ยอดสตรีฉางอิ๋ง 58.1-61.1

 ตอนที่ 58 ส่งอำลา (1)

โดย

Xiaobei

 


               ตระกูลเว่ยให้การต้อนรับพวกของเติ้งจงฉีอย่างดียิ่ง เมื่อได้ยินว่าตวนมู่อู๋ยิวอยู่เป็นเพื่อนพวกของจงเจี๋ยที่โรงเตี๊ยม ยังได้มีน้ำใจนำสุราอาหารไปส่งให้


               เพื่อแสดงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับหลานสาวเพียงใด เว่ยฮ่วนก็ได้มาร่วมงานด้วย ทั้งเขาและแม่เฒ่าซ่งกล่าวขอบคุณเติ้งจงฉีอีกครั้งอย่างเป็นทางการ ทั้งยังมอบของกำนัลขอบคุณให้เขาอย่างเต็มที่ ซึ่งแน่นอนว่าเติ้งจงฉีต้องรีบลุกขึ้นมาคำนับตอบแทบไม่ทัน และปฏิเสธไม่รับของกำนัลขอบคุณตอบแทน ฝ่ายหนึ่งรู้คุณตอบแทน ฝ่ายหนึ่งทำคุณไม่หวังผล บอกปัดไปมากันอยู่พักใหญ่ จึงได้ซ่งไจ้เถียนที่มาร่วมงานด้วยออกหน้าช่วยรอมชอมให้เติ้งจงฉีรับของกำนัลไปครึ่งหนึ่ง


               เมื่อเติ้งจงฉีรับคำรับของกำนัลแล้ว คนตระกูลเว่ยทั้งหมดจึงได้โล่งอก… ว่าที่สุดก็ได้ตอบแทนบุญคุณครานี้เสียที แม้จะบอกว่ายามนี้ตระกูลเว่ย และตระกูลซ่งได้นัดหมายกับเติ้งจิงฉีเอาไว้แล้วอย่างลับๆ ว่าจะร่วมมือกัน ทว่านั่นก็เป็นเรื่องในทางลับ แต่ฉากหน้านั้น เว่ยฉางอิ๋งบุตรสาวสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของตระกุลเว่ยติดเป็นหนี้บุญคุณเติ้งจงฉีใหญ่หลวงจริงๆ หากไม่ตอบแทนจนครบถ้วน เว่ยฉางอิ๋งก็จะต้องถูกคนตราหน้าว่าแล้งน้ำใจ อีกประการหนึ่งเรื่องของหนี้บุญคุณนั้นยิ่งยื้อนานไปก็จะยิ่งวุ่นวาย


               เมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เว่ยฮ่วนก็หาข้ออ้างข้อหนึ่งว่าดื่มมากเกินไปและขอตัวไปก่อน เขาเป็นผู้อาวุโสกว่า ทั้งมีฐานะสูงส่ง หากมิใช่แม่เฒ่าซ่งเอ่ยปาก งานเลี้ยงต้อนรับผู้อาวุโสน้อยกว่าเช่นนี้ เขาจะไม่ออกหน้ามาเอง ต่อให้เติ้งจงฉีช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้ แล้วเว่ยเจิ้งหงไม่สะดวกมาดื่มในงาน เว่ยฉางเฟิงก็ยังเยาว์ แต่มีเว่ยเซิ่งเหนียนออกมาต้อนรับก็เพียงพอแล้ว ครานี้เขาออกมาในฐานะปู่เพื่อขอบคุณเด็กหนุ่มที่ช่วยชีวิตหลานสาว ก็ถือว่าให้เกียรติแก่เติ้งจงฉีอย่างเพียงพอแล้วทั้งยังให้เกียรติกับเว่ยฉางอิ๋งอย่างเพียงพอแล้วเช่นกัน เป็นธรรมดาว่าย่อมคร้านจะอยู่ต้อนรับต่อไป


               เมื่อเขาไป แม่เฒ่าซ่งที่รับผิดชอบหน้าที่ของผู้อาวุโสอย่างเต็มกำลังก็ได้อาศัยข้ออ้างว่าไม่ต้องการจะรบกวนความสำราญของคนหนุ่ม จึงขอตัวและออกจากงานเลี้ยงไป


               ผู้อาวุโสทั้งสองออกจากงานไปในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ แต่บรรยากาศในงานนอกจากจะไม่เงียบเหงาแล้ว กลับกัน กลับผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก


               เว่ยฉางเฟิงตบมือสั่งให้คนนำนางรำเข้ามาแสดงการร่ายรำ ตามธรรมเนียมปฏิบัติภายในของตระกูลเว่ย นางรำที่เลี้ยงดูไว้ในบ้านเหล่านี้มีหน้าตางดงาม ท่าทางอ้อยช้อย ทั้งร้องทั้งเต้น งดงามยิ่ง ทำให้บรรยากาศในโถงครึกครื้นขึ้นมาในทันใด


               อาศัยยามที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับเพลงและระบำ เว่ยฉางเฟิงจึงได้เอ่ยปากรั้งตัวเติ้งจงฉีให้พักอยู่ที่เฟิ่งโจวอีกสักระยะ เพื่อจะให้ตระกูลเว่ยได้แสดงน้ำใจในฐานะเจ้าบ้าน ซึ่งเติ้งจงฉีย่อมไม่ยอมอยู่เป็นธรรมดา กู้อี้หรานและหลิวซีสวินต่างก็มาช่วยพูดแทนพวกพ้อง กล่าวว่าพวกตนหวังจะกลับเข้าเมืองหลวงเพื่อรายงานผลการทำงานให้เร็วสักหน่อย ไม่กล้าเสียเวลามากเกินไป… คำพูดเชื้อเชิญพวกเขาให้อยู่ต่อเป็นเว่ยฉางเฟิงเอ่ย แต่หาใช่เพราะเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งถือตัวว่ามีฐานะสูงกว่า หรือไม่มีความจริงใจที่จะให้แขกอยู่ต่อ แต่กลับเป็นเพราะด้วยฐานะของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่ง เมื่อเชื้อเชิญคนรุ่นหลังสองสามคนนี้ให้อยู่ต่อ หากว่าพวกของเติ้งจงฉีไม่รับคำก็ถือเป็นการไม่เห็นแก่หน้าผู้อาวุโส หากรับคำ ก็จักทำให้พวกเขารู้สึกลำบากใจในการกลับไปรายงานผลการทำงาน


               แต่หากให้เว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นคนในรุ่นเดียวกันเป็นคนเอ่ยปาก พวกของเติ้งจงฉีก็จะผ่อนคลายและสะดวกใจมากขึ้น


               เติ้งจงฉีมีกู้อี้หรานและหลิวซีสวินคอยช่วยพูด แต่แน่นอนว่าในงานเลี้ยงของรุ่ยอวี่ถัง เว่ยฉางเฟิงไม่ได้มีผู้ใดคอยช่วยอยู่ เว่ยเกาชวนไม่เอาถ่าน เพียงไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านปู่ ก็พูดจาไม่ได้ฉะฉาน ทว่าพวกกู้อี้หรานจำเป็นต้องเร่งรีบเดินทางเป็นอย่างยิ่ง กอปรกับตวนมู่อู่ยิวก็มิได้มาด้วย จึงยิ่งมีเหตุผลว่าเมื่องานเลี้ยงเลิกราแล้วก็จะต้องขอตัวลาในทันที แม้แต่จะพักค้างก็ยังไม่คิดจะค้างในบ้านตระกูลเว่ย เว่ยฉางเฟิง เว่ยเกาชวนสองพี่น้องพยายามรั้งตัวอยู่นานแต่ก็ไม่เป็นผล ซ่งไจ้เถียนจึงได้เดินเข้ามาช่วยรอมชอมอีกครา


               ทุกคนสนทนากันไปมา จึงค่อยๆ คุ้นเคย เพราะต่างก็เป็นบุตรหลานในตระกูลมีเกียรติด้วยกันทั้งนั้น สำหรับลำดับความสัมพันธ์ของแต่ละตระกูลในใต้หล้านี้พวกเขาล้วนท่องจำมาแต่เล็ก เมื่อนับญาติกันไปเก้าเลี้ยวสิบแปดโค้ง ย้อนกลับขึ้นไปหลายร้อยปี ไม่นานนักก็สามารถหาความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงซึ่งกันและกันออกมาจนได้ แรกเริ่มเรียกขานกับว่าพี่ชายน้องชาย ดูช่างห่างเหินนัก จึงได้พักเรื่องที่จะเชื้อเชิญให้อยู่ต่อเอาไว้เสียก่อน เมื่อซ่งไจ้เถียนเห็นว่าบรรยากาศได้ที่แล้ว จึงได้ดึงเรื่องนี้กลับมาใหม่ กล่าวว่า “ทุกท่านมิต้องการรบกวนเวลาปฏิบัติภารกิจตามราชโองการ ทว่าเพลานี้ยังห่างจากวันคล้ายวันเกิดของสนมจงอีกเดือนกว่า จากเฟิ่งโจวไปถึงเมืองหลวง มีเวลาถมเถ แม้จะไม่พักอยู่นาน จะพักอยู่สั้นๆ สักวันสองวัน ก็หาได้มีปัญหาใดไม่”


               เติ้งจงฉีและกู้อี้หรานย่อมต้องปฏิเสธไปอีกหน


               ซ่งไจ้เถียนจึงว่า “ไม่ปิดบังทุกท่าน ข้าและน้องสาวก็วางแผนจะกลับเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน หากทุกท่านไม่รังเกียจ ข้าก็อยากจะร่วมเดินทางไปกับทุกท่านด้วย”


               เว่ยฉางเฟิงยิ้มพลางว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ลูกผู้พี่ซ่งและท่านพี่ไจ้สุ่ยวางแผนจะเดินทางในอีกสองวัน คิดว่าท่านพี่ทุกท่านคงจักเคยได้ยินมาบ้างว่าไม่กี่เดือนก่อน ท่านปู่ของข้าและท่านซ่งหานเจ้ากรมธุรการได้ไปปราบปรามพวกโจรที่เขาเฟิ่งฉี แม้จะมีชัยใหญ่หลวง แต่กลับเป็นเพราะเรื่องของเมืองเหลียวจึงต้องเร่งเดินทางกลับมา จึงทำให้พวกโจรชั่วต่างหลบหนีเข้าไปภูเขาจนหาไม่พบ ดังนั้นท่านปู่และท่านย่าจึงเป็นห่วงการเดินทางของลูกผู้พี่ซ่งและพี่ไจ้สุ่ยเป็นอันมาก แต่จนใจที่ท่านพ่อข้าสูงวัยและเจ็บป่วย ท่านอาก็มีภารกิจอยู่กับตัว ส่วนพวกข้าก็ยังเยาว์เกินไป มิอาจรับผิดชอบการเดินทางไปส่งที่แสนสำคัญนี้ได้ หากสามารถร่วมเดินทางไปกับพวกของท่านพี่ ไม่เพียงบรรดาผู้ใหญ่จะวางใจ… เมื่อครู่นี้ข้าคล้ายจักเห็นว่าบ้านสกุลจงที่พวกท่านพี่คอยดูแลไปส่งนั้นยังมีญาติผู้หญิงด้วย? เป็นพวกท่านพี่กลับไม่สะดวก แต่หากมีพี่ไจ้สุ่ยอยู่ ก็จะสามารถช่วยเหลือได้ทั้งหมด ด้วยเหตุผลทั้งสองประการนี้จึงเห็นว่าเหมาะควรแล้ว”


               แล้วกล่าวอีกว่า “แม้เฟิ่งโจวจะไม่ครึกครื้นเช่นเมืองหลวง ทว่าก็ยังมีทิวทัศน์งดงามให้ได้ชม หากพวกท่านพี่มิมีใจจะท่องเที่ยว ในบ้านข้าก็ยังมีหนังสือเลื่องชื่ออยู่จำนวนหนึ่ง…”


               เมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องท่องเที่ยว ก็พลันเห็นกู้อี้หรานมีท่าทีปฏิเสธออกมา ทว่าเมื่อเอ่ยถึงหนังสือเลื่องชื่อ ดวงตาของทั้งกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีต่างแวววาวขึ้นมา แม้แต่หลิวซีสวินก็ยังมีท่าทีตั้งตารอ… ผู้มีความสามารถในการอักษรของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวนั้นมีมากมาย ทั้งมีชื่อสูงส่ง เช่นเว่ยปั๋วอวี้ก็เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนนั้นเท่านั้น ทว่าแม้จะหวังเพียงชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ สำหรับพวกเขาแล้วก็นับว่าเป็นสิ่งยั่วยวนเป็นที่สุดแล้ว


               แม้พวกเขามาเป็นราชองครักษ์อี้ เพราะวันหน้าคิดจะทำงานด้านบู๊ ทว่าสิ่งที่แทรกซึมอยู่ภายในแต่ละตระกูลก็คือ ความชื่นชมและลุ่มหลงที่ลูกหลานของตระกูลสูงศักดิ์มีต่อทุกสิ่งที่งดงามทรงคุณค่า ซึ่งถูกปลูกฝังจนเข้ากระดูกมาเสียตั้งนานแล้ว


               ยิ่งไปกว่านั้นเว่ยฉางเฟิงก็บอกว่าเพียงแค่สองวันนี้… มากที่สุดก็จะไม่เกินสามวัน พวกเขายังมีเวลาว่างอีกครึ่งเดือน เพื่อให้ได้ชมลายมือจริงของ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ไปถึงเมืองหลวงช้าสักสองสามวันแล้วจักเป็นไร?


               แม้กระทั่งกู้อี้หรานที่ให้สัญญากับจงเจี๋ยเอาไว้แล้วว่าหลังจากงานเลี้ยงก็จะรีบกลับโรงเตี๊ยมทันทีและเร่งออกเดินทางให้เร็วที่สุดก็ยังสั่นคลอนแล้ว “ในเมื่อน้องชายเชื้อเชิญอย่างจริงใจเช่นนี้ หากพวกข้ายังปฏิเสธอีก ก็ช่างดูไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน เพียงแต่ว่ามีภาระเรื่องราชโองการ ยิ่งไปกว่านั้นญาติสกุลจงก็เร่งร้อนจะพบสนมเสี่ยวอี๋ จึงไม่อาจล่าช้าได้จริงๆ” เขายังคงไม่วางใจ จึงยืนกรานไปอีกสามคราว่าไม่อาจจะพักอยู่นานเกินไป


               เว่ยฉางเฟิงยิ้มและกล่าวว่า “คราวก่อนท่านพี่กู้มิใช่เคยบอกว่าองค์ฮ่องเต้ทรงต้องการให้พวกเขาได้พบกันในวันคล้ายวันเกิดของสนมจงหรอกหรือ? ต่อให้ไปถึงเมืองหลวงก่อนกำหนด อย่างไรก็ยังพบไม่ได้… อีกประการข้าหรือจะกล้าให้ท่านพี่ขัดราชโองการ?”


ตอนที่ 58 ส่งอำลา (2)

โดย

Xiaobei

 


ราชองครักษ์อี้สี่นายมีกู้อี้หรานเป็นหัวหน้า หากเขารับคำแล้ว เติ้งจงฉีและหลิวซีสวินก็จะต้องตกลงด้วย แต่หลิวซีสวินเกิดความลังเลขึ้นมา แล้วกลับอ้ำๆ อึ้งๆ สอบถามเว่ยฉางเฟิงว่ายามใดจะนำลายมือจริง ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ออกมาให้ทุกคนได้ชม เว่ยฉางเฟิ่งนึกว่าเขาสงสัยในคำสัญญาของตน และกำลังจะอธิบาย หลิวซีสวินก็สัมผัสได้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว จึงรีบกล่าวว่า “เดิมทีมิกล้าจะไปรบกวนท่านอาสิบเก้า ทว่าในเมื่อต้องอยู่เป็นเวลาสั้นๆ สองวัน แต่กลับไม่อาจไปคารวะได้ ดังนั้น…”


               เว่ยฉางเฟิงคิดอยู่สักพักจึงได้เข้าใจว่าท่านอาสิบเก้าที่เขาเอ่ยถึงนั้น ก็คือป้าสะใภ้ ภรรยาของท่านลุงซึ่งเป็นลูกผู้พี่ของท่านพ่อของเขา…ฮูหยินแซ่หลิวของบุตรชายของจิ้งผิงกง ซึ่งเป็นเช่นคำของหลิวซีสวิน ว่าเขามีภาระเรื่องราชโองการอยู่กับตัว หากหยุดพักอยู่ที่เฟิ่งโจวแล้วไม่ไปคารวะฮูหยินหลิวที่จวนจิงผิงกงก็จะเป็นการไม่สมควร แต่ในเมื่อยามนี้ตัดสินใจว่าจะพักค้างสองวันแล้ว แม้ฮูหยินหลิวจะมิได้เป็นญาติสายเดียวกับเขา แต่สายเลือดก็มิได้ห่างไกลจนถึงขั้นที่เขาไม่จำเป็นต้องไปคารวะ


               เพียงแต่กู้อี้หรานยิ่งย้ำอีกว่าเพียงสองสามวัน หลิวซีสวินกลับเป็นกังวลว่าเมื่อตนไปคารวะที่จวนจิงผิงกง เว่ยฉางเฟิงจะนำลายมือ ‘บันทึกเขาไผ่น้อย’ ฉบับจริงออกมาให้ทุกคนชม แล้วตนกลับไม่ได้เห็น จึงได้เอ่ยปากสอบถามให้ละเอียดขึ้นมา


               เมื่อเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เว่ยฉางเฟิงจึงหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว พลางว่า “ท่านพี่หลิวมิต้องเป็นห่วง ในเมื่อท่านพี่ชื่นชอบลายมือจริงของท่านเขาไผ่ แล้วข้าจักหลงลืมท่านพี่ได้อย่างไร?”


               เช่นนั้นทุกคนจึงตัดสินใจได้อย่างฉับไวว่าจะหยุดพักอยู่ที่เฟิ่งโจวสามวัน… วันนี้นับเป็นวันแรก หลังจากเสร็จงานเลี้ยง ทุกคนแยกย้ายกันเป็นสามทาง กู้อี้หรานกลับไปอธิบายกับตวนมู่อู๋ยิวที่โรงเตี๊ยม ในเวลาเดียวกันก็ได้นำเรื่องที่จะหยุดพักที่นี่ไปบอกกล่าวกับพวกของจงเจี๋ย เว่ยฉางเฟิงนั้นส่งคนไปส่งเทียบที่จวนจิงผิงกง เพื่อแจ้งให้ฮูหยินหลิวทราบเรื่องที่หลิวซีสวินจะมาเข้าคารวะ และแน่นอนว่าซ่งไจ้เถียนและซ่งไจ้สุ่ยเร่งเก็บข้าวของ เพื่อให้ทันเวลาออกเดินทาง


               เวลาสามวันผ่านไปเพียงพริบตา


               เมื่อถึงวันที่นัดหมาย หลังจากที่ไปกล่าวลาผู้อาวุโสตระกูลเว่ยทั้งหมดตั้งแต่เช้า เว่ยฉางอิ๋งประคองซ่งไจ้สุ่ยขึ้นรถด้วยตนเองทั้งดวงตาแดงก่ำ หากว่ากันตามจริงแล้ววันเวลาที่พวกนางได้อยู่ด้วยกันก็เพียงไม่กี่เดือนนี้ ทั้งสองคนมีนิสัยที่ต่างกันคนละขั้ว หากจะบอกว่าเพียงได้พบก็เหมือนรู้จักมานานก็ว่าไม่ได้ ระหว่างอยู่ด้วยกันต่างก็มียามที่ทำให้อีกฝ่ายไม่สบอารมณ์ แต่บางทีด้วยเหตุที่ต่างคนต่างไม่มีพี่สาวน้องสาวแท้ๆ เมื่อทั้งสองคนได้คบหากันจึงกลับเป็นเหมือนกับพี่สาวและน้องสาวแท้ๆ


               ยามนี้ซ่งไจ้สุ่ยจะกลับเมืองหลวงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในการเดินทางหนนี้ยังได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีบางสิ่งเกิดขึ้น แม้จะเป็นแผนการที่พวกผู้ใหญ่เป็นคนวางเอาไว้เอง แต่เรื่องราวในโลกล้วนอนิจจัง… เว่ยฉางอิ๋งจึงอดจะเป็นกังวลและอาลัยอาวรณ์ไม่ได้


               กลับกลายเป็นว่าซ่งไจ้สุ่ยเร่งร้อนจะยกเลิกสัญญาแต่งงานกับตำหนักตะวันออก จึงแทบจะรอให้ออกเดินทางเสียเร็วๆ มิได้ จนใบหน้าของนางแสดงความความกระตือรือร้นเสียอย่างยิ่งออกมาให้เห็น เมื่อเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งเป็นทุกข์ ก็อดจะตบหลังมือนางไปเบาๆ ไม่ได้ แล้วกระเซ้าว่า “เจ้าโง่เสียจริง หรือว่ามีเพียงข้าผู้เดียวที่ต้องไปเมืองหลวง? อย่าได้ลืมสิว่าอีกครึ่งปีเจ้าก็ต้องไปด้วยเช่นกัน เมื่อถึงยามนั้นอย่าได้รังเกียจลูกผู้พี่ที่ไม่มีคนต้องการเช่นข้าแล้วไม่ยอมให้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านเป็นดี!”


               “ท่านพี่มีความสามารถเช่นนี้ยังไม่มีคนต้องการ แล้วอย่างข้าก็มิใช่ว่าจะไม่มีทางมีชีวิตรอดหรอกหรือ?” เว่ยฉางอิ๋งตื่นตกใจ แล้วเอ่ยตามมาอย่างทำใจไม่ได้ว่า “เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพี่ไปครานี้ราบรื่นทุกสิ่ง ได้สมดังหวังในเร็ววัน!”


               ดวงตาของซ่งไจ้สุ่ยโค้งขึ้นมาแล้วปรบมืออย่างยินดี พลางยิ้มแล้วว่า “สิ่งนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!” นางขยับสายตาไปมา แล้วพลันก้มหัวมาข้างหูเว่ยฉางอิ๋ง กระซิบเบาๆ ว่า “เจ้าวางใจเถิด! เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะสอบถามนิสัยใจคอของเสิ่นจั้งเฟิงผู้นั้นให้เจ้า! เรื่องที่จะเอาไว้จัดการกับเขาได้ ทั้งเขามีผู้ใดอยู่ในเรือน รักใคร่กับผู้ใด หรือเรื่องไร้ยางอายใด… ให้พวกนางได้รู้ว่ากลเม็ดเคล็ดลับการจัดการเรื่องในเรือนหลังที่ข้าร่ำเรียนมาหลายปีนี้มิได้เรียนเอาไว้เฉยๆ! หากกล้ามาทำลายชีวิตแต่งงานของลูกผู้น้องของข้า ข้าจะไม่จัดการให้พวกนางตายรึ!”


               เว่ยฉางอิ๋งตกใจ แล้วจึงกล่าวพร้อมกลิ่นไอสังหารรุนแรงว่า “ท่านพี่ ท่านวางใจ พวกเราพี่น้อง จักเป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นรังแกเช่นนั้นรึ? หากมีคนเช่นนั้นจริง ก็ไม่ต้องลำบากท่านพี่ ข้าจำได้ดี รอจนข้าไปถึงเมืองหลวงแล้วให้บอกข้า ดูข้าลงมือเอง ข้าจักหักขาพวกนางให้ดู!”


               “วางใจ วางใจ!” ซ่งไจ้สุ่ยกำหมัดสะบัดไปมา นานครั้งจะได้แสดงท่าทีห้าวหาญเช่นเว่ยฉางอิ๋ง มิใช่กริยาสำรวมอย่างเคยมี พลางกล่าวอย่างลิงโลดว่า “พวกเราเจอกันที่เมืองหลวง!”


               เมื่อได้ยินนางว่าเช่นนี้ ความรู้สึกพรากจากที่เว่ยฉางอิ่งมีจึงได้หายวับไปสิ้น แล้วพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เจอกันที่เมืองหลวง!” นางออกแรงกุมมือลูกผู้พี่ วินาทีที่ถอยออกมาจากรถ นางก็หันหน้ากลับไปแล้วจ้องลึกลงในดวงตาที่เปี่ยมล้นด้วยความหวังของซ่งไจ้สุ่ยคราหนึ่ง จากนั้นจึงได้ปล่อยม่านปิดรถลงอย่างอาลัยอาวรณ์


               ในยามนี้ สำหรับเมืองหลวงที่แสนไกลและไม่คุ้นเคย เว่ยฉางอิ๋งพลันมิได้รู้สึกหวาดกลัวและกังวลเช่นเคยเป็นแล้ว ท่านอารองที่อยู่ที่นั้น ตนมิคุ้นเคย อาหญิงก็มิได้คุ้นเคย แต่อย่างน้อยก็มีลูกผู้พี่ที่สนิทสนมกัน…


               …ถึงตรงนี้ นับเป็นการลาจากด้วยดี


               น่าเสียดายที่กลับมีคนมาทำลายบรรยากาศเสีย ฮูหยินซ่งที่เร่งรีบจัดการเรื่องต่างๆ รอบตัว แล้วตั้งใจมาส่งหลานสาวออกจากจวน มองดูบุตรสาวกระโดดลงจากรถม้าด้วยความสงสัย กล่าวว่า “ยามนี้เจ้าลงมาทำสิ่งใด? มิใช่เจ้าบอกว่าจะไปส่งไจ้สุ่ยด้วยตนเองจนถึงศาลายาวนอกเมืองรึ?” นี่เป็นเรื่องที่เว่ยฉางอิ๋งอ้อนวอนขอแม่เฒ่าซ่งอยู่ครึ่งค่อนชั่วยามจนฮูหยินผู้เฒ่ายอมรับปาก… อย่างไรเสีย คราก่อนนางทั้งได้รับบาดเจ็บบนเขาไผ่น้อย ทั้งยังเกือบจะบาดเจ็บจากเขี้ยวงู เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจว่าก่อนออกเรือนจะไม่ให้นางออกไปนอกจวน เพื่อมิให้เกิดเรื่องยุ่งยากใดขึ้นมาอีก


               “…” เว่ยฉางอิ๋งเพิ่งลงมาจากรถ เท้ายืนโซเซข้างหนึ่ง หลังจากนิ่งเหม่ออยู่เกือบเค่อ จึงได้ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาท่ามกลางสาวใช้รอบตัวที่พากันปิดปากแอบหัวเราะ “ต้องโทษท่านพี่เชียว! กำลังเจรจากันอยู่ดีๆ ท่านพี่ก็เอ่ยลาขึ้นมาเสียอย่างนั้น มาเอ่ยว่า ‘เจอกันที่เมืองหลวง’ เอายามนี้ ข้าก็นึกว่าข้าควรต้องลงจากรถแล้ว!”


               ซ่งไจ้สุ่ยนั่งพิงเบาะนุ่มอยู่บนรถก็หัวเราะออกมาอย่างลืมตัว พลางปาดน้ำตาฝืนเอ่ยปากว่า “เจ้า…เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้หรือ? ข้าเห็นว่าครานี้เจ้าตาแดงก่ำ จึงสงสารเจ้า เพิ่งจะเอ่ยเตือนไปหนึ่งประโยค เจ้าก็ว่า ‘เช่นนั้นข้าขอให้ท่านพี่ไปครานี้ราบรื่นทุกสิ่ง ได้สมดังหวังในเร็ววัน’! มิใช่ข้าเพียงเอ่ยตามคำเจ้าไปหรอกรึ?”


               ยามนี้ฮูหยินซ่งจึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ ทั้งมิรู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แล้วชี้นิ้วไปแตะที่หน้าผากของบุตรสาว พลางกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าน่ะ! ตนเองเลอะเลือน ยังคิดเคืองลูกผู้พี่ของเจ้า! ทำเรื่องน่าขันเช่นนี้ ก็นับว่าสมน้ำหน้าเจ้าแล้ว!” ทั้งยังหัวเราะแล้วว่า “รีบขึ้นไปเสีย เกรงว่าไจ้เถียนและฉางเฟิงที่อยู่ข้างหน้าจะเตรียมตัวเสร็จแล้ว พวกเจ้าให้พี่ชายน้องชายของตนรอสักหน่อยนั้นมิเป็นไร แต่วันนี้ยังต้องร่วมเดินทางไปกับพวกของคุณชายเติ้งด้วย! อย่าให้คนนอกต้องรอนานเชียว! รีบขึ้นไปรีบขึ้นไป!”


               เว่ยฉางอิ๋งกุมหน้าผากอยากกลัดกลุ้ม แล้วจึงขึ้นไปบนรถอีกครั้ง พลางกล่าวอย่างขัดเคืองว่า “เจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าซ่งไจ้สุ่ยที่อยู่ข้างๆ ยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดปาก ยังคงหัวเราะไม่หยุด นางส่งเสียงหึหึออกมาพลางว่า “ลูกผู้พี่ที่ใจร้ายเช่นนี้ นับวันยิ่งไม่น่ารักเลย!”


               ซ่งไจ้สุ่ยหัวเราะตาหยีพลางตอบว่า “จริงรึ? แต่ข้ากลับเห็นว่านับวันฉางอิ๋งจะยิ่งน่ารัก ปีหน้ายามเจ้าหนุ่มบ้านเสิ่นคนนั้นมาสนิทสนมกับเจ้า จะต้องทำให้เขาลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเป็นแน่ เจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือใดๆ เขาก็จักต้องเชื่อฟังเจ้าทุกประการแล้ว!”


               “…” เว่ยฉางอิ๋งพ่ายแพ้อีกรอบ คิดอยู่สักพัก จึงพลันโผเข้าหาอกนางแล้วแยกเขี้ยวยิงฟัน “ยกเสิ่นจั้งเฟิงขึ้นมาทำพูดดีกับข้า ข้าจดจำไว้หมดแล้ว! ลองมองย้อนกลับไปดูยังจะพูดไปถึงตัวผู้ใดอีก!”


               ซ่งไจ้สุ่ยรีบร้อนผลักนางออก “อย่าโดนมวยผมข้า…โธ่เอ๊ย ปิ่นเบี้ยวหมดแล้ว! เจ้าคนนี้ พูดไม่ชนะข้าก็ลงไม้ลงมือ ตัวโตถึงเพียงนี้แล้ว ไม่อายบ้างรึ? สุภาพบุรุษเอ่ยปากไม่ลงมือนะ!”


               “ข้าหาใช่สุภาพบุรุษไม่ ข้าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยๆ คนหนึ่งเท่านั้น!” เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอย่างเต็มปากเต็มคำ และได้ใจเป็นที่ยิ่ง “พูดไม่ชนะ แล้วยังจะไม่ยอมให้ข้าลงมือโต้ตอบสักหน่อยบ้างเลยหรือ?


____________________


ตอนที่ 59 ลอบสังหาร (1)

โดย

Xiaobei

 


               นอกเมืองเฟิ่งโจวไปสิบลี้มีศาลายาวหนึ่งศาลา ห้าลี้มีศาลาสั้นหนึ่งศาลา เพราะราชองครักษ์อี้และซ่งไจ้เถียน เว่ยฉางเฟิงล้วนมีชาติกำเนิดในตระกูลสูงส่ง แม่ก่อนนี้จะเคยมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบนเขาไผ่น้อย แต่นอกจากเว่ยฉางเฟิงและตวนมู่อู๋ยิวแล้ว ทุกคนต่างก็ขจัดความบาดหมางไปในงานเลี้ยงขอบคุณแล้ว เดินทางร่วมกัน พูดคุยยิ้มแย้ม มิทันรู้ตัวก็ผ่านศาลาทั้งสองมาแล้ว กระทั่งมาถึงศาลายาวแห่งที่สาม กู้อี้หรานและซ่งไจ้เถียนต่างก็ดึงม้าให้หยุด เพื่อเชิญให้คนตระกูลเว่ยหยุดเดินทางต่อ


               มาส่งถึงสามสิบลี้ก็พอสมควรแล้ว เว่ยฉางเฟิงเร่งสั่งให้คนไปจัดเตรียมสุราและที่นั่งไว้ในศาลายาวเพื่อเลี้ยงส่งทุกคน ทั้งยังสั่งให้นำนางระบำและนักดนตรีมาร่ายรำและบรรเลงเพลงด้วย แล้วคารวะอวยพรด้วยสุราอีกคราในฐานะเจ้าบ้านเพื่อเป็นการส่งแขกที่ต้องอำลากัน… ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกว่าหนึ่งชั่วยาม ธรรมเนียมการอำลาของตระกูลเลื่องชื่อ ซึ่งยึดแบบแผนตามประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมาจึงนับว่าเสร็จสมบูรณ์


               จากนั้นเว่ยฉางอิ๋งซึ่งสวมหมวกคลุมหน้าก็ลงมาจากรถม้าของซ่งไจ้สุ่ย นาง พร้อมด้วยเว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนส่งทุกคนด้วยสายตาด้วยความเป็นห่วงจนจากไปไกล


               เมื่อเห็นว่าฝุ่นดินบนถนนหลวงค่อยๆ จางลง ทั้งคนและม้าต่างก็เดินทางไปจนมองไม่เห็นแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยกับน้องชายทั้งสองด้วยความรู้สึกใจหายว่า “พวกเรากลับกันเถิด”


               เว่ยฉางเฟิงพยักหน้า พลันมีคนลากเอารถม้าเปล่าที่ก่อนนี้อยู่ท้ายขบวนเข้ามา แล้วเชิญเว่ยฉางอิ๋งขึ้นรถ ต่อมาก็มีคนจูงม้าที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนขี่มาแล้วช่วยส่งคนทั้งสองขึ้นม้า


               ยามมาส่งอำลา เพื่อเป็นการแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อแขก แน่นอนว่าจะต้องค่อยๆ เดินทางช้าๆ ยามเมื่อเดินทางกลับเพราะแขกได้เดินทางไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจงใจเดินทางช้าๆ อีก เพียงแต่ แม้ม้าที่เว่ยฉางเฟิงและเว่ยเกาชวนขี่นั้นจะเป็นม้าพันธุ์เลิศ แต่กลับยังต้องคอยดูแลรถที่เว่ยฉางอิ๋งนั่ง จึงเดินทางได้รวดเร็วกว่าขามาส่งแขกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


               …และด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมองเห็นศาลายาวแห่งที่สองซึ่งเคยผ่านตอนขามา บนถนนพลันมีเชือกพันขาม้า[1]ขึงขึ้นมา และทำให้องครักษ์สองนายที่อยู่หน้าสุดของขบวนสะดุดล้ม องครักษ์ที่อยู่ทางด้านหลังแม้จะตกใจ แต่กลับเป็นเพราะมิได้ควบม้ามาเต็มกำลัง จึงสามารถหลบเลี่ยงจากบทลงเลยที่ถูกเชือกพันขาม้าขึงดึงจนสะดุดล้มไปได้อย่างฉิวเฉียด


               “ผู้ใดบังอาจเช่นนี้!” ในขณะที่องครักษ์ทั้งตื่นตกใจทั้งบันดาลโทสะปนเป มีคนเผลอตะโกนออกมาด้วยโทสะ แต่แล้วยังมิทันจะสิ้นเสียงคนผู้นั้น กลับมีเสียงตะโกนขึ้นมาดังลั่นว่า “ระวัง! มีคนหมายทำร้ายคุณชายและคุณหนู!”


               ดังเป็นการพิสูจน์คำกล่าวนี้…สองข้างของถนนหลวงพลันบังเกิดเสียงปล่อยสายธนูดังขึ้นขนานใหญ่! จากนั้นก็มีลูกธนูสาดเข้าหาดังห่าฝน และพุ่งมายังเหล่าองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ยังมิทันได้ตั้งตัว!


               “คุ้มครองคุณชาย!” เจียงเจิงซึ่งเป็นคนตะโกนเตือนทุกคนครั้งก่อนนี้ ตะโกนเตือนเสียงดังขึ้นมาอีกครา!


               เว่ยชิงหน้าซีดจนเขียว นับว่าเขาตั้งตัวได้ปราดเปรียวว่องไง แทบจะในทันทีหลังจากที่เจียงเจิงตะโกน ในวินาทีที่เสียงธนูดังขึ้นหนแรก เขาถีบตัวเองออกจากหลังม้า หมุนตัวกลางอากาศดึงเว่ยฉางเฟิงลงจากม้า ยามนี้ทั้งสองคนอาศัยอานม้ามาบังลูกธนูเอาไว้ได้พอดี ได้ยินเสียงพึบพับดังมาจากในป่าไม่ขาดสาย ด้วยอายุยังน้อย ในชั่วเวลาที่พี่ชายและน้องชายคนละบ้านเอาชีวิตรอดจากความตายมาได้จึงรู้สึกยินดีและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน!


               เพียงแต่ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ถูกสถานการณ์วุ่นวายทั้งม้ากระทืบเสียงคนร้องทำลายเสียสิ้น ยามนี้ทั้งสองคนก็ไม่กล้าจะยื่นหัวออกไป ในขณะที่เว่ยชิงกำลังจะสั่งการให้องครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งหมดลงจากม้าแล้วมาคุ้มครองเว่ยฉางเฟิง กลับเห็นว่าแม้องครักษ์ข้างกายเว่ยเกาชวนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจะกรูกันเข้ามาหาเขา แต่เขากลับไม่รู้จักลงจากม้ามาหาที่กำบัง ยังคงกวัดแกว่งดาบปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้าหาเว่ยเกาชวน ดูท่าแล้วคงคิดจะอาศัยม้าที่ตนขี่หนีเอาตัวรอด จึงได้รีบเตือนไปว่า “คุณชายสี่รีบลงจากม้า!”


               แต่กลับได้ยินเว่ยเกาชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ว่า “หะ…เหตุใตจึงมีคนลอบทำร้าย?! ที่นี่มันถนนหลวงนะ!”


               ไม่เพียงเป็นถนนหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังห่างจากตัวเมืองเฟิ่งโจวเพียงแค่ยี่สิบลี้เท่านั้น ในสถานที่เช่นนี้ บุตรหลานของตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวกลับถูกลอบโจมตี นัยยะที่แฝงอยู่ภายในนั้นคิดเพียงเล็กน้อยก็เข้าใจได้แล้วว่า…ไม่ใช่พวกโจรชั่วแห่งเขาเฟิ่งฉีมาแก้แค้นธรรมดาๆ เพียงเท่านั้น หากแต่จะต้องเป็นแผนการร้ายอันใหญ่หลวง!


               เว่ยเกาชวนนั้นมิเท่าใด จะต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าเว่ยฉางเฟิงไม่เพียงเป็นหลานชายสายเลือดตรงเพียงคนเดียวของเว่ยฮ่วน ลำพังเพียงเรื่องที่เขามีฐานะสูงส่งทั้งเปี่ยมด้วยความสามารรถ ในรุ่นหลานของฝั่งเว่ยฮ่วนก็จะต้องเป็นผู้มีความสำคัญในลำดับต้นๆ! หากไม่มีอะไรผิดคาด เขาจะต้องเป็นประมุขรุ่นต่อไปของรุ่ยอวี่ถัง… มาลอบสังหารประมุขรุ่นต่อไปของตระกูลเว่ยที่นอกเมืองเฟิ่งโจว ท่ามกลางแสงอาทิตย์ส่องยามกลางวันแสกๆ ลงมือถึงขั้นนี้แล้ว หากตระกูลเว่ยไม่มอดม้วยไปทั้งหมดก็คงไม่ยอมหยุดแน่!


               …กระทั่งราชสำนัก ยังไม่กล้าทำเช่นนี้!


               เว่ยชิงใคร่ครวญอย่างรวดเร็วถึงที่มาของผู้ลอบทำร้าย แล้วสั่งให้องครักษ์ที่ลงจากอานม้ามาแล้วเช่นกันรีบเข้าไปคุ้มครองเว่ยฉางเฟิง “เจ้าออกไปห่างสักหน่อยแล้วตะโกนสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินทั้งตำแหน่งหน้าที่ ขอเพียงพวกมันไม่ทำร้ายคุณชายและคุณหนู ว่ามาจะรับคำทุกสิ่ง! ต่อหน้าประมุข ข้าจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียว!”


               องครักษ์ผู้นั้นเข้าใจแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่ทั้งคนและม้ากำลังวุ่นวาย มุ่งหน้าไปยังทางเบี่ยงข้างๆ เว่ยชิงหันหน้าไปบอกเว่ยฉางเฟิงด้วยความเคารพว่า “พวกโจรนั้นมิอาจเชื่อถือได้…คุณชาย พวกเราจะต้องออกไปจากถนนหลวง บนถนนหลวงนี้ไร้ที่กำบัง ในยามนี้ยังพอจะอาศัยม้าหลบเลี่ยงลูกธนูได้ แต่หากม้าตายหมด คงไม่แคล้ว…”


               เว่ยฉางเฟิงมีสีหน้าขาวซีดขึ้นมา แขนที่ถูกเขาลากไปนั้นสั่นไม่หยุด แต่กลับถามขัดขึ้นมาว่า “ท่านพี่เล่า? ไปหาท่านพี่!” ทางหนึ่งเขาร้องตะโกนสอบถามเสียงดัง ทางหนึ่งก็คิดจะลุกขึ้นมองหารถม้าของเว่ยฉางอิ๋ง


               “ยามนี้ลูกธนูดังห่าฝนยังไม่หยุดลง หากโผล่หัวไปสุ่มสี่สุ่มห้าจักต้องลูกธนูบาดเจ็บเอาได้” เว่ยชิงรีบออกแรงกดตัวเขาลง พลางกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า “รถม้าของคุณหนูใหญ่สร้างจากไม้ถงมู่[2]ชั้นดี แข็งแกร่งทนทานยิ่งนัก ขอเพียงหลบอยู่ในมุมก็จักไม่เป็นไร… อีกประการคุณหนูใหญ่ร่ำเรียนวรยุทธตั้งแต่เล็ก วันนี้เจียงเจิงก็มาด้วยและอยู่ข้างๆ รถม้านั่นเอง เจียงเจิงถนัดการซัดดาวกระจายมาแต่ครั้งก่อน มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างเต็มเปี่ยม ยามนี้เกรงว่าคงจะพาคุณหนูใหญ่ถอยออกไปหลบในที่ลับตาข้างทางเรียบร้อยแล้วขอรับ!”


               คำพูดของเว่ยชิงมีเหตุผล เมื่อคิดถึงพี่สาวของตนที่ไม่เคยต้องให้เป็นกังวลผู้นี้  แต่เล็กมารำเพลงทวน ฝึกกระบอง ฝึกวิชาธนู ทั้งยังห้าวหาญ สถานการณ์เช่นในวันนี้ กลับไม่มีทางไปรบกวนจิตใจดังเช่นลูกผู้พี่ซ่งไจ้สุ่ยที่อ่อนโยนบอบบาง…เว่ยฉางเฟิงตั้งสติคิดได้ดังนั้น ทั้งยังคิดถึงเจียงเจิงว่า เท่าที่ได้ยินมาเหตุที่องครักษ์เจียงผู้นี้สามารถมาเป็นครูฝึกวรยุทธให้เว่ยฉางอิ๋ง ก็ด้วยอาศัยวรยุทธที่เกี่ยวข้องกับการเป็นองครักษ์สร้างตัวขึ้นมาทั้งสิ้น


               ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเจิงไม่เพียงมีวรยุทธ ตระกูลของเขาสืบทอดการเป็นครูวิชาดาวกระจาย และเป็นดังคำของเว่ยชิงว่าเขามีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างล้นเหลือหาตัวจับยาก


               เมื่อมีคนเช่นนี้อยู่ข้างกายเว่ยฉางอิ๋ง บวกกับความหลักแหลมปราดเปรียวที่มีอยู่ในตัวของเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยฉางเฟิงจึงลอบโล่งใจไป กำลังจะพูดต่อ หางตากลับมองไปเห็นเว่ยเกาชวนเหวี่ยงไปมาอยู่บนม้าแล้วก็ล้มลงมา!


               เขาตื่นตกใจอย่างหนักจนหน้าถอดสี แล้วร้องออกไปอย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “พี่สี่!”


—————————————————————-


[1] เขือกพันขาม้า เป็นเชือกยาวที่มีตุ้มถ่วงสองข้าง เมื่อโยนออกไปจะหมุนพันกัน ใช้คล้องขาม้าเพื่อทำให้ม้าของข้าศึกล้มลง


[2] ถงมู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชั้นดีของจีน มีชื่อภาษาอังกฤษว่าพอโลเนีย (Paolownie)



ตอนที่ 59 ลอบสังหาร (2)

โดย

Xiaobei

 


               “คุณชายโปรดเงียบ!” เว่ยชิงเห็นว่าเว่ยฉางเฟิงยังคิดจะวิ่งไปที่ที่เว่ยเกาชวนตกลงมาจากม้าเพื่อตรวจดูว่าลูกผู้พี่จะเป็นหรือตาย สีหน้าเขาจึงเปลี่ยนไปในทันใด พลันพลิกมือดึงตัวเว่ยฉางเฟิงกลับมา แล้วกดเสียงต่ำกล่าวอย่างดุดันว่า “พวกโจรไม่มีทางมาเพราะพวกองครักษ์เช่นข้า จักต้องพุ่งเป้ามาที่คุณชายทั้งสอง! เมื่อครู่นี้คุณชายสี่รั้งรอไม่ยอมลงจากม้า เกรงว่าจะถูกพวกโจรพบเห็นเขาเสียตั้งนานแล้ว ยามนี้หากคุณชายเข้าไป ก็มิเท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายสี่แค่เพียงตกจากม้า องครักษ์ข้างกายก็ได้เข้าไปตรวจดูเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง…หากคุณชายเข้าไปแล้ว เกิดบาดเจ็บขึ้นมา กลับจะยิ่งทำให้คุณชายสี่ลำบากไปด้วยนะขอรับ!”


               เขาพูดยังไม่ทันสิ้นความ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากที่ไม่ไกลนัก เสียงร้องโหยหวนนี้ยิ่งทำให้ทั้งเว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงใจคอไม่ดียิ่งขึ้น… นั่นคือเสียงขององครักษ์ที่ก่อนนี้เว่ยชิงสั่งไปลองเจรจากับพวกโจร!


               ดูท่าว่า คนพวกนี้หมายมั่นปั้นมือมาสังหารคนเสียให้ราบ!


               พื้นที่รอยๆ เพียงเท่านี้ยังมีคนและม้าสามารถยืนอยู่ได้ไม่มากเลย เดิมทีนั้น ในขากลับวันนี้พวกเขามีเพียงรถม้าของเว่ยฉางอิ๋งคันเดียว คนอื่นนอกนั้นล้วนขี่ม้า ถนนหลวงสายนี้กว้างใหญ่ แม้เชือกพันขาม้าจะทำให้องครักษ์ล้มไปเพียงสองนาย แต่เฟิ่งโจวสุขสงบมานาน บวกกับแต่ไรมาไม่เคยมีคนจะคิดว่าพวกของเว่ยฉางเฟิงทั้งสามคนจะถูกลอบโจมตีบนถนนหลวงที่ห่างจากตัวเมืองเพียงยี่สิบลี้… อาศัยวิธีการว่าเมื่อเห็นพวกพ้องถูกทำให้ล้มลง พวกองครักษ์ก็จะไม่พากันจากไปในทันที ยังคงรวมกันอยู่กับที่ กระทั่งยังมีคนกระโดดลงจากม้าเพื่อช่วยพวกพ้องที่ถูกม้าทับอยู่อีกด้วย…


               เมื่อกองกำลังเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว ทำให้ลูกธนูดังห่าฝนระลอกแรกเทลงมา แม้จะมีคนเพียงจำนวนน้อยที่ต้องธนูจนบาดเจ็บและล้มตาย แต่กลับทำให้ม้าส่วนมากตื่นตกใจ!


               ม้าที่ต้องลูกธนูเหล่านี้ มีเพียงตัวสองตัวที่ถูกทำร้ายในจุดสำคัญแล้วพลันล้มลงตาย แต่ส่วนมากกลับตื่นตกใจเพราะเหตุการณ์นี้จึงพากันวิ่งเตลิดขึ้นมาโดยไม่ฟังคำสั่งของเจ้านาย!


               และองครักษ์ส่วนมากก็ยังไม่ทันได้ลงมาจากม้า พอม้าเตลิดขึ้นมา ก็รู้ได้ทันทีว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร!


               หากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเว่ยชิงหรือเว่ยฉางเฟิงก็คงไม่มีทางเชื่อว่าองครักษ์ตระกูลเว่ยที่ฉลาดหลักแหลมและเก่งกาจซึ่งได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเหล่านี้ กลับถูกโจมตีจนมีสภาพน่าอนาถเช่นในยามนี้!


               แต่ขณะนี้มิใช่เวลาจะมาคิดทบทวนเรื่องนี้ เว่ยชิงตระหนักว่า หากไม่สามารถถอยออกไปยังป่าข้างทางก่อนจะสูญเสียที่กำบังไป เพียงพวกโจรคอยยิงธนูอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ทุกคนถูกยิงตายอยู่กลางถนนสายนี้!


               กระทั่งว่า เมื่อพวกเขาตายแล้วก็ยังไม่ได้เห็นตัวของพวกโจรเลยแม้แต่คนเดียว!


               แม้ยามนี้พวกโจรจะหลบซ่อนอยู่ในป่าสองข้างทาง ทว่าขอเพียงพวกเขาเข้าไปในป่า ลูกธนูของอีกฝ่ายก็จักทำงานได้ไม่เป็นผลนัก หากเป็นการต่อสู้แบบประชิดตัว เว่ยชิงก็ยังมีฝีมือเยี่ยมยอดไม่เบาเลย! หากยังคงอยู่บนถนนหลวงนี้ มิต้องเอ่ยถึงว่ายามนี้พวกเขามาส่งแขกจงมิได้พกธนูมา หรือต่อให้พกมา ถนนหลวงไม่มีที่กำบัง ส่วนพวกโจรซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ หากจะยิงต่อสู้กันแล้วจะได้เปรียบได้อย่างไร? อย่างไรเสียแม้ยามนี้จะนับว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่อากาศในเฟิ่งโจวยังอบอุ่น ต้นไม้ใบหญ้าในป่ายังคงมีกิ่งใบหนาแน่น หากว่าโชคดี เมื่อเข้าป่าไปแล้วก็พอจะมีหวังหนีพ้นพวกโจรที่มาซุ่มโจมตีกลุ่มนี้ได้


               ในขณะที่เว่ยชิงกำลังสังเกตรอบๆ ตัวด้วยความรวดเร็ว และวางแผนจะหาช่องทางลับตาท่ามกลางศพที่นอนเกลื่อนอยู่เต็มพื้นเพื่อถอยเข้าไปข้างทางอยู่นั้น กลับได้ยินผิวปากสูงแหลมดังขึ้นมาจากในป่าทางด้านซ้ายของถนน…เขาพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาทันที ปรากฏว่าเมื่อมองจากช่องระหว่างขาม้าตัวหนึ่งที่ต้องธนูหลายดอกแต่ยังคงดิ้นทุรนทุรายและไม่ยอมล้มลง พลันมีกลุ่มคนชุดดำปิดหน้าในมือถือมีดดาบพุ่งออกมา คนที่เป็นหัวหน้าถือดาบทองใหญ่หลังเก้าห่วง ตะโกนเสียงดังว่า “พี่น้องเรา พวกสุนัขรับใช้ตระกูลเว่ยล้มตายไปกว่าครึ่งแล้ว ที่เหลือนั้นอย่าได้ไปเกรงกลัว…ฆ่ามัน!”


               เมื่อเว่ยฉางเฟิงเห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน เขาสูดหายใจลึกหนหนึ่ง หนุ่มน้อยที่เพิ่งเคยได้เห็นการฆ่าฟันและเลือดเป็นครั้งแรก ร่างกายที่สั่นเทาด้วยสัญชาตญาณนั้นกลับหยุดลงไม่ได้เลย แล้วสั่งความเว่ยชิงด้วยเสียงหนักว่า “พวกโจรได้วางแผนก่อการไว้ก่อนหน้าแล้ว ยามนี้กำลังคนของเราไม่เพียงพอไปตอบโต้…เจ้าไม่ต้องมาคุ้มครองข้าอีกแล้ว! รีบหนีกลับเข้าเมืองเพียงลำพัง นำเรื่องในวันนี้ไปแจ้งแก่ท่านปู่! แล้วมาแก้แค้นให้พวกข้า!”


               เว่ยชิงนึกไม่ถึงว่าคุณชายห้าผู้มีอายุน้อยๆ เพียงเท่านั้น ในขณะที่กำลังตื่นตกใจแต่กลับสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยว ในใจพลันรู้สึกนับถือเว่ยฉางเฟิงขึ้นมาอีกหลายเท่า แต่เขากลับส่ายหัวแล้วว่า “เฟิงโจวห่างจากที่นี่เพียงยี่สิบลี้ และที่นี่ก็เป็นถนนหลวง แต่แล้วตลอดทางที่พวกเราเดินทางกลับมาได้เห็นผู้คนสัญจรสักครึ่งคนหรือไม่? คนพวกนี้อาจหาญมาลอบสังหารคุณชายและคุณหนู เกรงว่าจะได้เตรียมการเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว! อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องที่ตัวข้าน้อยเพียงลำพังจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้หรือไม่เลยขอรับ ลำพังว่าท่านประมุขมอบหมายให้ข้าน้อยติดตามคุณชายมาตั้งแต่ปีนั้น คุณชายรอด ข้าน้อยไม่จำเป็นต้องรอด คุณชายม้วย ข้าน้อยก็ต้องตายก่อน!”


               “โง่เง่า!” เว่ยฉางเฟิงเห็นว่าจนถึงยามนี้แล้วเขายังจะมาแสดงความจงรักภักดี จึงโกรธเสียจนแทบเป็นลมล้มไป! “เจ้าไม่ไป แล้วผู้ใดจะนำความไปแจ้งท่านปู่เล่า…”


               “เกิดเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้บนถนนหลวง คุณชายคิดว่าวันหน้าท่านประมุขจะตรวจสอบไม่ได้หรือ?” เว่ยชิงทอดถอนใจ เรื่องนี้ตั้งแต่สถานที่ ตั้งแต่ฐานะของคนที่ถูกลอบสังหารไปจนถึงเรื่องช่วงจังหวะเวลา ล้วนไม่อาจปิดบังสิ่งใดได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คนเหล่านี้ยังอาจหาญมาลงมือ… เห็นชัดว่าพวกมันมีความมั่นใจว่าหลังจากเกิดเรื่องแล้วจะสามารถรับมือกับการแก้แค้นอย่างบ้าระห่ำของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งได้!


               …ผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ใดกันแน่?!


               เว่ยฉางเฟิงคิดถึงคำถามนี้ด้วยเช่นกัน เพียงแต่ยามนี้ก็ไม่มีเวลาไปพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้ว หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้า พวกคนปิดหน้าก็เข้ามาตรวจดูทั่วบริเวณที่พวกมันมาลอบสังหาร ม้าทุกตัวที่ตายหรือบาดเจ็บล้วนถูกเคลื่อนย้ายออกไป เพื่อตรวจสอบดูว่ามีคนซ่อนตัวอยู่ภายในนั้นหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น หากมีคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น พวกมันก็จะแทงซ้ำลงไปที่คอและอกอีกสองสามหน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเป็นไปได้ว่าจะมีคนที่ยังไม่ตายหรือแกล้งตายอยู่อีก


               ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อพวกมันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าแล้ว ยังมีมือธนูซ่อนตัวอยู่ภายในป่าไม่ออกมา เมื่อมีองครักษ์คิดจะเข้าแลกชีวิตกับพวกมัน ก็จะมีลูกธนูพุ่งออกมาและปักเข้าที่ลำคอ!


               นี่คือแผนการสังหารให้สิ้นซากโดยแท้!


               วินาทีนี้เว่ยฉางเฟิงคิดถึงท่านปู่ท่านย่า บิดามารดา และพี่สาวร่วมท้อง…เวลาสิบกว่าปีพลันหายวับไปต่อหน้า ปณิธานที่มีมาแต่เล็กยังมิทันได้เริ่มก็จะมาจบสิ้นลงเสียแล้ว ไม่อาจบอกได้ชัดเจนว่าภายในใจของเด็กหนุ่มนั้นคือความหวาดกลัว คือความโศกเศร้า หรือคือความไม่ยินยอมกันแน่ มองเห็นหัวหน้าพวกคนปิดหน้าเป็นคนเดินเข้ามาผลักซากศพม้าที่อยู่ตรงหน้าตน เขาออกแรงกำหมัด แต่กลับยิ่งทำให้หัวเงยขึ้นมา!


               เมื่อเห็นชุดเครื่องแต่งกายหรูหราของเด็กหนุ่มที่เว่ยชิงเอาตัวบังไว้ช่างแตกต่างกับเครื่องแบบองครักษ์อย่างสิ้นเชิง ดวงตาของหัวหน้าโจรพลันแวววาวขึ้นมา แล้วหัวเราะเสียงลั่น “ที่แท้คุณชายผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเว่ยยังไม่ตาย… เจ้าคือคุณชายสี่หรือคุณชายห้า?!”


               ระหว่างพูดจา ใบมีดคมก็พลันมาจ่อที่คอของเขา! เห็นชัดว่าเจ้าหัวหน้าผู้นี้หาได้สนใจไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางเฟิงหรือเป็นเว่ยเกาชวน เป้าหมายของเขาก็คือสังหารคนตระกูลเว่ยในขบวนนี้ให้สิ้นซาก!


               เว่ยฉางเฟิงมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ทั้งไม่ตอบและไม่ร้องขอชีวิต ยินยอมให้คมมีดแหลมกรีดลงมาที่คอ…เพียงแต่หัวหน้าคนปิดหน้าหัวเราะได้เพียงครึ่งหนึ่งก็กลับหยุดชะงักลงเฉยๆ ใบมีดคมที่กำลังจะตัดคอเว่ยฉางเฟิงให้ขาดก็หยุดนิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วพลันหมดเรี่ยวแรงร่วงลงพื้น!


               การเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงค้าง เว่ยฉางเฟิงรู้สึกคล้ายมองเห็นกระบี่ยาวพลันปรากฏขึ้นมาที่หน้าผากของหัวหน้าพวกคนปิดหน้า… กระบี่ยาวด้ามนี้แทงเข้าไปที่หว่างคิ้วของผู้เป็นหัวหน้า แทงตรงเข้าไปในหัวทั้งหัวและทะลุออกมาที่ด้านหลังหัว พร้อมกับเลือดสดและสมองสีแดงปนขาวที่ทะลักออกมา!


               ขณะที่เกิดความนิ่งเงียบไปทั่วพื้นที่ เว่ยฉางเฟิงได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แต่ไพเราะและแจ่มชัดดังขึ้นที่ข้างกาย “ฉางเฟิง! ยังไม่รีบไปอีก!”


               เป็นเว่ยฉางอิ๋ง!


_____________________


ตอนที่ 60 คุมหลัง (1)

โดย

Xiaobei

 


               เว่ยฉางเฟิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว…แม้เขาจะเติบโตมากับเว่ยฉางอิ๋ง และรู้ว่าพี่สาวผู้นี้แต่เล็กมาฝึกฝนวรยุทธอย่างไม่มีลมหรือฝนมาเป็นอุปสรรค์ได้ แต่กลับไม่รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งจักมีฝีมือเพียงนี้ ถึงขั้นสามารถสังหารหัวหน้าพวกปิดหน้าที่อยู่ตรงหน้าได้ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว!


               ในพริบตานั้นในหัวของเว่ยฉางเฟิงมีความคิดนับไม่ถ้วยหมุนวนไปมา คิดอยากจะบางสิ่ง แต่กลับถูกเว่ยชิงดึงไปข้างหลังอย่างแรง หัวหน้าถูกสังหารอย่างฉับพลัน ทำให้พวกคนชุดดำทั้งกลุ่มตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง! แม้กระทั่งลูกธนูจากในป่าก็ยังหยุดลงด้วย เมื่อเห็นเว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงกำลังจะอาศัยชั่วเวลาสั้นๆ ยามทุกคนกำลังนิ่งงันอยู่นี้หนีออกไป คนชุดดำคลุมหน้าที่อยู่ใกล้ๆ คนหนึ่งจึงได้สติขึ้นมา แล้วตะโกนอย่างโกรธแค้นว่า “พวกโง่! ยังเหม่ออยู่ทำสิ่งใด? ฆ่ามัน! แก้แค้นให้ลูกพี่!”


               เมื่อถูกเขาเตือนสติ พวกคนชุดดำจึงประหนึ่งตื่นจากฝัน แล้วพากันกวัดแกว่งอาวุธพร้อมตะโกนร้องและบุกเข้ามา! ลูกธนูในป่าก็พุ่งออกมาอีกครา ชู่! ชู่! ชู่! ธนูสามลูกติดต่อกันล้วนพุ่งตามฝีเท้าของเว่ยฉางเฟิงและปักลงในโคลน!


               “ฉางเฟิงรีบเข้าป่าไป!” เว่ยฉางเฟิงรอดชีวิตจากเงื้อมมือมัจจุราช หาได้มีเวลาว่างมาหวาดกลัวต่อความแรงของลูกธนูที่เฉียดน่องไปและปักลงไปที่ข้างเท้าไม่ เขาหมุนตัวและวิ่งอย่างเร็วไปสองก้าวจึงได้เห็นว่าข้างหน้าไม่ไกลนั้นก็คือรถม้าที่เว่ยฉางอิ๋งนั่งมาก่อนนี้ เพียงเพราะม้าที่ลากรถถูกยิงตายอยู่บนถนนจึงทำให้รถม้าล้มคว่ำอยู่บนพื้น


               รอบรถมีเศษสิ่งของต่างๆ เช่นเครื่องเคลือบและผลไม้กระจัดกระจายอยู่ ทำให้เห็นได้ว่ายามนั้นเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเพียงไร ปรากฏว่าลวี่อี้ ลวี่ฉือสองสาวใช้ที่มากับเว่ยฉางอิ๋งวันนี้ยังอยู่ดี เพียงแต่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย นั่งกุมหัวตัวสั่นงันงกหลบอยู่หลังรถ


               ไม่รู้ว่าเพราะเว่ยฉางอิ๋งหนีออกมาไม่ทันก่อนรถม้าคว่ำ แล้วต้องอาศัยเรี่ยวแรงและมือเท้าคลานออกมาหรือไม่ หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้ารถม้าในยามนี้จึงไร้ซึ่งหมวกคลุมหน้าเสียแล้ว มวยผมของนางยุ่งเหยิง เสื้อผ้าเบี้ยวออกจากที่ เว่ยฉางเฟิงวิ่งเข้าไปใกล้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าชายกระโปรงของนางเปรอะฝุ่นดินเต็มไปหมด ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่อาจทำให้ความงดงามและรัศมีการฆ่าที่นางมีลดน้อยลงแต่อย่างใด ในมือของเว่ยฉางอิ๋งถือดาบใบหลิว[1]ที่ปลดมาจากตัวขององครักษ์ที่สิ้นชีพไปแล้วนายหนึ่ง เมื่อข้อมือดังหยกสะบัดก็ปัดป้องลูกธนูลูกหนึ่งที่พุ่งเข้าหานาง ดวงตาที่งดงามเต็มไปด้วยความดุดัน จับจ้องด้วยสายตาเย็นเฉียบไปยังคนชุดดำที่กำลังบุกเข้ามาจากที่ไม่ไกลนัก พลางตะโกนสั่งเสียงหนักว่า “เว่ยชิงเจ้าเข้าป่าไปกับฉางเฟิง อย่าเพิ่งมุ่งหน้าไปทางเฟิ่งโจว อาจมีคนซุ่มโจมตี! ให้ไปทางเขาไผ่น้อยก่อน! ระวังตัวด้วย!”


               เดิมทีเว่ยชิงคิดจะอยู่ช่วยนาง เมื่อได้ยินคำสั่งกลับอดชะงักนิ่งเหม่อไมได้ เว่ยฉางเฟิงร้อนใจนัก “ท่านพี่ แล้วท่านเล่า?!”


               “ข้าจะอยู่คุมหลัง!” เว่ยฉางอิ๋งวาดดาบใบหลิวเป็นวง แล้วชี้ไปทางคนชุดดำ แต่กลับเห็นน้องชายยังคิดจะเตือนให้ตนไปด้วยกัน จึงพลันหันมือกลับแล้วผลักเขาเข้าไปในป่าข้างทางอย่างแรง และกล่าวด้วยโทสะว่า “ยังไม่ไปอีก? อยากให้พวกเราพี่น้องต้องมากตายที่นี่กันหมดรึ! แล้วท่านพ่อท่านแม่จะทำเยี่ยงไร?!”


               ความคิดของเว่ยชิงเปลี่ยนไปพลัน กลับมิได้เข้าไปประคองเว่ยฉางเฟิง หากแต่เดินมาทางเว่ยฉางอิ๋งหลายก้าว พร้อมชักดาบอวิ๋นโถวออกมา กล่าวเสียงหนักว่า “หน้าที่คุมหลังจักให้คุณหนูใหญ่ทำได้อย่างไร? อย่างไรก็ต้องเชิญคุณหนูใหญ่และคุณชายห้าไปก่อน ข้าน้อยจะคอยคุมหลังให้เอง!”


               เว่ยฉางเฟิงได้ยินคำแล้วสีหน้าพลันเปลี่ยนไป พลันมีความรู้สึกผิดแสดงออกมาไม่น้อย จากนั้นจึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ แล้วเอื้อมมือไปทางเว่ยฉางอิ๋ง… แม้เว่ยชิงจะเป็นลูกผู้พี่ที่อยู่อีกสายหนึ่งทั้งยังเป็นลูกน้องที่จงรักภักดี แต่อย่างไรก็ไม่อาจสำคัญเท่ากับพี่สาวร่วมท้อง เขารู้ดีว่าเหตุใดเว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงจึงต้องการรออยู่คอยคุมหลัง ว่ากันจริงๆ ก็เพราะเขาเป็นคนทำให้ลำบาก


               เพระไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางอิ๋งหรือเว่ยชิงต่างก็เป็นผู้ที่ร่ำเรียนวรยุทธมาจนโต ขาก้าวกระโดดได้ไกลฝีมือปราดเปรียว เมื่อเข้าไปในแล้วป่า หากไม่มีเหตุการณ์ใดซ้ำเติมมาอีก ก็มีทางรอดได้มาก! แต่เว่ยฉางเฟิงชำนาญการอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ ส่วนตัวก็มิได้สนใจเรื่องวรยุทธ เขารู้จักเพียงท่าฝึกนกห้าตัวที่ชนชั้นสูงเอาไว้ออกกำลังกายเท่านั้น ทั้งยังเว้นไปสามวันห้าวันจะทำสักหน มีดดาบก็ดี ฝีมือก็ดี ล้วนพอๆ กับคนธรรมดาทั่วไป… เมื่อเข้าไปในป่าแล้วมีหรือจะสามารถวิ่งได้เร็ว?!


               แต่เว่ยฉางเฟิงรู้ว่า ไม่ว่าในวันนี้ ในที่แห่งนี้จะมีคนตายมากน้อยเท่าใด รวมเว่ยฉางอิ๋งผู้พี่สาวร่วมท้องอยู่ในนั้นด้วย หากมีเพียงผู้เดียวที่ทุกคนจะปกป้องให้มีชีวิตรอดได้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นตนเอง! หากเขาไม่ไป ต่อให้เว่ยชิงและเว่ยฉางอิ๋งต้องสู้จนตัวตายก็จะไม่ยอมไป! เช่นนั้นเพื่อยื้อเวลาให้เขาหนีไป ก็จะต้องมีคนคอยอยู่คุมหลังเอาไว้!


               และคนคนนั้นจะเป็นเว่ยฉางอิ๋งไม่ได้… เช่นนั้นก็จักต้องเป็นเว่ยชิงแล้ว!


               “พี่ชิง หากท่านรอดชีวิตกลับไปได้ ข้าจะเห็นท่านเป็นเช่นพี่ชายแท้ๆ!” เว่ยฉางเฟิงรู้ดีกว่าการที่ทิ้งเว่ยชิงเอาไว้ในยามนี้ แท้จริงแล้วมีเก้าส่วนตายเพียงหนึ่งส่วนรอด แต่ไม่ว่าจะมองจากความใกล้ชิดทางสายเลือด จากความรักใคร่ หรือความสัมพันธ์ของนายและบ่าว เขาเลือกผลลัพธ์ออกมาได้เป็นเช่นนี้เท่านั้น… ที่แท้นั้น เว่ยชิงเป็นพี่น้องในตระกูลเว่ย ญาติของต่างก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากภายในตระกูล นับว่ามีโชคชะตาที่ไม่ย่ำแย่เลย สิ่งที่เว่ยฉางเฟิงสามารถให้คำมั่นกับเขานั้น มีเพียงโอกาสหน้าหากเว่ยชิงมีชิวีตรอดแล้วเท่านั้น


               เพียงแต่เขากลับดึงรั้งมาได้เพียงความว่างเปล่า เว่ยฉางอิ๋งก้าวเท้าออกไปในชั่วเวลานั้นพอดี นางเอียงตัวและพุ่งออกไป สะบัดดาบใบหลิวออกและกวัดแกว่ง ตามธรรมเนียมของตระกูลเว่ยนั้น ดาบที่ผู้รับใช้ใกล้ชิดบุตรชายผู้สืบสกุลพกติดตัวแม้ไม่อาจเป็นอาวุธหนักขนาดใหญ่ แต่ก็จะต้องมีสมรรถภาพเพียงพอ คมกริบหาใดเปรียบ เหนือกว่าอาวุธทั่วไปหลายขุมจนอาวุธอื่นยากจะต่อกร แต่เพราะเว่ยฉางอิ๋งมีข้อจำกัดด้วยกายเป็นหญิง จึงทำให้มีกำลังข้อมือที่สำหรับผู้มีวรยุทธแล้วนับไม่ได้ว่าโดดเด่น แต่กลับสามารถทำให้ดาบขนาดใหญ่ที่สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่ผู้คนอย่างไม่ปราณีปราศรัย และคิดมาขวางนางต้องหักขาดลงได้อย่างง่ายดาย แทงตรงเข้าไปที่ทรวงอกของเจ้าของดาบเล่มใหญ่ผู้นั้น!


               “แม่เสือสาวนี่โหดจริงๆ!” หนึ่งในคนชุดตำตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้นยิ่ง “เหยาซานเจ้าถอยไป ข้าจัดการเอง!”


               “พี่หยางระวังด้วย นังเสือสาวนี่ ฝีมือดาบมันร้ายกาจ!” เมื่อเห็นว่าหลังจากหัวหน้าของตนแล้ว ก็มีพวกพ้องอีกหนึ่งคนต้องมาตายด้วยน้ำมือของเว่ยฉางอิ๋ง เดิมทีเพราะนางเป็นเพียงเด็กสาว ทั้งยังมีหน้าตางดงาม ย่อมทำให้พวกคนชุดดำปรามาศทั้งยังมองนางตาเป็นมันเป็นธรรมดา!


               เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนั้นเว่ยชิงเองก็ร้อนใจขึ้นมา “คุณหนูใหญ่ รีบพาคุณชายห้าหนีไป!”


               “หูดก้อนเนื้อที่ฐานนิ้วบนผ่ามือเจ้าหนายิ่งนัก ดูจากตำแหน่งแล้วจักต้องถนัดใช้ทวนยาว เพียงแต่ปกติแล้วต้องคอยอยู่ข้างกายฉางเฟิง จึงไม่สะดวกพกพาทวนยาว…” หลังจากที่เว่ยฉางอิ๋งสังหารโจรที่ใช้มีดใหญ่แล้ว ก็รีบชักดาบใบหลิวออกมารับมือกับคนร้ายคนต่อไป นางไม่ทันหลบเลี่ยงจึงถูกเลือดสดสาดมาโดนเต็มแขนเสื้อ เดิมทีนางสวมเสื้อส้างหรูตัวสั้นแขนกว้าง และกระโปรงหลิวซานจีบรอบสีเหลืองไข่เป็ด ซึ่งล้วนเป็นสีอ่อน ยามนี้เมื่ออาบด้วยเลือดจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดูไปแล้วทั้งประหลาดทั้งเหี้ยมโหด แต่นางกลับไม่ได้หวั่นหวาดแม้แต่น้อย ยังคงกำดาบแน่น แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ดาบอวิ๋นโถวนี่เกรงว่าเจ้าจะพกเอาไว้เช่นนั้นเองหรือไม่ก็เป็นอาวุธสำรอง เจ้าแน่ใจหรือว่าเมื่อเจ้าถืออาวุธที่ไม่ถนัดมือเช่นนั้น แล้วจะต้านพวกมันเอาไว้ได้นานเท่าใด? ข้าก็ไม่อยากรนหาที่ตาย หากเจ้าถนัดใช้ดาบอวิ๋นโถวจริง เจ้านึกหรือว่าข้าจะอาสาให้ตัวเองอยู่คุมหลังให้?!”


               “…” เว่ยชิงตกตะลึง แน่นอนว่าปณิธานของเขาไม่ใช่แค่ต้องการจะเป็นองครักษ์ให้แก่หลานชายบ้านใหญ่เช่นนี้เท่านั้น หากคือการได้ควบม้าในสนามรบที่เกรียงไกร เพื่อได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ จึงเป็นเหตุให้เขาฝึกเพลงทวนมาแต่เล็ก เพียงแต่หลังจากไปเข้าตาเว่ยฮ่วนด้วยเพลงทวนและวิชาทหารแล้ว เว่ยฮ่วนกลับคิดว่าในยามนี้ยังไม่เหมาะจะให้เขาไปออกรบ… เว่ยชิงเป็นลูกหลานของรุ่ยอวี่ถัง แต่เพราะเว่ยฮ่วนลาออกจากราชการ ความเจ็บป่วยของเว่ยเจิ้งหง และความอ่อนแอของเว่ยเซิ่งเหนียน ทำให้กำลังอำนาจของรุ่ยอวี่ถังในยามนี้กำลังค่อยๆ ด้อยถอยลง จักต้องรอให้ถึงยามที่รุ่นของเว่ยฉางเฟิงซึ่งเป็นรุ่นหลานเติบโตเสียก่อน จึงจะสามารถแสวงหาความรุ่งเรืองกว่านี้ได้


——————————————————————


[1] ดาบใบหลิว (柳叶刀) เป็นดาบยาว ปลายกว้างเล็กน้อย คล้ายใบของต้นหลิว



ตอนที่ 60 คุมหลัง (2)

โดย

Xiaobei

 


เว่ยชิงยังหนุ่ม ยังสามารถรอได้ อย่างไรเสียผู้นำกองทหารเข้าฟาดฟันในสนามรบ ก็จะต้องผ่านความเป็นความตายมาหลายคราจึงสามารถแลกความดีความชอบมาได้ หากในราชสำนักไร้กำลังพล…ดังเช่นโม่ปินเว่ยเป็นตัวอย่าง หากเทียบกับการติดตามเว่ยฉางเฟิง ไม่เพียงเว่ยชิงจะมีโอกาสได้ยืมอ่านตำราเลื่องชื่อซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าในตระกูลเว่ย ที่ส่วนมากนั้นมีเพียงคนระดับเว่ยฉางเฟิงเท่านั้นที่สามารถแตะต้องได้ เช่นตำรายุทธวิธีที่คนยุคก่อนได้จดบันทึกไว้ นอกจากนี้ยังได้รับคำชี้แนะโดยตรงจากเว่ยฮ่วนอยู่ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับการเป็นข้ารับใช้ในจวน ในสายตาของเว่ยชิงแล้วสิ่งที่ได้มานี้คุ้มค่ายิ่งนัก


               ด้วยฐานะของเว่ยฉางเฟิง รอบกายเขาไม่มีทางจะมีเว่ยชิงเป็นองครักษ์เพียงผู้เดียว ความจริงแล้วการที่เว่ยชิงมาเป็นองครักษ์ให้เว่ยฉางเฟิงก็เป็นเพียงแค่ตั้งป้ายเอาไว้เท่านั้น…บวกกับทวนยาวที่เว่ยชิงถนัดซึ่งก่อนหน้านี้เอาไว้ใช้ยามเข้ารบนั้น ทั้งหนักและยาวมาก ไม่อาจพกติดตัวให้สง่างามได้เช่นดาบหรือกระบี่…องครักษ์ของหลานชายตระกูลเว่ยที่ต้องเรียกให้คนยกทวนตามไปมาทุกหนแห่งอยู่ทุกวี่วัน ก็เป็นเรื่องไม่สมควร


               แต่หากไม่พกอาวุธ ก็ไม่สมกับฐานะองครักษ์ของเว่ยฉางเฟิง ดังนั้นเว่ยชิงจึงได้เหน็บดาบอวิ๋นโถวเล่มหนึ่งเอาไว้เช่นนั้นเอง… เป็นจริงว่าเขาไม่ถนัดเพลงดาบเลย!


               ลำพังเพียงเรื่องนี้ กระทั่งเว่ยฉางเฟิงที่กำลังสติกระเจิดกระเจงก็ลืมไปเสียสนิท แต่เว่ยฉางอิ๋งกลับดูออกในทันที!


               เว่ยชิงอ้ำอึ้งยากเอ่ยคำ…ความจริงแล้วที่เขาอาสาอยู่คุมหลัง นอกจากจะเป็นความรับผิดชอบในหน้าที่แล้ว ยังเพราะเขาไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถพาเว่ยฉางเฟิงเข้าป่าและหนีได้ตลอดรอดฝั่ง ดังคำของเว่ยฉางอิ๋ง เมื่อไม่มีอาวุธที่คุ้นมือ ความสามารถที่แท้จริงของเว่ยชิงย่อมถูกบั่นทอนลงไป… ยิ่งไปกว่านั้นเพราะปณิธานแรงกล้าที่จะเข้ารบในสนามรบ จึงได้ไปร่ำเรียนเพลงทวน จนวรยุทธสามารถช่วยเบิกทางให้เขาได้อย่างใหญ่หลวง แต่ในป่ามีกิ่งไม้ใบทึบไม่เหมาะให้เขาแสดงฝีมือแต่อย่างใด!


               หากจะให้เมื่อถึงยามนั้นขึ้นมา แล้วต้องมาตายอย่างอุดอู้อยู่ภายในป่า มิสู้รบจนตัวตายอยู่บนถนนหลวงที่กว้างใหญ่นี่!


               “หากข้าน้อยเข้าไปในป่าก็คง…” เว่ยชิงนิ่งคิดสั้นๆ สักพัก พลางวาดดาบไปขวางคนชุดดำที่อยู่ข้างหน้า สูดหายใจลึกแล้วบอกไปตามจริงว่า “ในป่านอกป่า ข้าน้อยก็ไม่อาจแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้! หากแต่ถนนหลวงกว้างใหญ่ ข้าน้อยสามารถยันไว้ได้นานกว่าในป่า จึงต้องขอให้คุณหนูใหญ่อย่าได้เสียเวลาอีกเลย!”


               “นังแม่เสือสาว เจ้าฆ่าลูกพี่และพวกเราไปหนึ่งคน แล้วก็คิดจะหนีรึ?” เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ทันตอบคำ พี่หยางคนก่อนนี้ก็พลันพุ่งตัวเข้ามา หวดกระบี่ลงมาขวางนางไว้ พลางกล่าวและยิ้มเยาะ!


               “พี่หยางอย่าเพิ่งฆ่านางเสียเล่า จับนางกลับขึ้นเขาทั้งเป็นๆ เอาไปบ้านลูกพี่จี้จุน!” หนึ่งในคนชุดดำตะโกนออกมา “นังแม่เสือสาวนี่มันดูไม่เบาเลย ทั้งยังหน้าตาสวยเสียด้วย ระหว่างทางกลับเขา ก็ให้พวกเราได้เสพสุขบ้าง!”


               “นั่นแน่นอน! ฮึๆ ตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว… ไม่รู้ว่าถ้าได้ลิ้มลองคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเว่ยรสชาติจะเป็นเยี่ยงไร?!”


               ยามนี้มีเลือดไหลนองและซากระเกะระกะอยู่เต็มถนนหลวง เมื่อทอดสายตาออกไปไกล นอกจากเว่ยฉางอิ๋ง เว่ยชิง เว่ยฉางเฟิง ลวี่อี ลวี่ฉือแล้ว กลับไม่มีคนเป็นเหลืออยู่อีก!


               คนชุดดำหลายสิบคนนี้ กลับถูกเว่ยฉางอิ๋งชิงลงมือสังหารตัวหัวหน้าไปเสียก่อน แล้วยังใช้ดาบขององครักษ์สังหารพวกพ้องไปอีกหนึ่ง แต่หากเปรียบเทียบด้วยจำนวนคนแล้ว ก็จะรู้สึกว่าคนทั้งห้าล้วนคือตะพาบน้ำที่อยู่ในไห พวกมันโกรธแค้นเว่ยฉางอิ๋งที่สังหารหัวหน้าและพวกพ้อง ทั้งยังเห็นว่านางทั้งสาวทั้งสวย จึงอดจะพากันพูดจาแทะโลมออกมาไม่ได้…โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฐานะคุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยของเว่ยฉางอิ๋งนั้น หากเป็นก่อนนี้ มิต้องเอ่ยว่าจะพูดจาหยอกล้อต่อหน้า หรือแม้จะพูดจาลับหลังก็ยังต้องคอยระวังไม่ให้มีคนเอาไปฟ้องตระกูลเว่ย


               ยามนี้เห็นว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ชายกระโปรงเปื้อนฝุ่น แขนเสื้ออาบเลือดสด แม้จะอยู่สภาพน่าอนาถเพียงนี้หากยังคงกำดาบใบหลิวไว้ในมือ และคอยเฝ้าปกป้องอยู่ข้างหน้าน้องชาย เมื่อนึกภาพว่าจะจับตัวนางกลับไป พวกคนชุดดำก็เกิดความรู้สึกครื้นเครงและกระเหี้ยนกระหือรือที่ยากจะอธิบายได้ขึ้นมาในใจ…


               เว่ยชิงและเว่ยฉางเฟิงแทบจะหลั่งเลือดออกจากตา เมื่อได้ยินพวกมันกล่าวคำพูดลบหลู่เว่ยฉางอิ๋งออกมา!


               เพียงแต่ในยามนี้ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ คนพวกนี้ดูไปแล้วคล้ายจะยั่วประสาทเว่ยฉางอิ๋ง แต่ก็ยังมีความหวาดกลัวในชาติกำเนิดที่สูงส่งของพวกเขาว่ามีวรยุทธที่ถ่ายทอดมาอย่างครบถ้วน ทั้งในยามปกติก็ยังมีข้าวปลาอาหารหยูกยาเพียงพอมาบำรุงร่างกายหากเกิดการบาดเจ็บ แล้วบนตัวก็ไม่มีอาการบาดเจ็บใด ทั้งยามนี้ก็มีดาบที่คบกริบอยู่ในมือ จึงหวังอาศัยคำพูดเหล่านี้ทำให้ทั้งสองคนเสียสมาธิ จะได้จับพวกเขาได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากมาย เว่ยชิงบันดาลโทสะ แต่กลับเห็นว่าเว่ยฉางอิ๋งมีท่าทีเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด นางยังคงร่ายดาบใบหลิวจนเป็นดังผืนผ้าสีเงินด้วยสายตามุ่งมั่นแล้วดักขวางพี่หยางผู้นั้นเอาไว้จนไปที่ใดไม่ได้ เว่ยชิงจึงพลันได้สติขึ้นมา แล้วรีบรวบรวมสติเข้าต่อสู้กับศัตรู แต่กลับนึกนับถือคุณหนูใหญ่ผู้นี้อยู่ในใจ… ตัวเว่ยชิงเองยังไม่เคยมีประสบการณ์ประมือกับใครมาก่อน วันนี้จิตใจก็ยังว้าวุ่นเสียสมาธิไปหลายหน ทว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์เช่นเว่ยฉางอิ๋ง ซึ่งเพิ่งจะเคยได้ประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ในวันนี้เป็นครั้งแรกกลับสุขุมเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ !


               พี่น้องบ้านใหญ่คู่นี้ไม่ธรรมจริงๆ ก็มิน่าเล่าจึงได้ทำให้มีคนจงเกลียดจงชังทั้งยังต้องคอยระมัดระวังตัว ยอมพร้อมจะเผชิญหน้ากับความโกรธแค้นดังไฟบรรลัยกัลป์ของเว่ยฮ่วนและแม่เฒ่าซ่งหลังเรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ก็ยังจะต้องสังหารคุณหนูและคุณชาย ณ ที่แห่งนี้ให้จงได้!


               … ทว่าประมือกันไปไม่ถึงเค่อ พี่หยางผู้นั้นพลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ แล้วสะบัดกระบี่สามหนซ้อนจนปัดเว่ยฉางอิ๋งออกไป ตนเองกระโดดไปข้างหลัง หันมองไปรอบทิศ พลางกล่าวอย่างตื่นตระหนกและโกรธเคืองว่า “พลธนูเล่า? ในป่าเหตุใดจึงไม่มีลูกธนูออกมาช่วย!”


               ยังมิทันสิ้นเสียงเขา กลับได้ยินเสียงฟื้ดจากทางด้านหลัง…มีพวกพ้องคนหนึ่งกำลังจะเตือนเขาว่ามีลูกธนูพุ่งออกมา แต่กลับเห็นว่าลูกธนูดอกนั้นหาได้เอนเอียงไปทางใดไม่ หากแต่กลับยิ่งตรงดิ่งเข้ามาปักอยู่ที่แผ่นหลังตรงหัวใจของคนชุดดำคนหนึ่ง ลูกธนูแม่นยำรุนแรง แม้มิได้ทะลุทรวงอกออกมา แต่กลับทำให้คนชุดดำคนนั้นเซไปหลายก้าว หลังจากดิ้นทุรนทุรายอยู่หลายครั้ง ที่สุดก็ลมลงกับพื้นและสิ้นใจตาย!


               การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทุกคนนิ่งเหม่อไปชั่วอึดใจ พี่หยางผู้นั้นโมโหโกรธาขนาดใหญ่ รีบหันหลังกับมาตะโกนว่า “จ้าวชี! เจ้ารนหาที่ตายรึ! ยิ่งไปทางใดกัน!”


               ไม่คิดว่าพลันมีลูกธนูพุ่งออกมาจากในป่าอีกดอก และตรงดิ่งไปที่ใบหน้าของเขา!


               “ไม่ใช่คนของเรา!” ยามนี้ พวกคนชุดดำจึงเพิ่งจะสำเหนียกขึ้นได้ว่า…หากเป็นพลธนูของพวกมัน แล้วจะหันมาลงมือกับพวกตนเองได้อย่างไร? จักต้องเป็นคนตระกูลเว่ย หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่มาช่วยพวกของเว่ยฉางอิ๋ง!


               บนถนนหลวงไร้ที่กำบัง พลธนูในป่านั้นไม่เพียงมีป่าทึบคอยอำพรางตัว หากยังสามารถหลบซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ เมื่อมองจากที่สูงลงล่างก็สามารถสังหารทุกคนได้ตามใจ… เมื่อครู่นี้พวกองครักษ์ตระกูลเว่ยถูกโจมตีโดยมิทันได้ตั้งตัว แม้จะมีวรยุทธล้ำเลิศ แต่น่าขัดใจเสียจริงที่ยังไม่ทันได้ใช้ก็มาตายลงเสียก่อน หนนี้กลับถึงคราวของคนชุดดำพวกนี้บ้างแล้ว…


               เห็นชัดว่านอกจากตัวหัวหน้าแล้ว พี่หยางผู้นั้นมีบารมีพอสมควรในหมู่โจรกลุ่มนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้ เขาก็ออกคำสั่งไปอย่างไม่รั้งรอใดๆ ว่า “หันหลังกลับ! ไปป้องกันคนลอบยิงธนูมาทำร้ายเราจากในป่าก่อน!”


               เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงสบตากันหนหนึ่ง อาศัยจังหวะที่พวกคนชุดดำตื่นตกใจเพราะลูกธนูจากในป่าและรั้งรอหยุดลงมือ ค่อยๆ ถอยหลังออกไป เมื่อถอยไปจนถึงรถม้า แล้วนางก็ถีบลวี่อี ลวี่ฉือทั้งสองคนเข้าไปในป่าทีละคน  จากนั้นก็หันหลังกลับมาดึงตัวเว่ยฉางเฟิงแล้วกระโจนเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว!


               ร่างของเว่ยชิงก็ตามนางไปติดๆ และหายลับเข้าไปภายในป่าด้วยเช่นกัน!


__________________________


ตอนที่ 61 วิกฤตหลายชั้น (1)

โดย

Xiaobei

 


“ท่านพี่ ในป่าข้างหน้านั่นคือ…” แม้เว่ยฉางเฟิงจะถูกเว่ยชิงทั้งประคองทั้งลากให้วิ่งมาตลอดทาง ใบหน้าก็มิรู้ว่าถูกกิ่งไม้ข่วนขีดไปกี่มากน้อยแล้ว ทำเอาทั้งร่างของเว่ยฉางเฟิงที่ถูกประคบประหงมเป็นอย่างดีมาแต่ไหนแต่ไรจักไม่มีแห่งใดเลยที่ไม่ เจ็บปวด แต่กลับมิอาจบดบังความยินดีบนใบหน้าของเขาได้ “เป็น ‘ปี้อู๋ ’ หรือ?”


“หากเป็น ‘ปี้อู๋’ มาถึงแล้ว พวกเรายังต้องวิ่งอยู่เช่นนี้รึ?” ในน้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งไม่มีระดับขึ้นลงเลยแม้แต่น้อย หากแต่สงบนิ่งจนน่าแปลก “นั่นเป็นท่านลุงเจียง เมื่อฝนลูกธนูระลอกแรกสาดลงมา เขาก็ถีบรถม้าจนล้ม แล้วใช้ใต้รถที่ไม่มีหน้าต่างประตูเป็นที่กำบังลูกธนูให้ข้า เมื่อครู่นี้อาศัยช่วงชุลมุนมาบอกข้าว่า เขาจะเข้าไปในจัดการกับพวกพลธนูในป่าให้เรียบร้อยเสียก่อน หาไม่วันนี้พวกเราคงไม่มีสักคนจะหนีเอาชีวิตรอดไปได้! ยามนี้ดูไปแล้ว ท่านลุงเจียงคงจะอาศัยจังหวะหลังจากที่พวกคนชุดดำออกมาแล้วไปสังหารพวกพลธนูจนหมดแล้ว!”


เมื่อได้ยินว่าคนที่สังหารพลธนูของอีกฝ่ายจนราบ ทั้งยังใช้ธนูของฝ่ายตรงข้ามลอบโจมตีพวกคนชุดดำบนถนนหลวงระลอกหนึ่งนั้นกลับเป็นเจียงเจิงเพียงผู้เดียว ความยินดีที่เว่ยฉางเฟิงมีอยู่ก่อนนี้ก็พลันถูกเผาเป็นจุนในทันใด เขาโพล่งถามอย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “แล้วท่านลุงเจียงเล่า?”


“ไม่รู้สิ เขาให้พวกเราไปก่อน” น้ำเสียงของเว่ยฉางอิ๋งแสนจะสงบราบเรียบแต่ก็เย็นเฉียบ ดูแปลกประหลาดยิ่ง เว่ยชิงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับนาง ทั้งยังรู้สึกนับถือในความสุขุมของนาง แต่กลับมิได้รู้สึกถึงสิ่งใด แต่เว่ยฉางเฟิงกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม เขาขบคิดด้วยความฉงนว่า ‘เหตุใดท่านพี่จึงได้ดูแปลกไปเช่นนี้?’


เพียงแต่ในตอนนี้ยังไม่พ้นจากอันตราย ถึงแม้เว่ยฉางเฟิงจะรู้สึกเป็นห่วงพี่สาว แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาพูดมาก ทำได้เพียงวิ่งสุดแรง ตามเว่ยชิงเข้าไปในป่าอย่างทุลักทุเล


เขา ลวี่อีและลวี่ฉือล้วนเป็นเพียงคนธรรมดา อีกทั้งลวี่อีและลวี่ฉือยังเป็นหญิง พาพวกเขาสามคนหนี ไม่เพียงไม่อาจจะไปได้เร็ว เสียงดังที่เกิดขึ้นขณะวิ่งก็ยังทำให้พวกนกที่อยู่ใกล้ไกลพากันแตกตื่นขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจักต้องควระวังว่ามีใครไล่หลังมาหรือไม่… หรือแม้จะมี เพียงคนร้ายที่ตามมาไม่ได้ร้องตะโกนเสียงดัง เมื่อถูกรบกวนด้วยเสียงฝีเท้าดังๆ รอบตัว พวกเขาก็จะไม่อาจรู้ได้เลย


เช่นนั้น ทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่ามีคนชุดดำไล่ตามมาหรือไม่ จึงยิ่งไม่กล้าหยุดพัก ทำได้เพียงพยายามวิ่งต่อไป!


พวกเขาวิ่งอย่างเต็มแรงเช่นนี้อยู่ในป่าหนึ่งเค่อเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นเว่ยฉางเฟิงหรือเว่ยชิงต่างก็รู้สึกอ่อนล้า ในขณะที่ไม่อาจไม่ลดความเร็วลงได้นั้น กลับเห็นว่าข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีร่างคนชุดสีเทาคนหนึ่งปรากฏขึ้น! คนทั้งกลุ่มต่างตกใจยกใหญ่จนหน้าถอดสี เว่ยชิงตั้งท่าจะหวดดาบเข้าหา…เคราะห์ดีที่เว่ยฉางอิ๋งสายตาแหลมคม ทั้งยังรู้สึกคุ้นเคยกับผู้ที่โผล่มา จึงร้องเรียกอย่างยินดีว่า “ท่านลุงเจียง!”


เป็นเจียงเจิง


องครักษ์สูงวัยผู้นี้สมกับที่เคยให้การอารักษ์ขามาหลายชั่วอายุคน แม้แต่ผู้นำของตระกูลเว่ยก็ยังเล็งเห็นถึงวรยุทธที่เขาได้รับการถ่ายทอดมาและประสบการณ์ในยุทธภพที่เขาเคยได้สั่งสมมาหลายยุคหลายสมัย และตั้งใจทาบทามให้เขาเข้ามาทำงานในตระกูลเว่ย…ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญอย่างไม่ทันคาดคิด เขาไม่เพียงเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ทัน ทั้งยังถีบรถม้าจนล้ม เพื่อใช้ปกป้องเว่ยฉางอิ๋งที่อยู่ในรถให้ไม่ต้องลูกธนูจนบาดเจ็บ ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้เห็นตัวเขาเลย ชั่วเวลาสั้นๆ ขณะฝนลูกธนูกระหน่ำมาหลายระลอกนั้น เขากลับหลบเข้าไปอยู่ในป่าเรียบร้อยแล้ว!


ไม่เพียงเท่านี้ ในเวลาสั้นๆ ที่เว่ยฉางอิ๋งและเว่ยชิงกำลังรับมือกับพวกโจรอยู่นั้นเจียงเจิงก็รู้ชัดว่าพลธนูทั้งหมดนั้นหลบซ่อนอยู่ที่ใด ทั้งยังสังหารพวกมันทั้งหมด โดยที่พวกโจรที่อยู่ภายนอกป่ามิทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ…


ยิ่งไปกว่านั้น…นี่เป็นชั่วเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ยังมิต้องเอ่ยเจียงเจิงได้ข้ามถนนหลวงมายังป่าข้างทางนี้แล้วมาเจอพวกเขา ตอนนี้ยังเดินนำหน้าพวกเขาไปอีก!


องครักษ์ที่มีประสบการณ์เปี่ยมล้นทั้งความสามารถสูงส่งเช่นนี้ ดูเสื้อผ้าของเขาแม้จะมิได้หมดจดเหมือนใหม่ แต่กลับเรียบร้อยยิ่ง แม้แต่เว่ยฉางเฟิงก็มีความรู้สึกประหนึ่งว่าได้เห็นบุคคลสำคัญ รีบร้อนเข้าไปไถ่ตามว่า “ท่านลุงเจียง คนพวกนั้น…”


คำพูดของเขาถูกเจียงเจิงตัดบทอย่างรวดเร็ว เจียงเจิงขมวดคิ้วเข้มของเขา กล่าวเสียงหนักว่า “ข้าน้อยมิใช่บอกกับคุณหนูใหญ่ว่าหลังจากข้าน้อยจัดการเรียบร้อยแล้ว และใช้ธนูดึงดูดความสนใจพวกโจร ก็ให้คุณหนูใหญ่ฉวยโอกาสรีบหนีเข้าป่าแล้วไปให้ไกลเท่าใดได้ยิ่งดีหรอกหรือ? ในป่าแห่งนี้ข้าน้อยมีวิธีของตนที่จะไล่ตามคุณหนูใหญ่ไปทัน ในเวลาเดียวกันก็จักได้คอยระวังหลัง และปกปิดร่องรอยให้คุณหนูใหญ่ด้วย… เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่พังคำของข้าน้อย แล้วยังหยุดรั้งรออยู่ที่นี่เล่า?!”


คำพูดนี้กล่าวออกมาเสียจนทุกคนตื่นตกใจกันหมด เว่ยฉางอิ๋งเองก็ยังถึงกับนิ่งเหม่อไป แล้วกล่าวไปทันควันว่า “พวก…พวกข้าวิ่งมาตลอดหนึ่งเค่อแล้ว! มิใช่ว่าท่านลุงเจียงเดินมาก่อนหน้าพวกข้าหรอกหรือ?”


“อะไรกัน?!” เจียงเจิงตะลึงงัน แล้วจึงพลันเข้าใจทันใด พร้อมกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปพลางว่า “คงเพราะคุณหนูใหญ่ไม่รู้ทาง ต้นไม้ในป่านี้หนาทึบ คุณหนูใหญ่จึงได้หลงเดินเป็นวง!”


“…” อารมณ์ของทุกคนในยามนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าควรบรรยายออกมามาอย่างไรดี เว่ยฉางอิ๋งไร้อารมณ์จะมาหงุดหงิดกับเรื่องนี้ ถามอย่างร้อนใจไปว่า “ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากถนนหลวง…”


เจียงเจิงก้าวมาข้างหน้าเงียบๆ แล้วคว้าตัวเว่ยฉางเฟิงเข้ามา ยามนี้หาได้มาคำนึงถึงว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าวแล้ว จากนั้นก็แบกเว่ยฉางเฟิงขึ้นหลัง กล่าวว่า “ยังคงเป็นพื้นที่ในระยะธนู… ไม่อาจหยุดอยู่ที่นี่ รีบไป รีบไปขอรับ!”


เมื่อมีเจียงเจิงบอกทาง ทุกคนย่อมไม่ต้องหลงเดินเป็นวงอยู่ภายในป่าอีก… หรือกระทั่งไม่ต้องหลงเดินผิดกลับออกไปยังถนนหลวงให้พวกโจรพบเห็น


เว่ยฉางเฟิงมีเจียงเจิงคอยแบกอยู่บนหลัง ลวี่อีและลวี่ฉือกลับไม่อาจให้เว่ยชิงและเว่ยฉางอิ๋งแบกพวกนาง ทว่าต้นไม้ในป่าแน่นทึบ แม้เจียงเจิงจะเดินไม่เร็วนัก แต่ลวี่อีและลวี่ฉือรู้ดีว่ายามนี้มีภัยร้ายแรง ยามที่เว่ยฉางอิ๋งดึงเว่ยฉางเฟิงให้หลบเข้าไปในป่าก่อนหน้านี้ ยังไม่ลืมที่จะถีบพวกนางเข้าเสียก่อน พวกนางก็ซาบซึ้งในบุญคุณของนายตนอย่างมากแล้ว ตอนนี้จึงไม่อาจให้การเดินทางล่าช้าเพราะพวกนางได้อีก… หากถูกทิ้งเอาไว้แล้วถูกพวกโจรจับได้ เพียงฟังที่พวกมันกล้าแทะโลมเว่ยฉางอิ๋งต่อหน้าเมื่อครู่นี้ ประสาอะไรกับสาวใช้สองคนเช่นพวกนาง?


ภายใต้ความหวาดกลัว สาวใช้ทั้งสองนางยกชายกระโปรงขึ้น แล้วเร่งฝีเท้าเร็วบ้างช้าบ้างเดินไปตลอดทาง แม้จะทุลักทุเลแต่ก็เกาะกลุ่มไปได้!


เจียงเจิงเดินไปถึงต้นไม้แก่ที่สูงใหญ่มากต้นหนึ่ง วางเว่ยฉางเฟิงลง แล้วก้มตัวแนบหูลงกับพื้นอยู่เกือบเค่อ จึงลอบผ่อนลมหายใจ กล่าวว่า “พวกมันมิได้ตามมาชั่วคราว พวกเราสามารถพักได้สักพัก”


เมื่อกล่าวความนี้ออกมา ทุกคนรวมทั้งเว่ยฉางอิ๋งต่างก็ขาอ่อนแรงลงทันใด…การเดินทางภายในป่าลึกรกทึบเช่นนี้ลำบากลำบนยิ่ง โดยเฉพาะในยามที่กำลังถูกตามไล่สังหาร ทั้งยังต้องคอยเอาใจจดจ่อ บั่นทอนทั้งแรงกายและแรงใจเป็นที่สุด


เมื่อถึงยามนี้ ทุกคนก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่าท้องว่างเปล่า ทั้งหิวทั้งกระหาย เพียงแต่รอบกายก็ไร้บ่อน้ำ ทั้งไม่มีผลไม้ป่า จะหาเวลานั่งพักในตอนนี้ก็ยังแทบไม่ทันแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเดินออกไปหาของกินในที่ไกลๆ เลย ลำพังเรื่องโชคไม่ดีได้มาเจอกับพวกโจร อยากจะร้องไห้ก็ยังไม่ทันแล้ว


ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงได้แต่พักผ่อนอยู่เงียบๆ ไม่ส่งเสียง พยายามให้แรงกายกลับคืนมาโดยเร็ว


แรกเริ่มเว่ยฉางเฟิงถูกเว่ยชิงลากไป ต่อมาก็ถูกเจียงเจิงดึงตัวแบกขึ้นหลังเขาอีก จึงมิได้สูญเสียแรงกายไปนัก และตอนนี้ก็ถูกวางลงมาแล้ว ซึ่งคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็ย่อมเป็นพี่สาวของตน แต่กลับเห็นเว่ยฉางอิ๋งมีสายตาสงบอยู่เนิ่นนาน ใบหน้าก็ซีดขาวจนน่าตกใจ สีหน้าของนางในยามนี้ยิ่งขับให้ดวงตาของนางดูสว่างชัดจนน่าประหลาด


แม้จะอยู่ในภายในป่าใต้ต้นไม้ที่มีกิ่งใบหนาจนทำให้มืดทึบ แต่ดวงตาทั้งคู่นั้นยังคงสุกสว่างเช่นดวงดาว…ว่าไปแล้วหลังจากที่เร่งร้อนวิ่งกันมาเช่นนี้ แม้โดยปกติคนที่มีใบหน้าซีดเผือด ที่สองแก้มก็ควรจะสีม่วงหรือกระทั่งแดงระเรื่อจึงจะถูก เหตุใดสีหน้าของเว่ยฉางอิ๋งยังคงขาวซีดเช่นนี้? ความผิดปกติเยี่ยงนี้ทำให้เว่ยฉางเฟิงหนักใจเหลือล้น อดจะถามไปไม่ได้ว่า “ท่านพี่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”


เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำแล้วหันมองเขาคราหนึ่ง แววตาเฉยชาและสงบนิ่ง พลางค่อยๆ ส่ายหัว เพียงแต่ส่ายหัวไปได้เพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าเว่ยฉางอิ๋งคิดถึงสิ่งใดสีหน้าจึงได้เปลี่ยนไปทันที เอื้อมมือขึ้นมาปิดปากแล้วลุกขึ้นยืน


คนที่เร็วกว่านางก็คือเจียงเจิง เขายกมือขึ้นทันทีแล้วกดไปที่หัวไหล่ของนางหลายแห่งด้วยความเร็วดังสายฟ้าแลบ แล้วกล่าวเสียงหนักว่า “ห้ามอาเจียน! คุณหนูใหญ่ถูกประคบประหงมเป็นอย่างดีมาตลอด เพิ่งเคยจะได้มาเห็นความเป็นความตายเป็นครั้งแรก จึงได้มีอาการขวัญผวา ทั้งเมื่อครู่ก็ได้ลงมือสังหารคน… ยามนี้รู้สึกกระอั่กกระอ่วนเอาการก็เป็นเรื่องธรรมดา! ทว่ายามนี้พวกเรายังไม่รอดพ้นจากอันตราย ทั้งในตัวก็ไม่มีน้ำไม่มีอาหาร หากคุณหนูใหญ่อาเจียนออกมายามนี้ เรื่องที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้นั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่กำลังที่ถูกบั่นทอนลงนั้นเป็นเรื่องใหญ่! ดังนั้นแล้วห้ามอาเจียนออกมาเป็นอันขาด! อย่างไรต้องขอให้คุณหนูใหญ่อดทนเข้าไว้!”


เมื่อได้ฟังคำเขา เว่ยฉางเฟิงถึงได้กระจ่าง… การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้เว่ยชิงจะเป็นผู้ที่เว่ยฮ่วนประเมินว่าเป็นผู้ที่เคยฝึกฝนมาอย่างดีทั้งยังสุขุมรอบคอบ ก็ยังมีหลายครั้งที่ทำอะไรไม่ถูก! แล้วประสาอะไรกับเว่ยฉางอิ๋งที่เคยอยู่แต่ในจวนและมีชีวิตสุขสบายมาโดยตลอด?


เว่ยฉางอิ๋งถูกฮูหยินซ่งเอาอกเอาใจ จนถึงขั้นเคยโยนอัญมณีทั้งคันรถลงมาจนแตกพัง เพียงเพื่อให้ได้คำชมจากบุตรสาวประโยคหนึ่งว่าเสียงมันไพเราะ… ไม่ว่าจะมีวรยุทธล้ำเลิศเพียงใด วันนี้ก็เพิ่งจะได้เห็นเลือดเป็นคราแรก! เกรงว่าแม้เป็นผู้มีประสบการณ์ได้มาพบเห็นความโหดร้ายบนถนนหลวงก็ยังต้องหน้าถอดสี… ส่วนเว่ยฉางอิ๋งที่ต้องการปกป้องน้องชาย พอออกจากรถมาได้ก็เข้าสังหารหัวหน้าคนชุดดำด้วยมือตนเองทีเดียว!


แล้วจากนั้นก็ได้สังหารคนไปอีกคน…


ดวงตาของเว่ยฉางอิ๋งเคยเห็นเพียงผ้าจิ่นซิ่วสีสดใส ไม่ก็สวนป่าที่จัดแต่งงดงาม ชั่วชีวิตนี้อย่าว่าแต่สังหารคน แม้แต่ฆ่าไก่นางก็ยังไม่เคยเห็น… แล้ววันนี้ต้องได้มาเห็นองครักษ์บ้านตนรวมทั้งม้าถูกสังหารจนหมดไปต่อหน้าต่อตา ภายหลังยังถูกบังคับให้ลงมือสังหารศัตรูอีก โดยเฉพาะคนชุดดำที่สังหารไปภายหลังผู้นั้น เลือดสดๆ ของคนผู้นั้นยังคงเหนียวติดอยู่บนแขนเสื้อของเว่ยฉางอิ๋ง…เว่ยฉางอิ๋งยังคงรักษาท่าทีให้สงบอยู่ได้ ทั้งสิ้นก็เพราะนางพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้อย่างสุดความสามารถเพื่อเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและขยะแขยง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม