกเหล้าลูกสาว เรียกว่าดอกไม้แกะสลัก” 


 


 


หัวข้อสนทนานี้ทำให้เสี่ยวเชี่ยนปวดใจจนพลอยกินไม่ลงไปด้วย 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเธอก็หยุดกินวางตะเกียบลง คิดว่าเธอยังหงุดหงิดเรื่องคนโรคจิตที่โทรเข้ามาตอนออกอากาศ ขณะที่กำลังจะปลอบกลับเห็นผู้ชายสวมชุดพ่อครัวสีขาวเดินออกมาจากห้องครัว ในมือถือเมนูขาปูผัดหมาล่าเดินมาที่โต๊ะเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เหล้ากับอาหารล้วนมีความรู้สึก เรื่องที่คุณพูดจริงๆแล้วเป็นการเข้าใจผิด ที่บ้านเกิดของผมสมัยก่อนดอกไม้แกะสลักถูกวางไว้บนแท่นวางเหล้าที่ถูกแกะสลักก็เลยมีชื่อนั้น ธรรมเนียมดอกไม้แกะสลักออกเรือนก็มีที่มาจากแบบนี้นี่แหละ แถวบ้านผมถ้าคลอดลูกสาวก็จะยินดีต้อนรับดอกไม้แกะสลักเข้าบ้าน หมายความถึงความรักอันลึกซึ้งที่พ่อมีต่อลูกสาว ส่งต่อความคิดและความผูกพัน ผมคิดว่าพ่อทุกคนล้วนให้ความรักอย่างหมดใจกับลูกสาวตัวเอง รักอย่างไม่มีเงื่อนไข” 


 


 


“ก็ไม่ใช่ว่าพ่อทุกคนจะเป็นแบบนั้นนะคะ” เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงเฉินหลิน 


 


 


“ภาพที่คุณเห็นอาจเป็นเพียงมุมหนึ่งที่สะท้อนจากแก่นแท้ภายใน หลังจากเกิดเหตุการณ์จนไม่เหลืออะไร ทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้าอาจเป็นของจริงไม่ก็ของปลอม ทุกอย่างปล่อยไปตามใจ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าคนๆนี้พูดจามีความพิเศษในตัวเอง เธอจึงสังเกตเขา พูดตามตรง ถ้าเขาไม่ได้ใส่ชุดพ่อครัว เธอไม่มีทางเชื่อว่าคำพูดที่เต็มไปด้วยปรัชญาพวกนี้จะออกมาจากปากคนเป็นพ่อครัว 


 


 


ผู้ชายคนนั้นวางจานขาปูผัดหมาล่าที่โต๊ะเสี่ยวเชี่ยน อวี๋หมิงหลางหันไปมองเขา “พวกเราไม่ได้สั่งเมนูนี้นะครับ” 


 


 


“ผมเลี้ยงครับ มีเพื่อนจากแดนไกลมาหาผมทำเมนูนี้พอดี ผมชื่อเซวียน เป็นเจ้าของร้านนี้” ผู้ชายคนนี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางแล้วหันตัวเดินจากไป 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองตามหลังเขา คนๆนี้บุคลิกไม่เหมือนคนทั่วไป เขากับเสี่ยวเชี่ยนคิดเหมือนกัน คนๆนี้ไม่เหมือนพ่อครัว 


 


 


ถูกเจ้าของร้านอธิบายแบบนี้ ความเศร้าในใจของเสี่ยวเชี่ยนก็หายไปบ้าง เธอพยายามจัดการกับความรู้สึกเพื่อเบี่ยงเบนความเจ็บปวด 


 


 


“จริงสิ พ่อจะต้องไปเหยียบดินบนเหล้าลูกสาวที่ถูกฝังอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาบ่อยๆ คุณรู้ไหมว่าทำไม?” 


 


 


คำตอบที่ถูกต้องคือ เพื่อให้จิตใจมั่นคง ก็เหมือนกับพ่อที่เลี้ยงลูกสาวให้เติบโตเป็นอย่างดี  


 


 


แต่พอให้คนอย่างอวี๋หมิงหลางอธิบายความหมายก็เปลี่ยน 


 


 


“ถ้าเป็นผมนะ ผมจะย่ำด้วยความเคียดแค้น ใครมันกล้ารังแกลูกสาวผม ผมจะเหยียบมันให้แบนเป็นเนื้อทุบ เอาหัวมันมาฝังดินเหยียบให้จมไปสามฟุตเลยคอยดู” 


 


 


“……” เสี่ยวเชี่ยนหมดคำจะพูด ตานี่นี่ทำเรื่องดีๆเสียหายหมด 


 


 


คิดเงินเสร็จเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางก็เตรียมเดินออก เจ้าของร้านที่ชื่อเซวียนเรียกพวกเขาไว้ 


 


 


“อันนี้ผมให้ครับ เอากลับไปดื่ม” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรับถุงมา พอเปิดออกดูก็พบว่าเป็นเหล้าลูกสาวที่แพ็คอย่างดี 


 


 


“มันไม่ค่อยเหมาะมั้งคะ?” 


 


 


ตอนกินข้าวก็แถมขาปูผัดหมาล่าให้แล้ว ตอนกลับยังจะให้ของอีกเหรอ 


 


 


อวี๋หมิงหลางหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา “เท่าไรครับ ผมจ่ายเงินดีกว่า” 


 


 


เจ้าของร้านโบกมือ 


 


 


“ผมถูกชะตากับพวกคุณก็เลยให้ จริงสิ ถ้าพวกคุณยังไม่ดื่มตอนนี้ก็ได้นะ เอาไปฝังดินแล้วค่อยเปิดดื่มตอนแก่ตัวไปด้วยกัน ดื่มด่ำความหอมหวานของเหล้าในตอนนั้น” 


 


 


คำอวยพรนี้ดี อวี๋หมิงหลางชอบ เขายิ้มแล้วรับมา “งั้นผมก็ขอให้ร้านคุณขายดิบขายดีนะครับ” 


 


 


“ผมไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ผมชอบอวยพรให้คนมีความสุขมากกว่า” เซวียนยิ้มให้เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ตอนที่อวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนเดินออกจากร้านเขาก็หุบยิ้ม ถอดชุดพ่อครัวออก ผ้าเนื้อหยาบกับกลิ่นน้ำมันเป็นสิ่งที่เขาเกลียด 


 


 


มีคนเดินออกมาอีกสองคนจากผ้าม่านสีขาวที่กั้นทางเข้าของห้องครัว คนหนึ่งส่งเสื้อนอกให้เซวียน ส่วนอีกคนส่งกระดาษทิชชู่ให้ด้วยความนอบน้อม 


 


 


เซวียนเช็ดกลิ่นน้ำมันที่เขาเกลียดออกจากมือ แล้วถึงใส่เสื้อ จากนั้นก็หันไปสั่งผู้หญิงผมทองแบบคนต่างชาติที่ส่งเสื้อนอกให้เขา 


 


 


“จับตาดูเฉินเสี่ยวเชี่ยนไว้ เข้าใจไหม?” 


 


 


“ค่ะ งั้นค่าตอบแทนของฉัน…” 


 


 


“จบเรื่องแล้วได้ไม่น้อยแน่” 

 

 

 


ตอนที่ 586 ล่วงหน้ากับการรักษา

 

 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่เธอกับอวี๋หมิงหลางออกไปแล้ว แต่เธอรู้สึกว่าเจ้าของร้านคนนั้นดูพิลึกชอบกล วันนี้อวี๋หมิงหลางขับรถ เธอนั่งข้างๆ เสี่ยวเชี่ยนเปิดถุงหยิบกล่องเหล้าออกมาเปิด พอเห็นของที่อยู่ในนั้นเธอก็ออกอาการตกใจ 


 


 


“หยุดรถ” 


 


 


“มีอะไรเหรอลูกเชี่ยน?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางขับเข้าไปจอดข้างทาง มองเสี่ยวเชี่ยนหยิบขวดเหล้าที่ดูดีผิดปกติออกมาจากกล่องกระดาษ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดขวดด้วยความระมัดระวัง เอานิ้วแตะเหล้าขึ้นมาจากนั้นคิ้วก็ขมวดแน่น 


 


 


เหล้าขวดนี้พอถูกเปิดขวดกลิ่นก็คลุ้งเต็มรถ อวี๋หมิงหลางเองก็ได้กลิ่น 


 


 


“เหล้านี่ผิดปกติเหรอ?” 


 


 


“กลิ่นหอมรสหวานกลมกล่อม เหล้านี่อายุอย่างน้อยๆก็สิบปี” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพอมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง “เหล้าลูกสาวไม่ใช่ยิ่งนานยิ่งแพงเหรอ? เหล้าที่พวกเรากินเมื่อกี้ไม่น่าถึงสามปีด้วยมั้ง ทำไมเจ้าของร้านคนนี้ถึงได้ใจกว้างนัก เหล้านี่น่าจะราคาเป็นร้อยเลยหรือเปล่า?” 


 


 


เหล้าลูกสาวไม่ถือว่าเป็นเหล้าราคาแพงอะไร อายุสิบปีราคาอยู่ที่80-100 แต่เมื่อกี้พวกเขากินอาหารก็จ่ายกันไปไม่เท่าไร ทำไมเจ้าของร้านถึงได้ใจดีแบบนี้? 


 


 


“ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เหล้า นายดูที่ขวดสิ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางกวาดตามอง ฉีเยี่ยน้าชายของเขาทำธุรกิจอัญมณี พอรู้เรื่องเกี่ยวกับของโบราณบ้าง อวี๋หมิงหลางค่อนข้างสนิทกับเขา จึงพอจะดูของพวกนี้ออก 


 


 


“แจกันเครื่องเคลือบเลียนแบบของจริง?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางจำได้ว่าเขาเคยเห็นของพวกนี้ที่บ้านผู้ใหญ่สักคน แจกันเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์ชิง อันเล็กๆแต่ราคาไม่เล็ก ลวดลายที่อยู่บนแจกันมีความประณีตมาก วาดเป็นดอกไม้และนก ราคาย่อมไม่ธรรมดา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเสียวสันหลัง ขวดเหล้านี้เหมือนกับเมื่อชาติที่แล้วไม่มีผิด 


 


 


จนถึงตอนนี้เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าขวดใบนั้นมันเรื่องอะไรกัน หลังกลับชาติมาเกิดทำไมขวดใบนี้มาปรากฏอีกแล้ว? 


 


 


เธอยกขวดขึ้น แล้วก็เห็นก้นขวดเหมือนขวดเมื่อชาติที่แล้วตามคาด ผลิตในสมัยเฉียนหลงราชวงศ์ชิง อักษรสไตล์ลี่ซูหกตัวสามบรรทัด ไม่มีอะไรแตกต่างจากเมื่อชาติก่อนเลยสักนิด 


 


 


“กลับรถ กลับไปที่นั่น” ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนอยากเจอเจ้าของร้านนั้นเพื่อทำให้เรื่องชัดเจนว่ามันคืออะไร 


 


 


ถึงอวี๋หมิงหลางจะไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเชี่ยนต้องตื่นตูมขนาดนี้ แต่ก็ขับรถกลับไปตามที่เธอบอก แต่ประตูกันขโมยของร้านได้ถูกปิดแล้ว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นในใจ อวี๋หมิงหลางถามเธอ 


 


 


“ลูกเชี่ยนเป็นอะไรไป?” 


 


 


“เจ้าของร้านคนนี้แปลกๆ ขวดนี่เป็นของแท้ ไม่ใช่ของเลียนแบบ” 


 


 


“เอาวัตถุโบราณแจกคนเล่นงั้นเหรอ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเองก็รู้สึกแปลก ตอนกินข้าวเมื่อครู่เจ้าของร้านคนนั้นก็มีท่าทางไม่เหมือนคนปกติ 


 


 


“ไม่รู้สิ…พวกเรารับไว้ไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าค่อยเอากลับมาคืนเขา” 


 


 


ไม่ใช่แค่เสี่ยวเชี่ยนที่รู้สึกสงสัย แม้แต่อวี๋หมิงหลางก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว 


 


 


ว่ากันตามเหตุผล การให้เหล้าราคาแพงแบบนี้กับลูกค้าที่ใช้จ่ายในร้านไม่ถึงร้อยก็นับว่าผิดปกติแล้ว นี่ยังใช้วัตถุโบราณบรรจุเหล้าอีก 


 


 


นี่ไม่รู้ว่าเป็นของโบราณเลยให้ผิดหรือมีความหมายอื่นแอบแฝง? 


 


 


ระหว่างทางกลับ เสี่ยวเชี่ยนจับขวดเหล้าเล่น แต่ในใจกลับคิดเรื่องเมื่อชาติก่อน 


 


 


ชาติที่แล้วตอนที่เธอได้รับขวดแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสี่ยวเหวยเกิดเรื่อง อยู่ๆก็มีพัสดุส่งมาที่บ้าน ในนั้นมีกระดาษโน้ตอยู่หนึ่งแผ่น 


 


 


รออยู่ที่อีกโลกหนึ่ง 


 


 


ตอนนั้นเสี่ยวเชี่ยนคิดว่าใครเล่นพิเรนทร์จึงเอาขวดใบนั้นส่งไปพิสูจน์แล้วก็พบว่าเป็นวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ชิง 


 


 


เธอยังไม่ทันจะได้รู้เรื่องว่าใครเป็นคนส่งมาลูกสาวก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน 


 


 


พอขวดใบนั้นมาปรากฏในชาตินี้ล่วงหน้าก่อนหลายปี ในใจของเสี่ยวเชี่ยนก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ปลอดภัย ถึงจะไม่มีกระดาษโน้ตติดมา แต่เธอก็ยังใจคอไม่ดี 


 


 


เมื่อชาติก่อนเธอเอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ที่ต้องสูญเสียลูกสาว เลยไม่ได้รู้สึกสงสัยในขวดใบนี้ ตอนนี้มาคิดดู ข้อความในกระดาษใบนั้นไม่เป็นสิริมงคล 


 


 


งั้นทำไมขวดใบนี้ถึงได้มาปรากฏล่วงหน้าก่อนตั้งหลายปี? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกตัวเองหายใจแรง แน่นหน้าอก รู้สึกเหมือนโรคย้ำคิดย้ำทำจะกำเริบ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน แต่เขาดูออกว่าเธอกำลังรู้สึกแย่ 


 


 


วันนี้เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน 


 


 


ตอนแรกก็โรคจิตโทรเข้ารายการ ต่อมาก็เรื่องคนร้ายในเมืองนี้ที่ต้ากว่างพูดถึง กินมื้อดึกยังไปเจอเจ้าของร้านพิลึกให้ขวดราคาแพง 


 


 


“เสี่ยวเฉียง ขับรถไวหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนหลับตา เธอพยายามควบคุมลมหายใจเพื่อระงับอาการที่กำลังจะกำเริบ 


 


 


“อยากล้างมือเหรอ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองท่าทางผิดปกติของเธอออก โรคย้ำคิดย้ำทำกำลังจะกำเริบแล้ว 


 


 


“อืม…” 


 


 


อีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน เดิมสถานีโทรทัศน์อยู่ไม่ไกลจากบ้านของพวกเขา แต่ทั้งสองคนจะไปกินมื้อดึกไกลๆให้ได้ ดังนั้นกว่าจะถึงบ้านก็อีกระยะหนึ่ง 


 


 


ตีหนึ่งกว่าแล้ว ถนนเงียบเหงา เบื้องหน้าห่างไปไม่ไกลมีสวนสาธารณะ ค่ำคืนในฤดูร้อนช่างเงียบสงัด 


 


 


อวี๋หมิงหลางหมุนพวงมาลัยรถเกิดเป็นวงโค้งที่ถนนเลนกว้าง เขาขับไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสวนสาธารณะ 


 


 


มีเพียงความมืดที่ไร้แสงไฟข้างถนน เสียงจักจั่นยามค่ำคืนในฤดูร้อนดังลอดเข้ามาในรถ 


 


 


มาถึงที่นี่เหมือนอยู่อีกโลกใบหนึ่ง ไร้ผู้คน ไร้รถ ไม่มีอะไรเลย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงขับมาที่นี่? 


 


 


“เสี่ยวเฉียง นายไม่พาฉันกลับบ้าน พามาที่นี่ทำไม?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่เข้าใจการกระทำของอวี๋หมิงหลาง ภายใต้แสงไฟจากหน้ารถที่ส่องสะท้อนเข้ามา ใบหน้าของอวี๋หมิงหลางมีแสงเรืองเล็กน้อย 


 


 


“ลูกเชี่ยน ผมเชื่อมั่นในคำพูดหนึ่ง” 


 


 


“อะไร?” คนเขาโรคย้ำคิดย้ำทำกำลังจะกำเริบ นายไม่รีบหาก๊อกน้ำ มาแสดงคติประจำใจอะไรเนี่ย? 


 


 


“พวกเราเป็นเจ้านายตัวเอง พวกเราจะปล่อยให้โรคภัยควบคุมตัวเราไม่ได้” 


 


 


“ไร้สาระ เหตุผลก็ส่วนเหตุผล แต่ฉันควบคุมตัวเองได้เหรอ?” 


 


 


เนื่องจากอารมณ์ไม่ดี เสี่ยวเชี่ยนจึงเริ่มหงุดหงิด 


 


 


หลายคนเข้าใจเรื่องโรคจิตเวชผิด คิดว่าคนที่มีความสามารถในการควบคุมตนเองต่ำถึงจะเป็นโรคจิตเวช 


 


 


ทั้งที่จริงเพ้อเจ้อกันทั้งนั้น 


 


 


มันไม่ได้เกี่ยวกับการควบคุมตัวเองหรือบุคลิกนิสัยเลยด้วยซ้ำ 


 


 


“คุณควบคุมไม่ได้ ผมควบคุมได้” 


 


 


“นาย?” เสี่ยวเชี่ยนเดาความหมายของอวี๋หมิงหลางไม่ออก 


 


 


เธอเห็นอวี๋หมิงหลางจอดรถให้ดี ดับไฟ รอบตัวมีแต่ความมืด เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันตั้งตัวก็รู้สึกว่ามีร่างกายอุ่นเข้าใกล้ ที่ปรับเบาะถูกเลื่อน แล้วเบาะเธอก็เอนลงระนาบ ร่างกายของเขารุกเข้ามา 


 


 


“อวี๋เสี่ยวเฉียง นายจะทำลามกอะไร” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ถึงวัตถุประสงค์ของเขาจากสัมผัสช่วงขาที่ผิดปกติ เธอผลักเขาออกด้วยความรู้สึกทั้งอายทั้งโมโห 


 


 


แต่เขาก็เหมือนภูเขาย่อมๆที่กดตัวเธอไว้ 


 


 


“ฉีกนะ” เสียงเสื้อผ้าถูกฉีกขาดดังขึ้นภายในรถที่พื้นที่เล็กนิดเดียว 


 


 


ตอนนี้โรคย้ำคิดย้ำทำบินหนีไปทั้งที่ไร้ปีกแล้ว สิ่งที่มาแทนคือการขัดขืนด้วยความโกรธของผู้หญิง 


 


 


“แมลงบินเข้าสมองบ้าไปแล้วเหรอ นี่มันข้างนอกนะ ข้างนอก” 


 


 


เดี๋ยวก็มีคนมาเห็นหรอก 


 


 


อีกอย่างนี่ก็Pradaคอลเลคชั่นล่าสุดนะ ทำไมฉีกเหมือนเป็นเสื้อผ้าตลาดนัด 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโกรธจนโรคย้ำคิดย้ำทำลืมกำเริบแล้ว  

 

 


ตอนที่ 587 ไม่ยอมกับทำสงคราม

 

“ผมไม่ใช่แค่รู้ว่าเราอยู่ข้างนอกกันนะ ยังรู้อีกว่ารถกำลังจะ…สั่น” 


 


 


เขากัดฟันพูดเน้นย้ำคำสุดท้ายอย่างภูมิใจ ใช่ น้องสาวไม่ต้องกลัวโรคย้ำคิดย้ำทำนะจ๊ะ พี่จะฉีดยาเข้าเส้นด้วยความรักให้ เดี๋ยวก็จะลืมความกลุ้มไปเสียหมดสิ้น 


 


 


ไม่เชื่อ? 


 


 


มาลองสิ 


 


 


สายลมอันอบอุ่นของหน้าร้อนพัดผ่าน เสียงจักจั่นร้องดังมาจากในพุ่มไม้ ณ มุมอับหลังสวนสาธารณะ รถเก๋งสีแดงคันหนึ่งกำลังสั่นสะเทือนด้วยความเร็วที่คงที่ชนิดมองด้วยตาเปล่าก็เห็น 


 


 


มีเสียงอู้อี้ดังลอยมาแว่วๆ คล้ายกับมีอะไรอุดปากอยู่ เสียงปะปนไปกับเสียงจักจั่น 


 


 


ทันใดนั้นรถก็สั่นหนักขึ้น เสียงร้องอู้อี้ดังชัดมากกว่าเดิม แล้วในที่สุดรถก็หยุดสั่น 


 


 


สักพัก หน้าต่างรถที่ถูกแง้มไว้นิดหน่อยก็ถูกปรับลงจนสุดเพื่อระบายอากาศภายในที่ค่อนข้างอึมครึมออก 


 


 


อวี๋หมิงหลางที่เปลือยท่อนบนผิวปากเคลื่อนออกจากตัวเธอ เสี่ยวเชี่ยนคลุมตัวด้วยเสื้อผ้าของเขา ลมหายใจยังไม่เป็นปกติดีเท่าไร 


 


 


ไม่เคยคิดเลยว่าโลกนี้จะมีผู้ชายหน้าไม่อายได้ขนาดนี้ ถึงกับกล้าทำเรื่องแบบนี้ในที่สาธารณะ 


 


 


อวี๋หมิงหลางปรับเบาะเธอให้กลับเป็นเหมือนเดิมอย่างนุ่มนวล เขาปรับให้ท่านั่งเธอเป็นกึ่งเอนนอนสบายๆ มองเธอด้วยสีหน้าลึกซึ้งแบบพี่ชายที่รู้ใจ 


 


 


“ลูกเชี่ยนดีขึ้นหรือยัง? ไม่ได้อยากล้างมือแล้วใช่ไหม?” 


 


 


ถ้าตัดพฤติกรรมรถโยกสั่นสะเทือนเหมือนอยู่ในเครื่องเล่นสวนสนุกแบบเมื่อกี้ทิ้งล่ะก็ เหตุการณ์ในตอนนี้จะเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก 


 


 


“ตอนนี้ฉันอยากทุบนายมาก ทางที่ดีอย่ามายั่วโมโหฉัน…” น้ำเสียงแหบเล็กน้อย ต่อให้พูดจาโหดๆก็ยังดูน่ารัก ฟังแล้วไม่เหมือนกำลังขู่ เหมือนงอนๆมากกว่า 


 


 


เห็นได้ชัดว่าอวี๋หมิงหลางกำลังอารมณ์ดีมาก เขาผิวปากพลางสตาร์ทรถอีกครั้ง ยังไม่ลืมประจบเอารางวัล 


 


 


“ต่อให้พบเจอผู้คนมาเยอะแยะ แต่พี่คนนี้ดีที่สุดใช่ไหมล่ะ? คุณจะไปหาผู้ชายดีๆแบบผมได้ที่ไหนอีก ไม่ใช่แค่สามารถช่วยคุณเอาชนะโรคย้ำคิดย้ำทำได้ ออกกำลังทำให้คุณอารมณ์ดี แม้แต่ทิชชู่เปียกกับถุงยางผมยังใส่ใจเอาวางไว้บนรถเลย บางครั้งผมก็รู้สึกนับถือตัวเอง ทำไมถึงได้เป็นคนใส่ใจได้ขนาดนี้?” 


 


 


ผู้ชายที่ดีต้องคิดทุกอย่างรอบคอบ 


 


 


เป็นคนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม ดูสิ ความละเอียดอ่อนของเขาควบคุมโรคย้ำคิดย้ำทำของลูกเชี่ยนได้สำเร็จ 


 


 


“คนแซ่อวี๋ ยังมียางอายไหมเนี่ย? ฉันยังไม่ได้ถามเลยนะ ทำไมในรถฉันมีของแบบนี้ด้วย?” 


 


 


“ถ้าไม่มีของพวกนี้ หรือคุณอยากจะให้ผมเสกเด็กเข้าท้อง? ผมน่ะคิดได้ว่าคุณยังไม่พร้อมเป็นแม่ ยังไม่พร้อมแต่งงาน แล้วเรื่องนี้จะโทษผมเหรอ? ลูกเชี่ยน พี่ดูเป็นผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ?” 


 


 


เขาหันหน้าไปถามเธอด้วยสีหน้าเจ็บปวด 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่ว่า—” 


 


 


“ไม่มีแต่ ผมก็เป็นผู้ชายแบบนี้นี่แหละ สิ่งที่คู่หมั้นผมคิด มันก็คือสิ่งที่ผมต้องทำ ถึงผมจะอยากเป็นพ่อคนมากแค่ไหน แต่คุณยังไม่พร้อม แล้วจะให้ผมทำเรื่องทุเรศแบบนั้นเหรอ? จะให้ผมปล่อยคุณถูกคนมองด้วยสายตาดูถูกที่ท้องก่อนแต่งเหรอ? ไม่ ผมไม่ทำแบบนั้น” 


 


 


ประโยคสุดท้ายพูดได้หนักแน่นแทบทะลุหลังคารถ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอึ้งไปกับความน่าไม่อายของเขา 


 


 


“นายอย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง นายก็รู้ว่าฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น” 


 


 


“อ่อ คุณไม่ได้รังเกียจเรื่องถุงยาง งั้นไม่โอเคกับทิชชู่เปียกเหรอ? เรื่องนี้ผมต้องอธิบายกับคุณหน่อย ช่วงนี้อากาศร้อน กระดาษทิชชู่ธรรมดาไม่สามารถตอบสนองความการของผู้บริโภคได้อย่างเพียงพอแล้ว นับตั้งแต่ประเทศเรามีการปฏิวัติ การพัฒนาทางด้านวัตถุของบ้านเราก็ก้าวหน้าขึ้นมาก โดยเฉพาะทิชชู่เปียก มันล้ำสมัยไปเยอะสุดๆ วันนี้ผมไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมไปเห็นโซนที่ขายทิชชู่เปียกโดยเฉพาะ อื้อหือ ตอนที่ผมเห็นพวกมันวางอยู่บนชั้นนะ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไป…” 


 


 


ผู้ชายที่พูดเรื่องไร้สาระได้อย่างจริงจังคนนี้ทำให้เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกอยากจะหักคอทิ้ง แต่พอได้ยินถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้ 


 


 


“นายเห็นทิชชู่เปียกแล้วไง? มันเกี่ยวอะไรกับการปฏิวัติ?” 


 


 


“อันที่จริงนะความเห็นส่วนตัวผมแอบต่อต้านเล็กๆกับพวกนายทุนหน้าเลือดที่มาทำให้วัฒนธรรมของพวกเราหายไป อย่างเช่นการทำความสะอาดหลังเสร็จกิจ ในตำราโบราณหลายเล่มเขียนเอาไว้ว่า สาวใช้ยกอ่างน้ำสะอาด ชำระล้างร่างกายให้เป็นครั้งที่สอง ปะแป้งแต่งตัวให้สวยสด ตอนนี้กลายเป็นของแบบนี้แล้ว เห้อ ในขณะที่วัตถุมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น วัฒนธรรมดีๆกลับเลือนหายไป ว่าไหม?” 


 


 


“……” คนๆนี้เอาเรื่องหน้าไม่อายมาโยงเข้าเป็นเรื่องที่ดูมีวิชาการได้ไงเนี่ย? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางที่ส่ายหน้าอย่างจริงจัง ในใจอดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดถึงปรัชญาการใช้ชีวิต นี่ทำไมเธอถึงได้หาตัวประหลาดแบบนี้มาเลี้ยงในชีวิตได้นะ? 


 


 


“แต่ผมก็คิดนะว่า ถึงรูปแบบจะเปลี่ยนไป แต่เพื่อลูกเชี่ยนที่ผมรักแล้ว ผมไม่แคร์ที่จะต้องก้มหัวให้พวกนายทุนหน้าเลือดสักครั้ง ทิชชู่เปียกนำเข้าซื้อก็ซื้อสิ ขอแค่คุณมีความสุขผมพร้อมจะเสียสละทุกอย่าง” 


 


 


ความรักที่น่าชื่นชม~ 


 


 


“ดังนั้น นี่ก็คือเหตุผลที่นายเลือกที่จะจอดรถข้างนอกแล้วทำ…?” อยากกัดหัวให้ตายเลยโว้ย 


 


 


“ฮี่ๆ~” 


 


 


เสียงหัวเราะได้ใจแบบนี้เพียงพอที่จะแสดงออกถึงความสุขของอวี๋หมิงหลางในเวลานี้  


 


 


ผู้ชายดีๆก็ต้องเป็นแบบนี้นี่แหละ ไม่ใช่แค่ทำตามความต้องการของตัวเอง ยังต้องคำนึงถึงว่าที่ภรรยาด้วย อุปกรณ์ทุกอย่างต้องเตรียมให้พร้อม ลองคิดดูถ้าเขาไม่เตรียมพร้อมแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้น? 


 


 


ลูกเชี่ยนต้องทรมานจากโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาปวดใจนะ 


 


 


ในฐานะที่เป็นชายหนุ่มที่มีความรับผิดชอบ ว่าที่ภรรยายังไม่พร้อมแต่งงานกับเขา งั้นเขาก็ต้องไม่ทำเรื่องให้เธอท้องก่อนแต่ง แล้วถ้าไม่สามารถใช้วิธีสุดยอดแบบนี้ปลอบเธอ อดทนจนกว่าจะถึงบ้าน เธอก็ต้องร้องไห้ไปล้างมือไป เขาก็ยังต้องคอยปลอบเธอ ถึงตอนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะไปกลิ้งกันบนเตียงอยู่ดี 


 


 


ดังนั้นการเตรียมพร้อมเพียงเล็กน้อย ได้ช่วยทั้งสองคนได้อย่างทันท่วงที เพอร์เฟ็ค 


 


 


ความรู้สึกอัดอั้นตันใจของเสี่ยวเชี่ยนเมื่อครู่ได้ถูกความคิดบ้าบอของเขาพาให้ลืมไปหมด เหลือแต่ความรู้สึกไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี 


 


 


“ถ้าผมอยู่กับคุณได้ตลอดเวลาคงดี จะได้มั่นใจว่าคุณไม่เป็นอะไร จริงๆนะลูกเชี่ยน ไหนคุณช่วยรีวิวประสบการณ์หน่อย รู้สึกไหมว่าพี่คนนี้นับวันจะยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ?” 


 


 


“ไปไกลๆเลย” 


 


 


“อีกอย่างผมว่าผมคล่องขึ้นเรื่อยๆ จริงสิ” อยู่ๆเขาก็ตีหัวตัวเอง เสี่ยวเชี่ยนเดิมกำลังหลับตาที่เริ่มง่วงเล็กน้อยก็ถูกเขาทำให้ตกใจจนลุกขึ้นนั่งแล้วมองเขาด้วยความสงสัย 


 


 


“คุณว่าวิธีของพวกเราเมื่อกี้เอาไปลงในนิตยสารทางการแพทย์ได้ไหม? เป็นวิธีเอาชนะโรคย้ำคิดย้ำทำที่ชอบล้างมือที่ดีที่สุด โห ผมนี่สุดยอดเลย คุณว่าถ้าเขาจะมามอบรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ให้ผม จะรับดีไหม?” 


 


 


“……” เสี่ยวเชี่ยนมองผู้ชายหน้าไม่อายด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก สุดท้ายก็กลั้นไม่อยู่ 


 


 


“ฮ่าๆๆ นายนี่นะ เขาไม่มามอบรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ให้นายหรอก แต่อาจจะให้รางวัลคนหน้าหนาที่สุดแทน” 

 

 

 


ตอนที่ 588 สถานการณ์กับการค้นพบ

 

มีเสี่ยวเฉียงอยู่ ต่อให้ในใจมีเรื่องกังวลมากแค่ไหนก็ถูกเขาพาออกนอกทะเลจนลืมไปหมด ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว 


 


 


พอเห็นเธอหัวเราะอวี๋หมิงหลางก็วางใจ ขอแค่เธอยิ้มได้ต่อให้เขาต้องเป็นคนหน้าด้านแล้วไงล่ะ 


 


 


เขายอมใช้ทุกอย่างเพื่อแลกกับใบหน้าที่มีความสุขของเธอ 


 


 


เดิมก็ดึกมากแล้ว นี่ทั้งสองคนยังมาทำเรื่องหน้าไม่อายข้างนอกกันอีก เสี่ยวเชี่ยนนอนพิงพนักด้วยความสะลึมสะลือ 


 


 


ทันใดนั้นอวี๋หมิงหลางก็เหยียบเบรก เสี่ยวเชี่ยนลืมตาจ้องเขาด้วยความไม่พอใจ ตานี่จะก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย? 


 


 


“อยู่บนรถอย่าไปไหนนะ เดี๋ยวถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามส่งเสียง” อวี๋หมิงหลางไม่มีรอยยิ้มแบบเมื่อครู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นสีหน้าเขาแปลกๆจึงลุกขึ้นมานั่ง 


 


 


“มีอะไรเหรอ?” 


 


 


“ข้างหน้ามีคนทำลับๆล่อๆ ผมจะลงไปดูหน่อย” 


 


 


“ระวังตัวด้วย” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็เครียดตาม 


 


 


“ไม่เป็นไร คุณจำไว้ว่าปิดประตูหน้าต่างให้สนิท จะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามเปิด ใช้โทรศัพท์ของผมโทรหาต้ากว่างด้วย” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดเสร็จก็ลงจากรถ เสี่ยวเชี่ยนล็อคประตู ไม่กล้าเปิดไฟเพราะกลัวบุคคลต้องสงสัยจะรู้ตัว 


 


 


เธอโทรศัพท์พลางมองอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เสื้อของเขายังสวมอยู่ที่ตัวเธอ เขาวิ่งไปด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ความมืดช่วยอำพรางร่องรอยของเขา มือถือของเสี่ยวเชี่ยนบอกเวลาตีสองแล้วในตอนนี้ 


 


 


เวลานี้ถนนเส้นนี้ไม่มีรถเท่าไรแล้ว ด้านหน้าเป็นเขตที่พักอาศัย ดูท่าทางสงบเงียบ เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน ไม่ได้มีความสามารถชนิดที่แค่มองไปก็พบความผิดปกติได้อย่างอวี๋หมิงหลาง แต่เธอกลับเชื่อใจเขาโดยไม่มีเงื่อนไข 


 


 


ปลายสายมีคนรับอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเชี่ยนเล่าเรื่องทางนี้ให้ฟัง ต้ากว่างบอกว่าไม่เกินสามนาทีจะมาถึง 


 


 


ตอนนี้ทั้งเมืองอยู่ในสภาวะเฝ้าระวัง แทบจะทุกหน่วยงานที่เกี่ยวกับด้านความปลอดภัยมีการออกลาดตระเวนถี่ขึ้น 


 


 


แต่ผู้ต้องสงสัยดวงซวยคนนี้หลบรถลาดตระเวนได้ แต่กลับไม่รอดสายตาอันเฉียบคมของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


ฟ้ามืดมาก ไฟข้างทางแถวนี้ก็มาเสียอีก อวี๋หมิงหลางวิ่งไปไกลแล้วเสี่ยวเชี่ยนมองเห็นเหตุการณ์ไม่ชัด ทำได้แค่รออยู่ในรถเงียบๆ 


 


 


ช่วงเวลาไม่กี่นาทีนี้รู้สึกเหมือนยาวนานมาก ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะรู้ว่าฝีมือด้านการทหารของอวี๋หมิงหลางจะเก่งกาจ รู้ว่าโจรกระจอกเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วง 


 


 


ถ้าอีกฝ่ายมีอาวุธจะทำไง ถ้าอีกฝ่ายคนเยอะกว่าจะทำไง ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนร้ายคนเดียวกับที่ถือมีดไล่แทงตามที่หัวหน้าตำรวจสืบสวนพิเศษบอกจะทำไง อวี๋หมิงหลางจะบาดเจ็บหรือเปล่า… 


 


 


มีเสียงดังมาจากด้านนอกทำให้เสี่ยวเชี่ยนหยุดจินตนาการในแง่ร้าย 


 


 


เสียงตะโกนของอวี๋หมิงหลางดังลอยมา 


 


 


“บอกว่าอย่าหนียังจะคิดหนี” 


 


 


“ผมผิดไปแล้วครับพี่” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรีบเปิดไฟรถ ห่างจากรถไม่ไกลออกไปอวี๋หมิงหลางกำลังลากตัวผู้ชายคนหนึ่งมา ผู้ชายคนนั้นผอมแห้ง สายตาล่อกแล่ก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี 


 


 


ในเวลานี้เองหลินเจ๋อกว่างก็มาถึง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากลงจากรถ ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ เธอก้มหน้ามอง 


 


 


เธอใส่เสื้อของอวี๋หมิงหลางอยู่ ส่วนเสื้อของเธอขาดเป็นชิ้นๆอยู่ในรถ 


 


 


รวมถึงกางเกงผ้าไหมด้วย… 


 


 


นั่นก็หมายความว่าตอนนี้ตัวเธอโล่งมาก 


 


 


ก็ได้ เสี่ยวเชี่ยนคนตัวโล่งนั่งตามเดิม 


 


 


“หมิงหลางเกิดอะไรขึ้น?” หลินเจ๋อกว่างลงจากรถวิ่งไปหาอวี๋หมิงหลาง 


 


 


อวี๋หมิงหลางชี้ไปที่ผู้ชายมีพิรุธที่เขาควบคุมตัวไว้พลางพูด “ฉันเห็นคนๆนี้ทำลับๆล่อๆปีนหน้าต่างเหล็กดัด อีกทั้งยังมีมีดติดตัวด้วย” 


 


 


ตามคาด ที่เอวของผู้ชายคนนี้มีมีดเหน็บอยู่ หลินเจ๋อกว่างหันไปสั่งให้ลูกน้องคุมตัวไว้ 


 


 


“พี่ชาย ผมเพิ่งทำผิดเป็นครั้งแรก ได้ยินจากคนบ้านเดียวกันว่าทำงานนี้ได้เงินเยอะ ผมอยากได้ของไม่ได้คิดทำร้ายคน อีกอย่างทำวันแรกก็โดนจับได้แล้ว ผมพูดความจริงนะครับ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นกระเป๋าของผู้ชายคนนี้ตุงๆจึงยื่นมือไปดึง จากนั้นของก็ร่วงออกมา… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนั่งมองจากไหนรถด้วยระยะที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งอวี๋หมิงหลางยังหันข้างให้ เธอจึงมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยชัด 


 


 


แต่ดูจากกางเกงในของผู้หญิงวัยดึก ชุดชั้นในหลากสีรุ่นคุณป้าที่หล่นเต็มพื้น สีหน้าของอวี๋หมิงหลางในเวลานี้คงสะอิดสะเอียน 


 


 


“ยังมีอะไรจะพูดอีก” หลินเจ๋อกว่างพอเห็นเสื้อผ้าผู้หญิงกองเต็มพื้นก็มองคนร้ายคนนี้ด้วยสายตาเหยียดๆ 


 


 


ตอนนี้เป็นหน้าร้อน คนส่วนมากชอบนอนเปิดหน้าต่าง ซึ่งก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนร้าย 


 


 


คนบางพื้นที่ปีนป่ายเก่งมาก ชาวบ้านที่อาศัยตามตึกตอนนี้นิยมติดเหล็กดัดที่หน้าต่าง กันขโมยได้ก็จริงแต่ก็เป็นโอกาสให้พวกหัวขโมยปีนป่ายได้ง่ายขึ้น บางคนอาศัยอยู่ชั้นสี่ชั้นห้า คิดว่าอาศัยอยู่บนชั้นสูงๆไม่จำเป็นต้องติดเหล็กดัดก็ได้ คนร้ายจึงฉวยโอกาสยามค่ำคืนที่เงียบสงบปีนเหล็กดัดจากชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นบน 


 


 


“เสื้อผ้าพวกนี้แกไปเอามาจากไหน นอกจากขโมยของพวกนี้ยังทำอะไรอีก” หลินเจ๋อกว่างสอบสวนด้วยน้ำเสียงดุดัน 


 


 


หัวขโมยปีนป่ายที่ถูกจับได้นี้ถึงกับขาอ่อนทรุดลงไปคุกเข่า “ผมหยิบมาจากห้องชั้นสอง อยากจะปีนไปชั้นสี่ ยังไม่ทันถึงพี่ตำรวจคนนี้ก็มาจับพอดี ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างเหลือบมองอวี๋หมิงหลาง “เขาไม่ใช่ตำรวจ” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างส่งสายตาให้ลูกน้อง ลูกน้องของเขาสองคนจึงรีบเอาตัวคนร้ายออกไป ส่วนเขาไปคุยกับอยู่หมิงหลางที่ด้านข้าง เดิมอวี๋หมิงหลางคิดจะลากเพื่อนไปคุยใกล้ๆรถ แต่ก็นึกได้ถึงสภาพของเสียวเหม่ยในเวลานี้ กลัวเพื่อนจะสังเกตเห็นอะไร ครั้นแล้วจึงลากเพื่อนไปคุยอีกด้านหนึ่ง 


 


 


“คนๆนี้ไม่เหมือนคนที่พวกเราตามหา” ถึงหลินเจ๋อกว่างจะยังไม่ได้สอบสวนอย่างละเอียด แต่ดูจากท่าทางของโจรกระจอกคนนี้แล้วไม่เหมือนคนร้ายโรคจิตที่ท้าทายตำรวจ 


 


 


“ไม่ใช่แน่นอน” อวี๋หมิงหลางเองก็มองออก คนที่พอเห็นตำรวจก็เข่าทรุดแบบนี้เป็นโจรกระจอกทั่วไป 


 


 


“แกมาอยู่ที่นี่ได้ไง อีกทั้งยังแต่งตัว…สภาพนี้?” หลินเจ๋อกว่างกวาดตามองอวี๋หมิงหลางตั้งแต่บนลงล่าง 


 


 


ถึงแม้ผู้ชายเปลือยท่อนบนในหน้าร้อนจะเป็นเรื่องปกติ แต่เขารู้จักอวี๋หมิงหลางมานาน ไม่เคยเห็นอวี๋หมิงหลางทำอะไรตามใจแบบนี้ ทันใดนั้นสายตาของหลินเจ๋อกว่างก็ไปหยุดอยู่ที่ไหล่ของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


ด้วยประสบการณ์การทำคดีอันมากมายของเขา แค่ดูก็รู้ว่าถูกข่วน 


 


 


“ฉันไปขับรถเล่นกินลมกับคู่หมั้น ไม่ได้หรือไง?” อวี๋หมิงหลางเชิ่ดหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างหาเรื่อง 


 


 


“กินลมน่ะได้…” 


 


 


อวี๋หมิงหลางหันไป “จับคนร้ายให้แล้วพวกแกก็เอาไปสอบสวนต่อ ฉันจะกลับบ้านละ” 


 


 


โวะ ด้านหลังโคตรเยอะ 


 


 


หลินเจ๋อกว่างมองรอยข่วนจำนวนมากบนหลังของอวี๋หมิงหลาง จึ๊ๆ ไม่ใช่แค่รอยข่วนยังมีรอยจูบด้วย ดูตรงหัวไหล่นั่นสิ 


 


 


นึกไม่ถึงว่าว่าที่น้องสะใภ้เห็นเรียบร้อยแบบนั้นจะมีความป่าเถื่อนในบางเรื่อง 


 


 


“เห้ย เพื่อนเก่า” หลินเจ๋อกว่างตะโกนเรียกอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“หืม?” อวี๋หมิงหลางหันไป หลินเจ๋อกว่างโยนของบางอย่างให้อวี๋หมิงหลาง เขารับได้พอดี 


 


 


ช็อคโกแลต? 


 


 


“หลังออกกำลังกายต้องเติมพลังงานหน่อย” หลินเจ๋อกว่างยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ไหล่ตัวเอง อวี๋หมิงหลางจึงก้มมอง 


 


 


โวะ  

 

 


ตอนที่ 589 วิปริตกับผิดปกติ

 

‘ตราประทับแห่งรัก’ ที่เสียวเหม่ยมอบให้ ถูกคนเห็นเข้าแล้ว 


 


 


“ฮ่าๆๆ” หลินเจ๋อกว่างหัวเราะอย่างเต็มที่ที่เห็นอวี๋หมิงหลางทำหน้าเหวออย่างเห็นได้ชัด 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนที่นั่งมองทุกอย่างอยู่บนรถใบหน้าร้อนผ่าว แม่ง ทั้งโลกรู้แล้วเหรอว่าเมื่อกี้เธอมีค่ำคืนอันเร่าร้อนกับเสี่ยวเฉียงบนรถ? 


 


 


อวี๋หมิงหลางขึ้นรถ เขาสตาร์ทรถพลางยื่นช็อคโกแลตให้เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เติมพลังงานหลังออกกำลังกายหน่อย” 


 


 


“ไปไกลๆเลย” 


 


 


เสียงจากด้านนอกดังลอดเข้ามาในรถผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ อวี๋หมิงหลางรู้สึกไม่ชอบมาพากล 


 


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ผู้ชายที่สวมชุดนอนคนหนึ่งเดินออกมาจากตึกพักอาศัย ท่าทางอายุราวๆสี่สิบ ใส่แว่นตา หัวโล้นๆ หน้าตาเหมือนคนนั่งทำงานในออฟฟิศ 


 


 


“หา นี่มันเสื้อผ้าของแฟนฉันไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“มีอะไรเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคุ้นๆ—” อวี๋หมิงหลางขับรถออกไปแล้ว เขาขับผ่านหลินเจ๋อกว่างกับผู้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดนอนคนนั้น 


 


 


“เห้ย นี่มันเสื้อผ้าแฟนฉัน” ผู้ชายคนนั้นพูดอย่างตกใจ 


 


 


อวี๋หมิงหลางพอได้ยินแค่นั้นก็รู้สึกแปลกๆ เขาหันกลับไปมอง ผู้ชายคนนั้นกำลังคุยกับหลินเจ๋อกว่าง 


 


 


“ผิดปกติเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


อวี๋หมิงหลางหันกลับมา “เปล่า ผู้ชายคนนั้นคงถูกขโมยขึ้นบ้าน พอได้ยินเสียงเลยออกมา” 


 


 


เนื่องจากการที่รถเคลื่อนผ่านคนเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาทีนั้นอวี๋หมิงหลางได้ยินบทสนทนาไม่ชัด ความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นจึงหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์ ผู้ชายที่เพิ่งออกมานั้นคงเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตึกนั้น เสื้อผ้าที่โจรขโมยออกมาก็คงเป็นของบ้านเขา พอได้ยินเสียงจึงเดินออกมาดู 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามขึ้นมาลอยๆ “ผู้ชายใส่แว่นคนนี้ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่นอนอีก?” 


 


 


เวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในห้วงความฝัน ด้วยเหตุนี้ขโมยจึงออกก่อเหตุ 


 


 


“ดูจากท่าทางเหมือนพนักงานออฟฟิศไม่ก็คนทำงานในองค์กร คนที่ทำงานแบบนี้ความเครียดสูง มีอาการนอนไม่หลับก็เป็นเรื่องธรรมดา” 


 


 


อวี๋หมิงหลางวิเคราะห์จากตอนที่เห็นผู้ชายคนนั้นเดินออกมา 


 


 


“แต่ผู้ชายคนนี้คงไม่ใช่คนดีอะไร” 


 


 


คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้เสี่ยวเชี่ยนสงสัย เธอหันไปมอง รถของเธอทิ้งห่างคนพวกนั้นไปไกลแล้ว มองผ่านกระจกไปเห็นไม่ชัดเท่าไร 


 


 


“นายดูจากตรงไหนว่าเขาไม่เหมือนคนดี?” 


 


 


“โจรที่ปีนหน้าต่างคนนั้นคงไม่ได้โกหก เขาเป็นมือใหม่เพิ่งออกก่อเหตุเลยยังไม่คล่อง ตอนปีนหน้าต่างเลยเสียงดัง ตอนที่ผมเข้าไปจับ หน้าต่างห้องนอนของผู้ชายคนนี้เปิดอยู่ ถ้าเขายังไม่หลับก็คงได้ยินเสียง” 


 


 


“นายเห็นผู้ชายคนนั้นด้วยเหรอ?” 


 


 


“อืม ตอนจับโจรผมเหลือบมองเข้าไปในห้อง ผู้ชายคนนี้อยู่ชั้นสอง ห้องนอนอยู่ในตำแหน่งที่โจรปีนพอดี ไม่ได้ปิดม่าน เงาใหญ่เสียงดังขนาดนั้น ถ้าเขาสนใจ แค่ลุกขึ้นมาชะโงกหัวตะโกนก็หยุดโจรได้แล้ว แต่เขาไม่ทำ” 


 


 


แต่กลับเดินออกมาตามเสียงหลังจากที่ตำรวจมากันแล้ว เห็นได้ชัดว่าจงใจ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่งเสียง หึ ออกมา “ในสังคมมีคนแบบนี้เยอะ เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองก็ไม่อยากยุ่ง ไม่มีอันตรายเขาก็ยังไม่กล้าตะโกน ถึงขนาดที่ของใช้ส่วนตัวของเมียถูกขโมยไปเขาก็ยังไม่กล้าเข้าไปห้าม บัดซบ” 


 


 


“ใช่ บัดซบ” อวี๋หมิงหลางเอาด้วย เขามองเศษเสื้อผ้าที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนเก็บมากองรวมกันอย่างครุ่นคิด ทั้งหมดถูกนำมาใส่ไว้ในถุง 


 


 


“ชุดชั้นในของเมียผม นอกจากผมแล้วใครก็ห้ามดู เห็นไหมว่าผมใส่ใจแค่ไหน ไม่ได้ให้ต้ากว่างเดินเข้ามา ปกป้องสภาพหลังผ่านสมรภูมิของเมียไม่ให้คนอื่นเห็น” 


 


 


เขาไม่พูดก็ยังดีอยู่หรอก พอพูดเสี่ยวเชี่ยนก็โมโห ยื่นมือไปผลักเขา “ยังจะกล้าพูด คนทั้งโลกเขารู้หมดแล้วว่าเมื่อกี้พวกเราทำอะไรกัน” 


 


 


อวี๋หมิงหลางแอบน้อยใจ “ก็โทษคุณนั่นแหละ ผมบอกแล้วว่าอย่าข่วนผมคุณก็ไม่ฟัง นี่ทั้งทึ้งทั้งข่วน มีกัดด้วย” 


 


 


“นายยังจะมีหน้าพูดเรื่องนี้อีกเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนอยากจะเตะเขาจริงๆ 


 


 


“เอาล่ะๆ ผมไม่พูดแล้ว กลับไปทำต่อที่บ้านเถอะ เสียวเหม่ย นี่คุณสะเทือนใจเลยทั้งโกรธทั้งอายเลยเหรอ โอ๊ยตายๆ โรคย้ำคิดย้ำทำมันมาอีกแล้วใช่ไหม? เพื่อไม่ให้คุณทุกข์ทรมานจากโรคนี้ ผมใช้ร่างกายฉีดยาให้คุณอีกดีกว่า การรักษาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งรัก ซุปเปอร์การรักษาที่กำลังจะได้รางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในอนาคต—โอ๊ย ผมขับรถอยู่นะอย่าหยิกสิ มันอันตราย” 


 


 


“ไอ้คนหน้าด้าน คนบ้าปากไม่มีหูรูด ไม่อยากโดนหยิกก็อย่าพูดจายั่วโมโหฉัน” 


 


 


“จริงๆนะ เสียวเหม่ยคุณอย่าเก็บไว้ ปล่อยให้มันกำเริบเลย กำเริบปุ๊บเดี๋ยวพี่รักษาให้~” 


 


 


“ไม่ จำ เป็น” 


 


 


สายลมยามค่ำคืนหอบเอาเสียงทะเลาะของทั้งสองคนลอยไปไกล เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าตัวกาลกิณีของโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการล้างมือก็คือความหน้าด้าน อวี๋หมิงหลางแหย่เธอตลอดทางให้เธออาการกำเริบ เขาจะได้ฉีดยาให้ 


 


 


แต่คืนนี้ไม่มีโรคย้ำคิดย้ำทำ ไม่มีฝันร้ายที่ทำให้นอนไม่หลับ 


 


 


มีแค่ชายหญิงที่นอนกอดกันด้วยความรัก ไร้ความฝันตลอดคืน 


 


 


เช้าตรู่วันต่อมา ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนยังคงหลับลึก อวี๋หมิงหลางได้หยิบเหล้าขวดนั้นออกจากบ้าน 


 


 


เมื่อวานเสี่ยวเชี่ยนเจอเรื่องมากมายแต่ไม่เป็นอะไร ตอนที่จัดการเรื่องคนโรคจิตโทรมาเธอก็ใจเย็นมาก แต่หลังได้เหล้าราคาแพงจากเจ้าของร้านอย่างไม่มีเหตุผลอาการเธอก็กำเริบ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้เสี่ยวเชี่ยนไปเจอเจ้าของร้านพิลึกนั่นอีก ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เสี่ยวเชี่ยนอาการกำเริบ แต่เซ้นส์ของเขาบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับเหล้าขวดนี้ 


 


 


ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการให้เธอไปด้วย เขาขับรถไปที่ร้านอาหารร้านนั้นเพื่อคืนเหล้า พลางคิดว่าเดี๋ยวจะถามเจ้าของร้านว่าทำไมถึงได้ให้ของขวัญราคาแพงแบบนั้นกับเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


พอไปถึงประตูเหล็กดัดได้ถูกดึงขึ้นไปแล้ว ผู้ชายร่างอ้วนคนหนึ่งกำลังถูพื้นอยู่ พอเห็นอวี๋หมิงหลางเข้ามาก็พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้น 


 


 


“ร้านเปิดสิบเอ็ดโมง ถ้าจะกินซาลาเปาอีกเดี๋ยวค่อยมา” 


 


 


“เจ้าของร้านนี้ล่ะครับ?” อวี๋หมิงหลางดูออก ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาตามหา 


 


 


ผู้ชายอ้วนคนนั้นเงยหน้า “ผมนี่แหละ มีธุระอะไรรึ?” 


 


 


“เจ้าของร้านคนเมื่อวานล่ะครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม 


 


 


“เมื่อวาน? อ๋อ เมื่อวานผมมีธุระหยุดหนึ่งวันเลยให้เพื่อนมาเฝ้าร้านแทน” 


 


 


“เพื่อนคุณชื่อเซวียนหรือเปล่าครับ?” 


 


 


“มีธุระกับเขาเหรอ?” 


 


 


“เขาไปไหนแล้วครับ?” 


 


 


“ต่างประเทศ” 


 


 


“ต่างประเทศ? เขาทำงานอะไรเหรอครับ?” 


 


 


“ผมบอกคุณไม่ได้หรอก นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนผม คุณมีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองถุงที่อยู่ในมือ ลูกเชี่ยนบอกว่าขวดใบนี้เป็นวัตถุโบราณของแท้ ของมีค่าแบบนี้ถ้าไม่เจอเจ้าตัวย่อมคืนให้ไม่ได้ 


 


 


“คุณมีวิธีติดต่อเขาไหมครับ หรือไม่ก็บอกผมได้ไหมว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร?”  

 

 


ตอนที่ 590 แก้ปัญหากับลาป่วย

 

“งั้นก็พูดยากละ เขาเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางทีอยู่ๆก็กลับมา ที่เขามาร้านผมก็เพราะอยากมาลองใช้ชีวิต” เจ้าของร้านตอบ 


 


 


“งั้นผมทิ้งเบอร์ติดต่อไว้นะครับ ถ้าเขากลับมารบกวนให้เขาโทรหาผมด้วย ฝากด้วยนะครับ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเดินออกจากร้าน เขามองถุงที่อยู่ในมือพลางครุ่นคิด 


 


 


คนแบบไหนกันที่ตั้งใจมาลองใช้ชีวิตในร้านขายโจ๊ก แถมยังแจกของราคาแพงแบบนี้ด้วย? 


 


 


แล้วทำไมเขาต้องพาลูกเชี่ยนมากินไกลขนาดนี้ด้วย? 


 


 


อวี๋หมิงหลางกลับไปที่รถ เขานั่งมองขวดเหล้าพลางคิดอีกสักพัก แล้วสมองก็ปรากฏภาพเหตุการณ์ 


 


 


นึกออกแล้ว ตอนที่เขาไปปรึกษาศาสตราจารย์หลิวเรื่องโรคกลัวการแต่งงาน ในตอนท้ายศาสตราจารย์หลิวได้พูดออกมา 


 


 


แถวนี้มีร้านโจ๊กที่เปิด24 ชั่วโมง ซาลาเปาน้ำไข่ปูของที่นั่นอร่อยมาก บอกให้เขามีเวลาก็พาเสี่ยวเชี่ยนไปบำรุง เสี่ยวเชี่ยนต้องทำงานดึกๆข้ามคืนบ่อยๆไม่ดีต่อร่างกาย 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวแนะนำก็แสดงว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ส่วนผู้ชายที่ชื่อเซวียนคนนั้นก็น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ…หรือเปล่า 


 


 


เขารู้ว่าพอกลับถึงบ้านเสี่ยวเชี่ยนจะต้องถามเรื่องเหล้าขวดนี้อย่างแน่นอน อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้เธอกลุ้มใจ ครั้นแล้วจึงตั้งใจขับรถไปหาพี่รองเพื่อให้เหล้าขวดนี้เอาไปวางประดับในห้องทำงาน 


 


 


รอจนผู้ชายที่ชื่อเซวียนโทรหาเขาเมื่อไรค่อยเอาไปคืน 


 


 


จากการวิเคราะห์เบื้องต้นผู้ชายคนนั้นไม่ได้มีท่าทีเป็นภัยต่อเสี่ยวเชี่ยน อย่างไรเสียการที่อยู่ๆเขาก็จับจ้องเสี่ยวเชี่ยน บางทีอาจเป็นสไตล์การใช้ชีวิตของคนมีเงิน เจอใครถูกใจก็เลยให้ของ 


 


 


อีกทั้งพออวี๋หมิงหลางนึกถึงตอนที่ได้คุยกับเซวียน ถึงเซ้นส์จะบอกว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายแอบแฝง 


 


 


ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกอวี๋หมิงหลางพักเอาไว้ก่อน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตื่นขึ้นมาก็เห็นอวี๋หมิงหลางกำลังทำกับข้าวแล้ว สิ่งแรกที่เธอทำคือถามเรื่องเหล้า 


 


 


“เหล้าขวดนั้นล่ะ?” 


 


 


“ผมเอาไปคืนแล้ว” 


 


 


“ตกลงเจ้าของร้านทำไปทำไม?” 


 


 


“คนนั้นไม่ใช่เจ้าของร้าน เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน ดูเหมือนแค่อยากมาลองใช้ชีวิต อาจเพราะถูกชะตากับพวกเราก็เลยให้เหล้าก็ได้มั้ง คุณไม่ต้องคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก” 


 


 


“งั้นคนชื่อเซวียนนั่นไปไหนแล้ว?” เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงกระดาษโน้ตที่ปรากฏพร้อมขวดเหล้านี้เมื่อชาติก่อน ในใจก็ยังคงสงสัย เธออยากไปคุยกับคนๆนั้นด้วยตัวเอง 


 


 


“คืนของเสร็จเขาก็ไปต่างประเทศแล้ว ไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร” 


 


 


อย่างนั้นเหรอ…เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่ามันแปลกๆ 


 


 


แต่มาคิดๆดู บางทีเธออาจคิดมากไปเองจริงๆ 


 


 


เธอไม่เคยเจอคนชื่อเซวียนมาก่อน ชาติที่แล้วก็ไม่เคยมีความทรงจำเกี่ยวกับคนๆนี้ ช่วงเวลาสั้นๆที่ได้คุยด้วยก็ไม่รู้สึกว่าเขามีเจตนาร้ายอะไร 


 


 


งั้นก็เป็นไปได้ว่าไม่ใช่เซวียนเป็นคนส่งเหล้าขวดนี้ให้เธอเมื่อชาติก่อน 


 


 


ถ้าคนๆหนึ่งสามารถเอาของมีราคาให้คนสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ไม่ว่าเขาจะรู้ราคาของขวดใบนั้นหรือไม่ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง เขาให้เหล้าเธอก็อาจจะให้คนอื่นเหมือนกัน 


 


 


การเปลี่ยนมือของวัตถุโบราณนั้นเป็นเรื่องปกติ บางทีเมื่อชาติก่อนเซวียนอาจจะยกเหล้าให้คนอื่น หลังจากเปลี่ยนไปหลายมือถึงจะตกมาถึงเธอ อีกอย่างเมื่อชาติก่อนเธอเป็นบอสสาวที่ล่วงเกินคนไปตั้งมากมาย โดยเฉพาะคนในวงการเดียวกัน 


 


 


ไหนจะยังพวกคนรวยที่เธอรักษาจนหาย มีหลายคนที่สถานะค่อนข้างมีความพิเศษ เดิมทีเป็นโรคจิตเวชอย่างหนักคิดว่าไม่หายแล้ว แต่พอมาหาเสี่ยวเชี่ยนกลับรักษาหาย พอพวกเขาหายดีพวกคู่แข่งก็ยิ้มไม่ออก บางทีอาจเป็นคู่แข็งของคนไข้เสี่ยวเชี่ยนไม่พอใจเลยส่งเหล้าขวดนี้พร้อมกระดาษโน้ตมาให้เธอก็เป็นได้ 


 


 


หรืออาจจะเป็นคนไข้เมื่อชาติก่อนเล่นพิเรนทร์ ส่งเหล้ามาแกล้งเธอให้ตกใจเล่น แต่เสี่ยวเหวยเกิดเรื่องพอดี เหล้าขวดนี้เลยถูกมองว่านำพาโชคร้าย 


 


 


ไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ต่อให้เป็นคนฉลาดแค่ไหนก็ไม่มีทางรู้ความจริงได้ เสี่ยวเชี่ยนทำได้แค่วิเคราะห์ความเป็นไปได้จากข้อมูลที่มีอยู่ 


 


 


สุดท้ายเธอคิดว่าเหล้าขวดนี้กับเหล้าที่มาปรากฏตอนเวลาที่ไม่ใช่เมื่อชาติก่อนเป็นแค่เรื่องบังเอิญ และความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ผู้ชายชื่อเซวียนคนนี้นำพามาให้เธอก็เป็นแค่เรื่องเพียงชั่วคราว เรื่องที่คลุมเครือมาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนนี้ได้ถูกเสี่ยวเชี่ยนพักเอาไว้ก่อน 


 


 


ผลจากการต้องทำงานดึกทำให้เวลาพักผ่อนของเสี่ยวเชี่ยนรวน ตีสองกว่ากลับถึงบ้านก็กลิ้งเล่นบนเตียงกับอวี๋หมิงหลางอีกสักพัก กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม ตื่นมาอีกทีก็สิบโมงพอดี ข้าวมื้อนี้จึงเป็นทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน 


 


 


ระหว่างกินข้าวทางสถานีโทรทัศน์ก็โทรมาบอกให้เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องไปทำงานสามวัน 


 


 


เพราะเกิดเรื่องโรคจิตโทรมาก่อกวน ทางสถานีจึงตัดสินใจพักการออกอากาศรายการพาสเวิร์ดหัวใจสามวัน ให้เวลาเสี่ยวเชี่ยนได้ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ซึ่งในช่วงเวลาสามวันนี้ก็ให้คนอื่นจัดรายการไปก่อน 


 


 


ตอนได้ยินแบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนกำลังจะบอกว่าไม่จำเป็น เธอไม่ได้ตกใจกับสายก่อกวนของโรคจิตเพียงแค่นี้ อาจารย์กำหนดไว้ว่าเธอต้องฝึกงานที่นี่ให้เต็มหกสิบวัน ถ้าลาก็ต้องยืดออกไปอีก 


 


 


แต่เธอยังไม่ทันจะได้ตอบอวี๋หมิงหลางก็แย่งโทรศัพท์ไปแล้วรีบพูดขอบคุณ พร้อมทั้งยังแสดงตัวเป็นคนในครอบครัวบอกว่าเสี่ยวเชี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อคืนตีสามกว่าถึงจะได้นอน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนั่งฟังอยู่ข้างๆด้วยความหมั่นไส้ 


 


 


เห้ย เมื่อคืนที่เธอนอนดึกมันเป็นเพราะอะไรกันแน่? 


 


 


ไอ้คนหน้าด้านนี่เอาแต่บอกว่าโรคย้ำคิดย้ำทำของเธอกำเริบ บังคับฉีดยาโดยไม่สนว่าเธอขัดขืน ออกกำลังกายฉีดยาแบบนั้นเธอนอนได้ก็ผีแล้ว คนบ้านี่พูดโกหกได้หน้าตาเฉย ไม่รู้สึกผิดบ้างหรือไง? 


 


 


“ครับ ผมรู้ว่ารายการนี้ยอดคนฟังเยอะ แต่ในฐานะของคนในครอบครัว ผมเห็นคู่หมั้นนอนไม่หลับแบบนั้นก็ปวดใจนะครับ…” อวี๋หมิงหลางทำตัวพลิ้วเป็นปลาไหลหลบมือเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังจะหยิก ในที่สุดก็พูดสิ่งที่ตัวเองต้องการออกมา 


 


 


“ผมเลยคิดว่าหยุดสามวันอาจไม่พอขอเพิ่มอีกสองวันได้หรือเปล่าครับ ให้เธอลาห้าวันเป็นไงครับ? พักผ่อนก็เพื่อให้มีแรงเดินไปได้ไกลกว่าเดิม ครับๆๆ ขอบคุณครับหัวหน้า สวัสดีครับ” 


 


 


พอวางสายก็ขยิบตาให้เสี่ยวเชี่ยน เป็นไง พี่สุดยอดเลยใช่ปะล่ะ 


 


 


วิธีลางานที่ถูกต้องคือทำแบบนี้ เขาทำให้เสียวเหม่ยได้วันลาอันมีค่าเพิ่มอีกสองวัน เพอร์เฟค 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกหมดแรง 


 


 


“ฉันตกลงกับอาจารย์ไว้ว่าจะทำหกสิบวัน นายลางานให้ฉันก็ต้องเพิ่มวันทำออกไปอีกนะ” 


 


 


งานน่าเบื่อแบบนี้ในสายตาของเสี่ยวเชี่ยนรีบทำให้เสร็จไวๆเป็นดีที่สุด 


 


 


“รอผมกลับไปก่อนคุณค่อยทำสิ กว่าผมจะได้หยุดยาวแบบนี้คุณไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนผมเหรอ?” 


 


 


“งานนี้ก็แค่ทำตอนกลางคืนแปบเดียว นายก็อยู่กับฉันตลอดไม่ใช่หรือไง?” 


 


 


“ไม่ๆๆ มันต้องให้เวลากันทั้งสองคน พี่เห็นน้องอารมณ์ไม่ดี โรคย้ำคิดย้ำทำจะกำเริบได้ทุกเมื่อ—” 


 


 


“ฉันไม่ได้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ ฉันหายดีแล้ว นายอย่าคิดนะว่าช่วงไม่กี่วันนี้จะขังฉันไว้ในบ้านวันๆไม่ทำอะไรแล้วไปกลิ้งบนเตียงกับนายไม่หยุดเหมือนสัตว์น่ะ”  

 

 


ตอนที่ 591 ออกไปเที่ยวกับคนโง่

 

อวี๋เสี่ยวเฉียงได้สร้างเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นมากมาย


 


 


อย่างเช่น เขาได้ทำให้ผลไม้ที่แสนบริสุทธิ์สดใสอย่างแตงโมแฝงไว้ด้วยความหมายลามก


 


 


เขายังทำให้โรคย้ำคิดย้ำทำที่เธอแสนเกลียดใส่สีจนไม่อาจบรรยาย ต่อไปเธอคิดว่าเธอคงไม่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการล้างมือได้อีกแล้ว


 


 


เพราะแค่เธอได้ยินชื่อนี้ก็จะนึกถึง—


 


 


“หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแบบนี้คิดอะไรอยู่? นึกถึงตอนที่พี่ฉีดยาให้อยู่หรือเปล่า?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนชี้หน้าเขาอย่างหมดความอดทน


 


 


“อวี๋หมิงหลาง ถ้านายยังกล้าใช้พฤติกรรมไร้ยางอายสร้างความแปดเปื้อนให้กับงานของฉันอีกล่ะก็ ออกไปอยู่ข้างนอกเลย”


 


 


“สร้างความแปดเปื้อนอะไรกัน…ผู้นำยุคหนึ่งเคยสอนพวกเราว่า จะแมวดำแมวขาวถ้าจับหนูได้ก็เป็นแมวดีหมด เข็มบนตัวพี่กับเข็มฉีดยาของหมอ แค่มันรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำได้มันก็คือเข็มเหมือนกันแหละน่า”


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นเสี่ยวเชี่ยนมองซ้ายมองขวาคล้ายกับกำลังหาอะไร เขาจึงถามด้วยความสงสัย


 


 


“ลูกเชี่ยนหาอะไรอยู่เหรอ?”


 


 


“มีด ฉันจะสับไอ้เข็มเจ้าปัญหาของนายทิ้ง”


 


 


“เอ่อ…ก่อนจะถูกสับ ผมขอใช้มันหาความสุขเป็นครั้งสุดท้ายก่อน มาเถอะลูกเชี่ยน มามอบความสุขให้พี่คนนี้หน่อย”


 


 


“ออกไปเลย”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนก็พูดไปงั้น เธอจะสับจริงได้ยังไง


 


 


หลังจากถูกอวี๋หมิงหลางทั้งจูบทั้งคลำจนหายโมโห เขาจึงจับเธอนั่งบนตัก เธอนั่งเอนพิงไหล่ของเขาพลางกินข้าวเช้า+กลางวันที่เขาป้อนให้ประหนึ่งเป็นราชินี


 


 


“พูดตามตรง ช่วงหยุดจะให้ฉันอยู่บ้านกับนายทำเรื่องอย่างว่าทั้งวันไม่ได้หรอกนะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดกับเขาด้วยท่าทีจริงจัง


 


 


เธอคิดว่าถ้าไม่พูดให้ชัดเจน เขาได้ใช้ร่างกายพิสูจน์เพลงจำเลยรักแน่ๆ ‘ผมจะทำตั้งแต่ฟ้าสางยันฟ้ามืด ตั้งแต่ครัวไปถึงห้องน้ำ ผมจะถลกหนังคุณให้ราบคาบ ทายาแล้วก็จะทำต่อ ’


 


 


ก็ได้ เธอแก้เนื้อเพลงบางส่วน แต่เธอคิดจริงๆนะว่า ด้วยแรงมหาศาลอย่างกับสัตว์เขาทำแบบนั้นได้จริงๆ


 


 


เธอไม่อยากถูกขังอยู่กับผู้ชายที่กินไม่อิ่มแรงก็ยังมหาศาลถึงห้าวันหรอกนะ


 


 


เธอจินตนาการอีกห้าวันให้หลังตัวเองต้องถือไม้เท้าเดินออกจากบ้าน เดินขาถ่างแบบทุลักทุเล สายตาทอดยาวไปไกลพูดด้วยลมหายใจกระท่อนกระแท่น กลายเป็นผู้หญิงน่าสงสารคนแรกที่ถูกคนทำจนช่องคลอดระเบิด เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขนลุก เธอหันไปมองเขาด้วยความระแวง


 


 


ถึงแม้ว่าพอลงจากเตียงเขาจะชอบยิ้มโง่ๆทำตัวอ่อนโยนกับเธอเสมอ แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังพฤติกรรมไร้ยางอายของเขาในเรื่องบนเตียง อีกทั้งพอได้เริ่มก็ไม่สนการขัดขืนของเธอ ทำตัวประหนึ่งมีวิญญาณสัตว์ร้ายเข้าสิง เผด็จการบนเตียง


 


 


“มากสุดก็แค่ให้นายได้ตอนเย็น กลางวันไม่ได้” เสี่ยวเชี่ยนยื่นคำขนาดในการต่อรอง


 


 


“ผมก็แค่อยากรักษาโรคจิตเวชของคุณเท่านั้นเอง” เขาพูดด้วยความน้อยใจ


 


 


“ฉันไม่ต้องการ ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันโอเคสุดๆ จิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โรคย้ำคิดย้ำทำหายไปแล้ว สามารถขึ้นบันไดห้าชั้นโดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเลยล่ะ”


 


 


อยู่ๆอวี๋หมิงหลางก็อยากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บันไดห้าชั้น’


 


 


แต่พอนึกถึงแผนรักษาที่ศาสตราจารย์หลิวให้ เรื่องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บันไดห้าชั้น’ ก็ขอพักไว้ก่อนชั่วคราว


 


 


“ผมตั้งใจจะช่วยคุณปรับสภาพอารมณ์นะ ช่วงนี้คุณฝันร้ายหนักมาก ตอนผมอยู่ก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าผมกลับค่ายไปแล้ว คุณต้องฝันร้ายทุกคืนอีกเหรอ?”


 


 


อันที่จริงแผนรักษานี้ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนทำ


 


 


“ฉันยอมฝันร้ายทุกคืนดีกว่าเล่นกิจกรรมเข้าจังหวะกับนายทุกคืน”


 


 


อวี๋หมิงหลางหอมแก้มเสี่ยวเชี่ยนอย่างขำๆ “คุณคิดมากไปแล้ว การรักษาของผมไม่ได้ฉีดยา—แน่นอนว่าก็ยังต้องมีฉีด แต่จะให้ทำทั้งวันได้ยังไง ผมรู้ว่าเรี่ยวแรงของผมมันมีมากเกินไป คุณไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าผมปลดปล่อยกับคุณหมด คุณก็คงไม่ไหว ผมรู้น่า”


 


 


“เหอๆ…” นี่ขนาดรู้เมื่อคืนยังอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น


 


 


สายตาของเสี่ยวเชี่ยนเหลือบไปมองที่ชั้นวางรองเท้าที่ตอนนี้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไหนจะประตูห้องนอน สุดท้ายก็เตียงที่น่าสงสารที่เจอมรสุมมานับไม่ถ้วน


 


 


อวี๋หมิงหลางกระแอมเสียงด้วยความเขิน “แค่กๆ ที่พวกนี้คุณไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบเดี๋ยวพี่เปลี่ยนที่ให้—คุณว่า พวกเราไปตั้งแคมป์กันเป็นไง?”


 


 


“แคมป์เหรอ?”


 


 


“ใช่ หน้าร้อนวิวในภูเขาสวยนะ พวกเราเอาเต็นท์กับข้าวของเครื่องใช้ไปตั้งแคมป์กันดีไหม? ตอนเย็นยังนอนดูดาว ดูหิ่งห้อยด้วยกันได้ด้วย ซ้อมฮันนีมูน”


 


 


ฟังดูช่างเป็นอะไรที่สวยงาม บริสุทธิ์ไร้เดียงสา


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกลับชาติมาเกิดเธอก็ยุ่งเรื่องเรียนกับทำงานมาตลอด ไม่ได้มีเวลาเที่ยวเล่นเลย พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ตื่นเต้น


 


 


แต่ก็ยังแอบกังวลเล็กน้อย


 


 


“ไม่อันตรายเหรอ? อย่างเช่นถูกหมาป่าจับกิน ถูกหมูป่ากัด หรือมีเผ่ามนุษย์กินคนมัดพวกเราไปต้ม?”


 


 


อวี๋หมิงหลางขำ


 


 


“คุณคิดอะไรเนี่ย ผมจะพาคุณไปเขาเสี่ยวเจียวที่อยู่ในจุดชมวิวของเมืองนี้นะ ในเขตหมู่บ้านท่องเที่ยวแบบนั้นจะมีหมาป่าได้ยังไง?”


 


 


“…กางเต็นท์ในหมู่บ้านเนี่ยนะ พี่ชาย พี่ช่างเก่งจริงๆ”


 


 


นี่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆหรอกเหรอ?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนสามารถจินตนาการสีหน้าของชาวบ้านที่มาเห็นพวกเขาทำแบบนั้น ไม่แน่อาจไปเม้าท์กันลับหลัง พวกคนเมืองสมองมีปัญหากันหรือเปล่า?


 


 


เธอไม่มีทางไปลดระดับภาพลักษณ์คนเมืองกับเขาแน่นอน


 


 


“ในภูเขาอุณหภูมิแตกต่างกันเยอะ ไปนอนในป่ากลางคืนจะไม่เป็นหวัดเอาเหรอ? ผมน่ะไม่เป็นไร แต่รูปร่างผอมบางอย่างคุณทนไม่ไหวแน่ ดังนั้นครึ่งแรกเราก็ไปดูดาวชมหิ่งห้อย ครึ่งหลังเราก็นอนบนเตียงอุ่นๆมองแสงจากหลอดไฟ ฟังเสียงเสียวเหม่ยของผมร้อง—”


 


 


“อวี๋หมิงหลาง นายสิร้อง” เสียวเหม่ยโมโห


 


 


“อืมๆ ผมร้องๆ ต่อไปเวลาทำผมจะร้องแทนคุณเอง อ๊า~ดี~สุดยอดเลย~”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหยิบหมั่นโถวมาบี้หน้าเขา ลาก่อน


 


 


สุดท้ายเสี่ยวเชี่ยนก็เก็บข้าวของตามเขาไปเข้าป่า


 


 


เธอกับอวี๋หมิงหลางต่างงานยุ่งทั้งคู่ โอกาสที่จะได้มีเวลาว่างอยู่ด้วยกันนั้นมีไม่มาก ตอนนี้เธอได้ลาหยุดส่วนเขาเองก็มีเวลา ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันก็ดีไม่น้อย


 


 


จากเขตเมืองเข้าสู่เขตภูเขาใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า เขาเสี่ยวเจียวที่จะไปครั้งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับAAA สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่าหนึ่งพันเมตร มาตอนหน้าร้อนอากาศเย็นสบายพืชพรรณเขียวชอุ่ม ก่อนมาอวี๋หมิงหลางบอกว่าพามาหลบร้อน แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอก


 


 


ดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแบบนี้ หลบร้อนกับผีสิ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพกร่มกันแดดมาด้วย ซึ่งก็ได้กลายเป็นเหตุผลในการแซะเธอของอวี๋หมิงหลาง


 


 


“ลูกเชี่ยน ฝนไม่ได้ตกคุณยังจะเอาร่มมา แต่งตัวก็เหมือนจะไปกู้ระเบิด ใส่หมวกเท่าหลังคาบ้าน ไม่ร้อนเหรอ?”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวบอกอวี๋หมิงหลาง ขอแค่เขาพาเสี่ยวเชี่ยนมาเที่ยวที่นี่สองสามวัน รับรองกลับไปขอแต่งงานสำเร็จแน่


 


 


ก่อนมาเขาก็คิดว่าเที่ยวกลับไปครั้งนี้เสียวเหม่ยจะต้องรักเขามากขึ้นชัวร์


 


 


แต่ ไม่เลย…


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอาร่มในมือแทงไปที่อวี๋หมิงหลาง


 


 


“ยังจะมาพูด ฉันบอกให้ขับรถขึ้นมานายก็ไม่ฟัง” 

 

 


ตอนที่ 592 โกรธเกรี้ยวกับไม้เด็ด

 

 


 


เขตท่องเที่ยวนี้มีถนนขึ้นเขา ถึงจะขับรถขึ้นได้ตามทางที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ขับไปไม่ได้ถึงยอดเขา ไปได้แค่ครึ่งเขา แต่มันก็ใกล้จุดหมายปลายทางของพวกเขามากกว่า


 


 


ช่วงสองปีมานี้เนื่องจากมีละครแนวชนบทโด่งดังขึ้นมา รีสอร์ทในภูเขากับพวกฟาร์มต่างๆจึงเป็นที่นิยมมากขึ้นในประเทศ หน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่ได้สนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติท้องถิ่น จุดหมายปลายทางของเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางในครั้งนี้คือฟาร์มที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในเขตท่องเที่ยวภูเขาเสี่ยวเจียวที่ใช้เวลาขับรถไปชั่วโมงกว่า


 


 


ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนไม่เคยได้ยินชื่อสถานที่แห่งนี้ ฟาร์มชื่อดังในจินตนาการยังไงก็ต้องเป็นตึกหลังใหญ่โดดๆอยู่ในภูเขา สภาพแวดล้อมเงียบสงบสดชื่นมีสายน้ำไหลมีภูเขาโอบล้อม รถเข้าออกสะดวก เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆก็มีความทันสมัย ทุกอย่างสะดวกสบาย


 


 


แผนของเธอคือขับรถขึ้นเขา พอถึงครึ่งทางไปต่อไม่ได้แล้วก็จอดรถไว้ที่ลานจอดรถ จากนั้นก็เดินขึ้นเขากับอวี๋หมิงหลางไปนิดหน่อย ไม่กี่สิบนาทีก็คงถึงจุดหมายปลายทาง


 


 


แต่กลับถูกเขาปฏิเสธความต้องการอย่างสิ้นเชิง


 


 


เหตุผลของเขาคือ การมาขึ้นเขาก็ต้องให้ความรู้สึกของการมาเที่ยวหน่อย ถ้าไม่ได้เหงื่อจะกล้าพูดเหรอว่ามาขึ้นเขา?


 


 


เขายังกล้าบอกเสี่ยวเชี่ยนอีกว่า ชั่วโมงเดียวก็ไปถึงจุดหมายแล้ว ปรากฏว่าตอนนี้ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ถึง


 


 


เขาเป็นคนแบกกระเป๋ากับสัมภาระ เสี่ยวเชี่ยนกางร่มดูแลตัวเองก็พอแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ยังเหนื่อยเสียจนเหมือนขาจะหลุด


 


 


“อดทนหน่อยนะเบบี๋ เดี๋ยวก็ถึงแล้ว” อวี๋หมิงหลางยังคงดูสดชื่น ไม่ได้มีอาการเหนื่อยล้าเลยสักนิด


 


 


“ฉันไม่เดินแล้ว ฉันจะไม่เดินอีกแล้วแม้แต่ก้าวเดียว ไอ้คนหลอกลวง ไหนว่าชั่วโมงเดียวก็ถึงไง?” เสี่ยวเชี่ยนไม่สนเรื่องภาพลักษณ์อีกต่อไปแล้ว เธอหาก้อนหินใหญ่นั่งพักเป็นตายก็ไม่ขอขยับ


 


 


“ผมไม่ได้หลอกคุณนะ ถ้าตามความเร็วของพวกเรา ชั่วโมงเดียวนี่ถือว่าช้าแล้ว ใครจะไปคิดว่าคุณจะอ่อนแอขนาดนี้…”


 


 


พูดความจริงโดนทุบแน่นอน แล้วอวี๋หมิงหลางก็โดนทุบอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอาร่มตีเขา “ยังจะกล้าพูด ร่างกายผิดมนุษย์อย่างพวกนายเอามาเทียบกับฉันได้เหรอ?”


 


 


“เป็นเพราะปกติคุณไม่ออกกำลังกายชัดๆ ดูคุณสิ เดินสองก้าวพักสามนาที ความเร็วแบบนี้ฟ้ามืดพวกเราก็ยังไม่ถึงจุดหมาย”


 


 


“ฉันไม่เดินแล้ว นายอยากไปก็ไปคนเดียวเลย ฉันจะกลับบ้าน” อากาศร้อนๆแบบนี้พาตัวเองมาทรมานเหมือนคนเพี้ยน ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนผิดหวังจริงๆที่รับปากเขา


 


 


“เสียวเหม่ย รู้ไหมว่าทำไมผมพาคุณออกมาเที่ยว?”


 


 


“เพื่อทรมานฉัน?”


 


 


“ผิด เพราะความหมายของการท่องเที่ยวก็เหมือนกับชีวิตคู่ หนทางยาวไกลย่อมมีอุปสรรคเสมอ แล้วแค่เจออุปสรรคจะยอมถอยได้ยังไง?”


 


 


ปรัชญามาเต็ม พูดได้มีเหตุผลชนิดที่ไม่มีอะไรมาหักล้างได้


 


 


“งั้นฉันก็ไม่ควรมาตั้งแต่แรก” ให้เธอขลุกตัวเขียนงานอยู่ในบ้านเปิดดูคอลเลคชั่นเสื้อผ้าไม่ดีกว่าเหรอ ออกมาตั้งไกลแถมยังเหนื่อยจนแทบคลานมันเพื่ออะไรกัน


 


 


“ดูซิ คุณสุดโต่งแบบนี้อีกละ มา ดูวิวรอบๆนี่สิ เสียงน้ำตกไพเราะจับใจ เดี๋ยวพอถึงยอดเขานะพวกเราก็จะได้ดื่มด่ำกับท้องฟ้าอันสดใส ดินแดนสวรรค์อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา”


 


 


ต่อให้เขาจะบรรยายได้ดีแค่ไหน เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่มีทางหลงไปกับอะไรแบบนี้


 


 


“นายแน่ใจว่าสภาพของฉันตอนนี้จะมีแรงอยู่รอดถึงแดนสวรรค์ที่นายพูดถึง?”


 


 


“มีคนบอกว่าก่อนแต่งงานทางที่ดีให้ไปเที่ยวด้วยกันครั้งหนึ่ง เรื่องนี้มีเหตุผลจริงๆ นี่ถ้าไม่พาคุณออกมาจากห้องแอร์ ผมคงไม่ได้เห็นท่าทางในตอนนี้ของคุณ”


 


 


ภาพของเสี่ยวเชี่ยนในความทรงจำของอวี๋หมิงหลางคือเป็นสาวทำงานเก่ง อารมณ์งี่เง่าแบบนี้เขาแทบไม่เคยเห็น


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโมโหพองขน


 


 


“อวี๋หมิงหลาง ฉันจะไม่เดินแล้ว นายจะทำอะไรก็เชิญ” เสี่ยวเชี่ยนหรี่ตามองไปยังเส้นทางที่เดินยากขึ้นเรื่อยๆแล้วในใจก็เกิดความสงสัย


 


 


“นายแน่ใจว่าเราไม่ได้มาทางผิดนะ?” ทำไมยิ่งเดินคนยิ่งน้อยลง ยิ่งเดินทางยิ่งลำบาก?


 


 


ตอนซื้อตั๋วเธอได้ถามพนักงานของที่นี่ ภูเขาแห่งนี้ขับรถไปได้ถึงครึ่งทาง ทำไมเธอกับอวี๋หมิงหลางเดินกันมาตามทางกลับมาอยู่ตรงที่ที่ไม่เห็นมีใครเลยแบบนี้?


 


 


พอเห็นทางแคบๆคดเคี้ยวเดินลำบากที่อยู่ข้างหน้า เสี่ยวเชี่ยนก็หมดอารมณ์จะเดินต่อ


 


 


“คุณกำลังสงสัยความสามารถในการแยกทิศของทหารหน่วยรบพิเศษเหรอ? ตามพี่มาน้องจะหลงทางได้เหรอ? พวกเราเข้าไปฝึกในภูเขาบ่อยๆนะ การฝึกในเขตภูเขาเป็นหนึ่งในวิชาฝึกของเรา”


 


 


พูดด้วยน้ำเสียงแห่งความภูมิใจ~


 


 


“งั้นนายบอกฉันซิ ว่าทำไมทางแถวนี้ไม่มีคนเลย?” เสี่ยวเชี่ยนมองเขาด้วยความสงสัย


 


 


ถึงตอนนี้จะไม่ใช่วันหยุดเทศกาล คนที่มาเที่ยวมีไม่เยอะ แต่ก็คงไม่ถึงกับเดินมาหนึ่งชั่วโมงไม่เจอใครเลยไหม? ตอนเพิ่งเริ่มขึ้นเขานักท่องเที่ยวยังเยอะอยู่เลย


 


 


“ทุกคนต่างมีเป้าหมายขึ้นถึงยอดเขา แต่คนธรรมดานั้นรู้แต่ทางเดินขึ้นให้ถึงไวที่สุด มีหรือจะเข้าใจการดื่มด่ำของพวกเรา? เส้นทางนี้พี่เป็นคนตั้งใจเตรียมมาเอง เดินไปอีกหน่อยก็จะได้เห็นวิวเด็ดที่ไม่มีใครรู้ เดินถัดไปอีกนิดก็จะเจอน้ำตกที่แสนโออ่าใหญ่โต จากนั้นถ้าเดินต่อไป—”


 


 


“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ นายหมายความว่า นายพาฉันเดินอ้อมใช่ไหม?” เสี่ยวเชี่ยนที่ถนัดในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่งรู้ความจริงเข้าแล้ว


 


 


อวี๋หมิงหลางแก้ไขคำพูดเธอ


 


 


“ผมแค่ไม่เดินตามทางปกติ”


 


 


เดินตามทางที่ทุกคนไปกันจะสนุกอะไร?


 


 


นี่ดีจะตาย รู้สึกเหมือนเป็นภูเขาส่วนตัว มีแค่เธอกับเขาท่ามกลางความเขียวชอุ่ม นี่แหละการท่องเที่ยวที่แท้จริงในสายตาของอวี๋หมิงหลาง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากจะหักคอเขาให้ตาย


 


 


“อวี๋ เสี่ยว เฉียง งั้นก็หมายความว่ามันควรจะไปถึงได้แล้ว แต่นายพาฉันอ้อมเขา นายหลอกให้ฉันเดินเป็นคนโง่มาตั้งนาน แม่งเอ๊ย ที่นี่ไม่มีสัญญาณ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหยิบมือถือออกมาดูก็พบว่าไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว


 


 


ต่อให้ตอนนี้อยากเรียกรถลงเขาก็ทำไม่ได้ ติดอยู่ตรงที่ครึ่งๆกลางๆแบบนี้ ชีวิตอันชาญฉลาดของเธอ ไม่สิ ชีวิตอันชาญฉลาดทั้งสองชาติของเธอไม่เคยทำเรื่องโง่ๆแบบนี้มาก่อนเลย ทำไมพอเจอเขา ไอคิวของเธอก็เจอกับการท้าทาย?


 


 


“ลูกเชี่ยน เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคุณจะบ่นก็ดี จะไม่ยินยอมก็ช่าง แต่พวกเราเดินกลับไม่ได้แล้ว ขอแค่คุณเดินตามผมไปก็พอ การบ่นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เวลาเกิดเรื่องเราต้องคิดหาวิธี หนีไม่ได้พวกเราก็ดื่มด่ำกับวิวไปสิ”


 


 


อวี๋หมิงหลางพยายามโน้มน้าวอีกรอบ อารมณ์ของเสี่ยวเชี่ยนพุ่งมาถึงขีดสุดแล้ว


 


 


เธอกระโดดลงจากก้อนหินแล้วถีบอวี๋หมิงหลางเต็มแรง


 


 


“ไปดื่มด่ำคนเดียวเลยไป”


 


 


รู้อยู่แล้วว่าเสียวเหม่ยต้องอาละวาด เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าอันโกรธเกรี้ยวของเสี่ยวเชี่ยนเขาก็ไม่ได้ตกใจลนลาน ถึงขนาดที่ว่าภูมิใจด้วยซ้ำ


 


 


เขาคิดแผนสำรองไว้อยู่ก่อนแล้ว เชื่อว่าเสียวเหม่ยจะต้องชอบเขามากขึ้นอย่างแน่นอน หึหึ


 


 


แผนการรักษาของศาสตราจารย์หลิวก็คือให้อวี๋หมิงหลางพาเสี่ยวเชี่ยนมาขึ้นเขาอันนี้ไม่ผิดแน่


 


 


แต่เรื่องเปลี่ยนเส้นทาง เลือกทางที่เดินยากไม่ค่อยมีคน ทำให้เสี่ยวเชี่ยนโมโห ทดสอบความอดทนของเสี่ยวเชี่ยน ทั้งหมดนี้อวี๋หมิงหลางคิดเองทั้งนั้น


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนจะระเบิดอารมณ์แล้ว อวี๋หมิงหลางจึงใช้ไม้เด็ด

 

 

 


ตอนที่ 593 ระเบิดกับความประทับใจ

 

“ลูกเชี่ยน คุณเหนื่อยมากใช่ไหม?”


 


 


“พูดมาก” ให้คนที่วันๆใช้แต่สมองอย่างเธอมาเดินทางไกลแบบนี้ ไม่เหนื่อยก็บ้าแล้ว


 


 


“มา เดี๋ยวพี่แบกเอง”


 


 


ฮ่าๆๆ ไม้เด็ดเจ๋งปะล่ะ เขาล่ะนับถือตัวเองจริงๆ อวี๋หมิงหลางทนมาตั้งนานก็เพื่อตอนนี้นี่แหละ


 


 


ทางแคบๆเปลี่ยวๆไร้ผู้คนในภูเขา ลูกเชี่ยนของเขาที่เหนื่อยล้ากำลังจะหมดแรง เวลานี้ผู้ชายร่างกำยำอย่างเขาเสนอตัว แบกร่างน้อยๆเดินตามเขาไปเรื่อยๆ มือเล็กๆของเธอช่วยปาดเหงื่อบนหน้าผากให้เขา อีกทั้งยังมอบจูบอันร้อนแรงให้ พูดกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า พี่นี่ดีจังค่ะ เป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้จริงๆ กลับไปฉันจะแต่งงานด้วย


 


 


ทั้งหมดนี่ล้วนมาจากจินตนาการของอวี๋หมิงหลาง


 


 


ซึ่งก็คือต้องการให้เสียวเหม่ยเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ในเวลาสำคัญ เสนอตัวยามคับขัน การทำแบบนี้เสียวเหม่ยจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน เธอจะต้องรักเขามากขึ้นชัวร์


 


 


อะดรีนาลีนในร่างกายของเสี่ยวเชี่ยนพุ่งปรี๊ด สองมือกำหมัดแน่น


 


 


ผู้ชายทุเรศตรงหน้าทำท่ากางแขนออกหลับตาพริ้ม มาเลย มาให้พี่ที่สุดแสนจะพึ่งพาได้นี้กอดหน่อย~


 


 


อวี๋หมิงหลางหลับตา เตรียมตัวกอดเสี่ยวเชี่ยนที่จะโผเข้าหาด้วยความประทับใจ แต่อ้อมกอดอันแสนอบอุ่นยังไม่ทันจะได้มาก็เจอเข้ากับร่มสังหารของเสี่ยวเชี่ยนเข้าเสียก่อน โชคดีที่เขาหลบทัน ไม่อย่างนั้นผู้หญิงใจร้ายคนนี้ได้ใช้ร่มระเบิดเขาแน่


 


 


ระเบิดจริงๆ ใช่ เดี๋ยวได้ระเบิดเต็มภูเขาแน่


 


 


อวี๋หมิงหลางหลบร่มของเสี่ยวเชี่ยนอย่างฉิวเฉียว เขาเอามือกุมน้องชายอย่างรวดเร็วพลางมองเสี่ยวเชี่ยนที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต


 


 


“ลูกเชี่ยน ทำอะไรน่ะ”


 


 


“ยังจะกล้าถาม นายมันบ้าพาฉันเดินอ้อมมาติดอยู่ในเขา แล้วยังจะทำหน้าเหมือนเป็นฮีโร่ช่วยชีวิต ระเบิดน้องชายนายยังน้อยไปด้วยซ้ำ”


 


 


คนอื่นที่เขาเป็นฮีโร่ช่วยสาวมีแต่สาวตกอยู่ในความลำบากแล้วถึงออกตัวช่วย แต่ ‘ความลำบาก’ ทั้งหมดของเธอล้วนมาจากไอ้คนหน้าไม่อายนี่เป็นคนทำ เป็นผู้ชายที่ไม่มีเรื่องก็หาเรื่องมาให้ ระเบิดน้องชายยังจะน้อยไป


 


 


“ยังจะยืนโง่อยู่อีก มาแบกฉันสิ ตอนนี้นายเป็นนักโทษนะ”


 


 


อวี๋หมิงหลางลังเล เขาคาดเดาจากสีหน้าของเสี่ยวเชี่ยนด้วยความระมัดระวัง “คุณแน่ใจนะว่า…จะไม่ลงมือหลังจากผมแบก?”


 


 


ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชายอกสามศอก ถ้าถูกเมียตัวเองแทงจากข้างหลัง แล้วชีวิตต่อๆไปจะอยู่อย่างไร?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถลึงตาใส่ เขาถึงได้ค่อยๆเดินเข้ามาแบกเธอ เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ทำร้ายเขารุนแรงจากทางด้านหลัง แต่ก็ไม่ไว้ชีวิต เอามือหยิกหูอย่างเต็มแรงแล้วออกคำสั่ง


 


 


“รีบเดินไป ฉันทั้งหิวทั้งร้อนเพราะนายคนเดียว”


 


 


อวี๋หมิงหลางแบกเสี่ยวเชี่ยนอย่างยอมรับชะตากรรม เขาเดินทีละก้าวด้วยความยากลำบากผ่านทางเดินแคบๆ กระเป๋าเป้สะพายข้างหน้า แบกเมียไว้ข้างหลัง เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่ลำบากตัวเองทั้งสิ้น เอาร่มแขวนไว้กับกระเป๋าเป้ ไม่ต้องเหนื่อยถือเอง


 


 


มือของเสี่ยวเชี่ยนลูบคลำแถวๆกระเป๋าที่อยู่ข้างหน้าเขา ในที่สุดก็หยิบกระบอกน้ำออกมาเปิดได้ อวี๋หมิงหลางคิดในใจ เมียเราก็ยังแอบเป็นห่วงเราแฮะ เขาจึงอ้าปากรอ แต่กระบอกน้ำก็ลอยผ่านหน้าให้เขาได้ดมเพียงกลิ่นน้ำ แล้วเสี่ยวเชี่ยนก็ยกดื่มเอง เธอจงใจดื่มน้ำเสียงดัง


 


 


ยัยตัวแสบ…


 


 


อวี๋หมิงหลางแอบหยิกก้นเธอด้วยความหมั่นเขี้ยว เสี่ยวเชี่ยนเอากระบอกน้ำออกจากปากแล้วส่งเสียง หึ ออกมา


 


 


“นายอยากโดนระเบิดด้วยร่มเป็นครั้งแรกหรือไง?”


 


 


“ทำไมผมถึงได้หาผู้หญิงที่เอะอะก็คิดจะระเบิดสามีมาเป็นเมียได้นะ?”


 


 


“งั้นกลับตัวตอนนี้ก็ยังทันนะ วางฉันลงแล้วตัดขาดกันไปเลย เอาสิ”


 


 


อวี๋หมิงหลางกล้ายั่วโมโหเธอที่ไหนกันล่ะ ปากเก่งไปงั้น พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็ทำตัวว่าง่าย เดินไปอย่างเงียบๆ


 


 


ทางไม่ค่อยดี ค่อนข้างขรุขระ แต่เขาก็แบกเธอเดินไปง่ายๆไร้ความเหนื่อยล้า เสี่ยวเชี่ยนซบลงบนบ่าเขา หรี่ตาพลางพูดอย่างสบายๆ


 


 


“เห็นอย่างนี้แล้ว วิวภูเขาก็สวย อากาศก็ดี พอเปลี่ยนมุมมอง อะไรๆจากที่ขัดหูขัดตาก็ดูสวยขึ้นเยอะเลยนะ”


 


 


ปรัชญาชีวิตที่ถูกเขาหรอกหูเมื่อครู่ กรอกคืนกลับไป


 


 


“หึ ความสุขของคุณอยู่บนภาระของผม พอใจหรือยังล่ะยัยตัวแสบ”


 


 


“มันก็เพราะนายทำตัวเองไม่ใช่หรือไง มีทางดีๆให้ไปถึงจุดหมายเร็วๆไม่เดิน จะพามาลำบากให้ได้”


 


 


“ก็เพราะอยากให้คุณมีความสุขไม่ใช่หรือไงเล่า”


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดด้วยความน้อยใจ ปรากฏว่าเสียวเหม่ยไม่เพียงแต่จะไม่พอใจ ยังเกือบระเบิดน้องชายเขาด้วย


 


 


“พฤติกรรมอยู่ดีๆก็หาเรื่องใส่ตัวของนาย คนโง่เท่านั้นแหละที่จะมีความสุข”


 


 


อวี๋หมิงหลางเงียบ เม้มปากแล้วเดินย่ำไปข้างหน้า


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหงุดหงิดกับเขาไม่กี่นาทีก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาเหงื่อออก พอนึกได้ว่าตั้งแต่ขึ้นเขามาเขายังไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักหยด กลัวเขาจะไม่สบาย เลยเปิดกระบอกน้ำยื่นไปให้ที่ปาก อวี๋หมิงหลางเบือนหน้าหนีอย่างงอนๆ


 


 


“ไม่กิน เอาให้ขาดน้ำตายไปเลยคุณจะได้รู้สึกผิด”


 


 


โอ้โหเฮะ มีงอน?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางของเขาก็ทั้งโมโหทั้งขำ เธอจึงอมน้ำแล้วยื่นหน้าเข้าไป เขาเหลือบมองแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาเหมือนคนกระหายน้ำมาหลายปี ไม่เพียงแต่จะรับน้ำเข้าท้องตัวเอง ยังใช้ลิ้นเล่นซุกซนในปากเธอ ความโกรธที่มีได้ระบายออกมาแล้ว—ตัวเขาคิดว่าอย่างนั้น


 


 


ความโกรธระหว่างคู่รักก็เหมือนกับฝนเดือนหก มาไวไปไว เมื่อกี้ยังตั้งแง่ใส่กัน แต่พอได้ป้อนน้ำลงท้องก็กลับมาอารมณ์ดี


 


 


“อีกนานแค่ไหน?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง เขาแบกเธอเดินมาสิบกว่านาทีแล้ว


 


 


“เดี๋ยวก็ถึงแล้ว คุณเห็นเส้นขอบตรงนั้นไหม ผ่านตรงนั้นไปก็ถึงแล้ว”


 


 


“นายแน่ใจนะว่าในที่เปลี่ยวแบบนี้จะมีบ้านพักที่ดังๆน่ะ?” ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนเกิดความสงสัยในทุกคำพูดของอวี๋หมิงหลาง มีแฟนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวแบบนี้น่าปวดหัวจริงๆ


 


 


“แน่นอน ดังมาก”


 


 


“งั้นนายวางฉันลง ทางตรงนี้เดินลำบาก” เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาจะเดินขึ้นเนิน จากมุมนี้คือชันมาก


 


 


“ไม่เป็นไร ลูกเชี่ยนเลือกผมก็เท่ากับเลือกชีวิตที่ปลอดภัย พี่จะทำให้น้องไร้ความกังวลไปตลอดชีวิต ก็แค่ทางชันไม่ใช่เหรอ? พอจับมือคุณแล้วผมก็ไม่เคยคิดจะปล่อย”


 


 


อวี๋หมิงหลางเก็บมาตลอดทาง ในที่สุดก็มีโอกาสได้พูดบทที่เตรียมไว้มาตั้งนาน


 


 


หึหึ ไม่เชื่อหรอกว่าเสียวเหม่ยจะไม่ประทับใจ


 


 


ศาสตราจารย์หลิวบอกเขาว่า เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงหวาดกลัวการแต่งงาน มันเป็นการแสดงออกของจิตใต้สำนึกที่ไม่ยอมรับเรื่องการแต่งงาน ท่าทีของเธอที่มีต่อการแต่งงานก็คือแอบตั้งความหวังแต่ก็กลัวเจ็บปวด และในฐานะที่เป็นผู้หญิงแกร่ง เธอจึงไม่ยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบนั้น ถึงได้มีแนวโน้มเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน


 


 


แผนรักษาที่ศาสตราจารย์หลิวให้ก็คือให้อวี๋หมิงหลางพาเสี่ยวเชี่ยนหลีกหนีจากความวุ่นวาย เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไร้ความเครียดแล้วก็ทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกได้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ และทำให้เห็นว่าคนอื่นก็มีชีวิตแต่งงานที่เรียบง่ายและมีความสุข เพื่อลดความกังวลของเธอ จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้เริ่มเปิดใจคุยกับเธอ ลดความกดดันที่มีอยู่ในใจโดยที่เธอไม่รู้ตัว


 


 


อวี๋หมิงหลางจึงตั้งใจเตรียมบทพูดนี้มาเป้นพิเศษ ลูกเชี่ยนจะต้องรักเขามากขึ้นอย่างแน่นอน แล้วยังจะต้องกลัวเธอไม่แต่งงานกับเขาอีกเหรอ? 

 

 


ตอนที่ 594 ประทับใจกับช่วยสาว

 

แบบนี้ใช้ได้ ไม่พลาดแน่


 


 


เสี่ยวเชี่ยนประทับใจจริงๆ


 


 


ถึงแม้เธอจะไม่พอใจในความโง่ที่เขาพามาลำบาก แต่เขาแบกเธอเดินมาตั้งไกล อีกทั้งยังสารภาพจากใจจริง ความโกรธเคืองที่มีก็หายไปหมด


 


 


แต่พอเธอเห็นสิ่งที่อยู่ๆก็ปรากฏตรงหน้า ความประทับใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจกลัว


 


 


“มีงู” เธอกระซิบข้างหูเขา การกรีดร้องตามสัญชาตญาณได้ถูกเธอเอามือปิดปากไว้ก่อน เธอรู้ว่าตะโกนแหกปากไปตอนนี้มีแต่จะดึงความสนใจงูให้เข้ามา ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด


 


 


อวี๋หมิงหลางมองไปข้างหน้า งูสีเขียวตัวหนึ่งเลื้อยเข้าพงหญ้าบนเนินที่พวกเขากำลังจะปีนขึ้นไปอย่างเอื่อยๆ แต่มันกลับไม่ไปไหนไกล หางครึ่งหนึ่งโผล่ออกมาข้างนอก


 


 


“มีพิษหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนถาม


 


 


“พวกเราโชคดีนะเนี่ย” อวี๋หมิงหลางพูดอย่างสบายๆ


 


 


“อ่อ ไม่มีพิษ” เสี่ยวเชี่ยนโล่งอก เธอจำได้ในหนังสือบอกไว้ว่า งูสีเขียวใช่ว่าจะมีพิษทุกตัว งูเขียวตัวเล็กๆไม่มีพิษ


 


 


“มีพิษสิ พิษร้ายแรงด้วย ลูกเชี่ยนดูมันสิ นิ่งมาก พอเห็นคนแล้วยังไม่ยอมถอย อีกทั้งยังค่อยๆเลื้อยเข้าพงหญ้า สภาพที่ดูครึ่งหลับครึ่งตื่นแบบนี้เหมือนคุณไหม?”


 


 


น้ำเสียงของอวี๋หมิงหลางไม่ทุกข์ไม่ร้อน คล้ายกับว่าเรื่องที่คุยไม่ใช่งูพิษที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่กี่เมตร แต่เป็นดอกไม้พันธุ์หายาก


 


 


“” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนเส้นผมกำลังจะตั้งชัน


 


 


“วิธีสังเกตงูมีพิษกับไม่มีพิษจริงๆมันง่ายมากเลยนะ ถ้ามันเห็นคุณแล้วเลื้อยหนีก็แสดงว่าไม่มีพิษ แต่ถ้าเป็นอย่างงูตัวนี้ที่เห็นพวกเราแล้วยังนิ่งเฉยก็แสดงว่ามีพิษ ผมว่านะลูกเชี่ยน พวกเราถูกรางวัลใหญ่แล้วล่ะ นี่คืองูเขียวไผ่”


 


 


หนึ่งในงูมีพิษอันตรายในบ้านเรา พบเจอได้มากในทางตอนใต้ แล้วทำไมถึงมาอยู่ในภูเขาทางเหนือ นี่คือปริศนา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากจะอัดผู้ชายคนนี้จริงๆ นี่มันเวลาไหนแล้วยังจะมาให้ความรู้วิชาการ?


 


 


เธอก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ชอบสัตว์ร้ายตัวอ่อนนิ่มแบบนี้ แค่เห็นก็ขนลุกไปทั้งตัว แต่ไม่รู้ทำไม พอถูกเขาแบกอยู่อย่างนี้ ความกลัวที่มาจากสัญชาตญาณกลับน้อยลงไปมาก


 


 


คล้ายกับว่ามีเขาอยู่ข้างกาย ต่อให้ฟ้าถล่มเธอก็ไม่กลัว


 


 


ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีนี้ เสี่ยวเชี่ยนคิดไปต่างๆนานา


 


 


“ปล่อยฉันลง” เธอพูดกับอวี๋หมิงหลาง ด้วยฝีมือระดับอวี๋หมิงหลางจะต้องรู้แน่ว่าต้องทำอย่างไร แต่เขาแบกเธอไว้อย่างนี้ไม่แน่อาจไม่รอดทั้งสองคน


 


 


“เสียวเหม่ย ขอโทษนะ แต่ขอคุณอย่าโจมตีผมจากทางข้างหลังอีก”


 


 


“เสียวเหม่ย ถ้าชาติหน้ามีจริงคุณจะยอมแต่งงานกับผมไหม” พอตะโกนเสร็จเสี่ยวเชี่ยนก็ถูกเขาสะบัดจนกระเด็น


 


 


ตอนนี้เธอกับเขายืนอยู่ตรงเนินเล็กๆ ท่าทางของเขาเมื่อครู่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนกระเด็นไปด้านหลัง เขาเหวี่ยงเธออย่างมีเทคนิค ทำให้เธอแค่กระเด็นลงไปนั่งบนพงหญ้า ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่พอเธอเห็นเขาพุ่งไปจับงู หัวใจก็เหมือนจะหยุดเต้น ทุกอย่างมืดสนิท


 


 


เธอหลับตาปี๋แทบลืมหายใจ วินาทีนั้นเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง


 


 


เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าอวี๋หมิงหลางถูกงูพิษกัดเธอควรทำอย่างไร ความรู้รอบตัวกับความกล้าเตลิดหายไปหมดแล้ว ถึงขนาดรู้สึกว่าการที่เธอเลือกความตายเมื่อชาติก่อนยังไม่น่ากลัวเท่าตอนนี้


 


 


ในเวลานี้เสี่ยวเชี่ยนยอมถูกงูกัดยังดีเสียกว่าให้ลืมตาไปดูว่าเขาถูกงูกัดหรือเปล่า


 


 


ตัวเขาสำคัญต่อเธอมากกว่าตัวเธอเองตั้งแต่เมื่อไรเธอก็ไม่รู้ คำถามนี้ยากที่จะหาคำตอบ ก็เหมือนกับที่คนเราไม่รู้ว่าดอกไม้ดอกแรกจะบานเวลาไหน


 


 


บนใบหน้ามีน้ำใสๆหยดไหลออกมา เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่านั่นเป็นน้ำตาของเธอ ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนี้สมองของเธอว่างเปล่า


 


 


ปฏิกิริยาทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสัญชาตญาณทั้งนั้น


 


 


“Hi~ลูกเชี่ยน มาดูเร็ว~”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนลืมตา อวี๋หมิงหลางยืนอยู่บนเนินพร้อมงูในมือ ลำตัวของงูตัวนั้นพันอยู่ที่แขนเขา เสี่ยวเชี่ยนตกใจหน้าซีด


 


 


“รีบทำให้มันตายสิ”


 


 


เธอกลัวเขาจะจับไม่แน่นแล้วถูกงูกัด งูตัวอ่อนนิ่มนั่นเห็นแล้วน่ากลัวมาก


 


 


“ไม่นะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆก็จะไม่ฆ่า นี่ก็คือหนึ่งชีวิต ลูกเชี่ยนมานี่ทีสิ เอาถุงผ้าในกระเป๋าผมออกมาให้หน่อย”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอดทนต่อความกลัวเดินเข้าไป รู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้เจ้าตัวนั้นหัวใจเธอก็ยิ่งเต้นแรง


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่กลัวเลยสักนิด อีกทั้งยังยกงูในมือชูให้เสี่ยวเชี่ยนดู


 


 


“ลูกเชี่ยน ดูสินี่ร่างเดิมงูเขียวในละครเรื่องนางพญางูขาวไง น่ารักไหม?”


 


 


ไม่น่ารัก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรีบหยิบถุงผ้าออกมาด้วยใบหน้าซีดเซียว อวี๋หมิงหลางให้เธอถอยออกไปหน่อยแล้วรีบจับงูลงถุงจากนั้นก็มัดปากถุงให้แน่น


 


 


“ฮ้าฮา~ฮ้าฮา~ซีหูอันสวยสด ท้องฟ้าในเดือนสาม ล้าลาลา~” ยังจะมีอารมณ์ร้องเพลงประกอบละครนางพญางูขาว


 


 


“นายจะฆ่ามันให้ตายไม่ได้หรือไง น่ากลัวจะตาย” หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่ามีอันตราย เหงื่อเธอก็แตกจนชุ่มเสื้อผ้า


 


 


ภายในช่วงเวลาสั้นๆเมื่อครู่ เธอได้ผ่านความทุกข์ที่เกือบสูญเสียเขาไป ในใจเธอกลัวมากจริงๆ


 


 


เธอไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวไม่ได้เจอเขาอีก


 


 


แต่ตาบ้านี่กลับใช้มือเปล่าจับงูโดยไม่กลัว พอเห็นเขายิ้มอย่างสนุกสนาน เสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองเป็นบ้าไปเอง


 


 


“พวกเราเป็นคนนอกที่เข้ามารุกรานพื้นที่ของเขาแล้วยังจะไม่ให้คุณเสี่ยวชิงออกมาปกป้องพื้นที่เหรอ? ทุกคนต่างกลัวงู แต่ทุกปีมีคนถูกงูกัดตายมากกว่าหรือคนที่กินงูมีมากกว่า? พวกเราถ้าไม่มีอะไรก็อย่าทำร้ายเขาเลย เดี๋ยวพาเขาไปปล่อยที่อื่น”


 


 


ถึงด้วยอาชีพของอวี๋หมิงหลางจะเคยชินกับการยิงปืนเห็นการนองเลือด แต่เขาไม่เคยทำร้ายสิ่งมีชีวิตอย่างไร้เหตุผล ต่อให้เป็นงูตัวเล็กๆในสายตาของเขามันก็คือชีวิตหนึ่ง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้จะบรรยายอวี๋หมิงหลางในเวลานี้อย่างไรดี เขามีพละกำลังที่แข็งแกร่งแต่กลับไม่ใช้ไปรังแกคนหรือสัตว์ที่อ่อนแอ ถึงแม้เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ90%จะชอบตัวโง่ๆซื่อบื้อๆ แต่อีก10%ที่เหลือมีความแมนมากพอที่จะทำให้เธอฝากชีวิตไว้กับเขา


 


 


เรื่องจะใหญ่แค่ไหนแต่พอมาถึงตัวเขากลับไม่ใช่เรื่อง อยู่กับเขาเสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องกลุ้มอะไรทั้งนั้น เพราะตรงไหนที่มีอวี๋หมิงหลางอยู่ ปัญหาก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป


 


 


“ลูกเชี่ยน คุณอยากจะเก็บคุณเสี่ยวชิงไว้ไหม? คุณไม่คิดว่ามันน่ารักเหรอ?”


 


 


อวี๋หมิงหลางยกถุงขึ้น เสี่ยวเชี่ยนมองสิ่งที่อยู่ในถุงที่กำลังขยับตัวแล้วก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “นายรีบเอามันไปทิ้งเถอะ…”


 


 


“ก็ได้ คุณไม่ชอบเขางั้นเดี๋ยวผมจะปล่อยเขากลับไปบำเพ็ญตบะต่อในภูเขา หวังว่าเขาจะกลายเป็นเทพในเร็ววันนะ~”


 


 


“นับตั้งแต่สร้างประเทศ สัตว์ก็ห้ามกลายเป็นเทพ” เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงพูดจาไร้สาระออกมาได้ทั้งๆที่ยังหวาดกลัว เธอคิดว่าอาจติดเชื้อติงต๊องมาจากอวี๋หมิงหลาง


 


 


“ลูกเชี่ยน คุณไม่คิดว่างูตัวนี้ปรากฏตัวได้ถูกเวลาเหรอ? มันออกมาในเวลานี้คุณรู้สึกไหมว่าผมดูเป็นลูกผู้ชายมาก?”


 


 


“ก็แมนจริงๆน่ะแหละ” เสี่ยวเชี่ยนนึกถึงตอนที่เขาเหวี่ยงเธอให้ไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้วตัวเองไปจับงู ในใจก็รู้สึกอบอุ่น


 


 


“งั้นคุณจะยอมจับมือผู้ชายที่พึ่งพาได้คนนี้ไปด้วยกันตลอดชีวิตไหม?” อวี๋หมิงหลางรอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

 

 

 


ตอนที่ 595 โป๊ะแตกกับโกรธ

 

ศาสตราจารย์หลิวบอกกับอวี๋หมิงหลางว่า ขอแค่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้เพียงพอที่จะเอาชนะความหวาดกลัวที่ไร้ที่มานี้ เสี่ยวเชี่ยนก็จะยินยอมแต่งงานกับเขา


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าช่วงเวลาขอแต่งงานมาถึงแล้ว


 


 


ใช้มือเปล่าจับงูประทับใจฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นเสียวเหม่ยก็ต้องประทับใจอย่างแน่นอน


 


 


“ในถุงของพวกคุณใช่งูหรือเปล่า?”


 


 


มีเสียงดังมาจากบนเนิน เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางเงยหน้าไปพร้อมกัน บนยอดเนินมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างผอมไม่สูง แต่งตัวคล้ายกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในภูเขา ผิวค่อนข้างคล้ำ


 


 


“นายเลี้ยงงูเหรอ?” อวี๋หมิงหลางหน้านิ่ว


 


 


“ใช่ครับ บ้านผมเปิดโรงแรมอยู่บนยอดเขา ชุ่ยเอ๋อเป็นสัตว์เลี้ยงของผม มันเป็นงูตัวสีเขียว ถึงจะดูน่ากลัวแต่มันไม่มีพิษนะครับ”


 


 


ในใจของอวี๋หมิงหลางมีคำว่า แม่ง ตัวโตๆ เขาทำหน้าตกใจทันทีต่อการถูกตบหน้าที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว แล้วรีบใช้ทักษะการแสดงที่มีทั้งหมดชี้ไปที่ถุง


 


 


“นายหมายความว่า นี่ไม่ใช่งูเขียวไผ่มีพิษเหรอ?”


 


 


“ไม่ใช่แน่นอนครับ งูเขียวไผ่หัวเป็นสามเปลี่ยม แต่ชุ่ยเอ๋อของผมหัวมนๆ ไม่มีพิษ”


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบทำสีหน้าเหมือนเพิ่งเข้าใจ แล้วหันไปทำสีหน้าเหมือนตัวเองเพิ่งรู้กับเสี่ยวเชี่ยนที่กำลังมองเขาด้วยท่าทางสงสัย


 


 


“เสียวเหม่ย ดูท่าความรู้ของพี่จะยังมีไม่มากพอ คนเรานี่นะ เรียนได้ยันแก่จริงๆ อย่าเป็นเหมือนผมเมื่อกี้นะ ที่ความรู้แค่หางอึ่งแต่ทำอวดรู้ มองงูไม่มีพิษเป็นมีพิษได้”


 


 


รีบพูดดักคอก่อนที่เธอจะแฉ อวี๋หมิงหลางแอบชื่นชมตัวเองเบาๆ


 


 


ความประทับใจทั้งหมดที่มีของเสี่ยวเชี่ยนหายไปจนหมดเกลี้ยง พูดเรื่องงูมีพิษไม่มีพิษจนเธอเชื่อสนิท แต่โอกาสที่อวี๋หมิงหลางที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยรบพิเศษที่ฝึกในป่าในภูเขามานานจะผิดพลาดเรื่องพวกนี้ก็คงต่ำพอๆกับการที่จิตแพทย์อย่างเธอจะสับสนเรื่องง่ายๆอย่างโรควิตกกังวลกับโรคซึมเศร้า


 


 


ในบรรดาวิชาที่พวกเขาต้องเรียนมีวิชาการจำแนกสัตว์มีพิษในป่า ความผิดระดับต่ำแบบนี้อวี๋หมิงหลางไม่มีทางพลาดแน่นอน


 


 


ดังนั้นคนบางคนที่เมื่อครู่กำลังรอเธอพยักหน้าเรื่องแต่งงาน ตอนนี้เริ่มที่จะใช้เทคนิคการแสดงหลอกให้เธอสงสาร


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่กล้ามองเธอ เพราะต่อให้ไม่มองก็สัมผัสได้ถึงความโกรธที่แผ่ซ่านออกมา แย่แล้วๆ อุตส่าห์จะแสดงออกว่าเป็นผู้ชายที่พึ่งพาได้ เพื่อได้รับความไว้วางใจจากเธอ ช่วยเธอกำจัดความหวาดกลัวเรื่องแต่งงานแล้วรับปากจะเป็นเจ้าสาวให้เขา ทุกอย่างพังหมดแล้ว


 


 


อวี๋หมิงหลางเอาความโกรธไปลงกับเด็กหนุ่มที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวนี้


 


 


“ทำไมนายถึงได้เลี้ยงงูเล่า อีกอย่างภูเขาออกจะใหญ่ ทำไมปล่อยงูแล้วถึงรู้ว่าจะต้องมาตามหาตรงนี้?”


 


 


เด็กหนุ่มร่างผอมเห็นอวี๋หมิงหลางตะคอกก็กลัวจนหัวหด ตอบกลับแบบกลัวๆ


 


 


“ผมนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ที่ลำธารข้างหน้า ผมวางชุ่ยเอ๋อไว้ในตะกร้า ปกติก็เป็นอย่างนั้น แต่วันนี้ไม่รู้มันเป็นอะไรเลื้อยออกจากตะกร้า ผมได้ยินเสียงจากทางนี้ก็เลยวิ่งมาดู ตรงนี้ก็ห่างจากลำธารไม่ไกลเท่าไรด้วยครับ…”


 


 


นั่นก็เพราะเมื่อกี้อวี๋หมิงหลางต้องการได้รับความไว้วางใจจากเสียวเหม่ย ก่อนจับงูได้ตะโกนประโยคที่แสนประทับใจออกมา นั่นก็คือถ้าชาติหน้ามีจริงจะยอมแต่งงานกับเขาหรือเปล่า


 


 


เด็กหนุ่มได้ยินเสียงก็เลยวิ่งหามาตามทาง พอเห็นอวี๋หมิงหลางถือถุงที่มีบางสิ่งขยับอยู่ข้างในเขาก็ต้องถามสิ


 


 


ประสบความสำเร็จในการแฉคนหน้าด้านบางคน


 


 


อวี๋หมิงหลางโยนถุงให้เด็กหนุ่มคนนั้นพร้อมสายตาจ้องแบบจะกินหัว เด็กหนุ่มห่อไหล่ด้วยความกลัวที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ในใจมีคำว่า เหอๆ ตัวโตๆ


 


 


อวี๋หมิงหลางไอ้คนหน้าด้าน ได้เห็นธาตุแท้ของคนอย่างนายอีกแล้ว


 


 


“ถ้าชาติหน้ามีจริง ยังจะให้ฉันแต่งงานด้วยอีกไหม?” เสี่ยวเชี่ยนถามอย่างเย็นชา


 


 


อวี๋หมิงหลางยิ้มแหยๆพลางพยักหน้า “แน่นอน…”


 


 


“ได้ ชาติหน้าฉันจะแต่งกับนาย”


 


 


อวี๋หมิงหลางยังไม่ทันจะได้ดีใจก็ได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดต่อ


 


 


“แต่ชาตินี้อย่าหวัง” ทุเรศที่สุด นี่เขากล้าหลอกเธอ  


 


 


มองเวลา คงเป็นไปไม่ได้ที่จะลงเขาแล้ว วันนี้ยังไงเธอก็ต้องค้างบนเขา แต่อย่าคิดว่าเธอจะให้อภัยอวี๋หมิงหลาง


 


 


ไม่มีทาง


 


 


ความรู้สึกที่ถูกว่าที่ภรรยาจับผิดแผนชั่วร้ายเล็กๆได้น่าอายยิ่งกว่าแอบชักว่าวแล้วแม่มาเห็น ปัญหาก็คือเขาไม่เคยถูกแม่จับได้ตอนชักว่าว แต่กลับถูกแฉต่อหน้าคู่หมั้น


 


 


สายตาเอาเรื่องของเสี่ยวเชี่ยนที่มองมาเพียงพอที่จะทำให้สภาพอากาศหนาวเย็นในทันที จากสายตาของเธอนั้นเขาเหมือนเห็นสมุดทะเบียนสมรสเล่มสีแดงที่เฝ้ารอมานานมีปีกงอกออกแล้วบินหนีไป


 


 


บินไปพร้อมกับส่งเสียงด่าเขา ไอ้โง่ ไอ้โง่


 


 


จากการนำทางของเด็กหนุ่มเจ้าของงู เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง


 


 


เด็กหนุ่มบอกว่าบ้านเขาเปิดโรงแรมอยู่บนยอดเขา เสี่ยวเชี่ยนไม่คิดว่าเขาจะเป็นลูกชายเจ้าของบ้านพักอันโด่งดังที่อวี๋หมิงหลางพูดถึง


 


 


พวกเธอยืนอยู่หน้าประตูรั้วเก่าๆมองป้ายที่ห้อยแบบจะตกแหล่มิตกแหล่ สภาพป้ายดูผ่านลมผ่านฝนมานับไม่ถ้วน อักษรเลือนลาง สีก็ซีดเซียว


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมุมปากกระตุก หันหน้าไปถลึงตาใส่อวี๋หมิงหลาง


 


 


ตอนนี้อยู่ในช่วงสงครามเย็นไม่พูดกับเขา แต่สายตาเธอได้บรรยายความรู้สึกทั้งหมด นี่น่ะเหรอรีสอร์ทบ้านๆอันโด่งดัง?


 


 


เธอเหนื่อยมาหลายชั่วโมง เดินจนขาแทบหัก เพื่อมาที่แบบนี้?


 


 


ในบันทึกการหาเรื่องตายของเขาต้องเพิ่มไปอีกบรรทัดหนึ่งแล้ว


 


 


อวี๋หมิงหลางเองก็ไม่คิดว่ารีสอร์ทสไตล์บ้านๆอันโด่งดังจะมีสภาพใกล้เจ๊งแบบนี้ ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนบอกเขาเองว่าที่นี่ดังสุดในย่านนี้แล้ว


 


 


ป้ายถอดสี อักษรที่เขียนว่า รีสอร์ทจือหมิง[1] บนนั้นเลือนรางยากจะอ่านได้ มันก็ดังจริงๆนี่หว่า


 


 


อวี๋หมิงหลางตะโกน โว้ย ในใจนับครั้งไม่ถ้วน รู้สึกเหมือนสมุดแดงนั่นกำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนาน ‘ฉันจะบินให้สู้ง~’ มันออกห่างจากเขาไปมากกว่าเดิมแล้ว


 


 


ศาสตราจารย์หลิว ปกติเห็นเป็นอาจารย์จริงจังกับงานวิจัย นึกไม่ถึงว่าจะมีนิสัยแกล้งคนแบบนี้ นี่คิดจะให้เขาเป็นโสดไปตลอดชีวิตขอสาวแต่งงานไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?


 


 


“ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนแนะนำที่นี่…” คำอธิบายของอวี๋หมิงหลางไม่ได้รับการยอมรับจากเสี่ยวเชี่ยน แต่กลับทำให้เธอโกรธยิ่งกว่าเดิม


 


 


“อย่าคิดจะป้ายความผิดให้อาจารย์นะ นายคิดจะแกล้งทำเป็นที่นี่กำแพงถล่ม บ้านพัง เพื่อเรียกความสงสารจากฉันอีกหรือเปล่า?”


 


 


เปล่านะ อวี๋หมิงหลางตะโกนในใจ แต่กลับไม่พูด


 


 


หลังจากโป๊ะแตกเรื่องจับงู ตอนนี้เขาก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนขึ้นบัญชีดำไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่มีทางเชื่อ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอนึกถึงเมื่อกี้ที่ตัวเองหลั่งน้ำตาเป็นห่วงไอ้คนบ้านี่ อีกทั้งยังเกิดความรู้สึกประทับใจ ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้นในใจ


 


 


นี่ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าลูกชายเจ้าของนะ เสี่ยวเชี่ยนอยากจะเอาปลายร่มส่วนแหลมๆ…ทำอย่างนั้นแล้ว


 


 


ความโกรธนี้ยากจะเลือนหาย มันต้องแทงน้องชายให้สิ้นซาก


 


 


ครั้งนี้อวี๋หมิงหลางถูกความฉลาดเล่นงานเข้าแล้ว เขาทำให้เสี่ยวเชี่ยนโมโห เธอคิดว่าต้องจัดการไอ้คนบ้านี่ให้สาสม อภัยให้ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องในครั้งนี้มันเกินไปจริงๆ


 


 


เด็กหนุ่มลูกเจ้าของที่พักผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องราวได้อธิบายเพิ่ม ซึ่งทำให้เสี่ยวเชี่ยนเกือบจะบ้าตาย


 


 


 


 


[1] จือหมิง ในภาษาจีนแปลว่า ดัง 

 

 

 


ตอนที่ 596 ไปให้พ้นหน้ากับความว่างเปล่า

 

“ผมชื่อจือหมิง พ่อผมใช้ชื่อของผมตั้ง อยากให้กิจการบ้านเราเจริญรุ่งเรืองอย่างชื่อผม แต่ปีที่แล้วผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ติดเลยต้องกลับมาช่วยงานที่บ้าน กิจการก็ไม่ได้ดีเท่าไร สองเดือนมานี้มีแค่พวกคุณนี่แหละที่ยอมอยู่ค้าง”


 


 


รีสอร์ทดัง สภาพแวดล้อมสงบรมรื่น ฟังเสียงกบนอนชมดาว เสี่ยวเชี่ยนมองใบหน้าที่รู้สึกผิดของอวี๋หมิงหลาง ตอนนี้สิ่งที่อยากทำมากที่สุดก็คืออัดหน้าเขาให้เห็นดาวเห็นเดือน


 


 


ภาพที่อวี๋หมิงหลางจินตนาการไว้ว่าจับมือเสี่ยวเชี่ยนนั่งดูดาวในสวนที่มีความสงบร่มรื่น ภาพบรรยากาศอันแสนสุขนั้นสลายไปทันตา


 


 


หลังจากกินอาหารที่เจ้าของร้านตั้งใจทำให้อย่างเต็มที่ เสี่ยวเชี่ยนก็กลับไปห้องพักแขก เธอกระดิกนิ้วเรียกอวี๋หมิงหลาง เขารีบเดินตามไปอย่างดีใจ คิดว่าเธออภัยให้แล้ว


 


 


ปิดประตู มีแต่เสียงตุบตับดังออกมาจากข้างใน โชคดีที่อวี๋หมิงหลางหนังหนาร่างกายบึกบึน นี่ถ้าเป็นผู้ชายปกติคงคุกเข้าอ้อนวอนไม่ก็โมโหกลับไปนานแล้ว


 


 


เขาไม่หลบ ยืนตรงอยู่แบบนั้นปล่อยให้เสี่ยวเชี่ยนทั้งตบทั้งถีบระบายอารมณ์ตามสบาย พอเธอเหนื่อยจนนั่งหอบบนเตียงทำความร้อนแล้ว เขาจึงไปช่วยเธอจัดสัมภาระอย่างเงียบๆ


 


 


ปูเตียงให้อย่างดี ของก็จัดเรียบร้อย หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขายังไปเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้เธอ คนที่รู้ตัวว่าผิดทำได้แค่ใช้การกระทำแสดงถึงความรู้สึกผิด


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองอย่างเย็นชา เขาจัดการเสร็จเรียบร้อยก็มองหน้าเธอ เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปข้างนอก


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบทำตามคำสั่ง ลูกเชี่ยนให้เขาออกไป เขาก็จะออก


 


 


พอเขาออกจากห้องไปแล้วเธอก็ปิดประตู ไม่ได้มีเยื่อใยเลยแม้แต่น้อย


 


 


เขายืนอยู่หน้าห้องมองประตูที่ปิดอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ถึงสามวินาทีประตูก็เปิดออก อุปกรณ์เต็นท์ถูกโยนออกมา ตามด้วยคำพูดที่แสนเย็นชาของเธอ


 


 


“พอฟ้าสว่างรีบหารถให้ฉันลงจากเขา ถ้ากล้าเล่นอะไรพิเรนทร์อีกล่ะก็เชิญนายหายสาบสูญไปได้เลย”


 


 


ดูท่าคืนนี้จะต้องไปนอนกางเต็นท์แน่แล้ว อวี๋หมิงหลางไม่ได้กลัวลำบาก เขามองประตูที่ปิดสนิทกับสัมภาระที่ถูกโยนออกมาพลางคิดว่า แผนการรักษาโรคหวาดกลัวการแต่งงานโดยใช้สถานการณ์จริงที่ศาสตราจารย์หลิวตั้งใจเตรียมให้เขาถูกเขาทำพังลงไปแล้ว


 


 


“ลูกเชี่ยน” เขาเคาะประตู


 


 


ข้างในไม่มีเสียง เห็นได้ชัดว่าเธอได้ยินแต่ไม่อยากสนใจ


 


 


“ผมจะไม่แก้ตัวอะไรทั้งนั้น ผมรู้ว่าครั้งนี้ผมทำเกินไป ผมไม่ควรหลอกคุณ”


 


 


ข้างในยังคงเงียบสนิท อวี๋หมิงหลางรู้ว่าเธอคงไม่หายโมโหง่ายๆ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่ผู้หญิงที่จะโกรธใครได้ง่ายๆ แต่ถ้าเธอโกรธขึ้นมาล่ะก็หายยาก อีกทั้งเธอเกลียดที่สุดก็คือการหลอกเธอ


 


 


ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ที่พาเธอเดินอ้อมเขาทำให้เธอโกรธนิดหน่อยแล้วล่ะก็ การใช้งูหลอกเธอให้เธอเป็นห่วง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะอธิบายได้แค่ในประโยคสองประโยค


 


 


โดยเฉพาะเธอไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป เป็นผู้หญิงที่หวาดกลัวการแต่งงาน ยังไม่มั่นใจในการใช้ชีวิตคู่ พฤติกรรมของเขาถ้าเป็นผู้หญิงใจแคบไม่แน่อาจบอกเลิกไปแล้ว


 


 


อวี๋หมิงหลางอยากบอกกับเสี่ยวเชี่ยนว่า เรื่องงูเขาไม่ได้อยากจะหลอกเธอแต่แรกจริงๆ


 


 


ตอนที่เขาเห็นงูมันกำลังเลื้อยเข้าพงหญ้า เขามองไม่เห็นหัว การดูว่างูมีพิษหรือไม่มีภายในช่วงเวลาสั้นๆแบบนั้นทำได้แค่มองหัว เขามัวแต่คิดจะปกป้องเสี่ยวเชี่ยนเลยคิดเอาเองว่านั่นเป็นงูมีพิษ


 


 


เขาไม่ได้หลอกเสี่ยวเชี่ยนจริงๆ งูมีพิษส่วนใหญ่เป็นงูขี้เกียจ พอเห็นคนก็จะไม่ค่อยหลบ ในทางกลับกันงูไม่มีพิษแค่เห็นคนก็ตกใจเลื้อยหนีไปแล้ว งูในวันนี้เป็นงูสัตว์เลี้ยง จึงไม่ได้ระแวงคน ดังนั้นเขาจึงจำแนกชนิดของงูผิดไปอย่างไม่ตั้งใจ


 


 


ตอนที่เขาจับงูขึ้นมาถึงได้รู้ว่ามันไม่มีพิษ แต่นึกถึงคำที่ศาสตราจารย์หลิวบอก พยายามทำให้เธอเชื่อใจ เห็นถึงความสามารถของเขาในการรับมือกับปัญหา เขาถึงได้คิดแผนนั้นออกมา


 


 


จุดเริ่มต้นคือหวังดี แต่กลับทำให้เธอรู้สึกตรงกันข้าม


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนเกลียดเขา เขาเองก็อธิบายไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เขาทำล้วนต้องการช่วยเธอกำจัดโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ทำได้แค่รับมือกับความโกรธของเสี่ยวเชี่ยนตามลำพัง


 


 


เขาไม่อยากให้เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเขารู้เรื่องที่เธอเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานแล้ว ถ้าอธิบายให้ชัดเจนถึงจุดประสงค์ที่เขาทำ เธอจะต้องรู้สึกกดดันมากกว่าเดิมแน่ เขายอมนั่งคิดหาวิธีทำให้เธอหายโหรธ ดีกว่าทำให้เธอเครียดหนักมากขึ้น จะแต่งเมื่อไรก็ได้ทั้งนั้น แต่เธอห้ามบอบช้ำทางจิตใจเป็นอันขาด


 


 


“ลูกเชี่ยน ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีจะด่าจะทุบตีผมก็ได้ แต่อย่าเก็บความไม่พอใจเอาไว้” เขาเก็บคำอธิบายทุกอย่างไว้ แล้วพูดปลอบเธออย่างใจเย็น


 


 


อยู่ๆประตูก็เปิดออก เสี่ยวเชี่ยนยืนตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แล้วพูดอย่างเย็นชา


 


 


“ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด”


 


 


“ผมผิดไปแล้ว”


 


 


“อวี๋หมิงหลาง ฉันจะบอกอีกครั้งนะ ฉันเกลียดคนโกหกที่สุด แต่นายโกหกแล้วโกหกเล่า” สายตาของเธอเย็นชายิ่งกว่าเดิม


 


 


อวี๋หมิงหลางกัดฟัน พยายามเก็บความจริงที่พูดออกไปไม่ได้


 


 


“ดีมาก ตอนนี้ไปให้พ้นหน้าฉันด้วยความไวเท่าแสง ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย ตอนนี้ไม่ ต่อไปก็ไม่”


 


 


ตอนเสี่ยวเชี่ยนพูด อันที่จริงเธอหวังจะให้เขาทำเหมือนตอนปกติที่พยายามจะอธิบายความจริง ขอแค่เขารับปากมาว่าจะไม่ทำอีก บางทีเธออาจไม่โมโหขนาดนี้


 


 


แต่เขากลับไปจริงๆ โดยไม่อธิบายอะไร


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถีบประตูอย่างแรง คนเฮงซวย ตอนที่ควรเชื่อฟังกลับไม่ทำ ตอนที่ไม่ควรกลับเชื่องซะเหลือเกิน


 


 


ฟ้ามืดแล้ว เขานั่งมองดาวอยู่ในเต็นท์ที่กางในสวน ส่วนเธอนอนมองเขาอยู่บนเตียงในห้อง


 


 


เจ้าของร้านที่ดูซื่อๆยืนมองเต็นท์สีเขียวอยู่ริมหน้าต่างพลางถามภรรยาตัวเอง


 


 


“คนเมืองสองคนนี้มาทำอะไรที่นี่กัน? ทำไมกางเต็นท์ด้วยล่ะ? พวกเขาทะเลาะกันหรือเปล่า?”


 


 


ถ้าไม่ได้ทะเลาะกัน ทำไมผู้หญิงอยู่ในห้อง ส่วนผู้ชายไปนอนเต็นท์?


 


 


แต่ถ้าจะบอกว่าทะเลาะกันล่ะก็ไม่น่าเป็นไปได้ ออกมาเที่ยวก็ต้องสนุกสนานสิ จะทะเลาะกันทำไม?


 


 


อวี๋หมิงหลางที่ถูกเสี่ยวเชี่ยนเตะออกมาจากห้องนั่งอยู่ในเต็นท์ ในมือถือหนังสือ ‘การดูแลแม่หมูหลังคลอด’ ที่ยืมมาจากจือหมิง เขาใช้ไฟฉายส่องอ่าน


 


 


โลกนี้มันช่างบังเอิญจริงๆ หนังสือเล่มนี้เขาเคยยืมมาจากห้องสมุดตอนที่เพิ่งตามจีบเสี่ยวเชี่ยน เพื่อใช้กลบเกลื่อนหนังสือเล่มอื่นที่ยืม


 


 


ตอนนี้ขอแต่งงานถูกปฏิเสธ เสี่ยวเชี่ยนขึ้นบัญชีแค้น เขาก็ยังได้มาเจอหนังสือเล่มนี้อีก คนอื่นมีแต่นับวันจะยิ่งทำให้เมียรักมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมเขากลับนับวันจะยิ่งถูกเตะออกมา?


 


 


ถูกเตะน่ะยังไม่เท่าไร ตอนนี้สิ่งที่อวี๋หมิงหลางกลัวมากที่สุดก็คือสีหน้าเย็นชาของเสี่ยวเชี่ยนนั่น เขากลัวว่าเมื่อกี้ถ้าตัวเองเดินออกมาช้า ปากเล็กๆสวยๆของเธอจะพูดอะไรที่เป็นการตัดเยื่อใยออกมา


 


 


อย่างเช่น พวกเราไม่เหมาะสมกัน คนบ้าปัญญาอ่อนอย่างนายไม่คู่ควรกับฉัน พวกเราเลิกกันเถอะ…


 


 


แค่จินตนาการถึงภาพนั้นอวี๋หมิงหลางก็รู้สึกจิตใจหนักอึ้งคล้ายกับมีหินก้อนใหญ่หลายก้อนมาถ่วงไว้ เขาจะปล่อยเธอสุดที่รักไปได้อย่างไร


 


 


แต่เขาทำให้เธอโกรธขนาดนั้นแล้ว ยังจะมีโอกาสให้แก้ตัวอีกเหรอ?


 


 


เขาเป็นหัวหน้ากลางของหน่วยรบพิเศษ ทหารที่เขาฝึกมีอัตราการบาดเจ็บและเสียชีวิตน้อยที่สุดในบรรดาทหารบกด้วยกัน เขาเป็นมือสไนเปอร์ กระสุนของเขาไม่เคยพลาด


 


 


แต่บทบาทในการเป็นแฟนนั้นดูเหมือนเขาจะล้มเหลวเป็นอย่างมาก เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีก็ยังคลายปมในใจของเธอไม่ได้ กลับทำให้เธอโมโหมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


 


ควรทำอย่างไรให้เธอรู้สึกอบอุ่น ใช้อะไรพยุงชีวิตคู่และความรัก อวี๋หมิงหลางมองดวงดาวที่เต็มท้องฟ้า สมองยังคงว่างเปล่า

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม