ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 575-581

 ตอนที่ 575 ข้างภูเขา ริมทะเล


 


 


นี่หมายความว่าหลี่ว์ซู่จะต้องไปหาเรื่องทะเลาะกับไห่กงจื่อหรือเปล่าเนี่ย คงไม่จำเป็นหรอกมั้ง


 


 


ใครอยากจะเจอคนที่ชอบมาตัดสินตัวเองทุกวันกันล่ะ ชอบมาพูดว่าเขาเป็นพวก ‘โง่เขลา’ อยู่ได้ทุกวัน ไม่มีใครทนได้หรอก!


 


 


นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าไห่กงจื่อนั้นดูถูกเขาจริงๆ ซึ่งทำให้หลี่ว์ซู่นั้นไม่พอใจสักนิด ไม่รู้ว่าเขาเปรียบเทียบหลี่ว์ซู่อยู่กับใคร


 


 


อีกสิบวันก็จะถึงตรุษจีนแล้ว หลี่ว์ซู่ต้องอยู่บ้านคนเดียว เขาไม่มีอารมณ์ออกไปซื้อของวันตรุษจีนเลย เขารู้สึกว่ามันฝรั่งที่ถูกปอกไปคงจะเลี้ยงครอบครัวที่มีสามคนได้ไปถึงครึ่งปี เขาซื้อมันฝรั่งมาจากตลาด จนคนขายคิดว่าหลี่ว์ซู่เปิดร้านอาหารหรือเปล่า…


 


 


ทุกเช้าเมื่อหลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่ ไห่กงจื่อก็จะออกมาวิจารณ์วิธีการฝึกกระบี่ของเขาและบ่นออกมาตลอด หลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็จะบังคับให้ไห่กงจื่อกลับเข้ากระบี่ไป เป็นเรื่องหายากมากที่จะเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียว อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่หลี่ว์ซู่คอยใช้เลือดตัวเองเรียกไห่กงจื่อออกมาเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อชวนทะเลาะ


 


 


ช่วงนี้หลี่อีเสี้ยวมาเยี่ยมหลี่ว์ซู่บ้างสองสามครั้ง และเขาก็รู้ซึ้งแล้วว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นพวกจิตใจเด็ดเดี่ยวมาก ใครบอกเขากันว่าการไปต่างประเทศนั้นจะไม่ดีสำหรับเขาน่ะ!


 


 


ก่อนรุ่งสาง หลี่ว์ซู่มาประจำอยู่ที่สวนหลังบ้านแล้วถึงแม้ฟ้าจะยังไม่สว่างก็ตาม ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการฝึกครั้งก่อนๆ หลี่ว์ซู่ไม่ได้ออกแรงใช้พลังทั้งหมดไปกับการเหวี่ยงกระบี่ ทำให้การเหวี่ยงกระบี่ในคราวนี้ค่อนข้างช้า เหมือนกับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหลี่ว์ซู่ฝึกกระบี่เลย


 


 


การเหวี่ยงกระบี่ของเขานั้นเหมือนกับหิมะที่ค่อยๆ โปรยลงมา ราวกับว่ามีอากาศต้านไม่ให้กระบี่เหวี่ยงลงมาตามแรง


 


 


ถึงแม้ว่าการออกกระบี่จะเชื่องช้าแต่เขาก็ตั้งใจเต็มที่ ดวงตาของหลี่ว์ซู่มองไปที่การเคลื่อนที่ของกระบี่ การขยับของกระบี่นั้นแทบบรรยายออกมาไม่ได้ เพราะมันดูสวยงามขณะที่เคลื่อนไหวลงมาอย่างเนิบช้า ในขณะที่เขาฝึกฝนเช่นนี้ ทั้งกล้ามเนื้อของหลี่ว์ซู่และพลังแห่งดวงดาวก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานราวกับเป็นทะเลที่ผิวสงบแต่มีคลื่นใต้น้ำซัดแรงอยู่ในนั้น


 


 


สาเหตุที่การออกกระบี่ของเขาเชื่องช้านั้นเป็นเพราะว่าเขาต้องมาวิเคราะห์การกระบวนการมากมายต่างๆ ขณะที่เหวี่ยงกระบี่ลงมา เขารู้สึกถึงพลังที่ค่อยๆ ถูกส่งไปที่ตัวกระบี่ขณะมันกำลังเคลื่อนที่ลง


 


 


ถ้าเพื่อนบ้านมาเห็นเข้าคงตกใจว่าหลี่ว์ซู่กำลังทำอะไรอยู่?!


 


 


เพราะกระบี่เฉิงอิ่งนั้นล่องหน ฉะนั้นคนอื่นที่เห็นคงอดคิดไม่ได้ว่าหลี่ว์ซู่บ้าไปแล้ว เหวี่ยงแขนอะไรนั่นน่ะ ในมือไม่ได้ถืออะไรอยู่เลยแท้ๆ


 


 


แต่ในการต่อสู้จริงๆ แล้ว ศัตรูแทบจะไม่มีทางเห็นกระบี่ได้เลย อย่าว่าแต่การคาดการณ์เลยว่ากระบี่จะยาวได้เท่าไหร่ เรื่องนี้คงทำให้คนกลัวอยู่ไม่น้อย


 


 


“เจ้าก้าวหน้าได้เร็วขึ้นนี่ แต่ก็ยังงกๆ เงิ่นๆ อยู่ดี เจ้าคิดหรือว่าหากลดความเร็วการเคลื่อนไหวของกระบี่ลงแล้วจะมีเวลาให้คิดมากขึ้นน่ะ การโจมตีที่ดีที่สุดก็คือการออกกระบี่ให้เร็ว แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะไปเร็วๆ ได้เสียที” ไห่กงจื่อพูดอย่างใจเย็น


 


 


“ผมจะไปช้าๆ ของผมเพื่อเรียนรู้ทีละขั้นไม่ได้เหรอ” หลี่ว์ซู่อารมณ์เสียเพราะที่ผ่านมาเขาฝึกอย่างมั่นคงและแน่นอน และเขาก็ไม่อยากใจร้อน


 


 


แต่เขาก็เข้าใจที่ไห่กงจื่อพูดว่าการเคลื่อนไหวนั้นควรจะต้องเร็ว และเขาก็มีกระบวนการฝึกของตัวเองเหมือนกัน เขากำลังอดทนรอให้การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ


 


 


ไห่กงจื่อหัวเราะเสียงเย็น “พวกโง่เขลาก็มักจะพูดว่าไปช้าๆ ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ แต่ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าจะมีพรุ่งนี้ให้มีชีวิตต่อกันอีกหรือเปล่า”


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาหัวเราะออกมาแทน “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ผมรู้สึกได้ว่าตัวตนของคุณน่าจะเป็นบุคคลสำคัญมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้วใช่มั้ย แล้วคุณมาเป็นวิญญาณสิงกระบี่เฉิงอิ่งได้ไงน่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เดาว่าไห่กงจื่อนั้นแตกต่างจากวิญญาณในอาวุธที่เขาเคยเจอมาก่อนหน้านี้ ก่อนอื่นเลยคือเขามีร่างกายเป็นมนุษย์ซึ่งไม่เหมือนใคร และเขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง คงจะพูดได้แหละว่าเขาเป็นวิญญาณที่มาอาศัยอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่ง


 


 


ซึ่งนี่ก็ดูเป็นประเด็นที่น่าคิด ว่าถ้าหากไห่กงจื่อเก่งกาจจริงๆ ทำไมเขาถึงมาติดอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งนี่ได้


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็รู้ว่ามันอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกของไห่กงจื่อที่มีต่อกระบี่เฉิงอิ่ง เขาปฏิบัติกับกระบี่เฉิงอิ่งเหมือนว่ามันเป็นเพื่อนซี้ หากเขาถูกสาปให้อยู่ในกระบี่แบบไม่เต็มใจ ทำไมเขาถึงแสดงออกเช่นนี้กับกระบี่ได้ล่ะ


 


 


แต่อยู่ๆ ก็มีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น ไห่กงจื่อมองหลี่ว์ซู่อย่างน่ากลัว “หลังจากนี้บอกข้าแล้วกันว่าอยากจะหยุดพักเมื่อไหร่ ความใจเย็นของข้ามีขีดจำกัดอยู่นะ ตอนนี้เจ้าอาจจะเป็นเจ้าของของกระบี่เฉิงอิ่ง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะทำอะไรเจ้าคืนไม่ได้!”


 


 


หลี่ว์ซู่เม้มปาก เขารู้แล้วว่าไห่กงจื่อไม่ได้มาทำตัวตามสบายขณะที่ดูเขาซ้อมกระบี่ ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก


 


 


แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้แล้วว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในสวนหลังบ้านนี้… หลี่ว์ซู่เพิ่งสัมผัสได้ว่าไห่กงจื่อนั้นคอยจัดของนู่นนี่ในสวนหลังบ้านขณะดูหลี่ว์ซู่ฝึกซ้อม


 


 


ของถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ขนาดที่จับขวดและหูจับแก้วยังหันไปทางทิศเดียวกันอยู่บนโต๊ะเลย…


 


 


เดี๋ยวก่อนนะ หลี่ว์ซู่มองไปที่ไห่กงจื่อ “นี่คุณเป็นพวกย้ำคิดย้ำทำเหรอ”


 


 


ไห่กงจื่อตอบกลับอย่างดูแคลน “พวกมนุษย์ชอบพูดแบบนี้ ข้าแค่ชอบความสมบูรณ์แบบในโลกนี้เท่านั้นแหละ คนอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร”


 


 


อ้อ… หลี่ว์ซู่ผงกหัว เมื่อก่อนมันก็มีช่วงเวลาที่อาการป่วยทางจิตเกิดขึ้น และคนที่มีอาการก็จะถูกเรียกว่าเป็น’ ผู้ป่วย’ สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนั้นจะมีกิจวัตรประจำวันที่เป็นไปตามแผนเป๊ะๆ อย่างเช่นว่าพวกเขาจะต้องกินข้าวกลางวันตอนเที่ยงตรง กลับถึงบ้านสองทุ่มตรง หรือจัดของให้เป็นระเบียบ เคยมีคนไปสัมภาษณ์คนงานรางรถไฟที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ เขาบอกว่าตอนที่เขาซ่อมรางรถไฟนั้น เขาจะต้องทำให้แน่ใจว่ารางรถไฟนั้นจะไม่เลื่อนไปจากที่เดิมแม้แต่มิลลิเมตรเดียว นี่ก็เพื่อความสวยงามทั้งนั้น


 


 


สำหรับหลายๆ คนแล้วจะทนไม่ได้เลยถ้าของถูกขยับไปผิดแม้แต่องศาเดียว พวกเขาจะรับไม่ได้ถ้าของถูกโยนไปอย่างสะเปะสะปะ หากเป็นแบบนี้แล้วหมายความว่าตัวเองเป็นโรคหรือเปล่า ก็ไม่เสมอไป หลี่ว์ซู่คิดว่ามีคนไม่สามารถออกมายอมรับเรื่องนี้ได้เพราะคนอื่นๆ ไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนตัวเอง ถ้าเกิดมีสัญญาณต่างๆ แล้วก็ควรที่จะพูดได้ว่าตัวเองป่วย นี่ก็เหมือนกับว่าปลาใต้ทะเลลึกหลายตัวไม่สามารถรับรู้การมองเห็นได้ แล้วสามารถพูดได้หรือเปล่าล่ะว่าปลาพวกนั้นพิการ ก็ไม่ได้


 


 


หลี่ว์ซู่ผงกหัวเพื่อแสดงความเข้าอกเข้าใจสิ่งที่ไห่กงจื่อพูดออกมา “รู้ไหมครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่พูดเสร็จก็เก็บกระบี่ก่อนที่จะเตรียมตัวกลับไปข้างในบ้าน ทิ้งให้ไห่กงจื่อสับสน


 


 


“รู้อะไรล่ะ เมื่อกี้เจ้าจะพูดว่าอะไร อย่าปล่อยให้มันค้างคาอยู่แบบนี้สิ พูดมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าจะพูดอะไรต่อ!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ต้องการพูดกับไห่กงจื่อ เขาล็อกประตูห้องน้ำแล้วก็ไปอาบน้ำในอ่างอย่างสบายใจ หลังจากอาบเสร็จแล้วเขาก็เดินออกมาเห็นไห่กงจื่อมองเขาอย่างน่ากลัว


 


 


“พูดต่อให้จบเดี๋ยวนี้!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่คิดแล้วตอบออกไป “รู้ไหมครับว่าข้างภูเขา ริมทะเลสาบนั้นมีกลุ่มของ…” เขาหยุดอยู่แค่นั้นแล้วก็หันไปทำมื้อเช้ากิน


 


 


“ข้างภูเขา ริมทะเลสาบนั้นมีกลุ่มของอะไร! พูดต่อให้มันจบได้ไหม!” เอ๋าไห่โกรธจัด หลี่ว์ซู่จะเล่นไม้นี้ไปถึงเมื่อไหร่ ไม่ยอมต่อประโยคให้จบ พูดแล้วทิ้งให้คนอื่นค้างเนี่ยนะ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


ตอนที่ 576 มา! มางัดกันสักตั้ง!


 


 


ข้างภูเขา ริมทะเล ยังมี… ยังมีอะไรอีกล่ะ! เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ทำให้ไห่กงจื่อปวดหัวที่สุดในตอนนี้ ถ้านี่เป็นคนจากยุคปัจจุบันแล้ว คนพวกนั้นคงจะร้องเพลงท่อนนี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเนื้อเพลง แต่ไห่กงจื่อไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


 


ทางหลี่ว์ซู่เองก็ใช่ว่าจะดีเหมือนกัน เพราะเขาเรียกไห่กงจื่อออกมาก่อนตลอดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และเขาก็ไม่ให้ไห่กงจื่อกลับเข้าไปในกระบี่ด้วย ซึ่งมันก็เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ไห่กงจื่อทราบข้อนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไห่กงจื่อก็จะออกมาเยาะเย้ยหลี่ว์ซู่ทุกวันที่เขาซ้อมเพื่อให้เขารำคาญใจ


 


 


ไห่กงจื่อหาคำตอบไม่ได้ เขารู้สึกว่าเรื่องมันไม่ควรจบง่ายๆ เช่นนี้ พรุ่งนี้เขาจะออกไปเยาะเย้ยหลี่ว์ซู่อีกจะได้เอาความโกรธเกลียดที่คั่งค้างอยู่ออกไปจากใจ


 


 


วันต่อมาช่วงก่อนรุ่งสาง ไห่กงจื่อก็ออกมาตามที่วางแผนไว้ แล้วในขณะที่หลี่ว์ซู่กำลังฝึกออกกระบี่ เขาก็ได้ยินไห่กงจื่อพูดเบาๆ ว่า “ความก้าวหน้าของเจ้าเพิ่มขึ้นเร็วก็จริง แต่เทียบแล้วไม่ถึงหนึ่งในสิบของความแข็งแกร่งข้าหรอก ความสามารถของเจ้าอาจถือได้ว่าแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ต้องแสดงความเสียใจด้วยนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ก็ได้ยินมาบ้าง”


 


 


หลังจากนั้นเขาก็ฝึกซ้อมต่อไป จนในสุดเขาก็ไม่ได้รับแต้มอารมณ์จากไห่กงจื่ออีกต่อไปจากที่รอเป็นเวลานาน


 


 


“หืม?” หลี่ว์ซู่งุนงง “ไห่กงจื่อ โรคย้ำคิดย้ำทำของคุณหายไปในชั่วข้ามคืนเหรอ”


 


 


แต่ไห่กงจื่อไม่สนใจเขาแล้วและพูดต่อ “เจ้าไม่รู้เหรอว่าการเคลื่อนไหวของเจ้ามันแข็งทื่อ เจ้ามันซุ่มซ่าม เซอะซะ!”


 


 


เอิ่ม…


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมมันดูไม่เข้าท่า โรคย้ำคิดย้ำทำจะหายไปในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนได้อย่างไร ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วมันไม่ถูกต้อง!


 


 


หรือว่าไห่กงจื่อจะแกล้งเป็นโรคนี้เมื่อวานกัน แต้มอารมณ์นั่นก็คงเป็นเรื่องโกหกด้วยเหมือนกันน่ะสิ!


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่คิดอยู่นาน ไห่กงจื่อก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นแล้วกลับเข้ากระบี่เฉิงอิ่งไปด้วยสีหน้ายินดี


 


 


หลี่ว์ซู่ตอนนี้ตะลึงงันไปแล้ว ไห่กงจื่อได้ทำตามแผนหรือเปล่าเนี่ย มันไม่สมเหตุสมผลเลย หลี่ว์ซู่จมลงไปในความคิดตัวเอง ไห่กงจื่อจะออกมาเยาะเย้ยเขาก็อย่างไรก็ได้ แต่เขาเยาะเย้ยไห่กงจื่อคืนไม่ได้ หลี่ว์ซู่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!


 


 


คืนนั้นหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ส่งข้อความมาถึงหลี่ว์ซู่เพื่อเตือนเขาเรื่องความปลอดภัย แต่หลี่ว์ซู่สงสัยนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ถึงไม่ได้รับแต้มอารมณ์มากเท่าเดิมแล้ว


 


 


จะอ้อมค้อมไปก็คงไม่ได้เรื่องอะไร กลับกัน หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็พยายามคิดว่าทำไมหลี่ว์ซู่ถึงชอบถามว่าเธอทำอะไรอยู่ก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก


 


 


ก็แหงล่ะ หลี่ว์ซู่จะพูดอะไรได้ เขาไม่สามารถบอกเสี่ยวอวี๋ได้ว่าเขาได้รับแต้มอารมณ์ผ่านตัวเธอ


 


 


ในความเป็นจริงแล้ว เสี่ยวอวี๋ทำได้ดีในการฝึกฝนเลยล่ะ ตอนแรกเธอก็เป็นแกะดำในหมู่เพื่อนๆ แต่หลังจากที่เธอทำให้ทุกคนเชื่อถือในตัวเองได้แล้ว เสี่ยวอวี๋ก็ได้รับการยอมรับในที่แห่งนั้น


 


 


ในการต่อสู้กันแบบจริงจัง ทหารผู้บัญชาการมักใช้พวกผู้ชายเป็นเหตุผลให้พวกผู้หญิงฝึกหนักขึ้น แต่ตอนนี้เรื่องมันเปลี่ยนไปแล้ว พวกเขาใช้เสี่ยวอวี๋ในการสอนพวกผู้ชายแทนว่าควรจะสู้อย่างไร


 


 


พวกเด็กผู้ชายที่อยู่ในการฝึกซ้อมนั้นหัวเสียกันมาก พวกเด็กผู้หญิงชุดนี้นี่จะแรงเยอะอะไรกันขนาดนี้นะ!


 


 


ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเด็กผู้หญิงพวกนี้จะเปลี่ยนตัวเองจากที่เคยอ่อนแอได้ ตอนนี้พวกเธอไม่ใช่แค่แข็งแกร่งอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเธอยังมีเทคนิคใหม่ๆ ในการต่อสู้จริงมาใช้ตลอด…


 


 


เสี่ยวอวี๋มักจะปฏิเสธพวกคนแปลกหน้าเพราะเธอโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ว่าจะต้องปกป้องตัวเอง แต่หลังจากเธอรู้ว่าพวกนั้นมีเจตนาที่ดีแล้ว เธอก็ค่อยๆ พังกำแพงลงมา และไม่ได้ดุเหมือนแต่ก่อนแล้ว


 


 


ตอนแรกที่เธอเจอหลี่เสียนอี เธอก็ใช้คำพูดแรงๆ กระทบกระเทียบให้เขารู้สึกแย่ๆ แต่พอเวลาผ่านไป เธอก็ไม่ได้ทำตัวหยาบคายกับหลี่เสียนอีแล้ว


 


 


ซึ่งก็เอาเปรียบเทียบได้กับสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของเสี่ยวอวี๋กับเพื่อนร่วมชั้นจะไม่เหมือนหลี่เสียนอี แต่เธอก็ลดระดับความหยาบคายกับคนอื่นลงมาบ้างแล้ว


 


 


พวกเด็กผู้หญิงเองตอนนี้ก็ไม่ค่อยบ่นเรื่องหลี่วเสี่ยวอวี๋เท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ที่การต่อสู้กันจริงจังได้ถูกระงับไปและมีการซ้อมกลยุทธ์ทางทหารเข้ามาแทน นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่เธอได้แต้มอารมณ์ที่ได้มาแม้แต่จากเด็กผู้ชายลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ถ้าจะให้พูด เสี่ยวอวี๋ก็คงโน้มน้าวผู้คนได้แล้วล่ะ


 


 


เธอรู้สึกว่าหลังจากนี้ถ้าเธอได้เจอหลี่อีเสี้ยว เธอจะลองขอให้เขาไปถามกับเนี่ยถิงดูว่าเธอสามารถสมัครเป็นราชันฟ้าได้หรือเปล่า…


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าตอนนี้เสี่ยวอวี๋สนุกสนานอย่างเต็มที่ เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วร้องเพลงดาวดวงน้อยต่อ


 


 


เขานั่งขัดสมาธิในห้อง มีดวงดาวกว่าหมื่นดวงบนกาแล็กซีทางช้างเผือกปรากฏบนท้องฟ้าในเมืองลั่ว


 


 


ถ้ามีใครเห็นก็คงบอกว่านี่น่ะสวยกว่าแสงเหนือแสงใต้ซะอีก


 


 


ก่อนรุ่งสาง หลี่ว์ซู่ดึงกระบี่เฉิงอิ่งออกมาจากตราแผ่นดินแล้วตรงไปที่สวนหลังบ้าน การฝึกฝนก็เหมือนกับภูเขาสูง ใครๆ ก็ต้องพยายามถึงขีดสุดเพื่อที่จะไปถึงยอดภูเขา ถึงจะชมวิวจากจุดยอดนั้นได้


 


 


คนธรรมดาๆ คงคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นคนโชคดีที่เกิดปะทุพลังขึ้นมา แต่ความเป็นจริงแล้ว หลี่ว์ซู่สงสัยในตัวเองมาตลอดว่าจะมีวันไหนที่เขาจะประสบความสำเร็จบ้างหรือเปล่า เพราะการมีชีวิตอยู่มาสิบเจ็ดปีเต็มทำให้เขาเข้าใจสิ่งหนึ่งได้ เขาจะต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่นถ้าอยากจะได้ชีวิตที่สุขสบาย


 


 


หลี่เสียนอีบอกไว้ว่าตอนที่เขาอายุเท่าหลี่ว์ซู่ เขายังเป็นคนเกียจคร้านอยู่เลย ส่วนหลี่อีเสี้ยวก็มักถูกพวกอาจารย์ตามตัวเพราะเขาชอบไปเที่ยวเล่น หลี่อีเสี้ยวคงจะยอมแพ้ในการมีชีวิตที่สุขสบายตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่ยังค่อยๆ ฝึกกระบี่จากการเหวี่ยงทีละครั้ง เขาใส่ใจลงไปในการเหวี่ยงแต่ละครั้งมาก


 


 


ไห่กงจื่อโผล่ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่งแล้วมองหลี่ว์ซู่เงียบๆ อยู่ๆ เขาก็รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา เทียบกับเจ้าของกระบี่เฉิงอิ่งคนก่อนๆ แล้ว หลี่ว์ซู่คงเป็นคนเดียวที่ขยันและเด็ดเดี่ยวที่สุด


 


 


แต่เขาชื่นชมหลี่ว์ซู่แค่ใจเท่านั้น ไห่กงจื่อไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา “ถูกแล้ว เจ้าควรต้องมาฝึกกระบี่ตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้แหละ ความขยันอาจไปแทนที่ความเซอะซะของเจ้าก็ได้”


 


 


ไห่กงจื่อแอบคิดในใจว่าหลี่ว์ซู่ห่างไกลจากคำว่าซุ่มซ่ามนัก หลี่ว์ซู่ไม่ได้ยินอะไรอยู่แล้วนี่ เขาเลยไม่ต้องกลัวว่าหลี่ว์ซู่จะรู้สึกยังไง


 


 


แต่แล้วจู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็หยิบเอาถั่วแขกออกมาจากตราแผ่นดินแล้วปามันลงไปที่พื้น ถั่วพวกนั้นกระจัดกระจายอยู่ใกล้ๆ กันทั่วพื้น


 


 


“อ๊าๆๆ!” ไห่กงจื่อแทบเป็นบ้าตาย “ทำไมเจ้าต้องทำแบบนั้นด้วย!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


ขณะที่ไห่กงจื่อพูด เขาก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นแล้วเก็บถั่วแขกขึ้นมา ไห่กงจื่อไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะไปเตรียมหาถั่วแขกมาก่อน เขาไม่อยากเห็นถั่วพวกนี้ แต่เขาทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว!


 


 


บรรยากาศที่สวนหลังบ้านเริ่มแปลกไป หลี่ว์ซู่ออกกระบี่อย่างเชื่องช้าพลางอดทนคำเหยียดหยามของไห่กงจื่อไปด้วย ส่วนไห่กงจื่อนั้นกำลังนั่งยองๆ เก็บถั่วแขกจากพื้น ตาปากก็ยังพ่นคำโจมตีหลี่ว์ซู่ไม่หยุด


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะเงียบๆ มา! มางัดกันหน่อยสักตั้ง!


 


 


หลี่ว์ซู่จะทนคำเหยียดหยามจากไห่กงจื่อไปได้นานแค่ไหน หากเขาทำให้ไห่กงจื่อยอมแพ้ไม่ได้ เขาก็ต้องทนฟังคำพูดพวกนี้ไปทุกวัน!


 


 


สองสามวันน่ะยังพอทนไหว แต่ถ้ามีคนมาดูถูกเขาขณะซ้อมมันทั้งสามร้อยหกสิบห้าวันทั้งปีแบบนี้ หลี่ว์ซู่ก็คิดว่าควรจะต้องมีการแก้ไขปัญหาที่เข้าท่ากันสักหน่อย!


 


 


ไม่เขาก็ไห่กงจื่อที่ต้องยอมแพ้กันไป!


ตอนที่ 577 เจ้าของของกระบี่เฉิงอิ่ง


 


 


“ข้าไม่เคยพบเจ้าของกระบี่เฉิงอิ่งคนไหนที่หน้าด้านได้เท่าเจ้าแล้ว” ไห่กงจื่อกัดฟันพูดขณะที่นั่งเก็บถั่วแขก


 


 


“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่พูดตอบขณะที่ออกกระบี่ช้าๆ “คุณยังไม่ได้ชดใช้เก้าอี้ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของผมที่คุณทำมันพังไปเมื่อวานเลยนะ ผมเองก็ไม่เคยพบเคยเห็นวิญญาณกระบี่เฉิงอิ่งที่หน้าด้านขนาดนี้มาก่อนเลย!”


 


 


การยั่วยุพวกนี้เริ่มไปกันใหญ่แล้ว เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น หลี่ว์ซู่ก็เก็บกระบี่ ไห่กงจื่อที่เพิ่งเก็บถั่วแขกจากพื้นเสร็จเรียบร้อยพอดีก็รีบกลับเข้าไปในกระบี่เฉิงอิ่ง


 


 


เป็นข้อตกลงที่รู้กันเองระหว่างทั้งคู่ว่าการทะเลาะของหลี่ว์ซู่และไห่กงจื่อจะหยุดลงเมื่อหลี่ว์ซู่หยุดซ้อม และจะเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อหลี่ว์ซู่เริ่มซ้อมในวันถัดไป


 


 


วันต่อมาก่อนรุ่งสาง หลี่ว์ซู่ร้องเพลงดาวดวงน้อยจนถึงตีสามเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของตนเองไว้ หลังจากนั้นเขาก็ดึงกระบี่เฉิงอิ่งออกมาจากตราแผ่นดินแล้วตรงไปบริเวณสวนหลังบ้าน เขามีสีหน้าของความเคารพอยู่เหมือนกับว่าเขากำลังจะออกรบอย่างไรอย่างนั้น


 


 


เมื่อเขาก้าวเข้ามาในสวนแล้ว ไห่กงจื่อยังไม่ได้ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่ง หลี่ว์ซู่จึงเลยปาถั่วแขกลงพื้นและรอให้ไห่กงจื่อมาปรากฏตัวเงียบๆ …


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


พอไห่กงจื่อปรากฎตัวออกมา เขาก็สังเกตเห็นว่าบนพื้นเต็มไปด้วยถั่วแขกอีกแล้ว หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงเหมือนกับจะระเบิดออกมา ไห่กงจื่อพยายามอย่างมากที่จะไม่สนใจถั่วแขกบนพื้น แต่เขาก็ทนไม่ได้อีกต่อไป


 


 


หลี่ว์ซู่เดินไปตรงกลางสวน โดยเหยียบถั่วแขกไปด้วยระหว่างทาง


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มและเริ่มการฝึกฝน ฮ่าๆ การทำแบบนี้เป็นการช่วยให้คนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำนี้หายได้เลยนะเนี่ย ไม่มีประโยชน์อะไรถ้าจะหยุดทำแบบนี้นี่นา!


 


 


แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานจากไห่กงจื่อ เขาตกใจแล้วหันกลับไปมอง พบว่าดอกบัวสีม่วงตรงหว่างคิ้วของไห่กงจื่อส่องสว่างขึ้นมา โห! เหมือนโซ่ขาดผึงเลย อย่างกับเปิดประตู


 


 


ดอกบัวสีม่วงนั้นค่อยๆ หม่นแสงลง แล้วจู่ๆ มังกรสีขาวในตำนานจีนที่มีกรงเล็บห้าเล็บก็พุ่งตัวออกมา


 


 


มังกรขาวตัวนั้นปรากฏขึ้นด้านหลังที่ที่ไห่กงจื่อเคยอยู่ มันดูงามสง่ามาก และขนาดตัวของมันก็ใหญ่ไม่น้อยเลย


 


 


หลี่ว์ซู่สังหรณ์ใจไม่ดี เขาหมุนตัวเตรียมหนีในทันใด เด็กหนุ่มวิ่งไปตามทางเดินมุ่งหน้าไปยังภูเขาเป่ยหมังที่ไม่มีใครอยู่ แต่แล้วเขาก็ตระหนักได้ว่าต่อให้วิ่งหนีไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไห่กงจื่อตามความเร็วสูงสุดของเขาทัน เขามาถึงตัวหลี่ว์ซู่ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะวิ่งได้ถึงหนึ่งร้อยเมตรเสียอีก!


 


 


“เดี๋ยว ฉันมีอะไรจะพูด” หลี่ว์ซู่คำรามขึ้นมา


 


 


ทว่าไห่กงจื่อไม่รอฟังหลี่ว์ซู่ แล้วทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าความกดอากาศรอบตัวเขาตกฮวบไป หลี่ว์ซู่ขยับตัวไม่ได้


 


 


แล้ววินาทีต่อจากนั้น ครอบครัวของผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นก็สะดุ้งตื่นเพราะแสงสีขาวสว่างจ้า เสียงเดียวที่ลอยเข้ามาในโสตประสาทของพวกเขาคือเสียงเด็กหนุ่มตะโกนร้องสุดเสียงอย่างน่าสงสาร “เอ๋าไห่ รอเดี๋ยว!”


 


 


“นี่เป็นความผิดของเนี่ยถิง!”


 


 


เช้าวันต่อมาเป็นวันหยุดฤดูหนาว หลี่ว์ซู่นอนอยู่บนเตียงในสภาพยับเยิน


 


 


หากพยายามพูดให้กำลังตัวเองว่า “ขนาดเอ๋าไห่ฟิวส์ขาดแต่ก็ยังเทียบฉันไม่ได้” อาจพอช่วยเรียกความภาคภูมิใจในตัวเองกลับคืนมาได้บ้าง แต่หลี่ว์ซู่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น…


 


 


ไห่กงจื่อเป็นวิญญาณกระบี่ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ หลี่ว์ซู่ไม่คิดเลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็นมังกรขาวในตำนานจีน เขาคิดว่าสัตว์ในตำนานจะมีตัวตนอยู่แค่ในเทพนิยายเสียอีก


 


 


พูดตามตรง หลังถูกไห่กงจื่อจู่โจม จนตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่แน่ใจแล้วว่าความแข็งแกร่งของเจ้าวิญญาณนั่นจะไปสุดที่ตรงไหน ขนาดพลังของปู่เสียนอียังเทียบกับพลังที่ไห่กงจื่อระเบิดออกมาเพียงชั่วครู่ไม่ได้


 


 


เขาจะแก้เผ็ดคืนยังไง ใช้เลือดตัวเองเรียกไห่กงจื่อออกมาดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีอีกต่อไปแล้ว ไห่กงจื่ออาจไม่กลับเข้าไปในกระบี่เฉิงอิ่งอีกเลยก็ได้ และถึงแม้เขาจะออกมาอยู่ข้างนอกถาวร เขาก็ยังดึงเอาพลังจิตวิญญาณจากบริเวณรอบๆ ไปใช้รักษาสภาพตัวเองได้อยู่ดี


 


 


หลี่ว์ซู่ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ที่อยู่ถัดจากที่พัก เขาซื้อถั่วแขกมาห้าสิบกิโลกรัม พนักงานแคชเชียร์ไม่รู้จะว่าอะไร ทำได้แค่มองหน้าหลี่ว์ซู่…


 


 


พอเขากลับมาที่บ้านแล้วก็สูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็นำไข่มุกดำออกมาจากตราแผ่นดินและปลดผนึกมัน


 


 


วินาทีต่อมา หลี่ว์ซู่ก็มาปรากฏตัวที่หุบเหวแห่งความโกลาหล เขาเห็นหมิงเย่ว์เยี่ยยืดตัวสุดสายโซ่ที่เหนี่ยวรั้งเขาไว้เพื่อจะยื่นมือไปคว้าจานไก่อบ…


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยไม่คาดว่าจู่ๆ หลี่ว์ซู่จะโผล่มาที่นี่ได้


 


 


เขาถอยหลังกลับไปที่เดิมช้าๆ แล้วนั่งลง “ต่อให้ไม่กินอะไร ข้าก็ยังมีชีวิตได้กว่าหมื่นปี”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาเทกระจาดถั่วแขกทั้งห้าสิบกิโลกรัมลงกับพื้น แล้วทันใดนั้น เขาก็นำกระบี่เฉิงอิ่งออกมาก่อนใช้มันกรีดไปที่นิ้วมือ!


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยงุนงง นั่นเขากำลังทำอะไรน่ะ เข้ามาที่นี่เพื่อสาดถั่วแขกแล้วจากนั้นก็ทำร้ายตัวเองเล่น?


 


 


หลังจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นร่างสีขาวปรากฏตัวออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่ง ร่างสีขาวนั้นไม่ได้ทำอะไรอื่น เขาเพียงแค่นั่งยองๆ แล้วหยิบถั่วแขกขึ้นมา ไห่กงจื่อพูดเสียงเย็น “รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะขยี้เจ้าให้แหลก”


 


 


พื้นที่เต็มไปด้วยถั่วแขกดูจะทำให้ผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำอย่างเขาหงุดหงิดประหนึ่งคนอกแตก


 


 


หลี่ว์ซู่ที่สภาพไม่สู้ดีขำตัวโยน “เก็บถั่วก่อนเถอะ!”


 


 


เมื่อเขาพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็เรียกไข่มุกดำออกมาแล้วพาตัวเองออกจากหุบเหวแห่งนี้กลับไปที่ห้อง


 


 


เมื่อก่อนเขาเห็นเพียงหมอกดำหนาหมุนวนในไข่มุกนี่ แต่ตอนนี้หมอกนั้นหายไปแล้วเพราะถูกเจ้างูแห่งความโกลาหลกินเข้าไป เพราะฉะนั้นเขาก็เลยมองเห็นทุกอย่างในนั้นได้อย่างชัดเจน!


 


 


เขาเห็นไห่กงจื่อและหมิงเย่ว์เยี่ยกำลังงุนงงอยู่ที่หุบเหวแห่งความโกลาหล ไห่กงจื่อไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะเรียกเขาออกมาในสถานที่ที่ไม่รู้จักเช่นนี้ แถมยังสาดถั่วตั้งห้าสิบกิโลแล้วหนีหายไป


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยงงหนักยิ่งกว่า หลังจากหลี่ว์ซู่เข้ามาข้างใน เขาก็เรียกใครอีกคนออกมาจากกระบี่เพื่อไล่เก็บถั่วแขก… เก็บถั่วแขกไปทำไมกัน!


 


 


บรรยากาศภายในหุบเหวแห่งความโกลาหลตอนนี้พิลึกกึกกือมาก!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


“เจ้าเป็นใครน่ะ” หมิงเย่ว์เยี่ยลังเลอยู่นานก่อนจะถามออกมา


 


 


“ข้าคือไห่กงจื่อ!” ไห่กงจื่อตอบด้วยความทรงเกียรติขณะที่ก้มลงไปเก็บถั่วแขก


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยตกตะลึง หลี่ว์ซู่เคยพูดถึง ‘ไห่กงจื่อ’ เจ้าสวรรค์แดนบูรพามาก่อนนี่ เขายังพูดอีกด้วยว่า ‘ถ้าคุณไม่รู้จักไห่กงจื่อ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดด้วยแล้ว’


 


 


แน่ล่ะเขาไม่คิดว่าไห่กงจื่อจะเป็นเจ้าสวรรค์แดนบูรพาจริงๆ หลี่ว์ซู่ไม่ได้บอกความจริงกับเขา


 


 


แต่หมิงเย่ว์เยี่ยก็ไม่เข้าใจอย่างหนึ่ง ทำใมถึงทำคนที่มีเกียรติขนาดนั้น ในขณะนี้ถึงลงไปนั่งยองๆ เก็บถั่วแขกจากพื้นอยู่เนี่ย


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยหยุดคิดแล้วเอ่ยออกไป “งั้น…ข้าขอรบกวนเจ้าช่วยเลื่อนจานไก่มาใกล้ข้าหน่อยได้หรือเปล่า”


 


 


ไห่กงจื่อมองที่ไปจานไก่อบที่หลี่ว์ซู่วางทิ้งไว้บนพื้น เขาเดินไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉงและจัดชิ้นไก่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยในจาน จากนั้นก็กลับไปเก็บถั่วแขกต่อ ไม่มีท่าทีว่าจะเลื่อนจานไก่ให้หมิงเย่ว์เยี่ยเลยแม้แต่น้อย


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยพูดไม่ออก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


อะไรเนี่ย! โรคย้ำคิดย้ำทำของเขามันอาการหนักขนาดนี้เลยรึไง นี่ถูกส่งมาเพื่อให้กวนประสาทกันหรือเปล่า!!


ตอนที่ 578 ลูกพี่ลูกน้องมาเยี่ยม


 


 


เมื่อสิ้นปีใกล้เข้ามา หลี่ว์ซู่ก็ไม่คิดจะไปทะเลาะกับไห่กงจื่อที่มาจากหุบเหวแห่งความโกลาหลอีกแล้ว ไห่กงจื่อเองก็ทรมานเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะว่าเขาติดอยู่ในหุบเหวแห่งความโกลาหลหรอกนะ มันไม่ได้ส่งผลอะไรมากเท่าไหร่หรอก แต่ที่รู้สึกแบบนี้ก็เป็นเพราะเขาไม่มีภาชนะอะไรมาใส่ถั่วแขกนี่ต่างหาก! จะอย่างไรก็ตามเขาก็เป็นแค่วิญญาณเท่านั้น


 


 


ตอนแรกเขาก็กะจะใช้เสื้อคลุมสีขาวของตัวเองมาใส่ถั่วแขก แต่พอเอามาใส่จริงๆ แล้วก็เพิ่งคิดได้ว่าเขาดูถูกหลี่ว์ซู่เกินไป จริงๆ ถั่วแขกแค่ห้าสิบกิโลกรัมไม่ได้หนักไปสำหรับเขาหรอก แต่มันเยอะมากต่างหาก เสื้อผ้าของเขาห่อถั่วแขกพวกนี้ไว้ไม่หมดหรอก!


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยรู้สึกราวกับกำลังดูหนังอยู่ ยังไงเขาก็ต้องติดแหงกอยู่ในนี้อยู่แล้ว ก็เลยสนุกดีที่ได้นั่งมองคนก้มเก็บถั่วแขกต่อหน้าเขา


 


 


จากนั้นหมิงเย่ว์เยี่ยก็หยุดยิ้ม เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไห่กงจื่อแอบมองมาที่กางเกงของเขาอยู่บ่อยๆ “กางเกงข้ามีแต่รอยขาด ถ้าเอาไปใส่ถั่วแขกต้องหล่นออกมาหมดแน่!”


 


 


ไห่กงจื่อพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่ค่อยเจอคนที่ถูกข่มเหงเอาเปรียบมากเช่นเจ้ามาก่อนเลยจริงๆ”


 


 


“เจ้าช่วยปรับคำพูดให้มันฟังดูดีกว่านี้ได้ไหม” หมิงเย่ว์เยี่ยอารมณ์เสีย เขาได้แต่มองไปที่ไก่อบที่เริ่มบูดเสียและกินไม่ได้ นี่ยังมีไห่กงจื่อมาเยาะเย้ยอีกเหรอ เขาพูดเสียงรียบ


 


 


“เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก เจ้าถูกขังไว้ในนี้ได้ยังไง เมื่อก่อนน่ะมีคนตั้งหลายคนพยายามแทบตายที่จะขังข้าไว้ในนี้ แล้วเจ้าล่ะ ถูกขังเหมือนกันพร้อมกับถั่วแขกไม่กี่กิโลกรัม อยากจะออกไปก็ออกไม่ได้”


 


 


ไห่กงจื่อเหลือบมองหมิงเย่ว์เยี่ยแล้วตอบ “ไม่ใช่ไม่กี่กิโลกรัม นี่มันห้าสิบกิโลกรัมต่างหาก”


 


 


“…มันต่างกันด้วยหรือ”


 


 


“ข้าชอบเลขกลมๆ”


 


 


“…ทำไมไม่มีคนปกติมาที่นี่เลยนะ”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


หลี่ว์ซู่ใส่หน้ากากและแว่นตากันแดดออกไปซื้อของรับตรุษจีน เขาเดินไปตามถนน บนถนนนั้นรถติดมาก มีของสีแดงสำหรับตรุษจีนตั้งโชว์อยู่ตามร้านต่างๆ บนถนนของเมืองลั่วและมีคนขายยืนอยู่


 


 


รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของตรุษจีนจริงๆ พอมีของตรุษจีนขายเต็มข้างทาง ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าบังเอิญเห็นข่าวว่ามีคนทักทายเหล่าชาวนา คนทำงาน หรือคนที่รอรถไฟกลับบ้าน และบางทีก็มีข่าวว่าเด็กปาประทัดลงไปที่ฝาท่อระบายน้ำ…


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ไปเห็นข่าวแบบนี้ เขาดีใจมาก เพราะตอนที่เขาเด็กกว่านี้ เขาชอบพาเสี่ยวอวี๋ไปปาประทัดลงท่อระบายน้ำเหมือนกัน พวกเขาเคยเป็นเด็กกำพร้าที่แสบที่สุดในสถานรับเลี้ยง คุณครูมักจะให้เงินเด็กคนละ ห้าเหรียญเพื่อไปซื้อประทัดเล่น สุดท้ายแล้วเด็กๆ ก็จะซื้อประทัดกล่องใหญ่มา จากนั้นก็จะไปหาท่อระบายน้ำกัน เขาชอบซุกประทัดไว้บนฝาท่อสองอัน


 


 


เมื่อเดินผ่านได้ครึ่งทาง เขาก็เจอท่อระบายน้ำที่ไม่มีฝากั้น! ได้ไงกัน! เด็กๆ ไม่มีทางรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก! ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีฝาปิด เขาก็หย่อนประทัดลงไปอยู่ดี!


 


 


แล้วจากนั้นไม่นานก็มีเสียงคนซ่อมท่อตะโกนด่าขึ้นมาจากใต้ดิน “เด็กบ้าที่ไหนมันปาประทัดลงมาข้างล่างเนี่ย เห็นไหมว่ามีคนอยู่ข้างใต้!”


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่รำลึกความหลังอยู่นั้น เขาก็เดินไปถึงคฤหาสน์หลังหนึ่ง เขาเคาะประตูและมีผู้หญิงวัยกลางคนที่ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่เดินออกมา “คุณคือ…”


 


 


“ผมเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลิวหลี่ครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ “หลิวหลี่คงไปค่ายฝึกฝนอยู่ แต่ว่าผมอยากจะมาเยี่ยมเนื่องในวันตรุษจีน แล้วก็เอาของตรุษจีนมาฝาก”


 


 


ผู้หญิงคนนั้นตะลึงแล้วหันไปตะโกนเรียก “คุณท่านคะ เพื่อนร่วมชั้นของคุณหนูหลิวหลี่มาหา มาทักทายเขาหน่อยสิคะ”


 


 


เมื่อหลิวเจี้ยนกว๋อเดินมาถึงและเห็นหลี่ว์ซู่ เขาก็เริ่มอยู่ไม่สุข เขาจะจำหลี่ว์ซู่ไม่ได้ได้อย่างไรกัน เขาไม่คิดเลยว่าหลี่ว์ซู่จะมาหาพวกเขาได้


 


 


“มาที่นี่ทำไม” หลิวเจี้ยนกว๋อถามด้วยความประหลาดใจ เขาต้องไม่ได้มาดีแน่


 


 


“สวัสดีครับคุณลุง ผมเป็นสหายร่วมรบของหลิวซิว การที่หลิวซิวยอมตายเพราะผมนั้นทำร้ายจิตใจผมมาก ผมก็เลยบอกหลิวหลี่ว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้องให้เขาแทน ในอนาคตถ้าคุณลุงมีปัญหาอะไร ติดต่อผมมาได้เลยนะครับ นี่ครับเบอร์ของผม 158…”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวเจี้ยนกว๋อ +199…]


 


 


คำพูดของหลี่ว์ซู่ทำให้หลิวเจี้ยนกว๋อตกใจ เหมือนกับว่าหลี่ว์ซู่ได้กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัวแล้ว แต่หลิวหลี่ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ฟังเลยนี่นา


 


 


ตกกลางคืน หลิวเจี้ยนกว๋อก็เลยโทรหาหลิวหลี่ ระหว่างการฝึกฝน พวกนักเรียนจะอนุญาตให้รับโทรศัพท์ได้ในช่วงสองทุ่มถึงสามทุ่มเท่านั้น ทั้งค่ายฝึกฝนทหารนั้นจะแยกออกมากจากความเจริญโดยสิ้นเชิง


 


 


หลิวเจี้ยนกว๋อถาม “ลูกชาย ฝึกเหนื่อยไหม”


 


 


หลิวหลี่ตอบสบายๆ [ไม่ครับ มันเหมือนเติมเต็มมากกว่า ผมว่าการฝึกทหารนี่ทำให้ผมแกร่งขึ้นได้และทำให้ผมมีควมคิดที่ถูกต้องด้วย]


 


 


“ฮ่าๆ ดีแล้วล่ะ” หลิวเจี้ยนกว๋ออยากจะเห็นลูกชายโตขึ้นเร็วๆ ดูเหมือนว่าค่ายฝึกทหารของเครือข่ายฟ้าดินจะไม่แย่เสียทีเดียวนะ เขาเลยถามต่อ “หลี่ว์ซู่บอกว่าอยากจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของลูก เขามาเยี่ยมวันตรุษจีนแล้วเอาของตรุษจีนมาฝากด้วยนะ ลูกรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”


 


 


หลิวหลี่พูดอะไรไม่ออก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวหลี่ +666!]


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่จัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เขาก็มองไปที่ของของเขา เขาไม่ได้ซื้อของตรุษจีนเข้าบ้านตัวเองหรอก เขายัดเสื้อผ้าสองชุดลงตราแผนดินแล้วเดินออกไป


 


 



 


 


บ้านบนถนนหลิวไห่ที่เมืองหลวง


 


 


สือเสวจิ้นอยู่ในครัวและกำลังทอดมีตบอลเนื้ออยู่ เนี่ยถิงนั่งอยู่ในสวนและอ่านเอกสารผ่านๆ ตรงหน้ามีจานมีตบอลเนื้อทอดอยู่ มันทั้งดูกรอบและส่งกลิ่นหอมตอนยังร้อนๆ


 


 


“พวกเด็กนักเรียนที่กำลังฝึกอยู่กลับบ้านกันไม่ได้สินะครับ คุณอยากจะส่งคำทักทายไปให้พวกเขาหรือเปล่า” สือเสวจิ้นตะโกนถามออกมาจากในครัว


 


 


เนี่ยถิงตอบอย่างเย็นชา “ทำไปทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ พวกทหารคนอื่นๆ ที่ไปเสี่ยงชีวิตในต่างประเทศก็ยังไม่ได้ฉลองตรุษจีนกันเลย คนพวกนั้นต่างหากที่เราควรจะส่งคำทักทายไปให้”


 


 


“นั่นมันไม่เหมือนกันนี่ครับ…” สือเสวจิ้นหยุดพูด


 


 


แต่แล้วจู่ๆ ประตูที่สวนก็ถูกเตะให้เปิดออก ลมพัดเอาฝุ่นเข้ามาในสวนด้วยทันที หลี่ว์ซู่ปรากฏตัวขึ้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้าย


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจนั้นหรอก เขาเดินช้าไปที่เนี่ยถิงและนั่งลงต่อหน้าเขา เขาหยิบจานมีตบอลเนื้อทอดขึ้นมาแล้วเริ่มกินมันเข้าไปด้วยความหิวโหย


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +666!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาสือเสวจิ้น +666!]


 


 


“ข้อโจ๊กลูกเดือยสักถ้วยได้ไหมครับ พอดีคอแห้ง” หลี่ว์ซู่กวัดมือเรียกสือเสวจิ้น


 


 


“…ได้สิ”


 


 


“ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนนอกบ้างเลยหรือไง หือ” เนี่ยถิงมองมาที่หลี่ว์ซู่อย่างเย็นชา


 


 


“แล้วจะให้ผมไปไหนล่ะ ครั้งที่แล้วผมนอนฟื้นตัวที่ไหนน้า” หลี่ว์ซู่ถาม “ให้ผมบอกอะไรคุณหน่อย ไอ้เจ้าไห่กงจื่อน่ะบกพร่องในหน้าที่ สำหรับผมแล้ว ผมอยากใช้เวลาวันตรุษจีนกับพวกคุณสองคนมากกว่า ไว้แผลหายดีเมื่อไหร่ผมค่อยไปแล้วกัน”


 


 


เนี่ยถิงเงียบ


 


 


เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นเพิ่งคิดได้ว่าหลี่ว์ซู่จะมากินฟรีในช่วงตรุษจีนต่างหาก! หลี่ว์ซู่กินมีตบอลเนื้อทอดเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้เอกสารของเนี่ยถิงเช็ดมือ


 


 


“โจ๊ะลูกเดือยของผมอยู่ไหนกันครับ ทำไมนานจัง”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +666!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาสือเสวจิ้น +666!]


ตอนที่ 579 ตรุษจีน


 


 


สองวันก่อนตรุษจีน หลี่ว์ซู่มาที่ถนนหลิวไห่ที่เมืองหลวง หลังจากนั้นเขาก็ปักหลักอยู่ที่นั่นต่อโดยไม่คิดจะกลับ…


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าการที่เสี่ยวอวี๋ไปเก็ยตัวฝึกที่ค่ายฝึกฝน เธอคงไม่มีโอกาสได้กลับมาฉลองวันตรุษจีนด้วยกัน แต่เขาเองก็โดนเนี่ยถิงเล่นมาเหมือนกัน เลยหมดสนุกกับตรุษจีนเลย เพราะงั้นเขาไม่ยอมปล่อยให้เนี่ยถิงฉลองตรุษจีนอย่างเป็นสุขแน่


 


 


ใช่แล้ว เขารู้สึกว่าที่ตัวเองต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก้เพราะเนี่ยถิง เนี่ยถิงรู้ว่าไห่กงจื่อเป็นอย่างไร และเขาก็บอกให้หลี่ว์ซู่ใจเย็นในการฝึกด้วย ทว่าเขาไม่เคยบอกว่าไห่กงจื่อจะเป็นมังกรจีนในตำนานที่มีกรงเล็บทั้งห้า [1] หลี่ว์ซู่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่


 


 


จู่ๆ เนี่ยถิงก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ “เกิดอะไรขึ้นกับไห่กงจื่อ”


 


 


ฮ่าๆ แน่ล่ะว่าหลี่ว์ซู่บอกเขาไม่ได้หรอกว่าเขาขังไห่กงจื่อเอาไว้ในหุบเหวแห่งความโกลาหล หลี่ว์ซู่ทำได้แต่หัวเราะ “สบายใจได้ครับ เขาไม่ตายหรอก แต่คงไม่ออกมาข้างนอกสักพัก”


 


 


สือเสวจิ้นมองเขาด้วยความตกใจ พ่อของเขาเคยเป็นผู้ถือครองกระบี่นี้มาก่อน เพราะฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าไห่กงจื่อเป็นอย่างไร


 


 


หลี่ว์ซู่บอกแบบนั้นแสดงว่าเขาต้องกักขังไห่กงจื่อไว้ที่ไหนสักแห่งอยู่ใช่ไหม หลี่ว์ซู่มีพลังน่าทึ่งแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน


 


 


“นาย…” สือเสวจิ้นลังเลพักหนึ่งแต่ก็ถามออกมาในที่สุด


 


 


หลี่ว์ซู่เปลี่ยนสีหน้าทันที “โจ๊กลูกเดือยเป็นไงครับ”


 


 


“ไม่ใช่ว่ามันยังไม่เสร็จเหรอ” สือเสวจิ้นพูดไม่ออก “โอ้ เสร็จแล้วนี่”


 


 


สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงมองหน้ากัน พวกเขาพอจะเดาได้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น พวกเขารู้ว่าไห่กงจื่อไม่สามารถโจมตีผู้ถือครองกระบี่ได้เพราะหากทำเช่นนั้น เขาจะต้องฝึกตนหลังจากจู่โจมเจ้าของเป็นเวลานาน การทำร้ายผู้ถือครองกระบี่จึงส่งผลเสียมากกว่าให้ผลดี


 


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพบเหตุการณ์เช่นนี้ ทว่าไห่กงจื่อคุ้นเคยกับพ่อของสือเสวจิ้นดี เขาเคยพูดกับพ่อของสือเสวจิ้นเรื่องนี้มาก่อน


 


 


ในตอนนั้น ไห่กงจื่อบอกว่าเขาจะไม่ทำแบบนั้นนอกเสียจากว่าทนไม่ไหวจริงๆ


 


 


แต่พอดูจากสถานการณ์ตอนนี้…


 


 


เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นสับสนไปหมด หลี่ว์ซู่ทำอะไรลงไปกันแน่ ถึงขนาดทำให้ไห่กงจื่อปรี๊ดแตกได้ภายในเวลาไม่กี่วันแบบนี้เชียว


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง สือเสวจิ้นก็กลับมาพร้อมกับถ้วยโจ๊กลูกเดือย “นายส่งไห่กงจื่อไปไว้ที่ไหน”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ตอบคำถามของเขา “ช่วยส่งจานผักดองให้ผมหน่อยได้ไหม มีผักดองหรือเปล่าครับ”


 


 


สือเสวจิ้นพูดไม่ออก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +666!]


 


 


เขาและเนี่ยถิงเข้าใจแล้ว หลี่ว์ซู่กำลังอารมณ์ไม่ดีและอยากยั่วอารมณ์พวกเขา!


 


 


สือเสวจิ้นมองเนี่ยถิง เขาก็บอกหลี่ว์ซู่ไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าเขามอบหนังสือตอบรับเข้าเรียนให้ได้ แล้วก็อนุญาตให้หลี่ว์ซู่เข้าวิทยาลัยได้แล้วด้วย แล้วนี่ยังจะมีอะไรอีก


 


 


เนี่ยถิงเหลือบมองสือเสวจิ้น ไม่ใช่ว่าไอ้เด็กนี่มาขอร้องให้มอบกระบี่เฉิงอิ่งให้กับเขาเหรอ แล้วเขายังต้องรับผิดชอบอะไรอีก


 


 


หลี่ว์ซู่มองเนี่ยถิงที มองสือเสวจิ้นที “พวกคุณทั้งคู่กำลังทำอะไรกันน่ะ มองตากันแบบนั้น”


 


 


หากคนอื่นได้ยินว่าเขากล้าพูดแบบนี้กับราชันฟ้าทั้งสองคน พวกเขาต้องกลัวจนฉี่แตก แต่หลี่ว์ซู่ไม่สนใจ เขาอยู่ใต้อาณัติชายสองคนตรงหน้า เขารู้ว่าทั้งคู่ต้องรู้สึกผิดบ้างล่ะ หลี่ว์ซู่หงุดหงิดจริงๆ ที่ต้องเห็นหน้าพวกเขาสองคนก่อนตรุษจีนแบบนี้!


 


 


ตกกลางคืน สือเสวจิ้นให้หลี่ว์ซู่นอนห้องที่เขาเคยนอนพักฟื้นก่อนหน้านี้ พอเรียบร้อยแล้วสือเสวจิ้นก็โล่งอกในที่สุด หลี่ว์ซู่ทำเอาเขาปวดหัวตลอดบ่าย ส่วนเนี่ยถิงนั้นก็หลับสนิททันทีในไม่กี่นาทีหลังหัวถึงหมอน พวกเขาเอาแต่คิดถึงวิธีเอาคืนกันทุกวินาที


 


 


ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนอน ทว่าก่อนรุ่งสาง สือเสวจิ้นก็ได้ยินเสียงรบกวนอะไรบางอย่างดังมาจากข้างนอก…


 


 


ปุ้ง! เปรี๊ยะๆๆๆ


 


 


ปุ้ง! เปรี๊ยะๆๆๆ


 


 


มีคนกำลังจุดประทัด!


 


 


สือเสวจิ้นและเนี่ยถิงสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา ทั้งคู่รู้สึกงุนงง เขาห้ามไม่ให้จุดประทัดเล่นในเมืองหลวงตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วใครยังกล้าเล่นอีก แต่ฟังแล้วดูเหมือนเสียงจะมาจากแถวๆ นี้…


 


 


เดี๋ยวก่อน มีคนกำลังจุดประทัดอยู่ในสวน หลี่ว์ซู่!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


ไอ้เด็กเปรตนี่! ดึกๆ ดื่นๆ มาจุดประทัดเล่นในสวนแบบนี้ได้ไง สือเสวจิ้นกระชับเสื้อแล้วเดินออกไปข้างนอก พอเห็นหลี่ว์ซู่ก็ถึงกับเดือดขึ้นมา “ทำอะไรอยู่ รู้ไหมว่าในเมืองหลวงเขาไม่ให้จุดประทัดน่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็เซ็งเหมือนกัน “งั้นมันก็ไม่รู้สึกว่าเป็นตรุษจีนน่ะสิ”


 


 


สือเสวจิ้นรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขามองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ “นี่ตีสามแล้วนะ! ไม่มีใครเขามาเล่นประทัดกันตอนตีสามหรอก ใครๆ ก็เขาก็จุดกันตอนเที่ยงคืนทั้งนั้นแหละ มีแต่นายที่อยากเล่นตอนตีสาม ครอบครัวนายอยู่ถึงตีสามกันในวันก่อนตรุษจีนเหรอ ทำไมไม่รอฟ้าสว่างซะเลยล่ะ”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมรอถึงเช้าแน่ แล้วผมก็ซื้อประทัดมาแล้วด้วย” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ


 


 


สือเสวจิ้นคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ “นี่มันสองวันก่อนวันปีใหม่นะ ไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยเหรอนี่จะมาเล่นประทัด”


 


 


ถ้ามีคนจำกัดการเล่นประทัดในบริเวณหนึ่ง เดี๋ยวพวกเขาก็อาจถูกปรับได้ แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าให้เนี่ยถิงจ่ายค่าปรับหรอก


 


 


สือเสวจิ้นมองไปที่หลี่ว์ซู่ที่เอากล่องประทัดออกมาจากตราแห่งแผ่นดินอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เขาเพิ่งจะอยากเล่นอะไรตอนนี้ แถมตอนนี้เปลี่ยนจากประทัดเป็นพลุเสียด้วย


 


 


สือเสวจิ้นมองไปที่กล่องประทัด… มีประทัดอยู่ถึงแสนดอกด้วยกัน… เขาเดินกลับไปในบ้านแล้วรีบโทรศัพท์


 


 


“สวัสดีครับ ตำรวจใช่ไหม มาที่บ้านหน่อยได้ไหมครับ มีคนเล่นประทัดในบ้าน ครับ ครับ ครับ! มาปรับเขาด่วนเลยนะครับ ที่อยู่เป็นบ้านเลขที่สิบเจ็ด ถนนหลิวไห่ ครับ ครับ! ใช่แล้วครับ เป็นบ้านราชันฟ้าเนี่ย ไม่ต้องห่วงครับ ราชันฟ้าเนี่ยช่วยคุณแน่นอน!”


 


 


ผู้นำแห่งเครือข่ายฟ้าดินโดนบีบจนต้องโทรหาตำรวจด้วยตัวเอง!


 


 


พอเห็นแบบนั้นหลี่ว์ซู่ก็เก็บประทัด สือเสวจิ้นหัวเราะเสียงดัง “ไงเจ้าหนุ่ม กลัวเหรอ”


 


 


เขาไม่ได้โทรหาตำรวจจริงๆ หรอก ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะแย่เอา สือเสวจิ้นอยากทำให้หลี่ว์ซู่กลัวเท่านั้นแหละ แต่ก่อนที่สือเสวจิ้นจะหัวเราะเสร็จ หลี่ว์ซู่ที่นั่งบนโต๊ะหินก็มองขึ้นไปแล้วอ้าปากร้องว่า “ปุง! เปรี๊ยะๆๆๆ!”


 


 


“ปุ้ง! เปรี๊ยะๆๆๆ!”


 


 


สือเสวจิ้น “???”


 


 


นี่นายทำตัวเป็นประทัดมนุษย์งั้นเหรอ


 


 


หรือกำลังฝึกร้องเพลงล้อเลียน ทำอะไรของนายเนี่ย บ้าไปแล้วหรือไง!


 


 


สือเสวจิ้นเป็นแค่คนธรรมดาๆ เขาไม่สามารถทนอดหลับอดนอนติดๆ กันแบบนี้ได้หรอก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


เช้าวันต่อมาสือเสวจิ้นก็มีรอยคล้ำใต้ตาตอนตื่น เขามองไปยังเนี่ยถิง


 


 


“เร็วเข้าครับ สมัครเรียนให้เขาเถอะ เอาเขาไปจากที่นี่ที…”


 


 


เนี่ยถิงส่ายหัว “ฉันกลัวว่าแค่หนังสือตอบรับเข้าเรียนคงแก้ปัญหาในตอนนี้ไม่ได้แน่…”


 


 


คืนก่อนตรุษจีน สือเสวจิ้นก็เตรียมตัวโทรหาตำรวจถ้าหลี่ว์ซู่อยากจะเล่นประทัดอีก แต่หลี่ว์ซู่หายตัวไปแล้ว


 


 


“หลี่ว์ซู่ไปไหนกัน” สือเสวจิ้นถามอย่างสงสัย


 


 


“ป่าช้าปาเป่าชาน” เนี่ยถิงตอบอย่างใจเย็น “นี่คงเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเขาถึงมาถึงที่เมืองหลวงได้”


 


 


หลี่ว์ซู่ยืนอยู่ต่อหน้าป้ายหลุมศพของหลิวซิว เขาค่อยๆ เอาชามจ๋าเจี้ยงเมี่ยน [2] วางไว้ที่หน้าป้ายหลุมศพ


 


 


“สหาย สงสัยนายคงเหงาน่าดูในวันตรุษจีนแบบนี้ ก็เลยเอาจ๋าเจี้ยงเมี่ยนมาให้ชามหนึ่ง ขอบคุณมากนะที่ตอนนั้นนายก้าวออกมาด้วยความกล้าหาญ ถ้าไม่ได้นาย ฉันคงลงหลุมไปแล้ว ไม่ใช่นายแบบนี้”


 


 


เขานั่งลงข้างบันไดแล้วพูดต่อ “ฉันไปเยี่ยมครอบครัวของลูกพี่ลูกน้องนายมา หลังจากที่นายจากไป ฉันบอกลูกพี่ลูกน้องนายว่าฉันจะเป็นพี่ชายดูแลเขาให้นับตั้งแต่นั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ดีใจเท่าไหร่นะ…”


 


 


“หมดห่วงได้แล้วนะ รีบๆ ไปเกิดใหม่ได้แล้ว ถ้าชาติหน้าได้เป็นสหายร่วมรบกันอีกเราคงจะได้เห็นประเทศเราเจริญรุ่งเรือง และคงได้มากินจ๋าเจี้ยงเมี่ยนด้วยกัน พอเจอกันแล้วอย่าลืมหลิ่วตาทักทายล่ะ ฉันกลัวว่าตอนนั้นจะจำนายไม่ได้…”


 


 


 


 


——


 


 


[1] มังกรน้ำในตำนานของจีน


 


 


[2] อาหารจีนที่ทำจากเส้นบะหมี่หนาและโปะหน้าด้วยซอสดำจ๋าเจี้ยง


ตอนที่ 580 หนังสืออนุญาตรับเข้าเรียนในกรณีพิเศษ


 


 


ที่หลี่ว์ซู่มาที่เมืองหลวงก็ด้วยเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกคือเขาอยากจะมาเยี่ยมหลิวซิวและใช้เวลาช่วงเข้าปีใหม่ไปพร้อมๆ กับหลิวซิวที่ตายเพื่อเขา อย่างที่สองก็คือเขาอยากมากวนประสาทเนี่ยถิงและสือเสวจิ้น


 


 


ตอนที่สือเสวจิ้นได้ยินเนี่ยถิงบอกเขาว่าหลี่ว์ซู่จะไปที่ป่าช้าปาเป่าซาน เขาก็เงียบไป ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงพูดว่า “หลี่ว์ซู่เป็นเด็กจิตใจดีนะครับ สงสัยคุณจะตัดสินใจถูกจริงๆ ถ้าเขาได้เป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องงานต่างประเทศ เราคงไม่ต้องเสียกำลังทหารที่ต้องสละชีวิตในต่างประเทศไปเยอะเท่าไหร่”


 


 


“หากเป็นคนไร้หัวใจก็คงเป็นคนที่สนใจแต่ชีวิตตัวเองหรือคิดแต่จะทำให้เป้าหมายตัวเองสำเร็จโดยไม่สนใจชีวิตของคนรอบข้างเลย” เนี่ยถิงพยักหน้าเห็นด้วย “คนแบบนี้คงเป็นแค่นักฆ่าเท่านั้นแหละ มาเป็นผู้นำคนไม่ได้”


 


 


สือเสวจิ้นมองเนี่ยถิง “คุณกำลังพูดถึงเฉาชิงฉืออยู่ใช่ไหม แล้วทำไมคุณถึงยังเตรียมสอนเคล็ดลับดาบให้เธออยู่ล่ะ”


 


 


“เธอไม่ใช่คนไร้หัวใจ แต่เธออยากทำเป้าหมายให้สำเร็จมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงวิธีการว่าจะถูกหรือผิด เธอยอมสละชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ชีวิตคนอื่นเลย” เนี่ยถิงพูดอย่างใจเย็น “เพราะฉะนั้นต้องทำงานรับผิดชอบหน้าที่ในต่างประเทศดูจะไม่เหมาะกับเธอเท่าไหร่ เธอน่ะเหมาะกับการเป็นคมดาบที่คมที่สุดของเครือข่ายฟ้าดินต่างหาก”


 


 


“แล้วพวกหัวกะทิคนอื่นๆ ล่ะครับ” สือเสวจิ้นถามอย่างสงสัย “ครั้งนี้เรายอมสละหัวกะทิระดับ A ไปสองคน ผมยังรู้สึกผิดอยู่ไม่หายเลย แต่คนอื่นๆ นั้นเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เมื่อบางคนต้องผ่านความเป็นความตายกันมาก็เกิดการปะทุพลังขึ้น ตอนนี้พวกที่มีประสบการณ์รบในเครือข่ายฟ้าดินยังสู้พวกเขาไม่ได้เลย โลกนี้นี่ไม่ยุติธรรมจริงๆ พวกหัวกะทิเก่งกาจขึ้นมาเทียบชั้นพวกที่ฝึกมาอย่างหนักและใช้เวลานานได้ไวมาก”


 


 


“เรารู้กันดีน่าว่ามันไม่มีอะไรยุติธรรมในโลกนี้หรอก ไม่อย่างนั้นแล้วทำไมป่านนี้นายยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากการฝึกบำเพ็ญอีกล่ะ” เนี่ยถิงพูดขณะพลิกหน้าเอกสารในมือ “ส่วนเรื่องหัวกะทิสองคนที่เราเสียไป เราให้แผนที่พวกเขาจะสามารถปกป้องตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟังเราเอง เราอนุญาตให้พวกเขาถอยกลับมาได้ แต่พวกเขาอยากจะทำตามใจตัวเอง ถ้าให้เลือกระหว่างพวกกะทิพวกนั้นกับหลี่ว์ซู่ ฉันคงเลือกหลี่ว์ซู่มากกว่า”


 


 


“แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจจะทำ คุณจะทำยังไงล่ะ” สือเสวจิ้นส่ายหัว “ไม่มีคนอื่นให้เลือกแล้วเหรอครับ ผมมีความรู้สึกว่าถ้าเวลาผ่านไปแล้ว หลี่ว์ซู่คงสู้พวกหัวกะทิไม่ได้”


 


 


“ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ นายไม่รู้สึกเหรอว่าหลี่ว์ซู่ซุกซ่อนความลับไว้เยอะมาก” เนี่ยถิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดอย่างใจเย็น “ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายน่ะ คนที่ถ่อมตัวในความสามารถของตัวเองมักจะเป็นคนที่ชนะเสมอแหละ จนป่านนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าหลี่ว์ซู่ไปทำท่าไหนถึงได้ฆ่าทาคาชิมะ ทาอิรัตสึได้ เราไม่รู้เลยว่าเขาร่ำเรียนวิชาจากหอเกียรติกระบี่มาแค่ไหน เรารู้แต่ว่าตอนนี้เขาอาจจะเลื่อนเป็นระดับ B แล้วก็ได้ แต่ก็ยังไม่รู้แน่ๆ ว่าจริงๆ แล้วเขาเข็งแกร่งมากเท่าไหร่ หมาเห่าน่ะไม่กัดหรอกรู้ไหม แต่เขาเป็นหมาไม่เห่านี่สิ ฉันอาจจะเปรียบเปรยไม่ค่อยถูก แต่ฉันมั่นใจว่าหลี่ว์ซู่เหมาะกับตำแหน่งนี้แน่ เขาจะเอาพลังที่แท้จริงออกมาได้ตอนเวลาสำคัญจริงๆ เท่านั้น”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นให้พวกหัวกะทิพวกนั้นกลับไปที่ฐานของตัวเอง แล้วก่อนที่ค่ายฝึกจะจบลงก็อย่าลืมบอกพวกเด็กนักเรียนธรรมดาๆ ของห้องเต้าหยวนด้วยว่าอย่าได้ประมาทเด็ดขาด บอกพวกเขาไปว่าโลกข้างนอกนั่นมีคนเก่งกาจกว่าพวกเขาหลายเท่า เพราะบางคนอาจจะพอใจกับผลลัพธ์แล้วหลังการฝึกจบลง” สือเสวจิ้นพูด “แต่อย่ากดดันพวกเขามากเกินไปนะครับ หากกดดันมากๆ เดี๋ยวจะเป็นการทำร้ายพวกเขาไปได้”


 


 


“อืม” เนี่ยถิงพยักหน้ารับรู้


 


 


“งั้นพวกเราจะทำยังไงกับหลี่ว์ซู่ดี เราปล่อยเขาอยู่ในหน่วยรักษาความปลอดภัยในเมืองลั่วต่อไปดีไหมครับ” สือเสวจิ้นเม้มปากด้วยความรำคาญ “หรือว่าเราจะให้เขาไปเรียนอย่างที่อยากดีครับ ตอนนั้นคุณไม่อยากให้เขาไปเรียน เราก็เลยต้องมาปวดหัวกันแบบนี้ ผมว่าเขาไม่จำเป็นต้องไปเรียนก็ได้ แต่พอคุณยืนกรานว่าจะไม่ให้เขาไป ทีนี้แหละเขาเลยอยากไปมาก แล้วคุณก็ต้องตัดสินใจเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรด้วย”


 


 


น้ำเสียงของเนี่ยถิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “นี่จะให้ฉันยอมแพ้งั้นเหรอ เขาไม่จำเป็นต้องไปเรียน เขาไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวได้ ทำไมจะต้องให้เขาไปเรียนแล้วมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วย”


 


 


“ไห่กงจื่อน่ะโดนขังอยู่นานมากแล้ว จะยอมแพ้ไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเคยพูดแล้วนะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคุณไม่อยากให้เขาไปเรียน สิ่งที่เขาอยากได้จากคุณตอนนี้ก็คือหนังสือรับเข้าเรียนจากคุณโดยตรง”


 


 


“ตอนนั้นนายเป็นคนบอกให้ฉันเอากระบี่เฉิงอิ่งให้เขาเองไม่ใช่เหรอ” เนี่ยถิงเริ่มทำสีหน้าน่ากลัว


 


 


“จะโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้นะ ดูเขาสิ ถ่อมาตั้งไกลถึงเมืองหลวงนี่เพื่อจะมาใช้เวลาปีใหม่กับหลิวซิว จะให้กระบี่เฉิงอิ่งไปก็คงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหมละครับ” สือเสวจิ้นเริ่มรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ


 


 


เนี่ยถิงก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าหลี่ว์ซู่จะคิดอย่างไร เขาเลยพูดออกไป “งั้นรอให้เขากลับมาก่อนก็แล้วกัน”


 


 


เนี่ยถิงรู้สึกว่าที่หลี่ว์ซู่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อหลิวซิว เขาประทับใจที่หลี่ว์ซู่มาถึงที่นี่เพื่อหลิวซิวมาก แต่เขาก็ยังยืนกรานเรื่องที่จะส่งเขาไปต่างประเทศอยู่ดี


 


 


ทว่าดูเหมือนว่าหลี่ว์ซู่จะไม่อยากรับข้อเสนอนี้ในตอนนี้ เนี่ยถิงต้องหาทางอื่น


 


 


วันรุ่งขึ้นหลี่ว์ซู่ก็ยังไม่กลับมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน


 


 


เนี่ยถิงรู้ว่าหลี่ว์ซู่มีหน้ากากนั่น หลี่ว์ซู่คงจะหายไปจากเมืองหลวงได้ไม่ยากนักหรอก แต่เนี่ยถิงกลับรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ หลี่ว์ซู่จะไปก่อเรื่องใหญ่ในเมืองหลวงอีกหรือเปล่านะ ตอนนี้เนี่ยถิงเลยต้องมานั่งในห้องควบคุมที่ตรอกหลิงจิง คอยส่องดูกล้องวงจรปิดในทุกๆ ซอกมุมของเมืองหลวง


 


 


แต่ต่อให้หาทั้งวันแล้วก็ไม่เจออะไร


 


 


เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ เนี่ยถิงขมวดคิ้วและก็กลับไปที่บ้านบนถนนหลิวไห่ รอคอยจะพูดกับหลี่ว์ซู่ เนี่ยถิงคิดไปถึงตอนที่หลี่ว์ซู่พูดว่าเขาไม่สามารถทนให้มีหลิวซิวอีกพันๆ คนตายที่ต่างประเทศได้อีก นั่นก็เลยเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากไปต่างประเทศ เนี่ยถิงคงจะไปนั่งคุยกับหลี่ว์ซู่จริงๆ จังๆ ได้เพื่อโน้มน้าวให้เขาไปต่างประเทศ และการที่เขาไปก็จะทำให้เขาช่วยชีวิตคนแบบหลิวซิวได้อีกหลายคน หรือเขาอาจจะพูดไปว่าความสามารถของหลี่ว์ซู่นั้นแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องคนแบบหลิวซิวได้ทั้งหมดแน่นอน


 


 


ฟังดูเป็นการเปิดประเด็นที่ดีแฮะ


 


 


แต่เนี่ยถืงเพิ่งจะมาคิดวิธีพูดดีๆ ได้ตอนที่หลี่ว์ซู่หายตัวไปนี่แหละ


 


 


ทั้งเนี่ยถิงและสือเสวจิ้นไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมหาญาติในวันปีใหม่วันแรก พวกเขาต่างพักผ่อนอยู่ในห้องของตัวเอง ก่อนรุ่งสางเนี่ยถิงก็ตกใจตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก เหมือนกำลังมีคนเลื่อนเก้าอี้มาที่ประตู…


 


 


“ปุ้ง! เปรี๊ยะๆๆ!”


 


 


“ปุ้ง! เปรี๊ยะๆๆๆๆ!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


สือเสวจิ้นซุกตัวอยู่ในเสื้อผ้าของเขาด้วยความรำคาญขณะที่เปิดประตูออกมา เขาเห็นหลี่ว์ซู่นั่งอยู่ที่ประตูและทำเสียงประทัดจากปากของเขาเอง สือเสวจิ้นไม่อยากเชื่อ “นี่นายหายไปเป็นวัน แต่ยังจำได้ว่าต้องกลับมาดึกๆ ดื่นๆ เพื่อทำเสียงน่ารำคาญแบบนี้เนี่ยนะ!”


 


 


เนี่ยถิงที่มีหน้าบูดเป็นตูดโยนกระดาษใส่หลี่ว์ซู่ กระดาษนั้นคือหนังสืออนุญาตรับเข้าเรียนในกรณีพิเศษ เขาเอ่ยว่า “เอาไป แล้วรีบๆ ไปหาจงอวี้ถังซะ อย่าลืมดูแลไห่กงจื่อดีๆ ล่ะ ตำนานบอกว่าไห่กงจื่อไม่ได้ถูกผนึกอยู่ในกระบี่ด้วยฝึมือคนอื่นหรอก เขาเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องคนอื่น พอตายแล้วก็บังคับให้วิญญาณตัวเองไปอยู่ข้างในนั้นและใช้กระบี่เฉิงอิ่งเป็นโลกหลังความตาย”


 


 


หลี่ว์ซู่ตะลึง นี่คือเรื่องราวที่แท้จริงของไห่กงจื่องั้นเหรอ ตอนนั้นที่เขามองดูในไข่มุกสีดำ เขายังเห็นไห่กงจื่อก้มเก็บถั่วแขกอยู่เลย…


ตอนที่ 581 แท่งหยกและวิธีลับ


 


 


พอหลี่ว์ซู่ได้รับหนังสือรับรองการสมัครเรียนมา เขาก็รู้สึกราวกับประสบความสำเร็จไปอย่างหนึ่งแล้ว ครั้งนี้หลี่ว์ซู่ชนะ ในขณะที่เนี่ยถิงไม่มีทางเลือกแต่ก็ต้องยอมถอยกลับไปเพื่อให้หลี่ว์ซู่ไปเรียนได้


 


 


ฮ่าๆ ถ้าเนี่ยถิงรู้ว่าเรื่องจะกลายมาเป็นแบบนี้ในท้ายที่สุด เขาก็คงไม่เมินสายเรียกเข้าของหลี่ว์ซู่และหลบหน้าหายไปหรอก ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อต้านไม่ให้หลี่ว์ซู่เข้าเรียนวิทยาลัยผู้บำเพ็ญ!


 


 


เนี่ยถิงเหลือบมองไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังทำหน้าดีใจสุดขีด แล้วสีหน้าเขาก็มืดคล้ำ “ฉันอนุญาตให้ไปเรียนได้แล้ว หวังว่าจะตั้งใจเรียนแล้วก็ไม่ทิ้งขว้างโอกาสนี้ล่ะ”


 


 


เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าให้หลี่ว์ซู่ไปเรียนก็ดีเหมือนกัน ที่สุดแล้ววิทยาลัยลั่วเฉิงก็มีหลักสูตรตามความสามารถ ถ้าหลี่ว์ซู่เปลี่ยนใจจะไปต่างประทเศแล้วละก็ หลักสูตรการสอนพวกนี้ย่อมมีประโยชน์ในการไปต่างประเทศด้วย


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังตกอยู่ภวังค์แห่งความปีติจนไม่ได้ยินที่เนี่ยถิงพูด “เมื่อกี้ว่าไงนะครับ”


 


 


เนี่ยถิงนิ่งเงียบ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +666!]


 


 


“หลี่ว์ซู่ ไห่กงจื่อไปไหนแล้วล่ะ” สือเสวจิ้นที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเนี่ยถิงด้วยความเห็นใจ เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


 


 


“เขาก็ไปอยู่ในที่ที่เขาไม่สามารถออกมาข้างนอกได้ในเร็วๆ นี้แหละครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” หลี่ว์ซู่โบกมืออย่างไม่สนใจ “เขาต้องได้รับบทเรียนหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไล่ดูถูกคนอื่นไปหมด”


 


 


“งั้นเกิดอะไรขึ้นล่ะ” สือเสวจิ้นเปลี่ยนวิธีถาม “เห็นแก่การที่เขายอมเสียสละให้กับมนุษยชาติในอดีต ให้โอกาสเขาหน่อยได้ไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มหงุดหงิดที่สือเสวจิ้นเอาเรื่องไห่กงจื่อในอดีตมาพูด “ผมก็เสียสละอะไรไปมากให้เครือข่ายฟ้าดินเหมือนกัน แต่พวกคุณก็ไม่เห็นจะให้โอกาสผมเลย”


 


 


เนี่ยถิงพูดเสียงเย็น “ถึงไห่กงจื่อจะหยิ่งยโสไปสักหน่อย แต่เขาก็ไม่ทำร้ายเจ้าของหรอก นายควรไปพิจารณาดูตัวเองนะว่าทำอะไรผิดไปหรือเปล่า”


 


 


สือเสวจิ้นร่วมผสมโรงด้วยทันที “ใช่ๆ พิจารณาตัวเองวันละหลายๆ รอบเลย”


 


 


“ฮ่าๆ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชา เขากลายเป็นคนผิดไปแล้ว ถึงการส่งเจ้ามังกรห้ากรงเล็บก้มไปก้มเก็บถั่วแขกกับพื้นจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้หรอก “ผมต้องพิจารณาตัวเองวันละหลายๆ รอบงั้นเหรอ งั้นพวกคุณสุภาพกับเขามากเลยสินะ ได้รักษาหน้าของเขาบ้างไหม ทำไมพวกคุณไม่ทำเรื่องพวกนี้เองล่ะครับ”


 


 


“บอกมาเร็วๆ เถอะว่าไห่กงจื่ออยู่ที่ไหน” เนี่ยถิงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ไห่กงจื่อนั้นเป็นหนี้บุญคุณอาจารย์ของพวกเขาอยู่ แถมเขายังเสียสละชีวิตตัวเองสำหรับมนุษยชาติด้วย เนี่ยถิงไม่ยอมให้ไห่กงจื่อไปทรมาทรกรรมในมือหลี่ว์ซู่หรอก


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากับสือเสวจิ้นเห็นหลี่ว์ซู่ถ่อมาในสภาพร่อแร่ พวกเขาแอบรู้สึกดีใจกันอยู่ลึกๆ พวกเขาให้กระบี่เฉิงอิ่งไปถูกคนแล้ว


 


 


แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มจะตระหนกกันแล้ว… ไม่สิ จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ พวกเขายังไม่รู้เลยว่าไห่กงจื่อถูกส่งไปที่ไหน


 


 


สือเสวจิ้นมองไปที่หลี่ว์ซู่ที่กำลังหัวเราะอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเลยกล่าวออกไป “งั้นเอาแบบนี้ไหม ฉันจะสอนเคล็ดลับวิธีที่ส่งไห่กงจื่อเข้าไปในกระบี่ได้ ในอนาคตถ้านายไม่อยากเห็นหน้าเขา นายก็ส่งเขากลับไปในกระบี่ได้ไง”


 


 


หลี่ว์ซู่ตะลึง


 


 


งั้นที่ผ่านมาก็มีวิธีส่งวิญญาณกระบี่กลับเข้าไปมาตลอดเลยสินะ ทำไมไม่เคยบอกกันบ้าง ข้อมูลพวกนี้ควรบอกมาพร้อมกับตอนมอบกระบี่เฉิงอิ่งให้ไม่ใช่หรือไง ทำไมถึงปิดบังกันแบบนี้ล่ะลุง


 


 


“อะแฮ่ม” สือเสวจิ้นเริ่มกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด “สรุปแล้วอยากรู้วิธีหรือเปล่า”


 


 


“อยากสิครับ ผมไม่รู้เรื่องนี้ได้ไงเนี่ย” หลี่ว์ซู่ตอบ


 


 


ได้ยินดังนั้น สือเสวจิ้นจึงไปหยิบเอาแท่งหยกออกมาจากข้างในบ้าน ดูๆ แล้วแท่งหยกนี้คงเก่าน่าดู “.ใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้กับแท่งหยกนี้สิ แล้วหลังจากนั้นนายจะเข้าใจวิธีเอง”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ เขารับแท่งหยกมาแล้วทำตามที่สือเสวจิ้นบอก บนแท่งแยกไม่มีแม้แต่รอยหรือตัวอักษรใดๆ อยู่เลย แต่มีพลังงานอ่อนๆ ที่เปล่งออกมาเท่านั้น เมื่อเอาได้ใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้กับแท่งหยกนี้แล้ว เขาก็เข้าใจวิธีส่งวิญญาณกลับเข้าไปในกระบี่เฉิงอิ่งทันที


 


 


“เดี๋ยวก่อนครับ” หลี่ว์ซู่กลับเข้าไปในห้องตัวเอง เขาเอาไข่มุกดำออกมาแล้วเข้าไปในหุบเหวแห่งความโกลาหล


 


 


เนี่ยถิงเลิกคิ้ว “แม้แต่ลมหายใจเขาก็หายไปด้วย อย่างกับว่าเขาไปอยู่ในโลกอื่นแล้วอย่างนั้นแหละ!”


 


 


“คุณหมายความว่าเขาสามารถเข้าไปในวัตถุเก่าแก่ได้งั้นหรือครับ” สือเสวจิ้นประหลาดใจ


 


 


“อาจจะใช่”


 


 


ในหุบเหวแห่งความโกลาหลที่ทั้งมืดทั้งหดหู่ หมิงเย่ว์เยี่ยติดอยู่ในนี้ตั้งนานจนเขาลืมเวลาไปแล้ว


 


 


แต่แล้วก็มีใครคนหนึ่งเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนจนได้ ทว่าคนคนนี้ไม่ค่อยปกติเสียเท่าไหร่


 


 


ตอนนี้หมิงเย่ว์เยี่ยสนุกสนานอยู่กับการดูไห่กงจื่อก้มเก็บถั่วแขกเป็นอย่างมาก ดูเพลินจริงๆ


 


 


“4491…4492…4493…” ไห่กงจื่อกำลังนับจำนวนในขณะที่เขากำลังเก็บถั่วแขก นี่มันดีกว่าการรนับแกะเสียอีก


 


 


แล้วอยู่ๆ ก็มีคลื่นซัดเข้ามาในหุบเหวเป็นระลอก จากนั้นหลี่ว์ซู่ก็ปรากฏตัวขึ้นในอากาศ


 


 


ไห่กงจื่อรีบยืนขึ้นทันที เขามองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างเย็นชา “เอาถุงมาให้ข้านะ!”


 


 


“หยุดเก็บถั่วแขกได้แล้ว เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นขอให้ผมพาคุณออกไป” หลี่ว์ซู่พูด ก็แค่แสดงเท่านั้นแหละ


 


 


ไห่กงจื่อขมวดคิ้ว “ถึงเวลาจะผ่านไปพันปีก็ไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นกับข้าได้หรอก เจ้านั่นแหละที่ต้องระวังตัว ถ้าข้าไม่ไปประจำอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งแล้วกระบี่นั่นก็จะแหลกสลายไปภายในเวลาไม่เกินปีแน่ๆ”


 


 


หลี่ว์ซู่ตกตะลึง เขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน “เดี๋ยวก่อนนะ คุณอยู่ร่วมกับกระบี่แบบอิงอาศัยเหรอ”


 


 


“ข้าเป็นผู้ปกปักกระบี่เฉิงอิ่งต่างหาก กระบี่ต้องใช้พลังที่ข้าดูดซับจากโลกมาเพื่อหล่อเลี้ยงตัวมัน” ไห่กงจื่อหัวเราะเสียงเย็น “ข้าซึมซับพลังวิญญาณเพื่อรักษาตัวเองได้ แต่ถ้ากระบี่เฉิงอิ่งแหลกสลายไป อย่ามาร้องไห้ให้เห็นแล้วกัน”


 


 


“หยุดเรื่องไร้สาระนี่สักทีน่า” หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็นกลับไปเหมือนกัน “พูดอย่างกับว่าคุณไม่ต้องการกระบี่เฉิงอิ่งแบบนั้นแหละ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณจะไปที่ไหนก็ได้ถ้ากระบี่มันแตกขึ้นมา เด็กสามขวบยังรู้เลย เอาเถอะ ตามมาได้แล้ว เดี๋ยวผมจะพาคุณออกไป”


 


 


หลี่ว์ซู่ทำตามวิธีลับที่เพิ่งเรียนรู้มา อยู่ๆ ไห่กงจื่อก็รู้สึกได้ถึงพลังที่ดึงเขากลับไปในกระบี่เฉิงอิ่ง พันธะระหว่างอาวุธและวิญญาณของอาวุธได้เกินขอบเขตของความแข็งแกร่งของเขาแล้ว


 


 


ไห่กงจื่อไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้ เขาไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะฝึกฝนความสามารถนี้จนเก่งกาจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที “เดี๋ยวก่อน ข้ายังเก็บถั่วแขกไม่หมดเลย! เม็ดที่สี่พันสี่ร้อยเก้าสิบสามแล้ว ขอข้าเก็บจนมันเป็นเลขกลมๆ ก่อนได้ไหม!”


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ปล่อยให้เขาทำแบบนั้น หลังจากที่ส่งไห่กงจื่อกลับเข้าไปในกระบี่เฉิงอิ่งได้แล้ว เขาก็พาตัวเองออกมาจากหุบเหวแห่งความโกลาหลอ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขายังต้องทำอะไรอีกเยอะกว่าจะได้ญาติดีกับไห่กงจื่อได้ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว เขายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ


 


 


เนี่ยถิงสัมผัสได้ว่าหลี่ว์ซู่กลับมาแล้ว เขาพูดกับสือเสวจิ้นเสียงต่ำ “เขากลับมาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาเข้าไปในวัตถุเก่าแก่ได้ยังไง ขนาดฉันยังเข้าไปในโลกของซินถิงไม่ได้เลย”


 


 


“มันมีโลกแปลกๆ ในวัตถุเก่าแก่เยอะแยะไปหมดแหละครับ ใจเย็นๆ” สือเสวจิ้นถอนหายใจ “ทำไมคุณไม่ลองไปถามหลี่ว์ซู่ดูล่ะ”


 


 


เนี่ยถิงเงียบไปแล้วตอบกลับมา “ฉันหาวิธีของฉันได้น่า”


 


 


ตอนที่สือเสวจิ้นได้ยินเรื่องนี้แล้วเขาก็รู้ว่าข้อขัดแย้งระหว่างเนี่ยถิงกับหลี่ว์ซู่ยังไม่จบแค่นี้


 


 


พอหลี่ว์ซู่ออกมาข้างนอก สือเสวจิ้นก็มองหลี่ว์ซู่


 


 


“ไห่กงจื่ออยู่ไหนแล้วล่ะ ฉันจะสบายใจได้ก็ต่อเมื่อเห็นเขากับตาตัวเอง”


 


 


“ตอนอยู่กับผม คุณไม่สบายใจงั้นเหรอ” หลี่ว์ซู่หัวเราะชอบใจ


 


 


สือเสวจิ้นตะลึง “ไปเอาความกล้าจากที่ไหน ถึงได้กล้าพูดแบบนี้!”


 


 


นายน่ะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้เลยล่ะที่จะทำให้คนอื่นโล่งใจได้!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +199!]

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม