ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 582-588
ตอนที่ 582 ยังเร็วไปหน่อยที่จะดีใจ
หลี่ว์ซู่เห็นว่าสือเสวจิ้นและเนี่ยถิงไม่เชื่อเขา อ้อ จริงสิ เขาใช้คมของกระบี่เฉิงอิ่งบาดนิ้วตัวเองเพื่อเรียกไห่กงจื่อออกมา ดูเหมือนว่าแผลที่นิ้วนี่คงไม่มีวันหายดีแน่ๆ …
พอไห่กงจื่อออกมาเห็นเนี่ยถิงแล้วก็หัวเราะ “ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะโตไวขนาดนี้ ดีจริงๆ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมกระบี่เฉิงอิ่งถึงมาตกอยู่ในมือของเจ้าเด็กนี่ เด็กสมัยนี้น่ะตื้นเขิน! สมัยข้านะ…”
ทว่าหลี่ว์ซู่ส่งไห่กงจื่อกลับไปในกระบี่ก่อนที่เขาจะพูดจบ “จะพูดไปทำไมเนี่ย สมัยก่อนนะงั้นเหรอ อย่ามาล้อเล่นกันหน่อยเลย”
เนี่ยถิงถึงกับเงียบ
สือเสวจิ้นเองก็พูดไม่ออก
[ได้แต้มอารมณ์จากเอาไห่ +999!]
[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +…]
[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +…]
เนี่ยถิงพูดอย่างใจเย็น “ฉันว่าฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมนายถึงถูกไห่กงจื่อไล่บี้”
หลี่ว์ซู่นึกสงสัย “คุณเอาชนะไห่กงจื่อได้ไหม”
เนี่ยถิงเงียบแล้วตอบ “ไม่รู้สิ”
“เดี๋ยวนะ ผมว่ามีอะไรแปลกๆ ผมรู้สึกว่าเขาคงไล่บี้คุณตอนคุณยังเด็กใช่ไหม” หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเข้าใกล้ความจริงเข้าไปเรื่อยๆ
“รีบๆ เอาหนังสือรับเข้าเรียนไปให้จงอวี้ถังไป” เนี่ยถิงหมุนตัวแล้วเดินจากไป “เดี๋ยวฉันจะไปตรอกหลิงจิงหน่อย จะไปกินข้าวเย็นที่โรงอาหาร”
“ครับ” สือเสวจิ้นตอบเห็นด้วย เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้พับได้ ทั้งสองคนทำเหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย แปลว่าทั้งสองคนคิดจะไล่เขากลับไปสินะ
หลี่ว์ซู่เหลือบไปที่สือเสวจิ้น “ผมได้ยินว่าคุณอยากจะเป็นคนรอบรู้ในคำสอนสามอย่างนั้นใช่ไหม แล้วหนังสือแต่ละเล่มก็มีคำสอนหลายอย่างเหลือเกิน คนธรรมดาๆ แบบคุณจะอ่านหนังสือทั้งหมดจบด้วยเหรอ”
สือเสวจิ้นยิ้มสบายๆ “ความจริงไม่มีขีดจำกัดหรอก แต่ก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่ สนุกกับมันขณะเรียนรู้ไปสิ”
หลี่ว์ซู่ตะลึง “ล้ำลึกมาก คุณเป็นคนฉลาดจริงๆ ”
“ก็ไม่ได้คิดเองหรอกนะ” สือเสวจิ้นเอนหลังลงบนเก้าอี้พับ พริบตาเดียวเขาก็จมไปกับหนังสือที่อ่านเสียแล้ว
จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็นั่งรถไฟไปที่อวี้โจว เขาจะต้องไปหาจงอวี้ถังเป็นอันดับแรก
เครือข่ายฟ้าดินสาขาอวี้โจวนั้นอยู่ที่หัวเมืองใหญ่ของจังหวัด ก่อนหน้าวันปีใหม่ก็ได้มีตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาอยู่ในเมืองลั่ว แถมวิทยาลัยลั่วเฉิงที่เป็นหนึ่งในเจ็ดมหาวิทยาลัยฝึกฝนบำเพ็ญก็อยู่ที่นั่นด้วย เพราะฉะนั้นจงอวี้ถังเลยย้ายศูนย์ประจำการใหญ่มาที่วิทยาลัยลั่วเฉิงแทน
เมืองลั่วนั้นเป็นหนึ่งในที่ที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมากที่สุด สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้วมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ตอนที่หลี่อีเสี้ยวเลือกที่จะมารับหน้าที่ดูแลเมืองลั่วนั้นก็เพราะมันเป็นเมืองที่สำคัญ และสือเสวจิ้นก็เดาถูกด้วยว่าจะต้องมีวัตถุเก่าแก่โบราณมากกว่าหนึ่งชิ้นในเมืองลั่วด้วยแน่นอน
มีโบราณสถานภูเขาเป่ยหมังปรากฏขึ้น แล้วมันก็ยังมีพลังจิตวิญญาณลึกลงไปมากๆ ที่ภูเขาหลงเหมินอีก
ถ้าตราแผ่นดินไม่ได้ถูกชิงไปเสียก่อน สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงก็คงส่งคนไปหาวิธีเปิดโบราณสถานนี้แล้ว
แต่ตอนนี้ทั้งสองคนรู้แล้วว่าตราแผ่นดินอยู่ในมือหลี่ว์ซู่ พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป พวกเขากังวลใจมากกว่าว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ แล้วก็ทิ้งของชิ้นนี้ไป…
หลี่ว์ซู่มาถึงที่วิทยาลัยลั่วเฉิงแล้ว เขาคุ้นเคยกับที่นี่น่าดู นักเรียนหลายๆ คนไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่หลี่ว์ซู่ผ่านเข้ามาในวิทยาลัยนี่บ่อยๆ
เมื่อไหร่ก็ตามที่หลี่อีเสี้ยวจะไปต่างประเทศ เขามักจะชวนหลี่ว์ซู่มากินข้าวด้วย จากห้าครั้งที่หลี่ว์ซู่มาร่วมโต๊ะกินข้าวกับเขา หลี่ว์ซู่ได้ช่วยน่าหลานเชวี่ยหาที่ซ่อนเงินลับของหลี่อีเสี้ยวไปทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน เพราะฉะนั้นน่าหลานเชวี่ยเลยต้อนรับหลี่ว์ซู่เป็นพิเศษ เธอทำเหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่เป็นเพื่อนสนิทของเธอแล้ว…
หลี่ว์ซู่อยู่ในอาคารธุรการในวิทยาลัยลั่วเฉิง เขารู้สึกลังเลนิดหน่อย เขาไม่ได้เข้ามาทางประตูหลักแต่ปีนกำแพงข้างหลังอาคารขึ้นมาแทน พอมาถึงห้องทำงานของจงอวี้ถังแล้ว เขาก็ค่อยๆ มองผ่านเข้าไปในกระจก
เขาวางมือหนึ่งไว้บนธรณีหน้าต่าง ส่วนอีกมือหนึ่งล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาจงอวี้ถัง [ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ โปรดลองใหม่อีกครั้ง…]
หลี่ว์ซู่มองเข้าไปผ่านหน้าต่างและเห็นจงอวี้ถังกำลังจัดเรียงเอกสารอยู่ โทรศัพท์ที่อยู่ข้างตัวเขาดังขึ้นมา เห็นได้ชัดเลยว่าหลี่ว์ซู่โทรหาเขาติดแล้ว
ฮ่าๆ จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็น
จงอวี้ถังไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเห็นว่าหลี่ว์ซู่กำลังโทรหาเขา เขายิ้มแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะที่เดิม แต่ตอนนี้เขาเริ่มรู้แล้วว่ามีอะไรแปลกไป เขาหันไปมองที่หน้าต่าง แล้วก็พบว่าหลี่ว์ซู่กำลังหัวเราะอย่างเย็นชาให้เขา อะไรกันเนี่ย!
เขาแทบจะปาโทรศัพท์ไปที่หลี่ว์ซู่ “นายมาที่นี่ได้ไงเนี่ย!”
[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +666!]
หลี่ว์ซู่ดันหน้าต่างออกแล้วกระโดดเข้ามา “ฮ่าๆ เสียงเรียกเข้าเข้าท่าดีนะครับ!”
“อะไรนะ พูดอะไรไม่รู้เรื่อง” จงอวี้ถังมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
หลี่ว์ซู่จะไม่แกล้งรังควานจงอวี้ถังอีกต่อไปแล้ว เขาตบโต๊ะทำงานของจงอวี้ถังด้วยหนังสือรับเข้าเรียนดังปัง! “ช่วยทำงานของคุณด้วยนะครับ”
พอจงอวี้ถังเห็นกระดาษแผ่นนั้นเขาก็ดีใจขึ้นมา เหมือนกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก นักเรียนธรรมดาๆ หรือสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินธรรมดาๆ คงไม่รู้สถานะของหลี่ว์ซู่หรอก แต่จงอวี้ถังเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเนี่ยถิงและหลี่ว์ซู่นั้นแน่นแฟ้นกันมาก เขาไม่กล้าไปแหย่สองคนนี้หรอก
“ฮ่าๆ ได้สิ เดี๋ยวจัดการให้” จงอวี้ถังรู้สึกเหมือนมีแสงส่องผ่านหมอกหนาในพายุ “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คนขับรถไปส่งที่ค่ายฝึกทหารนะ ว่าไงล่ะ”
หลี่ว์ซู่มองหน้าจงอวี้ถังอย่างใจเย็น “ผมจะไม่เข้าร่วมการฝึกทหาร ผมเคยบอกซีเฟ่ยไปแล้วนี่ ว่าผมเคยฝึกมาแล้ว”
“ขนาดหัวกะทิระดับ A ยังต้องไปฝึกหลังจากกลับมาจากภารกิจแล้วเลยนะ” จงอวี้ถังตะลึง เขาพูดต่อ “พวกเขาเองก็ไปฝึกมาแล้วเหมือนกัน นายเองก็ต้องไปเป็นครั้งที่สองด้วย”
“พวกเขาก็คือพวกเขา ส่วนผมก็คือผมครับ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับเรียบๆ เขาไปตะลุยที่อันตรายๆ อย่างโบราณสถานเกาะช้างและฐานของทวยเทพมาแล้ว พูดตามตรงว่าค่ายทหารไม่มีอะไรสำคัญให้เขาเรียนรู้หรอก สำหรับกลยุทธ์ทางทหารน่ะ หลี่ว์ซู่คิดว่าต้องคิดเอาตอนนั้นจะดีกว่า กลยุทธ์อื่นๆ ใช้กับเขาไม่ได้หรอก เพราะทุกครั้งที่เขาวางแผนอะไรไป คนอื่นมักจะทำพังทุกครั้งเลย
เป็นอย่างนี้เสมอแหละ แต่พอเขาคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มันมักจะออกมามีประสิทธิภาพเสมอ
“แบบนั้นไม่ได้หรอก การฝึกทหารครั้งนี้จะถูกคิดเป็นหนึ่งในการประเมินผลของนายด้วย” จงอวี้ถังเริ่มตระหนก “ในอนาคตก็จะมีการแข่งขันต่อสู้กันในวิทยาลัยทั้งเจ็ด ถ้านายไม่เข้าฝึกก็จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ไม่ได้นะ”
จงอวี้ถังเป็นอาจารย์ใหญ่ในวิทยาลัยลั่วเฉิงนี้ เนี่ยถิงไม่ยอมให้หลี่อีเสี้ยวเป็นด้วยซ้ำ มากไปกว่านั้นดูเหมือนจะมีการแข่งขันกันเองในหมู่วิทยาลัยเจ็ดแห่งด้วย จงอวี้ถังก็รู้สึกดีใจอยู่แล้วที่จะได้หลี่ว์ซู่มาเป็นนักเรียนที่แข็งแกร่งในโรงเรียนนี้ จะมีนักเรียนสักกี่คนในประเทศที่เอาชนะหลี่ว์ซู่ได้ล่ะ แต่พอมาตอนนี้หลี่ว์ซู่จะไม่ทำตามขั้นตอนตั้งแต่แรกเสียแล้ว
หลี่ว์ซู่หมุนตัวแล้วเดินออกไป “ลืมไปได้เลยครับ ผมไม่เข้าร่วมหรอก”
[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +666!]
เขาเข้าใจปัญหาแล้วล่ะ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้ร่วมวงสงครามเย็นระหว่างหลี่ว์ซู่กับเนี่ยถิง แต่ในอนาคตเขาจะจัดการกับหลี่ว์ซู่ยังไงล่ะ ไม่ได้จัดการง่ายๆ เสียด้วย นี่เขาดีใจเร็วเกินไปหรือเปล่านะ!
ตอนที่ 583 คาราวานการค้า
หลี่ว์ซู่เจอซีเฟ่ยขณะที่เดินลงมาด้านล่าง ซีเฟ่ยทำหน้าตกใจอย่างสังเกตเห็นได้ชัด “มานี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ทำไมฉันไม่เห็นนายมา”
“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่พยายามเปลี่ยนเรื่อง อย่างไรก็แล้วแต่เขาแอบปีนกำแพงขึ้นมาและไปทางหน้าต่างเพื่อจะได้ขึ้นไปชั้นเจ็ด ถ้าซีเฟ่ยเห็นเขาที่ประตูหลักก็คงเห็นผีเข้าแล้วล่ะ “พอดีว่าผมถูกรับเข้ามาเรียนในวิทยาลัยเป็นกรณีพิเศษน่ะครับ ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้ร่วมงานกันแล้วนะ ดีจริงๆ ที่ได้ร่วมงานกับคุณ หวังว่าจะได้มีโอกาสทำงานร่วมกันอีกในอนาคตนะครับ”
“ไม่เสียใจเลย ไม่เสียใจจริงๆ” ซีเฟ่ยหัวเราะเสียงดัง
เอิ่ม…
ซีเฟ่ยเพิ่งรู้ว่ามีบางอย่างปิดปกติไป เขาเลยรีบอธิบาย “เรื่องนี้จะเป็นเรื่องน่าเสียใจได้ไงเล่า ดีแล้วล่ะที่เข้ามาเรียนในวิทยาลัยลั่วเฉิงได้ ฉันดีใจกับนายจริงๆ จะเสียใจได้ไง”
“อ้อ ครับ งั้นอย่าให้ผมรั้งคุณไว้เลยครับ” หลี่ว์ซู่ตบไหล่ซีเฟ่ยแล้วเดินออกไป
เมื่อเขาเดินผ่านไปที่ประตูของวิทยาลัยลั่วเฉิงแล้ว เขาก็เห็นน่าหลานเชวี่ยกับหลี่อีเสี้ยวกำลังเดินจับมือกันผ่านเขาไป พอเห็นพวกเขาจับมือถือแขนแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกแฮะ หลี่อีเสี้ยวเห็นหน้าหลี่ว์ซู่แล้วก็ยิ้มออกมา
“กลับมาแล้วเหรอหลี่ว์ซู่! ตอนแรกฉันไปหานายวันก่อนตรุษจีนแต่นายไม่อยู่บ้าน ไปไหนมาล่ะ”
“ไปคุยต่อกันที่บ้านคุณดีกว่าครับ” หลี่ว์ซู่ดีใจเหมือนกัน
“เอ่อ…คุยกันที่นี่ก็ได้มั้ง” อารมณ์ของหลี่อีเสี้ยวเปลี่ยนไปทันที
“ทำงั้นได้ไง” น่าหลานเชวี่ยอารมณ์เสียขึ้นมา “หลี่ว์ซู่อยากไปบ้านก็พาเขาไปคุยที่นั่นสิ”
“แต่ว่าฉันอยากออกมารับแสงแดดนี่” หลี่อีเสี้ยวพูดเสียงเฉียบขาด
หลี่ว์ซู่เม้มปากขณะมองดูเมฆสีดำลอยผ่านหัว “เดี๋ยวอีกไม่กี่เดือนวิทยาลัยลั่วเฉิงก็ได้ต้อนรับพวกนักเรียนจากห้องเต้าหยวนแล้ว เป็นไปได้ไหมที่เราจะลงทุนกับธุรกิจโรงแรมในเมืองหลิว หรือว่าแบบนั้นมันแพงไป งั้นเราสร้างโรงแรมเล็กๆ แทนดีไหมครับ”
หลี่ว์ซู่คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ที่ดินที่พวกเขามีนั้นห่างจากวิทยาลัยลั่วเฉิงไปไม่ถึงเจ็ดร้อยเมตร พวกเขาจะได้กำไรมาแบบไม่ขาดสายแน่ถ้าสร้างโรงแรมไว้ตรงนั้น สุดท้ายแล้ววิทยาลัยลั่วเฉิงก็ไม่ได้ปิดทั้งหมดนี่ พวกนักเรียนยังต้องออกไปใช้ชีวิตกันอยู่
“กำลังอยากพูดกับนายเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หัวหน้าหมู่บ้านหลิวก็คิดแบบนี้แหละ พวกอุปกรณ์ก่อสร้างอย่างปูนซีเมนต์ ทราย ก้อนอิฐ และอย่างอื่นถูกจัดส่งมานี่หมดแล้ว” หลี่อีเสี้ยวพูดออกมาทันที
“คุณคิดมาเป็นอย่างดีเลยนี่ครับ” หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ “เรื่องนี้ก็เป็นธุรกิจเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเราก็มาจากเครือข่ายฟ้าดินกันทั้งคู่ คงได้รับอนุญาตไม่ยากหรอก”
“นายสองคนนี่ไก่อ่อนกับนี้เรื่องพวกจริงๆ เลย ยกให้ฉันจัดการเองดีกว่า ให้ที่บ้านฉันลงทุน พวกเขาสามารถดูแลต่อได้” น่าหลานเชวี่ยว่า
เรื่องนี้เธอไม่ได้ทำแค่เพราะเห็นแก่หลี่อีเสี้ยว แต่เป็นเพราะเมื่อครอบครัวน่าหลานนั้นทำงานกับหลี่อีเสี้ยวและหลี่ว์ซู่แล้ว พวกเขาจะไม่ขาดทุนกันเท่าไหร่ น่าหลานเชวี่ยให้เงินไปกับหลี่ว์ซู่ก็จะกลับคืนมาในครอบครัว และครอบครัวน่าหลานก็อยากช่วยหลี่ว์ซู่ ที่สุดแล้วไม่มีการเกลียดกันภายในหรอก มีแต่การได้ผลประโยชน์ร่วมกันภายในต่างหาก ครอบครัวน่าหลานเล็งเห็นแล้วว่าอีกเดี๋ยวหลี่ว์ซู่ก็จะเป็นใหญ่เป็นโตในเครือข่ายฟ้าดินแน่นอน ไม่เสียหายอะไรนี่ถ้าจะลงทุนกับเขาเพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีกันตั้งแต่ตอนนี้ไว้
สำหรับหลี่อีเสี้ยวแล้ว แม่ของน่าหลานเชวี่ยก็ยังคงรู้สึกว่าดวงชะตาของหลี่อีเสี้ยวแหละน่าหลานเชวี่ยนั้นเป็นกาลกิณีต่อกันอยู่ แต่ตอนนี้น่าหลานเชวี่ยก็โตแล้ว และเธอก็ไม่อยากมาสนใจเรื่องพวกนี้ ญาติๆ ทั้งหลายก็เลยทำได้แต่เมินหลี่อีเสี้ยวเท่านั้น พวกเขาเองไม่ได้เห็นด้วยเท่าไหร่นัก…
หลี่ว์ซู่กลับมาถึงบ้านแล้ว เขาค่อนข้างพอใจที่ครอบครัวน่าหลานตกลงดูแลในเรื่องนี้ให้ ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการน่ะดีที่สุดแล้ว ทีนี้หลี่ว์ซู่จะได้นำหน้าคนอื่นๆ ในเรื่องการฝึกเสียที แต่นอกจากเรื่องสร้างโรงแรมแล้วเขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นได้อย่างไรอีก
คืนนั้นญาติๆ ของน่าหลานเชวี่ยในเมืองลั่วก็ต่างเริ่มทำงานกัน พวกผู้มีพลังสายธาตุดินก็เริ่มลงมือขุดฐานของโรงแรมเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำ
พวกครอบครัวน่าหลานไม่เคยพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กับหลี่ว์ซู่ เหมือนกับว่าถ้าเหลยเฟิง [1] ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาก็จะไม่ปิดบังความจริงว่าพวกเขาพยายามจะเอาชนะใจหลี่ว์ซู่เพื่อให้เขาเข้าข้างตน
ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่ก็นั่งอ่านกระทู้ในมูลนิธิไปเรื่อย เขาเพิ่งมารู้ว่าในขณะที่จีนนั้นหยุดฉลองตรุษจีนกัน กิจกรรมในต่างประเทศก็ไม่ได้หยุดไปด้วย มีโบราณสถานเปิดขึ้นในอเมริกาใต้ แต่เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ในทางกลับกัน พวกผู้บำเพ็ญลับในต่างประเทศกลับเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว
หลี่ว์ซู่หาข้อมูลอื่นๆ ไม่เจอแล้วในบอร์ดกระทู้ แต่เขาจำได้ว่าเครือข่ายฟ้าดินชอบโทรหาโยวหมิงอวี่เพราะเขานั้นรู้ข้อมูลเยอะแยะเกี่ยวกับเรื่องที่ต่างประเทศ
เขาถามหลี่อีเสี้ยวว่าได้รับข้อมูลอะไรแบบนี้บ้างหรือเปล่า แต่หลี่อีเสี้ยวก็ไม่รู้อะไรและไม่ได้รับข้อมูลอะไรแบบนี้เลย
แล้วหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจขึ้นมาว่าที่เนี่ยถิงทำแบบนี้ก็เพราะเขาต้องการให้หลี่ว์ซู่สนใจเรื่องในต่างประเทศ นี่แปลว่าเนี่ยถิงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะส่งเขาไปต่างประเทศง่ายๆ สินะ หลี่อีเสี้ยวที่เป็นราชันฟ้ายังไม่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่าง ถ้าเขาได้มันไปคงจะมีปัญหาละสิ
ข้อมูลนี้บอกว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่ได้เข้าร่วมการเปิดโบราณสถานในอเมริกาใต้เพราะเครือข่ายฟ้าดินไม่ได้แทรกซึมเข้าไปถึงในอเมริกาใต้ องค์กรเองก็มีขีดจำกัดของมันเหมือนกัน พวกเขาจะเข้าไปได้เฉพาะพื้นที่ที่สำคัญๆ เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาเลยส่งกำลังคนและทรัพยากรไปที่เหล่านั้นเป็นพิเศษ ส่วนพื้นที่ที่ไม่ค่อยสำคัญอย่างอเมริกาใต้และออสเตรเลียนั้นพวกเขาจะปล่อยไว้ก่อน
วันต่อมาหลี่ว์ซู่ได้รับสายจากโยวหมิงอวี่ว่าให้ไปรับอะไรบางอย่างในตลาดมืด เขาบอกว่ามันถูกส่งมาจากเมืองหลวง
หลี่ว์ซู่วางหูไปแล้วก็คิดทบทวนเรื่องนี้ เหมือนกับว่าเขาได้เจอวิธีที่จะได้เข้าใกล้แกนหลักของเครือข่ายฟ้าดินเข้าไปอีกขั้น เนี่ยถิงไม่บังคับให้เขาออกไปอีกแล้ว แต่เขากลับค่อยๆ ตะล่อมส่งข้อมูลที่จะเข้าถึงแกนหลักขององค์กรให้ ซึ่งทำให้เขาเข้าไปใกล้มันช้าๆ
หลี่ว์ซู่นั้นโอเคกับการโน้มน้าวชักชวนมากกว่าการบังคับ ถ้าเนี่ยถิงบังคับให้เขาไปต่างประเทศ หลี่ว์ซู่ก็คงจะไม่ไปด้วยแน่ๆ แต่เนี่ยถิงกลับมาแบบนิ่มๆ และค่อยๆ ให้เขาได้รู้ข้อมูล สิ่งของ หรือกระทั่งการให้เขาเข้าไปเรียนในวิทยาลัยได้ หลี่ว์ซู่ก็ชักจะเริ่มรู้สึกลังเลขึ้นมานิดหน่อย…
งั้นข้อขัดแย้งระหว่างเขาและเนี่ยถิงคงจะสงบไปสักพักสินะ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่านี่ก็ไม่เลวเท่าไหร่ สังคมที่ปรองดองกันก็จะได้รางวัลเป็นความสามัคคี แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
หลี่ว์ซู่กลับมาที่ตลาดมืด เขาเห็นโยวหมิงอวี่นั่งอยู่ในห้องทำงานและกำลังคุยกับหัวหน้าของกลุ่มผู้บำเพ็ญลับอยู่ หลี่ว์ซู่แอบฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน โยวหมิงอวี่พูดว่า “ถ้าคนของเรามาถึง ให้พวกคุณออกไปกับพวกเร่ขายซะ อย่าลืมว่าต้องฟังคำสั่งของเราอยู่ตลอด ถ้ามีใครที่ดูท่าทางอันตรายให้รีบบอกพวกเราทันที ถ้ามีใครมาปล้นพวกคุณ เราจะพาพวกคุณไปปล้นพวกมันกลับ แต่ถ้าเรื่องนี้แดงออกไป เราจะไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรทั้งสิ้น แล้วอย่าได้เคลื่อนไหวอะไรออกไปก่อน อย่าสร้างปัญหา เข้าใจกันไหม”
พวกผู้บำเพ็ญลับพยักหน้าแบบยิ้มๆ ปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกเขาสำหรับพวกเร่ขายศิลาวิญญาณจากต่างประเทศก็คือความปลอดภัยเนี่ยแหละ ที่ที่พวกเขาจะไปนั้นไม่ได้สงบสุขและเจริญอะไรเลย มันมีคนหลายคนที่พร้อมจะฆ่ากันเพื่อศิลาวิญญาณ ใครๆ ก็รู้ว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นยอมรับตลาดมืดได้ เรื่องนี้ก็เลยเข้าใจกันไปโดยปริยาย
หลี่ว์ซู่อึ้งไป พวกทหารจะปกป้องคนที่ไปเอาทรัพยากรการฝึกจากต่างประเทศกลับมาด้วยเหรอ ดูจากพวกผู้บำเพ็ญลับพวกนี้แล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นจัดตั้งคาราวานการค้ากันเลยนี่
——
[1] ทหารในกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนที่เสียสละและถ่อมตนที่สุด
ตอนที่ 584 กลับไปที่อาณาจักรแห่งความมืดอีกครั้ง
โยวหมิงอวี่พูดกับพวกผู้บำเพ็ญลับนานถึงสองชั่วโมงด้วยกัน หลังจากประชุมกันเสร็จแล้ว พวกผู้บำเพ็ญลับก็เดินออกจากห้องไป เมื่อพวกเขาเห็นหลี่ว์ซู่ ต่างก็ทักทายเขาด้วยความเคารพ “สวัสดีครับท่านที่เคารพ”
“มีอะไรก็ไปทำเถอะ” หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับ ผู้บำเพ็ญลับในตลาดมืดที่ไม่รู้จักโยวหมิงอวี่ องค์ท่าน และท่านที่เคารพก็คงเป็นพวกมาใหม่ทั้งนั้น
พวกที่มีประสบการณ์จากตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 จะรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าพวกเขาไม่สามารถไปยุแหย่สามคนนี้ได้ องค์ท่านจะชอบเอาเปรียบไปเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาแต่ก็ไม่มีเจตนาไม่ดีอะไร ท่านที่เคารพจะค่อนข้างอารมณ์ดี แต่ก็ชอบทิ่มแทงกระแทกใจคนฟัง ส่วนโยวหมิงอวี่ถึงจะดูอ่อนแอ แต่เขาก็มีรอยยิ้มที่อาบไปด้วยจิตสังหารอยู่
เมื่อผู้บำเพ็ญลับใหม่ได้ยินเรื่องนี้ก็ล้วนตกใจจนต้องเอามือทาบอก “ทิ่มแทงกระแทกใจเหรอ ยังไงละนั่น”
พวกผู้คนต่างหัวเราะเมื่อได้ยินแบบนั้น “ไม่ได้ทิ่มแทงเข้าไปในใจจริงๆ หรอก แต่คำพูดของเขามันเจ็บแสบจนเจ็บใจมากเลยไงล่ะ”
“อ้อ…” ผู้บำเพ็ญลับคนใหม่นั้นถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเคยคิดว่าตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 นี่อันตรายมาก มีคนแทงเข้าไปในหัวใจของคนอื่นด้วย! แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แบบนั้นนะ…
หลังจากที่ประชุมแล้ว พวกกลุ่มผู้บำเพ็ญลับก็รีบวิ่งไปห้องน้ำ โยวหมิงอวี่วิ่งตามไปเงียบๆ อย่างใกล้ชิด นี่แหละที่เป็นปัญหาของการประชุมในประเทศ การประชุมมักจะกินเวลายาวนานไปถึงสองชั่วโมง มีบางครั้งที่ประชุมยืดยาวเป็นวันเลย คงต้องมีกระเพาะปัสสาวะที่แข็งแกร่งมากแหละที่จะนั่งทนได้ไปจนจบ
หลี่ว์ซู่เองก็รู้สึกว่าอยากไปเข้าห้องน้ำด้วยเหมือนกันหลังจากรอมานานมากแล้ว เขาไม่ได้คิดจะใช้พลังน้ำในการได้รับค่าอารมณ์มาเลย แต่โยวหมิงอวี่เองก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่มีความสามารถนี้อยู่ เขาไม่อยากจะใช้มันแบบโจ่งแจ้งเกินไป
มีกลุ่มคนกำลังยืนอยู่ที่โถฉี่และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจไปด้วย พอพวกเขาเสร็จธุระ พวกเขาก็สะบัดฉี่ที่เหลือลงโถไป แต่พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรเมื่อโยวหมิงอวี่หยิบกระดาษทิชชูออกมาจากกระเป๋าแล้วก็เช็ดทำความสะอาด
หลี่ว์ซู่สับสน เขาเป็นคนละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ
พวกผู้บำเพ็ญที่ยืนอยู่ข้างๆ โยวหมิงอวี่ได้แต่ยืนอยู่เงียบๆ …
โยวหมิงอวี่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปพูดกับหลี่ว์ซู่ “ไปกันเถอะ ของที่จะเอาให้นายอยู่ในห้องทำงานฉัน”
พวกผู้บำเพ็ญหายใจหายคอกันคล่องขึ้นเมื่อโยวหมิงอวี่จากไป หลี่ว์ซู่รอจนไม่มีคนอื่นอยู่แถวนั้นแล้วจึงถาม “ของมาจากราชันฟ้าเนี่ยเหรอครับ”
“มาจากราชันฟ้าสือต่างหาก เป็นยูเอสบีน่ะ” โยวหมิงอวี่ตอบ
เขาเดินกลับไปที่ห้องทำงานแล้วเปิดตู้เซฟ จากนั้นก็หยิบยูเอสบีมาจากในตู้แล้วส่งให้หลี่ว์ซู่ หลี่ว์ซู่อึ้งไป นี่มันเหมือนกับยูเอสบีที่เขาเคยได้มาจากแอนโธนี่เลย!
โยวหมิงอวี่กล่าวว่า “นี่เป็นกุญแจลับที่ช่วยให้สามารถเข้าไปในอาณาจักรแห่งความมืดได้ ยูเอสบีหนึ่งอันจะตอบสนองกับผู้ใช้หนึ่งไอดีเท่านั้น เราได้ยูเอสบีอันนี้มาจากสายลับหน่วยข่าวกรอง เพราะงั้นก็ใช้ได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร”
ในระหว่างที่อธิบาย โยวหมิงอวี่ก็ยื่นเอกสารให้กับหลี่ว์ซู่ “ในนี้มีข้อมูลของคนที่เคยใช้ยูเอสบีนี้มาก่อน อย่างที่บอกว่ายูเอสบีนี้จะเชื่อมต่อกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น ทำตัวให้ชินเข้าไว้ล่ะ คนคนนี้ไม่ได้แสดงสถานะว่ามีความเคลื่อนไหวอะไรในอาณาจักรแห่งความมืดแล้ว แต่ก็อาจจะมีคนจำไอดีของเขาได้”
หลี่ว์ซู่รับเอกสารมาจากในแฟ้ม เขาอ่านดูแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ ข้อมูลนี้มีอะไรแปลกตาบางอย่าง คนคนนี้สูงเท่าหลี่ว์ซู่ แถมรูปหน้ายังละม้ายคล้ายกันมากอีก
เขาเป็นนักธุรกิจจีนและเป็นผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อว่าหลี่เถิง เขาขายข้อมูลระดับล่างภายในต่างประเทศ
ในความเป็นจริงแล้ว พวกสายลับน่ะไม่ได้เท่หรือสูงส่งเหมือนกับที่เห็นในหนังภาพยนตร์หรอก พวกสายลับน่ะทำงานหาเงินด้วยการขายรูปภาพรูปหนึ่งหรือจะแค่คำพูดประโยคเดียวแบบนั้นก็ได้แล้ว แม้แต่ราคาสินค้าในต่างประเทศก็ยังเป็นข้อมูลที่ซื้อขายได้เลย
หลี่ว์ซู่มองข้อมูลในมือแล้วถาม “แล้วคนนอกไม่รู้หรอกเหรอครับว่าเขาถูกเครือข่ายฟ้าดินจับตัวไปแล้วน่ะ”
โยวหมิงอวี่หัวเราะ “เหมือนจะรู้กันแล้วนะ แต่ราชันฟ้าสือไม่ได้บอกให้ทำอะไรต่อ เขาไม่ได้บอกให้นายไปทำภารกิจอะไรด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ” หลี่ว์ซู่เพิ่งเข้าใจว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นได้เตรียมการทุกอย่างให้เขาไว้แล้ว ถ้าเขาอยากจะทำมันแล้วละก็ เขาก็ทำมันได้ทันที
“ว่าแต่นายได้ลองไปคิดๆ ดูบ้างหรือเปล่า พวกเราน่ะต้องเข้าทำงานร่วมทีมกับใครหลายๆ คนเลยตอนไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศ หากสำเร็จก็จะสำเร็จไปด้วยกันทั้งหมด แต่ถ้าล้มเหลวก็ล้มเหลวไปด้วยกันทั้งหมดเหมือนกัน บางทีอาจต้องมีคนตายเพราะการตัดสินใจของนายก็ได้ แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งแล้วละก็ ยิ่งผู้นำแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะสูญเสียลูกน้องก็ลดน้อยลงไปเท่านั้นล่ะนะ” โยวหมิงอวี่พูดเบาๆ “ภารกิจไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก ถ้านายและฉันไม่ยอมไป เดี๋ยวก็จะมีคนอื่นไปแทน แต่นี่เป็นภารกิจของเรา แล้วถ้าคนเก่งอย่างนายยอมรับหน้าที่นี้แล้ว นายก็จะช่วยชีวิตคนได้อีกหลายชีวิตแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาต้องเสียสละชีวิตตัวเอง ฉันพูดถูกไหม”
“ครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะ” หลี่ว์ซู่หมุนตัวและเดินออกไปขณะที่โบกมือลา
โยวหมิงอวี่ยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบงันข้างหลังหลี่ว์ซู่ เขาเข้าใจดีว่าหลี่ว์ซู่คิดอย่างไร ย้อนกลับไปเมื่อก่อน เขาก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่ทำงานเป็นสายลับประจำฐาน แล้วเขาก็เสียสละชีวิตไปเพื่อช่วยหาข้อมูลมาให้หลี่ว์ซู่ โยวหมิงอวี่เองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกัน
แค่พูดน่ะมันก็ง่าย แต่ไม่มีใครที่จะใจจืดใจดำไม่รู้สึกอะไรได้หรอกถ้าต้องอยู่ในสถานะแบบนั้นจริงๆ
หลี่ว์ซู่ไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ที่บ้าน เมื่อเขาได้รับยูเอสบีมาแล้ว เขาก็เลยไปซื้อโน้ตบุ๊กมาเครื่องหนึ่ง เมื่อเขาเสียบยูเอสบีเข้าไป หน้าต่างเว็บไซต์ของอาณาจักรแห่งความมืดก็เด้งขึ้นมาอันตโนมัติ
เขาไม่ได้เห็นหน้าเว็บไซต์นี้มานานมากแล้ว เขาคลิกเข้าไปในหน้าแลกเปลี่ยนและเจอกับสิ่งของแปลกๆ มากมาย มีสินค้าที่อาณาจักรแห่งความมืดได้ปักหมุดไว้หน้าแรกก็คือพวกผลไม้ที่ทำให้คนปะทุพลังได้ ผลไม้บางผลก็ถูกเขียนป้ายติดว่ามีคุณสมบัติช่วยให้ปะทุพลังได้จริงๆ ส่วนหลายๆ ผลก็บอกว่ายังไม่ทราบคุณสมบัติที่แท้จริง ผลไม้ที่มีคุณบัติช่วยให้คนปะทุพลังที่เห็นได้ทั่วไปที่สุดก็คือผลไม้ที่เป็นธาตุต่างๆ ซึ่งก็จะมีที่เด่นๆ อย่างผลไม้สายฟ้า
การแลกเปลี่ยนผลไม้นั้นทำได้โดยแลกกับของที่หายาก ในนี้ไม่มีการแลกโดยการใช้เงินหรือศิลาวิญญาณ ดูจากการประกาศแลกเปลี่ยนของหายากก็เห็นแล้วว่าองค์กรนี้คิดอย่างไรกับเงินสดและศิลาวิญญาณ
หลี่ว์ซู่ลองนั่งหาว่าพวกคนขายพวกนี้อยากได้อะไรแลกเปลี่ยน หลายๆ คนอยากได้ของหายากที่มีค่าเท่ากัน มีบางส่วนที่ระบุอย่างชัดเจนเลยว่าอยากได้ของวิเศษที่มีวิญญาณอาวุธติดมาด้วย
หลี่ว์ซู่เพิ่งคิดได้ว่าเขามีผลไม้อยู่สองผลที่ได้มาจากโบราณสถานทะเลสาบเกลือนี่นา
ก่อนหน้านั้นเขาโกหกไปว่ามีต้นไม้ที่จะให้ผลล้างไขกระดูกเพื่อที่จะให้ผลไม้นั้นแก่เฉินไป่หลี่ แต่นี่มันไม่เหมือนกัน
เขาปะทุพลังสายธาตุน้ำหลังจากที่กินผลไม้หนึ่งเข้าไป แต่เขาไม่ได้กินไปทั้งหมด เขายังเก็บแกนผลไม้ที่กินเข้าไปอยู่ในตราแผ่นดิน
ที่ผ่านมาเขาลังเลมาโดยตลอดเพราะเขาอยากเอาแกนผลไม้ที่เหลือนั้นให้เสี่ยวอวี๋กิน แต่ตอนนั้นเขาเกือบหมดสติไปตอนกินผลไม้ปะทุพลังน้ำเข้าไป ทำให้หลี่ว์ซู่เข้าใจว่าผลไม้นี้ไม่เหมาะกับคนที่มีความสามารถสูงๆ
เพราะฉะนั้นจะต้องมีการดำเนินการตามลำดับเมื่ออยากจะปะทุพลังอื่นๆ ตอนที่เขากินผลไม้ระดับ C เข้าไปมันเป็นผลไม้ปะทุพลังน้ำ และมันก็ทรงพลังมากจนเขาได้เลื่อนขั้นเป็นระดับ C เลย จริงๆ แล้วคนอื่นอาจจะต้องเริ่มจากระดับ F E D C ตามลำดับ แต่เขาข้ามขั้นไป ร่างกายของเขาก็เลยทนไม่ได้ในกระบวนการนั้น
เอาจริงๆ แล้วถ้าเขากินผลไม้ระดับ B เข้าไปเขาก็คงจะตายไปแล้วล่ะ
ตอนที่ 585 โบราณสถานหลัวปู้พัว
หลังจากที่หลี่ว์ซู่คิดดีแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าไม่ควรรีบเอาผลไม้ให้เสี่ยวอวี๋ ประสบการณ์เกือบตายตอนที่กินผลไม้ปะทุพลังเข้าไปยังตราตรึงอยู่ในหัวเขา เขายังรู้สึกบอบช้ำจากเหตุการณ์นั้นอยู่เลย
แต่มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะขายผลไม้นี่ได้อยู่ ตระกูลใหญ่หลายๆ ตระกูลยังชอบซื้อผลไม้พวกนี้กันอยู่นี่ เพราะจะมีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งคนเท่านั้น ถึงผู้สืบทอดคนนั้นก็อยากจะปะทุพลังก็ทำไม่ได้เพราะจะไม่มีความสามารถนั้น เพราะฉะนั้นพวกเขาก็ต้องหวังพึ่งตัวช่วยจากภายนอกแล้วล่ะ
การปะทุพลังนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและระดับของคนคนนั้นด้วย มีหลายคนที่พวกเขาไม่ได้ปะทุพลังแต่พอได้กินผลไม้เข้าไปก็เลื่อนขั้นเป็นระดับ C ได้ด้วย มีบันทึกว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นนี่ขึ้นเป็นระดับ B ได้โดยการใช้วิธีนี้
ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผลไม้ถึงเป็นที่ต้องการมากขนาดนี้
ถึงตระกูลใหญ่ๆ จะเป็นคนกำหนดเศรษฐกิจโลก แต่พวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องในโลกแห่งการฝึกบำเพ็ญนี้เลย เงินที่พวกเขามีก็เอามาใช้ในการซื้อผลไม้ไม่ได้ แต่พวกตระกูลใหญ่กลับมีของหายากซึ่งกลายเป็นของที่มีคุณสมบัติวิเศษในภายหลังที่มีพลังจิตวิญญาณฟื้นคืน
อาวุธและวัตถุวิเศษกระจัดกระจายไปทั่วโลก และของพวกนี้ก็ยิ่งถูกค้นพบมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคแห่งพลังพิเศษแบบนี้
หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าพลังของเสี่ยวอวี๋นั้นแข็งแกร่งพอแล้ว เธอไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับการปะทุพลังแบบนั้นหรอก แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเขาจะเก็บผลไม้ไว้ผลหนึ่งไว้ใช้ในอนาคต และเอาอีกผลหนึ่งไปแลกกับของวิเศษเพื่อมอบให้เสี่ยวอวี๋
ความสามารถพูดคุยกับสัตว์ของเสี่ยวอวี๋น่าจะเป็นความสามารถเด่นของเธอได้เลย ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าความสามารถนี้จะพัฒนาไปได้ขนาดไหน
หลี่ว์ซู่เลื่อนดูเซกชันการว่าจ้างในเว็บไซต์ มีภารกิจมากมายถูกโพสต์อยู่บนหน้านั้น ดูเหมือนว่ายอดฝีมือดังๆ หลายคนในโลกนี้จะถูกเสนอรางวัลให้
ในอาณาจักรแห่งความมืดนี้ยึดเอาคุณค่าของรางวัลไว้บอกระดับของความสามารถของยอดฝีมือ ยิ่งยอดฝีมือคนนั้นมีรางวัลที่มีค่ามากเท่าไหร่ก็แสดงว่าฝีมือของเขาน่าประทับใจมากเท่านั้น…
เวลาที่มีคนจ้างยอดฝีมือเหล่านี้ พวกเขาก็จะใช้การวัดค่าจากรางวัลเพื่อเป็นการประมาณว่าควรจะจ้างเท่าไหร่
มีคนเคยพูดกันไว้ว่าในช่วงเวลาแรกของยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนนั้น มีคนระดับ C คนหนึ่งรู้สึกว่ารางวัลที่ถูกเสนอให้นั้นน้อยเกินไป เขาก็เลยขอค่ารางวัลที่มีค่ากว่าเดิม แล้วเมื่อคนที่เคยมีประสบการณ์มาแล้วมาเห็นเข้าก็รู้สึกพอใจมาก ได้ค่ารางวัลมาตั้งมากในการทำภารกิจง่ายๆ แบบนี้! พอเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็เลยฆ่าผู้บำเพ็ญคนนั้นทิ้งเสียแล้วก็ฉกเอารางวัลไป ผลที่ออกมาก็คือชื่อของคนระดับ C คนนั้นกลับดังกระฉ่อนไปทั่วอาณาจักรแห่งความมืด จากนั้นก็ไม่มีใครอยากจะเพิ่มสถานะทางสังคมตัวเองด้วยการเพิ่มค่ารางวัลอีกเลย
ในสังคมนี้ก็มีคนอยู่หลายประเภท ผู้มีพลังประเภทโง่ๆ เองก็มีด้วยเช่นกัน…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู เขาเปิดประตูออกไปก็เห็นหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ย เขางงมาก “มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ”
หลี่อีเสี้ยวโชว์ถุงผักในมือแล้วนยิ้มให้หลี่ว์ซู่ “อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ เรามาทำกับข้าวให้นายกินแน่ะ”
“ผมไปกินบ้านคุณก็ได้นี่ครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ
“ไม่คิดสักหน่อยเหรอว่าทำไมฉันไม่อยากให้นายมาบ้านอีกแล้วน่ะ” หลี่อีเสี้ยวพูดอย่างโกรธๆ
น่าหลานเชวี่ยหยิบเอาวัตถุดิบออกมาแล้วเดินไปในครัว ทิ้งให้หลี่อีเสี้ยวและหลี่ว์ซู่ได้มีโอกาสพูดคุยกัน หลี่อีเสี้ยวลากหลี่ว์ซู่ไปที่ห้องนั่งเล่น “นายได้ยินหรือเปล่าว่าไม่มีใครจากเครือข่ายฟ้าดินไปที่โบราณสถานในอเมริกาใต้เลยเพราะเราไม่มีกำลังคนที่นั่น แล้วคนรักชาติอย่างเราๆ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมาเสียงเย็น
หลี่ว์ซู่เพิ่งเข้าใจว่าหลี่อีเสี้ยวถูกส่งมาเป็นตัวสนับสนุนอีกทางนี่เอง เนี่ยถิงส่งเขามาและสัญญาว่าจะให้รางวัลอย่างงามแน่ๆ ไม่อย่างนั้นหลี่อีเสี้ยวคงไม่ยื่นมือมายุ่งเรื่องนี้หรอก แต่เขาไม่คิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะเปลี่ยนเรื่องไปทันที “เข้าใจล่ะ รู้แล้วว่านายไม่อยากทำ แต่นายคงไม่รู้ละสิว่ามีสัญญาณว่าโบราณสถานที่ทะเลสาบหลัวปู้พัวได้เปิดออกแล้ว”
ทะเลสาบหลัวปู้พัวเหรอ หลี่ว์ซู่เงียบไป หลัวปู้พัวอยู่ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์นี่ พื้นที่นั้นจำนวนประชากรมักจะลดลงแล้วก็มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นเสมอ สถานที่นี้ยังมีอีกชื่อเรียกหนึ่งด้วย
“อาณาจักรโหลวหลาน [1] งั้นเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ถาม
หลี่อีเสี้ยวส่ายหัว “ที่หลัวปู้พัวนั้นแปลกมาก ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันเกี่ยวข้องกับอาณาจักรโหลวหลานหรือเปล่า มันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้”
หลี่ว์ซู่ผงกหัว เขาเคยค้นคว้าเกี่ยวกับสถานที่ที่น่าสนใจนี้ หลังจากที่นักสำรวจได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ก็มีการค้นพบศพที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร มีศพผู้หญิงที่มีอายุมามากกว่าพันปีแล้วในสภาพไร้ที่ติในสุสานบางแห่ง พวกเขาเจอกิ้งก่ายักษ์กินคนในถ้ำด้วยเหมือนกัน และยังมีสิ่งแปลกประหลาดอีกหลายอย่างเกิดขึ้นที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ มีรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งถูกนำไปเล่าต่อกันจนผิดเพี้ยน ทำให้เรื่องกลายเป็นถูกบิดเบือนหนักเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าโบราณสถานแห่งนี้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรโหลวหลาน มันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้
หลี่ว์ซู่ยิ่งเริ่มสงสัยหนักขึ้นเรื่อยๆ ใช่อยู่ว่าเขาไม่ยอมไปต่างประเทศ แต่ในเมื่อโบราณสถานอยู่ในประเทศ งั้นลองไปดูหน่อยคงไม่เสียหายละนะ
พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องไปที่โบราณสถานเพื่อไปเอาของวิเศษมาก็ได้ ที่สุดแล้วเขาก็ไปไกลขนาดนั้นเพื่อไปสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับพวกราชันฟ้าไม่ได้หรอก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าก็ของในโบราณสถานนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่วัตถุวิเศษเท่านั้น แต่มันอาจจะมีธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลอยู่เป็นจำนวนมหาศาลด้วยได้
คนอย่างน่าหลานเชวี่ยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟ้าดินไม่สามารถไปสำรวจโบราณสถานได้ แถมหลี่อีเสี้ยวก็คิดที่จะช่วยหลี่ว์ซู่เรียบร้อยแล้ว
ทันใดนั้นหลี่อีเสี้ยวก็ได้รับโทรศัพท์จากเนี่ยถิง เนี่ยถิงพูดอย่างใจเย็นผ่านโทรศัพท์มาว่า [คราวนี้เฉินไป่หลี่จะเป็นผู้นำ ส่วนราชันฟ้าคนอื่นๆ จะต้องประจำอยู่ที่ฐานของตัวเอง นายจะออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่ได้ พวกนักเรียนจากวิทยาลัยกำลังไปกันที่โบราณสถานหลัวปู้พัว นักเรียนที่กำลังฝึกฝนและอยู่ในระดับ E ขึ้นไปจะได้รับอนุญาตให้ไปสำรวจได้ เดี๋ยวพวกเขาจะเตรียมตัวเดินทางออกไปจากค่ายกันแล้ว]
พูดเสร็จเนี่ยถิงก็วางหู หลี่อีเสี้ยวมองไปที่หลี่ว์ซู่ “ดูเหมือนว่าเราสองคนจะไม่ได้ไปแล้วล่ะ”
“คุณไปไม่ได้ แต่ผมไปได้นี่ครับ…” หลี่ว์ซู่ส่ายหัว
หลี่อีเสี้ยวชะงัก “แต่นายจะกลับมาสอบเข้าวิทยาลัยไม่ทันนะ”
“พอดีผมได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษแล้วน่ะครับ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับยิ้มๆ
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +666!]
หลี่ว์ซู่รีบโทรหาจงอวี้ถังทันที
“ฮัลโหล จงอวี้ถังครับ ผมไปคิดมาแล้ว สำหรับการฝึกทหารน่ะ ทุกๆ คนก็ได้เข้าฝึกให้เท่าเทียมกันโดยไม่มีการแบ่งแยกใช่ไหมครับ ผมพูดไม่ได้หรอกว่าผมเคยไปฝึกแล้วงั้นผมจะสามารถแหกกฎได้และไม่เข้าร่วมการฝึกอีกรอบ ผมคิดมาอย่างหนักแล้วล่ะ ว่าผมไม่เพียงแต่ต้องเข้าร่วมเท่านั้น แต่ผมจะต้องขยันฝึกซ้อมด้วย!”
จงอวี้ถังพูดไม่ออก
[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +666!]
“ฮัลโหล ได้ยินผมไหมครับจงอวี้ถัง” หลี่ว์ซู่ถาม
[ได้ยินแล้ว] จงอวี้ถังรู้สึกปวดหัวขึ้นมา [งั้นรีบๆ ไปเก็บของซะ ส่วนหนึ่งได้ออกเดินทางไปแล้ว ถ้ารีบมาค่ายฝึกตอนนี้ก็อาจจะได้ขึ้นรถทหารไปทันก็ได้…]
“โบราณสถานยังเปิดอยู่เหรอครับเนี่ย” หลี่ว์ซู่ดูประหลาดใจเอามากๆ “ดูคุณพูดเข้าสิ ผมไม่ต้องรีบไปที่โบราณสถานนั้นเหรอครับ ฮ่าๆๆ เดี๋ยวผมไปร่วมสนุกด้วยเลยแล้วกัน!”
จงอวี้ถังไม่พูดอะไรต่อแล้วรีบวางหูใส่
——
[1] อาณาจักรโหลวหลาน (樓蘭) เป็นอาณาจักรโบราณเก่าแก่ที่ล้มสลายไปแล้ว อยู่ติดกับทะเลสาบหลัวปู้พัว หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ทะเลแห่งความตาย’
ตอนที่ 586 ออกเดินทางสู่หลัวปู้พัว
การเรียกตัวพวกหัวกะทิเก่งๆ ระดับ A กลับมาที่โรงเรียนนั้นก็เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเรียนธรรมดาๆ ที่ห้องเต้าหยวน เพราะฉะนั้นการเรียกหลี่ว์ซู่กลับมาก็เปรียบได้กับการสร้างขวัญกำลังใจให้พวกหัวกะทิระดับ A อีกที
ก็จริงอยู่ที่พวกหัวกะทิจะสามารถกระตุ้นให้กำลังใจหลี่ว์ซู่ได้เหมือนกัน เพราะพวกเขาเพิ่งเสร็จภารกิจกันมา มันก็จะมีบรรยากาศที่ทรงพลังรอบๆ ตัวพวกเขาที่รู้สึกได้
ภารกิจที่พวกเขาไปทำสำเร็จกันมานั้นเสี่ยงตายกันมากอยู่แล้ว ทำให้พวกเขาเติบโตกันมากขึ้นเมื่อได้ไปเผชิญหน้าความตายมาอย่างซึ่งๆ หน้า
ซึ่งเด็กหัวกะทิกว่าแปดสิบคนที่กลับไปยังวิทยาลัยบำเพ็ญในเมืองที่ประจำอยู่ของพวกเขานั้นทำให้พวกนักเรียนธรรมดาของห้องเต้าหยวนตื่นเต้นกันมาก เพราะพวกคนที่กลับมาล้วนบุคลิกและนิสัยเปลี่ยนแปลงไปชนิดที่ว่ากลายเป็นคนละคน
เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นเองก็สังเกตเห็นการเติบโตที่รวดเร็วนี้เหมือนกัน ถ้าจะมีใครเลื่อนระดับเป็นระดับ B ในเวลาอันสั้นๆ ก็ถือว่าเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่กระนั้นความก้าวหน้าของหลี่ว์ซู่ก็ไปไกลยิ่งกว่า แต่ถ้าเขาหยุดพัฒนาตัวเองไป พวกคนอื่นก็สามารถแซงหน้าเขาไปได้ง่ายๆ เช่นกัน
เขาจะต้องทำตัวเป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปต่างประเทศ
หลังจากที่เนี่ยถิงวางหูไป สือเสวจิ้นก็พูดออกมายิ้มๆ “คุณว่าหลี่ว์ซู่กับพวกหัวกะทิจะเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกันที่โบราณสถานหลัวปู้พัวไหม แต่ผมสงสัยอยู่อย่าง หลี่เสียนอีไม่เคยบอกเลยว่าเขารับหลี่ว์ซู่เป็นศิษย์ แต่เขากลับสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้หลี่ว์ซู่ มีไม่กี่คนหรอกนะครับที่จะรับเอาเคล็ดลับภูเขาและทะเลแห่งพลังจากหอเกียรติกระบี่มาใช้ได้”
“ถ้าจำไม่ผิดหลี่ว์ซู่กับหลี่เสียนอีเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแล้วนะ เมื่อก่อนพอหลี่เสียนอีรู้ตัวว่าร่างกายตัวเองทรุดโทรมไปมาก เขาก็เลยอยากจะส่งต่อวิชาให้ได้เร็วที่สุด สงสัยว่าเขาคงสอนกระบี่ให้กับหลี่ว์ซู่ด้วยล่ะมั้ง แต่เรื่องที่ว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นศิษย์ของหลี่เสียนอีหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะหลี่เสียนอีเองก็ยังไม่เคยชักชวนให้หลี่ว์ซู่ไปเข้าร่วมกับมูลนิธิ” เนี่ยถิงตอบอย่างใจเย็น
“คุณคิดว่าหลี่ว์ซู่จะดูแลและพัฒนาให้มูลนิธิได้งั้นเหรอครับ ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย” สือเสวจิ้นหัวเราะ
ตอนที่พวกเขาคุยกันอยู่นั้น อยู่ๆ โทรศัพท์ของเนี่ยถิงก็ดังขึ้นมา เขาเหลือบมองดูว่าใครโทรมาแล้วกดรับสาย “ว่าไง หลี่อีเสี้ยว”
[ผมขอรับอนุญาตให้ไปเข้าเรียนเป็นกรณีพิเศษเหมือนกันได้ไหมครับ ผมว่าหลังๆ มานี่ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ผมก็เลยอยากเรียนหนังสือเสียหน่อย ถ้าให้โอกาสแล้วละก็ ผมจะรับใช้ประเทศให้ดีที่สุดเลยครับ]
เนี่ยถิงหายใจเข้าลึกแล้วตะเพิดกลับ “ไสหัวไปซะ”
…
หลังจากที่ส่งหลี่อีเสี้ยวกลับไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เริ่มเก็บกระเป๋า เขาเก็บเสื้อผ้าไปไม่กี่ชุด นอกจากนั้นก็เป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้และอาหารนิดหน่อย
เขาได้หาข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับทะเลสาบหลัวปู้พัวมาบ้าง ดูเหมือนว่าสถานที่นั้นจะเป็นพื้นที่แห้งแล้งและมีสันเขาที่เกิดจากพื้นดินถูกลมกัดกร่อนจนกลายเป็นร่องตามแนวยาว ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลทรายและไม่ค่อยมีพืชพรรณขึ้นเท่าไหร่ น้ำดื่มคงจะหายากน่าดู แต่เครือข่ายฟ้าดินคงจะเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้วเพราะมีคนไปเยอะในการเดินทางนี้ นอกจากนั้นเฉินไป่หลี่เองมีอุปกรณ์ที่เอาไว้เก็บของแบบล่องหนไปด้วย พวกราชันฟ้านั้นมีกันทุกคนนั่นแหละ
มีเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาหลายเรื่องที่เชื่อถือไม่ค่อยได้ หลี่ว์ซู่เชื่อว่าในยุคแห่งพลังจิตวิญญาณแบบนี้ พวกผู้บำเพ็ญนั้นคงไม่สนใจอุปสรรคตามธรรมชาติอย่างพายุทะเลทรายเท่าไหร่หรอก
กระนั้นโบราณสถานนั้นก็บ่งชี้ว่ามันมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ พวกเขาคงไม่ต้องต่อสู้กับภัยทางธรรมชาติอะไร แต่เป็นพวกสัตว์วิเศษหรืออะไรแปลกๆ มากกว่า
หลี่ว์ซู่ได้ยินมาจากหลี่อีเสี้ยวว่าพวกหัวกะทิระดับ A นั้นเติบโตขึ้นมากหลังจากไปเผชิญภารกิจเสี่ยงตายกันมาแล้ว
และตอนนี้นักศึกษาในวิทยาลัยก็ถูกบังคับให้ฝึกฝนการต่อสู้ในการไปโบราณสถานแห่งนี้ คงจะบอกได้ว่าเครือข่ายฟ้านั้นมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทีเดียว
จงอวี้ถังได้บอกให้หลี่ว์ซู่ออกเดินทางในคืนนั้น ทำให้หลี่ว์ซู่มีเวลาไปหาซื้อแว่นตากันลมและเสื้อกันลมมาได้ นี่ไม่ใช่ว่ากลัวหนาวหรอกนะ แต่เขากังวลว่าจะมีเศษทรายเข้าตาทำให้มองไม่เห็นได้ เงินที่เสียไปกับของพวกนี้น่ะไม่เท่าไหร่เลยถ้าเทียบกับประโยชน์ที่จะได้จากการไปสำรวจโบราณสถาน
หลี่ว์ซู่ใช้เวลาต่อรองราคาไปสามชั่วโมงเท่านั้นเอง…
ในตอนที่รถที่จงอวี้ถังส่งมารับเขามาถึง หลี่ว์ซู่ยังยุ่งอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าอยู่เลย…
พอหลี่ว์ซู่กลับมาก็เห็นจงอวี้ถังรออยู่หน้าบ้าน จงอวี้ถังเงียบไป แต่แล้วก็ถามออกมาในที่สุด “บอกมาสิว่านายไปไหนมา ทำไมถึงใช้เวลานานแบบนี้”
หลี่ว์ซู่เงียบไปสองวิก่อนจะตอบกลับด้วยคำตอบที่ดูแสนฉลาด “ผมเป็นสมาชิกของเครือข่ายฟ้าดินนี่ครับ ผมก็เลยไปถามความเห็นของผู้คนเกี่ยวกับราคาสินค้าในยุคของผู้มีพลังมา”
“งั้นไปได้อะไรมาบ้างล่ะ” จงอวี้ถังถามอย่างอึ้งๆ
“ผมว่าราคามันสูงเกินไปน่ะครับ ก็เลยบอกพวกเขาไปว่าตั้งราคาแบบนี้มันไม่ถูก” หลี่ว์ซู่ตอบ
“อธิบายการต่อราคาให้สวยหรูเชียวนะ! นายต่อราคาถุงเท้าคู่เดียวเป็นชั่วโมงด้วยซ้ำ” จงอวี้ถังพูดเสียงเรียบ
[ได้แต้มอารมณ์จากจงอวี้ถัง +666!]
“ฮ่าๆ ดูคุณสิ” หลี่ว์ซู่ยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังคงความสุภาพ “รถเราคันไหนครับ แล้วคุณเองจะไปเมื่อไหร่”
ตามแผนเดิมแล้วหลี่ว์ซู่จะต้องไปที่ค่ายฝึกของห้องเต้าหยวนที่เป็นทางแยกของสามมณฑลก่อนที่จะไปหลัวปู้พัวโดยการนั่งรถทหารไป
เขาได้ยินมาว่าพวกนักเรียนบางส่วนนั้นออกเดินทางไปก่อนหน้าหลายวันแล้ว และเขาจะต้องเดินทางไปพร้อมกับนักเรียนกลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นพวกนักเรียนเจ็ดคนที่บาดเจ็บมาขณะฝึกฝนขั้นสำคัญ
พวกเขาจะไปได้ก็ต่อเมื่อหายดีแล้ว เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ก็อาจจะทำให้แผลไม่หายดีได้
พวกนักเรียนเจ็ดคนนั้นไม่เคยเจอหลี่ว์ซู่ที่ค่ายเลย พอพวกเขาได้มารวมกลุ่มกัน หลี่ว์ซู่ก็มามือเปล่าอีก ส่วนพวกเขานั้นต้องแบกเป้ใบใหญ่ที่มีทั้งเสบียงอาหารและเต็นท์นอน
บรรยากาศโดยรอบเลยค่อนข้างกระอักกระอ่วน เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่มาเที่ยวเฉยๆ แต่คนอื่นๆ ต้องไปรบในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งเจ็ดคนนั้นไม่ได้มาจากทีมเดียวกันแต่ก็เริ่มคุ้นเคยกันในห้องพยาบาล มีคนหนึ่งกระซิบออกมาเบาๆ “ไอ้หมอนั่นใครน่ะ ผิวขาวเชียว ฉันว่ามันไม่เคยไปฝึกมาหรอก เป็นเด็กเส้นเหรอ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประจำ เพราะพวกเด็กที่มีสิทธิพิเศษจากครอบครัวนั้นไม่จำเป็นต้องมาฝึกทหารก็ได้
“เห็นด้วย ผิวไม่ค่อยคล้ำเลย อีกอย่างพวกหัวกะทิระดับ A น่ะคล้ำกว่าเราอีก หมอนั่นไม่น่าจะใช่พวกหัวกะทิหรอก” อีกคนกระซิบมาจากข้างหลังเหมือนกัน พวกเขาได้เห็นพวกหัวกะทิแล้ว พวกเขาผิวดำคล้ำจากการฝึกอย่างหนัก ถ้าจะไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้ว จะให้โปะครีมกันแดดเท่าไหร่ก็คงไม่พอหรอก
ตอนที่ 587 ไข่ในหินหลี่ว์ซู่
ในตอนนี้แล้วทุกๆ คนต่างก็เป็นกังวลกันมาก เพราะพวกเขาได้ยินว่ามีอันตรายรออยู่ในโบราณาสถานหลัวปู้พัว และการฝึกซ้อมนั้นก็เปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นคนจริงจังกันมาก
แต่หลี่ว์ซู่นั้นกลับดูไม่กังวลอะไรเลย ทำให้ดูเหมือนคนใช้เส้นเข้ามาจริงๆ นั่นแหละ
“รอดูเดี๋ยวก็เห็นเอง ถ้าเป็นพวกไข่ในหิน ลงสนามจริงเดี๋ยวก็เห็นว่าฝีมือต่างกันแค่ไหน” อีกคนหนึ่งออกความเห็นขึ้นมา นี่มันก็เหมือนตอนที่เกาเสินอิ่นเคยไม่ชอบหน้าเฉินจู่อานเพราะคนที่เคยลำบากมาแล้วมักจะชอบดูถูกคนที่อ่อนแอ
และยิ่งไปกว่านั้นแล้ว พวกเจ็ดคนนี่ก็สู้กันสุดตัวกันมากทีเดียว ซึ่งก็บอกได้จากการบาดเจ็บของพวกเขาที่ได้มาจากการฝึกฝนต่อสู้นี่แหละ
ตอนนี้หัวหน้าทหารก็เพิ่งมาถึง พอหลี่ว์ซู่โบกมือทักทายเขา หัวหน้าทหารก็ตกใจตัวสั่นเล็กน้อย เขาดึงหลี่ว์ซู่ออกมาให้พ้นจากสายตาทุกคนทันที “ฮ่าๆๆ ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะร้อยเอกหลี่ว์ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ “ผมสบายดี แล้วทำไมคุณถึงมานี่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่าคุณประจำอยู่เมืองหลวงเหรอ เมื่อก่อนน่ะ…”
“ฮ่าๆๆ อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิร้อยเอกหลี่ว์” หัวหน้าทหารตอบกลับอย่างลำบากใจ “ผมถูกให้มาประจำที่นี่ เป็นหัวหน้าทหารในค่าย เสี่ยวอวี๋น้องสาวคุณทำได้ดีมากเลยนะ”
หลี่ว์ซู่เพิ่งเข้าใจว่าที่ตัวเองถูกดึงมานี่ก็เพราะว่าผู้ชายคนนี้ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องอดีตอันแสนข่มขื่นของตัวเองที่เคยโดนหลี่ว์ซู่อัดมาก่อน เขาเป็นถึงหัวหน้าทหาร คงจะต้องรักษาหน้าไว้หน่อยล่ะมั้ง
“แน่นอนสิ แน่นอน!” หลี่ว์ซู่หัวเราะ เขาก็อยากจะแสดงความเคารพออกไปบ้าง พวกนักเรียนเจ็ดคนที่ห่างไปไม่เท่าไหร่ไม่ได้ยินที่ทั้งสองคนพูดกัน แต่พวกเขารู้ว่ามีอะไรแปลกๆ อยู่ “นี่พวกแกเคยเห็นหัวหน้าทหารพูดคุยอารมณ์ดีกับใครแบบนั้นบ้างไหม”
“ไม่ล่ะ…”
“สงสัยหมอนี่คงมีอิทธิพลจริงๆ ขนาดหัวหน้าทหารยังใจดีกับมันมากเลย!” อีกคนหนึ่งพูดออกมา
“สงสัยเราเข้าใจถูกกันแล้วล่ะ เจ้านี่เป็นเด็กเส้นจริงๆ แต่น่าเสียดายนะ เวลานี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงจะมีอำนาจมากเท่าไหร่ เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะไม่เหลืออำนาจอะไรในมือแล้วล่ะ” อีกคนหนึ่งเยาะเย้ยออกมา
พอหลี่ว์ซู่กลับไปรวมตัวกับทีมอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าทั้งเจ็ดคนนั้นไม่อยากจะคุยกับหลี่ว์ซู่เลย
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขามานี่เพื่อมาสำรวจโบราณสถาน ไม่ได้มาหาเพื่อนคุย
จากนั้นหัวหน้าทหารก็เดินเข้ามาสั่งการตรงหน้าพวกเขา “ฉันจะไม่ย้ำเรื่องอันตรายที่โบราณสถานหลัวปู้พัวแล้วนะ หวังว่าพวกนายจะทำตามกฎตลอดทางด้วย การเดินทางนี้ไม่ได้สั้นเลย อย่าทำตัวเป็นแกะดำในทีม การกระทำของพวกนายในการไปสำรวจครั้งนี้จะถูกบันทึกลงในไฟล์ทีหลัง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก”
ทั้งเจ็ดคนตอบกลับอย่างจริงจัง “ครับท่าน!”
ครั้งนี้เป็นเหมือนโอกาสสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถให้ได้แสดงความสามารถทั้งหมดของพวกเขา ทุกคนนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาหลังจากการฝึกฝนมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีประสบการณ์ภาคสนามและไปต่อสู้แบบจริงๆ เลย พวกเขาก็เลยตื่นเต้นกันมากที่จะไปออกผจญภัยอย่างกับได้ของเล่นใหม่
การนั่งรถทหารไปนั้นไม่สะดวกสบายเลย ที่จริงแล้วมันมั่นคงน้อยว่ารถไฟสีเขียว [1] อีก แต่ถ้ามองในแง่ดีแล้วรถทหารก็มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับแปดคนได้
ในครั้งนี้ เครือข่ายฟ้าดินไม่เพียงแต่เช่ารถทหารมาเป็นกองทัพเพื่อขนส่งนักเรียนกว่าหมื่นคนไปที่หลัวปู้พัวเท่านั้น แต่พวกเขายังเช่ารถไฟกว่าหลายขบวนไปที่ชายแดนทางตอนเหนือของประเทศอีกด้วย โชคดีที่การคมนาคมในจีนนั้นพัฒนาไปมากในปัจจุบัน การเดินทางของคนจีนในช่วงตรุษจีนนั้นมีจำนวนถึง สองล้านเก้าแสนคนในทุกๆ ปี เหมือนกับเป็นการอพยพผู้คนแห่งชาติในทั้งประเทศจีนได้เลย
เพราะฉะนั้นปัญหาต่างๆ ก็ถูกแก้ไขไปเรียบร้อยแล้วด้วยการปรับปรุงโครงสร้างขั้นพื้นฐานนั่นเอง
นักเรียนทั้งเจ็ดคนกำลังพูดคุยอย่างดุเดือดในเรื่องสิ่งที่ต้องระวังในโบราณสถาน
ไม่นานพวกเขาก็ได้ยินหลี่ว์ซู่กรนอยู่ข้างๆ หลี่ว์ซู่นั้นผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วที่ม้านั่งข้างๆ ที่เก็บของถึงแม้ว่าทางนั้นจะขรุขระก็ตาม
[ได้แต้มอารมณ์จากเจียงเฟิง +66!]
[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่เจียนเหริน +66!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
เจียงเฟิงหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ไม่ได้เตรียมตัวมาแถมยังไม่มีอุปกรณ์ด้วย ไอ้หมอนี่แย่แน่”
หลี่เจียนเหรินไม่สนใจ “ถ้ามันอยากมาตายที่นี่ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
แต่ความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่นั้นไปโบราณสถานมาแล้วสามที่ และเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในนั้นดีว่าไม่มีทางรู้ได้จากข้างนอกหรอก อย่างเช่นมีโครงกระดูกโผล่ขึ้นมาจากพื้นในโบราณสถานเป่ยหมัง มีต้นไม้วิเศษที่โบราณสถานทะเลสาบเกลือ และยังมีการ์กอยล์ในโบราณสถานเกาะช้างอีก ใครมันจะไปรู้ก่อนหน้าได้
งั้นสิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือการพักผ่อนเอาแรงให้เพียงพอ ไม่ใช่คาดเดาสุ่มกันไปต่างๆ นานา
อย่างไรแล้วทีมของเจียงเฟิงก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่เลย สำหรับนักเรียนห้องเต้าหยวนแล้ว พวกหัวกะทิคือพวกที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ในความเห็นของสือเสวจิ้นแล้ว หลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นเยอะ
แต่ก็ต้องรอดูกันไปแหละว่าพวกหัวกะทิจะไล่ตามเขาได้ทันในที่สุดไหม
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ไม่ได้หลับไปตลอดทางหรอก แต่ว่าเขากลับหลับตาลงเพื่อเอาแรงขณะที่เขายังตื่นอยู่ ทั้งกระบี่บิน ซือโก่วและฝูฉื่อของเขานั้นไม่ได้เสียเวลาเลย มันกำลังขุดภูเขาพลังอยู่ตลอดเวลา เหมือนตอนที่มันทำให้ภูเขาถล่มลงมาได้
หลี่ว์ซู่ไม่ได้หยุดฝึกดาบเลยในทุกๆ วันหลังจากกลับมาจากกลุ่มทวยเทพ และจากที่ทำตามไห่กงจื่อบอก หิมะที่ภูเขาก็เพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อนในเวลาแค่สองเดือนเท่านั้น
ภูเขานั้นสูงขึ้นมากว่าเดิมหลังจากที่ถูกขุดด้วย วิญญาณดาบอาจจะโผล่ออกมาอีกก็ถ้าภูเขาหิมะเกิดขึ้นมาอีก
หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเมื่อภูเขานั้นถล่มลงมา แต่เขาก็ดีใจและประหลาดใจเมื่อมีวิญญาณดาบเกิดออกมา การขุดภูเขาพลังชี่ของหลี่เสียนอีนั้นง่ายกว่า และมีกลไกมากกว่า เพราะเขาตั้งใจที่จะผลิตดาบส่องแสงที่เริ่มต้นออกมาเพื่อการต่อสู้ขณะที่ขุดไปด้วย
แต่หลี่ว์ซู่กลับได้วิญญาณดาบมาขณะที่ต้องทนเจ็บไม่นานเท่านั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าวิธีนี้มันได้ผล และเขาก็ได้บอกผู่เสียนอีเรื่องนี้ไปแล้ว
ปู่เสียนอีตกตะลึงมากตอนเขารู้ว่ามีวิญญาณดาบเกิดขึ้นมาหลังจากที่ภูเขาพลังชี่ของหลี่ว์ซู่ถล่ม เขาไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย!
เมื่อก่อนนั้นเขาแนะนำไปด้วยความไม่แน่ใจด้วยซ้ำ แต่หลี่ว์ซู่ทำสำเร็จได้อย่างไรเนี่ย!
ทำไมเจ้านี้โชคดีแบบนี้ ทะเลพลังของหลี่ว์ซู่นั้นควรที่จะถูกทำให้หยุดได้โดยภูเขาหิมะ แต่กลับกลายเป็นว่าภูเขาหิมะนี่เป็นสิ่งที่ดีงามเสียอย่างนั้น…
——
[1] เป็นรถไฟประเภทที่ช้าและถูก ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงปี ค.ศ. 1990
ตอนที่ 588 หลี่ว์ซู่ผู้ค้นพบ 666
มีบรรพบุรุษในหอเกียรติกระบี่ที่ภูเขาพลังของเขาเองก็ถล่มลงมาเหมือนกัน แต่มันถูกคนอื่นทำลายจนโค่นล้มน่ะสิ ไม่มีคนไหนเลยที่ให้กำเนิดจิตวิญญาณแห่งกระบี่ขึ้นมาได้
ดูๆ แล้วจิตวิญญาณกระบี่จะสลายไปเมื่อภูเขาพลังถล่มลงมา แต่หลี่ว์ซู่แตกต่างออกไป เขากลับให้กำเนิดจิตวิญญาณกระบี่เสียอย่างนั้น
หลี่เสียนอีก็ตระหนักได้ว่าหลี่ว์ซู่อาจจะเป็นคนแรกที่ทำแบบนี้ได้ในหอเกียรติกระบี่เลยด้วยซ้ำ
การที่จะเปิดทะเลแห่งพลังได้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาร่างกาย มีทฤษฎีความคิดหลายข้อที่ตั้งข้อสังเกตว่ามนุษย์นั้นมีความสามารถไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญตนก็เพื่อฝืนกฎธรรมชาติในแง่ของการฝึกฝน
หลี่ว์ซู่ค้นพบวิธีการให้กำเนิดจิตวิญญาณกระบี่ เขาได้พบทางเดินใหม่และนั่นก็เป็นการเปิดโลกให้กับความสามารถของเขาได้ ซึ่งชื่อของเขาจะถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ของหอเกียรติกระบี่แน่ๆ
แต่ปัญหาก็คือเขาไม่ได้เป็นหนึ่งในหอเกียรติกระบี่น่ะสิ! แล้วคนนอกจะถูกบันทึกชื่อเข้าไปได้อย่างไร
แต่เรื่องให้กำเนิดวิญญาณกระบี่นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญมาก ขนาดหลี่เสียนอียังต้องลองไปขุดภูเขาพลังเองเลยหลังจากได้ยินเรื่องนี้ แต่พอหลี่เสียนอีถามหลี่ว์ซู่ว่าจิตวิญญาณกระบี่ทำอะไรได้บ้าง หลี่ว์ซู่กลับไม่อยากตอบ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
หลี่เสียนอีสงสัยว่าวิญญาณกระบี่ที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร
หลี่เสียนอีได้ฟื้นฟูสภาพร่างกายเขามาได้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้เขายังไม่รีบร้อนที่จะหาผู้สืบทอดต่อ ถ้าไม่มีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นล่ะก็ เขาอยู่ได้ไปถึงอีกสองร้อยปีเป็นอย่างน้อยแน่นอน เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้แล้วก็คงไม่ต้องเร่งหาผู้สืบทอดเท่าไหร่นัก
แล้วอยู่ๆ หลี่เสียนอีก็มีความคิดดีๆ ขึ้นมา เขาอยากจะไปถามหลี่ว์ซู่ว่าอยากมาร่วมกับหอเกียรติกระบี่ไหมและให้เขาเป็นอาจารย์ด้วย ที่สุดแล้วการค้นพบของหลี่เสียนอีนั้นก็ค่อนข้างสำคัญสำหรับหอเกียรติกระบี่มาก
แต่เขาก็ยังไม่ได้ไปถามหลี่ว์ซู่ เขารู้ว่าหลี่ว์ซู่จะต้องตอบตกลงแน่ เพราะหลี่ว์ซู่ได้ลดกำแพงลงมาให้เขาแล้ว
ถ้าหลี่เสียนอีจะโทรไปถามทางโทรศัพท์แล้ว เขาก็คงเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องที่สุดในหอเกียรติกระบี่เลยล่ะ
เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นกำลังเดาสุ่มความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เสียนอีกับหลี่ว์ซู่ว่าเป็นอาจารย์กับศิษย์กันหรือเปล่า และแน่นอนคำตอบก็คือไม่ใช่ ก่อนหน้านี้หลี่เสียนอีลังเลที่จะเขียนบันทึกลงในหอเกียรติกระบี่ว่า ‘ปี 2011 ความสามารถของหลี่ว์ซู่นั้นแซงหน้าท่านบรรพบุรุษ เขารวบรวมอากาศเพื่อก่อตัวเป็นก้อนเมฆ รวบรวมก้อนเมฆเพื่อก่อตัวเป็นสายฝน รวบรวมสายฝนให้กลายเป็นแม่น้ำ และเอาแม่น้ำรวมกันเพื่อก่อตัวเป็นทะเล ในที่สุดก็สร้างภูเขาพลังชี่ขึ้นมา ก่อนที่เขาจะเปิดทะเลพลังชี่ออก เมื่อมีความกดดันในภูเขาพลังชี่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ภูเขาได้ถล่มลงมา และทำให้เขาให้กำเนิดวิญญาณแห่งกระบี่ในที่สุด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะถือว่านี่เป็นวิธีใหม่ในการฝึกกระบี่’
หลังจากเขียนไปหนึ่งย่อหน้าแล้วหลี่เสียนอีก็คิดไปถึงในอนาคตว่าพวกทายาทของหอเกียรติกระบี่จะเขียนต่อกันอย่างไร
‘ผู้ค้นพบหลี่ว์ซู่นั้นสุดเจ๋ง!’
‘รุ่นพี่หลี่ว์ซู่ 666 [1] !’
พอคิดอะไรออกไปแบบนั้นแล้วเขาก็รู้สึกว่าพวกบรรพบุรุษนั้นได้ทำอะไรเล่นๆ กับหนังสือบันทึกไป และนี่ก็อาจจะเป็นการบันทึกล่าสุดของภูมิหลังและความคิดเห็นบนหนังสือบันทึกในกระดาษเลย!
ในขณะที่หลี่เสียนอีกำลังเริ่มจะขุดภูเขาพลังเพื่อให้กำเนิดวิญญาณกระบี่ของตัวเอง เขาก็คาดไม่ถึงแน่ๆ ว่าหลี่ว์ซู่นั้นจะเริ่มขุดภูเขาพลังตอนที่เขาเพิ่งจะกำลังลองถล่มภูเขาพลังชี่ลูกที่สองแล้ว
การขุดภูเขานั้นไม่สามารถทำให้เสร็จภายในวันเดียวได้หรอก หลี่ว์ซู่ใช้เวลานานกว่าที่จะสร้างภูเขาขึ้นมาและถล่มภูเขาลงมาอีก
หลี่ว์ซู่ที่กำลังจะอายุสิบแปดปีแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้กลายเป็นคนใจเย็นขึ้น เขาไม่รีบร้อนหรือว่าอืดอาด และก็ไม่ได้หยิ่งผยองหรือใจร้อนเหมือนกัน
ในขณะนี้รถทหารวิ่งไม่ได้หยุดหย่อนแม้จะเป็นในเวลากลางคืน มีทหารสองคนต้องเปลี่ยนกะกันขับ ในการเดินทางไปที่โบราณสถานหลัวปู้พัวครั้งนี้ ทหารธรรมดาๆ นั้นให้การสนับสนุนพวกผู้บำเพ็ญด้วย
เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็นมาถึง รถทหารก็จะหยุดที่จุดพักรถตามทางด่วน ถึงแม้ว่าจะมีคนขับเปลี่ยนกันขับสองคนก็ตาม พวกเขายังจะต้องมีการพักระหว่างนั้นด้วย ซึ่งพวกเขาก็ทำตามอย่างเคร่งครัด และการเดินทางในครั้งนี้นั้นไกลมากกว่าสองร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว
นักเรียนเจ็ดคนจากห้องเต้าหยวนนั้นนั่งกินข้าวด้วยกัน ส่วนหลี่ว์ซู่ที่เพิ่งตื่นนอนนั้นก็ไปนั่งกินข้าวกับทหารสองคนที่ขับรถให้
แล้วหลี่ว์ซู่ก็สงสัยขึ้นมา “มีทหารธรรมดากี่คนที่เข้ามาทำงานให้ในครั้งนี้กันเหรอครับ”
“ประมาณหมื่นนายได้ จริงๆ แล้วเราไม่ต้องทำอะไรมากหรอก เราแค่มาช่วยขนของ ขนส่งคน และมาเป็นกำลังคนให้เท่านั้น” ทหารคนหนึ่งตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้พวกเด็กนักเรียนจากห้องเต้าหยวนน่ะแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียอีก เมื่อก่อนน่ะเรายังต้องกางเต็นท์ให้ เดี๋ยวนี้พวกนายมีค่ายกันเป็นของตัวเองแล้ว แต่เรายังช่วยทำอาหารให้อยู่นะ”
หลี่ว์ซู่ผงกหัวรับรู้ นี่ก็เป็นผลลัพธ์ของการฝึกทหารทั้งนั้น พวกเขาไม่จำเป็นจะต้องเอากลยุทธ์ทางทหารมาใช้หรอก เพราะที่สุดแล้วต้องใช้การหลั่งเลือดและความยากลำบากในการฝึกฝนนักเรียนของห้องเต้าหยวน แต่อย่างน้อยๆ เด็กทารกตัวอ้วนพกวนี้ก็หย่านมแล้ว ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดี
หลี่ว์ซู่เลยอธิบายเพิ่มเติม “ถ้าตอนที่โบราณสถานเปิดออกมาแล้ว จำไว้นะครับว่าให้ไปหลบอยู่ที่ไกลๆ ถ้าเผลอเข้าไปแล้วจะรอดออกมายาก”
เขาไม่ได้จะมาดูกความสามารถของทหารธรรมดาอะไรหรอก แต่ว่านี่เป็นเรื่องจริง ถึงแม้พวกคนธรรมดาจะมีเครื่องมือป้องกันตัวเองอย่างครบครันก็ยังยากที่จะเอาชีวิตรอดอยู่ดี
หลี่ว์ซู่เห็นว่านักเรียนห้องเต้าหยวนเจ็ดคนนั้นเอาดาบยาวปกติกันมาด้วย แล้วนักเรียนคนอื่นๆ ในวิทยาลัยก็ดูเหมือนจะใช้ดาบแบบเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปการเตรียมตัวของเครือข่ายฟ้าดินก็ยิ่งจะสมบูรณ์มากขึ้น
ทหารสองคนมองหน้ากันขณะที่กำลังกลืนอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก หัวหน้าของเราเองยังบอกพวกเราให้ระวังเหมือนกัน ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็จะมีคนเตือนเราไว้ ถ้าเราติดอยู่ในนั้นจริงๆ เราก็ยังมีพวกนายปกป้องเราอยู่นี่ ใช่ไหมล่ะ”
ทหารสองคนนั้นไม่ได้คาดคิดว่าจะมีนักเรียนที่เป็นห่วงพวกเขาด้วย และนี่ก็ทำให้พวกเขาอุ่นใจข้างใน พวกเขาลำบากทำงานขนส่งนักเรียนไปโบราณสถานกันทั้งวันทั้งคืน ถ้าพวกนักเรียนคิดว่านี่มันเป็นเพียงหน้าที่ของพวกเขาและปฏิบัติกับพวกเขาอย่างเย็นชาแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะรู้สึกแย่ไม่น้อย ถึงพวกเขาจะต้องทำตามคำสั่งก็เถอะ
นักเรียนห้องเต้าหยวนเจ็ดคนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะตอบ “ถ้าพวกคุณติดอยู่ข้างใน เราจะปกป้องพวกคุณแน่ๆ ล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย เราเป็นเหมือนครอบครัวกันนะ”
แต่นักเรียนที่ชื่อว่าเจียงเฟิงกลับสวนขึ้นมา “แต่ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนที่นั่งข้างๆ พวกคุณน่ะ จะปกป้องพวกคุณได้หรือเปล่า”
ทหารสองคนนั้นเริ่มรู้สึกอึดอัด พวกเขารู้ว่าพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนไม่ได้จะรู้จักกันหมดทุกคน แต่พวกเขาบอกได้ว่าหลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นไม่ได้อ่อนแอเลย จริงๆ แล้วตรงกันข้ามเลยต่างหาก และพวกเขาก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นมีท่าทางสบายๆ กว่าพวกนักเรียนห้องเต้าหยวนเสียอีก
ความรู้สึกนี้เหมือนพวกเขาได้เห็นทหารผ่านศึกที่ช่ำชองแล้วตรงชายดนอย่างไรอย่างนั้น
ปีที่ผ่านมานั้นประเทศจีนสงบสุขมาก แต่ทางแถบชายแดนไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย พวกเขาได้ยินมาจากทหารผ่านศึกว่ามีทหารสองคนถูกฆ่าตายจากพลแม่นปืนในขณะที่กำลังเฝ้ายามกันที่ชายแดนอยู่
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่แล้วถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ในยุคแห่งพลังพิเศษก็ตาม ในโลกนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่ทุกคนคิดหรอก
หลี่ว์ซู่เหลือบมองกลับไปที่เจียงเฟิงและนักเรียนคนอื่นๆ ยิ้มๆ “พวกนายน่ะเป็นยอดฝีมือกันทั้งนั้น ฉันหวังว่าพวกนายจะได้รับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กลับมาในโบราณสถานนี้นะ ถ้าเราเดินเจอกันในนั้นก็อย่าลืมปกป้องฉันด้วยล่ะ”
เจียงเฟิงพูดกลับอย่างเย็นชา “ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองหน่อยล่ะ แทนที่จะรอให้คนอื่นมาปกป้องน่ะ”
——
[1] เป็นศัพท์แสลงในโลกอินเตอร์เน็ตของประเทศจีน มีความหมายว่า เก่งกาจมีความสามารถ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น