เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 579-602

 ตอนที่ 579 เสด็จแม่ได้โปรดเมตตา


 


 


ทว่าซูหลีกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ หากคนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าซูหลีเป็นคนที่สูงส่งตัวจริง!


 


 


ไทเฮากริ้วจนแทบจะหงายหลัง เพียงชั่วพริบตา ในชั่วขณะนั้นนางไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายขนาดนั้น


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียงเพคะ!” ซูหลีที่กำลังจะถูกไทเฮาเด็ดศีรษะ จนทำให้ผู้ติดตามข้างกายอย่างเย่ว์ลั่วร้อนใจก็ช่างเถอะ คิดไม่ถึงว่าป๋ายถานจะทรุดตัวคุกเข่าลงเช่นกัน


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียงทรงปล่อยคุณชายซูไปเถอะเพคะ!” ในเวลานี้ป๋ายถานกลับไม่เรียกไทเฮาว่าเสด็จแม่แล้ว และแสดงท่าทางยืดอกต่อสู้เพื่อซูหลี


 


 


ซูหลีเห็นภาพตรงนี้ นางจึงค่อยๆ ยกยิ้มที่มุมปาก หากพูดถึงความเก่งกาจคงจะต้องยกให้ป๋ายถานจริงๆ


 


 


นางแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบซูหลีสักนิด ทว่าในเวลาเช่นนี้กลับร้องขอความเมตตาให้กับซูหลี


 


 


แผนการในใจช่างล้ำลึกโดยแท้ ทำให้คนยากจะจินตนาการได้


 


 


ยังดีที่ซูหลีนั้นรู้จักนางดี อีกทั้งไม่ใช่รู้จักเพียงวันสองวัน แม้นางจะแสดงท่าทางจริงใจขนาดไหน มีเพียงซูหลีเท่านั้นที่มองเรื่องเหล่านี้ออก มองเห็นความคิดเจ้าเล่ห์ของนาง และไม่มีทางที่จะรู้สึกตื้นตันใจกับสิ่งที่นางกระทำทั้งหมด


 


 


“ถานเอ๋อร์!” ไทเฮาทรงคิดไม่ถึงป๋ายถานจะร้องขอความเมตตาให้กับซูหลี นางตำหนิป๋ายถานอย่างโมโห ในน้ำเสียงยังมีความคัดค้านอยู่


 


 


“เสด็จแม่เพคะ นี่เป็นคราแรกที่คุณชายซูเข้ามาในวังหลวง จึงมิได้เข้าใจกฎเกณฑ์ของวังหลวงมากนัก คุณชายซูไม่ได้เจตนาล่วงเกินท่าน ท่านโปรดยกโทษให้เขาสักครั้งเถิดเพคะ!” ทว่าป๋ายถานทำเหมือนกับไม่ได้ยินสุรเสียงของไทเฮาก็มิปาน อีกทั้งยังร้องขอความเมตตาให้กับซูหลี


 


 


เป็นคราแรกที่เข้าวัง…


 


 


เหตุผลนี้ดูเหมือนจะตบตาเกินไปเสียหน่อย


 


 


ลองหาทหารที่เฝ้าประตูวังเหล่านั้นมาสักคน ก็สามารถรับรู้ได้ว่าซูหลีไม่ได้เข้าวังหลวงคราแรกอย่างแน่นอน


 


 


“ถานเอ๋อร์ เจ้าเด็กคนนี้ไยถึงได้ซื่อสัตย์ถึงขนาดนี้! ไม่ว่าจะปฏิบัติกับใครก็ปฏิบัติอย่างดี ทั้งยังไม่ดูเลยว่าอีกฝ่ายคุ้มค่าต่อการปฏิบัติที่ดีหรือไม่ อย่างไรวันนี้ข้าจักต้องไม่ปล่อยซูหลีผู้นี้ไป เจ้าดูสิว่าเขามีท่าทีอย่างไร!? ข้าเป็นไทเฮา ทว่าไม่ใช่ผู้อาวุโสในครอบครัวของเขา! เขาถึงได้หลอกลวงข้าเช่นนี้”


 


 


“คุณชายซู!” ทันทีที่ป๋ายถานได้ยินคำพูดนี้ จึงรีบหันศีรษะไปทางซูหลีและเอ่ยว่า “เจ้ารีบยอมรับผิดกับไทเฮาเสียเถิด เสด็จแม่นั้นเป็นคนที่มีพระทัยดีงาม เป็นผู้ที่มีเมตตามากที่สุด ขอเพียงเจ้ายอมรับผิด เสด็จแม่จักทรงไม่คิดเล็กคิดน้อยเป็นแน่…”


 


 


“ขอบพระทัยเล่อผินเหนียงเหนียง” หลังจากซูหลีมองนางอยู่นาน พลันก้มศีรษะและเอ่ยขอบคุณนาง


 


 


เมื่อป๋ายถานได้ยินคำพูดของซูหลี จึงแสดงท่าทางอ้ำอึ้งออกมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าจิ้มลิ้มที่สง่างามและสวยหยาดฟ้านั้นมีประกายความงงงันพาดผ่าน


 


 


“ข้าน้อยไม่ได้เข้าวังเป็นครั้งแรก ทว่าโกหกหลอกหลวงไทเฮาในเรื่องนี้ นั่นถึงจะถือว่าเป็นการไม่เคารพไทเฮาอย่างแท้จริง!” ซูหลีฉีกยิ้มบางและเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา


 


 


“เจ้าดูสิ!” ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นท่าทางเช่นนี้ของซูหลี สีหน้าจึงดำคล้ำขึ้นทันที ไทเฮาทรงชี้นิ้วไปที่ซูหลี และเอ่ยกับป๋ายถานด้วยโทสะว่า “เขาเห็นข้าอยู่ในสายตาที่ไหนกัน ดูท่าทางของเขาสิ เขาต้องการให้ข้าโกรธจนกระอักเลือดตาย!”


 


 


ซูหลีเป็นคนที่ไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้ไทเฮาก็ไม่ใช่ว่าทรงเคยได้ยินเป็นคราแรก


 


 


ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นกล้าทำตัวเหลวไหลต่อหน้าตนได้ ไทเฮานั้นทรงมีความคิดที่จะมาจัดการซูหลีตั้งแต่แรก ทว่าจนถึงบัดนี้กลับเป็นพระองค์ที่ถูกซูหลีทำให้โมโหจนถึงขีดสุด


 


 


ดูสิว่าแต่ละคำที่ซูหลีพูดออกมานั้นล้วนเป็นอะไรบ้าง


 


 


ไม่เห็นไทเฮาอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!


 


 


“เสด็จแม่…” ป๋ายถานอ้าปาก นางยังอยากจะเอ่ยอะไรออกมา ทว่าคิดไม่ถึงว่าทันทีที่นางเหลือบตาขึ้นมอง จะเห็นคณะคนเดินเข้ามาทางนี้อย่างรีบร้อน


 


 


“เสด็จแม่ได้โปรดเมตตา คุณชายซูก็แค่มีอุปนิสัยดื้อรั้นบ้างก็เท่านั้น!”


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 580 ฮ่องเต้เสด็จแล้ว


 


 


ป๋ายถานหมอบตัวลงในทันที และร้องขอความเมตตาให้กับซูหลี


 


 


“คราก่อนเขายังกล่าวว่าเจ้าเป็นภัยพิบัติของแว่นแคว้นต่อหน้าขุนนางในราชสำนัก มิหนำซ้ำยังไม่ให้เจ้าเข้าวังปรนนิบัติฮ่องเต้ บัดนี้เจ้ายังขอความเมตตาให้แก่เขา ไม่รู้ว่าโง่งมหรือเป็นคนเขลาเกินไปกัน!?” ไทเฮาทอดพระเนตรไปทางป๋ายถานผู้นั้น อีกทั้งเนื้อความภายในคำพูดล้วนมีความเข้มงวดอยู่


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะลูบจมูกตนเองเบาๆ อีกทั้งปกปิดใบหน้าที่มีรอยยิ้มประชดประชันของตนไว้


 


 


ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ไทเฮาบอกว่าจำนางไม่ได้หรือ ไยถึงยังจำเรื่องที่นางกระทำที่งานเฉลิมพระชนม์ได้กัน


 


 


คำพูดช่วงต้นกับช่วงท้าย นี่ช่าง…โดยแท้


 


 


เพียงแต่คำพูดนี้ซูหลีไม่ได้พูดออกมาต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา นางก็พอรู้จักความเหมาะสมอยู่บ้าง แม้คนตรงหน้าจะเป็นหญิงแก่ที่น่ารังเกียจ แต่อย่างไรนางก็เป็นพระมารดาของฮ่องเต้ มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด แม้ฮ่องเต้จะทรงไม่สนพระทัยไทเฮาอย่างไร ทว่านางยังไม่สามารถเข้าเป็นขุนนางในราชสำนักได้ นางจะสามารถทำอะไรได้กัน


 


 


“เสด็จแม่!” ขณะที่ซูหลีกำลังครุ่นคิด กลับเห็นฮ่องเต้ในชุดมังกร อีกทั้งด้านนอกมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่คลุมทับไว้ ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวต่อหน้านาง


 


 


ซูหลีอ้ำอึ้งในทันที ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ… สิ่งที่สำคัญก็คือเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนี้ไยถึงได้…คุ้นตาขนาดนี้กัน


 


 


ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย อีกทั้งไทเฮาที่อยู่ด้านข้างยังทรงใช้สายตาจ้องจะเขมือบนางอยู่ ทว่าใบหน้าของซูหลีกลับแดงระเรื่อ


 


 


ฮ่องเต้พระองค์นี้! ช่างเปลี่ยนลูกไม้ได้อย่างเจ้าเล่ห์จริงๆ!


 


 


ใบหน้าของนางแดงก่ำไปหมด


 


 


อาภรณ์ที่ฮ่องเต้ทรงสวมใส่ควรจะเป็นสีเหลืองอร่ามทั้งหมด แม้แต่เสื้อคลุมตัวใหญ่ในเหมันตฤดูก็ควรจะเป็นเช่นนั้น ทว่าฉินเย่หานมีเสื้อผ้าส่วนตัวจำนวนไม่น้อย เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวนี้ก็คงเป็นเสื้อผ้าส่วนตัวของฉินเย่หานเหมือนกัน


 


 


ถึงจะเป็นเสื้อผ้าส่วนตัว ไยซูหลีถึงไม่รู้ว่าเสื้อคลุมตัวใหญ่นี่ ฮ่องเต้ทรงสั่งตัดสองตัวกันเล่า!?


 


 


มิผิด เสื้อคลุมตัวใหญ่นี้มีสองตัว อีกทั้งเสื้อคลุมสองตัวนี้เหมือนกันแทบทุกส่วน ตัวหนึ่งยกให้นาง ส่วนอีกตัวก็…อยู่บนพระวรกายของฮ่องเต้!


 


 


สิ่งเดียวที่แตกต่างของเสื้อคลุมทั้งสองตัวนี้ก็คือ เสื้อคลุมของซูหลีจะตัวเล็กกว่าหน่อย มีอัญมณีเม็ดเล็กประดับอยู่ในตัวเสื้อจำนวนมาก ทว่าตัวเสื้อที่อยู่บนพระวรกายฮ่องเต้นั้นจะตัวใหญ่กว่า บนเสื้อฝังด้วยอัญมณีทั้งเม็ด


 


 


ซูหลีอดที่จะอุทานออกมาในใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะทรงตระหนี่ถี่เหนียว อัญมณีเม็ดใหญ่และจำนวนมากนั้นเก็บไว้ในพระองค์เอง ส่วนของนางกลับฝังไว้ด้วยอัญมณีเม็ดเล็กเท่านั้น!


 


 


“ฮ่องเต้เสด็จมารวดเร็วจริงๆ!” สุรเสียงที่มีความคลุมเครือของไทเฮา ทำให้ซูหลีดึงสติกลับมาจากห้วงความคิดของตนเอง ทว่าแม้เป็นเช่นนั้นสายตาของซูหลีก็ยังจับจ้องบนร่างของฉินเย่หานอย่างต่อเนื่อง


 


 


ยังดีที่วันนี้นางไม่ได้สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ที่ฉินเย่หานมอบให้ มิเช่นนั้นหากสวมสิ่งนั้นเข้าวัง และฮ่องเต้ทรงเสด็จมาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะยิ่งจะกระตุ้นโทสะของไทเฮามากไปกว่าเดิม


 


 


ไม่แน่อาจโมโหจนใส่ร้ายป้ายสีอะไรนางสักอย่าง อาจตั้งข้อกล่าวหาว่านางเจตนายั่วยวนฮ่องเต้อะไรเทือกนั้น คงยิ่งจะอยากเด็ดศีรษะของนางมากกว่าเดิม!


 


 


ในขณะที่ซูหลีใจลอย นางยังคิดว่าจะไม่มีผู้อื่นสังเกตเห็น


 


 


ที่จริงแล้วทุกคนล้วนสังเกตเห็นว่านางใจลอย อารมณ์ที่แสดงออกบนพระพักตร์ของไทเฮายิ่งดูไม่น่ามองกว่าเดิม นางแทบจะลากซูหลีผู้ซึ่งกำเริบเสิบสานลงมาโบยเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าฉินเย่หานอดไม่ได้ที่จะมองซูหลีอยู่หลายปราด ซูหลีนี่ช่างใจกล้าเสียจริง


 


 


อีกทั้งยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ก้นของนางกำลังนั่งอยู่นั้นคืออะไรกัน


 


 


หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ดึงดูดความไม่พอพระทัยของไทเฮา!


 


 


“เสด็จแม่ตรัสอะไรกัน หากซูหลีกระทำเรื่องอันใดผิด ขอเพียงแค่เสด็จแม่ตรัสออกมา ลูกจะลงโทษนางอย่างแน่นอน!” ฉินเย่หานปั้นสีหน้าเยือกเย็นและกลับเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา


 


 


ไทเฮาทอดพระเนตรไปทางเขาอย่างอดไม่ได้




ตอนที่ 581 ส่งตัวกลับวัง!


 


 


ทุกคนล้วนทราบดีว่า ฉินเย่หานเป็นคนที่มีอุปนิสัยเฉยชา ไม่เคยเอ่ยอะไรต่อหน้าไทเฮามากขนาดนี้มาก่อน


 


 


เขาปฏิบัติต่อมารดาอย่างนาง ประหนึ่งปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า คิดไม่ถึงว่าพอเกิดเรื่องขึ้นกับซูหลีแล้ว คำพูดของฉินเย่หานจะมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม!


 


 


ไทเฮาอดที่จะแค่นยิ้มเย็นไม่ได้


 


 


“ฮ่องเต้ทรงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ในเมื่อเขาล่วงเกินข้า ข้าก็จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ มิจำเป็นต้องสร้างความลำบากให้แก่ฮ่องเต้!” สีหน้าของไทเฮาเย็นชาอย่างยิ่งยวด ไทเฮาโบกพระหัตถ์ไปมาและเอ่ยว่า “จูเฉิงจับตัวเขาไว้!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!” จูเฉิงรีบขานรับ จากนั้นยื่นมือเตรียมจะไปคว้าร่างซูหลีเอาไว้


 


 


“เสด็จแม่!”


 


 


“เสด็จแม่” แทบจะเป็นในเวลาเดียวกันที่ป๋ายถานที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและฉินเย่หานจะปริปากพูดพร้อมกัน


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงอดที่จะเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ นี่ช่างเป็นเรื่องน่าสนใจ คู่สามีภรรยาทั้งสองคนนี้แสดงท่าทางใจตรงกันต่อนาง!


 


 


บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กริยาท่าทางเหล่านั้นเหมือนกันราวกับกำลังแสดงละครกันอยู่ แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของนางไม่ ยิ่งนางกระทำเช่นนี้ ไทเฮาก็ยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้ไทเฮาอยากจะสั่งสอนซูหลีสถานหนัก


 


 


ทำให้ซูหลีคิดได้ว่าเรื่องอะไรสามารถกระทำได้ และเรื่องอะไรที่ไม่สามารถกระทำได้!


 


 


“จับตัวเขาสิ มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่!? หรือคำพูดของข้าไร้ซึ่งประโยชน์แล้ว?” สุรเสียงของไทเฮาเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูจากนั้นมองไปที่จูเฉิงด้วยความโกรธ


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” จูเฉิงยื่นมือไปคว้ามือซูหลีอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“จูกงกง ฝ่าบาทยังประทับอยู่ทีนี่ หรือเจ้าจะไม่ต้องการชีวิตวัยชราของเจ้าแล้ว” ทว่ามือของเขายังไม่ทันสัมผัสที่มือซูหลี หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเสียก่อน


 


 


พวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นขันทีชั้นผู้ใหญ่ คนหนึ่งเป็นผู้ติดตามข้างพระวรกายฮ่องเต้ อีกคนหนึ่งเป็นผู้ติดตามข้างพระวรกายไทเฮา ที่แตกต่างกันก็คือหวงเผยซานเป็นหัวหน้าที่ดูแลเรื่องทุกอย่าง ทว่าจูงกงกงแค่วางมาดต่อพระพักตร์ไทเฮาได้เท่านั้น


 


 


เมื่อถูกเขาพูดเช่นนี้ มือของจูเฉิงก็ชักกลับมา อีกทั้งเขาไม่กล้าที่จะแตะต้องซูหลีผู้นั้นอีกแล้ว


 


 


“เสด็จแม่ ลูกกับซูหลียังมีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษากัน เรื่องในวันนี้ลูกจักต้องลงโทษเขาอย่างสาสมแน่นอน หวงเผยซาน”


 


 


“บ่าวอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ” หลังจากฉินเย่หานเอ่ยถึงหวงเผยซานก็ขานรับในทันที


 


 


“นำตัวคุณชายซูไป” สีหน้าของฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แม้กระทั่งคำพูดอธิบายประโยคหนึ่ง เขาก็ยังไม่พูดกับไทเฮา เพียงแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา


 


 


ไทเฮาถูกอากัปกิริยาของเขา อีกทั้งยังถูกซูหลีทำให้โมโหอย่างเหลืออด


 


 


“ฮ่องเต้!” ไทเฮาตรัสด้วยโทสะ “ฝ่าบาทครองราชย์สมบัติเป็นเวลาสองปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา เช่นนั้นข้าดำรงตำแหน่งไทเฮาแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฝ่าบาทสู้ถ่ายทอดคำสั่งให้คนส่งข้าไปอยู่กับฮ่องเต้องค์ก่อนเสียดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข้าสร้างความลำบากในเมืองหลวงและทำให้ฝ่าบาทรำคาญพระทัย”


 


 


คำพูดนี้ของไทเฮาเป็นคำพูดที่รุนแรงยิ่งนัก ถึงขั้นเอ่ยว่าให้ส่งนางไปอยู่กับฮ่องเต้องค์ก่อนอะไรนั่น


 


 


แม้แต่ซูหลีที่คอยรับฟังอยู่ด้านข้าง สีหน้าก็ยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


 


การเดินทางเข้าวังหลวงในวันนี้ถือว่าไม่เปล่าประโยชน์ อย่างน้อยครานี้ก็เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับฉินเย่หานอย่างชัดเจน แม้กระทั่งรับรู้ถึงการใช้เล่ห์อุบายเช่นนี้ในการข่มขู่ฉินเย่หาน


 


 


ไม่รู้ว่าไทเฮาพระองค์นี้เห็นฉินเย่หานเป็นอะไรไปแล้ว!?


 


 


ฉินเย่หานได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาในพริบตา ทว่าเขากลับไม่คิดโอนอ่อนเลยแม้แต่น้อย เขาตวัดสายตามองไปยังป๋ายถานที่คุกเข่าไม่พูดไม่จาอยู่ที่พื้น พลันเอ่ยขึ้นว่า “เล่อผิน”


 


 


ป๋ายถานคิดไม่ถึงว่าเขาจะเรียกนางอย่างกะทันหัน นางอ้ำอึ้งไปในทันทีจากนั้นจึงขานรับว่า “หม่อมฉันอยู่ที่นี่เพคะ”


 


 


“พระวรกายของเสด็จแม่ไม่แข็งแรงเท่าไรนัก ช่วยไปส่งเสด็จแม่กลับวังแทนเราด้วย เพื่อให้เสด็จแม่กลับไปพักผ่อน” ฉินเย่หานเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาด้วยใบหน้าซึ่งไร้อารมณ์ใดๆ


 


 


ทันทีที่พูดจบ ทั่วทุกสารทิศก็เงียบสงัด


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 582 ซูหลียอมรับผิด


 


 


แม้แต่ป๋ายถานยังใช้สายตาเหลือเชื่อมองไปทางฉินเย่หานปราดหนึ่ง


 


 


ก่อนจะเข้าวังหลวงนางก็พบทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาไม่ค่อยใกล้ชิดกันนัก ดังนั้นตอนที่บิดาของนางส่งนางเข้าวังผ่านไทเฮา นางจึงยังมีความกังวลอยู่บ้าง


 


 


เกรงว่าหากใช้วิธีเช่นนี้เข้าวัง คงจะไม่ได้รับความโปรดปรานจากฉินเย่หาน


 


 


ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ แม้นางจะเหมือนกับสมัครใจเข้ามาอยู่ในวัง อีกทั้งทันทีที่เข้ามาอยู่ในวังก็ถูกแต่งตั้งเป็นเล่อผินเหนียงเหนียง ทว่าในใจนางนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ดีว่า ตำแหน่งเล่อผินเหนียงเหนียงของนางนี้ยังไม่อาจดำรงได้อย่างมั่นคงขนาดนั้น ระหว่างนางกับฉินเย่หานยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริง


 


 


ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะเหตุใด ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่า…นางจะใช้วิธีการผิดไปแล้วจริงๆ


 


 


ความสัมพันธ์ของฉินเย่หานกับไทเฮาไม่ได้ย่ำแย่แบบปกติ!


 


 


ดังนั้นเขาถึงไม่มีสีหน้าที่ดีอะไรต่อนางนัก ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่จะมาโปรดปรานนางอะไรเทือกนั้นแล้ว


 


 


“เจ้า…!” ไทเฮาทรงคิดไม่ถึงฉินเย่หานจะกระทำเช่นนี้ ตั้งแต่สองปีที่แล้วที่ฉินเย่หานขึ้นครองราชย์ ความสัมพันธ์แม่ลูกของพวกเขาก็ไม่ดีมาโดยตลอด ทว่าก็อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมากโดยตลอด ดังนั้นแต่ก่อนแม้ไทเฮาจะทรงยื่นมือไปจัดการเรื่องวังหลังของเขา


 


 


ฉินเย่หานก็ไม่เคยพูดอะไรออกมา ทว่าในเวลานี้ เพราะซูหลีผู้นี้ ฉินเย่หานกลับโมโหก็โมโหขึ้นมาอย่างฉับพลัน!


 


 


เป็นธรรมดาที่ภายในพระทัยของไทเฮาจะรู้สึกรับไม่ได้


 


 


“ฮ่องเต้ ไทเฮาเหนียงเหนียงพ่ะย่ะค่ะ” ในขณะที่บรรยากาศกำลังหยุดหยิ่ง อารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าของทุกคนดูเหมือนจะย่ำแย่ไม่น่ามองจนถึงขีดสุด ซูหลีพลันเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน


 


 


ทันทีที่เอ่ยปาก ทุกคนก็มองมาเป็นตาเดียว จะว่าไปแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนเป็นฝีมือของซูหลีที่ยุแหย่จนเกิดเรื่องขึ้น


 


 


ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “วันนี้ข้าน้อยมิได้เจตนาจะปฏิบัติของไทเฮาอย่างไม่มีมารยาท ทว่าหลายวันก่อนหน้านี้ข้าน้อยและคนของสำนักเต๋อซั่นเดินทางที่หมู่บ้านดอกเหมยของสกุลจี้ที่ชานเมืองเพื่อชมดอกเหมย คิดไม่ถึงข้าน้อยจะบังเอิญเจอคนที่ไม่ควรจะเจอ ข้าน้อยจึงหกล้ม ทำให้ท่อนขาของข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ”


 


 


“ข้าน้อยเข้าวังหลวงในครานี้ก็เป็นเพราะมีเรื่องสำคัญต้องถวายรายงานต่อฝ่าบาท ผู้ติดตามข้างกายก็มาเพียงไม่กี่คน มีเพียงแค่เย่ว์ลั่วเท่านั้น ไทเฮาเหนียงเหนียงทรงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ข้าน้อยกับเย่ว์ลั่วหวาดผวา กอปรกับท่อนขาของข้าน้อยไม่ค่อยจะสะดวกนัก นี่ถึงได้ทำให้ไม่สามารถลุกทำความเคารพไทเฮาในทันที”


 


 


นี่ซูหลีไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไรเรื่อยเปื่อย ทันทีที่เปิดปากพูด นางก็พูดออกมามากมาย


 


 


นางพูดถึงตอนที่บังเอิญคนที่ไม่สมควรเจอก่อน จากนั้นค่อยๆ พูดหาเหตุผลที่ไว้หน้าไทเฮากับฮ่องเต้ และท้ายที่สุดแล้วยังยอมรับผิดอีก


 


 


ซึ่งเปรียบกับตอนที่ฉินเย่หานยังไม่ปรากฏตัวแล้ว มีท่าทางสองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


 


 


แม้แต่ป๋ายถานก็ยังอดมองซูหลีปราดหนึ่งมิได้ ก่อนหน้านี้ซูหลีมิได้มีกิริยาท่าทางเช่นนี้!


 


 


คำพูดของนางแม้จะมีบางประโยคที่ไม่รื่นหู ยกตัวอย่างเช่นไทเฮาทรงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ท่อนขาได้รับบาดเจ็บไม่ได้เจตนากระทำเช่นนี้ เมื่อไทเฮาทรงสดับแล้วรู้สึกแสบหูเหลือเกิน


 


 


ทว่าเมื่อเปรียบกันแล้วยังดีกว่าที่นางถูกฮ่องเต้ฉีกหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเมื่อครู่นี้!


 


 


“หึ ข้ายังคิดว่า เจ้ามิเห็นข้ายังอยู่ในสายตาเสียแล้ว!” ซูหลีนั้นโอนอ่อนลงแล้ว ทว่าทางด้านไทเฮานั้นแทบจะไม่แยแสสิ่งที่ซูหลีอธิบาย ทั้งยังตรัสกับซูหลีด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นหลายประโยค


 


 


ฉินเย่หานมองซูหลีปราดหนึ่ง หลังจากที่ฉินเย่หานเอ่ยคำพูดเหล่านั้นไปเมื่อครู่ ที่จริงซูหลีสามารถไม่ใส่ใจเรื่องนี้เกิดขึ้นในวันนี้และสามารถเดินไปพร้อมกับฮ่องเต้เลย ทว่าบัดนี้นางเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน นี่นางต้องการกระทำสิ่งกัน


 


 


อย่างไรซูหลีก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีเปลี่ยนท่าทางแตกต่างจากเมื่อครู่ นางกลับผงกศีรษะไปมา



ตอนที่ 583 นี่เป็นการข่มขู่


 


 


“แม้จะยอมรับผิดแล้ว แต่เรื่องที่ไม่เจียมตัวต่อหน้าข้าก่อนหน้านี้ไม่อาจปล่อยไปได้ จูเฉิง ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป โบยซูหลีสี่สิบครั้ง!”


 


 


โบยสี่สิบครั้ง!


 


 


ซูหลีรูปร่างบางเล็กเช่นนี้ หากโดนโบยลงไปสี่สิบครั้ง เกรงว่าคงจะไม่เหลือแม้ครึ่งชีวิต!


 


 


นางไม่ใช่หวังเฮ่อผู้นั้นที่หนังหยาบเนื้อหนาไม่หวาดหวั่นยามถูกตี


 


 


“ก่อนหน้าที่ไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงโบยข้าน้อย โปรดทรงให้ข้าน้อยพูดสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีได้ยินดังนั้นกลับฉีกยิ้มออกมา สีหน้าของนางกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ไม่แม้กระทั่งจะมีริ้วของความหวาดกลัว


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาที่ลุ่มลึกปราดหนึ่ง


 


 


“พูดออกมา!” ไทเฮารู้สึกรังเกียจซูหลีผู้นี้เป็นอย่างมาก ทว่าเพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของซูหลี นางขอร้องเช่นนี้ ไทเฮาไม่อาจปฏิเสธนางได้ทันที ไทเฮาทรงรับสั่งให้ซูหลีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบ


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียง ของที่อยู่ใต้ร่างข้าน้อยนี้ เรียกว่าเก้าอี้รถเข็นพ่ะย่ะค่ะ” เดิมไทเฮาทรงคิดว่าซูหลีผู้นี้จะร้องขอความเมตตาให้กับตนเอง เพราะคำพูดที่ซูหลีเอ่ยขึ้นเมื่อครู่นี้ ฟังดูแล้วเหมือนจะหมายความว่าเช่นนั้น


 


 


คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ปริปากพูด กลับพูดเรื่องที่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องและเป็นใจความสำคัญออกมา


 


 


ไทเฮาจ้องซูหลีตาเขม็ง สีหน้าไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก


 


 


“เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ หากจะให้พูดอย่างละเอียดก็มีประโยชน์เพียงประการเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสามารถทำให้ผู้ที่ท่อนขาทั้งสองข้างพิการหลุดพ้นจากการนอนอยู่บนเตียง เพียงมีของสิ่งนี้อยู่…” ซูหลีหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ยกมือชี้ไปที่เย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้าง “แม้จะเป็นสาวใช้ร่างบอบบางเช่นนี้ ก็สามารถเข็นผู้ที่ขาพิการทั้งสองให้เคลื่อนไปที่ใดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


เดิมไทเฮามิได้ใส่ใจในคำพูดของซูหลีมากนัก ทว่าคำพูดต่อมาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของนาง ทำให้อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แม้แต่สายพระเนตรที่จับจ้องซูหลีก็ยังแปรเปลี่ยนไป


 


 


ไทเฮาทอดพระเนตรมองซูหลีด้วยสายพระเนตรไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ตรัสอย่างเลื่อนลอยว่า “ของสิ่งนี้สามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือ”


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยิ้มอย่างไม่พูดไม่จา จากนั้นเอ่ยว่า “เย่ว์ลั่ว”


 


 


เย่ว์ลั่วรีบลุกขึ้นยืน และเดินเข็นซูหลีไปมาเหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในวังหลวง


 


 


ท่าทางของนางดูสบายๆ แม้จะเข็นคนร่างใหญ่เท่ากับซูหลีกลับไม่รู้สึกเปลืองแรงเกินไป ในทางกลับกันสีหน้ากลับนิ่งเฉย เดินได้อย่างนุ่มนวลไม่ช้าไม่เร็ว


 


 


เย่ว์ลั่วเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง นางไม่เพียงแต่เข็นซูหลีเคลื่อนที่ไปมา อีกทั้งยังเดินวนไปทั่วสารทิศอยู่หลายครา เป็นการแสดงให้เห็นว่า เก้าอี้รถเข็นตัวนี้สามารถพาซูหลีไปได้ทุกหนทุกแห่ง


 


 


“พอแล้ว” ซูหลีค่อยๆ ยกมือขึ้นสื่อให้เย่ว์ลั่วหยุดเดิน นางถอนสายบัวให้กับซูหลีเล็กน้อย จากนั้นถอยกลับไปยืนด้านข้าง


 


 


“นะ นี่…” สีหน้าของไทเฮาแปรเปลี่ยนไปมา สายพระเนตรที่จ้องมาซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


 


 


เรื่องนี้แม้แต่ซูหลีกับฉินมู่ปิงก็ยังคิดได้ ไทเฮาในฐานะที่เป็นพระมารดาของจิ้งหนานอ๋อง โดยเฉพาะจิ้งหนานอ๋องเป็นพระโอรสที่นางทรงรักมาตลอดหลายปี แน่นอนว่านางพอจะคิดถึงเรื่องนี้ได้


 


 


“กระดาษภาพของสิ่งนี้ ข้าน้อยเป็นคนวาดกับมือ ทันทีที่วาดออกมาก็ถูกจิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อคว้าไป ซื่อจื่อได้เฟ้นหาช่างมีฝีมือจำนวนมาก ถึงจะสามารถทำเก้าอี้รถเข็นที่ข้าน้อยนั่งอยู่ออกมาได้” ซูหลีใช้น้ำเสียงที่เรียบเฉยที่สุดเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


“ที่ข้าน้อยเข้าวังหลวงในครานี้ก็เพื่อนำของสิ่งนี้ถวายให้กับฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงรวบรวมนายช่างที่เก่งกาจเผยแพร่ของสิ่งนี้ให้กับราษฎร เพื่อให้สามัญชนสามารถใช้ของสิ่งนี้ได้”


 


 


ขณะที่ซูหลีเอ่ยก็ชำเลืองมองฉินเย่หาน สีหน้าของฉินเย่หานยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ภายในดวงตาลุ่มลึกมองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


“เดิมข้าน้อยคิดว่าจะมอบของที่ดีชิ้นนี้ให้แด่ไทเฮาเป็นคนแรก เพื่อถวายให้แด่จิ้งหนานอ๋อง ทว่าดูแล้ว…” ขณะที่ซูหลีพูด กลับไม่เอ่ยอะไรออกมาให้มากความ ในทางกลับกันกลับก้มหัวสนใจที่แขนเสื้อของตน


 


 


นี่นางกำลังจะข่มขู่หรือ!?


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 584 ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่อนขาที่ไม่แข็งแรง


 


 


ที่จริงแล้ว ซูหลีได้มอบกระดาษภาพนี้ให้กับฉินมู่ปิงแล้ว อีกทั้งฉินมู่ปิงได้สั่งให้คนทำของสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ว


 


 


นางไม่มีส่วนร่วมอะไรทั้งสิ้น


 


 


ทว่าดีที่ขณะที่ซูหลีมอบกระดาษภาพนี้ให้กับฉินมู่ปิงมีคนจำนวนมากจ้องมองอยู่ หากนางกล่าวว่าไม่มอบให้จริงๆ ฉินมู่ปิงก็สามารถสั่งให้คนเลียนแบบและสร้างขึ้นมาได้ ทว่าหากวันหน้ามีคนรับรู้ ก็คงถูกผู้คนตำหนิ


 


 


ดังนั้นซูหลีจึงไม่ยี่หระ วันนี้นางจึงกล้านั่งลงเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีที่พึ่ง


 


 


ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับฉินเย่หานนั้นไม่ดีมาโดยตลอด หรือนางจะยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับฉินเฮ่าซึ่งเป็นพระโอรสคนโตของนางอีกหรือ?


 


 


“ข้าน้อยพูดจบแล้ว จูกงกงเชิญโบยข้าน้อยได้แล้วขอรับ” ซูหลีเอ่ยอย่างสบายๆ และกวาดตามองจูเฉิงปราดหนึ่ง


 


 


ในชั่วขณะนี้จูเฉิงไม่แม้แต่จะกล้าแตะต้องนาง!


 


 


“จูกงกง!” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้วและพูดเตือนสติจูเฉิงผู้นั้นประโยคหนึ่ง


 


 


“…พอแล้ว!” คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ตอบคำถามของนางจะเป็นไทเฮา


 


 


ไทเฮามองซูหลีด้วยสายพระเนตรที่ซับซ้อน แม้แต่ราชนิกุลผู้สูงส่งก็ยังไม่มีหลักการที่จะฆ่าลาเมื่อเสร็จงาน[1] ซูหลีมอบสิ่งของชั้นดีเช่นนี้ นางกลับสั่งให้คนโบยซูหลี…


 


 


หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ผู้อื่นยังจะคิดว่านางเป็นไทเฮาแบบใดกัน! ทั้งยังจะมีหน้าไปมองจิ้งหนานอ๋องได้อย่างไร…


 


 


ไทเฮาขมวดมองซูหลีผู้นี้อย่างอดไม่ได้ ไทเฮทรงคิดไม่ถึงว่าคนอย่างซูหลีนี้จะสามารถทำของเหนือธรรมชาติเช่นนี้ขึ้นมาได้ เรื่องในโลกใบนี้ช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้!


 


 


“เรื่องในวันนี้ ข้าเห็นแก่ท่อนขาที่ไม่แข็งแรงของเจ้า อีกทั้งคิดเพื่อราษฎร ข้าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้ว!” ตั้งแต่อยู่ในวังมาไทเฮาทรงเป็นผู้ที่ตรัสคำไหนคำนั้นมาตลอด ผู้ที่สามารถทำให้นางกลับคำได้ ซูหลีนั้นถือว่าเป็นคนแรก


 


 


นางได้ยินดังนั้น ริมฝีปากจึงฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นถึงผงกศีรษะให้กับไทเฮาและเอ่ยว่า “ข้าน้อยขอขอบพระทัยไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


กิริยาท่าทางเช่นนั้นไม่เหมือนกับคนที่ถูกลงโทษ ทว่ากลับเหมือนกันคนที่กุมชีวิตคนอื่นไว้อยู่ ทำให้ผู้ที่มองอยากจะจัดการกับนาง


 


 


สีหน้าของไทเฮาย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อกวาดสายตามองไปยังของที่อยู่ใต้ท่อนขานางแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นแย้มสรวลด้วยความปีติยินดี


 


 


ช่างดีเสียเหลือเกิน บุตรชายของนางนั้นเป็นผู้เก่งกาจมีพรสวรรค์ จะสามารถติดอยู่บนเตียงตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน เรื่องอื่นๆ ของซูหลีไม่จำเป็นต้องพูดถึง สำหรับของสิ่งนี้ นางถือว่าทำได้ดี!


 


 


“เล่อผิน ดูเหมือนว่าซูหลียังมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับฮ่องเต้ พวกเรากลับตำหนักชิงหนิงกันก่อนเถิด” เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม้ไทเฮาจะทรงรังเกียจซูหลีถึงเพียงใด โทสะทั้งหมดก็โอนอ่อนผ่อนตามไป นางกวาดสายตามองซูหลีปราดหนึ่ง จากนั้นถึงตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


 


 


“…เพคะ” มีประกายความสับสนพาดผ่านในดวงตาของป๋ายถาน ป๋ายถานลุกขึ้นประคองพระหัตถ์ของไทเฮา และเดินออกไปจากตรงนี้


 


 


ทันทีที่พวกเขาเดินออกไป ซูหลีจึงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้มังกรด้านหลังของตน


 


 


ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหมุนกายเดินออกไป


 


 


สีหน้าของฉินเย่หานล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของหวงเผยซาน เขาจึงตะโกนร้องว่า แย่แล้ว อยู่ในใจ


 


 


เดิมทีเขาได้แต่ร้องรำพันถึงซูหลี คิดไม่ถึงว่านางจะปรากฏเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้สู้ให้นางไม่โผล่มาดีกว่า เขารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของฮ่องเต้ทรงย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว


 


 


“คุณชายซู เชิญขอรับ เต๋อเฉวียน รีบไปเข็นคุณชายเถิด” หวงเผยซานพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้า เขากวักมือสื่อให้ขันทีคนหนึ่งมาเข็นร่างของซูหลี


 


 


“เฮ้อ ไม่ต้องแล้ว” ซูหลีโบกมือไปมา จากนั้นเด้งตัวไถลลงจากเก้าอี้รถเข็นตัวนั้น


 


 


จากนั้น…


 


 


ซูหลีก้าวเท้าเดินอย่างเป็นอิสระต่อหน้าทุกคนที่มีอาการอ้ำอึ้งไป อีกทั้งยังเดินตามหลังฉินเย่หานเข้าไปในห้องทรงอักษรอย่างปกติเกินจะเปรียบ


 


 


หวงเผยซานถึงกับตะลึงงัน…


 


 


ทุกคนในที่นั้นก็เช่นกัน…


 


 


คิดไม่ถึงว่าซูหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นนี้อยู่ตั้งนาน อีกทั้งยังล่วงเกินไทเฮาเพราะเรื่องนี้ เรื่อง ‘ท่อนขาที่ไม่แข็งแรง’ ของเขานี้คือการแสร้งทำหรอกหรือ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ฆ่าลาเมื่อเสร็จงาน เป็นสำนวน หมายถึง ผู้ที่มีส่วนสำคัญถูกจำกัดเมื่อมีผลประโยชน์ดังสำนวนไทยที่ว่า ‘เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล’



ตอนที่ 585 ใช้คุณงามความดีทดแทนโทษ


 


 


ในเวลานี้หวงเผยซานไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี คงจะสามารถพูดได้ว่า คุณชายซูผู้นี้ช่างใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้ ไม่ว่าเรื่องใดก็กล้ากระทำ


 


 


“มัวตะลึงอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบเดินไปอีก!” เมื่อเขามีสติกลับคืนมาก็ตวาดใส่ผู้คนที่ยืนมึนงงอยู่บริเวณนี้ สั่งให้คนเข็นเก้าอี้รถเข็นตัวนั้น และนำเย่ว์ลั่วที่ซูหลีพามาด้วยเดินไปทางห้องทรงอักษร


 


 



 


 


ภายในห้องทรงอักษร


 


 


ตุ้บ! หวงเผยซานเดินตามด้านหลังของซูหลี ห่างกันเพียงครึ่งก้าว คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เข้ามาจะเห็นซูหลีคุกเข่าลงไปที่พื้นอย่างว่านอนสอนง่าย


 


 


หวงเผยซานกวาดตามองนางอยู่ปราดหนึ่ง ในเวลานี้เขานั้นเข้าใจความรู้สึกของฮ่องเต้ดี คุณชายซูผู้นี้ในยามปกติแสร้งทำท่าทางเกรงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าแท้จริงแล้ว…


 


 


กลับไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย!


 


 


“ข้าน้อยมีความผิด ฝ่าบาทโปรดลงโทษข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ซูหลีไม่เพียงแต่จะคุกเข่าลง อีกทั้งยังยอมรับผิดด้วยตนเอง


 


 


ฉินเย่หานมองซูหลีด้วยสายตาเย็นชา สายตาของเขานั้นทำให้หัวใจของหวงเผยซานรู้สึกหวาดหวั่น


 


 


“ออกไปกันให้หมด” หวงเผยซานมองไปโดยรอบครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำข้ารับใช้ในวังทั้งหมดออกไป เซียนทะเลาะกันแต่มนุษย์ได้รับความลำบาก ถ้าเป็นเช่นนั้น ในเวลานี้เขาไปรอข้างนอกเสียดีกว่า!


 


 


“เจ้ามีความผิดอะไร” ฉินเย่หานมองซูหลีอย่างแน่วแน่ บนใบหน้ารูปไข่ที่งามลออไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าของซูหลีดูนิ่งสุขุมเป็นอย่างมาก


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งซูหลีทำท่าทางเช่นนี้ ในใจของฉินเย่หานก็ยิ่งมีโทสะยิ่งกว่าเดิม


 


 


“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ควรปะทะกับไทเฮาเหนียงเหนียง อีกทั้งไม่ควรกำเริบเสิบสานในวังหลวงเช่นนี้ และไม่ควร…” ซูหลีพูดถึงตรงนี้ พลันหยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน และมองไปที่เก้าอี้รถเข็นปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ควรสร้างเก้าอี้รถเข็นขึ้นโดยพลการ”


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้พูดจบ บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรหยุดชะงักไปในพริบตา


 


 


ฉินเย่หานมองซูหลีด้วยสายตาเยียบเย็น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ดูเย็นชาเสียจนทำให้หัวใจของผู้ที่ถูกมองหนาวยะเยือก


 


 


ในใจของซูหลีนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นเหมือนกัน ที่จริงแล้วหลังจากที่ถูกฉินมู่ปิงเห็นกระดาษภาพนี้เข้า นางก็รู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก


 


 


นางไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉินมู่ปิงสองพ่อลูกกับฉินเย่หานเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้ว่าการมอบกระดาษภาพวาดนี้ให้กับฉินมู่ปิงเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ สถานการณ์ในเวลานั้น นางนั้นเปรียบกับอยู่บนหลังเสือที่ลงมาได้ยาก


 


 


เดิมทีนางเตรียมตัวจะมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทันทีหลังจากที่กลับจากสวนดอกเหมยในวันนั้น ทว่า…เป็นเพราะเรื่องของป๋ายถาน ทำให้หัวใจของซูหลีไม่เป็นสุขโดยแท้


 


 


นางไม่อยากจะเข้าวัง ยื้อเวลาเข้าวังมาเรื่อยๆ จนฉินมู่ปิงสามารถทำเก้าอี้รถเข็นได้สำเร็จ


 


 


ซูหลีถึงตระหนักว่าเรื่องนี้จักต้องเข้าวังเพื่อรายงานกับฮ่องเต้ มิเช่นนั้นยามถึงคราที่เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ปรากฏอยู่ข้างกายฉินเฮ่า สามารถทำให้ฉินเฮ่าสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ และฉินเย่หานเป็นคนสุดท้ายที่รับรู้ ถ้าอย่างนั้นนางคง…


 


 


“ข้าน้อยมีความผิด ข้าน้อยสมควรตาย!” นางหมอบลงบนพื้น อีกทั้งร่างกายของซูหลีสั่นเทิ้มอย่างอดไม่ได้


 


 


สิ่งที่ตอบนางมีเพียงแค่ความเงียบเป็นเวลานานของฉินเย่หานเท่านั้น


 


 


ซูหลีเงยหน้ามองฉินเย่หานอย่างอดไม่ได้ ทันทีที่เหลือบตามองก็พบกับสีหน้าไร้อารมณ์ของฉินเย่หาน เมื่อมองจากสีหน้าและดวงตาคู่นั้นแล้ว นางแทบมองไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น


 


 


“ข้าน้อยคิดว่าถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นถึงจะนำมันเข้ามาในวังหลวงเตรียมจะถวายให้กับฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงได้รับการเข็นเคลื่อนที่ไปได้ทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งมีราษฎรบางคนที่จำเป็นจักต้องใช้มัน ก็จะสามารถใช้ของสิ่งนี้ได้ด้วย…”


 


 


เมื่อตกอยู่ในสายตาของฉินเย่หาน น้ำเสียงของซูหลีก็เปลี่ยนเป็นเบาลงเรื่อยๆ…


 


 


สุดท้ายนางก็ปิดปากลงอย่างรู้สึกลำบากใจ เอาเถอะ นางรู้ว่าตอนนี้มันไม่ทันกาลแล้ว ฉินมู่ปิงทำของสิ่งนี้ออกมาแล้ว นางถึงได้นำมาถวายให้แด่ฮ่องเต้


 


 


ทว่าซูหลีมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ในเวลาอันสั้นนี้แม้ฉินมู่ปิงจะมีความสามารถถึงเพียงใด ก็ไม่สามารถสร้างของสิ่งนี้ออกมาเป็นจำนวนมากได้


 


 


ไม่แน่ในเวลานี้อาจจะสามารถทำออกมาได้สองชิ้นเท่านั้น


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 586 จะพิสูจน์อย่างไร


 


 


ตัวหนึ่งอยู่กับนางที่นี่ อีกตัวหนึ่ง…แน่นอนว่ามอบให้ฉินเฮ่า


 


 


แค่ไม่กี่วันนี้ เขาสามารถศึกษาอย่างละเอียดและสร้างเก้าอี้รถเข็นขึ้นมาอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เขาอยากจะสร้างขึ้นจำนวนมากหรือใช้ของทำอะไร นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้


 


 


นี่ก็เป็นสาเหตุที่ซูหลีสั่งให้ฉินมู่ปิงทำให้นางตัวหนึ่ง


 


 


ขาของนางหายแล้ว ทว่าของสิ่งนี้นางต้องการใช้มันสร้างความดีทดแทนความผิดต่อหน้าฉินเย่หาน!


 


 


“เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ ซื่อจื่อสั่งให้ช่างไม้ตั้งใจทำอยู่นานมากถึงจะสามารถทำออกมาได้ เมื่อมีของสิ่งนี้ ฮ่องเต้ทรงมอบให้นายช่างใต้อาณัติของพระองค์ศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็จักสามารถทำออกมาเหมือนกันราวกับแกะได้แล้ว ของสิ่งนี้ที่จริงทำจากไม้ ดังนั้นอาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ทว่าหากปรับปรุงไม้ที่ใช้ในการทำ เช่นนั้นราษฎรชาวบ้านสามัญก็จักสามารถใช้ได้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ซูหลีพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดฉินเย่หานก็มีท่าทีตอบโต้ แม้จะเป็นแค่การส่งเสียงเย็นที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างง่ายๆ ทว่าสำหรับซูหลีนั้น นี่ถือเป็นท่าทีตอบโต้ที่มากที่สุดแล้ว


 


 


นางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นมองฉินเย่หานด้วยสายตาหยาดเยิ้ม นางยิ้มและเอ่ยว่า “หากสามารถแก้ปัญหาราษฎรที่ท่อนขาพิการจำนวนมากได้ พวกเขาจักต้อง…”


 


 


ซูหลียังไม่ทันจะพูดจบ นางก็เห็นฉินเย่หานเดินเข้ามาหานางก้าวหนึ่ง เพียงแค่ก้าวหนึ่งนางก็รู้สึกเหมือนถูกคนบีบคอเอาไว้ ไม่สามารถพูดต่อได้แม้แต่ประโยคเดียว


 


 


“ทำไมถึงไม่มาหาเรา” ฉินเย่หานโน้มกายเข้ามา ใช้มือจับคางนางเอาไว้


 


 


ซูหลีชะงักงัน…


 


 


พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ อย่าเข้ามาใกล้นางขนาดนี้จะได้หรือไม่


 


 


“ขะ ขาของข้าน้อยไม่แข็งแรงพ่ะย่ะค่ะ!” ทันทีที่สมองเฉียบแหลมของซูหลีเริ่มถูกใช้งาน นางก็เอ่ยข้ออ้างเช่นนี้ขึ้นมาทันที


 


 


ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกมา นางกลับเห็นดวงตาที่เย็นยะเยียบของฉินเย่หานคู่นั้นหรี่ตาลงเล็กน้อย กวาดมองนางปราดหนึ่ง


 


 


ในชั่วขณะนี้นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเองหนาววูบไปแล้วครึ่งซีก ร่างกายนางถอยไปด้านหลังด้วยอาการสั่นเทิ้ม นางอยากจะหลบหนีออกจากสายตาและลมหายใจของฉินเย่หาน


 


 


“ซูหลี คำพูดของเรา เจ้าลืมไปแล้วรึ” ซูหลีก้มหน้าลงไม่กล้าที่จะมองฉินเย่หานต่ออีก ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดที่เย็นชาและแข็งกระด้างประโยคนี้ นางก็แสดงท่าทางตะลึงค้างอย่างชัดเจน และเตรียมจะถามจากจิตใต้สำนึกว่า…คำพูดอะไรกัน


 


 


ยังดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของนางค่อนข้างว่องไว จึงควบคุมตนเองเอาไว้ได้ทัน


 


 


ทว่านางกลับแสดงท่าทีหยุดชะงักและอ้ำอึ้งออกมาอย่างชัดเจน ทำให้สีหน้าของฉินเย่หานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อเกินจะเปรียบ


 


 


“ขะ ข้าน้อยมิบังอาจลืม!” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นางเอ่ยไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง


 


 


ซูหลีถ่มน้ำลายใส่ตัวเองในใจ เห็นได้ชัดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นคือฮ่องเต้ผู้มีพระทัยเย็นชาและแข็งกระด้าง เมื่อใช้ประโยชน์นางเสร็จแล้วก็สามารถโยนนางทิ้งได้ตามอำเภอใจ ไยนางถึงได้รู้สึกว่าตนกำลังทำอะไรผิดก็มิปาน ร่างกายของนางสั่นงกๆ ต่อหน้าเขา กลัวว่าตนจะพูดอะไรผิดไป


 


 


สังคมจักรวรรดิที่ชั่วร้าย…


 


 


“จะพิสูจน์อย่างไร” ทว่าสิ่งที่ซูหลีคาดไม่ถึงคือ ฉินเย่หานจะเอ่ยประโยคนี้เสริมขึ้น


 


 


พิสูจน์!? ไยถึงต้องพิสูจน์เรื่องเช่นนี้อีก นางไม่รู้ว่าฉินเย่หานจะพูดถึงนั้นคืออะไร นางจะรับรู้ได้อย่างไรว่าตนจักต้องพิสูจน์อะไร


 


 


นี่ก็สร้างความลำบากให้นางเกินไปเสียแล้ว!


 


 


ทว่าซูหลีก็ไม่รู้ว่า เรื่องที่ตนสร้างเก้าอี้รถเข็นนี้ขึ้นมานั้นเป็นเรื่องถูกหรือผิด ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือมีอะไรที่นางทำได้ก็ต้องทำ!


 


 


“หืม” เมื่อเห็นนางก้มศีรษะไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะมองเขา ฉินเย่หานจึงใช้มือเชยคางนางขึ้น เพื่อสบตาของนาง


 


 


ในดวงตาของฉินเย่หานมีความก้าวร้าวอย่างแกร่งกล้า ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้ หัวใจจึงรู้สึกสั่นสะท้านถึงขีดสุด ทันใดนั้นนางก็ฉุกคิดได้ว่าคำพูดของฉินเย่หานคืออะไร


 


 


…เจ้าคือคนของเรา


 


 


ดังนั้น…


 


 


บัดนี้ฮ่องเต้ทรงต้องการให้นางพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยตนเองหรือ!?


 


 


มุมปากของซูหลีกระตุกขึ้น นางเสียใจแล้ว! เสียใจที่เสียแรงวาดรูปอะไรนั่นขึ้นมา!


ตอนที่ 587 พลีชีพของตนเอง


 


 


บัดนี้ก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น อีกทั้งยังยั่วยุให้บุรุษที่ชัดเจนว่า…ต้องการอะไรบางอย่างให้ตัวนางผู้นั้น เรียกร้องให้นางพิสูจน์ว่านางเป็นคนของเขา!?


 


 


ซูหลีถึงกับพูดไม่ออก…


 


 


นางสามารถเลือกความตายได้หรือไม่


 


 


ริมฝีปากของนางสั่นเทิ้ม นางรู้สึกว่าตนได้ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้ว อีกทั้งตอนนี้ไม่อาจหลบหนีไปได้ เพราะตัวนางอยู่ในสายตาของฉินเย่หาน ยังจะสามารถไปที่อื่นได้หรือ


 


 


ทว่าจะให้นางพิสูจน์เรื่องนี้อย่างไร อย่างไรก็ไม่สามารถปลดเสื้อผ้าออกแล้วเข้าไปโอบกอดเขาตลอดกระมัง?


 


 


นี่…


 


 


ฉินเย่หานชำเลืองมองซูหลีที่กำลังก้มศีรษะครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา พริบตาหนึ่งก็แดงระเรื่อ อีกพริบตาหนึ่งก็ซีดขาว ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก


 


 


เขามองซูหลีด้วยใบหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และไม่เอ่ยอะไรออกมา ปล่อยให้ซูหลีเตลิดในความคิดของตนเองอยู่


 


 


จนในที่สุดหลังจากที่ซูหลีต่อสู้กับความคิดของตนเองเป็นเวลานาน นางก็ตัดสินใจหลับตากระโจนเข้าไปใกล้ร่างของฉินเย่หาน


 


 


จุ๊บ! ริมฝีปากของนางหยุดอยู่ที่ใบหน้าของฉินเย่หาน


 


 


“สะ สามารถพิสูจน์เช่นนี้หรือไม่” หลังหอมแก้มเสร็จ ซูหลีถึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่ลืมตาขึ้นก็พบกับฉินเย่หานที่จ้องมองนางตาไม่กะพริบ สายตาของเขาดูลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีอะไรบางอย่างที่นางมองไม่ออก


 


 


เพียงนางรู้สึกได้อย่างลึกๆ ว่า ฉินเย่หานในเวลานี้อันตรายเป็นอย่างมาก!


 


 


นี่คือปฏิกิริยาจากจิตใต้สำนึกของซูหลี นางมีเสียงเตือนดังอยู่ในใจ ขณะที่นางคิดจะก้าวถอยไป คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวของฉินเย่หานจะเร็วยิ่งกว่า เขากดร่างของนางเข้าหาตนเอง จากนั้น…


 


 


ระดมจุมพิตนางอย่างไม่หยุดหย่อน


 


 


“อื้อ อื้อ!” ซูหลีพยายามดิ้นรนแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อครู่ยังบอกว่าให้นางพิสูจน์เอง เวลานี้คงไม่สามารถก้าวเท้าปล่อยผ่านไปได้กระมัง หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นคงจะถึงจุดจบของนางอย่างแท้จริง!


 


 


“เอ่อ!” ผ่านไปพักใหญ่ฉินเย่หานถึงได้ปล่อยซูหลี ทันทีที่เขาก้าวถอยออกมา ซูหลีก็สูดหายใจเข้าลึก ท่าทางคล้ายกับคนที่มีชีวิตรอดจากภัยพิบัติก็มิปาน


 


 


ใบหน้าของฉินเย่หานกลับไร้ซึ่งความรู้สึก เขาเพียงมองซูหลีด้วยสายตาลุ่มลึกและเอ่ยว่า “ต่อไปห้ามไม่มาหาเรา”


 


 


ซูหลีที่ยังรู้สึกมึนงง เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย นางเพียงผงกศีรษะตอบรับ ฉินเย่หานเห็นดังนั้นจึงถอยออกไปอย่างพอใจ


 


 


“ส่วนเรื่องเก้าอี้รถเข็น เราไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเจ้าแล้ว” ซูหลีสละร่างกายของนางเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของนางจึงผ่อนคลายลง พลางผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ดูเหมือนว่าหลังจากนี้เรื่องบางเรื่องไม่สามารถสร้างความวุ่นวายได้ตามอำเภอใจเสียแล้ว!


 


 


“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ซูหลีขานรับ


 


 


“ลุกขึ้นเถิด” ฉินเย่หานกลับไปนั่งที่โต๊ะมังกร หลังจากเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา ซูหลีถึงได้พบว่าเดิมทีตนนั้นนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น


 


 


นางชะงักเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่อนขาที่สั่นเทิ้ม


 


 


“บาดแผลที่ขาเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ผู้ซึ่งทรงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่ไว้หน้ามาโดยตลอด กลับตรัสคำถามเช่นนี้ต่อหน้าซูหลี


 


 


ซูหลีไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อได้ยินจึงผงกศีรษะก่อน จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา


 


 


“ไม่มีปัญหาอะไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“…อืม” ฉินเย่หานมองซูหลีอยู่หลายปราด จนซูหลีรู้สึกว่าสีหน้าของเขามีความแปลกประหลาดบางอย่าง ดูเหมือนว่าเขาเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่าคำพูดนี้กลับติดอยู่ที่ปากและสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา


 


 


ซูหลีรู้สึกประหลาดใจ ทว่านางไม่ได้ถามออกมา หลังจากเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบากับฉินเย่หานเพียงสองสามประโยค นางก็เดินออกมาจากห้องทรงอักษร


 


 


ทว่าทันทีที่ซูหลีเอ่ยออกมา หวงเผยซานกลับรู้สึกประหลาดที่พบว่า บรรยากาศกดดันที่วนเวียนอยู่ห้องทรงอักษรมาโดยตลอดนั้น ในที่สุดก็มลายหายไปแล้ว อารมณ์ของฮ่องเต้แม้จะดูเหมือนกับในปกติ


 


 


ทว่าหวงเผยซานรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 588 ก่อเรื่องวุ่นวาย


 


 


หวงเผยซานติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฮ่องเต้ตลอดหลายปี หากแม้แต่เรื่องนี้ก็มองไม่ออกแล้วละก็ เขายังจะเป็นหัวหน้าผู้ดูแลได้อย่างไร!


 


 


ดูเหมือนว่า หลังจากนี้ไปหากต้องการให้ฮ่องเต้อารมณ์ดีขึ้นมา เช่นนั้นจักต้องดูที่คุณชายซูเสียแล้ว!


 


 



 


 


หลังจากซูหลีออกมาจากวังหลวงไม่กี่วัน สำนักเต๋อซั่นก็จัดตั้งการสอบครั้งใหญ่


 


 


การสอบครั้งใหญ่นี้ เหมือนกับการสอบปลายภาคในโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดของซูหลี สำหรับบัณฑิตในสำนักเต๋อซั่นแล้ว การสอบนี้ถือว่ามีความสำคัญที่สุด


 


 


การสอบครั้งใหญ่ไม่เหมือนกับการสอบย่อย การสอบนั้นจะมีการลงโทษ ทว่าการสอบครั้งใหญ่นั้นไม่มี จะมีเพียงการติดประกาศรายชื่อที่ด้านนอกสำนักเต๋อซั่นเท่านั้น เป็นการสอบที่เผยลำดับคะแนนของบัณฑิตทุกคนในสำนักเต๋อซั่น ประกาศรายชื่อนี้จะประกาศไปจนถึงช่วงบุปผาผลิบานในวสันตฤดูปีหน้า


 


 


การติดประกาศติดต่อกันหลายเดือนนั้น ยังทำให้คนสนใจมากกว่าการลงโทษในการสอบย่อยเสียอีก


 


 


เพียงแต่สำหรับซูหลีการสอบครั้งใหญ่นี้กลับไม่ยากเกินไป นางเป็นผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งในการสอบมาก่อน เมื่อพูดถึงการเรียนแล้ว แน่นอนว่าอันดับการสอบของสำนักเต๋อซั่นนี้จักต้องเป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


 


อีกทั้งเพราะความจริงเป็นเช่นนี้ แม้ซูหลีจะนั่งดื่มชาชมทิวทัศน์ในเรือนขาวทุกวัน ก็ยังสามารถขึ้นติดอันดับในการจัดลำดับได้ ในบรรดาการสอบจำนวนมาก นางกลับสอบได้ที่หนึ่งและยอดเยี่ยม


 


 


มีเพียงการสอบขี่ม้ากับยิงธนูเท่านั้น ที่ตั้งแต่การสอบย่อยจนถึงการสอบครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ยากจะทำให้สำเร็จในคราเดียว


 


 


อาจารย์วิชาขี่ม้าและยิงธนูนั้นยอมแพ้กับซูหลีอย่างชัดเจน เขาเพียงให้ซูหลีที่โหล่ แม้แต่หลังม้าก็ไม่ให้นางขึ้น แม้ปล่อยผ่านไปเช่นนี้ ถึงอย่างไรนางก็ยังได้ที่หนึ่งของการสอบอยู่ดี


 


 


นางถือคะแนนที่ดีขนาดนี้ กลับไปฉลองปีใหม่ที่สกุลซูอย่างได้หน้าได้ตา


 


 


ปีนี้เป็นปีที่ซูหลีใช้ชีวิตอย่างสบายที่สุดปีหนึ่ง


 


 


อันดับแรกก็คือหลี่ซื่อถูกกุมขังไว้ รอจนนางคลอดบุตรออกมาก็จะถูกเนรเทศออกจากสกุลซู ต่อมาซูเนี่ยนเอ๋อร์กล่าวว่าคิดถึงท่านตาของตน และเอ่ยว่าจักไปฉลองปีใหม่ที่บ้านของครอบครัวมารดา ยามที่นางเอ่ยขึ้นเรื่องนี้ เป็นประจวบที่ซูหลีอยู่ที่นั่นพอดี


 


 


เมื่อเห็นซูไท่ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงอนุญาตให้ไป ซูหลีก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง


 


 


แม้หลี่ซื่อถูกปลดออกจากตำแหน่งภรรยาของซูไท่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นท่านตาของซูเนี่ยนเอ๋อร์ แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเท่าไรนัก


 


 


ซูเนี่ยนเอ๋อร์ออกเดินทางแล้ว ในบ้านก็ยังเหลือซูหรุ่ย โดยทั่วไปแล้วซูหรุ่ยออกจากประตูจวนไม่ถึงสองก้าวเท่านั้น นางแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าซูหลีเลย ในปีนี้ซูหลีจึงถือว่ามีชีวิตที่สงบสุขเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ในยามปกติที่อาศัยอยู่ในบ้าน นางสั่งให้ไป๋ฉินทำของว่าง ส่วนตนเองนั้นอ่านหนังสือไปหลายเล่ม กลับดูสบายอกสบายใจเป็นอย่างมาก


 


 


ทว่าจี้ฉินและคนอื่นๆ กลับส่งจดหมาย บัตรเชิญมาถึงหน้าจวน เพื่อชวนนางออกไปเที่ยวเตร่ด้วยกัน ซูหลีก็ไม่ปฏิเสธและออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเขาอยู่สองสามครา


 


 


แต่ละวันนางมีชีวิตอย่างอิสระ


 


 


จนกระทั่ง…


 


 


จวบกระทั่งถึงวันหนึ่ง ซูหลีกับพวกเขาไปเที่ยวที่หอหร่วนเซียงในยามวิกาล คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับหวังเฮ่อและเฉิงเค่อ มีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น อีกทั้งกลับไม่มีคนสำนักฉยงสือคนอื่นๆ อยู่ภายในนี้


 


 


ในวันนั้นเป็นวันที่ภายในหอหร่วนเซียงมีการประมูลแม่นางยอดดอกเหมย หวังเฮ่อผู้นั้นดูเหมือนจะมุ่งเข้าไปหาแม่นางยอดดอกเหมย


 


 


เดิมทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุข เพียงแต่หลังจากที่หวังเฮ่อเริ่มประมูล ซูหลีก็ยกป้ายประมูลราคาตาม อีกทั้ง…ทุกครั้งก็มากกว่าหวังเฮ่อเพียงแค่อัฐเดียวเท่านั้น


 


 


มิผิด ไม่ใช่หนึ่งชั่ง ไม่ใช่หนึ่งเฉียน แต่เป็นเพียงหนึ่งอัฐเท่านั้น!


 


 


ในตอนแรกหวังเฮ่อเพียงมีสีหน้าที่ย่ำแย่เท่านั้น เขามิได้เอ่ยอะไรออกมา ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันสองสามครา หวังเฮ่อก็นั่งไม่ติดแล้ว เขาเกิดโทสะขึ้นมาทันที เขาชี้ไปที่จมูกซูหลีและก่นดาออกมาประโยคหนึ่ง


 


 


คำก่นด่านี้คล้ายกับแหย่รังแตน ซูหลีและกลุ่มคุณชายเจ้าสำราญของสำนักเต๋อซั่นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเขาต่อยหวังเฮ่อจนจมูกของเขาบวมเขียว และโยนหวังเฮ่ออกจากหอหร่วนเซียง


 


 


ในวันนั้นเฉิงเค่อก็อยู่ ทว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องมาตั้งแต่แรก รอจนพวกซูหลีโยนหวังเฮ่อออกไป เขาถึงได้เดินออกไปหอหร่วนเซียง



ตอนที่ 589 เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง


 


 


วันที่สองต่อมา ซูหลีรวมถึงซูไท่ ทั้งยังมีเหล่าซื่อจื่อที่ทะเลาะกันภายในหอหร่วนเซียง กลับถูกกล่าวหาโดยสาส์นข้อหาฉบับหนึ่งของผู้ตรวจการ และสาส์นฉบับนั้นถูกถวายอยู่เบื้องหน้าของฮ่องเต้


 


 


ขณะที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรสาส์นฉบับนี้ ทรงมิตรัสอะไรออกมา สีพระพักตร์ยิ่งดูเยียบเย็นและนิ่งเฉยเสียจนมองไม่ออก ทว่ากลับทำให้ซูไท่และคนอื่นๆ ตกใจกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเฮือกใหญ่ พวกเขาคุกเข่าบนภายในตำหนักเช่นนี้ต่อไป


 


 


หลังจากจบการประชุมราชกิจ ซูหลีก็ถูก ‘เชิญ’ เข้าไปในวัง คนที่ทะเลาะกันคนอื่นๆ ถูกลงโทษอีกแบบแล้ว มีเพียงนางเท่านั้นที่ถูกเรียกให้เข้าเฝ้า


 


 


ยามเข้าไปสภาพของนางยังปกติดี ยามออกมาจากวังอาภรณ์กลับไม่เรียบร้อย ริมฝีปากนั้นบวมแดง ฝีเท้านั้นเบาหวิว


 


 


ส่วนบนของเสื้อคลุมนั้นถูกดึงออกมามากกว่าครึ่ง


 


 


ซูหลีเดินออกมาจากหอทรงอักษรอย่างใจร้อน นางรู้สึกอย่างลึกๆ ว่าฉินเย่หานผู้นี้นับวันยิ่งอันตราย เห็นได้ชัดว่ารับพระสนมคนใหม่เข้ามาแล้ว ทว่าสายตาที่จับจ้องนางให้ทั้งวันกลับแปลกประหลาดจนน่าตกใจ


 


 


นางครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วคราหนึ่ง นางรู้สึกว่าตนยังเป็นคนที่ไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร ไม่ต้องรอถึงวันที่สอบติดหรือได้ตำแหน่งทางราชการ ก็คงถูกฉินเย่หานกินหมดแล้ว!


 


 


ซูหลียิ่งคิดยิ่งรู้สึกกลัว ที่สำคัญก็คือนับวันสายตาที่ฉินเย่หานจ้องมองยิ่งชัดเจนมากกว่าเดิม พฤติกรรมของเขาไม่โอนอ่อนและเกินไปขึ้นเรื่อยๆ!


 


 


นางรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ลางสังหรณ์ที่ดีนัก คงจะดีกว่าถ้าอยู่อย่างไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย


 


 


ดังนั้นช่วงเวลาต่อจากนั้นมา รวมถึงการฉลองปีใหม่จนกระทั่งถึงช่วงเริ่มเข้าสู่วสันตฤดูมาแล้วสามเดือน นางนั้นไม่ออกจากจวนซูแม้แต่ก้าวเดียว


 


 


ไม่ว่าใครจะมาหาถึงที่ นางก็ยึดมั่นหลักการของตนว่า พูดว่าไม่ออกไปไหนก็คือไม่ไป พูดว่าไม่ก่อเรื่องก็ไม่ก่อเรื่อง และเป็นเพราะการกระทำอันแปลกประหลาดของนางนี้ ทำให้ทั้งเมืองหลวงเฉลิมฉลองปีใหญ่อย่างสงบสุข


 


 


ทว่าไม่ใช่สิ…การฉลองปีใหม่โดยทั่วๆ ไป กลุ่มคุณชายเจ้าสำราญของสำนักเต๋อซั่นนั้นถึงอย่างไรก็ต้องก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา ทว่าในปีนี้เพราะซูหลีไม่เข้าร่วมอะไรทั้งสิ้น ลูกไม้ที่พวกเขาใช้ล้วนเหมือนกับปีที่ผ่านมา รู้สึกไม่สนุกเท่าไรนัก อีกทั้งซูหลีไม่อยู่ ดูเหมือนขาดอะไรไปมิปาน


 


 


ดังนั้นคุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นจึงกลับเข้าไปอยู่ในบ้าน เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่พวกเขาจะไม่ออกไปก่อความวุ่นวาย


 


 


ในเวลานี้ทั้งเมืองหลวง รวมถึงเหล่าบิดาและผู้อาวุโสของพวกเขารู้สึกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ และยังปีติยินดีในเวลาเดียวกัน


 


 


ส่วนด้านซูหลี ปีนี้จึงกลายเป็นปีแรกที่ซูหลีอยู่ในจวนซูอย่างสงบสุขเช่นนี้


 


 


ในคืนวันส่งท้ายปีซูไท่ได้มอบซองแดงซองใหญ่ให้กับนาง เขาพูดให้กำลังใจนางว่าจักต้องตั้งใจในการสอบชุนเหวย[1] ซูหลียิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไรออกมา นางเพียงใช้มือชั่งน้ำหนักซองแดงในมือ หาได้เอ่ยอะไรที่สามารถทำให้ซูไท่วางใจไม่


 


 


ซูไท่เห็นท่าทางของซูหลีแล้วในใจก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ทว่าเมื่อคิดว่าตนกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งหมดนี้ซูหลีเป็นผู้ที่ไปสอบ เขานั้นประมาณการมิได้ เขาจึงทำได้เพียงปล่อยวางความกังวลในใจ


 


 


เมื่อออกจากช่วงปีใหม่ก็เป็นเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลหยวนเซียวในเมืองหลวงนั้นครึกครื้นที่สุด ชาติที่แล้วซูหลียังไม่เคยตั้งใจดู ทว่านางกลับไม่รีบร้อน และยังอยู่ในจวนด้วยกิริยาท่าทางดังเดิม


 


 


ในยามปกติซูหลีก็อาศัยอยู่ในลานกลางเรือน มีบางครั้งแม้แต่ซูไท่ก็ยังไม่พบนาง นางใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่มีความลึกซึ้ง เป็นเพราะว่าช่วงเริ่มวสันตฤดูนางจักต้องเข้าร่วมการสอบ นั่นก็คือการสอบชุนเหวย ซูไท่จึงสั่งไม่ให้ใครไปรบกวนนาง


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ ซูหลีจึงหายหน้าหายตาไปจากสายตาของผู้คนอยู่นาน


 


 


จนกระทั่งถึงเดือนสาม


 


 


ในเดือนสามอากาศนับวันยิ่งอบอุ่นขึ้น สำนักเต๋อซั่นก็เริ่มมีการเรียนการสอนแล้ว


 


 


ทว่าซูหลีกลับไม่ปรากฏตัวขึ้น


 


 


ในฐานะผู้เข้าร่วมสอบ อีกประเดี๋ยวก็ต้องเผชิญหน้ากับการสอบที่สามปีถึงจะจัดสักครั้ง สำหรับการสอบที่สำคัญที่สุดอย่างการสอบชุนเหวย จะสอบติดหรือไม่จักต้องดูช่วงเวลาในไม่กี่วันนี้ ดังนั้นนางจึงต้องรอบคอบเป็นธรรมดา


 


 


ทางสำนักเต๋อซั่นนั้นรับรู้เรื่องนี้อย่างชัดแจ้งดี ดังนั้นหลังจากที่มีการเรียนการสอนแล้ว จึงไม่ได้ให้คนไปเรียกตัวซูหลี


 


 


ดังนั้นจึงอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ต่อไป


 


 


 


 


——


 


 


[1] การสอบชุนเหวย หมายถึงการสอบคัดเลือกขุนนางในสมัยราชวงศ์ถังและซ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 590 เทพเจ้ามังกร เห็นหัวมิเห็นหาง[1]


 


 


การสอบชุนเหวย!


 


 


ในที่สุดก็ถึงวันสอบแล้ว


 


 


ในวันของการสอบชุนเหวย เป็นวันหยุดของสำนักสอนหนังสือในเมืองหลวงทั้งหมด


 


 


ผู้ที่มีชื่อในการจัดอันดับของประกาศในการสอบชิวเหวย ต่างก็มาเข้าร่วมการสอบชุนเหวย


 


 


ซูหลีก็ไม่เป็นข้อยกเว้นเช่นกัน


 


 


เพียงแต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การสอบชุนเหวยก็ถือว่าเป็นการสอบเคอจวี่รอบที่สำคัญที่สุด คนในครอบครัวและผองเพื่อนล้วนมาส่งผู้เข้าสอบ โดยเฉพาะบุตรที่เกิดในครอบครัวขุนนาง ยิ่งมีพิธีการส่งตัวที่ยิ่งใหญ่


 


 


ทว่าสกุลซูกลับเงียบเชียบไม่มีข่าวคราวอะไร ตอนเช้าคนในสกุลเพียงแค่ไปส่งซูหลีที่สนามสอบตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง รอจนฟ้าสว่างแล้ว ยามที่ด้านนอกของสนามสอบเต็มไปด้วยความครึกครื้น กลับไม่มีเงาของคนสกุลซูปรากฏขึ้นเลย


 


 


การเคลื่อนไหวอย่างนิ่งเงียบเช่นนี้ ไม่เหมือนลักษณะท่าท่างที่มีมาโดยตลอดของซูหลีโดยแท้


 


 


คนจำนวนไม่น้อยคิดว่า การซ่อนตัวปกปิดเบาะแสของซูหลีในช่วงเวลานี้ ทั้งยังมีความประพฤติประหลาดของนางก่อนช่วงการสอบชุนเหวยนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการขาดความมั่นใจของซูหลี


 


 


มิผิด นี่เป็นการสอบชุนเหวย หากสามารถสอบผ่านก็เป็นบัณฑิตชั้นสูงแล้ว[2] ผู้ที่สอบผ่านสองคนแรกก็ถือว่าเป็นขุนนางของราชสำนักแล้ว การสอบได้อันดับเจี่ยหยวนในครานั้นสามารถพึ่งโชคชะตาได้ ทว่าการสอบครานี้ไม่อาจพึ่งโชคชะตาได้!


 


 


คนจำนวนมากต่างพากันแอบคาดเดาว่า ซูหลีกลัวการสอบครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะไม่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยครั้งนี้ก็เป็นได้ ดังนั้นสกุลซูจึงไม่ได้ให้ใครมาส่งตัวซูหลีที่สนามสอบ มิหนำซ้ำจวนของสกุลซูนั้นเงียบสงบเป็นอย่างมาก ไม่คล้ายกับจวนที่เข้าร่วมการสอบชุนเหวยด้วยซ้ำ


 


 


และมีคนกล่าวว่า หลังจากที่ซูหลีท้าพนันกับไป๋เฮ่อกลับรู้สึกว่าตนเองทำตามที่พูดมิได้ ดังนั้นถึงได้กระทำเช่นนี้ เพื่อให้ต่อจากนี้ไม่เสียหน้ามากเท่าไรนัก


 


 


ทว่าคนในสำนักเต๋อซั่นกลับคิดว่า ซูหลีจักต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน อีกทั้งอันดับจักต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน


 


 


ทุกคนต่างเอ่ยกันไปต่างๆ นานา เจ้ามือพนันหลายคนในเมืองหลวงหลายแห่งต่างพากันตั้งการพนันขึ้น สิ่งที่พวกเขาพนันก็คือ การพนันระหว่างซูหลีกับไป๋เฮ่อ


 


 


สนามพนันนี้ช่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ได้พนันว่าพวกเขาจะสามารถได้รับตำแหน่งบัณฑิตชั้นสูงหรือไม่ ทว่ากลับตั้งพนันว่าระหว่างซูหลีกับไป๋เฮ่อทั้งสองคนใครจะชนะใคร


 


 


ที่จริงแล้วหากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เป็นการพนันว่าซูหลีจะสามารถสอบผ่านเป็นบัณฑิตชั้นสูงได้หรือไม่


 


 


ผู้ที่ร่วมการพนันครั้งนี้มีเยอะมาก อีกทั้งเป็นเพราะมีคนจำนวนมากรู้จักซูหลี อีกทั้งยังรู้ถึงการเคลื่อนไหวของซูหลีที่กระทำก่อนช่วงสอบชุนเหวย ทำให้คนต่างพากันลงเงินฝั่งไป๋เฮ่อ


 


 


ในช่วงเวลาเพียงครู่เดียว แนวโน้มที่พนันว่าซูหลีเป็นฝ่ายเสียเปรียบในบ่อนพนันต่างๆ จึงสูงขึ้นในชั่วพริบตา จนกระทั่งหลังจากสิ้นสุดการสอบ ทุกคนล้วนพนันว่าซูหลีเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!


 


 


ทว่าภายในนั้นมีคนจำนวนไม่น้อยที่ลงเงินฝั่งซูหลี เช่นคนในสำนักเต๋อซั่น บุคคลลึกลับบางคน…บุคคลลึกลับที่ลงเงินฝั่งซูหลี รูปร่างของเขาล่ำสัน ทว่าไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน อีกทั้งยังกระเป๋าหนัก ทุกบ่อนพนันเขาล้วนลงเงินพนันไว้ฝั่งซูหลีหนึ่งหมื่นชั่ง!


 


 


หนึ่งหมื่นชั่ง! นี่ช่างทำให้ผู้อื่นหัวเราะจนฟันร่วงโดยแท้


 


 


ทว่าคนผู้นี้กลับไม่สนใจว่าความคิดของผู้อื่นจะเป็นเช่นไร เมื่อลงเงินพนันเรียบร้อยก็เดินออกไป


 


 


เพราะการปรากฏตัวของคนผู้นี้ กอปรกับเงินเดิมพันหนึ่งหมื่นชั่ง ยิ่งทำให้การสอบชุนเหวยในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นครึกครึ้นอย่างยิ่งยวด


 


 


ทว่าหลังจากการสอบชุนเหวยสิ้นสุดลง เหล่าผู้สอบต่างออกจากสนามสอบ คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกต่างยืดคอชะเง้อมอง ทว่าก็ยังไม่เห็นซูหลี


 


 


มีคนเอ่ยว่า หลังจากสิ้นสุดการสอบชุนเหวย ซูหลีแอบออกไปทางประตูด้านหลังของสนามสอบอย่างเงียบเชียบ


 


 


ทว่าข่าวนี้ในสายตาของผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่า ซูหลีคงกลัวเสียหน้าที่พูดจาส่งเดชออกมาก็เท่านั้น พวกเขายังเชื่อว่าซูหลีไม่ได้เข้าร่วมการสอบชุนเหวย นั่นเป็นการกลัวขายหน้า!


 


 


ไม่ว่าคนเหล่านี้จะคิดอย่างไร การสอบชุนเหวยที่สร้างความฮือฮาก็สิ้นสุดลงแล้ว ขณะที่รอวันประกาศผลสอบชุนเหวย มีคนจำนวนไม่น้อยอดทนไม่ไหวจนต้องไปหาซูหลีอย่างไม่ขาดสาย


 


 


ทว่ากลับถูกซูหลีปฏิเสธ ไม่ออกมาเจอใครทั้งนั้น


 


 


รวมถึงผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดอย่างไหวอ๋อง ก็ยังไม่ได้พบตัวซูหลี!


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้คนในสำนักเต๋อซั่นอดที่จะเป็นห่วงซูหลีไม่ได้


 


 


ในขณะที่กำลังเกิดความสับสนขึ้นในใจของทุกคน ในที่สุด…


 


 


ก็ถึงวันประกาศผลสอบชุนเหวย


 


 


 


 


——


 


 


[1] เทพเจ้ามังกร เห็นหัวมิเห็นหาง เป็นสำนวน หมายถึงคนที่มีนิสัยขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์แปรปรวน


 


 


[2] บัณฑิตชั้นสูง หรือ จิ้นซื่อ หมายถึงบัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบในราชสำนัก ซึ่งจัดการสอบต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ จัดขึ้นทุกๆ 3 ปี



ตอนที่ 591 นายน้อยสอบติดแล้ว!  


 


 


ในวันที่ประกาศรายชื่อ กระทั่งซูไท่ยังนั่งไม่ติด 


 


 


เขาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งอยู่ในสวนสกุลซู คนสามกลุ่มที่ส่งไปสืบข่าวก็ยังไม่มีใครกลับมา ตอนแรกเขาก็นั่งๆ อยู่ ต่อมาก็เริ่มนั่งไม่ติดจึงลุกขึ้นยืนแทน จากนั้นก็เดินไปเดินมา 


 


 


“ท่านพ่อ เช้าขนาดนี้เลย?” ซูไท่ที่ผุดลุกผุดนั่งได้ยินเสียงดังขึ้น เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นซูหลีที่ไม่เจอหน้าเจอตามาหลายวัน 


 


 


ถูกต้องถึงแม้ซูหลีจะอยู่สกุลซูตลอด แต่บิดาอย่างเขากลับเจอหน้าอีกฝ่ายแค่ไม่กี่วันเท่านั้น และเพราะไม่เจอหน้าเจอตาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสอบเป็นอย่างไรบ้าง 


 


 


แล้วเขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร? 


 


 


ทันทีที่เหลือบตามองก็เห็นใบหน้าซูหลีนวลเนียน สวมเสื้อแขนยาวผืนบางสีฟ้า และใบหน้าก็ยังเปี่ยมเสน่ห์เหลือร้าย เพียงแต่สีหน้านางเรียบเฉย ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มขี้เล่น ในมือถือพัด ทำให้เจ้าตัวดูผ่อนคลายอย่างมาก 


 


 


ทันทีที่ซูไท่เห็นท่าทางซูหลีก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ดูท่าทางเจ้าไม่กังวลเลยหรือว่าตนเองจะสอบไม่ผ่าน?” 


 


 


“ท่านพ่อพูดอะไรเช่นนั้น ลูกนี่นะ!” ซูหลีพูดถึงตรงนี้พลันใช้มือกุมอกตนเอง เงียบไปนานและเอ่ยว่า “กังวลจะตายอยู่แล้ว!” 


 


 


ซูไท่ชะงักงัน… 


 


 


ไม่รู้เพราะอะไร เห็นสีหน้าซูหลีเช่นนี้แล้วเขาอยากจะตีอีกฝ่ายสักป้าบ 


 


 


“นายท่าน นายท่าน นายท่าน!” แต่ซูไท่ยังไม่ทันได้ทำอะไรจริงๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกลอยเข้ามา 


 


 


ซูไท่ผุดลุกขึ้นยืนในทันที คงจะเป็นคนที่เข้าส่งไปหาข่าวกลับมาแล้ว! 


 


 


ใบหน้าเขาร้อนรนขณะได้ยินเสียงตะโกนลอยมาจากไกลๆ “ได้เรื่องแล้ว!” 


 


 


ซูหลีเห็นท่าทางร้อนใจของซูไท่ ก็ยกมุมปากขึ้นแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา 


 


 


ตั้งแต่เมื่อวานนางก็เริ่มได้รับเทียบเชิญต่างๆ ล้วนแต่ชวนให้นางไปดูป้ายชื่อที่ประตูเมือง รายชื่อการสอบทั้งสองช่วงเหมือนกันคือล้วนแต่แปะอยู่นอกกำแพงเมือง 


 


 


ทว่าซูหลีไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่พอเอาเข้าจริงๆ ตอนนี้นางก็ยังนั่งอยู่ที่บ้าน 


 


 


“นายท่าน!” พ่อบ้านสกุลซูวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เขาสูดลมหายใจถี่กระชั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาวิ่งมาอย่างร้อนรน 


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง!?” ซูไท่ประคองเขาทันที ไม่แยแสเรื่องอื่นๆ เปิดปากถามเรื่องผลสอบในทันที 


 


 


พ่อบ้านสกุลซูสูดลมหายใจเข้าปอดลึก จากนั้นเขาจึงทอดสายตามองซูหลีอย่างลึกซึ้ง 


 


 


ซูไท่เห็นท่าทางพ่อบ้านสกุลซูร้อนรนเช่นนี้ เขาก็รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นระรัว ลมหายใจติดขัดขณะรอคำตอบจากพ่อบ้าน 


 


 


“นายน้อย…สอบติดแล้ว!” 


 


 


กึก! ทันทีที่เอ่ยจบ ซูไท่ก็เกือบหกล้มลงไป โชคดีที่พ่อบ้านอยู่ข้างๆ คว้าเขาเอาไว้ทัน 


 


 


“สอบติด สอบติดแล้ว!” มือซูไท่สั่น เขามองพ่อบ้านสกุลซูอย่างตกตะลึง กระทั่งเสียงยังแหลมสูงเกินจะเปรียบ 


 


 


“ขอรับ! นายน้อยสอบติดแล้ว!” 


 


 


ซูหลีที่อยู่ด้านข้างไม่ตื่นเต้นเท่าคนทั้งสอง มือที่โบกพัดอยู่นั้นชะงักค้างไปเล็กน้อยหลังจากที่รู้เรื่อง แววขบขันพาดผ่านในดวงตา 


 


 


“อีกทั้ง!” พ่อบ้านสกุลซูยังพูดไม่ทันจบ เขาเห็นซูไท่เหม่อลอย จึงนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยเสริม 


 


 


“นายน้อยสอบได้ที่หนึ่ง! เป็นเกาจงฮุ่ยหยวน! ดีใจกับนายท่าน แสดงความยินดีกับนายท่านด้วย!” รอจนซูไท่ทรงตัวได้ พ่อบ้านสกุลซูถึงได้บอกเรื่องสำคัญนี้ 


 


 


ทันทีที่ซูไท่ได้ยินเช่นนี้แข้งขาก็อ่อนปวกเปียกทันที! 


 


 


ฮุ่ยหยวน! 


 


 


ซูหลีเองก็นิ่งชะงักไปทันที คิดไม่ถึงว่าจะสอบได้ลำดับสูงขนาดนี้!? 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 592 ออกไปข้างนอก 


 


 


การสอบชุนเหวยคราวนี้ซูหลีทำได้ดีจริงๆ  


 


 


นางรู้ตัวเองดีว่านางสอบจิ้นซื่อได้ไม่มีปัญหาแน่ 


 


 


แต่จะได้ลำดับที่เท่าไหร่นั้น นางไม่ได้ไปใส่ใจมากนัก 


 


 


ขอแค่สอบได้ก็พอแล้ว จิ้นซื่อนั้นไม่ใช่เจี่ยหยวนเล็กๆ เท่านั้น ถือว่าเป็นขุนนางในราชสำนักได้เลย 


 


 


คิดไม่ถึงว่านางจะสอบได้อันดับหนึ่ง ฮุ่ยหยวน! 


 


 


“นี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?” ซูไท่ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง เขามองซูหลีอย่างตกตะลึง เหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าซูหลีจะสอบได้ที่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


“จริงแท้แน่นอน! บ่าวรีบกลับมาก่อน คนรายงานข่าวกำลังเดินทางมา นายน้อยได้อันดับหนึ่งไม่ผิดแน่!” 


 


 


“ฟ้ามีตา! ฟ้ามีตาจริงๆ ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ในที่สุดแล้วซูไท่ก็ได้สติ เขาระบายยิ้มออกมาเต็มใบหน้าอย่างไม่สะกดอารมณ์ใดๆ อีกต่อไป  


 


 


“นายท่านระวัง!” พ่อบ้านซูเห็นซูไท่เริ่มยืนไม่มั่นคง จึงเอื้อมมือเข้าประคองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ 


 


 


แต่ซูไท่ดีใจมากจริงๆ จนไม่อาจหยุดเสียงหัวเราะของตนเองได้ ดูท่าทางเหมือนเป็นบ้าไปแล้ว 


 


 


“นาย นายน้อย!” พ่อบ้านซูเริ่มชักจะกลัวเมื่อเห็นท่าทางของซูไท่ จึงเหลือบมองซูหลี 


 


 


ซูหลีเองก็ตกใจอยู่เช่นกัน แต่นางเก็บอารมณ์ได้มากกว่าซูไท่ นางเห็นแววตาหวาดกลัวของพ่อบ้านซู จึงส่ายศีรษะให้เขา 


 


 


ซูไท่ดีใจมากจนเกินไป ไม่มีความจำเป็นต้องไปห้ามเขา เดี๋ยวก็คงดีเอง! 


 


 


“บรรพบุรุษของสกุลซู ซูไท่…” ซูไท่บ่นพึมพำ ในแววตาเป็นประกายวิบวับของหยาดน้ำตา 


 


 


ซูหลีเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาก็ตะขิดตะขวงใจน้อยๆ  


 


 


การสอบได้ฮุ่ยหยวนนั้น ไม่ใช่เพียงแค่สอบผ่านเท่านั้น ผู้สอบผ่านสิบลำดับแรกของการสอบชุนเหวยนั้น จะต้องเข้าร่วมการสอบหน้าพระพักตร์ การสอบหน้าพระพักตร์สามอันดับแรกแบ่งเป็นจอหงวน ป่างเหยียน ถ้านฮวา 


 


 


สามคำนี้ทำไมฟังดูง่ายนัก แต่ที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความหมายอย่างยิ่ง 


 


 


นี่เป็นสิ่งที่บัณฑิตทุกคนเฝ้าฝันหาตั้งแต่มีการจัดสอบขุนนาง ตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ 


 


 


ในอดีตซูไท่ก็สอบได้จิ้นซื่อธรรมดา จากนั้นก็ลงทุนลงแรงไปมาก กว่าจะมีตำแหน่งเช่นวันนี้ 


 


 


อ้อไม่สิ ตำแหน่งเขาวันนี้ ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะซูหลี 


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่ซูหลีจะได้ย่างเท้าไปเข้าร่วมการสอบหน้าพระพักตร์ อยู่ห่างจากตำแหน่งจอหงวนในตำนานเพียงก้าวเดียว 


 


 


ซูไท่จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร! 


 


 


เขาอยากจะกู่ร้องป่าวประกาศ ไปประกาศทุกแห่งหน ให้โลกรู้ว่าตนเองมีบุตรชายเช่นนี้ 


 


 


ถูกต้อง นับจากวันนี้เป็นต้นไป ซูหลีจะเป็นบุตรชายที่ดีเพียงคนเดียวที่เขามี เรื่องพวกนั้นก่อนนี้เขาจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับซูหลีอีก 


 


 


ใครใช้ให้ซูหลีเก่งกาจขนาดนี้ ฮุ่ยหยวน!  


 


 


“ดูแลท่านพ่อให้ดี เดี๋ยวที่บ้านจะมีคนมารายงานข่าว คอยรับรองให้ดี ข้ามีธุระ เดี๋ยวต้องออกบ้านก่อน” 


 


 


ซูหลีอารมณ์ดีอย่างมาก เขากวาดตามองพ่อบ้านสกุลซูเล็กน้อย หลังจากเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็สาวเท้าเดินจากไป 


 


 


พ่อบ้านสกุลซูนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงได้สติกลับมาก่อนจะงุนงงอย่างยิ่ง 


 


 


ได้รู้ลำดับแล้ว นายน้อยจะออกไปทำไม? 


 


 


เพียงแต่เขายังไม่เข้าใจความคิดของซูหลีนัก บวกกับซูหลีทำได้ถึงขนาดนี้ ทำให้พ่อบ้านซูไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นนายน้อยผู้ที่เขาจะวิจารณ์ได้อย่างง่ายดายเหมือนก่อน! 


 


 


นี่เป็นถึงขุนนางในอนาคตเลยทีเดียว! 


 


 


ส่วนฟากซูหลีเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็นิ่งชะงักไป หันกลับมามองไป๋ฉินที่แววตาเต็มไปด้วยความยินดี ดีใจเกินจะเปรียบเลิกคิ้วเอ่ย “ไปเรียกชุยตานมาหน่อย!” 


 


 


“เจ้าค่ะ!” 



ตอนที่ 593 ซูหลีปรากฏตัวขึ้น 


 


 


ใบหน้าไป๋ฉินเต็มไปด้วยความยินดี ถึงนางจะไม่เสียการควบคุมเหมือนซูไท่ แต่ลึกๆ ในใจนางแล้วนั้นก็ดีใจอย่างที่สุดเช่นกัน แต่ละย่างก้าวของนางเหมือนลอยได้อย่างไรอย่างนั้น 


 


 


แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้ซูหลีจะเรียกหาชุยตานเพื่ออะไร แต่ก็เรียกหาอีกฝ่ายตามคำสั่งผู้เป็นนายอย่างว่าง่าย 


 


 


“ขอแสดงความยินดีด้วยนายน้อย!” ทันทีที่ชุยตานมาถึงก็ไม่พูดอะไร แต่ทรุดตัวลงทำความเคารพผู้เป็นนายทันที 


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ” ซูหลียกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ใบหน้านางเจ้าเล่ห์ ทำให้นางดูเหมือนนางมารเปี่ยมเสน่ห์ เย้ายวนใจอย่างยิ่ง ทำให้ชุยตานไม่กล้ามองนางตรงๆ  


 


 


“ยังจำเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” ทันทีที่ซูหลีนึกถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถควบคุมรอยยิ้มบนใบหน้าได้ 


 


 


“…จำได้” ชุยตานชะงักไปก่อนจากนั้นจึงได้สติกลับมา มองซูหลีด้วยสีหน้าแปลกพิกล สีหน้าเช่นนั้นจะเรียกว่าอย่างไรดีนะ ทั้งดีใจและพิกล นับว่าน่าเกลียดเอาการ 


 


 


ทว่าซูหลีไม่ได้สนใจท่าทางน่าเกลียดของชุยตาน นางเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ และเอ่ย “รีบไปสิ อย่าลืมพาคนไปด้วย จะต้องเอาทั้งหมดกลับมาให้ได้” 


 


 


“…ขอรับ!” ในตอนนี้ชุยตานก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีแล้ว อย่างไรเสียซูหลีก็เป็นนายน้อย ซูหลีว่าอย่างไรเขาก็ว่าเช่นนั้นแล้วกัน! 


 


 


“ไป๋ฉิน พวกเราไป” ซูหลีเห็นชุยตานรับคำแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อเดินนำไป๋ฉิน ออกจากบ้านสกุลซู มุ่งหน้าไปที่หอสดับพิรุณ 


 


 


คราวก่อนตอนที่ประกาศรายชื่อการสอบชิวเหวย นางฟังข่าวตอนอยู่ในหอสดับพิรุณ แต่คราวนี้นางรู้ข่าวก่อนแล้วจึงเดินทางไปหอสดับพิรุณ 


 


 


ดีที่พ่อบ้านซูทำงานได้ดี จึงหาข่าวเรื่องผลคะแนนการสอบไว้ก่อนนานแล้ว ซูหลีไปที่นั่นในเวลานี้ก็ไม่ถือว่าสายไป ในทางกลับกันนางคำนวณเวลาแล้ว ไปตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่คึกคักที่สุดแล้ว 


 


 


…… 


 


 


บริเวณประตูเมือง ภายในหอสดับพิรุณ 


 


 


“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายด้วย!” พวกคนสำนักฉยงสือรวมตัวกันอยู่ในหอสดับพิรุณ วันนี้ประกาศผลสอบการสอบชุนเหวย จึงมีความสำคัญกับคนสำนักฉยงสือเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจะไม่อยู่ได้อย่างไร? 


 


 


แต่ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอย่างปีติยินดีนี้เอง ใบหน้าป๋ายเฮ่อเจือรอยยิ้มอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามจะปกปิดอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์บนใบหน้าตนเองได้ 


 


 


“ลุกขึ้นเถิด มา ให้รางวัล!” ในใจป๋ายเฮ่อปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเขาสอบได้จิ้นซื่อแล้ว!  


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นลำดับที่ไม่ได้ดีเด่นอะไร แถมยังอยู่ในลำดับท้ายๆ เสียด้วย 


 


 


แต่เขาก็สอบติดแล้ว! 


 


 


จะต้องรู้ว่าสำหรับคนชั้นสูงผู้หนึ่งแล้วเรื่องนี้ยากมากขนาดไหน 


 


 


ป๋ายเฮ่อมีชาติกำเนิดเช่นนี้ แต่ยังสอบได้คะแนนเช่นนี้ ถือว่าค่อนข้างเก่งมากแล้วจริงๆ  


 


 


“พี่เฉิงอย่าเพิ่งได้ใจไป เวลายังอีกยาว การสอบก็ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คราวหน้าจะต้องมีโอกาสอีกแน่” การสอบชุนเหวยต่างจากการสอบชิวเหวย 


 


 


ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสอบผ่านกันหมด 


 


 


เฉิงเค่อหัวเสีย ในสี่ยอดอัจฉิรยะแห่งสำนักฉยงสือ เขาถือได้ว่ามีชื่อเสียงอย่างที่สุด กลับสอบไม่ติด! 


 


 


หลังจากเฉิงเค่อได้ยินคำพูดป๋ายเฮ่อก็กระตุกปากตนเองทันที เขาอยากจะยิ้มแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยิ้มไม่ออก  


 


 


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บรรยากาศที่สำนักฉยงสือก็ไม่ดีมากนัก คนสำนักฉยงสือที่เข้าร่วมการสอบชุนเหวย มีสี่สิบกว่าคน ทว่า… 


 


 


แต่ในคนจำนวนมากมายขนาดนั้นมีเพียงแค่ สิบคนเท่านั้นที่สอบผ่าน 


 


 


ที่จริงแล้วสำหรับสำนักอื่นๆ แล้วนั้นนี่ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่การสอบไม่ติดเช่นนี้ไม่ว่าใคร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็คงจะไม่ดีนัก! 


 


 


มีคนยินดีก็มีคนหัวเสียเช่นกัน! 


 


 


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 594 สบายดีใช่ไหม 


 


 


“แย่แล้ว! คนมากมายขนาดนี้เชียว!” สถานการณ์ตอนนี้ออกจะไม่น่าชมนัก หอสดับพิรุณวันนี้ออกจะเงียบผิดปกติ คราวนี้คนสำนักเต๋อซั่นไม่มาโผล่ที่นี่เลย 


 


 


เหตุผลหลักๆ ก็คือทั้งก่อนและในขณะการสอบชุนเหวยความประหลาดที่ซูหลีแสดงออกมาก่อนหน้านี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าคราวนี้ซูหลีคงจะสอบไม่ผ่านแน่แล้ว ดังนั้นการประกาศคะแนนการสอบชุนเหวยคราวนี้ คนสำนักเต๋อซั่นจึงไม่ได้มีใครออกมาดูอะไรสนุกๆ  


 


 


ในโถงรับแขกของหอสดับพิรุณล้วนแต่เป็นคนสำนักฉยงสือ 


 


 


ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งลอดเข้ามา น้ำเสียงดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


ทุกคนแทบจะหันหน้ามาอย่างพร้อมเพรียงกันก็มองเห็นซูหลียืนอยู่ตรงประตู 


 


 


ตอนนี้เป็นเวลาที่ดี ซูหลียืนอยู่ด้านหน้าแสงอาทิตย์ที่ลอดเช้ามา ยามเมื่อลมโบกพัด ชุดเบาบางบนร่าง ก็ทำให้เสื้อผ้าปลิวไสว ประหนึ่งทวยเทพที่มาเยือนโลกมนุษย์ ในห้องรับแขกตกอยู่ในความเงียบทันที 


 


 


ทุกคนมองซูหลีที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นตาค้าง ตกใจจนพูดไม่ออก 


 


 


“คุณชายป๋าย ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีใช่ไหม!” ซูหลีไม่สนใจคนอื่น นางขมวดคิ้วน้อยๆ สาวเท้าเดินไป 


 


 


ไม่เจอกันมานาน นับๆ ดูแล้ว ซูหลีหายตัวไปจากเมืองหลวงไปหลายเดือนเหมือนกัน 


 


 


จู่ๆ ซูหลีก็ปรากฏกายขึ้นเช่นนี้ กระทั่งป๋ายเฮ่อเองก็ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว  


 


 


“เจ้ามาทำอะไร?” ป๋ายเฮ่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเช่นนี้ออกมา 


 


 


“ฮ่า!” ทันทีที่เขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าซูหลีก็กว้างขึ้นมาก นางมองป๋ายเฮ่อด้วยใบหน้าจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม คลี่พัดในมือทันที นางโบกพัดสีทองที่แสนสะดุดตาของตนเองเบาๆ  


 


 


ยกขึ้นมาบังหน้าตนเอง เหลือเพียงดวงตาดอกท้อที่แสนเย้ายวนคู่หนึ่ง ส่องแสงเป็นประกายใต้แสงอาทิตย์ ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ  


 


 


“คุณชายป๋ายผู้สูงส่งขี้หลงขี้ลืมเสียจริง คงจะไม่ลืมเรื่องที่เราเดิมพันกันเอาไว้ใช่หรือไม่?” ซูหลีกลั้วหัวเราะพลางเดินไป 


 


 


หลังจากที่นางเดินมาแล้ว ป๋ายเฮ่อถึงได้พบว่า วันนี้ซูหลีพาคนมาด้วยไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


นอกจากสาวใช้ใบหน้างดงามสองคนด้านหลังแล้วยังมีองครักษ์สิบกว่าคน แต่ที่แปลกที่สุดก็คือในบรรดาองครักษ์เหล่านั้นในมือยังถือกล่องไม้แดงขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย 


 


 


ซูหลีเดินนำคนพวกนี้และกล่องขนาดใหญ่พวกนี้ทรุดตัวนั่งลงในโถงรับแขก 


 


 


ตรงข้ามเป็นกลุ่มคนสำนักฉยงสือ ส่วนฟากซูหลีคนก็ไม่น้อยเลยเช่นกัน แต่พอนับกันขึ้นมาจริงๆ แล้วมีแค่ซูหลีเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง 


 


 


ทันทีที่ซูหลีทรุดตัวนั่งลง เย่ว์ลั่วก็รินชาส่งให้ 


 


 


ท่าทางซูหลีสบายๆ บวกกับเย่ว์ลั่วเป็นสาวใช้งดงามขนาดนี้ ทันใดนั้นเองบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง กลบบรรยากาศที่กลุ่มคนของสำนักฉยงสือสร้างขึ้นทันที 


 


 


ป๋ายเฮ่อขมวดคิ้วมองซูหลี มักรู้สึกว่ากลายเดือนมานี้ไม่เจอซูหลี เหมือนนางจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย 


 


 


ก่อนนี้ตัวคนผู้นี้เองก็เพียงแค่ยโสโอหังเท่านั้น ใช้คำว่าเกเรน่าจะเหมาะสมที่สุดแล้ว 


 


 


คราวนี้พอดูๆ ไป ท่าทางต่างๆ ของนางเปิดเผยผ่อนคลาย ความโอหังในตอนนี้เหมือนว่าจะมีขีดจำกัดอยู่ หรือเรียกว่ายโสอย่างเปิดเผย! 


 


 


ทันใดนั้นเองป๋ายเฮ่อเห็นซูหลีที่เป็นเช่นนี้ก็พูดอะไรไม่ออก 


 


 


“เฮ้อ!” ซูหลีจิบชาจากนั้นจึงเอ่ยน้ำเสียงกระเซ้า “ชาที่เย่ว์เอ๋อร์ชงอร่อยที่สุดแล้ว!” 


 


 


“ซูหลี!” อีกฝ่ายกระเซ้าสาวใช้อยู่ตรงนี้ ส่วนบรรยากาศในหอสดับพิรุณก็เรียกความสนใจจากคนได้ไม่น้อย 


 


 


ซูหลีเหลือบตาขึ้นมอง แหม มีแต่คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น! 


 


 


ฉินมู่ปิง ยังมี…ฉินม่อโจว! ทั้งสองฉิน เดินเข้ามาพร้อมจี้ฉิน 


ตอนที่ 595 เจ้าสอบติดแล้ว


 


 


แต่ยังไม่เห็นพวกคนสำนักเต๋อซั่นที่มักจะติดตามพวกฉินมู่ปิงอยู่เสมอ


 


 


ซูหลีขมวดคิ้วน้อยๆ ยิ้มบางๆ “บังเอิญขนาดนี้เลย?”


 


 


“บังเอิญ?” จี้ฉินมองซูหลีอย่างคาดโทษและเอ่ย “ไหนเจ้าลองพูดให้ข้าฟังหน่อย ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่? ทำไมถึงไม่เจอเจ้าเลย!?”


 


 


ทันทีที่ซูหลีได้ยินเช่นนี้ ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ นางเหลือบตามองป๋ายเฮ่ออย่างกะทันหัน ใบหน้างดงามกระจ่างสดใส ยิ้มเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ถึงจะเป็นคนอย่างป๋ายเฮ่อก็ยังโดนซูหลีจ้องจนใจเต้นระรัวเร็ว ใบหน้าร้อนเห่อ


 


 


ปีศาจอย่างซูหลีอยากจะทำอะไรกันแน่?


 


 


“พี่จี้ท่านพูดไร้เหตุผล นานขนาดนี้ข้าจะทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่าย่อมอยู่บ้านตั้งใจอ่านหนังสือ เพื่อจะได้สอบผ่าน มิฉะนั้นต้องคุกเข่าร้องขอโทษคนอื่น หากเป็นเช่นนั้นคงจะน่าสงสารมากเลย ใช่ไหมเล่า?”


 


 


จี้ฉินได้ยินคำพูดที่ซูหลีหมายถึงก็เสสายตามองป๋ายเฮ่อที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้


 


 


พวกคนสำนักฉยงสือมองท่าทางซูหลี ด้วยใบหน้าหงุดหงิด


 


 


ถึงจะหงุดหงิด แต่คราวนี้พวกเขากลับไม่มีใครพูดเยาะเย้ยซูหลี


 


 


เพียงแต่เพราะพวกเขาไม่รู้ชัดเจนนักว่าคราวนี้ซูหลีสอบได้หรือไม่!


 


 


เมื่อครู่ตอนซูหลีเข้ามาก็ออกจะประหลาดมาก ซึ่งบังเอิญพอดีกับตอนที่ข้ารับใช้บอกว่าป๋ายเฮ่อสอบได้ คนจำนวนมากจึงไม่มีใครสังเกตเห็นอีกฝ่าย


 


 


ซูหลีก็เดินเข้ามา


 


 


อีกทั้งทันทีที่เข้ามาก็ทำท่าทางเย่อหยิ่งเช่นนี้


 


 


คนอื่นยืน แต่ซูหลีนั่งและพาคนจำนวนสิบกว่าคนที่มองแล้วนึกว่าท่อนไม้ คนไม่รู้คงคิดว่าซูหลีจะทำอะไร?


 


 


บวกกับการสอบชิวเหวยก่อนนี้ ทำให้บรรดาศิษย์ของสำนักฉยงสือพวกนี้ แต่ละคนก็เหมือนก็ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา มองประจันหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดหรือเยาะเย้ยอะไรในทันที


 


 


“เจ้าสอบติด?” ป๋ายเฮ่อมองซูหลีนิ่ง แววตาซับซ้อน


 


 


ที่จริงเขาไม่ได้คาดหวังอะไรในใจ หากเป็นเมื่อก่อนละก็เขาคงคิดว่าที่ซูหลีสอบเป็นจิ้นซื่อได้เห็นทีจะเป็นเรื่องตลกแน่!


 


 


แต่ดูท่าทางซูหลีในตอนนี้ บวกกับลำดับที่ซูหลีสอบได้ในรอบชิวเหวย เขาจึงลังเลเล็กน้อยแล้ว


 


 


อย่างไรเสียคราวก่อนซูหลีสอบได้เจี่ยหยวน ในการสอบข้าราชการเคอจวี่หลายครั้งหลายคราว คนที่สอบได้เจี่ยหยวนแล้วจะสอบไม่ผ่านการสอบชุนเหวยมีน้อยนิดนัก


 


 


แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสอบได้ลำดับที่ดีเสมอไป แต่เจี่ยหยวนจำนวนมากในเมืองหลวง ก็ยังต้องสอบให้ได้จิ้นซื่อด้วย


 


 


นี่ก็เป็นเหตุผลที่ป๋ายเฮ่อทำไมถึงได้มองซูหลีด้วยแววตาสับสน


 


 


ทันทีที่ซูหลีได้ยินเช่นนี้ นางพลันยิ้มน้อยๆ พอนางยิ้มออกมา ดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมเสน่ห์ ก็ยิ่งเย้ายวนมากขึ้น ดูผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก


 


 


อย่าว่าแต่พวกป๋ายเฮ่อเลย กระทั่งฉินมู่ปิงเองก็ยังรู้สึกได้ถึงความแตกต่างของซูหลี


 


 


ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่เดือน ทำไมซูหลีถึงได้ดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิม?


 


 


ฉินมู่ปิงจ้องซูหลีอย่างลึกซึ้ง ไม่พูดไม่จาอยู่นาน อารมณ์บนใบหน้าซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม


 


 


เรื่องที่เขาส่งรถเข็นให้ซูหลี แล้วซูหลีก็ถวายรถเข็นให้กับทางวัง ทำให้เขารู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าทำอะไรซูหลีไม่ได้


 


 


หลังจากคราวนั้น ฝ่าบาทก็ทรงสั่งให้ช่างฝีมือในวัง ทำของชิ้นนี้กระจายไปในหมู่ชาวบ้าน


 


 


อีกทั้งในราชสำนักยังชื่นชมซูหลีกันไม่ขาดปาก บอกว่าของชิ้นนี้คือสิ่งที่ซูหลีถวายให้


 


 


อีกทั้งในตอนที่เขาไม่ได้ตระเตรียมอะไร แต่มอบรถเข็นที่มีอีกคันในมือให้แก่บิดาของตนฉินเฮ่า รถเข็นคันนี้ก็ปรากฏขึ้นในร้านค้าต่างๆ ในเมืองหลวงแล้ว


 


 


และเพราะใช้ไม้ทำขึ้น ราคาจึงไม่สูงมากนัก ชาวบ้านจึงใช้ได้


 


 


จึงแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 596 ซูฮุ่ยหยวน!


 


 


แต่หลังจากเรื่องนี้แล้ว ซูหลีก็เริ่มอ่อนน้อมเก็บงำ จนหลังๆ มาทำให้คนอ่านไม่ออก จนถึงกระทั่งเงาก็ยังไม่เห็น!


 


 


ดูไปแล้วทั้งสองเรื่องนี้ไม่มีอะไรสัมพันธ์กันมากนัก แต่ฉินมู่ปิงเองก็เป็นคนฉลาด หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว เขาพบว่าซูหลีเป็นคนฉลาดนัก


 


 


ของดีๆ เช่นนี้ นางไม่แอบอ้าง ทวงบุญคุณ และถึงขั้นปกปิดตนเองเอาไว้


 


 


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงของนางก็ยังลือกระฉ่อนออกไป ในบรรดาชาวบ้าน พูดถึงซูหลีขึ้นมา ทุกคนต่างรู้สึกว่าคนผู้นี้คือโพธิสัตว์มาโปรด


 


 


สามารถช่วยให้คนขาด้วนเดินไม่ได้ ไม่ใช่โพธิสัตว์แล้วจะเป็นอะไร?


 


 


ทุกร้านค้าในเมืองหลวงมีรถเข็นกันทั้งนั้น ล้วนชื่นชมซูหลีกันทั้งสิ้น


 


 


ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนซูหลียังไม่ได้รับราชการด้วยซ้ำ ก็เรียกคะแนนจากชาวบ้านไปได้มากแล้ว อีกทั้งเพราะนางเก็บตัวเงียบไม่พบปะผู้คน คนจำนวนมากต่างหลงลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนนางเป็นคนอย่างไรและเคยทำอะไรมาบ้าง


 


 


จดจำได้เพียงแต่ความดีของนางเท่านั้น


 


 


จนถึงตอนเริ่มการสอบชุนเหวย การพนันของนางและป๋ายเฮ่อก็ถูกขุดคุ้ย คนจำนวนมากต่างดูแคลนนาง นางจึงได้ปรากฏตัวอยู่ในสายตาของผู้คน


 


 


ทว่ามีแค่ฉินมู่ปิงเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด ว่าซูหลีผู้นี้เป็นคนที่ชาญฉลาดอย่างที่สุด!


 


 


คนฉลาดขนาดนี้หากบอกว่าสอบได้ก็ถือว่าสมควรแล้ว และเป็นเรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรมากอีก


 


 


แต่ว่าคนเช่นนี้กลับเป็นอิสตรีนางหนึ่งเท่านั้น…


 


 


“เหอะ ข้าก็คิดว่าคุณชายป๋ายเป็นห่วงข้าหนักหนา คิดไม่ถึงว่าจะไม่รู้เรื่องที่ข้าสอบได้หรือไม่ คุณชายป๋ายท่านทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ!” ซูหลีเอามือทาบอกเอ่ยด้วยใบหน้าเจ็บปวด


 


 


ป๋ายเฮ่อตะลึงงัน…


 


 


ซูหลีนี่นับวันยิ่งเหลวไหลไปทุกที


 


 


“พวกเจ้าล่ะ? ก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ?” ซูหลีเหลือบตามองก่อนจะกลับมามีสภาพเป็นปกติ มองพวกฉินม่อโจวด้วยท่าทีนิ่งเฉย


 


 


ฉินม่อโจวประสานสายตากับนาง ใบหน้าชะงักนิ่งเล็กน้อยไม่ได้พูดอะไรออกมา


 


 


ซูหลีเหลือบมองใบหน้าเขา ทันใดนั้นเองก็ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มและเอ่ย “ดูแล้วไหวอ๋องของพวกเราคงจะรู้เรื่องแล้ว”


 


 


ทันใดนั้นเองแววตาของทุกคนต่างก็จับจ้องฉินม่อโจว


 


 


แต่ในแววตาฉินม่อโจวนั้นกลับมีเพียงแค่ซูหลี ใบหน้าเขาแปลกประหลาด นานกว่าจะเปิดปาก


 


 


“ยินดีด้วย!”


 


 


คำพูดแสดงความยินดีนี้ทำให้ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบทันที


 


 


มือที่วางไว้ข้างกายป๋ายเฮ่อ เปลี่ยนเป็นกำหมัดในทันที!


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่าซูหลีจะสอบได้แล้ว!


 


 


ทว่านี่ไม่ใช่ส่วนที่ตื่นเต้นที่สุด ที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลังจากที่ฉินม่อโจวพูดแล้วเขาก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยสำทับด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


 


“ซูฮุ่ยหยวน!”


 


 


ฮุ่ยหยวน!


 


 


เสียงจอแจดังขึ้นรอบบริเวณ


 


 


ฮุ่ยหยวนที่เรียกกันนั้นเป็นเพราะการสอบชุนเหวยเรียกอีกชื่อว่าฮุ่ยซื่อ ส่วนคนที่สอบได้ที่หนึ่งจะเป็นฮุ่ยหยวน ซึ่งหมายความว่ามารเจ้าเสน่ห์อย่างซูหลีสอบได้เจี่ยหยวนในการสอบชิวเหวย การสอบชุนเหวยในขณะนี้ก็เป็นฮุ่ยหยวน หากเข้าไปสอบในวังหลวงคงจะเป็น…


 


 


ทันใดนั้นเอง ใบหน้าคนจำนวนมากก็เปลี่ยนสีแล้วเปลี่ยนสีอีก แววตาที่มองซูหลี จากเหยียดหยามไปจนเหลือเชื่อหวาดกลัว จนสุดท้ายสับสนอย่างยิ่ง ท้ายที่สุดก็เริ่มหลบตา


 


 


เกรงว่าต่อให้ซูหลีไม่ก้าวหน้า แต่เพียงแค่ตำแหน่งฮุ่ยหยวนนี้ก็ทำให้อนาคตเรืองรองแล้ว


 


 


เรื่องต่างๆ ในโลกก็อัศจรรย์เช่นนี้ ก่อนนี้คนผู้นี้ยังทะเลาะวิวาท ลงพนันขันต่อกับพวกเขาอยู่เลย


 


 


แต่เพียงแค่ปรับตัวเพียงเล็กน้อยกลับสูงส่งจนพวกเขาไม่อาจเทียบเทียม


 


 


บางทีคงไม่อาจเอื้อมไปชั่วชีวิต!


 


 


เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสอบได้ฮุ่ยหยวน!



ตอนที่ 597 เงินทองที่สว่างสุกสกาว


 


 


“ท่านอ๋องเกรงใจเกินไปแล้ว ซูหลีมิอาจรับคำชื่นชมของท่านอ๋องได้” ซูหลียิ้มแต่ไม่พูดไม่จา ใบหน้าสดใส


 


 


เปรียบกับความสุขุมของนางแล้ว คนในบริเวณนั้นลุกลี้ลุกลนอย่างเหลือเกิน


 


 


นั่งไม่ติด นั่งไม่ติดกันจริงๆ


 


 


เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมามีพวกเขาบางคนเคยเสแสร้งทำท่าทางฉลาดต่อหน้าซูหลี ตอนนี้ดูๆ ไปแล้วเป็นเหมือนเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น ตลกที่พวกเขาโง่งมและไร้เดียงสา ทั้งยังตลกที่พวกเขาช่างไม่รู้อะไรทั้งสิ้น


 


 


เมื่อนึกขึ้นได้ว่าซูหลีเคยได้ป้ายฉยงสือมาครอบครอง เม็ดพลันเหงื่อผุดออกเต็มแผ่นหลังคนจำนวนไม่น้อย


 


 


การกระทำต่างๆ ที่ล่วงเกินซูหลีไป จะไม่เป็นอะไรจริงหรือ?


 


 


“จริงสิ รายชื่อออกมาแล้วนะ คุณชายป๋าย” ซูหลีนึกอะไรขึ้นมาได้ในทันทีจึงเหลือบตามองป๋ายเฮ่อ


 


 


ป๋ายเฮ่อสบตากับอีกฝ่าย กลับพบแต่ความลึกล้ำในแววตาซูหลี และสะท้อนใบหน้าตนเองที่ดูชั่วร้ายขึ้นมา


 


 


เมื่อเห็นป๋ายเฮ่อมองนางด้วยใบหน้าชั่วร้าย ซูหลียกมุมปากขึ้นและยิ้มเบาบาง “ยอมรับความพ่ายแพ้สิ!”


 


 


สีหน้าป๋ายเฮ่อดูย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก


 


 


เขาเองก็นึกถึงเดิมพันที่เคยตกลงกับซูหลี พูดไปแล้วเรื่องที่เขาต้องทำนั้น ที่จริงก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เปรียบกันไปแล้วเงื่อนไขที่ซูหลีรับปากต่างหากถึงจะขายหน้ากว่ากันมาก


 


 


แต่คนแพ้ก็ยังเป็นเขา!


 


 


กรอด! ป๋ายเฮ่อกำมือแน่น เพราะเขาใช้แรงมากจนเกินไป จนได้ยินเสียงกรอบแกรบบริเวณข้อต่อต่างๆ


 


 


“ช่วงนี้ข้าพอมีเวลาว่างอยู่ คุณชายป๋ายท่านมาสามารถมาทำตามเดิมพันได้ทุกเมื่อ อ้อจริงด้วยสิ” ซูหลีพูดตรงนี้ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก นางเลิกคิ้วพลางเอ่ย


 


 


“อย่าลืมใส่สื้อผ้าสีสดๆ หน่อยนะ ทำตัวให้มันครึกครื้นหน่อย ข้าเนี่ยชอบความสนุกสนาน ไม่ชอบความเงียบ ชอบสีสันฉูดฉาดไม่ชอบสีเรียบๆ” พูดพลางกวาดตามองป๋ายเฮ่อตั้งแต่หัวจรดเท้า ป๋ายเฮ่อใส่ชุดสีขาวนวลอยู่


 


 


สีหน้าป๋ายเฮ่อนั้นดำคล้ำเหมือนก้นหม้อเป็นถนัดใจ


 


 


“จำไว้หรือยัง?” ซูหลีกลับเหมือนสัมผัสความโกรธเกรี้ยวของเขาไม่ได้ แถมไม่พอยังสำทับขึ้นอีก


 


 


“ซูหลีเจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย!” เฉิงเค่อที่อยู่ข้างๆ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าคล้ำเครียด


 


 


ซูหลีกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา หลังจากทะเลาะวิวาทกันที่หอหร่วนเซียงเมื่อคราวก่อน ก็เพิ่งจะเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก เสียดายคนผู้นี้ไม่จำอะไรเสียเลย!


 


 


นางมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าทำเกินไปหรือไม่คุณชายป๋ายไม่เห็นพูดอะไรเลย คนสอบตกอย่างเจ้าพูดอะไรมากมายนักหนา!”


 


 


ใบหน้าเฉิงเค่อเปลี่ยนสีไปอย่างมหาศาล หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนางก็หัวเสียขึ้นมาในทันที ถลาไปหาซูหลีและเอ่ย “ซูหลี เจ้า…”


 


 


“คุณชายเฉิงรักษากิริยาด้วย” แต่ว่าเขาไม่แม้แต่จะแตะตัวซูหลี ก็ถูกทรวงอกแน่นขวางเอาไว้


 


 


เฉิงเค่อเหลือบตามองก็ไปประสานสายตาเข้ากับแววตาไร้อารมณ์ใดๆ ของชุยตาน


 


 


“เฉิงเค่อ!” ป๋ายเฮ่อเองอุทานเรียกชื่อเขา ทั้งฉินม่อโจวและฉินมู่ปิงต่างก็อยู่ที่นี่ด้วยหากมีแค่ฉินมู่ปิงล่ะก็จะลงไม้ลงมือก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่ฉินม่อโจวเองก็อยู่ด้วย ตอนนี้ไม่ควรจะมีเรื่องผิดใจอะไรกับซูหลี


 


 


เฉิงเค่อจ้องซูหลีเขม็ง ในแววตาเจือไปด้วยความเคียดแค้นอย่างบอกไม่ถูก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก่อเรื่องขึ้นมา


 


 


ซูหลีเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะขบขัน นางลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ยกมือขึ้นและปรบเบาๆ สองที


 


 


แปะ แปะ!


 


 


จากนั้นองครักษ์ที่นางพามาด้วยสิบกว่าคน ก็แบกกล่องไม้แดงที่นำมาด้วยก่อนหน้านี้เข้ามา และเปิดออก!


 


 


ทันทีที่กล่องนั้นเปิดออกทุกคนก็ต้องงุนงงไป!


 


 


เพียงในกล่องจำนวนสิบกว่ากล่องนั้นเป็นเงินตราที่เปล่งแสงแวววาว!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 598 ต้องขอบคุณทุกท่านด้วย


 


 


คนที่อยู่ในหอสดับพิรุณวันนี้ล้วนแต่ไม่ใช่คนธรรมดา


 


 


เช่นป๋ายเฮ่อเอย หรือจะจี้ฉินก็ตาม ทุกคนล้วนแต่เกิดมาในตระกูลที่สูงศักดิ์


 


 


หนำซ้ำยังมีอนุชาและพระราชนัดดาของฮ่องเต้ถึงสองคน


 


 


แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เงินในกล่องจำนวนสิบกว่ากล่องก็ทำให้พวกเขาตาพร่าลาย!


 


 


ขนาดฉินมู่ปิงที่เคยเจอเรื่องใหญ่ๆ มามาก เห็นเช่นนี้ยังเกร็งตัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงมองซูหลีด้วยความงุนงง


 


 


“ซูหลี นี่หมายความว่าอย่างไร?” ป๋ายเฮ่อเองก็ได้สติกลับมาเช่นกัน ในหัวซูหลีคิดอะไรอยู่กัน? ในเวลาเช่นนี้ การกระทำโอหังของอีกฝ่ายก็คงต้องปล่อยไป อย่างไรก็สอบได้ฮุ่ยหยวนแล้ว ถือได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องควรค่าให้ยินดีจริงๆ


 


 


แต่ว่า…


 


 


นี่ออกจะดีใจเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ?


 


 


ถึงขนาดดีใจจนให้คนมากมายเช่นนี้แบกกล่องที่เต็มไปด้วยเงินเดินเตร็ดเตร่ตามท้องถนน?


 


 


แถมยังจงใจวางตรงหน้าพวกเขา ซูหลีเป็นโรคอะไรกันแน่?


 


 


พรึ่บ! ซูหลีคลี่พัดในมือตนเอง ระบายยิ้มกว้าง นางเองก็รู้ว่าการกระทำของนางในตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับยาจกได้ทองแม้แต่น้อย แต่นางก็ไม่แยแสแม้แต่น้อย


 


 


“ว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณทุกท่านด้วยซ้ำไป!” นางโบกพัดในมือ ด้วยท่าทางปราดเปรื่อง


 


 


แน่นอนว่า…


 


 


การทำท่าทางหลักแหลมท่ามกลางกองเงินทองนั้นออกจะ…


 


 


หึ และยังเจือไปด้วยบางสิ่งที่บอกไม่ถูก


 


 


“หมายความว่าอะไร?” ฉินมู่ปิงกวาดตามองกล่องจำนวนสิบกว่าตรงหน้า คิดคำนวณในใจ แล้วก็ตกใจกับจำนวนแสนมหาศาล แล้วจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา


 


 


ซูหลีปรายตามองเขาน้อยๆ จากนั้นจึงยิ้มบางๆ “ก่อนสอบการสอบชุนเหวย ข้าได้ยินมาว่าบ่อนแต่ละที่ในเมืองหลวงได้จัดพนันขันต่อ ส่วนเรื่องที่เดิมพันกันก็คือ เรื่องของข้าและคุณชายป๋าย!”


 


 


นางเอ่ยเช่นนี้ คนฉลาดๆ ก็เข้าใจความหมายของนาง


 


 


เพียงแต่ว่า…


 


 


เข้าใจก็เข้าใจอยู่ แต่วิธีการของนางออกจะ ออกจะทำให้คนอื่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี!


 


 


“ซึ่งก็อาศัยใบบุญทุกท่าน เดิมข้านั้นไม่อยากจะพ่ายแพ้จนน่าอนาถเกินไป จึงร่วมลงวางเดิมพันกับเขาด้วย แต่ก็นะ แน่นอนว่าข้าต้องวางเดิมพันข้างตนเองอยู่แล้ว!”


 


 


เมื่อจี้ฉินได้ยินคำพูดซูหลี มุมปกก็กระตุกอย่างอดไม่ได้


 


 


ใต้หล้ามีคนเช่นนี้ด้วยหรือ รู้ว่าคนอื่นจัดพนันแถมพนันกันว่าตนเองจะแพ้ เจ้าตัวก็ยังจะอุตส่าห์ไปวางเดิมพันข้างตนเอง ก็ว่าหนักแล้ว ยังบอกว่าตนเองจะชนะเสียด้วย


 


 


นี่จะพูดอะไรดี…ในใต้หล้าผู้ที่กล้าแบกหน้าทำเรื่องเช่นนี้เห็นจะมีแต่ซูหลีคนเดียวเท่านั้น


 


 


วางเดิมพันข้างตนเอง แถมที่ร้ายกาจที่สุดก็คือนางชนะจริงๆ


 


 


จนได้เงินสิบกว่า**บไปครอบครอง!


 


 


“…” ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก


 


 


มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ทุกคนไม่อยากแม้แต่จะพูดกับซูหลี ‘คนต่ำต้อย’ ! แต่ไม่ใช่ ‘คนต่ำต้อย’ ผู้นั้นหรือ! ดูเอาเถอะว่าซูหลีทำอะไรลงไปบ้าง


 


 


บวกกับที่เจ้าตัวเองก็ซ่อนตัวอยู่หลายเดือนเพื่อจะหลบทุกคน ทำให้ทุกคนคิดว่าตัวซูหลีเองสอบไม่ผ่าน จากนั้นก็ไปวางเดิมพันว่าตนเองจะชนะพนันจนได้เงินของทุกคนมาหรือ!?


 


 


ซูหลีไม่ควรมาเข้าร่วมสอบอะไรพวกนี้ ควรจะไปทำธุรกิจเสียมากกว่า จะต้องร่ำรวยจนเป็นคหบดีของแคว้นแน่!


 


 


“เดิมข้าน้อยแค่ไม่อยากจะให้ตนเองน่าอนาถจนเกินไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีจนชนะเสียได้…” ซูหลีผายมือไปชี้รอบๆ กองเงินทองกองนั้น


 


 


“เยอะขนาดนี้เชียว!” ซูหลีเลิกคิ้วน้อยๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


“พูดไปแล้วก็เป็นเพราะทุกท่าน ซูหลีควรจะต้องขอบคุณทุกท่านถึงจะถูก!”


 


 


“…” ฝูงชนหมดคำจะพูด


 


 


ทำไมฟังแล้วคำพูดนี้ออกจะประหลาดเหลือเกิน


ตอนที่ 599 ให้ทุกท่านลองชมก่อน


 


 


คนอย่างซูหลีนี้ เอาเงินคนอื่นไปได้แล้วก็น่าจะพอ แต่ยังเอาเงินที่ได้มาโอ้อวดแถมขอบคุณทุกคนอีก!


 


 


นี่ออกจะ…


 


 


“ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ด้วยความตั้งใจเช่นนี้ ในใจก็ครุ่นคิดว่าเกิดเป็นคนจะต้องไม่เห็นแก่ตัวจนเกินไป!”


 


 


ซูหลีพูดด้วยท่าทีขึงขัง ฉินมู่ปิงก็เลิกคิ้วมอง หรือว่าเขาจะแบ่งเงินใน**บเหล่านี้ให้ทุกคนที่นี่?


 


 


หากแบ่งให้กันขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้เกิดแพร่งพรายออกไปในวันหน้าก็ไม่น่าฟังนัก ที่ซูหลีได้เงินมาเยอะขนาดนี้นั้นก็ทำให้คนเสียหน้ามากพอแล้ว


 


 


“โบราณว่าไว้ มีความสุขเพียงคนเดียวจะสุขเท่าร่วมยินดีไปกับคนอื่นได้อย่างไร!” ซูหลียิ้มอย่างพออกพอใจ อย่าบอกนะว่าจะแบ่งเงินพวกนี้ให้ทุกคนจริงๆ


 


 


แต่ซูหลีวางแผนอะไรเอาไว้กันแน่?


 


 


ทำเอาสนุกหรือ? หรือว่างจนไม่มีอะไรทำ ถึงได้ใช้วิธีเช่นนี้นำเสนอตัวเอง?


 


 


บางทีซูหลีอาจดีใจที่สอบได้ฮุ่ยหยวนจนเสียสติ ถึงได้เฉลิมฉลองโดยวิธีเช่นนี้!?


 


 


ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่ก็ทำให้คนรู้สึกเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือซูหลีเสียสติไปแล้ว!


 


 


เพราะนอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว


 


 


“ดังนั้นวันนี้ข้าน้อยถึงได้ตั้งใจนำเงินที่ชนะพนันนี้มา ให้ทุกท่านเชยชม ดีใจไปด้วยกัน!” หน้าผู้คนที่อยู่อีกฝั่งเปลี่ยนสี แต่ใบหน้าซูหลีกลับเรียบสนิทนิ่งเฉยขณะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา


 


 


อะไรนะ!?


 


 


แปลว่าที่พูดมาเสียยืดยาวก็คือหอบเงินกองใหญ่มาให้พวกเขาดูแค่นั้นสิ!?


 


 


“…” ทุกคนล้วนพูดไม่ออก


 


 


หรือซูหลีคิดว่าตนเองอายุยืนเกินไป ดังนั้นถึงได้จงใจหาเรื่องให้คนเกลียดกระมัง!


 


 


“อย่างไรเสียในนี้ย่อมต้องมีเงินของทุกท่านแน่ พวกมันเป็นอย่างไร จะไปไหน จะอยู่อย่างไร พวกท่านก็ควรต้องรู้สักหน่อย” ซูหลียื่นมือออกมมาหยิบเงินก้อนหนึ่งใน**บและเอ่ยกับมันอย่างลึกซึ้ง


 


 


แต่คนรอบบริเวณมองท่าทางเช่นนี้ของเขา สีหน้าซีดเผือดและดำคล้ำสลับไปมา ใบหน้าเหมือนถูกสีต่างๆ ป้ายหน้า ไม่น่ามองยิ่งนัก


 


 


“เรียบร้อยแล้ว!” แต่ซูหลีกลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพียงโบกมือและเอ่ย “ปิด**บเถอะ ทุกคนได้เห็นสิ่งควรเห็นกันหมดแล้ว”


 


 


จากนั้น**บใส่เงินจำนวนสิบกว่ากล่องนั้นก็ถูกปิดลงในทันที


 


 


“ข้าน้อยคงไม่อยู่นาน ทุกท่านเชิญดื่มกินกันให้สบายเถอะ!” ซูหลีประสานมือทำความเคารพฝ่ายตรงข้าม มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินหายลับไปจากครรลองสายตาพร้อมกับองครักษ์สิบกว่าคน ไม่สิ ต้องบอกว่า**บที่บรรจุเงินหลายสิบ**บต่างหาก


 


 


“…” กลุ่มคนยังคงไม่รู้ว่าควรจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด


 


 


ดังนั้นการที่อีกฝ่ายมาคราวนี้เพื่อให้พวกเขาเห็นเงินที่เสียไปของตนเอง จากนั้นก็จากไป!


 


 


ใช่! จากไปทั้งเช่นนี้!


 


 


ก่อนไปยังบอกให้พวกเขาดื่มกินให้สนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้ทิ้งเงินทองใดๆ เอาไว้ ไม่สิ กระทั่งเศษเหรียญยังไม่ทิ้งไว้แล้วจากไป!


 


 


ซูหลีคนนี้เสียสติจริงๆ!


 


 


ในเสี้ยววินาทีนั่นเองพวกคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของสำนักฉยงสือก็สบถคำหยาบคายในใจ


 


 


ไม่ใช่ว่าพวกเขาหยาบคายแต่ซูหลีคนนี้ทำให้คนหงุดหงิดจนกัดฟันกรอด!


 


 


น่ารังเกียจเสียจริงๆ!


 


 


แต่ว่าซูหลีที่โดนรังเกียจแสดงละครต่อหน้าคนพวกนี้แล้ว ก็หอบเอาของกลับบ้านบ้าน แต่คนที่กลับมาถึงพร้อมกับนางยังมีคนที่พากันมาแสดงความยินดีกับนางด้วย!


 


 


หลังจากที่นางจากไปแล้ว ฉินมู่ปิงก็ยังคงจ้องแผ่นหลังของนางอยู่เนิ่นนาน


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 600 การสอบในท้องพระโรง


 


 


ดูผ่านๆ คงเหมือนว่าซูหลีทำตัวเหลวไหล และนางก็ทำเช่นนั้นจริง แต่ฉินมู่ปิงมักรู้สึกเสมอว่าใน**บจำนวนนับสิบนี้ทำให้ซูหลีทำท่าเย่อหยิ่งได้ ถ้าบอกว่านางไม่มีแผนการอะไร ฉินมู่ปิงไม่มีทางเชื่อแน่


 


 


แต่นางทำเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร?


 


 


คงจะไม่ใช่แค่เพราะอยากจะป่าวประกาศบอกคนอื่นว่ามีเงินมากหรอกกระมัง?


 


 


……


 


 


ซูหลีที่ร่ำรวยเงินทองหอบ**บใส่เงินเหล่านั้นกลับบ้าน ให้คนดูแลรักษาเรียบร้อยแล้วจึงกลับไปที่เรือนของตนเอง ไม่รู้ว่าไปก่อเรื่องอะไรอีก


 


 


เพราะการสอบหน้าพระพักตร์กำลังจะเริ่มขึ้น ซูไท่เองก็ไม่กล้าไปรบกวน ทำได้เพียงส่งคนไปถามว่ามีอะไรที่ต้องการหรือไม่ แต่ซูหลีกลับตอบว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น


 


 


นางบอกว่าไม่ต้อง ซูไท่เองก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก จึงทำได้เพียงนิ่งเฉยเสีย


 


 


เพียงพริบตาก็ถึงวันที่ต้องไปสอบแล้ว


 


 


พูดไปแล้วการสอบเคอจวี่คราวนี้ควรจะเป็นการสอบเคอจวี่ครั้งแรกตั้งแต่ที่ฉินเย่หานขึ้นครองราชย์มา และเป็นการสอบครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีนี้


 


 


ในช่วงปีหลังๆ ก่อนสิ้นราชกาลของฮ่องเต้องค์ก่อน ทำให้ไม่สามารถจัดการสอบเคอจวี่เป็นระยะเวลาห้าหกปี จนได้จัดขึ้นหนึ่งครั้งในปีสุดท้ายของรัชสมัย ซึ่งทำให้พวกจี้ฉินได้เข้ารับราชการ


 


 


แต่ว่า…


 


 


การสอบเคอจวี่ครั้งนั้นทำให้เกิดเรื่องไม่งามขึ้น ถึงแม้หลังจากนั้นจะมีการพยายามทำให้เรื่องสงบลงแต่การสอบคราวนั้นก็ส่งผลกระทบไม่น้อยเลย


 


 


ดังนั้นหากนับกันขึ้นมาจริงๆ การสอบเคอจวี่ในปีนี้ถือได้ว่ายุติธรรมละเป็นทางการที่สุดแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ทรงถ่ายทอดกระแสรับสั่งแล้ว และให้จับตามองอย่างเข้มงวด ใครฝ่าฝืนคำสั่งต้องโดนลงโทษ!


 


 


คราวนี้จึงไม่มีใครกล้าสงสัยความยุติธรรมในการสอบครั้งนี้อีก ดังนั้นต่อให้คนเหลวไหลอย่างซูหลีจะสอบได้ฮุ่ยหยวน คนจำนวนมากก็ต้องเชื่อว่าซูหลีสอบได้ด้วยตนเองอยู่ดี!


 


 


การสอบหน้าพระพักตร์นี้ต่างจากการสอบการสอบชุนเหวยและชิวเหวย สถานที่สอบนั้นคือตำหนักอวิ๋นเซียวในวังหลวง คนไปสอบก็มีเพียงแค่สิบคนเท่านั้นเอง


 


 


ซูหลีมาถึงแต่เช้า และถูกขันทีในวังนำทางไปยังตำหนักอวิ๋นเซียว


 


 


นางมาไม่เช้าไม่สาย แต่คนที่เข้าร่วมสอบพร้อมนางมาถึงกันแทบครบแล้ว


 


 


ซูหลีกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าคนเข้าสอบพร้อมกันคราวนี้ ค่อนข้างสูงวัย ดูไปแล้วล้วนแต่มีอายุสามสิบกว่าทุกคน นางก้าวออกไปยืนด้านหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด


 


 


นางลูบจมูกและไม่พูดไม่จา เหลือบตามองก็เห็นคนคุ้นเคยเดินมา บนหน้านางก็แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มทันที


 


 


“พี่เซี่ย!” ซูหลีเรียกเซี่ยอวี่เสียน


 


 


“อาหลี” เซี่ยอวี่เสียนชะงักฝีเท้า จากนั้นจึงเดินมาหาซูหลี


 


 


ทันทีที่พวกเขาสองคนเปิดปากพูดคุยกัน ก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบๆ บริเวณทันที


 


 


ไม่มีสาเหตุอื่นใดอีก เห็นจะมีแต่ซูหลีและเซี่ยอวี่เสียนเท่านั้นที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้เข้าสอบคราวนี้ ทันใดนั้นเองคนรอบบริเวณก็กลายเป็นไม้ประดับ พวกเขาโดดเด่นจนเป็นเป้าสายตาเกินไปจริงๆ


 


 


“ไม่เจอกันตั้งนานพี่เซี่ยสบายดีหรือไม่?” ซูหลีมองเซี่ยอวี่เสียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางเองก็รู้ว่าเซี่ยอวี่เสียนเข้าสอบด้วย เพราะการสอบชุนเหวยคราวก่อน นางได้ที่หนึ่ง เซี่ยอวี่เสียนได้ที่สอง


 


 


เรื่องนี้ทำตกเป็นหัวข้อพิพาทอยู่ไม่น้อย เพราะในการสอบสองครั้ง เซี่ยอวี่เสียนตกเป็นรองซูหลีเสมอ โดนซูหลีบีบบังคับให้กลายเป็นรองอยู่เสมอ สมญานามอัจฉริยะลำดับหนึ่งในเมืองหลวงนี้ย่อมตกเป็นขี้ปากคน


 


 


ซูหลีฟังแล้วก็ไม่กล้าจะช่วยแย้งอะไร หากนางเสนอตัวออกมาปกป้องเซี่ยอวี่เสียน ตามนิสัยคนพวกนี้แล้วไม่รู้ว่าจะเอาไปบอกต่อจนกลายเป็นเรื่องอะไร


 


 


นางเห็นเซี่ยอวี่เสียนเป็นสหายย่อมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น



ตอนที่ 601 แววตาร้อนแรง


 


 


“อาหลี…”


 


 


“ฝ่าบาทเสด็จ!” ในตอนเซี่ยอวี่เสียนกำลังจะเปิดปากเอ่ย ใครจะรู้ว่าจู่ๆ จะมีเสียงขันทีดังขึ้น


 


 


ซูหลีสบตาเขาครู่หนึ่ง ทั้งสองชะงักนิ่งไปพร้อมกัน จากนั้นจึงคุกเข่าลงพร้อมกับผู้เข้าร่วมสอบทุกคนทันที


 


 


“ลุกขึ้น!” ชายภูษาสีเหลืองสะบัดผ่านหน้าซูหลีไป นางจ้องด้วยแววตานิ่งชะงัก ส่วนฉินเย่หานนั้นเดินไปบนบัลลังก์ในตำหนักอวิ๋นเซียวและทรุดตัวนั่งลง


 


 


ซูหลีลุกขึ้นยืน หลุบแววตา ทำเหมือนตนเองไร้ตัวตน


 


 


หลายเดือนมานี้นางไม่พบหน้าใคร รวมไปถึงฮ่องเต้ด้วย


 


 


ซูหลีเป็นคน แต่นางเองก็เป็นผู้หญิง มีสัมผัสที่หกและลางสังหรณ์ของผู้หญิง นางรู้สึกว่าฉินเย่หานทรงผ่อนคลายกับนางทุกที ซึ่งนี่สำหรับนางแล้วไม่ถือเป็นเรื่องดี ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงหลบหน้าเขาแทน


 


 


แต่วันนี้หลบหน้าไม่ได้จริงๆ!


 


 


อีกทั้งนางเองก็ตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเลย นางยังไม่ลืมยามเจอฮ่องเต้เมื่อครั้งก่อน คำพูดที่ทรงเตือนนาง หากวันนี้ฉินเย่หานเอาคืนวันนี้ จนทำให้นางสอบตกล่ะก็นั่นสิถึงจะแย่จริงๆ…


 


 


“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ล้วนแต่เป็นนักปราชญ์ เราปลาบปลื้มใจจริงๆ…” เสียงเล็กแหลมของหวงเผยซานดังกึกก้องทั่วตำหนักอวิ๋นเซียว ซูหลีชะงักนิ่งงัน เปิดเปลือกตาน้อยๆ และมองไปที่ตำหนัก


 


 


พอนางมองไป ก็สบประสานสายตาเข้ากับดวงตาดำสนิทราวบ่อลึกพอดี ใจซูหลีเต้นระรัวเร็ว รีบร้อนหลุบสายตาตนเองก้มศีรษะลงอีกครั้ง


 


 


ในตำหนัก ดวงตาฉินเย่หานไม่ละสายตาจากนางแม้แต่น้อย นี่ก็ออกจะ…


 


 


หวงเผยซานประกาศพระบรมราชโองการเรียบร้อยแล้วก็มีขันทีท่าทางหลักแหลมสองคนตั้งโครงขาตั้งขนาดใหญ่ ด้านบนขาตั้งนั้นแขวนม้วนกระดาษเอาไว้ซึ่งเป็นเนื้อหาที่จะต้องสอบในวันนี้


 


 


การสอบนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบความสามารถในการเขียนเรียงความ ยังทดสอบความสามารถในการตอบคำถามของพวกเขา


 


 


ในตอนนี้ซูหลีถึงได้สังเกตเห็นในตำหนักอวิ๋นเซียว นอกจากฉินเย่หานแล้วยังมีขุนนางคนอื่นยืนอยู่ด้วย แต่เพราะพวกเขาก้มหน้าก้มตาไม่ส่งเสียงอะไร จึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความน่าเกรงขามของฉินเย่หาน


 


 


พรึ่บ! ในตอนที่ซูหลียังสับสนอยู่นั้นเอง กระดาษคำถามก็ถูกเปิดออก


 


 


นางเหลือบตามอง ด้านบนนั้นเขียนอักษรขนาดใหญ่สามตัว


 


 


หลักธรรมของข้าราชบริพาร


 


 


ซูหลีตัวแข็ง ข้อสอบของฉินเย่หานนั้นง่ายอย่างมาก แต่เมื่อย้อนคิดอย่างละเอียดกลับพบว่าไม่ง่ายอย่างที่เห็น เพราะเขาให้คำจำกัดความมาไม่กี่คำ และไม่ได้ให้ขอบเขตมา จึงทำให้ตอบคำถามได้ยากเมื่อเจอกับหัวข้อที่กว้างขนาดนี้


 


 


คนข้างกายนางเองก็ย่อมมีความคิดเช่นเดียวกัน


 


 


จากนั้นหวงเผยซานจึงยกกระถางธูปทองคำแปดขาใบหนึ่งมา ในกระถางธูปปักก้านธูปเล็กๆ เอาไว้


 


 


“การสอบหน้าพระพักตร์ในราชวงศ์ต้าโจวปีที่สี่สิบเจ็ด เริ่มได้!” เมื่อหวงเผยซานเอ่ยจบ คนรอบบริเวณต่างเดินไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ และก้มหน้าก้มตาเขียนกันทันที


 


 


ซูหลีช้ากว่าคนอื่น นั่งลงเป็นลำดับสุดท้าย


 


 


นางมักรู้สึกได้ถึงแววตาร้อนแรงที่ไม่อาจมองข้ามได้จ้องตามนางมา ทำให้นางกระวนกระวายใจ จนช้าไปกว่าคนอื่นๆ


 


 


จนนางนั่งลงแล้วสายตาคู่นั้นก็ยังไม่ยอมเลิกรา


 


 


ยังเอาแต่จดจ้องนาง!


 


 


ซูหลีสูดลมหายใจเข้าปอดลึกปิดเปลือกตาลง พยายามบังคับตนเองไม่ให้ไปใส่ใจแววตาจาบจ้วงนั่น ครู่หนึ่งจึงเริ่มลืมตาและลงมือเขียนหนังสือ


 


 


ทันทีที่จรดพู่กันลงก็ไม่หยุดเขียน ลงมือเขียนจนเสร็จในคราวเดียว!


 


 


 


 


 


 


ตอนที่ 602 เป็นฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบไปหน่อยเลย


 


 


เมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ก็มีขันทีท่าทางหลักแหลม เก็บกระดาษคำตอบของพวกเขาส่งให้หวงเผยซาน แล้วหวงเผยซานจะเป็นคนนำขึ้นทูลเกล้าฮ่องเต้อีกที


 


 


ซูหลีเก็บพู่กัน ชันกายลุกขึ้นยืน มองนางกำนัลและขันทีเก็บโต๊ะเขียนคำตอบอย่างรวดเร็ว


 


 


ซูหลีเหลือบตามอง พลันประสานสบตาเข้ากับเซี่ยอวี่เสียน พวกเขาสองคนสบตากันด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


 


แต่ที่จริงเป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น แต่ในส่วนที่ซูหลีมองไม่เห็นนั้น มือเซี่ยอวี่เสียนกำเข้าหากันแน่น ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ ในตำหนักอวิ๋นเซียวกว้างอย่างยิ่ง ลมในยามวสันต์พัดเข้ามาจนหลังเย็นวูบ


 


 


การสอบหน้าพระพักตร์ไม่ใช่การสอบทั่วไป อนาคตภายหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับวันนี้ทั้งสิ้น


 


 


ในใจซูหลีรู้สึกตึงเครียดอยู่บ้าง แต่ความกังวลของตัวนางนั้นแตกต่างกับผู้อื่น นางกังวลใจว่าตนเองหลบหน้าพระองค์มานาน อาจจะทรงใช้เรื่องนี้เอาคืนนาง


 


 


ตึก ตึก ตึก! เสียงประหลาดดังลอยมาจากด้านข้าง ทำให้ซูหลีเหลือบมองอย่างเผลอไผล ก็เห็นบุรุษผู้ไว้หนวดโค้งงอนในชุดสีเทาอ่อน ร่างกายสั่นเทิ้ม


 


 


ใบหน้าซีดเผือด ราวกับจะเป็นลมสลบไสลได้ทุกเมื่อ


 


 


ซูหลีชะงักเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดไม่ได้


 


 


“เซี่ยอวี่เสียน” และในขณะนี้เอง ฉินเย่หานที่อยู่บนพระที่นั่ง จู่ๆ ก็ทรงเรียกหา


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยอวี่เสียนสาวเท้าออกไปด้านหน้า


 


 


ฉินเย่หานส่งม้วนกระดาษคำตอบในมือให้หวงเผยซาน แล้วหวงเผยซานจึงส่งต่อไปให้บรรดาข้าหลวงที่ยืนอยู่ด้านล่างอ่านต่อกันเป็นทอดๆ


 


 


เขาอ่านกระดาษคำตอบของทั้งสิบคนหมดแล้ว ที่เรียกหาในตอนนี้เพราะมีคำถามอยากจะถาม


 


 


การสอบหน้าพระพักตร์คราวนี้ต่างจากอดีตอย่างมาก เขียนคำตอบได้ดี ยังต้องตอบคำถามได้ดี ถึงจะโดดเด่น


 


 


แน่นอนว่าที่นี่มีทั้งหมดสิบคน แต่ฮ่องเต้คงไม่ตรัสถามหมดทุกคน


 


 


หลังจากเซี่ยอวี่เสียนแล้ว เขาก็ขานชื่ออีกคนหนึ่งขึ้นอีก ซูหลีมองไปที่บุรุษหนวดโค้งงอนผู้นั้นที่ตัวสั่นเทาข้างกายนางสาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นก้าวเท้าไปด้านหน้า แต่พอฟังคำถามจากฉินเย่หานแล้วกลับอ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน พลันแข้งขาอ่อน แล้วเป็นลมสลบลงไป


 


 


“เร็วเข้า รีบตามหมอหลวงมา! พาเขาไป!” หวงเผยซานได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วเขาเรียกองครักษ์รูปร่างกำยำหลายคนเข้ามายกตัวบุรุษผู้นี้ออกไป


 


 


“จิ๊ น่าสงสารนัก” ซูหลีแอบได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านข้าง


 


 


ในสายตาคนเหล่านี้ คนผู้นี้น่าสงสารจริงๆ ตรากตรำร่ำเรียนสิบกว่าปี กว่าจะมีวันนี้ไม่ง่ายเลย แต่กลับสลบต่อหน้าพระพักตร์ เท่ากับว่าเขาเสียโอกาสไปอย่างเปล่าประโยชน์!


 


 


และนี่ก็คือความเ**้ยมโหดของการสอบขุนนางเคอจวี่


 


 


ซูหลีจ้องมอง หลุบตาลงไม่พูดจา


 


 


หัวข้อการสอบวันนี้คือเรื่องหลักธรรมของขุนนาง หนึ่งในเงื่อนไขที่ข้าราชบริพารพึงมีนั้นคือต้องสามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้ ไม่ต้องถึงกับพูดได้ไหลรื่น แต่ถ้าขนาดพูดให้จบประโยคยังทำไม่ได้


 


 


เกรงว่าต่อให้คนผู้นี้เก่งกาจขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์


 


 


ยามเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรงพวกเขาไม่ได้เพียงต้องฟังเท่านั้น แต่หลายครั้งหลายคราวที่ขุนนางต้องพูด ส่วนโอรสสวรรค์เป็นผู้ฟัง


 


 


ดังนั้นถึงได้มีธรรมเนียมที่ฮ่องเต้ทรงซักถามเช่นนี้


 


 


จากนั้น…


 


 


ฉินเย่หานก็ถามต่ออีกสามคน


 


 


แต่ก็ไม่ได้ทรงถามซูหลี


 


 


อีกอย่างดูจากท่าทางฮ่องเต้แล้ว หลังจากถามทั้งสามคนแล้วก็เหมือนจะไม่ทรงตรัสอีก


 


 


ซูหลี…


 


 


เป็นถึงฮ่องเต้อย่าทรงใจแคบเลยได้ไหม?


 


 


มีเรื่องอะไร พวกเราแก้ไขเป็นการส่วนตัวไม่ได้หรือ?


 


 


จะต้องเมินเฉยใส่นางในยามสำคัญเช่นนี้ให้ได้เลยหรือไร!


 


 


“ฮ่องเต้ทรงตรัสถามเรียบร้อยแล้ว ใต้เท้าทุกท่านมีคำถามใดอยากถามหรือไม่?” หวงเผยซานเห็นท่าทีของนายเหนือหัวจึงเอ่ยออกมา


 


 


ทางด้านนั้นหวงเผยซานได้เห็นท่าทีของฝ่าบาทแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม