แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 578-584

ตอนที่ 578 แพะรับบาปกับตัดสินใจ

 

“ฝันร้ายเหรอ?” อวี๋หมิงหลางโอบไหล่เธอ แล้วเอามือทาบตรงหัวใจเธอ ตรงนั้นมีหัวใจที่กำลังหวาดกลัวหลบอยู่


 


 


“อืม ไม่เป็นไรหรอก ไม่กี่วันก็ดีขึ้น”


 


 


“ฝันว่าอะไรเหรอ?” ตอนที่เขากำลังมองหน้าเธอพลางครุ่นคิดอยู่นั้นอยู่ๆก็เห็นเธอดิ้นไปมา สีหน้าดูเจ็บปวด เขายังไม่ทันจะได้ปลุกเธอก็ตื่นขึ้นมาก่อน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอตื่นขึ้นมาสีหน้าดูทรมานมาก เขาเห็นแล้วก็ยิ่งปวดใจ


 


 


“ไม่มีไรหรอก ลืมแล้ว นอนเถอะ” เสี่ยวเชี่ยนหลบตา เธอไม่อยากพูดเรื่องนี้


 


 


“เสียวเหม่ย…”


 


 


“หืม?”


 


 


“คุณทำใจเชื่อผมเต็มร้อยไม่ได้ใช่ไหม?” คบกันมานานขนาดนี้เขายังทำให้เธอเชื่อใจเต็มร้อยไม่ได้เลยเหรอ?


 


 


“คนเรายังไงก็ต้องมีช่องว่างระหว่างกัน ต่อให้เป็นคนที่สนิทที่สุดก็ต้องมีพื้นที่ของตัวเอง”


 


 


คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้อวี๋หมิงหลางเม้มปากไม่พูดอะไร


 


 


เขาว่าเขารู้แล้วว่าต้องทำไง


 


 


หลังจากคืนนั้นอวี๋หมิงหลางก็ยังคงทำงานบ้าน การบ้านก็ไม่เคยหยุด แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ยังดูแปลกๆชอบกล


 


 


อาจเพราะช่วงนี้เขาชอบเงียบไปบ่อยๆ ระเบียงเป็นพื้นที่ในการใช้ความคิดของเขาไปแล้ว เสี่ยวเชี่ยนจำได้ว่าตอนที่เพิ่งคบกันไม่นานเขาเคยบอกว่าตอนทำบ้านใหม่ในอนาคตเขาจะทำห้องสำหรับเวลาครุ่นคิดไว้ในบ้าน


 


 


ตอนนั้นคิดว่าเขาล้อเล่น ตอนนี้ดูท่าจำเป็นต้องมีห้องแบบนั้นจริงๆ


 


 


ในช่วงเวลาที่คบกันที่ผ่านมา เธอกับเขาไม่มีเลยสักครั้งที่จะเป็นอย่างตอนนี้ อยู่ๆก็ได้มีเวลาพักร้อนนานๆมีเวลาได้อยู่ด้วยกันเยอะแยะ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเอาแต่เงียบ ตอนช่วงแรกที่เขาเพิ่งยืนคิดอะไรแบบนี้เธอยังอยากจะให้เวลาเขาคิดกับพื้นที่ส่วนตัวจนพอใจ


 


 


สถานการณ์นี้เกิดต่อเนื่องจนถึงวันที่สาม เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว


 


 


อวี๋หมิงหลางเล่นเกมใช้ความเงียบครุ่นคิดเกินสามวันแล้ว ฝันร้ายของเธอก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


เธอคิดไว้ว่าหลังเลิกประชุมจะมาคุยกับเขา


 


 


ประชุมกลุ่มสัปดาห์ละครั้งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักศึกษาระดับปริญญาโท-เอกหนีไม่ได้ ตอนเสี่ยวเชี่ยนไปถึงคนนั่งกันเต็มแล้ว มีแค่ที่นั่งตรงกลางสองที่ว่างอยู่ ตรงกลางสุดเป็นที่ของเถ้าแก่ใหญ่ ที่นั่งประจำของศาสตราจารย์หลิว ส่วนตัวที่อยู่ติดกันเป็นที่นั่งของเสี่ยวเชี่ยน


 


 


ถ้าเสี่ยวเชี่ยนไม่มาก็ไม่มีใครกล้านั่งตรงนั้น เพราะตรงนั้นใกล้ศาสตราจารย์หลิวมากที่สุด ปกติคนแรกที่ต้องอ่านรายงานก่อนก็คือคนนั่งตรงนั้น ศาสตราจารย์หลิวสนิทกับใครก็จะเอาใจใส่คนนั้นเป็นพิเศษ ชอบเล่นงานคนใกล้ตัวก่อน


 


 


ซึ่งนี่เองเป็นความสมบูรณ์แบบของประธานเชี่ยน เถ้าแก่ใหญ่เข้มงวดขนาดนี้ยังแทบหาจุดบกพร่องของเธอไม่ได้เลย ถ้าเป็นคนอื่นคงสติแตกไปนานแล้ว


 


 


นักศึกษาปริญญาโทที่เถ้าแก่ใหญ่ดูแลมีแค่เสี่ยวเชี่ยนคนเดียว คนอื่นๆล้วนเป็นรุ่นพี่ทั้งชายและหญิงที่เรียนปริญญาเอก ส่วนคนที่เหลือคอยติดตามเถ้าแก่เล็ก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหันมองที่นั่งของเถ้าแก่ใหญ่ที่ว่างอยู่ ครั้นแล้วจึงถามสาวน้อยหน้ากลมที่นั่งอยู่ข้างๆ “เสี่ยวฉาเถ้าแก่ใหญ่ล่ะ?”


 


 


คนที่นั่งข้างเธอเป็นนักศึกษาที่เถ้าแก่เล็กดูแลชื่อหลู่เสี่ยวฉา เป็นคนกินเก่ง มีดวงตากลมโตใบหน้ากลมเหมือนลูกแอปเปิ้ล เวลากินอะไรชอบยัดเข้าปากจนแก้มตุ่ย พกกระเป๋าสะพายข้างที่ข้างในมีแต่ของขบเคี้ยว


 


 


“ได้ยินว่ามีธุระไม่มาแล้ว ประธานเชี่ยนตอนเที่ยงไปกินบุฟเฟ่ต์กัน หน้ามหาลัยมีร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูอร่อยมากเลยนะ” คนช่างกินวันๆคิดแต่เรื่องกินอะไรกับกินที่ไหนดี


 


 


“ไม่ล่ะฉันมีธุระต่อ” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองที่นั่งของศาสตราจารย์หลิว เธอเดาว่าอาจารย์คงไปรักษาคนไข้


 


 


เธอให้อวี๋หมิงหลางมารับหลังประชุมเสร็จ ถึงตอนนั้นเธอคงได้คุยกับเขาอย่างจริงจัง


 


 


เวลานี้เถ้าแก่ใหญ่กำลังรักษาคนไข้อยู่จริงๆ เพียงแต่ ‘ผู้เข้ารับการรักษา’ คนนี้ค่อนข้างพิเศษหน่อย


 


 


“หมิงหลางมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”


 


 


อวี๋หมิงหลางนั่งอยู่ที่โซฟาของศาสตราจารย์หลิวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม


 


 


“น้าหลิวครับ อาชีพของน้าต้องเก็บข้อมูลคนไข้เป็นความลับใช่ไหมครับ?”


 


 


“ใช่สิ เธอคงไม่ได้มีปัญหาอะไรมานะ? อย่ามาล้อเล่นน่า พวกเธอมีตรวจสุขภาพจิตเป็นประจำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวได้รับสายจากอวี๋หมิงหลางระหว่างทางไปห้องทดลอง ถึงได้ยกเลิกกำหนดการไป


 


 


“ผมมีเรื่องจะขอร้องครับ หวังว่าการพูดคุยของพวกเราจะเป็นความลับ อย่าให้คนอื่นรู้ รวมถึงคู่หมั้นผมด้วย”


 


 


ถึงเขาจะพยายามสืบค้นข้อมูลเต็มที่แล้ว แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับสาขาจิตวิทยายังมีน้อยอยู่


 


 


เมื่อปัญหาอยู่ตรงหน้า อวี๋หมิงหลางเลือกที่จะไม่หลบ เผชิญหน้ากับอนาคต


 


 


“มีปัญหาจริงๆเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวสีหน้าเคร่งเครียดตาม


 


 


อวี๋หมิงหลางพยักหน้า “ผมเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน รบกวนน้าบอกด้วยครับว่าผมควรทำยังไง?”


 


 


“เธอ…?” ศาสตราจารย์หลิวมองซ้ายมองขวา สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย


 


 


อวี๋หมิงหลางพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ครับ ตอนนี้ผมเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจเรื่องชีวิตคู่ อยากจะหนี ไม่อยากแต่งงาน ทุกคืนผมจะฝันร้าย ช่วยบอกด้วยครับว่าควรทำไง?”


 


 


“อยู่ต่อหน้าจิตแพทย์ต้องจริงใจ เธอเป็นจริงๆเหรอ?” ดูเหมือนศาสตราจารย์หลิวจะเข้าใจอะไรแล้ว เธอดันแว่นตา


 


 


“ใช่ครับ”


 


 


เขาไม่มีทางบอกว่าเป็นเสี่ยวเชี่ยน


 


 


ตอนนี้เธอเป็นนักให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่มีใบอนุญาต แล้วจะบอกว่าเธอมีปัญหาได้ยังไง อวี๋หมิงหลางรู้ว่าศาสตราจารย์หลิวจะต้องสงสัย แต่ขอแค่เขายืนยันว่าตัวเองมีปัญหา ศาสตราจารย์หลิวก็ทำอะไรเขาไม่ได้


 


 


เขารู้นิสัยของศาสตราจารย์หลิวที่ไม่มีทางไปหาเสี่ยวเชี่ยนเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้แน่ ขอแค่เขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะช่วยให้เสี่ยวเชี่ยนเอาชนะปัญหาที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้แค่นั้นก็พอแล้ว ข้อมูลที่หาได้ผิวเผินจนเกินไป ไม่สู้ไปถามผู้เชี่ยวชาญโดยตรง


 


 


“เขารู้ไหมว่าเธอทำเรื่องพวกนี้เพื่อเขา?”


 


 


“ผมไม่ได้ทำเพื่อเขา ผมทำเพื่อตัวเองครับ”


 


 


“อ้อ?”


 


 


“ผมตัดสินใจเลือกเขาเพราะอยากให้เขามีความสุข ดังนั้นจึงอยากทำตามสัญญาซึ่งมันไม่เกี่ยวกับเขาครับ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกเขา น้าหลิวบอกผมมาก็พอครับว่าต้องทำไง”


 


 


“โรคหวาดกลัวการแต่งงานเป็นปัญหาจิตเวชที่เล็กมาก ปกติสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้มีสามประเภท ประเภทแรกคือมาจากความรู้สึกเก็บกดภายในรวมถึงเคยเจอเรื่องที่ทำร้ายจิตใจมาก่อน โดยเฉพาะคนที่พ่อแม่หย่ากันหรือเด็กที่ถูกพ่อแม่ปฏิเสธจะเจอปัญหานี้ได้ง่ายๆ ครอบครัวเธอมีความสุขดีใช่ไหม?”


 


 


เพื่อปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรัก อวี๋หมิงหลางพูดโกหกโดยไม่ต้องร่างคำตอบก่อน


 


 


“พ่อกับแม่ผมทะเลาะกัน เมื่อวานซืนผมโทรไปพ่อยังทะเลาะกับแม่อยู่เลยครับ พ่อบอกว่าแม่ไม่ยอมให้กินเหล้าอีกทั้งยังควบคุมอาหารการกินของเขา เขาบอกทนอยู่ไม่ได้แล้ว”


 


 


ศาสตราจารย์หลิวเกือบหัวเราะออกมา เพื่อปกป้องแฟนตัวเองถึงกับกล้าพูดแบบนี้ออกมา แต่เธอก็ยังเก็บอาการอยู่


 


 


“ยังมีอีกประเภท คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ ยอมขาดดีกว่าเกินแบบไร้ค่า เขาอยากได้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กังวลว่าถ้าแต่งงานแล้วชีวิตจะไม่สมบูรณ์แบบอีก”


 


 


“ใช่ครับ ผมอยากได้ความสมบูรณ์แบบ จะเมียจะลูกต้องพรั่งพร้อม ทางที่ดีอยากได้ลูกสาว อันที่จริงลูกชายก็ได้นะครับ”


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนคิดแบบนี้หรือเปล่า? อวี๋หมิงหลางไม่ค่อยแน่ใจ


 


 


ศาสตราจารย์หลิวอยากหากระจกให้อวี๋หมิงหลางส่องจริงๆ สีหน้าของเขาในเวลานี้มันเหมือนคนเป็นโรคกลัวการแต่งงานเหรอ? ควรเป็นโรคหื่นกระหายการแต่งงานมากกว่า ขาดอยู่แต่ข้อความเขียนบนหน้าว่า ตอนนี้พี่โคตรอยากแต่งงาน แต่งเสร็จก็อยากมีลูกเลย

 

 

 


ตอนที่ 579 ตลกขบขันกับชี้แนะ

 

“ประเภทสุดท้ายตัดทิ้งได้ มีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเด็ก ซึ่งก็คือเด็กที่อยู่ในใจยังไม่โต คนแบบนี้ก็เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานเหมือนกัน” 


 


 


“ไม่มีทางเด็ดขาด เขาเข้มแข็งมีความเป็นผู้ใหญ่มาก เป็นเหมือนร่มกันภัยให้กับครอบครัว” 


 


 


จิตสำนึกในความรับผิดชอบของเสี่ยวเชี่ยนถ้าจะบอกว่าเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่ง อวี๋หมิงหลางไม่คิดว่าเธอเป็นประเภทสุดท้าย 


 


 


“เขา?” หึหึ เผลอหลุดปากสินะ 


 


 


“ผม ผมบอกว่าตัวผมเข้มแข็ง น้าหลิวดูสิครับหน้าผมดูเป็นผู้ใหญ่จะตาย” 


 


 


อวี๋หมิงหลางทำหน้าเข้ม ศาสตราจารย์หลิวมองเขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกสองวินาที จากนั้นก็ลุกขึ้นเงียบๆ เดินไปยังห้องข้างๆแล้วปิดประตู ไม่กี่วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่น 


 


 


นี่คงเป็นเรื่องตลกที่สุดในช่วงนี้ ศาสตราจารย์หลิวเกือบคิดว่าอวี๋หมิงหลางมาเล่นเดี่ยวไมโครโฟนให้ดู ตลกชะมัด 


 


 


อวี๋หมิงหลางมุมปากกระตุก นี่เขาทำอะไรไปน้าหลิวถึงกับต้องทำแบบนี้? 


 


 


ในที่สุดศาสตราจารย์หลิวก็หัวเราะจนพอใจแล้วเดินออกมาพูดกับอวี๋หมิงหลางด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


“การรักษาโรคหวาดกลัวการแต่งงานจะว่าง่ายก็ง่าย พวกเราจะให้ผู้เข้ารับคำปรึกษาทำแบบทดสอบว่าเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานระดับไหน แต่ฉันว่าคำถามพวกนั้นเขาน่าจะจำได้หมดแล้วนะ ทดสอบเขาไม่ได้หรอก—” 


 


 


“ผมต่างหาก” อวี๋หมิงหลางแก้คำพูดอย่างจริงจัง 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกตอนนี้เหมือนตัวเองมีปฏิกิริยาโดยอัตโนมัติไปแล้ว พอเห็นอวี๋หมิงหลางทำหน้าเข้มเธอก็อยากจะหัวเราะ 


 


 


“โอเค ฉันรู้ว่าคำถามพวกนี้ทดสอบ ‘เธอ’ ไม่ได้ ดังนั้นเธอช่วยเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ให้ฟังได้ไหม?” 


 


 


“ช่วงนี้ฝันร้ายบ่อย ปกติไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ไม่ส่งผลต่อการทำงานกับการเรียน แต่ไม่ชอบคุยเรื่องแต่งงาน ผมคิดว่าน้าหลิวควรจะเปลี่ยนงานให้เสียวเหม่ยของผมได้แล้วครับ” 


 


 


“ไหนว่าเป็น ‘เธอ’ ที่ป่วยไง? ทำไมต้องพักงานนักเรียนของฉันด้วย?” ศาสตราจารย์หลิวพอได้ยินว่าฝันร้ายก็หน้านิ่วพลางครุ่นคิด 


 


 


อาการของเสี่ยวเชี่ยนร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ? ดูจากท่าทางตอนปกติก็ไม่เห็นเป็นอะไร วิทยานิพนธ์กับรายงานที่ส่งมาก็ไม่มีปัญหาเลยสักนิด อีกทั้งศาสตราจารย์หลิวยังฟังเธอจัดรายการทุกครั้ง ซึ่งทำได้ดีมากๆ 


 


 


“ก็เพราะช่วงนี้อาการของผมไม่ค่อยดีเลยอยากให้เขามาดูแล น้าหลิวหางานขยะแบบนั้นให้เขา วันๆต้องมานั่งฟังคนอื่นระบายอารมณ์ เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นจะดีเหรอครับ?” 


 


 


“อ่อ ฉันเข้าใจแล้ว เธอนี่นะ นักจิตวิทยามีมากมายไม่ไปถาม จะต้องมาหาฉันให้ได้ จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเรื่องนี้ใช่ไหมล่ะ?” 


 


 


ในที่สุดศาสตราจารย์หลิวก็เข้าใจแล้ว เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย พูดจาอ้อมโลก เขาใช้วิธีนี้เพราะมีสองจุดประสงค์ สื่อตรงๆอีกทั้งยังได้ผลเสียด้วย 


 


 


อวี๋หมิงหลางต้องไม่เชื่อใจในฝีมือของคนอื่นอย่างแน่นอน ไม่วางใจที่จะเอาปัญหาของแก้วตาดวงใจไปบอกคนอื่น ถึงได้เสี่ยงมาถามศาสตราจารย์หลิว ไม่เพียงแต่จะได้วิธีแก้ปัญหาที่เฉียบขาด อีกทั้งยังได้ลองเสนอเรื่องเปลี่ยนงานให้เสี่ยวเชี่ยนอีกด้วย 


 


 


“ผมไม่ค่อยอยากให้เขาทำงานแบบนี้ครับ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางคิดว่าสภาพอารมณ์ของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับงานที่ต้องช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่นทุกวันอย่างแน่นอน 


 


 


“ผมไม่เข้าใจ คนที่โทรเข้าไปพวกนั้นไม่ถือว่าเป็นโรคจิตเวชด้วยซ้ำ ก็แค่คนที่คิดไม่ตก ถ้าน้าหลิวอยากฝึกเขาทำไมไม่ให้เขาไปอยู่ที่ๆเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียนมาล่ะครับ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพอคิดว่าเบบี๋สุดที่รักของเขาต้องไปเป็นเหมือนกระโถนให้คนมาระบาย วันๆต้องมาฟังปัญหาคนอื่น ในใจเขาก็อึดอัด 


 


 


“สถานที่ที่ตรงกับสิ่งที่เรียนเขาต้องเจอปัญหาหนักกว่านี้เยอะ นายเล็กเธอรู้ไหม ตั้งแต่ฉันทำงานมาไม่เคยเจอเด็กคนไหนที่พรสวรรค์แบบนี้มาก่อนเลยนะ เด็กแบบนี้มาอยู่กับฉัน—” 


 


 


“น้าชอบทรมานคนเรื่องนี้ผมรู้ดี น้าชอบใครก็จะใช้งานคนนั้นให้หนัก ดูอย่างหัวหน้าใหญ่สิน้าเล่นเขาซะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก” 


 


 


ศาสตราจารย์หลิวเลือดขึ้นหน้าทันที “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ ตาแก่นั่นผอมเป็นเพราะฉันงั้นเหรอ? ฉันบอกแล้วว่าอย่าไปทำอวดเก่งต่อหน้าเด็กๆเขาก็ไม่ฟัง เป็นไงล่ะทำตัวเองจนเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว กินอะไรก็ไม่ลง แล้วจะโทษฉันได้ไง?” 


 


 


“เอ๋? เคล็ดขัดยอกเหรอ? ทำไมไม่เห็นเขาพูดเลย?” 


 


 


“ตาแก่นั่นกลัวเสียฟอร์มอย่างกับอะไรมีเหรอจะยอมบอกว่าบาดเจ็บจากการแข่งกับคนหนุ่ม เจ็บเสียจนร้องโอดโอยนอนไม่ได้ ข้าวปลาก็กินไม่ลง” 


 


 


หลังจากที่หัวหน้าใหญ่คืนดีกับศาสตราจารย์หลิวแล้วทั้งสองคนก็รักกันมากกว่าเดิม โทรหากันบ่อย เวลาที่ศาสตราจารย์หลิวไม่มีสอนก็จะไปหาเขา 


 


 


“แล้วทำไมน้าไม่ไปดูแลเขาล่ะครับ? เขาไม่ได้บอกพวกผมเลย” 


 


 


“ฉันยุ่ง เขาก็ใกล้กะ—” ศาสตราจารย์หลิวเกือบเผลอพูดออกไป คิดได้พอดีว่าเรื่องนี้เป็นความลับ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุย 


 


 


“เวลาฉันมองเสี่ยวเชี่ยนก็เหมือนกับหัวหน้าใหญ่มองพวกเธอ พรสวรรค์เป็นสิ่งที่มีค่ามาก กลัวว่าถ้าทำพลาดฉันจะทำของดีๆเสียหมด” 


 


 


“เหอๆ…”ตอนนี้ต่างกันตรงไหน ถึงขนาดไม่กล้าแต่งงานแล้วเนี่ย 


 


 


“จะเหอๆทำไม จะบอกให้นะ โรคหวาดกลัวการแต่งงานไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ถ้าแก้ไขถูกวิธีไม่นานก็เอาชนะได้ แต่เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล ตอนนี้สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วอุปสรรคไม่ได้อยู่แค่ในตำรา ที่ฉันให้เขาไปฝึกงานที่นั่นก็เพื่อช่วยกำจัดปีศาจในใจเขา” 


 


 


“แน่ใจเหรอครับ?” อวี๋หมิงหลางเบ้ปาก เขารู้สึกว่าหญิงสูงวัยคนนี้นี่แหละที่เรียกปีศาจในใจเสี่ยวเชี่ยนออกมา 


 


 


“ฉันรู้จักเสี่ยวเชี่ยนมานานแล้ว รู้ว่าเขาเคยถูกทำร้ายจิตใจ ถึงเขาจะปกปิดไว้อย่างดี แต่บาดแผลนั้นลึกเกินไป แล้วเขาก็ไม่ยอมให้ใครเห็นได้ง่ายๆ เก็บไว้แบบนี้ต่อไปไม่ดีกับเขา ไม่สู้ใช้วิธีที่นุ่มนวลบีบเลือดตรงบาดแผลออกมาจะยิ่งหายง่ายกว่า ถ้าเธอยังกล้าสงสัยในวิชาของฉันล่ะก็ ฉันจะไม่ให้หัวหน้าใหญ่—” 


 


 


“ไม่ให้หัวหน้าใหญ่อะไรครับ?” อวี๋หมิงหลางถามด้วยความสงสัย  


 


 


ศาสตราจารย์หลิวทำสีหน้าไม่บอกหรอก สีหน้าได้ใจใหญ่ 


 


 


ชิ ยัยป้าตัวแสบ อวี๋หมิงหลางไม่กลัวหรอก เขาเป็นลูกน้องที่หัวหน้าใหญ่ภูมิใจที่สุด แล้วหัวหน้าใหญ่จะถูกป้านี่เป่าหูกล่อมทุกคืนสำเร็จงั้นเหรอ? 


 


 


“ตอนนี้ฉันจะบอกวิธีรักษาให้ อันที่จริงไม่ถึงกับเป็นการรักษาหรอก เพราะจะบอกว่าเป็นโรคจิตเวชก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น งั้นพวกเราจะขอเรียกแนวทางต่อไปนี้ว่าการชี้แนะก็แล้วกัน ก่อนอื่นพอกลับไปเธอทำแบบนี้นะ…” 


 


 


โรคจิตเวชที่แท้จริงรุนแรงกว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงานเยอะ อาการที่อวี๋หมิงหลางปวดใจจนแทบทนไม่ไหว ศาสตราจารย์หลิวกลับมองว่ามันเป็นปัญหาขี้ปะติ๋ว 


 


 


หลังจากฟังศาสตราจารย์หลิวพูดจบอวี๋หมิงหลางก็ถามด้วยความสงสัย “ง่ายๆแค่นี้เองเหรอครับ?” 


 


 


“ง่ายๆแบบนี้นี่แหละ หนุ่มน้อย พอแต่งงานแล้วชีวิตมีความสุขอย่าลืมมาขอบคุณฉันล่ะ ถ้าไม่ได้ฉันยกเขามาไว้ตำแหน่งนี้ เอาปัญหาในใจเขามาขยายใหญ่ขึ้นแล้วรีบรักษา รอให้พวกเธอแต่งงานไปแล้วเกิดเรื่องขึ้น ปัญหาจะซับซ้อนกว่านี้มาก” 


 


 


หลักการก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างฉับพลันกับเรื้อรัง ถึงการกำเริบแบบฉับพลันจะหนัก แต่โดยทั่วไปก็ควบคุมได้ง่าย แต่หากเรื้อรังก็ยากที่จะกำจัดได้หมด  

 

 


ตอนที่ 580 เสียดแทงใจกับนัดดูตัว

 

 


 


 


อวี๋หมิงหลางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับวิธีที่ศาสตราจารย์หลิวให้มา พอออกจากที่ศาสตราจารย์หลิวแล้วเขาก็ไปรับเสี่ยวเชี่ยนเพื่อไปกินข้าวกลางวัน 


 


 


มื้อกลางวันพวกเขาฝากท้องกันที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูตรงข้ามมหาวิทยาลัย เถ้าแก่ของที่นี่ก็คือไห่เจาเพื่อนสมัยเด็กของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เดิมไห่เจาทำธุรกิจขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เมืองQ แต่ช่วงสองปีมานี้กำไรที่ได้น้อยลงเรื่อยๆ อีกทั้งยังต้องลงของเยอะ เขามองว่าไม่น่ารุ่ง อวี๋หมิงหลางจึงเสนอไอเดียให้เปิดร้านอาหารดู 


 


 


ร้านอาหารไม่ว่าจะตอนไหนขอแค่บริหารให้ดี คุณภาพใช้ได้ ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่มีลูกค้า เดิมจะเปิดที่เมืองQ แต่ที่เมืองQมีเถ้าแก่ร้านอาหารที่ทำอยู่ก่อนแล้วกิจการดีมากถึงสองคน เปิดที่นั่นคงเกิดยาก 


 


 


ดังนั้นอวี๋หมิงหลางจึงเสนอให้ไปเปิดเมืองข้างๆ ไม่เพียงแต่จะได้เลี่ยงเจ้าถิ่นในเมืองQ ยังได้ไปบุกเบิกตลาดอื่น ก็ยังมีข้อดีอยู่ 


 


 


“เพื่อนว่าที่นี่เป็นไงมั่ง?” ไห่เจากอดไหล่อวี๋หมิงหลาง ทั้งสามคนอยู่ในห้องส่วนตัว 


 


 


อากาศร้อนๆแบบนี้การได้อยู่ในห้องแอร์กินชาบูร้อนๆนับว่าเป็นการฟินอย่างหนึ่ง 


 


 


“เต็มไปด้วยกลิ่นเก่าๆผุพัง สมกับที่คนรสนิยมเชยๆทำออกมา” อวี๋หมิงหลางคีบลูกชิ้นให้เสี่ยวเชี่ยน ปากก็ยังไม่วายกัดเพื่อน 


 


 


“พูดเกินไปแล้วนะเว่ย ที่ฉันเชยแบบนี้ไม่ใช่เพื่อนายสองคนหรือไง? เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้อะไร ตอนที่เลือกทำเล—” 


 


 


“กิน” อวี๋หมิงหลางรีบยัดลูกชิ้นเข้าปากไห่เจาอย่างไว ไห่เจากัดโดยอัตโนมัติ แล้วก็ถูกลูกชิ้นวัวยัดไส้ระเบิดในปาก ดวงตาเบิกโพลง 


 


 


“อ๊าก….” 


 


 


อวี๋หมิงหลางแกล้งเพื่อนเก่งมาก ไห่เจาคิดว่าลิ้นคงสุกแล้ว 


 


 


“นายช่วยเขาเลือกทำเลเหรอ?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง เขายิ้มไม่พูดอะไร 


 


 


ทำเลที่นี่ดีมาก ใกล้มหาวิทยาลัย อยู่ไม่ไกลจากพื้นที่ที่กำลังพัฒนา มีคนผ่านไปผ่านมาค่อนข้างเยอะ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองเลือกกิน แต่ในความเป็นจริงเธอเลือกกินมากไม่ยอมกินข้าวโรงอาหาร ช่วงสองปีมานี้เวลามีเทศกาลหรือวันหยุดแม่อวี๋ก็จะพาพ่านพ่านมาที่นี่ แล้วถือโอกาสส่งข้าวให้เสี่ยวเชี่ยน เธอถึงได้ไม่ผอมลง 


 


 


อวี๋หมิงหลางฟังพี่รองบอก หลังจากต้าอีเตรียมตัวเรียนต่อปริญญาโทพ่านพ่านก็จะย้ายมาเรียนที่นี่ด้วย ถึงตอนนั้นแม่อวี๋ไม่มีทางมาทุกอาทิตย์แน่ แล้วใครจะส่งข้าวให้เสียวเหม่ยแสนน่ารักของเขาล่ะ? 


 


 


ถ้าไห่เจามาเปิดร้านอาหารที่นี่ ถึงตอนนั้นก็ให้พ่อครัวของไห่เจาทำอาหารให้เสี่ยวเชี่ยน ถึงข้างนอกจะมีร้านอาหารเยอะก็จริง แต่ช่วงนี้มีข่าวบ่อยไม่ใช่เหรอว่าขนาดร้านอาหารหรูยังใช้น้ำมันหมุนเวียน 


 


 


เป็นร้านที่เพื่อนเปิดค่อยวางใจได้หน่อย เขากำชับสั่งให้ทำอาหารดีๆบำรุงเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว มันเป็นการใส่ใจเล็กๆน้อยๆของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เขาคิดได้รอบคอบมากกว่าเธอเสียอีก เรื่องที่เธอยังนึกไม่ถึง แต่เขาคิดไว้หมดแล้ว 


 


 


ไห่เจาเห็นทั้งสองคนสบตากันหวานซึ้ง ก็พูดอย่างทนไม่ไหว 


 


 


“พวกนายนี่สุดยอดเลยว่ะ ทำลิ้นฉันพองในร้านของฉันแล้วยังมาทำลายความรู้สึกคนโสดอีก ว่ามาเลยแต่งเมื่อไร ฉันจะได้เตรียมเงินใส่ซองไว้ เห็นภาพบาดตาบาดใจมาหลายปี ควรจะแต่งได้แล้วไหม?” 


 


 


เขาเองก็รู้ว่าอวี๋หมิงหลางมาทำไม ก่อนหน้านี้ยังโทรมาให้เขาช่วยเลือกแหวนอยู่เลย? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนสตั๊น พอได้ยินคำว่าแต่งงานเธอก็ตัวแข็งโดยอัตโนมัติ 


 


 


“ไม่รีบ เขายังเด็ก ยังเป็นเบบี๋อยู่เลย กินลูกชิ้นนะเบบี๋อ้าม ระวังลวกปากนะ~” อวี๋หมิงหลางแสร้งทำเป็นไม่เห็นท่าทางเกร็งๆของเสี่ยวเชี่ยน เขาป้อนอาหารเธออย่างใจเย็น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทางแบบนี้ เธอมองเขาอย่างอึ้งๆ อวี๋หมิงหลางเป่าลูกชิ้นก่อนเอาใส่ปากเธอ 


 


 


“เด็กดี ค่อยๆกินนะ ไม่ต้องรีบ” 


 


 


ปากบอกไม่ต้องรีบ ค่อยๆกิน แต่ก็เหมือนกับพูดเรื่องแต่งงานว่าไม่ต้องรีบ เรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนคิดมาหลายวันได้ตกตะกอนแล้ว เธอรู้สึกโล่งใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตะหงิดๆ 


 


 


ท่าทางดูแปลก   ๆ 


 


 


อวี๋หมิงหลางมองสายตาเธอที่เหม่อลอย อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการวินิจฉัยของศาสตราจารย์หลิว 


 


 


โรคหวาดกลัวการแต่งงานฟังดูเหมือนหวาดกลัวการใช้ชีวิตคู่ แต่จริงๆแล้วมันมีทั้งความหวาดกลัวและการรอคอย 


 


 


เธอไม่ได้รังเกียจคนๆนี้ และรอคอยที่จะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน แต่รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับการต้องใช้ชีวิตคู่ในอนาคตนิดหน่อย อารมณ์ที่ขัดแย้งในตัวเองและสับสนแบบนี้ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน 


 


 


ถ้าให้เสี่ยวเชี่ยนไปชี้แนะคนที่เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ไม่กี่นาทีเธอก็วินิจฉัยออกมาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานหรือไม่ ก็เหมือนกับที่ศาสตราจารย์หลิวพูดว่านี่เป็นแค่ปัญหาเล็กๆ ไม่ถือเป็นโรคจิตเวชด้วยซ้ำ 


 


 


แต่บางอย่างเจ้าตัวยังไม่รู้ดีเท่าคนรอบข้างที่มองมา พอถึงตาตัวเองเธอกลับไม่รู้ตัว 


 


 


สายตาเหม่อลอยนั้นมองไปที่อวี๋หมิงหลาง ก่อนหน้านี้เขาอยากแต่งงานมากไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ๆมาบอกว่าไม่รีบ? อวี๋หมิงหลางมองเธอด้วยสายตาปลอบโยน 


 


 


“ของอร่อยไม่กลัวมาช้า รอนานแค่ไหนผมก็ยอม ตอนนี้ไม่พร้อมงั้นก็รอคุณพร้อมค่อยว่ากัน” 


 


 


“เสี่ยวเฉียง ฉัน…” เสี่ยวเชี่ยนอมลูกชิ้นแก้มตุ่ย เห็นแล้วน่ารักมาก เธอกำลังซาบซึ้งอวี๋หมิงหลาง เขาเอานิ้วจิ้มแก้มตุ่ยๆของเธอ 


 


 


“วางใจเถอะ กินเยอะๆ เรื่องที่คุณไม่อยากทำไม่มีใครบังคับคุณได้ ไม่ต้องคิดมาก คุณมีความสุขผมก็ดีใจ มา กินอีกหน่อยนะอ้าม~” 


 


 


“แค่กินลูกชิ้นต้องหวานเลี่ยนขนาดนี้มะ ฉันต้องไปบอกพ่อครัวหน่อยแล้วคราวหน้าพวกนายมาให้ใช้น้ำมันเก่า มือก็ไม่ต้องล้าง บาดใจจริงๆ…” 


 


 


ถึงไห่เจาจะไม่เข้าใจว่าอวี๋หมิงหลางกับเสี่ยวเชี่ยนเล่นโค้ดลับอะไรกัน แต่เขารู้สึกบาดใจ 


 


 


“ไอ้เล็ก เมื่อไรพี่สาวจะกลับ?” พอเห็นภาพบาดตาบาดใจของเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลาง ไห่เจาจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่เขาชอบ 


 


 


“อาทิตย์หน้า เขากลับบ้านพ่อแม่ฉัน เขาฝากให้ฉันมาบอกแกด้วย” 


 


 


ไห่เจารีบตัดสินใจเดี๋ยวจะกลับเมืองQทันที เขาต้องไปเตรียมการหน่อย เสี่ยวซีจะกลับมาแล้วต้องเตรียมของอร่อยๆให้เธอ แล้วก็กระเป๋ากับนาฬิกาที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ก็จะได้เอาไปให้ด้วย 


 


 


“ฝากมาบอกว่าอะไร?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางชี้ไปที่จานเปล่าหน้าเสี่ยวเชี่ยน แล้วทำท่าทางเจ้าเล่ห์ 


 


 


“แกดูซิเนี่ยเหมือนคนทำการค้าไหม? สายตาแย่มาก ไม่เห็นเหรอว่าผักชีในจานเสียวเหม่ยหมดแล้ว? กินชาบูไม่มีผักชีมันใช่เหรอ?” 


 


 


“ผมผิดไปแล้ว อะๆ ผักชี~” ไห่เจายืนขึ้นรีบยื่นจานผักชีให้ เพื่อที่จะได้ข้อมูลของเสี่ยวซีเขายอมปรนนิบัติ 


 


 


“เหล้า รินให้เต็ม” 


 


 


ตอนนี้อวี๋หมิงหลางได้ทีเอาใหญ่ แต่ใครใช้ให้ไห่เจามีเรื่องขอร้องเขาล่ะ 


 


 


เหล้าเต็มแก้วแล้ว ท่าทางพร้อมฟัง อวี๋หมิงหลางคาบไม้จิ้มฟันแล้วพูดอย่างสบายๆ 


 


 


“เขาให้ฉันมาบอกว่า อาทิตย์หน้าเขาจะกลับมาดูตัว ให้แกกลับไปช่วยเขา—” 


 


 


เพล้ง แก้วในมือไห่เจาหล่นลงพื้นแตกกระจาย 


 


 


เธอจะมาดูตัว แล้วยังจะให้เขาช่วยอะไร แก้วแตกกระจายเต็มพื้น แต่หัวใจเขาแตกละเอียดยิ่งกว่า ไม่มีชิ้นดี 


 


 


พอเห็นไห่เจาทำหน้าเหมือนใจสลายอวี๋หมิงหลางจึงพูดต่อ 


 


 


“เขาบอกว่าให้แกไปช่วยแกล้งเป็นแฟนเขาหน่อย” 


 


 


“โว้ย แกจะพูดจาให้ลีลาน้อยๆหน่อยไม่ได้หรือไงวะ” ไห่เจาโล่งอก ตกใจหมดเลย 


 


 


“ไห่เจาไม่ค่อยเหมาะมั้ง?” เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางเล่นซะสนุกเลยเอาบ้าง 


 


 


“ทำไมผมจะไม่เหมาะ? มีคนเหมาะกว่าอีกงั้นเหรอ?” ไห่เจาไม่ยอม 


 


 


อย่าว่าแต่แกล้งทำเป็นแฟนเลย ตัดคำว่าแกล้งทิ้งไป ไห่เจาก็ยังคิดว่าตัวเองเหมาะอยู่ดี 

 

 

 


ตอนที่ 582 หยามเหยียดกับอันตราย

 

ในสายตาของอวี๋หมิงหลาง เสี่ยวเชี่ยนเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมมาตลอด ยิ่งได้มาดูเธอทำงานใกล้ๆแล้วยิ่งรู้สึก การที่ศาสตราจารย์หลิวเอ็นดูเธอเป็นพิเศษใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขานั่งอยู่ในห้องผู้กำกับมองท่าทางเธอตอบคำถามของผู้ฟังที่โทรเข้ามาแล้วนึกถึงก่อนหน้านี้ที่ศาสตราจารย์หลิวบอกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ส่งเสี่ยวเชี่ยนมาฝึกงานที่นี่ ในใจก็ยิ่งรู้สึกเห็นด้วย 


 


 


ทุกคนต่างรอเธอแสดงความสามารถอันน่าทึ่ง ส่วนสิ่งที่เขาต้องทำก็คือคอยปกป้องให้ดอกไม้บานอย่างเงียบๆ 


 


 


“อ๊ะ…ทำไมอยู่ๆก็ปวดท้อง” ผู้กำกับเอามือกุมท้อง ส่วนเสียงโทรศัพท์ก็ดังไม่ขาดสาย เธอทำได้แค่มองอวี๋หมิงหลางด้วยความลำบากใจ 


 


 


“หมั้นเหม่ย ช่วยทำแทนพักนึงได้ไหม? ฉันท้องเสียน่ะ ขอไปห้องน้ำก่อน” 


 


 


หมั้นเหม่ย=คู่หมั้นเหม่ยเหวย 


 


 


อวี๋หมิงหลางพยักหน้า “ไปเถอะครับ” 


 


 


“ฉันจะสอนว่าทำไง” 


 


 


“ไม่ต้องครับ ผมจำได้ มีสายเข้าก็ทำแบบนี้…” อวี๋หมิงหลางพูดขั้นตอนอย่างรวบรัด 


 


 


ผู้กำกับทำปากเป็นรูปตัวO 


 


 


หมั้นเหม่ยสุดยอดมาก เห็นๆอยู่ว่าตลอดรายการเอาแต่จ้องเหม่ยเหวยที่อยู่ข้างในห้องกระจก รู้สึกว่าเขาแทบไม่ได้มองเธอด้วยซ้ำ แต่เขากลับพูดขั้นตอนทุกอย่างได้ถูกเป๊ะ ทำทั้งสองอย่างได้ในเวลาเดียวกันเลยนะเนี่ย 


 


 


เหม่ยเหว่ยวาดรูปไปพลางให้คำปรึกษาผู้ฟังได้อย่างดี คู่หมั้นของเธอก็จ้องเธอชนิดที่ตาไม่กระพริบแต่ในขณะเดียวกันก็สังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัวไปด้วย สองคนนี้มาคบกันได้ยังไงเนี่ย 


 


 


ผู้กำกับมองคู่รักคู่นี้ด้วยความทึ่ง ท้องก็ร้องโครกคราก เธอรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางกลายเป็นเด็กรับโทรศัพท์ชั่วคราว เขารู้สึกแปลกใหม่ดี 


 


 


คนฉลาดไม่ว่าทำอะไรแค่มองก็ทำเป็น เขารับโทรศัพท์สองสายอย่างคล่องแคล่ว เสี่ยวเชี่ยนขณะที่ทำรายการอยู่ก็คอยมองสถานการณ์ด้านนอกไปด้วย พอเห็นเขานั่งตรงที่ผู้กำกับจึงยกนิ้วโป้งให้เขา อวี๋หมิงหลางที่เอาหูโทรศัพท์แนบกับไหล่อยู่ยักคิ้วให้เธอ 


 


 


เวลามีสายเข้าจะมีไฟที่กล่องควบคุมจะกระพริบ อวี๋หมิงหลางจึงกดรับหนึ่งสาย 


 


 


“สถานีวิทยุการคมนาคมครับ ไม่ทราบว่าต้องการปรึกษาเรื่องอะไรครับ” 


 


 


ปลายสายเป็นเสียงผู้ชายวัยกลางคน เหมือนกำลังหายใจแรง ดูตื่นเต้นจนเกินเหตุ “ผม ผม ผมต้องการเหม่ยเหวย” 


 


 


ถ้าเป็นผู้กำกับคงฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายดูมีปัญหา แต่อวี๋หมิงหลางเป็นผู้ชาย จากมุมมองของผู้ชายได้ยินเสียงลมหายใจแรงกับน้ำเสียงดูตื่นเต้นแบบนี้ ทำไมมันเหมือน… 


 


 


พูดไปด้วยชักว่าวไปด้วย? 


 


 


อวี๋หมิงหลางหรี่ตา “คุณมีปัญหาอะไรครับ?” 


 


 


“ผม…ผมเจ็บปวดมาก ผมต้องการเหม่ยเหวย ผมต้องการเหม่ยเหวย” 


 


 


“ไปตายไป” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดจบก็วางสายทันที 


 


 


ไฟโกรธปะทุขึ้นในใจ 


 


 


ยิ่งนึกยิ่งหงุดหงิด เขาจึงกดเลื่อนดูเบอร์ที่เพิ่งโทรเข้ามาแล้วจำเอาไว้ เขามั่นใจว่าตัวเองคิดไม่ผิด คนๆนี้ทำเรื่องอย่างว่าพลางคิดถึงเมียเขาไปด้วย 


 


 


อวี๋หมิงหลางหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา แล้วกดเบอร์เมื่อครู่ ปลายสายมีผู้ชายรับ 


 


 


“เมื่อกี้ใครโทรมาครับ?” 


 


 


“นี่เป็นตู้โทรศัพท์สาธารณะ ผมได้ยินเสียงเลยมารับครับ” 


 


 


“ขอโทษนะครับไม่ทราบว่านั่นที่ไหน?” 


 


 


“ตรงข้ามโรงพยาบาลกลางครับ” เด็กหนุ่มพูดจบก็วางสาย 


 


 


อวี๋หมิงหลางยืนขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นสิบสองของสถานีวิทยุโทรทัศน์ ห่างจากตรงนี้ไปสองช่วงถนนก็คือโรงพยาบาลกลาง มองเห็นได้อย่างชัดเจน 


 


 


นี่ถึงกับมีคนใช้โทรศัพท์สาธารณะทำเรื่องโสมมโทรเข้ามาที่สายฮอตไลน์ 


 


 


อวี๋หมิงหลางจินตนาการถึงภาพนั้นแล้วก็โมโหสุดขีด แทบอยากจะไปตามล่าตัวคนๆนั้นแล้วกระทืบให้น่วม 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางท่าทางแปลกๆจึงตัดเข้าโฆษณาแล้วเดินออกมา 


 


 


“มีอะไรเหรอ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางหันไปหาเธอด้วยสีหน้าปกติ “เปล่า แค่เดินมาดูวิวน่ะ” 


 


 


“สายเมื่อกี้มีปัญหาเหรอ?” 


 


 


“ไม่นะ เข้าไปทำรายการเถอะ ไม่มีอะไรสักหน่อย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่สงสัยต่อ เธอเขย่งจุ๊บปากเขาแล้วกลับไปทำงาน 


 


 


เขาหันตัวไปยังด้านที่เสี่ยวเชี่ยนมองไม่เห็น ใบหน้าเคร่งขรึม สายตาอันเฉียบคมกวาดตามองยังถนนแต่ละเส้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


ในจุดที่เขามองไม่เห็นมีคนกำลังพฤติกรรมน่ารังเกียจรังแกภรรยาเขาในจินตนาการ เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ช้าเร็วต้องลากตัวมันออกมา 


 


 


หลังจากที่ผู้กำกับกลับมาก็รีบขอบคุณอวี๋หมิงหลางแล้วทำงานต่อ 


 


 


อวี๋หมิงหลางยืนมองแสงไฟด้านนอกตรงริมหน้าต่าง เขามองรถราผู้คนจากด้านบน หลับตาแล้วนึกถึงท่าทางของคนที่โทรมาเมื่อกี้ 


 


 


ฟังจากเสียงน่าจะเป็นผู้ชายอายุราว40 พูดจาติดสำเนียงท้องถิ่นเล็กน้อย เวลาแบบนี้เลือกที่จะใช้โทรศัพท์สาธารณะไม่ใช่โทรศัพท์บ้าน มีความเป็นไปได้สามอย่าง 


 


 


หนึ่งคือผู้ชายคนนี้มีครอบครัว ไม่กล้าโทรจากในบ้าน 


 


 


สองคือเขาไม่มีครอบครัว แต่ที่บ้านไม่ได้ติดตั้งโทรศัพท์ 


 


 


และอย่างสุดท้าย เขาเพิ่งเลิกงานหรือไม่ก็ยังไม่เข้างาน เลยออกมาโทรศัพท์ 


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าตัดข้อสองทิ้งได้ ตอนนี้การติดตั้งโทรศัพท์ราคาไม่แพง พูดจาติดสำเนียงท้องถิ่นก็แสดงว่าเป็นคนในพื้นที่ไม่ใช่คนที่อื่นเข้ามาทำงานเช่าบ้านอยู่ที่นี่ คนที่นี่ไม่มีทางถึงขนาดแย่จนไม่มีเงินติดตั้งโทรศัพท์ในบ้าน 


 


 


และการที่มาปรากฏตัวใกล้สถานีโทรทัศน์ในเวลาแบบนี้ ถ้าไม่ได้เข้างานกะกลางคืนแถวนี้ก็คงตั้งใจมาเพราะอยากอยู่ใกล้เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


อวี๋หมิงหลางเคยเรียนด้านจิตวิทยาของคนร้าย รู้ว่าคนบางคนชอบอะไรที่ตื่นเต้นแบบนี้ 


 


 


เลือกที่จะโทรศัพท์ทำอนาจารในที่สาธารณะแบบนี้ อีกทั้งยังอยู่ใกล้เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ เขาสงสัยว่าคนๆนี้เป็นพวกยิ่งหวาดเสียวยิ่งชอบ 


 


 


ขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังวิเคราะห์จุดประสงค์และสาเหตุของสายก่อกวนเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว ผู้กำกับก็กำลังโอนสายเข้าไปในห้องออกอากาศ 


 


 


ในขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังล้วงโทรศัพท์เตรียมจะโทรหาเพื่อนที่อยู่ที่นี่ เขาต้องการข้อมูลคนและรถที่เข้าออกโรงพยาบาลกลางเพื่อตามหาคนโรคจิตคนนั้น 


 


 


ถึงแม้คนๆนั้นจะยังไม่ได้พูดอะไรล่วงเกิน แต่เซ้นส์ของอวี๋หมิงหลางบอกว่า เขาต้องกระชากคนๆนี้มาอัดให้ได้ 


 


 


เมียของเขาจะปล่อยให้คนอื่นหยามเหยียดได้อย่างไร? 


 


 


“แม่ง” ผู้กำกับสบถออกมาแล้วดึงหูฟังออกจากหู 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเองก็เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าบึ้งตึง 


 


 


“ทำไมเป็นเขาอีกแล้ว ฉันสาบานเลยนะว่าเมื่อกี้ตอนคุยเขาไม่ได้พูดแบบนี้ อีกทั้งคราวนี้ไม่ใช่เบอร์เดิมด้วย” ผู้กำกับเองก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายกับเสี่ยวเชี่ยนยังไง 


 


 


งานของเธอคือช่วยเสี่ยวเชี่ยนคัดกรองสายที่โทรเข้ามา แต่สายก่อกวนเมื่อคราวก่อนโทรมาอีกแล้ว 


 


 


พอได้ยินน้ำเสียงปลายสายดูแปลกๆเสี่ยวเชี่ยนจึงรีบเปิดเพลงเพื่อกลบเกลื่อน แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายทำตัวน่าขยะแขยงใส่ 


 


 


“มีอะไรเหรอ?” อวี๋หมิงหลางเดินเข้ามาถาม 


 


 


“มีสายโรคจิตโทรเข้ามา บอกว่าจะเอามีดแทงฉัน” 


 


 


“จะต้องเป็นคนเดียวกับเมื่อคราวก่อนแน่ ทุเรศ น่าโมโหนัก ปล่อยไปครั้งนึงยังจะโทรมาอีก? แจ้งตำรวจเถอะ ควรไปจับตัวมาได้แล้ว” ถึงแม้ผู้กำกับจะทำงานในวงการนี้มานาน เจอคนที่คิดจะเอาเปรียบพิธีกรมาไม่น้อย แต่ไม่เคยเจอใครที่น่าขยะแขยงแบบนี้มาก่อน 


 


 


“ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกเหรอ?” อวี๋หมิงหลางหรี่ตา รู้สึกไฟโกรธปะทุมากกว่าเดิม นี่เสียวเหม่ยของเขาถูกคนทำเรื่องน่าขยะแขยงใส่หลายครั้งแล้วเหรอเนี่ย? 

 

 

 


ตอนที่ 583 ปรอทแตกกับแกล้งเพื่อน

 

“คราวก่อนก็มีคนโทรเข้ามาแบบนี้ ฉันสงสัยว่าเป็นคนๆเดียวกัน เสียงแบบนี้ฉันจำได้” เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากปิดบังอวี๋หมิงหลาง จึงเอาสิ่งที่รู้พูดออกมา 


 


 


“เสียงฟังดูแหบๆ ติดสำเนียงท้องถิ่นหรือเปล่า?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนงง “นายรู้ได้ไง?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรพร้อมสั่งผู้กำกับ 


 


 


“ขอเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อกี้หน่อยครับ ดูว่าเป็นเบอร์อะไร—ฮัลโหล ไงเพื่อนเก่าฉันอวี๋หมิงหลางนะ” 


 


 


ถ้าเขาอยู่ ห้ามมีคนมารังแกผู้หญิงของเขา 


 


 


“เหม่ยเหวย ให้แจ้งตำรวจไหม?” ผู้กำกับถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางโทรศัพท์แล้วส่ายหน้า 


 


 


“ให้เขาจัดการไวกว่าตำรวจอีก” 


 


 


ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ อวี๋หมิงหลางโทรหาเพื่อนที่อยู่ที่นี่ การที่เขาเรียกว่าเพื่อนเก่า 80-90%คงเป็นเพื่อนสมัยตอนเรียนทหารด้วยกัน รุ่นเดียวกันยศก็คงไม่ต่ำ ต่อให้ย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นก็คงไม่ธรรมดา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเดาถูก 


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังโทรหาเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนทหาร เพื่อนคนนี้ปีนี้เพิ่งย้ายมาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจสืบสวนพิเศษของที่นี่  


 


 


“เอาภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่บอกออกมาให้หน่อย ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นแมลงวันบินหนีออกไปได้” อวี๋หมิงหลางวางสาย ผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้างๆแอบกลัวกับท่าทางขึงขังของเขา หมั้นเหม่ยเป็นใครกันแน่ น่ากลัวจัง… 


 


 


“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่จะจับมันมาแล้วเราถีบไข่มันให้แตกเลย เรื่องเล็กไม่ต้องกลัวนะ” หมั้นเหม่ยรีบปรับสีหน้าจากจอมโหดกลายเป็นยิ้มหวานให้เสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ผู้กำกับเห็นแล้วดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า คนๆเดียวกันทำไมปั้นหน้าได้เยอะแบบนี้? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าอวี๋หมิงหลางกำลังปลอบเธอ ครั้นแล้วจึงยิ้มแบบมีเลศนัยให้เขา 


 


 


“ทำให้ดีๆล่ะ จับไอ้โรคจิตนั่นได้เมื่อไร เดี๋ยวฉันเลี้ยงแตงโม” 


 


 


แตงโม อวี๋หมิงหลางมีกำลังใจขึ้นทันที เพื่อแตงโมที่ใฝ่ฝัน เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย สู้โว้ย 


 


 


มีเขานี่ดีจริงๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าห้องออกอากาศอย่างสบายใจแล้วทำงานต่อจนเสร็จ ผู้กำกับเห็นแล้วก็อึ้งๆ เดิมเธอได้เตรียมใจไว้แล้วว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เหม่ยเหวยคงไม่มีอารมณ์ทำงานต่อแน่นอน คงต้องหยุดรายการแล้วเปิดเพลงแกล้งทำเป็นเครื่องขัดข้อง 


 


 


กลับนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะจิตใจเข้มแข็งขนาดนี้ เธอทำงานต่ออย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


ส่วนหมั้นเหม่ยที่อยู่ด้านนอกก็แทบไม่ได้หยุด ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีคนในเครื่องแบบก็มาถึง 


 


 


เครื่องแบบของตำรวจสืบสวนพิเศษเท่ห์มาก ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มบวกกับเสื้อกล้ามกันกระสุน สวมหมวกกันน็อค แต่งมาแบบเต็มยศ 


 


 


คนที่นำมารูปร่างสูงมาก สูงกว่าอวี๋หมิงหลางที่สูง185เซนติเมตรนิดหน่อย อย่างน้อยๆคง190 หน้าตาขึงขัง ดูแล้วเหมือนไปโกรธใครมา 


 


 


“หมิงหลาง” 


 


 


“ต้ากว่าง” 


 


 


อวี๋หมิงหลางกับผู้ชายคนนี้ต่างชกไหล่กันและกัน พอทั้งสองคนยืนด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฮอร์โมน เสน่ห์ทะลุปรอทแตก ผู้กำกับรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทัน 


 


 


ความรู้สึกที่เหมือนสองฮีโร่กำลังสนทนากันอยู่นี้ดำเนินอยู่แค่ไม่กี่วินาที จากนั้นบรรยากาศเหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ก็เริ่มแผ่ซ่าน 


 


 


“แกนี่ ทำไมพาคนมาเยอะแบบนี้ ติดอาวุธพร้อมด้วย?” ในมือของอวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่ามีปืนมาถืออยู่ตั้งแต่เมื่อไร ตำรวจนายหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างต้ากว่างรีบเอามือลูบปลอกใส่ปืนของตัวเอง ไม่รู้ว่าปืนหายไปตอนไหน 


 


 


“หัวหน้า เขาขโมยปืนผม” 


 


 


ต้ากว่างที่ถูกเรียกหัวหน้าส่งสัญญาณมือกับลูกน้องบอกให้ใจเย็นๆ 


 


 


“ถ้าเขาอยากขโมยจริงๆนายไม่รู้ตัวหรอก อีกอย่างอาวุธเครื่องมืออะไรของพวกเขาก็พร้อมกว่าพวกเรามาก เขาไม่สนใจปืนของพวกเราหรอก” 


 


 


นี่คือความจริง หัวหน้าหน่วย011ของทหารบกระดับA อาวุธยุทธโธปกรณ์ล้วนล้ำสมัยที่สุด อาวุธที่ผ่านมืออวี๋หมิงหลางล้วนเป็นรุ่นล่าสุด เบื้องบนให้งบกับเขาเยอะที่สุด 


 


 


อวี๋หมิงหลางเล่นปืนของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้า 


 


 


“ดูอาวุธของพวกนายก็ใช้ได้อยู่นะ แต่ปืนควรถึงเวลาบำรุงรักษาแล้ว เพื่อนเก่าเรียกมาช่วยงานนิดหน่อยเอง จะพกอาวุธมาทำไม แถมยังพาคนมาเยอะแยะ ทำแบบนี้ฉันจะติดค้างน้ำใจเอานะ” 


 


 


ต้ากว่างเบ้ปาก พลางทำหน้าอยากอาเจียน “อย่ามาพูดจาให้ตัวเองดูดีหน่อยเลย ตำรวจสืบสวนพิเศษอย่างพวกเราทำงานไปตามกฎหมาย จะเป็นไปได้ไงที่จะมาเพราะเรื่องส่วนตัวของนาย?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว 


 


 


“เกิดเรื่องเหรอ?” 


 


 


“อืม” 


 


 


ในความเป็นจริงต้ากว่างได้พาลูกน้องลาดตระเวนไปตามถนน พอได้รับสายจากอวี๋หมิงหลางก็เลยมา 


 


 


“ใช้คนของฉันไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม 


 


 


ทำน้ำเสียงเหมือนตัวเองดีเลิศอีกแล้ว หลินเจ๋อกว่างหัวหน้าตำรวจสืบสวนพิเศษรำคาญนิสัยนี้ของอวี๋หมิงหลาง ครั้นแล้วตำรวจที่ติดตามเขามาก็เห็นหัวหน้าตัวเองที่ปกติมีนิสัยเลือดร้อนชูนิ้วกลางขึ้น 


 


 


เอ่อ เกิดการท้าทายอีกแล้ว เจอหัวหน้าแบบนี้พวกเขาก็หมดหวังนะ 


 


 


แต่ผู้ชายคนนี้ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา—อวี๋หมิงหลางเก่งจริงๆ คำพูดเดียวก็ทำให้หัวหน้าโมโหได้ 


 


 


“ไม่จำเป็น ไม่มีพวกนายคิดว่าพวกเราทำคดีไม่ได้เหรอ? ฉันเหม็นขี้หน้าแกตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว วันๆเอาแต่คิดว่าตัวเองเก่ง” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเอามือปัดผมอย่างสบายๆ “ฉันก็ไม่ได้เก่งมากมายอะไร มากสุดก็แค่คะแนนวิชาวัฒนธรรมบี้นายซะแบนแต๊ดแต๋ วิชายิงปืน นัดเดียวเขี่ยนายทิ้งได้ ทดสอบการรบฉันก็เป็นที่หนึ่งตลอด ทิ้งที่สองชนิดไม่เห็นฝุ่น—อ้อ นายเป็นที่สองใช่มะ? เอ๊ะ ที่สองตลอดกาล ตอนนี้นายก็เป็นหัวหน้าแล้วนี่” 


 


 


ถ้าหลินเจ๋อกว่างไม่ได้อยู่ในเวลางานสวมเครื่องแบบเต็มยศแบบนี้ เขาอยากจะท้าสู้อวี๋หมิงหลางตัวต่อตัว 


 


 


“แต่วิ่งระยะสั้นฉันทำนายเป็นหมาได้เลยนะ ฮ่าๆๆ” 


 


 


“เก่งนักก็มาวิ่งห้ากิโลสิ โอ๊ะ มีครั้งหนึ่งใครบางคนวิ่งจนขาดใจ ใครแบกไปถึงเส้นชัยนะ?” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างหัวเราะไม่ออก 


 


 


เขาก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว “นายไม่เคยเล่นบาสชนะฉัน” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเองก็ไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะเพื่อนในทีมฉันมันเป็นหมู นายเล่นหมากล้อมเคยชนะฉันไหมล่ะ?” 


 


 


“ฉันกินข้าวเร็วกว่านาย” 


 


 


“ขอให้กินข้าวไม่เคี้ยวจนเป็นกระเพาะอักเสบ” 


 


 


“ฉันฉี่ได้ไกลกว่านายอีกฮ่าๆๆ” 


 


 


ตำรวจสองนายที่มากับหลินเจ๋อกว่างหันตัวหนีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเป็นไม่รู้จักหัวหน้า 


 


 


น่าขายหน้าที่สุด 


 


 


นี่มันเรื่องไร้สาระสิ้นดี ช่วงแรกก็ยังพอทน แต่หลังๆนี่อะไรวะ? เรื่องฉี่ได้ไกลกว่าไม่ใช่พวกเด็กมอต้นทำกันเหรอ? 


 


 


เด็กจริงๆ 


 


 


ขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังจะยกเรื่องขึ้นมาสู้ต่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าเสี่ยวเชี่ยนเสร็จงานแล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน ทันได้ยินเรื่องที่ต้ากว่างพูดว่าแข่งฉี่ 


 


 


ผู้ชายที่มีมันสมองฉลาดกว่าผู้ชายที่มีแต่พละกำลัง ครั้นแล้วอวี๋หมิงหลางจึงรีบทำสีหน้าเหยียดๆแล้วเดินไปทางเสี่ยวเชี่ยน แบ่งแยกกับคนโง่คนนั้นอย่างชัดเจน 


 


 


“ขับถ่ายเรี่ยราดสกปรกจริงๆ เสียวเหม่ยวางใจได้ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน ผมเป็นผู้ชายที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ต่อให้เป็นสมัยเรียนผมก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก”  

 

 


ตอนที่ 584 พี่น้องกับไขคดี

 

หลินเจ๋อกว่างรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ตอนที่เขาอวดเรื่องแข่งฉี่ถูกสาวสวยได้ยินเข้าแล้ว นี่มันน่าอายที่สุด 


 


 


ครั้นแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็ได้เห็นใบหน้าแดงกล่ำด้วยความเขินอายของผู้ชายร่างกำยำสูง190เซนติเมตร 


 


 


“ขอแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการนะ เสียวเหม่ย นี่คือเพื่อนเกรดต่ำสมัยเรียนทหารด้วยกันที่ผมไม่ทันระวังไปรู้จักเข้า เขาชื่อหลินเจ๋อกว่าง เพศชาย อายุไม่ถึง40—” 


 


 


“อวี๋หมิงหลางแกอย่าพูดมั่วๆ เถิบไปเลย” หลินเจ๋อกว่างผลักอวี๋หมิงหลางออก แล้วยื่นมือไปหาเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“ผมเพิ่งจะ30 อย่าไปฟังเขานะครับ” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างเรียนทหารรุ่นเดียวกับอวี๋หมิงหลาง ทั้งสองคนต่างเป็นคนที่เรียนเก่ง แข่งขันเรื่องเรียนกันมาตลอด 


 


 


หลินเจ๋อกว่างจะถนัดเรื่องวิ่งระยะสั้นกับรายการที่ต้องใช้กำลังหนักๆอย่างพวกชกมวยมากกว่าอวี๋หมิงหลาง แต่อวี๋หมิงหลางจะเหนือกว่าเขาเรื่องยิงปืนกับบัญชาการ เอาเป็นว่าทั้งสองคนต่างเขม่นใส่กัน แต่คนภายนอกกลับรู้สึกว่าการที่พวกเขาสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้นมันแฝงไปด้วยความรู้สึกเหมือนพี่น้องที่ยากจะบรรยายออกมา เพียงแต่ทั้งสองคนต่างไม่ยอมรับก็เท่านั้น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางที่พวกเขาต่อล้อต่อเถียงก็วิเคราะห์ได้ทันทีว่า ผู้ชายร่างสูงคนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับอวี๋หมิงหลางอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงเออออตามอวี๋หมิงหลางไป รักษาคำพูดระดับเดียวกับอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เธอยื่นมือออกไปจับมือของหลินเจ๋อกว่างอย่างเป็นกันเอง ใบหน้ามีรอยยิ้ม 


 


 


“คุณจะต้องเป็นเพื่อนที่สนิทมากของคู่หมั้นฉันแน่ๆ สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยน เป็นคู่หมั้นของอวี๋หมิงหลางค่ะ” 


 


 


ความเป็นกันเองของสาวสวยตรงหน้าทำให้หลินเจ๋อกว่างเขินมาก เสี่ยวเชี่ยนสังเกตผู้ชายคนนี้ดูก็รู้สึกว่าน่าสนใจ ลักษณะภายนอกออกจะดูน่าเกรงขาม แต่เขากลับหน้าแดงกล่ำ 


 


 


เป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งสินะ 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณต้องฟังดีๆนะ ได้ยินไหมเขาบอกว่าตัวเองสามสิบแล้ว? โตกว่าผมแต่กลับเรียนรุ่นเดียวกัน จิ๊ๆ ไม่รู้ว่าเรียนซ้ำชั้นมากี่ปี?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดอย่างเจ็บแสบ 


 


 


หลินเจ๋อกว่างหน้าบึ้งหันไปโวยวาย “แกคิดว่าคนอื่นเขาจะเข้าเรียนเร็วเหมือนพวกผิดมนุษย์แบบแกเหรอ? คนสวย คุณอยู่กับผู้ชายใจแคบแบบนี้คงเหนื่อยมากใช่ไหมครับ? ไอ้หมอนี่แค่กลอกตาก็แผนเต็มสมอง อันที่จริงตำรวจสืบสวนพิเศษมีที่โสดๆเก่งๆเยอะเลยนะครับ ตัวผมก็ด้วย สนใจจะเปลี่ยนคู่หมั้นไหมครับ?” 


 


 


“หลบไป เอาอุ้งเท้าของแกออกจากมือสวยๆของผู้หญิงของฉันไป อย่ามาคิดยุให้พวกเราแยกจากกัน ผลการเรียนของเสียวเหม่ยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉัน เรียนป.ตรีจบภายในสองปี คนสมองฉลาดระดับนี้แกคุยกับเขาไม่รู้เรื่องหรอก” 


 


 


พอได้ยินว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนหัวดี หลินเจ๋อกว่างก็ยิ่งรู้สึกเลื่อมใส หันไปพูดกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างจริงจัง 


 


 


“ผมรู้สึกชื่นชมคนเรียนเก่งเป็นพิเศษครับ คุณจะต้องฉลาดมากแน่ๆ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้ “ตรงนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุย พวกเราเปลี่ยนไปคุยที่อื่นไหมคะ? ฉันคิดว่าพวกคุณคงมีอะไรอยากจะถามฉัน” 


 


 


“คุณรู้จุดประสงค์ที่พวกเรามาด้วยเหรอครับ?” หลินเจ๋อกว่างจำได้ว่าตอนที่เขาคุยธุระกับอวี๋หมิงหลางเธอยังไม่ออกมา 


 


 


“คู่หมั้นของฉันไม่ใช่คนที่จะใช้อำนาจกับเรื่องส่วนตัว นิสัยแบบเขาก็คงคบเพื่อนแบบเดียวกัน ดังนั้นการที่พวกคุณมาคงไม่ได้แค่เพื่อช่วยเขา จะต้องมีเรื่องขอความร่วมมือจากพวกเราอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราย้ายไปนั่งคุยกันดีๆเถอะค่ะ” 


 


 


ปากของหลินเจ๋อกว่างเป็นรูปตัวO เขาคิดว่าอวี๋หมิงหลางเป็นคนช่างสังเกตเก่งแล้ว นี่ผู้หญิงของเขายังเก่งกว่าอีกเหรอ? 


 


 


อวี๋หมิงหลางโอบเสี่ยวเชี่ยนอย่างภูมิใจ “ผู้หญิงของฉันเจ๋งปะล่ะ?” 


 


 


“สุดยอดเลย…น่าเสียดายที่เป็นแฟนแก…” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างหลบขาอวี๋หมิงหลางที่ฟาดมา แล้วส่ายหน้าเยาะเย้ย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางของพวกเขาก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ผิด คนๆนี้จะต้องเป็นเพื่อนที่สำคัญมากของอวี๋หมิงหลางแน่ ถึงปากของพวกเขาจะไม่ยอมรับก็เถอะ 


 


 


บนรถลาดตระเวนของตำรวจสืบสวนพิเศษ หลินเจ๋อกว่างได้บอกถึงจุดประสงค์ในการมาของตัวเอง 


 


 


“ช่วงนี้ที่นี่เกิดคดีอุกฉกรรจ์คดีหนึ่ง คนร้ายใช้มีดทำร้ายใบหน้าของเหยื่ออย่างร้ายกาจ” 


 


 


เพื่อป้องกันการสร้างความตื่นตระหนก คดีนี้จึงถูกปิดข่าวไม่ให้คนนอกล่วงรู้ แต่เบื้องบนได้ให้ความสำคัญจัดตั้งทีมสืบสวนขึ้นมา ใช้ตำรวจเป็นจำนวนมากในการสืบเรื่องนี้ หลินเจ๋อกว่างได้รับคำสั่งให้ออกลาดตระเวน 


 


 


“นายสงสัยว่าคนที่โทรหาคู่หมั้นฉันเกี่ยวข้องกับคดีนี้เหรอ?” อวี๋หมิงหลางคิ้วขมวด 


 


 


“ฉันได้ยินแกบอกว่าคนๆนั้นเคยพูดในโทรศัพท์ว่าจะใช้มีดแทง ก็เลยลองคิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ช่วยเล่าทุกอย่างที่รู้ให้ฟังหน่อย” 


 


 


เวลาหลินเจ๋อกว่างทำคดีจะจิตใจจดจ่อมาก 


 


 


“คนๆนี้เมื่อก่อนเคยโทรหาฉัน คราวก่อนที่โทรมาพอพูดว่าจะใช้มีดฉันก็กดตัดสายทันที ครั้งนี้ยังโทรเข้ามาอีก แล้วก็พูดว่าจะเอามีดกรีดหน้าฉัน ตอนเขาพูดฉันเปิดเพลง ผู้ฟังไม่ได้ยินแต่ฉันได้ยิน ตอนเขาพูดมีเสียงลมหายใจถี่ๆ ฉันสงสัยว่าเขาคงกำลังทำเรื่องไม่ดีระหว่างที่คุยกับฉันไปด้วย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเล่าในสิ่งที่เธอรู้ออกมาทั้งหมด อวี๋หมิงหลางมีพูดเสริมบ้าง ซึ่งก็คือการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้ อย่างเช่นเรื่องอายุ ทำงานเข้าเวรกะดึกเป็นต้น 


 


 


หลินเจ๋อกว่างลำบากใจ “ระหว่างทางที่พวกเรามาได้มีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของอีกฝ่าย แต่เขาใช้บัตรโทรศัพท์แบบไม่ลงทะเบียนโทร พวกเราเลยไม่ได้ข้อมูลอะไร ตอนนี้ส่งคนไปเก็บรอยนิ้วมือมาแล้ว แต่โทรศัพท์สาธารณะแบบนี้คนใช้เยอะ ถ้าอยากได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็อาจจะยากหน่อย” 


 


 


“ดูกล้องวงจรปิดแถวนั้นหรือยัง?” 


 


 


หลินเจ๋อกว่างส่ายหน้า “เขาเลือกโทรศัพท์ที่อยู่ในมุมอับ กล้องถ่ายไม่ถึง” 


 


 


“กล้องแถวนี้ถ่ายไม่ถึงก็ไปดูแถวอื่น ถนนเส้นนี้ทะลุไปได้ไม่กี่ที่ กล้องวงจรปิดแต่ละที่ไปเอาภาพมาให้หมด แล้วก็เปรียบเทียบจุดที่เหมือนกัน มันต้องมีคนที่น่าสงสัยบ้างแหละน่า ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะกลายร่างเป็นแมลงวันหนีออกไปได้” 


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆพิกล เซ้นส์ของเขาบอกว่าปัญหาไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ส่วนปัญหามันอยู่ตรงไหนเขาเองก็พูดไม่ถูก 


 


 


หลินเจ๋อกว่างพยักหน้า “ก่อนที่เราจะเจอตัวคนร้ายตัวจริง แกต้องระวังเรื่องความปลอดภัยของคู่หมั้น—จะให้ฉันส่งคนมาคุ้มกันไหม?” 


 


 


ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าคนที่โทรมาก่อกวนเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนเดียวกับคนร้ายหรือเปล่า หากว่ากันตามขั้นตอนยังไม่ถึงกับต้องส่งคนมาคุ้มกันเสี่ยวเชี่ยน แต่หลินเจ๋อกว่างไม่แคร์ที่จะช่วยเสี่ยวเชี่ยนในนามส่วนตัว ลูกน้องในทีมเขาสลับเวรกันหยุดอยู่แล้ว ให้คนที่หยุดคอยมาตามติดเสี่ยวเชี่ยนย่อมทำได้ 


 


 


ถึงเขาจะชอบแข่งขันกับอวี๋หมิงหลาง แต่ความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องระหว่างพวกเขาสองคนกลับแน่นแฟ้น คู่หมั้นของพี่น้องมีอันตรายก็ย่อมต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่ 


 


 


“ฉันจะอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งเดือน ระหว่างนี้คงตัวติดกับเขา หวังว่าพวกแกจะไขคดีได้ก่อนฉันกลับนะ” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม