ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 568-574

ตอนที่ 568 กำจัดได้หนึ่งพันแต่เสียหายไปแปดร้อย


 


 


เมืองหลวง บนถนนหลิวไห่


 


 


กองบัญชาการใหญ่ของเครือข่ายฟ้าดินตั้งอยู่ที่ตรอกหลิงจิงซึ่งเป็นที่ที่เนี่ยถิงและสือเสวจิ้นประจำการอยู่ ตามปกติแล้วจะมีสมาชิกน้อยมากที่จะเข้ามาที่กองบัญชาการใหญ่นี้ และผู้ที่จะมาส่วนใหญ่จะไม่ใช่ยอดฝีมือระดับ C อย่างห่าวจื้อเชาหรือจงอวี้ถัง เพราะพวกเขาต่างก็เป็นคนสำคัญที่ต้องประจำอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ


 


 


มีสวนที่ทั้งเงียบและสงบอยู่ ต้นไม้น้อยใหญ่เพิ่งแตกกิ่งก้านและขึ้นหน่อใหม่ขึ้นมา คราวนี้สือเสวจิ้นไม่ได้กำลังอ่านหนังสือ เขาวางชุดชาไว้บนโต๊ะม้านั่งหินแล้วค่อยๆ ชงชา


 


 


เนี่ยถิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กำลังดูเอกสารอย่างรวดเร็ว เขาได้รับหน้าที่ทั้งหมดสามตำแหน่ง เขาเป็นยอดฝีมือระดับต้นๆ ของฝั่งตะวันออก เป็นหัวหน้าของเครือข่ายฟ้าดิน และยังเป็นผู้อำนวยการใหญ่ของห้องเต้าหยวนที่เมืองหลวงอีกด้วย


 


 


คนธรรมดาคงคิดว่าการจัดระเบียบหน้าที่ทั้งสามนี้ให้สมดุลนั้นเป็นเรื่องยาก ทุกคนเองก็มีขีดจำกัดความเหนื่อย หลายๆ คนทำสองที่พร้อมกันไม่ได้ด้วยซ้ำ


 


 


แต่เนี่ยถิงนั้นต่างออกไป เขามีประสิทธิภาพในจัดการงานสำคัญๆ อย่างที่ไม่มีใครเทียบติด


 


 


“ฉันมอบกระบี่เฉิงอิ่งให้เขาแล้ว” เนี่ยถิงพูดอย่างสงบ “อาจารย์กล่าวเอาไว้ว่ามีเพียงผู้ซื่อตรงเท่านั้นที่สามารถใช้กระบี่ได้ หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ใช่คนไม่ดี แต่จะพูดเขาเป็นคนสัตย์ซื่อเองก็พูดได้ไม่เต็มปาก คิดว่าอาจารย์จะตำหนิพวกเราหรือเปล่า”


 


 


สือเสวจิ้นหัวเราะ “พ่อของผมเองก็ไม่ใช่คนซื่อสัตย์หรอก มีข้อบังคับเยอะแยะไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ต้องมองผมแบบนั้นหรอก ถ้าผมไปเจอเขา เขาก็จะบอกแบบที่ผมบอกนี่แหละ คุณอาจจะกังวลใจ แต่ผมไม่นะ”


 


 


สำหรับเนี่ยถิงแล้ว กระบี่เฉิงอิ่งนี้มีความสำคัญและได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ของเขามาก ถ้าเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของกระบี่นี้กับดาบซินถิงแล้ว ความแข็งแกร่งของดาบซินถิงเทียบกันไม่ติดเลย


 


 


แต่แล้วสือเสวจิ้นก็หัวเราะออกมา “คุณคิดว่าหลี่ว์ซู่จะทำหน้ายังไงตอนเจอไห่กงจื่อ พ่อผมบอกว่าไห่กงจื่อความอดทนต่ำ เราต้องตามใจเขา ตอนนั้นปู่ของผมอารมณ์เสียมากเลยจนเขาขู่ฆ่าตัวตายด้วย แต่เวลาพูดกับคนอื่น เขาก็ยังต้องเลือกเล่าแต่ด้านดีๆ ของกระบี่อยู่ดี”


 


 


เนี่ยถิงหลุดยิ้มออกมาทว่าเขาซ่อนรอยยิ้มนั่นไว้ “ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้นฉันก็คงไม่เต็มใจมอบกระบี่เฉิงอิ่งให้เขาหรอก ปล่อยเขาจัดการของเขาไป นอกจากนั้นฉันก็อยากจะรู้นักว่าคนดื้อๆ แบบเขาเจอไห่กงจื่อเข้าไปแล้วจะทำยังไง”


 


 



 


 


บรรยากาศระหว่างหลี่ว์ซู่และไห่กงจื่อเริ่มแข็งกร้าวขึ้นมา หลี่ว์ซู่ถามเสียงเย็น


 


 


“คุณจะเชื่อฟังผมหรือเปล่า”


 


 


ไห่กงจื่อเลิกคิ้ว เสื้อคลุมสีขาวของเขาปลิวไสวแม้ไม่มีลมใดๆ “ไม่มีใครกล้าถามคำถามเช่นนี้กับข้ามาก่อน เจ้าเป็นคนแรกเลย!”


 


 


หลี่ว์ซู่แน่ใจว่ากระบี่เฉิงอิ่งที่เนี่ยถิงเอามาให้นี้ต้องมีความหมายแน่ๆ แต่เนี่ยถิงเองก็ไม่ได้สบายใจ บางทีเขาอาจรอดูอยู่ก็ได้ว่าหลี่ว์ซู่จะทำอย่างไรต่อ


 


 


หลี่ว์ซู่จะต้องใช้เรื่องตลาดมืดและศิลาวิญญาณเพื่อตอบโต้กลับ เขาไม่คิดหรอกว่าเนี่ยถิงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ก็เหมือนกับที่เขาปฏิเสธจะถูกเนี่ยถิงควบคุมนั่นแหละ


 


 


นี่เป็นสงครามระหว่างหลี่ว์ซู่กับเนี่ยถิง และหลี่ว์ซู่จะแพ้ไม่ได้!


 


 


“ไม่มีใครกล้าถามคุณก็เพราะคุณยังไม่เจอผมไง” หลี่ว์ซู่พูดอย่างเย็นชา เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับไห่กงจื่อจนลืมเข้าไปเช็กแต้มอารมณ์ในระบบ พอลองเข้าไปดูบันทึกก็พบว่าเขาได้แต้มอารมณ์มาด้วย!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่+399]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +666]


 


 


หลี่ว์ซู่งง เอ๋าไห่ไหนเนี่ย ชื่อนี้เป็นชื่อที่ไม่ค่อยมีคนตั้งด้วยนะ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเคยเห็นชื่อนี้อยู่แวบๆ อยู่สองสามครั้งตอนที่เดินทางไปโลกตะวันตก…


 


 


ไห่กงจื่อยิ้มออกมาก่อนนั่งลงบนม้านั่งในสวน “ไม่เป็นไร ถ้าไม่อยากให้กลับไปในกระบี่ ข้าก็ไม่กลับไปก็ได้”


 


 


หลี่ว์ซู่ทำให้ไห่กงจื่ออับอายจนกระทั่งเขาทนไม่ได้อีกต่อไป หลี่ว์ซู่เรียกเขาออกมาถี่ๆ โดยใช้หยดเลือด เขาเลยต้องออกมาปรากฏตัว ตอนนี้เขาไม่กลับเข้าไปในกระบี่แล้ว หลี่ว์ซู่จะทำอย่างไรต่อล่ะ


 


 


ขณะที่ไห่กงจื่อนั่งลง เขาก็เห็นหลี่ว์ซู่แบกถังมันฝรั่งที่ล้างแล้วออกมาจากบ้าน ไห่กงจื่อตกใจมาก เขาเริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดี “เจ้า…”


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็เอากระบี่เฉิงอิ่งนั่นปอกมันฝรั่ง…


 


 


ไห่กงจื่อโกรธมาก “เจ้าเอากระบี่เฉิงอิ่งไปปอกมันฝรั่งแบบนั้นได้อย่างไร! หลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นใครเอากระบี่เฉิงอิ่งไปใช้การเยี่ยงเจ้าเลย!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะ “เป็นไปไม่ได้หรอกที่สมัยราชวงศ์ซางกับยุคชุนชิวจะไม่มีมันฝรั่ง ใช่มั้ยล่ะ ตอนนี้กระบี่เฉิงอิ่งอยู่ในมือของผมแล้ว ผมจะทำอะไรกับมันก็ได้”


 


 


ไห่กงจื่อพยายามระงับความโกรธ หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดว่าจะใช้วิธีใดยั่วโมโหไห่กงจื่อดี ก่อนหน้านี้เขาคิดวิธีที่แย่กว่านี้ได้ แต่ปัญหาก็คือเขายังต้องใช้กระบี่นี้ในอนาคตด้วย


 


 


เขาอยากใช้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์หยดลงบนกระบี่ แต่ถ้าพูดกันตามตรง ผลที่ออกมาคงไม่ดีเท่าไหร่ เขาก็เลยยอมฝึกกระบี่นี้ อุตส่าห์ได้อาวุธวิเศษในตำนานแบบนี้มาทั้งทีก็คงต้องเจอปัญหามากหน่อย


 


 


และหลี่ว์ซู่เองก็ชอบลักษณะของกระบี่นี้ด้วย มันล่องหนได้!


 


 


เมื่อก่อนเขาเคยพูดว่าคนอื่นๆ คิดว่าเขาถนัดต่อสู้ระยะไกลและก็คงหลี่กเลี่ยงที่จะเข้าใกล้เขา พอพวกศัตรูทำแบบนั้น เขาก็เลยฝึกสู้ในระยะที่เข้าใกล้ขึ้นมา เป็นไง น่ากลัวไหมล่ะ


 


 


แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขามีกระบี่เฉิงอิ่งนี้แล้ว หากพวกศัตรูเข้ามาใกล้เขา พวกนั้นก็จะตายไปโดยไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ


 


 


เขาชอบกระบี่นี้มาก มากกว่าเจ้าวิญญาณกระบี่นี้เป็นไหนๆ


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าเนี่ยถิงอาจนัดแนะกับเจ้าวิญญาณแห่งกระบี่นี่มาไว้ก่อนแล้วว่าให้เขามากลั่นแกล้งหลี่ว์ซู่ เขารู้สึกว่าเนี่ยถิงสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้แน่!


 


 


ไห่กงจื่อมองหลี่ว์ซู่ที่กำลังใช้กระบี่เฉิงอิ่งปอกมันฝรั่ง สีหน้าของเขาดูน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่อดทนอดกลั้นมองดูหลี่ว์ซู่ปอกมันฝรั่งต่อหน้าอยู่นั้น จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็เดินเข้าครัวไปแล้วกลับมาพร้อมกับเขียงและผัก จากนั้นเขาก็เริ่มเอากระบี่นั้นหั่นผัก…


 


 


ตั้งแต่ที่ไห่กงจื่อเป็นวิญญาณแห่งกระบี่มา เขาไม่เคยเห็นใครเอากระบี่เฉิงอิ่งไปใช้งานได้น่าละอายแบบนี้มาก่อนเลย ถ้าใครได้กระบี่เฉิงอิ่งไปก็คงเก็บรักษาไว้อย่างดีแล้ว และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมไห่กงจื่อถึงมีนิสัยแบบนี้ เขาไม่เคยโดนใครทำให้ยอมจำนนแบบที่หลี่ว์ซู่ทำมาก่อน!


 


 


หลังจากนั้นไห่กงจื่อก็ทนต่อไปไม่ไหว เขากลับเข้าไปในกระบี่เฉิงอิ่ง แต่ก็ถูกเรียกออกมาด้วยเลือดของหลี่ว์ซู่อีกครั้ง


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


 


 


ช่างเป็นการงัดข้อกันระหว่างมนุษย์และวิญญาณกระบี่ที่น่าดูอะไรขนาดนี้ หลี่ว์ซู่อยากจะสอนให้ไห่กงจื่อรู้และเขาจะไม่ปล่อยให้ไห่กงจื่อกลับไปในกระบี่ แต่เขาเองก็กลับไปในกระบี่อยู่ได้


 


 


ไม่ถึงสองวันหลังจากนั้น หลี่อีเสี้ยวก็เข้ามาเยี่ยมหลี่ว์ซู่ เขาผงะไป


 


 


“หลี่ว์ซู่ เกิดอะไรขึ้น สารรูปดูไม่ได้เลย!”


 


 


“พูดถึงตัวเองอยู่เหรอครับ” หลี่ว์ซู่ตอบกลับอย่างอ่อนแรง หน้าเขาซีดและเสียงที่ตอบออกมาก็เบามากๆ เขาดูกระสับกระส่ายแปลกๆ อยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงหรอก แค่เสียเลือดไปมากก็เท่านั้นเอง…


 


 


ทั้งหลี่ว์ซู่และเอ๋าไห่ต่างก็มีความอุตสาหะ พวกเขางัดข้อกันเป็นเวลาสองวันสองคืน ขนาดหลี่ว์ซู่ที่ถือว่าแข็งแกร่งระดับ B แล้วยังทนไม่ได้อีกต่อไป ขอสงบศึกไปก่อนวันหนึ่ง แค่วันนี้เท่านั้นแหละ…


 


 


หลี่ว์ซู่มองมันฝรั่งที่ปอกเรียบร้อยแล้วและผักที่ถูกสับกระจายไปทั่วสวนหลังบ้าน เขากำจัดศัตรูไปได้หนึ่งพัน แต่ต้องเสียหายไปแปดร้อย…


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ภูมิใจในตัวเอง เอ๋าไห่นั้นเทียบความแข็งแกร่งกับเขาไม่ได้ และเขาก็คงเป็นบ้าตายไปในสองวันนี้!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +999!]


ตอนที่ 569 หลี่อีเสี้ยวนักเจรจา


 


 


จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดว่ามีบางอย่างแปลกไปเหมือนกัน เหมือนกับว่าไห่กงจื่อนั้นกำลังสะกดกลั้นตัวเองอยู่ หลี่ว์ซู่สงสัยว่าไห่กงจื่อแอบซ่อนไม้ตายอะไรไว้หรือเปล่า อย่างเช่นว่าเขาอาจมีความสามารถที่จะขัดขืนต่อเจ้าของได้ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้หยิบกลยุทธ์อะไรมาใช้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา…


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกผิดและเสียดายมันฝรั่งปอกเปลือกและผักที่ถูกสับมากกว่าที่เสียดายเลือดตัวเองอีก ให้ตายเถอะ เขาจะทำให้เรื่องนี้จบได้อย่างไรนะ


 


 


หลี่ว์ซู่หันไปถามหลี่อีเสี้ยว “คุณมาที่นี่ทำไมครับ”


 


 


หลี่อีเสี้ยวมองหน้าซีดเซียวไร้เรี่ยวแรงของหลี่ว์ซู่ และพึมพำตอบออกไป “จะตรุษจีนอยู่แล้ว ฉันก็เลยคิดว่านายคงไม่อยากฉลองคนเดียว ก็เลยจะมาชวนไปกินข้าวเย็นที่บ้าน”


 


 


“บ้านคุณงั้นเหรอ ทำอาหารเป็นด้วยเหรอครับ” หลี่ว์ซู่ผงะไป


 


 


“มาเองเดี๋ยวก็รู้” หลี่อีเสี้ยวตอบแล้วดึงแขนหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวมีอะไรปิดบัง เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะมาเยี่ยมใครโดยใช่เหตุแน่ มีอะไรรึเปล่านะ ทำไมอยู่ๆ เขาก็เกิดใจดีมีอัธยาศัยขึ้นมา มีอะไรมากกว่าการชวนไปกินข้าวที่บ้านแน่ๆ


 


 


หลี่อีเสี้ยวอาศัยอยู่ที่หอพักของวิทยาลัยลั่วเฉิงซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อสมาชิกเครือข่ายฟ้าในเมืองลั่วและครูที่จะมาสอนในวิทยาลัยโดยเฉพาะ หลี่อีเสี้ยวได้ห้องที่เป็นห้องชุดสามห้องนอนและมีห้องกินข้าวอีกห้องหนึ่ง


 


 


ด้วยเพราะเขาเป็นราชันฟ้า เขาจึงได้ห้องนี้มาตั้งแต่หอพักนี้เปิดใหม่ๆ แต่เจ้าของที่แท้จริงก็คือเครือข่ายฟ้าดินนั่นแหละ


 


 


หลี่ว์ซู่เจอซีเฟ่ยในหอพักด้วย เขาเจออีกหลายๆ คนที่คุ้นหน้าที่นั่น และพวกเขาก็มองกลับมาอย่างสงสัย อาคารหอพักทุกอาคารเป็นตึกสูงสิบชั้น หลี่อีเสี้ยวนั้นพักอยู่ที่ชั้นสิบ


 


 


เมื่อมาถึงบันไดหน้าห้อง จู่ๆ ประตูก็เปิดโพล่งออกมาก่อนที่หลี่อีเสี้ยวจะทันได้เอากุญแจห้องออกมาเสียอีก ทันใดนั้นหลี่ว์ซู่ก็อึ้งไปเมื่อเห็นว่าใครอยู่ในบ้าน เขามองหลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยที่กำลังยืนอยู่ข้างในสลับไปมา “นี่พวกคุณสองคนอยู่ด้วยกันเหรอ!”


 


 


เหลือเชื่อไปเลย! ช่วงก่อนหน้านี้ หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน่าหลานเชวี่ยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหลี่อีเสี้ยวตอนที่เธอเข้าร่วมแผนหลอกพวกครอบครัวใหญ่อีกห้าครอบครัวนั่น และเขาก็สัมผัสได้ว่าสองคนนี้น่าจะกลับมาคบกันใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้!


 


 


น่าหลานเชวี่ยผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวและถือไม้พายคนอาหารไว้ในมือ “ดีใจที่เจอนายนะหลี่ว์ซู่ เข้ามาสิ ข้าวเย็นพร้อมแล้ว รอฉันตักใส่จานเดี๋ยวเดียวนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่เกือบตัวสั่นด้วยความตกใจ น่าหลานเชวี่ยกลายเป็นแม่บ้านแม่เรือนไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พอเธอเดินกลับเข้าไปในครัว หลี่อีเสี้ยวก็หลิ่วตาให้หลี่ว์ซู่แบบภูมิใจ “เป็นไงล่ะ ฉันสอนเธอดีใช่ไหม”


 


 


“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย!” หลี่ว์ซู่ยังตกใจถึงขีดสุดอยู่


 


 


หลี่ว์ซู่เดินชมรอบบ้านของหลี่อีเสี้ยว เฟอร์นิเจอร์ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบและมีของตกแต่งเล็กๆ รอบบ้าน ซึ่งไม่น่าจะเป็นความคิดของหลี่อีเสี้ยวแน่ๆ ก็เขาเป็นผู้ชายหยาบกระด้างขนาดนั้น!


 


 


หลี่ว์ซู่เหลือบมองน่าหลานเชวี่ยที่ดูเป็นแม่บ้านแม่เรือนในอุดมคติสุดๆ นี่เรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย พวกเขาควรจะเป็นศัตรูชะตาไม่ถูกกันไม่ใช่เหรอ หลี่ว์ซู่เริ่มคิดว่าเชื่อเรื่องดูดวงไม่ได้แล้ว…


 


 


“ข้าวเย็นพร้อมแล้วล่ะ” น่าหลานเชวี่ยพูดเสียงหวานออกมาจากในครัว แล้วเธอก็เดินเข้าห้องกินข้าวมาด้วยจานสองใบในมือ ซึ่งเป็นมีตบอลตุ๋นบราวน์ซอส ส่วนอีกจานเป็นพอร์กช็อปเคี่ยว ดูน่าอร่อยมาก


 


 


แต่ทันใดนั้นเขาก็ถูกดึงความสนใจจากอาหารไปที่ลูกโลกที่วางอยู่ใกล้ๆ กับโต๊ะโทรทัศน์ ลูกโลกนั่นมีบางอย่างแปลกๆ มันมีอะไรสีแดงๆ ยื่นออกมาจากพื้นผิว ด้วยความเบื่อหน่ายปนสงสัย หลี่ว์ซู่ก็เลยลองกดมันเล่นดู แล้วทันใดนั้นลูกโลกนั้นก็แตกออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในอย่างไม่คาดคิด


 


 


มีธนบัตรปึกใหญ่ยัดไว้อยู่ข้างในนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่ตาแทบแตก


 


 


นี่เกมล่าสมบัติรึไง! ก่อนที่เขาจะหายช็อก แต้มอารมณ์ก็เด้งขึ้นมาในระบบ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]


 


 


น่าหลานเชวี่ยทำจานสองใบร่วงลงกับโต๊ะแตกดังเพล้ง ท่าทีงามสง่าอ่อนโยนสลายหายไปในทันใด กลับกัน น่าหลานเชวี่ยหันขวับไปหาอีกฝ่าย “หลี่อีเสี้ยว เธอไม่ได้สัญญากับฉันหรอกเหรอว่าจะไม่ปิดบังกันน่ะ”


 


 


หลี่อีเสี้ยวพยายามจะอธิบาย “หือ ฉันไม่ได้ซุกมันเอาไว้นะ บางทีมันอาจจะอยู่อย่างนั้นมาตั้งแต่ตอนซื้อมาแล้วก็ได้…”


 


 


หลังจากที่เขาพูดจบ หลี่อีเสี้ยวก็หยิบเงินนั่นขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วยัดมันลงในกระเป๋าของน่าหลานเชวี่ย


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]


 


 


นี่นับเป็นอุบัติเหตุโชกเลือดเลยนะ หลี่ว์ซู่คิดในใจ ใครจะรู้ว่าคุณซ่อนเงินไว้ในลูกโลกกัน แล้วที่สำคัญที่สุด ชีวิตหลี่อีเสี้ยวเต่าถุยมาก แถมเขายังถูกน่าหลานเชวี่ยคอยกุมบังเ**ยน!


 


 


ตอนนี้ในใจหลี่ว์ซู่รู้สึกว่าที่แม่ยายของหลี่อีเสี้ยวน่าเลื่อมใสมากขึ้นกว่าเดิมอีก


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่สามารถบ่นหลี่ว์ซู่ต่อหน้าน่าหลานเชวี่ยได้ ถึงจะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ แต่หลี่ว์ซู่มีความสุขกับมื้อเย็นมาก ฝีมือทำอาหารของน่าหลานเชวี่ยใช้ได้เลย


 


 


กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวมีเหตุผลที่เชิญเขามาร่วมโต๊ะด้วย มันไม่มีทางเป็นแค่การสังสรรค์ธรรมดาอยู่แล้ว


 


 


หลังจากกินไปได้ครึ่งหนึ่ง หลี่อีเสี้ยวก็เอ่ยถาม “หลี่ว์ซู่ ไหนๆ ตอนนี้นายก็ว่างอยู่ ไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศกับฉันไหม”


 


 


หลี่ว์ซู่ประหลาดใจ “ต่างประเทศเหรอ มันอันตรายนะ ผมยังเรียนอยู่”


 


 


“อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องเรียนแล้วนี่ การสอบเข้าวิทยาลัยผู้บำเพ็ญผ่านไปแล้ว!”


 


 


“ผมยังสอบจบการศึกษาแล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติได้ ผมชอบเรียน” หลี่ว์ซู่คีบเนื้อหมูเข้าปาก น่าหลานเชวี่ยเลือกเนื้อส่วนซี่โครงมาทำกับข้าว เนื้อส่วนนี้เลาะกระดูกออกง่าย


 


 


น่าหลานเชวี่ยออกความเห็นจากอีกฝั่ง “ทำไมถึงระริกระรี้จะไปต่างประเทศนัก มีอะไรดีหรือไง อย่าประเมินอันตรายที่นั่นต่ำไปเชียว เธอจะทำยังไงถ้าไปติดกับพวกนักบุญหรือฝ่ายศรัทธาเข้าน่ะ!”


 


 


หลี่อีเสี้ยวกลอกตาไปมาประหนึ่งเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร


 


 


หลี่ว์ซู่คิดไว้แล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่หลี่อีเสี้ยวจะถูกใช้เป็นคนส่งสารวิ่งเต้นแทนเนี่ยถิง เขาเคยใช้ไม้นี้มาก่อนแล้ว


 


 


ทำไมเหรอ ก็เพราะเนี่ยถิงต้องการให้หลี่อีเสี้ยวมาหว่านล้อมเขาให้ยอมตกลงดูแลจัดการธุระในต่างประเทศให้เครือข่ายฟ้าดินไงล่ะ ไม่งั้นหลี่อีเสี้ยวจะคะยั้นคะยอให้เขาตามไปต่างประเทศขนาดนั้นทำไมกัน!


 


 


ก่อนพวกเขาจะกินเสร็จ หลี่อีเสี้ยวตื๊อหลี่ว์ซู่อีกสองสามรอบ ทว่าก็โดนปฏิเสธทั้งสิ้น เขาได้แต่ยอมรับว่าหลี่ว์ซู่คงไม่อยากไปต่างประเทศจริงๆ


 


 


อันที่จริงหลี่ว์ซู่ไม่ได้ไม่อยากไป แต่เขาแค่ไม่อยากยอมลงให้เนี่ยถิง จะทำไมล่ะ พวกเขาสองคนอยู่ในเกมสงครามยื้อยุดกันไปมา และเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้หรอก ต่อให้หลี่อีเสี้ยวจะเป็นตัวแทนเจรจาวิ่งเต้นระหว่างพวกเขาก็ตามที


 


 


หลังจากหลี่ว์ซู่กลับไป น่าหลานเชวี่ยก็เหลือบมองหลี่อีเสี้ยว “ทำไมถึงต้องพยายามลากหลี่ว์ซู่ไปด้วยขนาดนั้น”


 


 


หลี่อีเสี้ยวปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับเธอ แต่หลังจากโดนตะบี้ตะบันกว่าครึ่งชั่วโมง เขาก็ยอมแพ้ “เนี่ยถิงบอกว่าจะระงับบัญชีธนาคารของฉันจนกว่าฉันจะตะล่อมหลี่ว์ซู่ให้ยอมไปด้วยกันได้…”


 


 


“เนี่ยถิงนี่นะ…” น่าหลานเชวี่ยคงจะเป็นคนสุดท้ายที่อยากจะเห็นหลี่อีเสี้ยวออกไปเสี่ยงชีวิตในต่างประเทศ ทำไมถึงปล่อยพวกเขาอยู่สงบๆ สองคนไม่ได้นะ เธอเงียบไปพักใหญ่และคิดไปถึงคำที่เพื่อนสนิทเธอเคยบอกไว้ว่าลูกจะเป็นโซ่ทองคล้องใจให้กับผู้หญิงและผู้ชายของเธอ… น่าหลานเชวี่ยเลยกระแอมและถามว่า


 


 


“หลี่อีเสี้ยว เธออยากมีลูกไหม”


 


 


“มีลูกงั้นเหรอ ใครกันอยากจะมีลูกให้เธอ” หลี่อีเสี้ยวอึ้ง น่าหลานเชวี่ยเองก็อึ้งไปสักพัก


 


 


“ฉันหมายถึงว่าเธออยากมีลูกกับฉันไหม!”


 


 


“ถึงฉันจะไปขอลูกคนอื่นกับเธอ ก็ไม่มีใครยกลูกของพวกเขาให้เราหรอก!” หลี่อีเสี้ยวเริ่มคิดว่าน่าหลานเชวี่ยถามอะไรออกมาได้ น่าหลานเชวี่ยมีสีหน้าน่ากลัว เธอกระทืบเท้าเดินออกไปแล้วไปสนใจทีวี


 


 


“ช่างเถอะ ถ้าเป็นแบบนั้นลูกเราก็คงออกมาปัญญาอ่อนแน่ๆ!”



ตอนที่ 570 กัสสปะหนุ่ม


 


 


หลี่อีเสี้ยวใช้เวลามากกว่าสิบปีในการท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลก เขาเติบโตขึ้นจากเด็กหนุ่มไร้เดียงสาและกลายมาเป็นราชันฟ้าที่มากด้วยประสบการณ์ ไม่มีใครรู้จริงๆ หรอกว่าเขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง ทั้งความรัก ความเกลียดชัง ความซื่อสัตย์ และความหลอกลวง


 


 


ตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน เขาก็เลยพยายามเลี่ยงตอบคำถามจากน่าหลานเชวี่ย


 


 


สมัยก่อนเขาเคยเป็นพนักงานขายของในบริษัทขายยาปลอมแห่งหนึ่ง ด้วยความจำเป็นต้องกินต้องอยู่เลยทำให้เขาไม่สนใจว่าบริษัทนั้นจะไร้ศีลธรรมเพียงใด ทว่าสุดท้ายก็โดนไล่ออกเพราะความเห็นแก่กินของเขา


 


 


เพราะเขาผ่านความยากลำบากมานาน หลี่อีเสี้ยวเลยอยากทำให้มั่นใจจริงๆ ว่าชีวิตใหม่ของเขานั้นจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่


 


 


หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะกลับไปที่หลุมศพของอาจารย์และบอกเขาได้อย่างภาคภูมิใจว่า… เดี๋ยวก่อนนะ ว่าแต่ตอนนี้หลุมศพของอาจารย์เขายู่ไหนแล้ว!?


 


 


ขณะที่หลี่อีเสี้ยวนึกถึงความทรงจำของตัวเองอยู่นั้น หลี่ว์ซู่ก็กลับถึงบ้านเรียบร้อยและกำลังร้องเพลงดาวดวงน้อยอยู่ ตอนนี้เขาและไห่กงจื่อกำลังอยู่ในช่วงสงบศึก ไว้หลังจากนี้พวกเขาได้สู้กันต่ออย่างดุเดือดแน่ล่ะ


 


 


ทำไมคนอย่างหลี่ว์ซู่จะปราบจิตวิญญาณกระบี่ที่เนี่ยถิงส่งมาไม่ได้กัน!


 


 


พอพ้นเที่ยงคืนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ไปที่สวนเพื่อฝึกกระบี่ ซึ่งตอนนี้เขาเปลี่ยนมาใช้กระบี่เฉิงอิ่งแทนกระบี่ไม้


 


 


จะว่าไปแล้วกระบี่นี้ก็สามารถใช้เป็นอาวุธประจำของเขาจริงๆ ได้ในอนาคต ช่วงนี้เขาเลยจะต้องฝึกใช้ให้ชินในการฝึกฝนประจำวัน พอฝึกอย่างหนักหน่วงไปสักพัก ร่างกายของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ แล้วทันใดนั้นไห่กงจื่อก็โผล่ออกมา เขาเอ่ยอย่างเย็นชากับหลี่ว์ซู่ ชุดที่สวมใส่ปลิวไสว “ข้าไม่คิดเลย ถึงจะมีความสามารถแค่พื้นฐานแต่เจ้าก็ตั้งใจฝึกเช่นนี้ น่าประทับใจ แต่การฝึกกระบี่ของเจ้าน่ะไม่ใกล้เคียงกับคำว่าสง่างามเลยสักนิด ข้าสอนให้เจ้าได้นะ หากเจ้ายอมขอร้องกันดีๆ อย่างจริงใจ”


 


 


แหม ได้กลิ่นความหยิ่งยโสลอยมาชัดเจนเชียว หลี่ว์ซู่กลอกตาแล้วเอามันฝรั่งอีกลูกหนึ่งออกมาจากตราแผ่นดิน เขาเป็นใครถึงจะมาสอนหลี่ว์ซู่ได้ล่ะ แถมยังคิดว่าหลี่ว์ซู่จะไปคุกเข่าขอร้องด้วยเนี่ยนะ ตลกละ!


 


 


“งั้นถ้าคุณลองขอร้องผมดีๆ ด้วยความจริงใจ ผมอาจจะหยุดใช้กระบี่เฉิงอิ่งทำอะไรแบบนี้ก็ได้นะ” หลี่ว์ซู่แยกเขี้ยวยิ้ม


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากไห่กงจื่อ +399!]


 


 


ไห่กงจื่อรีบกลับเข้าไปในกระบี่ทันทีก่อนที่หลี่ว์ซู่จะปอกมันฝรั่งเสร็จ


 


 


การต่อสู้นี้ยังไม่จบง่ายๆ หรอก หลี่ว์ซู่คิดว่าการที่ไห่กงจื่อออกมาพูดแบบนั้นก็คือสาสน์ท้ารบดีๆ นี่เอง หลี่ว์ซู่ก็เลยตั้งใจเรียกไห่กงจื่อออกมาด้วยหยดเลือดเพื่อเริ่มการต่อสู้นี้อีกครั้ง จากนั้นก็ปอกเปลือกมันฝรั่งต่อหน้าไห่กงจื่อ…


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มซีดเซียวลง ขณะเดียวกันก็โกรธมากขึ้น วิญญาณกระบี่ของคนอื่นๆ มีแต่เชื่อฟังเจ้าของกันทั้งนั้น ทำไมเจ้านี่ถึงได้น่ารำคาญแบบนี้นะ


 


 


ไม่สิ นี่น่ะเป็นความผิดของเนี่ยถิง!


 


 



 


 


ชีวิตการเรียนของหลี่ว์ซู่เริ่มสงบสุขขึ้น และการสอบไล่ประจำเทอมก็ใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับปีสุดท้ายของม.ปลาย แม้แต่พวกที่ไม่ค่อยสนใจจะเรียนก็กลับตั้งใจอ่านหนังสือสอบในการสอบไล่ในครั้งนี้


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็ปลีกตัวออกมาจากคนอื่นๆ เหมือนกัน เขาไม่อยากสุงสิงกับใครและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ยุ่งกับเขา


 


 


เขานั่งอ่านทบทวนหัวข้อวิชาอยู่คนเดียว คนอย่างหลี่ว์ซู่น่ะจะไม่ทิ้งโอกาสงามๆ ไปแน่ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าวิทยาลัยลั่วเฉิงก็ยังมีวิทยาลัยธรรมดาๆ อยู่นี่ และตอนที่สู้กับทาคาชิมะ ถึงเขาจะขยับตัวไม่ได้แต่เขาก็ยังขุดภูเขาแห่งพลังสำเร็จด้วยความตั้งใจ ถึงจะตกเหวลงไปเขาก็จะปีนก้อนหินขึ้นมาจากหุบเหวลึกนั้นด้วยมือของเขาเอง


 


 


จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่เป็นคนมองโลกในแง่ดี เขาไม่ยอมแพ้กับความยากลำบากใดๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


 


 


บางครั้งพวกนักเรียนก็จะจับกลุ่มคุยกันเรื่องตลาดมืดในเมืองลั่วและพวกผู้บำเพ็ญลับ มีนักเรียนคนหนึ่งที่เรียนไม่ค่อยเก่งพูดบางอย่างออกมาด้วยความลำเอียง “ฉันเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าเพื่อนพ่อจริงๆ แล้วเป็นผู้บำเพ็ญลับ เขาบอกว่าความสามารถน่ะไม่จำเป็นหรอก เพราะผู้บำเพ็ญลับที่ไม่ผ่านการทดสอบในการฝึกฝนของเครือข่ายฟ้าดินก็ยังฝึกด้วยตัวเองได้ ถึงจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าก็ตาม แต่ว่านั่นก็ไม่ได้การันตีหรอกนะว่าพวกเขาจะฝึกไม่สำเร็จกัน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสามารถใช้พวกทรัพยากรฝึกฝนเพื่อทดแทนความสามารถที่ขาดหายไปได้ด้วย”


 


 


หลี่ว์ซู่บังเอิญไปได้ยินบทสนทนานี้เข้าโดยเขานั่งห่างไปไม่ไกลมาก เขาเห็นด้วยกับความคิดของคนคนนี้ในระดับหนึ่ง ในขณะนี้เขาเรียนรู้แล้วว่าความสามารถไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญหรอก และหลายๆ คนในเครือข่ายฟ้าดินก็รู้กันว่าระบบที่มีหกระดับน่ะเป็นเพียงสิ่งที่คนสร้างขึ้นมากันเอง


 


 


คนที่ไม่มีพรสวรรค์ยังอยู่รอดในโลกแห่งผู้บำเพ็ญได้ ทว่ากว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาได้ก็กินเวลามาก เครือข่ายฟ้าดินจึงมองว่าไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนด้วย


 


 


แต่ลุงที่เด็กนักเรียนคนนั้นรู้จักก็เรียกได้ว่าขี้โม้ไปหน่อย เพราะทรัพยากรบำเพ็ญนั้นไม่ได้หามาได้ง่ายๆ มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมดั้นด้นไปต่างประเทศเพื่อหาศิลาวิญญาณมาขายเอากำไรในประเทศจีน เพราะต้องจ่ายต้นทุนให้กับการลงทุนนี้ไปมาก กว่าจะได้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรมา


 


 


เด็กนักเรียนคนนั้นยิ้มแล้วพูดต่อ “ตอนแรกพ่อฉันอยากให้ไปเข้ากองทหาร เพราะเกรดห่วยๆ แบบนี้เรียนต่อมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ดี แต่ตอนนี้พ่อเปลี่ยนใจละ เขาอยากให้ฉันเจริญรอยตามลุงคนนั้นแล้วไปเป็นผู้บำเพ็ญลับแทน!”


 


 


พอได้ยินแบบนั้นเพื่อนๆ ก็ชื่นชมยินดีในความโชคดีของนักเรียนคนนั้น “จริงจังเปล่าเนี่ย เราไปขอลุงของนายให้ช่วยสอนพวกเราด้วยได้ไหม”


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าลุงคนนั้นคงจะมีวิธีบำเพ็ญเพียรที่น่ารังเกียจอยู่เหมือนกัน ถึงแบบนั้นก็ยังดีกว่าพวกมนุษย์ที่มีพลังพิเศษแบบจริงๆ พวกนั้นอยู่ดี


 


 


แต่เรื่องแบบนี้มันสอนกันได้ด้วยเหรอ หลี่ว์ซู่เริ่มคิดแล้วว่าเป้าหมายของการที่เครือข่ายฟ้าดินไม่อยากเข้าไปยุ่งกับพวกผู้บำเพ็ญลับพวกนั้นเป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะพวกเขาหวังให้มีการเติบโตของการบำเพ็ญที่นอกเหนือจากรัฐสนับสนุน จากนั้นพวกเขาจะได้ใช้ประโยชน์ในช่วงที่มีสงครามก็ได้ แต่นี่เป็นเพียงความคิดของหลี่ว์ซู่ที่อาจจะไม่ถูกตามนั้นก็ได้ เพราะอย่างไรแล้วเครือข่ายฟ้าดินก็ยังมีอำนาจควบคุมทุกอย่างอยู่


 


 


นักเรียนคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองซวยแล้ว แต่ก็ยังพูดแก้สถานการณ์เพื่อรักษาหน้าตัวเองไว้ก่อน “ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวไปถามลุงให้นะ เดี๋ยวจะพาไปเจอถ้าเขาอยากสอนพวกนาย”


 


 


“เขาแข็งแกร่งมากมั้ย” เด็กคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย


 


 


“อย่าพูดแบบนั้น” นักเรียนคนนั้นทำหน้าเหนือกว่า “ลุงของฉันน่ะดังมากเลยนะที่ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 น่ะ เขาทำงานให้กับองค์ท่านแล้วก็ท่านที่เคารพด้วย!”


 


 


เพื่อนๆ ของเขาต่างอึ้งกันไปหมด เพราะไม่นานมานี้มีโพสต์ใหม่ในกระทู้ของมูลนิธิเกี่ยวกับเรื่องตลาดมืด หลายๆ คนรู้ว่าท่านที่เป็นที่พูดถึงนี้ แท้จริงแล้วคือราชันฟ้าหลี่อีเสี้ยว คงจะเท่มากถ้ามีลุงที่ทำงานให้ราชันฟ้าอยู่ด้วย แต่ตัวจริงของท่านที่เคารพเป็นใครกันนะ


 


 


“ลุงของนายเคยเจอท่านที่เคารพไหม ฉันเคยอ่านเจอในบอร์ดกระทู้ของมูลนิธิว่าการต่อสู้ด้วยกระบี่ของท่านที่เคารพน่ะไม่มีใครเทียบติดเลย แถมเขายังหนุ่มอยู่ด้วย จริงหรือเปล่า” เด็กอีกคนถาม


 


 


“ฮ่าๆ ถามได้ดีนะ ลุงฉันเคยเห็นท่านที่เคารพด้วยสองตาของตัวเองมาแล้ว ตอนแรกท่านที่เคารพใส่หน้ากากเข้ามาด้วยล่ะ แต่หน้าจริงๆ ของเขาน่ะเด็กกว่ามาก ลุงยังบอกอีกว่าเขาน่าจะรุ่นๆ เดียวกับเรานี่แหละ”


 


 


“จริงอะ! ล้อกันเล่นหรือเปล่า! อายุเท่าๆ เราแต่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชันฟ้าหลี่เลยเนี่ยนะ น่าสนใจชะมัด”



ตอนที่ 571 พลังแห่งสายเลือด


 


 


ที่จริงแล้วตอนที่หลี่ว์ซู่เข้าไปคุยกับพวกตระกูลใหญ่ เขาเองนี่แหละที่เป็นคนควบคุมตลาดมืดไว้ ตอนนั้นหลี่อีเสี้ยวเป็นแค่คนเฝ้าประตูดีๆ นี่เอง


 


 


วิธีที่เขาพูดตอนที่บริหารตลาดมืดนั้นทำให้พวกผู้บำเพ็ญลับจำเขาได้ดี… พวกผู้บำเพ็ญลับมักจะได้ยินหลี่ว์ซู่พูดใส่แรงๆ


 


 


ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังเคารพหลี่ว์ซู่ด้วยใจจริง มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้ตระกูลใหญ่กว่าหกตระกูลที่ไม่มีใครกล้าสู้หน้าด้วยพ่ายแพ้อย่างราบคาบไปได้อย่างนั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นเขายังหนุ่มอยู่เลย!


 


 


นักเรียนที่อ่อนแอคนนั้นหัวเราะ “ลุงบอกว่าจะอนุญาตให้ฉันฝึกด้วยได้ถ้าฉันได้เลื่อนระดับเป็นระดับ F แล้ว เขาจะพาฉันไปต่างประเทศเพื่อไปขนสินค้าเข้ามาด้วยกัน ลุงบอกว่าจะไปเรียนทำไมในเมื่อสามารถบำเพ็ญได้”


 


 


นี่เป็นการขีดเส้นแบ่งระหว่างนักเรียนที่ได้เกรดดีๆ และนักเรียนที่ได้เกรดแย่ๆ พวกเรียนดีก็จะพูดแต่เรื่องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ส่วนพวกเรียนแย่ก็จะเข้ากองทหารหรือเข้ามหาวิทยาลัยระดับกลางๆ ไม่ก็สอบใบเทียบเอา


 


 


แต่พอถึงในยุคนี้แล้วถ้ามีใครเลือกตามรอยพวกผู้บำเพ็ญลับไปเป็นผู้บำเพ็ญลับ ก็จะมีเส้นทางใหม่ให้เลือกเดิน


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าทางเดินนี้ไม่ใช่ทางเดินที่ดีนักที่จะตามรอย แต่นักเรียนพวกนี้น่ะรู้น้อยกันเกินไปในโลกแห่งผู้บำเพ็ญนี้ พวกเขาก็เลยคิดการเดินทางนี้มันโดดเด่นกว่าและสามารถโด่งดังได้มากกว่า แต่หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่าจะไปเรียนทำไมถ้าสามารถฝึกบำเพ็ญได้ เพราะพวกผู้บำเพ็ญผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายจะทำให้แน่ใจว่าเราจะต้องเห็นความสำคัญของความรู้ขณะที่ต้องทำการฝึกบำเพ็ญไปด้วย


 


 


“หลังเลิกเรียนวันนี้ลุงจะพาฉันไปดูตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 ฉันได้ยินว่าคนธรรมดาเองก็ไปที่นั่นกันบ่อยล่ะ ขายทรัพยากรฝึกฝนที่นั่นเงินดีเชียว” นักเรียนที่อ่อนแอคนนั้นกล่าว


 


 


เขาพูดถึงแต่ลุงตัวเอง เหมือนกับวันที่ทุกคนเมามายแล้วเอาแต่โอ้อวดกันไปมานั่นแหละ เพื่อนฉันทำแบบนั้น พ่อฉันทำแบบนี้ ส่วนพ่อของเพื่อนน่ะทำแบบโน้น ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ…


 


 


คำว่า ‘ผู้บำเพ็ญลับ’ และ ‘ปะทุพลัง’ เป็นเทรนด์ในสมัยนี้ นักเรียนหลายๆ คนในห้องเต้าหยวนเริ่มเสียดายกับการตัดสินใจของครอบครัวที่เลือกให้ตัวเอง ทุกคนต่างบอกว่าทางเลือกนี้นั้นอันตราย แต่สำหรับนักเรียนคนอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นนักเรียนห้องเต้าหยวนแล้วก็ไม่น่าจะรู้จักความอันตรายนี้หรอก


 


 


ดูเหมือนว่าการบำเพ็ญในทุกวันนี้จะเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว ยุคเก่าผ่านพ้นไป ยุคใหม่ก็เข้ามา วันเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว ความคิดที่ฝังหัวจากในยุคเก่าๆ เริ่มตีกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ สุดท้ายแล้วยุคสมัยใหม่ก็จะอุบัติขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่นั้นใจเย็นพร้อมรับสถานการณ์ไว้แล้ว เขารู้ว่าที่โอ้อวดกันว่า ‘เพื่อนฉันเจ๋งสุดๆ ไปเลย’ หรือ ‘เพื่อนพ่อฉันเก่งมากๆ ’ เป็นแค่การพูดโม้ไปเรื่อยก็เท่านั้นแหละ ทำไมไม่อวดความสามารถของตัวเองบ้างล่ะ


 


 


หลังเลิกเรียน หลี่ว์ซู่ก็เดินออกไปจากโรงเรียน ชีวิตประจำของเขาช่างเรียบง่าย ไปโรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน


 


 


แต่เวลานี้หลี่ว์ซู่ไม่ต้องไปขายไข่ต้มอีกแล้ว ทุกวันหลังจากกลับบ้านมาเขามีอะไรที่สำคัญกว่านั้นให้ทำ เขาต้องฝึกบำเพ็ญ ต้องฝึกกระบี่ และต้องตบตีกับไห่กงจื่ออีกด้วย


 


 


พอเดินมาถึงประตูโรงเรียน หลี่ว์ซู่ก็เห็นนักเรียนผู้อ่อนแอคนนั้นเดินไปหาชายวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว “ลุงครับ มาแล้วเหรอ! ลุงบอกว่าจะไปรอที่บ้านไม่ใช่เหรอครับ”


 


 


ชายวัยกลางคนหัวเราะ “จะได้ประหยัดเวลาไง มา มา เดี๋ยวจะพาไปดูตลาดมืด แล้วจะแนะนำให้รู้จักกับลุงคนอื่นๆ ด้วย ใครจะรู้ล่ะ หลานอาจจะต้องได้ไปตกลงซื้อขายกับพวกนั้นในอนาคตก็ได้”


 


 


นักเรียนที่อยู่รอบๆ นั้นต่างพากันอิจฉา โดยเฉพาะพวกที่เกรดแย่กว่าเขา พวกนั้นมองเพื่อนอยู่ระดับล่างๆ ของชั้นมีทางเดินใหม่ที่พวกเขาจะไปได้ อย่างกับว่าเขาเป็นลูกเศรษฐีที่เรียนแย่ๆ และพ่อแม่ไม่สนใจเรื่องเกรดเลย


 


 


พวกลูกเศรษฐีในงานเลี้ยงรุ่นพูดเล่นกันเป็นประจำในงานเลี้ยงรุ่น ‘พวกเรียนดีน่ะโชคดีแล้ว ไม่เหมือนฉันที่เกรดแย่เกินกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็ทำได้แต่รับช่วงต่อกิจการของที่บ้านเท่านั้นแหละ พอพ่อรู้ว่าฉันเศร้าก็เลยส่งเฟอรารี่มาให้คันหนึ่งแหละ…’


 


 


แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลุงวัยกลางคนคนนั้นสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ในฝูงคน เขาอึ้งไปถนัด


 


 


“ท่านที่เคารพ!” อยู่ๆ ลุงวัยกลางคนที่เมื่อกี้ตื่นเต้นจะพาหลานไปตลาดมืดก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาหลี่ว์ซู่และส่งยิ้มให้ “ท่านที่เคารพมาเรียนที่นี่เหรอครับ”


 


 


“มีอะไรไปทำก็ไปเถอะ” หลี่ว์ซู่หันไปมองเขาแล้วพูด


 


 


หลี่ว์ซู่จำคนนี้ได้ ตอนที่หลี่ว์ซู่จะซื้อศิลาวิญญาณกลับคืนมาก็ได้เขาคนนี้ช่วยไว้ หลี่อีเสี้ยวชมไปยกใหญ่ มิน่าล่ะ เขาพูดว่าตัวเองเกี่ยวข้องกับท่านและท่านที่เคารพ ดูเหมือนว่าเขาจะทำผลงานได้ดีเลยแฮะ


 


 


“ครับ” ลุงคนนั้นเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก ท่านที่เคารพไม่อยากพูดกับเขา เขาต้องรีบผละตัวออกไป


 


 


แต่นักเรียนผู้อ่อนแอคนนั้นกลับหน้าซีดไป พวกนักเรียนที่อยู่รอบๆ เองก็นั่งกันไม่ติด ท่านที่เคารพที่พวกเขาพูดถึงกันคือหลี่ว์ซู่งั้นเหรอ


 


 


พวกเขาคิดว่าหลี่ว์ซู่ไม่น่าจะมีฝีมืออะไรและก็คงไม่ใช่คนหัวดีเพราะเขาไม่มีโอกาสได้ไปสอบเข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยลั่วเฉิง ใครๆ ต่างก็บอกว่าคนที่จบจากลั่วเฉิงนั้นจะต้องเป็นพวกเก่งมากๆ แน่นอน ส่วนคนที่เรียนไม่จบจะถูกส่งไปอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยแต่จะได้อยู่ในระดับสูงๆ


 


 


แต่กลายเป็นว่าในสายตาของผู้บำเพ็ญลับแล้ว หลี่ว์ซู่คือคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับผอ.หลี่เลยเหรอ หลี่อีเสี้ยวเป็นถึงราชันฟ้าเลยนะ! นี่โลกเราเพี้ยนไปแล้วหรือไง เมื่อก่อนทุกคนคิดว่าหลี่ว์ซู่เป็นแค่มนุษย์ที่มีพลังพิเศษ ถ้าเขาไม่ได้ปะทุพลัง เขาก็ไปไกลได้ถึงแค่ระดับ C เท่านั้น ถึงแม้เขาจะได้เลื่อนระดับไปไกลกว่าเดิมได้ ก็มีคนจากมูลนิธิพูดไว้ว่า มีแต่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวจะทำให้เขาเสียเปรียบผู้อื่นอย่างมาก


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่กลายเป็นมือกระบี่ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างไรล่ะ


 


 


ไม่นานมานี้คนที่ไม่พอใจหลี่ว์ซู่ อยู่ๆ ก็เห็นหลี่ว์ซู่ตั้งใจเรียนขึ้นมา เขาดูพยายามอย่างมากที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปกติ ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ทุกคนก็รู้สึกดีใจขึ้นมานิดหน่อย


 


 


โลกเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ จิตใจคนน่ากลัวกว่าสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติอีก คนบางคนอยู่ๆ ก็มุ่งร้ายได้ขึ้นมาโดยที่พวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวเลยก็ได้ด้วยซ้ำ


 


 


และความมุ่งร้ายเหล่านั้นก็ถูก ‘ท่านที่เคารพ’ หรือผู้บำเพ็ญลับที่ชื่อว่าหลี่ว์ซู่ทำลายไปเสียสิ้น พวกเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงและเรียนรู้หลี่ว์ซู่ในตอนนี้เสียใหม่


 


 


หลี่ว์ซู่เดินอย่างใจเย็นไปที่เส้นแบ่งอาณาเขต โลกทั้งสองโลกถูกแบ่งออกโดยการเข้ามาของยุคแห่งพลังพิเศษ พวกนั้นกับหลี่ว์ซู่ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หลี่ว์ซู่จะไปสนใจว่าคนพวกนั้นจะคิดอย่างไรกับเขา


 


 


อยู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าตัวเองยังมีของวิเศษชิ้นหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่ามันสามารถทำอะไรได้บ้าง เขากลับบ้านมาอาบน้ำและเดินเข้าห้องตัวเองไป เขาหยิบไข่มุกสีดำออกมาจากตราแผ่นดินเพื่อพิจารณาดูมันใกล้ๆ หมอกสีดำหมุนวนอยู่ภายในไข่มุกเหมือนกับวันแรกที่เขาได้มันมา


 


 


ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าออกในไข่มุกได้ตามใจนึก เขาไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในไข่มุกนี่ อาจเป็นจิตวิญญาณเก่าแก่แบบไห่กงจื่อก็ได้ คิดย้อนไปแล้ว เสียงนั้นดังมาจากที่ไกลๆ และมันก็ไม่ได้แสดงออกมาว่ามีเจตนาร้าย ถึงแม้ว่าเขาจะหยุดยั้งตัวเองไม่ให้สำรวจเข้าไปในไข่มุกสีดำนี่ คำพูดที่เขาได้ยินมามันยังก้องอยู่ในหัว


 


 


ทำไมมันถึงบอกว่าเขาเป็นสายเลือดที่คุ้นเคยนะ สายเลือดของเขาคือใครกัน


 


 


กลุ่มเทพเจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าการสืบทอดทางสายเลือดนั้นมีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นค้อนกุงเนียร์ของคอรัล หรือการที่เธอปล่อยพลังอสนีบาตได้จากการปะทุพลังทางสายเลือด สิ่งเหล่านี้ก็ช่างเหมือนสิ่งที่เทพโอดินมีทุกประการ



ตอนที่ 572 สำรวจไข่มุกดำเป็นครั้งที่สอง


 


 


หลี่ว์ซู่มองดูไข่มุกดำในมืออย่างระมัดระวัง หลังจากที่ลังเลคิดกลับไปกลับมาหลายตลบ เขาก็ตัดสินใจเข้าไปสำรวภายในไข่มุกอีกครั้ง


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าเขาเองนั้นเป็นแค่เด็กกำพร้าธรรมดาๆ พ่อแม่คงจะดูแลเขาไม่ได้หรืออาจจะอ่อนแอและสุขภาพไม่ดี เขาเลยถูกทิ้งไว้ที่หน้าประตูสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า


 


 


แต่ตั้งแต่ยุคสมัยของผู้บำเพ็ญมาถึง หลี่ว์ซู่ก็สงสัยเรื่องนี้อยู่ตลอด เพราะจุดเริ่มต้นการฝึกบำเพ็ญของเขาเริ่มมาจากจี้สีดำที่ติดมาในห่อผ้าตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นทารก


 


 


ไม่ว่าจะเป็นเพลิงในใจของเขา สัญลักษณ์รูปต้นไม้สีขาวที่อยู่ตรงกลางฝ่ามือ แผนภูมิดารา กระบี่ซือโก่วและฝูฉื่อ รวมถงระบบบันทึกแต้มอารมณ์อะไรนั่นอีก ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังคืนนั้นคืนเดียวเลย


 


 


ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าสถานการณ์ต่อจากนี้จะไม่ง่ายเหมือนกับ สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาแน่ๆ


 


 


ไข่มุกสีดำนี่ให้ทั้งความหวังที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมา และอาจมอบประตูสู่อดีตของเขาอีกด้วย


 


 


ถ้าหากรู้ต้นกำเนิดของสายเลือดตัวเองก็อาจทำให้เขาเข้าใจประวัติความเป็นมาของตัวเอง หลี่ว์ซู่เองก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ความอยากรู้ทำให้เขายอมที่จะกลับเข้าไปในไข่มุกสีดำเพื่อหาคำอธิบายเรื่องราวทั้งหมด


 


 


เขาใชสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเขาเปิดผนึกไข่มุกสีดำออก และพอรู้ตัวเขาก็เข้าไปอยู่ในหมอกหนาสีดำแล้ว


 


 


หมอกนั้นค่อยๆ วนรอบตัวหลี่ว์ซู่ เขามองไปรอบๆ และพบว่าตนไม่ได้ตกอยู่ในความมืดมิดเลยเสียทีเดียว เขามองเห็นแสงสีเงินสวยงามจางๆ สะท้อนในเงาหมอก แต่ว่ากลับมีหมอกหนาสีดำปกคลุมไว้อยู่ แสงนั้นเลยหม่นลง


 


 


บนพื้นที่เท้าเขาเหยียบย่ำอยู่นั้นดูจะไม่ใช่พื้นแข็งๆ เขาย่อตัวลงเพื่อสัมผัสพื้นผิวของมันและพบว่าเป็นดินนั่นเอง


 


 


แล้วจากนั้นกระจกส่องตะวันของหลี่ว์ซู่ก็ปรากฏขึ้น หลี่ว์ซู่เริ่มสังหรณ์ไม่ดี พอเขาสัมผัสดินนั่นก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น พอเขาเอากระจกส่องตะวันขึ้นมาเขาก็เข้าใจอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาไม่ได้ใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้เข้ามาในไข่มุกเท่านั้น แต่เขาเอาร่างจริงๆ เข้ามาในไข่มุกด้วยต่างหาก!


 


 


ซึ่งนี่ก็เป็นโลกทั้งใบในไข่มุกสีดำนี่!


 


 


“เจ้ามาแล้ว” เสียงดังมาจากที่ไกลๆ ก้องไปทั่วพื้นที่ว่างเปล่านี้ ทำให้หลี่ว์ซู่เดาได้ว่าที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มาก ไม่อย่างนั้นก็คงทำเสียงให้ก้องขนาดนี้ไม่ได้


 


 


“คุณเป็นใครกัน” หลี่ว์ซู่พยายามที่สงบใจให้มากที่สุด


 


 


ขณะที่เอ่ย เขาก็ใช้กระจกส่องตะวันส่องไปด้วยรอบๆ หลี่ว์ซู่รู้สึกอึดอัดในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแบบนี้


 


 


เสียงนั้นตอบกลับมา “ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก กลับกันแล้วข้าสงสัยมากกว่า ทำไมเจ้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”


 


 


ซู่หยุดคิดแล้วตอบออกไป “ผมได้ไข่มุกนี่มาโดยบังเอิญ และผมก็ใช้เอาสัญชาตญาณจิตหยั่งรู้เข้ามาในนี้ คุณเป็นใครกันแน่” หลี่ว์


 


 


เสียงนั้นหยุดไปสักพักแล้วตอบกลับมา “ไข่มุกสีดำ…คืออะไร”


 


 


หลี่ว์ซู่ประหลาดใจนิดหน่อย เขาคิดว่าเจ้าของเสียงอยู่ข้างในไข่มุกนี่มานานแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะต้องรู้จักไข่มุกสีดำสิ ความรู้สึกแปลกๆ นี่มันอะไรกันน่ะ ความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในนี้มากกว่าข้างนอกมา หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงลมที่พัดผ่าน


 


 


แต่เขาก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากรู้เช่นกัน “ครั้งก่อนคุณพูดถึงสายเลือดที่คุ้นเคย คุณพูดถึงสายเลือดของผมหรือเปล่า”


 


 


“ข้าก็แค่รู้สึกคุ้นๆ แต่เรื่องนั้นก็ผ่านนานแล้ว ข้าแยกแยะไม่ได้แล้วว่าสายเลือดคืออะไร” เสียงนั้นเงียบก่อนจะตอบกลับมา


 


 


หลี่ว์ซู่ผิดหวังมาก เขาไม่คิดว่าคำถามที่ถามออกไปจะไม่ได้คำตอบอะไรเเลย เขาบอกไม่ได้ว่าเจ้าของเสียงนี่ไม่รู้จริงๆ หรือแค่ไม่อยากบอกสิ่งที่ตัวเองรู้ให้เขาฟังกันแน่


 


 


“งั้นคุณเป็นใครกัน” หลี่ว์ซู่ถามเสียงดัง “คุณมาจากยุคสมัยไหน”


 


 


อยู่ๆ หมอกสีดำก็หยุดไปเสียอย่างนั้น ราวกับว่าเสียงนี้ไม่ได้พูดอะไรมาก่อน


 


 


หลี่ว์ซู่งงมาก ตอบคำถามง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ เขาต้องไปหาคำตอบเองหรือเปล่า


 


 


เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงนี้มีต้นตอมาจากไหน เขาครุ่นคิดแล้วถามออกไป “งั้นอยากรู้รึเปล่าว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”


 


 


ที่พูดไปก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินสถานการณ์ของหลี่ว์ซู่ทั้งนั้น เขามีความรู้สึกว่าเจ้าของเสียงนี้ถูกใครสักคนกักขังเอาไว้ในไข่มุกดำ


 


 


เสียงที่ตอบกลับมานั้นอัดแน่นไปด้วยอารมณ์จนหลี่ว์ซู่รู้สึกได้ “อยากรู้สิ”


 


 


“เออ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน” หลี่ว์ซู่ผงกหัว


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิวเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


หมิวเย่ว์เยี่ย?


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มใจเย็นลงในที่สุด ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่าเสียงนี้เป็นวิญญาณอะไรสักอย่าง แต่พอหลี่ว์ซู่ได้รับแต้มอารมณ์มาก็รู้สึกได้ว่ามันไม่น่ากลัวอีกต่อไปเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก อย่างน้อยเสียงนี่ก็มาจากใครสักคนที่ให้แต้มอารมณ์ให้เขาได้ล่ะนะ


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ว่าเสียงนี้พยายามจะทำให้เสียงตัวเองดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าตัวเองเป็นสิ่งเหนือธรรมขาติ แต่ฉากบังหน้านั้นก็ถล่มลงมาทันทีที่หลี่ว์ซู่ได้รับแต้มอารมณ์จากเขา


 


 


นี่ทำให้หลี่ว์ซู่มั่นใจได้ว่าเสียงนี้มาจากคนที่ติดอยู่ในไข่มุกดำ ซึ่งทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย ไข่มุกดำนี่เคยทำให้คนติดอยู่ข้างในมาก่อนหรือเปล่าเนี่ย แต่นั่นมันก็ฟังดูไม่มีเหตุผลเลย คนเราจะไม่รู้ได้ยังไงว่าตัวเองติดอยู่ข้างในนี้


 


 


“ยังอยู่หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ตะโกนถาม แต่ไม่มีเสียงตอบรับ


 


 


ฮ่าๆ แกล้งทำตัวลึกลับงั้นเหรอ เขาตัดสินใจแล้ว เดี๋ยวจะเปิดโปงเรื่องทั้งหมดให้ดู หึ! กระจกส่องตะวันในมือหลี่ว์ซู่ส่องแสงประกายออกมา ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะได้ทำอะไรต่อ เสียงนั้นก็ดังขึ้นใหม่ “ทำอะไรของเจ้าน่ะ! ปิดมันเดี๋ยวนี้นะ ปิดมัน!”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิวเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


แกร๊ง! อยู่ๆ ก็มีเสียงกุญแจมือดังขึ้นมา หลี่ว์ซู่สังเกตเห็นว่าลำแสงจากกระจกส่องตะวันส่องตัดหมอกเข้าไปจนเห็นหน้าคน แขนขาของหมิวเย่ว์เยี่ยถูกตรึงไว้กับกำแพงหิน เขาขยับไปรอบๆ ได้มากที่สุดแค่ห้าเมตรเท่านั้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินและใช้มือทั้งสองปิดตาตัวเองไว้…


 


 


กุญแจมือนี้ไม่ได้ทำมาจากวัสดุธรรมดาๆ หลี่ว์ซู่เห็นว่ามีเส้นสีแดงพาดผ่านกุญแจมือนี้ไว้


 


 


หลี่ว์ซู่เข้าไปยืนตรงที่ปลอดภัยจากเขาและทำตัวให้ดูใหญ่กว่าคนตรงหน้า


 


 


คนคนนั้นมีร่างเล็กและไม่ได้ใส่เสื้อ กางเกงผ้าลินินที่สวมอยู่ก็ขาดวิ่น น่าจะเพราะใส่ไว้นานแล้ว หน้าของเขาซูบตอบ ถึงแม้เขาจะดูเป็นคนธรรมดาๆ แต่หลี่ว์ซู่ก็ระมัดระวังเขาน่าดู ไม่ใช่เพราะว่าหน้าตาเขาดูดุร้ายอะไรหรอก แต่เป็นเพราะหลี่ว์ซู่สัมผัสพลังจิตวิญญาณจากเขาไม่ได้


 


 


คนที่ติดอยู่ในที่ลึกลับแบบนี้นานๆ จนไม่รู้วันรู้คืนจะไม่มีพลังอะไรแผ่ออกมาเลยได้ไง


 


 


“คุณเป็นใครกัน” หลี่ว์ซู่ถามอย่างใจเย็น


 


 


“ข้าเป็น… ก่อนอื่นเอาแสงในมือเข้าออกไปก่อนได้ไหม” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น เขาอยู่ในความมืดมาเป็นเวลานาน ถึงแม้เขาจะเก่งกาจขนาดไหนแต่ก็สู้แสงจ้าแบบนี้ไม่ได้หรอก ผู้บำเพ็ญทุกคนมีจุดอ่อนอยู่ที่ตากันทั้งนั้นแหละ



ตอนที่ 573 หมอกดำที่มืดมัว


 


 


บอกตามตรงว่าตอนนี้หลี่ว์ซู่ผิดหวังมาก เขาคาดหวังว่าจะได้เจอวิญญาณที่ยังไม่หมดห่วงหรือสิ่งมีชีวิตทรงพลังอะไรเทือกๆ นั้น ไม่ใช่นักโทษที่โดนกักขังแบบนี้


 


 


ถ้าเป็นในเกม พวกผู้เล่นมักจะเปิดกล่องสมบัติเจออาจารย์แก่ๆ ที่ช่วยสอนเคล็ดลับการฝึกฝนและฝึกความชำนาญ หรือกระทั่งพาไปฝึกบำเพ็ญในสถานที่ใหม่ๆ ทว่าความคาดหวังแบบนั้นได้พังทลายไปแล้ว


 


 


สรุปแล้วเขาเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้น ถึงหลี่ว์ซู่จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องที่เขาบอกเรื่องสายเลือดนี่เท่าไหร่แต่เขาก็อารมณ์เสียเหมือนกันที่ค้นพบอะไรที่หักมุมจบไม่สวยแบบนี้


 


 


ผู้ชายคนนี้ต้มคนเก่งกว่าหลี่ว์ซู่อีก!


 


 


แต่เขาก็ยังแอบหวังอยู่เล็กๆ ในใจว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้โกหกเรื่องสายเลือดตอนแรกที่เจอกัน อาจเป็นเพราะเขารู้สึกถึงอะไรผิดปกติได้จริงๆ


 


 


พอมาถึงจุดนี้แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าหมอกสีดำนั่นมีอะไรแปลกๆ เพราะหลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงความแสบร้อนบนผิว เขามองไปที่ผู้ชายคนนั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าก็เห็นว่าชายคนนี้มีแสงสีเขียวอยู่รอบตัวเพื่อปกป้องตนเองจากหมอก


 


 


เมื่อเห็นดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเรียกธารน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเพื่อปกป้องร่างกายของเขาด้วยเช่นกัน จากนั้นความแสบร้อนรอบตัวก็หายไปทันที


 


 


กระนั้นงูสีทองของเขาก็ผลุบหัวออกมาจากน้ำและกลั้นหายใจไว้ขณะที่ปากของมันเปิดออกกว้าง เหมือนกับว่ามันหายใจเอาน้ำทะเลเข้าไป หมอกสีดำหนาๆ นั่นหายเข้าไปในปากของเจ้างูอย่างต่อเนื่อง


 


 


ไม่นาน เจ้างูสีทองก็เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างสังเกตเห็นได้ชัด


 


 


ไม่แม้แต่งูเท่านั้น กระทั่งธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็เปลี่ยนสีเป็นสีดำเหมือนหมึกตามไปด้วย


 


 


เขาไม่คิดเลยว่าจะเหตุการณ์จะกลายเป็นแบบนี้ แต่นอกจากสีที่เปลี่ยนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ปลอดภัยด้วยการปกป้องของธารน้ำนี่ ผ่านไปไม่กี่วินาที หมอกสีดำในไข่มุกดำก็ถูกดูดเข้าไปในธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพลังกัดกร่อนของมันเพิ่มมากขึ้นถึงสองเท่าขณะโดนดูดเข้าไป


 


 


ต่อให้โนกิวะ ฮากุชุนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็คงไม่กล้ากระโดดลงน้ำตรงๆ แน่ถึงแม้มีไม้ตายที่ใช้โจมตีกลับก็เถอะ


 


 


ผู้ชายคนนั้นมองด้วยความประหลาดใจ “นั่นคืออะไร ทำไมถึงดูดพลังจากหมอกสีดำนี่ได้ เจ้าเป็นใครกันแน่!”


 


 


แสงสีเขียวรอบตัวหมิงเย่ว์เยี่ยหายไปแล้ว ในที่สุดเขาก็สามารถหยุดพักจากการถูกทรมานด้วยหมอกสีดำเป็นเวลานานได้พักหนึ่ง


 


 


“ไม่สำคัญ บอกมาก่อนสิว่าคุณเป็นใคร” หลี่ว์ซู่ไม่ยอมง่ายๆ


 


 


“เอาแสงนั่นออกไปก่อน!” หมิงเย่ว์เยี่ยตะโกน


 


 


หลี่ว์ซู่ยอมทำตาม ชายคนนี้ลุกขึ้นมาและเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “เจ้ามาจากไหนกัน ข้าไม่เคยเห็นคนแต่งตัวแบบนี้”


 


 


หลี่ว์ซู่ใส่เสื้อคลุมแจ็กเก็ตและกางเกงยีน แต่งแบบนี้ก็ธรรมดาในสมัยนี้นี่ ถ้าชายคนนี้ถามแบบนี้ก็แปลว่าเขาไม่ได้มาจากยุคนี้แน่ๆ เขาไม่เคยเห็นชุดของคนในยุคปัจจุบันเลย เพราฉะนั้นแทนที่ที่หลี่ว์ซู่จะอธิบาย เขากลับถามคำถามต่อ “คุณเป็นใคร ถ้าไม่ตอบ ผมจะส่องแสงนี่ไปที่คุณนะ”


 


 


“ข้าคือชิงคง เจ้าสวรรค์แดนอุดร…”


 


 


หลี่ว์ซู่ส่องกระจกเข้าไปที่หมิงเย่ว์เย่ในทันที “ตลกดีนี่”


 


 


“ไอ้ประสาท!”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่พอใจ เขาชื่อหมิงเย่ว์เยี่ยนี่ ทำไมต้องแสร้งทำเป็นเจ้าสวรรค์อุดรอะไรนั่นด้วย!?


 


 


ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกสับสน เจ้าสวรรค์แดนอุดรชิงคงนั่นคือใคร เขาไม่มีตนตนอยู่ในตำนานจีนเสียหน่อย


 


 


“ให้โอกาสอีกรอบ คิดให้ดีก่อนตอบ” หลี่ว์ซู่หมุนกระจกส่องตะวันออกไปทิศอื่น


 


 


“ข้าคือเจ้าสวรรค์แดนทักษิณ เหวินไจ้โฝ่ว… บัดซบ! ขอใหม่อีกรอบ เอาแสงนั่นออกไป!”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


“ข้าคือเจ้าสวรรค์แดนประจิม ตวนมู่หวงฉี่… ไม่เชื่อกันหรือไง ข้าพูดความจริง! เอาแสงออกไป!”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


“ผมคือกัสสปะ ผู้ติดตามของเจ้าสวรรค์แดนบูรพาไห่กงจื่อ หรือที่คนขนานนามว่าท่านที่เคารพ…”


 


 


“งี่เง่า เจ้าสวรรค์บูรพาคืออวี้ฝูเหยา ไห่จงจื่อเป็นใครที่ไหนกัน ไม่คู่ควรมาเป็นราชันแดนบูรพาหรอก! แล้วผู้ติดตามของราชันทั้งหลายไม่มีใครชื่อท่านที่เคารพกันสักคน” หมิงเย่ว์เยี่ยโกรธจัด


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่ก็ไม่ติดอะไรถ้าเขาจะโกรธ แค่ประหลาดใจเท่านั้นที่ท่าทางของเขาดูเหมือนพูดความจริง


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ไม่เชื่อเรื่องชวนเชื่อของเขา ใครจะบอกว่าตัวเองเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ [1] เป็นสูฝู [2] ไท่ซ่างเหล่าจวิน [3] หรือกระทั่งเป็นซุนหงอคงก็บอกได้ทั้งนั้น เขาไม่สนใจจะว่าจะพูดตามตำนานอะไรหรอก!


 


 


แต่หลี่ว์ซู่เองรู้สึกได้ถึงบางอย่าง ที่ชายคนนี้พูดมานั้น ดูเหมือนว่า ‘เจ้าสวรรค์แดนอุดร’ หรือ ‘เจ้าแห่งสวรรค์แดนทักษิณ’ นั้นจะมีอยู่จริงๆ


 


 


เขาพูดเล่นหรือเปล่านะ หรือนี่จะเป็นหมิงเย่ว์เยี่ยจากโลกอื่น เหมือนกับปรมาจารย์หุ่นเชิดแบบนั้น ที่ผ่านมาเขาเก็บไข่มุกนี้ไว้เพราะมันมีความคล้ายคลึงกับหน้ากาก หรือนี่จะหมายความว่าหมิงเย่ว์เยี่ยมาจากโลกเดียวกับปรมาจารย์หุ่นเชิดและพวกเขาทั้งสองก็เป็นทายาทของตระกูลอี๋ที่เก่าแก่อะไรนั่น


 


 


“คุณรู้จักปรมาจารย์หุ่นเชิดหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถามอย่างเรียบๆ


 


 


“ปรมาจารย์หุ่นเชิดคือคนบ้าที่ไหนกัน” หมิงเย่ว์เยี่ยชะงัก “ไม่เห็นเคยได้ยิน”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สนใจว่าเขาพูดอะไรออกมา เขาจะไม่เชื่อคนที่ไม่ยอมบอกแม้กระทั่งชื่อจริงของเขาหรอก ถ้าไม่ได้แต้มอารมณ์ของชายคนนี้มาหลี่ว์ซู่คงโดนหลอกไปแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่มองเข้าไปในแสงจากกระจกส่องตะวัน หวังว่าตรวจสอบอะไรได้ หมิงเย่ว์เยี่ยไม่เข้าใจ “กระจกในมือเจ้านั่นคืออะไร ทำไมมันถึงส่องสว่างตัดหมอกหนาๆ ในหุบเหวแห่งความโกลาหลนี่ได้”


 


 


“ผมไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้ว เพราะคุณไม่รู้จักไห่กงจื่อ”


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ย “…”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


หลี่ว์ซู่ตรวจดูกระจกต่อไป แต่เขาก็ไม่เห็นอะไรข้างบนได้เลยเพราะมันไม่มีเพดาน


 


 


“อย่าเปลืองแรงเจ้าเลย” หมิงเย่ว์เยี่ยพูดอย่างเยาะเย้ย “หุบเหวนี้ลึกถึงหมื่นจั้ง ถ้าเจ้าหวังจะเห็นอะไรจากบนนั้นก็คงฟังดูเป็นไปไม่ได้นะ…”


 


 


จากนั้นหมิงเย่ว์เยี่ยก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นหลี่ว์ซู่ปีนขึ้นไปบนกำแพงหิน “เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ทำอะไรของเจ้าน่ะ”


 


 


“ก็ปีนขึ้นมาดูไง ถามได้” หลี่ว์ซู่ตอบเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่น่าจะเข้าใจได้


 


 


“อย่าทำแบบนั้น! ทั้งเจ้าและข้ามีอันตรายแน่ถ้าเจ้าสัมผัสไปโดนไฟศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหลนั่น!” หมิงเย่ว์เยี่ยเชื่อว่าการสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องอันตราย


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดชะงัก ข้างบนนี้มันอันตรายจริงๆ น่ะเหรอ แต่เขาก็ทำตามหมิงเย่ว์เยี่ยและกระโดกลับลงมาบนพื้น “คุณมีกล่องสมบัติอะไรให้ผมไหม หรือจะเป็นจดหมาย แบบว่าเคล็ดลับการฝึกฝนอะไรแบบเนี้ย”


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยหยุดไปพักหนึ่งเพื่อดึงตัวเองออกมาจากความสับสนแล้วตอบออกไป “ดูตัวข้าเสียก่อน ข้าดูเหมือนเป็นคนที่มีของอะไรแบบนั้นกับตัวงั้นหรือ”


 


 


“ผมไม่ได้ฝึกซ้อมก็เพราะเข้ามาที่นี่เนี่ย ผมจะค้นหาตามตัวคุณนะว่ามีของอะไรหรือเปล่า ผมก็ไม่ว่าอะไรนะถ้าจะให้มาเป็นคำพูดปากเปล่า…” กระจกส่องตะวันในมือหลู่ว์ชู่ส่องแสงวิบวับ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666!]


 


 


เจรจากันก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งทรมานกันเลย!


 


 


 


 


——


 


 


[1] ผู้ที่เป็นฮ่องเต้คนแรกของราชวงศ์ฉินและได้รวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น


 


 


[2] พ่อมดเล่นแร่แปรธาตุในสมัยราชวงศ์ฉิน แปลได้ตามตัวว่าเป็น ‘ผู้ล่วงลับ’


 


 


[3] รู้จักกันในชื่อ ‘ท่านผู้อาวุโสสูงสุด’ เป็นบรรพบุรุษในลัทธิเต๋า 

 

 


ตอนที่ 574 หนีออกจากกรอบที่เข้มงวด

 

ตอนนี้หมอกสีดำหนาในหุบเหวได้ถูกเจ้างูดูดกลืนไปหมดแล้ว หลี่ว์ซู่เลยคิดว่าคงต้องเปลี่ยนชื่อให้มันเสียหน่อยเพราะ ‘งูสีทอง’ คงจะไม่เหมาะแล้ว แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็น ‘งูสีดำ’ ก็ฟังดูไม่ค่อยเจ๋งเท่าไหร่ ชื่อไม่ควรถูกเปลี่ยนไปตามสี แต่หลี่ว์ซู่เองก็ตั้งชื่อไม่เก่งเสียด้วยสิ


 


 


งั้นเปลี่ยนเป็น ‘งูแห่งความโกลาหล’ ก็แล้วกัน ฟังดูดีเหมือนกันแฮะ


 


 


ขณะที่หมิงเย่ว์เยี่ยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น เขาก็มองไปที่กระจกส่องตะวันในมือหลี่ว์ซู่ที่ตอนนี้ถูกส่องไปที่อื่นแล้ว เขาสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้เข้ามาในนี้ได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน เขาเองก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่ได้พูดความจริงออกไปเช่นกัน


 


 


แล้วอยู่ๆ หมิงเย่ว์เยี่ยก็พูดขึ้นมา “ข้ามีเคล็ดการฝึกฝนที่น่าจะเหมาะกับเจ้า หลายปีที่ผ่านมา ท่านอวี้ฝูเหยา เจ้าสวรรค์แดนบูรพานั้นได้รับชื่อเสียงโด่งดังจากเคล็ดวิชานี้ เข้ามาใกล้ๆ แล้วข้าจะบอกเจ้า”


 


 


หลี่ว์ซู่ดีใจ “ไม่เป็นไรครับ อยู่ตรงนี้ผมก็ยังได้ยินคุณ ว่ามาเลย”


 


 


แต่เขาไม่โง่หรอกนะ ดูจากความยาวของโซ่ที่ตรึงไว้แล้ว เขาไม่เข้าไปใกล้ในรัศมีที่ขายคนนี้จะทำอะไรได้หรอก ใครจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่คิดว่าชายคนนี้ไม่น่าจะแข็งแกร่งเท่าปรมาจารย์หุ่นเชิดหรอก


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยส่ายหน้า “ข้าบอกเจ้าไม่ได้ถ้าเจ้ายืนห่างขนาดนั้น”


 


 


“งั้นก็ได้” หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้ “คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยเองก็ประหลาดใจที่เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องแบบกะทันหัน “ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าเวลาผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วในสถานที่แบบนี้”


 


 


“อยากกินอะไรหรือเปล่า” หลี่ว์ซู่ถาม “เราเจรจากันได้นะ เดี๋ยวผมจะเอาอาหารมาให้คุณ ส่วนคุณก็บอกสิ่งที่ผมอยากรู้มา”


 


 


หมิงเย่ว์เยี่ยคิดว่านี่เป็นข้อตกลงที่ไม่เลวเลย เพราะที่ผ่านมาเขาต้องพยายามรักษาชีวิตของตัวเองจากหมอกดำหนานี่โดยการใช้พลังจิตวิญญาณ แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็ยังต้องการอาหารเพื่อความอยู่รอดอยู่ดีนั่นแหละ


 


 


นอกจากนั้น ใครๆ ก็คงคิดถึงรสชาติอาหารหลังจากที่ไม่ได้ลิ้มรสมันมาเป็นเวลานานทั้งนั้น หมิงเย่ว์เยี่ยเลยตอบตกลง


 


 


“ข้าจะตอบคำถามเจ้าทั้งหมดสามคำถาม ถ้าเจ้าเอาไก่เคลือบไฟมาให้ข้าได้”


 


 


หลี่ว์ซู่ทำหน้าเรียบเฉย แต่ในใจนั้นบ่นพึมพำ อะไรคือไก่เคลือบไฟกันวะ ตอนนี้เขาเริมคิดแล้วว่าชายคนนี้เป็นคนจากนอกโลกหรือเปล่า เขากับปรมาจารย์หุ่นเชิดอาจจะมาจากโลกเดียวกันก็ได้


 


 


แต่ก็นะ เจรจาตกลงกับคนหิวนี่มันง่ายจริงๆ หลี่ว์ซู่ออกไปจากไข่มุกดำแล้วกลับเข้ามาพร้อมไก่อบสองตัวที่เขาซื้อมาจากร้านที่ดีที่สุดในเมืองลั่ว หมิงเย่ว์เยี่ยสับสนเล็กน้อยเพราะที่หลี่ว์ซู่เอามานั้นไม่ใช่ไก่เคลือบไฟ “เจ้าไปเอาอาหารนั่นมาจากไหน”


 


 


ข้ามเรื่องที่ไม่ใช่ไก่เคลือบไฟไป กลิ่นของไก่อบก็ช่างยั่วใจเหลือเกิน เขารู้ว่าร่างกายของเขาทนต่ออาหารเป็นพิษได้ ก็เลยตอบตกลงที่จะกินอาหารนี้


 


 


“มาสิ เอาอาหารนั่นมาให้ข้า แล้วข้าจะตอบคำถามเจ้าสามคำถาม” หมิงเย่ว์เยี่ยกล่าว


 


 


“ครับ” หลี่ว์ซู่วางไก่อบไว้ตรงที่หมิงเย่ว์เยี่ยจะเอื้อมไม่ถึง แล้วเขาก็หายออกไปจากไข่มุกดำทันที


 


 


ทำเอาหมิงเย่ว์เยี่ยช็อคไปเลย


 


 


เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องนี้เกิดขึ้น! ความเชื่อใจหายไปไหนหมดล่ะ! นี่เขาอุตส่าห์เตรียมเรื่องเหมาะๆ ที่จะตอบคำถามของหลี่ว์ซู่แล้วนะ!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหมิงเย่ว์เยี่ย +666…]


 


 


ส่วนโลกข้างนอกนี้ หลี่ว์ซู่กำลังสนใจเรื่องที่เขาสามารถได้รับแต้มอารมณ์จากไข่มุกดำได้ด้วย แต่ความจริงแล้วหลี่ว์ซู่มีสีหน้าผิดหวังมาก เพราะชายคนนั้นไม่ได้ต้องการจะพูดความจริงกับหลี่ว์ซู่มาตั้งแต่แรก


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่จะยอมทำตามเคล็ดลับการฝึกฝนที่ชายคนนั้นบอกจริงๆ เหรอ ถึงแม้ชายคนนั้นจะอยากบอกเองก็เถอะ คำตอบก็คือไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นมาล่ะถ้าจุดสำคัญของเขาเสียหายขึ้นมา


 


 


หลี่ว์ซู่เลยมองว่าชายคนนั้นเป็นเพียงแค่แหล่งได้รับแต้มอารมณ์ที่น่าจะได้มาเรื่อยๆ เท่านั้น ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะคิดมาก…


 


 


แต่เขามั่นใจได้อยู่เรื่องหนึ่ง ว่าภูมิหลังของหมิงเย่ว์เยี่ยนั้นคงจะซับซ้อนน่าดู ไม่อย่างนั้นแล้วเขาคงใช้พลังของตัวเองจู่โจมหลี่ว์ซู่หลังจากโดนหลอกไปหลายรอบแล้ว หรือว่าพลังของเขาจะถูกปิดผนึกไว้ด้วยเหมือนกัน


 


 


หลี่ว์ซู่ไปนั่งอยู่บนดาดฟ้าด้วยความกระวนกระวายใจ เขามองออกไปไกลๆ ขณะที่กำลังกินผลไม้แห่งนรกแทนเสี่ยวอวี๋ เขาเคยนั่งอยู่กับเธอตลอด แต่ครั้งนี้เขาต้องอยู่คนเดียว


 


 


เขามนั่งคิดถึงของล้ำค่าที่เพิ่งได้มาสองอย่าง ชิ้นแรกก็คือกระบี่เฉิงอิ่งที่มีวิญญาณกระบี่ที่ไว้ใจไม่ได้ ชิ้นที่สองก็คือไข่มุกดำที่มีวิญญาณไว้ใจไม่ได้อีกหนึ่งตนติดอยู่หุบเหว ไม่ว่าจะอะไรแล้วเขาก็เจอแต่สิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น…


 


 


หลังจากผ่านเที่ยงคืนไปหลี่ว์ซู่ก็ลุกขึ้นมาฝึกกระบี่อีกครั้ง ขณะที่เหวี่ยงกระบี่ออกไปก็นึกไปเรื่อยเปื่อยว่าจะกวนประสาทเนี่ยถิงอย่างไรดี และในตอนนั้นเอง ไห่กงจื่อก็โผล่ออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่งอีกครั้ง เขาออกความเห็นด้วยน้ำเสียงเป็นใหญ่


 


 


“ข้ารู้ว่าเจ้าพอจะมีความสามารถด้านกระบี่อยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังห่างชั้นอยู่ดี รู้หรือเปล่าว่าเจ้าต้องเรียนรู้เรื่องการรำกระบี่อีกเยอะ กระบี่เล่มเดียวสามารถใช้ท่วงท่าได้หลายแบบนับไม่ถ้วน ตอนนี้เจ้าดูเหมือนคนตัดฟืนที่เก้ๆ กังๆ ที่ใช้เพียงแต่แขนและมือในการตัดไม้แต่ไม่ได้ใช้สมองด้วยเลยสักนิด เจ้าอย่างห่างไกลจากจุดที่เจ้าจะสามารถบังคับกระบี่ด้วยความผ่อนคลายอยู่มากนัก”


 


 


วาจาเสียดสีในครั้งนี้ทำให้ความสามารถในการใช้กระบี่ของหลี่ว์ซู่ลดลงไปจนไม่เหลืออะไรเลย


 


 


หลี่ว์ซู่ฟังแล้วก็รู้สึกรำคาญ เขาพอใจกับความสามารถของตัวเองแล้ว “ก็ได้ งั้นขอดูหน่อยสิว่าคุณใช้กระบี่ยังไง”


 


 


“โง่เขลานัก” ไห่กงจื่อเยาะเย้ย แล้วทันใดนั้น กระบี่ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา กระบี่นั้นมีสีของธารน้ำแข็งที่มีสีฟ้าประหลาดๆ เจืออยู่ในสีขาวนั้น


 


 


จากนั้นเขาก็พลิกข้อมือและจ้วงกระบี่ไปที่เก้าอี้ตรงหน้าเขา กระบี่ดูเหมือนว่าจะไร้น้ำหนักเหมือนกับขนนกเลย และเมื่อกระบี่นั้นสัมผัสถูกเก้าอี้ ข้อมือของไห่กงจื่อก็สั่นเล็กน้อยเพราะเขาส่งพลังทั้งหมดของตัวเองไปที่ปลายกระบี่ รวดเร็วมากจนมองกระบี่ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็คิดถึงแต่เรื่องการเคลื่อนไหวของคมกระบี่ซึ่งสวยงามจับใจมาก เคล็ดลับการจำการเคลื่อนไหวของจังหวะกระบี่ที่มี 13 ตัวอักษรของหลี่เสียนอีที่รวมถึงการชน การใช้ด้านปลายแหลมของกระบี่ และการแทงนั้นกลายเป็นเพียงแค่สิ่งพื้นฐานไปเลย เพราะปู่เสียนอีไม่ได้มีเวลามากพอที่จะสอนหลี่ว์ซู่ในขั้นที่สูงขึ้นไป


 


 


เพราะฉะนั้นทักษะกระบี่ของหลี่ว์ซู่ในการสู้ระยะประชิดจึงไม่สามารถพลิกแพลงได้ ยังไม่นับเรื่องที่เขาสามารถควบคุมร่างกายได้ดีนะ


 


 


ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าใจได้ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนฝึกน้อยกว่าหนึ่งปีจะมีความสามรถทียบเท่ากับคนที่ฝึกกระบี่มาเป็นทศวรรษหรอก หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะก้าวข้ามผ่านเคล็ดลับกระบี่ 13 ตัวอักษรนี้ให้ได้เพื่อฝึกกระบี่ด้วยความคิดของเขาเอง แต่ทว่า…


 


 


ไห่กงจื่อหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นในขณะที่หลี่ว์ซู่กับลังติดอยู่ในความคิดของตัวเอง “เป็นอย่างไรล่ะ เจ้าได้เรียนรู้อะไรไปบ้างไหม”


 


 


ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลี่ว์ซู่ก็ขมวดคิ้วแน่น “ใครอนุญาตให้คุณมาทำลายเก้าอี้ของผม นี่มันถูกส่งต่อมาจากบรรพบุรุษเลยนะ คุณต้องชดใช้”


 


 


ไห่กงจื่อพูดไม่ออก


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเอ๋าไห่ +399!]


 


 


“ไร้สาระ” ไห่กงจื่อรีบกลับไปในกระบี่เฉิงอิ่งและไม่ต้องการเสียเวลากับหลี่ว์ซู่อีก


 


 


หลี่ว์ซู่ที่อยู่เพียงลำพังตอนนี้ก็คิดไปถึงความรู้สึกเมื่อสักครู่ เขาพยายามจะหลุดออกจากกรอบที่เหมือนกรงขังและอยากจะใช้กระบี่ออกมาอย่างอิสระ


 


 


แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างนั้นก็คือภูเขาพลังกลับมีหิมะปกคลุมอยู่เป็นสองเท่าโดยทันที!


 


 


งั้นก็แปลว่าภูเขาพลังนั้นมีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งกระบี่จริงๆ



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม