สาวน้อยปลูกผัก 567-573

 TQF:บทที่ 567 เตรียมเลื่อนขั้น (2)


 


“ฮูหยินฟาง ที่ผืนดินฉางไห่มีกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 1 มั้ย” หยูเฮงน้อยถามอีก


 


“มีสิ ต้องมีอยู่แล้ว ชื่อของมันคือกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชัง จากที่ข้ารู้มามันถูกก่อตั้งขึ้นได้นับร้อยปีแล้ว จำนวนสมาชิกอย่างน้อยๆก็มีถึงล้านคน เรียกได้ว่าเป็น 1 ในกลุ่มทหารรับจ้างที่มีสมาชิกมากที่สุด ทั้งผืนดินฉางไห่มีสมาชิกของมันอยู่ทั่ว เป็น 1 ในอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุด แม้แต่สำนักชั้น 1 ก็เทียบพวกเขาไม่ติด รากฐานของกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังก็ไม่สามารถประเมินได้ จึงยังไม่มีอิทธิพลไหนกล้าลงมือกับมันจนถึงทุกวันนี้”


 


พูดถึงกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชัง แม้แต่ฟางซูหยุนก็มีแววตาปลาบปลื้ม ไม่ทันที่ทุกคนจะถามนางก็อธิบายต่อ “ทหารรับจ้างทุกคนที่เข้าร่วมกลุ่มเอ้าชังต่างถือเป็นเกียรติของตัวเอง เพราะผู้ก่อตั้งเป็นคนระดับตำนาน เขาเริ่มจากผู้ฝึกฝนวิทยายุทธธรรมดาไต่เต้าขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด เอาชนะเหล่าคนที่ถือตนเหนือคนอื่นได้อย่างราบคาบ เหลือเพียงเขาที่โดดเด่นอยู่เพียงผู้เดียว เขาก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังในอายุ 15 เมื่อเขาอายุ 30 กลุ่มเอ้าชังก็อยู่ระดับ 2 แล้ว วิทยายุทธของเขาในตอนนั้นก็อยู่ระดับปรากฏเทพเทวา ปรากฏเทพเทวาในอายุเพียง 30 เท่านั้น เป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วผืนดินฉางไห่เลย ณ ตอนนั้น เขามีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคอยติดตามเยอะมากจนนับไม่ถ้วน กลายเป็นปรากฏเทพเทวาที่มีอายุน้อยที่สุด ในตอนที่กลุ่มทหารรับจ้างเอ้าชังของเขาอยู่ระดับ 1 นั้น เขามีอายุเพียง 50 ปี ได้ข่าวว่าวิทยายุทธของเขาสูงถึงระดับเทพเจ้า ส่วนตำนานนี้จริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเขาไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีก ต่อให้ออกมาก็คงไม่ใช้ใบหน้าเดิม ไม่มีใครจำเขาได้”


 


“อีกตำนานได้กล่าวไว้ว่าจนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่ตาย เพราะคนของโถงวิหารสวรรค์เคยแอบดูชะตาชีวิตเขา รู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นคนที่สามารถบรรลุเป็นบรรพบุรุษแห่งเต๋าได้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้จนถึงบัดนี้ เป็นเพียงแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น แม้จะผ่านไปหลายล้านปีแล้วทุกคนก็ยังบูชาเขาราวเทพเจ้าอยู่ เป็นการมีตัวตนแบบเทพเจ้าที่แท้จริง”


 


“…..”


 


เมื่อฟางซูหยุนพูดจบ ทุกคนก็เงียบกันหมด มีความทึ่งอยู่ในสายตาของทุกคน บนโลกนี้มีคนระดับนี้อยู่ด้วยหรือ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ


 


ผ่านไปเนิ่นนาน ในสายตาของหยูเฮงน้อยเกิดประกายความมั่นใจแต่ความเร่าร้อนขึ้นพร้อมเอ่ยอย่างแน่วแน่ “พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน ใจภายภาคหน้ากลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราก็ต้องขึ้นสู่ชั้น 1 ได้แน่ๆ พวกเราจะอยู่เหนือบารมีของเขา ใต้หล้านี้เป็นของเรา ไอเจ้าคนนั้นน่ะเป็นอดีตไปตั้งหลายล้านปีแล้ว พวกเราต่างหากคือผู้แข็งแกร่งยุคใหม่ ทุกอย่างที่นี่ต้องเป็นของเราเท่านั้น”


 


เห็นเจ้าตัวเล็กท่าทางพูดจริงทำจริงทุกคนต่างยิ้มออกมา ไม่มีใครคิดว่านางจะทำจริง


 


มีเพียงเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่หน้าไม่เปลี่ยน มีความแน่วแน่เช่นเดียวกับหยูเฮงน้อยอยู่บนใบหน้า เอ่ยเบาๆ “ก็จริง โลกของเราก็ต้องสร้างด้วยมือของเราเอง พวกตำนานเล่าขานก็เป็นได้แค่เรื่องเล่า พวกเรามาลบล้างมันกันเถอะ สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป เรื่องเก่าก็ปล่อยไป เรื่องใหม่ต้องมาถึงแล้ว”


 


“เสี่ยวเสี่ยว…”


 


ทั้ง 4 คนอ้าปากค้างมองไปที่นาง ต่างคิดไม่ถึงกันเลยว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะมีทัศนวิสัยที่กว้างไกลขนาดนี้ โดยเฉพาะฟางซูหยุน เมื่อความตะลึงผ่านไปแล้วก็เหลือแต่ความปิติในใจ


 


ความสามารถของหลานสาวนางรู้อยู่แก่ใจ ไม่ต้องพูดถึงมิติมหัศจรรย์ของนาง ลำพังแค่พรสวรรค์ของนางที่บรรลุถึงบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ตอนต้นในระยะเวลาเพียง 4 ปี เป็นตำนานขนานแท้ คนอื่นๆต้องใช้เวลาฝึกฝน 10 ถึง 20 ปีหรือบางคนมากถึง 30-40 ปี ส่วนนางย่นระยะเวลาลงถึง 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนวิเศษวิโสมาจากไหนก็เทียบกับนางไม่ติด


 


“หัวหน้ากลุ่มต้องเป็นระดับจักพรรดิ์อมตะ วิทยายุทธของหยูเฮงน้อยก็ถึงแล้ว เพียงแต่อายุของนาง…..” หลังจากที่ฟางซูหยุนสงบจิตใจได้ก็บอกปัญหาที่ตัวเองกังวลออกไป


 


“ท่านย่า ไม่ต้องร้อนใจ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม “โอกาสวาสนามาแล้ว ใกล้แล้วล่ะ”


 


“ใช่แล้วฮูหยินฟาง ไม่ต้องร้อนใจ” หยูเฮงน้อยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้สมบัติของเราก็มีมากแล้ว เลื่อนขั้นมิติก่อน เรื่องกลุ่มทหารรับจ้างค่อยว่ากันตอนเราออกไป”


 


ทุกคนพยักหน้าเมื่อได้ฟัง ต่างคาดหวังอยู่ในใจ ผู้เฒ่าหยิงชี้ไปยัง 3 คนข้างล่าง “เอาอย่างไรกับพวกเขาดี จะให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว”


 


“ง่ายๆ เดี๋ยวข้าโยนพวกเขาออกไปก็จบ” หยูเฮงน้อยยังคงอันธพาล


 


“ข้าว่าไม่ดี” หรงจิ้งซือส่ายหน้า “พวกเขาก็แค่อยากหาทรัพยากรเพื่อการบรรลุ ของที่นี่พวกเราก็เอามาครบแล้ว พวกเขาได้แต่มองแต่ไม่ได้อะไรเลย แล้วยังจะไล่พวกเขาไปอีก นี่มันจะเกินไป…”


 


นางพูดไม่จบ แต่ทุกคนก็เข้าใจความหมายของนางดี โม่อู๋เซอมองนางอย่างรักใคร่ “เจ้าน่ะใจอ่อน ระวังจะโดนเอาเปรียบเอาได้”


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร ข้าก็ว่าไปตามคนๆเท่านั้นแหละ” หรงจิ้งซือยิ้มอ่อนโยน


 


ทุกคนยิ้มออกมา ฟางซูหยุนมองไปที่หลานสาวและเอ่ยถาม “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าว่าจะเอาอย่างไรกับพวกเขาดี”


 


“ในเมื่อพวกเขาต้องการทรัพยากร ส่วนพวกเราเองก็มีไม่ขาดสาย ก็ยกให้พวกเขาสักนิดจะได้ให้พวกเขาไปซะ จะปล่อยให้เฝ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ไหว”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองไปยังพวกเขาแว้บหนึ่งก่อนจะหันไปบอกกับหยูเฮงน้อย “เจ้าเอาของไปให้พวกเขา แล้วให้พวกเขาไปซะ”


 


“ได้ ไม่มีปัญหา”


 


หลังจากที่นางออกไป เพียงแค่ครึ่งนาทีหยูเฮงน้อยก็กลับมาพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อย พวกเขาไปแล้ว”


 


และก็จริง 3 คนนั้นประสานมือมาทางนี้ก่อนจะเดินจากไป


 


เกาชิงหยางพาสหายอีก 2 คนรีบก้าวออกไปจากหุบเขา เดินทางไปได้ครึ่งลี้ก็พากันนั่งลงในถ้ำแคบๆถ้ำหนึ่ง


 


“พี่เกา รีบดูเร็วว่าพวกนางให้อะไรเรามา” โจวไห่หยันผู้ซึ่งใจร้อนที่สุดเอ่ยปากเร่งเขาคนแรก


——————————


TQF:บทที่ 568 เตรียมเลื่อนขั้น (3)


 


 


บอกตามตรง พวกเขาทั้ง 3 นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้รับสมบัติอะไร ตอนแรกที่ตัดสินใจอยู่ก็แค่อยากจะรอเก็บเศษเล็กเศษน้อย หรือนั่งฝึกฝนในที่ที่พลังวิญญาณหนาแน่นก็เท่านั้น


 


เพียงแต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กน้อยน่ารักปานนางฟ้าเมื่อกี้จะให้แหวนมิติแก่พวกเขา แล้วให้พวกเขาออกไปก่อน และห้ามแพร่งพรายเรื่องในหุบเขาออกไป


 


พวกเขาไม่พูดอยู่แล้ว พวกคนของสำนักมารจะได้ไม่มาหาเรื่องพวกเขา เมื่อตอบตกลงเรียบร้อยก็ออกจากที่นั่นทันที


 


แต่ของในแหวนมิติเหมือนแมวที่คอยคลอเคลียใจพวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาแปลกใจและตื่นเต้น อยากจะรีบรู้ให้แน่ว่าของในแหวนมิติคืออะไรกันแน่


 


ภายใต้การคาดหวังจากสหายทั้ง 2 เกาชิงหยางพยักหน้า พยายามข่มใจที่ตื่นเต้นไว้แล้วค่อยๆส่งพลังจิตเข้าไปในแหวน ไม่นานนักก็ได้เห็นของในแหวน


 


เมื่อได้เห็นเขาก็อึ้งไปเลย สะบัดหัวอย่างไม่อยากเชื่อแล้วดูใหม่อีกรอบ เขานิ่งไปอีกครั้ง เขาไม่ได้มองผิดไป


 


“พี่เกา เกิดอะไรขึ้น มีของมั้ย นางให้มาเท่าไหร่” โจวไห่หยันดึงมือเขาอย่างใจร้อน ทั้งร้อนใจและอยากรู้


 


ตู้จินเฟยเองก็อดเลียปากไม่ได้ ตะโกนด้วยความตื่นเต้น “พี่ชิงหยาง เป็นอย่างไรบ้าง”


 


“ซู้ดดด”


 


เกาชิงหยางสูดลมหายใจลึกเพื่อสะกดความตื้นตันและความตื่นเต้น พยักหน้าแรงๆกับสหายที่รอด้วยความร้อนใจ “ของเยอะมาก แต่ว่า…”


 


“แต่ว่าอะไร”


 


ทั้งตู้จินเฟยและโจวไห่หยันถามขึ้นพร้อมกัน


 


“แต่ว่า ของที่พวกนางให้มาเหมือนจะไม่ใช่ของในหุบเขานั่น เหมือนกับจะเป็นของพวกนางเอง” เกาชิงหยังบอกสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป


 


“มีอะไรบ้างพี่เกา รีบเอาออกมาให้พวกเราดูเร็ว”


 


“พี่ชิงหยาง หรือว่าพวกนางเอาของตัวเองมาให้พวกเรา”


 


ทั้ง 2 บอกความสงสัยของตัวเองออกไป เกาชิงหยางไม่ได้พูดอะไรอีก เขาหยิบของในแหวนมิติออกมาทีละอย่าง ปล่อยให้สหายอีก 2 คนของเขามองด้วยความนิ่งอึ้ง


 


“น้ำวิเศษ ผลไม้วิเศษ ยาวิเศษ ข้าววิเศษ หินพลังวิญญาณ เครื่องวิเศษ ยาเม็ดวิเศษ….”


 


โจวไห่หยังพึมพำตามของที่หยิบออกมาแต่ละอย่าง จนสุดท้ายเขาก็ไม่รู้แล้วว่าคืออะไรกันแน่ ตั้งนานก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี


 


เงียบ เงียบเชียบอย่างที่สุด


 


ในถ้ำเล็กๆนี้เหลือเพียงเสียงหายใจของพวกเขา 3 คน


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เกาชิงหยังเอ่ยด้วยความจริงจังว่า “จินเฟย ไห่หยัน ของพวกนี้พวกเราแบ่งเท่าๆกัน แต่ว่าของทุกอย่างต้องใช้แค่กับตัวพวกเราเองเท่านั้น ห้ามให้คนอื่นเห็นโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจจะเสี่ยงต่อการถูกฆ่าได้ เข้าใจมั้ย”


 


“พี่เกา ข้ารู้” โจวไห่หยันพยักหน้าตอบ


 


ตู้จินเฟยก็พยักหน้าเช่นกัน พวกเขาต่างรู้ว่าของพวกนี้น่ะสำคัญมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคนไหนได้เห็นก็ต้องอยากได้ ถ้าหากถูกผู้อื่นล่วงรู้เข้าชีวิตพวกเขาคงจะหาไม่


 


“บอกตามตรง พวกเราต้องขอบคุณแม่นาง 2 คนนั้นนะ ถ้าไม่ใช่พวกนางพวกเราคงถูกคนของสำนักมารฆ่าไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมบัติในหุบเขานั่นเลย แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ของในหุบเขา แต่ของที่พวกนางมอบให้เพียงพอต่อการฝึกฝนของเราเป็นสิบปี เพราะฉะนั้นพวกเราต้องจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้”


 


“พี่ชิงหยางพูดถูก” ตู้จินเฟยเอ่ยอย่างเห็นด้วย “เท่ากับว่าพวกนางช่วยพวกเราไว้จากเงื้อมมือของสำนักมาร ตอนนี้ยังมอบของพวกนี้ให้พวกเราอีก เป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงจริงๆ พวกเราต้องจดจำพวกนางไว้ หากวันไหนพวกนางต้องการความช่วยเหลือ ต่อให้ร่างจะแหลกเป็นผุยผงพวกเราก็ต้องตอบแทนพวกนาง”


 


“ที่จริงถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พวกนางต้องฆ่าพวกเราเพื่อปิดปากไปแล้วแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอบทรัพยากรให้เลย พวกนางนี่เป็นคนดีจริงๆ ไม่ใช่แค่หน้าตาสวยเหมือนนางฟ้าอย่างเดียว จิตใจก็ดีด้วย เหมือนเทพธิดาบนสวรรค์เลย ดีจริงๆ”


 


โจวไห่หยันตาเป็นประกายด้วยความปลื้มอย่างปิดไม่มิด


 


คำพูดเหล่านี้ของพวกเขาคนของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้ยิน ถ้าหากได้ยินละก็คงดีใจแน่ๆ อย่างน้อยๆก็ไม่ได้มอง 3 คนนี้ผิดไป นิสัยดีน่าคบหาจริงๆ


 


ถ้าหากเจอกับพวกคิดไม่ซื่อ อาจจะเรียกพวกมาปล้นฆ่าพวกนางก็เป็นได้ ไม่ใช่แค่ของที่หยูเฮงน้อยให้ไปน่าตกใจ แค่ของในหุบเขานั่นก็เพียงพอที่จะกระตุ้นกิเลสในใจคนอื่นได้แล้ว รวมเข้ากับของพวกนี้เพียงพอที่จะทำให้คนระดับก้าวสู่เทพเทวาคลั่งได้ จะปล่อยให้พวกนางรอดไปได้อย่างไรกัน


 


โชคดีที่ถึงแม้ 3 คนนี้จะอยู่ในวงการผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ แต่ยังพอมีจิตสำนึกและศีลธรรมอยู่บ้าง ไม่งั้นต่อให้พวกเขาไม่พาพวกมาดักปล้นฆ่าก็คงจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เพื่อให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยกลายเป็นศัตรูร่วมของคนทั้งผืนดินฉางไห่พวกนางจะอยู่ที่นี่ก็คงจะลำบากขึ้นเยอะ


 


แน่นอนว่าที่หยูเฮงน้อยกล้าให้ทรัพยากรพวกเขาไปมากขนาดนั้นก็เป็นเพราะว่านางใช้ความสามารถตัวเองส่องดูจิตใจของพวกเขาแล้วรอบนึง ที่สำคัญหยูเฮงน้อยยังสามารถมองเห็นบาปบุญของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธได้


 


ในตัวพวกเขามีไฟบาปเพียงน้อยนิดเท่านั้น ตรงกันข้าม พวกเขามีบุญอยู่บ้าง และบุญเหล่านี้มีเยอะกว่าไฟบาปอยู่มาก และด้วยเหตุนี้ หยูเฮงน้อยจึงให้ทรัพยากรแก่พวกเขามากมาย หวังว่าพวกเขาจะไปได้ไกลขึ้น


 


บัดนี้แม้ว่าทุกคนจะยังอยู่ในหุบเขา แต่ก็ได้เข้ามิติไปหมดแล้ว


 


การเลื่อนขั้นมิติครั้งนี้ หยูเฮงน้อยไม่ได้ให้ทุกคนอยู่ดู แต่กลับบอกให้ทุกคนรีบฝึกฝนซะ บางทีการเลื่อนขั้นมิติครั้งนี้จะนำพาเรื่องน่าดีใจที่คาดไม่ถึงให้กับทุกคน


 


กับคำพูดของหยูเฮงน้อยทุกคนเชื่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ทุกคนต้องการเพิ่มพูนพลังหมด มีโอกาสในการบรรลุทุกคนย่อมต้องการและไม่อยากพลาด


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพาทุกคนมาที่ลานกว้างวังสวรรค์ ทุกคนที่เพิ่งเคยเห็นวังสวรรค์เป็นครั้งแรกต่างมีสีหน้าตกตะลึง แต่ว่านี่ไม่ใช่เวลาให้พวกเขาเยี่ยมชม แต่ละคนพากันนั่งลงใต้ต้นหลิว


 


ทุกคนเริ่มท่องคาถาใจและเริ่มฝึกฝน


 


หยูเฮงน้อยก็เริ่มทำงาน มิติเลื่อนขั้นอีกครั้ง


 


 


——————————–


TQF:บทที่ 569 บรรลุอย่างรวดเร็ว(1)


 


หยูเฮงน้อยที่ลอยอยู่ในอากาศรวบรวมของทุกอย่างเข้าด้วยกันให้กลายเป็นประกายแสงหลากสี นางค่อยๆอ้านิ้วออก มีประกายสีเงินออกจากปลายนิ้วราวกับภูติตัวเล็กๆที่เต้นรำอยู่ มือของนางขยับไปมาอย่างงดงาม แสงสีเงินออกจากมือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนประสานกันเป็นตาข่าย


 


นางทำให้กฎแห่งฟ้าดินสมบูรณ์ขึ้นอีก มีแต่การทำให้กฎแห่งฟ้าดินในมิติสมบูรณ์ถึงจะทำให้ฤดูกาลอุบัติขึ้นมาได้ มีแต่การมีฤดูกาลสับเปลี่ยนถึงจะทำให้มิติมีสภาพใกล้เคียงกับโลกจริงๆ ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นได้แค่มิติตลอดไป


 


กฎแห่งฟ้าดินล้อบรอบวงล้อแห่งบัญชาสวรรค์ไว้ในอากาศ ทำให้เกิดแสงจ้าไปทั่วมิติ


 


ก้อนเมฆหลากสีค่อยๆลอยขึ้นไม่หยุด หมอกสีทองเป็นประกายระยิบระยับ กฎแห่งฟ้าดินร่ายรำเหมือนมังกรโผบิน เหมือนหงส์กระพือปีก


 


สภาพของสัตว์แต่ละชนิดถูกแสดงออกโดยกฎแห่งฟ้าดินได้อย่างเต็มที่ บ้างก็กางเขี้ยวเล็บออก บ้างก็คำราม บ้างก็บินลับขอบฟ้าไป


 


ภายในมิติมีพลังวิญญาณคละคลุ้งอยู่ทั่วลึกไปถึงภายในหุบเขา เห็นได้ด้วยตาเปล่า พืชพรรณพากันผุดขึ้นจากพื้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นต้นไม้ต้นใหญ่


 


สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ผ่านการชำระล้างจากหมอกสีทองอีกครั้ง เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์นับพันนับหมื่นที่อาศัยอยู่ในมิติต่างถูกลมปราณแห่งหยินหยางและพลังชีวิตล้อมรอบเอาไว้


 


ในชั่วขณะนั้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดบรรลุเป็นสัตว์อมตะโดยไร้สัญญาณใดๆ พวกมันวิวัฒนาการหมด


 


ส่วนกฎแห่งฟ้าดินก็ยังคงร่ายรำต่อไปภายใต้การชักนำของหยูเฮงน้อย วนเวียนไปมา กลายเป็นคลื่นพลังที่กระแทกเข้าหาวงล้อแห่งบัญชาสวรรค์อยู่เรื่อยๆ ขณะเดียวกันกฎแห่งฟ้าดินก็เริ่มสลักลวดลายลงในอากาศอย่างไม่หยุดหย่อน อักขระปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้า พลังลึกลับที่ราวกับเกิดจากการผสมผสานของสายฟ้าก็ปรากฏออกมา


 


ขณะนั้น ก้านหลิวโบกสะบัดไปมาเบาๆและยื่นขึ้นไปบนฟ้า สัมผัสกับหมอกสีทองที่ลอยอยู่ ทันในนั้นก็มีพลังชีวิตแห่งไม้ไหลเวียนอยู่ในประกายแสงสีเขียว


 


ภายใต้การชักนำของก้านหลิว หมอกหลากสีที่ลอยอยู่ค่อยๆรวมเข้ากับหมอกสีทองและไหลลงสู่ทั้ง 6 คนที่นั่งสมาธิอยู่รอบต้นหลิว


 


อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ที่ไม่ออกมาเลยก็ถูกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเรียกออกมาจากที่เก็บตัวของเขา


 


ไม่ว่าอย่างไรครั้งนี้มิติเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่อยากให้คนของตัวเองพลาดแม้แต่คนเดียว อย่างไรซะอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็คอยดูแลนาง นางอยากที่จะตอบแทนเขา


 


คลื่นแห่งพลังลมปราณขึ้นอยู่ทั่ว มีกลิ่นหอมลึกลับปรากฏออกมาให้ได้กลิ่น หมอกสีทองหนาแน่นขึ้นอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไหลลงมาสู่ร่างกายของทุกคน


 


ในสถานการณ์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประกายแสงต่างๆยังไม่ดับลง ยังคงล้อมรอบทุกคนด้วยหมอกระยิบระยับ พลังลมปราณของทุกคนต่างพุ่งขึ้นสูง เห็นได้ว่าวิทยายุทธกำลังบรรลุไปเรื่อยๆ


 


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ปรากฏการณ์นี้ค่อยๆจางหายไป ต้นหลิวก็เก็บก้านกลับมากลับเป็นสภาพเหมือนก่อน จากท่าทางเขียวขจีและลมปราณมากมายของมัน ก็รู้ได้ว่ามันเองก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อยจากการเลื่อนขั้นครั้งนี้


 


หยูเฮงน้อยยังลอยอยู่เหนืออากาศ เหล่าผู้คนด้านล่างก็ยังฝึกฝนกันอยู่ สรรพสิ่งใต้หล้าสงบ ราวกับเวลาได้หยุดลงแล้ว


 


วันเวลาข้างนอกผ่านไปเรื่อยๆ


 


1 เดือนผ่านไป


 


2 เดือนผ่านไป


 


เดือนที่ 3 กำลังจะมาถึง เหล่าผู้คนในมิติก็ยังไม่ออกมา


 


1 วัน 2 วัน 3 วัน…..


 


จนผ่านไปอีกครึ่งเดือนถึงได้เห็นร่างของพวกเขาในหุบเขาอีกครั้ง


 


เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่กับทุกคนที่มาปรากฏตัว โดยเฉพาะผู้เฒ่าหยิงที่เคยมีสภาพตาแก่ซอมซ่อ บัดนี้เขาได้มีสภาพเป็นชายวัยกลางคนเหมือนๆกับอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์แล้ว น่าดูขึ้นเยอะ


 


ส่วนเหล่าหญิงสาวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงราวพลิกแผ่นฟ้าเหมือนกัน โดยเฉพาะหยูเฮงน้อยที่ดูจะโตขึ้นอีกหน่อย ตอนนี้นางเหมือนหญิงสาวอายุ 13-14 ใบหน้าสวยสดงดงามไร้ที่ติที่ใสสกาว


 


แขนขาวๆในชุดสีเงินอ่อน ไม่ใส่รองเท้า ขาคู่งามเปิดเผยต่อสายตา ที่หลังมีประกายแสง 9 สี ทำให้ทุกคนต้องตะลึงในความงามสง่าของนาง มองยังไงก็ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดา


 


ส่วนเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ตาคู่สวยใสสกาวขึ้น มีประกายศักดิ์สิทธิ์อยู่บนใบหน้า มุมปากมีรอยยิ้มที่ทำให้สรรพสิ่งบนโลกใบนี้หมองลงในพริบตา ผิวขาวจนเป็นประกาย ทั้งลื่นทั้งนุ่ม


 


เดิมทีหน้าตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ต่างอะไรกับฟางซูหยุนมาก ตอนนี้ฟางซูหยุนก็ยังสวยล้ำยากจะหาผู้ใดเปรียบ ใบหน้ายิ้มแย้มทำให้นางดูสดใส ท่าทางเรียบๆที่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีความบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาว ดูไม่ออกเลยว่านางเป็นคุณย่าแล้ว


 


อาจารย์หญิงหรงจิ้งซือโดดเด่นและสง่า ไม่ต้องแต่งเติมอะไรก็งดงามสดใสเสมือนดวงจันทร์บนฟากฟ้า ความสวยของนางไม่น้อยหน้าใครทั้งนั้น


 


เรียกได้ว่าหญิงสาวโฉมงามตรงหน้าสวยกันคนละแบบ บางคนก็ท่าทางเย้ายวน บางคนก็ทาทางสง่าราวเทพธิดา บางคนก็สวยงามสูงส่ง


 


“เหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือน ต้องรีบไปที่ฮวงยัน งานคัดตัวของโถงวิหารสวรรค์ใกล้จะเริ่มแล้ว”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยเรียบๆก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ “อาจารย์ปู่ ท่านจะเข้าร่วมงานคัดตัวครั้งนี้ด้วยมั้ย อย่างไรซะที่นี่ก็เป็นถึงโถงหลักวิหารสวรรค์”


 


“ไม่ล่ะ” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ส่ายหัว “ให้อู๋เซอและจิ้งซือ 2 คนไปก็พอแล้ว ข้าเองก็อายุมากแล้ว ต่อให้ข้าจะมีวิชาของโถงวิหารสวรรค์แต่ก็ไม่อยากไปร่วม ข้าชินกับความอิสระแล้ว อยู่กับเจ้าที่ผืนดินฉางไห่นี่แหละ”


 


“ก็ดี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นด้วยกับทางเลือกของอาจารย์ปู่ อย่างไรซะอาจารย์ปู่ก็อายุ 600 ปีแล้ว ต่อให้เป็นที่ผืนดินฉางไห่ก็ถือเป็นระดับอาวุโสที่ต้องอยู่เบื้องหลัง หากเขาไปคัดตัวต้องเป็นที่แตกตื่นแน่นอน ตอนนี้ยังไม่ต้องออกตัวมากมายขนาดนั้น


 


“อาจารย์และอาจารย์หญิงก็อยู่ระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะแล้ว ด้วยอายุของทั้งคู่ไม่ถือว่าโดดเด่นสำหรับผืนดินฉางไห่ยังดีที่อาจารย์และอาจารย์หญิงมีวิชาของโถงวิหารสวรรค์ น่าจะผ่านง่าย แต่ไปที่โถงวิหารสวรรค์….”


————————————


TQF:บทที่ 570 บรรลุอย่างรวดเร็ว(2)


 


 


พูดมาถึงตรงนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็อดนึกถึงเขาไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่โถงวิหารสวรรค์รึเปล่า แล้วจะหาเขาพบหรือไม่


 


คนรอบข้างมองความคิดของนางออกทันที ฟางซูหยุนลูบมือนางเบาๆ “วางใจเถอะ พวกเราทำไปตามแผน ถึงเวลาที่จะพบก็ย่อมได้พบ ตอนนี้เจ้าก็เป็นจักพรรดิ์อมตะแล้ว เจ้าสามารถลงทะเบียนกลุ่มทหารรับจ้างได้แล้ว เจ้าทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน อย่างไรซะในมิติก็มีทรัพยากรนับไม่ถ้วน จะสร้างกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นมาน่ะง่ายกว่าคนอื่นๆ พอจำนวนทหารรับจ้างเยอะขึ้นก็ส่งพวกเขาออกไปสืบข่าว ข่าวจากคนของตัวเองย่อมมีความจริงมากกว่า”


 


หลังจากช่วงที่ผ่านมา ทุกคนก็รู้ถึงเหตุผลที่นางและหยูเฮงน้อยอยากจะสร้างกลุ่มทหารรับจ้างแล้ว ไม่ใช่เพราะอยากจะมีชื่อเสียง และก็ไม่ใช่เพื่อสร้างอิทธิพล ทุกอย่างก็เพื่อสืบที่อยู่ของโม่ซวนซุน


 


ตอนนี้วิทยายุทธของหยูเฮงน้อยเทียบเคียงกับระดับก้าวสู่เทพเทวา แม้ดูจากภายนอกจะดูไม่ออก แต่แท้จริงแล้ววิทยายุทธของนางสูงที่สุดในหมู่พวกเขา ต่อมาก็เป็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยว จากการเลื่อนขั้นมิติครั้งนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงกับนางมากที่สุด บรรลุจากบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ตอนต้นจนถึงจักพรรดิ์อมตะตอนปลาย สามารถบรรลุจุดสูงสุดได้ทุกเมื่อ เป็นตำนานอย่างแท้จริง


 


แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงของคนอื่นๆก็ไม่น้อย อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็เป็นบรรลุราชันย์จักพรรดิ์แล้ว ผู้เฒ่าหยิงเป็นปรากฏราชันย์จักพรรดิ์ ที่น่าแปลกใจและดีใจมากที่สุดก็ต้องเป็นฟางซูหยุน


 


หลังจากการชำระล้างจากกฎแห่งฟ้าดินและหมอกสีทอง คำสาปในร่างนางก็ถูกล้างออก วิทยายุทธก็พุ่งทะลุทะลวง จากระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์แต่เดิมของนางไปจนถึงก้าวสู่เทพเทวา ตอนนี้นางถือว่าเป็นผู้เก่งกาจสำหรับผืนดินฉางไห่แล้ว อยู่ระดับเดียวกับท่านปู่ตระกูลฟางเมื่อก่อน


 


แต่นางยังอายุแค่ 50-60 เท่านั้น ถ้าหากปู่หลานคู่นี้กลับไปตระกูลฟาง ต้องถูกเทิดทูนราวกับเป็นเทวดาแน่นอน


 


ดังนั้นความกังวลที่อยู่บนใบหน้าของฟางซูหยุนตลอดก็ได้หายไป มีความปิติยินดีเข้ามาแทนที่


 


“ไป พวกเราออกเดินทางไปฮวงยันกัน…” หยูเฮงน้อยปรบมืออย่างดีใจ


 


แม้ว่านางจะโตขึ้นไม่น้อย แต่นิสัยก็ยังเหมือนเด็กอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ชอบนิสัยแบบนี้ของนาง ไม่ขอให้นางเปลี่ยน อย่างไรซะสำหรับนางแล้ว 13-14 ก็ยังเป็นเด็กคนนึงอยู่


 


ทั้งหมดเตรียมออกจากหุบเขา แต่ก่อนจะไป หยูเฮงน้อยได้รดน้ำวิเศษจำนวนมากในหุบเขา และยังได้ปลูกสมุนไพรเลอค่ากับผลไม้จำนวนหนึ่ง หลังจากนี้นับสิบหรือนับร้อยปี ก็จะต้องกลายเป็นดินแดนสวรรค์ได้อีกอย่างแน่นอน


 


เรื่องที่สำคัญที่สุดนางก็ไม่ได้ลืม หยูเฮงน้อยสะกดหุบเขานี้ไว้ หากคนข้างนอกบุกมาได้ถึงตรงนี้ ถ้าวิทยายุทธไม่ถึงระดับปรากฏเทพเทวาก็คลายมนต์สะกดนี้ไม่ได้


 


ด้วยวิทยายุทธของทุกคน ไม่จำเป็นต้องให้สัตว์เลี้ยงคอยพาไป นอกเสียจากว่าเดินทางที่ไกลมากจริงๆ ในระยะร้อยลี้ขอแค่แปปเดียวก็สามารถไปให้ถึง


 


จากหุบเขาไปถึงฮวงยันก็แค่ไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นครั้งนี้จึงไม่มีใครเรียกสัตว์เลี้ยงออกมา อย่างไรซะพวกสัตว์เลี้ยงก็ได้บรรลุเป็นสัตว์อมตะกันถ้วนหน้าแล้ว


 


สัตว์อมตะเองก็เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ธรรมดาสำหรับผืนดินฉางไห่ทุกคนยังไม่อยากเป็นที่สนใจนัก อย่างไรซะระยะทางหลายร้อยลี้ก็เป็นเหมือนการเดินเล่นสำหรับทุกคนเท่านั้น ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง


 


เมื่อทุกคนมาปรากฏตัวนอกฮวงยันก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว สาเหตุก็เป็นเพราะหยูเฮงน้อยให้หนูล่าสมบัติตามหาของล้ำค่าอยู่ จึงล่าช้าไปกว่าครึ่งวัน


 


นอกจางฟางซูหยุนแล้ว คนอื่นๆก็เพิ่งจะเคยเห็นเมืองใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก กำแพงเมืองถูกสร้างขึ้นจากหินดำสูง 7-8 เมตร โอ่งอ่าอลังการ การยืนอยู่นอกเมืองรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างที่ทำให้หายใจไม่ออก


 


แน่นอนว่าที่นี่ก็แค่อำเภอชั้น 2 เท่านั้น ถ้าหากไปถึงอำเภอชั้น1 ก็ไม่รู้ว่าจะขนาดไหน


 


ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย คนเข้าออกไม่เยอะมาก เหล่าหญิงสาวใส่หมวกปิดหน้าไว้บวกกับชายหนุ่ม 3 คนที่ท่าทางไม่ธรรมดาทำให้คนอื่นไม่กล้าดูหมิ่นพวกเขา


 


เมื่อเข้าไปในประตูแล้วก็มีทหารยามขอดูแผ่นคริสตัลประจำตัว ทุกคนต้องจ่ายด้วยหินพลังวิญญาณระดับกลาง 1 ก้อนเพราะพวกเขามาจากอำเภอชั้น 3


 


กับเรื่องเล็กๆแบบนี้แล้วไม่มีใครคิดมาก อย่างไรซะแต่ละที่ก็มีวิถีชีวิตของที่นั่น จะไปเรียกร้องอะไรไม่ได้ มีแต่ตัวเราเองที่ต้องไปชินกับวิถีนั้นๆ


 


“คุณหนู ตอนนี้พวกเราจะไปไหน” หยูเฮงน้อยไม่สนใจเมืองอันคึกคักนี่เท่าไหร่ นางถามเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเบาๆ


 


“ตอนนี้…..”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะพูดแต่ฟางซูหยุนชิงพูดก่อน “เสี่ยวเสี่ยว ถ้าเจ้าอยากจะลงทะเบียนกลุ่มทหารรับจ้างที่นี่ละก็ ข้าคิดว่าให้ตึกว่านซางหาบ้านใหญ่ๆให้เราก่อนดีกว่า เราต้องอยู่ที่นี่ก่อน และยังเป็นศูนย์กลางของกลุ่มทหารรับจ้างได้ ไม่อย่างนั้นการอยู่โรงเตี๊ยมทำให้หลายๆอย่างไม่สะดวกเท่าไหร่”


 


“ตึกว่านซางขายบ้านด้วยหรือ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามอย่างแปลกใจ


 


“ใช่แล้ว พวกเขามีบริการจัดหาบ้าน หากต้องการก็ให้พวกเขาแนะนำบ้านที่เหมาะสมได้เลย แน่นอนว่าพวกเขาเก็บค่าบริการส่วนนี้ด้วย”


 


“อ๋อ เหมือนกันนายหน้าขายบ้าน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวผู้มาจากโลกปัจจุบันพอได้ฟังก็เข้าใจทันที


 


หยูเฮงน้อยกล่าวยิ้มๆ “ใช่ อย่างไรซะพวกเราก็ต้องมีบ้านหลังใหญ่ บ้างตัวเองสิถึงจะอยู่สบาย โรงเตี๊ยมดีแค่ไหนก็เป็นแค่โรงเตี๊ยม อยู่นานๆก็ไม่ดี”


 


ทุกคนเห็นด้วยกับคำพูดของเจ้าตัวเล็ก จึงพากันไปเลือกบ้านที่ตึกว่านซาง


 


ถามทางกับคนแปลกหน้าไปแปปเดียวก็หาตึกว่านซางเจอ


 


กำลังจะเดินเข้าไปก็สวนกับผู้ชาย 3 คนที่ออกมาจากตึกว่านซาง หยูเฮงน้อยตกใจจนอุทานออกมา “เอ๋…”


 


“หืม…..” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เห็นคนคุ้นหน้าทั้ง 3 ผ่านที่ปิดหน้า สีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีเหมือนว่าจะเจอเข้ากับปัญหาบางอย่าง


 


เพียงแต่พวกนางใส่ที่ปิดหน้ากันหมด เกาชิงหยางและ 2 สหายจึงจำพวกนางไม่ได้ เดินผ่านทุกคนไปเลย เดินไปก็หารือกันไปว่าจะทำอย่างไรดี


 


“คุณหนู ข้าให้ของพวกเขาไปเยอะมาก ทำไมแค่ 2 เดือนพวกเขาก็เป็นแบบนี้ซะแล้ว หรือว่าจะเกิดปัญหาอะไร” หยูเฮงน้อยคิดไม่ตกจริงๆ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้าเบาๆ “รอบข้างพวกเขาน่าจะเกิดบางอย่างขึ้น ช่างเถอะ ต่างคนต่างก็มีวาระของตัวเอง เรายุ่งมากไม่ได้หรอก”


———————


TQF:บทที่ 571 บรรลุอย่างรวดเร็ว(3)


“ก็ได้ ข้าแค่เห็นว่าพวกเขาก็ไม่เลวเท่านั้น” หยูเฮงนั้นมอง 3 คนนั้นในเชิงบวก ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่ใจดีขนาดนั้น


 


“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”


 


คนอื่นๆเข้าไปหมดแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจูงมือหยูเฮงน้อยเข้าไปในตึกว่านซาง


 


ผู้เฒ่าหยิงบอกความต้องการกับผู้จัดการเสร็จก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเขา พวกเขาถูกพาไปที่ห้องรับแขกพิเศษ ผลไม้วิเศษและของหวานต่างๆถูกนำมาให้ทาน


 


ทุกคนนั่งลง ผู้จัดการเป็นผู้เฒ่าวัย 60 วิทยายุทธระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ เขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าตัวเอง ยังคงใบหน้าชราไว้ต้อนรับแขก


 


บางทีนี่อาจเป็นความตั้งใจของคนที่ทำมาค้าขาย ทุกคนต่างก็ให้ความเคารพกับคนทำมาค้าขายที่อายุมาก นี่ก็เป็นกลยุทธธุรกิจของพวกเขา


 


“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ไม่ทราบว่าต้องการบ้านแบบไหนขอรับ” ผู้จัดการไม่กล้าดูถูกคนตรงหน้า โดยเฉพาะหญิงสาวทั้ง 3 ที่ใส่หมวกปิดหน้าไว้ ที่ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ และนี่ยังเป็นลมปราณที่พวกนางปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ เห็นได้ว่าคนพวกนี้ต้องเป็นยอดฝีมืออย่างแน่นอน


 


“ขอเป็นบ้านที่มี 3 ห้อง ข้างหน้ามีสวนใหญ่ๆจะดีมาก บ้านห้ามเก่าเกินไป สภาพแวดล้อมสงบและสะอาด เครื่องใช้ในบ้านพยายามเอาที่ใหม่ๆ เพราะฉะนั้นเจ้าห้ามแนะนำพวกเราส่งเดช”


 


ผู้เฒ่าหยิงตอบ เมื่อเห็นท่าทางใช้ความคิดของอีกฝ่ายก็พูดต่อ “ขอแค่บ้านเป็นที่น่าพอใจ เรื่องราคาไม่เกี่ยง เชื่อว่าผู้จัดการมีบ้านแบบนี้ใช่มั้ย”


 


“มีสิ มีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการบ้านที่รอบในหรือรอบนอก หรือว่าตามหมู่บ้านนอกเมือง”


 


ผู้จัดการยิ้ม เขาเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จแน่ จึงถามขึ้นอีก


 


“รอบนอกแล้วกัน” ฟางซูหยุนเป็นคนตอบ


 


“มี รอบนอกมีอยู่ 3 บ้านด้วยกันที่เข้าข่ายเงื่อนไขของลูกค้า พวกเรามีภาพอยู่ เชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเลือกเลย”


 


พอผู้จัดการพูดจบก็มีสาวใช้นำกล่องไม้กล่องหนึ่งมาให้ เขาเปิดกล่องและหยิบกระดาษภาพจำนวนหนึ่งออกมา


 


หยูเฮงน้อยลุกพรวดขึ้นและแย่งกระดาษภาพมาจากผู้จัดการทันที “ให้ข้าดูหน่อย หวังว่าจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”


 


“แขกผู้มีเกียรติต้องพอใจแน่นอน” ผู้จัดการบอกอย่างมั่นใจ


 


หลังจากนั้นทุกคนก็ได้ดูกระดาษภาพที่วาดแผนผังและตำแหน่งห้องเอาไว้ แม้จะไม่เท่ารูปถ่ายของยุคปัจจุบัน แต่สำหรับที่แบบนี้ก็นับว่าไม่เลว ของคล้ายๆกับภาพแปลนออกแบบ ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะทำออกมาได้


 


สุดท้ายฟางซูหยุนเป็นคนตัดสินใจเลือกบ้าน และจ่ายหินพลังวิญญาณครึ่งหนึ่งของราคาทันที รอให้ผู้จัดการแจ้งเจ้าของบ้าน แล้วทั้ง 2 เซ็นหนังสือโอนบ้านก็ถือเป็นอันจบสิ้นการแลกเปลี่ยน


 


ทุกคนออกจากตึกว่านซาง หยูเฮงน้อยถามขึ้นอีก “คุณหนู ตอนนี้พวกเราจะไปโรงเตี๊ยมรึเปล่า”


 


“ไปอยู่ที่โรงเตี๊ยมสักคืนแล้วค่อยว่ากัน”


 


เมื่อนางพูดแบบนี้ ทุกคนจึงหาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด เพราะไม่มีใครขาดแคลนหินพลังวิญญาณ ไม่ว่าจะค่าที่พักหรือค่าอาหารก็แค่จิ๊บๆ


 


โดยผู้เฒ่าหยิงเป็นคนออกหน้า หินพลังวิญญาณระดับสูง 100 เม็ดแลกมาด้วยตึก 3 ชั้นเล็กๆที่เพียงพอให้พวกเขาอยู่


 


ด้วยการกระทำมือเติบนี้ทำให้เป็นที่สนใจของแขกบางส่วน บางคนพินิจพิเคราะห์พวกเขาและนินทากันเบาๆ


 


แน่นอนว่าก็คงไม่พ้นเรื่องที่เป็นใครมาจากไหน ไม่เหมือนกับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทั่วๆไปทำนองนี้


 


คนของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ยินการพูดคุยของคนพวกนี้ ขณะเดียวกันก็ล่วงรู้เข้าถึงฐานะของบางคน เหมือนว่าจำนวนไม่น้อยเลยที่เป็นทหารรับจ้าง พวกเขายังแลกเปลี่ยนขั้นตอนของภารกิจ การบาดเจ็บ รางวัล และอื่นๆ


 


“แขกทุกท่าน ที่นี่คือตึกเสี่ยวจู้ หากทุกท่านต้องการอะไรเชิญบอกได้เลย” ผู้จัดการพาทุกคนไปที่ตึกเล็กๆนั่นอย่างนอบน้อม


 


ผู้เฒ่าหยิงพยักหน้าและโบกมือ “พอแล้ว หากพวกเราต้องการอะไรก็จะบอกพวกเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว”


 


“ขอรับ ทุกท่านเชิญ…”


 


ผู้จัดการบอกอย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังจากไปด้วยรอยยิ้ม สำหรับผู้ให้เงินแล้ว เขาย่อมไม่กล้าชะล่าใจ


———————————–


TQF:บทที่ 572 เข้าพัก ณ บ้านใหม่ (1)


 


 


 


ทุกคนกลับไปพักผ่อนที่ห้อง


 


ห้องนอนมีไม่น้อย แต่หยูเฮงน้อยก็ยังเบียดอยู่ห้องเดียวกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เมื่อนางถึงห้องก็โยนหมวกปิดหน้าออกพลางโวยวายอย่างไม่พอใจ “ใส่อันนี้แล้วยุ่งยาก ข้าปรากฏกายด้วยรูปลักษณ์เด็กเหมือนเดิมดีกว่า”


 


“ในเมื่อโตแล้วทำไมยังต้องอยู่ในรูปลักษณ์เด็กด้วยล่ะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยิบหมวกปิดหน้าตัวเองออกชำเลืองมองนาง “ถ้าเจ้าไม่อยากให้ใครมาจ้องเวลาออกไปไหน การใส่หมวกปิดหน้าก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่แย่อะไรนี่”


 


“ไม่เอา อึดอัดจะตายอยู่แล้ว” หยูเฮงน้อยก็คือเด็ก ว่างไม่ได้ นางหมุนตัวเบาๆก็กลับมาเหมือนเด็ก 10 ขวบอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ข้าขอออกไปดูข้างนอกหน่อย เดี๋ยวกลับมา ไม่ต้องรอข้ากินข้าวนะ”


 


พูดจบ ไม่ทันที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะตกลงก็หายออกจากประตูไปทันที


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ หมดคำพูดกับนิสัยซุกซนของเจ้าตัวเล็กนี่จริงๆ แต่นางไม่ต้องคอยเป็นห่วงหยูเฮงน้อย นางสามารถเดินกร่างไปทั่วผืนดินฉางไห่ได้เลย ใครก็ตามที่มามีเรื่องกับนางต้องเป็นฝ่ายซวยเองแน่


 


นางอยากจะเล่นสนุกก็ให้นางเล่นไป


 


ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยุ่ง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจึงนั่งขัดสมาธิบนเตียง ตอนนี้นางอยู่ตอนปลายของระดับจักพรรดิ์อมตะแล้ว มีความเข้าใจใหม่ๆเกิดขึ้นกับคัมภีร์จักรพรรดินีเก้ายอด(กษัตริ์หญิงเทียนเสวียนอวี่)​


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนและฝึกฝน หยูเฮงน้อยก็มาอยู่ที่ห้องโถงของโรงเตี๊ยมแล้ว ด้วยความน่ารักของนางจึงดึงดูดสายตาของทุกคนไว้ แม้แต่ผู้จัดการที่คำนวณบัญชีอยู่ก็ชำเลืองมา เพียงแต่เขาจำนางไม่ได้ นึกว่าเป็นเด็กที่แขกรายอื่นพามา


 


หยูเฮงน้อยกวาดไปรอบๆห้องโถง แม้จะไม่ใช่เวลาอาหารจริงๆแต่ก็มีคนอยู่ไม่น้อย แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็เป็นทหารรับจ้างที่เพิ่งเสร็จจากภารกิจ


 


หลังจากที่กวาดสายตาไปทั่ว ไม่นานนักหยูเฮงน้อยก็เล็งเห็นคน 3 คน ซึ่งก็คือเกาชิงหยางและอีก 2 สหายที่เจอกันหน้าตึกว่านซางนั่นเอง


 


ใบหน้าเล็กๆของนางยิ้มอย่างสดใส ก้าวเล็กๆไปหาทั้ง 3 คนที่กำลังเศร้าหมองอยู่ที่มุม


 


การกระทำของหยูเฮงน้อยเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ที่ทุกคนแปลกใจที่สุดก็คือเด็กสาวแสนสวยคนนี้เดินไปหาสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างไป๋หู่


 


ทั้ง 3 ก็เริ่มรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นเทพธิดาตัวน้อยที่กำลังเดินมาก็อึ้งกันไปหมด นึกว่าตัวเองเกิดภาพหลอน


 


ขยี้ตาแล้วก็ยังมองไม่ผิด เด็กสาวแสนสวยยิ้มแย้มตรงหน้าก็คือเทพธิดาตัวน้อยที่พวกเขาเจอในหุบเขา


 


ทำไมนางถึงมาอยู่ที่นี่


 


ในขณะที่พวกเขายังอึ้งอยู่ หยูเฮงน้อยก็เดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว “เกาชิงหยาง ข้านั่งตรงนี้ได้มั้ย”


 


“ได้ ได้สิ….” หัวของเกาชิงหยางแทบจะทำงานไม่ทัน เห็นนางนั่งลง ตะโกนด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ “เทพ เทพธิ…..”


 


ไม่ทันที่เขาจะตะโกนคำว่าเทพธิดาน้อยออกมา หยูเฮงน้อยก็โบกมือพลางพูด “พอแล้ว ข้าแซ่เฉิง เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางเฉิงก็พอ”


 


“ขอรับ” เรียกเทพธิดาน้อยก็เป็นที่น่าสนใจของคนอื่นๆจริงๆนั่นแหละ เกาชิงหยางจึงได้แต่เปลี่ยนคำและถามอย่างอดไม่ได้ “แม่นางเฉิง ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่ฮวงยันล่ะ”


 


“ทำไม พวกเรามาไม่ได้หรือ” หยูเฮงน้อยเลิกคิ้วและมองเข้านิ่ง


 


“ไม่ ไม่ใช่”


 


เกาชิงหยางรีบส่ายหัวพร้อมตอบ และมองไปยังอีก 2 สหายที่เหมือนมีอะไรอยากจะพูด เขาจึงถามคนตรงหน้า “แม่นางเฉิงมีอะไรให้รับใช้หรือไม่ หากต้องการอะไรสั่งได้เลย ขอแค่พวกเราทำได้จะไม่ปฏิเสธแน่”


 


“เปล่า” หยูเฮงน้อยทั้งตลกและปลื้มใจ เกาชิงหยางพูดแบบนี้ออกมาได้แปลว่านางไม่ได้มองเขาผิดไป


 


หยูเฮงน้อยก็ไม่อยากเล่นคำกับพวกเขาแล้ว จึงถามตรงๆ “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน ข้าเห็นพวกเจ้าหน้าตาเศร้าสร้อย เจอปัญหาอะไรรึเปล่า”


 


“เรื่องนี้…”


 


ทั้ง 3 มองหน้ากัน พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าหยูเฮงน้อยจะมาถามถึงเรื่องพวกเขาเอง นึกว่าตัวเองฟังผิด


 


หยูเฮงน้อยเห็นท่าทางเด๋อด๋าของคนตรงหน้า ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความไม่พอใจ “ทำไม ไม่สะดวกบอกข้าหรือ ถ้าไม่สะดวกละก็ไม่เป็นไร พวกเจ้าถือซะว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกัน”


 


“ปะ เปล่า”


 


เกาชิงหยางเบาใจลง มีความซาบซึ้งอย่างเต็มเปี่ยมอยู่ในใจ เขารู้สึกได้ว่าหยูเฮงน้อยถามจากใจจริง และเป็นห่วงสถานการณ์ของพวกเขาจริงๆ จะไม่ให้พวกเขาซึ้งได้อย่างไรกัน


 


โดยเฉพาะตู้จินเฟยและโจวไห่หยัน ทั้ง 2 มีสีหน้าซาบซึ้ง สายตาที่มองหยูเฮงน้อยก็ลดความหวาดกลัวลง มีความปลื้มและความเคารพเพิ่มมากขึ้น


 


“แม่นางเฉิง พวกเราเป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้างไป๋หู่ วันก่อนพวกเราแยกกันลงมือกับหัวหน้ากลุ่ม พอพวกเรากลับมาหัวหน้ากลุ่มกับยังไม่กลับ พวกเรานึกว่าพวกเขายังทำภารกิจไม่เสร็จจึงรออยู่ตลอด”


 


เกาชิงหยางไม่ได้ปิดบัง เล่าที่มาที่ไปให้หยูเฮงน้อยฟัง “หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเราถึงได้ข่าวจากกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มอื่นว่าพวกหัวหน้ากลุ่มเจอภัย พวกเขาปะทะเข้ากับคนอื่นในตอนนี้หายาในหุบเขา คนของหัวหน้ากลุ่มทุกคนล้วน….”


 


พูดมาถึงตรงนี้เกาชิงหยางเริ่มมีก้อนสะอื้นเบาๆ ตาเขาเริ่มแดง ท่าทางพวกเขาผูกพันลึกซึ้งกับคนของกลุ่มทหารรับจ้างไป๋หู่


 


“พอพวกเราได้ข่าวพี่ชิงหยางก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไปหาพวกหัวหน้ากลุ่ม ตอนที่พวกเราถึงพวกเขาก็ตายแล้ว เหลือเพียงสหายอีก 4-5 คนที่บาดเจ็บหนัก เรียกว่ากลุ่มทหารรับจ้างไป๋หู่ของเราจบสิ้นแล้ว”


 


ตู้จินเสียอธิบายเสียงต่ำ


 


หลังจากที่เขาพูดจบโจวไห่หยันก็พูดขึ้นบ้าง “พวกเราพาสหายที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับมา 2 คนในนั้นสูญเสียวิทยายุทธไปจนหมด ที่เหลือก็บาดเจ็บหนักยากที่จะรักษา พวกเราหมดหนทาง ได้แต่พยายามดูแลเหล่าสหายให้ดี และยังมีสหายที่ตายไป ครอบครัวของพวกเขาก็ต้องการความดูแล ตอนนี้พวกเรา….”


 


“เข้าใจแล้วๆ”


 


ในที่สุดหยูเฮงน้อยก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มิน่าล่ะพวกเขาถึงมีสีหน้าแบบนี้ คน 3 คน ดูแล 10 กว่าครอบครัว ของที่ให้พวกเขาไปครั้งที่แล้วก็คงยื้อได้ไม่นาน


———————————


TQF:บทที่ 573 เข้าพัก ณ บ้านใหม่ (2)


 


 


 


“กลุ่มทหารรับจ้างไป๋หู่ของพวกเจ้าคงจะรับภารกิจอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เอาอย่างนี้ พวกเรากำลังจะลงทะเบียนกลุ่มทหารรับจ้าง ถ้าพวกเจ้ายอมก็เข้ารับกลุ่มพวกเราได้”


 


“จริงหรือ…”


 


ทั้ง 3 อึ้งไปอีกครั้ง เห็นหยูเฮงน้อยพยักหน้ายิ้มแย้มถึงได้รู้ว่านางไม่ได้ล้อเล่น


 


นึกถึงความสามารถของพวกนาง 2 พี่น้อง ใจของทั้ง 3 เร่าร้อนขึ้นทันที เดิมทีนึกว่าจากนี้จะไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว และยังมีภาระอีกมากมาย ยื้อต่อไปแต่ละวันโดยไร้ความหวัง ไม่คิดว่ามีพรหล่นจากฟ้าอีกแล้ว หล่นใส่พวกเขาจนมึนหัวไปหมด


 


หยูเฮงน้อยตัดสินใจรับพวกเขาไว้ เพราะดูออกว่าพวกเขาเป็นคนที่รักเพื่อนฝูง เก็บคนแบบนี้ไว้ทำงานใกล้ตัวก็สบายใจ


 


นางสั่งพวกเขาไว้ว่า 2 วันนี้อย่าเพิ่งออกจากฮวงยันเสร็จก็กลับตึกเล็กไปอย่างมีความสุข


 


จนกระทั่งหยูเฮงน้อยหายไป ทั้ง 3 ก็ยังมีความรู้สึกเหมือนฝันไป


 


“พี่เกา ต่อไปนี้พวกเราสามารถติดตามพวกนางได้จริงๆหรือ” โจวไห่หยันอดหยิกขาตัวเองไม่ได้ เจ็บจนกัดฟันกรอดถึงรู้สึกได้จริงๆว่าไม่ได้ฝันไป


 


ตู้จินเฟยยังคงมองเกาชิงหยางด้วยความมึนงง ราวกับต้องการคำยืนยันอีกครั้ง


 


เกาชิงหยางไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้อง ต่อจากนี้พวกเราก็มีความหวังแล้ว”


 


“เยี่ยมไปเลย”


 


ทั้ง 3 ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีสีหน้าหม่นหมองอีกต่อไป


 


ทันทีที่หยูเฮงน้อยปรากฏตัวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้ทันที นางลืมตาขึ้นถามเจ้าตัวเล็กที่ยังยิ้มแย้มอยู่ “เจ้าออกไปแค่แปปเดียวไปเจอเรื่องอะไรดีๆเข้าล่ะ”


 


“อิอิ ต้องมีเรื่องดีอยู่แล้ว” หยูเฮงน้อยนั่งลง “คุณหนู ข้ารับคนเข้ากลุ่มทหารรับจ้างของเราเข้ามา 3 คน เป็นไง”


 


“อะไรนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าหยูเฮงน้อยออกไปพบใครมา เมื่อได้ยินคำนี้ก็รู้สึกแปลกใจ ตาของหยูเฮงน้อยน่ะดี คนทั่วๆไปไม่มีทางเข้าตานาง ไม่คิดเลยว่าออกไปแปปเดียวก็หาได้ถึง 3 คน


 


เห็นนางยิ้มอย่างกับจิ้งจอก เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดไปคิดมาก็ถามอีก “สมาชิก 3 คนที่เจ้าว่าคงไม่ใช่พวกเกาชิงหยางหรอกนะ”


 


“เอ๋ คุณหนู ท่านทายถูกได้อย่างไรกัน” หยูเฮงน้อยถามด้วยความประหลาดใจ


 


“นอกจากพวกเขาแล้วจะมีใครอีก และยังบังเอิญขนาดนี้ รับครั้งเดียวได้ถึง 3 คน เจ้านึกว่าซื้อผักที่ตลาดหรือไง หยิบตามที่เจอ”


 


“เฮ่ะๆคุณหนู ข้าว่าพวกเขาก็เหมือนผักที่ตลาดนั่นแหละ ข้าน่ะเก็บพวกเขาได้ที่ห้องโถง”


 


“เอาล่ะ เล่ามาซิว่านี่มันยังไงกันแน่ ข้าจำได้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างอื่น”


 


เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวถาม หยูเฮงน้อยก็รีบเล่าเรื่องที่ได้ยินจากเกาชิงหยางให้นางฟัง และไม่ลืมที่จะย้ำอีกครั้งว่าพวกเขาเต็มใจเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างของพวกนาง


 


“ที่แท้ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขี้นนี่เอง มิน่าล่ะ”


 


เมื่อฟังจบ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ “พวกเขาถือเป็นคนรักเพื่อนรักฝูงดี รับไว้ก็ไม่เสียหาย อีกหน่อยยกระดับวิทยายุทธพวกเขาขึ้นไปก็ยังสามารถรับหน้าแทนพวกเราได้ด้วย พวกเขาน่ะคุ้นเคยกับฮวงยันนี่มากกว่าเราเยอะ เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากมาย”


 


“แน่นอนอยู่แล้วคุณหนู ถือว่าข้าทำเรื่องดีรึเปล่า” หยูเฮงน้อยได้ใจเหมือนเด็กที่รอรางวัลจากผู้ใหญ่


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวนาง “แน่นอนสิ เจ้าน่ะเป็นตัวนำโชคของข้าเลยนะ”


 


“อิอิ”


 


เสียงหัวเราะของหยูเฮงน้อยสะท้อนอยู่ในห้อง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็เช่นกัน


 


วันรุ่งขึ้น ผู้จัดการจากตึกว่านซางส่งคนมาแจ้งว่าเจ้าของบ้านได้มาถึงแล้ว รอให้พวกนางไปเซ็นชื่อ


 


เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านย่าฟางซูหยุนเป็นคนจัดการ อย่างไรซะแผ่นคริสตัลประจำตัวของนางก็เป็นของอำเภอชั้น 1 ถือว่ามีบารมีในอำเภอชั้น 2 นี้ จะได้ไม่ปล่อยให้คนอื่นดูถูกฐานะของพวกเขา


 


เมื่อได้ใบโฉนดของบ้านมา ทุกคนก็ได้มีที่ให้พำนักพักพิงเสียที จึงรีบย้ายออกจากโรงเตี๊ยมและไปอยู่ในบ้านที่เป็นของตัวเอง


 


ภายใต้การนำของคนจากตึกว่านซาง ทั้งหมดก็มาถึงหน้าประตู


 


ป้ายด้านบนถูกเอาลงแล้ว ประตูทั้ง 2 บานปิดสนิท รูปปั้นหินสิงโตก็หม่นหมองด้วยการกัดกร่อนจากพายุฝน แต่หากมองดีๆจะเห็นได้ว่าฝีมือการสลักนั้นประณีตและบรรจงมาก ท่าทางเหมือนมีชีวิตจริงๆ น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก


 


“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่นี่ก็คือบ้านของพวกท่าน ข้าน้อยลาไปก่อน” เด็กนำทางประสานมือกับทุกคนและเตรียมจากไป


 


ผู้เฒ่าหยิงพลิกมือขวาขึ้นก็มีหินพลังวิญญาณระดับล่าง 2 เม็ด เขารีบยัดเข้าไปในมือเด็กนำทาง “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยนำทาง เชิญกลับได้”


 


“พ่อบ้านพูดเกินไป อีกหน่อยถ้ามีความต้องการอะไรอีกเชิญมาที่ตึกว่านซางได้เลย”


 


เด็กนำทางได้ของไปก็ไม่ลืมที่จะโฆษณาให้นายจ้างของตัวเอง ทุกคนที่ได้ฟังก็อมยิ้ม


 


เมื่อเขาจากไป ผู้เฒ่าหยิงก็ผลักประตูออกและนำเข้าไปก่อน


 


ทุกคนตามเข้าไป สวนข้างหน้าเป็นที่กว้างหลายร้อยเมตร รับได้เป็นพันคน พื้นตรงกลางเป็นลานกว้างที่ปูด้วยอิฐดำ 2 ฝั่งริมเป็นสวนดอกไม้สี่เหลี่ยม มีดอกไม้นานาชนิดที่ไม่ทราบชื่อขึ้นอยู่ ปลิวไหวไปตามลม


 


ทุกคนพอใจกับสวนหน้าบ้านนี้มาก หยูเฮงน้อยกระโดดไปพูดไป “ไม่เลวๆ ที่นี่กว้างขวางเพียงพอ จะได้เป็นที่ฝึกด้วย”


 


“เดิมทีพวกเราก็ต้องการสวนใหญ่ๆแบบนี้อยู่แล้ว โชคดีที่ไม่เลวเลย” ผู้เฒ่าหยิงก็พยักหน้าอย่างพอใจ


 


ฟางซูหยุนสำรวจรอบสวนนี้พลางพยักหน้า “พวกเราลองเดินดูก่อน สวนด้านหลังก็คงไม่แย่ ถ้าหากมีอะไรที่ต้องปรับปรุงจะได้รีบให้คนไปทำ”


—————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม