เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 57.1-58.4

ตอนที่ 57 - 1 บุรุษเป็นบ่อเกิดของหายนะ

 

ตอนนี้เบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวคือความมืดมิดผืนหนึ่ง 


 


 


นางกำลังหดตัวอยู่ใต้ไม้กระดานผุพังแผ่นหนึ่งด้วยหน้าตามอมแมม 


 


 


เวทีสูงพังทลาย ไม้กระดานที่ถล่มลงมาแผ่นนั้นอยู่ใต้เท้านางพอดีทำให้นางร่วงหล่นในชั่วพริบตา โชคดีที่เบื้องล่างเวทีคือพื้นผิวดินจึงยังไม่ถึงขนาดได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่เหมือนว่าจะเท้าแพลงอีกแล้ว 


 


 


ใต้เรือนร่างมีของแข็งสิ่งหนึ่งซึ่งผิวสัมผัสคุ้นเคย นางลูบคลำอยู่ชั่วครู่ สิ่งนั้นคือกระเป๋าอย่างที่คิดไว้ 


 


 


ตอนนี้ในมือนางยังคว้าตุ๊กตาบาร์บี้ฉบับร้อนแรงคู่นั้นอยู่ กุมไว้จนฝ่ามือนางมีเหงื่อซึมออกมาพลั่กๆ ทำอย่างไรดี ทำลายศพลบหลักฐาน จะทำลายอย่างไร ตอนนี้ไม่มีมีดไม่มีไฟ หรือว่าจะขุดหลุมฝังกลบเจ้าของสิ่งนี้ดีล่ะ 


 


 


ด้วยความจนปัญญาร้อยแปดพันเก้า นางจำใจเปิดกระเป๋าออกเตรียมนำของสิ่งนี้ซ่อนเข้าไปในนั้นก่อน หลังจากเข้าวังแล้วค่อยทำลายทิ้งทันที อย่างไรเสียหากเป็นเพียงตุ๊กตาท่วงท่ารักใคร่คู่หนึ่งคงไม่เป็นไร คู่สามีภรรยาชาวบ้านในสมัยโบราณมีของเหล่านี้เก็บไว้เป็นการส่วนตัวเหมือนกัน แต่ต้นแบบของตุ๊กตานี้คือตัวนางเอง ให้คนมองเห็นแล้วก่อเกิดความคิดเชื่อมโยงไม่ดีบางอย่างคงแย่แน่ 


 


 


ยังไม่ทันได้เปิดกระเป๋า เงาคนกะพริบวูบประชิดมาเบื้องหน้า จิ่งเหิงปัวตื่นตกใจจึงใช้สิ่งของในมือเป็นอาวุธจิ้มเข้าไปโดยสำนึก… 


 


 


“ตึ่ก” ตุ๊กตาผู้ชายจิ้มบนหน้าอกกงอิ้น เปล่งเสียงทึบเสียงหนึ่งออกมา… 


 


 


กงอิ้นที่เดิมทีมีสีหน้าเจือด้วยความกังวลเล็กน้อยถูกการจิ้มแผ่วเบาครั้งหนึ่งนี้พาให้สีหน้าเขียวคล้ำในพริบตา… 


 


 


แน่นอนว่าไม่ใช่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ ส่วนที่บาดเจ็บคือวิญญาณต่างหาก… 


 


 


เขาแค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง มือข้างหนึ่งแย่งชิงตุ๊กตาคู่นั้นมาอย่างรุนแรง มองตุ๊กตาผู้ชายที่อาภรณ์ไม่เรียบร้อยนั้นปราดเดียว สายตาประกายวูบด้วยแววตาแห่งความชิงชัง 


 


 


สิ่งเละเทะสะเปะสะปะใดกัน ดวงตากลับเป็นสีฟ้า ภูตผีปีศาจหรือ นางจะมีความชื่นชอบปกติสักหน่อยได้หรือไม่ 


 


 


ระหว่างนิ้วใช้แรงครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูตุ๊กตาผู้ชายที่โอบเอวของ “จิ่งเสี่ยวปัว” ไว้นั้นสูญสลายกลายเป็นเถ้าในพริบตา 


 


 


นางถอนหายใจเฮือกอย่างไม่รู้ว่าหลุดพ้นหรือเสียดาย 


 


 


นี่น่ะเป็นผลิตผลของเทคโนโลยียุคปัจจุบัน คือสิ่งของที่มีหนึ่งเดียวไม่มีสองในยุคสมัยนี้ของต้าฮวง ผลิตได้งดงามประณีตเสมือนจริงขนาดนี้ พอทำลายแบบนี้แล้วเสียดายนิดหน่อยแฮะ… 


 


 


การถอนใจของนางทำให้กงอิ้นกลัดกลุ้มอีกแล้วอย่างชัดเจน 


 


 


…ไม่นึกเลยว่ายังเสียดาย! 


 


 


“สิ่งนี้คือสิ่งใดกันแน่…” วาจาของเขายังไม่ทันได้ถามออกมา พลันมีแสงรุ่งโรจน์กะพริบวูบบนศีรษะ สาดแสงเข้าไปในนัยน์ตาของจิ่งเหิงปัว 


 


 


“ราชินีต่ำทรามไร้ศีลธรรม…รับมีดของข้าไปเสีย!” 


 


 


เสียงตะโกนเสียดหู ในขณะเดียวกันนั้นเองเสียงคำรามดุเดือดสายหนึ่งสะบั้นลงมาตรงศีรษะ! 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นแสงมีดประหนึ่งแม่น้ำสายยาวห้อยกลับหัว! 


 


 


จากนั้นเรือนร่างของนางแหงนขึ้น ถูกกงอิ้นผลักเข้าสู่ความมืดมิดกะทันหัน 


 


 


“ซ่อนให้ดี!” เขาเอ่ยอย่างเรียบง่าย สายตาเฉียดผ่านกระเป๋าของนาง หงายมือคว้ามีดสะบัดการบุกโจมตีของอีกฝ่ายออกไป 


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปากขึ้น ได้แต่หลบซ่อนปิดกระเป๋าอยู่ในความมืดมิด นางรู้ว่า “ซ่อนให้ดี” มีความหมายสองขั้น ขั้นแรกคือให้นางซ่อนตนเองให้ดี อีกขั้นหนึ่งคือให้นางรีบเร่งซ่อนสิ่งของในกระเป๋าที่ไม่ควรมีให้ดี 


 


 


นางปิดฝากระเป๋าลงมาหนึ่งครั้งอย่างรุนแรง 


 


 


มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามาทันที ค้ำยันฝากระเป๋าที่ร่วงลงมาเอาไว้ 


 


 


“ผู้ใด” จิ่งเหิงปัวตกใจยกเท้าถีบทันที ฟันเลื่อยบนรองเท้าปล่อยออกมาดังฉึกเสียงหนึ่ง จู่โจมช่วงเอวอีกฝ่ายโดยตรง 


 


 


“เฮ้ พระกฤษฎีของพระองค์” อีกฝ่ายเตือนนางถึงเอวของนางอย่างเยือกเย็น 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเย็นวาบบนเอวเช่นกัน ตอนนี้ถึงนึกขึ้นมาได้ว่ารอยขาดยังไม่ได้ซ่อมแซม พอยกขารอยขาดยิ่งมากขึ้นจึงรีบเร่งวางขาลงมา 


 


 


ลำแสงบางเบาเหนือศีรษะสาดส่องลงมา เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่กลางความลางเรือนพร่ามัว มุมปากเผยรอยยิ้มครุ่นคิดสายหนึ่ง กำลังจ้องมองช่วงเอวสีขาวผืนนั้นของนางอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง ร่นถอยก้าวหนึ่งอย่างระแวดระวัง ลากกระเป๋ามาบดบังตนเองแล้วคว้าผ้าคลุมผืนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ารีบเร่งสวมใส่ 


 


 


นางระแวงว่าเขาจะลงมือทุกขณะ โชคดีที่เหยียลี่ว์ฉีเหมือนจะไม่ได้มีเจตนาเลวร้าย มุมปากเผยรอยยิ้มแฝงความนัยลึกลับผืนหนึ่ง เอ่ยโดยพลันว่า “วันนี้พระองค์ทรงงดงามยิ่งนัก” 


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว” คางของจิ่งเหิงปัวเชิดขึ้นมา ไม่ผ่อนคลายความระแวดระวังเช่นเคย กล่าวว่า “เจ้าเข้ามาทำอะไร” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มจนลมเคลื่อนเมฆคลาย เอ่ยว่า “สามเรื่อง” 


 


 


“อืม” 


 


 


“หนึ่ง กระหม่อมอยากชื่นชมพระองค์ต่อหน้าพระพักตร์” เขาเอ่ยอย่างชื่นชมว่า “วันนี้พระองค์เลิศล้ำแท้จริงยิ่งนัก” 


 


 


“ประสาท” จิ่งเหิงปัววิพากษ์วิจารณ์ ไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว 


 


 


“จริงนะ นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุด” เหยียลี่ว์ฉีดูท่าทางจริงจังยวดยิ่ง 


 


 


“เรื่องที่สอง” จิ่งเหิงปัวรำคาญ ฟังความเคลื่อนไหวเหนือศีรษะ เสียงสายลมเสียงผู้คนเสียงวิวาท ข้างนอกเละเทะกลายเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งเช่นกัน แต่ว่าไม่ได้ยินเสียงกงอิ้น 


 


 


“เมื่อครู่มีผู้แอบอ้างนามของกระหม่อมสังหารพระองค์ หวังจะกระตุ้นมวลชนกับผู้สนับสนุนพระองค์ให้โกรธแค้นกระหม่อม” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างสบายอกสบายใจว่า “ฉะนั้นกระหม่อมจำเป็นต้องปรากฏกายที่ข้างกายพระองค์ ปกป้องพระองค์ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของกระหม่อม” 


 


 


จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ความบริสุทธิ์หรือ สิ่งสูงส่งเช่นนี้เจ้ามีหรือ” 


 


 


“ประเดี๋ยวอาจจะมีก็ได้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม รอยยิ้มในลำแสงมัวสลัวแลดูลึกลับยั่วยวน เอ่ยว่า “เรื่องที่สามสำคัญยิ่งนักเช่นกัน” 


 


 


“อืมอื้ม” จิ่งเหิงปัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวภายนอก เอ๊ะ ทำไมไม่มีเสียงของกงอิ้นล่ะ 


 


 


ทว่าเหยียลี่ว์ฉีไม่เอ่ยวาจาอีกแล้ว นิ้วมือขยับแผ่วเบาคล้ายกำลังคำนวณเวลา หางตาพลันเอนเอียงไปทางข้างบนหลุมพังทลายของเวที จากนั้นเบนกลับมาอีกครั้ง 


 


 


“ไยจึงไม่เอ่ยต่อแล้ว” จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นความเงียบฉับพลันนี้ช้าไปครึ่งจังหวะ กล่าวเร่งเร้าเขา 


 


 


“โอ้” เหยียลี่ว์ฉีเข้าใกล้นางอย่างแผ่วเบา ร้อง “ชู่” เสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยอย่างเอียงอายเล็กน้อยว่า “คือเช่นนี้นะ…เดิมทีตามแผนการของกระหม่อมพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้จะจบลงในหนึ่งเค่อก่อน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ราชินีเสด็จไปก่อน จากนั้นตระกูลผู้ดีบรรดาศักดิ์สูงและผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าทั้งหมดจะเดินเรียงแถวแถวยาวเหยียดผ่านเบื้องหน้าเวทีไป อืม…คำนวณตามชั่วยาม ยามนั้นคือยามที่กงอิ้นพาผู้คนรวมทั้งเผ่าจั๋นอวี่เดินผ่านเบื้องหน้าเวทีพอดี ฉะนั้นกระหม่อมจึงให้คนฝังดินระเบิดเล็กน้อยไว้ใต้เวทีเนิ่นนานแล้ว ออกคำสั่งทหารกล้าตายว่าจะต้องจุดระเบิดตามกำหนดไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตาม โอ้ คล้ายจะระเบิดช่วงเวลานี้แล…” 


 


 


“หา” หลายคำสุดท้ายแว่วเข้าหูของจิ่งเหิงปัวในที่สุด ศีรษะนางที่ชะเง้อมองข้างนอกโดยตลอดหันขวับกลับมา กล่าวว่า “เจ้าล้อเล่นกระมัง…” 


 


 


สีหน้าบนใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีทำให้คำกล่าวของนางจุกอยู่ในคอหอย พริบตาต่อมานางกรีดร้องเสียงหนึ่งหิ้วกระเป๋าขึ้นมาวิ่งไปข้างนอกทันที 


 


 


ภายใต้ความตื่นตกใจ นางหลงลืมกระทั่งว่าตนเองเคลื่อนย้ายหายตัวได้ 


 


 


นางชนเข้ากับหน้าอกของคนผู้หนึ่งดังพลั่กเสียงหนึ่ง กลิ่นอายคุ้นเคยเล็กน้อยเลือนราง นางไม่ทันได้จำแนกว่านั่นคือใคร ยัดกระเป๋าเข้าไปในอ้อมแขนเขา ร้องเสียงดังว่า “มีดินระเบิด หนีเร็ว!” 


 


 


คนผู้นั้นกลับจ้องมองสิ่งของที่ร่วงออกมาจากในกระเป๋าที่ไม่ทันได้ปิดให้ดีของนาง ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย เอ่ยว่า “ว้าว! สิ่งใดกัน! น่าสนุก!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่กำลังเตรียมหายตัวเกือบจะกระอักเลือดอึกหนึ่งออกมา…สุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ! ไม่นึกเลยว่าบนโลกนี้ยังผู้ชายที่ไม่เข้าท่ายิ่งกว่านางเสียอีก! 


 


 


จิ่งเหิงปัวได้แต่บิดหูของเขาตระเตรียมรีบเร่งหายตัวออกไปด้วยกัน เรือนร่างยังไม่ทันได้ขยับเขยื้อน เส้นไหมสีขาวสายหนึ่งลอยมาสะบัดมือของนางและสะบัดมือที่ตระเตรียมโอบเอวนางไว้ของสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บทันที ไหมขาวสะบัดฟึ่บฟั่บกระหวัดเอวของนางไว้ แรงลากระลอกหนึ่งถาโถมมา นางถูกลากออกไปกะหันทัน จากนั้นไหมขาวคลายออกอีกครั้งปล่อยนางให้ลอยขึ้น โจมตีสะท้อนกลับกลางหน้าอกของสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ ผลักสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บไปทางเหยียลี่ว์ฉีที่ตามติดพุ่งออกมา 


 


 


ท่วงท่ามากมายสำเร็จในรวดเดียว ในขณะนั้น จิ่งเหิงปัวหนีออกมา อีชีชนกับเหยียลี่ว์ฉี เหยียลี่ว์ฉีถูกชนจนต้องร่นถอยไปประชิดใกล้ศูนย์กลางของระเบิด 


 


 


ผู้ที่ปรากฏกายขึ้นโดยพลันนี้ควบคุมเวลาไว้ได้แม่นยำยิ่งนัก อัศจรรย์จนล้ำเลิศยวดยิ่ง คล้ายดั่งว่ารอคอยครู่หนึ่งนี้มาโดยตลอด 


 


 


คนผู้นี้ย่อมเป็นกงอิ้น 


 


 


อีชีชนกับร่างของเหยียลี่ว์ฉีดังพลั่กเสียงหนึ่ง ตะโกนร้อง “บุรุษเฮงซวย!” รีบเร่งคลานขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลัน ย่นจมูกไปมา ร้องว่า “ดินระเบิด!” 


 


 


สีหน้าเขาเปลี่ยนไปยิ่งยวดแลมิได้สนใจเหยียลี่ว์ฉีแล้ว หันกายวิ่งหนีโดยพลัน 


 


 


เงาขาวของกงอิ้นกะพริบวูบ ไหมขาวในมือโจมตีช่วงเอวเขาหวังโจมตีเขากลับไปอีกครั้ง อีชีร้องตะโกนว่า “ไอ้เลว! ทำร้ายข้า!” เรือนร่างหมุนคว้างกลางอากาศด้วยท่าทางแปลกประหลาดครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากการโจมตีของกงอิ้น กะพริบกายหนีไป 


 


 


กงอิ้นไม่เสียเวลาตามไปโจมตีเขาอีกแล้ว เส้นไหมในมือสะบัดครั้งหนึ่ง ขัดขวางเหยียลี่ว์ฉีที่จะวิ่งออกมาไว้อีกครั้ง 


 


 


ยามนี้เขาอยู่เหนือเวทีที่ชำรุด เหยียลี่ว์ฉีอยู่ใต้เวทีที่ชำรุด ขวางกั้นด้วยแสงเงามัวสลัวและไหมขาวปานทางช้างเผือกเส้นหนึ่ง จ้องมองกันและกันอยู่ห่างไกล 


 


 


สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเยือกเย็นลงมาในที่สุด เอ่ยว่า “เจ้าทายถูกอีกแล้วสินะ” 


 


 


หากกงอิ้นไม่รู้ว่าใต้เวทีนี้มีดินปืน จะกุมโอกาสไว้อย่างบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร ยามนี้ปรากฏกายช่วยให้จิ่งเหิงปัวหนีไป จะขัดขวางเขาเอาไว้ได้อย่างไร 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีแค้นเคืองเล็กน้อยในใจ เขาพบว่าทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ แผนการที่ไร้ซึ่งข้อบกพร่องกว่านี้ ยามอยู่เบื้องหน้ากงอิ้นต่างไร้หนทางปิดบังอำพราง เขาคล้ายมีดวงตาปานผลึกธารคู่หนึ่งหรือดวงใจที่ทะลุทะลวง สาดส่องมองเห็นแผนการในที่ลับได้ทั้งสิ้น 


 


 


สิ่งนี้คล้ายว่าไม่ใช่ด้วยเพราะสติปัญญาเพียงสิ่งเดียว ทว่าคล้ายเป็นความสามารถมหัศจรรย์บางสิ่ง… 


 


 


กงอิ้นมองดูเขาอย่างเยือกเย็นเฉยชาเช่นเคย มุมปากวาดรัศมีโค้งเสียดสีผืนหนึ่ง 


 


 


“ข้าพลันค้นพบเรื่องหนึ่งเช่นกัน” เขาเอ่ย สีหน้าชิงชังอย่างไม่อำพราง 


 


 


“โอ้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเพียงน้อย 


 


 


“เจ้าเอง…เอาใจใส่นางยิ่งนัก” เสียงวาจาของกงอิ้นหนาวเหน็บ ตวาดแผ่วเบาเสียงหนึ่งโดยพลันว่า “เช่นนั้นจงหยุดอยู่ตรงนี้เถิด!” 


 


 


ไหมขาวในมือเขาสะบัดครั้งหนึ่งกลายเป็นหิมะโปรยปรายนับมิถ้วนโดยพลัน หิมะเยือกแข็งกลายเป็นผลึกน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ผลึกน้ำแข็งแผ่นใหญ่เยือกแข็งอย่างรวดเร็ว ทอดยาวโดยไร้สรรพเสียงประหนึ่งเขตแดนสีขาว 


 


 


“ปัญญาหิมะ…” วาจาประโยคหนึ่งของเหยียลี่ว์ฉียังไม่ทันได้เอ่ยจบ ผลึกน้ำแข็งเยือกแข็งอย่างรวดเร็วปกคลุมทุกสิ่งปานสายฟ้าแลบ แช่เขาไว้กลางน้ำแข็งแล้ว 


 


 


ประกายไฟบางแห่งกะพริบฟึ่บฟั่บขึ้นมาแล้ว ทหารกล้าตายดำเนินภารกิจอย่างรอบคอบรัดกุมตามที่ได้นัดหมายไว้ 


 


 


ในหลุมเวทีทั้งแห่งกลายเป็นโลกเคลือบหิมะน้ำแข็งในพริบตา เหยียลี่ว์ฉีถูกแช่แข็งเอาไว้เคลื่อนไหวไม่ได้ 


 


 


ไร้หนทางรอดชีวิต 

 

 

 


ตอนที่ 57 - 2 บุรุษเป็นบ่อเกิดของหายนะ

 

กลางหน้าผากกงอิ้นแลคล้ายกำเนิดหิมะน้ำแข็งเช่นกัน มองดูศัตรูทางการเมืองที่ตนเองต่อสู้มานานหลายปีอย่างเฉยเมยปราดเดียว เงาขาวกะพริบวูบสูญสลายหายไป 


 


 


การแพ้ชนะอาจจะตัดสินชี้ขาดในชั่วครู่หนึ่งนี้ 


 


 


… 


 


 


“พลั่ก” จิ่งเหิงปัวร่วงลงบนพื้น ข้อเท้าเจ็บปวด เรือนร่างเอนเอียงไปทางด้านหลังนั่งลงไปเต็มก้น 


 


 


ตอนที่นั่งลงไปนางได้ยินเสียงร้องอย่างตกตะลึงเสียงหนึ่งรำไร ซ้ำยังคล้ายได้ยินเสียงซู่ซู่ ใต้ก้นลุกไหม้เจ็บปวดระลอกหนึ่ง นางร้อง “ว้าย” เสียงหนึ่งกุมก้นไว้เด้งกายขึ้นมา 


 


 


“เจ็บจัง! เจ็บจังๆ!” 


 


 


ข้างกายมีคนผู้หนึ่งซึ่งร้องได้เศร้าสลดเสียยิ่งกว่านาง 


 


 


“อ๊าก! สตรีนี่มาจากที่ใด! ทับสายชนวนดับแล้ว!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะโดดออกมาสามจั้ง หันหน้ากลับมาอย่างงงงัน ข้างหลังกายห่างไปไม่ไกล มีชายชาตรีชุดดำคนหนึ่ง ในมือคว้าคบเพลิงอันหนึ่งไว้ สีหน้าฉายแววสิ้นชีพ มองดูสายชนวนท่อนหนึ่งบนพื้นอย่างงงงัน 


 


 


สายชนวนลุกไหม้ไปแล้วครึ่งใหญ่ ยามนี้มอดไหม้แล้ว เผยรอยไหม้ดำเกรียมท่อนหนึ่งออกมา 


 


 


ในสมองของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่าขาวโพลนไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมา 


 


 


นางหายตัว นึกไม่ถึงว่าจะหายตัวไปยังที่จุดชนวนดินระเบิด ก้นของนางนั่งทับสายชนวนจนดับสนิทแล้ว! 


 


 


นี่เรียกว่าอะไร เจตจำนงของสวรรค์เหรอ 


 


 


ทหารกล้าตายที่รับผิดชอบจุดไฟดินระเบิดผู้นั้นตะลึงงันไปชั่วครู่ ทว่ากัดฟันกรอด นำคบเพลิงเข้าใกล้สายชนวนอีกครั้ง 


 


 


“เฮ้ๆๆ!” จิ่งเหิงปัวนึกไม่ถึงว่าคนที่หนีเอาชีวิตรอดมาได้ยังจะหาเรื่องตายอีก รีบเร่งเหินพุ่งเข้าไปดึงแขนเจ้าคนนั้นไว้ในครั้งเดียว กล่าวว่า “เจ้าเป็นบ้าอะไรไป อยากตายหรือไร ยังจะจุดมันทำอะไรอีก!” 


 


 


“ปล่อยนะ!” ทหารกล้าคนนั้นต่อสู้ตายดิ้นรน ยืนหยัดนำคบเพลิงประชิดใกล้สายชนวนอย่างไม่ลดละ 


 


 


“มีชีวิตย่อมดีกว่าตาย!” จิ่งเหิงปัวเกิดโมโหขึ้นมา สะบัดเขาดังพลั่กๆ เพียะๆ กล่าวว่า “เจ้าหนีเอาชีวิตรอดมาได้ยังไม่รีบหนีอีก ยังจุดอะไรอีกเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือการก่อกรรมทำเข็ญ เจ้าจะตาย ซ้ำยังมีคนบริสุทธิ์อีกมากมายต้องตาย!” 


 


 


“ทว่า!” เจ้าคนนั้นสะบัดจิ่งเหิงปัวออกไปในครั้งเดียว ตวาดฉับพลันว่า “วันนี้หากข้าไม่ตายอยู่ที่นี่ ทั้งบ้านข้าจะตายกันหมด!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงัก มองดูทหารกล้าตายน้ำตานองหน้าผู้นั้น ดวงใจบีบเกร็งทันที 


 


 


ทางตันไม่อาจเลือกนี้ 


 


 


ในสังคมมหาอำนาจเช่นนี้ ผู้ที่มีตำแหน่งที่ต่ำกว่าไม่มีแม้แต่อิสระในการการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเลยเหรอ 


 


 


ทหารกล้าตายออกแรงทันใด ผลักจิ่งเหิงปัวออกไปอย่างรุนแรง จิ่งเหิงปัวล้มออกไปไกลลิบ ร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งเท้าที่แพลงอยู่แล้วยิ่งบาดเจ็บเพิ่มขึ้นอีก คราวนี้แม้แต่ความเป็นไปได้ในการคลานขึ้นมาของนางยังไม่มีเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขัดขวางแล้ว 


 


 


ทหารกล้าตายน้ำตานองหน้า มองนางอย่างลึกล้ำปราดหนึ่ง นำคบเพลิงประชิดใกล้สายชนวนอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มขมขื่นหลับตาลง ดิ้นรนคลานขึ้นมากะพริบวูบหายไป 


 


 


ช่างเถอะ! ช่างเถอะ! 


 


 


คนเดินไปเกือบหมดแล้ว ใต้หลุมเวทีคงจะไม่มีคนแล้วล่ะ ถ้ามีคนตายอีกนับว่าเขาดวงซวยเกินไป! 


 


 


… 


 


 


ครู่หนึ่งนั้นที่สายชนวนถูกนั่งทับจนมอดไหม้ 


 


 


ในหลุมเวที เหยียลี่ว์ฉีที่หลับตารอความตายนับนิ้วคำนวณเวลา ทว่ามิได้ได้ยินเสียงอำลาโลกเสียงหนึ่งนั้นในเวลานั้น 


 


 


เขาลืมตาฉับพลัน เร่งโคจรปราณให้เร็วขึ้น ผลึกน้ำแข็งรอบกายค่อยๆ ละลาย… 


 


 


สายชนวนจุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง 


 


 


น้ำแข็งหนาเยือกแข็งรอบกายเหยียลี่ว์ฉีปรากฏร่องรอยสูญสลาย 


 


 


สายชนวนลุกไหม้ฟู่ๆ ค่อยๆ หดสั้น 


 


 


ไอสีขาวบนศีรษะเหยียลี่ว์ฉียิ่งหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ในหลุมเวทีคล้ายเกิดหมอก ผลึกน้ำแข็งเปล่งเสียงแครกๆ แตกร้าวอย่างต่อเนื่อง 


 


 


กงอิ้นที่ออกห่างจากเวทีสูงไปไกลแล้วแลไล่ต้อนฝูงชนอย่างฉับพลัน หันหลังกลับมาอย่างงงงัน 


 


 


สายชนวนลุกไหม้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว! 


 


 


“ตู้ม!” เสียงหนึ่งระเบิดกึกก้อง ก้อนน้ำแข็งแตกร้าว เหยียลี่ว์ฉีพุ่งออกมาจากน้ำแข็งแล้วทลายพื้นกระดานเวทีท่ามกลางเสียงดังครืนกึกก้อง แผ่นไม้และผลึกน้ำแข็งร่วมกระเซ็น เค้าร่างที่เหินขึ้นมาของเขาดุจมังกรเจียวหลง[1]สีดำตัวหนึ่ง 


 


 


แทบจะในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงดังน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงหนึ่งระเบิดออกมาจากใต้ฝ่าเท้าเขาดุจดั่งมังกรแผ่นดินเคลื่อนกาย เวทีสูงสูญสลายในพริบตาเดียว เสาธงหักโค่น สิ่งปลูกสร้างทั่วทั้งลานกว้างต่างกำลังสั่นไหวคล้ายจะร่วงหล่น ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อุทานอย่างตื่นตะลึงอยู่ห่างไกลถูกการสั่นสะเทือนของพื้นดินกับคลื่นกระแทกสะเทือนเกลือกกลิ้งออกไปไกลโพ้น ทั่วลานกว้างเงียบสงบอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้น เสียงกรีดร้องกึกก้องถึงท้องนภา 


 


 


จากพื้นดินถึงกลางอากาศ เมฆหมอกสีดำสายหนึ่งลอยขึ้นสูง พลิ้วไหวดุจมังกรพิโรธเช่นกัน 


 


 


“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ” ทว่ามีผู้เปล่งเสียงหัวเราะบ้าคลั่งใจกลางเมฆนิล ในเสียงเปี่ยมด้วยปีติยินดี ร้องว่า “สวรรค์ไม่ทอดทิ้งข้า!” 


 


 


เส้นผมยาวของเขาพลิ้วสยาย ชุดสีดำสะบัดพัดพลิ้ว ราษฎรตกตะลึงหันหน้าไปมอง เงาดำกระโจนขึ้นมาอย่างดีอกดีใจกลางเมฆนิลคละคลุ้ง ดุจปีศาจร้ายกระโจนออกมาจากเบื้องลึกในหุบเหว 


 


 


กงอิ้นที่อยู่ห่างไกลหันหลังกลับมามองดูเหยียลี่ว์ฉีที่หนีเอาชีวิตรอดไปได้ แลมิได้ผุดเผยสีหน้าผิดหวัง มุมปากกลับเชิดขึ้นมาเจือจาง 


 


 


“ไม่ตายก็ดี” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “มิฉะนั้นข้าคงต้องอ้างว้างเกินไปแน่” 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ซอกมุมหนึ่งของจัตุรัสมองดูควันดำคละคลุ้งที่อยู่ห่างไกล ฝูงชนร้องโหยหวนวิ่งห้อ จัตุรัสที่เมื่อครู่ยังรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ตอนนี้รกร้างโรยรา ทุกแห่งหนบนพื้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้ารองเท้าที่ถูกทิ้งไว้ ชั่วพริบตาหนึ่งเจริญรุ่งเรืองชั่วพริบตาหนึ่งกลียุคเสียจริง รู้สึกเพียงว่าในดวงใจว่างเปล่าโหรงเหรง 


 


 


พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้ วันแรกที่นางเข้าสู่นครตี้เกอแปรเปลี่ยนพลิกผันหลายหลายสีสันจริงๆ สุดท้ายยังมีเพลิงไหม้เวทีสูงระลอกหนึ่ง ควันดำกลุ่มหนึ่งบดบังใจกลางตี้เกอ เสียงดังครืนเสียงหนึ่ง ราษฎรหลบหนีอย่างตื่นตระหนก 


 


 


ไม่รู้ว่าจะใช่ลางบอกเหตุว่าอนาคตของนางในภายหลังจะมืดมนหรือเปล่า 


 


 


จิ่งเหิงปัวถอนหายใจบีบคลึงข้อเท้า นั่งรอกงอิ้นมารับ 


 


 


ราษฎรกลุ่มหนึ่งไหลผ่านข้างกายนางปานคลื่นธาร นางเกิดความรู้สึกอยากหลีกลี้กลียุคขึ้นมา อยากถอดมงกุฎราชินีทิ้ง หิ้วกระเป๋าเดินปะปนเข้าไปในฝูงชน ท่องทั่วโลกหล้า เป็นคนธรรมดานับแต่นี้ 


 


 


เดิมทีราชินีไม่ใช่แผนการของนาง 


 


 


นางเท้าแก้มครุ่นคิดชั่วครู่ รู้สึกว่าช่วงเวลาเหล่านี้ที่ยังมาต่างโลก ช่วงระยะเวลาที่เป็นนางโลมนั้นยังคงเป็นช่วงที่มีความสุขที่สุด 


 


 


เรื่องเป็นราชินีไม่สำเร็จก็เป็นนางโลมนี้ สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้วจะเป็นแบบไหนก็ได้ ในมุมมองของนางทั้งสองแบบมีจุดร่วมกัน…ต่างได้ชื่นชมบุรุษทุกชนิดปริมาณมาก มองจากมุมมองอิสระแล้ว นางยังรู้สึกว่าเป็นผู้หญิงตกอับสบายใจกว่านิดหน่อย 


 


 


ในตอนแรกนางเคยคิดว่าเรื่องหอนางโลมนี้ จะให้ดีที่สุดต้องบุกเบิกเป็นธุรกิจระยะยาว รอให้นางคุ้นเคยกับกระบวนการการทำงานของหอนางโลม นางจะหาวิธีแลกอัญมณีเป็นเงิน เปิดสโมสรระดับสูงที่มีสไตล์ มีรสนิยม มีรายการแสดงที่แตกต่างไม่เหมือนใครสักแห่ง ตนเองเป็นเถ้าแก่เนี้ย ทั้งหาเงินดำรงชีวิตได้ทั้งจะได้ไม่มองหนุ่มหล่อนับไม่ถ้วนเสียเปล่า รอให้สโมสรโด่งดังแล้วจะประกาศต่อโลกหล้าว่ารับสมัครแม่ครัวที่พิเศษที่สุด บอดี้การ์ดหญิงที่เย็นชาที่สุด หมอหญิงที่เชี่ยวชาญการค้นพบโรคภัยไข้เจ็บที่สุด แบบนี้เหวินเจินที่เชี่ยวชาญด้านการทําอาหาร ยัยผู้ชายไท่สื่อหลัน รวมทั้งตาทิพย์น้อยจวินเคอจะไม่ถูกตนเองหาเจออย่างสบายอกสบายใจแล้วเหรอ 


 


 


คิกๆๆ สมบูรณ์แบบจริงแท้อะไรขนาดนี้ 


 


 


จากนั้นนางก็ถอนหายใจเฮือก 


 


 


มีคำเรียกว่าอะไรนะ ขี่หลังเสือยากจะลง ลมหายใจเฮือกเดียวช่วงชิงมาถึงตอนนี้ ราชินีคงไม่เป็นไม่ได้แล้ว 


 


 


นางชื่นชอบราษฎรต้าฮวงที่มีน้ำใจไมตรี นางอยากจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของที่นี่ นางไม่อยากให้มหาอำนาจอยู่เหนือกว่าชีวิตตลอดไป ไม่อยากให้โศกนาฏกรรมของทหารกล้าตายเมื่อครู่นั้นซ้ำรอยเดิม 


 


 


นางครุ่นคิดปัญหาชีวิตหนักหน่วงข้อนี้อยู่ชั่วครู่ ในใจสะท้านขึ้นมากะทันหัน รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรผิดปกติ 


 


 


เบื้องล่างไม้กระดานเวทีก่อนหน้านี้ ตอนที่กงอิ้นทำลายตุ๊กตา เหมือนจะทำลายตุ๊กตาทิ้งไปแค่ตัวเดียว ยังมีอีกตัวหนึ่งนะ… 


 


 


คนผู้หนึ่งนั่งลงข้างกายนางกะทันหัน ขัดจังหวะความรู้สึกนึกคิดของนาง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บ เขากอดกระเป๋าของนางไว้ไม่ปล่อยมือประหนึ่งของล้ำค่า 


 


 


“เอากระเป๋าคืนมา” ตอนนี้มองเห็นกระเป๋านางก็เจ็บปวดใจ สาบานว่าภายหลังจะล็อกกุญแจรหัสตลอดไป ไม่มอบให้คนอื่นอย่างเด็ดขาด 


 


 


“ไม่ให้” อีชีคัดค้าน ชนไหล่นางอย่างลึกลับซับซ้อนโดยพลัน เอ่ยว่า “เฮ้ ของสิ่งนั้นก่อนหน้านี้ นั่นคือสิ่งใด คือสิ่งใดหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าอัปลักษณ์ท่วมท้นนั้นของเขาแล้วอยากจะอกแตกตาย 


 


 


โอ้สวรรค์คนที่มองเห็นแล้วมีกี่คนกันแน่นะ 


 


 


“สิ่งใด สิ่งใดหรือ” ใบหน้านางเปี่ยมด้วยความไร้เดียงสา กล่าวว่า “ในกระเป๋าข้าล้วนเป็นสิ่งของที่พวกที่สตรีใช้ พวกเจ้าเหล่าบุรุษมองมั่วซั่วโดยไม่ละอายใจเลยหรือ” 


 


 


“ข้ามิได้มองมั่วซั่ว!” อีชีสาบานต่อฟ้า เอ่ยว่า “ทว่าข้ามองเห็นมันกลิ้งมาทางข้า ตุ๊กตาอนาจารที่กอดกันและกันคู่หนึ่ง! อีกทั้งตุ๊กตาผู้หญิงหน้าตาคล้ายเจ้านัก รูปร่างนั้น…” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ยิ่งอึกหนึ่งดังเอื๊อกเสียงหนึ่ง ดวงตาจ้องมองจิ่งเหิงปัวทั่วเรือนร่างคล้ายว่ากำลังเปรียบเทียบสัดส่วน 


 


 


“วาจาใดที่เจ้าเอ่ยมาข้าฟังไม่เข้าใจเลยสักเพียงน้อย” จิ่งเหิงปัวยักไหล่ กล่าวว่า “นั่นคืออาวุธลับที่มือสังหารขว้างออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของข้าชัดๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย” 


 


 


“ขอเพียงเจ้าบอกข้าว่าตุ๊กตานี้ประดิษฐ์อย่างไร ยามที่ประดิษฐ์ใช้คนจริงเป็นต้นแบบใช่หรือไม่ ยามนั้นเจ้าแต่งกายเช่นนั้นให้คนประดิษฐ์ตามจริงหรือ เจ้าทำให้ข้าบ้างสักตัวได้หรือไม่…” อีชีเต็มหน้าตื่นเต้นดีใจ เอ่ยวาจาจุกจิกเจื้อยแจ้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวมีเพลิงโทสะเต็มหน้าท้อง กล่าวอย่างเปี่ยมด้วยเจตนาร้ายว่า “ในเมื่อปิดบังเจ้าไว้ไม่ได้ข้าก็ยอมรับแล้วกันว่าเป็นเรื่องจริง ไม่เพียงใช้คนจริงเป็นต้นแบบ นี่คือไสยศาสตร์ชนิดหนึ่ง บุรุษผู้นั้นก็เป็นคนจริง เขาได้ล่วงเกินข้า เรียกข้าว่าภรรยามั่วซั่ว ทั้งแย่งชิงกระเป๋าของข้า ฉะนั้นข้าจึงเชิญแม่มดมาสังหารเขา ใช้เส้นผมของเขาทำเส้นผมของตุ๊กตา ใช้ผิวกายของเขาทำผิวกายของตุ๊กตา กักขังวิญญาณของเขาไว้ในตุ๊กตา ฉะนั้นตุ๊กตานี้ถึงได้แลดูเสมือนจริงยิ่งนัก” กล่าวเสร็จดวงตาเอนเอียงเพ่งเล็งทั่วเรือนร่างเขาคล้ายกำลังพิจารณาว่าควรลงมีดตรงไหน 


 


 


“เป็นเรื่องจริงหรือ…” ดวงตาของอีชีเปล่งประกายคล้ายว่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเหลือตุ๊กตาเช่นนี้ไว้สักตัวหนึ่งน่าสนุกยิ่งนัก ภายหลังยามที่เจ้าคิดถึงข้าก็จะได้กอดข้าลูบข้า…กระเป๋านั่นเหตุใดจึงต้องคืนให้เจ้า ให้ข้าเล่นสักหน่อยก่อนสิ้นชีพ…” เขาหลับตาควานไปควานมาในกระเป๋า ครู่ต่อมาล้วงออกมาชิ้นหนึ่ง มองปราดเดียว ร้องเสียงดังว่า “โอ้โหนี่คือสิ่งใด ตู้โตวหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่ง โยะชิ บรา 


 


 


ครู่ต่อมาอีชีลากของสิ่งหนึ่งออกมาอีก เอ่ยว่า “อ๊ะ นี่คือสิ่งใด กล่องสมบัติหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่ง โพลารอยด์แบบการ์ด ก่อนหน้านี้นางเก็บกลับไปแล้ว 


 


 


“อย่ารื้อของของข้ามั่วซั่ว!” นางแย่งบรากลับมายัดเข้าไปในกระเป๋า คว้าโพลารอยด์มา 


 


 


“อย่านะ” อีชีไม่ให้ 


 


 


ท่ามกลางการทะเลาะโต้เถียงก็ไม่รู้ว่านิ้วมือของใครโดนปุ่มกดเข้า ภาพถ่ายใบหนึ่งถูกปล่อยออกมากะทันหัน 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] มังกรชนิดหนึ่งในตำนานเก้ามังกร เป็นมังกรที่มีเกล็ดรอบกาย  

 

 


ตอนที่ 57 - 3 บุรุษเป็นบ่อเกิดของหายนะ

 

อีชีชะงัก มือไวตาไวแย่งภาพถ่ายมาไว้ในมือในครั้งเดียว ภาพถ่ายถ่ายได้เพียงพื้นดินอีกฝั่ง ทว่าเขาเข้าใจเรียบร้อยแล้ว 


 


 


“นี่ก็คือความลับภาพเทวะของเจ้า!” เขาร้องเสียงดัง 


 


 


พอถูกพบเข้า จิ่งเหิงปัวก็ไม่คิดจะปิดบังอีก คว้าโพลารอยด์มา 


 


 


“มา ยิ้มหน่อย” 


 


 


อีชีเข้ามาใกล้โดยพลัน ยิ้มเห็นฟันสีขาวราวหิมะเจ็ดซี่อย่างให้ความร่วมมือ จิ่งเหิงปัวถอนใจว่าทำไมกงอิ้นไม่เชื่อฟังขนาดนี้ไปพลางกดชัตเตอร์ไปพลาง 


 


 


เสียงแชะเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา อีชีวิ่งหนีออกไปดังสวบ เหลียวซ้ายแลขวาร้องว่า “เสียงใด!” 


 


 


นิ้วมือของจิ่งเหิงปัววางไว้ด้านบนของโพลารอยด์ ภาพถ่ายใบหนึ่งค่อยๆ ปล่อยออกมา ล้างฟิล์มอย่างรวดเร็วใต้แสงอาทิตย์ 


 


 


“การวาดภาพลายเส้นเทวะ หนึ่งใบหมื่นตำลึงทอง” จิ่งเหิงปัวชูไปชูมาทางเขา 


 


 


อีชีคว้าภาพถ่ายมองอยู่เนิ่นนาน อุทานอย่างตื่นตะลึงฮือฮาว่า “นี่ใช่ข้าหรือ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวพยักหน้าอย่างสำรวม รอเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงของเขา 


 


 


“ข้าไม่เคยรู้ว่าข้างดงามขนาดนี้” 


 


 


จิ่งเหิงปัวอยากถีบเขาไปไกลเกินพันลี้ในเท้าเดียว 


 


 


บนโลกนี้ยังมีคนที่กล้าหลงตัวเองยิ่งกว่านางอีก! 


 


 


“ทว่าเอ่ยไปเอ่ยมา” อีชีลูบภาพถ่ายใบนั้นอย่างชื่นชมไม่ขาดปาก แลชำเลืองมองโพลารอยด์ เอ่ยว่า “ไม่ใช่ภาพเหมือนที่คนวาดออกมาจริงด้วย! กล่องนี้คือสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่งนักเป็นแน่!” 


 


 


“อืม มันเก็บสะสมวิญญาณของมุษย์ ถ่ายเงาของเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าก็อายุสั้นลงสิบปี” จิ่งเหิงปัวพูดจาเหลวไหลกับเขา รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมามาก มองดูควันดำนั้นก็ไม่อึดอัดใจแล้ว 


 


 


“เจ้าชอบเอ่ยเพ้อเจ้อเหมือนเจ้าสามเลย” อีชีแบะปาก เอ่ยว่า “ทว่าเป็นเพียงเครื่องจักรมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งเท่านั้น” 


 


 


คราวนี้จิ่งเหิงปัวต้องมองกันใหม่แล้ว นี่น่ะเป็นคนโบราณนะ พบเจอสิ่งของเช่นโพลารอยด์นี้กะทันหัน ไม่เพียงแต่ไม่ได้กรีดร้องตกตะลึง ยังกล่าวคำว่า “เครื่องจักร” สองคำนี้ออกมาได้ นี่เป็นความคิดที่อยู่เหนือยุคสมัยแค่ไหนนะ 


 


 


คงไม่ใช่เพื่อนทะลุมิติมาเหมือนกันหรอกมั้ง 


 


 


“เจ้ารู้จักของสิ่งนี้หรือ” 


 


 


“ไม่รู้จัก” อีชีถือโพลารอยด์พลิกไปพลิกมามองดู แววตาเปี่ยมด้วยความชั่วร้าย 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ประหลาดใจกับสิ่งที่มหัศจรรย์ขนาดนี้” 


 


 


“อาจารย์เอ่ยว่าเจ้าคือคนต่างโลกที่นำดาวพิฆาตทะลุฟ้ามาจุติ เจ้าจะมีความคิดและความมหัศจรรย์ที่ทุกผู้คนบนโลกนี้ไม่อาจมี เจ้านำสิ่งของแปลกประหลาดมหัศจรรย์ออกมาสักหน่อยถึงจะคู่ควรกับสถานะเจ้าน่ะ” อีชีทำเป็นศึกษาโพลารอยด์ มือแอบล้วงเข้าไปในกระเป๋าควานมั่วซั่ว ถูกจิ่งเหิงปัวที่มีตาไฟทิพย์ตบลงไปในฝ่ามือเดียว 


 


 


“อาจารย์เจ้าหรือ” จิ่งเหิงปัวนึกถึงคำถามก่อนหน้านี้ของอีชี เหมือนว่าจะกล่าวถึงเรื่องราวที่อาจารย์ทดสอบที่นา แบบนี้ถึงจะสมเหตุสมผล ผู้มีความคิดฉลาดเฉียบแหลมอยู่เหนือยุคสมัยควรจะเป็นตาแก่ที่หนวดเคราสีขาวราวหิมะปราณเซียนคละคลุ้ง ไม่ควรเป็นหัวขโมยรูปงามที่ใบหน้าเปี่ยมเล่ห์กลยิ้มจนไร้ยางอายเบื้องหน้าคนนี้ 


 


 


“อาจารย์เจ้ายังเอ่ยถึงว่าอะไรอีก” จิ่งเหิงปัวเกิดความสนใจขึ้นมา ผู้วิเศษน่ะ ท่วงท่าสง่าดั่งเซียนเปิดเผยความลับสวรรค์คือความสามารถของพวกเขา 


 


 


“เขาเอ่ยว่าเจ้าคือราชินีลิขิตสวรรค์ ทว่าทุกข์ทรมานหาใดเปรียบ” อีชีกำลังลูบโพลารอยด์ไปมา 


 


 


“ทุกข์ทรมานยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวมองดูรอบด้านที่วุ่นวายแล้วถอนหายใจเฮือก สามารถทำให้พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จพิธีหนึ่งกลายเป็นแบบนี้ นางคงเป็นคนที่ไม่เคยเหมือนใครและไม่มีใครเหมือนอีกในประวัติศาสตร์ต้าฮวงล่ะมั้ง ควรจะบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ให้เต็มที่ไปเลย 


 


 


“เขาเอ่ยว่าเจ้ามีเจ็ดสังหารสาดส่องชีวิต ลิขิตให้พลิกผันต้าฮวงในหลายร้อยปี กฎเกณฑ์เก่าดุจธุลีอำนาจใหม่ดั่งหนามแหลม โลหิตสาดกระเซ็นเจิ่งนองใต้บัลลังก์จักรพรรดิ” อีชีกำลังศึกษาโพลารอยด์ 


 


 


“เอ่ยให้สุภาพเรียบร้อยหน่อย” จิ่งเหิงปัวเท้าคาง กล่าวว่า “วาจานี้ประโยคแรกถูกต้องประโยคหลังไม่ถูกต้อง ข้าไม่ชื่นชอบสังหารคน” 


 


 


“แต่ไหนแต่ไรมาการสังหารคนไม่เกี่ยวกับชื่นชอบหรือไม่ชื่นชอบ” อีชีตอบกลับทันควัน ลูบโพลารอยด์ไปมา 


 


 


“แล้วเอ่ยว่าอะไรอีก” 


 


 


“เขาเอ่ยว่าเจ้าดวงขึ้นหลายครั้งดวงตกหลายครั้ง ตนเองรวมทั้งผู้คนรอบกายยากสงบสุขครึ่งชีวิต” 


 


 


“ความรักล่ะ” จิ่งเหิงปัวไม่ค่อยสนใจในสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ที่ไหนก็มีนักต้มตุ๋น ให้นักต้มตุ๋นมั่วยังมั่วได้หลายประโยค ขอแค่พัฒนาไปในทิศทางที่จับต้องไม่ได้ก็พอแล้ว 


 


 


“โอ้” อีชีไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยว่า “แท้จริงแล้ววาจาที่เอ่ยมาล้วนเป็นเรื่องราวที่ข้าปั้นแต่ง มีเพียงวาจาประโยคต่อไปถึงเป็นสิ่งที่เขาเอ่ยอย่างแท้จริง เจ้าฟังให้ละเอียด เขาเอ่ยว่าเจ้าแลคล้ายดอกท้อสาดส่องชีวิต หลวนชาดทยอยเหิน แท้จริงแล้วผู้ใดหน้าไหนข้างกายล้วนมิใช่คู่บุญคู่วาสนา สามีในอนาคตที่แท้จริงของเจ้า…” 


 


 


“ไกลสุดขอบฟ้าใกล้อยู่แค่เอื้อมใช่หรือไม่” จิ่งเหิงปัวตบครั้งหนึ่งทำลายมือของเขาที่ตระเตรียมชี้จมูกตนเอง แย่งโพลารอยด์คืนมา กล่าวว่า “ไม่มีวาจาเข้าท่าสักประโยค คืนมา” 


 


 


“อย่าขยับๆ” อีชีหลบหลีก ชูโพลารอยด์สูงขึ้น โอบใบหน้าของนางเข้ามาในครั้งเดียว แนบนางเข้าใกล้หัวไหล่ตนเอง เอียงหน้าครั้งหนึ่งประชิดเข้ามาอย่างหวานปานน้ำผึ้ง เอ่ยว่า “ยิ้มหน่อย หนึ่งสองสาม!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่เมื่อครู่ยังอยากด่าคน พอเผชิญหน้ากล้องสาดส่องลงมายิ้มแย้มดุจมวลผกาทันที ยังทำท่าชูสองนิ้ว ร้องว่า “เย่!” 


 


 


“เย่!” อีชีเลียนแบบไปทุกสิ่ง 


 


 


“แชะ” 


 


 


โพลารอยด์สั่นอยู่พักหนึ่ง อีกครู่หนึ่ง ค่อยๆ ปล่อยภาพถ่ายใบหนึ่งออกมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูเด็กหนุ่มคนนี้อย่างเหลือเชื่อ กล่าวว่า “เจ้าใช้เป็นแล้วหรือ เจ้าใช้เป็นแล้วจริงๆ หรือ” 


 


 


โพลารอยด์นี้ยังยุ่งยากนิดหน่อย ต้องเปิดเลนส์กล้อง ปรับความละเอียดแล้วค่อยกดชัตเตอร์ เจ้าคนนี้ฉวยมือลูบคลำก็ใช้เป็นแล้วเหรอ 


 


 


นี่ยังใช่คนโบราณอีกเหรอ 


 


 


พอมองภาพถ่าย ชัดเจนอย่างมาก ฉากหลังสมบูรณ์ ภาพบุคคลเล็กใหญ่เหมาะสม องศาแม่นยำ หนุ่มหล่อสาวสวยคู่หนึ่ง ศีรษะชนกันยิ้มแย้มเปี่ยมล้นด้วยความเบิกบาน ต่างยิ้มจนเห็นฟันสีขาวหิมะเต็มซี่เจ็ดซี่ มองอย่างไรเหมาะสมกันดีอย่างนั้น พอจะนำไปทำโฆษณากล้องถ่ายรูปได้ 


 


 


สมัยนี้มีคนฉลาดเยอะเกินไป อยู่ไม่ได้แล้ว 


 


 


บนภาพถ่ายสองคนมีท่วงท่าสนิทสนม จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ว่าไม่เหมาะสม ยื่นมือไปคว้า กล่าวว่า “ให้ข้าไว้เป็นที่ระลึก” 


 


 


“ข้าเป็นผู้ถ่ายย่อมต้องเป็นของข้า” อีชีเขย่าภาพถ่าย รีบเร่งเก็บเข้าไปในอ้อมแขน ฉวยโอกาสที่จิ่งเหิงปัวแบ่งความสนใจไปยังภาพถ่าย มือยื่นเข้าไปในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วนำออกมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือกุมของสิ่งหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา 


 


 


“ปีศาจคลั่งทลายดอกไม้มาอีกแล้ว ข้าไปล่ะ” อีชีลุกขึ้นโดยพลัน เอ่ยว่า “จริงสิ ข้ามาเพื่อบอกเจ้าว่าหากมีเวลาว่างไปเป็นแขกที่เขาชีเฟิงนะ ขึ้นเขาจำไว้ว่าหาหนึ่งหนึ่งก็พอแล้ว อย่าได้สนใจอีกเจ็ดคนเชียวนะ ล้วนไม่ใช่คนดี” 


 


 


จิ่งเหิงปัวจำได้ว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเขารวมเขาด้วยคนหนึ่งเป็นเจ็ดคน อีกหกคนมาจากไหน หลงตัวเลข 


 


 


“เขาชีเฟิงหรือ” 


 


 


“เจ้าต้องไปแน่” อีชียิ้มอย่างลึกลับ พลันพยักหน้าให้เบื้องหน้า เอ่ยว่า “ภูเขาน้ำแข็ง ก่อนหน้านี้เจ้าหวังทำร้ายข้า ข้าจะไม่เอาเรื่องเอาราวกับเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรภายภาคหน้าต้องมีความลำบากรอเจ้าอยู่…” 


 


 


พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา กงอิ้นกำลังยืนอยู่ไม่ไกลหลังกายนาง ข้างหลังควันดำคละคลุ้งทว่าเขาดูท่าทางยิ่งเยือกเย็นดุจน้ำแข็งดั่งหิมะ ในนัยน์ตาเป็นสีผลึกน้ำแข็งขาวโพลนเช่นกัน ไอเหน็บหนาวแผ่คลุมอีชีอย่างเย็นชา 


 


 


“ผู้สืบทอดแห่งเขาชีเฟิงริเริ่มวางแผนยุ่งเกี่ยวอำนาจทางโลกมนุษย์ด้วยตั้งแต่ยามใดกัน” เขาเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา 


 


 


“ข้าเพียงหลงใหลในความงามของราชินีเท่านั้น” อีชียิ้มตาหยีโบกนิ้วมือ เอ่ยว่า “ได้รับความรักความเมตตาจากนาง วาดภาพเหมือนให้ข้าหนึ่งภาพ เจ้าจะดูหน่อยหรือไม่” 


 


 


เขาล้วงภาพถ่ายออกมาอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่ ให้เจ้าคนบางคนมองเห็นภาพถ่ายที่สนิทสนมกลมเกลียวขนาดนั้นคงยุ่งยากอีกแน่ รีบเร่งกระโดดขึ้นมาพุ่งไปทางกงอิ้น ร้องว่า “โอ๊ยข้าเจ็บเท้า!” 


 


 


กงอิ้นคล้ายหวังจะตบอีชีสักฉาดก่อน สุดท้ายแล้วกลับยกมือรับจิ่งเหิงปัวไว้ก่อน มือของอีชีหดกลับไปดังสวบ เรือนร่างกะพริบวูบ ข้ามผ่านฝูงชนที่โอบล้อมแล้วกระโจนออกไปไกลโพ้น 


 


 


คนหนีไปได้แล้ว เสียงหัวเราะสบายอารมณ์ยังดังกึกก้องตรงขอบฟ้า 


 


 


“ราชินีที่เคารพรัก ภรรยาที่รักยิ่งของข้า ข้าน่ะรู้ว่าเจ้าต้องช่วยข้าเป็นแน่!” 


 


 


ไอ้เวรเอ้ย! 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ถึงความแข็งทื่อของอ้อมแขนเบื้องหน้าทันที แอบหลั่งน้ำตาในใจ 


 


 


ทำไมพวกพ่อรูปงามล่มแคว้นที่พบในต้าฮวงเหล่านี้ แต่ละคนถึงชอบนำหายนะมาให้นางนักนะ… 


 


 


ครู่ต่อมามหาเทพกงผลักนางออกดังคาด หันกายเดินจากไป 


 


 


“เฮ้ๆ!” จิ่งเหิงปัวเดินตามไป ร้องว่า “เจ้ารอข้าด้วยสิ ข้าเจ็บเท้า!” 


 


 


กงอิ้นหยุดลงแล้วทว่าไม่หันหน้ากลับมาแลไม่สนใจนาง ล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เช็ดมืออย่างเอื่อยเฉื่อย เช็ดแล้วรอบหนึ่งฉวยมือสะบัดทิ้ง ผ้าเช็ดหน้าล่องลอยหายไปดุจวิหคขาว 


 


 


จิ่งเหิงปัวคิดในใจว่าโรครักสะอาดน่ารำคาญจริงๆ ยังไม่ทันได้คิดเสร็จมองเห็นเขาล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนที่สองออกมาอีกครั้ง ผ่านไปไม่นานล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนที่สามออกมาอีกครั้ง… 


 


 


“เฮ้เหตุใดเจ้าต้องเช็ดมือบ่อยๆ ด้วย” นางอดจะถามไม่ได้ในที่สุด 


 


 


“สกปรก” เขาตอบอย่างเรียบง่ายเฉื่อยเนือย สายตาเหลือบมองมาอย่างเย็นชา 


 


 


สกปรก สกปรกอะไรล่ะ สกปรกตรงไหน มือเขาสะอาดขาวราวหิมะไม่เปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียวนะ 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่อีกครั้ง ถึงเข้าใจขึ้นมาเลือนราง…คงเกี่ยวกับตุ๊กตาล่ะมั้ง ตุ๊กตาทำให้มือของเขาสกปรกเหรอ 


 


 


เขาคงอยากถามแต่ไม่กล้าปริปาก ในใจคงอึดอัดด้วย นี่เขากำลังบอกเป็นนัยให้ตัวนางเองอธิบายสินะ 


 


 


“เรื่องนั้น…” นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ รู้สึกว่าไร้หนทางอธิบายจริงๆ บอกว่าของสิ่งนี้มีคนให้มา บอกว่าเบ็คแฮมนางรู้จักเขาไม่รู้จักนาง บอกว่าที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่นับว่าร้ายแรงที่ทางนั้นของพวกนาง บอกว่าที่ทางนั้นพวกนางมีคลับเปลือยกายเดินไปทั่วโดยไม่สวมเสื้อผ้า กล่าวจบแล้วมหาเทพจะคิดว่านางมีนิสัยกำเริบเสิบสาน นับจากนี้ไปกักบริเวณนางตลอดกาลด้วยความโกรธแค้นหรือเปล่านะ 


 


 


นางกระอึกกระอัก คนบางคนยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้น 


 


 


“เหตุใดถึงคล้ายเจ้า” เขาถามขึ้นมาโดยพลัน 


 


 


“หา” จิ่งเหิงปัวที่กำลังควานหาวิธีพูดที่กงอิ้นยอมรับได้และตนเองไม่เกิดปัญหาสักวิธีเต็มสมอง สมองหยุดชะงักไป 


 


 


เหตุใดถึงคล้ายเจ้าราวกับพิมพ์เดียวกัน” เขาหันกลับมา ดูคล้ายไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง น้ำเสียงสงบเงียบ ทว่าสายตาแสงเยือกเย็นดุจเข็มแหลม เอ่ยว่า “ไม่มองดูร่างเจ้า คงไม่อาจประดิษฐ์ออกมาได้เสมือนจริงเช่นนี้” 


 


 


“เรื่องนั้น…ทำตามภาพเหมือนสิ” นางหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ทว่าที่จริงแล้วมิได้สวมอาภรณ์น้อยชิ้นขนาดนี้นะ…” เสียงยิ่งกล่าวยิ่งเบาลงไป 


 


 


ที่จริงตอนที่นางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นขนาดนี้มีเยอะแยะไป จิ่งเหิงปัวคิดอยู่ว่าสิ่งที่เรียกว่าเห็นบ่อยไม่ค่อยแปลก ภายหลังให้เขาได้เห็นสักหน่อยคงจะไม่ทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมขนาดนี้แล้วใช่ไหม 


 


 


“ผู้ที่ทำตุ๊กตาตัวนี้ให้เจ้าคือคนต้นแบบตุ๊กตาผู้ชายคนนั้นหรือ” เขาถามคล้ายอย่างไม่สนใจใยดีอีกครั้ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปอีกรอบ 


 


 


นี่มันตรงไหนกับตรงไหนเนี่ย 


 


 


“ไม่ใช่อย่างแน่นอน” นางรีบเร่งชี้แจงว่า “ตุ๊กตาสองตัวล้วนทำตามภาพเหมือน” 


 


 


“ผู้ใดเป็นคนทำ” 


 


 


“ช่างฝีมือสิ” 


 


 


“ช่างฝีมือเพศชาย” เสียงเขาคล้ายทุ้มลงเล็กน้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าบรรยากาศแบบนี้ผิดปกติอยู่บ้าง 


 


 


ขั้นต่อไปเขาคงจะถามว่าตุ๊กตาผู้ชายนั้นคือใครใช่ไหม จากนั้นถามนางว่าเบ็คแฮมคือใคร จากนั้นตระเตรียมบัญชาทหารคั่งหลงเคลื่อนพลสังหารเบ็คแฮมใช่ไหม จากนั้นทุกคนที่แซ่เบ็คในต้าฮวงจะโชคร้ายกันหมดใช่ไหม 


 


 


ไม่ได้ ถ้าถามแบบนี้ต่อไป ชั่วชีวิตนี้เขาคงต้องสู้ตายกับเบ็คแฮมแน่นอน 


 


 


“เพศหญิงเพศชายสำคัญด้วยหรือ” ดวงตานางค่อยๆ หรี่ขึ้นมา กล่าวว่า “หรือว่า…กงอิ้นเจ้ากำลังหึงหวงหรือ เจ้ากำลังหึงหวงด้วยเพราะ…ตุ๊กตา” 


 


 


กงอิ้นพลันก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากนาง 


 


 


“วาจาพิกลพิการ!” เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าเพียงอยากถามช่างฝีมือที่ประดิษฐ์สิ่งของคลุมเครือนี้ให้แน่ชัด! จะใช้สิ่งของสกปรกเช่นนี้ล่อลวงราชินีและทำให้ราชินีตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร! คนเช่นนี้ควรจะจับตัวมาไต่สวน ใช้โทษฐานใส่ร้ายป้ายสีหมิ่นเกียรติราชินีตัดสินประหารชีวิต! อีกทั้งจิ่งเหิงปัว เขาไม่รู้ว่าของสิ่งนี้จะทำร้ายเจ้า ตัวเจ้าเองก็ไม่รู้หรือ!” 


 


 


“จริงหรือ สกปรกหรือ” จิ่งเหิงปัวใช้สายตาวูบวาบมองดูเขาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม กล่าวว่า “สกปรกขนาดนี้ คลุมเครือขนาดนี้ ไม่อาจบอกผู้ใดได้ทำร้ายคนโดยไม่เลือกวิธีขนาดนี้ ผู้ที่ประดิษฐ์ของสิ่งนี้ควรจับมาตัดศีรษะ ถูกต้องยิ่งนักถูกต้องยิ่งนัก วาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล ทว่าท่านมหาราชครู ข้าอยากถามสักหน่อย ตุ๊กตานั่นคล้ายว่ายังเหลืออีกตัวหนึ่งนะ เจ้าว่าผู้ที่เก็บมันเอาไว้คงยิ่งคลุมเครือยิ่งไม่อาจบอกผู้ใดได้กระมัง เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่เก็บมันเอาไว้ผู้นั้นอยู่ที่ใด พวกเราจับเขาออกมาด้วยดีหรือไม่…” 


 


 


ลมหนาวระลอกหนึ่งพัดผ่าน เบื้องหน้านางมืดมิด 


 


 


เจ้าคนเผด็จการที่พาลโมโหโกรธาไร้วาจาโต้ตอบบางคน กระทำการ “เถียงไม่ชนะก็ให้เจ้าหลับ” อีกครั้ง 


 


 


ก่อนที่จิ่งเหิงปัวจะล้มลงสู่อ้อมแขนที่คุ้นเคยนั้น ทันแค่ได้พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง 


 


 


“แม่งเอ้ย เจ้ายังกล้ายอมรับอีกนะ…”  

 

 

 


ตอนที่ 58 - 1 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไ...

 

จิ่งเหิงปัวเริ่มช่วงชีวิตราชินีที่ทั้งเจ็บปวดทั้งสุขสันต์ของนาง 


 


 


พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จครั้งหนึ่งนี้วุ่นวายหลายระลอก การจัดการกับปัญหาที่ตามมาภายหลังเรื่องราวกลับเป็นเรื่องยุ่งยาก โชคดีที่ตอนนี้นางไม่ต้องคอยเป็นห่วงเรื่องยุ่งยาก มหาอำนาจทางการเมืองในราชสำนักอยู่ในมือของกงอิ้นหมดแล้ว 


 


 


ฉากสุดท้ายในพิธีเฉลิมฉลองวันนั้น หลังจากกระเป๋ากระแทกแตกกระจาย มีคนที่อยู่แถวหน้าเพียงกลุ่มหนึ่งนั้นมองเห็นสิ่งของส่วนตัวคู่นั้นที่กลิ้งออกมาจากในกระเป๋า ทว่ายามนั้นของจิปาถะมากมายเหลือเกิน จากนั้นสิ่งของหายไป จากนั้นก็คือการลอบสังหารและระเบิด ทุกคนหาทางเอาชีวิตรอดกันวุ่นวาย ภาพแห่งความทรงจำของคนเรามักจะเลือกจดจำเรื่องราวที่ลึกซึ้งที่สุด ความทรงจำของผู้คนจำนวนมากจึงหลงเหลือเพียงระเบิดครู่หนึ่งนั้น หลงลืมความตื่นตะลึงและฉงนสนเท่ห์ก่อนหน้านี้ ซ้ำยังมีผู้ที่เกิดความสงสัยต่อความทรงจำของตนเองด้วยเพราะระเบิดที่ก่อเกิดความวุ่นวายฉับพลัน รู้สึกว่าตนเองอาจจะตาฝาดหรืออย่างไรมิอาจทราบได้ แน่นอนว่าย่อมมีผู้หวังซักถามข้อสงสัย ทว่าข้อสงสัยเช่นนี้ไร้หนทางเสนอขึ้นมาในที่ประชุมขุนนาง เอ่ยกันว่ามีผู้ลองถามหยั่งเชิงแล้ว ยามนั้นราชครูกงผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง ถ้วยชาในมือหยุดชะงัก หันหน้ามองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “สิ่งที่เรียกว่าครุ่นคิดยามทิวาละเมอฝันยามราตรี เอ่ยกลับไปกลับมาแล้วย่อมคล้ายกัน ใต้เท้าเถี่ยคงจักอาลัยอาวรณ์สถานเริงรมย์ยิ่งยวด เห็นสิ่งใดล้วนคล้ายสิ่งของเหล่านั้นที่เจ้าพบเห็นเป็นประจำที่หอคณิกา กระบอกสลับลายที่มือสังหารผู้หนึ่งเขวี้ยงขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคนยังทำให้เจ้านึกถึงสิ่งเหล่านั้นได้ ใต้เท้าเถี่ยเริงร่าดุจพยัคฆ์ดั่งมังกรเสียจริง เลื่อมใส เลื่อมใส” 


 


 


เหล่าขุนนางตกตะลึงอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงเลยว่าวาจาเช่นนี้จะออกมาจากปากของกงอิ้นผู้สูงส่งถือตน ทว่ามีเพียงวาจาชั่วร้ายเช่นนี้ถึงมีประสิทธิผลเป็นที่สุด ใต้เท้าเถี่ยผู้ไถ่ถามนั้นหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั่วร่าง สีหน้าเขียวคล้ำจนม่วง ปรารถนาจะมุดลงไปใต้พื้นดิน 


 


 


ส่วนกงอิ้น หากจะลงมือคงไม่เพียงเอ่ยเท่านั้นเป็นแน่ สามวันต่อมาใต้เท้าเถี่ยนั้นถูกถอดถอนจากตำแหน่งนำตัวไปไต่สวนด้วยเพราะฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเข้าออกหอนางโลมในเวลากระทำการราชการ นับแต่นั้นเป็นต้นมาไม่มีผู้ใดเอ่ยถึง “เรื่องราวที่มิอาจเอ่ยถึง” เกี่ยวกับพิธีเฉลิมฉลองนั้นอีกแล้วโดยแท้…ยังเอ่ยอะไรได้อีกเล่า สิ้นชีพไร้หลักฐาน ภัยพิบัติไร้สิ้นสุด หุบปากเถิดเจ้า 


 


 


หลังจากนั้นกงอิ้นประกาศสืบหามือสังหารในพิธีเฉลิมฉลองวันนั้นอย่างยิ่งใหญ่ในตี้เกออีกครั้ง จงใจเอ่ยในประกาศว่ามือสังหารมีเจตนาร้ายแอบแฝง ขว้างปาของประหลาดดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จ้องหาโอกาสลอบปลงพระชนม์ราชินี เหล่าราษฎรเองจำได้ไม่ชัดเจนแล้วว่ายามนั้นของสิ่งนั้นออกมาได้อย่างไร เห็นประกาศแล้วต่าง “โอ้” เสียงหนึ่ง ใจคิดว่าเป็นฝีมือของมือสังหารหรือ นั่นสินะ ราชินีศักดิ์สิทธิ์ปานนั้น งดงามบริสุทธิ์ปานนั้น จักซุกซ่อนสิ่งของเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ใช่แล้วๆ เป็นเช่นนี้แน่แท้! 


 


 


จิ่งเหิงปัวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปอย่างปลอดภัย ระหว่างที่ขอบคุณอำนาจแข็งแกร่งของกงอิ้นยังแอบขอบคุณว่าโชคดีที่มีมือสังหารมา ทั้งโชคดีที่เหยียลี่ว์ฉีซ่อนระเบิดไว้ เรื่องราวผสมปนเปกันต่อเนื่อง ดึงดูดความสนใจของทุกผู้คนไปซ้ำยังทำให้ความสนใจนั้นกระจายหายไปอย่างเป็นธรรมชาติ มิฉะนั้นตอนนั้นบนเวทีมีแค่นางคนเดียวกำลังถูกมวลชนเพ่งเล็ง มีปากรอบกายก็กล่าวไม่ชัดเจน 


 


 


หลังพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนั้นจบลง นางถูกต้อนรับเข้าสู่ตำหนักอวี้จ้าว นางได้รับการปรนนิบัติอย่างมีชีวิตชีวาดีเลิศยิ่งกว่าราชินีหลายพระองค์ที่ผ่านมาด้วยเพราะความสามารถที่แสดงออกในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ องครักษ์ชาววังที่มีฐานะยากจนข้นแค้นเหล่านั้นส่วนใหญ่ซาบซึ้งเลื่อมใสต่อราชินีที่ห่วงใยปากท้องของประชาชน ปรารถนาจะช่วยเหลือราษฎรต้าฮวงองค์นี้อยู่ในจิตใจ จึงเคารพนบนอบต่อนางอย่างยิ่ง แต่ก็มีสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจก็คือนางไม่ได้อาศัยอยู่ข้างห้องของกงอิ้นสมดังปรารถนาแบบนั้น ที่จริงแล้วตอนนางสอบถามองครักษ์ แค่องครักษ์บอกทางให้นางก็เอ่ยไปทั้งสิ้นสิบห้านาที อธิบายกฎเกณฑ์การเข้าพบของราชินีและราชครูใช้เวลาไปอีกแปดนาที พอเอ่ยจบนางก็สิ้นหวังแล้ว 


 


 


ตามกฎเกณฑ์ หลังจากนางขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ นอกจากตอนเสด็จออกว่าราชการในทุกวัน ช่วงเวลาอื่นที่ไม่มีเรื่องราวไม่อาจเรียกหาราชครูตามใจชอบ ทุกปีมีเพียงเทศกาลปีใหม่และช่วงเวลาเหตุการณ์สำคัญที่จะได้พบกับราชครูโดยเฉพาะ นางจะพบราชครูต้องมีพระราชโองการ ราชครูจะพบนางต้องส่งกำหนดการ ต้องให้กองพิธีการลงบันทึก ให้กองวังตระเตรียม ตอนพบกันจะมีเจ้าหน้าที่ผู้ติดตามทุกประเภทจำนวนหนึ่ง… 


 


 


ส่วนนางอาศัยอยู่ที่ตำหนักอวี้จ้าวตะวันตก กงอิ้นอาศัยอยู่ที่ตำหนักอวี้จ้าวใต้ ระยะห่างระหว่างสองตำหนักเหรอ…เดินเท้าไปคงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน หากไม่คุ้นเคยเส้นทางอีก กลับมาได้ทันกินข้าวมื้อเย็นหรือเปล่ายังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวกอดผ้าห่มเกลือกกลิ้งนับไม่ถ้วนครั้ง…กฎเกณฑ์! กฎเกณฑ์! กฎเกณฑ์บ้าบอนี่! 


 


 


แต่ว่าตอนนี้นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ วันเวลาที่ราชินีขึ้นครองราชย์ยังต้องคัดเลือก กงอิ้นออกคำสั่งให้สำนักดาราศาสตร์เลือกวันที่ฤกษ์งามยามดีวันหนึ่งแล้ว ว่ากันว่าวันมงคลในช่วงนี้ล้วนอยู่ในอีกหกเดือนให้หลัง ก่อนถึงเวลานั้น นางจะได้เสพสุขอำนาจแห่งราชินีไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ของราชินี ไม่มีอำนาจก้าวก่ายการเมืองในราชสำนักแต่ว่าสามารถเข้าออกตำหนักอวี้จ้าวได้อย่างอิสระ 


 


 


จิ่งเหิงปัวแอบนึกว่าการจัดการแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ในเมื่อนางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แน่นอนว่าไม่ต้องสนใจกฎเกณฑ์น่ารำคาญ เช่น พระราชโองการส่งกำหนดการอะไรนั่น ฉะนั้นนางแสดงออกว่าจะเข้าไปอาศัยอยู่ในลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับสถานที่ทำงานของกงอิ้นที่สุดในตำหนักอวี้จ้าวอย่างตรงไปตรงมา กล่าวอย่างไพเราะเพราะพริ้งว่าจะเฝ้ายามประตูใหญ่ให้มหาเทพ 


 


 


กงอิ้นไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้…หมู่นี้เขาไม่สนใจจิ่งเหิงปัวอีกแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สาเหตุว่ามาจากอะไร เป็นเพราะว่าไม่พอใจตุ๊กตาคู่นั้นอีกทั้งไม่ยอมแสดงออกด้วยหยิ่งทระนง กล่าวอ้อมไปอ้อมมาหลายประโยคผลสุดท้ายถูกนางขัดคอจนเงียบกริบพูดไม่ออก ตามนิสัยของเขา ไม่ได้โกรธจนโยนนางออกไปจากต้าฮวงก็ไม่เลวแล้ว 


 


 


ฉะนั้นนางต้องหาโอกาสอธิบายให้ได้ อธิบายว่านางคือผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา! จะอธิบายจะต้องใกล้ชิดก่อนใช่ไหมล่ะ ไปอยู่ข้างห้องเขาเป็นเรื่องจำเป็นนี่นา 


 


 


หลังจากได้รับการอนุญาตโดยปริยาย วันนี้ ยามเฝ้าประตูมาดูลานบ้านแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวตื่นนอนแต่เช้าตรู่อย่างหาได้ยาก พายงเสวี่ยไปข้างนอก นางจะเลือกลานบ้านสักแห่ง ลานบ้านแห่งนี้ต้องรับแสงได้ดี ชัยภูมิงดงาม รูปแบบปลอดโปร่ง เครื่องเรือนครบครัน แน่นอนว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดคือมุมสำหรับมองกงอิ้นต้องดีที่สุด 


 


 


ตอนนางออกไปข้างนอก ห้องติดกันสองห้องฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชอุทยานปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่น 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองอยู่แวบหนึ่ง ถอนใจเสียงหนึ่งในใจ 


 


 


นั่นคือห้องของชุ่ยเจี่ยกับจิ้งอวิ๋น 


 


 


ชุ่ยเจี่ยทำกระเป๋าคว่ำในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ เกือบจะนำปัญหายิ่งใหญ่มาให้นาง หลังเกิดเรื่องชุ่ยเจี่ยตามขอโทษนางหลายครั้ง กล่าวด้วยท่าทางเหนื่อยหอบหน้าแดงว่านางไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยืนไม่อยู่ เหมือนข้างหลังมีคนชนนาง 


 


 


ตอนนั้นฝูงชนมีอารมณ์ตื่นเต้น ข้างหลังนางมีคนเยอะแยะมากมาย เรื่องชนหรือไม่ได้ชนคงกล่าวได้ไม่ชัดเจนแน่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวถามถึงจิ้งอวิ๋นว่าตอนนั้นอยู่ที่ไหน จิ้งอวิ๋นกล่าวว่าตอนนั้นนางตากแดดจนรู้สึกร่างกายไม่ค่อยสบายจึงไปพักผ่อนตรงสถานที่เงียบสงบ นางไม่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวนึกถึงเสียงสตรีคนนั้นที่ชี้ไปยังของอะไรสิ่งนั้นแล้วกรีดร้องขึ้นมาคนแรกสุดบนจัตุรัสในวันนั้นขึ้นมาอีก หากไม่มีเสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งนั้น ตอนนั้นสิ่งของร่วงหล่นลงมามากมายขนาดนั้น บางทีอาจจะยังไม่มีใครทันได้สังเกตของสิ่งนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดเสียงสตรีนั้นในสมองอยู่นานมากยังไม่อาจยืนยันว่าเป็นเสียงใครกันแน่ ไม่ค่อยเหมือนเสียงของจิ้งอวิ๋นหรือชุ่ยเจี่ย และไม่ใช่เสียงของเฟยหลัวและซังต้งที่เป็นศัตรูของนาง 


 


 


อาจจะต้องรอให้ศัตรูคนนี้โผล่หัวออกมาอีกครั้งในภายหลัง 


 


 


นางไม่ได้กล่าวโทษชุ่ยเจี่ย หลังจากเหตุการณ์แก้แค้น ทั้งสองคนต่างคล้ายมีปมในใจ จิ่งเหิงปัวไม่โทษนางแต่ก็ไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ว่าชุ่ยเจี่ยเหมือนว่าจะตำหนิตัวเองอย่างมากสำหรับเรื่องนั้น ขังตนเองไว้ในห้อง แม้แต่ข้าวมื้อเย็นก็ไม่ได้กิน เป็นจิ่งเหิงปัวที่สั่งให้คนส่งไปให้ 


 


 


จิ้งอวิ๋นยังคงป่วยกระเสาะกระแสะอยู่แบบนั้น ในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จกล่าวว่าตากแดดจึงล้มป่วยอีกครั้ง นางยังตำหนิตัวเองรอบหนึ่งกับจิ่งเหิงปัวเช่นกัน กล่าวว่าตอนนั้นเดิมทีจิ่งเหิงปัวฝากฝังให้นางดูแลกระเป๋า ผลคือนางอ่อนแอเกินไปจึงมอบให้ชุ่ยเจี่ย หากตอนนั้นนางรับเอาไว้ได้ นางละเอียดรอบคอบมากกว่าหน่อย บางทีคงจะไม่เกิดเรื่องในภายหลัง… 


 


 


จิ่งเหิงปัวเพียงโบกมือ กล่าวเสียงหนึ่งว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นมา ช่างเถิด” หันกายจากไป ทิ้งจิ้งอวิ๋นนอนอยู่ตรงนั้น 


 


 


สำหรับเพื่อนร่วมทุกข์สองคนนี้ นางไม่ได้มุ่งหวังให้พวกนางช่วยเหลือมากเท่าไร ตอนนี้ไม่ว่าสองคนนี้เป็นคนก่อเรื่องในพิธีเฉลิมฉลองหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดยังพิสูจน์ได้ว่าสองคนนี้ไม่นับว่าเป็นผู้เหมาะสมจริงๆ โชคดีที่แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ได้ฝากความคาดหวังและไม่ได้วางแผนจะมอบหมายเรื่องราวของตนเองให้จึงกล่าวไม่ได้ว่าผิดหวัง เพียงแต่แอบตัดสินใจในใจว่าภายหลังจะให้พวกนางพักผ่อนอยู่ในวังให้เต็มที่ หากเจอคนที่เหมาะสมก็รีบเร่งให้แต่งงานออกไป นับว่าเป็นเพื่อนกันครั้งหนึ่ง ช่วยเหลือพวกนางหาที่พึ่งพิงที่ดีสักแห่งก็พอแล้ว 


 


 


คนที่ไม่มีสติปัญญาและแผนการเพียงพอไม่อาจอยู่รอดในสถานการณ์ทางการเมืองและพระราชวัง นางไม่อยากทำร้ายพวกนางและไม่อยากทำร้ายตนเองด้วยเพราะพวกนาง 


 


 


ทั้งสองคนใช้ไม่ได้แล้ว จิ่งเหิงปัวได้แต่พายงเสวี่ยไปด้วย 

 

 

 


ตอนที่ 58 - 2 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไ...

 

แม่นางน้อยคนนี้ไม่ยอมรับแขก ถูกนางฉวยมือช่วยไว้ที่หอนางโลมในตอนแรก ตอนนางถูกกงอิ้นลักพาตัวไป เด็กสาวคนนี้ติดตามมาอย่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเช่นกัน เทียบกับชุ่ยเจี่ยที่เอะอะโวยวายอีกทั้งจิ้งอวิ๋นที่อ่อนแอแล้ว นางนิ่งเงียบพูดน้อย นัยน์ตาไม่กลมโตแต่ดำขลับคู่หนึ่งดุจสระน้ำลึก ลอยล่องอยู่ข้างหลังผู้คนคล้ายเงาเงาหนึ่งตั้งแต่เริ่มจนจบ ถึงขนาดว่าเดินทางมาด้วยกันนานขนาดนี้ แต่กลับไม่มีความรู้สึกในการดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มจนจบ 


 


 


แต่จิ่งเหิงปัวจำไม่กี่ประโยคที่นางเคยกล่าวไว้เล็กน้อยได้ ทุกประโยคต่างคล้ายคำพูดเลื่อนลอย ทุกประโยคต่างมีเหตุผล ทุกประโยคต่างมีความว่องไวเฉียบแหลมปานคำพยากรณ์ชนิดหนึ่ง 


 


 


นี่ก็เป็นเด็กมหัศจรรย์คนหนึ่งนะ 


 


 


เกี้ยวหามคันหนึ่งถูกแบกมาให้องค์ราชินีได้ใช้สอย มิฉะนั้นจนฟ้ามืดนางคงยังเดินไม่ทั่วตำหนักอวี้จ้าว 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเกี้ยวหามนั้นแวบหนึ่งแล้วขมวดหัวคิ้วขึ้น 


 


 


“นี่คือเกี้ยวหรือ หรือว่าโลงศพ” นางวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจว่า “เหตุใดต้องคลุมผ้าดำ ไม่ใช่ไปพิธีฝังศพเสียหน่อย เหตุใดต้องทำหลังคาทึบหนาขนาดนี้ ทั้งร้อนทั้งไม่ระบายลม เกี้ยวที่ข้าเคยเห็นในโทรทัศน์ไม่ได้มีหลังคาเพิ่มเข้าไปเลย เอาออก!” 


 


 


“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางหญิงที่ติดตามนางเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “พระองค์ทรงเป็นราชินี มิอาจให้ผู้อื่นมองโฉมพระพักตร์ด้วยความเคารพศรัทธาตามใจชอบ หากจักแก้ไขของใช้ส่วนพระองค์ที่ทรงใช้สอยไม่ว่าอย่างไร ต้องเรียนให้ราชครูเห็นชอบ กองพิธีการจะเป็นผู้จัดทำรายงานให้เสนาบดีทั้งหกร่วมกันลงนามเห็นชอบ…” 


 


 


“ข้ามีอำนาจกระทำการหรือไม่” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะวาจาของนาง 


 


 


ขุนนางหญิงไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ กะพริบตาเอ่ยว่า “มีแน่นอนเพคะ…” 


 


 


“ข้ามีอำนาจบัญชาองครักษ์หรือไม่” 


 


 


“มีเพคะ” 


 


 


“ข้าเป็นราชินี ยามข้ากระทำการเรื่องใดด้วยตนเอง พวกเจ้ามีหน้าที่ช่วยเหลือใช่หรือไม่” 


 


 


“นี่เป็นเรื่องที่ต้องกระทำเพคะ ฝ่าบาท” 


 


 


“ดีมาก” จิ่งเหิงปัวงอนิ้วมือครั้งหนึ่ง ชี้ไปยังมีดคาดเอวขององครักษ์ผู้หนึ่ง เอ่ยว่า “มีดของเจ้างดงามยิ่งนัก ขอยืมดูหน่อยสิ” 


 


 


ใบหน้าขององครักษ์แดงซ่าน ชูมีดของเขาขึ้นอย่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แลยอมรับสายตาอิจฉาของผู้อื่น 


 


 


จิ่งเหิงปัวรับมีดมากระหวัดกวัดแกว่งด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา ท่วงท่าน่าหวาดเสียวยวดยิ่ง ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน 


 


 


“ฝ่าบาท ช้าหน่อย ช้าหน่อย…” 


 


 


“เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ทางนี้ ทางนั้น” จิ่งเหิงปัวแกว่งไปแกว่งมา ฟันเข้าไปในเสาฝั่งหนึ่งของเกี้ยวหามดัง “ฉับ” ครั้งหนึ่ง 


 


 


ฝูงชนที่ชี้นำห้ามปรามกันโกลาหลต่างชะงักงัน 


 


 


“ไอ้หยา พังแล้ว” จิ่งเหิงปัวหันข้างมองดู ยิ้มเห็นฟันครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก หามออกไปเห็นราชินีเช่นข้านี้ยังใช้เกี้ยวพังคงไร้เกียรติยศยิ่งนัก ตัดไปด้วยเสียเลยแล้วกัน” 


 


 


ไม่รอให้ทุกคนคืนสติ นางฟันลงไปดังฉับๆ ฟันมั่วซั่วบนเสาหลายต้นที่ค้ำจุนหลังคา 


 


 


“มีฐานะเป็นองครักษ์ ให้ฝ่าบาทตัดต้นไม้ด้วยตนเอง พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่” จิ่งเหิงปัวโยนมีดคืนไป ร้องว่า “มาช่วยเหลือ!” 


 


 


องครักษ์รับมีดมาอย่างงงวย 


 


 


“อะไร คำสั่งของข้าไม่มีความหมายหรือ” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยี กล่าวว่า “ยามนี้ข้าออกคำสั่ง ช่วยข้าตัดต้นไม้เหล่านี้ทิ้ง” 


 


 


“ฝ่าบาทสิ่งนี้มิใช่ต้นไม้…” 


 


 


“เดิมทีมันเป็นต้นไม้” 


 


 


… 


 


 


สุดท้ายเหล่าองครักษ์ตัด “ต้นไม้” ทิ้งอย่างเลอะเทอะเลอะเลือน 


 


 


จิ่งเหิงปัวพายงเสวี่ยปีนขึ้นไปอย่างพอใจ บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกเพียงว่าสี่ด้านโปร่งลมสบายอารมณ์ยิ่งนัก 


 


 


“แบบนี้ถึงจะสบาย!” 


 


 


“ฝ่าบาท…” ขุนนางหญิงหยิบผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่งออกมาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เอ่ยว่า “ไม่มีหลังคาเกี้ยวแล้ว พระองค์ต้องทรงสวมผ้าคลุมพระพักตร์…” 


 


 


จิ่งเหิงปัวรับผ้าคลุมหน้ามาขยี้ในฝ่ามือสักครู่ ประสานสายตาเฝ้ารอคอยของขุนนางหญิง นำผ้าคลุมหน้าเปลี่ยนมือส่งให้ยงเสวี่ย 


 


 


“เนื้อผ้าไม่เลว” นางกล่าวว่า “นำไปทำผ้าเช็ดหน้า” 


 


 


ยงเสวี่ยรับมา ขานรับว่า “เพคะ” เบื้องลึกในดวงตาคล้ายมีรอยยิ้มกะพริบวูบ 


 


 


“ฝ่าบาท…” สีหน้าของขุนนางหญิงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง 


 


 


“ข้ารู้” จิ่งเหิงปัวใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไว้ ดวงตาสุกสกาวสั่นไหว กล่าวต่อไปว่า “ราชินีมีกฎเกณฑ์มากมาย กฎเกณฑ์เหล่านี้ประเดี๋ยวคงต้องส่งขุนนางพิธีการหญิงชำนาญการมาสอนข้า ก่อนจะถึงเวลานั้น เจ้าคือขุนนางหญิงที่รับหน้าที่ทำให้ข้ามีความเข้าใจพื้นฐานต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ ทว่าข้าคิดว่าข้าควรจะบอกกล่าวเจ้าสักคำ เจ้าก็ดี ขุนนางพิธีการเหล่านั้นในกองพิธีการก็ดี ข้าจะไม่สนใจกฎเกณฑ์ข้อบังคับของพวกเจ้า ในอกข้าไร้ซึ่งปณิธานอันยิ่งใหญ่ เพียงหวังจะใชัชีวิตสบายๆ สักหน่อย ทว่าพวกเจ้าดันมีกฎเกณฑ์เหล่านั้น ในความเห็นของข้ามันไม่สบายเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้น ข้าไม่สบายหรือพวกเจ้าและกฎเกณฑ์ของพวกเจ้าไม่สบาย ย่อมมีผู้หนึ่งต้องไม่สบาย เช่นนั้นพวกเจ้าไม่สบายก็พอแล้ว” 


 


 


นางยิ้มแย้มดีดนิ้วมือ เล็บสีน้ำเงินเข้มงามประณีตดีดดังกังวานประกาศแจ่มแจ้งเสียงหนึ่งว่า “มีกฎเกณฑ์มาเท่าใด ข้าทำลายเท่านั้น คอยดูละกัน” 


 


 


นางยิ้มแย้ม ประทินโฉมงามประณีต ดวงตาสุกสกาวดุจสายธาร มองแล้วไร้ซึ่งไอสังหารแม้เพียงน้อยนิด ทว่าขุนนางหญิงกลับรู้สึกว่าเล็บสีน้ำเงินเข้มนั้นทะลวงจากเบื้องหน้าไปจนถึงในดวงใจคล้ายกริชเล่มน้อยแต่ละเล่มละเล่ม 


 


 


คนบางประเภทยามปกติหยอกล้อตามใจ เอาจริงเอาจังขึ้นมายังแค่ยิ้มแย้มเชื่องช้า ทว่าในนัยน์ตาประกายพร่างพราวปานนั้นมีไอแห่งความเคร่งขรึมมิอาจล่วงเกินในตนเอง 


 


 


ขุนนางหญิงพลันนึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จขึ้นมา เอ่ยกันว่าราชินีทำให้เสนาพิธีการโกรธจนล้มป่วยทั้งอย่างนั้น… 


 


 


ขุนนางหญิงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ แน่นอนว่านางต้องรายงานเรื่องราวในวันนี้ให้กองพิธีการทราบ 


 


 


เกี้ยวหามถูกหามขึ้นอย่างมั่นคง เคลื่อนไปข้างหน้า 


 


 


“มา พวกเรามาดูกันว่าบ้านเรือนแห่งใดเหมาะสมกับการอยู่อาศัย” จิ่งเหิงปัวเสวนาการแคว้น 


 


 


นางพบว่าพอเดินไปข้างหน้าตลอดเส้นทางจากวังบรรทมของตนเอง ภูมิประเทศตลอดทางยิ่งโล่งกว้างขึ้น ดอกไม้ใบหญ้ายิ่งน้อยลง รูปแบบบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างยิ่งโปร่งโล่งมากขึ้นเช่นกัน กำแพงค่อยๆ เตี้ยลง หน้าต่างค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ไม่ได้กำแพงสูงลานตำหนักลึกให้ความรู้สึกเหมือนคุกเช่นวังบรรทมของตนเองตรงนั้นอีก 


 


 


สุดท้ายแล้วเกี้ยวหามหยุดลงหน้ากำแพงฉลุลายดอกไม้แห่งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองเห็นฝูงชนที่หลั่งไหลไปมาเบื้องหน้า “จิ้งถิง” สถานที่ทำงานของกงอิ้นผ่านกำแพงดอกไม้ 


 


 


ใกล้กับจิ้งถิงมีสิ่งปลูกสร้างสามแห่ง แบ่งเป็นสวนดอกไม้ใกล้จิ้งถิง ห้องหนังสือของจิ้งถิงและที่พักอาศัยของกงอิ้น ตามความเห็นของจิ่งเหิงปัว แน่นอนว่าใกล้ที่พักอาศัยของกงอิ้นจะดีที่สุด หากห่างจากเตียงของเขาเพียงกำแพงเดียวแบบนั้นยิ่งดี ลานบ้านแห่งนั้นแม้ว่าจะใกล้กับที่พักอาศัยของกงอิ้น แต่ว่าหันหลังชนกัน หากอยากจะแอบมองจริงๆ คงต้องอ้อมไปไกล 


 


 


สุดท้ายแล้วจิ่งเหิงปัวเลือกลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับห้องหนังสือของจิ้งถิง ลานบ้านใกล้กับลานนอกและมีประตูบานหนึ่งติดกับทางหลักด้านนอกเหมือนกับห้องหนังสือของจิ้งถิง ฝั่งตรงข้ามของทางหลักก็คือสถานที่ทำงานของเหล่าขุนนางใหญ่และสถานที่อภิปรายงานราชการของหกกอง ขุนนางใหญ่บางส่วนทำงานดึกดื่นเกินไปสามารถพักค้างแรมที่ลานนอกได้ ประตูด้านหลังของกงอิ้นเปิดอยู่ตรงนั้น มีความนัยว่าสะดวกอภิปรายงานราชการตลอดเวลา 


 


 


“ที่แห่งนี้เป็นอย่างไร” จิ่งเหิงปัวมองซ้ายมองขวา ถามยงเสวี่ย 


 


 


นัยน์ตาดำขลับของเด็กหญิงคล้ายข้ามผ่านลานบ้านมองไปยังที่ห่างไกล 


 


 


“เรือนหลังใหญ่ริมน้ำ” นางเอ่ย 


 


 


จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบาน รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว เรือนหลังใหญ่ริมน้ำ แน่นอนว่าใกล้สระน้ำแข็งเช่นกงอิ้นนี้น่ะ 


 


 


“เช่นนั้นใช้ที่แห่งนี้แล้วกัน” นางโบกมือครั้งหนึ่ง วนเวียนรอบลานบ้านทั้งสี่ด้าน 


 


 


“เฮ้อ ขาดม้านั่งในสวน นำม้านั่งมาหน่อย” 


 


 


“เหตุใดกำแพงรั้วฝั่งนี้ทึบหนาขนาดนี้ เปลี่ยนเป็นกำแพงฉลุลายดอกไม้!” 


 


 


“ต้นไม้ดอกไม้น้อยเกินไปแล้ว เตียนโล่งเช่นนี้ รีบย้ายต้นไม้ดอกไม้มาปลูกหน่อย มิเช่นนั้นพอออกจากลานบ้านแล้วถูกแดดเผาจะข้าจะทำอย่างไร” 


 


 


เหล่าองครักษ์ถูกเรียกใช้จนยุ่งหัวหมุน รีบเร่งปลูกต้นไม้ ทุบกำแพงสร้างใหม่ โยกย้ายเครื่องเรือน บรรยากาศคึกคักกระตือรือร้น 


 


 


ในห้องหนังสือข้างจิ้งถิง กงอิ้นที่กำลังอภิปรายงานราชการกับขุุนนางใต้บัญชาพลันหยุดหัวข้อสนทนาลงแล้ว 


 


 


ทุกคนต่างเงียบงันไปชั่วครู่ ได้ยินเสียงตึงตังตึงตังแว่วมาจากข้างห้อง มองหน้ากันไปมา 


 


 


จิ้งถิงไม่นับว่าเป็นพระราชวังที่สวยหรูที่สุดในตำหนักอวี้จ้าว ถึงขนาดเปล่าเปลี่ยวไกลโพ้นเล็กน้อย จึงได้รับนามว่าเงียบสงบสองคำนี้ ลานบ้านทุกแห่งโดยรอบไม่มีคนพักอาศัยหลายปีแล้ว ผู้ที่อภิปรายงานราชการ ณ ที่แห่งนี้เคยชินกับบรรยากาศเงียบสงบ แต่ไหนแต่ไรมาเอ่ยวาจาล้วนต้องเอ่ยเสียงเบา ยามนี้ได้ยินเสียงทุบกำแพงข้างนอก เสียงขนย้าย เสียงขุดดิน ซ้ำยังเจือด้วยเสียงหัวเราะเกียจคร้านน่าฟังของสตรี ส่งเสียงเอะอะโวยวายจนทนไม่ไหว ต่างอดจะมองไปทางกงอิ้นอย่างไม่สบายใจไม่ได้ 


 


 


ผู้ใดต่างรู้ว่าราชครูรังเกียจเสียงดังเอะอะเป็นที่สุดแล้ว 


 


 


ทว่าคราวนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ท่านราชครูได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ยามแรกเริ่มขมวดหัวคิ้วขึ้นเช่นกัน ทว่าปลายคิ้วพลันผ่อนคลายเพียงน้อย หางตาชำเลืองไปข้างนอกเพียงครั้ง เพียงชั่วครู่จึงเคาะโต๊ะดั่งไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เอ่ยว่า “เอ่ยต่อ” 


 


 


ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ ไม่กล้าเมินเฉยรีบเร่งเอ่ยต่อ ในใจกลับแอบใคร่ครวญ 


 


 


มีบางคนที่ความรู้สึกไว นึกได้ว่าเมื่อครู่หางตาของราชครูชำเลืองไปข้างนอกเพียงครั้ง คล้ายว่ารัศมีโค้งตรงมุมปากนุ่มนวลโดยพลันหรือ 


 


 


ยังมีบางคนที่ความรู้สึกไวยิ่งกว่า นึกได้ว่าท่าทางของราชครูมีความเปลี่ยนแปลง คล้ายว่าด้วยเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเสียงนั้นพอดีหรือ 


 


 


เอ๊ะ เจ้าของเสียงนั้นคือผู้ใด ลานบ้านรอบจิ้งถิงนี้ ผู้ใดกล้าย้ายเข้ามาเอะอะโวยวายขนาดนี้กัน 

 

 

 


ตอนที่ 58 - 3 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไ...

 

“สำหรับเรื่องที่ราชครูฝ่ายซ้ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ราชินีในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ขอเชิญใต้เท้าเหยียลี่ว์ให้คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย”


 


 


การประชุมดำเนินหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อไป ยามนี้เสนาเอกแห่งกองอาญากำลังโจมตีเหยียลี่ว์ฉี ขอให้เขาเอ่ยเรื่องราว “การลอบสังหาร” ในวันนั้นให้ชัดเจน


 


 


รูปแบบการปกครองของต้าฮวงแตกต่างจากแคว้นอื่นที่อยู่นอกอาณาเขต ภายใต้ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาคือรองเสนา ภายใต้รองเสนาคือห้ากองซึ่งประกอบด้วยกองพิธีการ กองอาญา กองโยธาธิการ กองราษฎรและกองขุนนาง หากเอ่ยถึงอำนาจของตำแหน่ง กองพิธีการมีอำนาจเป็นอันดับหนึ่ง ผู้ดูแลหลักของทุกกองจะเรียกว่าเสนาบดีด้วย เช่น ผู้ดูแลหลักของกองพิธีการย่อมเรียกว่าเสนาพิธีการ เทียบได้กับเสนาบดีประจำกรมพิธีการของต้าเยียนและแคว้นอื่น ไม่มีกองกลาโหม อำนาจทางทหารเป็นขององค์ราชินีเพียงในนาม อำนาจที่แท้จริงโดยทั่วไปแล้วควบตำแหน่งดูแลโดยราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ผู้ใดมีอำนาจมากผู้นั้นได้ดูแล หกแคว้นแปดชนเผ่าอื่นต่างมีกองทัพของตนเอง ทว่ามีการจำกัดจำนวนพลทหาร ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าส่วนมากมีหน้าที่เสมือนในราชสำนัก เป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือน เช่น ต้าฟูผู้อภิปรายงานราชการ เป็นสัญลักษณ์ในการเข้าร่วมเรื่องการเมือง นอกจากนี้ ปราชญ์และกองเซ่นไหว้มีอำนาจเข้าร่วมการเมืองในระดับหนึ่งเช่นกัน


 


 


รองเสนาแห่งต้าฮวงคนก่อนเพิ่งพ้นจากตำแหน่ง ยามนี้ตำแหน่งนี้ว่างลง กำลังมีคนนับไม่ถ้วนยอมทำทุกวิถีทางเพื่อตำแหน่งนี้ ท่านเสนากองอาญาหวังแสดงความสามารถ ถึงขนาดจัดการ “คดีที่ราชินีถูกลอบปลงพระชนม์” อย่างกระตือรือร้น


 


 


เหยียลี่ว์ฉีนั่งอยู่ตำแหน่งแรกทางฝั่งซ้าย ตำแหน่งร่นถอยมากกว่ากงอิ้นเล็กน้อย มองอีกฝ่ายด้วยท่าทางสุขุมปราดหนึ่ง เอ่ยว่า “หากหวังเพิ่มโทษให้ผู้อื่น คงหาโทษมาได้แน่ เขาเอ่ยว่าข้าเป็นผู้บงการข้าก็ต้องเป็นผู้บงการหรือ ประเดี๋ยวข้าสังหารราชครูกง เอ่ยว่าใต้เท้าลิ่งหูถานเป็นผู้บงการ เจ้าคิดว่าจักอธิบายอย่างไร”


 


 


ต้าฮวงมีแซ่ซ้ำกันมากมายด้วยเกี่ยวดองกันจากการสมรสในราชสำนัก แซ่ลิ่งหูหลายคนที่เป็นขุนนางต่างโมโหโกรธาขึ้นมาทันใด เสนาอาญาลิ่งหูถานหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “ผู้ต้องสงสัยต่างควรได้รับการไต่สวน ในเมื่อราชครูเหยียลี่ว์โยนเรื่องราวมาให้ข้า ข้าย่อมยินยอมพร้อมใจได้รับการไต่สวนจากกองอาญา กองอาญาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างยุติธรรม ย่อมคืนความยุติธรรมให้ข้าได้แน่”


 


 


“ข้ากลับไม่กล้าเชื่อว่าใต้เท้าลิ่งหูเจ้าจะคืนความยุติธรรมให้ข้าได้น่ะสิ ได้ยินว่าเจ้ากำลังจะเกี่ยวดองเป็นญาติกับเผ่าจั๋นอวี่” เหยียลี่ว์ฉียิ้มอย่างไม่สนใจใยดี เอ่ยว่า “อีกทั้ง มือสังหารหลายคนนั้นถูกระเบิดสิ้นชีพไปหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่พยาน เจ้าอาศัยวาจาที่อาจจะได้ยินไม่ชัดเจนของมือสังหารเพียงประโยคเดียว ยังกล้านำมาประณามข้า”


 


 


“ขอราชครูอย่าได้เอ่ยวาจาสะเปะสะปะ ยังมีผู้มองเห็นท่านได้กะพริบกายเข้าสู่เบื้องล่างปะรำพิธีที่ถูกระเบิดทำลาย หลังจากนั้นยังพุ่งออกมาจากปะรำพิธีหลังจากการระเบิด” ลิ่งหูถานยิ้มเย็นชา เอ่ยว่า “ยามนั้นราชินีทรงซ่อนพระองค์อยู่เบื้องล่างเวที ขอถามว่าท่านแอบเข้าไปใต้เวทีหวังจะกระทำสิ่งใดกันแน่ ภายหลังเหตุใดจึงออกมาด้วยท่าทางจนตรอก”


 


 


“ข้าเข้าไป ย่อมหวังช่วยราชินีเป็นธรรมดา” เหยียลี่ว์ฉีทำหน้าเฉยเมย เอ่ยว่า “ข้าได้ยินมือสังหารใส่ร้ายป้ายสีโยนความผิด รู้ว่าหากหวังลบล้างความผิดที่ถูกใส่ร้ายย่อมต้องช่วยราชินีไว้ก่อน จึงต้องรีบเร่งพุ่งไปอยู่ข้างกายนาง”


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงมิใช่ผู้ที่ช่วยเหลือราชินี ซ้ำยังออกมาด้วยท่าทางจนตรอก” จั้นชงผู้นำเผ่าจั๋นอวี่พลันสอบถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ


 


 


“เรื่องนั้นย่อมด้วยเพราะองค์ราชินีเองนั้นทรงมีพระบารมีล้ำเลิศดั่งเทพ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าปกป้อง ถึงขนาดแสดงวรยุทธ์เทพส่งข้าออกมาจากสถานที่ระเบิด อา ฝ่าบาททรงมีพระเมตตายิ่งนัก กระหม่อมซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลริน” เหยียลี่ว์ฉีสายตาวูบไหวคล้ายซาบซึ้งแท้จริงยิ่งนัก


 


 


“ราชครูช่างเอ่ยช่างเจรจาโดยแท้” จั้นชงยิ้มเย็นชา


 


 


“ราชครูเอ่ยวาจามีแห่งใดไม่กระจ่างหรือ ทว่าเผ่าจั๋นอวี่ยกตนข่มท่านกลับทำให้คนนึกได้ว่าบุญคุณความแค้นระหว่างเผ่าจั๋นอวี่กับใต้เท้าเหยียลี่ว์ จนบัดนี้ยังมิได้ชำระสะสางกระมัง คงมิใช่โจรร้องจับโจรกระมัง” เจ้ากองเซ่นไหว้ซังต้งพลันยิ้มแย้มแทรกสอด


 


 


“วาจาพิกลพิการ! โจมตีใส่ร้ายผู้อื่น เจ้าเป็นเจ้ากองเซ่นไหว้เจ้าจะเข้าข้างตามใจชอบได้หรือ”


 


 


“ใจฝ่อเช่นนี้ ไม่รู้ว่าผู้ใดกำลังแบ่งพรรคแบ่งพวก จงใจเข้าข้าง!” เซวียนหยวนจิ้งเสริมเข้ามาอีก


 


 



 


 


“พอแล้ว”


 


 


ยามเหล่าผู้อาวุโสเถียงกันดุเดือดที่สุด กงอิ้นถึงปริปาก


 


 


น้ำเสียงเยือกเย็นดุจสายน้ำเย็นสาดลงหม้อร้อน หลังจากตื่นตะลึงทุกคนต่างสงบเคร่งขรึมลง แม้ว่าหลายคนนั้นที่ทะเลาะวิวาทยังคงมีสีหน้าโกรธแค้น ทว่ามิได้เอ่ยวาจาอีก


 


 


เหยียลี่ว์ฉียังคงยิ้มแย้มด้วยสีหน้าท่าทางไม่สนใจใยดีเช่นนั้น หางตาชำเลืองมองไปนอกหน้าต่างหลายครั้งหลายคราว


 


 


“จิ้งถิงมิใช่ตลาดกลางคืน พวกเจ้าก็มิใช่พ่อค้าหรือผู้รับใช้” น้ำเสียงของกงอิ้นเด็ดขาด เอ่ยว่า “ใต้เท้าลิ่งหู กระทำตามกฎระเบียบก็พอ”


 


 


“ขอรับ กฎหมายต้าฮวงมาตราสามสิบห้าข้อเจ็ด ผู้ต้องสงสัยว่าโจมตีทำร้ายองค์ราชินีเข้าคุกหลวงทั้งหมด ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับคดีรวมทั้งคู่กรณีผู้มียศขั้นที่หนึ่งอาจให้ได้รับการสอบสวนที่สำนักเจาหมิงก่อน รอให้ความจริงกระจ่างค่อยกระทำการตัดสินใจ”


 


 


กงอิ้นไตร่ตรองมิเอ่ยวาจา หางตาชำเลืองมองไปนอกหน้าต่างเช่นกัน


 


 


ผู้อื่นกลับไม่ได้พบว่าเขามีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยด้วยต่างรู้สึกว่าการลงโทษนี้ไม่เลว อย่างไรเสียราชครูเป็นผู้สูงศักดิ์ หวังจะอาศัยวาจาประโยคเดียวของผู้สิ้นชีพไร้ซึ่งหลักฐานทำให้เขาเอาชีวิตไปทิ้งคงเป็นไปไม่ได้ ให้เขาถูกกักบริเวณได้รับการสอบสวนได้ นับว่าโจมตีความหยิ่งยโสของฝ่ายราชครูฝ่ายซ้ายนั้นแล้ว สำหรับเผ่าจั๋นอวี่ที่มีความแค้นกับเหยียลี่ว์ฉีแล้วยิ่งมองเห็นหนทางสู่ความสำเร็จ เช่นนี้ย่อมฉวยโอกาสกระทำกลอุบายเล็กน้อยยามเหยียลี่ว์ฉีไม่มีอิสระชั่วคราวได้


 


 


ขุนนางฝ่ายเหยียลี่ว์ฉีนั้นย่อมไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่ามองเห็นเหยียลี่ว์ฉีเองยิ้มแย้ม ไม่ได้มีนัยว่าจะโต้แย้ง ครุ่นคิดแล้วไม่มีเหตุผลให้คัดค้านอีก คงมิอาจไม่ยอมรับแม้แต่การสอบสวน จึงได้แต่หุบปาก


 


 


กงอิ้นมองเหยียลี่ว์ฉีที่ยิ้มแย้มปราดหนึ่ง หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยโดยแทบมองไม่ออก


 


 


เฟยหลัวนั่งอยู่ตำแหน่งใกล้หน้าต่างโดยตลอด มองข้างนอกหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า พลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้านึกว่าผู้ใดกัน ที่แท้คือองค์ราชินีของพวกเรา ฝ่าบาททรงร่าเริงโดยแท้ ตรัสว่าไม่ประทับวังบรรทมก็ไม่ต้องประทับวังบรรทม ตรัสว่าจะประทับข้างจิ้งถิงก็ได้ประทับข้างจิ้งถิง หากเหล่าราชินีในอดีตผู้ประทับในโลกวิญญาณทรงล่วงรู้ มิรู้ว่าจะทรงอิจฉามากเพียงใดกัน”


 


 


สีหน้าของกงอิ้นจมดิ่งเพียงน้อย ยังมิทันได้เอ่ยวาจา เสนาพิธีการที่ยืนหยัดร่างป่วยไข้มาร่วมประชุมท่านนั้นเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือแล้วว่า “อา! ข้ายังนึกว่าจิ้งถิงกำลังจะขยายพื้นที่ ซ่อมแซมลานบ้านข้างเคียง ที่แท้ด้วยเพราะองค์ราชินีจะทรงเข้ามาประทับหรือ มิได้มิได้! ไม่ได้ผ่านกองวังส่งรายงานให้หกกองพิจารณาอนุญาต ฝ่าบาทจักทรงย้ายที่ประทับตามใจได้อย่างไร…”


 


 


“นางยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์” วาจาประโยคเดียวของกงอิ้นขัดจังหวะเสนาพิธีการที่จะลุกขึ้นขัดขวาง เอ่ยว่า “เพิ่งเกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร ฉะนั้นเปิ่นจั้วทูลให้ฝ่าบาททรงย้ายที่ประทับ จักได้ถวายการคุ้มครองได้”


 


 


“เป็นเช่นนี้เอง เพียงแต่ที่สุดแล้วไม่สอดคล้องกับพิธีรีตอง…” ยังมีขุนนางเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “แม้ว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเลิศล้ำ ทรงพระกรุณาต่อโลกหล้าในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ทว่าทรงกระทำตามพระทัยไม่รักษาศีลธรรมจรรยา เช่นนี้ ควรจะกราบทูลฝ่าบาทเรื่องกฎเกณฑ์ให้มากถึงจะถูกต้อง ต้าฮวงของเราสถาปนาแคว้นมาหลายร้อยปี คัมภีร์พิธีการคือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ราชินีแต่ละสมัยในอดีตทรงต้องปฏิบัติตาม แลเป็นการรับรองว่ารูปแบบการปกครองของต้าฮวงเราจะมั่นคงเป็นเอกภาพ มิอาจให้ผู้อื่นล้มล้างได้โดยง่าย…”


 


 


คนผู้นี้เอ่ยวาจาเจื้อยแจ้ว ผู้คนจำนวนมากที่นั่งอยู่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย รูปแบบอำนาจของต้าฮวงเป็นรูปร่างแล้ว ไม่ว่าจะฝ่ายใดต่างไม่อยากให้ปรากฏราชินีที่แข็งแกร่งองค์หนึ่งมาก่อกวนสมดุลการเมืองที่มีในยามนี้ฉับพลัน อีกทั้งบุคลิคท่าทางและพฤติกรรมวาจาของจิ่งเหิงปัวออกนอกลู่นอกทางทุกหนแห่ง ผุดเผยกลิ่นอายท้าทายระบบที่มีในยามนี้รำไร เช่นนี้จักปล่อยไว้ได้อย่างไร


 


 


ปัจจัยนอกลู่นอกทางทุกสิ่ง ควรจักสกัดตั้งแต่ยามแตกหน่อ


 


 


กงอิ้นไม่ออกความเห็น ลุกขึ้นเดินไปริมหน้าต่าง กำแพงแน่นหนาตรงข้ามหน้าต่างแต่เดิมผืนหนึ่งนี้ถูกขุดหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก่อเป็นกำแพงดอกไม้ผืนหนึ่งอย่างเร็วจนน่าทึ่ง มีผู้เกาะบันไดกำลังปีนกำแพงอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วยท่าทางหัวเราะเอิ๊กอ๊าก นัยน์ตาเฉิดฉายกะพริบวูบภายใต้แสงอาทิตย์ ในมือคล้ายมีแสงอัศจรรย์กะพริบวูบ


 


 


เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง สายตากะพริบวูบเช่นกัน จากนั้นเบนสายตาออกมา


 


 


มีคนประเภทหนึ่งสว่างสดใสโดยกำเนิด ดั่งแสงทิวาแผ่แสงสวรรค์หลังกลุ่มเมฆ


 


 


ตรงดวงใจคล้ายถูกแสงแหลมคมทิ่มแทงไว้ด้วยโดยพลัน เดี๋ยวเจ็บปวดเดี๋ยวหนาวเหน็บ ปราณแท้สายหนึ่งไหลหลั่งจากเรือนร่างปานธารหลาก สีหน้าเขาซีดเผือด ปรับปราณเพียงน้อย หันกายมา มองเห็นสีหน้าบนใบหน้าของทุกผู้คน ในใจพลันถอนใจ


 


 


เรื่องราวที่เดิมทีง่ายดายยิ่งนักคล้ายว่าเปลี่ยนแปลงจนยิ่งซับซ้อนแลยากควบคุมมากขึ้นแล้ว ด้วยเพราะการมาถึงของนางที่มิคล้ายผู้ใด


 


 


ความอิสระของนางถูกกำหนดให้ประสบการต่อต้านจากขุนนางและราษฎรแทบจะทุกฝ่าย กฎเกณฑ์เก่าคร่ำครึหลายร้อยหลายพันปีนั้นผนึกแน่นกลายเป็นกำแพงสูงที่แข็งแกร่งจนมิอาจทำลาย ทอดข้ามบนเส้นทางที่ผ่านสู่ตนเองทุกแห่ง


 


 


ควรให้ผู้ใดถอดใจ ให้ผู้ใดร่นถอย หรือว่าเบิกตาโพลงมองดูการบุกโจมตีเจือโลหิตซึ่งกันและกัน มองดูนางร่วงหล่นสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยพุ่มหนาม ยามปะทะจนมิอาจหลีกเลี่ยง เขาจะบอกกล่าวนางอย่างไร แดนสวรรค์สีเขียวคล้ำที่ทอดยาวหลายร้อยปีผืนหนึ่งนั้น ไม่อาจอาศัยเพียงความกล้าหาญจะสามารถข้ามผ่านได้เป็นแน่


 


 


“เรื่องเผยแพร่การเพาะปลูกในบึงโคลนสำคัญหรือว่าราชินีเรียนรู้พิธีการสำคัญกว่า” เขาหันกลับมา สายตากวาดผ่านทุกคนอย่างสูงส่งเย็นชา เอ่ยว่า “ทุกท่าน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับพลังแคว้นนับร้อยปีของต้าฮวงของเรา ทุกผู้คนในที่นี้มีภาระหน้าที่ วิธีเพาะพืชน้ำปลูกหม่อนเลี้ยงปลาร่วมกันที่ราชินีทรงมีพระราชดําริให้ริเริ่ม ทุกท่านในที่นี้มีวิธีเผยแพร่อย่างอัศจรรย์หรือไม่ ควรริเริ่มอย่างไร จักทดลองปลูกที่ใดก่อน จักเลือกเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดจากที่ใด…”


 


 


พอหัวข้อสนทนาเคร่งขรึมถูกเอ่ยมา ทุกคนไม่กล้าเมินเฉย แต่ละคนนั่งตัวตรงจัดอาภรณ์ถกเถียงกันอย่างร้อนแรง เรื่องที่ราชินีไม่เคารพพิธีการจึงถูกพักไว้ชั่วคราว


 


 


มีเพียงเฟยหลัวที่อยู่ใกล้หน้าต่างมองดูนอกหน้าต่างหลายครั้งหลายคราว แล้วมองดูกงอิ้นที่มีสีหน้าสูงส่งเย็นชาทว่าคล้ายเหม่อลอยเล็กน้อยกับเหยียลี่ว์ฉีที่ยิ้มแย้มมิเอ่ยวาจาโดยตลอด มุมปากผุดเผยรอยยิ้มแปลกประหลาดแลเย็นชาผืนหนึ่ง


 


 



 


 


“เฮ้ เฮ้ ขึ้นไปหน่อย ขึ้นไป! ไม่ถูก ทางซ้าย มาทางซ้ายหน่อย! อ๊าๆ อ๊าๆ เกือบมองเห็นแล้ว มาทางขวาอีกหน่อย! พอแล้วอย่าขยับ!”


 


 


จิ่งเหิงปัวปีนอยู่บนบันได องครักษ์กลุ่มหนึ่งเบื้องล่างกุมบันไดไว้ด้วยท่าทางเหงื่อท่วมหน้า เคลื่อนย้ายไปทุกแห่งหนตามคำสั่งของนาง


 


 


สุดท้ายจิ่งเหิงปัวยืนยันตำแหน่งที่ดีที่สุดสำหรับการแอบมองตำแหน่งหนึ่งในที่สุด ตบกำแพงยิ้มแย้มเริงร่า ร้องว่า “ได้แล้ว ตำแหน่งนี้ล่ะ ไม่ต้องก่อกำแพง เหลือช่องใหญ่ๆ ไว้ช่องหนึ่ง!”


 


 


องครักษ์เหงื่อตก…ตำแหน่งที่นางวาดช่องใหญ่ๆ ออกมา เพียงพอให้คนผู้หนึ่งข้ามผ่านไปได้…


 


 


สุดท้ายเหล่าองครักษ์ก่อกำแพงดอกเหมยตรงนั้น รับรองว่าองค์ราชินีสามารถมองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของราชครูผ่านทุกกลีบของดอกเหมย ห้ากลีบของดอกเหมยยังสามารถกลายเป็นมุมมองการสังเกตการณ์หลากหลายรูปแบบ จิ่งเหิงปัวแสดงออกว่าพอใจอย่างยิ่ง


 


 


นางยืนบนสันกำแพงอย่างพอใจ มือหนึ่งถือกล้องส่องทางไกล อีกมือหนึ่งถือโพลารอยด์


 


 


“โยะชิ ประชุมเหรอ” นางขยับเลนส์กล้องไปมา กล่าวว่า “จิ๊จ๊ะ หน้าดำหน้าแดงกัน ทะเลาะวิวาทเหรอ ชิบ เป็นถึงผู้อาวุโส ไร้กิริยาท่าทางงดงาม”


 


 


“เฮ้ยๆ เขาลุกขึ้นมาแล้ว! เย่! หน้าต่าง! โพลารอยด์เตรียมพร้อม!”


 


 


“แชะ”


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีมองดูในมือภาพถ่าย จิ๊จ๊ะ พ่อรูปงามย่อมเป็นพ่อรูปงาม ไม่ว่าจะมุมสบายๆ มุมไหนก็งดงาม!


 


 


บนภาพถ่าย เบื้องหน้าหน้าต่างมีเงาคนชุดขาวยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ หลังตรงสูงโปร่ง ผมดำดุจธารหลาก นัยน์ตาใสประหนึ่งน้ำพุลึกล้ำ ไข่มุกสีทองอ่อนเปล่งแสงรัศมีมัวสลัวระลอกหนึ่งตรงคอเสื้อ สาดส่องริมฝีปากแดงฉ่ำโค้งเว้าอ่อนช้อยของเขา


 


 


กระเบื้องดำ หน้าต่างแดง กิ่งไม้เขียว อาภรณ์ขาว สีสันสดใสส่งให้มนุษย์งามดุจน้ำแข็งดั่งหยก


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มชื่นชมอยู่เนิ่นนาน เล็บสะกิดเกาคอเสื้อกงอิ้นโดยสำนึก ครุ่นคิดชั่วครู่ ล้วงดินสอสีแท่งหนึ่งออกมาจากอ้อมแขน ระบายสีให้ไข่มุกนั้น


 


 


ระบายเสร็จแล้วยังไม่เลิกรา เอนไปเอียงมาวาดอีกหลายครั้ง เปลี่ยนคอเสื้อทรงสูงรัดตึงเป็นคอวีลึก


 


 


“ข้าอยากเห็นกระดูกไหปลาร้าโว้ย!” นางกุมภาพถ่ายไว้บนหน้าอก เงยหน้าถอนใจเศร้าสร้อย


 


 


พ่อรูปงามไม่ยอมเผยกระดูกไหปลาร้า ต้าปัวกล้ำกลืนโศกศัลย์ชั่วนิจนิรันดร์


 


 


แต่ว่าจะอย่างไรก็ได้ นางเชื่อว่าวันหนึ่งนี้อยู่ไม่ไกลแล้ว…จงใจกลัดตึงขนาดนั้นทุกวัน ไม่ใช่อยากล่อลวงให้นางกระชากออกหรอกเหรอ!


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้าโพลารอยด์ถ่ายแนวตั้งแนวนอนดังแชะๆ หลงลืมความล้ำค่าของกระดาษอัดภาพ จนทำสารคดีพิเศษได้หลายฉบับ ทั้งยืนทั้งนั่ง ทั้งขมวดคิ้วทั้งครุ่นคิด ทั้งมองผู้อื่นด้วยสายตาเย็นชา ทั้งประกาศออกคำสั่ง ผ่านไปชั่วครู่ในมือได้มาหลายภาพ นางพินิจแต่ละภาพ ชื่นชมไม่ขาดปากว่า “หล่อ หล่อ หล่อทุกองศาจนผู้คนพากันรังเกียจ ของดีแบบนี้ พันตำลึงทองยังซื้อไม่ได้เลย…ยงเสวี่ย เจ้าช่วยข้าเก็บไว้ให้ดีนะ”


 


 


เด็กสาวน้อยรับมากำลังตระเตรียมหาที่เก็บซ่อนของรักของฝ่าบาทไว้ให้ดี ได้ยินฝ่าบาทเอ่ยอย่างเปี่ยมด้วยจินตนาการว่า “รอให้มีเวลาว่างออกจากวัง พวกเราตั้งแผงนำไปขาย ภาพเหมือนความละเอียดสูงของราชครูอันดับหนึ่งแห่งต้าฮวง สตรีบ้ากามเหล่านั้นต้องชูตั๋วเงินแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่ เจ้าว่า หนึ่งใบหนึ่งพันตำลึงเงินคงไม่แพงใช่หรือไม่…อ้าวๆ ยงเสวี่ย เหตุใดเจ้าถึงล้มลงไปแล้ว…”

 

 

 


ตอนที่ 58 - 4 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไ...

 

ยามพระอาทิตย์ใกล้ลับฟ้า จิ่งเหิงปัวที่ฟุบหลับตรงสันกำแพงถึงได้ยินประตูจิ้งถิงดังขึ้น เหล่าผู้อาวุโสเดินแถวยาวเหยียดออกมาแล้ว


 


 


จิ่งเหิงปัวชูมือขึ้นหวังจะร้องเรียกทักทายอย่างเบิกบาน ผลคือนอกจากมหาปราชญ์ฉังฟังยิ้มแย้มโค้งคำนับให้นางอยู่ห่างไกลแล้ว เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือหดศีรษะเบนสายตาออกมา เดินไปคล้ายว่าไม่ได้มองเห็นนาง


 


 


ซังต้งกับเฟยหลัวคือสตรีสองนางในหมู่ขุนนางใหญ่ สองคนต่างปฏิบัติต่อจิ่งเหิงปัวอย่างไม่ไว้หน้า ทว่าบรรยากาศระหว่างสองคนคล้ายแปลกประหลาดอยู่บ้าง ไม่สนใจซึ่งกันและกัน เฟยหลัวมองจิ่งเหิงปัวจากไกลๆ ปราดเดียว หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่งแล้วเดินจากไป ทว่าซังต้งยังคงยิ้มแย้มเช่นปกติ ยังพยักหน้าให้จิ่งเหิงปัวอยู่ไกลโพ้น เดินนวยนาดจากไปด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองเงาด้านหลังของนาง หัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง


 


 


ในยามแรกใต้เท้าเซวียนหยวนกับใต้เท้าซังเดินทางไกลไปเมืองซีคังด้วยตนเอง ยอมลดเกียรติขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อนางเชียวนะ


 


 


ด้วยกลัวว่านางจะไม่หลงกล เปิดร้านอาหารร้านเล็กยังเพียบพร้อมกว่าร้านของคนอื่น คาดว่าข้าวของคงเตรียมไว้ทำไว้เรียบร้อยตั้งนานแล้ว กลัวว่าอาหารไม่หลากหลายรูปแบบนางจะไม่ถูกใจ มีมันทุกอย่างเสียเลย


 


 


ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้ว วันนั้นอันตรายรอบด้านจริงๆ ตอนนางเดินเข้าเพิง คนที่เพิ่งกินเสร็จเดินออกไปเหล่านั้นเงาด้านหลังเกร็งแน่น เหมือนเดินทอดน่องพึงพอใจแบบเพิ่งกินอาหารเสร็จตรงไหน เกรงว่าคงเป็นผูู้ตกหลุมพรางที่ตระกูลเซวียนหยวนกับตระกูลซังพามามั้ง


 


 


หากไม่ใช่เพราะกงอิ้นก่อกวนขัดขวาง ตอนนี้โครงกระดูกของนางจะกระจัดกระจายอยู่ที่ไหน


 


 


จิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอด ในใจคิดว่าราษฎรต้าฮวงมีน้ำใจไมตรีซื่อสัตย์ แต่พวกขุนนางแต่ละคนไม่ได้เรื่องจริงๆ


 


 


กำลังคิดว่าจะชำระความแค้นครั้งหนึ่งนี้กลับอย่างไร ประตูจิ้งถิงเปิดออกอีกครั้ง เหยียลี่ว์ฉีเดินออกมาแล้ว


 


 


เขายิ้มแย้มจนหน้าตาท่าทางดั่งวสันต์ คล้ายว่าได้พบเรื่องดียิ่งใหญ่อะไรเข้า


 


 


เรื่องดียิ่งใหญ่ของเขาย่อมไม่ใช่เรื่องดีของกงอิ้น จิ่งเหิงปัวเกิดความสนใจ โบกมือให้เขา


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มเบิกบานมากยิ่งขึ้น ก้าวเดินเข้ามารวดเร็ว


 


 


เบื้องหน้าหน้าต่าง มหาราชครูกงที่กำลังตระเตรียมไปสำรวจกำแพงดอกไม้ผืนใหม่ข้างห้องสักหน่อยหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน


 


 


ไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง สายตาดุร้าย


 


 



 


 


เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่เบื้องล่างกำแพงดอกไม้ เงยหน้ายิ้มพราว


 


 


“ข้างบนสบายอารมณ์หรือไม่”


 


 


“ก็ไม่เลว” จิ่งเหิงปัวมองไปรอบทิศเห็นองครักษ์ต่างอยู่ข้างกาย กล่าวอย่างผ่อนคลายลงว่า “ดูเจ้ายิ้มแย้มเริงร่าขนาดนี้ เจอเรื่องดีเรื่องใดเข้าหรือ”


 


 


“เรื่องดีๆ ย่อมมีอยู่แล้ว” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างสบายใจว่า “เช่น พอก้าวออกประตูมาก็มองเห็นองค์ราชินีผู้งดงามล้ำเลิศรอคอยข้าอยู่ตรงนี้ ต้องมีความสุขเป็นธรรมดา”


 


 


อาถุ้ย จิ่งเหิงปัวแบะปากในใจ มองเห็นนางตายอยู่บนบัลลังก์ เขาถึงจะค่อนข้างมีความสุขล่ะมั้ง


 


 


“เอ่ยขึ้นมาแล้ว ยังมิได้ขอบพระทัยพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทที่ทรงช่วยชีวิตไว้” เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้ายิ้มแย้ม เสียงแผ่วลง


 


 


เขาส่งทหารกล้าตายไปจุดระเบิดย่อมต้องให้คนจับตาดูอยู่ห่างไกลเช่นกัน สายชนวนถูกจิ่งเหิงปัวนั่งทับดับในก้นเดียว หลังจากเกิดเรื่องราวเขาคงรู้แล้ว


 


 


“อะไรนะ” จิ่งเหิงปัวกลับฟังแล้วไม่ได้เข้าใจ ตนเองเคยช่วยเขาไว้ตอนไหน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีเพียงยิ้มแย้มแลไม่อธิบาย จิ่งเหิงปัวกลอกนัยน์ตาครั้งหนึ่ง ในใจคิดว่ามีบุญคุณย่อมดีกว่าไม่มีบุญคุณแน่นอน จึงยอมรับไว้แล้วอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย โบกมือกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อย ขอเพียงเจ้าจดจำบุญคุณของข้าได้ก็พอ ภายหลังอย่าได้เป็นศัตรูกับข้าอีกเลย จริงสิ ในเมื่อข้าคือผู้มีพระคุณของเจ้า เจ้าควรจะตอบคำถามข้าสักข้อกระมัง วันนี้เจอเรื่องดีเรื่องใดหรือ”


 


 


เหยียลี่ว์ฉียังคงยิ้มแย้ม ได้ยินทว่ามิได้ใส่ใจหัวข้อสนทนาวาจาอ้อมค้อมของนาง พลันเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “…ยังต้องขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเลือกสถานที่นี้เพื่อกระหม่อมโดยเฉพาะ ภายหลังต้องฝากฝังให้พระองค์ทรงดูแลแล้ว”


 


 


“หา หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวเชิดคิ้วขึ้น กล่าวว่า “ข้าไม่ได้เลือกเพื่อ…”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหันกายอย่างสง่างามแล้ว โบกมือหัวเราะเหอะเหอะให้ทางจิ้งถิงนั้น ขยับชายผ้าเดินไป


 


 


“พิลึกคน” จิ่งเหิงปัวพึมพำ ชะโงกหัวชะเง้อหน้ามองหาข้างในจิ้งถิง กล่าวว่า “เอ๋ เขาไปกันหมดแล้ว กงอิ้นยังไม่ออกมาอีก ทำอะไรอยู่ในนั้นนะ”


 


 


ในห้องจิ้งถิง


 


 


กงอิ้นมองเหยียลี่ว์ฉีที่จากไปอย่างสง่างามอยู่เงียบเชียบ ไอเหน็บหนาวท่วมท้นเงาร่าง


 


 


เหมิงหู่ยืนอยู่ข้างหลังเขา สั่นเทิ้มไม่กล้าเอ่ยวาจา ในใจแอบกังขา


 


 


“นายท่าน เมื่อครู่ท่านเอ่ยว่าจะไปดูความแข็งแรงของกำแพงดอกไม้ทางนั้น…”


 


 


“ข้าพลันนึกได้ว่ายังมีสมุดพับไม่ได้ตรวจตรา” กงอิ้นมองทางนั้นปราดหนึ่ง หันกายเพียงครั้งนั่งลงไป เอ่ยว่า “มืดแล้ว จุดตะเกียง”


 


 


เติมน้ำมันตะเกียงจนปริ่มล้น คงวางแผนจะอ่านสมุดพับทั้งราตรี


 


 


กงอิ้นกลับมีท่าทางว้าวุ่นเล็กน้อย ประเดี๋ยวเปลี่ยนท่วงท่า ประเดี๋ยวเปลี่ยนทิศทาง


 


 


เหมิงหู่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจา ในใจคิดว่าเจ้านายผู้พอนั่งลงไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวไปค่อนวันแต่ก่อนผู้นั้นหายไปที่ใดแล้ว


 


 


“ปล่อยผ้าม่านลงมา!” กงอิ้นที่ปรับท่วงท่านับมิถ้วนครั้งยังยากที่จะหลีกเลี่ยงหงุดหงิดได้กำชับ


 


 


ไม่ว่าจะนั่งที่ใด ดั่งคล้ายสรงน้ำกลางสายตานาง ดั่งคล้ายเห็นนางเรียกหาเหยียลี่ว์ฉีอย่างอ่อนโยนด้วยดวงพักตร์ยิ้มแย้มเริ่งร่า


 


 


ไม่อยากเห็น


 


 


ผ้าม่านสยายลงมาทึบหนา บดบังดับสูญแสงเงา เงาร่างของเขาสาดสะท้อนบนกำแพง ทอดยาวพลิ้วไสวดุจจิตใจที่ยากจะเอ่ยให้แจ่มแจ้ง


 


 



 


 


ขณะที่คนบางคนกำลังหงุดหงิดอยู่ในห้องหนังสือ จิ่งเหิงปัวปีนลงจากกำแพงโดยไม่สนใจทุกข์สุขของส่วนรวมตั้งนานแล้ว


 


 


นางมีนิสัยเปิดกว้างตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบทำให้คนอื่นลำบากและไม่ทำให้ตนเองลำบากเช่นกัน รอไม่ไหวก็ไม่รอ จะไม่ทำตัวเหมือนผู้หญิงที่ลุ่มหลงยืนแกร่วจนมืดค่ำเศร้าสลดโศกศัลย์รันทดสุดท้ายไอเป็นเลือดหลายรอบแน่นอน


 


 


แต่ก่อนที่สถาบันวิจัยไท่สื่อหลันเคยประเมินจิ่งเหิงปัวว่าเป็นคนที่ไร้ยางอายไร้น้ำใจที่สุดคนหนึ่ง ดูคล้ายมีน้ำใจไมตรีกล้าแสดงออกและช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เสียดาย แต่แท้จริงแล้วนางทำตามใจตัวเองและไม่เก็บเอามาใส่ใจ คนหรือสิ่งของที่สวยงามต่างชื่นชอบ ต่างจะมอบน้ำใจไมตรีให้ ถึงขนาดจะไปไล่ตาม แต่นั่นก็คือการไล่ตามสิ่งของที่ชื่นชอบแบบบริสุทธิ์เท่านั้น


 


 


พอได้รับบาดเจ็บแล้ว นางอาจจะคิดวิธีแก้แค้นทันที ไม่อยากแก้แค้นก็ออกห่าง คร้านจะเคียดแค้น


 


 


พอชื่นชอบแล้ว นางจะเข้าใกล้โดยสำนึก แต่หลังจากผู้อื่นถูกน้ำใจไมตรีของนางดึงดูดจริงๆ แล้ว นางอาจจะวิ่งไปเล่นกับสุนัขอีกทาง


 


 


มีแรงดึงดูดที่ร้อนแรงอย่างยิ่งแต่ไม่มีความรักความแค้นลึกล้ำเพียงพอ ดวงตาของนางทอประกายพร่างพราว ถูกความสว่างสดใสบนเส้นทางดึงดูดเสมอ


 


 


ไท่สื่อหลันเคยกล่าวว่าถ้าอยากให้จิ่งเหิงปัวลืมใครคนหนึ่งไม่ลงจริงๆ อยากจะครอบครองจิตใจทั้งหมดของจิ่งเหิงปัว ทางที่ดีสะบั้นนางอย่างรุนแรงก่อนสักครั้ง


 


 


จิ่งเหิงปัวที่ไม่ยอมลำบากเกินกว่าสามนาทีตลอดไป เวียนวนไปรอบยงเสวี่ยในห้องครัว สูดกลิ่นข้างหม้ออย่างตะกละตะกลาม ไอร้อนผะผ่าวหอมกรุ่นทั่วทิศ


 


 


“นึกไม่ถึงว่าเจ้ายังมีฝีมือทําอาหารเก่งกาจขนาดนี้” จิ่งเหิงปัวเคลิบเคลิ้ม กล่าวว่า “อา น้ำแกงนี้หอมจัง”


 


 


ยงเสวี่ยตักน้ำแกงชามหนึ่งให้นาง จิ่งเหิงปัวกำลังจะซดน้ำแกง มองเห็นนอกประตูมีคนผู้หนึ่งเดินผ่านมา


 


 


“อ๊ะเหมิงหู่” นางยังไม่ไปศึกษาว่าทำไมเขาถึงเดินมาที่นี่กะหันทัน ร้องเรียกอย่างมีน้ำใจไมตรีว่า “มาๆ ที่นี่มีน้ำแกงอร่อยๆ ดื่มด้วยกันสักถ้วย”


 


 


“ฝ่าบาท” เหมิงหู่มองดูน้ำแกงของนางอย่างกลุ้มใจ ใบหน้าสนใจไม่เบาในไอร้อนของนางทำให้นึกถึงกงอิ้นที่เงาร่างโดดเดี่ยวตรวจสมุดพับยามนี้ยังมิได้ทานข้าวแลมิได้เดินออกมา พลันรู้สึกว่าโศกเศร้ามาจากข้างใน เอ่ยว่า “ขอบพระทัยในพระกรุณา ทว่าราชครูยังมิได้ทานอาหาร ข้าเองจึงมิควรทานก่อน…”


 


 


“อ๊ะ กงอิ้นยังไม่ได้กินข้าวหรือ เหตุใดไม่มากินข้าวด้วยกันกับข้า เพราะกลัวว่าข้าจะเอ่ยเรื่องเงินวางเดิมพันหรือ” จิ่งเหิงปัวชะเง้อหน้ามองดูอีกฝั่ง ลานบ้านข้างกำแพงมืดครึ้ม ผุดเผยความเย็นชา เห็นแล้วดูน่าสงสาร


 


 


“ข้านำน้ำแกงไปให้เขาก็พอแล้ว” นางให้ยงเสวี่ยจัดน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมใส่กระเพาะปลาให้นางหนึ่งโถกระเบื้อง หิ้วไว้ตระเตรียมไปแสดงความมีน้ำใจด้วยตนเอง


 


 


หากเอาเปรียบได้สักหน่อยคงจะดีมาก ดูจากท่าทางกงอิ้นตัดสินใจว่าลงโทษเขาเป็นเงินวางเดิมพันของเขา


 


 


เหมิงหู่คล้ายโล่งใจไปเฮือกหนึ่ง ผลิแย้มรอยยิ้มสายหนึ่ง รีบเร่งก้าวเดินไปล่วงหน้าก้าวหนึ่งแล้ว


 


 


ต้องกลับไปแจ้งข่าวดีนี้ให้เจ้านายทราบแล้ว


 


 



 


 


“นางจะนำน้ำแกงไก่มาให้ข้าหรือ” กงอิ้นนั่งหันหลังให้เหมิงหู่ไม่ขยับไม่เขยื้อน คล้ายว่าอ่านสมุดพับอย่างตั้งใจยิ่ง


 


 


“ขอรับ” เหมิงหู่ยิ้มแย้มปล่อยมือสองข้าง เอ่ยว่า “นางทรงตระเตรียมด้วยตนเองเชียว”


 


 


“นางไม่ได้ทำด้วยตนเองเสียหน่อย แน่นอนว่าอาหารที่นางทำด้วยตนเองนั้นกินไม่ได้” กงอิ้นเฉยชาเฉื่อยเนื่อยพลิกสมุดพับไปหน้าหนึ่ง ท่าทางหมางเมินเฉยเมย


 


 


“นับเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง” เหมิงหู่กลั้นรอยยิ้มมุมปากมิได้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาททอดพระเนตรข้าเดินผ่าน ตรัสถามข้าโดยเฉพาะว่าท่านได้ทานข้าวแล้วหรือไม่ ได้ยินว่าท่านยังไม่ได้ทาน ทรงลุกขึ้นตักน้ำแกงให้ท่านโดยพลัน นางเองยังมิได้เสวยเลยขอรับ”


 


 


“ดียิ่งนักแล้วที่ไม่ได้กิน มิเช่นนั้นเกรงว่าจะมีน้ำลาย” เฉยชาเฉื่อยเนื่อยวาจาเราะร้ายพาให้คนโกรธเคือง ทว่าปรับท่านั่งแล้วเล็กน้อยอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ใบหน้าเอียงไปทางข้างห้องเล็กน้อย


 


 


ข้างห้องจุดตะเกียงสว่างไสวท่ามกลางความมืดมิด คล้ายโชยกลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำแกงไก่มา แสงตะเกียงที่เปล่งประกายสาดส่องบนใบหน้าเขา แสงนัยน์ตาวูบไหวล้นปริ่ม ทรวดทรงอ่อนช้อย


 


 


เหมิงหู่กลับเริ่มร้อนใจขึ้นมาเสียแล้ว…ตนเองเพียงเดินมาก่อนก้าวหนึ่ง เหตุใดยามนี้ราชินียังไม่หิ้วน้ำแกงไก่มาอีก


 


 



 


 


จิ่งเหิงปัวหิ้วน้ำแกงไก่เดินไปข้างห้อง


 


 


หิ้วน้ำแกงไก่อยู่แน่นอนว่าไม่อาจปีนกำแพง นางพิจารณาความยาวของลานบ้านอยู่สักพัก รู้สึกว่าออกไปทางประตูหลักแล้วอ้อมเข้าประตูหลักของจิ้งถิงแล้วค่อยไปถึงห้องหนังสือของกงอิ้น ระยะทางเส้นโค้งนั้นไกลไปหน่อยจริงๆ


 


 


จากนั้นนางก็มองเห็นบนกำแพงที่เชื่อมต่อกันสองฝั่งในลานบ้านด้านหลัง มีประตูข้างสองบานใกล้กัน ประตูหนึ่งหันไปด้านนอกตรงกับทางหลักและสถานที่ทำงานด้านนอก ประตูหนึ่งหันเข้าด้านในตรงกับห้องหนังสือของกงอิ้นพอดี


 


 


นางต้องใช้ทางลัดอยู่แล้ว เดินไปทางประตูตรงข้ามห้องหนังสือของกงอิ้นประตูนั้น


 


 


เพิ่งจะเดินถึงข้างประตู ยังไม่ได้ผลักประตูที่หันเข้าด้านในบานนั้น ประตูที่ติดกับทางหลักบานนั้นเปิดออกโดยพลันแล้ว


 


 


สองมือพลันยื่นเข้ามาวางอยู่เบื้องหน้านาง มือข้างหนึ่งหิ้วน้ำแกงไก่ของนางไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวเป็นธรรมชาติยิ่งนัก


 


 


เสียงคุ้นเคยที่ยังได้ฟังเมื่อครู่เสียงหนึ่ง ยิ้มแย้มเอ่ยอย่างน่าชิงชังว่า “ว้าว พระราชทานสิ่งนี้ให้กระหม่อมหรือ หอมยิ่งนัก!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม