ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 572-575.2

ตอนที่ 572 ไสหัวไป!

 

เขาหันหน้ากลับมา เห็นว่าท่ามกลางทรายที่ปลิวว่อนนั้นมีละมั่งโผล่มาจากที่ใดไม่รู้ตัวหนึ่ง สีทองทั่วทั้งตัว สี่เท้าตะกุยอากาศ กำลังวิ่งห้อตะบึงขยับวูบไหวอยู่ในทะเลทราย วิ่งเร็วยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็ห่างออกไปหลายจั้ง เขาที่ขยับโยกไหวเล็กน้อยนั้นกรีดเป็นเส้นโค้งขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่องสองสาย 


 


 


เดินทางด้วยความลำบากลำบนในหลัวปู้ปั๋วมายี่สิบกว่าวัน นอกจากพวกของตนเองแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น ด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น หลินหว่านหรงจึงหวดแส้ม้าคราหนึ่ง พูดเสียงดังออกมาว่า “เร็ว ตามมันไปเร็ว!” 


 


 


ไม่รอให้เขาพูดจบ หูปู้กุยก็ตวาดเสียงดังออกมาด้วยความตื่นเต้น ควบม้าประดิษฐ์สายลม บุกออกไปอยู่ข้างหน้า ทหารม้าห้าพันนายตามติดอยู่ข้างหลังเขา ก่อเป็นฝุ่นดินลอยคละคลุ้งขึ้นสู่ขอบฟ้า เมื่อทอดสายตามองจากที่ไกลๆ แล้ว ก็เหมือนลมพายุที่ก่อตัวขึ้นในทะเลทราย 


 


 


ถูกม้าห้าพันตัวไล่ตาม ด้วยความตกใจละมั่งจึงวิ่งเร็วมากยิ่งขึ้น เท้าทั้งสี่แทบไม่ติดพื้น ร่างกายพุ่งทะยานประดุจลูกธนู วิ่งไปข้างหน้าด้วยความตกใจและหวาดกลัว  


 


 


เพียงชั่วอึดใจเดียวก็ไล่ตามมาได้เกือบครึ่งชั่วยาม ระยะทางยิ่งเดินทางก็ยิ่งไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ละมั่งมีความอดทนสูงยิ่งนัก อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย 


 


 


“ดูเร็ว น้องหลิน รีบดูเร็ว! หญ้า หญ้าสีเขียว…” ระหว่างที่กำลังวิ่งห้อตะบึงอยู่นั้น จู่ๆ เกาฉิวก็หวดแส้ม้าร้องเสียงดังขึ้นมา เสียงอันตื่นเต้นยินดีนั้นสะกดเสียงที่เท้าและเสียงสายลม เข้าสู่ใบหูของทุกคน  


 


 


เมื่อทอดสายตามองออกไป ในทะเลทรายสีเหลืองขมุกขมัวกลับปรากฏสีเขียวเป็นหย่อมๆ มีจำนวนน้อยยิ่งนัก กระจัดกระจายไปทั่ว แต่สำหรับคนที่เดินทางเข้ามาในทะเลทรายเป็นระยะเวลายี่สิบวันเหล่านี้ สีเขียวเป็นหย่อมๆ นั้น แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตเช่นกัน 


 


 


หูปู้กุยหวดแส้ม้า พูดเสียงดังออกมาว่า “มีหญ้าก็มีน้ำ แม่ทัพหลินพูดถูกต้องยิ่งนัก พวกเราใกล้จะได้ออกจากทะเลทรายแล้ว พี่น้องทั้งหลาย พวกเราใกล้จะได้ออกจากทะเลทรายแล้ว!! บุก บุกไปกับข้า!” 


 


 


เสียงร้องตะโกนนี้ช่างสุดๆ แล้วจริงๆ เหล่านายทหารใบหน้าแดงก่ำ หัวใจที่ตื่นเต้นยินดีแทบจะกระดอนออกมา พวกเขากู่ร้องคำรามเสียงดังลั่น ม้าห้าพันตัวแย่งกันกรูกันออกไปข้างหน้าราวกับกำลังแข่งขัน 


 


 


ยิ่งมุ่งไปข้างหน้าก็ค่อยๆ เชื่อมต่อกันเป็นแถบ มีสีเขียวเต็มไปหมด ทอดสายตามองออกไปไร้จุดสิ้นสุด ประหนึ่งพรมสีเขียวที่ปูไปจนถึงขอบฟ้า สายสีเหลืองของทะเลทรายถูกโยนทิ้งไว้ข้างหลัง เสียงฝีเท้ามาเหยียบย่ำพื้นหญ้าดังกุบกับชัดเจน ราวกับไม้ตีกลองที่กำลังออกแรงตีจิตวิญญาณของคนทุกคนอยู่ 


 


 


ทุกคนควบม้าอย่างบ้าคลั่ง เร็วได้มากเท่าไหร่ก็วิ่งเร็วมากเท่านั้น คิดแต่เพียงว่าจะปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจในช่วงยี่สิบว่าวันนี้ให้หมดสิ้น เสียงฝีเท้าม้าดังครืนๆ จนกลายเป็นเสียงอสนีบาตยามวสันต์ที่กึกก้องกัมปนาท พุ่งตรงไปยังขอบฟ้า 


 


 


ทันใดนั้นม้าที่กำลังวิ่งห้อตะบึงก็ค่อยๆ หยุดลง เหล่าทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าต่างอ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกจนกลมโต จ้องมองไปด้านหน้าไม่ขยับเขยื้อน ขบวนที่สับสนอลหม่านเมื่อครู่เงียบสงัดภายในชั่วพริบตา ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้นของตนเองเท่านั้น 


 


 


แม่น้ำกระจ่างใสอันกว้างใหญ่ราวกับแถบหยกฝังอยู่บนอยู่ในทุ่งหญ้า เลี้ยวลดคดเคี้ยว มุ่งตรงไปที่ขอบฟ้า สายน้ำที่ไหลรินนั้นเปล่งประกายศรีมรกตระยิบระยับ กระจ่างใสราวกับแก้วผลึก ทรายละเอียดหญ้าเขียว ก้อนหินกลมมน มัจฉาเวียนว่าย ต่างมองเห็นได้อย่างชัดเจน ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง หญ้าสีเขียวมรกตอันแผ่วเบาและอ่อนนุ่มประดับด้วยหยดน้ำค้างพราวกระจ่างใส ค่อยๆ แผ่ขยายออกไป ท่ามกลางไอหมอกลอยอบอวล ทั้งไกลและใกล้ต่างขมุกขมัวรางเลือน ผืนฟ้าและแผ่นดินลอยละล่องอยู่ท่ามกลางสีเขียวขจีอันมีชีวิตชีวานี้ภายในชั่วพริบตา 


 


 


มองดูทัศนียภาพดั่งสรวงสวรรค์ตรงหน้าแล้ว ทุกคนต่างก็นิ่งงันไป เบ้าตาพลันเปียกชื้น 


 


 


“ท่านแม่ทัพ พวกเราออกมาแล้ว พวกเราออกมาจากทะเลแห่งความตายแล้ว!” หูปู้กุยพูดพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยดินทราย ชายฉกรรจ์อกสามศอกกลับอดสะอึกสะอื้นออกมาไม่ได้ 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ พวกเราออกมาแล้วจริงๆ น้องหลินช่างเหมือนดั่งเทพเซียนเสียจริง ข้าเหล่าเกาพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงติดตามน้องหลินก็จะไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่สำเร็จ!” เกาฉิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพลางกล่าวเลียแข้งเลียขา ลืมเลือนความทุกข์ยากเมื่อครู่ไปจนหมด 


 


 


เจ้าคนนี้กลับหนังหน้าหนามากเลยนะ! หลินหว่านหรงมองหลี่อู่หลิงที่อยู่ข้างกาย เอ่ยถามด้วยความห่วงใยออกมาว่า “เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” 


 


 


ในทะเลทรายขาดน้ำขาดอาหาร ความยากลำบากย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง อีกทั้งเสี่ยวหลี่จื่อกำลังอยู่ในช่วงสมานตัวหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่หลินหว่านหรงเป็นห่วงมากที่สุดก็คือเขาแล้ว สีหน้าของหลี่อู่หลิงยังคงเหลืองอมโรคอยู่บ้าง ร่างกายยังคงอ่อนแรง ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวกลับไม่มีปัญหา เขากำหมัดแน่น ออกแรงยกแขนขึ้น “พี่หลิน ท่านดูสิ นี่ข้าเหมือนเป็นอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ?!” 


 


 


นิสัยของเสี่ยวหลี่จื่อยังคงเหมือนเดิม ทุกคนรู้สึกยินดีอย่างบอกไม่ถูก เหล่าเกาตบออกแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้าวางใจได้ ประเดี๋ยวข้าเหล่าเกาจะลงไปในแม่น้ำด้วยตัวเอง จับปลาใหญ่มาทำแกงให้เจ้ากินสักหลายตัว!” 


 


 


“ท่าน?!” หลี่อู่หลิงกวาดตามองเขาหลายครั้งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ขอบคุณความห่วงใยของพี่เกาแล้ว เพียงแต่ท่าลูกหมาตกน้ำของท่านข้าเคยเห็นกับตาตนเอง หากท่านลงแม่น้ำไปจริงๆ เกรงว่าปลายังไม่ทันจับท่านกลับถูกปลาคาบไปเสียแล้ว” 


 


 


ทุกคนต่างเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น ร่างกายและจิตใจปลอดโปร่งมีความสุข ท่ามกลางความสับสนไม่รู้ชะตากรรม ช่วงเวลาอันมีความสุขเช่นนี้เหมือนไม่ได้มีมานานมากแล้ว  


 


 


หูปู้กุย เหล่าเกา สวี่เจิ้น หลี่อู่หลิง หลินหว่านหรงกวาดสายตามองทุกคนหลายครั้ง นอกจากตู้ซิวหยวนที่รับบัญชาให้เฝ้าหุบเขาเฮ่อหลานซานแล้ว พี่น้องเก่าที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็อยู่ครบ นับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้า นี่เป็นช่วงเวลาที่คึกคักมากที่สุดแล้ว 


 


 


“แม่ทัพหลิน ถุงน้ำของท่านทะลุแล้วขอรับ!” สวี่เจิ้นเป็นคนละเอียด เมื่อเห็นว่าถุงน้ำเ**่ยวๆ ที่แขวนอยู่ตรงเอวหลินหว่านหรงมีรูขนาดเล็กอยู่รูหนึ่งจึงรีบเอ่ยปากเตือน 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงรีบหยิบถุงน้ำมาจากเอวตัวเอง พิจารณาดูอย่างละเอียด เดินทัพมาหลายวัน น้ำสะอาดนำมารวมกันแล้วค่อยแบ่งออกไป ถุงน้ำไม่ได้ใช้มานานแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัวถุงน้ำนี้ก็ถูกหินถูกทรายกรีดจนเป็นรูขนาดเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ 


 


 


มองไปที่รอยริมฝีปากบนปากถุงที่แห้งกรังไปเสียนานแล้ว ตรงหน้าเขาก็พลันปรากฏดวงหน้าที่งดงามของอวี้เจียขึ้นมา ถุงน้ำใบเล็กๆ นี้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยที่มอบให้กับเขาด้วยมือขงนาง และเป็นสิ่งที่นางยื้อแย่งมาด้วยชีวิตท่ามกลางพายุทะเลทรายนั่น ระหว่างที่เดินทาง ทุกครั้งที่เขารู้สึกกระหายน้ำ ถุงน้ำนี้ก็จะส่งมาที่มือของเขาอย่างเงียบงันเสียทุกครั้งไป 


 


 


“ท่านแม่ทัพ เปลี่ยนถุงใหม่เถอะขอรับ!” หูปู้กุยรีบหยิบจากข้างหลังถุงหนึ่งแล้วส่งให้เขา 


 


 


หลินหว่านหรงลูบไล้ถุงน้ำนั้นอย่างแช่มช้า เงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะออกมาว่า “ทะลุก็ทะลุไปเถอะ ถือว่าเป็นของที่ระลึก นี่เป็นหลักฐานที่พิสูจน์การเดินทางผ่านทะเลแห่งความตายอันทรงพลังมากที่สุดของพวกเรา ทิ้งไปก็ออกจะน่าเสียดายเหลือเกิน” 


 


 


เขาแขวนถุงน้ำกลับไปอีกครั้ง ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเขามีเหตุผล ของที่ระลึกสำคัญเช่นนี้ ต่อให้ร่างต้องแหลกเป็นผุยผงก็ทิ้งไปไม่ได้! 


 


 


เหล่านายทหารกระโดดโลดเต้นโห่ร้องยินดี แย่งกันวิ่งห้อตะบึงไปยังสายน้ำ ชั่วพริบตานี้เอง ทุกคนต่างเริงร่าราวกับเด็กน้อย หลินหว่านหรงส่ายหน้ายิ้มแย้ม สายตาเหลือบมองไปยังสถานที่อันห่างไกลโดยไม่ได้ตั้งใจ ณ เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทรายนั้นมีเงาร่างอันอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่ร่างหนึ่ง 


 


 


นางนั่งคร่อมอยู่บนม้า ไม่รุกไม่ถอย ไม่พูดไม่ยิ้มแย้ม แสงสายัณห์สีแดงโลหิตลากร่างอันงดงามของนางให้กลายเป็นเงาที่ทอดยาวสายหนึ่ง โดดเดี่ยวอ้างว้างทว่าหยิ่งผยอง นิ้วมืออันเรียวยาวทั้งสิบของนางกุมขวดแก้วที่อยู่ในมือแน่น เปล่งประกายสีรุ้งแวววับภายในแสงอาทิตย์อัสดง  


 


 


หูปู้กุยประชิดข้างกายหลินหว่านหรง พูดเบาๆ ว่า “ท่านแม่ทัพโปรดวางใจได้เต็มที่ พวกเรามีพี่น้องคอยลอบเฝ้าดูอยู่ แม่สาวคนนี้หนีไม่ได้แน่นอนขอรับ!” 


 


 


หนีไม่ได้กลับน่าปวดหัวยิ่งกว่าหนีไปได้เสียอีก! หลินหว่านหรงโบกมืออย่างอับจนปัญญา พลิกตัวขึ้นม้าแล้วเดินทาง 


 


 


การรอนแรมอยู่ในทะเลทรายมายี่สิบกว่าวัน ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่ยากจะทานทน แม้แต่จิตใจเองก็ถูกทำร้ายอย่างเต็มที่ กายและจิตต่างต้องการช่วงพักฟื้น หลินหว่านหรงรู้จักหลักการผ่อนคลายและเข้มงวดสอดประสานเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึงเวลาลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ ดังนั้นเขาจึงใจกว้างสักหน่อย สั่งให้กองทัพตั้งค่าย พักผ่อนสองวันเต็มๆ! ครั้นคำสั่งนี้ถ่ายทอดลงไป ภายในค่ายพลันลิงโลด ทุกคนวิ่งห้อตะบึงบอกต่อกันไป ยิ้มร่าเบิกบาน กลับทำให้หลินหว่านหรงนึกถึงภาพตอนเป็นเด็กน้อยที่ตนเองมุ่งหวังรอคอยให้วันหยุดฤดูร้อนมาถึงอย่างทรมานทุกครั้งจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน 


 


 


เมื่อเดินทางออกจากหลัวปู้ปั๋ว สถานที่แห่งนี้อยู่ติดกับเกาชางและเทียนซาน สายน้ำที่ไหลเร็วรี่นี้ที่กระจ่างใสและเย็นเฉียบ คิดว่าน่าจะเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลลงมาจากเทียนซาน ไหลผ่านเทือกเขาเทียนซาน จากนั้นก็เป็นภูเขาอาเอ่อร์ไท่อันลาดชันมาอยู่ตรงหน้าเค่อจือเอ่อร์ ราชธานีทูเจวี๋ย ส่วนเคอปู้ตัวซึ่งอยู่ใต้ภูเขาอาเอ่อร์ไท่ก็คือสถานที่ผลิตหญ้าแสบจมูก และเป็นสถานที่ที่หลินหว่านหรงเฝ้ารอมานาน 


 


 


“ตัดผ่านทะเลแห่งความตายก็จะบรรลุถึงราชธานีทูเจวี๋ยโดยที่ผีสางเทวดาไม่รู้ตัวแล้ว…ท่านย่ามัน เจ้าเส้นทางสายไหมนี้มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง หากรู้เช่นนี้ตั้งแต่แรก พวกเราก็คงมุดเข้าหลัวปู้ปั๋วไปตั้งนานแล้ว” เมื่อฟังหลินหว่านหรงบรรยายสถานการณ์เสร็จ เกาฉิวก็ตบแผนที่หนักๆ คราหนึ่ง น้ำลายกระเซ็นไปทั่ว ราวกับว่าการตัดทะลุผ่านหลัวปู้ปั๋วคือการละเล่น 


 


 


หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “เช่นนั้นก็ดี รอให้คราวนี้กลับไปแล้วจะให้แม่ทัพหลินรายงานกุนซือสวี เรื่องดีๆ อย่างการเดินทางทะลุผ่านทะเลแห่งความตายเช่นนี้ ให้น้องเกาเจ้าทำไปเลย!” 


 


 


เหล่าเกาหน้าเขียวทันที รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่ได้ๆ ข้าเหล่าเกาไม่รู้จักทาง ให้เหล่าหูดีกว่า…ท่านใช้เข็มทิศเก่งมาก ทุกคนต่างรู้กัน!” 


 


 


เจ้านี่ช่างเป็นพวกที่สายตาสูงส่งทว่าฝีมือต่ำต้อยอย่างแท้จริง ทุกคนต่างหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กลับเบิกบานเป็นล้นพ้น 


 


 


กระโจมสีขาวสะอาดแผ่กระจายอยู่ริมแม่น้ำ ควันประกอบอาหารลอยเอื่อย กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก หลายวันมานี้พ่อครัวได้ก่อไฟทำอาหารเป็นครั้งแรก แม้จะมีแค่ผักหญ้าป่า แต่ในสายตาของชายฉกรรจ์ที่หิวจนหน้ามืดตาลายเหล่านี้ กลับไม่ต่างจากอาหารอันล้ำค่าราคาแพงเลย 


 


 


หลินหว่านหรงลงน้ำด้วยตัวเอง พาพี่น้องซึ่งเชี่ยวชาญทางน้ำกลุ่มหนึ่งช่วยกันจับสัตว์น้ำ น้ำที่ไหลลงมาจากเทียนซานนี้รสชาติหอมหวาน อุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหาร สัตว์มีมากมายมหาศาล ขนาดใหญ่อ้วนพี ทุกคนต่างจับกันด้วยความยินดีปรีดา เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังสลับกันไปมา ไม่นานนักกลิ่นหอมของน้ำแกงปลาก็ลอยไปทั่ว 


 


 


เมื่อฟ้ามืดลง ทุกคนถึงค่อยขึ้นฝั่งด้วยความอาลัยอาวรณ์ ส่วนหลินหว่านหรงกลับบังเกิดความคึกคักในการว่ายน้ำ ตูมตามอยู่คนเดียวในน้ำไม่หยุด เหล่าเกาเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาเป็นล้นพ้น “ท่าลูกหมาตกน้ำของน้องหลินน่าดูกว่าของข้ามากเลยนะ!” 


 


 


ฟ้ามืดหมดแล้ว ริมฝั่งจุดกองไฟ หลินหว่านหรงเดินเลียบย้อนต้นน้ำ สัมผัสถึงพลังของธารน้ำที่สาดกระทบหน้าอก รู้สึกสุขสบายอย่างล้นเหลือไปทั่วทั้งร่าง  


 


 


เพียงอึดใจเดียวก็ไม่รู้ว่าดำผุดดำว่ายมาไกลเท่าไหร่ เขาลอยขึ้นสู่ผิวน้ำมาอย่างแช่มช้า พ่นลมหายใจยาวๆ เช็ดน้ำที่อยู่บนใบหน้า กองไฟที่จุดอยู่ตรงทางน้ำด้านล่างระยิบระยับ ส่องสว่างใบหน้าอันหนุ่มแน่นของนายทหารทุกคน ไม่ได้เห็นใบหน้าเบิกบานใจเช่นนี้ของพวกเขามานานมากแล้ว 


 


 


พ่นลมหายใจด้วยความรู้สึกสุขสบาย ขณะที่กำลังจะว่ายกลับไปกลับได้ยินเสียงตูมเบาๆ อยู่ไม่ไกล เขาตกใจสะดุ้งโหยงทันที เห็นรูปร่างของโขดหินขนาดใหญ่หลายก้อนตะคุ่มๆ เสียงดังมาจากทางนั้น ฟ้ามืดเกินไป ริมฝั่งยังอยู่ห่างจากกึ่งกลางน้ำราวห้าหกสิบจั้งได้ โขดหินนั้นเงียบสงัด เขาเบิกตากว้าง ไม่รู้เช่นกันว่าอะไรที่ทำให้เกิดเสียง 


 


 


หรือจะเป็นปลาคาร์พกระโดดเล่นน้ำ? เขาหัวเราะฮิคราหนึ่ง จากนั้นก็ดำลงไปในน้ำ ว่ายตรงไปที่ฝั่ง ระยะทางไม่กี่จั้งสำหรับเขามันก็แค่เรื่องภายในชั่วพริบตาเท่านั้นเอง เมื่อเขาโผล่หัวขึ้นมาจากน้ำก็อยู่ห่างจากโขดหินก้อนนั้นแค่สองจั้งแล้ว 


 


 


เงาดำสนิทปกคลุมริมฝั่ง โอบล้อมโขดหินก้อนนั้นอยู่ใจกลาง รางเลือนมองเห็นไม่ชัดเจน รอบด้านเงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอันใด หลินหว่านหรงโผล่ออกมาครึ่งศีรษะ เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นความผิดปกติ  


 


 


หรือว่าข้าจะฟังผิดไป? ขณะที่เขากำลังรู้สึกสงสัย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตูมคราหนึ่ง สายลมเย็นพัดผ่าน เศษหินก้อนหนึ่งกระแทกลงไปในน้ำ ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นอยู่ตรงหน้าเขา 


 


 


“ใคร?!” เสียงสองเสียงแทบจะดังขึ้นมาพร้อมกัน เสียงหนึ่งเกิดจากหลินหว่านหรง ส่วนอีกเสียงกลับเป็นเสียงของสตรีซึ่งออกมาจากเงาใต้โขดหินก้อนนั้น 


 


 


หลินหว่านหรงเพ่งสายตามองไป เห็นว่าใต้โขดหินมีเงาคนขดตัวอยู่ร่างหนึ่ง เนื่องจากสงบนิ่งเกินไปจึงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเงาโขดหิน ดังนั้นเขาถึงไม่ได้สังเกต เมื่อได้ยินเสียงนั้นชัดเจน หลินหว่านหรงก็ตกใจอย่างยิ่ง “เยวี่ยหยาเอ๋อร์?!” 


 


 


“เป็นเจ้า?!” ร่างอรชรร่างหนึ่งยืนขึ้นในความมืดมิดทันที เสียงเย็นชาของอวี้เจียลอยเข้ามา ใบหน้านางเย็นชาราวกับน้ำแข็งเหมันต์แห่งเทียนซาน 


 


 


ที่แท้แม่หนูนี่ก็หลบมาเล่นก้อนหินอยู่ตรงนี้นี่เอง! หลินหว่านหรงหัวเราะแหะๆ สองครา “เอ่อ ดึกขนาดนี้แล้ว คุณหนูอวี้เจียยังไม่นอน…” 


 


 


“ไสหัวไป!” เขาพูดยังไม่ทันจบ สาวน้อยทูเจวี๋ยก็มีน้ำโหแล้ว ราวกับเป็นสิงโตน้อยที่กำลังระเบิดโทสะอยู่ เศษหินและก้อนกรวดจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินมาที่เหนือศีรษะเขา  


 


 


แม่เอ๊ย! หลินหว่านหรงตกใจจนตัวสั่น รีบมุดลงไปในน้ำ นับตั้งแต่รู้จักกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ การทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่ก็ไม่เคยหยุดมาก่อน แต่ไม่มีครั้งไหนที่สภาพดูไม่จืดเท่าครั้งนี้ 


 


 


อวี้เจียหยิบเศษหินและก้อนกรวดขึ้นมา ปากระแทกออกไปอย่างรุนแรงราวกับสายลม ผิวน้ำปรากฏสะเก็ดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนโดยพลัน คลื่นแผ่นกระจายไปรอบทิศทาง 


 


 


นางหอบหายใจกระชั้นถี่ ขบกรามแน่น หยิบก้อนหินไม่หยุด ปาใส่น้ำอย่างต่อเนื่อง คลื่นน้ำแผ่กระจายเป็นวง จากนั้นก็รวมตัวกัน รวมตัวกันแล้วก็กระจายออกไปอีก นางกลับไม่ยอมจบสิ้น จวบจนคลำหาก้อนหินไม่เจอสักก้อนเดียวแล้ว นางจึงร้องไห้ออกมาด้วยความเดือดดาล 


 


 


“ให้เจ้า!” เสียงหนักแน่นเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังนาง หินกรวดหลายก้อนกองอยู่ใต้เท้านาง  


 


 


สาวน้อยไม่แม้แต่จะคิด หยิบก้อนหินขึ้นมากำลังจะเขวี้ยงใส่แม่น้ำ ทันใดนั้นนางร่างชะงักงัน หันร่างอันสั่นเทากลับมาเบาๆ  


 


 


ใต้ดวงจันทร์ ใบหน้ายิ้มแย้มเริงร่าของเจ้าโจรอยู่ใกล้แค่คืบ ชัดเจนถึงเพียงนี้!  

 

 


ตอนที่ 573 - 1 การละเล่นที่แสนอันตราย

 

เขาสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวหนึ่งเท่านั้น เนื้อตัวล่อนจ้อน เผยให้เห็นลำแขนอันแข็งแกร่ง หยดน้ำหยดลงมาจากเส้นผมและใบหน้า ผิวแทบจะผสมเป็นสีเดียวกันกับราตรี กำลังยืนอยู่หน้าอวี้เจียด้วยใบหน้าทะเล้น 


 


 


“เจ้า…เจ้าทำอะไรน่ะ?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยรีบหลบออกไปหลายก้าว อยู่ห่างจากเขาราวกับป้องกันหมาป่าเยี่ยงนั้น ดวงตาของนางเบิกโพลง มองเขาด้วยความตกใจ 


 


 


“คำพูดนี้น่าจะเป็นข้าถามเจ้าถึงจะถูกนะ” หลินหว่านหรงเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า มองดูก้อนกรวดที่อยู่ใต้เท้านาง หัวเราะฮิฮะพร้อมกับพูดว่า “ลงมือรวดเร็วเสียจริง วันนี้หากเพิ่มหินให้เจ้าอีกจำนวนหนึ่ง สายน้ำแห่งนี้เกรงว่าคงถูกเจ้าถมจนเต็มแล้ว” 


 


 


อวี้เจียคล้ายหวนคืนสู่ความสงบเยือกเย็น กล่าวเย้ยหยันเย็นชาออกมาว่า “ต้าหัวของพวกเจ้าไม่ใช่มีนิทานเรื่องนกจิงเว่ยถมทะเล[1]หรอกหรือ? ต่อให้ถมสายน้ำแห่งนี้แล้วจะทำไม ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่ง” 


 


 


แม้แต่เรื่องนกจิงเว่ยถมทะเลก็รู้ด้วย ความรู้ของแม่สาวคนนี้ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครั้ง สายตาไปอยู่บนร่างอวี้เจียโดยไม่รู้ตัว 


 


 


เดินทางวนเวียนอยู่ในทะเลแห่งความตายมายี่สิบกว่าวัน อย่าว่าแต่อาบน้ำเลย แม้แต่ดื่มน้ำก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ นายทหารห้าพันทั้งกองทัพตั้งแต่เบื้องบนจรดแม่ทัพนายกอง ตั้งแต่แม่ทัพนายกองจรดนายทหาร แต่ละคนต่างตัวสกปรก มีเพียงสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ที่เป็นข้อยกเว้น 


 


 


ผิวพรรณของนางเรียบลื่นกระจ่างใสดังเดิม แฝงความเปล่งประกาย เหมือนดวงอาทิตย์อันร้อนแรงของทะเลแห่งความตายไม่อาจส่องกระทบร่างนางได้เลย เมื่อยืนใกล้นางก็ยังแอบได้กลิ่นหอมจางๆ ทำให้คนลุ่มหลงเมามายอีกด้วย นอกจากริมฝีปากที่ซีดเล็กน้อยเพราะขาดน้ำกับฝุ่นดินทรายที่แปดเปื้อนอยู่บนชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่าน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยังคงงดงามส่องแสงเรืองรองที่เช่นที่พบกันครั้งแรก 


 


 


“เจ้า…เจ้ามองอะไร?!” เมื่อถูกเขาจับจ้อง อวี้เจียจึงกำหมัดแน่น รีบก้มหน้าลงไป 


 


 


ข้าตากแดดจนเหมือนถ่าน แม่หนูนี่กลับยังคงขาวเหมือนหยก ข้อเปรียบเทียบระหว่างคนกับคนมันช่างน่าแค้นใจตายเสียจริงนะ! หลินหว่านหรงยิ้มอย่างอับจนปัญญา ส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ ออกมายาวๆ “ไม่ได้มองอะไร…ในที่สุดก็เดินออกมาจากทะเลทรายที่สมควรตายนั่นได้แล้ว!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยนิ่งงัน ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยความเคียดแค้นออกมาว่า “เจ้าอยากจะเดินออกไปเช่นนั้นจริงหรือ?!” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมตอบโดยไม่ต้องแม้แต่จะคิด “สถานที่แห่งนั้นนอกจากทรายสีเหลืองแล้วก็มีแต่ทรายสีเหลือง ไม่มีของกินไม่มีน้ำดื่ม กระต่ายยังไม่ฉี่ เกือบต้องทิ้งชีวิตไปแล้ว ยังจะมีอะไรให้น่ารำลึกถึงอีก! ไม่ใช่แค่ข้านะ ทุกคนต่างก็อยากจะเดินออกมาอย่างยิ่ง ทำไม หรือว่าเจ้าอยากจะอยู่ในนั้น…นี่ นี่ เจ้าทำอะไร อย่ามาผลักข้าสิ…” 


 


 


“ไสหัวไป ไสหัวไปให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่อยากจะเห็นเจ้าอีกต่อไปแล้ว ไสหัวไปสิ!” ไม่รอให้เขาพูดจบ สองมือของอวี้เจียแทบจะจิกเข้าไปในแขนเขา ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กายผลักเขาออกไป รีบตวาดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ราวกับเป็นแม่เสือดาวที่กำลังเดือดดาลอยู่ เพียงชั่วพริบตาก็ระเบิดโทสะ แม้แต่หลินหว่านหรงก็ยังตกใจสะดุ้งโหยง เขารีบถอยหลังออกไปหลายก้าว หัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจพร้อมพูดว่า “จะพูดก็พูดไปสิ จะมาลงมือทำไมกัน เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอกนะ!” 


 


 


“ไสหัวไป ข้าให้เจ้าไสหัวไป!” สาวน้อยทูเจวี๋ยผลักเขาไปหลายก้าว จากนั้นก็ปิดหน้าร่ำไห้ทันที น้ำตากระจ่างใสไหลออกมาตามซอกนิ้ว ไล่ไปตามมือน้อยที่ขาวกระจ่าง จากนั้นจึงค่อยๆ หยดลงบนแขนงาม 


 


 


แม่หนูคนนี้โมโหจริงๆ แต่ข้าไม่เข้าใจเลย หรือว่าข้าต้องรั้งอยู่ที่ทะเลแห่งความตายนางถึงจะดีใจ? หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความรู้สึกทอดถอนใจ “อย่างร้องเลย เจ้าวางใจเถิด รอให้ทำงานหนึ่งเสร็จแล้ว ไม่ต้องให้เจ้าไล่ ข้าก็ไปเองได้!” 


 


 


“เจ้ายังจะทำอะไรอีก?” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอดพร้อมถามด้วยโทสะ 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย “ข้าจะทำเรื่องอะไร เช่นนั้นไอ้ที่เจ้ามาหลบอยู่ที่นี่คิดจะทำอะไรล่ะ?!” 


 


 


“ข้า ข้า…” อวี้เจียนิ่งงัน ใบหน้าบัดเดี๋ยวซีดบัดเดี๋ยวแดง 


 


 


“รีบไปอาบเถอะ ข้าจะเฝ้าให้เจ้าอยู่ตรงนี้…เจ้าวางใจ ข้าขอใช้เกียรติอันสูงส่งที่สุดของข้ารับประกัน ไม่มีทางทีผู้อื่นแอบดูเจ้าแน่!” เขากะพริบตา ชูมือขวาสาบานด้วยสีหน้าขึงขัง 


 


 


ดวงหน้าซึ่งขาวนวลใสราวกับหยกมันแพะซับสีแดงสดใส อวี้เจียเอ่ยออกมาเบาๆ “เจ้า…เจ้า…รู้ได้อย่างไร…หึ เจ้ามีเกียรติด้วยหรือ?!” 


 


 


“ดูน้องสาวพูดเข้าสิ” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “ข้ามีสมญานามว่าบุคคลที่เที่ยงตรงจิตใจดีงามอันดับหนึ่งของต้าหัว ทุกคนต่างเคารพนับถือ ขอเพียงข้าเฝ้าอยู่ตรงนี้ ผู้อื่นต่างต้องยำเกรงต่อสมญานามของข้า ไม่มีทางกล้าเข้ามาใกล้สถานที่แห่งนี้แน่ เจ้าลงแม่น้ำไปอย่างกล้าหาญและวางใจเถอะ!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด แค่นเสียงแล้วพูดว่า “พูดว่าป้องกันผู้อื่นอะไรกัน คนพวกนั้นข้ากลับไม่เป็นห่วง! ที่ข้าเป็นห่วง ก็คือเจ้า!” 


 


 


“เป็นไปไม่ได้กระมัง” หลินหว่านหรงสูดลมหายใจหนาวเหน็บ สองตาเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “คุณหนูอวี้เจีย คำพูดเช่นนี้เจ้าก็พูดออกมาจากปากได้? เจ้าไม่ลองไปสืบดูหรือ ที่ผ่านมามีแต่คุณหนูบ้านอื่นคิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบข้า ไหนเลยยังต้องให้ข้าไปลวนลามผู้อื่นด้วย? เจ้าไม่เชื่อข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าไม่อาจลบหลู่สายตาของสตรีอันดีงามของคุณหนูทั้งหลายของต้าหัวเราเหล่านั้นได้นะ! เฮ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรพูดแล้ว น้องสาว เจ้าอาบให้ดีๆ ล่ะ ข้าจะไปแล้ว!” 


 


 


พอเขาพูดจบก็ชักเท่าจะเดินจากไป ท่าทางคล้ายไม่อาวรณ์เช่นนั้น เขาเปลือยแขนสวมเพียงกางเกงชั้นใน ทว่าเมื่อเดินเหินกลับเดินด้วยท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย น่าหัวร่อยิ่งนัก 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง ไม่สนใจเขา เสียงย่ำฝีเท้าดังไกลออกไปเรื่อยๆ เจ้าโจรนั่นเหมือนจะไปแล้วจริงๆ ครานี้นางถึงเริ่มร้อนใจ เงยหน้าแล้วพูดว่า “เจ้า เจ้ารอก่อน!” 


 


 


เสียงนี้แม้จะเบา แต่เจ้าโจรนั่นคล้ายเงี่ยหูฟังนางร้องเรียกอยู่ เมื่อได้ยินนางเอ่ยปาก หลินหว่านหรงก็หยุดฝีเท้าดังขวับพร้อมหันกลับมา กล่าวระคนหัวเราะด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “น้องสาว เจ้ากำลังเรียกข้าอยู่หรือ?” 


 


 


รู้ทั้งรู้ยังจะมาถามอีก! อวี้เจียหน้าแดงซ่าน ก้มหน้าลงพร้อมแค่นเสียง “ไม่ได้เรียกเจ้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพร้อมเดินเข้ามา “เช่นนั้นข้าจะไม่ไสหัวก่อนชั่วคราว! ทำไมหรือ คุณหนูอวี้เจีย เปลี่ยนแปลงความคิด เชื่อในเกียรติของข้าแล้วหรือ?!” 


 


 


“เชื่อสิถึงจะแปลก!” อวี้เจียหน้าร้อน หากบอกว่าอัวเหล่ากงคนนี้เป็นคนดี ตัวนางเองก็ยังไม่อาจโน้มน้าวใจตัวเองได้เลย 


 


 


เดินทางในทะเลทรายมายี่สิบกว่าวัน ขาดน้ำขาดอาหารกลับยังทนได้ สำหรับผู้หญิงที่รักความสะอาดเช่นนางนี้ การไม่ได้อาบชำระล้างถึงจะเป็นความทรมานอันยิ่งใหญ่มากที่สุด ไม่ง่ายดายเลยกว่าจะเดินทางออกจากทะเลทรายได้ แต่นางกลับคืนสู่สภาพนักโทษ รอบด้านมีทหารคอยจับตามอง สตรีผู้งดงามคนหนึ่งเช่นนางไหนเลยจะกล้าลงไปเล่นน้ำได้? 


 


 


โชคดีที่มีอัวเหล่ากงอยู่ เจ้าโจรนี่ถึงแม้จะเลว แต่กลับยังดีกว่าคนอื่นมากมายเหลือเกิน ช่วงเวลาสำคัญ ปราศจากตัวเลือก คงได้แต่พึ่งพาเขาแล้ว 


 


 


นางคล้ายกำลังหาเหตุผลให้ตัวเอง ใบหน้าแดงระเรื่อ พูดเสียงค่อยออกมาว่า “เจ้า…เจ้าหันหน้ากลับไป อยู่ไกลจากข้าสักหน่อย ห้ามดู!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะเสียงดังอย่างปลอดโปร่ง สาวเท้าเดินออกไปหลายจั้ง ข้างหลังกลับมีเสียงแผ่วเบาของอวี้เจียลอยเข้ามาอีก “จะ..เจ้า…ห้ามเดินออกไปไกลนัก!” 


 


 


นี่กลับแปลกแล้ว ตอนนั้นก็ให้ข้าออกไปไกลหน่อย ตอนนี้มาบอกให้ข้าอย่าไกลเกินไปอีก สรุปแล้วจะเอาอย่างไรกันแน่? 


 


 


“ข้า…ข้ากลัวความมืด!” เสียงซึ่งแฝงอาการสั่นเทาของสาวน้อยดังอยู่ข้างหลังเขา หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมาทันที ที่แท้ผู้หญิงทูเจวี๋ยก็เหมือนกับผู้หญิงต้าหัวของเรา ต่างมีโรคกลัวความมืดเหมือนกัน ไม่เข้าใจผู้หญิงเลยจริงๆ ความมืดมีอะไรน่ากลัวกัน ข้าชอบฟ้ามืดมากที่สุดแล้ว! 


 


 


เมื่อเห็นเขาหยุดฝีเท้า เยวี่ยหยาเอ๋อร์จึงไม่พูดแล้ว “เจ้า…เจ้าห้ามหันมานะ!” หลังจากกำชับคราหนึ่ง ด้านหลังก็มีเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าดังสวบสาบ เห็นชัดว่าอวี้เจียกำลังถอดเสื้อผ้าแล้ว 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ผิวกระจ่างใสประดุจหยก เรือนร่างก็แจ่มแจ๋ว ข้าจะใช้สายตาชื่นชมงานศิลปะ ชมดูด้วยตัวเองสักครั้งดีไหมนะ?! แต่ถ้าทำแบบนี้จะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของข้าหรอกหรือ…ตอนข้าอยู่ต่อหน้าซื่อเต๋อกับเหล่าเกา มีภาพลักษณ์อันน่าเทิดทูนมากเลยนะ แล้วจะทำลายด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน?! 


 


 


ใจเขาผุดความคิดของเดรัจฉาน ครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็กัดฟันกรอดพร้อมแค่นเสียง นักชื่นชมงานศิลปะผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจะต้องพบสายตาดูแคลนจากชาวโลกและเสียสละเกียรติภูมิของตนเอง ความคิดอันสูงส่งเช่นนี้ ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครได้? 


 


 


ขณะที่เขากำลังจะแอบหมุนตัวก็ได้ยินเสียงน้ำดังตูมอยู่ข้างหลังคราหนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตวาดเจื้อยแจ้วระคนความเอียงอายของสาวน้อย “ห้ามแอบดู ห้ามหมุนตัว!” 


 


 


แม่หนูนี่กลับระแวงป้องกันนักนะ หลินหว่านหรงร้องอ้แล้วพูดว่า “ข้าไม่แอบดูเจ้า แต่ว่านะ เพื่อความยุติธรรม คุณหนูอวี้เจีย ขอให้เจ้าอย่าแอบมองข้าด้วยล่ะ! หากข้าเห็นว่าเจ้าแอบดูข้า ข้าจะต้องแอบดูเจ้า ข้าพูดได้ก็ทำได้ มีความสามารุก็ลองดู…โอ๊ย!” 


 


 


มีก้อนหินขนาดเล็กลอยมาจากทางด้านหลังกระแทกเท้าเขาเข้าพอดี เสียงแค่นลมหายใจเบาๆ ของอวี้เจียลอยเข้ามา 


 


 


เจ้าไม่แอบดูข้าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าแอบดูเจ้า?! สาวน้อยมองแผนการเขาออก ด้วยความอายและโมโหระคนกันจึงถลึงตามองเขาอย่างดุดันคราหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็ส่งคำเตือนให้เขาไปด้วย  


 


 


คำชาวบ้านกล่าวได้ดี ผู้หญิงอาบน้ำ ไม่มีวันจบสิ้น! อวี้เจียผู้นี้สถานะสูงส่ง รักความสะอาดเท่าชีวิต กินลมทะเลทรายอยู่ในทะเลทรายมาตั้งหลายวันขนาดนั้น ตอนนี้ยากเย็นนักกว่าจะมีช่วงเวลาอันสงบสุขเพื่ออาบชำระล้างให้ดีๆ แล้วจะยอมเลิกราโดยง่ายได้อย่างไรกัน เสียงดังซ่าๆ อยู่ข้างหลัง อีกทั้งยังแฝงเสียงร้องเพลงด้วยความสุขของสาวน้อยอีกด้วย เพียงแต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นภาษาทูเจวี๋ย เขาฟังไม่ออกเลย เฮ้อ! 


 


 


อาบชำระล้างมันสำคัญมากขนาดนั้นจริงหรือ? หลินหว่านหรงอดที่จะสงสัยไม่ได้ ก่อนหน้านี้สาวน้อยยังเต้นผางราวกับพยัคฆ์คำรามอยู่เลย แล้วเหตุใดอาบไปอาบมากลับหัวเราะมีความสุขขึ้นมาได้? ไม่เข้าใจจริงๆ! 


 


 


ขดตัวอยู่บนก้อนหิน ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด รู้สึกเพียงขานั่งจนชาแล้ว เขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงกระโดดขึ้นมาพร้อมร้องเรียก “น้องสาว เจ้าชำระล้างเสร็จแล้วหรือไม่? ข้าอยากจะออกไปถ่ายเบา!” 


 


 


กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามา เสียงแค่นลมหายใจคล้ายเอียงอายคล้ายตำหนิของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แว่วมาจากข้างหลัง “เจ้าคนนี้นี่ ไม่มีช่วงที่จริงจังบ้างหรืออย่างไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหันกลับมา เพียงมองเท่านั้นก็ต้องนิ่งงันไป 


 


 


ผิวพรรณที่ขาวสะอาดประดุจหยก กระจ่างใสดั่งวารี ริมฝีปากสีแดงสดคล้ายดอกตูมสีชมพูซึ่งกำลังจะผลิบาน ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ราวกับดอกกุหลาบที่งามเฉิดฉัน นัยน์ตาทั้งสองข้างที่เรียบเฉย ราวกับสายรุ้งที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ คล้ายกับจะดึงดูดคนเข้าไปได้ เรือนผมงามสีดำขลับยังประดับด้วยคราบน้ำที่ยังไม่แห้ง แผ่ลงมาอย่างอ่อนโยนพลิ้วไหวราวกับน้ำตกที่เปล่งประกาย 


 


 


กลิ่นหอมสะอาดจางๆ ลอยเข้ามา ภายใต้แสงจันทร์ สาวน้อยทูเจวี๋ยสวมชุดกระโปรงของชนเผ่านอกด่านสีเหลือง ชายกระโปรงยาวพลิ้วขึ้นมาถึงข้อเท้าขาวสะอาดของนาง วาดโครงร่างที่เต็มไปด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าของนางออกมาเป็นเส้นโค้งอันน่าลุ่มหลง  


 


 


มุมปากของนางหยักยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มเอียงอายทว่าหยิ่งผยองออกมา ภายในดวงเนตรที่ชุ่มชื่นราวกับวารีเปล่งประกายเย็นเยียบระยิบระยับออกมาเป็นระยะ ยิ่งแสดงความแน่วแน่และดื้อดึงของนางออกมาให้เห็นชัดเจน นี่ก็คือสตรีที่จะยากจะสยบได้ยิ่งนางหนึ่ง! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] นกจิงเว่ยถมทะเล เป็นตำนานโบราณของจีน เอ่ยถึงเรื่องขององค์หญิงผู้หนึ่งซึ่งร่างของเธอจมลงสู่และทะเลและเกิดใหม่เป็นนกจิงเว่ย ทุกวันจะคอยคาบหินก้อนเล็ก กิ่งไม้ และเมล็ดพืชจากเขาฟาจิวที่อาศัยอยู่ไปทิ้งยังท้องทะเลตะวันออก ต้องการถมทะเลให้เต็ม เพื่อแก้แค้น 

 

 

 


ตอนที่ 573 - 2 การละเล่นที่แสนอันตราย

 

เคยเห็นความงามของอวี้เจียมาแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่เพิงชำระล้างร่างกายจะยิ่งเป็นเหมือนวิญญาณภูตพรายที่ลงมาจากสวรรค์สู่ทุ่งหญ้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ายวนอันดิบเถื่อน หลินหว่านหรงมองจนเหม่อลอย อ้าปากกว้างจนไม่อาจหุบได้ 


 


 


“เจ้ามองอะไร!” อวี้เจียเมื่อชำระล้างร่างกายแล้วเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นมาก นางเอนคอลูบไล้เส้นผมที่เปียกชุ่มของนางเบาๆ ปล่อยให้หยดน้ำกระจ่างใสหยดลงพื้น ใบหน้านางซับสีแดงระเรื่อบางๆ น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจยาวราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ชูนิ้วโป้งแล้วพูดว่า “แม้ข้าจะชื่นชมบุปผามานับไม่ถ้วน แต่ข้าไม่อาจไม่ยอมรับเช่นกัน คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา! จริงนะ ข้าคนนี้ไม่เคยพูดโกหกมาก่อน!” 


 


 


อวี้เจียขมวดคิ้วพลางแค่นเสียง “เหตุใดถึงหนึ่งใน? หรือว่ายังมีผู้อื่นที่งามกว่าข้าอีกหรือ!” 


 


 


“แน่นอนล่ะ!” หลินหว่านหรงยกนิ้วขึ้นมานับ “นอกจากบรรดาเมียของข้าอย่างชิงเสวียน นางเซียน พี่สาวอัน หนิงเอ๋อร์ เฉี่ยวเฉี่ยว และคุณหนูใหญ่แล้ว ก็มีคุณหนูอวี้เจียเช่นเจ้าที่งดงามมากที่สุด ดังนั้นจึงพูดว่าหนึ่งใน!” 


 


 


อวี้เจียเบือนหน้าหนีไปด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้ามีฮูหยินมากขนาดนั้นเลยหรือ? หึ ข้ากลับอยากจะรับทราบสักหน่อยว่า สตรีเหล่านั้นที่ปากเจ้าว่างดงามมากที่สุดจะมีรูปร่างหน้าตาเช่นไรกันแน่” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “พวกนางไม่เพียงรูปโฉมงดงาม จิตใจยังยิ่งงดงามกว่า ข้ากลัวว่าหลังจากเจ้ารับทราบไปแล้วจะนอนไม่หลับทั้งคืน!” 


 


 


“เจ้า!” ใบหน้าของอวี้เจียแดงก่ำ ในมือไม่รู้เพิ่มดาบทองขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ฟันหินที่อยู่ข้างกายเสียงดังขวับคราหนึ่งจนก่อเป็นสะเก็ดไฟสว่างวาบหลายดวง 


 


 


บนดาบทองเล่มนั้นยังประดับด้วยหยดน้ำ เปล่งประกายวาววับ หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็เหงื่อแตก แม่หนูนี่ตอนอาบน้ำก็พกดาบทองด้วย เอามาป้องกันข้าหรือ? โชคยังดีที่ตอนข้าอาบน้ำก็พกปืนด้วยเหมือนกัน! 


 


 


อวี้เจียเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา ภายใต้แสงจันทร์ บนดวงหน้าอันงดงามของนางเปล่งประกายระยิบระยับ สาวน้อยลูบเรือนผมที่เปียกชุ่ม ยิ้มงามยวนเย้า “เจ้าอย่าเอาคำพูดพวกนี้มาหลอกข้าเลย อวี้เจียมั่นใจในตัวเอง หากเอ่ยถึงรูปโฉม ข้าไม่มีวันแพ้สตรีอื่นใดในใต้หล้าแน่ ส่วนความงามในจิตใจที่เจ้าว่า…” 


 


 


นางหยุดเล็กน้อย มองเขาเบาๆ หลายครั้ง จากนั้นจึงคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าไม่เห็นจิตใจข้า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจิตใจข้าไม่งดงาม?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง เจ้าไม่ต้องใส่ใจหรอกนะ หากพูดกันอย่างจริงจัง ที่จริงแล้วคนที่จิตใจอัปลักษณ์มากที่สุดก็คือข้า” 


 


 


“ยังถือว่าเจ้าพอรู้ตัวอยู่บ้าง!” อวี้เจียหัวเราะพรวดออกมาเบาๆ เนตรงามเหลือบมองคราหนึ่ง ดวงหน้าอันงามยวนเย้าราวกับดอกกุหลาบซึ่งเบ่งบานเต็มที่ใต้แสงจันทร์ 


 


 


หลินหว่านหรงเหม่อลอย เขาเบือนหน้าไปแล้วพูดว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าอย่ามาใช้วิชามารกับข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่มาตลอด!” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ” ดวงตาสาวน้อยทูเจวี๋ยปรากฏเปลวเพลิงกระจ่างวูบ พูดประชดอย่างเย็นชา “คนที่มีจิตใจแน่วแน่อย่างเจ้านี้เห็นได้น้อยมากจริงๆ หึ ข้าไม่เชื่อหรอก!” สองประโยคที่นางพูดมานี้ต่างมีความหมาย ส่วนความนัยที่แท้จริงนั้นก็คงมีแค่นางที่รู้แล้ว  


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ “อันที่จริงข้าไม่ใช่ว่าจะไม่คิดถึงประสบการณ์ที่อยู่ในทะเลแห่งความตายหรอกนะ!” 


 


 


อวี้เจียก้มหน้าลง ใบหน้าแดงเล็กน้อย นางพูดออกมาเบาๆ ว่า  “เจ้าคิดถึงสิ่งใด?” 


 


 


“คิดถึงชีวิตที่ไม่ต้องวางแผนสู้ชิงไหวชิงพริบกัน!” หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงแฝงความทอดถอนใจ ทำให้อวี้เจียรู้สึกหม่นหมองลงไปบ้างเช่นกัน เขาพูดไม่ผิด ในทะเลทราย เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างมิตรกับศัตรูกลายเป็นรางเลือนไปได้ แต่เมื่อออกมาจากทะเลทรายแล้วทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม 


 


 


“ตอนนี้ไม่ต้องวางแผนสู้ชิงไหวชิงพริบก็ได้เหมือนกันนี่นา!” อวี้เจียพูดพึมพำ ทว่าน้ำเสียงกลับแผ่วเบายิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเล็กน้อย ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนที่พวกเรากำลังจะเดินออกจากทะเลทรายนั้นเจ้าเคยพูดอะไรกับข้าไว้?” 


 


 


“จำไม่ได้แล้ว!” สาวน้อยเบือนหน้าไป นางเคยพูดว่าไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก แต่เรื่องผ่านมาไม่กี่ชั่วยามทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป ใบหูของนางร้อนลวก รีบอุดหูแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องบอกข้า ข้าลืมไปหมดแล้ว” 


 


 


“อืม ควรลืม!” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง รีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าลืมได้ แต่เจ้าห้ามลืม! ลืมแล้วข้าจะแค้นเจ้าไปทั้งชาติ เจ้าจำเอาไว้!” 


 


 


ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างใส นางเบ้าตาชื้นเล็กน้อย มองเขาด้วยท่าทางดื้อดึง 


 


 


บุรุษต้าหัวที่เปลือยร่างท่อนบนคนหนึ่ง สตรีทูเจวี๋ยซึ่งสวมอาภรณ์หรูหราและหน้าตางดงามคนหนึ่ง ทั้งสองต่างจ้องหน้ากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนสารพัดสารพัน สถานการณ์แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก  


 


 


หลินหว่านหรงพลันหัวเราะออกมา “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าความสัมพันธ์ในตอนนี้ของพวกเรามันช่างแปลกประหลาดมากจริงๆ” 


 


 


“มีอะไรน่าประหลาด?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เบ้ปากพูด 


 


 


หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออกพร้อมกล่าวด้วยความจนใจ “จะบอกว่าเป็นศัตรู พวกเราก็ร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในทะเลแห่งความตาย บอกว่าเป็นสหาย เจ้าเป็นชาวทูเจวี๋ย ข้าเป็นชาวต้าหัว อยู่ในฐานะราษฎรของสองแคว้นที่เป็นศัตรูกัน ต้องมีสักวันที่พวกเราได้พบกันในสนามรบ ตอนนี้เจ้าเป็นนักโทษของข้า บางทีเจ้ายังคิดที่จะเปลี่ยนให้ข้ากลายเป็นนักโทษของเจ้าเสียด้วยซ้ำ เจ้าว่า ความสัมพันธ์นี้มันซับซ้อนมากหรือไม่ล่ะ?!” 


 


 


ดวงตาของอวี้เจียกระจ่างวูบ ใบหน้าประดับด้วยสีแดงระเรื่องามสดใสสองสาย นางก้มหน้าลงพร้อมพูดเสียงแผ่วเบา “หากเจ้าไม่ต้องการจะสลับซับซ้อนเยี่ยงนี้ ก็เป็นเป็นเรื่องที่ง่ายดายเรื่องหนึ่ง” 


 


 


ความเอียงอายปรากฏเต็มใบหน้านาง ลำคอเรียวยาวขาวสะอาดราวกับหงส์ฟ้าเป็นสีชมพูระเรื่อ งามยิ่งนัก น่าลุ่มหลงยิ่งนัก  


 


 


หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ส่ายหน้าอย่างแช่มช้าแล้วพูดว่า “คุณหนูอวี้เจีย มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกเจ้า ก่อนออกจากทะเลทราย คำพูดเหล่านั้นที่เจ้าพูดกับข้า ข้าเกรงว่าจะจำไม่ได้ บางที เจ้าควรแค้นข้าไปทั้งชาติแล้วจริงๆ!” 


 


 


“เพราะเหตุใด?!” สีหน้าของอวี้เจียแปรเปลี่ยนทันที น้ำตาคลอเบ้าภายในพริบตา 


 


 


“เพราะข้ามีลางสังหรณ์บางอย่าง” หลินหว่านหรงจ้องมองนางพลางยิ้มบาง กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “บางทีอาจมีคนคิดเล่นการละเล่นกับข้า! การละเล่นที่แสนอันตรายอย่างหนึ่ง…การละเล่นของนายพรานและจิ้งจอก!” 


 


 


“เจ้าพูดอะไร?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์รีบก้มหน้าลง ขบกรามแน่น สายตาพลันแปรเปลี่ยนนับไม่ถ้วน “การละเล่นอะไร นายพรานกับจิ้งจอกอะไร?! ข้าฟังไม่เข้าใจ!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ฟังไม่เข้าใจก็ยิ่งดี การละเล่นนี้ไม่น่าสนุกแม้แต่น้อยจริงๆ เจ้าลองคิดดู รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีแผนการ รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเสแสร้ง แต่ตัวเองกลับซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหล ฟังคำพูดของเขาแล้วไม่เคยรู้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ…การละเล่นเช่นนี้อันตรายมาก จะทำให้ตายได้!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กระเด้งขึ้นมาอย่างเดือดดาล น้ำตาไหลพรากไม่หยุด “เจ้า…เจ้าน่ะสิถึงเสแสร้ง!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจคราหนึ่งพร้อมจ้องมองนาง “ถ้าไม่ใช่กำลังเสแสร้ง หรือว่าเป็นความจริง?!” 


 


 


“ไม่ใช่เรื่องจริง! ไม่ใช่เรื่องจริง!” อวี้เจียอุดหู ตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว ขู่คำรามออกมา น้ำตาดั่งสายฝน ชั่วพริบตานั้นเอง ความลนลาน ความเศร้าเสียใจ ความลังเล หลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกระจ่างวูบภายในดวงตาของนาง โศกาอาดูรยิ่งนัก สลับซับซ้อนยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ “คุณหนูอวี้เจีย ที่จริงเจ้ามีความกลัดกลุ้มเช่นเดียวกับข้า นั่นก็คือเป็นคนฉลาดเกินไป ดื้อดึงเกินไป เวลาเล่นการละเล่นชอบเลือกสิ่งที่เสี่ยงมากที่สุด นี่ไม่ใช่เรื่องดี!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สายตาแปรเปลี่ยนสารพัน นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างเงียบงัน ดวงหน้างามแปดเปื้อนด้วยน้ำตา ภายใต้แสงจันทร์กระจ่างใสราวกับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ นางมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันกรอดทันที “ดึกแล้ว อวี้เจียเหนื่อยแล้ว ข้าอยากไปพักผ่อน!” 


 


 


“อย่างนั้นข้าไปก่อนจะดีกว่า” หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่าเงียบงัน ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าเคยรับปากเจ้า เมื่อทำงานเสร็จก็จะไป ตอนนี้ได้เวลาแล้ว!” 


 


 


พอพูดจบเขาก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้าจริงๆ สีหน้าท่าทางแน่วแน่ อวี้เจียมองเงาหลังเขา หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน มุมปากขมุบขมิบหลายครั้ง ทันใดนั้นก็พูดออกมาเบาๆ “อัวเหล่ากง…” 


 


 


หลินหว่านหรงร่างชะงักงัน ค่อย ๆ หันร่างกลับมา “คุณหนูอวี้เจีย มีอะไร?!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา อ้าริมฝีปาก คิดจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าอย่างดื้อดึง “เจ้ารีบไปเถอะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “น้องสาว มีเรื่องนึ่งที่ลืมบอกเจ้าไป!” 


 


 


“อะไร?” อวี้เจียถาม 


 


 


หยิบของสิ่งหนึ่งมาจากเอวแล้วมาแกว่งข้างหน้าเบาๆ เขาถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถุงน้ำของเจ้า…เป็นรูแล้ว!” 


 


 


อวี้เจียอึ้ง ทันใดนั้นก็พุ่งเข้ามาราวกับเสียสติ รูเล็กนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน นางมองหลายครั้ง น้ำตาดั่งตาน้ำที่เอ่อท้น ทันใดนั้นนางก็กัดแขนหลินหว่านหรงอย่างแรงคราหนึ่ง ความรู้สึกเจ็บแปลบส่งผ่านเข้ามา เมื่อมองใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาของนาง หลินหว่านหรงกลับไม่มีอารมณ์จะต่อต้าน 


 


 


“แผลนี้ก็ปลอมด้วย!” อวี้เจียหัวเราะคิกคัก ลูบรอยฟันที่มีเลือดออกนั้น น้ำตาดั่งสายฝนเดือนหก นางคว้าแย่งถุงน้ำซึ่งใช้ชีวิตแลกมานั้นกลับ จากนั้นก็หนีไปราวกับโผบิน 


 


 


มองดูเงาหลังอันแสนจะงดงามนั้น หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางกล่าวพึมพำ “ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ…บอกตั้งแต่แรกแล้ว การละเล่นนี้มันอันตรายมากจริงๆ!”  

 

 


ตอนที่ 574 - 1 ยากจะจัดการ

 

ช่วงเวลาสองวันที่ปรับและฟื้นฟูทัพอยู่ที่เดิมนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่นายทหารทุกคนสำราญบานใจมากที่สุดนับตั้งแต่เข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านเป็นต้นมา ไม่มีการเข่นฆ่าประหัตประหาร พบเจอกับทัศนียภาพอันงดงามราวกับภาพวาดเช่นนี้ ทุกคนต่างบังเกิดความลุ่มหลง หลี่อู่หลิงซึ่งเพิ่งจะหายดีจากอาการบาดเจ็บสาหัสเมื่อผ่านการพักฟื้นช่วงสองวันนี้ก็หายดีอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ก่อนออกเดินทางก็ขี่ม้าวิ่งห้อตะบึงได้แล้ว 


 


 


กลับเป็นอวี้เจียที่เงียบงันอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งก็จะนั่งริมธารน้ำเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ แค่ไม่คุยกับหลินหว่านหรงเท่านั้น ท่าทีอันเย็นชานั้นคล้ายหวนคืนสู่เหตุการณ์ตอนที่จับตัวนางที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อครั้งแรก 


 


 


ผ่านการพักฟื้นและเติมเสบียงสองวัน ไพ่รพลห้าพันนายก็มุ่งหน้าต่อไป แม้แต่ทะเลแห่งความตายก็ยังถูกสยบ แล้วยังจะมีความลำบากอื่นใดที่จะสกัดขัดขวางไม่ให้พวกเขามุ่งหน้าต่อไปได้อีกเล่า? เมื่อผ่านการขัดเกลาจากความเป็นความตายในทะเลทราย จิตใจของเหล่านายทหารก็แน่วแน่มากขึ้น เต็มไปด้วยความมั่นใจต่อสถานการณ์ตรงหน้า 


 


 


แม่น้ำที่พวกเขาตั้งค่ายสายนั้นมีชื่อว่าแม่น้ำซีเอ่อร์ มีต้นกำเนิดจากยอดเขาทัวมู่เอ่อร์ซึ่งอยู่สูงที่สุดของเทียนซาน ได้รับการขนานนามร่วมกับแม่น้ำน้ำฉู่และแม่น้ำอีหลีว่าสามแม่น้ำทางช้างเผือกและสายคาดหยกแห่งเทียนซาน 


 


 


เมื่อเดินย้อนแม่น้ำซีเอ่อร์ขึ้นไปก็จะค่อยๆ เข้าใกล้ตีนเขาตะวันออกของเทียนซาน สภาพภูมิประเทศค่อยๆ ลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย บนภูเขาอันสูงใหญ่อันชอุ่มชุ่มชื้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าและตะไคร่น้ำงอกเงยอยู่เต็มไปหมด ราวกับพรมสีเขียวที่มองไปจนสุดลูกหูลูกตา บุปผาน้อยสารพัดสารพันหลากสีสันแต่งแต้มประดับอยู่บนทุ่งหญ้าสีเขียวมรกต คล้ายม้วนภาพเขียนสีสันสดใสม้วนหนึ่ง เลียบสองข้างฟากฝั่งแม่น้ำมีภูเขาน้ำแข็งโบราณตั้งอยู่ เปล่งประกายสีรุ้งระยับวับวาวอยู่ใต้แสงแดดอันบอุ่น  


 


 


ทัศนียภาพอันแสนจะงดงามน่าลุ่มหลงนี้กลับทำให้คนต้องเดินไปชมไป รู้สึกหลงใหลโดยไม่รู้ตัว ลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิงว่าพวกเขากำลังเดินทัพไปออกรบกันอยู่ 


 


 


หลี่อู่หลิงที่หายจากอาการบาดเจ็บจูงม้ามุ่งไปข้างหน้า เหลียวมองรอบด้านไม่หยุดหย่อน ส่งเสียงจึ๊ๆ ด้วยความตกตะลึงชื่นชม “นี่ก็คือเทียนซานในตำนาน? สภาพอากาศอบอุ่นน่าอยู่อาศัย ทัศนียภาพดั่งภาพเขียนจริงด้วย หากมาอยู่ที่นี่ได้จะไม่ถือเป็นเรื่องดีหรอกหรือ จริงสิ พี่หลิน ก่อนหน้านี้ท่านเคยมาเทียนซานใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อตัดผ่านหลัวปู้ปั๋วก็จะมาถึงใต้เขาเทียนซานขอรับ?” 


 


 


สิ่งที่หลินหว่านหรงแสดงออกมาตลอดเส้นทางนี้ก็ใช้ได้แต่คำว่ามหัศจรรย์มาบรรยายเท่านั้น จากอี้อู๋เข้าสู่หลัวปู้ปั๋ว เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมซึ่งไม่เคยมีใครเดินทางผ่านมาก่อน แม้จะประสบกับความยากลำบาก ถึงกระนั้นกลับเดินตัดผ่านทะเลแห่งความตายได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่ก่อนออกจากทะเลทรายซึ่งอยู่ในช่วงที่เกือบจะหลงทางก็ยังมีละมั่งนำทางอีก นี่มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเสียจริง ทุกคนต่างตื่นตะลึงต่อสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ของแม่ทัพหลิน 


 


 


คำถามนี้ของเสี่ยวหลี่จื่อถือว่าแทนข้อสงสัยของทุกคน ไม่ใช่เพียงพวกของหูปู้กุยที่ใช้สายตาจดจ้องร่างของเขาเท่านั้น แม้แต่อวี้เจียซึ่งเดินทางอย่างเงียบงันไม่เอ่ยวาจาคนนั้นก็ยังอดมองเขาหลายครั้งไม่ได้ คล้ายกำลังมุ่งหวังกับคำตอบของเขาอยู่ 


 


 


ดวงตาของหลินหว่านหรงไม่กะพริบ พูดจาใหญ่โตโดยไม่รู้จักละอายใจออกมา “เทียนซาน…เคยมา ข้าเคยมาแน่นอน! ร่ำเรียนสรรพตำรา เดินทางหมื่นลี้ คำพูดประโยคนี้เจ้าน่าจะเคยได้ยินกระมัง นั่นนำมาใช้บรรยายข้าโดยเฉพาะเลย เฮ้อ ข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวเด่นมากเลยนะ” 


 


 


หลี่อู่หลิงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวเราะพร้อมส่ายหน้า “คนที่ไม่ชอบทำตัวเด่นเช่นพี่หลินนี้ช่างหาได้น้อยเสียจริง เพียงแต่เห็นท่านคุ้นเคยกับเทียนซานมากเสียขนาดนี้ น่าจะเคยมาแล้วจริงๆ พี่หลิน ท่านยังเคยไปที่ใดมาอีกขอรับ?” 


 


 


“เยอะ เกาลี่ หลิวฉิว ตงอิ๋ง หนานหยาง ซีหยาง เปอร์เซียอะไรต่อมิอะไร บอกกับเจ้าแบบนี้ก็แล้วกันนะ ขอเพียงสถานที่ที่มีคนอยู่ก็ต้องทิ้งรอยเท้าของข้าเอาไว้” 


 


 


ปีนี้เขาเพิ่งอายุเท่าไหร่ ต่อให้ออกเดินทางเที่ยวรอบโลกตั้งแต่ออกจากท้องมารดาก็ไปไม่ได้มากมายขนาดนั้นหรอก! ครั้นได้ยินเขาคุยโวโอ้อวด ทุกคนจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างสนุกสนาน 


 


 


ยิ่งเดินขึ้นเขาอากาศก็ค่อยๆ หนาวเย็น ความสูงจะระดับน้ำทะเลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพภูมิประเทศของเทียนซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ไม่พบหญ้าเขียวดอกไม้หลากสีสัน มีหิมะกองสุมหนาอยู่บนเนินเขา ภูมิอากาศซึ่งเมื่อครู่ยังอบอุ่นราววสันต์ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถูกความหนาวเย็นอย่างรุนแรงเข้าปกคลุม ธารน้ำแข็งรอบด้านถูกหิมะสุมจนกลายเป็นชั้นน้ำแข็ง หนาเตอะ ภูเขาลาดชัน ระหว่างชั้นน้ำแข็งมีรอยปริแตกไขว้สลับกันไปมา ถี่ราวกับใยแมงมุม ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็มีขนาดหลายจั้ง ลึกสองจั้งได้ ทั้งยังได้ยินเสียงคำรามของสายน้ำเข้าสู่ใบหูอย่างต่อเนื่องเบาๆ อีกด้วย 


 


 


หนาวจัง! หลินหว่านหรงปิดใบหูโดยไม่รู้ตัว ใต้เท้าเริ่มลื่นแล้ว ข้างกายมีเสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ อยู่เป็นระยะ เมื่อหันไปมองก็เห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งสวมอาภรณ์บางเบา ใบหน้าเย็นจนแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกอดแขนอันอ่อนแอเอาไว้ ร่างกายสั่นระริก 


 


 


หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว ก่อนขึ้นเขาก็เคยกำชับทุกคนแล้วว่าต้องเตรียมป้องกันความหนาวเย็นให้ดี เหล่านายทหารต่างดึงหนังแกะใบไม้มาปกคลุมร่างเพื่อป้องกันความหนาวอย่างลวกๆ มีแค่สาวน้อยคนนี้ที่ชุดบางเบามากที่สุด แล้วนี่จะข้ามยอดเขาเทียนซานที่มีหิมะปกคลุมตลอดกาลไม่มีวันละลายได้อย่างไรกัน? 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย แค่ชุดของเจ้านี้ เกรงว่ายงไม่ทันข้ามภูเขาหิมะก็แข็งจนเป็นแท่งน้ำแข็งแล้ว” เขาหยุดฝีเท้า มองเยวี่ยหยาเอ๋อร์ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


อวี้เจียเหลือบมองเขาเรียบๆ คราหนึ่ง เดินหน้าต่อไปโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว กลับทิ้งเขาไว้อยู่ด้านข้าง 


 


 


ไม่พูดไม่จาหมายความว่าอะไร? ประท้วงเงียบอย่างนั้นหรือ?! เขามีเจตนาดีแต่กลับเจอตอที่ไม่ยอมหักยอมงอเข้าให้ ดังนั้นจึงรู้สึกหงุดหงิดโมโหขึ้นมาบ้างทันที มองเงาร่างอันเด็ดเดี่ยวของอวี้เจีย เมื่อใช้สายตาเหลือบมองก็เห็นถุงน้ำซึ่งห้อยอยู่ที่เอวของนาง ตุงๆ เป่งๆ บรรจุน้ำสะอาดไว้เต็ม บริเวณปากถุงยังมีรอยประทับริมฝีปากที่แห้งกรังที่คุ้นตายิ่งนักอีกด้วย  


 


 


ถุงน้ำที่ทะลุเป็นรูแล้ว แล้วเหตุใดถึงซ่อมได้? เขาตะลึงงัน ใจรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมาเป็นพิเศษ ร่วมเป็นร่วมตายกันในพายุทะเลทราย สาวน้อยทูเจวี๋ยชิงถุงน้ำกลับมาท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง ภาพเหตุการณ์แต่ละฉากแต่ละตอนนั้นค่อยๆ ผุดขึ้นตรงหน้า  


 


 


จะไปถือสาหาความอะไรกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง? เขาส่ายหน้า เดินเข้าไปหาหลายก้าว ดึงนางทันทีพร้อมพูดว่า “เจ้า…มานี่!” 


 


 


รู้สึกเพียงแค่ร่างกายอบอุ่น เสื้อคลุมตัวยาวซึ่งยังคงแฝงไอร้อนจากร่างกายตัวหนึ่งคลุมลงบนบ่าของนาง อวี้เจียหันหน้าขวับมาทันที สะบัดชุดที่อยู่บนตัวออกไปพร้อมกล่าวด้วยโทสะ “เจ้าทำอะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชา “คุณหนูอวี้เจีย ความอดทนของข้าไม่ได้ดีมากขนาดนั้นนะ ขอเจ้าอย่ามายั่วโมโหข้าครั้งแล้วครั้งเล่าเลย หากเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ก็เชิญบอกข้ามาตามตรง!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์โยนเสื้อตัวยาวกลับคืนไปให้เขา กล่าวเย้ยหยันออกมาว่า “เหตุใดเล่า ไม่ห่วงว่าข้าจะเล่นการละเล่นที่เสี่ยงอันตรายอะไรนั่นแล้วหรือ ข้าอยากมีชีวิตแน่นอน แต่อวี้เจียไม่ต้องการความเวทนาของเจ้า! ใต้เท้าอัวเหล่ากง โปรดรักษาตัวด้วย!” 


 


 


นิสัยของสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ช่างสุดยอดของความดื้อด้านแล้วจริงๆ ทอดสายตามองดวงเนตรคู่งามกระจ่างใจดุจวารีของนางแล้ว หลินหว่านหรงก็รู้สึกจนใจอยู่บ้างเช่นกัน “เอาเถอะๆ ถือว่าข้าไม่เคยเห็นก็แล้วกัน พวกเราไม่มีผู้ใดหาเรื่องผู้ใด เจ้าทำต่อไป การมีจิตใจอันดีงามถือเป็นอาการป่วยมารดามันเสียจริง ข้ายอมรับว่าข้าซวยเองก็แล้วกัน” 


 


 


เจ้าโจรท้อแท้หมดกำลังใจจริงแล้ว เขาหิ้วชุดแล้วหมุนกายจากไป สีหน้าแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ สีหน้าเช่นนี้ของเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อวี้เจียขบริมฝีปากสีชาดแน่น สีหน้าเหม่อลอย มือน้อยกำแน่นแล้วก้คลายออก คลายออกแล้วก็กำแน่นอีก……  

 

 


ตอนที่ 574 - 2 ยากจะจัดการ

 

การเดินทางขึ้นเขาครั้งนี้เส้นทางลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นผิวน้ำแข็งและหิมะลื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ปีนป่ายยากลำบากเหลือแสน ไม่รู้ว่าเดินทางไปนานเท่าไหร่แล้ว ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบ แสงคลื่นน้ำจากทะเลสาบอันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏอยู่ตรงหน้า ทะเลสาบแห่งนี้มีพื้นที่ใหญ่โตยิ่งนัก เรียวยาวคดเคี้ยว แผ่ขยายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด สายน้ำสงบนิ่งดุจกระจก ใสสะอาดราวกับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ รอบเนินเขามีต้นอวิ๋นซาน ต้นไป๋หัว ต้นหยางหลิ่ว งอกเงยตั้งตระหง่านเต็มไปหมด ทางด้านตะวันตกของทะเลสาบสะท้อนเงาของศาลาหอเก๋งอันวิจิตรงดงามหลายหลัง ยอดเขาเขียวขจีและภูเขาหิมะซึ่งสะท้อนลงในน้ำนั้นแกว่งไกวลอยล่องไปตามระลอกคลื่น งดงามน่าลุ่มหลง ราวกับโลกแห่งเซียนที่ลงมาสู่แดนดิน  


 


 


ทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้ทำให้ทุกคนเห็นแล้วต้องลมหายใจหยุดชะงัก เกาฉิวกล่าวด้วยท่าทีเหม่อลอยออกมาว่า “มารดามัน หรือว่านี่จะเป็นสระเหยาฉือแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าในตำนาน?” 


 


 


“พี่เกาสมกับที่มีความรู้” หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะร่วน “สถานที่แห่งนี้ก็คือสระสวรรค์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากที่สุดของเทียนซาน และก็คือเหยาฉือที่พระแม่ซีหวางหมู่จัดงานเลี้ยงลูกท้อในตำนาน ตามตำนานเล่าว่าเมื่อสามพันปีก่อน โจวมู่อ๋องโดยสารรถม้าแปดตัวเทียมมุ่งมาเทียนซานทางทิศประจิมเพื่อมาร่วมงานเลี้ยงนี้โดยเฉพาะ ชนรุ่นหลังแต่งกลอนชื่นชมออกมาว่า พระแม่เบิกพระวิสูตรริมเหยาฉือ ยินเพียงเสียงพลิ้วแพรเหลือเศร้าอาดูร อาชาแปดตัวเดินทางได้สามหมื่นลี้ มู่อ๋องจะหวนคืนในคราใด และนี่ก็หมายถึงทัศนียภาพอันงดงามของเหยาฉือ แม้แต่โจวมู่อ๋องก็ยังอดกลับมาอีกครั้งไม่ได้” 


 


 


เป็นเหยาฉือแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจริงด้วย เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหลินหว่านหรงนี้ ทุกคนจึงยิ่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างคึกคักขึ้นมาทันที แม้แต่อวี้เจียที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยความหนาว ดวงตาก็ยังเป็นประกาย อดทอดสายตามองรอบตัวไม่ได้ สระสวรรค์อันบริสุทธิ์สงบนิ่งสะท้อนหิมะสีขาวกระจ่างใส ประหนึ่งผิวกระจกที่สะท้อนยอดหิมะอันสะอาดบริสุทธิ์ ในทะเลสาบมีหิมะ ในหิมะมีทะเลสาบ ทัศนียภาพล้ำเลิศยากจะได้พานพบได้ 


 


 


“เป็นอย่างไร สระสวรรค์เป็นเช่นไร” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมถามทุกคนที่อยู่รอบกาย 


 


 


“ล้ำเลิศ ล้ำเลิศ” เสี่ยวหลี่จื่อปรบมือหัวเราะร่า “พี่หลิน หากท่านมีเวลาว่างจะต้องพาท่านน้าสวีมาดูนะขอรับ นางชอบท่องเที่ยวธรรมชาติมากที่สุดแล้ว หากทราบว่ามีเหยาฉือสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้อยู่ นางจะต้องยินดีจนกระโดดโลดเต้นแน่นอน เมื่อพวกท่านวิวาห์ก็มาสร้างบ้านไม้อยู่ที่นี่สักหลังหนึ่ง ทุกปีเจียดเวลาว่างมาอยู่สักระยะหนึ่ง ข้าจะได้แวะมาเที่ยวด้วย ฮิๆ” 


 


 


เจ้าเด็กนี่เพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสก็กลับคืนสันดานเดิมเสียแล้ว แม้แต่กุนซือสวีก็กล้าเอามาล้อเล่นได้ เรื่องราวระหว่างแม่ทัพหลินและกุนซือสวีทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ ครั้นเห็นหลี่อู่หลิงพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ทุกคนจึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง บรรยากาศครึกครื้นทันที 


 


 


ครั้นนึกถึงสวีจื่อฉิงที่อยู่ไกลถึงเฮ่อหลานซาน นึกถึงคำสาบานเรื่องฝังทรายนั้น หลินหว่านหรงก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ยังมีพวกของชิงเสวียน หนิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ไกลถึงเมืองหลวงอีก ยามนี้เกรงว่าคงกำลังนับนิ้วคำนวณเวลา รอคอยการหวนคืนอย่างปลอดภัยของตนอย่างทรมานเป็นแน่ เขาถอนหายใจเล็กน้อย ดวงตาเปียกชื้นแล้ว 


 


 


อวี้เจียเบือนหน้าไป ทอดสายตามองสระสวรรค์ซึ่งมีหมอกปกคลุมแผ่ศาลอย่างสงบนิ่ง แอบฟังเสียงหายใจยาวของหลินหว่านหรง นางก็ใจเต้นเร็วรี่ ดวงตาเหม่อลอยมากยิ่งขึ้น 


 


 


ชื่อของสวีจื่อฉิงนางย่อมเคยได้ยิน ที่แท้เจ้าโจรคนนี้กับกุนซือหญิงแห่งต้าหัวผู้นี้ก็มีความสัมพันธ์กันด้วย นางขบกรามแน่น ใจเต้นบัดเดี๋ยวเร็วบัดเดี๋ยวช้า ยากที่จะควบคุมได้ 


 


 


เจ้าโจรคนนี้ช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดมากที่สุดบนโลกเสียจริง ดูท่าทางเจ้าเล่ห์ คล้ายไม่มีความรู้สักเท่าไหร่ แต่ทุกครั้งเขามัก หยิบยกออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราว เล่าเรื่องที่น่าหลงใหลหลายเรื่อง ราวกับถือติดมือออกมาอย่างง่ายดาย ทั้งยังน่าดึงดูดใจยิ่งนัก การเดินทางผ่านทะเลทราย ผ่านเทียนซานก็เหมือนการเดินทางท่องเที่ยวชื่นชมธรรมชาติเที่ยวหนึ่ง ประกับพายุทะเลทราย ชมหอคอยของเซิ่น ชมสระสวรรค์ ฟังเขาเล่าเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายตลอดเส้นทาง เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล ต่อให้ต้องทนรับความทรมานและเหนื่อยล้ามากอีกสักเพียงใด ตนเองก็ไม่รู้สึกรู้สาแม้แต่น้อย 


 


 


นางนิ่งเหม่อลอย ใจบัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวเย็น ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดถึงมีน้ำตาไหลรินลงมา 


 


 


พวกของเกาฉิวเห็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์ซึ่งกำลังหลั่งน้ำตา ทุกคนต่างกะพริบตา หัวเราะฮ่าๆ พลางลากหลินหว่านหรงไปด้านข้าง “น้องหลิน เรื่องมงคล เรื่องมงคล!” 


 


 


“เรื่องมงคลจากที่ใด?” เมื่อเห็นรอยยิ้มลามกที่ผุดขึ้นที่มุมปากของเหล่าเกา หลินหว่านหรงก็อดสั่นสะท้านไม่ได้ 


 


 


เกาฉิวทำปากบุ้ยใบ้ไปทางนั้น พูดหัวเราะฮิฮะประกบข้างใบหูหลินหว่านหรง “น้องชายสมกับเป็นยอดฝีมือ ดูจากท่าทางของอวี้เจียนี้ เกรงว่าใจคงยอมสยบแล้ว ด้วยสถานะอันสูงส่งน่าเทิดทูนของเจ้า หากไปสยบสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ นั่นจะไม่ใช่เรื่องมหามงคลของนางแล้วหรือ” 


 


 


ที่แท้ก็เรื่องมงคลเช่นนี้นี่เอง หลินหว่านหรงส่ายหน้าเล็กน้อย “พี่เกา ท่านรู้สึกว่าอวี้เจียผู้นี้สูงส่งหรือไม่?” 


 


 


“สูงส่ง!” 


 


 


“ฉลาดหรือไม่?!” 


 


 


“ฉลาด!” 


 


 


“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “สถานะของอวี้เจียไม่ธรรมดา ท่านก็รู้ตั้งแต่แรก สตรีซึ่งทั้งสูงส่งหยิ่งผยอง ทั้งยังงดงามฉลาดหลักแหลม โดยเฉพาะสตรีผู้โดดเด่นเช่นอวี้เจียคนนี้ จะยอมสยบง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?!” 


 


 


ไอ้เรื่องนี้กลับไม่เคยคิดมาก่อน เกาฉิวพูดพึมพำ “ผู้อื่นอาจจะไม่ได้ แต่ด้วยเสน่ห์ของน้องหลิน นั่นคงเป็นอีกเรื่องแล้วล่ะ” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขา กล่าวอย่างเคร่งขรึมออกมาว่า “พี่เกา เกิดเป็นคนจะต้องถ่อมตน ข้านอกจากจะหล่อสักหน่อย ความรู้มากสักหน่อย คุณสมบัติดีสักหน่อยแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่มีเสน่ห์อันใด ไม่อาจรับคำชมเช่นนี้จากท่านได้จริงๆ ท่านเองก็ห้ามป่าวประกาศไปทั่ว ให้พี่น้องนับพันนี้ค่อยๆ เข้าใจทีละน้อยก็แล้วกัน การไม่ทำตัวโดดเด่นถือเป็นพื้นฐานในการเป็นคนของข้ามาตลอด” 


 


 


น้องหลินช่างถ่อมตัว ไม่ทำตัวโดดเด่นมากจริงๆ เกาฉิวผงกศีรษะเหงื่อแตกท่วมตัว “เช่นนั้น คุณหนูอวี้เจียผู้นี้มันเรื่องอันใดกันแน่” 


 


 


“ข้าก็อยากรู้ไอ้เจ้าปัญหานี้เหมือนกัน” หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออก ถอนหายใจอย่างเงียบงันคราหนึ่ง “แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ข้าไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่ค่อยแน่ใจด้วยเช่นกัน ท่านว่ายังมีเรื่องที่จัดการยากกว่านี้อีกหรือไม่” 


 


 


ยากมากจริงด้วย เกาฉิวมองเขาด้วยความเห็นใจอย่างยิ่ง ประกับสตรีเช่นอวี้เจียนี้ ก็มีแค่น้องหลินเท่านั้นถึงจะสู้สูสีกับนางได้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงวางอาวุธยอมจำนนไปตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


เดินทางผ่านสระสวรรค์พร้อมกับแบกความในใจมุ่งตรงไปยังยอดเขา น้ำแข็งและหิมะมีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมตัวกันทั่วทุกสารทิศ อยู่ห่างจากยอดเขาอีกแค่ไม่กี่ร้อยจั้ง หลินหว่านหรงแหงนหน้าทอดสายตามองออกไปไกล เห็นเงาของขุนเขาสีเขียวอยู่รำไรใต้ผืนนภาอันห่างไกล ล่องลอยราวกับไม่มีอยู่จริง ทอดสายตามองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด 


 


 


หูปู้กุยยืนอยู่ข้างกายเขา กล่าวด้วยความตื่นเต้นออกมาว่า “ท่านแม่ทัพ ที่นั่นคือสถานที่ที่พวกเราต้องไปถึงใช่หรือไม่ขอรับ?” 


 


 


“ไม่ผิด” หลินหว่านหรงออกแรงโบกมือ “นั่นก็คือภูเขาอาเอ่อร์ไท่ จากตรงนี้เป็นต้นไปทหารม้าต้าหัวก็จะเหยียบย้ำทำลายราชธานีทูเจวี๋ยแล้ว!”  

 

 


ตอนที่ 575 - 1 อกจะใหญ่ขึ้น หน้าจะแดงขึ้น

 

“ดูเร็ว หิมะตกแล้ว!” หลี่อู่หลิงตะโกนเสียงดังด้วยความยินดี ดึงดูดสายตาของทุกคนทันที เห็นเพียงว่ายอดเขาเทียนซานมีไอหมอกปกคลุมขมุกขมัว เกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่านร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า กระจ่างใสแวววาว ลอยล่องพร่างพรมลงสู่ยอดเขา เบื้องหน้าสุดของขบวนซึ่งกำลังเคลื่อนทัพอยู่ถูกเกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่านนี้ปกคลุมภายในชั่วพริบตา ครั้นทอดสายตามองออกไปไกลๆ ก็เหมือนดั่งมุดเข้าไปในไอน้ำอันหนาทึบ 


 


 


เห็นอยู่ว่าเป็นเดือนห้าแล้ว ในพื้นที่ภาคกลางอากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น แต่เทียนซานแห่งนี้กลับมีหิมะตกลงมาในช่วงเวลานี้ เมื่อทอดสายตาลงไปด้านล่างเขาล้วนมีพฤกษานานาพันธุ์ เชิงเขามีหิมะและบุปผางดงามคงอยู่ร่วมกัน ครั้นมาถึงยอดเขากลับขาวโพลนภายในชั่วพริบตา หนึ่งบรรพตสามสภาพภูมิอากาศ ความงดงามอันน่าอัศจรรย์ใจของเทียนซานช่างสมดังคำร่ำลือเสียจริง 


 


 


สุดท้ายเสี่ยวหลี่จื่อก็ยังมีนิสัยเป็นเด็กอยู่ดี บางทีอาจเพราะเดินทางอยู่ในทะเลทรายมานานมากเกินไป เมื่อเห็นเทียนซานมีหิมะโปรยปรายในเดือนห้า ทัศนียภาพงดงามอลังการ ดังนั้นจึงกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีขึ้นมาทันที เกาฉิวหัวเราะพร้อมพูดว่า “เพิ่งออกจากทะเลทรายก็เจอหิมะ การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราถือว่าผ่านสายลมน้ำค้างสายฝนหิมะมาจนหมดสิ้น ชีวิตนี้ปราศจากความเสียดายแล้ว” 


 


 


เจ้าสองคนนี้พูดจาเสียผ่อนคลายเชียวนะ หลินหว่านหรงกลับขมวดคิ้วมุ่น เทียนซานหิมะตก สวยมันก็สวยหรอก แต่มาตกบนคนเดินทางซึ่งกำลังจะข้ามผ่านเทียนซานเช่นพวกเขานี้ ถือเป็นการเพิ่มอันตรายขึ้นมากเลยทีเดียว 


 


 


เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว หลินหว่านหรงจึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “พี่หู สั่งการให้พวกพี่น้องให้อยู่ใกล้กันสักหน่อย ต่างคนต่างดูแลซึ่งกันและกัน คืนนี้ไม่ตั้งค่าย ให้เดินทางข้ามเทียนซานทั้งคืน” 


 


 


หูปู้กุยรู้เช่นกันว่าเส้นทางเบื้องหน้าอันตรายและยากลำบาก ดังนั้นจึงรีบรับคำ ถ่ายทอดคำสั่งเขาลงไป ตลอดเส้นทางนี้เหล่านายทหารรวบรวมใบไม้แห้งทำเป็นเสื้อคลุมกันฝนกำบังลมหนาวหนาเตอะตามคำสั่งของหลินหว่านหรงมาตั้งแต่แรก น่าเกลียดก็น่าเกลียดไปสักหน่อย แต่การใช้งานกลับปรากฏให้เห็นเด่นชัดในตอนนี้ 


 


 


หลี่อู่หลิงสวมใส่อบอุ่นมากที่สุด เขาอายุน้อย อีกทั้งยังเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย ทุกคนเป็นห่วงเขา ต่างแอบยัดอาภรณ์ใส่ในห่อสัมภาระของเขา ยามนี้สิ่งที่สวมใส่อยู่บนร่างเขาก็คือชุดใหม่ที่เฉี่ยวเฉี่ยวทำให้หลินหว่านหรงก่อนออกเดินทาง เป็นหลินหว่านหรงที่เพิ่มให้เขาเป็นกรณีพิเศษ แม้จะมีขนาดใหญ่เกินไปหลายขนาด แต่การป้องกันความหนาวเย็นกลับไม่เป็นปัญหา 


 


 


ยิ่งเดินทางขึ้นไปลมหิมะก็ยิ่งรุนแรง ลมเหนือระคนด้วยเกล็ดหิมะดังหวีดหวิวสาดกระทบใบหน้า แม้แต่ดวงตาก็ลืมไม่ขึ้นแล้ว ใบหน้าถูกพัดจนเจ็บ หนาวเย็นจนเจ็บยิ่งกว่า  


 


 


หิมะใหญ่กับทะเลทรายถือเป็นสองความต่างที่สุดขั้ว ทางหนึ่งร้อนแทบตาย อีกทางหนึ่งหนาวจะแข็งตาย ช่วงระยะเวลาอันสั้นก็ประสบกับสภาพภูมิอากาศที่ต่างกันสุดขั้วสองแบบนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเจอมาก่อน แม้แต่หลินหว่านหรงซึ่งได้รับการขนานนามว่าเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ก็ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย เมื่อกวาดสายตาสำรวจโดยรอบแล้วเห็นเหล่านายทหารเดินทางด้วยอารมณ์อันหนักแน่นมั่นคง พูดคุยสรวลเสเฮฮากัน เขาถึงรู้สึกวางใจลงไปได้  


 


 


เมื่อสายตาไปอยู่บนร่างของอวี้เจีย เขากลับอดขมวดคิ้วไม่ได้ ความหนาวเย็นตรงเชิงเขานางยังทนไม่ไหว นับประสาอะไรกับสายลมเหนือพัดพาหิมะตกหนักดังหวีดหวิวเช่นนี้ สาวน้อยทูเจวี๋ยใบหน้าหนาวเย็นจนซีดเผือด ร่างกายแข็งทื่อ เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาไม่ขาดสายเกาะอยู่ผมและใบหน้าของนาง เปล่งประกายสอดประสานกับใบหน้าอันนุ่มนิ่มของนาง กลับแยกไม่ออกว่าสิ่งใดที่ขาวกว่ากัน สิ่งใดที่กระจ่างใสกว่ากัน 


 


 


ลมหนาวพัดผ่าน ไหล่ของนางอดสั่นสะท้านไม่ได้ สาวน้อยขบกรามแน่นด้วยท่าทีอันดื้อดึง ไม่เปล่งเสียงออกมาสักแอะเดียว ในถุงสัมภาระมีใบไม้แห้งอยู่เต็มไปหมด มือน้อยของนางถักทออย่างว่องไว กำลังทำเสื้อคลุมให้ตนเอง 


 


 


นังหนูคนนี้ไม่ลำบากเข้าจริงก็ไม่รู้จักความโหดร้าย! หลินหว่านหรงส่ายหน้า รีบเดินไปหลายก้าวเพื่อเข้าไปหา หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “คุณหนูอวี้เจีย จะขอปรึกษากับเจ้าสักเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?!” 


 


 


“ไม่ปรึกษา!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ได้ยินเสียงของเขาแล้วก็เบือนหน้าหนีทันที ไม่มองเขาแม้แต่แวบเดียว พ่นถ้อยคำอันแสนจะเย็นชาออกมา  


 


 


หลินหว่านหรงอยู่กับนางมานานมากแล้ว และรู้นิสัยของนางดี ดังนั้นจึงทำเหมือนไม่ดิ้นคำพูดนาง เขาหัวเราะร่วนพร้อมพูดออกมาว่า “อันที่จริงมาพูดเรื่องนี้กับเจ้ามันก็ง่ายดายราวกับยกมือ ข้าเห็นชุดที่เจ้าทำนี้ไม่เลว พอจะขายให้ข้าได้หรือไม่?!” 


 


 


ขายให้เขา? อวี้เจียหันหน้ากลับมาโดยไม่รู้ตัว มองเขาอย่างเหม่อลอยหลายครั้ง บนหัวเจ้าโจรคนนี้มีเกล็ดหิมะขนาดใหญ่อยู่มากมาย หิมะซึ่งตกเต็มท้องฟ้าตกกระทบใบหน้าเขา ขาวดำสอดประสานกัน เห็นกันอย่างชัดเจนเยี่ยงนี้ 


 


 


เห็นเขามีท่าทางยิ้มทะเล้น คล้ายลืมเลือนเรื่องขัดแย้งระหว่างพวกเขาสองคนไปแล้ว 


 


 


เจ้าคนนี้หนังหน้าช่างหนาเสียจริง อวี้เจียงึมงำคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ต่อให้นางจะฉลาดอีกสักเพียงใดก็ไม่อาจกระจ่างแจ้งเจตนาของเจ้าโจรคนนี้ได้ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแค่นเสียงออกมาหลายครา “เจ้าจะมาประชดข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?! ข้าไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเจ้าหรอก!” 


 


 


“จริงนะ ข้าจะประชดเจ้าทำไมเล่า” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “หิมะนี้ตกหนักเหลือเกิน ข้าหนาวจะแย่แล้ว ดังนั้นเลยอยากจะซื้อเสื้อคลุมของเจ้าเอามาป้องกันความหนาวเย็น!” 


 


 


เขาไม่พูดก็ยังดี การเอ่ยปากครั้งนี้อวี้เจียพลันหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก ใบหน้านางเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง กำหมัดแน่น กล่าวด้วยความเดือดดาลออกมาว่า “นี่ยังจะต้องซื้ออีกหรือ? หากเจ้าต้องการก็มาแย่งไปเลยก็ได้ อวี้เจียแต่เดิมก็เป็นนักโทษของเจ้าอยู่แล้ว ยังต้องมาเสแสร้งแกล้งดัดเช่นนี้อีกหรือ?!” 


 


 


“ทำเช่นนั้นไม่ได้” หลินหว่านหรงส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง หัวเราะร่วนฮ่าๆ “นักโทษก็มีสิทธิมนุษยชนนะ! อีกอย่างทุกคนต่างรู้กันทั่ว ข้าคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ที่มีชื่อเสียง บังคับซื้อบังคับขายไม่ใช่รูปแบบของข้า คุณหนูอวี้เจีย ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้ข้าอยากซื้อเสื้อคลุมของเจ้า เจ้ายินดีหรือไม่?!” 


 


 


ครั้นเห็นเขามีสีหน้าจริงจัง ไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่น อวี้เจียจึงกัดฟันกรอด แค่นเสียงแล้วพูดว่า “เจ้าหนาวมากจริงหรือ?!” 


 


 


“หนาวมาก!” โจรผงกศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึม 


 


 


กางเกงที่ขาเขาขาดรุ่งริ่ง ใช้หญ้ามัดพันเป็นชั้นๆ ขึ้นมา นั่นเป็นร่องรอยซึ่งหลงเหลือจากการช่วยเหลือนางในพายุทะเลทราย ขาดวิ่นจนไม่อาจต้านทานลมหิมะได้ ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขา สิ่งที่อบอุ่นมากที่สุดก็คือเสื้อคลุมตัวยาวนั้นแล้ว อวี้เจียตาแดงเล็กน้อย ดึงเสื้อคลุมที่เพิ่งจะถักเสร็จนั้นหลายครั้ง กัดฟันกรอดแล้วยัดใส่มือเขาไป “ให้เจ้า รีบไสหัวไป!” 


 


 


รับเสื้อคลุมตัวนั้นไปโดยปราศจากความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย โจรหัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “ขอบใจ ในการซื้อเสื้อคลุมของเจ้าตัวนี้ ไม่ทราบว่าคุณหนูอวี้เจียต้องการให้จ่ายเป็นสิ่งใด ทรัพย์สินเงินทอง? อัญมณีมีค่า? หรือว่าใช้ตัวตอบแทน…” 


 


 


“…ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เจ้ารีบไสหัวไปเร็ว!” สาวน้อยคำรามด้วยโทสะ เห็นใบหน้าอันน่ารังเกียจของเจ้าโจรนางก็กัดปากจนแตกหมดแล้ว อยากจะอัดหน้าเขาหนักๆ สักหมัดหนึ่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป 


 


 


“ได้ๆ ข้าไป” หลินหว่านหรงรีบถอยออกไปสองก้าว หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “ข้าคนนี้เที่ยงธรรมซื่อสัตย์ นั่นคือสิ่งที่มีชื่อเสียง ตกลงกันแล้วว่าจะซื้อ ข้าก็ไม่มีทางเอาเปรียบเจ้า! ในเมื่อของหลายอย่างนี้ต่างไม่เหมาะสม เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวค่อยมอบของให้เจ้าก็ได้ ใช้ของแลกของ พวกเราไม่มีใครเสียเปรียบใคร!” 


 


 


เจ้าโจรที่หัวเราะหน้าทะเล้นคนนี้น่ารังเกียจอย่างบอกไม่ถูก อวี้เจียหยิบเศษหิมะขึ้นมาแล้วปาใส่เขา “อย่ามาหาเรื่องข้า! ให้เจ้าไสหัวไป เจ้าก็รีบไสหัวไปสิ!” 


 


 


เศษหิมะปลิวกระจายร่วงหล่น โจรรีบหัวเราะฮ่าๆ หนีผลุบหายไปข้างหน้า ทอดสายตามองเงาหลังท่ามกลางหิมะของเขา เยวี่ยหยาเอ๋อร์หลุบตาลงต่ำ สีหน้าเหม่อลอย 


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้ามานี่สักหน่อย!” หลี่อู่หลิงกำลังบังเกิดความคึกคักสนุกสนานอยู่พอดี เดินนำฝ่าลมหิมะอยู่เบื้องหน้าสุด จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องเรียกเบาๆ แว่วมาหลายครั้งจึงหันหน้ากลับไป เห็นหลินหว่านหรงกำลังยืนอยู่ข้างขบวน กลอกตาไปมา กวักมือเรียกเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ  


 


 


เขารีบพุ่งปราดเข้าไปหา หัวเราะแล้วถามว่า “พี่หลิน ท่านเรียกข้าหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ยัดเสื้อคลุมที่อยู่ในมือให้เขา “เสี่ยวหลี่จื่อ ทำงานให้ข้าสักอย่าง!” 


 


 


เขาซุบซิบข้างใบหูหลี่อู่หลิงไปหลายประโยค เสี่ยวหลี่จื่อเบิกตาโพลงขึ้นมองเขา “พี่หลิน ท่านโง่ไปแล้วหรือ? การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ก็ทำได้ นี่ไม่ใช่รูปแบบของท่านเลยนะ” 


 


 


“ก็อย่างที่เจ้าว่า…ข้าเป็นคนที่ยอมขาดทุนหรือ?” หลินหว่านหรงมองค้อนเขาอย่างอับจนปัญญา 


 


 


หลี่อู่หลิงกะพริบตา มองดูสาวน้อยทูเจวี๋ยที่กำลังเดินท่ามกลางลมหิมะอย่างเร็วรี่ จากนั้นจึงมองหลินหว่านหรงอีกครา ทันใดนั้นก็ร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง หัวเราะพร้อมพูดว่า “ที่แท้ก็แบบนี้ เข้าใจแล้วขอรับ! พี่สาวอวี้เจียผู้นี้ นอกจากเป็นชาวทูเจวี๋ยแล้ว เรื่องอื่นกลับยังไม่เลว พี่หลินวางใจ เรื่องนี้ข้าไม่มีทางบอกท่านน้าสวีแน่!” 


 


 


เมื่อเห็นเสี่ยวหลี่จื่อกลอกตาเป็นพัลวันก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หลินหว่านหรงพูดอย่างจนใจออกมาว่า “เห็นชัดว่าเป็นเรื่องอันสูงส่งยิ่งเรื่องหนึ่ง เหตุใดถึงชอบมีคนใช้สายตาต่ำต้อยไปมองได้นะ?! ต้องรู้ว่าข้าไม่ใช่คนใจง่ายขนาดนั้น!” 


 


 


ไม่ใช่คนใจง่ายขนาดนั้นจริงด้วย เสี่ยวหลี่จื่อยินดีเป็นล้นพ้น แม้เขาจะถูกทำร้ายสาหัสโดยชาวทูเจวี๋ย แต่ชีวิตนั้นกลับถูกอวี้เจียช่วยไว้อีก หากพูดโดยใช้ภาษาของเขาเอง คนเราอยู่บนโลก มีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ ทำสิ่งใดคืนสิ่งนั้น สองสิ่งไม่ปะปนกัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รู้สึกแปลกแยกกับสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้เท่าใด ในทัพใหญ่นอกจากหลินหว่านหรงแล้ว ก็มีเขาที่ยังสนทนากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ได้สักหลายประโยค  

 

 


ตอนที่ 575 - 2 อกจะใหญ่ขึ้น หน้าจะแดงขึ้น

 

 


 


 


ลมหิมะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พัดจนลืมตาไม่ขึ้น เมื่อรับเสื้อคลุมยาวที่หลี่อู่หลิงส่งมาให้อวี้เจียก็ตะลึงงัน ส่ายหน้าพร้อมกล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้าจงไปบอกอัวเหล่ากง ข้าไม่มีทางรับของจากเขา” 


 


 


หลี่อู่หลิงเอ่ย “คุณหนูอวี้เจียเข้าใจผิดแล้ว พี่หลินบอกว่าเสื้อตัวนี้ไม่ใช่ของของเขา แต่เป็นของท่าน!” 


 


 


“ของข้า?!” อวี้เจียขบริมฝีปากสีชาด “เหตุใดถึงกลายเป็นของของข้าได้?” 


 


 


เสี่ยวหลี่จื่อกล่าวระคนหัวเราะ “พี่หลินบอกว่าเขาทำการค้ากับท่าน เป็นการแลกเปลี่ยนอย่างยุติธรรม เอาชุดของท่านไป จากนั้นค่อยคืนให้ท่านชุดหนึ่ง ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ ไม่มีผู้ใดเสียเปรียบผู้ใด ชุดนี้ตอนนี้เป็นของท่านแล้ว ท่านจะโยนมันทิ้งไปก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับพี่หลินแล้ว!” 


 


 


ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว? หวนนึกถึงเจ้าโจนหัวเราะสรวลเสเฮฮาสนทนากับตน ที่แท้กลับจงใจวางแผนเรียบร้อยแล้ว เจ้าคนนี้เหตุใดหนังหน้าถึงหนาเพียงนี้นะ? นางนิ่งงันอยู่นาน ใจเต้นบัดเดี๋ยวช้าบัดเดี๋ยวเร็ว จู่ๆ ก็บังเกิดความรู้สึกแค้นเคืองถั่งท้นขึ้นมาในใจ คว้าชุดแล้วโยนลงพื้น “นี่เขากำลังทำอะไร มาหลอกข้าอีกแล้วหรือ ข้าไม่ต้องสิ่งของของเขาหรอกนะ ข้าไม่ต้องการ!” 


 


 


เพียงแต่นางกลับส่งเสียงช้าไปสักหน่อย หลี่อู่หลิงกล่าววาจาเสร็จเรียบร้อยก็จากไปนานแล้ว ยามนี้กำลังเดินอยู่หน้าขบวนกับหลินหว่านหรงสองคน หัวเราะสรวลเสเฮฮากันอยู่ 


 


 


หิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เกล็ดหิมะกระจ่างใสเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าค่อยๆ โปรยปรายลงมา ตกลงบนเสื้อคลุมตัวยาวอันกว้างใหญ่นั้นพอดี งดงามเหนือธรรมดาราวกับบุปผาน้อยสีขาวบริสุทธิ์ที่กำลังเบ่งบานทีละดอก 


 


 


อวี้เจียยืนนิ่งเหม่อลอย แม้แต่ความหนาวเย็นยะเยือกนั้นก็ไม่รู้สึก นางคุกเข่าลงไปอย่างแช่มช้า เก็บเสื้อคลุมตัวยาวที่อยู่บนพื้นขึ้นมา ค่อยๆ ปัดให้เกล็ดหิมะร่วงหล่นไป  


 


 


อุณหภูมิร่างกายยังคงประทับอยู่บนเสื้อคลุม ประหนึ่งสองมืออันอบอุ่นของโจร ครั้นนึกถึงเหตุการณ์ที่เจ้าโจรทำการค้ากับนาง ใจนางไม่รู้บังเกิดเป็นความรู้สึกเช่นไร 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงเหมือนกับข้า ต่างชอบหลอกลวงคน?” นางคว้าจับเสื้อคลุมตัวนั้นแน่น ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ น้ำตาทยอยไหลรินดั่งสายฝน  


 


 


ท่ามกลางลมหิมะที่โบกพลิ้ว ในที่สุดก็ปีนป่ายขึ้นสู่ยอดเขาเทียนซานได้ รอบด้านมีแต่หิมะ สายลมหนาวมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวดังอยู่ข้างหูไม่หยุด ท่ามกลางเมฆสีดำเต็มผืนฟ้านั้นกลับมีจันทร์กระจ่างลอยเด่นอยู่กลางนภา แสงจันทร์ที่งดงามดุจวารีกับเกล็ดหิมะสอดประสานซึ่งกันและกัน ส่องสะท้อนยอดเขาแห่งนี้ราวกับกลางวัน 


 


 


หิมะจันทราปรากฏขึ้นพร้อมกัน ภาพเหตุการณ์อัศจรรย์อันน่าเหลือเชื่อนี้ทำให้ทุกคนต่างตาโตอ้าปากค้าง หากมิใช่เดินทัพมาถึงสถานที่แห่งนี้ ใครจะไปเชื่อว่าบนผืนพิภพจะมีสถานที่ที่เหมือนดั่งตำนานเช่นนี้อยู่อีกด้วย 


 


 


“เทียนซานช่างเป็นสถานที่อันล้ำเลิศจริงด้วย!” หูปู้กุยพึมพำกับตนเอง 


 


 


เกาฉิวกลับไม่ได้สะทกสะท้อนใจเช่นนั้น เขามองประเมินหลินหว่านหรงด้วยความประหลาดใจพร้อมส่งเสียงจึ๊จ๊ะ “น้องหลิน เสื้อคลุมของเจ้าตัวนี้ช่างมีฝีมือประณีตนัก มีเอกลักษณ์มากเลยนา!” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ สองครา “นี่ต้องใช้เงินจำนวนมากซื้อมา ก็ต้องสวมใส่สิ” 


 


 


ท่ามกลางฝนหิมะที่ปกคลุมไปทั่ว ท้องนภาที่อยู่ไกลห่างออกไปรางเลือนไปหมด แม้แต่เงาของภูเขาอาเอ่อร์ไท่ก็มองไม่เห็น เมื่อเหลือบมองลงไป ใต้เท้ามีแต่ฝนหิมะขาวโพลนไปหมด เบื้องใต้นั้นฝังกับดักที่ทำให้ถึงแก่ความตายเต็มไปหมด ทั้งแท่งน้ำแข็ง โพรงถ้ำน้ำ หิมะถล่ม ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหนทางเบื้องหน้าจะมีสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่บ้าง 


 


 


หลินหว่านหรงปรับสีหน้าแล้วพูดว่า “สวี่เจิ้น เจ้าหาพี่น้องที่ปราดเปรียวว่องไวสักหลายคนแล้วให้ผูกเชือกติดกัน จากนั้นไปสืบหาเส้นทางข้างหน้า! จำไว้ ต้องให้เน้นความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ยอมช้าสักหน่อย แต่ไม่อาจบุ่มบ่าม” 


 


 


ขึ้นเขาง่ายลงเขายาก โดยเฉพาะเทียนซานซึ่งอยู่ท่ามกลางหิมะก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนแม้จะเดินข้ามภูเขาหิมะเป็นครั้งแรก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเส้นทางหิมะอันเวิ้งว้าง ทุกคนต่างบังเกิดความระแวดระวังขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พวกของสวี่เจิ้นแบ่งเป็นกลุ่มย่อยแล้วมุ่งหน้าไป ทัพใหญ่เรียงเป็นแถวยาวลงไป การมุ่งหน้าเชื่องช้ายิ่งนัก หลินหว่านหรงประกบอยู่ท้ายสุด ตรวจสอบอย่างถ้วนถี่ว่าไม่มีทหารคนใดตกหล่น 


 


 


การเคลื่อนทัพท่ามกลางฝนหิมะ อากาศอันเย็นยะเยือกนี้ไม่ต้องเอ่ยถึง ทั้งกองทัพหลินหว่านหรงสวมใส่เบาบางมากที่สุดแล้ว ทั้งร่างถูกใบไม้ห่อหุ้มราวกับมนุษย์หญ้า เขาหยิบหิมะยัดเข้าปากเคี้ยวหลายครั้ง ทั้งหนาวเย็นทั้งหวานสดชื่น จากนั้นเขาก็เป่าลมหายใจใส่ฝ่ามือ ออกแรงบีบนวดฝ่ามือที่แดงก่ำ 


 


 


‘ชุด’ ที่อยู่บนร่างถูกดึงหลายครั้ง หลินหว่านหรงหันหน้าไปกลับต้องตกใจ ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นอวี้เจีย ผู้ที่อยู่รั้งท้ายขบวนก้มีแค่พวกเขาสองคนแล้ว 


 


 


อวี้เจียสวมเสื้อคลุมตัวยาวอันหลวมกว้างของหลินหว่านหรงอยู่ นางนำแขนเสื้อมาพันรอบจนแน่น เรือนร่างที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าอันงดงามปรากฏให้เห็นรำไร หลินหว่านหรงมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหลายครั้ง หัวเราะแล้วพูดว่า “อย่าโทษว่าข้าไม่ได้เตือนเจ้า ‘ชุด’ ของข้าตัวนี้ทนการดึงทึ้งของเจ้าไม่ไหว หากไม่ระวังก็จะหลุดลุ่ยแล้ว” 


 


 


อวี้เจียก้มหน้าพร้อมแค่นลมหายใจ ในมือกลับมีผลไม้สีเงินโผล่ออกมาราวกับเล่นมายากล “ให้เจ้า!” 


 


 


ผลไม้ลูกนั้นส่งกลิ่นหอมสะอาด บนก้านยังมีคราบดินหิมะอยู่ คล้ายเพิ่งถอนออกมาจากหิมะ หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ “นี่คืออะไร?!” 


 


 


“ยาพิษ!” อวี้เจียตบด้วยสีหน้าเย็นชา 


 


 


“ยาพิษที่แสนจะงดงามเช่นนี้” หลินหว่านหรงหัวเราะร่าพลางเลียผลไม้ลูกนั้นคราหนึ่ง รู้สึกว่ามีกลิ่นหอมสะอาดลงไปในท้อง ร่างกายพลันอบอุ่นขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะหายไป 


 


 


“นี่มันคืออะไร?” เขาเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง “นี่เรียกว่าผลสีเงิน[1] เติบโตอยู่ใต้ภูเขาหิมะ มีฤทธิ์ทำให้ขนขามีกำลังวังชา ขับไล่ความเย็นเพิ่มความอบอุ่น หลายสิบปีถึงจะสุกงอมสักครั้ง ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว! กินเจ้านี่ไป รับรองว่าเจ้าจะไม่กลัวความหนาวไปหนึ่งชั่วยาม!” 


 


 


“ผลอนาจาร[2]?!” หลินหว่านหรงพูดพร้อมเบิกตาโต “เช่นนั้นจะไม่ใช่ยาปลุกกำหนัดหรอกหรือ?! ให้เจ้าหาเจอเข้าเสียแล้ว”  


 


 


“หยินของสีเงิน ไม่ใช่หยินของคนบ้ากามเช่นเจ้า…เหตุใดเจ้าถึงไม่อ่านตำราทางการแพทย์?!” อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห โกรธจนหน้าแดงก่ำ 


 


 


หยินของอนาจาร[3]? หยินของคนบ้ากาม? หลินหว่านหรงกระพริบตาอยู่นาน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าไอ้เจ้าคำว่า “หยิน” สองคำนี้มีความหมายแตกต่างอย่างไรกันแน่ เพียงแต่ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของอวี้เจีย นางบอกว่าผลอนาจารนี้ขับไล่ความหนาวเย็นได้ เช่นนั้นก็ต้องไม่ผิดแน่นอน 


 


 


มองดูมือน้อยที่หนาวเย็นจนแดงก่ำของอวี้เจีย ทั้งยังมีคราบดินและคราบหิมะเกาะให้เห็นรางๆ หลินหว่านหรงจึงยิ้มด้วยความยินดี ส่งผลสีเงินนั้นคืนกลับไปให้นาง “เจ้านี่ไม่เลว แต่เจ้าเก็บไว้เถอะ ข้าคนนี้ร่างกายแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปลุกกำหนัดอะไร…อ้อ ไม่ใช่ ไม่ได้กลัวความหนาวเย็นอะไร” 


 


 


“ข้ากินไปแล้ว” อวี้เจียก้มหน้าตอบอย่างดึงดัน 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “น้องสาว เจ้ารู้หรือไม่ว่าลักษณะพิเศษที่ปรากฏให้เห็นชัดมากที่สุดยามที่ผู้หญิงพูดโกหกคืออะไร” 


 


 


“คืออะไร?!” อวี้เจียถามพร้อมกัดฟันกรอด 


 


 


“นั่นก็คือ…อกจะใหญ่ขึ้น หน้าจะแดงขึ้น!” หลินหว่านหรงจ้องมองนาง ผงกศีรษะด้วยท่าทีขึงขัง 


 


 


อวี้เจียลมหายใจหยุดชะงัก ใบหน้าแดงก่ำทันที อกงามขยับขึ้นลง กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “เจ้าสิถึงจะใหญ่ขึ้น เจ้าสิถึงจะแดงขึ้น เจ้าคนบ้ากาม!” 


 


 


“เจ้าดูสิ” หลินหว่านหรงมองนางพลางกลืนน้ำลายเล็กน้อย “ที่ข้าพูดมีที่ใดไม่สอดรับบ้าง?!” 


 


 


สมควรตาย ตกหลุมพรางเขาอีกแล้ว! อวี้เจียได้สติกลับมาโดยพลัน ใบหน้าแดงสดใส ไม่อาจหายไปได้อีก นางรีบสะกดกลั้นอารม์ที่พลุ่งพล่าน กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ผลสีเงินนี้เจ้าจะเอาหรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ของชิ้นนี้เจ้าจำเป็นยิ่งกว่าข้า เจ้าเก็บไว้เองเถอะ” 


 


 


“ได้!” เสียงดังปังคราหนึ่ง อวี้เจียเขวี้ยงผลสีเงินลงพื้น จากนั้นก็เหยียบย่ำอย่างรุนแรง “เจ้าไม่เอา ข้าก็ไม่เอา!” 


 


 


ผลไม้นั้นแตกกระจายเละเทะภายในชั่วพริบตา กลิ่นหอมสะอาดซึมเข้าไปใต้หิมะ อวี้เจียมองเขาด้วยความหยิ่งผยองและดื้อดึงคราหนึ่ง จากนั้นก็หมุนกายแล้ววิ่งลงเขาไป 


 


 


นังหนูคนนี้นี่ อารมณ์รุนแรงเกินไปแล้วกระมัง! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ขณะที่กำลังรู้สึกเสียดายกลับได้รู้สึกว่าใต้เท้าโคลงเคลง มีเสียงครืนๆ แว่วมาจากข้างหลังรำไร  


 


 


อวี้เจียพอได้ยินเสียงนี้สีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว รีบหันหน้ากลับมาทันทีจนแทบจะล้มลงบนพื้นหิมะ 


 


 


ยอดเทียนซานมีเสียงลมดังคำรามครืนๆ อย่างต่อเนื่องไม่หยุด ภูเขาศิลานั้นราวกับถล่มลงมา น้ำแข็งและหิมะที่ทอดยาวจนถึงฟากฟ้าไหลมาอย่างรวดเร็วราวกับแม่น้ำ รุนแรงยิ่งนัก เพียงชั่วพริบตาก็ถาโถมลงมา 


 


 


คลื่นหิมะท่วมท้องฟ้ามาถึงเบื้องหลังหลินหว่านหรงภายในชั่วพริบตา เสียงดังครืนคราหนึ่งก็กลืนกินเงาร่างเขาจนหมดสิ้น 


 


 


“อัวเหล่ากง!” อวี้เจียตะกายขึ้นมาราวกับเสียสติ ใจใกล้จะขาดรอนๆ แล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ผลสีเงิน หมายถึง แปะก๊วย 


 


 


[2] ผลอนาจาร ผู้เขียนกำลังเล่นเสียงระหว่างคำว่าหยิน 银ที่แปลว่าสีเงิน กับคำว่าหยิน淫 ที่แปลว่าอนาจาร ลามก 


 


 


[3] หยินของอนาจาร ผู้เขียนกำลังเล่นเสียงระหว่างคำว่าหยินเซ่อ银色ที่แปลว่าสีเงิน กับคำว่าหยินเซ่อ 淫色 ของคำว่าบ้ากาม 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม