ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 583.2-586.2

ตอนที่ 583 - 2 อ๋องขวา

 

เขาขยับพยุงร่างอยู่ในน้ำหลายครั้ง อดหัวเราะฮิฮะอย่างชั่วร้ายไม่ได้ ทันใดนั้นก็รู้สึกคันยุบยิบที่จมูก เหมือนมีกลิ่นหอมสะอาดบางๆ สายหนึ่งลอยปะทะจมูกเข้ามา กลิ่นหอมนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก นอกจากหอมแล้วยังแฝงกลิ่นเผ็ดร้อนอยู่อีกด้วย 


 


 


“เสี่ยวสวี่ เจ้าได้กลิ่นหรือไม่?!” หลินหว่านหรงตบบ่าสวี่เจิ้นที่อยู่ข้างกายเบาๆ 


 


 


สวี่เจิ้นรีบสะบัดหยดน้ำที่อยู่บนใบหน้า เอ่ยถามเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ได้กลิ่นอะไรหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงเข้าไปประชิดเศษหญ้าและเศษดอกไม้ที่อยู่ข้างกายพร้อมดมหลายครั้ง กลิ่นหอมนั้นคล้ายค่อยๆ ลอยสลายหายไป ยามนี้เมื่อดมอีกคราจึงไม่อาจรับรู้อะไรได้ น่าแปลก! เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ ทำได้เพียงส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา 


 


 


ถูสั่วจั่วที่อยู่ทางนั้นคิดแล้วคิดอีก สีหน้าปราศจากความหล่อเหลาอย่างก่อนหน้านี้ “เจ้าพูดเช่นนี้มีหลักฐานอะไรหรือไม่?!” 


 


 


เจ้าคังหนิงส่ายหน้า พูดจาด้วยท่าทางทุกข์ใจ “ข้าเป็นคนนอกเผ่าคนหนึ่ง ใครๆ ต่างระวังป้องกันข้า แล้วจะได้หลักฐานอะไรมาล่ะ? เพียงแต่ทหารม้าทูเจวี๋ยสามแสนกว่านายกลับยึดเฮ่อหลานซานที่เดียวไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกหลินซานเผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อบุกเข่นฆ่าเข้ามาในทุ่งหญ้าอีกด้วย ใต้เท้า ท่านไม่รู้สึกว่ามันแปลกหรือ? นี่คือกำลังรบที่แท้จริงของชนเผ่าท่านหรือ?” 


 


 


“หึ” ถูสั่วจั่วดวงตาประกายเย็นเยียบ “เจ้ากำลังสงสัยว่าปาเต๋อหลู่จะลอบติดต่อกลับชาวต้าหัว? นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด พวกเราคือชาวทูเจวี๋ยผู้เป็นดั่งเทพยดาไร้เทียมทาน หาใช่ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้า!”  


 


 


การประชดประชันอย่างไม่ไว้หน้าเช่นนี้ทำให้เจ้าคังหนิงหน้าซีด มันหัวเราะแหะๆ ออยู่สองครั้งแล้วพูดว่า “ใต้เท้ากล่าวถูกต้องยิ่งนัก อ๋องซ้ายไม่มีทางติดต่อกับต้าหัวแน่นอน เพียงแต่ก็ไม่กล้ารับประกันเช่นกันว่ามันจะปราศจากความเห็นแก่ตัว ขณะนี้ทหารม้าทูเจวี๋ยสามแสนกำลังปักหลักเฝ้าอยู่ ณ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างทะเลทรายและทุ่งหญ้า ทว่ายามนี้อ๋องซ้ายกลับให้ราชครูลู่ตงจ้านเคลื่อนย้ายกำลังพลจำนวนหนึ่งแสนไปที่แนวหน้าอีก ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง ทหารม้าจำนวนสี่แสนนายอยู่ใต้เงื้อมมือปาเต๋อหลู่ อาศัยประโยชน์จากการทำสงคราม ใช้ลวดลายเพียงเล็กน้อยเพื่อรักษากำลังของอ๋องซ้าย ทำให้เหล่าผู้กล้าภายในตระกูลของอ๋องขวารบจนตัวตายในสนามรบ นั่นช่างเป็นเรื่องที่ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ หากเรื่องนี้สำเร็จจริง กำลังในตระกูลของอ๋องขวาก็จะเสียหายอย่างหนัก แล้วใต้เท้าจะไปขอความยุติธรรมจากผู้ใดได้ล่ะ?” 


 


 


หลินหว่านหรงยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ ท่านย่ามัน! ก่อนหน้านี้ดูไม่ออกเลยจริงๆ เจ้าอ๋องน้อยพอพูดเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวกลับเก่งกว่าข้าเป็นร้อยเท่าเสียอีก ช่างเกิดมาเพื่อไส้ศึกเสียจริง 


 


 


ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ กลิ่นหอมจางๆ นั้นกลับลอยขึ้นมาจากผิวน้ำอีกครั้งหนึ่ง เหมือนจะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงเหลือบมองผิวทะเลสาบหลายครั้ง คลื่นสงบนิ่งราวกับกระจก มีเศษหญ้าและเศษดอกไม้ลอยมาตามผิวน้ำเป็นบางครั้ง 


 


 


ถูสั่วจั่วหน้าดำคร่ำเครียดเงียบงันไม่เอ่ยวาจา เจ้าคังหนิงรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น พูดขึ้นมาอีกว่า “ปาเต๋อหลู่สู้รบแพ้พ่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังอ้างว่าหญ้าเสบียงขาดแคลน ถอยกลับมาตั้งหลักในทุ่งหญ้าไม่ยอมเคลื่อนไหว ส่วนสวีจื่อฉิงก็ปักหลักอยู่ที่อู่หยวน หลบเลี่ยงไม่ยอมสู้รบ แนวหน้าดูเหมือนจะตึงเครียด ทว่ากลับแอบแฝงความน่าสงสัยว่าจะข้อตกลงกันเงียบๆ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าขณะที่ราชครูลู่ตงจ้านไปเป็นราชทูตที่ต้าหัวคบหาสนิทสนมกับหลินซาน ทั้งสองต่างเรียกขานกันเป็นพี่น้อง กินดื่มสนุกสนาน ดื่มสุราเล่นพนันเที่ยวคณิกา มีความสุขยิ่งนัก ข่าวซุบซิบยังบอกมาอีกว่าเจ้าโจรถ่อยแซ่หลินคนนั้นยังเคยมอบปืนใหญ่ฟักที่ใหม่ที่สุดของต้าหัวให้ลู่ตงจ้านอีกด้วย เพียงแต่ต่อมาถูกฮ่องเต้เลอะเลือนขัดขวางถึงไม่สำเร็จ ใต้เท้าอ๋องขวา ความคิดที่จะทำร้ายคนอาจไม่จำเป็น แต่ความคิดที่ระวังป้องกันคนนั้นไม่อาจไม่มีได้นะ…”  


 


 


“ปัง!” กลับเป็นถูสั่วจั่วที่ลุกยืนขึ้น ใช้เท้าถีบแพะอ้วนพีที่อยู่บนแคร่ไม้จนปลิวกระเด็น ชี้จมูกอ๋องน้อยแล้วกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “ปาเต๋อหลู่กับลู่ตงจ้านไม่มีทางต่ำช้าอย่างที่เจ้าคิดเช่นนั้นแน่ ชาวต้าหัว เจ้ายุแยงพวกเราเช่นนี้มีเจตนาอันใดกันแน่?!” 


 


 


เจ้าคังหนิงรีบกระเด้งขึ้นมา “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยเพียงคิดอ่านแทนอ๋องขวาเท่านั้น ปราศจากเจตนายุแยงแม้แต่น้อย” 


 


 


“ปราศจากการยุแยง?!” ถูสั่วจั่วมองมันพลางยิ้มหยัน “ชาวต้าหัวที่ละโมบโลภมากเช่นพวกเจ้านี้ คำพูดแต่ละประโยคต่างมีวัตถุประสงค์ที่ไม่อาจบอกกล่าวผู้อื่นได้ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”  


 


 


เจ้าคังหนิงกัดฟันกรอด รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “สิ่งที่คังหนิงกล่าวเมื่อครู่นั้นจริงแท้แน่นอน ขอใต้เท้าโปรดระวังป้องกันมีดที่ไร้รูปลักษณ์ของปาเต๋อหลู่ให้ดี แน่นอนว่าข้าย่อมมีเจตนาส่วนตัว คังหนิงเคยสาบานเอาไว้ หากยังมีชีวิตอยู่จะต้องบุกเข่าฆ่ากลับไปต้าหัว เด็ดหัวสุนัขของหลินซานกับฮ่องเต้เลอะเลือนเพื่อแก้แค้นให้กับท่านพ่อของข้าให้จงได้ ส่วนปาเต๋อหลู่ที่ด้านหนึ่งแอบเล่นลูกไม้กำจัดทั้งฝ่ายตัวเองและศัตรู ส่วนอีกด้านกลับไม่ยอมสู้รบ ไม่ยอมบุกยึดอย่างเต็มกำลัง หนึ่งเดือนกว่าแล้ว แม้แต่เฮ่อหลานซานก็ยังยึดไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการนำทัพเข้าจงหยวน มีเพียงต้องเปลี่ยนตัวปาเต๋อหลู่เท่านั้น ขอใต้เท้าอ๋องขวาโปรดเป็นผู้นำทัพ ทูเจวี๋ยถึงจะได้รับชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ ขอเอ่ยคำพูดที่ไม่เหมาะสมอีกสักครา ใต้เท้า หากต้องการขับไล่ปาเต๋อหลู่ ให้อ๋องขวากับคนในตระกูลของท่านเสพสุขกับเกียรติยศที่ไม่อาจมีผู้ใดเทียมทัดได้ในทูเจวี๋ย ยามนี้คือโอกาสอันดีมากที่สุดแล้ว!” 


 


 


“โอกาสอันดีมากที่สุดอะไรกัน?!” ถูสั่วจั่วดวงตากระจ่างวูบทันที 


 


 


“ปาเต๋อหลู่พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกเสียงก่นด่าไปทั่วดินแดนมาตั้งนานแล้ว ขอเพียงใต้เท้าอ๋องขวาท่านออกโรงเอ่ยปาก ร่วมมือกับทุกคนต่อว่าปาเต๋อหลู่ต่อหน้าท่านข่าน เรื่องนี้เป็นความจริงและมีหลักฐาน ท่านข่านไม่มีทางปกป้องมันแน่ เมื่อถอนตัวปาเต๋อหลู่ออกไปก็เท่ากับสะกดตระกูลของมัน จากนั้นก็ให้ใต้เท้าท่านนำทัพบุกเข่นฆ่าเข้าสู่จงหยวน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน จากการเปรียบเทียบสูงต่ำเช่นนี้ ปาเต๋อหลู่ก็จะปราศจากโอกาสพลิกฟื้นอีกต่อไป นับแต่บัดนี้ทูเจวี๋ยจะเห็นเพียงอ๋องขวาเท่านั้น ปราศจากอ๋องซ้ายอีกต่อไป” 


 


 


เจ้าคังหนิงไม่เสียทีที่เป็นผู้สืบทอดเชื้อพระวงศ์ต้าหัว เชี่ยวชาญการใช้เล่ห์กลอุบายยิ่งนัก เอาเรื่องพวกนี้มาหลอกลวงชาวทูเจวี๋ย แม้แต่หลินหว่านหรงก็เริ่มนับถือมันแล้วเช่นกัน 


 


 


ถูสั่วจั่วย่ำเท้าเล็กน้อย ภายในดวงตาสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายวูบไหว คล้ายรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย 


 


 


เจ้าคังหนิงยิ่งได้ใจ รีบเดินไปข้างกายมัน ยิ้มประจบแล้วพูดว่า “ยามนี้โอกาสนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมมากที่สุด ขอเพียงใต้เท้าออกหน้าจะต้องมีคนตอบรับมากมายเป็นแน่ นอกจากนั้นตอนข้าน้อยออกจากต้าหัว บิดาเคยทิ้งสมบัติไว้ให้ คังหนิงยินดีมอบเงินขาวจำนวนห้าแสนตำลึงให้ท่านอ๋องขวาเพื่อแสดงความจริงใจ” 


 


 


“เงินขาวจำนวนห้าแสนตำลึง?!” ถูสั่วจั่วตกใจทันที ดวงตาสาดประกายรำลึก ทั่วทั้งแคว้นทูเจวี๋ย น่าจะยังไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน  


 


 


“ใช่แล้ว ห้าแสนตำลึง!” เจ้าคังหนิงชูห้านิ้วด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง “นอกจากนี้ ขอเพียงใต้เท้ายกทัพลงใต้ ฟื้นความรุ่งเรืองแก่ต้าหัว คังหนิงยินยอมมอบเมืองเป็นบรรณาการให้อีกสิบเมือง ตัดแบ่งเข้าสู่แผนที่ทูเจวี๋ยตลอดกาล ทั้งยังจะลงนามเป็นพันธมิตรกันดีไปทุกยุคทุกสมัยอีกด้วย!” 


 


 


เอาเงินของข้า แล้วยังให้ชนเผ่านอกด่านมาครองดินแดนของข้า สังหารมาถึงหัวของข้าอีก เจ้าคนมีแม่เป็นสุนัขตัวนี้! หลินหว่านหรงฟังแล้วอกก็แทบจะระเบิด หากไม่ใช่เวลานี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ เขาคงยิงเจ้าคังหนิงให้ตายไปแล้วเป็นแน่  


 


 


“หอมจังเลย!” สวี่เจิ้นซึ่งหลบซุ่มอยู่ข้างกายเขาพลันจามออกมาเบาๆ เขา รีบดำลงไปในน้ำ ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะลอยตัวขึ้นมา 


 


 


หลินหว่านหรงเบิกตากว้าง “เสี่ยวสวี่ เจ้าก็ได้กลิ่นแล้วหรือ?!” 


 


 


ระหว่างที่พูดกลิ่นหอมนั้นก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แพร่กระจายเลียบริมทะเลสาบไปทั่วทุกสารทิศอย่างแช่มช้า หลินหว่านหรงมองไปรอบด้าน สายตาไปอยู่ที่กลุ่มเศษหญ้าและเศษดอกไม้ที่ค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้นั้น ใบหน้าประดับรอยยิ้มงามหยาดเยิ้มของอวี้เจียค่อยๆ ผุดอยู่เบื้องหน้าเขา… 


 


 


ถูสั่วจั่วไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอยู่นาน ทว่าสีหน้าหวั่นไหวกลับปรากฏให้เห็นชัดเจน เจ้าคังหนิงกล่าวพลางหัวเราะฮิฮะ “เมื่อมีเงินขาวจำนวนห้าแสนตำลึงนี้ ใต้เท้า ท่านอยากจะทำสิ่งใดก็เพียงพอ หากท่านข่านไม่เชื่อฟัง ท่านก็ปลดได้ทันที ตนเองก็ขึ้นเป็น…” 


 


 


พูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียง ปัง! กระจ่างชัดขึ้นมาคราหนึ่ง ใบหน้าอ๋องน้อยมีรอยแส้เพิ่มขึ้นมารอยหนึ่งอย่างชัดเจน แดงบวมไปแถบนึง น่าตกใจยิ่งนัก 


 


 


ถูสั่วจั่วมือถือแส้ม้า โมโหเดือดดาลอย่างยิ่ง “เจ้าเชื้อสุนัขตัวนี้กลับกล้าแสดงความไม่เคารพต่อท่านข่านของเรา! เจ้าเห็นว่าทูเจวี๋ยเราคือต้าหัวเจ้าเช่นนั้นหรือ? ถูสั่วจั่วไม่เคยเชื่อถือชาวต้าหัวที่ตระบัดสัตย์ลืมเลือนคุณธรรม ต่ำช้าไร้ยางอายเช่นพวกเจ้านี้เลย!” 


 


 


รอยช้ำเข้มรอยหนึ่งประดับอยู่บนใบหน้า ใบหน้าอันหล่อเหลาดูบิดเบี้ยวภายในชั่วพริบตา เจ้าคังหนิงใบหน้าบัดเดี๋ยวซีดบัดเดี๋ยวแดง รีบก้มหน้าลงไป กัดฟันจนได้ยินเสียงดังกรอดกรอด ถึงกระนั้นกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย 


 


 


“คนขี้ขลาดตาขาวชาวต้าหัว!” ถูสั่วจั่วพับแส้ม้า ฟาดมือส่งเสียงดังปังๆ ดวงตาไม่มองเจ้าคังหนิง มันเบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียงอย่างดูแคลน  


 


 


กลิ่นหอมสะอาดคล้ายเข้มข้นคล้ายเบาบางลอยมาจากผิวน้ำ ค่อยๆ แผ่กระจายเข้าไปในค่าย ถูสั่วจั่วสูดดมเบาๆ หลายครั้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล  

 

 


ตอนที่ 584 - 1 แข่งขันชิงแพะ

 

ถูสั่วจั่วมองรอบด้านด้วยความสงสัย สะบัดแขนคราหนึ่งในบัดดลพร้อมตวาดเสียงดังออกมาว่า “ค้น!” 


 


 


ผู้ที่มันพามาด้วยล้วนเป็นผู้กล้าชั้นยอดที่สุดภายในชนเผ่าของมัน แม้จะมีเพียงร้อยคน ทว่าแต่ละคนนั้นกลับมีฝีมือไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินมันออกบัญชา ชาวทูเจวี๋ยก็ชักดาบโค้งแวววาวออกมาภาในชั่วพริบตา แยกกระจายเลียบไปตามค่ายกระโจม ตรวจค้นตามพงหญ้าอันรกชัฏนั้น ดาบทำศึกที่อยู่ในมือพวกมันกวัดแกว่งเป็นระยะ ออกแรงฟันหญ้าและกิ่งไม้แห้งขาดเป็นท่อน เดินดันไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว  


 


 


“หรือว่านางจะกลับมาแล้ว?!” มองดูฝีเท้าที่ย่ำใกล้เข้ามาของเหล่าผู้กล้าภายในชนเผ่า ถูสั่วจั่วพูดพึมพำกับตนเอง ดวงตาสาดประกายเจิดจ้าและความตื่นเต้น 


 


 


เจ้าคังหนิงใบหน้าทั้งเขียวทั้งบวม หน้าซีดเผือด เพียงอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นไม่อาจไม่ก้มหัว ความหวังในการกลับไปต้าหัวอยู่ที่อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้นี้ทั้งหมด แล้วมันจะกล้าผิดใจถูสั่วจั่วได้อย่างไร? แส้นี้จึงทำได้เพียงรับเอาไว้เท่านั้น 


 


 


เมื่อได้ยินถูสั่วจั่วพูดเองเออเองกับตนเอง อ๋องน้อยก็กัดฟันกรอด ฝืนดาหน้าประชิดเข้าไปหา พูดจาประจบประแจงว่า “ใต้เท้า ท่านกำลังหาอะไรหรือ?” 


 


 


คำพูดและการกระทำของมันเหมือนไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของถูสั่วจั่ว อ๋องขวาทูเจวี๋ยหนุ่มมองมันแวบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวออกมาช้าๆ ว่า “กำลังตามหากลิ่นกลิ่นหนึ่ง” 


 


 


เมื่อเห็นว่าถูสั่วจั่วไม่ได้กระทำหยาบคายรุนแรงอีก เจ้าคังหนิงจึงสบโอกาสหาเวลาปลอบใจตัวเองชั่วคราวได้บ้าง มันเอามือกุมหน้าแล้วพูดว่า “กลิ่นกลิ่นหนึ่ง? ใต้เท้า พอจะบอกรายละเอียดสักนิดได้หรือไม่!” 


 


 


ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ สองครา “เรื่องราวเกี่ยวพันถึงนางในดวงใจของถูสั่วจั่ว พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ” 


 


 


เจ้าคังหนิงรีบยิ้มประจบ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! สตรีที่ถูกใต้เท้าอ๋องขวาท่านต้องตาต้องใจได้ จะต้องฉลาดหลักแหลม รูปโฉมดั่งเทพเซียนบนสรวงสวรรค์แน่นอน เฉกเช่นดอกนุ่นที่งามเจิดจ้ามากที่สุดบนทุ่งหญ้า คังหนิงขออวยพรให้ใต้เท้าสมดั่งใจปอง บรรลุความหวังอันยิ่งใหญ่โดยเร็ว!” 


 


 


คำพูดนี้คล้ายได้ผลยิ่งนัก ใบหน้าถูสั่วจั่วคลี่รอยยิ้มออกมาหลายครั้ง มันตบบ่าเจ้าคังหนิงแล้วพูดว่า “ไม่เพียงเช่นนี้ นางยังดีกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้เป็นร้อยเท่า…อ๋องน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเรื่องของแนวหน้า เมื่อครู่ข้าอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป พลั้งมือไปชั่วขณะ เจ้าก็อย่าใส่ใจเลยนะ” 


 


 


“มิได้ มิได้” อ๋องน้อยตื่นตระหนก ประสานมือคารวะอย่างต่อเนื่อง “เมื่อครู่ท่านอ๋องขวาสั่งสอนถูกต้องยิ่งแล้ว คังหนิงร้อนใจจะสร้างผลงาน ช่างไม่เหมาะสมจริงๆ” 


 


 


ถูสั่วจั่วอืมหลายครั้ง “พรุ่งนี้เช้าทหารชั้นยอดจำนวนแสนนายก็จะออกเดินทางไปแนวหน้า ตอนนี้หากข้าเสนอความเห็นอันแปลกประหลาดต่อราชครู ผู้อื่นจะต้องคิดว่าข้าเป็นผีขวัญอ่อน สุดท้ายก็จะกลายเป็นไร้เหตุผล ข้าถูสั่วจั่วไม่กล้ากระทำเรื่องโง่เขลาเข่นนี้ หากที่เจ้าพูดเมื่อครู่เป็นความจริง ปาเต๋อหลู่อาศัยโอกาสสะกดผู้กล้าของข้าจริง ข้าจะรายงานท่านข่านตามวาระโอกาสที่เหมาะสม เชื่อว่าท่านข่านจะต้องตัดสินอย่างยุติธรรม ลงโทษคนชั่ว คืนความเป็นธรรมให้ผู้กล้าของข้า!” 


 


 


เมื่อมีประโยคนี้ แส้เมื่อครู่ก็ถือว่าคุ้มแล้ว เจ้าคังหนิงยืนดียิ่งนัก ค้อมกายลงพร้อมประสานมือ “คังหนิงขอขอบคุณบุญคุณของใต้เท้าแทนบิดาในปรโลกและราษฎรต้าหัวผู้ตกทุกข์ได้ยาก” 


 


 


“นี่ยังต้องมาขอบคุณอีกหรือ” ถูสั่วจั่วประคองมันเล็กน้อย “เจ้าคิดอ่านแทนท่านข่านเช่นกัน แม้คำพูดจะเกินเลยไปบ้าง แต่แม้ว่าจะแพร่ไปถึงหูของท่านข่าน ก็ไม่มีผู้ใดจะตำหนิเจ้าได้” 


 


 


นอกจากผงกศีรษะด้วยความยินดี เจ้าคังหนิงก็ไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาบรรยายความรู้สึกในยามนี้ของตนได้อีกแล้ว 


 


 


สองคนสนทนากันหลายประโยค ผู้กล้าทูเจวี๋ยที่รับผิดชอบในการค้นหาก็กลับมาแล้ว ในมือถือดอกไม้ต้นหญ้าที่เปียกชุ่มหลายกำ มีหยดน้ำหยดติ๋งๆ 


 


 


“ท่านอ๋องขวา ในพงหญ้าไม่พบความผิดปกติอันใด เหล่าผู้กล้าเพียงเก็บดอกไม้ใบหญ้าพวกนี้ได้จากในทะเลสาบ ต่างเห็นได้ทั่วไป อาจเป็นคนเลี้ยงสัตว์ในเผ่าที่ทิ้งลงไปก็ได้ขอรับ” 


 


 


เจ้าคังหนิงอยู่ที่ทูเจวี๋ยมาสักระยะหนึ่ง พอฝืนเข้าใจภาษาที่ผู้กล้าคนนี้พูดออกมาอยู่บ้าง 


 


 


ถูสั่วจั่วรับดอกไม้ใบหญ้าที่ชุ่มน้ำนั้นไปไว้ที่จมูกแล้วสูดดมเบาๆ หลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ แล้วส่ายหน้าอย่างแช่มช้า ความยินดีบนใบหน้ากลับยากจะสะกดกลั้นได้อีกต่อไป “เป็นนางหรือไม่?! ถึงเวลาแล้วเช่นกัน นางควรกลับมาได้แล้ว!” 


 


 


“ยินดีกับใต้เท้าอ๋องขวา!” เจ้าคังหนิงฟังอยู่ข้างกายมันอย่างชัดเจน ไหนเลยจะปล่อยโอกาสเลียแข้งเลียขาที่อยู่ตรงหน้าไปได้ 


 


 


มองดูดอกไม้ที่มัดจนแน่นนั้น ถูสั่วจั่วก็ส่ายหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเต็มไปด้วยประกายวูบวาบ พูดพึมพำกับตนเองว่า “สถานะตอนนี้ต่างจากเดิมแล้ว เจ้ากลับยังชอบเล่นสนุกเช่นนี้อีก!” 


 


 


อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้หนุ่มแน่นและหล่อเหลาสูดลมหายใจลึก รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าทำให้คนเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้าง 


 


 


เจ้าคังหนิงกะพริบตาเร็วรี่ เห็นได้ชัดว่ากำลังครุ่นคิดอยู่ สตรีที่ทำให้วีรบุรุษบนทุ่งหญ้าเช่นถูสั่วจั่วยอมสยบได้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่นะ มันเหลียวซ้ายแลขวาคราหนึ่ง จากนั้นจึงถามอย่างไม่เข้าใจ “ใต้เท้าอ๋องขวา ความหมายของท่านคือพระชายาอยู่ในละแวกนี้หรือ?!” 


 


 


เจ้าคังหนิงกลับไหลลื่นยิ่งนัก ประเดี๋ยวเดียวก็เรียกพระชายาแล้ว ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ พร้อมส่ายหน้า “อ๋องน้อยเข้าใจผิดแล้ว นางไม่อาจเป็นพระชายาของข้าได้!” 


 


 


ไม่อาจเป็น? เช่นนั้นเจ้ายังดีอกดีใจขนาดนี้อีก? เจ้าคังหนิงมองด้วยความงงงวยเหลือล้น 


 


 


ถูสั่วจั่วไม่อธิบายเช่นกัน มันหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้ากับนางเติบโตบนทุ่งหญ้ามาด้วยกัน นางคือสตรีที่งดงามมากที่สุด มีความสามารถมากที่สุดของทูเจวี๋ยเราในรอบร้อยปี ความฉลาดหลักแหลมไม่มีผู้ใดเทียบ ทำงานเด็ดขาด นิสัยมีเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่เคยชอบให้ผู้อื่นสืบหาร่องรอยของนาง วันนี้พวกเราพบดอกไม้เหล่านี้ที่ทะเลสาบก็ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีอย่างเหลือเชื่อแล้ว! เพียงแต่จากการคาดคะเนของข้า หากไม่ผิดจากที่คาดไว้ ไม่กี่วันนี้นางก็จะกลับราชธานี อย่างไรเสียงานใหญ่ก็ใกล้จะมาถึงแล้ว” 


 


 


ครั้นเอ่ยถึงงานใหญ่ ใบหน้าของถูสั่วจั่วก็ผุดรอยยิ้มตื่นเต้นขึ้นมา ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งหวัง เจ้าคังหนิงรีบเอ่ยว่า ใต้เท้า งานใหญ่อันใดหรือ?!” 


 


 


ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ส่ายหน้าไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ผู้ติดตามข้างกายมันคนหนึ่งตวาดด้วยความไม่พอใจ “อ๋องน้อยจ้าว เจ้ามาถึงแคว้นเราก็นานขนาดนี้แล้ว หรือยังจะไม่รู้ว่าช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปีที่ราชธานีของพวกเราก็มีงานแข่งขันชิงแพะกัน?!” 


 


 


แข่งขันชิงแพะ? เจ้าคังหนิงตระหนักขึ้นมาได้ทันที รีบประสานมือพร้อมกล่าวด้วยความพินอบพิเทา “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คังหนิงขอแสดงความยินดีต่อใต้เท้าอ๋องขวามา ณ ที่นี้ ธงโบกสะบัดได้รับชัย อาชาบรรลุประสบความสำเร็จ วันหน้าคังหนิงจะต้องมอบไข่มุกที่ล้ำค่ามากที่สุดของต้าหัวมาร่วมแสดงความยินดีกับวันอันเป็นมงคลของใต้เท้า!” 


 


 


“ดีๆ!” ถูสั่วจั่วหัวเราะดังลั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี 


 


 


“ท่านแม่ทัพ จะลงมือตอนนี้หรือไม่ขอรับ?!” ดำอยู่ใต้น้ำมานานจนอยู่ไกลห่างจากกระโจมของถูสั่วจั่ว สวี่เจิ้นโผล่ขึ้นผิวน้ำ พ่นลมหายใจยาวๆ ทำท่าทีด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย 


 


 


ถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้มาอย่างกะทันหันคนนี้ถือเป็นปลาใหญ่ของแท้แน่นอน หากกำจัดมันไปได้ก็เท่ากับตัดแขนซ้ายขวาชาวทูเจวี๋ย นอกจากนี้ยังมีเจ้าคังหนิงที่ขายบรรพชนเพื่อลาภยศอีก จึงยิ่งทำให้คนเคียดแค้นจนรู้สึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากกำจัดมันสองคนได้ ถือเป็นการกระทำเพียงหนึ่งแต่ได้กลับมาถึงสอง มิน่าสวี่เจิ้นถึงดวงตาเป็นประกาย 


 


 


ช้อนสายตามองไปที่ฝั่ง ชาวทูเจวี๋ยกับเจ้าคังหนิงกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข องครักษ์ร่างกำยำนับร้อยของอ๋องขวาค่อยๆ แผ่ขยายขอบเขตในการลาดตระเวน แม้แต่ทะเลสาบก็ส่งเวรยามมาเฝ้าไว้คนหนึ่ง หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “เจ้าถูสั่วจั่วคนนี้ไม่ใช่ไอ้งั่งอย่างเซิ่งตัน มันผู้นี้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก รูปแบบในการตั้งค่ายก็พิถีพิถันมาก กองไฟตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบ ทว่ากระโจมกลับอยู่ห่างจากน้ำ ทำให้คนไม่อาจล้อมโจมตีได้ บวกกับผู้กล้านับร้อยที่คุ้มกันอย่างเต็มที่นั่นอีก ขอเพียงมีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย มันก็จะควบม้าหลบหนีได้” 


 


 


สวี่เจิ้นประเมินค่ายของถูสั่วจั่วอย่างถ้วนถี่ เป็นดั่งที่หลินหว่านหรงว่าไว้จริง อ๋องขวาทูเจวี๋ยออกโรงย่อมไม่ธรรมดาจริงด้วย กระโจมของพวกมันอยู่ห่างกันอย่างเหมาะสม แฝงกระบวนในการป้องกัน องครักษ์ชาวทูเจวี๋ยนับร้อยคนนั้นก็ยิ่งเป็นสุดยอดของสุดยอด แต่ละคนต่างแข็งแกร่งทรงพลัง ผ่านการสู้รบมาอย่างช่ำชอง ขอบเขตในการลาดตระเวนก็แผ่ขยายออกไปหลายร้อยจั้ง ไม่ว่าจะบุกจากทิศทางใดก็ต้องปรากฏอยู่ในสายตาของพวกมัน หากพวกมันต้องการจะเฝ้ารักษาเป็นแม่นมั่นอาจจะยากอยู่บ้าง แต่หากต้องการหลบหนีกลับหาใช่เรื่องยากเย็น 


 


 


สวี่เจิ้นถอนหายใจด้วยความจนใจ สีหน้าเดือดแค้น หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง “เสี่ยวสวี่ เจ้าต้องจำไว้ เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่แค่ถูสั่วจั่วเพียงคนเดียว แต่เป็นทั้งราชธานีทูเจวี๋ย! โจมตียึดเค่อจือเอ่อร์นั่นถึงจะสร้างความกระทบกระเทือนใจโดยตรงและทรงพลังต่อชนเผ่านอกด่านมากที่สุด! ส่วนถูสั่วจั่วกับเจ้าคังหนิงจะต้องมีวันที่เก็บพวกมันแน่นอน!” 


 


 


สวี่เจิ้นสีหน้าตื่นตะลึง รีบผงกศีรษะ “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้อง ตอนนี้พวกเราควรสละตัวเล็กเพื่อจับตัวใหญ่ นั่นถึงจะสะใจขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขา หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังหลายครั้ง สิ่งที่รู้จากบทสนทนาระหว่างเจ้าคังหนิงกับถูสั่วจั่วนั่นก็คือชนเผ่านอกด่านจำนวนหนึ่งแสนซึ่งรวมพลอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ใกล้จะไปช่วยแนวหน้าที่เฮ่อหลานซานแล้ว ดูท่าว่าสวีจื่อฉิงกำลังคิดหาหนทางดึงดูดสายตาศัตรูอย่างเต็มที่จริงๆ ด้วย เพื่อสอดประสานกับการเคลื่อนไหวของหลินหว่านหรง  

 

 


ตอนที่ 584 - 2 แข่งขันชิงแพะ

 

เมื่อปีนขึ้นฝั่งก็เรียกรวมพลแล้วนับให้ครบถ้วนรอบหนึ่ง จัดตั้งเวรยามลับเรียบร้อย จากนั้นถึงกลับไปอย่างรีบร้อน 


 


 


พวกของหูปู้กุยเกาฉิวและหลี่อู่หลิงรอคอยจนหงุดหงิดใจมาตั้งนานแล้ว ครั้นเห็นเขากลับมาก็เข้ามาล้อมด้วยความยินดีทันที “แม่ทัพหลิน เบื้องหน้ามีข่าวหรือไม่ขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ เล่าสิ่งที่พบสิ่งที่เห็นในทะเลสาบออกไปรอบหนึ่ง ทุกคนฟังจนตาโตอ้าปากค้าง แค่เจ้าคังหนิงคนเดียวก็แย่แล้ว ยิ่งเพิ่มอ๋องขวาทูเจวี๋ยถูสั่วจั่วที่มีขุมกำลังเต็มที่อีก แม่ทัพหลินออกโรง ช่างให้ผลเกินคาดเสียจริง 


 


 


“เจ้าสุนัขที่ขายบรรพชนเพื่อลาภยศตัวนี้นี่!” เกาฉิวด่าทออย่างเดือดดาล ที่ด่าทอก็คือเจ้าคังหนิงทายาทเฉิงอ๋องในกาลก่อน 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะแล้วพูดว่า “ยุแยงอ๋องซ้ายขวาทูเจวี๋ย กระทั่งยังโน้มน้าวให้ถูสั่วจั่วปลดข่านแล้วเป็นเอง อ๋องน้อยช่างขวัญกล้าอยู่บ้างจริงๆ นะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ “เจ้าคังหนิงน่ะไม่ต้องพูดถึงแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีคนกำจัดมัน ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าถูสั่วจั่วคนนี้กลับอายุน้อยเช่นนี้ อายุยังไม่ถึงสามสิบก็เป็นอ๋องขวาทูเจวี๋ยที่มีผลงานศึกอันยิ่งใหญ่!” 


 


 


หูปู้กุยกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ถูสั่วจั่วคนนี้ไม่อาจดูแคลนได้เลย มันรับช่วงต่อจากบิดาตอนอายุสิบสาม ไม่ถึงยี่สิบก็ดูแลชนเผ่าของตนเองจนกลายเป็นดินแดนขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของทูเจวี๋ย ระหว่างนั้นบุกใต้ขึ้นเหนือ กำราบเถี่ยเล่อเก้าตระกูล กลายเป็นขุนนางที่มีผลงานใหญ่มากที่สุดในการรวบรวมทุ่งใหญ่ให้เป็นหนึ่งของทูเจวี๋ย คนผู้นี้มีความเ**้ยมหาญยิ่งนัก บวกกับมีปณิธานแน่วแน่ หล่อเหลาสง่างาม มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในทูเจวี๋ย อายุยังไม่เกินสามสิบก็มีชื่อเสียงเคียงบ่าเคียงไหล่กับปาเต๋อหลู่แล้ว แม้ข้าน้อยจะไม่เคยประมือกับมันโดยตรง แต่ชื่อเสียงของอ๋องขวาทูเจวี๋ยกลับเหมือนดั่งเสียงอสุนีบาตกรอกใบหูมาตั้งแต่แรกขอรับ” 


 


 


ที่แท้เจ้าถูสั่วจั่วคนนี้ก็รบมาเกือบยี่สิบปีแล้ว เป็นยี่สิบเท่าของข้าได้ น่าละอายๆ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง “ในเมื่อถูสั่วจั่วกล้าแกร่งเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดภารกิจใหญ่เช่นการบุกโจมตีเฮ่อหลานซานถึงไปอยู่ที่ปาเต๋อหลู่ได้เล่า?” 


 


 


“เรื่องนี้ก็สมกับคำว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดขอรับ ดินแดนของปาเต๋อหลู่ถือเป็นดินแดนอันดับหนึ่งของทูเจวี๋ย แม้แต่ลู่ตงจ้านเองก็ถือกำเนิดจากที่นี่ แล้วพวกมันจะปล่อยให้อำนาจกองทัพตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นได้หรือ? เพื่อบุกโจมตีต้าหัว ทูเจวี๋ยรวบรวมกำลังพลที่มีอยู่ทั้งหมด ถูสั่วจั่วต้องมอบผู้กล้าที่เชื่อใจมากที่สุดในดินแดนให้ปาเต๋อหลู่ควบคุม ท่านว่าใจมันจะทนได้หรือขอรับ? เรื่องที่อ๋องซ้ายและอ๋องขวาทูเจวี๋ยประหัตประหารซึ่งกันและกันนั้นว่ากันว่าเริ่มตั้งแต่บิดาของถูสั่วจั่วแล้ว” 


 


 


มิน่าเจ้าคังหนิงถึงกล้าบังอาจยุแยงตะแคงรั่ว ที่แท้ในนี้ยังมีอะไรแอบแฝงอยู่อีกมากนี่เอง ถูสั่วจั่วไม่ได้รับความเป็นธรรมจิรงด้วย หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “พี่หู เช่นนั้นท่านเคยพบข่านทูเจวี๋ยหรือไม่?!” 


 


 


หูปู้กุยส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข่านทูเจวี๋ยอยู่ไกลถึงเค่อจือเอ่อร์ ส่วนพวกเราก่อนหน้านี้ไม่เคยแม้แต่จะได้เข้าทุ่งหญ้า แล้วจะเคยเห็นข่านทูเจวี๋ยได้อย่างไรล่ะขอรับ? ไม่ใช่แค่ข้า แม้แต่ท่านจอมทัพหลี่ไท่ ท่านรบกับชนเผ่านอกด่านมาทั้งชาติก็ยังไม่เคยเห็นว่าข่านทูเจวี๋ยมีหน้าตาเช่นไร พูดไปแล้วในทูเจวี๋ยเองจะมีสักกี่คนที่เคยเห็นว่าฮ่องเต้ของเราทรงมีพระพักตร์เช่นไรบ้าง?” 


 


 


เหล่าหูเปรียบเทียบเช่นนี้กลับน่าสนใจยิ่งนัก หลินหว่านหรงผงกศีรษะพลางยิ้มแย้ม “พูดเช่นนี้ มีความเป็นได้อย่างยิ่งว่าพวกเราจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เห็นข่านทูเจวี๋ยของต้าหัวแล้วล่ะสิ?!” 


 


 


คนทั้งหลายต่างเปล่งหัวเราะเสียงดัง แอบมีความคาดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่การพูดเล่น ขอเพียงยึดเค่อจือเอ่อร์ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเห็นหน้าตาข่านทูเจวี๋ย แม้แต่เอาชีวิตมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ทูเจวี๋ยเคยส่งลู่ตงจ้านมาเป็นราชทูต มาต้าหัวเพื่อสู่ขอองค์หญิงหนีฉาง ข่านของพวกมันคิดว่าก็คงมีอายุราวสี่ห้าสิบปีกระมัง หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “จากการสนทนาของถูสั่วจั่วกับเจ้าคังหนิง ทัพใหญ่นับแสนที่อยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์พรุ่งนี้ก็จะไปช่วยแนวหน้าแล้ว เช่นนั้นลู่ตงจ้านจะทิ้งไพร่พลไว้ที่ราชธานีทูเจวี๋ยเท่าไหร่?!” 


 


 


ทุกคนต่างมองหน้ากัน คำถามนี้เกรงว่าคงมีแค่ลู่ตงจ้านที่ตอบได้แล้ว หูปู้กุยคุ้นเคยกับนิสัยชาวทูเจวี๋ยมากที่สุด เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “เค่อจือเอ่อร์ไม่เหมือนที่อื่น เป็นถึงราชธานีของทูเจวี๋ย เป็นสถานที่สำคัญที่ยิ่งกว่าสำคัญที่ชนเผ่านอกด่านต้องเฝ้ารักษา แม้จะบอกว่าอยู่ใกล้ปราการธรรมชาติอย่างภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ไม่เคยถูกลอบโจมตีมาก่อนก็ตาม แต่ต่อให้ชนเผ่านอกด่านวางใจ ก็ไม่มีทางผ่อนคลายเกินไปแน่นอน ตามการคาดเดาของข้าน้อย ลู่ตงจ้านต้องทิ้งทหารม้าชั้นยอดไว้อย่างน้อยหนึ่งหมื่นโดยประมาณ เผื่อเกิดเหตุจำเป็น บวกกับกองกำลังรักษาเมือง เค่อจือเอ่อร์น่าจะมีไพร่พลราวสองหมื่นกระมังขอรับ” 


 


 


การคาดเดาของหูปู้กุยมีเหตุผล บนทุ่งหญ้า ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งหมื่นถือเป็นกองกำลังที่ไม่อาจต้านทานได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกองกำลังรักษาเมืองอีก เมื่อรวมกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ในเมือง ผู้ที่เฝ้ารักษาราชธานีทูเจวี๋ยต้องไม่ต่ำกว่าสองหมื่นคนแน่นอน 


 


 


ใช้ไพร่พลห้าพันไปสู้แลกกับชาวทูเจวี๋ยสองหมื่น ซ้ำเป็นศึกโจมตีเมืองอีกด้วย แม้แต่คนโง่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ยากนัก ต่อให้คิดสู้ตายก็ไม่อาจไปตายเสียเที่ยวเปล่าเช่นนี้กระมัง หลินหว่านหรงขมวดคิ้วมุ่นทันที 


 


 


ศึกเค่อจือเอ่อร์อาจเป็นศึกสุดท้ายของเขาแล้ว และมันต้องเป็นการต่อสู้ที่ถูกบันทึกลงไปในประวัติศาสตร์แน่นอน ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร ทหารห้าพันนายนี้ต่างมีชื่อจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ แต่ในฐานะที่เป็นผู้นำทัพ การจ่ายค่าตอบแทนที่ต่ำที่สุดเพื่อแลกกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่มากที่สุดคือหน้าที่ของเขา 


 


 


ทุกคนค่อยๆ สงบลง มองหลินหว่านหรงอย่างเงียบงัน ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทุกการตัดสินใจของเขาจะตัดสินชะตาทหารทั้งห้าพัน 


 


 


บรรยากาศเงียบสงัดจนกดดันเล็กน้อย หลินหว่านหรงย่ำเท้าแช่มช้าไปหลายก้าว ทันใดนั้นก็หยุดเดิน เงยหน้าถามอย่างรวดเร็ว “พี่หู ท่านเคยได้ยินการแข่งขันชิงแพะหรือไม่?!” 


 


 


แข่งขันชิงแพะ? ทุกคนนิ่งงันไปพร้อมกัน หูปู้กุยรีบผงกศีรษะแล้วตอบว่า “เคยได้ยินๆ นี่คืองานใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบนทุ่งหญ้าแล้วขอรับ” 


 


 


“อ้อ?” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความสนใจยิ่งนัก “เจ้าแพะนี่มันมีวิธีจับอย่างไรกันแน่?” 


 


 


“แข่งขันชิงแพะบนทุ่งหญ้า พูดไปแล้วก็ไม่ต่างจากการประลองยุทธ์เลือกคู่ของต้าหัวเราสักเท่าไหร่ขอรับ!” 


 


 


“ประลองยุทธ์เลือกคู่?! ข้าชอบฟังเรื่องนี้” เกาฉิวดวงตาเป็นประกายทันที รู้สึกคึกคักขึ้นมา “ชิงแพะกับหาคู่มันเกี่ยวกันได้อย่างไร เหล่าหู รีบว่ามา” 


 


 


เหล่าหูผงกศีรษะ หัวเราะแล้วพูดว่า “ประเพณีหาคู่ของชนเผ่านอกด่านต่างจากของต้าหัวเรา พวกเราเน้นคำสั่งบุพการี ถ้อยคำของแม่สื่อ แต่สำหรับชนเผ่านอกด่านนั้น พวกมันให้ความสำคัญต่อการคบหาอย่างอิสระ ชายหญิงพบกันรักกันนั้นล้วนเกิดตามธรรมชาติ” 


 


 


“นี่กลับไม่เลว” หลี่อู่หลิงรีบปรบมือ “เหมาะกับพี่หลินพอดี เขาหาคู่หนึ่งร้อยจะกลายเป็นหนึ่งร้อยเอ็ดคน” 


 


 


หลินหว่านหรงกลอกตาค้อนรอบหนึ่ง ทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง 


 


 


“การรักกันอย่างอิสระนี้เดิมทีเป็นเรื่องดี ทว่าในแต่ละชนเผ่าของทูเจวี๋ยมีชายหญิงไม่สมดุลกัน ทั้งยังอยู่กันคนละแห่งบนทุ่งหญ้า พบหน้าไม่สะดวก ด้วยเหตุนี้งานชิงแพะซึ่งแต่เดิมใช้เพื่อเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวจึงเปลี่ยนมาจัดในฤดูใบไม้ผลิ เปลี่ยนเป็นงานหาคู่ของชนเผ่านอกด่าน ถึงเวลาสตรีที่ยังมิได้ตบแต่งจากแต่ละชนเผ่าบนทุ่งหญ้าก็จะไปชมงานชิงแพะเพื่อเลือกเฟ้นผู้ที่ตนถูกใจ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์หรือว่าสามัญชนคนธรรมดาก็เข้าร่วมการแข่งขันชิงแพะนี้ได้ เพื่อความยุติธรรมและป้องกันการประหัตประหารซึ่งจะเกิดขึ้นตามมาภายหลัง เหล่าผู้กล้าที่เข้าร่วมการชิงแพะต้องใช้ผ้าดำปกปิดใบหน้า ทำสัญลักษณ์เอาไว้ ผู้ที่นำแพะไปถึงที่หมายได้ก่อนก็จะเป็นผู้กล้าแห่งทุ่งหญ้าของงานนั้น ส่วนสตรีผู้มีสถานะสูงส่งมากที่สุดก็จะเลือกผู้กล้าที่ร้ายกาจมากที่สุดมาเป็นเขยขวัญขอรับ” 


 


 


ปิดหน้าชิงแพะ?! เรื่องนี้มันช่างน่าตื่นเต้นเสียจริงนะ! หลินหว่านหรงหัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “ชาวทูเจวี๋ยมีความคิดสร้างสรรค์เสียจริง นี่มันชิงแพะที่ไหนกัน เห็นชัดว่าชิงคนรักนี่นา” 


 


 


ระหว่างที่ทุกคนกำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่นั้น หูปู้กุยก็ตกใจทันที เอ่ยถามด้วยความยินดีอย่างยิ่งขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพ หรือว่าท่านจะใช้ประโยชน์จากการแข่งขันชิงแพะครั้งนี้ขอรับ?!”  

 

 


ตอนที่ 585 - 1 ใครหึง

 

“จริงหรือ?” เหล่าเกายินดีจนหุบปากไม่ลง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้น้องหลินต้องไม่พลาดแน่นอน หาคู่ ทุกคนไปหาคู่กันให้หมด!” 


 


 


เจ้าคนบ้ากามนี่กลับไม่ยอมลืมเรื่องนี้สักที หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ชิงแพะชิงคนรักอะไรกัน ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก ถึงเวลาค่อยว่ากันก็แล้วกัน! นอกจากนี้พรุ่งนี้ทัพใหญ่หนึ่งแสนของเค่อจือเอ่อร์จะออกเดินทางแล้ว พี่หู ท่านส่งพี่น้องที่มีความสามารถสักหลายคนไปยืนยันเรื่องนี้ พวกมันยิ่งอยู่ไกลจากพวกเรา เช่นนั้นก็ยิ่งปลอดภัย” 


 


 


เหล่าหูย่อมเข้าใจความสำคัญนี้ รีบผงกศีรษะแล้วตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าให้สวี่เจิ้นพาหน่วยลาดตระเวนสองกลุ่มออกไปสืบร่องรอยของทัพหนึ่งแสนของศัตรูได้ขอรับ” 


 


 


สวี่เจิ้นอายุน้อยมีความสามารถ เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ จากที่เขาสะกดรอยหลินหว่านหรง ข้ามผ่านเฮ่อหลานซานเข้าสู่ทุ่งหญ้ามาได้ก็ดูออกแล้ว หลินหว่านหรงผงกศีรษะ มองสวี่เจิ้นหลายครั้ง “ว่าอย่างไร เสี่ยวสวี่ มีปัญหาหรือไม่?!” 


 


 


สวี่เจิ้นประสานมือด้วยความตื่นเต้น “ขอท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนขอรับ” 


 


 


การสะกดรอยทัพใหญ่หนึ่งแสนนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือต้องรักษาระยะห่าง ไม่อาจให้ชนเผ่านอกด่านพบเห็นเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะกลายเป็นขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ หากถูกพบเห็นขึ้นมา ด้วยความฉลาดเฉลียวของลู่ตงจ้าน การคาดเดาจุดมุ่งหมายของหลินหว่านหรงนั้นย่อมมิใช่เรื่องยากอันใด 


 


 


สั่งการสวี่เจิ้นอย่างถ้วนถี่ไปหลายประโยค เสี่ยวสวี่ผงกศีรษะเพื่อจดจำอย่างต่อเนื่อง จากนั้นถึงถอยออกไปเพื่อเตรียมตัว หลินหว่านหรงปรับสีหน้า “ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์แค่สามร้อยลี้ หากไม่ระวังเพียงนิดก็จะเปิดเผยร่องรอยของพวกเรา ก่อนที่สวี่เจิ้นจะส่งข่าวที่แน่ชัดกลับมา ความเคลื่อนไหวของพวกเราจะต้องรอบคอบ ยอมรอหนึ่งถึงสองวัน แต่ไม่อาจถูกชนเผ่านอกด่านหลอกลวงได้” 


 


 


ทุกคนรีบผงกศีรษะ หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ยังมีอีก คืนนี้ถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยจะค้างคืนอยู่ริมทะเลสาบ อยู่ห่างจากพวกเราแค่ยี่สิบกว่าลี้เท่านั้น สั่งการให้พี่น้องที่อยู่เบื้องหน้าต้องเพิ่มความตื่นตัว สังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลา หากพบเหตุการณ์ผิดปกติ กลับมารายงานทันที ห้ามชักช้าเด็ดขาด” 


 


 


“รับบัญชา!” ทุกคนรีบประสานมือ ตวาดเสียงดังออกมาพร้อมเพรียงกัน 


 


 


เมื่อสั่งงานในมือออกไปอย่างชัดเจนแล้ว พี่น้องทุกคนต่างกระจายตัวออกไป หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง เอ่ยถามเกาฉิวที่อยู่ข้างกายว่า “เยวี่ยหยาเอ๋อร์อยู่ที่ใด?” 


 


 


เกาฉิวชี้ไปที่พงหญ้าสีเขียวรกครึ้มที่อยู่ไกลๆ “อยู่ที่นั่น! มีพี่น้องหลายคนจับตาดูนางอยู่” 


 


 


หลินหว่านหรงทอดสายตามองไป หญ้าสีเขียวขจีบริเวณกว้างที่อยู่ไกลๆ นั้นสูงครึ่งตัวคนได้ ราวกับระลอกคลื่นสีเขียว กึ่งกลางถูกแหวกถางออกเป็นพื้นหญ้าอันราบเรียบ เงาร่างอันงดงามร่างหนึ่งนั่งอย่างสงบนิ่งบนพื้น มือถือหญ้าเขียวอยู่หลายกำ ไม่รู้ว่ากำลังถักอะไรอยู่ 


 


 


หลินหว่านหรงแค่นเสียง ชักเท้าแล้วเดินไปที่พงหญ้า นายทหารรอบด้านเมื่อเห็นเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแสดงการคารวะด้วยความเคารพ หลินหว่านหรงโบกมือ ยิ้มให้ทุกคน 


 


 


เสียงฝีเท้าดังสวบสาบทำให้อวี้เจียซึ่งกำลังมีสมาธิตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมา ครั้นเห็นใบหน้าดำทะมึนของหลินหว่านหรงก็ตกใจ รีบซ่อนหญ้าถักที่อยู่ในมือไว้ข้างหลัง 


 


 


หลินหว่านหรงไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน ย่างก้าวอย่างแช่มช้าเข้าไปหา สายตาพุ่งไปที่ร่างสาวน้อยทูเจวี๋ยอย่างเย็นชาราวกับเป็นวัตถุที่มีอยู่จริง 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ยอมสยบ สบตาเขาอย่างหาญกล้า ผ่านไปครู่หนึ่งก็ก้มหน้าลงไปอย่างอับจนปัญญา กำหญ้าเขียวในมือแน่น 


 


 


“ว่างมากนักหรือ คุณหนูอวี้เจีย?!” หลินหว่านหรงหัวเราะดังฮิฮะออกมาคราหนึ่ง เอ่ยปากอย่างเย็นชา น้ำเสียงเย็นเยียบ ทำให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์รู้สึกปรับตัวไม่ทัน 


 


 


นางเงยหน้าพร้อมมองเขาด้วยท่าทีแข็งกร้าว “ว่างแล้วจะทำไม ไม่ใช่เกิดจากโจรเช่นเจ้าหรอกหรือ?!” 


 


 


“จับนางมัดให้ข้า!” อวี้เจียพูดยังไม่ทันขาดคำ หลินหว่านหรงก็คำรามด้วยโทสะหน้าตาถมึงทึง ท่าทางส่งเสียงขู่คำรามนั้นแม้แต่เกาฉิวที่อยู่ข้างกายเขาก็ยังต้องตกใจสะดุ้งโหยง 


 


 


“รับบัญชา!” มีทหารหลายนายออกไปแล้ว บุกเข้าหาอวี้เจียราวกับสัตว์ป่าดุร้าย กำลังจะบิดแขนนางเพื่อมัด 


 


 


“อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” สาวน้อยทูเจวี๋ยหน้าแดงก่ำ พยายามออกแรงสะบัดทหารต้าหัวข้างกายให้หลุดออกไปอย่างสุดกำลัง รีบถอยหลังไปหลายก้าว กล่าวด้วยน้ำเสียงมีโทสะออกมาว่า “บุรุษต้าหัวอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้องตัวข้า!” 


 


 


ยามนางโมโหเดือดดาล ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ ใบหน้าเปล่งบารมีอันสูงศักดิ์ทรงอำนาจ ทำให้คนมิกล้าล่วงเกิน 


 


 


“ห้ามแตะต้องตัวเจ้า?! ขู่ข้า?!” หลินหว่านหรงพับแขนเสื้อ ยิ้มหยันเย็นยะเยือก เดินเข้าหานางด้วยไอสังหารอันพลุ่งพล่าน “ข้าก็เป็นบุรุษต้าหัว เจ้าลองดูสิว่าข้าจะกล้าแตะต้องเจ้าหรือไม่?!” 


 


 


เขาเพิ่มแรงใต้ฝ่าเท้า แต่ละย่างก้าวล้วนจงใจเหยียบย่ำพื้นหญ้าอย่างรุนแรง หญ้าเขียวส่งเสียงกรอบแกรบ เสียงทรงอำนาจยิ่งนัก อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน ประกายเย็นเยียบในมือกระจ่างวูบอย่างเร็วรี่ กลับควักดาบทองอันล้ำค่าดั่งชีวิตเล่มนั้นออกมาแล้ว คมดาบเย็นเยียบชี้ไปที่หลินหว่านหรงพร้อมพูดว่า “อัวเหล่ากง เจ้ากล้า!” 


 


 


ท่านย่ามัน! เป็นนักโทษแต่กลับไม่เคยรู้สึกตัวว่าเป็นนักโทษเลยนะ จนป่านนี้แล้วยังกล้าแสดงอำนาจขนาดนี้อีก?! หลินหว่านหรงยิ้มหยันอยู่ในใจ ย่ำเท้าอย่างมั่นคงพุ่งปราดเข้าไปหา เล็งข้อมือที่กุมดาบของนางอย่างเหมาะเหม็ง จากนั้นก็ต่อยอย่างรุนแรงคราหนึ่ง 


 


 


เขาคนนี้แม้การเรียนวรยุทธ์ยังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของคนไม่เอาถ่าน แต่ถึงอย่างไรก็เคยฝึกเสริมกับคุณหนูเซียวมา หากเอ่ยถึงเรี่ยวแรงมหาศาล แม้แต่ชนเผ่านอกด่านที่แข็งแรงกำยำมากที่สุดก็ยังต้องลอบประหวั่นใจ หมัดนี้มาพร้อมเสียงลมหวีดหวิวรุนแรง แฝงพลังแข็งกล้า กระแทกไปที่ข้อมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์โดยตรง ลงมือไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย 


 


 


“คนต่ำช้า!” อวี้เจียร้องด้วยความตกใจคราหนึ่ง ขณะที่กำลังจะดึงดาบทองหนีก็รู้สึกเพียงว่าข้อมือไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ถูกเขาจับยึดแน่นอยู่ในมือแล้ว 


 


 


ท่วงท่านี้แม้จะทำเพื่อขู่ให้กลัว แต่เมื่อหวัดกระแทกร่างของสาวน้อยกลับไม่ได้รุนแรงอะไรมากนัก ฝ่ามือคลายออกโดยไม่รู้ตัว 


 


 


หลินหว่านหรงบิดข้อมือของนาง ชิงดาบทองเจิดจ้านั้นมา ฟันดาบกรีดผ่านข้างใบหูนางอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะมอง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยกรีดร้องคราหนึ่ง กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “อัวเหล่ากง จะ…เจ้าทำอะไรกับข้า?!” 


 


 


“แต่งผมเท่านั้นเอง จะต้องตื่นเต้นขนาดนี้เชียวหรือ?!” หลินหว่านหรงยิ้มหยันพูดไม่เร็วไม่ช้า เส้นผมงามยาวสลวยซึ่งถูกคมดาบตัดออกไปหลายเส้นลอยล่องอยู่กลางอากาศเบาๆ ร่วงหล่นลงพื้นอย่างแช่มช้า 


 


 


อวี้เจียหน้าร้อน หมุนกายไปพร้อมแค่นเสียงด้วยโทสะ “เจ้านอกจากจะรังแกข้าแล้ว ยังทำอะไรได้อีก?! ชาวต้าหัวที่ไม่ได้เรื่อง!” 


 


 


“ข้ารังแกเจ้า?!” ดวงตาของหลินหว่านหรงกระจ่างวูบ หัวเราะเย้ยหยันฮิฮะ “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ายกย่องข้าเกินไปแล้ว คืนนี้พวกเราใครรังแกใครกันแน่ เจ้ารู้ดีกว่าข้าเสียอีก!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความขบขัน “ฟังความหมายของเจ้า หรือว่าเป็นข้าที่รังแกเจ้า?! หึ คำว่าไร้ยางอายนี้เอามาใช้กับเจ้าช่างเหมาะสมพอดี อ๊ะ!” 


 


 


พูดยังไม่ทันจบ ดอกไม้ใบหญ้าที่ประดับด้วยหยดน้ำกลุ่มหนึ่งถูกโยนไปที่เท้านางอย่างรุนแรง กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ลอยเข้าจมูก เกาฉิวสูดดมหลายครา ถึงกระนั้นกลับจามออกมาหลายครั้งไม่ได้ 


 


 


หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึง จ้องนางเขม็ง กล่าวโดยยิ้มแต่เปลือกนอกว่า “ใครไร้ยางอายกว่าใคร แล้วใครรังแกใคร! คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเห็นข้าเป็นไอ้โง่หรือ” 


 


 


“เอ๊ะ นี่คืออะไร…ข้ารังแกเจ้าแล้วหรือ?!” อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลับสาดประกายบริสุทธิ์ไร้เดียงสาและไร้พิษสง 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันกรอดย่างแค้นเคือง “เจ้าไม่รู้ว่านี่คืออะไรหรือ? เป็นวิชาแพทย์แล้วแน่แล้วหรือ!? เจ้ารู้หรือไม่ว่าไร้ยางอายคำนี้เขียนว่าอย่างไร?” 


 


 


เจ้าคนนี้มีหน้ามาพูดเรื่องไร้ยางอายต่อหน้าข้าอีกนะ สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งขำทั้งโมโห ก้มหน้าลงแล้วตอบว่า “เจ้ากำลังพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ” 


 


 


“เหล่าเกา มัดนางไว้!” หลินหว่านหรงคำรามออกมาด้วยโทสะ บิดข้อมืออวี้เจีย พูดสั่งการเสียงดัง เกาฉิวหัวเราะฮิฮะชั่วร้าย หยิบเชือกมาแล้วสาวเท้าเข้าไปหาอย่างเร็วรี่ ขณะที่กำลังจะลงมือกลับได้ยินเสียงกรีดร้องของอวี้เจีย “ช้าก่อน!” 


 


 


“ลงมือ!” หลินหว่านหรงเสียงดังขึ้น แฝงบารมีที่ห้ามขัดขืน 


 


 


นิสัยอันร้อนแรงของอวี้เจียกลับเพิ่มพูนขึ้น หันหน้ากลับมาในทันที สองตาเบิกโพลง กล่าวอย่างมีโทสะ “หากจะมัดข้าก็ให้เจ้าลงมือเพียงผู้เดียวเท่านั้น!”  

 

 


ตอนที่ 585 - 2 ใครหึง

 

ด้วยโทสะอันพลุ่งพล่าน สาวน้อยจึงมีใบหน้าแดงก่ำ อกงามขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ดวงตาวาวโรจน์ สบตาเขาอย่างกล้าหาญ ให้ความรู้สึกไม่ยอมอ่อนข้อ 


 


 


นี่มันอะไรกัน ขอร้องหรือว่าข่มขู่? คิดว่าข้าไม่กล้ามัดเจ้าหรืออย่างไร?! หลินหว่านหรงเดือดดาลอยู่ในใจ เขายื่นมือออกไป เกาฉิวแอบหัวเราะแล้วส่งเชือกไปให้ 


 


 


หลินหว่านหรงแค่นเสียง จับแขนอันอ่อนนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของอวี้เจียมัดไพล่หลัง วนเชือกครั้งแล้วครั้งเล่า มัดร่างนางราวกับบ๊ะจ่าง เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้ายยังดึงเชือกราวกับยังไม่หนำใจอีก ความหงุดหงิดโมโหไม่ต้องเอื้อนเอ่ย เหล่าเกาเห็นแล้วก็ลอบตกใจ วันนี้น้องหลินเดือดแล้วจริงๆ ปราศจากความรักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อยเลยนะ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยขบกรามแน่น เบือนหน้าหนีไปอย่างดื้อดึง ไม่มองเขาแม้แต่แวบเดียว ดวงตาอันล้ำลึกปรากฏความเปียกชื้นให้เห็นรางๆ  


 


 


“เอ๊ะ นี่คืออะไร?!” เกาฉิวร้องคราหนึ่ง สายตาไปอยู่ที่มืองามเรียวยาวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ สาวน้อยทูเจวี๋ยถูกมัดจนไม่อาจขยับเขยื้อน มืองามกุมหญ้าเขียวแน่น ถึงตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ 


 


 


ยังมีแผนชั่วร้ายอะไรอีก?! หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง รีบสาละวนแกะมือนาง สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด สองแขนขยับไม่ได้ ทว่ามือเรียวยาวนั้นกลับเป็นเหมือนดั่งคีมเหล็ก กุมแน่นสนิท หลินหว่านหรงออกแรงอย่างเต็มที่จนเหงื่อแตกเต็มหน้าผาก ถึงกระนั้นก็ไม่อาจแกะมือนางออกได้ 


 


 


หงุดหงิดจนถึงที่สุดแล้ว หลินหว่านหรงชักดาบทองเสียงดังขวับ! หัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง กำลังจะฟันหญ้านั้นขาดสะบั้น 


 


 


“อย่า!” อวี้เจียรีบร้องโหยหวน ร่างซึ่งถูกมัดอย่างแน่นหนาอ่อนยวบล้มพังพาบลงกับพื้นหญ้า ใบหน้าซุกอยู่ในหญ้าเขียว ไหล่งามอันบอบบางสั่นระริกเบาๆ ในมือสุดมือเรียวงามก็ค่อยๆ คลายออก 


 


 


ในที่สุดก็ขจัดภยันตรายไปได้ครั้งหนึ่ง หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ รีบริบหญ้านั้นมา เมื่อกวาดตามองกลับต้องอึ้งเล็กน้อย 


 


 


ของอันตรายที่คาดเดาไว้กลับเป็นมนุษย์ที่ซึ่งถักทอมาจากต้นหญ้า แม้จะถักมาจากหญ้า แต่ฝีมือของอวี้เจียก็หาใช่ธรรมดา มนุษย์หญ้าตัวนี้มีตามีจมูก มีเส้นผมมีอาภรณ์ เห็นชัดเจนยิ่งนัก 


 


 


“เอ๊ะ เหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างนะ” หลินหว่านหรงลูบจมูกด้วยความสงสัย 


 


 


ใบหน้าของมนุษย์หญ้านี้ใช้แปรงเขียนคิ้ววาดดวงตาและจมูก ตวัดเพียงไม่กี่เส้น ทว่ากลับชัดเจนราวกับมีชีวิต ถึงแม้จะถูกดึงกระชากจนคลายออกไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมองเห็นความเจ้าเล่ห์นั้นออกอยู่ดี เส้นผมซึ่งถักจากหญ้าจะว่ายาวก็ไม่ยาวจะว่าสั้นก็ไม่สั้น ทำเป็นรูปแบบของชนเผ่านอกด่าน สิ่งที่สวมอยู่บนร่างนั้นก็เป็นเสื้อคลุมยาวของทูเจวี๋ย เมื่อมองผ่านๆ ท่าทางนั้นก็แปลกประหลาดยิ่งนัก 


 


 


“เหมือนจะเป็นชนเผ่านอกด่าน!” เกาฉิวจ้องเขม็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าอีก “แต่เมื่อมองจากสีหน้าท่าทางก็เหมือนจะเป็นน้องหลินเจ้านะ! เหตุใดเจ้าถึงกลายเป็นชนเผ่านอกด่านไปได้ล่ะ?! น่าแปลกยิ่งนัก!” 


 


 


คำพูดของเหล่าเกาปลุกผู้ที่อยู่ในห้วงความฝันให้ตื่นขึ้น หลินหว่านหรงตระหนักขึ้นมาทันที เห็นชัดว่านี่คือหลินซานที่ทำออกมาโดยมีทรงผมของชนเผ่านอกด่านและสวมชุดทูเจวี๋ยนี่นา มิน่าเล่าหน้าตานั่นถึงเห็นแล้วถูกชะตาขนาดนี้ หล่อเหล่าขนาดนี้ 


 


 


เกาฉิวก็พอจะมองออกอยู่บ้างเช่นกัน เขาประชิดข้างกายหลินหว่านหรงแล้วพูดอย่างมีลับลมคมในออกมาว่า “น้องหลินจะทำเช่นไรดี จะแก้มัดนางหรือไม่?!” 


 


 


“แก้มัดอะไรกัน?!” หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “นี่จงใจล่อลวงข้าชัดๆ ยังคิดจะเปลี่ยนข้าให้เป็นชาวทูเจวี๋ยอีกหรือ เห็นข้าเป็นคนตกหลุมพรางและหลอกง่ายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?! ชาวทูเจวี๋ยหล่อเหลาขนาดข้าเลยหรือ?!” 


 


 


“มีเหตุผล มีเหตุผล” เหล่าเการีบผงกศีรษะไม่หยุด 


 


 


ยัดมนุษย์หญ้าเข้าไปในเสื้ออย่างเปะปะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง หยิบดอกไม้ต้นหญ้าที่เปียกชุ่มนั้นขึ้นมา นำไปใกล้จมูกกระจุ๋มกระจิ๋มของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างแช่มช้า สาวน้อยทูเจวี๋ยรีบกลั้นลมหายใจ ทนไปได้ไม่นานก็ไอออกมา 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย ยังบอกว่าข้ารังแกเจ้าอีกหรือไม่? กลิ่นนี้ข้าดมมาหนึ่งชั่วยามแล้ว!” สีหน้าของหลินหว่านหรงค่อยๆ เย็นชา “ยาที่เจ้าผสมเอง ตัวเองก็ยังทนไม่ได้?!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงคราหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่โต้เถียงอีก หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ใช้สมุนไพรหลายชนิดผสมกัน ละลายลงไปในน้ำ ส่งกลิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะออกมา ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วยามน้ำก็จะเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น ใช่หรือไม่?!” 


 


 


“เจ้ารู้ได้อย่างไร?!” ในที่สุดอวี้เจียก็เอ่ยปากขึ้น ความจริงมาอยู่ตรงหน้า นางไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “อันที่จริงเรื่องนี้ก็เดาได้ไม่ยาก ทะเลสาบนี้เป็นแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ของเค่อจือเอ่อร์ หากต้องการดึงดูดความสนใจของคนในเผ่าเจ้า วิธีการที่ดีที่สุดก็คือให้ทะเลสาบเปลี่ยนสีเปลี่ยนกลิ่น ส่วนเจ้าเชี่ยวชาญการแพทย์ มีความสามารถนี้อยู่พอดี ขอเพียงมีคนในเผ่าเจ้าพบความผิดปกติที่ริมทะเลสาบ พวกมันต้องนำความผิดปกตินี้ไปรายงาน และต้องมีคนมาตรวจสอบที่นี่แน่…ข้าไม่อาจไม่ยอมรับ เจ้าฉลาดมากจริงๆ คิดวิธีการอันล้ำเลิศเช่นนี้เพื่อส่งข่าวคนในเผ่าของเจ้าได้ มิหนำซ้ำอีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว ข้ากับพี่น้องของข้าก่อนจากไปต้องใช้เวลาเก็บถึงหนึ่งชั่วยาม!” 


 


 


มองดูเส้นผมที่เปียกชุ่มของเขา อวี้เจียก็แค่นเสียงออกมา “เจ้าก็ไม่ได้โง่ น่าเสียดาย ที่ข้าทำไม่สำเร็จอยู่ดี!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ว่าอย่างไรดีล่ะ?! อันที่จริงสิ่งที่เจ้าควรทำก็ทำไปแล้ว บอกว่าเจ้าไม่มีดวง…สมุนไพรเพิ่งปล่อยลงไปในน้ำก็มีคนมาแล้วจริงๆ บอกเจ้าดวงดี เจ้าคนที่มาคนนี้ดันเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเจ้า มันคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ ยิ่งคุ้นเคยกับนิสัยใจคอของเจ้าอีก กลับคิดว่าสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้เป็นการแกล้งเล่นของเจ้าแทน…ยิ่งคุ้นเคยก็ยิ่งพลาดง่ายนะ!” 


 


 


“เพื่อนสมัยเด็กอะไร?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้าพูดถึงใครกันแน่?!” 


 


 


“ยังจะพูดถึงใครได้?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง “ไม่ใช่คนรักของเจ้า ที่รักของเจ้า ใต้เท้าอ๋องขวาแห่งทูเจวี๋ยหรอกหรือ!” 


 


 


อวี้เจียเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้นยินดี “เจ้าหมายถึงถูสั่วจั่ว?! เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?! เหอะ เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เขาเป็นที่รักของข้าตั้งแต่เมื่อใด?!” 


 


 


“ที่แท้เจ้าก็รู้จักคำว่าที่รักคำนี้ด้วย” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “เจ้าปฏิเสธก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรถูสั่วจั่วก็สนิทสนมกับเจ้า เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีคนรักที่บุญหนักศักดิ์ใหญ่เช่นนี้ด้วย ช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นยินดีอันเหลือเชื่อเสียจริง!” 


 


 


“ข้าขอพูดอีกรอบ ถูสั่วจั่วไม่ใช่คนรักของข้า…” อวี้เจียมองเขา ทันใดนั้นก็ยิ้มหยันแล้วพูดว่า “เข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าก็กำลังหวงหึง…” 


 


 


“หวงหึงอะไรกัน?” หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง พูดพลางหัวเราะเสียงดังออกมาทันที “อ้อ นั่นเขาเรียกว่าหึงหวง! คุณหนูอวี้เจีย ภาษาต้าหัวของเจ้ายังต้องฝึกอีกมากนะ!…นี่ เหอะ ใครหึงหวงกัน?” 


 


 


“เจ้าว่าใครหึงหวงล่ะ?!” อวี้เจียมองเขา กล่าวไม่เร็วไม่ช้า 


 


 


“เจ้าบอกว่าข้าหึงหวง?! คุณหนูอวี้เจีย เป็นคนก็ต้องพูดด้วยมโนธรรมนะ” หลินหว่านหรงเบิกตากว้าง แทบไม่เชื่อหูของตัวเอง แม่เอ๊ย! ความหลงตัวเองของนังหนูนี่เหนือกว่าข้าเป็นร้อยเท่าเลยนะนี่! 


 


 


“เจ้าไม่หึงหวงจริงหรือ?!” อวี้เจียสองตาเบิกกว้าง มองเขาอย่างดุร้าย ภายในดวงตามีน้ำตาคลอให้เห็นอยู่รำไร 


 


 


ไม่ถูกนะ เห็นๆ อยู่ว่าข้ามาจัดการนังหนูคนนี้ แล้วทำไมถึงลากไปถึงเรื่องหึงกันได้ล่ะ? หลินหว่านหรงโบกมือด้วยความหงุดหงิด ยังไม่ทันพูดอวี้เจียกลับระเบิดโทสะแล้ว “อัวเหล่ากง เจ้ารีบตอบข้า!” 


 


 


“ตอบอะไร?!” หลินหว่านหรงตอบกลับไปอย่างอารมณ์เสีย 


 


 


อวี้เจียมองเขาอย่างเหม่อลอย เจ้าโจรนี่กลับสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตากลอกไปมา 


 


 


สาวน้อยหลับตาลงเล็กน้อย น้ำตากระจ่างใสสองสายเอ่อท้นออกมาจากเบ้าตา นางกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ดี เจ้ามีหลักการดีมาก อัวเหล่ากง เจ้าจำไว้ให้ดี เรื่องที่ตัดสินใจออกไปแล้วห้ามเสียใจเป็นอันขาด!” 


 


 


คำพูดนี้เหมือนข้าตัดสินใจอะไรไปแล้วอย่างนั้น?! แล้วข้าจะเสียใจอะไร?! หลินหว่านหรงส่ายหน้า เห็นอวี้เจียหลับตา คล้ายไม่ยอมพูดอะไรอีก ส่วนเขาก็หมดอารมณ์เช่นกัน 


 


 


เกาฉิวเอ่ยอย่างระมัดระวัง “น้องหลิน ตอนนี้จะทำเช่นไร? แม่สาวคนนี้เจ้าเล่ห์มากนัก!” 


 


 


มัดนางจนมีสภาพเช่นนี้แล้ว ต่อให้นางเจ้าเล่ห์อีกสักเท่าใดแล้วจะทำอะไรได้? หากยังให้นางเล่นตุกติกออกมาได้อีก ไม่สู้ให้ข้าเอาหัวโขกเต้าหู้ให้ตายไปเลยจะดีกว่า หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าเกา ถอนหายใจแล้วตอบว่า  “พี่เกา นิสัยอันแสนจะอันตรายของอวี้เจียคิดว่าท่านรู้กระจ่างแจ้งเช่นกัน หากปราศจากคำสั่งของข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามปลดเชือกนาง ต่อจากนี้นางยังใช้ประโยชน์ครั้งใหญ่ได้อีก!” 


 


 


“เข้าใจแล้ว งานชิงคนรักใช่หรือไม่ อ๋องขวาทูเจวี๋ยยังรอนางอยู่นา” เหล่าเกาหัวเราะร่วนหน้าบาน 


 


 


ชิงคนรัก? คำพูดนี้ใช้ถูกต้องจริงๆ! หลินหว่านหรงมองอวี้เจียที่ขดตัวอยู่บนพื้น ส่ายหน้าพลางยิ้มขื่น  

 

 


ตอนที่ 586 - 1 ใครหลอกใคร

 

เนื่องจากแผนการเจ้าเล่ห์ของอวี้เจียเกือบจะบรรลุจนแทบจะทำลายงานใหญ่ ดังนั้นการเฝ้าดูสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้จึงไม่อาจเลินเล่อชะล่าใจได้ ริบดาบทองของนางมา ทั้งยังมัดนางอย่างแน่นหนา จวบจนนางนอนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างอ่อนแรงไร้กำลังไม่อาจขยับเขยื้อนได้อีก หลินหว่านหรงถึงวางใจอย่างสิ้นเชิง 


 


 


เมื่อกลับมายังกระโจมแม่ทัพอันซอมซ่อ ล้มตัวนอนลงบนกองหญ้าที่สุมอย่างลวกๆ เมื่อนึกว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์ไม่เกินสามร้อยลี้ อ๋องขวาทูเจวี๋ยผู้เก่งกล้าสามารถก็ยังตั้งค่ายพักอยู่ริมทะเลสาบห่างออกไปยี่สิบลี้ เขาก็พลิกตัวไปมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ 


 


 


นับตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงจนล่วงลึกเข้าสู่เค่อจือเอ่อร์ก็เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าพวกของเฉี่ยวเฉี่ยว คุณหนูใหญ่อยู่บ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง เซียนเอ๋อร์จะหาเรื่องชิงเสวียนอีกหรือไม่ หนิงเอ๋อร์กับคุณหนูใหญ่จะทะเลาะกันหรือไม่ ยอดหญิงลั่วจะวาดภาพปลุกอารมณ์ที่ให้ข้าดูได้คนเดียวพวกนั้นอีกหรือไม่ สาวน้อยผู้งดงามเหล่านี้จะคิดถึงสามีเช่นข้าอยู่บ่อยครั้งหรือไม่ 


 


 


เมื่อคำนวณวันเวลา ท้องของชิงเสวียนก็น่าจะโย้โตแล้ว เด็กน้อยที่อยู่ในนั้นที่แท้เป็นลูกชายหรือลูกสาวกันนะ? เขาจะรู้หรือไม่ว่าพ่อของเขากำลังรบอยู่ข้างนอก 


 


 


ไม่คิดก็พอทำเนา การบังเกิดความรู้สึกครั้งนี้ ความคนึงหาอันรุนแรงก็ถั่งท้นขึ้นมาราวกับกระแสน้ำหลากในทะเลสาบแห่งนี้ ใบหน้าอันน่าลุ่มหลงแต่ละดวง บางครั้งก็งดงามเย็นชา บางครั้งก็เอียงอายยวนเย้า บางครั้งก็งามหยาดเยิ้มทรงเสน่ห์ แต่ละใบหน้าต่างผุดอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้ใจเขาทั้งยินดีทั้งร้าวรอน อยากจะเสียบปีกแล้วรีบรุดโบยบินกลับเมืองหลวง พร่ำพรรณนาความในใจกับฮูหยินทุกคนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เมื่อคิดถึงความรักอันลึกซึ้งน้ำตาก็คลอเบ้า ใกล้จะไหลรินมาตั้งแต่แรก 


 


 


รู้สึกแบบนี้ก็นอนไม่ได้แล้ว! ด้วยความร้อนรนกระวนกระวายใจ เขาจึงตะกายขึ้นมาจากกองหญ้า วักน้ำสะอาดขึ้นมาสาดใส่ใบหน้า ความรู้สึกเย็นเฉียบชำแรกเข้าสู่จิตใจ เขาพ่นลมหายใจยาว รู้สึกเหมือนหน้าอกมีวัตถุอ่อนนุ่มบางอย่างกำลังกดทัพอยู่ตรงหัวใจ คันยุบยิบ 


 


 


เขาล้วงควักอยู่ในอกสองสามที เมื่อดึงออกมากลับต้องหัวเราะพรวดโดยพลัน มนุษย์หญ้าที่เยวี่ยหย่าเอ๋อร์ถักขึ้นมานี้ช่างน่าสนใจเสียจริง คิ้วชี้ตาถลน ทั้งยังสวมชุดชนเผ่านอกด่านให้ข้าอีกด้วย หรือว่านางคิดจะให้ข้าเป็นเขยขวัญของนางให้จงได้? เพียงแต่ฝีมือของแม่หนูคนนี้ไม่แน่เลยจริงๆ อย่างน้อยก็วาดข้าค่อนข้างหล่ออยู่บ้าง 


 


 


ขณะที่กำลังพลิกมองมนุษย์หญ้าตัวนั้นกลับไปกลับมาด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ข้างกายกลับมีเสียงพรืดดังออกมาคราหนึ่ง เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา เสียงของนางเซียนหนิงลอยแว่ว “นี่เป็นมนุษย์หญ้าที่ผู้ใดทำขึ้นมา ดูแล้วเหมือนเจ้ายิ่งนัก…เหมือนกับโจรน้อย!” 


 


 


“พี่สาวกล่าวถูกต้องที่สุดแล้ว” หลินหว่านหรงหมุนกายกลับมาหน้าระรื่น จับสองมือนางแน่น “ข้าก็คือโจรน้อย โจรน้อยที่ขโมยหัวใจนางเซียนโดยเฉพาะ” 


 


 


“หน้าไม่อาย” หนิงอวี่ซีหน้าแดงเล็กน้อย ดึงมนุษย์หญ้าตัวน้อยมาจากมือเขา มองพินิจพิจารณาอยู่หลายครั้ง ส่ายหน้าด้วยความจนใจ “สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้กลับมีจิตใจละเอียดถ้วนถี่และฝีมือดีมากนัก เพียงแต่น่าเสียดาย ต่อให้นางจะฉลาดอีกสักเพียงใด กลับตกอยู่ในกรงขังของเจ้า ต่อให้ดิ้นรนอีกสักเพียงใดก็ดิ้นไม่หลุดเสียแล้ว” 


 


 


น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แฝงความเสียใจอยู่บ้าง ที่พูดทางแจ้งคืออวี้เจีย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้กำลังแสดงถึงสภาวะจิตใจของตนเองยามนี้หรอกหรือ? 


 


 


หนิงอวี่ซีผิวพรรณเหนือล้ำกว่าหิมะ อาภรณ์ขาวดั่งเซียน ยืนงดงามใต้จันทรา ดั่งมนุษย์ที่อยู่ในภาพวาด เพียงแต่เมื่อหว่างคิ้วปรากฏความกลัดกลุ้มเศร้าสร้อยจางๆ ถึงทำให้นางเซียนผู้งามพิลาสนางนี้เพิ่มกลิ่นไปความเป็นมนุษย์ขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


หลินหว่านหรงกุมมือนางพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย “พี่สาวเทพเซียน ท่านอยู่บนหุบเขาเซียนมานาน เห็นแดนเซียนจนคุ้นชิน ไม่เคยสัมผัสลึกซึ้งกับความปากหวานก้นเปรี้ยว หลอกลวงซึ่งกันและกัน ดังนั้นถึงพูดเช่นนี้ อวี้เจียผู้นี้แม้จะอายุน้อย แต่หาใช่คนชนชั้นธรรมดาแน่นอน หากพูดว่านางมุดเข้ามาอยู่ในกรงขังของข้า เช่นนั้นก็ออกจะดูแคลนนางเกินไปจริงๆ แล้ว การดูเบาผู้อื่นต้องจ่ายค่าตอบแทน” 


 


 


นางเซียนมองเขาด้วยความสงสัย “ความหมายของเจ้าก็คือนางหลอกเจ้า?! นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?! ในทะเลแห่งความตาย นางมอบน้ำสะอาดทั้งหมดให้เจ้า เทียนซานหิมะถล่มก็ยิ่งช่วยชีวิตเจ้าโดยไม่เสียดายชีวิต! หากแสดงละครแล้วแสดงได้ขนาดนี้ เช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็ออกจะน่ากลัวอยู่บ้างแล้วจริงๆ” 


 


 


หนิงอวี่ซีพูดความจริงทุกประการ การกระทำทุกประการของเยวี่ยหย่าเอ๋อร์ ในฐานะผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ หลินหว่านหรงสัมผัสได้อย่างจริงแท้แน่นอนมากที่สุด เขาส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “จะแสดงละครหรือไม่ ตอนนี้ข้าไม่อาจแยกแยะได้ สิ่งที่ข้ายืนยันได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือ เป้าหมายของการกระทำทั้งหมดของอวี้เจียไม่มีทางง่ายดายเช่นนั้นแน่นอน พี่สาวท่านลองคิดดู ข้ากับนาง คนหนึ่งคือชาวต้าหัว คนหนึ่งคือชาวทูเจวี๋ย เดิมทีก็เป็นศัตรูคู่แค้นอยู่แล้ว ต่อให้เพราะข้าหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม โดดเด่นเหนือผู้อื่นจนทำให้นางเกิดจิตใจใฝ่ปองต่อข้าก็ตาม แต่ด้วยสถานะที่เป็นศัตรูกันของพวกเรา นางแสดงออกอย่างรีบร้อนเช่นนี้มันออกจะรีบร้อนเกินไปหรือไม่?” 


 


 


หล่อเหลาสง่างาม โดดเด่นเหนือผู้อื่นอะไรกัน! หนิงอวี่ซีหัวเราะพลางมองค้อนเขาคราหนึ่ง “ความหมายของเจ้าก็คือ เมื่ออยู่สถานะที่เป็นศัตรูกันเช่นพวกเจ้า ต่อให้นางชอบเจ้าก็น่าจะเก็บงำ หรือกระทั่งไม่อาจให้เจ้ารู้ได้ ใช่หรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เมื่อพูดจากหลักการ การแอบรักก็น่าจะเป็นเช่นนี้! ยิ่งไปกว่านั้นนางยังแอบรักศัตรูอีกด้วย! แม้นางจะเป็นสตรีทูเจวี๋ยผู้กล้าหาญและมีอิสรเสรี แต่นางไม่อาจคำนึงถึงความรู้สึกของบิดามารดา และคนในเผ่านางกระมัง?” 


 


 


นางเซียนครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นจึงส่งเสียงอืมเบาๆ “ที่เจ้าพูดอาจมีเหตุผล สตรีที่ร่างกายและจิตใจตกอยู่ในเงื้อมมือผู้อื่นไม่อาจใช้เหตุผลปกติมาวิเคราะห์ได้เด็ดขาด ก็เหมือนข้า…ผู้ใดบ้างที่ไม่ช่วงที่เสียสติ?!” 


 


 


นางพูดไปพูดมาใบหน้าก็แดงซ่าน ก้มหน้าลงไปอย่างเงียบงัน ท่าทางอยากจะพูดทว่าเอียงอายนั้นช่างกวักวิญญาณอย่างล้นเหลือ 


 


 


พี่สาวเทพเซียนพูดจายิ่งเหมือนผู้หญิงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย เมื่อเห็นนางเซียนค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่โลกโลกีย์ทีละก้าวทีละก้าวด้วยตาตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้หาใช่คนธรรมดาทั่วไปที่จะสัมผัสได้ 


 


 


เขาหัวเราะร่วน ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “อวี้เจียก็คืออวี้เจีย จะเอานางมาพูดเปรียบเทียบกับพี่สาวนางเซียนได้อย่างไรกัน ความจริงแล้วความสงสัยที่ข้ามีต่ออวี้เจียหาใช่มีเท่านี้” 


 


 


“หาใช่มีเท่านี้?” นางเซียนมองเขาด้วยความงุนงง “หรือว่ายังมีเรื่องอื่นอีก?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ สีหน้าหนักอึ้งในทันที “อันที่จริงนับตั้งแต่วันแรกที่จับตัวนางมา ข้าก็เริ่มสงสัยในเจตนาของนางแล้ว! หลังจากเผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ทัพของข้ายังไม่ทันได้ถอนตัวก็เจอนางโดยบังเอิญ เวลามันช่างประจวบเหมาะเกินไป ส่วนขั้นตอนในการจับกุมนาง เมื่อเทียบกับรูปโฉมอันงามล้ำเลิศของนางก็ออกจะง่ายดายเกินไปนัก ลองคิดดูว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดถึงมาขลุกอยู่กับขบวนพ่อค้านับร้อยคนได้ ซ้ำการป้องกันก็ผ่อนคลายเช่นนี้อีก ยิ่งไปกว่านั้นถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยต้องตาต้องใจนางมากขนาดนี้ สถานะของนางไม่มีทางธรรมดาแน่นอน แล้วเหตุใดถึงมาโผล่ในสถานที่ที่อันตรายมากที่สุดอย่างแนวหน้าบนทุ่งหญ้าด้วยความประมาทเลินเล่อเช่นนั้นได้? ท่านว่า ข้าจะไม่สงสัยนางได้หรือ?!” 


 


 


นางเซียนตะลึงงันเล็กน้อย ฟังการวิเคราะห์ของโจรน้อยแล้วก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ   

 

 


ตอนที่ 586 - 2 ใครหลอกใคร

 

 “ยังมีเรื่องที่บังเอิญมากอีกเรื่องหนึ่ง วันที่ไปถึงเมืองซิงชิ่ง ข้ากับพวกพี่หูต่างเคยเห็นอวี้เจีย และในคืนนั้นแม่ทัพของสามทัพใหญ่ก็ถูกลอบสังหารพร้อมกัน และอวี้เจียในยามนี้กลับหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย เมื่อเห็นนางปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่รอบนอกปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า…” หลินหว่านหรงหยุดพูด ไพล่หลังเดินย่ำเท้าไปหลายก้าว ดวงตากระจ่างวูบเร็วรี่ คล้ายเสือชีตาร์ที่มีปฏิภาณไหวพริบตัวหนึ่ง 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาเบาๆ โจรน้อยยามนี้ปราศจากท่าทางสรวลเสเฮฮาดังกาลก่อน ทว่ากลับเหมือนผู้อาวุโสซึ่งผ่านความยากลำบากมามากมายและเปี่ยมล้นด้วยสติปัญญา ทุกสายตาต่างซุกซ่อนด้วยประกายแห่งปัญญา 


 


 


บนโลกนี้ผู้ที่รังแกเขาได้น่าจะยังไม่เกิดกระมัง! นางเซียนยิ้มเล็กน้อยรู้สึกสบายใจ กล่าวตำหนิออกมาเบาๆ ว่า “จะพูดก็พูดมา มาเล่นลวดลายอะไรกัน” 


 


 


“เรื่องแปลกน่ะหรือ พี่สาวน่าจะรู้เช่นกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะร่า กุมมืออันเรียบลื่นของนางแล้วพูดว่า “…เห็นชัดว่าอวี้เจียตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเราแล้ว ลู่ตงจ้านก็เห็นกับตา แต่เจ้าถูสั่วจั่วอ๋องขวาทูเจวี๋ยนั่นกลับไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย ท่านว่ามันแปลกหรือไม่?” 


 


 


เรื่องนี้แปลกประหลาดจริงด้วย ลู่ตงจ้านกลับไปเค่อจือเอ่อร์ โยกย้ายกำลังหนักไปช่วยเหลือแนวหน้า ย่อมได้พบหน้าถูสั่วจั่วแน่นอน แต่มันกลับไม่บอกเรื่องที่อวี้เจียถูกจับต่ออ๋องขวา! ในนี้จะต้องมีเลศนัยแน่นอน 


 


 


หนิงอวี่ซีผงกศีรษะ “เป็นเพราะอ๋องซ้ายและอ๋องขวาทูเจวี๋ยขัดแย้งกันอย่างยิ่ง ส่วนอวี้เจียก็ถูกจับที่แนวหน้า ลู่ตงจ้านถึงจงใจปิดบังข่าวนี้หรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย “อย่าดูแคลนลู่ตงจ้าน หากคนผู้นี้มีจิตจคับแคบเช่นนี้ เช่นนั้นมันก็ไม่ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องที่สุดของทูเจวี๋ยแล้ว” 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดนางถึงไม่บอกถูสั่วจั่ว?!” นางเซียนถามด้วยความสงสัย 


 


 


“นั่นน่ะสิ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสงสัย” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ทันใดนั้นก็ควักดาบน้อยสีทองเจิดจรัสเล่มนั้นออกมาจากอก กวัดแกว่งสองครา จากนั้นก็กล่าวระคนหัวเราะ “พี่สาว ท่านยังจำได้หรือไม่ ขณะที่พวกเราเข้าสู่ทะเลแห่งความตายจากอี้อู๋ ลู่ตงจ้านทำอะไรไว้?!” 


 


 


เมื่อเห็นดาบทองเล่มนั้นก็นึกถึงเรื่องราวในอดีต หนิงอวี่ซีกล่าวด้วยความตกใจ “มันเอาดาบทองเล่มนี้คืนกลับมาให้เจ้าอีก!” 


 


 


“ไม่ใช่ให้ข้า” หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน “แต่อาศัยมือของข้าให้ดาบทองเล่มนี้กลับสู่มืออวี้เจีย เพราะเมื่อดาบทองอยู่ในมืออวี้เจียถึงจะใช้ประโยชน์ได้สูงสุด” 


 


 


“ประโยชน์อะไร?” นางเซียนรีบถาม 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ทั่วทั้งทุ่งหญ้าต่างรู้กันว่าดาบทองคือของแทนใจที่อวี้เจียจะมอบให้ที่ถูกใจ! ลู่ตงจ้านกำลังแสดงเจตนาต่อข้าว่าดาบทองของเยวี่ยหย่าเอ๋อร์ยังไม่ได้มอบออกไป และหมายความว่าดอกนุ่นที่งดงามมากที่สุดบนทุ่งหญ้ายังหาคนถูกใจไม่ได้! ฮิๆ!” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เจตนาหลักก็ปรากฏให้เห็นอย่างรำไรแล้ว หนิงอวี่ซีปรากฏความตกใจอยู่เต็มใบหน้า “โจรน้อย เจ้าหมายความว่าทั้งหมดนี้คือหมากที่ลู่ตงจ้านกับอวี้เจียจงใจวางขึ้นมา?” 


 


 


หลินหว่านหรงกุมมือนาง “นับตั้งแต่ที่เยวี่ยหย่าเอ๋อร์ตกอยู่ในเงื้อมมือข้า ข้าก็มีลางสังหรณ์แปลกประหลาดบางอย่าง คล้ายตกลงไปในหลุมพรางลึกอย่างหนึ่ง หลังจากบุกโจมตีปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแล้ว เหตุใดอวี้เจียถึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าข้าอย่างประจวบเหมาะได้? แล้วเหตุใดถึงถูกพวกเราจับเป็นตัวประกันได้ง่ายดายเช่นนี้? สาวน้อยผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักซึ่งปรากฏอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ติดตามอยู่ในทะเลทรายไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ไม่หนีไม่พรากจากบนภูเขาหิมะ ยังมีเจ้าถูสั่วจั่วที่ไม่ดี้รู้เรื่องรู้ราวอะไรนั่นอีก! เฮ้อ ที่จริงแล้วข้าก็เกลียดการวางหมากมากจริงๆ นะ” 


 


 


มองดูสีหน้าอ้างว้างหดหู่ของโจรน้อย นางเซียนหนิงก็ไม่รู้ว่าจะใช้ถ้อยคำอะไรมาบรรยายความตื่นตระหนกภายในใจของตนเวลานี้ ประเด็นสงสัยซึ่งแต่เดิมกระจัดกระจายถูกโจรน้อยเชื่อมโยงกันทีละจุด กลับกลายเป็นข้อสรุปอย่างหนึ่งขึ้นมา หากเป็นอย่างที่เขาวิเคราะห์จริง เช่นนั้นผู้ที่วางแผนหมากกระดานนี้ไม่เพียงจะมีความคิดชั้นยอด ความรู้ชั้นยอด ความกล้าชั้นยอดเท่านั้น ยิ่งต้องมีสภาวะจิตใจอันสูงส่งอย่างยิ่งอีกด้วย นางต้องใช้เวลาศึกษานิสัยใจคอโจรน้อยมาอย่างยากลำบาก กระทั่งว่าต้องรู้ข้อดีข้อด้อยเขาอย่างยิ่ง 


 


 


“เพียงแต่เหตุใดนางถึงเลือกพุ่งเป้ามาที่ตัวเจ้าล่ะ?!” นางเซียนพูดพึมพำกับตนเอง 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางส่ายหน้า “ใครจะรู้ อาจจะเป็นเพราะข้าค่อนข้างหล่อก็ได้” 


 


 


อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เขาตอบ ใจของหนิงอวี่ซีก็รู้อะไรเลาๆ แล้ว หลินซานยามนี้คือราชบุตรเขยคู่ของต้าหัว ทลายพรรคบัวขาว กำจัดเฉิงอ๋อง ในวงราชการมีซ้ายสวีขวาหลี่ ไม่มีผู้ใดเทียมทัด ส่วนชื่อเสียงในหมู่ราษฎรก็ยิ่งถึงขีดสุด ลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ยก็ยอมสยบเขาทั้งกายและใจ เนื่องจากฮ่องเต้ปราศจากองค์ชาย ขอเพียงคนแซ่หลินยินดี เขาไปถึงจุดสูงสุดของอำนาจในต้าหัวก็ยังได้ 


 


 


เลือกสยบเป้าหมายเช่นนี้ ไม่เพียงมีความท้าทายอย่างยิ่ง สิ่งที่สำคัญไปกว่าก็คือหากสำเร็จจะสร้างความกระทบกระเทือนต่อฮ่องเต้ต้าหัว ต่อจิตใจของราษฎรและทหารของต้าหัว นั่นจะเกิดการทำลายล้าง พูดได้ว่าหากคิดสยบต้าหัวก็ต้องสยบหลินซาน! 


 


 


หนิงอวี่ซีส่ายหน้าอย่างจนใจ ถอนหายใจออกมาเบาๆ “สตรีอันดีงามผู้หนึ่ง เหตุใดถึงมีสติปัญญาและแผนการอันยากหยั่งคะเนเช่นนี้ได้?” 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มขื่นแล้วเอ่ยว่า “คำถามนี้น่าจะมีแค่อวี้เจียที่ตอบได้แล้วล่ะ” 


 


 


นางเซียนพลันแค่นเสียง “เจ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าอวี้เจียมีเจตนาอื่น ดังนั้นการคุ้มกันในทะเลทราย ส่งชุดบนภูเขาหิมะก็เป็นแค่การเล่นลูกไม้ของเจ้าใช่หรือไม่? พอเจ้าหลอกลวงคนขึ้นมากลับมีลูกเล่นมากมาย ทำให้คนติดกับแล้วกลับไม่รู้ตัว อวี้เจียผู้นั้นกลับน่าสงสารมาก” 


 


 


“นี่ พี่สาวเทพเซียน” หลินหว่านหรงเกือบกระเด้งขึ้นมาแล้ว “ขอร้องท่านช่วยมีมุมมองในการแยกถูกผิดสักหน่อยได้หรือไม่? ต้องรู้ว่าที่ถูกคนหยอกเล่นอยู่ไม่ใช่เยวี่ยหย่าเอ๋อร์คนนั้น แต่เป็นน้องชายเช่นข้าคนนี้นะ!” 


 


 


นางเซียนหนิงทั้งโมโหทั้งขบขัน “การกระทำทุกย่างบนทะเลทรายและภูเขาหิมะของเจ้าทำให้นางหลั่งน้ำตาตั้งหลายครั้ง หรือว่านางก็หยอกเจ้าเล่นด้วย? ข้าว่าเจ้ากำลังแสดงละครหลอกนางถึงจะถูก” 


 


 


“ไม่ใช่การหลอกลวงแน่นอน!” หลินหว่านหรงโบกมือด้วยสีหน้าจริงจัง “ด้วยความเที่ยงตรงที่ทุกคนบอกต่อกันไปของข้า แล้วข้าจะไปทำเรื่องต่ำช้าพวกนั้นได้อย่างไร? อันที่จริงหลักการของข้านั้นง่ายดายมาก อวี้เจียทำกับข้าเช่นไร ข้าก็ทำกับนางเช่นนั้น ข้าไม่เอาเปรียบนาง แต่ก็ไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน” 


 


 


ยิ่งใหญ่นักนะ อวี้เจียหลอกเจ้า เจ้าก็หลอกนาง ยุติธรรมมากจริงๆ หนิงอวี่ซีถอนหายใจยาวออกมาคราหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ได้ยินเจ้าพูดกับอวี้เจียว่านี่คือการละเล่นที่แสนจะอันตราย ข้ายังเชื่อไม่สนิทใจ บัดนี้ถือว่าเข้าใจถ่องแท้แล้ว สตรีทูเจวี๋ยผู้นั้นเจ้าเล่ห์อุกอาจ แต่เจ้ากลับเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกยิ่งกว่านาง” 


 


 


“อันที่จริงความเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกเป็นแค่เปลือกนอกของข้า นั่นสำหรับผู้แสดงละครเช่นอวี้เจียนี้เท่านั้น” หลินหว่านหรงจับมือนาง พูดอย่างอับจนปัญญาว่า “ส่วนสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ชุดตัวนอกของข้าคือความจริงใจ มีเพียงสตรีที่มีความจริงใจเช่นพี่สาวเท่านั้นถึงจะสัมผัสได้ นี่ถึงจะเป็นเขตแดนอันสูงสุดของความรัก!” 


 


 


ถ้อยคำหวานที่ใช้หลอกคนให้ดีใจของโจรน้อยไม่ต้องผ่านสมองแล้ว แค่อ้าปากก็ออกมา นางเซียนหน้าแดงเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าคนนี้ก็เอาแต่ชอบพูดจาหลอกลวงให้ข้าดีใจเท่านั้น อวี้เจียมีความคิดไม่ซื่อแน่นอน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ข้าว่าเจ้ากลับไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้…นางแค่แสดงละครจริงหรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบกะพริบตา “มะ…หมายความว่าอย่างไร?!” 


 


 


“แกล้งทำเลอะเลือนกับข้าอีกแล้ว!” หนิงอวี่ซียิ้มพลางเหลือบมองเขา “แม้จะเป็นสตรีที่เจ้าเล่ห์อีกสักเท่าใด แต่สายตาและการเต้นของหัวใจนั้นก็ไม่อาจเสแสร้งได้ นางสละชีวิตลืมเลือนความตายปกป้องถุงน้ำในทะเลทราย ความแน่วแน่ของจิตใจยามเผชิญหน้ากับความตายนั้น แม้แต่ข้าก็รับรู้ได้ หากเช่นนี้ก็เป็นการแสดงละครด้วย นั่นก็พูดได้แค่ว่านางหลอมรวมตัวตนอยู่ในการแสดงตั้งแต่แรก แม้แต่ตนเองก็ไม่อาจจำแนกได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ ชีวิตคนเราเฉกเช่นละคร ละครเฉกเช่นชีวิตคน สำหรับนาง ทุกสิ่งนี้ไม่ต่างกันแล้ว” 


 


 


นางเซียนพูดไปพูดมากลับทอดถอนใจ เริ่มทอดถอนใจเล็กน้อย คล้ายเพิ่มความเห็นใจต่ออวี้เจียขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


หลินหว่านหรงอ้าปากกว้างร้องอ๊ะเล็กน้อย ยิ้มประจบพร้อมพูดว่า “เอ่อ…พี่สาวเทพเซียน ท่านวิเคราะห์ลึกซึ้งเกินไปแล้ว ข้าฟังไม่เข้าใจเลยสักนิดเลยนะ! พวกเราไปพูดเรื่องอื่นกันดีกว่า!” 


 


 


นางเซียนหนิงมองค้อนเขาหลายครั้ง กล่าวอย่างจนใจออกมาว่า “หากเจ้าจะแสร้งเลอะเลือน ข้าก็หมดหนทาง เพียงแต่ไม่อาจโทษเจ้าได้ ใครใช้ให้สตรีทูเจวี๋ยผู้นั้นหลอกลวงคนก่อน ซ้ำนางยังเป็นชนเผ่านอกด่านอีกด้วย” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ไม่ว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร คราแรกที่อวี้เจียตกอยู่ในเงื้อมมือเขา เป้าหมายไม่มีทางเรียบง่ายแน่นอน เรื่องนี้ปราศจากข้อสงสัย เพียงแต่ระหว่างการดำเนินการอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดที่ตัวนางเองก็ไม่เคยคิดขึ้นมาบางอย่างเช่นกัน ถึงทำให้นางรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ส่วนเรื่องราวจะแสดงไปถึงขั้นใดกันแน่ คงมีแค่สวรรค์ที่รู้แล้ว 


 


 


เฮ้อ ผู้ชายโดดเด่นมากเกินไปก็ยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้นนะ! ก่อนหน้านี้มีน้องสาวจังกึมที่ยังไม่ทันได้สะสาง ตอนนี้มีอวี้เจียโผล่มาอีกคนหนึ่ง นี่ข้าไปหาเรื่องใครมากันแน่?! เขาส่ายหน้าถอนหายใจ สีหน้าบัดเดี๋ยวยินดีบัดเดี๋ยวกลัดกลุ้ม ท่าทางแปลกประหลาดยิ่งนัก 


 


 


เมื่อเห็นเขาเงียบงันไม่เอ่ยวาจา นางเซียนจึงกล่าวระคนยิ้มออกมาทันที “โจรน้อย ราชธานีของชนเผ่านอกด่านอยู่แค่ตรงหน้า เจ้าเตรียมตัวลงมือเช่นไร?!” 


 


 


“ข้ากำลังคิดอยู่” หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว “ศัตรูจำนวนมากข้ามีจำนวนน้อย มิหนำซ้ำยังเป็นศึกโจมตีเมือง อีกทั้งมีถูสั่วจั่วนั่งคุมเชิงอีก การศึกครั้งนี้ช่างสู้ยากจริงๆ!” 


 


 


“ยากก็ยากสักหน่อย เพียงแต่ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดออกแล้วหรือ? การแข่งขันชิงแพะนั่นกำลังจะเกิดขึ้น นี่กลับเป็นโอกาสอันดี!” หนิงอวี่ซีพูดเบาๆ  


 


 


“พี่สาว ท่านสนับสนุนความคิดของข้า?” หลินหว่านหรงรู้สึกยินดียิ่งนัก คิดแล้วคิดอีกกลับส่ายหน้าอีกครา “ยังไม่ได้อยู่ดี ฟังจากความหมายของถูสั่วจั่ว จุดสำคัญของการแข่งขันชิงแพะน่าจะอยู่ในมืออวี้เจีย แต่ตอนนี้เยวี่ยหย่าเอ๋อร์อยู่ในมือพวกเรา ถึงเวลาย่อมไม่อาจปรากฏตัวได้ เจ้าอ๋องขวาแซ่ถูคนนี้ไม่น่าจะเข้าร่วมแล้ว ส่วนข่านทูเจวี๋ยนั่นจะปรากฏตัวหรือไม่ก็ยิ่งเป็นปัญหา” 


 


 


“แค่เรื่องนี้หรอกหรือ?!” หนิงอวี่ซีหัวเราะออกมาทันที “เช่นนั้นเจ้าก็สบายใจได้ ข้าขอรับรองกับเจ้า อวี้เจียต้องปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าอ๋องขวาแน่นอน!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม