ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 576.1-579.1

ตอนที่ 576 - 1 พบนางเซียนอีกครา

 

ชั่วพริบตาที่หิมะถล่มลงมานั้นก็นำเสียงร้องหวีดหวิวรุนแรงตามาด้วย กลิ้งไหลลงมาเป็นชั้นๆ หิมะที่มีอยู่เต็มภูเขาหิมะและน้ำแข็งซึ่งมีอยู่เต็มภูเขาเหมือนดั่งคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าซึ่งกวาดม้วนขึ้นไป ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ไหลกลิ้งลงมา ก่อเป็นคลื่นหิมะที่สูงขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า เพียงชั่วพริบตาก็กลืนกินไปจนหมดสิ้น การถล่มของหิมะซึ่งเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้ทำให้ทำคนอกสั่นขวัญผวา 


 


 


เงาสีขาวซึ่งแทบจะสังเกตไม่เห็นเงาหนึ่งขยับวูบผ่านราวกับสายฟ้าแลบ พุ่งตรงไปยังระเบิดหิมะ เพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป 


 


 


“น้องหลิน (แม่ทัพหลิน)!” ครั้นเห็นเงาร่างของหลินหว่านหรงถูกระลอกคลื่นหิมะกลืนกินจนไร้ร่องรอย พวกของเกาฉิว หูปู้กุยที่หันร่างกลับมาทุกคนต่างกู่ร้องออกมาพร้อมเพรียงกัน ตกตะลึงพรึงเพริด กู่ร้องออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งไปยังหิมะและน้ำแข็งที่ถล่มลงมา 


 


 


พละกำลังของหิมะถล่มครั้งนี้มิใช่ธรรมดา ระลอกหิมะที่ถูกกวาดม้วนขึ้นแทบจะกลบท้องฟ้า เกล็ดหิมะซึ่งเดิมทีอบอุ่นอ่อนโยนกลายเป็นอาวุธลับอันคมกริบหาใดเปรียบภายในชั่วพริบตา พุ่งเข้าหาอย่างมืดฟ้ามัวดิน กระทบปะทะทั้งร่างกายและใบหน้า เจ็บปวดอย่างยิ่ง การถล่มของหิมะทำให้ตัวภูเขาไถลลงมาเป็นระลอก เชิงเขาซึ่งมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมอยู่นับไม่ถ้วนถล่มลงมาภายในชั่วพริบตา เสียงดังครืนๆ สะเทือนเลื่อนลั่น ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย 


 


 


ท่ามกลางลมพายุหิมะที่พัดอยู่เต็มไปหมดนั้นไม่อาจลืมตาขึ้นได้แม้แต่น้อย แม้แต่ยืนก็ยังยืนได้ไม่มั่น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการปีนขึ้นทวนลม พวกของหูปู้กุยไหลล้มลงนับครั้งไม่ถ้วน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่ากลับเป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้อ่อนแอที่อยู่ตรงหน้า เรือนผมงามสีดำขลับขอนางกำลังโบกสะบัดท่ามกลางสายลมเหนืออันหวีดหวิวรุนแรง นางจับแท่งน้ำแข็งที่มีอยู่เต็มพื้นแน่น ปีนป่ายทวนลมขึ้นไปด้วยความยากลำบาก หิมะที่ไหลลงมาปะทะศีรษะและใบหน้านาง ไม่นานนักก็กลบร่างนางจนมิด แต่นางกลับยังปีนป่ายออกมาจากกลางหิมะและน้ำแข็งด้วยความดื้อดึง เดินไปข้างหน้าทีละก้าวทีละก้าว 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงครืนๆ ถึงค่อยๆ สงบลง กองหิมะที่ไหลบ่าค่อยๆ ช้าและหยุดลง เกล็ดหิมะซึ่งโปรยปรายลงมากลับอ่อนกำลังลงไปมาก อวี้เจียฝังตัวอยู่ในโพรงหิมะ กลายเป็นมนุษย์หิมะไปตั้งแต่แรก นางพยายามเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่หนาวเย็ฟนจนแดงก่ำ ภายในดวงตาพร่าเลือนด้วยไอน้ำ นางออกแรงส่ายศีรษะ เกล็ดหิมะที่อยู่บนเส้นผมทยอยกันร่วงหล่นตกลงบนใบหน้าและมือนาง เย็นเยียบจับใจ 


 


 


ยอดเขาเทียนซานถูกตัดไปส่วนหนึ่งภายในชั่วพริบตา กองหิมะหนาเตอะซึ่งมีอยู่แต่เดิมมลายไปสิ้น นับตั้งแต่ยอดเขาลงไป บนเนินเขานั้นบัดเดี๋ยวสูงบัดเดี๋ยวต่ำ จะพบกองหิมะสูงกับหลุมลึกได้เป็นระยะ ไอหมอกหิมะลอยฟุ้งไปทั่วจนปกคลุมท้องฟ้าเป็นสีขาวไปหมด ยอดหิมะที่สุมกันขึ้นมาใหม่นี้สูงราวหลายสิบจั้งได้ ส่วนโพรงน้ำแข็งที่ถล่มลงไปก็ยิ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็สัมผัสความหนาวเย็นยะเยือกได้แล้ว 


 


 


หลังหิมะถล่มผ่านพ้นไป หิมะขนาดใหญ่เท่าขนห่านยังคงร่วงหล่นโปรยปรายมาไม่หยุด ท่ามกลางเนินหิมะและโพรงน้ำแข็งนั้นกลับเงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวหรือร้องตะโกนแม้แต่น้อย 


 


 


กองหิมะหนาสูงจนถึงเอว การเดินหน้าไปแต่ละก้าวต่างยากลำบาก อวี้เจียเหมือนไม่รับรู้ นางใช้มือและเท้าควบคู่กัน ใช้ร่างกายซึ่งเกือบจะเย็นเฉียบตะกายจนเกินเป็นเส้นทางสายหนึ่งมุ่งตรงไปยางยอดหิมะที่กลืนกินหลินหว่านหรงไป 


 


 


ทิศทางนั้นถูกหิมะและน้ำแข็งปกคลุมหนาเตอะ เจ้าโจรที่เมื่อครู่ยังกระหยิ่มยิ้มย่อง ยามนี้กลับอันตรธานไปแล้ว ไม่ได้ยินหัวเราะทะเล้นของเขา ไม่ได้ยินเสียงลมหายใจของเขา ได้ยินเพียงเสียงลมเหนือดังหวีดหวิว รอบกายเงียบสงัดจนน่ากลัว 


 


 


สีเขียวซึ่งถูกฝังอยู่ท่ามกลางกองหิมะดึงดูดความสนใจของอวี้เจีย นั่นคือใบไม้สีเขียวสดทั้งยังใช้เถาวัลย์แห้งพันเอาไว้ เมื่อแหวกกองหิมะหนาออกไปนางก็นิ่งงันทันที 


 


 


เสื้อคลุมขาดวิ่นตัวหนึ่งถูกลมพายุหิมะฉีกกระชากเป็นเสี่ยงๆ จนไม่อาจเห็นสภาพเดิมได้อีก ใบไม้ทุกใบ เถาวัลย์ทุกเส้นที่อยู่บนนั้นเป็นนางที่ถักทอด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่เจ้าโจร ‘ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ’ หลอกเอาไป เมื่อลูบไล้ใบไม้เถาวัลย์ที่ขาดวิ่นนั้น นางก็มีหน้าราวกับบื้อใบ้ไป น้ำตาร้อนไหลทะลักราวกับน้ำท่วม ไหลหยดลงมาตามแก้มนางอย่างเงียบงันโดยไม่รู้ตัว  


 


 


นางพูดพึมพำกับตัวเองอยู่หลายประโยค ทันใดนั้นก็โยนใบไม้ที่อยู่ในมือออกไป สองมือเสียบเข้าไปในหิมะเย็นที่หนาเตอะ จากนั้นก็เริ่มขุดราวกับเสียสติ สะเก็ดหิมะปลิวว่อนตกกระทบร่างนาง เพียงชั่วพริบตาก็ทำให้นางกลายเป็นมนุษย์หิมะ ถึงกระนั้นนางกลับไม่รู้สึกรู้สาเลย 


 


 


แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอวี้เจียผู้นี้เป็นสตรีต่างชนชาติ มิหนำซ้ำยังเป็นศัตรูอีกด้วย แต่พวกของเกาฉิวก็ยังอดมองด้วยความรู้สึกปวดใจไม่ได้ 


 


 


“ขุด!” หูปู้กุยตวาดคำรามคราหนึ่ง สลัดเสื้อคลุมที่อยู่บนร่างทิ้ง เหล่านายทหารที่กรูกันเข้ามาสองตาแดงก่ำ ล้อมรอบกองหิมะสูงนี้ จากนั้นจึงเริ่มขุดด้วยมือเปล่า 


 


 


ลมหิมะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่เงียบสงัดไปหมด นอกจากเสียงหิมะแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก นายทหารห้าพันนายร่วมแรงร่วมใจ อาศัยสองมือที่แดงก่ำ ใช้เวลาถึงสองชั่วยามเต็มๆ ถึงแหวกกองหิมะนี้ออกไปได้กว่าครึ่ง 


 


 


ใจของทุกคนเต้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกองหิมะที่ขุดออกไปพวกเขาคาดหวังการมาถึงของช่วงเวลานั้น ถึงกระนั้นก็ยังกลัวการมาถึงของช่วงเวลานั้นด้วยเช่นกัน 


 


 


“ใกล้จะเห็นก้นแล้ว!” เกาฉิวร้องด้วยความตกใจ ทำให้ใจของทุกคนหยึดชะงัดในบัดดล 


 


 


อวี้เจียร่างหยุดชะงัก จ้องมองกองหิมะที่กองสุมขึ้นมานั้น สองตานางว่างเปล่าเลื่อนลอย ประหนึ่งไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้น ทันใดนั้นนางก็ยืนขึ้น แหวกกองหิมะที่สุมหนานั้นออกอย่างบ้าคลั่ง เศษหิมะที่หอบขึ้นมาถูกนางเขวี้ยงไปด้านหลังอย่างรุนแรง  


 


 


ทุกคนต่างรวมพลัง เมื่อเห็นว่ากองหิมะลดลงไปทีละส่วนจนใกล้จะเห็นก้น ร่างของอวี้เจียก็สั่นเทาเล็กน้อย การเคลื่อนไหวแผ่วเบาอ่อนโยนลงไปโดยไม่รู้ตัว แหวกกองหิมะออกไปทีละคืบๆ ด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายพอใกล้จะเห็นก้นน้ำตาก็ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวขึ้นมาทันที นางกลับไม่กล้าขยับแล้ว 


 


 


“เอ๊ะ?” เสียงประหลาดของหูปู้กุยแว่วเข้ามา “แม่ทัพหลินไม่ได้อยู่ตรงนี้?!” 


 


 


อวี้เจียรีบลืมตา เห็นว่าใต้กองหิมะลึกนั้นปราศจากสิ่งใด อย่าว่าแต่เงาคนเลย แม้แต่รอยเท้าก็ยังไม่มีเสียด้วยซ้ำ นางแหวกกองหิมะที่อยู่ข้างกายออกไปทีละกองๆ เพราะยังไม่เชื่อ ไม่รู้ใช้เวลาไปนานเท่าใด ถึงกระนั้นกลับไม่ได้อะไรกลับคืนมา เจ้าโจรนั่นกลับหายวับไปราวกับอากาศธาตุ 


 


 


ทุกคนต่างนิ่งงัน ใช้เวลาไปตั้งครึ่งค่อนวัน แม่ทัพหลินกลับไม่ได้ถูกฝังอยู่ที่นี่! ทำไปทำมาคราวนี้เสียเวลาไปตั้งหลายชั่วยาม ต่อให้หาเขาพบ เกรงว่าคงร้ายมากกว่าดีแล้ว 


 


 


หลี่อู่หลิงตามหารอบด้าน จากนั้นก็ร้องเสียงดังด้วยดวงตาแดงก่ำออกมาทัน “รีบดูเร็ว ตรงนี้!” 


 


 


สายตาของทุกผู้เคลื่อนมองไป เห็นว่าห่างจากกองหิมะไปไม่ไกลนัก มีโพรงน้ำแข็งที่ลึกไม่เห็นก้นอยู่โพรงหนึ่ง ยาวประมาณสามสิบจั้ง กว้างประมาณสองถึงสามจั้งได้ ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีเสียงลมเย็นพัดหวีดหวิวโหยหวนออกมาจากโพรงดังอยู่ข้างใบหู เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก 


 


 


โพรงน้ำแข็งนี้เกิดจากการปริแยกหลังจากหิมะถล่ม แม้ทุกคนจะเห็นมาตั้งแต่แรก แต่ด้วยความร้อนใจคิดจะช่วยคนจึงไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก จวบจนไม่คนพบร่องรอยของหลินหว่านหรงใต้กองหิมะ ทุกคนถึงเคลื่อนสายตามาที่จุดนี้ 


 


 


“ถ้าหากน้องหลินถูกกวาดเข้าไปในโพรงน้ำแข็งนี้…” เกาฉิวเพิ่งพูดได้ประโยคเดียวก็สะอึกสะอื้นพูดต่อไปไม่ได้ ทุกคนต่างหน้าซีดเผือด เบ้าตาแดงภายในชั่วพริบตา ท่ามกลางลมหิมะ คนนั้นไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ในเมื่อเขาไม่ได้ถูกหิมะกลบฝัง เช่นนั้นก็ต้องถูกลมหิมะกวาดม้วนจากไป และสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือร่วงลงไปในโพรงน้ำแข็งซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้นนี้ เมื่อลองมองความลึกของโพรงน้ำแข็ง ไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าหากตกลงไปแล้วไม่มีใครที่รอดชีวิตกลับมาได้ 


 


 


“เป็นไปไม่ได้! อัวเหล่ากงไม่มีทางตาย!” เสียงตวาดเจื้อยแจ้วเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ผู้ที่เอ่ยปากกลับเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้น นางหน้าซีด ฝืนกลั้นน้ำตาด้วยท่าทีแข็งกร้าว ริมฝีปากสีแดงสดใสถูกกัดจนแตก มีโลหิตไหลซึมออกมา นางพูดพึมพำกับตัวเอง “เขาเป็นคนเลวขนาดนั้น สวรรค์ไม่มีทางรับเขาแน่! เขาไม่มีทางตาย จะต้องไม่ตายแน่!” 


 


 


เกาฉิวกัดฟันส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ว่าง่ายอย่างน่าประหลาด รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่ผัดผ่านโพรงน้ำแข็งนั้นที่ดังก้องวนอยู่ในหูไม่หยุด 


 


 


อวี้เจียค่อยๆ นั่งลงข้างโพรงน้ำแข็ง นิ่งงันเหม่อลอยอยู่นาน จู่ๆ ก็ควักดาบทองซึ่งทะนุถนอมราวกับชีวิตเล่มนั้นออกมาจากอก กรีดลงบนนิ้วก้อยอันขาวสะอาดเนียนนุ่มของตนคราหนึ่ง หยดโลหิตสีแดงเข้มหยุดลงมา หยดลงไปในโพรงน้ำแข็งอันเวิ้งว้างล้ำลึกนั้น…  

 

 


ตอนที่ 576 - 2 พบนางเซียนอีกครา

 

ท่ามกลางสติอันเลือนราง จู่ๆ ก็มืออันอ่อนนุ่มคู่หนึ่งกวาดผ่านใบหน้า อบอุ่นราวกับสายลมวสันต์ยามเดือนสาม เงาร่างพร่ามัวของสตรีนางหนึ่งเข้ามาใกล้เบื้องหน้า กำลังคลี่ยิ้มให้เขาอยู่ 


 


 


สตรีนางนั้นหัวเราะเบาๆ ออกมาทันที ทว่ากลับมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด คล้ายเป็นเซียนเอ๋อร์ ทั้งคล้ายชิงเสวียน คล้ายพี่สาวอัน แต่กลับยังคล้ายหนิงอวี่ซีอีก! เห็นนางลอยล่องจากไป ด้วยความร้อนใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงจึงคว้ากอดร่างงามของนางเอาไว้ “ห้ามไป ใครก็ห้ามไปทั้งนั้น!” 


 


 


“พรืด” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา “ใครก็ห้ามไปทั้งนั้น? เจ้ากลับละโมบนักนะ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะรั้งใครไว้ได้บ้าง!” 


 


 


“ข้ารั้งเจ้าไว้ได้!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นมือไปกอดนางไว้ในอ้อมอก ไม่สนว่านางจะเป็นใคร ลูบคลำไปที่หน้าอกนางทันที 


 


 


“อ๊ะ…โจรถ่อย!” สตรีนางนั้นส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและอายระคนกันออกมาทันที 


 


 


“โอ๊ย ใครมาทิ่มก้นข้า?!” หลินหว่านหรงลืมตาขวับ รีบลุกขึ้นนั่งพร้อมตวาดเสียงดัง 


 


 


ไม่เพียงรู้สึกเจ็บที่ก้น แต่ยังเย็นวาบอีกด้วย เมื่อแอบลูบคลำลงไปก็รู้สึกเพียงสัมผัสมืออันเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก ตนเองกลับนั่งอยู่บนโพรงน้ำแข็งอันเย็นเฉียบแห่งหนึ่ง เมื่อทอดสายตามองไป รอบด้านล้วนมืดมิด ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า นอกจากเสียงลมหนาวดังหวีดหวิวแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก สายลมเย็นพัดผ่านข้างใบหู หนาวจนขนลุกขึ้นมา 


 


 


ไม่มีใคร? เขามองตรวจตราโดยรอบด้วยความสงสัย ไม่เห็นเงาคน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว หรือว่าเมื่อครู่จะกำลังฝันอยู่? เขาลูบก้นโดยไม่รู้ตัว เย็นเยียบไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะเข็มแทงหรือว่าถูกแช่จนเย็นกันแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็จำแนกไม่ออก 


 


 


ดูท่าว่าจะฝัน! แต่ว่านี่เราอยู่ที่ไหนเนี่ย? สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ลมพัด หิมะถล่ม จากนั้นก็ไม่รู้อะไรแล้ว 


 


 


แม่เอ๊ย นี่เราอยู่ที่ไหนกันแน่? แล้วพวกของอวี้เจีย เหล่าหู เหล่าเกา เสี่ยวหลี่จื่ออยู่ที่ไหน? เขาหอบหายใจแฮ่กๆ ภายในห้วงสมองขาวโพลน ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะค่อยๆ ได้สติกลับมา 


 


 


ผนังทั้งสี่ด้านเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก ที่นี่น่าจะเป็นถ้ำน้ำแข็งบนเทียนซานแล้ว แม้แต่เรื่องหิมะถล่มยังให้ข้ามาเจอได้อีก ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดีนะเขาประชดตัวเองด้วยความรู้สึกอับจนปัญญาอยู่หลายประโยค จากนั้นก็ลองควานหาอยู่ในอก การควานหาครานี้กลับรู้สึกผิดปกติแล้ว 


 


 


ปืนไฟ ยาวิเศษ สมุดภาพ ต่างหายไปจนหมด ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือบนร่างยังมีอาภรณ์อันอ่อนนุ่มเพิ่มขึ้นมาซึ่งยังคงอุ่นๆ แฝงด้วยกลิ่นหอมสะอาดคลุมอยู่บนตัว กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนั้นแล้ว เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเสื้อคลุมตัวยาวของตนมอบให้อวี้เจียไปตั้งนานแล้ว แล้วเหตุใดพอหิมะถล่มถึงมีชุดมาให้ข้าอีกชุดหนึ่งได้? 


 


 


เขาผุดลุกขึ้นมาทันที พูดเสียงดังออกมาว่า “นี่ มีใครอยู่ไหม เจ้าไม่ต้องหลบซ่อน ข้ามองเห็นเจ้านะ!” 


 


 


เสียงสะท้อนดังก้องอยู่ภายในถ้ำน้ำแข็ง สะเทือนจนแก้วหูสะท้านเล็กน้อย โวยวายอยู่เนิ่นนานกลับปราศจากคนขานตอบ ภายในถ้ำน้ำแข็งอันมืดมิดนี้ ตาเขามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เท่ากับหูหนวกตาบอดอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว 


 


 


คล้ายมีใครอยู่จริงๆ เขานั่งลงด้วยความโมโห ถอดเสื้อคลุม ชุดตัวในของตนออกมา ขณะที่กำลังจะถอดแม้แต่กางเกงชั้นใน สุดท้ายก็มีเสียงเอียงอายของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นว่า “โจรถ่อย เจ้า…เจ้าจะทำอะไรน่ะ?!” 


 


 


เสียงดังพรึบเบาๆ ชุดจุดไฟชุดหนึ่งถูกจุดขึ้นมาภายในถ้ำน้ำแข็ง บังเกิดลำแสงแผ่กระจายภายในชั่วพริบตา ท่ามกลางแสงสลัวมีสตรีสวมชุดขาวทั้งร่าง ท่วงทีเรียบเฉยสูงสง่าราวกับนางเซียนอยู่นางหนึ่ง คิ้วราวขุนเขาที่ทอดยาว เนตรดั่งวารียามวสันต์ ใบหน้าซับสีแดงระเรื่อจางๆ กำลังมองประเมินเขาอย่างสงบนิ่ง ขณะแย้มยิ้มเหมือนดั่งมวลบุปผาประดับด้วยหยาดน้ำค้าง ดอกโบตั๋นผลิบานเต็มที่  


 


 


หลินหว่านหรงมองจนนิ่งอึ้งเป็นบื้อใบ้ไป ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้พูดพึมพำกับตัวเองออกมา “พี่สาว ทำไมถึงเป็นท่าน?!” 


 


 


สตรีผู้นั้นยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามาหา คลุมเสื้อให้เขาเบาๆ “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร? เจ้าคนนี้ชอบใช้วิธีการไร้เหตุผลของอันธพาลเช่นนี้มาล่อให้ข้าออกมา” 


 


 


หลินหว่านหรงกอดนางเข้าสู่อ้อมอก ความรู้สึกอันอ่อนโยนและอบอุ่นนั้นพลันกลายเป็นไอร้อนมหาศาลเดือดพล่านอยู่ในจิตใจของเขา เขาโอบเอวคอดอันอ่อนนุ่มนิ่มของนางไว้ หัวเราะร่วนข้างใบหูนางพลางเอ่ยว่า “พี่สาวคือนางเซียน ข้าคืออันธพาล พวกเราคือคู่ที่สวรรค์สร้าง ไม่มีใครพรากจากไปได้” 


 


 


นางเซียนใบหูแดงทันที ขณะกำลังจะเถียงเขาสักหลายประโยค จู่ๆ ก็กลับพบว่ามีหยดน้ำร่วงหล่นลงมา อุ่นๆ ร้อนๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องตกใจทันที “เจ้า นี่เจ้าเป็นอะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงคราบน้ำตาเต็มใบหน้า ยิ้มร่าพร้อมเอ่ยว่า “พี่สาวมองผิดไปแล้ว นี่ไม่ใช่น้ำตา แต่คือหิมะละลาย” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองอย่างเหม่อลอย ตลอดเส้นทางที่นางเดินทางติดตามหลินหว่านหรงมานี้ เห็นเขาข้ามเฮ่อหลาน เหยียบย่ำทุ่งหญ้า ตัดผ่านทะเลทราย ข้ามภูเขาหิมะปราศจากสิ่งใดที่จะขวางกั้น เป็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกร แม้จะคุยสรวลเสเฮฮาทว่ากลับกำจัดชนเผ่านอกด่านจนสิ้นซาก ถือเป็นบุรุษต้าหัวผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากที่สุด ถึงกระนั้นเหตุใดตอนนี้ถึงมาร่ำไห้ได้ 


 


 


บุรุษทึ่มคนนี้นี่! ใจของนางเอ่อท้นด้วยความอ่อนโยน รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบริเวณหาตาให้เขา จากนั้นจึงกล่าวระคนหัวเราะด้วยเสียงอันอ่อนโยน “นี่เจ้าเป็นอะไรไป? ขุนพลใหญ่ที่นำไพร่พลหนึ่งแสนคนเหตุใดถึงมาร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าสตรีผู้หนึ่งเช่นข้าได้?!” 


 


 


หลินหว่านหรงเช็ดน้ำตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ใครกำหนดว่าขุนพลใหญ่จะร้องไห้ไม่ได้? ข้ากลัวเลยร้องไห้สักหลายครั้ง หรือว่านี่ก็ผิดด้วย” 


 


 


เมื่อเห็นเขาทำท่าพาลพาโลราวกับเด็กน้อย หนิงอวี่ซีก็รู้สึกอบอุ่นใจ จับมือเขาพร้อมเอ่ยว่า “เป็นเพราะหิมะถล่มนี้ทำให้ตกใจใช่หรือไม่ อย่าร้อง อย่าร้อง ข้าอยู่ข้างเจ้าตลอดเวลา! ต่อให้มันจะเป็นสายลมน้ำค้างสายฝนหิมะ คนชั่วคนถ่อยโจรทั้งหลาย ไม่ว่าใครก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้!” 


 


 


“พี่สาว…” หลินหว่านหรงคว้ากอดนางเข้าไปในอ้อมอก สองตามีน้ำตารื้นขึ้น รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก “ข้าไม่ได้กลัวเรื่องนี้!” 


 


 


“เช่นนั้นเจ้ากลัวสิ่งใด?” นางเซียนหนิงกล่าวอย่างอ่อนโยน 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจดังเฮ้อ “ข้ากลัวว่าสักวันหนึ่งท่านจะไปจากข้า!” 


 


 


หนิงอวี่ซีนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำตาจึงทำให้ดวงตาทั้งสองข้างพร่าเลือน นางลูบไล้ใบหน้าเขาอย่างแช่มช้า กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า  “เจ้าเป็นแม่ทัพที่ดูแลทัพใหญ่นับแสนคน แล้วจะมาร้องไห้เพราะเรื่องของบุรุษสตรีพวกนี้ได้อย่างไรกัน หากแพร่ออกไปจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงเจ้ามาก!” 


 


 


หลินหว่านหรงสบถออกมาอย่างดูแคลน “ข้าเดินทางไกลรอนแรมลอบโจมตี รบราฆ่าฟันได้ แล้วเหตุใดจะร้องไห้เพื่อสตรีที่ตนเองชอบไม่ได้? ชื่อเสียงก็คือใบหน้า ถูกทำลายไปแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี ข้าจะได้ไม่ต้องเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ล้ำเลิศ คุณธรรมสูงส่งอะไรนั่นด้วย! ร้องไห้แล้วจะทำไม ข้าจะร้อง ใครใคร่หัวเราะก็หัวเราะไป…แช่งให้พวกมันหาเมียไม่ได้!” 


 


 


“เจ้าคนนี้นี่นะ!” ฟังคำพูดเหมือนเด็กของเขาแล้ว หนิงอวี่ซีก็ยิ้มด้วยความจนใจ กลับน้ำตาไหลอาบสองแก้ม ซบอกเขาอย่างแนบแน่น กล่าวอย่างอ่อนโยนออกมาว่า “ข้าว่าที่เจ้าร้องไห้น่ะโกหก คิดหลอกน้ำตาข้าถึงจะจริง!” 


 


 


“พวกเราต่างฝ่ายต่างหลอกกันและกัน!” หลินหว่านหรงกะพริบตาหัวเราะ หนิงอวี่ซีหน้าแดง หยิกแขนเขาแรงๆ คราหนึ่ง ทั้งสองไม่เอ่ยวาจา ใจเต้นจนแทบจะเป็นจังหวะเดียวกัน 


 


 


“จริงสิ พี่สาว ตอนนั้นท่านแทงก้นข้าใช่หรือไม่?!” หลินหว่านหรงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ทันที รีบพลิกไหล่งามของนางเซียนหนิงแล้วเอ่ยถาม 


 


 


หนิงอวี่ซีหน้าแดง เบือนหน้าหนีไปพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมกัน ใครใช้ให้เจ้ามาลงมือกับข้า หลับแล้วยังไม่ยอมทำตัวดีๆ!” 


 


 


“อ๊ะ แบบนี้นี่เอง?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง “ข้ายังนึกว่าตอนข้าตื่นถึงจะเป็นช่วงที่ข้าทำตัวไม่เรียบร้อยมากที่สุด คิดไม่ถึงว่าตอนนอนก็ยังฝึกฝนด้วย” 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะเบาๆ “เจอช่วงที่เจ้าทำตัวไม่เรียบร้อยให้เอาเข็มทิ่มเจ้า…นี่คือสิ่งที่ศิษย์น้องอันสอนข้า บอกว่าใช้ได้ผลกับเจ้าชะงัดนัก!” 


 


 


“พี่สาวอัน?! นางสอนท่าน?!” หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจ แต่เป็นโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หวนนึกถึงบนทะเลสาบเสวียนอู่ที่เมืองจินหลิงคราก่อน นางจิ้งจอกอันยังสอนข้าว่าจะต่อกรกับนางเซียนหนิงอย่างไรอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตานางกลับสอนนางเซียนหนิงว่าควรจัดการข้าเช่นไรแล้ว นางจิ้งจอกคนนี้นี่ อยากจะตีก้นนางสักที จากนั้นก็จับสักสิบครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนัก! 


 


 


“ทำไม หรือว่าเจ้าจะแค้นเคืองศิษย์น้องอัน?!” หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างตำหนิ 


 


 


“อ๊ะ จะเป็นไปได้อย่างไร?” เขารีบหัวเราะฮ่าๆ พูดด้วยความระมัดระวังว่า “พี่สาวนางเซียน ท่านกับพี่สาวอันมาขลุกอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เมื่อก่อนพวกท่านไม่ใช่แบบนั้นกันนี่นา…อ๊ะ ฮ่าๆ ข้าไม่พูด ท่านก็เข้าใจ!” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาด้วยความไม่พอใจ “ขลุกอยู่ด้วยกันอะไรกัน ตอนที่ข้ากับศิษย์น้องอันสนิทสนมกัน เจ้ายังเล่นดินเหนียวอยู่เลย!” 


 


 


“ใช่ๆ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะเหงื่อแตกเต็มหน้า ทอดสายตามองใต้หล้า คนที่กล้าสั่งสอนเขาเช่นนี้นอกจากพี่สาวอันแล้วก็มีนางเซียนหนิง แม้แต่ชิงเสวียนก็ทำไม่ได้! ทั้งสองนี้ต่างเป็นพยัคฆ์ที่กินคนไม่คายกระดูก 


 


 


หนิงอวี่ซีถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “หลายปีนี้ข้ากับศิษย์น้องอันต่อสู้กัน ไม่รู้ว่าเพื่ออะไรกันแน่ ตอนนี้สำนักศักดิ์สิทธิ์ไม่มีแล้ว ท่านอาจารย์ก็จากไปแล้ว สิ่งที่เหลือไว้ให้พวกเรามันก็แค่ซากกองอิฐหินดินทรายเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือแล้ว…” 


 


 


“ไม่ ไม่ ยังมีข้า!” หลินหว่านหรงรีบพูดอาสา 


 


 


นางเซียนหนิงทั้งโมโหทั้งขบขัน “อะไรที่เรียกว่ายังมีเจ้ากัน เจ้าเป็นอะไรกับข้า?! มิน่าศิษย์น้องอันถึงด่าเจ้า!” 


 


 


“นางด่าข้า?” หลินหว่านหรงร้อนใจแล้ว “ด่าข้าว่าอะไร?! ด่าข้าว่าหล่อเหลาเกินไป ความรู้สูงส่งเกินไป หรือว่าจิตใจดีงามเกินไป?! ข้าต้องแก้ไขแน่นอน!” 


 


 


หนิงอวี่ซีกลั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “เจ้าคิดเพ้อฝันไปแล้ว นางด่าเจ้าว่า…บุรุษงามก่อเภทภัย!” 


 


 


บุรุษงามก่อเภทภัย? คำคำนี้ช่างเหมาะกับข้าเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงชูนิ้วโป้ง ส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนชมเชย “พี่สาวอันช่างรู้จักข้าอย่างลึกซึ้งเสียจริง!” 


 


 


ทำอะไรเจ้าคนนี้ไม่ได้เลยจริงๆ หนิงอวี่ซีส่ายหน้าอย่างจนใจ แต่ก็ดันชอบความรู้สึกที่ได้สนทนากับเขาเช่นนี้อีก “ยังจำคืนนั้นที่เจ้าถูกลอบโจมตีที่เมืองซิงชิ่งได้หรือไม่?”  

 

 


ตอนที่ 576 - 3 พบนางเซียนอีกครา

 

“จำได้ จำได้!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ 


 


 


หนิงอวี่ซีถอนหายใจเบาๆ “โชคชะตาของคนเราก็เหมือนวงล้อ ข้ากับศิษย์น้องอันห่างเหินกันมานานหลายปี กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันในคืนนั้น” 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา “พี่สาวนางเซียน ความหมายของท่านก็คือคืนนั้นไม่ใช่แค่พี่สาวอันที่อยู่ที่นั้น แต่ท่านก็อยู่ด้วย? ไอ้หยา มิน่าถึงมีเข็มเงินสองเล่ม ข้านี่ช่างโง่เสียจริง!” 


 


 


“ตอนนี้เจ้าถึงรู้หรือ? โง่จริงๆ ด้วย” หนิงอวี่ซีทัดปอยผมข้างใบหู ส่ายหน้าแล้วพูดเบาๆ “ข้าลงจากยอดเขาเขียนเจวี๋ยก็ติดตามอยู่ท้ายขบวนเจ้ามายังทางเหนือ คาดไม่ถึงว่าศิษย์น้องอันกลับแฝงกายอยู่ข้างตัวเจ้า ว่าไปแล้วเจ้าก็มีความสามารถไม่น้อย!” 


 


 


หนิงอวี่ซีเหลืบมองเขาเรียบๆ หลินหว่านหรงตกใจ เขาคุ้นเคยกับนิสัยของนางเซียนหนิงดียิ่งนัก ทุกครั้งที่สีหน้านางเรียบเฉย นั่นคือนางโกรธ อย่างน้อยก็คือไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงรีบหัวเราะฮ่าๆ ออกมา “พี่สาวอันมาตามคำขอร้องของเซียนเอ๋อร์ให้มาคุ้มกันข้าโดยเฉพาะ ทีแรกข้าก็ไม่รู้…นางเซียนท่านพบพี่สาวอัน เช่นนั้นนางพบท่านด้วยใช่หรือไม่” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ? ทำตามคำขอร้องของเซียนเอ๋อร์?!” หนิงอวี่ซีแค่นเสียงเล็กน้อย “ตลอดเส้นทางที่เจ้าขึ้นเหนือ ยังไม่ได้รบพุ่ง พวกเราสองคนเร้นกายมิดชิด ต่างฝ่ายต่างไม่พบเห็น จวบจนถึงเมืองซิงชิ่งคืนนั้น…” 


 


 


รถไฟชนกันแล้ว! หลินหว่านหรงเหงื่อแตก เหยียบเรือสองแคมไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ด้วยนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรือระหว่างนางเซียนกับนางจิ้งจอกอัน นั่นราวกับร่ายรำร่วมกับหมาป่า! 


 


 


“พูดไปแล้วก็น่าขำ” หนิงอวี่ซีส่ายหน้าถอนหายใจเล็กน้อย “การพบกันอีกครั้งของข้ากับศิษย์น้องอันกลับมาอยู่ที่นอกชายแดน ณ เขตทะเลทราย นี่คงต้องขอบคุณเจ้าแล้วจริง ๆ!” 


 


 


“ควรแล้ว…อ๊ะ ไม่ๆ ข้าหมายถึงน่าเหลือเชื่อเหลือเกิน” ภายในน้ำแข็งหนาวเย็นเหลือล้น ทว่าหลินหว่านหรงกลับเหงื่อแตกท่วมใบหน้า 


 


 


นางเซียนหนิงถอนหายใจยาว “พวกเราสองคนพบหน้ากัน เมื่อปราศจากการผูกมัดของสำนักศักดิ์สิทธิ์กลับพูดคุยกันอย่างมีความสุข เพียงแต่นิสัยร้อนแรงของศิษย์น้องอันนั้นกลับมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ นางบอกว่าเราสองคนร่วมกันคุ้มครองเจ้า นั่นถือเป็นการใช้คนเสียเที่ยวเปล่า และได้เปรียบเจ้าเกินไป ดังนั้นจึงเสนอเงื่อนไขในการแข่งขึ้นมา” 


 


 


แข่ง? เรื่องนี้กลับไม่เคยได้ยินพี่สาวอันเอ่ยถึง หลินหว่านหรงจึงรีบถามว่า “แข่งอะไร?” 


 


 


“เราสองคนแบ่งระยะกันคุ้มครองเจ้า หากผู้ใดอดทนไม่ได้ พบหน้าเจ้าก่อน ผู้นั้นก็แพ้ไป!” หนิงอวี่ซีเอ่ยเบาๆ “ตั้งแต่เฮ่อหลานซานจนถึงทุ่งหญ้า นี่ถือเป็นระยะทางช่วงแรก ให้ศิษย์น้องอันมาคุ้มกันเจ้า เพียงแต่เจ้าคนนี้กลับได้ความเอ็นดูแล้วกลับหยิ่งผยอง ถ้าไม่เห็นหน้าจะไม่นอนอะไรนั่น เปลี่ยนวิธีการหลอกล่อให้ศิษย์น้องอันออกมา นางรู้อยู่แก่ใจว่าหากพบเจ้าก็จะพ่ายแพ้ ทว่ากลับยังคง…” นางเซียนหนิงเหลือบมองเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กลับไม่พูดต่อไปแล้ว 


 


 


พี่สาวอัน! นึกถึงท่าทางฝืนสะกดกลั้นความปวดใจอย่างรุนแรงพลางหัวเราะเบาๆ ของนางจิ้งจอกอันนั้น แต่เรากลับยังจำนางผิดว่าเป็นนางเซียนหนิงอีก หลินหว่านหรงก็พลันปวดใจขึ้นมาทันที พี่สาวอันไม่ได้พูดอะไร ทว่าจิตใจนั้นกลับเหนือล้ำกว่าถ้อยคำนับพันนับหมื่น 


 


 


“ก็ถือว่าข้าทวงความยุติธรรมให้ศิษย์น้องอันก็แล้วกัน” เห็นเขาก้มหน้าก้มตาท่าทางหมองหม่น หนิงอวี่ซีก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าก็อย่าโทษตัวเองเกินไปเลย อันที่จริงต่อให้เจ้าไม่พบนาง นางก็ต้องพบเจ้าอยู่ดี” 


 


 


“เพราะอะไร?!” หลินหว่านหรงรีบเงยหน้าถาม 


 


 


“สตรีบนโลกนี้เพื่อความรักแล้วก็กลายเป็นคนโง่” นางเซียนหนิงมองค้อนเขาอย่างจนใจ “เดิมทีดินแดนบนเขาของศิษย์น้องอันมีเรื่องใหญ่ ไม่อาจปลีกตัวออกมาได้ เพื่อเจ้าแล้วนางได้ทำข้องตกลงไว้ข้อหนึ่ง กำหนดเวลากลับไปแน่นอน เหตุนี้นางถึงลงเขาอย่างวางใจได้ วันที่นางไปจากเจ้าวันนั้นก็คือถึงเวลาแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงลุกขวับขึ้นมาทันที กล่าวด้วยความตึงเครียดออกมาว่า “ข้อตกลงอะไร? คงไม่ใช่แต่งงานกับเจ้าเขาเจ้าดินแดนอะไรหรอกนะ” 


 


 


หนิงอวี่ซีส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่ค่อยรู้แน่ชัด เพียงแต่ด้วยนิสัยของศิษย์น้องอัน ผู้ที่เอาเปรียบนางได้ยังไม่ถือกำเนิด…อ้อ น่าจะเอาเจ้าเป็นข้อยกเว้นถึงจะถูก!” 


 


 


ครั้นเห็นสายตาเฉยชาของนางเซียนหนิง หลินหว่านหรงก็กล่าวระคนหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “เอ่อ…คือ..เรื่องของข้ากับพี่สาวอัน พูดไปแล้วก็ซับซ้อน!” 


 


 


“มีอะไรให้ซับซ้อน ก็แค่นางใช้ลูกไม้ให้เจ้ามาสยบข้าเองนี่นา?! ตอนนี้เจ้าสมปรารถนาแล้ว!” หนิงอวี่ซีสีหน้าเย็นชาภายในชั่วพริบตา แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง 


 


 


หลินหว่านหรงตกใจยิ่งนัก “ทะ…ท่านรู้ได้อย่างไร? ไม่ใช่นะ พี่สาว ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดแบบนั้น!” 


 


 


“เจ้าไม่ต้องบ่ายเบี่ยง! ศิษย์น้องอันบอกข้าหมดแล้ว เรื่องของเจ้านั้นข้ารู้อยู่แก่ใจ!” หนิงอวี่ซีเบือนหน้าไป เสียงเย็นชามากขึ้น 


 


 


นางจิ้งจอกอันคนนี้นี่ เรื่องอะไรก็พูดออกมาหมดเลยหรือ? เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของนางเซียนหนิง หลินหว่านหรงก็ร้อนใจจนเต้นผาง “พี่สาว ไม่ใช่แบบนั้นจริงๆ นะ พี่สาวอันเคยบอกให้ข้าหาหนทางสยบท่านจริง แต่ท่านลองมองข้าสิ ทั้งปราศจากรูปโฉม ทั้งปราศจากความรู้ หน้าตาก็เหมือนพี่ชายของพานอัน แล้วข้าจะมีความคิดนี้ได้อย่างไร? อีกอย่าง ข้าเป็นคุณธรรมต่ำต้อยเช่นนั้นหรือ?!” 


 


 


“ทีนี้กลับรู้จักถ่อมตัวแล้ว!” หนิงอวี่ซีแค่นเสียงบางๆ “คุณธรรมของเจ้าสูงส่งหรือ?! เช่นนั้นเจ้ากับอวี้เจียคืออะไร เอะอะอะไรก็วางแผนให้แม่นางตกหลุมพราง!” 


 


 


นางเซียนมองออกทุกอย่างจริงด้วย หลินหว่านหรงพูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ “พี่สาว ท่านจะเทียบกับอวี้เจียได้อย่างไร! วิธีการที่นางใช้หรือว่าท่านจะไม่เห็น? ข้าก็แค่ตาต่อตาฟันต่อฟันก็เท่านั้นเอง แต่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสร้างมากับมือนั้นจริงแท้แน่นอน ผ่านการทดสอบมายาวนานนะ ยอดเขาเชียนเจวี๋ย โซ่แห่งความรัก สิ่งที่ถ่ายทอดออกไปล้วนแต่เป็นตำนานความรัก ข้ากล้าพนันว่าบนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่จะมีความสุขและความทรงจำอันแสนจะยาวนานเช่นนั้นเยี่ยงพวกเราแล้ว!” 


 


 


หนิงอวี่ซีหน้าแดงเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงร้องเบาๆ “ตำนานความรักอะไรกัน! ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเจ้าทั้งนั้น!” 


 


 


“ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ หรือ?” เสียงของหลินหว่านหรงเบาลงไปทันที 


 


 


หนิงอวี่ซีตกใจน้ำตาไหลพราก “จะเป็นอะไรกันได้ ข้าเป็นอาจารย์ของชิงเสวียน…อ๊ะ…” 


 


 


พูดยังทันจบร่างกายก็ร้อนวูบ ร่างอันร้อนระอุโอบร่างตนเข้าไปในอก ริมฝีปากอ่อนนุ่มแดงสดใสพลันถูกริมฝีปากใหญ่ประกบเอาไว้ 


 


 


“อือ…อือ…” นางออกแรงดิ้นรนสองครา ทว่าเรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กายไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจใช้ออกมาได้ 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดหลินหว่านหรงถึงปล่อยนางเซียนผู้บอบบางในอ้อมอก ส่งเสียงจึ๊จ๊ะทอดถอนชมเชยออกมาว่า “ตอนนี้ได้แล้ว ต่อให้ไม่ได้เป็นอะไรกัน พวกเราก็เป็นอะไรกันเล็กน้อยแล้ว คราวหน้าหากมีอีก พวกเราก็จัดการตามเดิม!” 


 


 


หนิงอวี่ซีอ่อนระทวยไปทั้งร่าง ซบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างหมดแรง พูดพึมพำออกมาว่า “โจรปลิ้นปล้อน ชีวิตนี้ของข้า ความผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวก็คือได้พบเจ้า” 


 


 


“หากได้พบท่านถือเป็นความผิดพลาดอย่างหนึ่ง เช่นนั้นข้ายอมผิดแล้วผิดอีก!” หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะร่วน 


 


 


นางเซียนหนิงเบือนหน้าไป ไหล่งามสั่นเทาเล็กน้อย พูดเบาๆ ออกมาว่า “เจ้าพูดกับศิษย์น้องอันเช่นนี้ด้วยล่ะสิท่า?” 


 


 


หลินหว่านหรงเหม่อลอย รู้สึกยินดีอย่างยิ่งอยู่ลึกๆ นางเซียนหึงเป็นแล้ว แถมยังหึงพี่สาวอันอีกด้วย! เขาพลิกไหล่นางมาเบาๆ เห็นว่านางเซียนหนิงกำลังกัดริมฝีปากเบาๆ น้ำตานองหน้า งดงามล้นเหลือ อ่อนโยนล้นเหลือ คล้ายนางเซียนที่ลงมาสู่แดนดินจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า 


 


 


หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย พูดเบาๆ ออกมาว่า “พี่สาวนางเซียน ท่านนับวันก็ยิ่งเหมือนสตรีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสตรีที่แท้จริง!” 


 


 


“เป็นเจ้าที่ทำร้าย! เจ้าโจรที่ทำร้ายคนถึงตาย!” หนิงอวี่ซีด่าทออย่างเดือดดาล หยิกหน้าอกพร้อมทุบอกเขาอย่างรุนแรงหลายครั้ง 


 


 


รับกำปั้นน้อยๆ อันอ่อนปวกเปียกของนางเซียนนี้มันช่างสบายเสียจริงนะ หลินหว่านหรงหัวเราะรว่น “พี่สาวนางเซียน วรยุทธของท่านถดถอยรุนแรงมากแล้วจริงๆ นะ!” 


 


 


หนิงอวี่ซีนิ่งงัน จากนั้นก็เข้าใจความหมายเขาทันที นางใบหน้าแดงด้วยความอาย ถึงกระนั้นกลับไม่ถนอมกำลังอีกต่อไป อัดเขาไปทีหนึ่ง! 


 


 


ทั้งสองกระเง้ากระงอดกันครู่หนึ่ง เมื่อเห็นที่จุดไฟซึ่งลุกไหม้อยู่นั้น หลินหว่านหรงก็นึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันขึ้นมาได้ทันที “พี่สาวนางเซียน ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ใด?!” 


 


 


ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะนึกถาม เจ้าคนนี้พอเห็นสตรีก็กล้าลืมทุกสิ่ง นางเซียนหนิงทั้งอายทั้งขำ กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “อยู่ใจกลางถ้ำน้ำแข็งเทียนซาน ที่นี่อยู่ห่างจากยอดเขาเกรงว่าคงมีหลายร้อยจั้ง!” 


 


 


หลายร้อยจั้ง? หลินหว่านหรงตกใจจนแลบลิ้น หากไม่มีพี่สาวนางเซียน ตอนนี้ข้าก็คงกลายเป็นก้อนเนื้อไปนานแล้ว ระยะทางหลายร้อยจั้งนี้ แถมยังพาคนอีกคนหนึ่งอีก ต่อให้นางเซียนหนิงจะมีวรยุทธล้ำเลิศ แต่นั่นก็ลำบากและอันตรายอย่างยิ่ง เขากุมมือหนิงอวี่ซีแน่นพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “พี่สาว ขอบคุณท่านมาก!” 


 


 


“ขอบคุณข้าทำไม?” หนิงอวี่ซีถามด้วยเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมายาวๆ คราหนึ่ง “ท่านเอาแต่พูดความดีของพี่สาวอันต่อหน้าข้า แต่ไม่ยอมเอ่ยถึงตัวท่านเอง! ความเมตตาและความรักของท่านนี้ คนแซ่หลินต่อให้ร่างแหลกสลายก็ยากจะตอบแทน…” 


 


 


“พูดจาเหลวไหลอะไร” มือน้อยอันอบอุ่นและนุ่มนิ่มข้างหนึ่งปะกบปากเขา นางเซียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า “โจรน้อย เจ้าอย่าลืมนะว่าพวกเรานั้นเป็นอะไรกัน!” 


 


 


 “พวกเราเป็นอะไรกัน” ที่ดียิ่งนัก หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น จูงมือนางให้ยืนขึ้น “พี่สาว พวกเรารีบคิดหาวิธีออกไปถึงจะถูกต้อง อวี้เจียผู้นั้นแผนการมากมาย ข้ากังวลจริงๆ ว่านางจะฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่แอบหนีไป!” 


 


 


“กังวลเรื่องนี้จริงหรือ?” หนิงอวี่ซีเหล่มองเขา หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าก็วางใจได้เลย คุณหนูอวี้เจียผู้นี้มีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันแล้ว!”  

 

 


ตอนที่ 577 แย่แล้ว

 

“อยู่ได้ไม่กี่วัน? หมะ…หมายความว่าอย่างไร?!” หลินหว่านหรงเบิกตาโตพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


นางเซียนส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “เจ้าคนนี้นี่นะ ช่างเป็นพวกรับรู้ช้าเสียจริง ข้าขอถามเจ้า คืนนั้นในกระโจมของเจ้า ศิษย์น้องอันทำอะไรกับอวี้เจียบ้าง เจ้ารู้หรือไม่?” 


 


 


พี่สาวอันทำอะไรกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์บ้าง? เหมือนจะแก้ผ้านางนะ! เมื่อเห็นทำตาปริบๆ คิดไม่ออกก็รู้ว่าเดาไม่ถูก หนิงอวี่ซีหัวเราะพลางยกมือน้อยขึ้นพร้อมตบลำคอเขาคราหนึ่ง “ตอนที่พวกเจ้าสองคนไต่สวนอวี้เจีย ศิษย์น้องอันลงมือทำอะไรกับนางบ้าง” 


 


 


ท่ามกลางความทรงจำอันรางเลือน เหมือนพี่สาวอันจะทำแบบนี้ที่คอของอวี้เจียคราหนึ่งจริงๆ หลินหว่านกล่าวด้วยความงุนงงสงสัย “ตบทีหนึ่งนี่นะ นี่ก็ถือว่าลงมือด้วยหรือ? เช่นนั้นข้าก็ลงมือลงไม้กับพี่สาวนางเซียนครั้งใหญ่แล้วล่ะ!” 


 


 


“เหตุใดถึงมาพูดถึงข้าได้?!” หนิงอวี่ซีหน้าแดงเล็กน้อย กลอกตาค้อนอย่างจนใจสองครา “ตบไม่กี่ครั้งย่อมไม่อาจนับว่ามีอะไรพิเศษได้แน่นอน! แต่ว่าหากเพิ่มสิ่งนี้ไป นั่นก็ต่างกันโดยสิ้นเชิงแล้ว” 


 


 


นางเซียนยิ้มแย้ม ในมือปรากฏแสงสีเงินกระจ่างวูบ เป็นเข็มเงินวาววับเล่มหนึ่ง หลินหว่านหรงคิดแล้วคิดอีก จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยความตกใจ “หรือว่าจะหมายถึงพี่สาวอาจารย์ฝังเข็มให้อวี้เจีย?! นี่น่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง ข้าก็ถูกเข็มนางทุกวันเลย!” 


 


 


นางเซียนหนิงมองค้อนเขาด้วยความรู้สึกขบขัน “เจ้านึกว่าในใจของศิษย์น้องอัน สถานะของเจ้ากับอวี้เจียนั้นเหมือนกันหรืออย่างไร” 


 


 


เหมือนจะต่างกันอยู่บ้างนะ! หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เช่นนั้นนางฝังเข็มอะไรให้อวี้เจีย?!” 


 


 


หนิงอวี่ซีถอนหายใจ ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา “หากในตัวเจ้าอยู่ดีไม่ว่าดีก็มีเข็มอาบยาพิษเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเล่ม เจ้าจะเป็นเช่นไร?!” 


 


 


เข็มที่ถึงแก่ชีวิต? สีหน้าของหลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวด้วยความตกใจขึ้นว่า “นะ…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? อยู่ดีไม่ว่าดี พี่สาวอันจะฆ่าอวี้เจียทำไมกัน?!” 


 


 


“อยู่ดีไม่ว่าดีอะไรกัน นี่เจ้าก็เลอะเลือนจริงหรือว่าแกล้งเลอะเลือนกันแน่” นางเซียนหนิงแค่นลมหายใจออกมาเบาๆ “ฝีมือของอวี้เจียผู้นั้น แม้แต่ศิษย์น้องอันก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่หลายส่วน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเป็นโจรถ่อยบ้ากามขวัญกล้าไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินอีก หาใช่คนในชนชาติ ใจย่อมเป็นอื่น ดูจากท่าทางของอวี้เจียผู้นั้นจงใจเกาะแกะเจ้า แล้วศิษย์น้องจะเก็บต้นตอแห่งเภทภัยนี้ไว้ทำร้ายเจ้าหรือ? ด้วยนิสัยของนาง ไม่ได้ฆ่าคนต่อหน้าเจ้าถือว่าได้เปรียบอวี้เจียแล้ว!” 


 


 


หลินหว่านหรงเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง นางเซียนพูดไม่ผิด ด้วยนิสัยพระมารดาศักดิ์สิทธิ์แห่งพรรคบัวขาวของพี่สาวอัน หากนางหึงขึ้นมาฆ่าคนก็เหมือนกับหั่นผัก อวี้เจียสิบคนก็คงไม่พอ 


 


 


เขาหัวเราะแหะๆ สองครั้ง “เอ่อ…พี่สาวอันช่างร้ายกาจเสียจริง เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกแม้แต่น้อยเลยนะ” 


 


 


“เรื่องที่เจ้าดูไม่ออกยังมีอีกมากมายนัก” หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างตำหนิคราหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจเบาๆ ทันที “อวี้เจียผู้นี้หากเอ่ยถึงรูปโฉมและสติปัญญาล้วนอยู่ในขั้นสุดยอด หากจะผิดก็ผิดที่นางเป็นชาวทูเจวี๋ย ทั้งยังคิดไม่ซื่อกับเจ้าอีก เหลือชีวิตแค่ห้าเดือนแล้ว กลับน่าเสียดายอยู่บ้างจริงๆ!” 


 


 


ห้าเดือน? พูดแบบนี้พี่สาวอันก็วางยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้ากับนางสินะ?! เยวี่ยหยาเอ๋อร์การแพทย์ล้ำเลิศ ไม่รู้ว่าตัวเองจะแก้พิษได้หรือไม่ 


 


 


“เจ้ากำลังคิดอะไร?” เมื่อเห็นเขาเงียบงันอยู่นาน นางเซียนหนิงจึงจับมือเขาพร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงอันอ่อนโยน  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิๆ แห้งๆ เล็กน้อย “พี่สาวนางเซียน ท่านว่าพี่สาวอันวางยาพิษอะไรถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ มีวิธีแก้หรือไม่?” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ทำไม เจ้าคิดจะช่วยสตรีทูเจวี๋ยผู้นี้?” 


 


 


“เปล่า เปล่า!” หลินหว่านหรงรีบโบกมือ กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ข้าก็แค่อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแก้พิษกับพี่สาวก็เท่านั้น ข้าคนนี้เป็นคนที่ใฝ่หาความรู้อย่างตั้งใจมาตลอดนะ” 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะพรืดออกมาเบาๆ “ความคิดของเจ้าจะปิดบังผู้ใดได้? ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องอันวางยาพิษ ข้าก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่พอเห็นท่าทางตอนนี้ของเจ้าแล้ว ข้ากลับรู้แล้วว่าเป็นนางที่รู้จักเจ้าลึกซึ้งมากกว่า! หากให้เจ้าไปฆ่าอวี้เจียด้วยตนเอง เจ้าก็ไม่มีทางทำแน่นอน!” 


 


 


“พี่สาวผิดแล้ว!” หลินหว่านหรงส่ายหน้า มองนางอย่างอ่อนโยนพร้อมจับมือนางแน่น “ฆ่าคนไม่ใช่เรื่องมีความสุข แต่หากมีคนกล้าทำร้ายคนรักของข้า พี่น้องของข้า ไม่ว่านางจะเป็นใคร ข้าย่อมไม่มีวันละเว้นนางแน่!” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างเลื่อนลอย ในใจอบอุ่นราวกับเปลวเพลิง ผ่านไปเนิ่นนานถึงก้มหน้าลงไปพร้อมเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เจ้าคนนี้นี่นะ ชอบมาหลอกให้ข้าดีใจ มิน่าเล่าศิษย์น้องอันถึงพูดว่าตอนที่อยู่กับเจ้าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องอุดปากเจ้าไว้!” 


 


 


พี่สาวอันกลับสอนท่าไม้ตายเอาไว้ไม่น้อยเลย หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองคราพร้อมกับพูดว่า “ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว ถ้ำน้ำแข็งนี้แม้จะไม่เลว เป็นถ้ำสวรรค์ แต่เมื่อคิดอ่านแทนลูกชายลูกสาวของเรา พวกเราคิดหาหนทางออกไปเสียจะดีกว่า! พี่สาวท่านว่าอย่างไร?” 


 


 


หนิงอวี่ซีหน้าแดงระเรื่อ พูดตำหนิออกมาเบาๆ “พูดอะไร! เหลวไหล คร้านจะสนใจเจ้าแล้ว!” 


 


 


ที่จุดไฟแผดเผาลุกไหม้ ทางที่ลมเข้ามากลับเป็นหน้าผาน้ำแข็งที่ปริแตกด้านข้าง กว้างประมาณหลายจั้ง ดำมืดมิดไปหมด ลึกจนมองไม่เห็นก้น หลินหว่านหรงสอดศีรษะเข้าไปมองคราหนึ่ง สายลมหนาวพัดผ่านราวกับดาบ เขาแลบลิ้นแล้วหดคอกลับไปอย่างว่าง่าย 


 


 


ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้อยู่ใจกลางภูเขา เกิดจากหนิงอวี่ซีใช้หนึ่งฝ่ามือฟาดจนแตกขณะที่พวกเขาสองคนร่วงลงมา แต่ละแง่งแต่ละมุมถูกนางจัดการจนเรียบร้อยตั้งแต่แรก สัมผัสเรียบลื่น ทั้งสองเมื่ออยู่ในนั้นก็เหมือนดั่งอยู่นอกโลก อบอุ่นสงบเงียบ เมื่อเทียบกับยอดเขาเชียนเจวี๋ยกลับแตกต่างทว่างดงามเฉกเช่นกัน สิ่งใดที่เรียกว่าอิจฉาเพียงนกยวนยางไม่อิจฉาเทพเซียน ยามนี้หลินหว่านหรงรับรู้อย่างลึกซึ้ง  


 


 


สิ่งที่คลุมร่างเขาอยู่ตอนนี้คือชุดยาวของหนิงอวี่ซี กลิ่นหอมจางๆ แผ่กำจายเข้ามา ครั้นหวนนึกถึงคำสาบานบนยอดเขาเชียนเจวี๋ยคราก่อน เขาก็จมูกร้าวระบม จับมือนางเซียนขึ้นมาทันทีพร้อมพูดว่า “พี่สาว ขอยืมกระบี่ท่านใช้คราหนึ่ง!” 


 


 


ครั้นเห็นเขาหน้าดำคร่ำเคร่ง หนิงอวี่ซีจึงส่งกระบี่ที่อยู่ในมือนางให้เขาไป หัวเราะพร้อมพูดว่า “ทำอะไร?! เจ้าฝึกยุทธ์ไม่เป็นเสียหน่อย!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะ เหลียวมองรอบด้านหลายครา หาก้อนน้ำแข็งและหิมะขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อมติดกันสองก้อน เขาหัวเราะร่าแล้วพุ่งปราดเข้าไป ทำท่าทางอยู่หลายครั้ง จากนั้นถึงรู้สึกพึงพอใจ เขาหันหน้ากลับมาพร้อมหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ท่านรอข้าสักครู่นะ!” 


 


 


เขาถือกระบี่แล้วแกะสลักก้อนน้ำแข็งและหิมะ หันหน้ากลับมามองประเมินร่างกายนางเซียนหนิงไม่หยุด บางครั้งส่ายศีรษะ บางครั้งก็ผงกศีรษะ ก้อนน้ำแข็งและหิมะนั้นปรากฏเป็นรอยบางจางๆ หลายเส้น 


 


 


เมื่อเห็นเขาแกะสลักอย่างระมัดระวังไม่หยุด หนิงอวี่ซีก็สงสัยยิ่งนัก เจ้าโจรน้อยซึ่งสมองมีแต่ความคิดพิเรนทร์คนนี้จะทำอะไรอีก? 


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด โจรน้อยมองซ้ายขวาบนล่าง ทันใดนั้นก็พ่นลมหายใจยาวออกมา ปรบมือด้วยความคึกคัก “เสร็จแล้ว เสร็จแล้ว พี่สาวนางเซียน ท่านรีบมาดูเร็วเข้า!” 


 


 


เขาขยับวูบ หนิงอวี่ซีมองไปทางน้ำแข็งแกะสลักนั้น จากนั้นก็ร้องอ๊ะออกมาทันที ตกใจจนนิ่งงันไป นั่นคือชุดกระโปรงขาวซึ่งแกะสลักจากก้อนน้ำแข็งอันขาวบริสุทธิ์ มีขนาดเท่ากับนาง บนยอดศีรษะเจาะให้ว่างเปล่าเป็นรูปผืนผ้าสีขาวสะอาด ราวกับเป็นผ้าคลุมหน้าที่กำลังลอยอยู่ตามสายลม คอเสื้อทรงลูกท้อ เผยไหล่ทั้งสองออกมาเล็กน้อย บริเวณที่รัดเอวเป็นแถบผ้ายาวแถบหนึ่ง กำลังพลิ้วไสวเบาๆ ตั้งแต่ส่วนเอวลงไป กระโปรงยาวฟูฟ่องพลิ้วไหว ชายกระโปรงสีขาวสะอาดดั่งปทุมชาติสีขาวที่กำลังเบ่งบาน เลียบไปตามพื้นน้ำแข็งทอดยาวออกไปไกล 


 


 


ชุดกระโปรงยาวจากน้ำแข็งหิมะอันวิจิตรนี้กระจ่างใสวับวาวไปทั้งตัว ส่องประกายภายใต้แสงไฟ เปล่งประกายเจิดจรัส ราวกับเป็นผลึกแก้วอันน่าลุ่มหลงมากที่สุด งดงามมากที่สุดบนโลกนี้ 


 


 


นางเซียนมองอย่าเหม่อลอย ดวงตาเปล่งประกายงดงาม พูดพึมพำออกมาว่า “โจรน้อย นะ…นี่คืออะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “นี่น่ะหรือ ที่บ้านเกิดของข้าเรียกว่าชุดเจ้าสาว มีเพียงสตรีที่มีความสุขมากที่สุดเท่านั้นถึงจะสวมใส่ได้ ชาตินี้สวมได้แค่ครั้งเดียว ชุดเจ้าสาวที่ทำจากน้ำแข็งบริสุทธิ์นี้ก็มีแค่ชุดเดียวเท่านั้น 


 


 


“ชุดเจ้าสาว?!” หนิงอวี่ซีลูบไล้ด้วยความรักใคร่ไม่ยอมวางมือ ใบหน้าแดงระเรื่อ “อยู่ดีไม่ว่าดีเจ้าทำชุดเจ้าสาวนี้ทำไมกัน?!” 


 


 


หลินหว่านหรงจับมือนางพร้อมกล่าวระคนหัวเราะเบาๆ “พี่สาว ท่านจำไม่ได้หรือ ตอนอยู่บนยอดเขาเชียนเจวี๋ยข้ารับปากท่านแล้วว่าต้องทำชุดที่งดงามมากที่สุดให้ท่านชุดหนึ่ง…ก็คือชุดนี้นี่ล่ะ ข้าคิดว่าชาตินี้ข้าคงหาผลงานที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว พี่สาว ท่านชอบหรือไม่” 


 


 


แม้จะเป็นหนิงอวี่ซีที่เป็นนางเซียนซึ่งไม่ข้องแวะกับทางโลกก็ยังนิ่งงันไปโดยไม่อาจสะกดกลั้นได้ น้ำตากระจ่างใสร่วงเผาะ ราวกับสายน้ำที่ตกลงมาไม่หยุดยั้ง นางเบือนหน้าไปพลางร่ำไห้เบาๆ อย่างเงียบงัน “เจ้า เจ้าโจรนี่ทำให้คนแค้นใจยิ่งนัก…” 


 


 


หลินหว่านหรงกอดนางไว้ “พี่สาว ท่านยังไม่พูดเลยว่าชอบหรือไม่?” 


 


 


“ข้า ข้า…” หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างเลื่อนลอย น้ำตาดุจสายฝน 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ เสียงดัง อุ้มนางขึ้นในทันที จากนั้นก็เดินไปยังชุดกระโปรงสีขาวอย่างแช่มช้า 


 


 


“จะ…เจ้าจะทำอะไร?!” นางเซียนหลบซ่อนอยู่ในอ้อมอกเขา ใจใกล้จะกระดอนออกมาแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงแหวกหิมะที่เหลือเอาไว้ออกไปแล้วยัดร่างนางเข้าไปในชุดสีขาว จากนั้นก็ตกแต่งให้เรียบร้อย หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างเหม่อลอย ทั้งยินดี ทั้งตกใจ น้ำตาพลันเปลี่ยนเป็นหิมะอันงดงามทันที 


 


 


หนิงอวี่ซีภายใต้ผ้าคลุมยิ้มทั้งน้ำตา ใบหน้าแดงด้วยความอาย ริมฝีปากดุจแต่งแต้มชาด คิ้วดั่งเทือกเขาที่ทอดตัวยาว ผิวกระจ่างใส ทั้งยังกระจ่างใจยิ่งกว่าน้ำแข็งนั้นเสียอีก กระโปรงขาวสุกสกาวเปล่งประกายสีรุ้งสดใส นางเซียนราวกับดั้นเมฆามา งามพิลาสล้นเหลือ! 


 


 


หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย “พี่สาวนางเซียน ข้า ข้า…” 


 


 


“เจ้าอะไร?!” หนิงอวี่ซีก้มหน้า กล่าวด้วยความอาย 


 


 


“ข้า…ข้าอยากจูบท่านคราหนึ่ง!” กลั้นอยู่นานจากนั้นถึงหลุดพูดประโยคนี้ออกมา เขาเองก็รู้สึกอายกระวนกระวายเช่นกัน ท่านย่ามัน! นับวันข้ายิ่งถอยหลังไปทุกทีแล้ว 


 


 


“พรืด” นางเซียนอดหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้ หน้าแดงมองเขาเปี่ยมล้นด้วยความเขินอาย “ชอบทำตัวไม่ซื่อ ข้าขอถามเจ้าหน่อย ชุดเจ้าสาวนี้ผู้ใดสอนเจ้าทำ?!” 


 


 


“ไม่มี ไม่มี ข้าเรียนด้วยตัวเอง!” เขารีบยกมือตอบ 


 


 


หนิงอวี่ซีอืมเบาๆ จากนั้นจึงพูดอีกว่า “เช่นนั้นเจ้ายังเคยทำให้ผู้ใดอีก อย่างเช่นศิษย์น้องอัน…” 


 


 


“ไม่มี ไม่มี ข้ากับพี่สาวอันเกิดจากความรัก หยุดที่จรรยามารยาท บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งกว่าน้ำหมึก…” หลินหว่านหรงเหงื่อแตกเต็มหน้า 


 


 


หนิงอวี่ซีร้องอ้อเรียบๆ พูดเบาๆ ออกมาว่า “เช่นนั้นวันหลังเจ้าจะทำให้นางชุดหนึ่งหรือไม่?!” 


 


 


“นี่ก็ นี่ก็…” หลินหว่านหรงมือเท้าใกล้จะสั่นแล้ว ถึงตายแล้วจริงๆ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางเซียนกลับมีใจถามคำถามแบบนี้ออกมาอีก แต่ละคำถามเห็นชัดว่าเป็นกับดัก น่าแค้นใจที่ข้ากลับไม่อาจตกลงไปได้ 


 


 


“ตอบยากมากใช่หรือไม่?” นางเซียนหนิงมองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม 


 


 


“บางที อาจจะไม่เหนือความคาดหมาย น่าจะใช่…” เขาอ้อมไปอ้อมมา มองประเมินสีหน้าของหนิงอวี่ซีไม่หยุด รวบรวมความกล้าบอกสิ่งที่ตัวเองคิดอยู่ในใจออกไปจนหมด 


 


 


นางเซียนค้อนเขาคราหนึ่งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ยอมผิดต่อฟ้า ทว่าไม่ยอมผิดต่อมโนธรรม ถือว่าเจ้ายังรู้จักคำว่าความรู้สึกนี้! ศิษย์น้องอันดีต่อเจ้าขนาดนั้น หากเจ้ากล้าพูดจาผิดต่อมโนธรรม หึ อย่าหวังว่าข้าจะสนใจเจ้าอีกต่อไป!” 


 


 


นางเซียนอยู่ด้วยไม่ง่ายเลยจริงๆ นะ ป่านนี้แล้วยังไม่ลืมทดสอบข้าอีก! เขารีบเช็ดเหงื่อ หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “นั่นสิๆ ฟ้าดินมีความเที่ยงธรรม เป็นคนต้องมีมโนธรรม เป็นมาตรฐานในการเป็นคนของข้ามาตลอดเลย ทุกคนต่างรู้กัน!” 


 


 


“ทำตัวพิเรนทร์!” นางเซียนตำหนิเบาๆ คราหนึ่ง จู่ๆ ก็ก้มหน้าลงด้วยความเอียงอาย “โจรน้อย เจ้ามานี่!” 


 


 


“อ้อ” หลินหว่านหรงกระโดดเข้าไปหาสองสามก้าว ทว่าในใจกลับเต้นรัว สวรรค์คุ้มครอง ใครจะไปรู้ว่านางเซียนจะออกแบบทดสอบยากเย็นอะไรให้ข้าอีกบ้าง? รู้แบบนี้ตั้งแต่แรกจะทำการบ้านให้มาก ศึกษาจิตวิทยามาสักหน่อย 


 


 


นางเซียนใบหน้าแดงซ่าน ท่าทางอ้ำอึ้ง ลังเลแล้วลังเลอีก จากนั้นถึงเอ่ยออกมาเบาๆ “ชุด…ชุดเจ้าสาวนี้ ทำให้ข้าจริงหรือ?” 


 


 


คำถามนี้นี่เอง หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว รีบผงกศีรษะไม่หยุด “แน่นอน ที่นี่ยังมีผู้อื่นอีกหรือ” 


 


 


น้ำตาสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน นางเซียนเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง แม้แต่หลินหว่านหรงเข้าไปใกล้นางแล้วก็ยังได้ยินไม่ชัด 


 


 


“อ๊ะ พี่สาว ท่านพูดอะไรนะ เสียงดังสักหน่อย?!” เขารีบไล่ถาม 


 


 


หนิงอวี่ซีหน้าแดงก่ำ งามล้ำเลิศประดุจเซียนท่ามกลางประกายน้ำตา มองเขาด้วยความอายและหงุดหงิดคราหนึ่ง “…ชุดนี้งามมาก ข้า ข้าชอบมาก…” 


 


 


“จริงหรือ?!” หลินหว่านหรงกระโดดพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ข้าชอบชุดนี้มากเช่นกัน ชอบเหมือนกับที่ชอบพี่สาว!” 


 


 


“โจรน้อย…” หนิงอวี่ซีเรียกพึมพำหลายครั้ง น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมา นางเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาทันที จากนั้นจึงก้มหน้าพร้อมเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้า เจ้าไม่มีชุดหรือ?!” 


 


 


ชุดของข้า? หลินหว่านหรงตะลึงงัน มองไปยังใบหน้าซึ่งแดงด้วยความอายของนาง เขาร้องด้วยความยินดีอย่างยิ่งทันที “มี ข้าก็มี ท่านรอเดี๋ยว!” 


 


 


เขากรีดบนผนังน้ำแข็งที่อยู่ด้านข้างชุดเจ้าสาวอย่างหมดจดรวบรัดไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็มุดเข้าไปอย่างรีบร้อน ด้วยความเร่งรีบจึงทำลวกๆ ไปสักหน่อย โชคดีที่ผู้ชายไม่ได้ให้ความสำคัญกับชุดเจ้าบ่าวเท่ากับผู้หญิง พยายามออกแรงอย่างเต็มที่กว่าจะสอดฝ่ามือออกมาจากตัวน้ำแข็งได้ จากนั้นเขาจึงกุมมือหนิงอวี่ซีแน่นพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “นี่ก็คือชุดเจ้าบ่าวของข้า!” 


 


 


เมื่อเห็นว่าบนศีรษะเขามีเศษน้ำแข็งและหิมะอยู่เต็มไปหมด นางเซียนก็มือสั่นเล็กน้อย ขนตายาวกระเพื่อมไหว ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนใบหน้าแดงซ่าน “เป็นตายอยู่จาก เคยกล่าวกับท่านไว้…” 


 


 


นางจับมือเขาแน่น เมื่อกล่าวประโยคนี้จบก็ก้มหน้าไปจนถึงหน้าอกด้วยความขวยเขิน ดูจากเจตนาคือต้องการให้เขาพูดประโยคต่อไป 


 


 


เอ๊ะ กลอนนี้ฟังแล้วคุ้นหูมากนะ หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมอ้าปาก ทว่าสีหน้ากลับแปรเปลี่ยนยกใหญ่ แย่แล้ว ประโยคต่อไปต่อว่าอะไรล่ะ?!  

 

 


ตอนที่ 578 - 1 ขอกุมมือท่าน

 

เหงื่อเย็นไหลพรั่งพรู ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้เหตุใดข้าถึงลืมประโยคถัดไปนั้นไปได้นะ? นี่เขาเรียกว่าโรคความจำเสื่อมจากความตื่นเต้นยินดี ยิ่งร้อนใจก็ยิ่งนึกไม่ออก เมื่อเห็นว่าสีหน้านางเซียนค่อยๆ แปรเปลี่ยน เขาก็ร้อนใจจนหน้าแดงก่ำจนเกือบจะกระเด้งแล้ว 


 


 


รออยู่เนิ่นนานก็ไม่ได้รับคำตอบจากเขา นางเซียนสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว น้ำตาพลันคลอเบ้า ดวงหน้างดงามซีดเผือดภายในชั่วพริบตา “โจรน้อย เจ้า เจ้าไม่ยินดี…” 


 


 


“เปล่าเสียหน่อยๆ” หลินหว่านหรงร้อนรนจนหน้าซีดแล้ว หัวเร่าะร่า “จิตใจของข้าพี่สาวท่านยังไม่รู้อีกหรือ?” 


 


 


หนิงอวี่ซีดวงหน้าแดงเข้ม ก้มหน้าลงพร้อมกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่พูด?!” 


 


 


ข้าน่ะอยากพูด แต่มันลืมนี่นา! เขาหัวเราะฮิฮะแห้งๆ เล็กน้อย “พี่สาว ท่านก็รู้นี่ว่าช่วงนี้ข้าใช้สมองมากเกินไป…ต่อไปคืออะไรพอจะชี้แนะได้หรือไม่?” 


 


 


นางเซียนนิ่งอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะพรวดออกมาทันที รีบเบือนหน้าไปในบัดดลพร้อมกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ “ไม่ได้ร่ำเรียนก็ไม่ได้ร่ำเรียนสิ มาพูดว่าใช้สมองมากเกินไปอะไรกันอีก…หากเจ้านึกไม่ออก เช่นนั้นก็…” 


 


 


“ใครบอกว่าข้านึกไม่ออก ข้าล้อท่านเล่นน่ะ” หลินหว่านหรงกุมมือน้อยของนางแน่นพลางหัวเราะร่า มองดวงพักตร์งามพิลาสล้ำเลิศของนาง ทั้งชื่นชอบทั้งรักใคร่ทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูก เขาประชิดข้างใบหูนางพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยนและหนักแน่นว่า “…เป็นตายอยู่จาก เคยกล่าวกับท่านไว้ ขอกุมมือท่าน อยู่กับท่านจนแก่จนเฒ่า! พี่สาว ข้าท่องตำราท่องดีหรือไม่?” 


 


 


ดวงหน้าของหนิงอวี่ซีประดุจแต่งแต้มสีชาด เขินอายอย่างยากจะทานทน ส่งเสียงคราหนึ่งแล้วก้มหน้าลงไป “เจ้าโจรคนนี้นี่ มาหลอกให้ข้าดีใจอีกแล้ว” 


 


 


เกือบตายแล้วไหมล่ะ อ่านหนังสือ! กลับบ้านแล้วจะต้องอ่านหนังสือให้ดี! เขาแอบเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้า ครั้นเห็นนางเซียนภายใต้ชุดกระโปรงขาวสะอาดแฝงแววตำหนิเล็กน้อยก็เอียงอายเบาๆ ผิวขาวเหนือล้ำกว่าหิมะ ดั่งเทพธิดาฉางเอ๋อจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาสู่แดนดิน เขามองจนเหม่อลอย พูดพึมพำออกมาว่า “พี่สาว ท่านช่างงามเสียจริง!” 


 


 


หยาดน้ำตาทำให้สองตาพร่ามัว หนิงอวี่ซีก้มหน้าลงไป กล่าวเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนออกมา “ดวงหน้างดงามเปล่งปลั่งเบาบางดุจกระดาษ ช่วงเวลาอันสวยงามเจือจางดุจน้ำค้าง ข้าอายุมากกว่าเจ้าหลายสิบปี รอวันที่ข้าผมเผ้าหงอกขาว ร่างกายแห้งเ**่ยวผ่ายผอมราวท่อนฟืน เจ้ายังจะพูดเช่นนี้กับข้าอีกหรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ คราหนึ่ง จับมือนางแน่นแล้วเอ่ยว่า “พี่สาว ท่านรู้หรือไม่ว่าเรื่องที่มีความสุขมากที่สุดบนโลกมนุษย์คือสิ่งใด?” 


 


 


“คือสิ่งใด?” นางเซียนเงยหน้าขึ้นมาพร้อมมองเขาน้อยๆ  


 


 


“ความแก่ชราคือเครื่องพิสูจน์อันเป็นนิรันดร์ของความสุข!” หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย “ข้านึกถึงเรื่องที่มีความสุขมากที่สุดได้ นั่นก็คือจูงมือท่าน ค่อยๆ แก่ชราไปพร้อมกับท่าน!” 


 


 


หนิงอวี่ซีมองเขาอย่างเลื่อนลอย น้ำตาไหลรินออกจากเบ้าตาทันที รู้สึกเพียงว่าประโยคนี้ของโจรน้อยได้กวักจิตวิญญาณของตนออกไปในบัดดล นางร้องไห้ไปหัวเราะไป กุมมือของเขาราวกับจะให้มันหลอมเข้าสู่กระแสธารโลหิตของตน น้ำตากระจ่างใสร่วงเผาะๆ ไหลทอดยาวอยู่ข้างแก้ม ทั้งสองต่างกุมมือกัน ใจเชื่อมประสานกัน ช่วงเวลานี้พลันชะงักงันกลายเป็นชั่วนิรันดร์ 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดนางเซียนถึงคืนสติกลับมาจากบรรยากาศนี้ นางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ทอดสายตามอง หลินหว่านหรงพร้อมยิ้มด้วยความเอียงอาย 


 


 


“พี่สาว เป็นอะไรหรือ?!” หลินหว่านหรงรีบถาม 


 


 


หนิงอวี่ซีจูงเขาให้เดินออกมาเบาๆ หันหน้ากลับไปจ้องมองชุดกระโปรงยาวซึ่งทำมาจากหิมะและน้ำแข็งอันกระจ่างใสนั้น ดวงตาทอประกายอาวรณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ “ข้าต้องการนำชุดเจ้าสาวนี้ไปด้วย! โจรน้อย เจ้าฉลาดมากขนาดนั้น คิดวิธีให้ข้าได้หรือไม่?” 


 


 


เอาไป? ชุดเจ้าสาวนี้ทำมาจากน้ำแข็งและหิมะ หากเจอความร้อนสูงนิดเดียวก็ละลายแล้ว แล้วจะเอาไปได้อย่างไร? พูดกันว่าผู้หญิงพอมีความรักก็จะโง่เขลา ช่างไม่ผิดแม้แต่น้อยเลยนะ แม้แต่โฉมสะคราญผู้ล้ำเลิศเช่นนางเซียนนี้ก็ปราศจากข้อยกเว้น 


 


 


หนิงอวี่ซีเอื้อนเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานข้างใบหูเขา ดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความรักใคร่ หลินหว่านหรงใจวูบวาบ หัวเราะแห้งๆ สองครั้งแล้วพูดว่า “พี่สาว เทียนซานหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี หนาวเย็นทั้งสี่ฤดู ชุดเจ้าสาวที่เป็นหนึ่งไม่มีสองบนโลกตัวนี้ก็ควรทิ้งไว้ที่นี่ เชื่อว่าท่านก็ไม่อยากเห็นมันละลายเช่นกันกระมัง?” 


 


 


นางเซียนไหนเลยจะไม่รู้เหตุผลนี้ ครั้นเห็นโจรน้อยหมดหนทางเช่นกัน นางจึงทำได้เพียงผงกศีรษะอย่างจนใจ หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านก็อย่าผิดหวังไปเลย ชุดกระโปรงยาวซึ่งทำจากหิมะและน้ำแข็งนี้แม้จะงดงาม แต่สุดท้ายก็นำไปด้วยไม่ได้ รอให้พวกเรารบเสร็จและกลับไปแล้ว ข้าจะคิดหาหนทาง ทำชุดเจ้าสาวของจริงให้ท่านชุดหนึ่ง ให้สวยกว่าตัวนี้ขึ้นไปอีก!” 


 


 


“จริงหรือ?!” นางเซียนเงยหน้าทันที มองเขาด้วยความยินดีปรีดา 


 


 


“แน่นอนสิ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ กล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง “ท่านลองคิดดูสิว่าตระกูลเซียวของพวกเราทำอะไร” 


 


 


พอรบเสร็จข้าจะกลับตระกูลเซียว พยายามศึกษาอย่างตรากตรำสักสามวันห้าวัน วาดโครงร่างของชุดเจ้าสาวออกมา จากนั้นก็ให้คุณหนูใหญ่คุมงานด้วยตัวเอง ทำด้วยมือล้วนๆ ทำมาสักสิบกว่าชุด เหล่าเมียอย่างนางเซียน จิ้งจอกอัน ชิงเสวียน เซียนเอ๋อร์ เฉี่ยวเฉี่ยว ทุกคนต่างสวมใส่กันคนละชุด แสดงนิทรรศการชุดเจ้าสาวต่อหน้าสามีเช่นข้า ยังจะไม่ทำให้บุรุษในแผ่นดินอิจฉาจนตายแล้วหรือ? วะฮะฮะฮ่า! เมื่อคิดถึงช่วงที่น่าตื่นเต้นมากที่สุดก็อดชูมือโบกไปมา หัวเราะฮิฮะออกมาไม่ได้ 


 


 


หนิงอวี่ซีรู้เช่นกันว่าการทอผ้าของตระกูลเซียวแห่งเมืองจินหลิงถือเป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ด้วยสถานะของเจ้าโจรน้อยคนนี้ที่ตระกูลเซียวแล้ว ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขาอยากทำก็ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่สำเร็จ ครั้นเห็นเขาทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ เต็มไปด้วยความกระหยิ่มใจ นางก็ตำหนิออกมาเบาๆ คราหนึ่ง “หัวเราะเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเสียขนาดนั้น ต้องไม่ได้คิดเรื่องดีอะไรแน่” 


 


 


“ย่อมไม่ได้คิดเรื่องดีอะไรแน่นอน” หลินหว่านหรงจับมือนาง กล่าวอย่างมีเลศนัยออกมาว่า “พี่สาว ตามประเพณีของพวกเรา เมื่อสวมชุดเจ้าสาวและให้คำสาบาน นั่นก็เท่ากับการคารวะฟ้าดิน! ต่อจากนั้นควรพิจารณาถึงเรื่องเข้าหอได้แล้วล่ะ ฮิๆ!” 


 


 


เมื่อเขาพูดพร้อมรอยยิ้มลามกจบ นางเซียนก็หน้าแดงก่ำ ทันใดนั้นนางก็มีสีหน้าเหม่อลอย ดวงหน้าอันงดงามซีดราวกับกระดาษทันที แม้แต่มือน้อยที่กุมอยู่ในฝ่ามือก็กลายเป็นเย็นเฉียบอย่างล้นเหลือ 


 


 


หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตกใจยิ่งนัก รีบใช้สองมือประคองมืองามของนางไว้ “พี่สาวนางเซียน ท่านเป็นอะไรไป?! ท่านกลัวใช่หรือไม่ เช่นนั้นตอนนี้พวกเรายังไม่พูดถึงเรื่องเข้าหอก่อนก็ได้ อยู่ห้องเดียวกันก็พอ!” 


 


 


ใบหน้าที่ซีดเผือดของหนิงอวี่ซีค่อยๆ ซับสีแดงระเรื่อเล็กน้อย นางน้ำตานองหน้าทันทีพร้อมร่ำไห้ออกมา “โจรน้อย ข้า…ข้าผิดต่อชิงเสวียน!” 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าของหนิงอวี่ซีก็รู้ถึงความคิดนาง นางเซียนรู้สึกละอายใจ ดังนั้นถึงไม่กล้าปล่อยใจให้มีความสุข หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะร่าพร้อมพูดว่า “พี่สาววางใจเถิด เรื่องนี้ข้าต้องพูดกับชิงเสวียนให้เข้าใจแน่…” 


 


 


“หยะ อย่า!” นางเซียนตกใจทันที หน้าซีดเผือด ต่อให้นางเป็นนางเซียน แม้นางจะเป็นนางเซียนผู้งามพิลาสเฉิดฉัน เมื่อตกลงสู่โลกมนุษย์ก็ไม่ต่างจากสตรีที่อยู่ในห้วงวังวนแห่งโลกโลกีย์ 


 


 


“ต้องสิ ต้องแน่นอน!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พูดเรื่องนี้กับชิงเสวียนให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่เพียงให้เกียรติต่อนางเซียนเช่นท่าน แต่นี่ก็เป็นการให้เกียรติชิงเสวียนด้วย ข้าเป็นสามีของชิงเสวียน ท่านเป็นอาจารย์ของชิงเสวียน ปิดประตูแล้วก็คือคนบ้านเดียวกัน ทุกคนนั่งล้อมวง สนิทสนมกลมเกลียว กะหนุงกะหนิง มีอะไรให้ต้องมาปรึกษาหารือกัน” 


 


 


“ก็มีแต่เจ้าที่คิดเพ้อเจ้อ” หนิงอวี่ซีหน้าแดง ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ชิงเสวียนนิสัยหยิ่งผยอง แล้วจะรับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร หากต้องทำร้ายนาง ข้ายอมไม่พบเจ้าทั้งชาติ!” 


 


 


นางพูดจามีหลักการ น้ำเสียงยืนกราน หลินหว่านหรงรู้นิสัยนางดีเช่นกัน เรื่องที่นางเซียนตัดสินใจไปแล้วแทบไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก เชือกขาดบนยอดเชียนเจวี๋ยถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เขารีบหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย “พี่สาวนางเซียนคิดไปถึงไหนแล้ว ชิงเสวียนเป็นเมียที่ดีที่สุดของข้า แล้วข้าจะไปทำร้ายนางได้อย่างไร ท่านวางใจเถิด ชิงเสวียนจิตใจดีงามขนาดนั้น อีกทั้งข้าก็ฉลาดเพียงนี้ จะต้องคิดหาหนทางได้แน่ ความสามารถของข้า หรือว่าท่านก็ยังไม่รู้อีกหรือ?” 


 


 


เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ตนประสบพบเจอ หากเอ่ยถึงฝีมือในการหลอกให้สตรีดีใจ โจรน้อยสมกับคำว่าเลิศภพจบแดนสี่คำนี้จริง หนิงอวี่ซีหน้าแดงซ่าน แค่นเสียงเบาๆ ออกมา “ข้าอยากรู้ก็แค่นั้น ไหนเลยถึงตาเจ้ามาผูกมัดข้า!” 


 


 


เห็นว่าเจ้าโจรน้อยเชื่อมั่นเต็มอก มั่นอกมั่นใจเต็มที่ หนิงอวี่ซีก็ถอนหายใจเล็กน้อย เรื่องนี้เมื่อมาอยู่ที่ตนแล้วมันช่างเหนื่อยเสียเหลือเกิน ให้เขาจัดการไปก็แล้วกัน มีบ่าของโจรน้อยแบกอยู่ข้างหน้าอะไรก็ดีทั้งนั้น เมื่อคิดเช่นนี้พลันรู้สึกปลดภาระออกไปมาก ร่างกายค่อยๆ ผ่อนคลายลง นางอดมองเขาพร้อมแย้มยิ้มออกมาไม่ได้ งามพิลาสเหนือคำบรรยาย  

 

 


ตอนที่ 578 - 2 ขอกุมมือท่าน

 

หลินหว่านหรงมองจนถูกกวักขวัญและวิญญาณไป เขาประชิดข้างใบหูนางพร้อมพูดเบาๆ “พี่สาวนางเซียน รอให้ข้าโน้มน้าวชิงเสวียนได้แล้ว พวกเราก็จะเข้าห้องหอด้วยเช่นกัน?! ข้าไม่ได้เข้าห้องหอมานานมากแล้ว!” 


 


 


“เหอะ” นางเซียนหน้าแดงถึงใบหูทันที เหลือบมองเขาด้วยความเขินอายและอับจนปัญญาหลายครั้ง “เข้าห้องหออะไรกัน วันๆ เจ้าเอาแต่คิดเรื่องพวกนี้หรือ” 


 


 


“ดูพี่สาวท่านพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยหรือ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม “ข้าเป็นถึงขุนพลใหญ่ซึ่งปกครองไพร่พลนับพันนับหมื่นอยู่ในมือ ภารกิจกองทัพยุ่งวุ่นวายทุกวัน เพียงแต่ช่วงเวลาว่างที่อยู่แสนจะน้อยนิดนั้นถึงจะนึกถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้เป็นบางคราว ไม่ควรค่าแก่การให้เอ่ยถึง ไม่ควรค่าแก่การให้เอ่ยถึง!” 


 


 


นางเซียนมองเขา พูดพร้อมกลั้นหัวเราะออกมาว่า “พูดเช่นนี้ เวลาว่างของเจ้ากลับมีอยู่ไม่น้อยเลยนะ!” 


 


 


หักหน้า! คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พี่สาวนางเซียนที่เรียบเฉยสงบนิ่งสง่างามจะรู้จักหักหน้าข้าด้วย ช่างสมกับคำว่านับวันคุณธรรมถดถอย ใจคนไม่เหมือนเดิมเสียจริงนะ! เขาส่ายหน้าพร้อมถอนใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า 


 


 


“เจ้านี่นะ” ครั้นเห็นเขามีสีหน้าฮึดฮัดราวกับเด็กที่แอบขโมยกินไม่สำเร็จ หนิงอวี่ซีก็ใจอ่อน สุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้ นางจับมือเขาพร้อมพูดด้วยความเขินอาย “การบำเพ็ญเพียรของข้าถูกทำลายด้วยเงื้อมมือเจ้า นอกจากอยู่เคียงข้างติดตามเจ้าแล้ว ยังจะไปที่ใดได้อีกเล่า? เจ้าทึ่มคนนี้นี่!” 


 


 


“จริงหรือ?” หลินหว่านหรงกะพริบตา หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “พูดเช่นนี้ข้าก็วางใจแล้ว พี่สาวไม่ต้องร้อนใจ สิ่งที่ข้ามีก็คือความอดทนและเวลา รอไปสิบปีแปดปีก็ไม่เป็นปัญหา” 


 


 


ข้าร้อนใจอะไรกัน? เจ้าโจรคนนี้ได้เปรียบแล้วยังจะมาทำไขสืออีก นางเซียนมองค้อนเขาด้วยความอายและโมโห แต่เพียงเห็นหน้าตายิ้มทะเล้นของเขาก็รู้สึกจิตใจอบอุ่นขึ้นมาทันที ความหงุดหงิดกลัดกลุ้มทั้งหลายต่างปลาสนาการไปในบัดดล ช่างน่าอัศจรรย์นัก 


 


 


ทั้งสองอิงแอบแนบชิด สนทนากันอย่างหวานชื่น บางครั้งเขาก็เอารัดเอาเปรียบบ้าง ทำให้ตนใจเต้นแรงอยู่หลายหน ถือเป็นความสุขอย่างล้นเหลือ โจรน้อยชอบเล่านิทาน แทรกเรื่องวับๆ แวมๆ สองแง่สองง่าม ทุกครั้งต่างต้องทำให้นางเซียนใบหน้าใบหูแดง ทุกเสี้ยวนาทีที่ได้อยู่กับโจรน้อยก็ต้องร่วงลงนรกหนึ่งฉื่อแต่ความรู้สึกนี้ก็ดันดียิ่งนัก ทำให้คนยากที่จะปฏิเสธ สมกับคำโบราณที่ว่ายิ่งร่วงลงสู่ที่ต่ำก็ยิ่งมีความสุขประโยคนั้นเสียจริง 


 


 


ทั้งสองอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ถึงกระนั้นกลับมีความสุขยิ่งนัก สมกับความรู้สึกของในขุนเขาไร้กาลเวลา คืนวันผันผ่านไม่รู้เดือนปีเสียจริง  


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหนิงอวี่ซีก็ทนไม่ได้ จนพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงไม่ถามข้าว่าพวกเราจะออกไปได้อย่างไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างมีความสุข “โลกภายนอกสลับซับซ้อนเกินไป ข้าเป็นนกยวนยางคู่ที่มีความสุขอยู่ที่นี่กับพี่สาวจะอิสรเสรีเพียงใดกัน…พูดเหนื่อยแล้ว มา หอมทีหนึ่ง!” 


 


 


หนิงอวี่ซีขยับวูบหลบอ้อมกอดหมีของเขา หน้าแดงพลางป้องปากหัวเราะเบาๆ “เจ้าอย่ามาพูดขัดต่อมโนธรรมเลย เมื่อครู่ไม่รู้ว่าผู้ใดเคาะไปทุกหนแห่ง ตามหาซอกที่อยู่ระหว่างหิมะน้ำแข็งนั่น คิดว่าข้าไม่เห็นอย่างนั้นหรือ?!” 


 


 


รู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไรก็ปิดนางเซียนไม่มิด หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ “ที่จริงข้าเป็นห่วงพี่น้องที่อยู่ข้างบนอยู่บ้าง พอไม่มีข้าแล้วพวกเขาก็เหมือนสูญเสียแสงประทีปนำทาง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะร้อนใจจนมีสภาพเช่นใดแล้ว?!” 


 


 


นางเซียนแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง พูดด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เป็นห่วงแค่พวกเขา? ข้าว่าไม่น่าใช่กระมัง การอ้อมค้อมเป็นสิ่งที่เจ้าถนัดมากที่สุด…ไม่ต้องมาถลึงตาใส่ข้า นี่เป็นสิ่งศิษย์น้องอันพูดเอาไว้ ไม่ใช่ข้าแต่งขึ้นมา!” 


 


 


แม่เอ๊ย! หรือว่าในสายตาของนางจิ้งจอกอัน ข้าจะไม่มีความลับอะไรทั้งสิ้น? โชคยังดีที่ส่วนลับของข้ามีไฝตำหนิอยู่เม็ดหนึ่ง นางน่าจะยังไม่เห็น ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่กลายเป็นหมูเผือกน้อยที่เดินโทงๆ แล้วหรอกหรือ 


 


 


หัวเราะฮิฮะหลายครั้ง จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่นางเซียนเคยพูดไว้ได้ อวี้เจียเหลือเวลาชีวิตอยู่ไม่กี่เดือนแล้ว ด้วยนิสัยใจคอของหนิงอวี่ซีย่อมไม่มีทางหลอกลวงแน่ บวกกับฝีมือของพี่สาว เรื่องนี้จริงสิบเต็มสิบ! เขารู้สึกเสียใจอย่างน่าประหลาด ส่ายหน้าอย่างจนใจพร้อมถอนหายใจยาวคราหนึ่ง  


 


 


มืองามอุ่นร้อนข้างหนึ่งจับมือของเขาแน่น “โจรน้อย เจ้าอยากออกไปมากจริงหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงตอบด้วยความอับจนปัญญา “คิดไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้พวกเราอยู่ใจกลางภูเขานับร้อยจั้ง แล้วจะออกไปได้อย่างไร?” 


 


 


“โง่จริง!” หนิงอวี่ซีหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “ข้าพาเจ้ามาได้ก็ย่อมพาเจ้าออกไปได้เช่นกัน” 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา กระเด้งขึ้นมาในบัดดล เขากอดนางพร้อมร้องเสียงดัง “พี่สาว ท่านพูดจริงหรือ? พวกเราออกไปได้จริงหรือ?” 


 


 


เขาเหลือบมองหลายครั้ง สายตาไปอยู่บนกระบี่ชิวสุ่ยที่อยู่ในมือหนิงอวี่ซี จากนั้นจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านคงไม่ได้คิดจะใช้กระบี่ขุดทางออกไปหรอกนะ? นี่ทำไม่ได้ จะทำลายถ้ำแห่งความสุขของพวกเรา!” 


 


 


นางเซียนหนิงกุมมือของเขาแน่นพร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน “สถานที่แห่งนี้มีอาภรณ์ที่งดงามมากที่สุดบนโลก ข้าไม่มีวันทำลายมันแม้แต่กระผีกเดียว ขอเพียงเจ้าอยากออกไป ข้าก็มีวิธี” 


 


 


หลินหว่านหรงหยุดชะงัก จากนั้นก็ส่ายหน้าทันที “อย่าออกไปก่อนเลยจะดีกว่า ยากนักที่จะได้อยู่อย่างผ่อนคลายสบายใจกับพี่สาวนางเซียนสักหลายวันเช่นนี้ พวกเราก็มาครองคู่ชู้ชื่น ใช้ชีวิตที่มีความสุขสักหลายวันกันเถอะ” 


 


 


นางเซียนหนิงมองเขาอย่างเลื่อนลอยหลายครั้ง ดวงเนตรอันงดงามพลันเปียกชื้น “เจ้าอย่าเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้มาหลอกให้ข้าดีใจ หากเจ้าถูกขังอยู่ที่นี่จริงจนทำให้เสียการใหญ่ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบาปไปชั่วกาลนานหรือ?! ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกน่า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะแห้งๆ เล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี ดังนั้นจึงทำได้เพียงกอดนางอยู่ในอ้อมอกแน่น สัมผัสความรักที่ส่งผ่านมาจากร่างกายนาง 


 


 


หนิงอวี่ซีจูงเขามาที่ปากถ้ำ ลมหนาวภายในถ้ำปะทะใบหน้า เจ็บปวดราวกับมีดกรีด นางหยิบกระบี่ออกมา ไม่รู้ใช่กลอันใด กระบี่เล่มนั้นกลับแยกออกเป็นสอง หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตาโตอ้าปากค้าง “พี่สาว ข้าให้เงินท่านก้อนหนึ่ง ท่านเปลี่ยนเป็นสองก้อนให้ข้าเถอะ” 


 


 


หนิงอวี่ซีหัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง “ไม่รู้จักทำตัวจริงจัง เห็นหน้าผาน้ำแข็งฝั่งตรงข้ามหรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ หน้าผาน้ำแข็งนั้นอยู่ห่างจากทางนี้แค่ไม่กี่จั้ง ย่อมมองเห็นชัดแน่นอน หนิงอวี่ซีเดาะกระบี่อยู่ในมือ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงขวับคราหนึ่ง กระบี่ในมือพุ่งปลิวไปอย่างรวดเร็ว ตรึงเข้าไปในตัวภูผาฝั่งตรงข้าม 


 


 


“พุ่งได้ดี พุ่งได้ดี!” หลินหว่านหรงปรบมือให้กำลังใจ 


 


 


นางเซียนมองค้อนเขา เดาะกระบี่น้อยที่ยังเหลืออยู่ในมือเล่มนั้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “วันนี้ปีนขึ้นไปเกรงว่าจะมีอันตรายอยู่บ้าง เจ้ากลัวหรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ต่อให้อันตรายอีกเพียงใด จะเทียบการข้ามผ่านโซ่ที่ยอดเขาเชียนเจวี๋ยนั้นได้หรือ? ตอนนั้นพวกเราเป็นศัตรูที่ข้าอยู่เจ้าม้วน” 


 


 


เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต หนิงอวี่ซีก็หน้าร้อน ทว่าในใจกลับอบอุ่น นางผงกศีรษะเล็กน้อย 


 


 


เสื้อคลุมตัวยาวที่อยู่บนร่างหลินหว่านหรงทิ้งไว้ให้อวี้เจียแล้ว สวมเพียงชุดเกราะอ่อนผ้าไหมเท่านั้น ของล้ำค่าชิ้นนี้ท่านพ่อตาฮ่องเต้ตรัสสั่งให้เกาฉิวนำมาให้เขาใช้ป้องกันตัว สร้างจากไหมแท้ แข็งแรงทนทานทว่าอบอุ่น แม้ถ้ำหิมะนี้จะหนาว แต่เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก 


 


 


หนิงอวี่ซีกลับไม่วางใจ ยังเอาชุดขาวของตนคลุมร่างเขาอีก นางวรยุทธล้ำเลิศ ย่อมไม่เกรงกลัวความหนาวเย็น ทว่าหลินหว่านหรงกลับซาบซึ้งจะแย่ จับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาว เมื่อก่อนชิงเสวียนเคยสอนข้าฝึกยุทธ์ ข้าแอบอู้ขี้เกียจ ตอนนี้ในที่สุดก็ตระหนักถึงความผิดพลาดขั้นรุนแรงนี้ได้แล้ว รอให้คราวนี้ออกไปได้ ท่านให้ข้ากินโอสถคืนชีพสักสิบเม็ด จากนั้นก็โสมพันปีอีกสักหลายร้อยต้น จากนั้นก็ใช้เวลาล้างไขกระดูกให้ข้าสักหลายวันเถอะ แบบนี้ข้าก็จะสำเร็จเป็นยอดของยอดฝีมือแล้ว!” 


 


 


“เจ้านึกว่ากำลังอ่านบันทึกจอมยุทธ์อยู่หรืออย่างไร? ไหนเลยจะมีโอสถคืนชีพ ล้างไขกระดูกอะไรนั่นได้? การฝึกยุทธ์ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียร เก็บเกี่ยวประสบการณ์เท่านั้น ปราศจากหนทางลัดใดๆ ทั้งสิ้น” หนิงอวี่ซีได้ยินแล้วก็ทั้งขำทั้งโมโห เจ้าคนนี้คิดแต่จะได้เรื่องดีๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ช่างเป็นสันดานของพ่อค้าหน้าเลือดจริงๆ 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง หนิงอวี่ซีไม่อาจหักใจสร้างความกระทบกระเทือนใจต่อเขามากเกินไปได้ ดังนั้นจึงจับมือเขาแล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบฝึกยุทธ์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องขอ อันที่จริงสิ่งที่เจ้ามีอยู่กับตัวตอนนี้ มีสิ่งใดบ้างที่ได้มาโดยอาศัยวรยุทธ์ ข้าชอบเจ้าที่เป็นเช่นนี้!” 


 


 


นางเซียนหน้าแดงสดใส แสดงความอ่อนโยนออกมาให้เห็นเล็กน้อย หลินหว่านหรงพลันคึกคักขึ้นมาทันที หัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ดี ดี พี่สาวนางเซียนสมแล้วที่เป็นผู้รู้จักหลักการอย่างลึกซึ้ง” 


 


 


เจ้าคนนี้นี่นะ ทนรับคำชมไม่ได้จริงๆ หนิงอวี่ซีหัวเราะพร้อมส่ายหน้า คลุมชุดให้เขาเรียบร้อย จากนั้นก็กุมมือของเขาแน่น ตวาดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “ขึ้น!” 


 


 


หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงมีเสียงลมดังวูบที่ใบหู ร่างกายยกขึ้น หนิงอวี่ซีท่าร่างงดงาม นางสะกิดปลายเท้าเบาๆ ภายในชั่วพริบตาก็เหยียบลงบนปลายกระบี่ที่อยู่บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม แม้จะเคยมีประสบการณ์เหินร่างข้ามหน้าผามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อทอดสายตามองลงไปในถ้ำซึ่งลึกไม่อาจคาดคะเนก้น เขาก็ยังอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้อยู่ดี 


 


 


หนิงอวี่ซียืนนิ่งอยู่บนปลายกระบี่ ไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งนางเซียนท่องคลื่น นางใช้มือหนึ่งจับหลินหว่านหรง ส่วนอีกมือซัดกระบี่ขึ้นที่สูงเสียงดังขวับไปอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“ขึ้น!” นางตวาดขึ้นมาอีกครั้ง เท้าสะกิดผนังศิลา ดึงกระบี่ที่รองรับเท้าออกมาจขณะที่ร่างอยู่กลางอากาศ เหินพุ่งขึ้นไป 


 


 


การเหินปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูงสลับไปมานี้พุ่งขึ้นสู่ยอดเขาราวกับขยับวนเป็นเกลียว การเดินทางครั้งนี้แม้จะอันตราย แต่กลับเพราะทั้งสองเคยร่วมผ่านยอดเขาเชียนเจวี๋ยกันมา ใจประสานใจกันตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงผ่อนคลายกว่าครั้งแรกมาก 


 


 


ไม่รู้ว่าทำไปกี่รอบ หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงมีเสียงลมดังหวีดหวิวอยู่ข้างใบหู เย็นเยียบน่าตื่นตระหนก เขาหลับตาไปตั้งนานแล้ว 


 


 


“โจรน้อย ดูเร็ว!” ข้างกายมีเสียงร้องเรียกของนางเซียนแว่วเข้ามา ข้างใบหูได้ยินเสียงกระแทกดังติงตังให้ได้ยินอยู่รำไร 


 


 


หลินหว่านหรงรีบลืมตามอง เห็นว่าบนยอดเขามีแสงตะเกียงหรุบหรู่อยู่หลายดวง เสียงดาบกระบี่กระแทกดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย เชือกหลายเส้นปล่อยลงมาจากยอดผา มัดคนไว้หลายคน กำลังเจาะบันไดบนหน้าผาทีละขั้นอยู่ 


 


 


ทันใดนั้นก็นึกถึงเหตุการณ์บันไดสวรรค์แห่งความรักขึ้นมา หลินหว่านหรงรู้สึกว่าฝ่ามือร้อนวูบ นางเซียนหน้าแดงระเรื่อ มองมาน้อยๆ เห็นชัดว่านึกถึงความทรงจำอันตราตรึงนี้ด้วยเช่นกัน 


 


 


“พี่หู ข้าอยู่ตรงนี้!” หลินหว่านหรงใจอุ่นร้อน ใช้มือป้องปากตะโกนเสียงดังไปทางยอดเขา  


 


 


เสียงลมเอื่อยเฉื่อยพัดพาเสียงตะโกนเขาไปหา ปมเชือกที่อยู่ด้านล่างสุดมัดคนไว้ผู้หนึ่ง ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก นางก้มลงมองทันที เผยให้เห็นดวงหน้าอันงดงาม น้ำตานั้นไหลพรากลงมาดั่งไข่มุกที่สายขาดสะบั้น “อัวเหล่ากง!”  

 

 


ตอนที่ 579 - 1 ใกล้แค่ตรงหน้า

 

“เป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์!” หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง ท่ามกลางความมืดมิดทำให้มองเห็นโฉมหน้าไม่ชัดเจน เพียงแต่เมื่อฟังเสียงกลับรู้ว่าคือผู้ใด  


 


 


ร่างอันอ่อนแอบอบบางของอวี้เจียมัดอยู่กับเชือก กำลังสั่นสะท้านท่ามกลางสายลมหนาว มือทั้งสองข้างของนางยึดผนังศิลาอันเย็นเฉียบแน่น กำลังก้มมองประเมินโพรงถ้ำอย่างถ้วนถี่ เนื่องจากอยู่ในความมืด ดังนั้นจึงมองเห็นได้เพียงเงาร่างของคนสองคนเท่านั้น และหนึ่งในนั้นต้องเป็นอัวเหล่ากงอย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


“น้องหลิน!” 


 


 


“แม่ทัพหลิน!” 


 


 


มีเสียงโห่ร้องยินดีเป็นบ้าเป็นหลังแว่วมาจากปลายเชือกอีกข้างหนึ่ง ที่แท้กลับเป็นเกาฉิวกับสวี่เจิ้น เขาสองคนกะพริบตามองลงไปเบื้องล่าง ยากเย็นนักกว่าจะมองเห็นร่างของหลินหว่านหรง จากนั้นจึงโบกมือให้เขาด้วยความตื่นเต้นยินดี 


 


 


เชือกขนาดใหญ่และหนาเส้นหนึ่งค่อยๆ หย่อนลงมาจากหน้าผาน้ำแข็ง เสียงห้าวและหยาบของหูปู้กุยดังมาจากด้านบน “ท่านแม่ทัพ เร็ว จับเอาไว้ ข้าจะดึงท่านขึ้นมา!” 


 


 


หลินหว่านหรงมองหนิงอวี่ซีแวบหนึ่ง นางเซียนผงกศีรษะเล็กน้อย คว้าจับเชือกเส้นนั้นไว้พร้อมออกแรงทดสอบความทนทาน จากนั้นถึงมัดเอวเขาอย่างแน่นหนาด้วยความระมัดระวัง  


 


 


เมื่อเห็นนางไม่เอื้อนเอ่ยวาจา หลินหว่านหรงก็รีบจับมือนาง พูดด้วยความร้อนใจออกมาว่า “พี่สาวนางเซียน ท่านห้ามหนี พวกเราขึ้นไปพร้อมกัน” 


 


 


โจรน้อยคนนี้คล้ายถูกตนเองทำให้ตกใจจนหวาดกลัวไปแล้ว หนิงอวี่ซีปล่อยพรวดออกมา หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “การบำเพ็ญพรตถูกเจ้าทำลายไปแล้ว ข้ายังจะหนีไปที่ใดได้อีก?” 


 


 


นางหยิบผ้าคลุมสีขาวสะอาดออกมาจากอกผืนหนึ่งแล้วนำมาปิดบังใบหน้าอันงามพิลาสล้ำเลิศ เหลือเพียงดวงตาเปล่งประกายงดงามคู่หนึ่งเท่านั้น กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมล้นด้วยความรัก หลินหว่านหรงนิ่งงัน รีบพูดขึ้นมาว่า “พี่สาว นี่ท่านทำอะไร” 


 


 


หนิงอวี่ซียิ้มเล็กน้อย “เจ้าลืมฐานะของข้าแล้วหรือ” 


 


 


นางเซียนเคยเป็นผู้นำฝ่ายยุทธ์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งปฐพี เป็นนางเซียนผู้สูงส่งบริสุทธิ์ภายในใจของทุกคนในแผ่นดิน เคยเป็นที่เคารพเทิดทูนของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน หากมีคนรู้ว่าสตรีซึ่งเป็นเหมือนเทพเซียนกลับตกอยู่ในเงื้อมมือมารของหลินซาน นั่นจะไม่แย่แล้วหรือ? ไม่ว่าเขาจะเป็นหลินซานหรือว่าหลินซื่อก็ต้องมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามาหา ฟันเขาทั้งเป็นแน่นอน 


 


 


เห็นชัดว่าหลินหว่านหรงรู้สึกถึงความรุนแรงที่แฝงอยู่นี้ได้ดี แลบลิ้นออกมาด้วยความตกใจ 


 


 


นางเซียนทอดสายตามองเขา จากนั้นก็ยิ้มออกมาทันที “เจ้าไม่ต้องกังวล ท่ามกลางผู้คนมากมาย ผู้ที่รู้โฉมหน้าข้ามีน้อยยิ่งนัก นับจากวันนี้เป็นต้นไปรูปโฉมของข้า มีเพียงเจ้าที่เห็น” 


 


 


มีเพียงข้าที่เห็น? นั่นไม่ได้หมายความว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปมีแค่ข้าที่จะได้เห็นรูปโฉมอันงามล้ำเลิศของนางเซียนเท่านั้น? หลินหว่านหรงรีบพูดขึ้นมาว่า “นี่ไม่ค่อยดีกระมัง ข้าไม่ใช่คนที่อหังการขนาดนั้น อีกอย่าง ที่บ้านยังมีพวกของเฉี่ยวเฉี่ยว เซียนเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่อีก นั่นต่างเป็นคนสนิทของข้า พี่สาวนางเซียนรูปโฉมงดงามจิตใจดีเช่นนี้ พวกนางย่อมชอบท่านแน่นอน หรือว่าข้ายังต้องขัดขวางพวกนางให้จงได้” 


 


 


หนิงอวี่ซียิ้มพลางผงกศีรษะ “หากเป็นคนสนิทของเจ้า ย่อมเป็นคนละเรื่องแล้ว” 


 


 


ด้วยนิสัยของนางเซียนหนิง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีก สตรีผู้งามล้ำเลิศยวนเสน่ห์เช่นนี้ชีวิตบั้นปลายเป็นของเขาเพียงผู้เดียว หลินหว่านหรงย่อมรู้สึกตื้นตันจนไม่อาจจะเพิ่มพูนได้อีก เขาอดโอบร่างนางแน่นไม่ได้ 


 


 


ฝ่ามือมารของโจรน้อยโอบรัดเอวนาง ปากส่งเสียงจึ๊จ๊ะเบาๆ ไม่หยุด คล้ายกำลังทอดถอนชมเชยกับความเรียบลื่นของผิวพรรณนาง หนิงอวี่ซีร่างสั่นเทาเล็กน้อย รีบพูดขึ้นมาว่า “นี่อยู่บนหน้าผา เจ้าอย่ากระทำเรื่องเลวร้าย หลุดพ้นจากภาวะคับขันโดยเร็วถึงจะเป็นเรื่องที่ควรจริงจัง” 


 


 


“ดูพี่สาวพูดเข้าสิ ข้าเป็นคนไม่จริงจังขนาดนั้นเลยหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จุมพิตแก้มอันอ่อนนุ่มนิ่มของนางเซียนเบาๆ คราหนึ่ง ตะโกนเสียงดังด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาว่า “พี่หู ข้ามัดเรียบร้อยแล้ว รีบรับข้าขึ้นไปเร็ว!” 


 


 


หูปู้กุยสั่งการอยู่หลายครั้ง จากนั้นเชือกก็ค่อยๆ ขยับดึงขึ้นไป ร่างหลินหว่านหรงเริ่มเคลื่อนที่อย่างช้าๆ  


 


 


อวี้เจียร่างห้อยอยู่กลางอากาศ สายตามองไปข้างล่างอยู่ตลอดเวลา ซอกเขามืดมิด การมองเห็นจำกัด นอกจากเห็นเงาร่างสองคนแนบชิดติดกันแล้วก็ไม่อาจมองสิ่งอื่นได้อย่างชัดเจน  


 


 


เห็นเงาร่างหลินหว่านหรงค่อยๆ เข้ามาใกล้ตนเอง หน้าตาทะเล้นเจ้าเล่ห์ที่แสนจะคุ้นเคยนั้นมาขยับวูบไหวอยู่ตรงหน้าอีกครา เจ้าโจรหัวเราะร่าพลางโบกมือให้นาง “ไฮ คุณหนูอวี้เจีย ที่แท้เจ้าก็ชอบเล่นเหาะกลางอากาศด้วยนะ!” 


 


 


“อัวเหล่ากง!” อวี้เจียมองเขาพลางยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็รีบเบือนหน้าไป หัวไหล่สั่นระริกเล็กน้อย เสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน 


 


 


ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดเขา ลมหนาวพัดเข้ามา เขาเพิ่งส่งเสียงจามพวกของหูปู้กุยก็โห่ร้องพร้อมกรูเข้ามากอดเขาแล้ว ต่างส่งเสียงอย่างบ้าคลั่ง ไม่อาจสะกดกลั้นความยินดีได้ 


 


 


หากไม่มีนางเซียน คราวนี้ข้าก็ต้องจบเห่ไปแล้ว เขารู้สึกปลง ตบบ่าเหล่าเกาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “พี่เกา กอดแน่นขนาดนี้ทำไมกัน ข้าไม่ได้มีความชอบวิปริตเช่นนั้นนะ” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮ่าๆ สองครา สองตาแดงก่ำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าน้องหลินมีบุญอันยิ่งใหญ่ ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน ท่านย่ามัน หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้มันช่างทำให้คนอึดอัดตายแล้วจริงๆ!” 


 


 


ที่แท้ข้ากลับอยู่ในถ้ำน้ำแข็งถึงหนึ่งวันเต็มๆ หลินหว่านหรงรู้สึกตกใจอยู่บ้างเช่นกัน ได้อยู่กับพี่สาวนางเซียน วันเวลาคล้ายผ่านไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ 


 


 


“หลังจากหิมะถล่มวันนั้น ทัพใหญ่หยุดการเดินทาง ตามหาร่องรอยเขาอย่างสุดกำลัง ทุกคนสงสัยว่าเขาตกลงไปในซอกเขาแห่งนี้ ถึงกระนั้นกลับปราศจากหนทางช่วยเหลือ ไม่อาจบรรลุถึงก้นเหวได้เลย ต่อมายังเป็นอวี้เจียที่คิดวิธีออก…” 


 


 


“อวี้เจีย?!” หลินหว่านหรงเหลอบมองรอบด้านหลายครั้ง เห็นว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยยืนนิ่งอยู่ไกลๆ เงียบงันอ้างว้างเดียวดาย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะอย่างแรง “นางบอกว่าให้ขุดเจาะขั้นบันไดบนหน้าผาลงไปทีละขั้นๆ แม้จะโง่ไปสักหน่อย ทว่าสุดท้ายก็ไปถึงก้นเหวได้” 


 


 


“ดังนั้นพวกท่านเลยตกลง? แต่การเจาะเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะไปถึงก้นเล่า” หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ 


 


 


“นี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเราคิดออกแล้วขอรับ” หูปู้กุยกล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “เหล่าพี่น้องของเรานี้หากปราศจากท่านแม่ทัพ การศึกนั้นก็ไม่ต้องสู้แล้ว” 


 


 


เหล่าหูเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ พูดแทนเสียงภายในใจของทุกคน หลินหว่านหรงกุมมือเขาแน่น ไม่เอ่ยวาจาอยู่นาน 


 


 


“พี่หลิน!” เสียงของหลี่อู่หลิงดังอยู่เบื้องหลัง หลินหว่านหรงรีบหันหน้ากลับไป เสี่ยวหลี่จื่อมองเขาคล้ายกับต้องการจะพูดอะไร แต่ก็ลังเลอยู่บ้างเช่นกัน 


 


 


“เป็นอะไรไปเสี่ยวหลี่จื่อ? จะยังมาเกรงอกเกรงใจอะไรข้ากันอีก?” หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความประหลาดใจ 


 


 


หลี่อู่หลิงส่งเสียงอืม ประชิดข้างใบหูเขาแล้วพูดว่า “พี่หลิน ท่านไปดูอวี้เจียสักหน่อยเถอะขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้ง “อวี้เจีย? นางเป็นอะไร?” 


 


 


หลี่อู่หลิงส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เพื่อตามหาท่านนางจึงขุดเจาะบันไดบนหน้าผาน้ำแข็งนี้ ไม่ได้หลับมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วขอรับ” 


 


 


หนึ่งวันหนึ่งคืน? หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็ตกใจอย่างรุนแรง ซอกเขาแห่งนี้ลมหนาวรุนแรง เย็นเยียบเสียดแทงกระดูก อย่าว่าแต่หนึ่งวันหนึ่งคืนเลย ต่อให้หนึ่งชั่วยามก็ทนไม่ได้แล้วนะ นังหนูนี่เสียสติไปแล้วหรือ?! 


 


 


เสี่ยวหลี่จื่อส่งเสียงเฮ้อออกมาคราหนึ่ง “แม้พวกเราจะมีความแค้นกับชาวทูเจวี๋ย แต่อวี้เจียผู้นี้อาจเป็นข้อยกเว้นก็ได้ พี่หลิน หากท่านคบหากับนาง ข้าจะลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่ง ถือว่าไม่เห็นเรื่องนี้ และไม่มีวันไปฟ้องท่านอาสวีแน่นอน ท่านวางใจได้เลย” 


 


 


“เจ้าเด็กแก่แดด!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมตบกบาลของเขาสองที “เรื่องนี้หาได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดเช่นนั้น ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย เจ้าสั่งการลงไป ให้เหล่าพี่น้องออกเดินทางทันที ภายในสามวัน ข้ามผ่านอาเอ่อร์ไท่ บรรลุถึงเคอปู้ตัว” 


 


 


“รับบัญชา!” หลี่อู่หลิงประสานมือคารวะ หัวเราะร่าแล้วจากไป 


 


 


ทัพใหญ่ออกเดินทางโดยพลัน ผิดพลาดคราหนึ่ง บังเกิดปัญญาคราหนึ่ง เมื่อได้รับการสั่งสอนจากหิมะถล่มคราวก่อน ทุกคนจึงเดินทางระมัดระวังมากยิ่งขึ้น สังเกตว่าภูเขาหิมะมีความผิดปกติหรือไม่อยู่เป็นระยะ 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม