ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 579.2-583.1

ตอนที่ 579 - 2 ใกล้แค่ตรงหน้า

 

ครั้นเห็นคบเพลิงซึ่งแผ่ขยายทอดยาวลงไปบนพื้นพิภพที่มีแต่น้ำแข็งและหิมะก็หวนนึกถึงการอยู่ร่วมกันอย่างอุ่นภายในถ้ำหิมะกับนางเซียนหนิง ราวกับความฝันและภาพหลอน ประหนึ่งสองห้วงมิติ ทำให้คนไม่กล้าเชื่อว่าเป็นความจริง 


 


 


ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าสถานที่ที่ไกลห่างออกไปเงียบสงัดจนผิดปกติ เขาเงยหน้าเพ่งมอง สายตาอ่อนโยนของสาวน้อยทูเจวี๋ยกำลังมองมาทางนี้ ครั้นเห็นสายตาของเขาอวี้เจียก็นิ่งอึ้งก่อน จากนั้นก็รีบเบือนหน้าไป สีแดงระเรื่อข้างแก้มมองเห็นได้ชัดเจน 


 


 


นังหนูคนนี้เหลือชีวิตแค่ไม่กี่เดือนแล้ว ไม่รู้ว่าตัวนางจะรู้หรือไม่ หลินหว่านหรงส่ายหน้า ภายในใจบังเกิดความรู้สึกหลากหลายผสมปนเป สลับซับซ้อนยากจะจำแนกได้ เดินสาวเท้ายาวๆ ไปหานางอย่างรวดเร็วทันที 


 


 


ได้ยินฝีเท้าของเขาเดินเหยียบย่ำพื้นหิมะส่งเสียงดังสวบสาบ เสียงแต่ละเสียงต่างกระแทกจิตใจ แม้อวี้เจียจะเบือนหน้า ทว่าลำคอระหงกลับซับด้วยสีแดงสดใสอยู่หลายส่วน งามสดใสอย่างน่าประหลาด 


 


 


ยังอยู่ห่างจากอวี้เจียอีกหลายจั้ง เห็นสองมือที่กำแน่น ใบหูที่แดงก่ำของนางได้รางๆ แม้แต่ขนตายาวซึ่งกำลังกระเพื่อมไหวก็มองเห็นได้ชัดเจน ขณะที่หลินหว่านหรงกำลังจะสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหา กลับรู้สึกว่าแขนเสื้อรัดแน่น เหมือนมีคนดึงจากข้างหลัง ดังนั้นจึงรีบหันกกลับไป กลับเห็นหนิงอวี่ซีซึ่งสวมชุดขาวประดุจเซียน ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าโปร่ง กำลังแย้มยิ้มให้เขาอยู่ 


 


 


“พี่สาวนางเซียน ท่านไปที่ใดมา?” หลินหว่านหรงรู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น รีบจับมือนางไว้ หลังจากออกจากซอกเขาก็ไม่เห็นเงาของนางเซียน ขณะกำลังเป็นห่วง นางกลับมายืนอยู่ข้างกายเขาโดยไม่ให้สุ้มเสียง แล้วจะไม่ให้เขายินดีเป็นล้นพ้นได้อย่างไรกัน 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะแล้วตอบว่า “เมื่อครู่เจ้ากำลังพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างมีความสุข แล้วข้าจะรบกวนเจ้าได้อย่างไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงรอให้พวกเขาไปแล้วถึงออกมาพบเจ้า” 


 


 


นางเซียนหนิงสวมชุดสตรีย่อมไม่สะดวกเข้าออกค่ายทหาร หลินหว่านหรงกะพริบตาแล้วพูดว่า “พี่สาว ไม่สู้อีกสักครู่ท่านเปลี่ยนเป็นชุดบุรุษเถอะ พวกเราร่วมกินร่วมอยู่ร่วมทำงาน” 


 


 


หนิงอวี่ซีจะไม่รู้ความคิดความอ่านเขาได้อย่างไร ดวงหน้างามแดงเล็กน้อย ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หากต้องการร่วมกินร่วมอยู่ร่วมทำงาน เจ้าไปหาศิษย์น้องอันไป! ข้าเห็นเจ้าพออยู่ต่อหน้านางกลับว่าง่ายอยากหาได้ยากนัก หรือว่าเจ้ากลัวเข็มเงินของนาง?” 


 


 


คืนนั้นที่กอดนางจิ้งจอกอันนอนร่วมเตียงจะต้องอยู่ในสายตานางเซียนหนิงจนหมดสิ้นแน่ นางถึงได้กระเซ้าแบบนี้ หลินหว่านหรงหน้าแดงอย่างยากจะได้เห็น หัวเราะฮิฮะสองคราแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ดูท่านพูดเข้าสิ ตอนข้าอยู่ต่อหน้าท่าน นั่นยิ่งไม่ว่าง่ายกว่าหรอกหรือ? จริงๆ นะ ข้าไม่เคยว่าง่ายเช่นนี้มานานมากแล้ว!” 


 


 


ว่าง่าย? นางเซียนมองค้อนเขาอย่างจนใจ ดวงหน้าแดงเล็กน้อย จิตใจไม่สงบ หากเจ้าว่าง่ายจริงก็เอามือที่อยู่ที่เอวข้ากลับไปสิ ทั้งลูบทั้งคลำ อายจะตายอยู่แล้ว 


 


 


ฝีเท้าของเจ้าโจรเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อวี้เจียใจเต้นรัวดังตึกตัก คิดอยากจะออกห่างจากเขาอีกสักหน่อย ทว่ากลับไม่อาจย่างก้าวได้ ไม่รู้เมื่อไหร่เช่นกันที่ฝีเท้านั้นพลันหยุดชะงัก เจ้าโจรคล้ายยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแล้ว มีเสียงกระซิบกระซาบ หัวร่อต่อกระซิกเบาๆ  


 


 


นางรีบเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นว่าข้างกายของหลินหว่านหรงมีสตรียืนอยู่อย่างสงบนิ่งผู้หนึ่ง 


 


 


สตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีขาว เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ยืนตระหง่านท่ามกลางหิมะ ขณะแย้มยิ้มบางๆ สง่างามหลุดพ้นโลกีย์อย่างบอกไม่ถูก แม้จะมองรูปโฉมนางไม่ชัดเจน แต่จากผิวขาวราวหิมะที่เผยออกมาเป็นบางครั้งก็พอคาดเดารูปโฉมอันงามพิลาสของนางได้ มืองามของนางเรียวยาวกระจ่างใส ดวงหน้าบัดเดี๋ยวขมวดคิ้วบัดเดี๋ยวยิ้มแย้ม คิ้วเรียวยาวเบาบางนั้นทอดโค้งงามประดุจขุนเขา ราวกับนางเซียนผู้หลุดพ้นลงมาเยือนโลกมนุษย์ ไม่มียามใดที่ไม่งดงาม 


 


 


แม้อวี้เจียจะเป็นสตรีผู้งามล้ำเลิศเช่นกัน แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าสตรีชุดขาวผู้เรียบง่ายงามสง่าดั่งเซียนนี้กลับบังเกิดความละอายใจขึ้นมาหลายส่วน 


 


 


หลินหว่านหรงกับสตรีผู้นั้นยืนอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่ เจ้าโจรจับมือนางแน่น ดวงตาเผยความอ่อนโยนออกมาเป็นระยะ เพียงพอที่จะหลอมละลายหิมะและน้ำแข็งบนเทียนซานนี้ 


 


 


จำได้รางๆ ว่าเหมือนเป็นเงาร่างคู่นี้ที่ขึ้นมาจากโพรงน้ำแข็ง 


 


 


อวี้เจียสีหน้าเหม่อลอย จิตใจพลันถูกสูบจนว่างเปล่าในบัดดล ความผิดหวัง ความปวดใจ ความเดือดดาล อารมณ์มากมายนับไม่ถ้วนเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจทันที นางกัดฟันส่งเสียงดังกรอดกรอด จ้องสองคนตรงหน้าเขม็ง ดวงตาวาวโรจน์แปรเปลี่ยนสารพัน ขนตายาวของนางกระเพื่อมไหวเล็กน้อย น้ำตากระจ่างใสสองสายไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน 


 


 


“โจรน้อย เจ้าจะแค้นข้าหรือไม่?!” ขณะกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความอบอุ่น จู่ๆ นางเซียนก็เอ่ยปากพร้อมถอนหายใจแผ่วเบาออกมา 


 


 


หลินหว่านหรงอ้าปากด้วยความตกใจ “พี่สาว ท่านพูดอะไร แค้นไม่แค้นอะไร” 


 


 


หนิงอวี่ซีส่ายหน้า ชี้ไปยังเงาร่างที่จากไปอย่างรวดเร็วนั้น “เจ้าดู!” 


 


 


ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เงาร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยหายไปจากตรงหน้า ครั้นเงยหน้ามอง เงาร่างบอบบางร่างหนึ่งกำลังวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วท่ามกลางพื้นหิมะ ล้มลุกคลุกคลานครั้งแล้วครั้งเล่า ในความดื้อดึงคล้ายแฝงด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล ตั้งแต่ต้นจนจบกลับไม่หันหน้ากลับมาเลย 


 


 


การละเล่นอันแสนอันตรายนี้ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างศัตรูและตัวเรานับวันจะยิ่งรางเลือนเข้าไปทุกที ผู้ใดเป็นจิ้งจอก ผู้ใดเป็นนายพราน ท่ามกลางความสับสนงุนงงนั้นไม่อาจแบ่งแยกอย่างชัดเจนได้อีกแล้ว 


 


 


ชีวิตคนเรามันช่างน่าสนุกมารดามันเสียจริง! หลินหว่านหรงสบถออกมาคราหนึ่ง ใจทั้งเหมือนรู้สึกได้ใจ ทั้งรู้สึกหดหู่ สลับซับซ้อนเหลือเกิน 


 


 


เมื่อเห็นเขาส่ายหน้าดิก จึงถอนหายใจดังเฮ้อ นางเซียนมองเขาอยู่หลายครา กล่าวด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมาว่า “จะตามนางไปหรือไม่?!” 


 


 


“ไม่ ไม่” หลินหว่านหรงตกใจจนรีบโบกมือ ล้อเล่นหรือเปล่า แม้นางเซียนจะอ่อนโยนเอาใจใส่ แต่ถ้าหึงขึ้นมา เกรงว่านางจิ้งจอกอันก็สู้ไม่ไหว อวี้เจียยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้แล้ว 


 


 


“ไม่ต้องจริงหรือ?” หนิงอวี่ซีส่ายหน้า “สตรีผู้นี้หากเอ่ยถึงรูปโฉม สติปัญญา ฝีมือ ในต้าหัวเราถือว่าเป็นขนหงส์เกล็ดกิเลนเช่นกัน หากละทิ้งไปเช่นนี้จะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ?” 


 


 


ทำไมจู่ๆ นางเซียนถึงพูดจาให้อวี้เจียล่ะ จะทดสอบข้าอีกหรือ? หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า “อวี้เจียร้ายกาจนั้นไม่ผิด แต่นางเป็นชาวทูเจวี๋ย สติปัญญาที่นางมีล้วนใช้เพื่อสู้กับพวกเรา ตอนนี้พวกเราร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนางได้ แต่เมื่อข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ที่อยู่ตรงหน้าไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องประหัตประหาร เป็นศัตรูคู่แค้น ข้าต้องการบุกโจมตียึดราชธานีของชนเผ่านอกด่าน และมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่นั่นจะเป็นบ้านของอวี้เจีย พี่สาวนางเซียน หากท่านเป็นข้า ท่านจะทำเช่นไร?!” 


 


 


ความแค้นของบ้านเมือง ความอยู่รอดเป็นตาย คำถามนี้ตอบยากจริงๆ นางเซียนเหลือบมองเขาพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ปัญหายากของเจ้า เหตุใดถึงโยนมาให้ข้าแก้? เจ้าไม่ใช่มีลูกไม้ในการต่อกรกับสตรีอย่างพวกเรามากมายหรอกหรือ?” 


 


 


มาแล้วๆ พี่สาวหนิงคนนี้แรงหึงมากแล้วก็ยังยิ้มแย้ม ยากต่อกรยิ่งกว่านางจิ้งจอกอันจริงๆ ลองคิดดูเมื่อครู่กำลังอยากจะพูดคุยกับอวี้เจียสักสองสามประโยค นางเซียนก็โผล่มาได้พอเหมาะพอดี เวลาไม่ช้าไม่เร็ว เล็งได้อย่างเหมาะเหม็ง สมกับคำว่ายอดฝีมือพอลงมือก็รู้แล้วว่าได้หรือไม่ได้  


 


 


“เหตุใดถึงไม่พูดแล้วเล่า” หนิงอวี่ซียิ้มพลางมองเขา  


 


 


หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “พี่สาว เหตุใดท่านถึงกล่าวเช่นนี้ได้? ผู้ที่คุ้นเคยกับข้าต่างรู้ดี ข้าเป็นคนที่ใช้ความจริงใจแลกกับความจริงใจ ใช้ความรักโยกคลอนคนมาตลอด แล้วจะไปจงใจจัดการผู้อื่นได้อย่างไรกันเล่า?!” 


 


 


นางเซียนส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมาเบาๆ “กับอวี้เจียคนนี้ หรือว่าเจ้าไม่ได้กำลังเพียรพยายามทำให้นางตกหลุมพรางหรอกหรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้ามีความจริงใจต้องการ…” 


 


 


นางเซียนมองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หลินหว่านหรงเหงื่อเย็นไหลพราก โอ๊ยๆ เกือบตกหลุมพรางนางแล้ว พี่สาวเทพเซียนคนนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง 


 


 


“เอาล่ะ เจ้าก็อย่าโทษข้าเลย” หนิงอวี่ซีจับมือเขาพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “หากมิใช่ศิษย์น้องอันฝากฝังเอาไว้ ข้าก็คร้านที่จะสนใจเรื่องวุ่นวายพวกนี้ของเจ้าหรอกน่า” 


 


 


“พี่สาวอัน?” หลินหว่านหรงตกใจจนหุบปากไม่ลง พูดแบบนี้ การที่นางเซียนโผล่ออกมาทันเวลาพอดีก็เป็นเรื่องที่นางจิ้งจอกอันฝากฝังไว้ตั้งแต่แรกแล้วสิ? นางจิ้งจอกบ้ากามคนนี้ไม่เพียงวางยาพิษฆ่าอวี้เจีย อีกทั้งยังต้องการให้อวี้เจียโมโหจนตายอีก ร้ายกาจ ช่างร้ายกาจเสียจริง! 


 


 


นางเซียนกล่าวอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องอันแม้จะมีนิสัยร้อนแรง ถึงกระนั้นก็มิใช่คนกระทำตามอำเภอใจ นางจงใจหาเรื่องอวี้เจียก็ย่อมมีเหตุผลของนาง และต้องทำเพื่อเจ้าอย่างแน่นอน” 


 


 


ทำเพื่อข้า? ที่แท้ในน้ำเต้าของพี่สาวอันคนนี้ขายยาอะไรกันแน่? หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยความอับจนปัญญา จิ้งจอกบ้ากามกับพี่สาวนางเซียน คนหนึ่งทำตัวเป็นคนดี คนหนึ่งทำตัวเป็นคนร้าย ไม่กี่ทีก็จัดการข้าจนอยู่หมัด หากไม่พอใจขึ้นมาก็เอาเข็มมาทิ่มก้นข้า การอยู่เคียงคู่กับคนงามทั้งสองนี้ นั่นคือความทุกข์ที่ผสมด้วยความสุขอย่างแท้จริง  


 


 


นับจากลงจากเทียนซานก็ปราศจากอุปสรรคขัดขวางอีก ทัพใหญ่เร่งควบอาชา ภายในสองวันก็บรรลุถึงตีนเขาอาเอ่อร์ไท่ เขาอาเอ่อร์ไท่อันยิ่งใหญ่ตั้งสูงตระหง่าน ที่อยู่ตรงข้ามก็คือส่วนลึกทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันสุดลูกหูลูกตา เคอปู้ตัว หญ้าแสบจมูก เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่าน จะเหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าจนหมดสิ้น 


 


 


ยืนอยู่บนยอดเขาอาเอ่อร์ไท่อันสูงตระหง่าน ทอดสายตามองหญ้าเขียวขจีท้องฟ้าสีครามที่อยู่ไกลห่างออกไป หลินหว่านหรงก็ไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์อันพลุ่งพล่าน หัวใจของชาวทูเจวี๋ยใกล้แค่ตรงหน้าแล้ว! 

 

 


ตอนที่ 580 คนแปลกหน้า

 

ภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ในภาษาทูเจวี๋ยถูกขนานนามว่า ‘ยอดเขาสีทอง’ ทอดยาวไปนับพันลี้ ตัดขวางระหว่างเทือกเขาเทียนซานกับทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ถือเป็นปราการทางธรรมชาติที่ขวางกั้นระหว่างทะเลทรายและภูเขาหิมะ ทะเลสาบเอ๋อเอ่อร์จี้ซือก็ถือกำเนิดที่นี่ มันค่อยๆ ไหลจากใต้ขึ้นเหนือ สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์ในทุ่งหญ้าอาลาซ่าน 


 


 


เมื่อข้ามผ่านยอดเขาสูงอาเอ่อร์ไท่ สิ่งที่ตกเข้าสู่ม่านจักษุเป็นสิ่งแรกก็คือพรมสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาซึ่งทอดยาวคดเคี้ยวไม่มีวันจบสิ้นไปจนถึงขอบฟ้านั้น บุปผาน้อยหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนแต่งแต้มอยู่ในนั้น งดงามเฉิดฉัน แม่น้ำกระจ่างใสอันกว้างใหญ่สายหนึ่งไหลดังซ่าๆ ลงมาจากยอดเขา ไหลเอื่อยไปยังสถานที่อันห่างไกล ท่ามกลางแสงแดดยามวสันต์อันอบอุ่น ผิวน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ ส่องประกายสีทองสะดุดตา 


 


 


“สำเร็จแล้ว พวกเราสำเร็จแล้ว!” เดินทางรอนแรมมานานหลายเดือน ข้ามผ่านภูเขาหิมะ ตัดผ่านทะเลทราย ประสบความทรมานถึงขั้นเป็นตาย เมื่อทุ่งหญ้าสีเขียวมรกตปรากฏในครรลองจักษุอีกครั้ง เหล่านายทหารจึงอดโห่ร้องยินดี ร่ำไห้ด้วยความปีติยิ่งไม่ได้ 


 


 


จากเฮ่อหลานซานถึงอาเอ่อร์ไท่ พวกเขาเดินทางผ่านเส้นทางซึ่งไม่เคยมีผู้ใดเคยเดินทางมาก่อน ไม่ใช่แค่เดินทางอ้อมผ่านดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนทุ่งหญ้าเท่านั้น ทั้งยิ่งเข้าสู่ดินแดนที่เป็นเหมือนหัวใจของชาวทูเจวี๋ยอย่างเงียบๆ โดยที่ผีสางเทวดาต่างไม่รู้อีกด้วย ข้ามผ่านเฮ่อหลานซานครั้งแรก เหยียบย่ำเข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านครั้งแรก หยุดอยู่ตรงหน้าเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านครั้งแรก ความใฝ่ฝันของทหารชายแดนจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพวกเขาทำให้เป็นจริงขึ้นมาทีละอย่าง สิ่งนี้ถูกกำหนดแล้วว่าจะเป็นการยกทัพเดินทางไกลที่ยิ่งใหญ่และมีเกียรติซึ่งบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ต้าหัวครั้งหนึ่ง 


 


 


เลียบทะเลสาบ วัวแพะและแกะจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเดินออกหากินอย่างสบายอารมณ์บนทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอุดมสมบูรณ์ราวกับตัวหมากที่เคลื่อนที่ได้ อาชาที่รวมตัวกันเป็นฝูงวิ่งห้อตะบึงส่งเสียงร้อง ขนโบกพลิ้ว ประหนึ่งระลอกคลื่นที่กำลังขยับตัวขึ้นลง เสียงเพลงที่มีท่วงทำนองสูงกระจ่างชัดแว่วมาไกลๆ นั่นคือเพลงรักของชนเผ่านอกด่านที่ออกมาเลี้ยงสัตว์ เสียงเอื่อยเฉื่อยกระจ่างชัด ลอยละล่องทอดยาวไปไกล 


 


 


ทุ่งหญ้าเขียวขจี วารีสีมรกต ท้องนภาสีคราม ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันงดงามสงบสุข เฉกเช่นแดนในอุดมคติที่หลุดพ้นจากทางโลก 


 


 


ทัศนียภาพอันงดงามดั่งภาพเขียนเบื้องหน้าทำให้คนเลือดลมพลุ่งพล่าน แม้แต่คนหนักแน่นเช่นหูปู้กุยนี้ก็ยังอดน้ำตาร้อนคลอเบ้าไม่ได้ พูดพึมพำออกมาว่า “ถึงแล้ว พวกเรามาถึงแล้วจริงๆ นี่ก็คือเคอปู้ตัว เมื่อข้ามผ่านที่นี่ไปพวกเราก็จะพบกับเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว เหมือนกับฝันไปเลย เหล่าเกา เร็ว รีบตีข้าสักสองที” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความจริงจัง “ฝันอะไรกันเล่า นี่คือความจริง! ข้าเหล่าเกาเชื่อมั่นมาตลอด ขอเพียงมีน้องหลินเป็นผู้นำ ไม่ว่าเบื้องหน้าจะมีความลำบากมากเพียงใด พวกเราก็ต้องมาถึงเค่อจือเอ่อร์แน่ เป็นอย่างไร ข้าเดาไม่ผิดใช่หรือไม่?!” 


 


 


ความหน้าหนาของเจ้าคนนี้เอบจะไล่ทันแม่ทัพหลินแล้ว หูปู้กุยกลอกตาค้อนอย่างจนใจ ยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า 


 


 


“พี่หลิน ต่อไปพวกเราควรเดินทางเช่นไรดีขอรับ? บุกเข่นฆ่าไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?” ทอดสายตามองแพะแกะและวัวซึ่งเดินกันเป็นฝูงเลียบสองฝั่งแม่น้ำ หลี่อู่หลิงดวงตาวาวโรจน์ หลายวันมานี้อาการบาดเจ็บเขาหายดีเป็นส่วนใหญ่ตั้งนานแล้ว กำลังคันไม้คันมืออยากจะก่อเรื่องอยู่พอดี 


 


 


“ร้อนใจอะไรกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา ทอดสายตามองรอบด้าน “เคอปู้ตัวนี้เป็นสถานที่ที่ดี ซุกซ่อนของล้ำค่าไว้มากมาย ข้าต้องการหาของชิ้นหนึ่งที่นี่!” 


 


 


“สมบัติ?!” ครั้นได้ยินสองพยางค์นี้ เกาฉิวก็ดวงตาเป็นประกาย “สมบัติอะไร? เงินทองของมีค่าหรือว่าอัญมณี? น้องหลินวางใจได้ สิ่งที่ข้าเหล่าเกาช่ำชองมากที่สุดก็คือการหาสมบัติ ต่อให้ต้องขุดดินสามฉื่อ ข้าก็ต้องขุดออกมาให้เจ้า” 


 


 


หลี่อู่หลิงโบกมืออย่างดูคลน “โอ๊ย เงินทองของมีค่าอะไรกัน แม้แต่ดาบและกระบี่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังหลอมตีไม่เป็นเลย แล้วจะไปเอาของพวกนี้มาจากที่ใดกัน? ข้าว่าท่านไปขุดกระดูกแพะยังจะมีความเป็นไปได้” 


 


 


วิทยาการในการหลอมและตีโลหะของชาวทูเจวี๋ยเทียบต้าหัวไม่ติด ดาบทวนและเครื่องมือที่หลอมและตีออกมาต่างหยาบยิ่งนัก เสี่ยวหลี่จื่อจะดูแคลนพวกมันก็หาใช่ไร้เหตุผล 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมพูดว่า “เป็นสมบัติอะไร อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้แล้ว พี่หู หน่วยลาดตระเวนที่ส่งออกไปกลับมาแล้วหรือไม่?” 


 


 


หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ “ส่งพี่น้องออกไปยี่สิบกว่าคน เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใกล้กับราชธานีของชนเผ่านอกด่าน เพื่อไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น ข้าจึงสั่งพวกเขาว่าหากเจอสิ่งใดในรัศมีร้อยลี้ให้รีบกลับมารายงานทันที ห้ามบุ่มบ่ามบุกเข้าไปใกล้ขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” หลินหว่านหรงโบกมือ กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “สั่งการลงไป คืนนี้ให้ตั้งค่ายที่นี่ เนื่องจากอยู่ใกล้หัวใจของศัตรู เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ทุกคนห้ามตั้งกระโจม ห้ามก่อกองไฟ สวมชุดเกราะติดกาย นอนหลับบนพื้น หากมีผู้ฝ่าฝืน ลงโทษตามกฎทหาร!” 


 


 


หูปู้กุยรีบผงกศีรษะ ขณะกำลังจะไปดำเนินการ จู่ๆ หลินหว่านหรงก็เรียกอีกครั้ง “กลับมา!” 


 


 


เหล่าหูหมุนกายกลับมา หลินหว่านหรงรวบรวมสติอยู่นาน จากนั้นก็ถอนหายใจบางๆ ออกมาทันที “อวี้เจีย! ต้องเฝ้านางเอาไว้!!” 


 


 


คำพูดนี้เตือนสติได้ทันท่วงที จากอี้อู๋เข้าสู่ทะเลแห่งความตาย ตลอดเส้นทางมานี้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคน พวกของเกาฉิว เสี่ยวหลี่จื่อ หูปู้กุยค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อนาง เส้นเขตแดนของความเป็นศัตรูพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนอยู่ในทะเลทรายและบนภูเขาหิมะยังไม่เป็นอะไร แต่ยามนี้ล่วงเข้าใจกลางทุ่งหญ้าแล้ว เค่อจือเอ่อร์อยู่ใกล้แค่ตรงหน้า หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย นี่ก็คือเขตแดนของอวี้เจียแล้ว หากนางแอบเล่นตุกติก ทำให้ชนเผ่านอกด่านรู้ตัวล่วงหน้า เช่นนั้นก็จบเห่กันหมดแล้วจริงๆ  


 


 


“ข้าน้อยรับทราบ!” หูปู้กุยรับคำหนักแน่น จากนั้นถึงจากไปอย่างรีบร้อน 


 


 


หลี่อู่หลิงกะพริบตา เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “พี่หลิน หลายวันนี้ท่านไปหาอวี้เจียบ้างหรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย นับตั้งแต่ลงจากภูเขาหิมะ เมื่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์เห็นเขาก็จะหลบไปให้ไกล สีหน้าเรียบเฉยสงบนิ่งดุจวารี ปราศจากความเดือดดาล ปราศจากความยินดี แม้แต่ความเย็นชาที่เคยมีก็มลายหายไปสิ้น ใช้ ‘เหมือนคนแปลกหน้า’ มาบรรยายความสัมพันธ์ของคนทั้งสองในตอนนี้ นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจจะเหมาะสมไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว 


 


 


หลี่อู่หลิงส่งเสียงเฮ้อ กล่าวหน้านิ่วคิ้วขมวด “น่าเสียดาย หากนางไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยก็คงดี!” 


 


 


หากนางไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย เกรงว่าคงไม่ได้พบกับพวกเราแล้ว! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา ใจบังเกิดความรู้สึกสับสนปนเปสารพัดสารพันเช่นกัน หากยกอาวุธประหัตประหารกับอวี้เจียในสนามรบจริง นั่งจะเป็นภาพเช่นไรนะ? จากร่วมเป็นร่วมตายกลายเป็นเจ้าอยู่ข้าม้วย ชีวิตคนเรานี้มันช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่งเสียจริง! 


 


 


ทัพใหญ่เข้าทุ่งหญ้าอีกครา ต้อนรับด้วยการปรับกระบวนอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน เมื่ออยู่ใจกลางของชนเผ่านอกด่าน ศึกใหญ่ปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ทว่าเหล่านายทหารกลับมีท่าทีผ่อนคลาย สำหรับพวกเขา ตัดผ่านหลัวปู้ปั๋ว ข้ามผ่านเทียนซาน ถือว่าโชคดีรอดพ้นความตายมาได้ แม้จะเผชิญหน้ากับราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้วจะเป็นไรได้? พวกเขาปราศจากความกลัวแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงเดินเล่นเลียบไปตามตีนเขา ดวงตากลอกมองประเมินรอบด้าน ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่ เหลียวซ้ายแลขวา เสียวเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยาม แต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมา ครั้นเห็นว่าเหลือแค่เนินเขาขนาดเล็กที่อยู่ไกลออกไปลูกนั้นที่ยังไม่ได้หา ขณะกำลังจะย่างเท้าเข้าไป เกาฉิวซึ่งตามอยู่ข้างกายเขาก็ตกใจทันที “เอ๊ะ นั่นมิใช่อวี้เจียหรือ?” 


 


 


อวี้เจีย? หลินหว่านหรงเงยหน้ามอง เห็นว่าบนเนินที่อยู่ไกลห่างออกไปนั้น เงาร่างอันงดงามร่างหนึ่งกำลังใช้สองมือกอดเข่า นั่งขดตัวอยู่บนนั้นอย่างสงบนิ่ง สายตาล่องลอย ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด 


 


 


เป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์จริงด้วย! บนกายนางยังคงสวมเสื้อยาวตัวใหญ่ตัวนั้น ห่อหุ้มเรือนร่างอันอรชรของนางอย่างแน่นหนา โครงร่างอันงดงามปรากฏให้เห็นรางๆ เสื้อยาวตัวนี้ใช้สิ่งของแลกมาท่ามกลางหิมะและน้ำแข็งแห่งเทียนซาน บัดนี้ถือว่าเป็นของนางแล้ว หลินหว่านหรงลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสาวเท้ายาวๆ เข้าไปหา 


 


 


เสียงฝีเท้าดังสวบสาบทำให้อวี้เจียซึ่งกำลังอยู่ในห้วงความคิดตกใจ นางหมุนกายมองเขาหลายครั้ง สายตาเรียบเฉยอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


เพิ่งเดินเข้าไปใกล้เนินเขานั้นก็มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะลอยอยู่ในอากาศเบาบาง คล้ายกลิ่นหอม ทั้งคล้ายกลิ่นอะไรขมๆ หลินหว่านหรงยื่นจมูกดมหลายครา รู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่ง เขาเร่งฝีเท้า เพียงไม่กี่ครั้งก็พุ่งปราดขึ้นเนินสูงนั้น จากนั้นจึงมองเยวี่ยหยาเอ๋อร์พลางยิ้มเล็กน้อย “สวัสดี น้องสาว มาดูวิวอยู่ตรงนี้หรือ?” 


 


 


อวี้เจียลุกยืนขึ้นโดยไม่เปล่งวาจา ผ่านข้างกายเขาพร้อมเดินลงเขาไปโดยไม่สนใจผู้ใด 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มอย่างไม่แยแสคราหนึ่ง สายตามองไปยังเบื้องหน้า ทัศนียภาพสองข้างเนินเขาแห่งนี้แตกต่างกันมาก ฝั่งนี้เขี่ยวชอุ่มพุ่มพฤกษ์ ส่วนอีกฝั่งกลับเป็นดินสีเหลืองอันกว้างใหญ่แถบหนึ่ง สิ่งที่ขึ้นแน่นขนัดอยู่บนดินเหลืองนั้นทอดสายตามองไปไม่เห็นขอบเขต ปลูกพืชขนาดเล็กสีเขียวสูงเพียงไม่กี่ฉื่ออยู่เต็มไปหมด บนต้นมีใบขนาดเท่าฝ่ามือ รูปร่างคล้ายกล้วย บางต้นที่มีขนาดใหญ่สักหน่อยนั้นออกดอกแล้ว สีชมพู สีม่วง สีขาว สีแดงสด ล้วนงดงามยิ่งนัก 


 


 


เจ้านี่มันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงยิ้มหน้าชื่นตาบาน สูดลมหายใจอย่างมีความสุข ถอนหายใจยาวพร้อมพูดว่า “หญ้าแสบจมูกอันแสนจะงดงาม!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งเดินห่างออกไปหลายจั้งแล้วร่างกายชะงักงัน รีบหมุนกายกลับมา ภายในดวงตาปรากฏประกายเย็นชาให้เห็นรำไร พูดอย่างรวดเร็วออกมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่านี่คือหญ้าแสบจมูก?!” 


 


 


ข้าไม่รู้จักถึงจะแปลก! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง “น้องสาว เจ้าถามข้าหรือ?!” 


 


 


อวี้เจียกัดฟันกรอด ผงกศีรษะเล็กน้อย 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา ตอบนางว่า “วันนั้นเจ้ารักษาเสี่ยวหลี่จื่อ ไม่ใช่ใช้หญ้าแสบจมูกนี้ด้วยหรอกหรือ? วันนั้นข้าก็เห็นแล้ว ตอนนี้มีอะไรน่าแปลกกัน?!” 


 


 


“เจ้าโกหก!” อวี้เจียมองเขาอย่างเย็นชา เปิดโปงคำปดของเขาอย่างดูแคลน “ตอนที่ข้ารักษา สิ่งที่ใช้คือหญ้าแสบจมูกที่ตากแห้งและหันเป็นชิ้นแล้ว เล็กบางราวกับเส้นไหม ส่วนพวกนี้คือหญ้าแสบจมูกซึ่งงอกเงยอยู่บนต้น ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ต้องผ่านการตากแห้ง อบเผา หั่นแบ่งถึงจะกลายเป็นสภาพสุดท้าย มิหนำซ้ำรูปร่างยังเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง แล้วเจ้าไปเคยเห็นหญ้าแสบจมูกที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ตอนไหนกัน?” 


 


 


อวี้เจียสมกับเป็นคนฉลาด ประเดี๋ยวเดียวนางก็จับหางเขาได้แล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “น้องสาว เจ้าอย่าลืมสิ ข้าเป็นยอดคนที่เดินทางไปทั่วทุกแดนดิน รู้จักเจ้าหญ้าแสบจมูกนี่ก็ไม่มีอะไรแปลก ข้าไม่เพียงรู้จักมัน ทั้งยังใช้มันทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง เจ้าเชื่อหรือไม่?!” 


 


 


คำพูดเรื่องเดินทางไปทั่วทุกแดนดิน เดิมทีมีคนเชื่ออยู่ไม่กี่คน แต่ตอนนี้เขาดันเอามาเป็นข้ออ้างปกป้องตัวเองอย่างเต็มปากเต็มคำ แถมยังทำอะไรเขาไม่ได้อีก อวี้เจียมองเขา แค่นเสียงหลายครั้งแล้วเบือนหน้าไป 


 


 


“ข้าขึ้นเหนือล่องใต้ จะรู้จักเจ้าหญ้าแสบจมูกนี่ก็ไม่แปลก” หลินหว่านหรงคุยโวเรื่อยเปื่อย มองประเมินนางด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “กลับเป็นน้องสาวเช่นเจ้า รู้จักเจ้านี่ออกจะแปลกอยู่บ้าง เท่าที่ข้ารู้มา แม้แต่ในทูเจวี๋ยของพวกเจ้า เรื่องของหญ้าแสบจมูกนี้ถือเป็นความลับสุดยอดอย่างหนึ่ง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ เจ้าอายุยังน้อย แล้วไปได้ยินมาจากที่ใด” 


 


 


“อ่านตำรา!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตอบอย่างเย็นชา 


 


 


“อ่านตำรา?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง ถามด้วยความไม่เข้าใจ “ข้าก็อ่านตำราพิสดารมามากเช่นกัน เช่นท่าฝ่ามือพิสดารสามสิบหกกระบวนท่า แม่ชีกับคัมภีร์ดรุณีหยก พระอาจารย์บนอาสนะเนื้อมนุษย์ ตำรามหัศจรรย์เก่าแก่โบราณเหล่านี้พลิกอ่านกลับไปกลับมาไม่รู้ตั้งกี่รอบ เหตุใดถึงหาบันทึกเหล่านี้ไม่เจอ?” 


 


 


ที่เจ้าอ่านเป็นตำรามหัศจรรย์จริงๆ ด้วยนะ! เยวี่ยหยาเอ๋อร์หน้าร้อนทันที เบือนหน้าไปคร้านที่จะสนใจเขา 


 


 


“น้องหลิน นี่ก็คือสมบัติที่เจ้าต้องการตามหา แค่ต้นไม้ไม่กี่ต้นนี่นะ?!” เกาฉิวผิดหวังเล็กน้อย ถอนหายใจด้วยเสียงเศร้าโศก 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย “เป็นต้นไม้ไม่กี่ต้นไม่ผิด เพียงแต่บนต้นไม้นี้จะงอกเงยเป็นทองคำ เอาของชิ้นนี้กลับไปหลอกเอาเงินชาวตะวันตก นั่นต้องสำเร็จแน่นอน! ที่นี่เรียกว่าเคอปู้ตัวกระมัง พี่เกา ท่านจำสถานที่นี้ไว้ ฮิฮิ!” 


 


 


เหล่าเกางุนงงไม่รู้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ ทว่าอวี้เจียกลับฟังเข้าใจอย่างยิ่ง นางสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล รีบพูดด้วยโทสะออกมาว่า “อัวเหล่ากง เจ้าจะทำอะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงโบกมือเรียบๆ “ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร รอกลางคืนแล้วค่อยกลับไปค่อยๆ คิดก็ได้ วันหลังหากมีเวลาค่อยบอกคุณหนูอวี้เจียก็แล้วกัน” 


 


 


ความสามารถของเจ้าโจรนี่ช่างล้ำเลิศเสียจริง แม้แต่ของพวกนี้ก็รู้จักด้วย อวี้เจียมองเขาด้วยความตื่นตระหนก เห็นเพียงหลินหว่านหรงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางเหมือนคนไร้แผนการชั่วช้า 


 


 


“หากเจ้ากล้าบุกยึดเคอปู้ตัว ข้าต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่!” ด้วยความตื่นตระหนก สาวน้อยทูเจวี๋ยเงยหน้ามองทันที ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ มองเขาอย่างเย็นชา 


 


 


“ไม่ละเว้นข้า?!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “คุณหนูอวี้เจีย พวกเราต้าหัวมีคำพูดโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง นั่นคืออนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงได้ แต่ห้ามราษฎรจุดตะเกียง[1] ข้ายึดเคอปู้ตัวของเจ้าแห่งหนึ่ง เจ้าก็ไม่ละเว้นข้า แต่พวกเจ้าลองถามใจตัวเองดู พวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยแย่งชิงดินแดนของต้าหัวเราไปเท่าใด ทำร้ายสหายร่วมอุทรของข้าไปมากเท่าใด? พวกเขาจะละเว้นเจ้าหรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียเงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา นี่คือเงื่อนตายที่ไม่อาจแก้ได้ ต่อให้เป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในโลก ครั้นเจอปัญหายากเช่นนี้ก็ไร้กำลังเช่นกัน  


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย บ้านของเจ้าอยู่ที่เค่อจือเอ่อร์ใช่หรือไม่?” หลินหว่านหรงพลันมองนางคราหนึ่ง เอ่ยถามระคนยิ้ม 


 


 


เมื่อทหารม้าต้าหัวปรากฏตัวอย่างน่าอัศจรรย์บนยอดเขาอาเอ่อร์ไท่ อวี้เจียก็รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้นางจึงเบือนหน้าไปอย่างด้วยท่าทีแข็งกร้าว กัดฟันกรอดแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะถามทำไม? ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ยืนนิ่งอยู่บนเนินเขา ม่านราตรีอันมืดมิดค่อยๆ เคลื่อนตัวลง สายลมหนาวกลางทุ่งหญ้าพัดพา ส่งเสียงดังหวีดหวิวข้างใบหูไม่หยุด 


 


 


“ฟ้ามืดแล้ว ลมจะมาแล้ว[2]!”  


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] อนุญาตให้ขุนนางวางเพลิงได้ แต่ห้ามราษฎรจุดตะเกียง เป็นสำนวน หมายถึง ห้ามคนอื่นทำแต่ตัวเองกลับทำเอง ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง 


 


 


[2] ลมจะมา หรือจะเกิดลม มีความหมายอีกอย่างว่าจะเกิดเรื่องแล้ว  

 

 


ตอนที่ 581 - 1 เหตุเปลี่ยนแปลง

 

“ใช่แล้วล่ะ ลมจะมาแล้ว!” นางทอดสายตามองท้องฟ้า นัยน์ตาเหม่อลอย สายลมหนาวดังหวีดหวิวข้างใบหูไม่หยุด เรือนร่างอันงดงามยวนเย้าของนางสั่นระริกเล็กน้อย 


 


 


อวี้เจียเหลือชีวิตแค่ไม่กี่เดือนแล้ว! ครั้นนึกถึงคำพูดของนางเซียน หลินหว่านหรงพลันบังเกิดความรู้สึกอันสลับซับซ้อนขึ้นมา แม่สาวน้อยคนนี้ฝีมือทางการแพทย์ล้ำเลิศ ไม่รู้ว่าตัวนางจะรู้หรือไม่ 


 


 


ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกหมดอารมณ์ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ารักษาตัวให้มาก! พี่เกา พวกเราไปกันเถอะ” 


 


 


เมื่อพูดจบก็ไม่สนใจแล้วว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดเขาหรือไม่ เขาลุกขึ้นแล้วเดินลงจากเนินเขา ทั้งสองย่างก้าวอย่างรีบร้อน สีหน้าหนักแน่น ไม่หันหน้ากลับมาอีก 


 


 


นับตั้งแต่ลงจากเทียนซาน ที่ผ่านมามีแต่ข้าที่หลบเจ้า ไหนเลยมีตอนที่เขาหลบข้าด้วย? อวี้เจียจ้องเงาหลังเขา เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สายลมหนาวซึ่งค่อยๆ พัดเข้ามาทำให้ชุดหลวมกว้างที่อยู่บนร่างนางส่งเสียงดัง 


 


 


เมื่อจากอวี้เจียมา หลินหว่านหรงก็ไม่ได้กลับไปที่ค่าย แต่กลับเดินอ้อมเนินเขา มุ่งตรงไปยังไร่ยาสูบอันไร้ขอบเขตสุดลูกหูลูกตาตรงหน้า กลิ่นหอมขมจางๆ ระคนด้วยกลิ่นหอมของดินลอยปะทะใบหน้าเข้ามา ใบยาสูบสีเขียวมรกตทอดสายตามองออกไปสุดลูกหูลูกตา เชื่อมจรดถึงขอบฟ้า ถึงกระนั้นเกาฉิวกลับไม่ชินกับกลิ่นของยาสูบนี้ รีบอุดจมูกแล้วพูดว่า “น้องหลิน เจ้าหญ้าแสบจมูกนี่มันใช้ทำอะไรกันแน่ กลิ่นออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง เหตุใดเจ้ากับอวี้เจียถึงเห็นมันเป็นเหมือนสมบัติได้?!” 


 


 


เด็ดใบยาสูบซึ่งมีรูปร่างคล้ายกล้วยมาใบหนึ่ง นำมาไว้ที่จมูกแล้วสูดดมลึกๆ กลิ่นอันคุ้นเคยนั้นทำให้คนจิตใจปลอดโปร่ง ทำให้อาลัยอาวรณ์ยากจะลืมเลือน 


 


 


“ท่านมิเคยลิ้มลองรสชาติของมัน ย่อมไม่อาจรับรู้ความดีงามของมันได้” เขาถือหญ้าแสบจมูกแล้วฟาดลงบนฝ่ามือเบาๆ หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “รอให้เจ้าหญ้าแสบจมูกนี้เติบโตเต็มที่ หั่นเป็นเส้นยาสูบ ให้ท่านได้ลอกสักหลายฟอด ข้ากล้ารับประกันว่าท่านต้องชอบเจ้าของเล่นชิ้นนี้แน่นอน ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่ามันคือยาพิษ ก็ยังมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลุ่มหลงมันอยู่ดี” 


 


 


“ยาพิษ?!” เหล่าเกาตกใจ กระเด้งให้อยู่ห่างจากหญ้าแสบจมูกนั้นไกลลิบ “น้องหลิน เจ้าอย่ามาขู่ข้าให้ตกใจกลัว ยาพิษนี้ก็ลองได้ด้วย?! นั่นมิใช่ยาพิษที่จะทำร้ายราษฎรต้าหัวเราหรอกหรือ?” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ นี่เป็นยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้าจริง” หลินหว่านหรงผงกศีรษะกล่าวระคนหัวเราะ “เพียงแต่ข้าไม่คิดที่จะใช้มันมาวางยาพิษทำร้ายสหายร่วมอุทรของตนเอง มีชาวตงอิ๋ง ชาวตะวันตั้งมากมายขนาดนั้น เอาเจ้านี่ขายให้พวกมันก็ได้แล้ว ส่วนพวกเราก็นับเงินก็พอ” 


 


 


ที่แท้ก็ ‘วางยาพิษทำร้าย’ ชาวตะวันตก! เหล่าเกาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ กล่าวด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ “ทำการค้ากับชาวตะวันตก? เช่นนั้นก้ต้องระวังสักหน่อย ได้ยินมาว่าชาวตะวันตกพวกนั้นร้ายกาจมาก มาหลอกเอาเงินจากต้าหัวเราโดยเฉพาะ” 


 


 


หลินหว่านหรงดวงตากระจ่างวูบ หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “พี่เกา อย่าเห็นชาวตะวันตกร้ายกาจมากเยี่ยงนั้น ขอเพียงพวกเราชาวต้าหัวไม่หลอกตนเอง บนโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดที่หลอกพวกเราได้แล้ว!” 


 


 


มีเหตุผล! ขอเพียงมีพ่อค้าเจ้าเล่ห์เช่นน้องหลินนี้ ชาวตะวันตกใดจะมาหลอกลวงพวกเราได้? ไม่หลอกพวกมันก็ถือว่ามีไอมงคลพวยพุ่งจากสุสานบรรพชนของพวกมันแล้ว เกาฉิววางใจได้ทันที ทันใดนั้นก็พูดด้วยความเสียดายเล็กน้อยออกมา “หญ้าแสบจมูกร้ายกาจขนาดนี้จริงหรือ? เพียงแต่น่าเสียดาย เจ้านี่กลับเติบโตที่ทูเจวี๋ย มิเช่นนั้นพวกเราใช้กำลังยึดเคอปู้ตัวนี้ก็ได้ อย่างไรเสียพวกเราก็ยังไม่ได้บุกยึดพื้นที่ของชนเผ่านอกด่านเลย ไม่ได้ลองสักตั้งก็รู้สึกไม่ยินยอมพร้อมใจนะ!” 


 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้กลับมีความกล้าของโจรเสียจริง หลินหว่านหรงมีความสุขจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้อเสนอไม่เลว พิจารณาได้ พิจารณาได้!” 


 


 


คำพูดล้อเล่นก็ได้แต่พูดกันเฉยๆ เท่านั้น เคอปู้ตัวแห่งนี้ตั้งอยู่ตีนเขาทางเหนือของภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ห่างไกลจากดินแดนต้าหัว อยู่ใกล้ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแค่สี่ร้อยกว่าลี้ หากใช้กำลังบุกยึดที่นี่จริง เช่นนั้นไม่สู้ยึดเค่อจือเอ่อร์ไปด้วย กำจัดชาวทูเจวี๋ยให้สิ้นซากไปเลยจะดีกว่า! 


 


 


เพียงแต่ด้วยนิสัยของหลินหว่านหรง ในเมื่อค้นพบยาสูบปริมาณมากที่เคอปู้ตัวนี้ หากไม่เอาเปรียบชาวทูเจวี๋ยอย่างหนัก นั่นก็ไม่ใช่นิสียของเขาแล้ว 


 


 


ส่วนทำอย่างไรถึงจะเอาเปรียบครั้งใหญ่ได้ เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก็บังเกิดความคิดรางๆ บางอย่างภายในใจ แต่หากต้องการทำให้เป็นจริง ยังต้องกำราบชาวทูเจวี๋ยได้ถึงค่อยว่ากัน 


 


 


เขาถอนต้นยาสูบมาต้นหนึ่ง มัดกิ่งก้านใบให้เรียบร้อย จากนั้นจึงยัดเข้าไปในห่อสัมภาระข้างหลัง หากโชคดีได้กลับไปต้าหัว จะให้พวกของลุงฝูลองศึกษาดู 


 


 


เนื่องจากล่วงลึกเข้าสู่ใจกลางพื้นที่ของศัตรู ไม่อาจตั้งค่าย ไม่อาจก่อกองไฟได้ นายทหารทุกคนต่างพักผ่อนอยู่กับที่ ค่ายแม่ทัพของหลินหว่านหรงก็แค่ปูด้วยหญ้าแห่งจำนวนหนึ่งบนเนินเขาขนาดเล็กเท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับการเดินทางข้ามผ่านหลัวปู้ปั๋วกับภูเขาหิมะอันแสนจะยากลำบาก เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว 


 


 


ท้องนภาเป็นผ้าห่ม ปฐพีคือที่นอน เขานอนอย่างมีความสุข ขณะที่เพิ่งพ่นลมหายใจอย่างสุขสบายก็รู้สึกว่ามีสายลมหอมกรุ่นพัดเข้ามา ข้างกายพลันมีเงาร่างอันงดงามเพิ่มขึ้นมาร่างหนึ่ง 


 


 


“พี่สาว ท่านไปที่ใดมา? ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว!” เขาโอบร่างอันงามยวนเย้าของนางเซียน เรียบลื่นนวลเนียน ผิวราวกับครีม ช่างเป็นการเสพสุขราวกับขึ้นสรวงสวรรค์ เขาซุกศีรษะอยู่บนหน้าอกหนิงอวี่ซี ไม่ต้องเตรียมตัวอะไร ถ้อยคำอันหวานชื่นนั้นเพียงอ้าปากก็ออกมา 


 


 


นางเซียนหน้าแดงเล็กน้อย เจ้าโจรน้อยคนนี้ช่างรู้จักหาโอกาสเอาเปรียบ ป้องกันแต่ไม่อาจป้องกันได้เลยจริงๆ นางผลักเขาให้อยู่ห่างจากตนหลายชุ่น[1] จากนั้นนางเซียนจึงกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า “อย่าทำพิเรนทร์ ข้ามีคำพูดเป็นการเป็นงานต้องการจะคุยกับเจ้า” 


 


 


“หรือว่าข้าคิดถึงพี่สาวนางเซียนก็ถือเป็นเรื่องไม่เป็นการเป็นงาน?” หลินหว่านหรงหัวเราะร่า ดมเส้นผมงามของนางเบาๆ คราหนึ่ง “หอม หอมจัง! พี่สาวใช้สิ่งใดชำระล้างร่างกาย ใช่สบู่หอมของตระกูลเซียวเราใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ขอยินดีกับท่านด้วย วันหลังพี่สาวอาบน้ำก็ไม่ต้องเสียเงินแล้ว!” 


 


 


เจ้าคนนี้ไม่รู้จักเป็นการเป็นงานเลย นางเซียนร้องเบาๆ จับมือมารที่กำลังลูบๆ คลำๆ ของเขาเอาไว้ ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ฟังคำพูดข้าให้จบ หากเจ้ายังมีเวลาสบายอารมณ์เช่นนี้อีก เช่นนั้นก็ถือว่าข้ายอมเจ้าแล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา ถามด้วยความประหลาดใจ “คำพูดอันใด?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีถอนหายใจเล็กน้อย “ไม่ใช่ข่าวดี…เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองวันนี้ข้าไปที่ใดมา?!” 


 


 


นับตั้งแต่ข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ นางเซียนก็หายไป หลินหว่านหรงคุ้นชินกับการไปมาประดุจสายลม นิสัยที่โผล่มาเพียงประเดี๋ยวเดียวแล้วก็หายไปของนางมาตั้งแต่แรก ไม่ได้แปลกประหลาดอันใด ครั้นได้ยินนางพูดเช่นนี้จึงรีบถาม “ไปที่ใด?!” 


 


 


นางเซียนยิ้มเล็กน้อย ตอบเบาๆ ว่า “ราช…ธานี…ทู…เจวี๋ย!” 


 


 


“อะไรนะ?!” สีหน้าหลินหว่านหรงแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ ตกใจจนแทบจะกระเด้งขึ้นมา “ท่านไปเค่อจือเอ่อร์?! พี่สาวเทพเซียน ท่านอย่ามาขู่ข้าให้ตกใจนะ!” 


 


 


“จะขู่เจ้าให้ตกใจทำไม?” นางเซียนจับมือเขาพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่ต้องห่วงแทนข้า ความสามารถของข้าเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ บนโลกนี้ นอกจากเพียงผู้เดียวที่ทำร้ายข้าได้ คนอื่นยังห่างไกลลิบลับ!” 


 


 


“ใคร…ใครที่ทำร้ายท่านได้? เอาใหญ่แล้ว ข้าจะไปกำจัดมัน!” หลินหว่านหรงควักปืนไฟออกมาจากอกดังขวับ กล่าวด้วยโทสะไอสังหารพลุ่งพล่าน 


 


 


“พรืด” นางเซียนเม้มปากหัวเราะเบาๆ ไม่เอ่ยวาจา เพียงมองเขาอย่างเปี่ยมล้นด้วยความรัก นัยน์ตาอ่อนโยนดุจวารี 


 


 


หลินหว่านหรงเหม่อลอย เข้าใจความหมายของนางทันที ด้วยความสามารถของนางเซียนหนิง ต่อให้นางจิ้งจอกอันมาด้วยตนเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ทอดสายตาไปทั่วแผ่นดิน ผู้ที่ทำร้ายนางได้ น่าจะมีแค่ข้าคนแซ่หลินเท่านั้นแล้ว หลินหว่านหรงทั้งภาคภูมิใจทั้งซาบซึ้ง กุมมืองามของนางแน่น “พี่สาวเทพเซียน ท่านอย่ามากระเซ้าข้าเลย ทำร้ายท่านนั่นไม่เท่ากับทำร้ายข้าเองหรอกหรือ!” 


 


 


“ชอบพูดแต่คำพูดน่าฟัง” หนิงอวี่ซีรู้สึกอบอุ่นใจ ดวงหน้าร้อน “ข้าแค่วนอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์นั้นรอบหนึ่งแล้วก็กลับมา!” 


 


 


“กลับมาก็ดี” หลินหว่านหรงไม่กะพริบตา กล่าวอย่างเคร่งขรึมออกมาว่า “นั่นเดิมทีก็หาใช่สถานที่ที่ท่านควรไปอยู่แล้ว!” 


 


 


นางเซียนหนิงส่ายศีรษะ “เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน เดิมข้าคิดจะฉวยโอกาสตอนกลางคืนเพื่อไปลองสืบดู ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งถึงรอบนอกก็ถูกสกัดไว้แล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว “สกัดไว้ เพราะเหตุใด?” 


 


 


หนิงอวี่ซีจับมือเขา มองเขาอย่างอ่อนโยนหลายครา ตอบเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าห้ามร้อนใจ…รอบนอกของค่อจือเอ่อร์ หญ้าเสบียงพร้อมพรัก กระบวนทัพยิ่งใหญ่ มีทหารรวมตัวกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนนาย!” 


 


 


หลินหว่านหรงกระเด้งขวับขึ้นมาทันที สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว “ทัพใหญ่หนึ่งแสน?!” 


 


 


นางเซียนผงกศีรษะอย่างเงียบงัน หลินหว่านหรงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทันที มิน่านางเซียนถึงพูดว่าเขาไม่อาจสบายอารมณ์เช่นก่อนหน้านั้นได้อีก นี่เป็นข่าวอันสะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางใจเขา 


 


 


เหตุใดชาวทูเจวี๋ยถึงรวมพลทัพใหญ่หนึ่งแสนที่เค่อจือเอ่อร์ได้?! หรือว่าพวกมันรู้เป้าหมายของข้า?! หรือไม่ก็พวกมันมีเจตนาอื่น?! 


 


 


หากชาวทูเจวี๋ยรับรู้เป้าหมายของข้าได้ เช่นนั้นไม่ใช่แค่การโจมตีพิสดารล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แม้แต่ทหารห้าพันนายนี้ก็ต้องตกอยู่ในวงล้อมอันแน่นหนาของชนเผ่านอกด่านด้วยเช่นกัน ให้ย้อนกลับไปทะเลแห่งความตายนั้นเป็นไปไม่ได้ โจมตีเค่อจือเอ่อร์โดยไม่ให้รู้ตัวก็ยิ่งเหมือนเอาไข่กระทบหิน เบื้องหน้ามีอุปสรรคขัดขวาง เบื้องหลังหมดหนทางถอย หรือว่าข้าจะเคลื่อนทัพออกศึกไม่ทันคว้าชัย ตัวต้องมาม้วนมรณาเสียก่อนแล้วจริงๆ?! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ชุ่น หน่วยมาตราวัดของจีน เทียบเท่ากับ นิ้ว  

 

 


ตอนที่ 581 - 2 เหตุเปลี่ยนแปลง

 

เขาขมวดคิ้วมุ่นกัดฟันกรอด เดินย่ำก้าวกลับไปกลับมาด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย อารมณ์ดีที่มีเมื่อสักครู่ปลาสนาการไร้ร่องรอยไปตั้งแต่แรก 


 


 


หนิงอวี่ซีเห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น สัมผัสความกระวนกระวายภายในใจของเขาได้ พลันบังเกิดความรู้สึกอันอบอุ่นที่จิตใจเชื่อมประสานและเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน แม้แต่ลมหายใจก็คล้ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 


 


 


“เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เสียงแผ่วเบาและอ่อนโยนของนางเซียนดังข้างใบหู “ข้าตรวจสอบหญ้าเสบียงและม้าศึกเหล่านี้ของชนเผ่านอกด่านแล้ว เพิ่งรวบรวมมาได้ไม่กี่วัน ไม่จำเป็นว่าจะเพ่งเล็งมาที่พวกเรานะ” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็รั้งฝีเท้า กุมมือนางแน่น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ครั้งนี้โชคดีที่มีพี่สาวเทพเซียน มิเช่นนั้นข้าคงเอาหัวโขกเข้าไปในกับดักขแงหนึ่งแสนชนเผ่านอกด่านแล้วแน่!” 


 


 


หนิงอวี่ซีส่ายศีรษะพลางยิ้มแย้ม “เจ้าไม่ได้ทึ่มขนาดนั้นเสียหน่อย! ไม่ช้าก็เร็วต้องมีหน่วยลาดตระเวนรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้า ข้าก็แค่ล่วงหน้าก่อนหลายวันเท่านั้น” 


 


 


“พี่สาวอย่าดูถูกเวลาไม่กี่วันนี้” หลินหว่านหรงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพิ่มเวลาให้ตัดสินใจอีกสักหลายวัน มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะตัดสินผลแพ้ชนะของการศึกได้! เรื่องนี้ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ข้าต้องไปปรึกษากับพวกพี่หูถึงจะได้” 


 


 


ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนเพียงพอที่จะบดขยี้ไพร่พลห้าพันนายนี้ ความหนักอึ้งทางจิตใจของหลินหว่านหรงแค่คิดก็รู้ได้ นางเซียนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนออกมาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็รีบไปเถอะ ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้” 


 


 


คำพูดประโยคเดียวกล่าวจนจิตใจหลินหว่านหรงอบอุ่น เขารีบผงกศีรษะ หมุนกายแล้วจากไป แต่ยังเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของหนิงอวี่ซีดังขึ้นจากข้างหลังทันที “โจรน้อย!” 


 


 


เสียงนั้นอ่อนโยนเหลือแสน หลินหว่านหรงฟังแล้วก็อ่อนยวบไปถึงกระดูก รีบหมุนกายกลับมา “พี่สาวเทพเซียน ท่านเรียกข้า?!” 


 


 


เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองก็รู้สึกว่ามีสายลมหอมกรุ่นพัดวูบเข้ามา ริมฝีปากอุ่นร้อนและนุ่มนิ่มชุ่มชื้นประทับลงบนใบหน้าเขาเบาๆ  


 


 


“ไม่ต้องกลัว” มือน้อยอบอุ่นข้างหนึ่งกุมมือเขาแน่น หนิงอวี่ซีหน้าแดงสดใส มองเขาด้วยความรักเปี่ยมล้น ขยับริมฝีปากอันอ่อนนุ่มเบาๆ “ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป…ไม่ทอดทิ้งไม่พรากจาก อยู่ร่วมเป็นตาย!” 


 


 


“พี่สาว!” หลินหว่านหรงจิตใจอุ่นวาบ รู้สึกเพียงจมูกร้าวระบม เขาโอบร่างงามหยาดเยิ้มของนางทันที ออกแรงดันอกนางหลายครา “ท่านวางใจได้ ข้าไม่กลัว คนคนนี้แข็งแกร่งมากนัก สมญานามก็คือแมลงสาบที่ตีไม่ตาย อีกอย่าง พวกเรายังไม่ได้เข้าห้องหอเลย…” 


 


 


“เหอะ” หนิงอวี่ซีสบถเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง ใบหน้าร้อน รีบผลักไสเขาออกไป โจรน้อยหัวเราะร่า จากนั้นก็กลับคืนสู่สีหน้าท่าทางสนุกสนานที่เห็นได้ตามปกติอีกครา ทว่าในใจนางเมื่อเห็นแล้วกลับรู้สึกอบอุ่น… 


 


 


“หนึ่งแสนคน?!” ทุกคนต่างเบิกตาโพลง อ้าปากกว้างพร้อมกัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่อาจพูดออกมาได้สักคำเดียว เบื้องนอกราชธานีของชนเผ่านอกด่านมีทหารม้าทูเจวี๋ยปักหลักเฝ้าอยู่หนึ่งแสนนาย นั่นยังจะรบผายลมอะไรกันอีกเล่า! ไม่ถูก ชาวทูเจวี๋ยกินจนเกลี้ยงก็ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะ 


 


 


ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนเงียบงันไม่เอ่ยวาจา ความคึกคักซึ่งเกิดจากเค่อจือเอ่อร์มาอยู่แค่ตรงหน้าพลันลดฮวบจนถึงจุดเยือกแข็ง 


 


 


“น้องหลินข่าวนี้ไปได้มาจากที่ใด?” เกาฉิวถามด้วยความสงสัย “หน่วยลาดตระเวนของเราเพิ่งอยู่นอกระยะร้อยลี้ แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงมีข่าวของเค่อจือเอ่อร์ได้?” 


 


 


ด้วยความสามารถของนางเซียน ข่าวนี้ไม่มีวันผิดพลาดแน่นอน หลินหว่านหรงกล่าวเสียงทุ้มหนัก “ที่มาพวกท่านไม่ต้องถามแล้ว ข่าวนี้ไม่มีทางผิดแน่นอน!” 


 


 


เขามีสีหน้าท่าทางหนักแน่น ไม่ให้สงสัยอีก ทุกคนจึงไม่ถามไถ่อีกต่อไป หูปู้กุยถอนหายใจคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความอับจนปัญญา “หากเค่อจือเอ่อร์มีทหารม้าทูเจวี๋ยอยู่หนึ่งแสนนายจริง เช่นนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเรื่องรบหรือไม่รบแล้ว แต่เกี่ยวกับความเป็นความตายและความอยู่รอดของพี่น้องห้าพันคนของเรานี้ต่างหาก” 


 


 


“กลัวมันทำไม อย่างมากก็แค่มัจฉาตายตาข่ายขาด[1]กับชาวทูเจวี๋ย!” เกาฉิวด่าทออย่างดุร้าย กลับได้รับการสนับสนุนจากสวี่เจิ้นและหลี่อู่หลิง 


 


 


หลินหว่านหรงขมวดคิ้วมุ่น นำพาทหารห้าพันนายตัดผ่านเส้นทางสายไหม ประสบความยากลำบากสารพัดสารพันจนมาถึงตีเขาภูเขาอาเอ่อร์ไท่นี้ ไม่ใช่เพื่อมาหาที่ตายที่นี่นะ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านมีความเห็นต่อชนเผ่านอกด่านจำนวนหนึ่งแสนนายนี้อย่างไรขอรับ?!” หูปู้กุยเอ่ยถามเสียงทุ้มหนัก เขามีประสบการณ์มากที่สุด หนักแน่นและฝึกฝนมาอย่างช่ำชองยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นด้วยความกับความเห็นเหล่าเกาโดยง่าย 


 


 


หลินหว่านหรงย่ำก้าวอย่างแช่มช้า ผงกศีรษะเล็กน้อย “เรื่องราวบนโลกมีผลลัพธ์แค่สองแบบ…หากไม่ดีก็ต้องร้าย! ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนรวมตัวอยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์ หนีไม่พ้นความจริงสองอย่างนี้เช่นกัน!” 


 


 


เหล่าเกาได้ยินแล้วก็งุนงง รีบพูดขึ้นมาว่า “เช่นไรถึงนับว่าร้าย แล้วเช่นไรถึงนับว่าดีขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ถ้าเป็นเรื่องร้าย นั่นมิใช่หมายความว่าชาวทูเจวี๋ยหนึ่งแสนคนนี้พุ่งเป้ามาที่พวกเราหรอกหรือ ต่อให้พวกเราลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ พวกมันก็ต้องฆ่าล้างพวกเราแน่!” 


 


 


นี่เป็นสถานการณ์อันร้ายแรงจริงๆ หลี่อู่หลิงเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “แต่เหตุใดชาวทูเจวี๋ยถึงรู้ว่าเป้าหมายของพวกเราคือราชธานีของพวกมันล่ะขอรับ?!” 


 


 


คำถามนี้ของเสี่ยวหลี่จื่อคือข้อสงสัยของทุกคนพอดี หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “หากชาวทูเจวี๋ยต้องการรู้เจตนาของพวกเรา นั่นหมายความว่ามีเหตุการณ์สองอย่างที่เป็นไปได้…อย่างแรกก็คือพวกมันเดาได้ นับตั้งแต่พวกเราเข้าสู่อี้อู๋ ลู่ตงจ้านก็รู้เจตนาของพวกเราแล้ว…” 


 


 


หูปู้กุยเงียบงันอยู่นาน ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้! เรื่องที่เส้นทางสายไหมเดินทางผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ได้ นอกจากท่านแม่ทัพหลินแล้ว บนโลกนี้ยังมีผู้ใดรู้อีก? หรือลู่ตงจ้านจะเป็นเทพสวรรค์มาจุติ? มิเช่นนั้นมันจะเดาว่าพวกเราจะตัดผ่านทะเลแห่งความตายเพื่อมาลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ ทั้งยังส่งทัพใหญ่จำนวนหนึ่งแสนมาปักหลักเฝ้าอยู่นอกราชธานีได้อย่างไร?!” 


 


 


เหล่าหูวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล ลู่ตงจ้านแม้จะฉลาด แต่มันหาใช่เทพเซียนที่ทำนายได้ล่วงหน้า หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “พี่หูพูดไม่ผิด หากชาวทูเจวี๋ยเดาออกได้เอง ความยากก็เท่ากับเด็ดดวงดาวมาจากท้องฟ้า นั่นแทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้อีกเพียงอย่างเดียวแล้ว…บางที ในหมู่พวกเราอาจมีคนแจ้งข่าวให้ชาวทูเจวี๋ย!” 


 


 


“อะไรนะ?” เหล่าเกาตกใจทันที “หรือว่าในหมู่พวกเราจะมีไส้ศึก?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา แล้วจะมีไส้ศึกได้อย่างไร พี่เกา ท่านคิดมากไปแล้ว!” 


 


 


หลี่อู่หลิงเบิกตาโพลงในบัดดล “หรือว่าจะเป็น…อวี้เจีย?!” 


 


 


เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ทุกคนก็ต่างตกใจ เมื่อทอดสายตามองทั่วทั้งกองทัพ หากจะมีคนแจ้งข่าวต่อชนเผ่านอกด่านจริง ก็เหลือแค่เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดแล้ว 


 


 


“น่าจะไม่ใช่นาง” เหล่าหูกล่าวด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “นับตั้งแต่พวกเราเข้าสู่อี้อู๋ ตัดผ่านหลัวปู้ปั๋ว ข้ามภูเขาหิมะ อวี้เจียไม่รู้เป้าหมายของพวกเราแม้แต่น้อย หรือต่อให้รู้ ท่ามกลางทะเลทรายและภูเขาหิมะ ข่าวของนางก็ส่งออกไปไม่ได้อยู่ดี จวบจนพวกเราข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ นางถึงจะมีโอกาส ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราเฝ้านางอย่างเข้มงวดยิ่งนัก ต่อให้นางส่งข่าวออกไปจริงก็ไม่เกินหนึ่งวันเท่านั้น จะไปถึงเค่อจือเอ่อร์หรือเปล่าก็ยังไม่แน่เลย แล้วชนเผ่านอกด่านจะไปรวบรวมไพร่พลหนึ่งแสนคนรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?!” 


 


 


ทุกคนต่างผงกศีรษะอย่างเงียบงัน อวี้เจียซึ่งดูเหมือนจะน่าสงสัยมากที่สุด ที่จริงแล้วกลับเป็นไปไม่ได้น้อยที่สุด! 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นอาจเป็นฝั่งของท่านอาสวีทางนั้นที่มีข่าวเล็ดลอดออกไป?” เสี่ยวหลี่จื่อขมวดคิ้ว “แต่นี่ก็ไม่ถูกนา! เรื่องใหญ่สำคัญเยี่ยงนี้ ท่านอาสวีไม่มีวันบอกผู้อื่นแน่นอน อย่างมากก็แจ้งท่านปู่สักหน่อย คนนอกไม่มีทางรู้แน่” 


 


 


การระดมความคิดเกิดประโยชน์จริงด้วย คนทั้งหลายพูดจาไม่กี่ประโยคก็กำจัดความเป็นไปได้ทั้งหลายออกไป หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วพูดว่า “ฟังพวกท่านพูดเช่นนี้ ข้ายังไม่อาจหาเหตุผลที่ชนเผ่านอกด่านรู้พบพวกเราได้เลยจริงๆ” 


 


 


ฟังความนัยของเขา สวี่เจิ้นก็บังเกิดปฏิภาณทันที “ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าทุกสิ่งถ้าไม่ร้ายก็คือดี! ตอนนี้กำจัดเรื่องร้ายออกไปแล้ว แต่การรวมพลของชนเผ่านอกด่านจำนวนหนึ่งแสนนั้นส่งผลดีอะไรกับพวกเราขอรับ?” 


 


 


“ใครบอกไม่ดี?!” หลินหว่านหรงตอบเรียบ ๆ “ไม่แน่ว่าจะเป็นเฮ่อหลานซานทางนั้นที่เกิดความเคลื่อนไหวแล้ว!” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] มัจฉาตายตาข่ายขาด หมายถึง ต่อสู้กันจนตกตายไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย  

 

 


ตอนที่ 582 - 1 ชายงามทูเจวี๋ย

 

“เฮ่อหลานซานทางนั้นเกิดความเคลื่อนไหว?!” ยังคงเป็นหูปู้กุยที่มีปฏิกิริยารวดเร็วมากที่สุด “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คือ เพื่อให้ความร่วมมือต่อการลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ของพวกเรา กุนซือสวีอาจจงใจมีความเคลื่อนไหวต่อชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านเฮ่อหลานซานนั้น บีบบังคับให้ชาวทูเจวี๋ยมิอาจไม่มาแนวหน้าเพื่อเพิ่มกำลังพลหรือขอรับ?! กล่าวเช่นนี้ ทหารแสนนายนี้ก็ไม่น่าพุ่งเป้ามาที่เราแล้ว?!” 


 


 


เกาฉิวร้องเอ๊ะคราหนึ่งพร้อมกล่าวด้วยความยินดี “หากชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนจะไปเพิ่มกำลังให้เฮ่อหลานซานจริง พอพวกมันไปแล้วเค่อจือเอ่อร์จะไม่กลายเป็นเมืองร้างหรอกหรือ? นี่มันเรื่องดีอย่างยิ่งเลยนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะหลายครั้ง “ในเมื่อจะคาดการณ์ไปทางด้านดี เช่นนั้นพวกเราก็ขวัญกล้าบังอาจคาดเดาไปสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร นับตั้งแต่เผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ชาวทูเจวี๋ยก็โจมตีเฮ่อหลานซานอยู่นานโดยไม่อาจยึดได้ ทั้งยังขาดแคลนเสบียงอีก ไม่อาจไม่ถอยกลับทุ่งหญ้า ส่วนลู่ตงจ้านก็เพิ่งมีเวลารีบรุดมาอี้อู๋เพื่อพบข้า! คุณหนูสวีรู้เป้าหมายของพวกเราอย่างดี ในเมื่อชนเผ่านอกด่านถอยแล้ว ข้าคิดว่านางน่าจะคิดหาวิธีการดึงดูดความสนใจของชนเผ่านอกด่าน และเพื่อลดความกดดันของพวกเรา ไม่แน่ว่าตอนนี้นางอาจกำลังประจันหน้ากับชนเผ่านอกด่านที่ชายขอบระหว่างทุ่งหญ้ากับทะเลทรายก็เป็นได้! การโจมตีระลอกแรกไม่อาจยึดเฮ่อหลานซาน ชาวทูเจวี๋ยจำต้องเสริมกำลังทัพที่แนวหน้า เมื่อดูจากระยะเวลา การปรากฎตัวของคนหนึ่งแสนคนนี้ประจวบเหมาะกับการคาดคะเนนี้พอดี” 


 


 


เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง ทุกคนลอบผงกศีรษะกับตัวเอง ฟังเขากล่าวต่อไป 


 


 


“จุดที่สำคัญยิ่งกว่า ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถูกพวกเราเผาจนหาเสบียงไม่เจอสักเม็ดเดียว ส่วนชนเผ่านอกด่านสองแสนกว่าคนที่ล่าถอยไปก็ต้องใช้เสบียงจำนวนมาก จากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถึงอี้อู๋ พวกเราไม่พบสถานที่เติมเสบียงของชนเผ่านอกด่านเลย จากสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าเสบียงของพวกมันต้องขนส่งมาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน และเรื่องนี้ก็สบกับเรื่องที่มีการแอบรวบรวมเสบียงกองเป็นภูเขาเลากาอยู่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์พอดี” 


 


 


“ในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยรู้เป้าหมายของพวกเราจริง ด้วยความฉลาดของลู่ตงจ้าน มันไม่จำเป็นต้องระดมไพร่พลหนึ่งแสนนายเฝ้าอยู่นอกเมืองเค่อจือเอ่อร์เลย นี่ไม่ใช่ทำให้พวกเราลนลานจนต้องหลบหนีไปหรอกหรือ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือซุกซ่อนกำลังพล ลอบซุ่มโจมตี นั่งรอให้พวกเราเข้าไปหาที่ตาย! แล้วมันจะมาตั้งท่ารอโจมตีให้เห็นชัดเจนทำไมกันเล่า?!” 


 


 


ทุกคนฟังเขาวิเคราะห์ คราแรกก็สงสัย ต่อมาก็รู้แจ้ง รู้สึกว่าสิ่งนี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง 


 


 


“แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ต่างเป็นการคาดคะเนของพวกเราฝ่ายเดียว ที่แท้ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น คงมีแค่ชนเผ่านอกด่านที่รู้แล้ว!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ ปรับสีหน้า “หนทางเบื้องหน้าลำบากอันตราย ทุกคนต้องเพิ่มความตื่นตัวเป็นร้อยเท่า แม้ไม่อาจเข้าไปเสี่ยง แต่ก็ไม่อาจบังเกิดความขลาดกลัวก่อนจะที่เริ่มรบหรือมาข่มขวัญตัวเองได้ ไม่ว่าชาวทูเจวี๋ยจำนวนหนึ่งแสนนี้จะมีเจตนาเช่นไร พวกเราก็หมดหนทางถอยแล้ว ในเมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องให้เจ้าชนเผ่านอกด่านโดนอะไรหนักๆ สักคราไม่เช่นนั้นไม่เพียงจะผิดต่อเหล่าพี่น้องที่รบอาบชโลมโลหิตที่เฮ่อหลานซาน ทั้งยังผิดต่อขาทั้งสองข้างของพวกเราด้วย! ทุกคนจดจำแล้วหรือไม่?!” 


 


 


“ข้าน้อยรับบัญชา!” ทุกคนใบหน้าแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามดังลั่นออกมาพร้อมเพรียงกัน เป็นอย่างที่หลินหว่านหรงว่าเอาไว้ นี่เดิมทีก็เป็นเส้นทางที่ไม่อาจหวนคืนซึ่งมีแต่ความตายหมดหนทางรอดสายหนึ่ง ไม่มีทางให้พวกเขาหดหัวหดหาง สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเขามีเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมุ่งหน้า บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ราชธานีทูเจวี๋ย!” 


 


 


ปรึกษาหารือกับทุกคนไปรอบหนึ่ง ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนของเค่อจือเอ่อร์เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ วิธีการที่ปลอดภัยมากที่สุดในตอนนี้ก็คือใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว แนวหน้าของกองทัพไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันก็ขยายขอบเขตในการสืบเสาะของหน่วยลาดตระเวนให้กว้างมากขึ้น จับตาดูความเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่านตลอดเวลา ดูสิว่าพวกมันจะทำอะไรกันแน่ 


 


 


เมื่อหารือกันเสร็จก็เป็นยามสองแล้ว จันทร์เสี้ยวลอยประดับอยู่เหนือท้องนภากระจ่างใส แสงจันทร์หรุบหรู่สาดกระทบลงบนพื้นหญ้า เงียบสงัดเย็นยะเยือก แฝงความความหนาวเย็นเล็กน้อย เมื่อทอดสายตามองออกไป บนพื้นหญ้ามีทหารนอนอยู่เต็มไปหมด เสียงแผ่วเบา เข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันหวานชื่นไปตั้งแต่แรก มุมปากของพวกเขาประดับรอยยิ้มให้เห็นรางๆ ไม่รู้ว่าฝันเห็นบุพการีภรรยาและลูกๆ ที่อยู่ที่บ้านหรือไม่ แม้เค่อจือเอ่อร์จะอยู่แค่ตรงหน้า ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าพี่น้องเหล่านี้จะมีสักกี่คนที่มีชีวิตรอดกลับไป 


 


 


“สุราองุ่นในจอกสุรางาม เหตุไฉนกลับมีเสียงอาชาเร่งเร้า เมามายล้มตัวนอนกลางทะเลทรายอย่างขบขัน แต่โบราณผู้ยกทัพแดนไกลได้หวนคืนสักกี่คน?” ขายืนอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบงัน ทอดสายตามองใบหน้าที่มีหนวดเครางอกเงยเต็มไปหมดของเหล่านายทหารใต้บังคับบัญชา หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว จิตใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“เป็นอะไรไป?!” มืองามนุ่มนิ่มกุมมือของเขาแน่น เสียงอ่อนโยนยวนเย้าเสียงหนึ่งดังข้างใบหูเขาเบาๆ 


 


 


เขาหมุนกายกลับไปเบาๆ หนิงอวี่ซีที่อยู่ใต้จันทราริมฝีปากแดงดวงหน้าสีขาว ผิวพรรณงดงามประดุจหยก ภายในดวงตาทั้งสองข้างแวววาวอ่อนโยนดุจวารี กำลังมองเขาอย่างสงบนิ่ง งดงามอรชรอ้อนแอ้น แสงจันทร์สีเงินส่องสะท้อนดวงหน้าอันงามพิลาสไร้ผู้ใดเปรียบของนาง สายคาดกระโปรงพลิ้วไสว ชุดขาวโบกพลิ้ว หนิงอวี่ซีผู้เรียบง่ายงามสง่าราวกับเป็นนางเซียนที่ลงมาจากวังจันทรา สูงสง่าบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่แปดเปื้อนมลทินบนโลกมนุษย์ 


 


 


หลินหว่านหรงมองจนนิ่งเหม่อลอย ผ่านไปเนิ่นนานถึงกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้พร้อมกล่าวพึมพำกับตนเอง “พี่สาว ท่านช่างงามเสียจริง!” 


 


 


นางเซียนหนิงยิ้มอย่างอ่อนโยน มืองามยกขึ้นเล็กน้อย ปัดเศษหญ้าแห้งไม่กี่เส้นที่ติดอยู่ตามชุดและปกเสื้อเบาๆ “งดงามกับอัปลักษณ์มันก็แค่ถุงหนังที่สวรรค์ประทานมาให้เท่านั้น ตอนเกิดไม่ได้เอามา ตอนตายเอาจากไปไม่ได้ ก็มีแค่เจ้าถึงเอาเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ” 


 


 


นางเซียนช่างวางเฉยอย่างยิ่งเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน โบกไม้โบกมือพูดด้วยท่าทางไม่แยแส “การชื่นชมความงามเดิมทีก็เป็นสันดานของมนุษย์บนโลกอยู่แล้ว คนธรรมดาเช่นข้านี้ก็ยิ่งมีความสุข หรือว่าจะให้ข้าพอเผชิญหน้ากับพี่สาวซึ่งมีรูปโฉมราวกับนางเซียนบนสวรรค์แล้วจะไม่ให้รู้สึกรู้สาอะไร…ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง พี่สาว นี่ท่านออกจะขอรุนแรงเกินไปแล้วกระมัง!” 


 


 


หนิงอวี่ซีดวงหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าลงพร้อมกล่าวตำหนิ “ผู้ใดรุนแรงกับเจ้ากัน? เถียงเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ เจ้าอยากดูก็ดูไปเถอะ ข้าสิ้นการบำเพ็ญเพียรไปนานแล้ว ยังไม่ปล่อยให้เจ้ารังแกอีกหรือ?!” 


 


 


แก้มขาวผ่องของนางเซียนราวกับผัดแต่งแต้มชาด ท่าทางตำหนิแฝงความเขินอายนั้นชักกวักวิญญาณเสียจริง หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็บังเกิดความรักใคร่อย่างล้นเหลือ จับมือนางพร้อมถอนหายใจเบาๆ “โชคดีที่มีพี่สาวเทพเซียนร่วมทางมาตลอด มิเช่นนั้นเส้นทางแห่งความเป็นความตายนี้ ข้าจะเดินต่อไปได้อย่างไร?!” 


 


 


คำพูดนี้ไม่ผิดแม้แต่น้อย นับตั้งแต่ซิงชิ่งมาถึงเฮ่อหลานซาน จากปาเยี่ยนเฮ่าเท่อถึงเคอปู้ตัว ระหว่างนั้นประสบอุปสรรคอันตรายมานับไม่ถ้วน ประสบความเป็นความตายด้วยตัวเองมาตั้งหลายครั้ง หากไม่มีพี่สาวอันกับนางเซียนลอบคุ้มครอง เขาคงตายไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว 


 


 


เห็นเขามีท่าทางหดหู่ก็นึกถึงอาการทอดถอนใจที่เขามีก่อนหน้านี้ หนิงอวี่ซีกำมือแน่น เอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “โจรน้อย เจ้าคิดถึงบ้านหรือ?” 


 


 


“มีบ้าง!” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย นางเซียนสงบนิ่งสง่างาม เฉยชากับทุกสิ่ง และมีเพียงอยู่เบื้องหน้านางเท่านั้น หลินหว่านหรงถึงว่าง่ายเพียงนี้ 


 


 


ครั้นนึกถึงครั้งที่ต้องการเอาชีวิตเขาในคราแรก โจรน้อยผู้นี้ห้าวหาญแข็งกร้าวเพียงใด ปืนไฟเข็มผึ้งหยิบมาทำร้ายตน จะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาก็มีช่วงที่ว้าเหว่ไร้กำลังด้วยเช่นกัน! 


 


 


นึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง ใจของหนิงอวี่ซีก็ค่อยๆ รู้สึกอ่อนโยนลง ดวงตาเปียกชื้นดุจวารี ปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของเขาให้เรียบร้อยเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยนออกมาว่า “อย่ากลุ้มใจไปเลย มีอวี่ซีอยู่เคียงข้าง ต่อให้เป็นไพร่พลนับพันนับหมื่นก็ไม่อาจทำอันตรายเจ้าได้แม้แต่ขนสักเส้น รอให้รบเสร็จแล้ว ข้าจะกลับไปพร้อมเจ้า ให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสำราญบานใจ” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย ยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ “ชีวิตที่สำราญบานใจข้าคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่ข้ากลับไม่ได้กังวลเพื่อตนเอง” 


 


 


“เช่นนั้นเพื่อใคร?!” หนิงอวี่ซีถามด้วยความสงสัย 


 


 


กวาดสายตามองใบหน้าอ่อนเยาว์จำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนพื้น พวกเขาที่อยู่ในห้วงนิทรารมย์กำลังมีความสุขและสงบนิ่ง หลินหว่านหรงถอนหายใจเบาๆ “เพื่อพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายเหล่านี้! ข้าพาพวกเขามาแบบมีชีวิตได้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่รอดกลับไป?!” 


 


 


นางเซียนหนิงอับจนคำพูด ถอนหายใจเบาๆ นางช่วยโจรน้อยคนหนึ่งได้ แต่จะไปช่วยทหารห้าพันคนนี้ได้อย่างไร?! 


 


 


“อันที่จริงข้าไม่อยากรบเลยจริงๆ!” หลินหว่านหรงพูดพึมพำกับตนเอง คล้ายพูดให้นางฟัง ทั้งคล้ายพูดให้ตัวเองฟัง 


 


 


ครั้นเห็นสายตาอันเวิ้งว้างว่างเปล่าของโจรน้อย นางเซียนก็ปวดใจ รีบคว้ามือเขาไว้ “ข้ารู้” 


 


 


หลินหว่านหรงหันหน้ามาทันที ยิ้มร่าพร้อมพูดว่า “พี่สาว ข้าอยากร้องเพลง ท่านเคยฟังข้าร้องเพลงหรือไม่?!” 


 


 


เจ้าโจรน้อยคนนี้เหตุใดบทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้นะ? คราบน้ำตาหนิงอวี่ซียังไม่ทันแห้ง กลับเห็นเขาเปลี่ยนเป็นหน้าระรื่นอย่างแปลกประหลาด ดังนั้นจึงอดตะลึงงันไปไม่ได้ 


 


 


ยังไม่ทันจะได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง หลินหว่านหรงกลับสะบัดแขนออก แหกปากร้องเสียงดังออกมาว่า “…ข้าต้องการไปจากใต้จรดเหนือ ข้ายังต้องการไปนับตั้งแต่สว่างจนมืดมิด! ข้าต้องการให้ผู้คนมองเห็นข้า แต่กลับไม่รู้ว่าข้าคือใคร…” 


 


 


บทเพลงนั้นแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เสียงห้าวหาญเข้มแข็ง ลอยล่องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรีไปสู่สถานที่อันไกลแสนไกล เสียงสะท้อนจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นมาพร้อมกัน พลันบังเกิดความรู้สึกเศร้าโศกาอันแปลกประหลาดถั่งท้นขึ้นมาภายในใจ จนเมื่อเสียงของเขามลายหายไป ในใจก็ยังร้อนรุ่ม 


 


 


“เอ๊ะ แม่ทัพหลินร้องเพลงอีกแล้ว?!” หูปู้กุยเงี่ยหูฟังอยู่นาน ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เหตุใดถึงไม่ค่อยเหมือนสิบแปดลูบคลำ? หรือว่าที่ซ่องจะมีเพลงสิบแปดลูบคลำใหม่” 


 


 


“ใช้หูอะไรฟังกัน” เหล่าเกาเบ้ปากอย่างดูแคลน “เห็นๆ อยู่ว่านี่คือคิดถึงท่าน เป็นที่นิยมมากที่สุดในแปดหูท้งของปีนี้!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งแสร้งหลับอยู่ทางนั้นพลิกตัวขึ้นมา ดวงตาปรากฏประกายวาววับเล็กน้อย สายตาจับจ้องเงาคนคู่หนึ่งซึ่งกำลังอิงแอบแนบชิดกันอยู่บนเนินเขาเขม็ง นางกัดฟันกรอด แค่นเสียงหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง… 


 


 


ออกเดินทางจากเคอปู้ตัว มุ่งหน้าเป็นระยะทางเจ็ดแปดสิบลี้ก็บรรลุถึงทะเลสาบอูปู้ซูนั่วเอ่อร์ 


 


 


“อูปู้ซูนั่วเอ่อร์” ความหมายในทูเจวี๋ยก็คือทะเลสาบอันเงียบสงบบนสรวงสวรรค์ 


 


 


ทะเลสาบสมดังคำร่ำลือ ยังไม่ทันเข้าใกล้ผิวทะเลสาบก็มีไอน้ำบางๆ ปะทะหน้าเข้ามาแล้ว แฝงด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของต้นหญ้าจางๆ น้ำทะเลสาบใสจนมองเห็นก้น คลื่นสีเขียวมรกตกระเพื่อมไหว เมื่อทอดสายมองออกไปไกลก็เหมือนกระจกแวววาวขนาดมหึมาซึ่งฝังตัวอยู่บนทุ่งหญ้าอาลาซ่าน 


 


 


ทะเลสาบอยู่ห่างจากเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแค่สามร้อยกว่าลี้ ถือว่าอยู่ใกล้แค่จมูกชาวทูเจวี๋ย เนื่องจากไม่รู้แน่ชัดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนที่อยู่นอกเค่อจือเอ่อร์นั้น หลินหว่านหรงจึงลดความเร็วในการเดินทัพ เอ้อระเหยไปทั้งวัน จวบจนยามสายัณห์ถึงจงใจมาถึงอูปู้ซูนั่วเอ่อร์แห่งนี้ 


 


 


ฟ้ามืดแล้ว เหล่านายทหารปล่อยม้าออกหากินริมทะเลสาบ เช็ดดาบอย่างสบายอารมณ์ ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ ถึงกระนั้นกลับไม่พบบรรยากาศตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย 


 


 


อวี้เจียคล้ายคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของทะเลสาบแห่งนี้เป็นอย่างดี เมื่อมาถึงที่นี่เหมือนได้มาถึงบ้าน นางละทิ้งความเย็นชาที่เคยมีก่อนหน้าไปทั้งหมด ส่งเสียงหัวเราะยวนเย้าไม่หยุด เก็บดอกไม้ใบหญ้าป่าสารพัดชนิดภายในพุ่มหญ้าข้างทะเลสาบไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็นำมาปะปนกัน รวบเป็นช่อขนาดใหญ่หลายช่อ แต่ละช่อต่างนำมาไว้ใกล้จมูกแล้วดมเบาๆ หลายครั้งด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มหวาน 


 


 


เมื่อเล่นสนุกจนเหนื่อยนางก็ถอดรองเท้า เผยให้เห็นเท้าน้อยงามกระจ่างใสประดุจหยกคู่หนึ่ง เตะน้ำทะเลสาบอันกระจ่างใสอย่างมีความสุข ทั้งยังขยำขยี้ดอกไม้ใบหญ้าป่ากำโตข้างกายหลายครั้ง คั้นน้ำออกมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็โยนใส่ทะเลสาบไม่หยุด ดูจากสีหน้านั้นแล้ว ท่าทางผ่อนคลาย มีอิสรเสรีอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


แม่เอ๊ย เห็นๆ อยู่ว่านางเป็นตัวประกัน แล้วทำไมถึงเล่นสนุกผ่อนคลายยิ่งกว่าข้าเสียอีก? มองดูอวี้เจียสาวน้อยผู้ไร้ทุกข์ไร้กังวล หลินหว่านหรงก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากดวงตา เต็มไปด้วยความอับจนปัญญาและความริษยา 


 


 


อวี้เจียคล้ายรู้สึกถึงสายตาของเขาได้ นางหมุนกายมาเล็กน้อย เมื่อเห็นหน้าดำของเขา นางกลับคลี่ยิ้ม ยวนเย้าพราวเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งงัน เป็นไปไม่ได้น่า นางยิ้มให้ข้า นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีมานานแล้วนะ หรือว่าวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก?! 


 


 


ช่วงที่เขาตะลึงงัน อวี้เจียก็แค่นเสียงออกมาเบาๆ อีกคราพร้อมเบือนหน้ากลับไป ดอกไม้ใบหญ้ากำใหญ่ที่อยู่ในมือโยนลงไปในทะเลสาบ สายตานั้นกลายเป็นล่องลอย เป็นระลอกขึ้นลงราวกับน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ 


 


 


“พี่หู พี่น้องข้างหน้ามีข่าวใหม่กลับมารายงานบ้างหรือไม่” เพิ่งจะตั้งค่ายหลินหว่านหรงก็จับตัวหูปู้กุยเอาไว้พร้อมไต่ถามด้วยจิตใจอันร้อนรุ่ม ยามเที่ยง หน่วยลาดตระเวนกลุ่มแรกส่งข่าวกลับมา รอบนอกเค่อจือเอ่อร์มีทหารม้าชนเผ่านอกด่านนับแสนคนรวมตัวกันอยู่จริง มีหญ้าเสบียงกองอยู่เต็มไปหมด สุมราวกับเป็นภูเขาลูกย่อมๆ ข่าวของนางเซียนเที่ยงตรงไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


ชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนเฝ้าเส้นทางซึ่งเชื่อมต่อไปยังเค่อจือเอ่อร์ จนบัดนี้ยังไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอันใด เมื่อเห็นเค่อจือเอ่อร์อยู่แค่ตรงหน้า ความร้อนใจของหลินหว่านหรงแค่คิดก็รู้ได้แล้ว  

 

 


ตอนที่ 582 - 2 ชายงามทูเจวี๋ย

 

เหล่าหูส่ายหน้าด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “ยังไม่รายงานกลับมาขอรับ ทัพใหญ่หนึ่งแสนของชนเผ่านอกด่านอยู่ด้านข้าง หน่วยลาดตระเวนของเราไม่อาจเข้าใกล้ได้เลย เป้าหมายของพวกมันจึงยิ่งไม่ทราบขอรับ ยาก!” 


 


 


ที่ร้ายก็ร้ายตรงที่ไม่รู้อะไรเลยนี่ล่ะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห ทั้งไม่รู้เจตนาของชนเผ่านอกด่าน ทั้งไม่มีข่าวจากเฮ่อหลานซาน และยิ่งไม่รู้ว่าที่แท้สวีจื่อฉิงทางนั้นมีความเคลื่อนไหวหรือไม่ ส่วนตัวเองหากไม่ระมัดระวังเพียงเล็กน้อย ทหารต้าหัวห้าพันนายนี้ก็จะถูกชนเผ่านอกด่านหนึ่งแสนคนบดขยี้เป็นชิ้นๆ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้กลับปราศจากข่าวสารที่มีประโยชน์มาให้วิเคราะห์ศัตรู แล้วจะไม่ให้เขาจิตใจร้อนรุ่มได้อย่างไร? นี่คือข้อเสียที่เกิดขึ้นจากการเดินทางล่วงลึกเข้ามาของทัพอันโดดเดี่ยว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ” ขณะที่กำลังร้อนใจ สวี่เจิ้นก็บุกเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง 


 


 


“มีอะไร?” หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยน “ทหารม้าทูเจวี๋ย? มีเท่าไหร่? มาจากที่ใด แล้วจะไปที่ใดอีก?!” 


 


 


สวี่เจิ้นส่ายหน้า “มีราวร้อยกว่าคน สถานะตอนนี้ยังไม่อาจยืนยัน เพียงแต่เมื่อดูจากท่าทางของม้าศึกพวกมัน เดินทางไม่เกินหนึ่งวันก็น่าจะรีบรุดมาถึงราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้วขอรับ” 


 


 


เมืองปราการทุ่งหญ้าซึ่งอยู่ใกล้อูซูปู้นั่วเอ่อร์มากที่สุดก็มีแค่เค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้มาจากที่ใด แค่กำลังคนร้อยคนนี้ถือว่าน้อยนิดมาก หน่วยลาดตระเวนที่อยู่รอบนอกเค่อจือเอ่อร์จะไม่รายงานกลับมาก็เป็นเรื่องปกติ 


 


 


ทหารม้าร้อยนาย? มุ่งตรงมาที่ทะเลสาบ? นี่เป็นใครกันแน่? พวกมันต้องการทำอะไร? หลินหว่านหรงเดินย่ำเท้ากลับไปกลับมา สมองใช้ความคิดอย่างเร็วรี่ 


 


 


เกาฉิวเมื่อฟังรายงานของสวี่เจิ้นจบก็เบะปากพูดอย่างดูแคลน “ก็แค่กุ๊ยนอกด่านร้อยคนเองไม่ใช่หรือ?! ลงมือลงไม้ให้รวบรัดสักหน่อย กำจัดพวกมันไปเลยก็ได้แล้วมิใช่หรือ?!” 


 


 


“ไม่ได้” หูปู้กุยรีบส่ายหน้า “ตอนนี้ยังไม่รู้เจตนาในการมาของชนเผ่านอกด่านร้อยคนนี้อย่างแน่ชัด หากเป็นสายสืบของทูเจวี๋ย พอพวกเราลงมือจะไม่เผยร่องรอยการเดินทางของพวกเราต่อชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังนั้นพอดีหรอกหรือ?!” 


 


 


หากเอ่ยถึงการจัดกองทัพและการวางกองกำลัง เหล่าเกาย่อมไม่ใช่แน่นอน เขาแลบลิ้น ไม่กล้าพูดอะไรออกมาแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงดวงตากระจ่างวูบ รีบพูดว่า “ไม่ว่าที่มาจะเป็นใคร พวกเราก็ไม่ต้องกลัวมัน พี่หู ท่านพาพี่น้องให้ถอยหลังออกไปยี่สิบลี้ สวี่เจิ้น เจ้าพาพี่น้องร้อยคนรั้งอยู่กับข้า พวกเราลองสืบแผนการของชนเผ่านอกด่านพวกนี้ดู” 


 


 


“ไม่ได้” พูดเพิ่งจบ หูปู้กุยก็คัดค้านเสียงดัง “มีฐานะเป็นผู้คุมกองทัพ แล้วจะเสี่ยงอันตรายด้วยตนเองได้อย่างไร ขอท่านแม่ทัพโปรดพากองทัพไปเร้นกาย ให้ข้าน้อยนำคนไปสืบข่าวเถอะขอรับ” 


 


 


ความคิดของหูปู้กุยละเอียดรอบคอบ ประสบการณ์ช่ำชอง พอคำพูดหลุดออกมาทุกคนล้วนผงกศีรษะเห็นด้วย หลินหว่านหรงหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “พี่หูคิดมากไปแล้ว ใช้ร้อยสู้ร้อย แถมทัพเรายังอยู่ในที่ลับ อย่างมากก็จัดการชาวทูเจวี๋ยพวกนี้ไปเสีย ไหนเลยจะต้องใช้คำว่าเสี่ยงอันตรายด้วย?! หลายวันนี้ทำข้าหงุดหงิดจะแย่แล้ว ไม่ไปสืบชนเผ่านอกด่านด้วยตัวเองสักหน่อย ข้ารู้สึกไม่ยินยอมจริงๆ อีกอย่างนะ เมื่อเจอกับทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์แห่งนี้ ยังมีผู้ใดที่ว่ายน้ำดีกว่าข้าอีก? ข้าอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไป กะอีแค่ชาวทูเจวี๋ยร้อยคนจะทำอะไรข้าได้” 


 


 


เขาเชื่อมั่นเปี่ยมล้น ทุกคนยังคงโน้มน้าวต่อไป ทว่ากลับถูกเขาปฏิเสธ หูปู้กุยจนใจ ทำได้เพียงกำชับสวี่เจิ้นอย่างถ้วนถี่อยู่หลายประโยค จากนั้นถึงพากองทัพถอยไปข้างหลัง 


 


 


ทหารร้อยคนที่พามาพร้อมสวี่เจิ้นต่างซุ่มตัวอยู่ในพงหญ้า เวลาผ่านไปทีละเสี้ยววินาที ฟ้ามืดสนิทแล้ว ความรู้สึกเย็นเยียบถั่งท้นขึ้นมาภายในจิตใจเป็นระลอก ชนเผ่านอกด่านร้อยคนนั้นกลับยังมาไม่ถึง 


 


 


รอจนรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เพิ่งจะขยับตัวเล็กน้อยไปไม่กี่ที หูก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับกุบกับเบาๆ ลอยเข้ามา เสียงนี้คุ้นเคยเสียจนไม่อาจจะคุ้นเคยได้อีก เป็นเสียงฝีเท้าอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของม้าทูเจวี๋ย 


 


 


“มาแล้ว” เสียงของสวี่เจิ้นเตือนสติ ทุกคนรีบซุ่มตัวอยู่ในพุ่มไม้ กลั้นลมหายใจ 


 


 


ท่ามกลางความมืด ไอหมอกลอยขึ้นบางๆ จุดดำที่วิ่งทะยานนับร้อยรวดเร็วประดุจสายลม มุ่งตรงมาที่ทะเลสาบ เมื่อเห็นท่วงท่าและความเร็วในการขี่ม้าของทหารม้า ต่างเป็นมือดีชาวทูเจวี๋ยผู้ช่ำชองอย่างยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ราตรีมืดมิด ชาวทูเจวี๋ยร้อยคนนี้ทั้งไม่แจ้งชื่อเสียงเรียงนามและไม่จุดคบเพลิง ห้อตะบึงราวกับเกาทัณฑ์ พุ่งทะยานมาที่ริมทะเลสาบ แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


เมื่อเห็นชาวทูเจวี๋ยเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงก็รีบหดศีรษะกลับลงไปในพงหญ้าลึกๆ สายลมเร็วรี่กวาดผ่าน ม้าเร็วทูเจวี๋ยหลายตัวประหนึ่งพายุสลาตันที่กวาดม้วนเข้ามา ทำให้ใบไม้ใบหญ้าปลิวปะทะใบหน้า เจ็บปวดยิ่งนัก 


 


 


เจ้าชาติหมา! หลินหว่านหรงถ่มเศษหญ้าที่เข้าปากออกมา ส่งเสียงถุยๆ พลางลอบด่าทอไปยกหนึ่ง 


 


 


ทะเลสาบอูซูปู้นั่วเอ่อร์อยู่ติดกับราชธานีทูเจวี๋ย ชาวทูเจวี๋ยนับร้อยที่ห้อตะบึงเข้ามาช่างย่ามใจยิ่งนัก แม้แต่พงหญ้าที่อยู่โดยรอบก็ไม่มองแม้แต่แวบเดียว คล้ายวางใจต่ออาณาเขตของตนยิ่งนัก 


 


 


“ดูสิ พวกมันหยุดแล้ว!” สวี่เจิ้นร้องเบาๆ ทำให้หลินหว่านหรงตกใจจนได้สติ เขารีบทอดสายตามองไป เห็นว่าชาวทูเจวี๋ยนับร้อยที่เมื่อครู่ยังคงควบม้าห้อตะบึงอยู่นั้น เมื่อมาถึงริมทะเลสาบก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง หลายคนซึ่งนำหน้าอยู่เมื่อครู่ลงจากหลังมาตั้งแต่แรก กำลังจูงม้าเดินไปข้างหน้า 


 


 


“หรือว่าพวกมันจะตั้งค่ายค้างที่นี่?!” ความคิดนี้ปรากฏวูบอยู่ภายในใจหลินหว่านหรง เหล่าหูพาพี่น้องหลายพันคนออกห่างจากที่นี่ไปเพียงยี่สิบลี้เท่านั้น หากประมาทพลาดพลั้งก็ต้องปะทะกัน เขารู้สึกร้อนใจขึ้นแล้ว การต่อกรกับคนร้อยคนนี้เดิมทีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร กลัวแค่ว่าเบื้องหลังพวกมันยังมีคนอีก เช่นนั้นก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยายามสะกดกลั้นความร้อนรนกระวนกระวายที่มีอยู่ภายในใจ 


 


 


ชนเผ่านอกด่านนับร้อยลงจากหลังม้าจนหมดสิ้น เอากระโจมลงมาเรียบร้อย พวกมันกำลังเดินวนรอบทะเลสาบ ดูท่าทางคล้ายกำลังเลือกสถานที่ที่จะตั้งกระโจม เห็นชัดว่าคืนนี้จะค้างอยู่ที่นี่แล้ว 


 


 


ไปข้างหน้าอีกสักหน่อยก็คือเคอปู้ตัวแล้ว คืนนี้พวกมันค้างอยู่ที่นี่ หรือว่าพรุ่งนี้เช้าจะรีบไปเคอปู้ตัว? แต่ระยะทางสั้นๆ แค่ร้อยลี้ หวดแส้อีกสักหน่อยก็ถึงแล้ว เหตุใดต้องมาตั้งค่ายตรงนี้ด้วย? หลินหว่านหรงคิดอยู่นานก็ไม่เข้าใจ 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยทางนั้นเดินวนเวียนอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกตำแหน่งที่ดีได้ เริ่มตั้งค่ายก่อกองไฟกันแล้ว ชาวทูเจวี๋ยพวกนี้กลับสายตาดียิ่งนัก สถานที่ที่เลือกมีหญ้าล้อมรอบสามด้าน ส่วนอีกด้านอยู่ติดทะเลสาบอันกระจ่างใส สายลมสดชื่นพัดเข้าฝั่ง คลื่นสีมรกตกระเพื่อมไหว ทัศนียภาพงดงาม เวรยามที่ชนเผ่านอกด่านส่งออกไปอยู่ใกล้กระโจมยิ่งนัก ดูออกว่าพวกมันยังค่อนข้างวางใจต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบ น่าจะเพราะห่างออกไปอีกสองร้อยลี้คือภูเขาอาเอ่อร์ไท่ซึ่งเป็นปราการทางธรรมชาติกระมัง 


 


 


หลินหว่านหรงมองตรวจตรารอบด้านคราหนึ่ง ทำท่ามือต่อพุ่มหญ้าที่อยู่ไกลๆ สวี่เจิ้นผงกศีรษะรับรู้ โบกมือเล็กน้อย นายทหารที่อยู่ข้างกายเขาจึงแบ่งเป็นกลุ่มย่อยหลายสิบกลุ่ม กระจายรูปกระบวน มุดไปทางพงหญ้านั้นอย่างเงียบงัน คนเหล่านี้คือทหารชั้นยอดในทหารชั้นยอดที่หูปู้กุยเลือกสรรมา แต่ละคนต่างสู้หนึ่งต่อสิบได้ เคลื่อนไหวรวดเร็วรวบรัด เพียงชั่วพริบตาก็ไปถึงตำแหน่งที่หลบซุ่มแล้ว 


 


 


เมื่อหลินหว่านหรงมุดเข้าไป ข้างใบหูก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นของชาวทูเจวี๋ย เมื่อแอบเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกระโจมของชนเผ่านอกด่านแค่สามสิบจั้ง ริมทะเลสาบก่อกองไฟขนาดยักษ์ บนกองไฟห้อยแพะย่างสดใหม่ทั้งตัว กลิ่นหอมของเนื้อลอยเตะจมูก น้ำมันแพะสีเหลืองทองหยดติ๋งๆ ลงบนกองไฟ ทำให้เกิดสะเก็ดไฟสว่างวูบวาบ 


 


 


ข้างกองไฟมีชาวทูเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิอยู่หลายคน กำลังพูดคุยสรวลเสเฮฮาเสียงดัง เนื่องจากอยู่ห่างมากเกินไป ไม่เพียงจะได้ยินพวกมันพูดคุยไม่ชัดเจน แม้แต่ใบหน้าของคนทั้งหลายก็พร่ามัวยิ่งนัก บังเกิดลางสังหรณ์รางๆ ว่าชาวทูเจวี๋ยที่นั่งฝั่งตรงข้ามตนเองนั้นสวมใส่อาภรณ์ไม่ธรรมดา ชุดชนเผ่านอกด่านหรูหรางดงาม คล้ายเป็นหัวหน้า 


 


 


มารดามัน! หรือว่าเจ้าพวกนี้จะมาจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ มองก็มองไม่ชัด ฟังก็ไม่ได้ยิน หลินหว่านหรงหงุดหงิดโมโหยิ่งนัก อดลอบด่าทอกับตัวเองไม่ได้ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ไม่สู่ลงทะเลสาบไปดีกว่าขอรับ” สวี่เจิ้นพูดกระซิบข้างใบหู 


 


 


ใช่แล้วล่ะ หลินหว่านหรงดวงตาเปล่งประกาย เจ้าชนเผ่านอกด่านหลายคนนี้พูดคุยอยู่ริมฝั่ง ด้วยความสามารถยอดพยัคฆ์บนบก มังกรขาวน้อยในน้ำของข้า คิดจะจัดการพวกมันไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือหรอกหรือ 


 


 


มองสวี่เจิ้นอย่างเห็นด้วยคราหนึ่ง ขณะกำลังจะปฏิบัติการ ทันใดนั้นก็มีหน่วยลาดตระเวนคนหนึ่งมุดเข้ามา “ท่านแม่ทัพ มีคนมาอีกแล้วขอรับ!” 


 


 


“อะไรนะ?!” เสียงตกใจยังไม่ทันจบก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังเข้ามาในหูเป็นระยะ น้อยกว่าร้อยคนเมื่อครู่มากนัก ท่าทางราวสิบกว่าคนเห็นจะได้ 


 


 


ตอนแรกมีร้อยคน ตอนหลังมีอีกสิบคน หรือว่าพวกมันจะมานัดพบกัน?! หลินหว่านหรงใจเต้นรัว รีบซ่อนตัวอีกครั้ง 


 


 


เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นเบาๆ เห็นชัดว่าทำให้ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ตรงข้ามตกใจ ชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งพูดข้างใบหูคนหนุ่มที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นอยู่หลายประโยค ชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าผงกศีรษะเล็กน้อย ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างแช่มช้า เดินมายังทางเข้าค่าย 


 


 


คบเพลิงค่อยๆ สว่างขึ้น หลินหว่านหรงเห็นรูปโฉมของชนเผ่านอกด่านอายุน้อยผู้นั้นด้วยเช่นกัน มันอายุราวยี่สิบกว่าปี คิ้วเข้มตาโต จมูกโด่งปากใหญ่ รูปร่างยังสูงใหญ่กว่าหลินหว่านหรงครึ่งช่วงศีรษะ แขนขาแข็งแรงกำยำ เหมือนจะมีพลังปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ ทั่วทั้งร่างแข็งแรงทรงพลัง องอาจผึ่งผาย ต่างจากลาปู้ตัวชนเผ่านอกด่านที่หลินหว่านหรงเคยเห็นโดยสิ้นเชิง นี่คือชายงามทูเจวี๋ยผู้แข็งแกร่งตามแบบฉบับอย่างแท้จริง  


 


 


เจ้านี่กลับหน้าตาดีอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าอาจดึงดูดสาวน้อยทูเจวี๋ยไปไม่น้อย หลินหว่านหรงแอบหัวเราะคราหนึ่ง 


 


 


ชายงามทูเจวี๋ยผู้นี้สวมชุดชนเผ่านอกด่านสีเหลืองอ่อน แม้รูปร่างจะไม่ต่างจากชนเผ่านอกด่านทั่วไป แต่คุณภาพของชุดนั้นกลับคนละเรื่องเลยทีเดียว เมื่ออยู่ในสายตาผู้เชี่ยวชาญด้านชุดชั้นในเช่นหลินหว่านหรงนี้ เขาเองก็ต้องลอบตกใจเช่นกัน เห็นชัดว่านี่คือผ้าไหมชั้นดีของต้าหัว ที่ต้าหัวก็มีแค่ครอบครัวผู้มีอันจะกินเท่านั้นถึงจะสวมใส่ได้ แล้วเจ้านี่มันเป็นใครกันแน่? 


 


 


ชายงามทูเจวี๋ยผู้นั้นเดินออกห่างจากทางเข้าไปได้ไม่กี่จั้งก็หยุดยืน ไม่ขยับไปเบื้องหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว มือหนึ่งแตะดาบโค้งที่ห้อยอยู่ที่เอว นัยน์ตาประดุจเหยี่ยว มองประเมินเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ท่าทางอันห้าวหาญเย็นชานั้น ชนเผ่านอกด่านธรรมดาทั่วไปไม่อาจเทียบได้ เมื่อมองไปที่ข้างกายคนผู้นี้อีก ชาวทูเจวี๋ยใต้บังคับบัญชามันแต่ละคนต่างรูปร่างกำยำล่ำสัน เปี่ยมล้นด้วยพลัง มือที่กุมดาบโค้งมีเส้นเอ็นปูดโปน มองปราดเดียวก้รู้ว่าเป็นชนชั้นที่ผ่านการรบมาเป็นร้อย 


 


 


หลินหว่านหรงตกใจ รั้งความรู้สึกสบายใจกลับไปทันที หากเอาคนร้อยคนของข้าไปเทียบกับลูกสมุนของเจ้าคนนี้จริง ใครจะแพ้ใครจะชนะก็พูดได้ยากแล้ว 


 


 


ขณะที่กำลังเกิดข้อกังขานี้ ม้าหลายสิบตัวที่อยู่ไกลๆ ก็มาถึงอย่างเร็วรี่ เสียงฝีเท้ากระจ่างชัดกรีดทำลายความเงียบสงบของทุ่งหญ้า ชายงามชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นกวาดตามองเล็กน้อย ผงกศีรษะแล้วยืนอยู่ตรงนั้น ปราศจากท่าทีจะออกจากค่ายไปต้อนรับแม้แต่น้อย 


 


 


ม้าหลายสิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงกวาดตามองอย่างพร่ามัวคราหนึ่ง เห็นเพียงว่าคนพวกนี้สวมชุดชนเผ่านอกด่าน แต่รูปโฉมกลับมองเห็นไม่ชัดเจน 


 


 


ขณะที่ชนเผ่านอกด่านซึ่งมาทีหลังยังอยู่ห่างจากทางเข้าค่ายอีกหลายจั้ง ก็ตวาดให้ม้าใหญ่หยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน กระโดดเสียงดังขวับคราหนึ่ง คนผู้หนึ่งซึ่งอยู่เบื้องหน้าก้าวเข้ามาอย่างเร็วรี่ แสดงการคารวะแด่ชายงามทูเจวี๋ยในอาภรณ์หรูหราผู้นั้นด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พูดเสียงดังบางอย่างออกมา 


 


 


เสียงลอยมาตามลม ได้ยินแว่วๆ ไม่ชัดเจน เพียงแต่เสียงนั้นกลับเหมือนจะคุ้นเคยอยู่หลายส่วน หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกขบขัน แม่เอ๊ย! หรือว่าข้าก็มีคนคุ้นเคยที่ทูเจวี๋ยด้วย? 


 


 


อาศัยแสงริบหรี่ของคบเพลิง เขากวาดตามองอย่างลวกๆ คราหนึ่ง พริบตานั้นก็ตาโตอ้าปากค้าง อ้าจนยัดไข่ไก่ขนาดใหญ่เข้าไปได้ฟองหนึ่ง ไม่อาจหุบลงไปได้อีก 


 


 


“เป็นเจ้าคังหนิง!” สวี่เจิ้นตกใจจนแทบจะกระเด้งขึ้นไป โชคดีที่หลินหว่านหรงอุดปากเขาได้ทันเวลา 


 


 


ผู้ที่สวมชุดชนเผ่านอกด่าน เดินนำหน้าย่างก้าวเข้าไปในค่ายนั้นกลับเป็นเจ้าคังหนิงทายาทเฉิงอ๋องที่หลบหนีไปในครั้งก่อนนั่นเอง! มิน่าหลินหว่านหรงถึงจำมันไม่ได้ เจ้าคังหนิงสวมชุดชนเผ่านอกด่าน ไว้หนวดไว้เครา ใบหน้าตากแดดจนดำไปมาก คนละเรื่องกับทายาทเฉิงอ๋องผู้หล่อเหลาสง่างามผู้แต่งกายหรูหราคนนั้นโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เห็นดวงตามัน เพียงมองลวกๆ มันก็คือชาวทูเจวี๋ยผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


ทายาทเฉิงอ๋องในกาลก่อนประสานมือโค้งคารวะให้เจ้าคนผู้นั้นไม่หยุด สีหน้าท่าทางเคารพนบนอบจริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ บุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นไม่รู้ว่ามีสถานะอันใดเช่นกัน ครั้นเผชิญกับการโค้งคำนับแสดงการคารวะครั้งใหญ่ของ เจ้าคังหนิงก็ทำแค่ผงกศีรษะเล็กน้อยเท่านั้น สีหน้าหยิ่งผยอง ความดูแคลนที่มีอยู่ในดวงตาแค่มองปราดเดียวก็รู้ 


 


 


คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยคนนี้กลับยอมสวามิภักดิ์ชาวทูเจวี๋ยจริง โชกนี้มันช่างเล็กเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายคมกริบเร็วรี่ อดยิ้มหยันชั่วร้ายไม่ได้ 


 


 


เจ้าขี้ข้าที่ประจบประแจงอย่างหน้าไม่อายนี้ คู่ควรเป็นชาวต้าหัวของเราด้วยหรือ? สวี่เจิ้นโกรธจนกัดฟันเสียงดังกรอดๆ อยากจะเอาดาบไปฟันมันให้รู้แล้วรู้รอดไป 


 


 


ไม่จำเป็นต้องมาอารมณ์เสียกับเจ้าคังหนิง มันก็แค่สุนัขไร้บ้าน สิ่งที่หลินหว่านหรงกังวลอย่างแท้จริงก็คือสถานะของชายงามทูเจวี๋ยผู้นั้น 


 


 


มองดูเจ้าคังหนิงตามหลังคนผู้นั้นเดินเข้าไปในกระโจม หลินหว่านหรงก็ตบบ่าสวี่เจิ้นแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี่ ตามข้าลงทะเลสาบไป” 


 


 


การเดินทางวันนี้ช่างมาไม่ผิดเลยจริงๆ! ไม่ใช่แค่ได้เห็นเจ้าคังหนิงผู้ทรยศบรรพชนคนนี้อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ไม่แน่ว่าจะได้อะไรอย่างอื่นกลับไปด้วย เขาหาทหารที่ว่ายน้ำเป็นมาสักหลายนาย ทุกคนเลือกไปอยู่ริมฝั่งที่อยู่ไกลห่างจากกระโจมนั้น จากนั้นก็ดำน้ำลงไปอย่างเงียบๆ เข้าใกล้กระโจมนั้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง  


 


 


เมื่อเจ้าคังหนิงมา เวรยามชาวทูเจวี๋ยก็เพิ่มความแน่นหนามากขึ้น อีกสามด้านที่เหลือมีหน่วยลาดตระเวนเดินตรวจสอบสิบกว่าคนไม่หยุดหย่อน มีเพียงด้านที่ติดริมทะเลสาบเท่านั้นที่เงียบสงัดผิดปกติ และนี่ก็เป็นความเคยชินของชาวทูเจวี๋ย พวกมันเติบโตอยู่บนหลังม้า แทบจะเป็นเป็ดบกกันทั้งนั้น อีกอย่าง นี่อยู่เบื้องหน้าราชธานี แล้วจะมีผู้ใดกล้าหลับหูหลับตามาหาเรื่องพวกมันได้ 


 


 


หลินหว่านหรงดำลงไปในน้ำ เดินทางออกมาไกลลิบภายในชั่วอึดใจเดียว เพิ่งมุดขึ้นสู่ผิวน้ำก็ได้ยินเจ้าคังหนิงคำรามอย่างโหดเ**้ยมดุร้ายออกมาว่า “ต้องฆ่าหลินซานให้จงได้!”  

 

 


ตอนที่ 583 - 1 อ๋องขวา

 

ฆ่าข้า?! เจ้าคังหนิงพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย ทำให้หลินหว่านหรงตกใจจนสะดุ้งโหยงทันที 


 


 


แสงไฟหรุบหรู่ส่องพื้นผิวน้ำ ท่ามกลางระลอกคลื่น กองไฟเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนคลื่นที่ขยับตัวขึ้นลง รอบด้านเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงฟืนลุกไหม้ดังเพียะๆ เบาๆ เป็นระยะเท่านั้น เจ้าคังหนิงนั่งฝั่งตรงข้ามบุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น ก้มหน้าก้มตาเป็นระยะ ฟังมันสนทนาด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงหลินซาน อ๋องน้อยถึงเงยหน้าขึ้นมาทันที ท่าทางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากจะกินเลือดกินเนื้อทั้งเป็นให้มันรู้แล้วรู้รอดไป 


 


 


หลินหว่านหรงซ่อนตัวอยู่ใต้เศษหญ้าและเศษดอกไม้น้ำที่ลอยล่องอยู่ ทแยงมุมกับพวกของเจ้าคังหนิงสองคน อยู่ห่างกันไม่เกินระยะสี่ถึงห้าจั้ง ชาวทูเจวี๋ยไม่ได้ระวังป้องกันว่าจะมีคนแอบฟังแม้แต่น้อย บวกกับแสงไฟมืดมิด นอกจากเศษหญ้าและเศษดอกไม้ที่มองเห็นอยู่รำไรแล้วพวกมันก็มองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก 


 


 


แสงไฟสว่างโรจน์ส่องใบหน้าอันหล่อเหลาของเจ้าคังหนิง มันกำลังมองชายงามทูเจวี๋ยผู้นั้นด้วยความร้อนอกร้อนใจ มุ่งหวังว่าจะได้รับคำตอบสนับสนุนจากมัน หน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ในกาลก่อนตกต่ำจนถึงขั้นต้องพึ่งพาจมูกของชนเผ่านอกด่านหายใจถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ แม้แต่บรรพชนก็ไม่ต้องการแล้ว ช่างน่าเศร้าน่ารันทด หลินหว่านหรงลอบแค่นเสียงกับตัวเอง ดูแคลนอ๋องน้อยผู้นี้ยิ่งนัก 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยอายุอ่อนเยาว์ผู้นั้นหัวเราะเสียงดังออกมายาวๆ “หลินซานที่เจ้าพูดถึงคนนี้ใช่ราชบุตรเขยขององค์หญิงหนีฉางแห่งต้าหัว ชาวต้าหัวที่เผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อไปเมื่อหลายวันก่อนคนนั้นใช่หรือไม่?!”  


 


 


ภาษาต้าหัวของเจ้าชนเผ่านอกด่านคนนี้แข็งกระด้างยิ่งนัก โชคดีที่หลินหว่านหรงเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ไม่มีสำเนียงใดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เมื่อฟังให้ถ้วนถี่กับปราศจากอุปสรรคขัดขวางใดๆ  


 


 


“ใช่แล้ว เป็นมันนั่นล่ะ” เจ้าคังหนิงกล่าวด้วยความเคียดแค้น “คนพูดนี้ไร้ความรู้ไร้ความสามารถ เอาแต่กินและขี้เกียจสันหลังยาว รังแกบุรุษเอาเปรียบสตรี กระทำแต่เรื่องชั่วช้าสามานย์ ถือเป็นคนชั่วที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของต้าหัว สองมือมันแปดเปื้อนด้วยโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วน ความชั่วร้ายที่กระทำนั้นมากมายจนไม่อาจจะเขียนออกมาได้ ราษฎรต้าหัวเราเคียดแค้นชิงชังมันเข้าถึงกระดูก เป็นผู้ที่ใครๆ ก็ต้องการเข่นฆ่าสังหาร” 


 


 


บรรพบุรุษเจ้าน่ะสิ! หลินหว่านหรงเกือบจะกระเด้งออกมาแหกปากด่าทอแล้ว เดิมทีนึกว่าข้าเป็นคนที่ไร้ยางอายที่สุดในแผ่นดิน วันนี้พอได้เห็นคำพูดและการกระทำของอ๋องน้อยคนนี้ถึงรู้ว่าข้าเป็นช่างเป็นคนที่มีจิตใจดีงามเสียเหลือเกิน เห็นอยู่ว่าเป็นเรื่องชั่วช้าที่เจ้าเคยกระทำมาแท้ๆ แต่กลับสาดน้ำสกปรกมาราดรดลงบนหัวข้าจนหมดสิ้นเสียได้ ขอแช่งให้ริดสีดวงขึ้นที่หัวเจ้า ส่วนเท้าก็เป็นกามโรค 


 


 


หัวหน้าของชนเผ่านอกด่านผู้นั้นเหลือบมองเจ้าคังหนิงคราหนึ่ง กล่าวพลางแค่นเสียงด้วยความดูแคลนออกมาว่า “แม้แต่ราชบุตรเขยขององค์หญิงหนีฉางก็ยังชั่วช้าสามานย์ถึงเพียงนี้ อ๋องน้อย ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าแต่ละคนช่างชั่วช้าสามานย์จริงๆ เลยนะ ฮ่าๆๆ!”  


 


 


บุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น เหล่าผู้ติดตามข้างกายมันก็มีท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง หัวเราะร่วนปราศจากความเกรงกลัวด้วยเช่นกัน สายตาที่มองดูเจ้าคังหนิงเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน  


 


 


อ๋องน้อยหน้าซีด ถึงกระนั้นกลับไม่อาจโต้แย้งได้ ทำได้เพียงกัดฟันกรอดพร้อมหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ใต้เท้าอ๋องขวากล่าวถูกต้องยิ่งนัก หลินซานผู้นี้อาศัยการโกหกหลอกลวงและใช้วาจาที่แยบคายถึงได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้เลอะเลือนต้าหัว หากเอ่ยถึงความสามารถที่แท้จริง แม้แต่เด็กสามขวบมันก็ยังสู้ไม่ได้ ไม่ขอปิดบังใต้เท้า ทั่วทั้งแผ่นดินต้าหัวถือว่าหลินซานเลวร้ายมากที่สุดแล้ว!” 


 


 


อ๋องขวา?! ครั้นได้ยินเจ้าคังหนิงเรียกออกจากปาก หลินหว่านหรงก็ตกใจจนสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที แม้แต่การใส่ความครั้งแล้วครั้งเล่าของมันก็ไม่ถือสาความอีกต่อไป 


 


 


ถูสั่วจั่ว? คนหนุ่มคนนี้กลับเป็นถูสั่วจั่วอ๋องขวาแห่งทูเจวี๋ยผู้มีชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุ่งหญ้า? มันกลับเป็นบุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยที่อายุน้อยขนาดนี้?! ท่านย่ามัน! ข้ายังนึกมาตลอดว่าเจ้าคนแซ่ถูนั่นจะเหมือนกับลู่ตงจ้าน มีหนวดมีเคราอยู่เต็มใบหน้าเสียอีก!  


 


 


การตกใจคราวนี้ถือว่าช่างรุนแรงเสียจริง เขารีบช้อนสายตาขึ้นมองอีกครั้งเพื่อประเมินอ๋องขวาชาวทูเจวี๋ยคนนี้  


 


 


ถูสั่วจั่วน่าจะมีอายุราวยี่สิบแปดยี่สิบเก้าปี คิ้วเข้มตาโต ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ร่างกายแข็งแรงทรงพลัง บุคลิกท่าทางองอาจเ**้ยมหาญ แววตาวาวโรจน์ ถือเป็นบุรุษรูปงามชาวทูเจวี๋ยของแท้แน่นอนคนหนึ่ง! ก่อนหน้านี้เพียงได้ยินมาว่าอ๋องซ้ายกับอ๋องขวาไม่ลงรอยกัน ต่อสู้แย่งชิงระหว่างดินแดนมานานหลายปี ถึงกระนั้นกลับไม่เคยถามไถ่อายุของพวกมัน การคาดเดาจากประสบการณ์ล้วนๆ มันช่างทำร้ายคนเสียจริง 


 


 


ถูสั่วจั่วหัวเราะหลายครั้ง สีหน้าค่อยๆ เย็นชาลง “ต้าหัวของพวกเจ้าก่อตั้งมาหลายร้อยปี ผู้ที่นำทัพบุกเข้ามาในทุ่งหญ้า จุดไฟเผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ฆ่าคนในเผ่าข้าจำนวนนับไม่ถ้วนแล้วถอยกลับไปอย่างปลอดภัยได้ก็คือเจ้าคนแซ่หลินคนนี้เพียงผู้เดียว เจ้าพูดว่าหลินซานไร้สามารถ ทว่ากองทัพของเรากลับพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือมันครั้งแล้วครั้งเล่าบนสนามรบ พูดเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับว่าชาวทูเจวี๋ยเรายิ่งไร้ความสามารถหรอกหรือ?! อ๋องน้อย เจ้าช่างบังอาจมากนักนะ!”  


 


 


เจ้าคังหนิงนิ่งอึ้ง เหงื่อเย็นเยียบไหลพร่างพรู รีบโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าอ๋องขวาเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าหลินซานคนนี้เชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือการใช้แผนการอันชั่วร้าย ลอบกัดลับหลัง ทูเจวี๋ยบังเอิญพลาดพลั้งก็เพราะว่ามันชั่วช้าโหดเ**้ยมอำมหิตเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นที่พ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือมัน ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าอ๋องซ้าย อ๋องขวาท่านยังไม่ได้ออกโรงเลยนะ เชื่อว่าท่านข่านจะต้องเห็นอยู่ในสายตาอย่างแน่นอน” 


 


 


ถูสั่วจั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ฉีกน่องออกมาจากแพะย่างทั้งตัวซึ่งมีสีเหลืองทองตัวนั้นออกมาน่องหนึ่ง คราบน้ำมันก็ไม่เช็ด ส่งใส่มือของเจ้าคังหนิงซึ่งยังคงรู้สึกปรระหวั่นลนลานทันที “อ๋องน้อยอย่าถือสา ถูสั่วจั่วล้อเจ้าเล่น ความแค้นระหว่างเจ้ากับหลินซานข้าเคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน มันจับตัวบิดาของเจ้า ทั้งยังแย่งสตรีของเจ้าอีก นี่ถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นครั้งยิ่งใหญ่เสียจริง หากข้าเป็นเจ้า ข้าก็ต้องฆ่ามันให้จงได้!” 


 


 


ถูสั่วจั่วพูดพลางใช้มือใหญ่ซึ่งแปดเปื้อนด้วยน้ำมันตบบ่าเจ้าคังหนิง ถือว่าเป็นการปลอบใจ อ๋องน้อยหน้าขาวซีด ประสานมือโค้งคำนับด้วยความเคารพนบนอบ พูดด้วยความซาบซึ้งออกมาว่า “ความเมตตากรุณาของใต้เท้าอ๋องขวา คังหนิงซาบซึ้งยิ่งนัก” 


 


 


หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ต้องลอบกัดฟันกรอด หรือว่าเจ้าคังหนิงคนนี้เกิดมาจะเป็นคนกระดูกอ่อน? ก้มหัวโค้งคำนับ ทำท่าทางต่ำต้อยประจบประแจงอยู่ต่อหน้าชนเผ่านอกด่าน ถือเป็นการหมิ่นเกียรติสายเลือดชาวต้าหัวที่อยู่ในตัวเขาอย่างยิ่งจริงๆ 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าประหวั่นลนลานของเจ้าคังหนิง อ๋องขวาทูเจวี๋ยก็ผงกศีรษะ หัวเราะแล้วพูดว่า “อ๋องน้อย วันนี้เจ้าเรียกข้ามาที่ทะเลสาบแห่งนี้ก็เพื่อมาพูดเรื่องพวกนี้หรอกหรือ? เช่นนั้นก็ไม่ต้องมาไกลขนาดนี้ คุยกันที่เค่อจือเอ่อร์ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?” 


 


 


เจ้าคังหนิงมองรอบด้านอยู่หลายครั้ง รีบกดเสียงต่ำพูดออกมาว่า “ที่เชิญใต้เท้าอ๋องขวามายังสถานที่แห่งนี้ก็เพราะมีเรื่องจะแจ้งจริงๆ ราชธานีมีราชครูลู่ตงจ้านเฝ้าอยู่ คังหนิงไม่สะดวกหลายประการ บวกกับคนมากก็พูดมาก เกรงว่าหากแพร่ออกไปจะไม่ส่งผลดีต่ออ๋องขวาท่านนะ” 


 


 


อ๋องน้อยพูดอย่างมีเลศนัย ถูสั่วจั่วถูกเขากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงร้องอ้อออกมาครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่สะดวกที่จะหารือกันที่ราชธานี? อ๋องน้อยลองกล่าวออกมาดูเถิด นั่นคือเรื่องอะไรกันแน่?”  


 


 


เจ้าคังหนิงกัดฟันกรอด “หลายวันก่อนคังหนิงติดตามทหารม้าสองหมื่นของเผ่าท่านไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ เรื่องนี้ใต้เท้าน่าจะทราบแล้วกระมัง?” 


 


 


หลินหว่านหรงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ห้วงสมองจึงกระจ่างวูบขึ้นมาทันที ที่แท้ในชาวทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นคนที่รีบมาช่วยเหลือปาเยี่ยนเฮ่าเท่อวันนั้นกลับมีพวกของเจ้าคังหนิงอยู่ด้วย มิน่าล่ะเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ถึงได้เจ้าเล่ห์ขึ้นมา 


 


 


“เคยได้ยิน” ถูสั่วจั่วต้องผงกศีรษะโดยปราศจากความลังเล “ได้ยินมาว่าต่อมาเจ้ายังไปที่อู่หยวนอีกด้วย ทำไมหรือ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?!”  


 


 


อ๋องน้อยตอบด้วยท่าทีจริงจัง “เรื่องของคังหนิงย่อมไม่เกี่ยวข้องกับใต้เท้า เพียงแต่เรื่องของอ๋องซ้ายปาเต๋อหลู่ ใต้เท้าน่าจะเคยได้ยินกระมัง” 


 


 


“ปาเต๋อหลู่?!” แม้แต่อ๋องขวาทูเจวี๋ยพูดหนักแน่นมั่นคงก็ยังมีสีหน้าแปรเปลี่ยน “มันเป็นอะไร?!” 


 


 


นิสัยของชาวทูเจวี๋ยค่อนข้างตรงไปตรงมาจริงด้วย เพียงเห็นจากสีหน้าของถูสั่วจั่วก็รู้ว่าระหว่างมันกับปาเต๋อหลู่มีความห่างเหินกันอยู่จริง นี่น่าจะเป็นผลมาจากการแย่งชิงกันระหว่างตระกูลภายในของทูเจวี๋ย  


 


 


เมื่อเห็นอ๋องขวาตกใจเช่นนี้ เจ้าคังหนิงก็บังเกิดความคึกคักขึ้นมาทันที “ใต้เท้า เรื่องที่ปาเต๋อหลู่พ่ายแพ้ที่แนวหน้าคิดว่าท่านก็คงได้ยินแล้วกระมัง มันบุกโจมตีเฮ่อหลานซาน รบหลายครั้งก็ยึดไม่ได้ พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า เกรงว่าทหารม้าทูเจวี๋ยที่สูญเสียไปจะมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน ได้ยินมาว่าทหารม้าหนึ่งแสนที่สูญเสียไปนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้กล้าที่อยู่ในตระกูลของท่าน!”  


 


 


“เหลวไหล!” ถูสั่วจั่วถลึงตา บุคลิกท่าทางน่ากริ่งเกรงยิ่งนัก “รายงานการรบที่ราชครูลู่ตงจ้านรายงานเข้ามา ตระกูลของข้ากับปาเต๋อหลู่ต่างสูญเสียกันคนละครึ่ง ทูเจวี๋ยบาดเจ็บห้าหมื่น ต้าหัวสู้รบจนตัวตายไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน เจ้ากล้าพูดหลอกลวงโกหกข้าหรือ?!” 


 


 


แววตามันกระจ่างวูบ บารมีแข็งกล้า เจ้าคังหนิงตกใจจนรีบถอยหลังไปหลายก้าว รีบพูดขึ้นมาว่า “อาจเป็นเพราะคังหนิงเข้าใจผิดต่อเรื่องการบาดเจ็บและสูญเสีย เพียงแต่ขอใต้เท้าท่านโปรดลองคิดดูนะ หากท่านอยู่แนวหน้า รายงานการสู้รบนี้จะเขียนเช่นไร? แนวหน้านั้นเป็นปาเต๋อหลู่พี่กำลังออกรบอยู่ บอกว่ามันจะปฏิบัติต่อผู้กล้าทั้งสองตระกูลอย่างเท่าเทียมกัน ท่านเชื่อได้หรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็ต้องสูดลมหายใจหนาวเหน็บ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กนี่กำลังสร้างความร้าวฉานระหว่างอ๋องซ้ายและอ๋องขวาของทูเจวี๋ย เพียงแต่มันกลับพูดจาไม่หมด ทำให้คนคิดฟุ้งซ่านไป นี่คือปากของขุนนางกังฉินขนานแท้ หรือว่ามันจะเป็นไส้ศึกที่นายผู้เฒ่าส่งมาอยู่ที่ทูเจวี๋ย?! 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม