แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 571-577

ตอนที่ 571 ป้องกันไว้ก่อน

 

“ลูกเชี่ยน ผมว่าตอนนี้คุณไปเป็นนักสืบได้เลยนะ แค่เจอกันไม่กี่นาทีคุณก็วิเคราะห์ออกมาได้มากมายขนาดนี้ สุดยอด” 


 


 


เขาชมจากใจ 


 


 


ทะเลาะกับผู้หญิงไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ เข้าใจหรือไม่เข้าใจว่าเธอโกรธอะไร พวกนี้ล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือต้องตามเธอให้ทัน ไม่ว่าจะผิดหรือไม่ผิดขอแค่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง การชื่นชมเธอใช้ได้ดีแน่ 


 


 


นี่คือบทสรุปของอวี๋หมิงหลางที่ได้จากประสบการณ์ในช่วงสองปีกว่ามานี้ ราชินีของเขาไม่ชอบให้ตอบโต้—ยกเว้นเรื่องบนเตียง ถ้ามีข้อขัดแย้งก็ไม่ต้องแสดงออก ว่าตามเธอไปแล้วจะดีเอง 


 


 


“ไร้สาระ ฉันทำงานอะไร? นายอย่าคิดว่าโรคจิตเวชเป็นเรื่องพบเจอได้ยาก แค่นายไปยืนข้างถนนมองคนที่เดินผ่านไปมา ในสิบคนอย่างน้อยก็มีหกคนแล้วที่เป็นโรคจิตเวชในระดับที่ต่างกัน ก็แค่บางคนไม่ส่งผลต่อชีวิตแค่นั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว” 


 


 


“ใช่ๆๆ”คนใจกว้างพูดอะไรก็ถูกเสมอ อวี๋หมิงหลางพยักหน้ารัวๆสายตาไม่กล้าละไปจากหน้าเธอ 


 


 


ไม่เจอกันนาน เมียเขาพอใส่เสื้อผ้าหน้าร้อนละดูผอมกว่าเดิมอีก จึ๊จึ๊ หุ่นช่างสะโอดสะอง 


 


 


“ฉันไม่ใช่ว่าจะไม่ให้นายมีอดีตเลย แต่ฉันไม่ชอบที่นายบอกว่าเขาดูใสซื่อไม่เสแสร้ง และก็ไม่ชอบที่นายพูดต่อหน้าฉันว่าเขาห้าว ยิ่งเป็นผู้หญิงที่แสดงออกว่าไม่แคร์อะไร ก็ยิ่งแสดงออกถึงความ ‘ไม่แคร์’ของตัวเอง ผู้หญิงที่ไม่แคร์จริงๆน่ะเขาไม่เป็นแบบนี้หรอก เอาเป็นว่าฉันไม่เคยเจอผู้หญิงที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าใจกว้างก็แล้วกัน ถ้านายไม่อยากตายก็อยู่ให้ห่างๆเขาก็แล้วกัน” 


 


 


“มีโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าจริงๆเหรอ?” ตอนแรกอวี๋หมิงหลางคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนแค่พูดขึ้นมาเล่นๆ 


 


 


“ไร้สาระ ไม่อย่างนั้นนายคิดว่าอยู่ดีๆฉันจะใส่ร้ายคนหรือไง? ฉันก็แค่ไม่อยากให้อีกหน่อยนายถูกเขาใช้ ‘ความใสซื่อ’เข้ามาพัวพันด้วย ถ้ามีผู้หญิงใช้ความใสซื่อมาแย่งผู้ชายฉัน งั้นฉันควรปล่อยไป ‘อย่างใสซื่อ’ งั้นสิ?” 


 


 


“ไม่ใช่ เดี๋ยวนะ—ลูกเชี่ยน คุณว่าเขาชอบผมเหรอ?” ในที่สุดอวี๋หมิงหลางก็เข้าใจ ลูกเชี่ยนของเขาคงไม่ได้กำลังหึงหรอกนะ? 


 


 


“ฉันคงไม่เชื่องช้าถึงขนาดที่คนอื่นใช้สายตาหื่นกระหายมาร้อยปีมองผู้ชายของตัวเองแล้วยังไม่รู้ตัวหรอกนะ” 


 


 


“คุณคิดมากแล้ว จะเป็นไปได้ยังไง—ผมไม่เห็นเขาเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ อีกอย่าง ไม่ได้ติดต่อกันตั้งหลายปีแค่เจอกันจะชอบเลยเหรอ? ลูกเชี่ยนการที่คุณหึงบ้างมันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่อย่าให้ถึงกับขาดสติ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเพ้อเจ้อไปไกลแล้ว 


 


 


เขาจะไปคิดอะไรกับคนที่เหมือนผู้ชายแบบนั้นได้? 


 


 


ถ้าจะมีอะไรก็คงเกิดตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงที่ไม่เจอกันหลายปีพอเจอกันก็ปิ๊ง? 


 


 


“ฉันหึงบ้าบอก็จริง แต่ขอเตือนนายไว้เรื่อง ถ้าภายในหนึ่งสัปดาห์ยัยผู้หญิง ‘ใสซื่อ’ คนนี้โทรหานาย หรือบังเอิญเจอเขา ไม่ว่าเขาจะให้เหตุผลในการนัดนายยังไงก็ให้ปฏิเสธให้หมด ไม่ว่าเขาจะทำตัวน่าสงสารหรือออดอ้อนขนาดไหน ให้บอกไปเลยว่า ผมรักคู่หมั้นมาก เอาประโยคนี้ตอกให้หน้าหงายไปเลย” 


 


 


“เขาไม่มีเบอร์ผม เบอร์ส่วนตัวของผมคิดว่าใครก็มีได้เหรอ? แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะโทรไปที่หน่วย คนใส—” อวี๋หมิงหลางเบรกทัน เกือบพูดคำที่เสี่ยวเชี่ยนไม่ชอบออกไปแล้ว 


 


 


“อวี๋เสี่ยวเฉียง จิตแพทย์จะสอนอะไรให้นะ คนที่เอาคำว่า ‘ฉันเป็นคนแมนๆ’ ‘ฉันไม่แคร์อะไรทั้งนั้น’ ‘ฉันไม่ต้องการอะไรมาก’ พูดจนติดปาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ใจแคบ อย่างเช่นนายคงจะเคยได้ยินคนพูดว่า ฉันเป็นคนใจกว้าง เป็นไปได้ว่าแค่หันหลังเขาก็เอานายไปขายแล้ว เพราะคนที่มีนิสัยติดฉลากให้ตัวเองแบบนี้หลายคนเป็นคนสองมาตรฐาน เข้มงวดกับคนอื่นมาก แค่คนอื่นทำไม่ถูกใจนิดหน่อยก็จะคิดว่าคนทั้งโลกทำผิดต่อเขา แต่พอเขาทำผิดต่อคนทั้งโลกบ้าง กลับพูดออกมาแค่ว่า ฉันเป็นคนแมนๆ ฉันใจกว้าง ดังนั้นสำหรับฉัน ประโยคพวกนี้มันไม่น่าฟัง อย่าเอาคำว่าใจกว้างมาเป็นเหตุผลทำร้ายคนอื่น แล้วก็อย่าเอาการทำร้ายคนอื่นมาระบายอารมณ์ตัวเอง” 


 


 


คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนตรงไปตรงมา 


 


 


บนโลกนี้มีคนมากมายที่เป็นแบบนี้ มักจะบอกว่าตัวเองเป็นคนใจกว้างมาก หลังจากทำร้ายคนอื่นไม่เพียงแต่จะไม่สำนึกผิดยังมาหาว่าคนอื่นใจแคบอีก อีกทั้งคนจำพวกนี้มีอัตราส่วนอยู่ไม่น้อย ในสิบคนอย่างน้อยก็มี 2-3คนแล้ว 


 


 


เธอกับอวี๋หมิงหลางคบกันมาได้สามปีกว่าแล้ว นอกจากไม่มีใบทะเบียนสมรส แต่ทุกอย่างเหมือนคู่สามีภรรยาหมด 


 


 


ทรัพย์สมบัติรวมอยู่ด้วยกัน ร่างกายกับความรู้สึกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว เธอไม่อยากให้ใครหน้าไหนหรือเรื่องใดๆก็ตามมากระทบชีวิตที่มั่นคงของเธอ 


 


 


ยัยเสียวอวี่คนนี้เสี่ยวเชี่ยนจะไม่เก็บมาใส่ใจชั่วคราว แต่ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมอย่างอวี๋หมิงหลางเอาไปวางที่ไหนผู้หญิงก็ชอบ เพื่อป้องกันอีกหน่อยมีแมลงวันมาตอมเขาแบบนี้อีก เธอจำเป็นต้องล้างสมองเขา ผู้หญิงคนอื่นไม่ได้เรื่องหมดยกเว้นเมียตัวเอง 


 


 


“พวกเรามาพนันกัน ถ้าผู้หญิงคนนี้” 


 


 


“เสียวเหม่ย ลูกเชี่ยน เบบี๋ ที่รัก คุณแน่ใจว่าจะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรามารบกวนเวลาเราเหรอ?” 


 


 


คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ในที่สุดก็มีคำที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนพอใจ 


 


 


วัตถุประสงค์ล้อมคอกก่อนวัวหายสำเร็จแล้ว เธอไม่คิดจะจับเรื่องนี้ไม่ปล่อยอีกต่อไป 


 


 


“ไปอาบน้ำ” 


 


 


ในบ้านมีห้องน้ำสองห้อง เสี่ยวเชี่ยนดันเขาไปอีกห้องหนึ่ง แต่เขากลับเดินตามเธอเข้าไป 


 


 


“ช่วยชาติประหยัดน้ำพวกเราอาบด้วยกันดีกว่า” 


 


 


เขาพูดด้วยท่าทีจริงจัง ไม่สนว่าเสี่ยวเชี่ยนจะยินยอมหรือไม่ เขาจัดการถอดเสื้อผ้าของเสี่ยวเชี่ยนออกอย่างรวดเร็ว ผิวขาวนวลเนียนเห็นแล้วเป็นอาหารตา 


 


 


“เมียจ๋า ทำไมคุณถึงได้ดึงดูดสายตาแบบนี้ ผิวขาวๆมันช่างยั่วยวน อย่าไปเอาอย่างผู้หญิงแต่งตัวจัดข้างนอกนะ แค่เข้าใกล้ก็ได้กลิ่นแสบจมูก เมียผมนี่ดีสุด ธรรมชาติ100%~” 


 


 


เมื่อไรที่เจอเธอก็จะได้กลิ่นหอมแบบเป็นธรรมชาติ น่ารักที่สุด 


 


 


“เมื่อกี้นายยังชมคนอื่นอยู่เลยนะว่าผู้หญิงเปลี่ยนตอนอายุสิบแปด” เสี่ยวเชี่ยนพูดประชด 


 


 


“อย่าทำลายบรรยากาศได้ไหม ก็นั่นผมยังพูดไม่จบ ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้ดูแล้วรื่นตาเท่าสมัยเด็กๆ” 


 


 


“หึหึ นายยังจำเขาตอนเด็กๆได้ด้วย…” 


 


 


อาการหึงเล็กๆแบบนี้ทำให้อวี๋หมิงหลางแอบดีใจ เขายกแขนขึ้นแล้วพูดอย่างภูมิใจ “ลูกเชี่ยนดูพี่สิ กล้ามเป็นมัดๆ เดินออกไปสาวๆต้องกรี๊ดมากแน่ๆใช่ไหม?” 


 


 


ปกติเขาอยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสกับโลกภายนอก จึงไม่ค่อยมีเซ้นส์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเท่าไร 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่งเสียง หึ ออกมา จะไม่กรี๊ดได้ไง? 


 


 


ภูมิหลังของเขาพ่อแม่เป็นเปลือกชั้นดีให้ หน้าที่การงานก็มีเกียรติ ผู้ชายแบบนี้เอาไปโยนไว้ที่ไหนมีแต่ผู้หญิงจะมารุมทึ้ง 


 


 


โดยเฉพาะช่วงสองปีนี้รสนิยมในการแต่งตัวเปลี่ยนไปเพราะเสี่ยวเชี่ยน นับวันจะยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาได้ออกมาข้างนอกบ่อยๆ ต่อให้ไม่ทำอะไร พวกผู้หญิงก็คงพยายามหาวิธีเข้าใกล้อยู่ดี 


 


 


“วางใจได้ พี่คนนี้จะไม่มองใครนอกจากหนูคนเดียว ไม่มีทางออกนอกกรอบแน่นอน” อวี๋หมิงหลางก้มหน้าคิดจะจูบปากเล็กๆของเธอ ทันใดนั้นก็ตัวแข็ง เฮ้ย มือจับตรงไหนอยู่น่ะ? 


 


 


“ถ้ากล้าเอาของที่ฉันใช้ได้คนเดียวไปให้คนอื่นแตะ เอาลีลาที่ฝึกจากฉันไปใช้กับคนอื่นล่ะก็ ฉันจะเอาให้สูญพันธุ์เลยคอยดู” 


 


 


“ลูกเชี่ยน…พวกลีลาเนี่ยสูญพันธุ์ไม่ได้มั้ง? แล้วก็มือคุณน่ะช่วยเอาออกก่อนได้เปล่า?” 


 


 


ไม่เจอกันนานนี่เป็นวิชาใช้มือด้วยเหรอ? 

 

 

 


ตอนที่ 572 สะเทือนใจกับสนุกสนาน

 

เวลาถูกจับจุดอ่อน ต่อให้เป็นผู้ชายที่เก่งแค่ไหนก็เชื่อฟังทันที 


 


 


“เสียวเหม่ย เบาๆหน่อย เดี๋ยวใช้งานไม่ได้ความสุขของคุณจะลดลงนะ” 


 


 


“ฉันจะบอกนายนะอวี๋เสี่ยวเฉียง ร่างกายของนายทั้งท่อนบนและล่างเป็นของฉันคนเดียว เรื่องความรักฉันไม่แก่งแย่งกับใครทั้งนั้น เมียหลวงตบเมียน้อยเรื่องแบบนั้นฉันไม่ลดตัวลงไปทำ นายอยากจะหนีไปกับใครก็เชิญ ฉันไม่ห้าม” 


 


 


ใช้น้ำเสียงราบเรียบทำเรื่องที่อันตรายได้มีแต่เธอเท่านั้น 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่กล้าขยับ และก็ไม่มีทางโง่เชื่อคำพูดเธอแน่นอน 


 


 


ปากบอกไม่ห้ามแต่จับไม่ปล่อยเลยนะ 


 


 


“ไม่หนีจ้ะไม่หนี เสียวเหม่ยของผมสุดยอดที่สุดแล้ว พี่คนนี้ตัวติดหนึบ ไม่มีทางไปไหนทั้งนั้น” 


 


 


“อย่าฝืนน่า” เธอยิ้มอย่างอ่อนหวาน 


 


 


“ไม่ฝืน ผมยืนยัน…เสียวเหม่ย คุณไม่คิดว่ามืออยู่ผิดที่เหรอ…น้องชายก็ยืนยันคำตอบไปแล้ว เห็นไหมว่ามันหนักแน่นแค่ไหน” 


 


 


“ลีลาเอาคืนไม่ได้ไม่เป็นไร งั้นฉันยึดเครื่องมือของกลางก็ได้” 


 


 


อวี๋หมิงหลางทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ทำสีหน้าเจ็บปวด 


 


 


“โอ๊ย~” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตกใจรีบปล่อยมือ เธอไม่ได้ออกแรงเลยนะ ไม่ขนาดนั้นมั้ง? 


 


 


“แย่แล้ว…ละเอียดแล้วแน่เลย…อ๊าก…กระดูกหักหรือเปล่าเนี่ย” 


 


 


ตรงนั้นกระดูกหักได้ด้วยเหรอ? ขนาดคนไอคิวระดับเสี่ยวเชี่ยนยังถูกเขาหลอกได้ ประเด็นคือสีหน้าของอวี๋หมิงหลางดูเจ็บปวดมาก 


 


 


 


 


 


“นายโอเคใช่ไหม?” 


 


 


“แย่แล้ว ลูกเชี่ยนคุณเคยไปฝึกมาใช่ไหม ผมรู้สึกเหมือนถูกตอนเลย ไม่เชื่อลองเป่าดูสิ~~” 


 


 


เป่าสิเป่า…ฮี่ๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจทันที เธอโดนไอ้บ้านี่หลอกอีกแล้ว 


 


 


แต่มาเข้าใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เขาแยกขาเธอออก ทำหน้าน่าสงสาร แต่การกระทำกลับโหดสุดๆ 


 


 


“เพื่อพรุ่งนี้ที่สวยงามของพวกเรา ผมลองใช้ดูหน่อยดีกว่า เกิดมันเสียไปจะทำยังไง” 


 


 


“ออก ไป” 


 


 


“เด็กโง่ เชิญเทพมาน่ะง่ายแต่จะให้กลับน่ะยาก เข้ามาแล้วก็อย่าคิดจะออกไป” 


 


 


จากนั้นเวลาแห่งการทดลองก็มาถึง หยาดเหงื่อไหลลงดุจไข่มุก น้ำในอ่างหมุนวนดั่งดอกไม้บาน มีเงินทองหรือจะซื้อช่วงเวลาในตอนนี้ได้… 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถูกฝันร้ายรังควานมานาน นี่เป็นคืนแรกที่หลับยันสว่างโดยไม่ฝัน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตื่นขึ้นมาด้วยเสียงริงโทนโทรศัพท์ โทรศัพท์มือถือในยุคสมัยนี้สามารถใช้เพลงMP3ตั้งเป็นเสียงเรียกเข้าได้แล้ว เพลงพบกันของซุนเยี่ยนจือดังขึ้นในห้องครั้งแล้วครั้งเล่า เสี่ยวเชี่ยนเพิ่งเปลี่ยนโทรศัพท์เมื่อต้นปี กล้องความละเอียด1.3ล้านพิกเซล ถือว่าดีสุดในตอนนี้แล้ว รูปแม่ที่โชว์อยู่บนหน้าจอกระพริบไปมา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนคลุมชุดนอนพลางหาวออกมาแล้วหยิบโทรศัพท์เดินออกจากห้องนอน เธอใช้สายตาตามหาร่องรอยของเขา แต่จมูกได้รับสารไวกว่าดวงตา เขากำลังปลุกปล้ำกับแป้งทำอาหารอยู่ในครัว ดูท่าเขาคิดจะห่อเกี๊ยว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนั่งลงตรงข้ามกับเขา เธอไขว่ห้างคุยโทรศัพท์กับแม่ ชุดนอนกระโปรงสีแดงเข้มบังขาขาวๆไม่มิด ดึงดูดสายตาของเขา นี่ถ้าไม่ติดว่ามือเลอะแป้งเขายังอยากจะเข้าไปลูบสักหน่อย 


 


 


“มีอะไรเหรอแม่?” 


 


 


“แกติดต่อหมิงหลางได้ไหม?” 


 


 


เสียงของเจี่ยซิ่วฟางดังลอดมาตามสาย เธอกับพ่อเลี่ยวตกล่องปล่องชิ้นอย่างเป็นทางการไปเมื่อหนึ่งปีก่อน เดิมเสี่ยวเชี่ยนคิดว่าบัตรฟิตเนสที่เธอไปสมัครไว้จะทำให้แม่ผอมลง ปรากฏว่ากลับถูกพ่อเลี่ยวขุนเสียจนตัวกลมหนักกว่าเดิม 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางเองก็ออกกำลัง เล่นโยคะ แต่น้ำหนักก็ไม่ลด แค่ดูเป็นคนอ้วนแบบมีสุขภาพดี เสี่ยวเชี่ยนสงสัยว่าเป็นเพราะพ่อเลี่ยวชอบทำของอร่อยเลี้ยงแม่เธอให้อ้วน 


 


 


“หมิงหลางเหรอ? ได้สิ มีอะไรหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองอวี๋หมิงหลาง เขาพอได้ยินชื่อตัวเองก็เงยหน้าขึ้นมาจ้อง เสี่ยวเชี่ยนฉวยโอกาสเอานิ้วจิ้มแป้งป้ายจมูกเขา เลยถูกเขางับนิ้วไม่ยอมปล่อย 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่ตัวเองตามหากำลังเล่นอยู่กับลูกสาวที่กำลังคุยโทรศัพท์ เธอจึงบ่นให้ลูกสาวฟัง 


 


 


“หมิงหลางนี่นะ เวลาต้องการเรียกใช้ล่ะหาตัวไม่เจอ โทรไปที่หน่วยก็บอกว่าเขาได้หยุดครึ่งเดือน โทรเข้ามือถือก็ไม่ติด ฉันล่ะร้อนใจจริงๆ…” 


 


 


“นายได้หยุดครึ่งเดือนเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง เขายักไหล่ เสี่ยวเชี่ยนจึงถลึงตาใส่ เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคิดบัญชี 


 


 


“แม่ ที่บ้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” 


 


 


“ไม่ได้เกิดเรื่องหรอก ก็น้องแกจะสอบเข้ามหาลัยแล้วไม่ใช่เหรอไง? คะแนนจำลองการสอบครั้งที่สามออกมาแล้วได้250 ทำไงดี จะไปเข้าที่ไหนได้ ฉันโมโหจนความดันขึ้นแล้วเนี่ย พี่ชายของพวกแกก็พูดไม่ออก ฉันล่ะเป็นงง พี่ชายเป็นดอกเตอร์ติวน้องชายตัวต่อตัว ทำไมถึงได้แค่250? ไม่ได้การ แกลองถามหมิงหลางให้หน่อยว่าว่างไหม ให้เขามาช่วยติวน้องแกให้หน่อย” 


 


 


“อย่านะ อย่าเด็ดขาด หมิงหลางไม่มีเวลาหรอกแม่” เสี่ยวเชี่ยนรีบปฏิเสธ 


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังจะพูดว่าว่าง แต่เสี่ยวเชี่ยนปิดปากเขาไม่ให้พูด 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางพอพูดถึงลูกชายก็กลุ้มใจ ลูกสาวเรียนข้ามชั้นไปต่อปริญญาโทได้อย่างราบรื่น แล้วทำไมลูกชายถึงได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยยากเย็นแบบนี้? 


 


 


“ฟู่กุ้ยไม่ไหวเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามด้วยความสะใจเล็กๆ 


 


 


“อย่าพูดถึงเลย พอคะแนนจำลองการสอบครั้งที่สามออกมาพี่เลี่ยวของพวกแกก็ไม่ไหวแล้ว สองวันมานี้กินข้าวไม่ลงน้ำลายบูดแล้วมั้งนั่น ฉันซื้อยาแก้ร้อนในมาให้ก็ไม่ได้ผล ฉันว่าเขาคงช็อกหนักน่ะ” 


 


 


สามารถทำให้ดอกเตอร์ถึงกับสงสัยในวิชาของตัวเอง น้องเฉินจื่อหลงนี่ผลงานดีไม่เบา 


 


 


“แม่ เราต้องเผชิญกับความจริงนะ ปล่อยไปเถอะ ต้าหลงไม่ถนัดเรียนหนังสือ ฟู่กุ้ยยังติวไม่รอดเลย ให้ใครไปติวก็เหมือนกัน จำลองการสอบนั่นง่ายสุดแล้วนะ จุดประสงค์ก็เพื่อให้นักเรียนมีความมั่นใจ ต้าหลงได้แค่250…อุ๊บ” 


 


 


แล้วจะไปหาความมั่นใจได้จากไหน นี่มันเป็นการโจมตีความมั่นใจของนายเลี่ยวฟู่กุ้ยอย่างหนักหน่วงเลยนะ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนคิดในใจ มิน่าช่วงนี้เลี่ยวฟู่กุ้ยไม่หางานให้เธอทำแล้ว ที่แท้ก็ฝีมือเฉินจื่อหลง 


 


 


หลังจากที่เจี่ยซิ่วฟางแต่งกับพ่อเลี่ยวแล้ว สองครอบครัวก็ไปอยู่ด้วยกัน เจี่ยซิ่วฟางมีความสุขสุดๆ ไม่เพียงแต่พ่อเลี่ยวจะดูแลดียิ่งกว่าเดิม ยังมีดอกเตอร์อย่างเลี่ยวฟู่กุ้ยอยู่ด้วย เรื่องเรียนของจื่อหลงมีทางรอดแล้ว 


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเป็นคนจริงจัง ทุกวันหลังเลิกงานกลับมาบ้านติวหนังสือให้เฉินจื่อหลงอย่างยากลำบาก ปรากฏว่าสอบออกมาได้แค่ 250 คะแนน บาดแผลในใจของดอกเตอร์เลี่ยวจะใหญ่ขนาดไหนยากที่จะคาดเดา 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางไม่มีทางเลือกแล้วถึงได้นึกถึงลูกเขยผู้เก่งรอบด้าน 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ แกไปคุยกับหมิงหลางให้หน่อยสิ ให้เขาช่วยหาวิธีหน่อย น้องชายแกทำตัวเหมือนไม่สะทกสะท้าน สอบได้250คะแนนเล่นเอาฉันกับอาเลี่ยวของแกร้อนใจจนจะเป็นบ้า แต่น้องแกกลับทำเป็นเหมือนไม่มีอะไร กินได้นอนหลับสนิท เมื่อคืนฉันโกรธจนวิ่งไปที่ห้องน้องแก เห็นมันนอนหลับอย่างกับหมูตายเลยหยิกหูมันขึ้นมา ลูกคนนี้มันไม่ได้เรื่องจริงๆ” 


 


 


“เดี๋ยวนะแม่—ดึกๆดื่นๆแม่ไปที่ห้องต้าหลงแล้วหยิกหูน้องขึ้นมาเนี่ยนะ?” 


 


 


อุ๊บ อวี๋หมิงหลางกลั้นไม่อยู่ มันเห็นภาพมาก 


 


 


ยามค่ำคืน น้องเมียที่กำลังนอนหลับฝันหวานอยู่ๆก็ถูกทำให้ตื่นขึ้น พอลืมตาก็เห็นใบหน้าอวบอ้วนสีหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงหน้ากำลังจ้องมาที่เขาท่ามกลางความมืด 


 


 


ฮ่าๆๆๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเองก็กลั้นขำไม่ไหว นี่แม่ผ่านวัยทองไปแล้วนะยังจะเป็นแบบนี้อีก 

 

 

 


ตอนที่ 573 บังคับแต่งงานกับหน้าแตก

 

“หัวเราะอะไร ฉันกลุ้มจะตายอยู่แล้ว ฉันไม่ยอมแพ้ไอ้ลูกคนนี้หรอก ทุกคนกลุ้มเรื่องมันจะตายแต่มันกลับทำเหมือนไม่มีอะไร เชี่ยนเอ๋อ แกช่วยคิดหน่อยสิว่าจะทำไงกับน้องชายแกดี?”


 


 


“หนูจะทำอะไรได้ สอบได้แค่ไหนก็แค่นั้น ขนาดเลี่ยวฟู่กุ้ยยังทำอะไรไม่ได้ พวกหนูก็จนปัญญา”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดไปตามความจริง น้องเธอไม่ได้โง่ อีกทั้งยังเป็นคนช่างสังเกต แต่เรื่องการเรียนไม่เอาไหนจริงๆ


 


 


ตอนสอบเข้ามอปลายเธอกับอวี๋หมิงหลางผลัดกันติวให้ เอาแส้หนังเล็กๆคอยตี น้องชายเธอถึงได้เข้าโรงเรียนมัธยมปลายที่แย่ที่สุดได้ หลังจากที่เจี่ยซิ่วฟางปรึกษากับเสี่ยวเชี่ยนแล้วจึงตัดสินใจยอมจ่ายแพงเอาเฉินจื่อหลงเข้าโรงเรียนเอกชนชั้นดี ต่อมาก็ได้ดอกเตอร์ในบ้านช่วยติวให้ตัวต่อตัว แล้วก็ได้คะแนนจำลองการสอบครั้งที่สาม 250…


 


 


แม้แต่อวี๋หมิงหลางยังสงสารเลี่ยวฟู่กุ้ย ที่พี่ฟู่กุ้ยต้องนอนซมคงเพราะรับไม่ได้


 


 


“คะแนนแบบนั้นเรียนปวส.ยังอาจจะไม่ได้เลย หรือนี่ฉันจะต้องยัดเงินให้เข้าเรียนปวส.หรือไม่ก็อาชีวะแล้วก็ใช้เงินซื้อใบจบให้เหรอ?” ตอนนี้เจี่ยซิ่วฟางโมโหมาก ช่วงสองปีมานี้เธอไม่ทำงานรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างแล้ว ไปเปิดร้านซักแห้งขนาดใหญ่แทน จ้างคนมาทำงานหมด เธอก็แค่ไปดูที่ร้านบ้างเพื่อตรวจเช็คบัญชี


 


 


ฐานะดีขึ้นแล้ว เงินที่ได้ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เพียงพอที่จะให้เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ได้ต่อไปอย่างไม่ลำบาก ตึกแถวที่อยู่ในเมืองก็ได้ค่าเช่า รายจ่ายในบ้านพ่อเลี่ยวก็เป็นคนออก วันๆเจี่ยซิ่วฟางใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นคุณนายผู้พิพากษา


 


 


อย่างเดียวที่ทำให้ไม่สบายใจก็คือเส้นทางอนาคตของลูกชาย ไม่อยากให้ลูกชายความรู้น้อยต้องไปทำงานเป็นลูกน้องระดับล่างมีชีวิตลำบากเหมือนตัวเธอ แต่เด็กคนนี้เรื่องเรียนไม่เอาไหนเลยจริงๆ จะทางไหนก็มองไม่เห็นหนทาง


 


 


“เรื่องของน้องเดี๋ยวหนูขอปรึกษากับอวี๋หมิงหลางก่อนแล้วค่อยให้คำตอบนะแม่” เสี่ยวเชี่ยนวางแผนอนาคตของน้องชายไว้แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้ถามความเห็นของน้องชาย


 


 


“น้องชายแกนี่น่าปวดหัวจริงๆ แกเองก็เหมือนกัน” เจี่ยซิ่วฟางบ่น


 


 


“หนูว่าแม่เนี่ยพอเป็นคุณนายผู้พิพากษาแล้วชักจะเอาใหญ่ หนูไปทำให้ปวดหัวตรงไหน?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอม


 


 


“แกกับหมิงหลางหมั้นกันมานานเท่าไรแล้ว? แกจะจบปริญญาโทอยู่แล้ว ทำไมเขายังไม่พูดเรื่องแต่งงานกับแกอีก? พวกแกนอนด้วยกันตั้งกี่ครั้งแล้ว ฉันนี่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แกก็อายุมากขึ้นทุกวัน—”


 


 


“เดี๋ยวนะแม่ หนูอายุมาก?” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนโดนโจมตีอย่างรุนแรง


 


 


เธอเรียนจบก่อนสองปี ตอนนี้เพิ่งอายุยี่สิบนิดๆ เป็นเหมือนดั่งดอกไม้แรกแย้ม ทำไมถูกแม่ทำเหมือนกับเธอกำลังจะแก่?


 


 


“ลูกสาวของน้องชายน้องสาวอาเลี่ยวของแกอายุเท่าแกแต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว เมื่อวานยังอุ้มลูกมาให้ฉันดู แกกลับไปถามหมิงหลางดู ถ้าได้ก็จัดงานแต่งไปเลย จะยื้อไว้ทำไม ตอนแกเรียนจบฉันก็อยากให้แกแต่งงานแล้ว แต่แกบอกขอเรียนจบปริญญาโทก่อนค่อยว่ากัน นี่อีกเดี๋ยวก็จะจบแล้ว ฉันล่ะกลัวแกจะบอกขอจบดอกเตอร์ก่อนค่อยว่ากัน…”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางพูดด้วยเสียงสูงมาตลอด เสียงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ไปเข้าหูอวี๋หมิงหลาง เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซ้นสิทีฟเขาให้ความสนใจทันที เขาแสดงท่าทีแอบฟังอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่ว่าหยิบโทรศัพท์จากมือเสี่ยวเชี่ยนมากดเปิดลำโพง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโมโหจนกระทืบเท้าเขา แต่ก็ไม่อาจขัดขวางจิตใจที่แน่วแน่ของพี่หลางที่อยากฟังเรื่องสำคัญ


 


 


เขายังส่งสายตาได้ใจไปให้เธอ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณนะ มันเกี่ยวกับผมด้วย


 


 


อาศัยความตัวสูงกว่า อวี๋หมิงหลางชูโทรศัพท์ขึ้น เสี่ยวเชี่ยนกลัวแม่จะพูดอะไรแปลกๆออกมา จึงรีบพูดดักคอไว้ก่อน


 


 


“พูดจาระวังหน่อยนะแม่ อย่าพูดอะไรที่ไม่ผ่านสมองออกมา”


 


 


“ไอ้ลูกเวรนี่ ถ้าฉันพูดไม่ใช้สมอง แล้วทีแกทำเรื่องที่ควรทำบ้างไม่ควรทำบ้างล่ะผ่านสมองหรือยัง? ผ่านแต่ไตใช่ไหมล่ะ”


 


 


คนเป็นแม่เวลาคุยกับลูกสาวจะไม่สนอะไรทั้งนั้น เจี่ยซิ่วฟางรู้ที่ไหนกันว่าลูกเขยก็อยู่แถวนั้นด้วย


 


 


“แม่งานยุ่งไม่ใช่เหรอ รีบไปทำเถอะ ถ้าแม่ยังไม่ไปจ่ายตลาดทำกับข้าวอีกอาเลี่ยวหิวไส้ขาดแน่” เสี่ยวเชี่ยนหมดแรงแล้ว นี่เธอมีแม่ที่โหดร้ายกับลูกสาวแบบนี้ได้ยังไงนะ?


 


 


“แกอย่ามาทำเฉไฉ รีบไปคุยกับหมิงหลางเรื่องแต่งงาน เด็กคนนี้นี่ ถ้ากล้านอนด้วยกันแล้วไม่แต่ง ฉันจะไปคุยด้วยตัวเอง”


 


 


“คุณน้าครับ ผมยินดีจะแต่งกับเสี่ยวเชี่ยนครับ เขายอมตกลงเมื่อไรผมจะรีบจัดงานทันทีครับ”


 


 


“เฮ้ย”


 


 


ถัดจากเสียงตกใจของเจี่ยซิ่วฟางเป็นเสียงของหล่น น่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน ดี สมน้ำหน้า


 


 


เป็นไงล่ะผู้หญิงวัยทองปากคอเราะร้าย โดนคนอื่นได้ยินแล้วเป็นไงล่ะ?


 


 


“บอกแล้วไงว่าพูดอะไรให้ผ่านสมองก่อน ไม่ยอมฟัง” เสี่ยวเชี่ยนไม่สงสารแม่ตัวเองเลยสักนิด แค่เซ็งๆนิดหน่อย รู้สึกเหมือนตัวเองกับแม่ไปบีบบังคับให้อวี๋หมิงหลางแต่งงาน เธอไม่อยากมองอวี๋หมิงหลางเลยว่าตอนนี้เขามีสีหน้าแบบไหน แต่สายตาก็ยังแอบเหลืองมองอย่างควบคุมไม่ได้


 


 


อวี๋หมิงหลางมีสีหน้าเคร่งเครียด การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา จะมาทำเล่นๆไม่ได้


 


 


ทางด้านเจี่ยซิ่วฟางเงียบไปห้าวินาทีแล้วถึงมีเสียงของเจี่ยซิ่วฟางดังลอดออกมาจากสาย น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าตอนคุยกับเสี่ยวเชี่ยนอย่างเห็นได้ชัด


 


 


“หมิงหลาง อยู่กับเชี่ยนเอ๋อเหรอ? กินข้าวหรือยังล่ะ?”


 


 


“กำลังกินครับ คุณน้าครับผมยินดีจะแต่งกับเสี่ยวเชี่ยน ส่วนเป็นเมื่อไรเดี๋ยวผมขอตกลงกับเสี่ยวเชี่ยนก่อนแล้วจะบอกนะครับ ส่วนเรื่องต้าหลงอย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ รอเสี่ยวเชี่ยนหยุดแล้วเดี๋ยวพวกเรากลับไปหานะครับ พวกเรามานั่งหารือกัน”


 


 


“อ้อๆๆ ไม่รีบๆ—อาทิตย์หน้ากลับมาไหม?” เจี่ยซิ่วฟางดีใจอย่างเห็นได้ชัด ถึงคำพูดที่พูดถึงลูกเขยจะถูกเจ้าตัวได้ยินจนน่าอาย แต่คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้เธอพอใจมาก ปากบอกไม่รีบแต่กำหนดวันมาให้เฉย


 


 


“ไม่มีปัญหา ผมได้พักร้อนแล้วครับ”


 


 


“งั้นกลับมาค่อยคุยกัน” เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกเหมือนได้เห็นลูกสาวใส่ชุดเจ้าสาว ความกลุ้มเรื่องคะแนน250เจือจางลงไปมากในทันตา วางสายอย่างมีความสุข


 


 


“เสียวเหม่ย ที่คุณน้าพูดได้ยินแล้วใช่ไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหลบตา “ได้ยินแล้ว ก็แค่เรื่องน้องชายสอบได้ 250คะแนนไม่ใช่เหรอ? ฉันกำลังอยากพูดเรื่องนี้กับนายพอดี—”


 


 


“ปัญหาของเขาเดี๋ยวเราค่อยว่ากัน ผมหมายถึงเรื่องแต่ง—”


 


 


“โอ๊ะ ในบ้านไม่มีจิ๊กโฉ่ กินเกี๊ยวไม่ใส่จิ๊กโฉ่รสชาติแย่เลยนะ เดี๋ยวฉันลงไปซื้อก่อน”


 


 


อวี๋หมิงหลางมองตามเธอพลางครุ่นคิด นี่เขาคิดมากไปหรือเปล่า?


 


 


ทำไมรู้สึกเหมือนเสียวเหม่ยจะเลี่ยงเรื่องงานแต่ง?


 


 


หรือจะไม่พอใจที่เขาขอแต่งงานเป็นทางการไม่มากพอ บรรยากาศไม่ได้เรื่องเหรอ?


 


 


อวี๋หมิงหลางก้มหน้ามองกางเกงขาสั้นกับมือที่เลอะแป้งทำอาหาร ก็ได้ บรรยากาศมันก็ไม่ใช่จริงๆน่ะแหละ งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกับเธอ


 


 


ครั้งนี้เขาลาพักร้อนด้วยวันหยุดที่สะสมมาหลายปีก็เพราะต้องการจัดการเรื่องใหญ่เรื่องนี้


 


 


เขาจะขอแต่งงาน จะเอาชื่อเสียวเหม่ยกับชื่อเขาบันทึกลงในสมุดเล่มแดงให้ได้ ซึ่งสมุดแดงเล่มนั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘ทะเบียนสมรส’

 

 

 


ตอนที่ 574 หวาดกลัวกับรู้ทัน

 

 


 


คำพูดเร่งให้แต่งงานของเจี่ยซิ่วฟางในโทรศัพท์ทำให้เสี่ยวเชี่ยนจิตใจสับสน


 


 


เธอมองท่าทีของอวี๋หมิงหลางออก เขาลาพักร้อนครึ่งเดือนอีกทั้งยังดูจริงจังขนาดนั้น ครั้งนี้คงเอาจริงแน่


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอลงจากตึกแล้วก็ไม่ได้ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่นั่งตากลมอยู่ตรงแปลงดอกไม้ ตอนนี้เธอรู้สึกลนลานนิดหน่อย


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยโทรมา โทรศัพท์ดังอยู่สองรอบเธอถึงจะได้สติจากอาการเหม่อลอย


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ มีเคสนึงเธอรับได้ไหม?” น้ำเสียงของเลี่ยวฟู่กุ้ยแหบเล็กน้อย คงเป็นเพราะเครียดเรื่องต้าหลงเลยเป็นร้อนใน


 


 


“เคสอะไร?”


 


 


“เพื่อนที่อยู่ศูนย์ป้องกันความรุนแรงในครอบครัวแนะนำมา บอกว่ามีป้าคนหนึ่งถูกสามีซ้อมหนักเลยไปขอตรวจร่างกายไว้เป็นหลักฐาน พวกเขาสงสัยว่าป้าคนนี้จะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้า ที่สามีใช้ความรุนแรงกับเขาเป็นเพราะทุกปีป้าคนนี้จะหมดเงินไปกับเครื่องสำอางจำนวนมาก แค่ลิปสติกอย่างเดียวก็ใช้เงินไปสองหมื่นแล้ว”


 


 


“ตัวเองเป็นคนหาเมียเองยังไงก็ต้องใช้ชีวิตด้วยกัน อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็หย่า ทำร้ายผู้หญิงคิดว่าเท่ห์นักหรือไง?”


 


 


“สามีรายได้ต่อปีไม่ถึงหมื่น เครื่องสำอางที่ป้าคนนี้ซื้อราคาเกินรายได้ของครอบครัว เลยต้องไปยืมเงินคนอื่น สามีเคยนั่งคุยเรื่องนี้แล้วหลายครั้งก็ไม่เป็นผล ด้วยความกดดันที่ต้องมานั่งใช้หนี้จำนวนมากเลยลงมือทำร้ายป้าคนนั้น ได้ยินว่าป้าแกเสียงานเสียการก็เพราะเรื่องสำอาง ตอนนี้ยังทำให้ครอบครัวต้องเดินมาถึงทางตันอีก”


 


 


“เคสที่ต่างฝ่ายต่างหาเรื่องใส่ตัวเองแบบนี้ฉันไม่รับ ฉันไม่ได้มีจิตใจเมตตาขนาดนั้น”


 


 


เงินกับใจต้องไปด้วยกัน เคสนี้ทั้งไม่มีเงินทั้งทำให้เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขยาด แม้แต่ใจที่อยากช่วยเหลือก็ไม่มี


 


 


“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ไปหาคนอื่น จริงสิเชี่ยนเอ๋อ โรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้ามันคืออะไรเหรอ?”


 


 


อาชีพของเลี่ยวฟู่กุ้ยคือวินิจฉัยว่าใครเป็นโรคประสาท แต่เรื่องโรคจิตเวชพวกนี้เขาไม่ได้เข้าใจเชิงลึกแบบเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เป็นชนิดหนึ่งของโรคย้ำคิดย้ำทำ กลไกในร่างกายจะคล้ายคนเสพย์ยาเสพติดเข้าไป”


 


 


“หนักขนาดนั้นเลยเหรอ? ควบคุมตัวเองไม่ให้แต่งหน้าไม่ได้เหรอ?”


 


 


“ควบคุมไม่ได้ คนที่เสพย์ยากับคนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าตอนแรกๆทำเพราะตัวเองต้องการ แต่พอติดแล้วก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป บางคนดึกดื่นแต่งหน้าจัดเต็มใส่ชุดนอนลงมาซื้อแตงโมก็มี”


 


 


ประโยคหลังอารมณ์ล้วนๆ


 


 


“แต่ผู้ขอเข้ารับคำปรึกษาคนนี้เรียนมาสูงนะ น่าแปลกทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”


 


 


“ก็เพราะได้รับการศึกษามาสูงถึงได้เป็นโรคนี้ไงล่ะ พอเป็นโรคนี้แล้วต่อไปวงจรประสาทของสมองก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง มีแนวโน้มที่จะซึมเศร้าและวิตกกังวล สุดท้ายแล้วคนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าล้วนอยากใช้พฤติกรรมนี้ปกปิดจิตใจที่กลัวการล้มเหลวของตัวเอง อันที่จริงโรคจิตเวชมันไม่เกี่ยวกับการศึกษาสูงหรือต่ำหรอกนะ”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยจดจำคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนอย่างเงียบๆ ถึงจะทำงานกันคนละด้าน แต่เสี่ยวเชี่ยนมักจะให้แนวคิดใหม่ๆได้เสมอ ซึ่งมันมีประโยชน์ต่องานของเขามาก


 


 


“จริงสิเชี่ยนเอ๋อ เห็นคุณน้าบอกว่าเธอจะแต่งงานเหรอ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน แม่เธอนี่ก็ปากไวจริงๆ นี่เพิ่งวางสายไปไม่เท่าไรก็เอาเรื่องไปป่าวประกาศแล้วเหรอ?


 


 


“ยังไม่ได้คิดหรอก ฉันไม่ค่อยอยากแต่งงาน”


 


 


“ทำไมล่ะ?”


 


 


ในสายตาของคนในครอบครัว เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางยังไงก็เป็นคู่ที่มั่นคงแล้ว เจี่ยซิ่วฟางพอวางสายก็เริ่มวางแผนงานแต่งให้ลูกสาวอย่างดีอกดีใจ เลี่ยวฟู่กุ้ยเองก็พลอยยินดีไปด้วย หลังจากที่ได้เจอเสี่ยวเชี่ยนหลายครั้งเขาก็จัดการปิดตายความหวังเล็กๆที่เคยมี


 


 


ผู้หญิงนิสัยแบบนี้เขาเอาไม่อยู่จริงๆ เป็นพี่ชายแหละดีแล้ว มีน้องสาวที่แสนฉลาดเพิ่มเข้ามากับ…น้องชายที่ไม่อาจบรรยาย เลี่ยวฟู้กุ้ยก็รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขดี


 


 


“ฉันรู้สึกว่าด้วยหน้าที่การงานในตอนนี้ยังไม่ควรแต่งงาน ยังต้องเตรียมสอบเข้าปริญญาเอก ยังมีงานต้องทำ…”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยฟังออกว่านี่เป็นแค่ข้ออ้างของเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ เธอคงไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานหรอกนะ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเหงื่อออกเต็มมือ เธอหัวเราะแห้งๆ “จะเป็นไปได้ไง ฉันกลัวอะไรที่ไหน ฉันกับเขารู้จักกันนานแล้ว แล้วจะเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานได้ยังไง เฮอะๆๆๆ…”


 


 


เสียงหัวเราะเฮอะๆในตอนหลัง แม้แต่ใบไม้ที่อยู่ข้างๆยังขยับ


 


 


“เธอทำให้พี่รู้สึกเหมือนเธอเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน เตรียมพร้อมจะหนีงานแต่งตลอดเวลา พี่จำได้ว่าเคยให้เคสแนวๆนี้กับเธอไป เธอรักษาหายด้วย ตอนนี้เธอเหมือนกับผู้ป่วยคนนั้นมาก โรคหวาดกลัวการแต่งงานจะทำให้วงจรประสาทของสมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยหรือเปล่า?”


 


 


ไอ้บ้าเลี่ยวฟู่กุ้ย ปกติซื่อบื้อแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ทำไมทีงี้ล่ะทำตัวฉลาดมีไหวพริบขึ้นมาเชียว?


 


 


“ฉันไม่ได้เป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน ไม่ ได้ เป็น”


 


 


“มีคนดังเคยกล่าวไว้ว่า การไม่มีความคิดเรื่องแต่งงานที่ถูกต้องก็เท่ากับไร้จิตวิญญาณ เชี่ยนเอ๋อตอนนี้เธอต้องปรับทัศนะคติ”


 


 


“เลี่ยวฟู่กุ้ยนายคิดว่าฉันไม่เคยท่องเรื่องพวกนี้เหรอ? คำพูดเดิมคือไม่มีความคิดเรื่องการเมืองที่ถูกต้องเท่ากับไร้จิตวิญญาณ” เสี่ยวเชี่ยนพองขนแล้ว


 


 


“เอามาปรับใช้กับปัญหาเรื่องชีวิตคู่ก็ได้ ตอนนี้ความคิดเรื่องการแต่งงานของเธอมันผิดเพี้ยน พี่ว่าเธอควรจะไปคุยกับหมิงหลางให้ดี”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางสาย มีใบไม้ตกใส่หัว เธอจึงยื่นมือจะไปหยิบออกแต่กลับคลำเจอมือของใครคนหนึ่ง


 


 


ไม่รู้ว่าอวี๋หมิงหลางมายืนอยู่ข้างหลังเธอนานเท่าไรแล้ว


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตกใจ ไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปมากน้อยแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ เวลาที่เขาอยากเก็บซ่อนเรื่องไว้ในใจ ใครก็ไม่มีทางเดาออก


 


 


“นายออกมาได้ไง?” เธอลองถามดูแบบคนร้อนตัว


 


 


“มาดูว่าคุณไปซื้อจิ๊กโฉ่ถึงไหน เกี๊ยวทำเสร็จหมดแล้ว”


 


 


“เอ่อ ฉันออกมานานขนาดนั้นเลยเหรอ ช่างเถอะไม่ซื้อแล้ว กลับบ้านไปกินกันเถอะ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนดันแขนเขาจะให้ออกเดิน แต่อวี๋หมิงหลางกลับไม่ขยับ


 


 


“เสียวเหม่ย การอยู่กับผมทำให้คุณหวั่นใจเหรอ?”


 


 


“กินเกี๊ยวไม่ใส่จิ๊กโฉ่ฉันหวั่นใจกว่า ไปเถอะๆ รีบไปกินข้าวฉันหิวจะตายอยู่แล้ว” เสี่ยวเชี่ยนจงใจเลี่ยงคำถาม กลัวเขาจะพูดต่อ


 


 


อวี๋หมิงหลางเม้มปาก ไม่พูดอะไรอีก


 


 


ระหว่างกินเสี่ยวเชี่ยนมีท่าทีระแวงตลอดเวลา กลัวว่าเขาจะพูดเรื่องแต่งงานกับเรื่องที่คุยในโทรศัพท์ โชคดีที่อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดอะไรอีก เธอคิดว่าเขาไม่น่าจะได้ยินเรื่องที่เธอคุยกับเลี่ยวฟู่กุ้ย


 


 


ตอนบ่ายอวี๋หมิงหลางบอกว่าจะออกไปซื้อถุงยางอนามัย ปรากฏว่าไปสองชั่วโมงแล้วก็ยังไม่กลับมา เสี่ยวเชี่ยนอยากจะโทรไปถามว่าเขาไปถึงไหนแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไร


 


 


สัปดาห์หน้าที่มหาวิทยาลัยมีประชุมกลุ่มเรื่องวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวกับโรคหวาดกลัว เสี่ยวเชี่ยนกำลังเตรียมเอกสาร พอเห็นคำว่าหวาดกลัวเธอก็นึกถึงคำพูดของเลี่ยวฟู่กุ้ย


 


 


หรือเธอจะเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานจริงๆ?


 


 


เมื่อชาติก่อนเธอก็หนีไปก่อนแต่งงาน ชาตินี้ใช้ชีวิตกับอวี๋หมิงหลางออกจะมีความสุข ไม่เคยต้องมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน เขาดูแลเธอเป็นอย่างดี ผู้ใหญ่ของเธอและเขาต่างก็มั่นใจ ก็แค่ไปจดทะเบียนแล้วตกลงเธอกลัวอะไรกัน?


 


 


การทำให้คนอย่างเสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าเธอเป็นโรคหวาดกลัวเดิมก็เป็นเรื่องน่ากลัวอยู่แล้ว เพราะเธอรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนตัวเธอ เธอไม่เคยกลัวอะไรเลย แล้วจะกลัวการสร้างครอบครัวกับผู้ชายที่ตัวเองรักได้ยังไง?


 


 


อีกทั้งเธอเรียนเป็นจิตแพทย์ แล้วจะเกิดปัญหาแบบนี้ได้ยังไง—


 


 


โรคจิตเวชไม่เกี่ยวกับการศึกษาสูงต่ำ คนที่มีปัญหาทางจิตจะควบคุมสมองกับพฤติกรรมของตัวเองไม่ได้ ประโยคที่เธอเพิ่งอธิบายให้เลี่ยวฟู่กุ้ยฟังเมื่อกี้นี้อยู่ๆก็ผุดออกมา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางปากกาในมือ มองเอกสารกองพะเนินด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ซึ่งภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของอวี๋หมิงหลางที่เพิ่งเข้าบ้านมา 

 

 


ตอนที่ 575 แผนการกับศิลปะ

 

“นายไปซื้อถุงยางหรือไปวางแผนมีบุตรมาหา?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง


 


 


อวี๋หมิงหลางล้วงกล่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าหลายกล่องพลางบ่น “ไปตั้งหลายร้านกว่าจะซื้อได้ ไม่เห็นจะอยากใช้ของพวกนี้เลย มันไม่ได้ฟีล”


 


 


เป็นแค่คำพูดธรรมดาทั่วไป แต่พอมันลอยเข้าไปในหูผู้หญิงที่ถูกสงสัยว่าเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานอย่างเสี่ยวเชี่ยนก็ถอดความออกมาได้ว่า


 


 


“นายไม่อยาก…ใช้เหรอ?”


 


 


ไม่ใช้=ต้องการมีลูก=ต้องแต่งงาน


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นเธอทำท่าช็อคหนัก เขาก็แสดงสีหน้าถอนหายใจออกมาไม่ได้


 


 


“ไม่มีใครชอบใช้ไอ้นี่หรอก แต่สถานการณ์คุณในตอนนี้ไม่เหมาะจะมีลูก รออีกสองสามปีค่อยว่ากัน”


 


 


พูดถึงเรื่องลูกเสี่ยวเชี่ยนก็เครียดขึ้นมาทันที กลัวเขาจะพูดเรื่องแต่งงาน


 


 


ปรากฏว่าเขาไม่พูดถึง เดินเอื่อยๆไปทำงานบ้าน ปกติเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนรักสะอาดมาก ในบ้านเช็ดจนไม่ให้เหลือคราบฝุ่น เขาจึงเอาอุปกรณ์เช็ดกระจกที่เพิ่งซื้อมาไปเช็ดกระจกในบ้าน อีกทั้งยังรายงานเรื่องที่เมื่อกี้ออกไปซื้อของ


 


 


“เมื่อกี้ซื้อถุงยางเสร็จผมไปเดินเล่นในร้านหนังสือมา”


 


 


“ไปอ่านการ์ตูนมาเหรอ?”


 


 


“เปล่า อ่านอย่างอื่น”


 


 


ไม่ใช่แค่อ่าน ยังจดบันทึกด้วย


 


 


เล่นเอาเจ้าของร้านมองตาเขียว โตป่านนี้แล้วยังมาแอบคัดลอกหนังสือไม่มียางอายหรือไง


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นเจ้าของร้านไม่พอใจจึงซื้อหนังสือแต่ไม่ได้เอากลับมา ฝากไว้ที่ร้านพรุ่งนี้ถ้ามีโอกาสจะไปจดโน้ตต่อ


 


 


“นอกจากการ์ตูนแล้วนายอ่านอย่างอื่นด้วยเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนซื้อพวกการ์ตูนมาไว้ให้เขาไม่น้อย การ์ตูนแทบจะล้นห้องหนังสือแล้ว


 


 


“ความลับ”


 


 


ไม่คุยเรื่องที่เซ้นสิทีพทั้งสองคนก็อยู่อย่างมีความสุข ตอนเธอนั่งเขียนงานเขาก็หาอย่างอื่นทำอยู่ข้างๆ เวลาเขาอยู่บ้านเธอจะเขียนงานได้มากขึ้นเพราะรู้สึกจิตใจมั่นคง


 


 


ตัวเสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร ชอบอยู่กับเขาชัดๆแต่พอพูดเรื่องแต่งงานก็วิตกกังวล


 


 


ดีที่อวี๋หมิงหลางไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงานอีก แค่ตอนกินข้าวเย็นพูดเรื่องต้าหลงขึ้นมา


 


 


“เรื่องต้าหลงคุณวางแผนไว้ว่ายังไง?” อวี๋หมิงหลางถามเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางชาม “ฉันคิดว่าจะให้ซื้อใบปริญญาแล้วให้เขาไปใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในมหาวิทยาลัยมันไม่มีประโยชน์ มหาลัยที่ซื้อใบปริญญาได้สภาพแวดล้อมในโรงเรียนแย่มาก ส่วนใหญ่มีแต่เด็กเกเรมาอยู่รวมกัน วันๆคิดแต่เรื่องใช้เงิน เล่นเกม จีบสาว นิสัยอย่างเฉินจื่อหลงเข้าไปเสียคนแน่”


 


 


เฉินเจื่อหลงเรื่องเรียนไม่เอาไหน เรื่องเลวเรียนรู้ไว ถ้าสภาพแวดล้อมไม่ดีเขาก็จะเตลิดไปไกล เหตุการณ์เมื่อชาติก่อนเป็นหลักฐานชั้นดี


 


 


“แต่ตอนนี้เขาอายุยังน้อยนะ ทัศนคติมุมมองอะไรก็ยังมีไม่มากพอ ปล่อยให้เข้าสู่สังคมไวเกินไปจะยิ่งเสียคนง่าย”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เธอเองก็คิดแบบนั้น


 


 


“ดังนั้นคุณคิดว่า—” อวี๋หมิงหลางมองตาเสี่ยวเชี่ยน จากนั้นทั้งสองคนก็พูดออกมาพร้อมกัน


 


 


“เป็นทหาร”


 


 


แค่มองตาก็รู้กัน คิดเหมือนกันเปี๊ยบ


 


 


“แต่ว่าลูกเชี่ยน คุณถามต้าหลงหรือยังว่าเขาอยากเป็นทหารหรือเปล่า?”


 


 


อวี๋หมิงหลางคิดว่าค่ายทหารเป็นสถานที่ฝึกฝนคนได้ดี ถ้าเฉินจื่อหลงไปเป็นทหารสองปีย่อมมีส่วนช่วยเรื่องนิสัยและอารมณ์ ถ้าเด็กคนนี้ไม่ถนัดเรียนหนังสือไม่สู้ส่งไปเป็นทหารสองปี ออกมาแล้วค่อยว่ากันเรื่องอนาคต


 


 


ดูก็รู้ว่าต้าหลงไม่เหมาะจะเป็นทหารอาชีพ ค่ายทหารเป็นที่ที่หนักเกินไปสำหรับเขา


 


 


“คนนิสัยขี้เกียจอย่างนั้นมีเหรอจะยอม? เรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปถามความเห็นหรอก ถ้าคะแนนสอบเข้ามหาลัยไม่ได้เฉียดใกล้มหาลัยกลางๆเลยก็ไปเป็นทหาร พอฤดูใบไม้ร่วงก็เข้าไปอยู่ในค่าย ถ้ากล้าหนีก็จัดการไปตามกฎคนหนีทหาร แต่อย่างต้าหลงไม่กล้าหรอก”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกล้าจัดการกับน้องชายขั้นเด็ดขาด


 


 


“คุณเคยคุยกับเขาแล้วใช่ไหม?”


 


 


“เมื่อก่อนเคยมีลองๆถาม นายรู้ไหมว่าน้องตัวแสบของฉันพูดว่าไง?” เสี่ยวเชี่ยนทั้งโกรธทั้งขำ


 


 


“เขาตอบว่าไง?” อวี๋หมิงหลางถามด้วยความสงสัย


 


 


“บอกว่าเป็นทหารน่ะยังพอทน แต่ถ้าไปเตะตาทหารหน่วยรบพิเศษเข้าจะทำไง?”


 


 


อวี๋หมิงหลางได้ยินก็ไม่พอใจ “เป็นทหารหน่วยรบพิเศษแล้วทำไม? ทหารหน่วยรบพิเศษเป็นจอมทหารเป็นเกียรติอันสูงสุดของทหาร เขายังกล้ารังเกียจพวกเราอีก ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปเป็นได้นะ”


 


 


“เขาบอกว่าทหารหน่วยรบพิเศษฝึกหนัก ใช้ฮอร์โมนเยอะ ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็จะหลั่งมากขึ้น การเหนื่อยล้ามากเกินไปจะทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง แล้วก็จะทำให้ไม่อยากคิดเรื่องแฟน”


 


 


“เด็กคนนี้เรียนแย่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมพูดจามีหลักการขนาดนี้ล่ะ” อวี๋หมิงหลางหน้าบึ้ง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นสีหน้าท่าทางของเขาแล้วก็อยากขำ


 


 


อันที่จริงแน่นอนว่าเฉินจื่อหลงไม่มีทางพูดได้ขนาดนี้หรอก แต่สองพี่น้องช่วงหลายปีมานี้ค่อนข้างสนิทกัน แต่จะสนิทแค่ไหนน้องชายก็ไม่มีทางพูดกับพี่สาวแบบนี้ เฉินจื่อหลงก็แค่พูดเป็นนัยๆ ได้ยินว่าคนที่ฝึกหนักมากๆส่วนนั้นจะไม่ค่อยดี ให้เสี่ยวเชี่ยนหาอะไรบำรุงอวี๋หมิงหลาง ซึ่งเขาเห็นจากในหนังสือมา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเลยตั้งใจไปหาหนังสือเล่มนั้น มีแนวคิดแบบนี้จริงๆ บอกว่าการออกกำลังหนักเกินไปจะหมดอารมณ์ทางเพศ เป็นทฤษฎีที่ดอกเตอร์เขียนเสียด้วย


 


 


“ผมจะเป็นตัวแทนทหารหน่วยรบพิเศษทหารบกไปล้างแค้นคนที่มันเสนอแนวคิดที่ไม่จริงนี้ บอกผมมาว่าใครเป็นคนกรอกเรื่องพวกนี้ใส่สมองต้าหลง ผมจะไปพังบ้านมัน”


 


 


อวี๋หมิงหลางกัดฟันกรอด ทุเรศมาก พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนแอบขำเขาก็เดาได้เลยว่าเธอจงใจเติมแต่งคำพูด เลยลากเธอมานั่งบนตักเพราะกลัวเธอหนี


 


 


“ดอกเตอร์ฝรั่งที่เสนอทฤษฎีนั่นผมก็เคยอ่านมาก่อน แต่นั่นมันก็แค่ผิวเผิน ช่วงแรกหลังจากที่ร่างกายฝึกหนักจะสูญเสียฮอร์โมนมากไประยะหนึ่ง แต่ความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลกลับพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อทหารคุ้นชินกับการฝึกนี้แล้ว ระดับฮอร์โมนในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเรากลับบ้านไป ‘ทำการบ้าน’ ฝีมือมีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางแย่ลง อีกอย่างคุณเป็นคนทดสอบด้วยตัวเอง ทำไมไม่แก้ไขสิ่งที่น้องชายเข้าใจผิดให้มันถูกต้อง กลับไปเออออตามเขาอีก”


 


 


อย่างอื่นทนได้แต่เรื่องนี้ไม่ได้ อีกอย่างแนวคิดแบบนี้ยกระดับมาไกลถึงประเทศเราแล้ว คนที่พูดแบบนี้ควรจับส่งไปอยู่ในดงทหารหน่วยรบพิเศษที่ฮอร์โมนเหลือล้น แล้วผลัดกันรุมกระทืบ


 


 


“ฉันเป็นพี่สาวจะให้พูดเรื่องแบบนี้กับน้องชายอย่างละเอียดได้ไง? ของแบบนี้ถ้าเขาไม่ไปลองเองคนอื่นพูดไปก็ไร้ประโยชน์—เสี่ยวเฉียง ไม่งั้นนายไปลองกับเขาไหมล่ะ?”


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังจะบอกว่าได้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเหมือนปลาไหลหนีออกไปได้ทัน ไม่หนีได้ถูกลงโทษแน่


 


 


“เฉินเสียวเหม่ย หยุดเดี๋ยวนี้อย่าหนีนะ บอกแล้วไงว่าห้ามอ่านการ์ตูนเพี้ยนๆของสืออวี้ เสียคนไปหมดแล้วเนี่ย มานี่นะ”


 


 


การ์ตูนที่สืออวี้วาดทำยอดขายในต่างประเทศได้ค่อนข้างดี ตอนนี้ภายในประเทศยังไม่อนุญาตงานที่มีเนื้อหาแบบนี้ เธอจึงเอาไปขายต่างประเทศ


 


 


ผลงานเด่นๆก็มี ตำนานความรักของพี่ชายฉันมันน่าสงสัย เสียงร่ำไห้ของดอกเบญจมาศ เป็นต้น ล้วนเป็นประเภทที่เด็กห้ามอ่าน แนวๆชายรักชาย


 


 


ดังนั้นพออวี๋หมิงหลางคิดได้ขึ้นมาก็วิ่งไล่จับเสี่ยวเชี่ยนไปทั่วห้อง ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนถูกเขาจับกดลงบนเตียงแล้ว ‘ลงโทษ’ ก็แอบคิดในใจอย่างชั่วร้ายว่า เธอไม่บอกอวี๋หมิงหลางดีกว่าว่าช่วงนี้สืออวี้เปลี่ยนแนวแล้ว เพิ่งวาดผลงานเรื่องใหม่


 


 


ไม่ใช่การ์ตูนวาย เป็นแนวคนกับปีศาจ นางเอกมีไฝคนงามที่หน้าผากคล้ายเธอ ข้างกายมีหมาป่าที่กลายร่างได้อยู่ตัวหนึ่ง ใครกล้าเข้าใกล้นางเอกมันก็จะกัด


 


 


ฟันของเขางับลงเบาๆที่คอเธอ เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าโลกศิลปะก็มาจากชีวิตจริงนี่แหละ… 

 

 


ตอนที่ 576 แทงใจกับโชว์หวาน

 

ตอนเย็นอวี๋หมิงหลางไปส่งเสี่ยวเชี่ยนที่สถานีโทรทัศน์


 


 


เธอจัดรายการอยู่ด้านใน ส่วนเขานั่งอ่านบันทึกที่ลอกมาเมื่อตอนกลางวันอยู่ด้านนอก เนื่องจากมีเขามาอยู่ด้วย วันนี้เหม่ยเหวยจึงจัดรายการอย่างอารมณ์ดี ผู้ฟังที่โทรเข้ามาจึงรู้สึกดีเหมือนมีสายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน


 


 


รูปแบบการจัดรายการแบบพิเศษเมื่อวานนี้ทำให้ผู้ฟังหลายคนกลับไปคุยกับคนรอบตัว บอกว่ามีรายการแนวพูดคุยรายการหนึ่งที่จัดตอนกลางคืนฟังแล้วได้แง่คิดมาก ทัศนคติตรงไปตรงมา ดังนั้นวันนี้ผู้ฟังจึงมากกว่าปกติ บวกกับเสี่ยวเชี่ยนอารมณ์ดีขึ้นไปอีก ยอดคนฟังจึงยิ่งเหนียวแน่นขึ้น


 


 


ความปรารถนาที่เธออยากถูกไล่ออกจึงยากที่จะเป็นจริง


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถือเป็นพนักงานชั่วคราว แต่ผู้บริหารก็มีโต๊ะทำงานให้เธอ ซึ่งเธอไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร อวี๋หมิงหลางนั่งอ่านบันทึกของตัวเองอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ


 


 


เนื้อหาในสมุดถูกจดด้วยสัญลักษณ์แบบที่เขาเข้าใจคนเดียว เป็นข้อมูลที่เขาได้จากการอ่านเมื่อตอนกลางวันที่ร้านหนังสือ ที่จดด้วยภาษาแบบนี้ก็เพราะกลัวเธอจะเข้าใจว่าเขาเขียนอะไร เพราะสิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับเธอ


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังใช้ความคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีใครมาตีบ่า


 


 


เย่เสียวอวี่ยิ้มกว้างให้เขา


 


 


“ไงเพื่อน เจอกันอีกแล้วนะ”


 


 


“เธอเองเหรอ” อวี๋หมิงหลางนึกถึงเมื่อคืนที่มีปากเสียงกับเสี่ยวเชี่ยนเล็กน้อยเพราะเรื่องเสียวอวี่ ภูมิคุ้มกันที่เสี่ยวเชี่ยนฉีดให้ออกฤทธิ์แล้ว เขาเลื่อนเก้าอี้มีล้อถอยหลังออกไปหน่อย เพื่อเว้นระยะกับเย่เสียวอวี่


 


 


พอนึกถึงความรู้เรื่องโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าที่เสี่ยวเชี่ยนบอกเมื่อคืน อวี๋หมิงหลางจึงสังเกตไปที่ใบหน้าของเย่เสียวอวี่


 


 


พอลูกเชี่ยนพูดแบบนั้นแล้วลองสังเกตดูดีๆ เย่เสียวอวี่แต่งหน้าจัดจริงด้วย ถึงเธอจะพยายามทำให้ดูเป็นธรรมชาติ แต่เมื่อเทียบกับเสี่ยวเชี่ยนที่หน้าสดแล้วดูแตกต่างกันมาก


 


 


เห็นแบบนี้แล้วลูกเชี่ยนของเขาใบหน้าเพอร์เฟคจริงๆ จะแต่งหน้าหรือไม่แต่งก็ดูดี โดยเฉพาะปากเล็กๆนั่นหอมสดชื่นเหมือนกลิ่นผลไม้ ตอนไม่จูบปากอมชมพูน่ารัก พอจูบแล้วสีก็จะเข้มขึ้นหน่อย ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็น่าหลงใหล ผู้หญิงข้างนอกนี่มีไว้เพื่อให้ลูกเชี่ยนของเขาดูเด่นขึ้นหรือเปล่านะ?


 


 


ตอนนี้สมองของอวี๋หมิงหลางเต็มไปด้วยการอวยลูกเชี่ยนของตัวเอง ในขณะที่คุยเรื่อยเปื่อยกับคนอื่นยังแบ่งสมาธิไปคิดถึงเสี่ยวเชี่ยนได้


 


 


เขาน่ะคิดถึงเสี่ยวเชี่ยน แต่เย่เสียวอวี่กลับรู้สึกว่าเขาเอาแต่จ้องหน้าเธอ ไม่เสียทีที่เธอมาเฝ้าอยู่แถวนี้เพื่อที่จะได้ทำเป็นบังเอิญมาเจอเขา


 


 


“หมิงหลาง หลายปีมานี้สบายดีไหม นายทำงานอะไรอยู่ ทุกครั้งเวลารวมรุ่นนายไม่เคยมาเลย” ในมือของเย่เสียวอวี่มีกาแฟสองแก้ว เธอหยิบแก้วหนึ่งยื่นให้เขา


 


 


“เรื่องงานเป็นความลับ”


 


 


ถามไปตั้งเยอะ อวี๋หมิงหลางตอบกลับมาสั้นๆ บรรยากาศจึงค่อนข้างกระอักกระอ่วน


 


 


เย่เสียวอวี่ลากเก้าอี้ที่อยู่ข้างเขามานั่ง


 


 


“หมิงหลางนายดูเปลี่ยนไปเยอะนะ”


 


 


“ตอนนี้เราเป็นผู้ชายที่กำลังจะมีครอบครัว จะให้เป็นเหมือนตอนเรียนได้ยังไง”


 


 


คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้แววตาของเย่เสียวอวี่ดูหม่นลง แต่เธอก็ยิ้มกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว


 


 


“นายรู้จักกับคู่หมั้นได้ยังไงเหรอ เมื่อไรจะพาไปแนะนำในงานรวมรุ่นล่ะ ทุกคนเป็นห่วงนายนะ จริงสิหมิงหลาง ขอเบอร์มือถือหน่อย อีกหน่อยมีงานรวมรุ่นฉันจะได้โทรบอก”


 


 


“โทรศัพท์แบตหมด เบอร์ก็จำไม่ได้ งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวเราเขียนเบอร์ของคู่หมั้นให้ เธอมีธุระอะไรก็โทรหาเขา เราทำงานที่ค่อนข้างเป็นความลับน่ะจะติดต่อไม่ค่อยได้ ถ้าพวกเพื่อนๆมีอะไรให้ช่วยก็ให้โทรบอกคู่หมั้นเราได้เลย”


 


 


เย่เสียวอวี่รู้สึกเหมือนรอยยิ้มจะแขวนไว้บนหน้าไม่อยู่แล้ว


 


 


“หมิงหลาง เมื่อก่อนนายไม่ใช่แบบนี้เลยนะ ทำไมเอะอะก็พูดถึงแต่คู่หมั้นล่ะ”


 


 


เมื่อก่อนเวลาไปตีเทนนิสกับเขา พูดอยู่แค่ไม่กี่ประโยค รู้สึกเหมือนเขาเห็นเธอเป็นเครื่องส่งลูกบอล แล้วทำไมตอนนี้พูดถึงผู้หญิงคนอื่นมากขนาดนี้?


 


 


แต่ละคำช่างเสียดแทงใจ…


 


 


“ใช่ พูดว่าคู่หมั้นติดปากไม่ได้แล้ว” อวี๋หมิงหลางเห็นด้วย เย่เสียวอวี่กำลังจะหวนรำลึกความหลังอันสวยงามตอนเล่นเทนนิสกับเขา แต่ก็ได้ยินเขาพูดต่อ


 


 


“เดี๋ยวก็จะกลายเป็นภรรยาแล้ว ต่อไปต้องเรียกว่าเมียจ๋า”


 


 


เย่เสียวอวี่ถึงกับยิ้มค้าง


 


 


บรรยากาศเงียบไปหลายวินาที


 


 


จากนั้นเรื่องที่ชวนให้กระอักกระอ่วนยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น


 


 


“หมู~จมูกของแกมีสองรู~ เวลาเป็นหวัดน้ำมูกก็จะไหลย้อย~”


 


 


เสียงร้องเพลงกวนๆของเสี่ยวเชี่ยนดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศ


 


 


ฟังก์ชั่นที่ใช้เสียงที่บันทึกไว้เป็นเสียงเรียกเข้าเพิ่งจะมีได้ไม่นาน ตอนนั้นอวี๋หมิงหลางตื๊อให้เสี่ยวเชี่ยนร้องเพลงเพื่อทำเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเขา เขาชอบเพลงฉันรักเธอที่ตรงนั้นเว่อร์ชั่นตลกที่จางเสวียโหย่วร้องในละครตงเฉิงซีจิ้วมาก เพลงที่ร้องว่าผมระ ระ ระ ระ ร้ากคุณ~


 


 


เขาหวังสูงจนเกินไป ผู้หญิงเย็นชาอย่างประธานเชี่ยนจะร้องเพลงแนวตลกขบขันอย่างนั้นได้อย่างไร? แค่เธอยอมร้องก็พอแล้ว เนื้อหาเพลงจะเป็นอย่างไรก็ช่าง


 


 


ครั้นแล้วเพลงของหมูเพลงนี้จึงเป็นเสียงเรียกเข้าของเขา เสี่ยวเชี่ยนขู่เขาว่า ในเมื่อเธอร้องแล้วเขาก็ต้องใช้ ถ้าให้เธอรู้ว่าเขาไม่ยอมใช้เพลงที่เธอร้องล่ะก็ ไปนอนพื้น


 


 


หน้ากากของเย่เสียวอวี่กำลังจะแขวนไม่อยู่แล้ว ไหนว่าโทรศัพท์แบตหมด? หรือเสียงริงโทนนี่จะหูแว่วได้ยินไปเอง?


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังจะรับสายก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเชี่ยนจากปากประตู


 


 


“อยู่นี่เอง พิธีกรเย่ก็อยู่ด้วยเหรอคะ” เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไป อวี๋หมิงหลางเห็นเธอก็ยืนขึ้นต้อนรับ


 


 


“ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอ?”


 


 


“โฆษณาคั่นรายการน่ะ คอแห้งอยากให้นายรินน้ำให้กิน”


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบหยิบกาแฟที่เย่เสียวอวี่ให้ยื่นให้เสี่ยวเชี่ยนโดยไม่สนสีหน้าของเย่เสียวอวี่ที่ยิ้มแข็งทื่อไปแล้ว เสี่ยวเชี่ยนดื่มไปอึกหนึ่งก็ดูสดชื่นขึ้น


 


 


“อร่อย”


 


 


“คุณชอบก็ดีแล้ว”


 


 


ฉัน เป็น คน ซื้อ เย่เสียวอวี่ตะโกนในใจ เธอมาเฝ้าตั้งแต่เย็นก็เพื่อหาโอกาสได้รำลึกความหลังกับอวี๋หมิงหลาง ทำไมแต่ละเรื่องที่เจอมันถึงได้น่าหงุดหงิดใจนัก?


 


 


“เย่เสียวอวี่ซื้อมาให้” อวี๋หมิงหลางพูด เย่เสียวอวี่พยักหน้าในใจอย่างรุนแรง ใช่ ฉันเป็นคนซื้อ เหม่ยเหวยแกรีบไม่พอใจสิ


 


 


ไม่เลย


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มกว้างกว่าเดิม


 


 


“ถึงว่าทำไมถึงได้อร่อยขนาดนี้ พิธีกรเย่นี่เป็นคนรสนิยมดีนะคะ แต่ว่าที่รักคะ คุณเอากาแฟที่เขาให้มาให้คนอื่นดื่มได้ยังไงคะ?”


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบล้วงกระเป๋าตังค์ออกมา “แก้วเท่าไรเดี๋ยวผมจ่ายเอง”


 


 


“ไม่ต้องหรอก พวกเธอคุยกันไปนะฉันมีธุระ” เย่เสียวอวี่ยืนขึ้น อยู่ไปก็น่าอาย อวี๋หมิงหลางเหมือนตบหน้าเธอชัดๆ


 


 


พอเธอออกไปแล้วอวี๋หมิงหลางจึงโอบเสี่ยวเชี่ยนแล้วจับหน้าเธอขึ้นมา “แสบนักนะ”


 


 


“หึ ปวดใจเหรอ?”


 


 


ใช่ เธอมาตั้งนานแล้วได้ยินที่คุยด้วย เธอจงใจโทรหาเขาให้เสียงริงโทนดังขึ้น แล้วไงล่ะ?


 


 


“ผมจะปวดใจทำไม เขาไม่ได้เป็นอะไรกับผมเสียหน่อย ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับผม คำพูดเมื่อกี้นี้ก็ไม่เห็นต้องคิดมาก เพื่อนกันก็ควรทำแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ?”


 


 


แต่ถ้าคิดเป็นอื่น ก็ยิ่งควรพูดแบบนั้น ผู้ชายที่ค่อนข้างเนี้ยบเรื่องผู้หญิงอย่างเขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอะไรแบบนี้ เสียวเหม่ยพูดแล้วว่า ถ้ากล้านอกใจจะจัดการเก็บของกลาง


 


 


“ทำได้ดีทำแบบนี้ต่อไปนะ ฉันไปทำงานต่อละ” เสี่ยวเชี่ยนเดินมาสำรวจแล้วก็กลับไปอย่างอารมณ์ดี


 


 


ภูมิคุ้มกันทำงานดี ศัตรูหัวใจทั้งหลายอย่าหวังจะเข้ามาได้ 

 

 

 


ตอนที่ 577 กลัวการแต่งงานกับลาออก

 

อาจเพราะเมื่อวานเป็นเรื่องของเมียน้อย วันนี้คนที่โทรเข้ามาเกือบทั้งหมดจึงระบายเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


 


สามีมีเมียน้อยทำไงดี


 


 


อาถรรพ์เจ็ดปีทำไงดี


 


 


ถึงขนาดที่มีบางคนอยากหย่าเพราะสามีนอนกรนควรทำไงดี


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเคยชินกับคำถามพวกนี้แล้ว รายการตอนกลางคืนผู้ฟังมักต้องการระบายปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ คนเราเวลาอารมณ์ดีมักไม่ค่อยอยากขอความช่วยเหลือจากใคร ตอนมีเรื่องรำคาญใจเท่านั้นถึงจะอยากโทรศัพท์ไประบาย


 


 


และเรื่องรำคาญใจส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับครอบครัว เสี่ยวเชี่ยนฟังจนชินชาไปหมดแล้ว แต่อวี๋หมิงหลางที่นั่งฟังอยู่ตลอดกลับกำลังครุ่นคิด


 


 


เขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงานของเสี่ยวเชี่ยนมาจากไหน


 


 


เธอเกิดในครอบครัวที่มีความพิเศษ ด้วยความที่พ่อแม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นส่งผลให้จิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านการแต่งงาน


 


 


ถึงแม้หลังจากที่เจี่ยซิ่วฟางมีครอบครัวใหม่ชีวิตจะดีแล้วก็ตาม แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ภาพความทรงจำของครอบครัวเธอหยุดอยู่ที่วัยเด็กที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง


 


 


พอโตขึ้นสาขาที่เรียนยังเกี่ยวกับด้านจิตวิทยา คนที่ต้องเจอล้วนมีปัญหาสารพันแตกต่างกันไป วันๆเจอแต่คนที่ครอบครัวมีปัญหา


 


 


ดังนั้นการที่เธอเกิดความวิตกกังวลกับหวาดกลัวการแต่งงานนั้นก็เป็นเรื่องปกติ อวี๋หมิงหลางยอมรับว่าตอนแรกที่เธอมีท่าทีเลี่ยงการแต่งงานเขารู้สึกไม่พอใจเท่าไร


 


 


หลังจากที่เขาไปหาข้อมูลในร้านหนังสือแล้วความไม่พอใจได้แปรเปลี่ยนเป็นปวดใจ โดยเฉพาะเมื่อกี้ตอนที่เขาลงไปซื้อน้ำได้ยินเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรสองคนคุยกันก็ยิ่งปวดใจมากขึ้น


 


 


เสี่ยวเชี่ยนจัดรายการเสร็จแล้วเดินออกมา เห็นเขายืนพิงประตูทำหน้าเหมือนกำลังคิดหนักจึงเอามือไปโบกข้างหน้าเขา


 


 


“มองอะไรอยู่น่ะ?”


 


 


“ลาออกเถอะ”


 


 


“ว่าอะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าตัวเองฟังผิด


 


 


ผู้กำกับที่อยู่แถวนั้นแสร้งทำเป็นจัดเอกสาร แต่หูนี่ผึ่งเชียว


 


 


“ลาออก ถ้าคุณเกรงใจไม่กล้าไปบอกศาสตราจารย์หลิวงั้นผมคุยเอง”


 


 


เขาไม่อยากให้เธอทำต่อไปแล้ว


 


 


เขาฟังแค่นิดเดียวยังปวดใจ ทำงานเกี่ยวกับพวกนี้ทำให้จิตใต้สำนึกของเธอต่อต้านการแต่งงานยิ่งกว่าเดิม


 


 


“ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่ามีอะไรไปกระตุ้นเขา ตอนมาก็ยังดีๆอยู่ จัดรายการเสร็จกลับไม่อยากให้เธอทำแล้ว?


 


 


“กลับไปคุยกัน” อวี๋หมิงหลางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อหน้าคนนอก


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างทางกลับ


 


 


“ทำไมอยู่ๆอยากให้ฉันลาออกล่ะ?


 


 


“เมื่อกี้ตอนผมลงไปซื้อน้ำได้ยินเจ้าหน้าที่สองคนคุยกัน พวกเขาพูดว่า…” พอนึกถึงเรื่องที่สองคนนั้นคุยกันอวี๋หมิงหลางก็หน้าเครียด


 


 


“พูดว่าอะไร?”


 


 


“ก่อนหน้านี้มีพิธีกรที่ทำรายการแนวๆจิตวิทยาคนหนึ่งของสถานีโทรทัศน์ฆ่าตัวตาย”


 


 


“เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินมา เป็นพิธีกรคนก่อนๆหน้าฉัน เป็นคนดีมากเลยนะ น่าเสียดายอายุยังน้อยอยู่เลย”


 


 


อัตราการฆ่าตัวตายของพิธีกรรายการพูดคุยแนวจิตวิทยาค่อนข้างสูง


 


 


อันที่จริงไม่ใช่แค่พิธีกรแนวพูดคุยเท่านั้น อัตราการฆ่าตัวตายของจิตแพทย์ก็สูงเช่นกัน


 


 


“เลิกทำเถอะ ทำอะไรไม่ทำ จะต้องออกมาทำงานตอนดึก ไม่ใช่แค่รบกวนเวลานอนวันๆยังต้องมานั่งฟังปัญหาไร้สาระของคนอื่น” เดิมทีอวี๋หมิงหลางไม่อยากยุ่งเรื่องงานของเธอ แต่พอได้ยินว่ามีคนฆ่าตัวตายเขาก็อึดอัดใจ


 


 


เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้านั่นเป็นเสี่ยวเชี่ยนเขาควรจะทำไง


 


 


“ฉันทำงานด้านไหนนายยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? แพทย์คลินิกต้องเป็นผู้รับฟังปัญหาด้านต่างๆของจิตใจอยู่แล้ว ในรายการถือว่ามีแต่เรื่องไร้สาระไม่ได้ถึงกับเป็นโรคจิตเวช ดังนั้นอาจารย์ถึงได้ให้ฉันมาฝึกงานที่นี่ ต่อไปงานด้านให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาที่ฉันจะทำหนักกว่านี้เยอะ ฉันทำแค่นี้นายยังไม่พอใจ อีกหน่อยฉันไปทำงานจริงๆแล้วนายจะทำไง?”


 


 


พอได้ยินเธอบอกว่าอีกหน่อยหนักกว่านี้ในสมองของอวี๋หมิงหลางก็ปรากฏวิธีฆ่าตัวตาย26แบบ เขาหน้าซีดรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก


 


 


เขารีบพูดแบบไม่ต้องคิด


 


 


“เลิกทำเถอะ ผมเลี้ยงคุณเอง”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเขาอย่างจริงจัง “เรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกัน”


 


 


อวี๋หมิงหลางพอได้ยินน้ำเสียงเธอก็รู้ได้ว่าตัวเองพลาดแล้ว


 


 


“ผมก็แค่เป็นห่วงคุณ ถ้าทุกวันคุณต้องมาเจอแต่เรื่องในแง่ลบถึงขนาดที่ว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิต แล้วทำไมยังทำอยู่?”


 


 


“งั้นนายก็กลับบ้านเถอะ ฉันเลี้ยงนายเอง งานของฉันต่อให้อันตรายกว่านี้ยังจะสู้นายได้เหรอ? ถ้าเป็นทหารหน่วยรบพิเศษมันร้ายแรงถึงขั้นนายอาจต้องเสียชีวิตแล้วทำไมนายยังเป็นอยู่?”


 


 


“มันไม่เหมือนกัน” อวี๋หมิงหลางเริ่มโมโหหน่อยๆ


 


 


“ตรงไหนไม่เหมือนกัน ทหารหน่วยรบพิเศษก็เป็นอาชีพที่ความเสี่ยงสูง อันตรายกว่าจิตแพทย์อย่างพวกเรามาก ถ้าจะให้เปรียบเทียบกันจริงๆ หลายอาชีพก็จัดอยู่ในประเภทความเสี่ยงสูงทั้งนั้น ถ้าเลิกทำเพราะมันอันตราย งั้นตำแหน่งงานที่ว่างอยู่จะทำไงล่ะ? นายคิดว่าอันตรายแล้วจับฉันใส่ขวดแก้วขังไว้ งั้นใครมาเป็นจิตแพทย์ล่ะ?”


 


 


“คุณอย่ามาเปลี่ยนประเด็น ที่ผมพูดกับคุณมันไม่ได้ความหมายนี้เลย ผมอยากให้คุณมีความสุขทุกวัน ไม่ใช่เครียดแบบนี้” เมื่อต้องเผชิญกับเหตุผลร้อยแปดของเธออวี๋หมิงหลางรู้สึกล้มเหลวนิดหน่อย แต่ยังคงยืดหยัดความคิดของตัวเอง


 


 


“ตรงไหนที่ฉันดูไม่มีความสุข? ฉันไม่ได้รู้สึกเครียดอะไร เรื่องที่เขาโทรปรึกษากันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับฉัน แล้วฉันก็ไม่มีทางเอาเรื่องที่ทำงานเก็บไปเป็นอารมณ์ที่บ้าน ดังนั้นนายไม่ต้องกังวลว่าฉันจะเหมือนกับรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่เครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า”


 


 


คุณไม่ซึมเศร้าแต่คุณกลัวการแต่งงาน คำพูดนี้อวี๋หมิงหลางพูดออกไปไม่ได้ ได้แต่โวยวายอยู่ในใจ


 


 


กลับถึงบ้านเขาไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าเขาไปซื้อถุงยางอนามัย แต่ก็คิดได้ว่าเมื่อเช้าเพิ่งซื้อไปทำไมยังจะซื้ออีก?


 


 


อ่อ เขาต้องรู้แน่เลยว่าพรุ่งนี้กับมะรืนนี้เธอได้หยุดเลยอยากทำหลายๆครั้ง?


 


 


ความคิดนี้ทำให้เธอเขินและก็แอบรอคอยเล็กๆ อวี๋เสี่ยวเฉียงไม่ใช่คนที่มีอยู่ท่าเดียว ลีลาแพรวพราวทุกครั้งมีเซอร์ไพร้ส์ไม่ซ้ำแบบ สำหรับเสี่ยวเชี่ยนที่ตอนนี้เครียดมาก บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีคลายเครียดที่ดี


 


 


ปรากฏว่าเธอคอยเก้อ พอถึงบ้านอวี๋หมิงหลางไม่ได้ไปเล่นสนุกกับเธอในห้องน้ำเหมือนเมื่อวาน เสี่ยวเชี่ยนอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวนอน รออยู่สักพักไม่มีวี่แววเขาจะเข้ามา ไปดูที่ห้องรับแขกเห็นเขายืนอยู่ที่ระเบียง เขาล้วงกล่องเล็กๆออกมา ซึ่งกล่องนั้นไม่ใช่ถุงยางอนามัยแต่เป็นบุหรี่


 


 


แทบไม่เคยเห็นเขาสูบบุหรี่เลย นี่มันเรื่องอะไรกันเขาถึงได้เครียดขนาดนี้?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยืนพิงประตูห้องนอนมองเขา อวี๋หมิงหลางจับราวระเบียงพลางสูบบุหรี่เงียบๆ แต่ในสมองกลับคิดเรื่องเธอ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนคิดแล้วก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนเขา เธอรู้ว่าผู้ชายทุกคนจะมีช่วงหนึ่งที่ชอบอยู่คนเดียว


 


 


สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงก็คือผู้หญิงเวลามีเรื่องในใจสิ่งแรกที่ทำคือไประบายกับเพื่อน ส่วนผู้ชายกลับชอบที่จะกลับเข้าโลกของตัวเอง ซึ่งมันเป็นเหมือนสวนแห่งความลับของพวกเขา ผู้ชายไม่ชอบพูดความในใจไม่ต้องการคำปลอบใจ เวลาที่พวกเขาเจอปัญหาสิ่งที่ต้องการก็คือบุหรี่กับพื้นที่ส่วนตัว


 


 


เสี่ยวเชี่ยนล้มเลิกความคิดจะเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขา เธอกลับไปนอนที่เตียง ตอนนี้เธอเองก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว


 


 


บางทีคำพูดที่ฉิวฉิวเคยพูดไว้อาจจะถูก ในจิตวิญญาณของประธานเชี่ยนมีความเป็นผู้ชายอยู่ บางครั้งความคิดของเธอคล้ายผู้ชายมาก


 


 


แต่คืนนี้ถึงเขาจะนอนอยู่ข้างเธอ ฝันร้ายที่หายไปหนึ่งคืนได้กลับมาอีกแล้ว เสี่ยวเชี่ยนตกใจตื่นจากความฝันลุกขึ้นมานั่ง เธอเห็นว่าอวี๋หมิงหลางยังไม่หลับ เขาจ้องเธอนิ่งๆซึ่งไม่รู้ว่าจ้องมานานเท่าไรแล้ว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม