ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 564.1-571.2

ตอนที่ 564 - 1 ราชครูทูเจวี๋ย

 

เกาฉิวรีบรุดมาจากท้ายขบวน ครั้นเห็นสวี่เจิ้นก็ยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง คนทั้งหลายต่างกอดกันพร้อมสบตาหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาเปี่ยมล้นด้วยน้ำตา 


 


 


เมื่อเห็นสภาพของสวี่เจิ้นแล้ว หน้าอกใบหน้าดำทะมึน ฝุ่นเกาะเต็มใบหน้า เสื้อผ้าอาภรณ์ก็ขาดวิ่นไปทั้งร่าง เห็นชัดว่าตลอดเส้นทางนี้ลำบากมาไม่น้อย หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจ จับมือเขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี่ เจ้าเข้ามาในทุ่งหญ้าได้อย่างไร แล้วหาพวกเราพบได้อย่างไร?!” 


 


 


“เรื่องนี้พูดไปแล้วก็ยาวขอรับ” สวี่เจิ้นสองตาแดงเล็กน้อย “นับตั้งแต่แม่ทัพหลิน แม่ทัพหูกับพี่เกาเข้าสู่หุบเขาเป็นวันที่สาม ชนเผ่านอกด่านนับแสนนายก็เริ่มบุกโจมตีปากทางเข้าหุบเขาเฮ่อหลานซานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ชาวทูเจวี๋ยพวกนั้นแข็งแกร่งดุร้าย บุกเข้ามาอย่างรุนแรง การโจมตีแต่ละระลอกล้วนใช้คนนับหมื่นนายขึ้นไป โจมตีเส้นทางสองสายซึ่งเชื่อมโยงกับเมืองซิงชิ่งอย่างรุนแรง สามวันหลังจากนั้น แค่หน่วยบุกทะลวงนับหมื่นคนที่ไปๆ กลับๆ ของชนเผ่านอกด่านก็ไม่ต่ำกว่าสี่สิบครั้งแล้วขอรับ 


 


 


“กุนซือสวีออกประกาศิตเด็ดขาด นับตั้งแต่นางลงไป นายทหารทุกคนอนุญาตให้แค่รุกคืบเท่านั้น ห้ามถอยหลัง ด่านอยู่คนอยู่ ด่านทลายคนม้วย ขอสาบานว่าจะเฝ้าเฮ่อหลานซานจนตัวตาย! กุนซือนั่งคุมทางเชื่อมตีนเขาตะวันตกด้วยตนเอง ไม่ได้นอนถึงสามวันสามคืน พี่น้องสองแสนกว่าคนสู้ศึกชิงความเป็นความตายกับชนเผ่านอกด่านที่เฮ่อหลานซาน ไม่มีผู้ใดถอยแม้แต่คนเดียว สองฝั่งของช่องเขาประกายดาบพวยพุ่งเต็มท้องนภา โลหิตไหลเป็นท้องธาร กระบอกปืนใหญ่ของหน่วยกองกำลังพลปืนแดงก่ำเพราะยิงอย่างต่อเนื่อง ไม่อยากยิงกระสุนปืนใหญ่ออกมาได้อีก ดังนั้นพี่น้องเหล่านี้จึงยกดาบขึ้นแล้วบุกตะลุยออกไปเช่นกัน ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน พี่น้องที่รบจนตัวตายที่เฮ่อหลานซานก็มีถึงสี่หมื่นคนแล้วขอรับ!” 


 


 


สวี่เจิ้นพูดไปพูดมาก็เบ้าตาแดง หลินหว่านหรง หูปู้กุย เกาฉิวทั้งสามคนกัดฟันกรอดไม่เปล่งเสียงสักแอะเดียว กำปั้นทั้งสองข้างกันจนแน่นโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ศึกนองเลือดของทหารหลายแสนคน แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานที่จริง แต่พวกเขาก็จินตนาการออกว่านั่นเป็นภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายรุนแรงที่มีโลหิตเลือดเนื้อสัตว์กระจายเช่นไร เฮ่อหลานซานเป็นกระดูกสันหลังของต้าหัว หัวขาดได้ โลหิตไหลได้ แต่กระดูกสันหลังห้ามล้มเด็ดขาด!  


 


 


“ช่องเขาสองสายของเฮ่อหลานซานพ่ายแพ้หลายครั้งและสิ่งกลับมาได้หลายครั้ง พี่น้องหน่วยกล้าตายหลายหมื่นคนเหลือแค่แปดร้อยคนที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ พี่หูต้องห้อยแขนซ้าย ท่านแม่ทัพจั่วชิวซี่โครงขวาได้รับบาดเจ็บ แม้แต่กุนซือสวีเองก็…” 


 


 


“กุนซือสวีเป็นอะไรไป?!” หลินหว่านหรงดึงตัวสวี่เจิ้นมาถามด้วยความรู้สึกตกใจอย่างยิ่ง 


 


 


สวี่เจิ้นรู้ตัวว่าหลุดปากพูดออกมา เขาก็รีบเช็ดหางตา ก้มหน้าลงพร้อมเอ่ยเสียงค่อย “ท่านแม่ทัพ ท่านอย่าถามเลยนะขอรับ กุนซือไม่ให้ข้าบอกท่าน!” 


 


 


หลินหว่านหรงถลึงตา กล่าวอย่างมีน้ำโห “ไม่บอกข้าอะไรกัน จะเชื่อฟังนางหรือว่าเชื่อฟังข้า? เจ้าเด็กนี่ อยากให้ข้าร้อนใจตายใช่หรือไม่?!” 


 


 


สวี่เจิ้นนั้นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงที่หลินหว่านหรงพามาจากซานตง เมื่อเห็นเขาถลึงตาโตท่าทางน่าตกใจกลัวแล้วจะกล้าขัดขืนได้อย่างไรกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงตาแดงพลางตอบเสียงค่อยออกมาว่า “ขณะที่กุนซือสวีเฝ้าด่าน ถูกธนูบินของชนเผ่านอกด่านทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอนอยู่บนเตียงหลายวัน ก่อนข้าน้อยออกเดินทาง นางกำชับข้าว่าห้ามนำเรื่องนี้รายงานแก่ท่านแม่ทัพ มิเช่นนั้นจะต้องลงโทษตามกฎทหารขอรับ” 


 


 


สวี่เจิ้นเล่าไม่ละเอียด ทว่าใจของหลินหว่านหรงกลับเจ็บปวด เดิมทีตัวของสวีจื่อฉิงผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ถูกธนูบินจนต้องได้รับบาดเจ็บนอนพักฟื้นอยู่หลายวัน เช่นนั้นอาการบาดเจ็บจะต้องไม่เบาแน่ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ” ครั้นเห็นหลินหว่านหรงหน้าดำคร่ำเครียด สีหน้าถมึงทึงน่าตกใจกลัว สวี่เจิ้นจึงรีบเอ่ยว่า “ก่อนข้าน้อยออกเดินทาง สีหน้าของกุนซือสวีก็ดีขึ้นแล้ว นางยังมาส่งข้าด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสั่งให้ข้าบอกท่านแม่ทัพว่ากองทัพเรียบร้อยดีทุกสิ่ง ท่านอย่าได้กังวล” 


 


 


แบบนี้ก็เรียกว่าเรียบร้อยดี? บาดเจ็บหนักถึงขนาดนั้นแล้ว! หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกจนใจ นิสัยใจคอของคุณหนูสวียังคงดื้อดึงขนาดนั้นเหมือนเดิมนะ! เมื่อก่อนรู้สึกรำคาญนิสัยดื้อดึงกระทั่งว่าค่อนข้างดื้อด้านของนางนี้เสียด้วยซ้ำ พอมาดูตอนนี้แล้ว นี่ก็ไม่ใช่จุดที่สวีจื่อฉิงต่างจากคนอื่นหรอกหรือ? เมื่อคิดถึงก่อนจะจากลากัน ท่าทางที่คุณหนูสวีขับขานบทเพลงเบาๆ อยู่บนเขา น้อมส่งอย่างเงียบงัน จมูกเขาก็รู้สึกระบมอยู่บ้าง 


 


 


เมื่อได้ยินสวี่เจิ้นพูดแค่ครึ่งเดียว เกาฉิวก็ร้อนใจแล้ว ราวกับมีแมวข่วน เขารีบจับแขนสวี่เจิ้นแล้วถามว่า “ต่อมาล่ะ? เฮ่อหลานซานเป็นอย่างไร? ชนเผ่านอกด่านโจมตีอีกหรือไม่? เจ้ามาทุ่งหญ้าได้อย่างไร และหาพวกเราพบได้อย่างไร?! เสี่ยวสวี่ เจ้าจะพูดให้จบเพียงครั้งเดียวได้หรือไม่ ข้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว!” สวี่เจิ้นเช็ดหางตา หัวเราะอย่างกระดากใจ พูดต่อไปว่า “หลังจากชนเผ่านอกด่านโจมตีอย่างรุนแรง สามวันก็มีซากศพนอนเกลื่อน สูญเสียอย่างหนัก ช่วงหลายวันต่อมาจึงเปลี่ยนรูปแบบการรบ พวกมันใช้กลยุทธ์ก่อกวน โจมตีหลอกแล้วถอยกลับไป จากนั้นก็โจมตีหลอกเข้ามาอีก เป็นเช่นนี้วนกลับไปมา ไม่มีผู้ใดรู้เช่นกันว่าพวกมันจะเปลี่ยนจากการโจมตีหลอกเป็นโจมตีจริงเมื่อไหร่ ยืนหยัดเฝ้าเช่นนี้อยู่หลายวัน ทัพของเราก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างยิ่ง ในคืนนั้นจู่ๆ ชนเผ่านอกด่านกลับเหมือนเสียสติ เคลื่อนย้ายกำลังทหารทั้งหมดบุกโจมตีเส้นทางเชื่อมเขาทางตีนเขาทิศตะวันตกอย่างรุนแรง ชนเผ่านอกด่านจำนวนหลายแสนแผ่ขยายใต้ตีนเขาดำทะมึนไปเป็นแถบ มีปาเต๋อหลู่อ๋องซ้ายเป็นผู้นำทัพบุกทะลวง การรบครั้งนี้รบไปถึงหนึ่งวันสองคืน พวกเราเข้าออกเส้นทางเชื่อมตีนเขาฝั่งตะวันตกหลายครั้ง สุดท้ายก็เฝ้ารักษาเอาไว้ได้ กุนซือสวีได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการรบครั้งนี้เช่นกัน ชนเผ่านอกด่านโจมตีอยู่นานแต่ก็ไม่สำเร็จ พอถึงเช้าวันที่สามจู่ๆ กลับถอยกองทัพทั้งหมดออกไปหนึ่งร้อยลี้ พอช่วงค่ำพวกเราก็ได้รับข่าวว่า ที่แท้ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อกำลังเสบียงของชนเผ่านอกด่านถูกแม่ทัพหลินทลายไปแล้ว หญ้าเสบียงของทัพใหญ่จำนวนสามแสนของชาวทูเจวี๋ยถูกเผาวอดวาย ครั้งนี้จึงเป็นการสู้โต้กลับครั้งสุดท้ายของชาวทูเจวี๋ย! เมื่อข่าวแพร่มา ทั้งกองทัพต่างตื่นเต้นยินดี ทุกคนต่างโห่ร้องกระโดดโลดเต้น แม้แต่คุณหนูสวีที่บาดเจ็บหนักก็ยังดีใจจนร้องไห้ขอรับ!” 


 


 


“คุณหนูสวีร้องไห้?!” หลินหว่านหรงพูดพึมพำกับตัวเอง ความรู้สึกอันสลับซับซ้อนในตอนนั้นของสวีจื่อฉิง บนโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจไปมากกว่าเขาอีกแล้ว  


 


 


สวี่เจิ้นส่งเสียงอืมพลางผงกศีรษะ “ชาวทูเจวี๋ยถอยออกไปร้อยลี้ หลายวันหลังจากนั้นพวกเราก็ได้ยินว่าบนทุ่งหญ้ามีโจรต้าหัวอยู่กลุ่มหนึ่งปล้นชิงดินแดนและขบวนพ่อค้าของชนเผ่านอกด่านไปทั่ว ซ้ำยังได้ยินชื่อภาษาทูเจวี๋ยแปลกประหลาดอีกชื่อหนึ่งด้วย คุณหนูสวีบอกว่านั่นก็คือท่านแม่ทัพ นางรู้ว่าท่านต้องการจะทำอะไร เพียงแต่ลำบากที่ปราศจากหนทางที่จะติดต่อกับท่านได้ขอรับ”  


 


 


“เช่นนั้นเจ้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าได้อย่างไร?!” หลินหว่านหรงถามเสียงทุ้มหนัก 


 


 


สีหน้าของสวี่เจิ้นตื่นเต้นขึ้นมา “ขณะที่พวกเราคิดไม่ออกอยู่นั้นเอง กลับมีผู้สูงส่งส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้คุณหนูสวี บนนั้นเขียนเพียงหกคำเท่านั้น คือ ‘ตัดช่องเขา เข้าทุ่งหญ้า’ สิ่งนี้เตือนสติกุนซือสวี ในเมื่อพวกของท่านแม่ทัพตัดผ่านเฮ่อหลานซาน เข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านได้ พวกเราก็ทำได้เช่นกัน วันรุ่งขึ้นกุนซือสวีจึงสั่งให้ข้านำพี่น้องจำนวนสิบกว่าคนมุ่งหน้าเรียบไปตามเส้นทางที่พวกของท่านแม่ทัพเบิกทางเอาไว้ จะว่าไปก็แปลก พอพวกเราเข้าสู่ช่องเขา หากมีเครื่องหมายนำทางอยู่ตลอด แม้เส้นทางจะลาดชัน แต่พวกเราก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าได้จริงๆ พอหันกลับไป สัญลักษณ์บอกทางนั้นกลับหายจนหมดสิ้นขอรับ” 


 


 


“ผู้สูงส่ง? สัญลักษณ์บอกทาง?!” หลินหว่านหรงฟังจนตาโตอ้าปากค้าง หรือว่าจะเป็นฝีมือพี่สาวอัน?! แต่ตอนที่ข้าฟันสังหารลาปู้หลี่ที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ นั่นเกิดจากการกระทำเยี่ยงผู้กล้าของพี่สาวอัน เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว นางติดตามอยู่ข้างกายข้ามาตลอด ต่อให้พี่สาวจิ้งจอกเป็นวิชาแยกร่าง ก็ไม่มีทางปรากฏตัวอยู่ที่เฮ่อหลานซานกับทุ่งหญ้าพร้อมกันกระมัง นี่ มันช่างอัศจรรย์เหลือเกินแล้ว! 


 


 


“เพียงแต่น่าเสียดาย ฝนห่าใหญ่เมื่อหลายวันก่อนทำให้เส้นทางภายในช่องเขาถล่ม หากคิดตัดผ่านเฮ่อหลานซานเข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้ง เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ” สวี่เจิ้นกล่าวโดยเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียดาย  


 


 


ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อพินาศไปแล้ว หากชนเผ่านอกด่านถอยกลับทุ่งหญ้า ทางเชื่อมอัศจรรย์สายนี้ก็จะสูญเสียความหมายด้านกลยุทธ์ที่มีอยู่เดิมเช่นกัน ทว่าหลินหว่านหรงกลับไม่รู้สึกเสียดายเท่าไหร่นัก เพียงแต่สวี่เจิ้นหาตำแหน่งในปัจจุบันของพวกเขาพบได้อย่างไร กลับเป็นสิ่งที่เขาทำให้เขาประหลาดใจ  


 


 


“หลังจากพวกเราเข้าสู่ทุ่งหญ้าก็ไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อก่อน จากนั้นจึงไปต๋าหลานจา เกือบปะเข้ากับทหารม้าของชนเผ่านอกด่านอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาสำคัญก็จะมีคนชี้ทางให้พวกเราขอรับ!” สวี่เจิ้นเอ่ย หยิบม้วนกระดาษขนาดเล็กแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้หลินหว่านหรง  


 


 


ม้วนกระดาษนั้นเป็นแผนที่ง่ายๆ แผ่นนึง ไม่ได้เขียนตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว เพียงวาดตำแหน่งของดินแดนหลายแห่งไว้อย่างละเอียดเท่านั้น เส้นทางที่เน้นหนักก็คือเส้นทางในการเดินทัพของหลินหว่านหรง ดินแดนใหม่ที่อยู่ใกล้ก็คือชื่อถ่าต่างจากพวกเขาไปสี่ร้อยกว่าลี้นั่นเอง 


 


 


เส้นทางคมชัด ลายพู่กันงดงาม คล้ายเป็นลายพู่กันของสตรี แต่เมื่อดูจากเส้นทางอันเรียบง่ายนี้แล้ว กลับไม่อาจตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ใดที่เขียน  


 


 


“พวกเราจึงเดินทางตามเส้นทางที่อยู่บนแผนที่นี้ ถูกผู้พี่น้องหน่วยลาดตระเวนหลายพบอยู่ข้างหน้า นี่ถึงได้ตามหาท่านแม่ทัพเจอขอรับ” สวี่เจิ้นถือว่าเล่าเรื่องการเดินทางตลอดเส้นทางให้ชัดเจนได้เสียที เขาพ่นลมหายใจออกมายาวๆ รับถุงน้ำที่หูปู้กุยส่งมาให้ สูดน้ำคำโตเสียงดังอึกๆ ลงไปหลายอึกด้วยความกระหาย 


 


 


หยาดฝนตกลงบนแผนที่ทีละหยด ส่งเสียงดังซ่าๆ เบาๆ หลินหว่านหรงจ้องมองกระดาษแผ่นนั้น ใจเต็มไปด้วยความสงสัย วาดแผนที่ที่มีเส้นทางละเอียดคมชัดเช่นนี้ออกมาได้ นั่นต้องเป็นผู้ที่รู้ร่องรอยการเดินทางของไพร่พลจำนวนห้าพันคนนี้อย่างยิ่ง ผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดย่อมต้องเป็นพี่สาวอัน เพียงแต่วันนี้เช้าตรู่พี่สาวนางจิ้งจอกเพิ่งจากไป แล้วไม่ได้หยิบยกถึงเรื่องนี้ ดังนั้นน่าจะไม่รู้เรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคำนวณจากระยะเวลาแล้ว หลายวันนี้พี่สาวอันตามอยู่ข้างกายข้ามาตลอด นางไม่มีเวลาไปนำทางให้สวี่เจิ้น 


 


 


สตรีที่ช่วยข้าเช่นนี้ ทั้งยังเร้นกายอยู่ข้างกายโดยไม่ทำให้ข้ารู้สึกตัว นับรวมแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คน เซียนเอ๋อร์ ชิงเสวียน พี่สาวอัน หนิงอวี่ซี ต่างมีความสามารถเช่นนี้ เพียงแต่สองคนแรกอยู่ไกลถึงเมืองหลวง ข้างหลังคนหนึ่งก็เพิ่งจะจากไป เช่นนั้นที่เหลือก็… 


 


 


“เป็นนางเซียนหนิง!” หลินหว่านหรงร้องเสียงดัง ตกใจจนกระเด็นขึ้นมา รีบทอดสายตามองรอบด้าน  

 

 


ตอนที่ 564 - 2 ราชครูทูเจวี๋ย

 

ท่ามกลางลมฝนอันรางเลือน ฟ้าดินมืดมน เหล่านายทหารมุ่งไปข้างหน้า ปราศจากความชักช้าแม้แต่น้อย ไหนเลยจะมองเห็นเงาร่างของนางเซียนหนิงได้ ความสับสนถูกขจัดไป เมื่อพิเคราะห์เส้นทางที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้นให้ถ้วนถี่ ยิ่งมองกลับยิ่งเหมือนเส้นคิ้วเรียวบางของหนิงอวี่ซี เหมือนดั่งนิสัยของนางเซียนหนิง หากนางลอบติดตามจริงก็จะยิ่งสงบนิ่งกว่า ไม่รู้ตัวยิ่งกว่าอันปี้หรู  


 


 


ที่แท้พี่สาวอันและนางเซียนหนิงกลับอยู่ข้างกายเรามาโดยตลอด หลินหว่านหรงรู้สึกเศร้าเสียใจและยินดีอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาทั้งสองข้างอดเปียกชื้นไม่ได้ มีสตรีผู้งดงามยวนเย้าหนึ่งธรรมะ หนึ่งอธรรมสองคนนี้เดินทางไกลอยู่เคียงข้าง หากเอ่ยถึงผู้ที่มีความสุขมากที่สุดในแผ่นดิน หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร?! 


 


 


ด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน เขาทอดสายตามองลมฝนรอบด้าน หวีดหวิวแผ่วเบา ชดช้อยงดงาม กลายเป็นเงาร่างอันน่าลุ่มหลงของหนิงอวี่ซีภายในชั่วพริบตา 


 


 


ครั้นเห็นเขามีสีหน้าเหม่อลอย คล้ายยินดีคล้ายโศกเศร้า เกาฉิวจึงรีบตบบ่าเขา “น้องหลิน เจ้าเป็นอะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงราวกลับตื่นขึ้นจากความฝัน ส่ายหน้าหัวเราะเสียงดังพร้อมตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าดีใจเกินไป มีข่าวของเฮ่อหลานซานกับคุณหนูสวี อีกทั้งยังได้พบสวี่เจิ้น ข้าจะไม่ดีใจได้หรือ?! พี่เกา พี่หู พวกเราต้องมีชีวิตรอดกลับมา ขะ…ข้าเชื่อมั่นอย่างไม่ต้องสงสัย!”  


 


 


เมื่อได้รับข่าวจากเฮ่อหลานซาน ย่อมทำให้คนตื่นเต้นยินดี แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นตื่นเต้นขนาดนี้นี่นา เกาฉิวกับเหล่าหูต่างมองหน้ากัน รู้สึกว่าเหมือนแม่ทัพหลินยังปิดบังข่าวดีอะไรอย่างอื่นไว้อีก 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งครับ” เสียงของหูปู้กุยหยุดชะงัก ขมวดคิ้วขึ้นมา “หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ากลับมาแล้ว เป็นอย่างที่ท่านคาดเดาไว้จริงๆ กองทัพผสมระหว่างเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินเมื่อมาถึงต๋าหลานจา เมื่อไม่พบร่องรอยของพวกเราก็เดินทางย้อนกลับอย่างรวดเร็ว ที่เดินทางมาพร้อมพวกมันยังมีทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นนายที่ถูกพวกเราใช้แผนการหลอกไปที่อู่หยวนก่อนหน้านี้ด้วยขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อเรียบๆ คราหนึ่ง หัวเราะพร้อมทั้งพูดว่า “พวกมันรวมกำลังกันแล้ว? พูดเช่นนี้ เจ้าชนเผ่านอกด่านที่ย้อนกลับมานี่ไม่ใช่ว่าจะมีถึงสามหมื่นคนเลยหรือ?!” 


 


 


หูปู้กุยส่งเสียงอืม ตอบด้วยความกังวลใจ “หลายทัพพอนับรวมกันก็มีไม่ต่ำกว่าสามหมื่นคน! ความเร็วในการเดินทัพรวดเร็วยิ่งนัก บวกกับอากาศปลอดโปร่ง พวกมันวิ่งห้อตะบึง ตอนนี้อยู่ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินแค่สองร้อยกว่าลี้แล้วขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มมั่นใจ “สามหมื่นคนก็สามหมื่นคนเถอะ พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้ชนกับพวกมัน สามหมื่นก็ไม่ต่างจากสามพัน เช่นนั้นก็ให้พวกเรามาลองแข่งกำลังฝีเท้ากับชนเผ่านอกด่านกันเถอะ เสี่ยวสวี่ เจ้ากับพี่น้องจำนวนสิบกว่าคนนี้มาได้จังหวะเหมาะพอดี คราวนี้พวกเราจะทำงานครั้งใหญ่ ถ่ายทอดคำสั่งลงไป เป้าหมายคือฮาเอ่อร์เหอหลิน มุ่งหน้าเต็มกำลัง” 


 


 


ข่าวการมาถึงของสวี่เจิ้นแพร่ไปทั่วกองทัพอย่างรวดเร็ว คำสาบานที่เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้ม ดังก้องอยู่ข้างใบหูทุกคนราวกับสายลม ทำให้เหล่าผู้กล้าที่ล้วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า ทัพเดี่ยวซึ่งต่อสู้อย่างแข็งขันนี้มีน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื้นตันภายในชั่วพริบตา นี่เป็นความรู้สึกของสายโลหิตเชื่อมประสานที่ไม่ได้ผ่านพบมานานอย่างหนึ่ง  


 


 


ฝนตกลมแรงไม่หยุด ถึงกระนั้นกลับไม่อาบราดรดดับความร้อนแรงของเรานายทหารผู้เ**้ยมหาญดั่งพยัคฆ์และหมาป่าชาวต้าหัวได้ พวกเขาระเบิดพลังที่มีอยู่ทั้งหมด วิ่งห้อตะบึงอย่างเต็มที่ รอยยิ้มด้วยความยินดีปรีดาปรากฏอยู่บนหน้าของคนทุกคน ฝนตกห่าใหญ่นี้เหมือนกลายเป็นน้ำชำระล้างที่ดีที่สุดของพวกเขา 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยคล้ายสัมผัสอะไรได้ พวกมันเดินทางกลับมาอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักแม้แต่เสี้ยววินาที แข่งขันของทั้งสองฝ่ายกลายเป็นการสู้แลกกันระหว่างระยะทางและความอดทน 


 


 


เมื่อข่าวเรื่องชนเผ่านอกด่านยังอยู่ห่างจากพวกเขาอีกสองร้อยลี้มาถึง ทหารม้าต้าหัวห้าพันนายก็ปรากฏตัวอยู่รอบนอกฮาเอ่อร์เหอหลินอย่างเงียบงัน ด้วยไอสังหารเดือดพล่านแล้ว 


 


 


ใต้ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดินแดนทูเจวี๋ยขนาดมหึมาเหมือนดั่งร่มคันใหญ่ที่เชื่อมจรดผืนฟ้า กระโจมจำนวนนับไม่ถ้วนดูซีดขาวไร้กำลังภายใต้ลมฝนอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่รอคอยพวกมันอยู่ก็คือกีบเท้าม้าอันร้อนระอุของทหารต้าหัว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ลงมือเถอะขอรับ” สวี่เจิ้นซึ่งได้พบกับหลินหว่านหรงเมื่อครู่ บนใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยไอสังหารพลุ่งพล่าน สำหรับเขา การเผาปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ การโจมตีต๋าหลานจาอย่างพิสดาร ล้วนเป็นแค่ตำนานที่แม่ทัพหลินสร้างขึ้นมา การประมือกับชนเผ่านอกด่านบนทุ่งหญ้าภายในรังของชาวทูเจวี๋ยอย่างแท้จริงนั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกของเขา ศึกนองเลือดที่เฮ่อหลานซานเห็นกับตาอย่างชัดเจน ดวงตาของเขาสาดเปลวเพลิงอันร้อนแรง ขอให้หลินหว่านหรงออกรบด้วยใบหน้าที่มีเส้นเอ็นปูดโปน  


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย เบิกดวงตากว้าง สายตากวาดผ่านชายฉกรรจ์ห้าพันคนซึ่งยืนเรียงรายตั้งแต่งานเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า “พี่น้องทั้งหลาย…พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่?!” 


 


 


“เฮ! เฮ!” เสียงร้องคำรามของเหล่านายทหารตัดทะลุผ่านลมฝนที่ค่อยๆ หยุดลง พวยพุ่งไปสู่ท้องนภา 


 


 


หลินหว่านหรงสะบัดมือทั้งสองข้าง เสียงร้องคำรามอย่างพร้อมเพรียงกันนั้นก็หยุดลง 


 


 


“ดินแดนเล็กๆ เช่นฮาเอ่อร์เหอหลินนี้ ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของพวกเรา เพียงแต่กลับเป็นเส้นทางที่พวกเราจะต้องผ่าน ข้ามีคำขอเพียงแค่อย่างเดียว หวังว่าดาบศึกของพวกเจ้าจะเร็ว แม่น เ**้ยม ใช้กีบเท้าม้าอันไร้พ่ายของพวกเจ้าเหยียบย่ำผ่านกระโจมของชาวทูเจวี๋ย พวกเราจะไม่หยุด แต่ความเจ็บปวดรวดร้าวจะประทับอยู่ในใจของชนเผ่านอกด่านตลอดกาล!” 


 


 


เสียงกระจ่างชัดของเขาลอยล่องออกไปไกล ดังก้องอยู่ข้างใบหูของเหล่านายทหาร 


 


 


“จุดคบเพลิง!” เสียงตะโกนดังลั่นของหูปู้กุยตัดผ่านชั้นเมฆา เสียงดังพรึบคราหนึ่ง ที่จุดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้นพร้อมกัน เปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกโชติช่วงชัชวาล ส่องสว่างไปครึ่งท้องฟ้าภายในชั่วพริบตา ใบหน้าอันตื่นเต้นของเหล่านายทหารถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำ 


 


 


แสงสว่างที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนนี้เหมือนสายอสนีบาตที่สว่างวาบผ่านท้องฟ้า รวดเร็วจนทำให้ชาวทูเจวี๋ยซึ่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ในกระโจมตกใจจนตื่น พวกมันพุ่งออกมานอกกระโจมด้วยดวงตางัวเงีย จากนั้นก็มองเห็นภาพที่ยากลืมเลือนไปตราบจนชั่วชีวิต 


 


 


คบเพลิงส่องท้องฟ้าจนสว่าง ใบหน้าเย็นชาเ**้ยมโหดอำมหิตจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ใกล้แค่คืบ ใบหน้าพวกเขาปราศจากความรู้สึก สิ่งที่กำลังเดือดพล่านเพียงสิ่งเดียวนั้นก็คือเปลวเพลิงอันโชติช่วงภายในดวงตาพวกเขา 


 


 


“ชาวต้าหัวมาแล้ว!” ไม่รู้ว่าเสียงร้องตะโกนโหยหวนเริ่มดังมาจากที่ใด ทำให้ชาวทูเจวี๋ยตกใจตื่นทันที พวกมันหันหน้าวิ่งกลับไปราวกับเสียสติ มุ่งไปทางคอกม้า 


 


 


“เพื่อพี่น้องที่ตายไปที่เฮ่อหลานซาน ฆ่า!” เสียงร้องคำรามของสวี่เจิ้นกรีดผ่านท้องฟ้า อาชาพ่วงพีที่วิ่งห้อตะบึงจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นเมฆดำเคลื่อนที่บุกไปยังฮาเอ่อร์เหอหลิน ภายในชั่วพริบตา ชาวทูเจวี๋ยที่ลุกขึ้นมารับข้าศึกอย่างรีบร้อนลนลานเปลือยร่างท่อนบนอันแข็งแรงกำยำ ไม่ทันได้พกคันธนูก็กวาดแกว่งดาบใหญ่ไปยังทหารชั้นยอดของต้าหัวที่บุกเข้ามาเป็นชั้นๆ ราวกับเมฆดำ 


 


 


เมื่อสวี่เจิ้นยกดาบในมือขึ้นฟัน ก็มีหัวคนที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตปลิวหมุนขึ้นกลางอากาศหัวหนึ่ง กระแทกใบหน้าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ด้านข้างพอดี ท่วงท่าอันไร้พ่ายของเขานี้ แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเข่นฆ่าสังหารจนเคยชินก็ยังต้องหนาวสั่น ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดาบทวนอันเย็นเฉียบของชาวต้าหัวก็แทงเข้าร่างของพวกมันไปแล้ว 


 


 


นี่เป็นการรบโดยปราศจากข้อกังขา กำลังของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย กีบม้าเหยียบย่ำผ่านกระโจมสีขาว สะเก็ดโลหิตสีแดงสดจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานอยู่บนผืนผ้าสีขาว เหล่านายทหารรู้แก่ใจดีว่าเวลามีจำกัด นำ ‘เร็ว แม่น เ**้ยม’ สามคำนั้นมาใช้จนถึงขีดสุด กระโจมของชนเผ่านอกด่านซึ่งเชื่อมต่อกันจรดขอบฟ้าตกอยู่ท่ามกลางแสงเพลิง 


 


 


“เรียนท่านแม่ทัพ จู่ๆ ชนเผ่านอกด่านก็เพิ่มความเร็วขึ้น ขบวนที่อยู่ข้างหน้าสุดของพวกมันตอนนี้อยู่ห่างจากพวกเราหนึ่งร้อยเจ็ดสิบลี้ขอรับ!” ฮาเอ่อร์เหอหลินกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว รายงานจากหน่วยลาดตระเวนส่วนหน้าดังก้องอยู่ข้างใบหู หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ส่งสัญญาณมือให้หูปู้กุย 


 


 


เหล่าหูทะยานม้าออกไป กวัดแกว่งดาบศึก “ทุกคนฟังบัญชา เป้าหมายคือเอ๋อจี้น่า ออกเดินทาง!” 


 


 


คำวิจารณ์ของอวี้เจียค่อนข้างแม่นยำ ทหารม้าต้าหัวตอนนี้ก็คือกลุ่มโจรบนทุ่งหญ้า ปล้นสะดมดินแดนหนึ่งเสร็จก็มุ่งไปยังเป้าหมายต่อไป ไม่มีใครขัดขวางความเร็วประดุจสายลมของพวกเขาได้ 


 


 


ดินแดนเอ๋อจี้น่าอยู่ติดอี้อู๋ เป็นเส้นทางที่ต้องเดินทางผ่านที่เชื่อมกับทะเลแห่งความตายหลัวปู้ปั๋ว ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ ชาวทูเจวี๋ยที่ถูกกระตุ้นโทสะ เพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางจนทำให้คนยากจะเชื่อได้ พวกมันอยู่ห่างออกไปอีกสองร้อยลี้ แยกออกเป็นสองสายโดยทันที สายหนึ่งไปยังฮาเอ่อร์เหอหลิน ส่วนอีกสายหนึ่งก็รีบหลุดมายังเอ๋อจี้น่าซึ่งยังไม่ถูกโจมตีอย่างเอาเป็นเอาตาย 


 


 


เมื่อทหารห้าพันนายยืนอยู่เบื้องหน้าดินแดนเอ๋อจี้น่า หูปู้กุยก็เข้ามารายงานข่าวล่าสุดของชาวทูเจวี๋ย “ท่านแม่ทัพ ชนเผ่านอกด่านอยู่ห่างจากพวกเราแค่หกสิบลี้” 


 


 


ฮาเอ่อร์เหอหลินที่ห่างออกไปร้อยลี้ฝนตกฟ้าคะนอง แต่เอ๋อจี้น่านี้กลับสดชื่นสะอาดหมดจด กระทั่งว่ายังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กน้อยอีกด้วย ได้ยินเสียงคำรามของทะเลทรายอยู่ไกลๆ 


 


 


เมื่อทอดสายตามองออกไป อี้อู๋ซึ่งอยู่เชื่อมต่อกับเอ๋อจี้น่า ครึ่งหนึ่งคือทุ่งหญ้าเขียวขจี ส่วนอีกครึ่งหนึ่งกลับเป็นทรายสีเงินราวกับหิมะอันไร้ขอบเขต สีเขียวและสีขาวเปล่งประกายเย็นเฉียบภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง เอ๋อจี้น่า อี้อู๋ เชื่อมต่อกับทะเลแห่งความตายหลัวปู่ปั๋ว พันปีมานี้เล่าขานกันว่ายังไม่มีผู้ใดที่มีชีวิตรอดเดินออกจากทะเลแห่งความตายได้เลย แม้ว่าจะเป็นชาวทูเจวี๋ยผู้โหดเ**้ยมทารุณก็ไม่กล้าเข้าสู่ทะเลแห่งความตายที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนี้เช่นกัน สวนเอ๋อจี้น่าก็คือดินแดนที่อยู่ติดทะเลทรายมากที่สุด และเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างหลัวปู้ปั๋วกลับทุ่งหญ้า 

 

 


ตอนที่ 564 - 3 ราชครูทูเจวี๋ย

 

ภายในกระโจมของเอ๋อจี้น่ามีชาวทูเจวี๋ยที่ตื่นตระหนกลนลานเบียดกันแน่น เมื่อเผชิญกับชาวต้าหัวที่เหมือนกับร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า หลายคนไม่กล้าแม้กระทั่งเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อยืนยันให้มั่นใจนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายพวกมันถึงเชื่อ ชาวต้าหัวบุกฆ่ามาแล้วจริงๆ ด้านหนึ่งคือทะเลแห่งความตาย อีกด้านหนึ่งคือทหารม้าต้าหัว นี่คือเงื่อนตายที่ไม่อาจปลดได้ตลอดกาล ภายในดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง 


 


 


มีที่พำนักเป็นทะเลทราย ชาวทูเจวี๋ยรู้ความร้ายกาจของทะเลทรายอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับแสนยานุภาพของทะเลแห่งความตายแล้ว พวกมันยอมไปเผชิญหน้ากับชาวต้าหัวที่เต็มไปด้วยความแค้น 


 


 


“ผืนทรายแห่งทะเลทรายดั่งหิมะ จันทร์เสี้ยวแห่งเยียนซานดั่งขอเบ็ด!” ทอดสายตามองไปยังทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา หลินหว่านหรงร่ายออกมาเบาๆ ประโยคหนึ่ง คล้ายมองไม่เห็นเอ๋อจี้น่าที่อยู่ตรงหน้า 


 


 


หูปู้กุยรู้สึกร้อนใจอยู่บ้าง เอ่ยปากอย่างระแวดระวัง “ท่านแม่ทัพ ชนเผ่านอกด่านอยู่ห่างจากพวกเราแค่หกสิบลี้นะขอรับ!” 


 


 


หกสิบลี้ ต่อให้ชนเผ่านอกด่านบินมา ต้องมีครึ่งชั่วยามถึงจะมาถึง ส่วนครึ่งชั่วยามนี้น่าจะทำอะไรได้มากมาย! หลินหว่านหรงยิ้มพร้อมชูขึ้นมาหลายนิ้ว“พี่หู ให้เวลาท่านสามป้านน้ำชา พอหรือไม่?!” 


 


 


ช่วงเวลาหลายป้านน้ำชา จะว่าน้อยก็น้อย เพียงแต่เมื่อเผชิญกับการฝึกที่ล้มเพียงฝ่ายเดียวโดยสิ้นเชิงนี้ หูปู้กุยกลับหาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้ เขาหัวเราะเสียงดัง ควบม้าบุกไปข้างหน้า นายทหารตามติดอยู่ข้างหลัง บุกเข้าไปในเอ๋อจี้น่า 


 


 


เช่นเดียวกับฮาเอ่อร์เหอหลิน ชายฉกรรจ์ของเอ๋อจี้น่าถูกเอาไปจนหมดสิ้น เหลือชายฉกรรจ์อยู่แค่ไม่กี่ร้อยคน ยังไม่พอให้ทหารม้าต้าหัวแคะซอกฟันเสียด้วยซ้ำ ท่ามกลางประกายโลหิตตลอดทาง กลับเป็นอย่างที่หลินหว่านหรงพูดเอาไว้ เวลาแค่ไม่กี่ป้านน้ำชา ธงหมาป่าของทูเจวี๋ยก็ค่อยๆ ร่วงหล่นลงใต้เท้าอย่างแช่มช้า 


 


 


เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน เป็นดินแดนขนาดใหญ่สองดินแดนที่มีอยู่น้อยของทูเจวี๋ย เป็นแหล่งเสบียงอันอุดมสมบูรณ์ ไม่รอให้หลินหว่านหรงออกคำสั่ง เหล่านายทหารก็เติมน้ำเติมหญ้า ผลัดเปลี่ยนม้าศึก เตรียมการเข้าสู่ทะเลทรายเป็นขั้นตอนสุดท้าย 


 


 


หูปู้กุยมัดอาหารแห้งและถุงน้ำอยู่เต็มตัว เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางผึ่งผาย หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “แม่ทัพหลิน พวกเราเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทัพใหญ่จะเข้าสู่ทะเลทรายเมื่อไหร่ขอรับ?!” 


 


 


เหล่าหูกลับเป็นคนใจร้อน นี่เป็นการเข้าสู่ทะเลทรายไม่ใช่ไปคำนับฟ้าดิน จะรีบร้อนแบบนั้นไปทำไมกัน? หลินหว่านหรงหัวเราะ “ไม่ต้องร้อนใจไป ชนเผ่านอกด่านยังไม่ได้เสพสุขกับอาหารเย็นมื้อสุดท้ายเลย”  


 


 


“อาหารเย็นมื้อสุดท้ายอะไรหรือขอรับ?!” หูปู้กุยมองเขาด้วยความกังขา 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่หู ข้าให้ท่านรวบรวมน้ำมันสนที่เหลืออยู่ในเอ๋อจี้น่ามาทั้งหมด คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?!” 


 


 


“นอกจากเก็บไว้ให้พวกเราใช้จำนวนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็รวบรวมมาจนหมดแล้วขอรับ” หูปู้กุยผงกศีรษะ จากนั้นก็มองเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง “แม่ทัพหลิน ท่านไม่ให้พวกเราเผากระโจม ทั้งยังเอาน้ำมันสนมาตั้งมากมายขนาดนี้ หรือว่าจะผิงไฟขอรับ?!” 


 


 


“ผิงไฟจริงๆ เพียงแต่ให้ชนเผ่านอกด่านมันผิงไฟนะ” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “พี่หู ท่านไปหาพี่น้องมาสักหลายร้อยคน เอาน้ำมันสนพวกนี้สาดลงบนกระโจมของชนเผ่านอกด่าน จำเอาไว้ว่าแต่ละกระโจมอย่างน้อยก็ต้องราดน้ำมันไปสักจำนวนหนึ่ง ระหว่างกระโจมให้ปูหญ้าแห้ง จากนั้นค่อยสาดน้ำมันอีกครั้งหนึ่ง พวกเราจะเล่นเผาค่ายกับชนเผ่านอกด่าน!”  


 


 


ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง หูปู้กุยร้องอ้อ ใกล้เข้าสู่ทะเลทรายแล้วยังไม่ลืมสร้างความคับแค้นใจให้ชนเผ่านอกด่านอีก น้องหลินช่างเป็นยอดคนเสียจริงนะ 


 


 


แสงจันทร์เย็นเยียบสาดส่องทุ่งหญ้าและทะเลทราย ขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลร้านบังเกิดหมอกควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา เสียงดังครืนๆ เสียงฝีเท้าม้าหนักทึบดังอสนีบาตยามวสันต์เข้าสู่ใบหู พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาโดยพลัน ยังอยู่ห่างไปอีกหลายสิบปีลี้ก็มีขนาดและพลังขนาดนี้แล้ว ทหารม้าของชนเผ่านอกด่านช่างสมคำร่ำลือ 


 


 


หูปู้กุยตั้งสติฟังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ชนเผ่านอกด่านช่างให้เกียรติพวกเราแล้วนะขอรับ ดูจากท่าทางการเคลื่อนไหวนี้ เกรงว่าคงมีทหารมาไม่ต่ำกว่า สองหมื่นนายแน่” 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ใช่พวกมันให้เกียรติเรา แต่เป็นเพราะหลังจากสูญเสียฮาเอ่อร์เหอหลิน พวกมันก็วิเคราะห์ออกว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเราต้องเป็นเอ๋อจี้น่าที่อยู่ติดกัน ดังนั้นถึงรวบรวมกำลังหนักไล่ตามมาทางนี้ ในหมู่ชาวทูเจวี๋ย มีผู้สูงส่งอยู่จริงด้วย” 


 


 


เขาโบกมืออย่างแรง ทหารห้าพันนายพลิกตัวขึ้นม้า จัดระเบียบถุงเสบียงและอาหารแห้งที่อยู่บนร่าง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย  


 


 


เพิ่งเข้าใกล้ทะเลทรายก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแฝงลมอันแปลกประหลาดดังวูบวาบอยู่ข้างใบหู ทุกคนหดคอลงไปโดยไม่รู้ตัว ฝังใบหน้าอยู่ในเสื้อ 


 


 


เสียงลมทะเลทรายเย็นเหยียบพัดผ่านไปหลายครั้ง ตีกระทบปากและใบหน้าของหลินหว่านหรง เขารีบถุยๆ ออกมาสองครั้ง กล่าวยังมีน้ำโหว่า “สาวแห่งทะเลทรายนี้ยังไม่ทันบ้วนปากกลับกล้ามาจูบข้าแล้ว! ช่างไร้เหตุผลเสียเหลือเกิน!” ทุกคนหัวเราะเสียงดัง บรรยากาศอันกดดันก่อนเข้าใกล้ทะเลแห่งความตายนั้นพลันผ่อนคลายลงไปมาก  


 


 


ยืนนิ่งอยู่ริมขอบทะเลทราย หลินหว่านหรงโบกมือไปทางเหล่าเกา “สวี่เจิ้น พี่เกา สองคนพาพี่น้องเข้าทะเลทรายทันที…” 


 


 


พวกของสวี่เจิ้นตกใจพร้อมกัน “แล้วท่านล่ะ?!”  


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ข้ากับพี่หูคุมหลัง จะเล่นการละเล่นเผาค่ายกับชนเผ่านอกด่านพรุ่งนี้เสียหน่อย” 


 


 


เผาค่าย? แม้พวกเขาสองคนจะไม่รู้ว่าหลินหว่านหรงกำลังพูดอะไรอยู่ แต่เมื่อร่วมเป็นร่วมตายกันมานานมากขนาดนี้ จึงสร้างความเชื่อใจอันไร้ขอบเขตขึ้นมาตั้งแต่แรก 


 


 


สวี่เจิ้นส่งเสียงอืมคราหนึ่งอย่างแน่วแน่ ประสานมือคารวะ “ข้าน้อยรับบัญชา!” เขาหักหัวม้า โบกมือเล็กน้อย ทหารห้าพันนายจึงเหยียบย่ำเข้าไปในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนั้นราวกับฝูงปลาที่กรูกันเข้าไป 


 


 


ความเชื่อใจซึ่งเกิดจากการร่วมเป็นร่วมตายกันมาทำให้คนซาบซึ้งใจมากที่สุด เมื่อเห็นทหารห้าพันนายเชื่อใจตนมากขนาดนี้ หลินหว่านหรงจึงกำหมัดแน่น ร้องคำรามเสียงต่ำสองครั้ง สร้างพลังให้ตัวเอง 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ชนเผ่านอกด่านมาแล้ว!” หูปู้กุยโบกมือชี้ ท่ามกลางฝุ่นดินที่ลอยฟุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า ธงหมาป่าหลายสิบธงยกขึ้นสูงพลิ้วไสว ทหารม้าชนเผ่านอกด่านดำทะมึนก่อให้เกิดฝุ่นดินอันไร้ขอบเขตราวกับลมสลาตัน ตัดผ่านกระโจมของเอ๋อจี้น่า มุ่งตรงมายังชายขอบทะเลทราย 


 


 


เป็นเช่นที่หูปู้กุยว่าเอาไว้จริง ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้ามีไม่ต่ำกว่าสองหมื่น ขบวนนำหน้าของพวกมันตัดผ่านกระโจมของอ๋อจี้น่า ทหารม้าที่ติดตามอยู่ข้างหลังกลับยังรอคอยอยู่นอกกระโจมเพื่อรอคอยการบุก ทิวแถวเหยียดยาว ทอดสายตามองออกไปมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่เป็นผู้นำผู้นั้น เมื่อมุ่งหน้ามาแล้วยังอยู่ห่างจากขอบทะเลทรายอีกหลายร้อยจั้ง ทันใดนั้นก็ออกแรงโบกมือ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังเขายืนตรงพร้อมเพรียงกัน ทั่วทั้งสนามรบนอกจากเสียงลมหายใจฟืดฟาดของม้าศึกแล้ว กลับไม่มีเสียงสิ่งอื่นใดอีก เงียบสงัดยิ่งนัก 


 


 


ณ สถานที่อันห่างไกล บริเวณรอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย มีม้าศึกยืนสงบนิ่งอยู่สองตัว ชาวต้าหัวนั่งสง่างามอยู่บนหลังม้าสองคน คนหนึ่งมือถือดาบ คนหนึ่งถือคันธนู ล้วนหน้าดำผิวเหลือง ท่าทางเย็นชา 


 


 


“ฮี้!” จู่ๆ ม้าศึกของชาวต้าหัวก็แหงนหน้ากู่ร้อง เชิดหัวกระโดด คนผู้นั้นจับบังเ**ยนแน่น ขยับขึ้นลงตามม้า แสงจันทร์ตกกระทบลงต่ำ ราวกับตกลงบนแผ่นหลังของเขาพอดี ลมทะเลทรายคละคลุ้งพัดเสื้อคลุมตัวยาวกับผมเขาให้ปลิวขึ้น ฝุ่นทรายคละคลุ้งตกกระทบแผ่นหลังและใบหน้าเขา อ้างว้างเย็นชา กลับมีไอสังหารอย่างยากจะบรรยายได้อย่างหนึ่ง 


 


 


“หลินซานแห่งต้าหัวอยู่ที่นี่แล้ว ใครกล้ามาสู้กับข้าบ้าง?!” ชาวต้าหัวหน้าดำผู้นั้นคำรามเสียงดัง เสียงตัดทะลุผ่านทุ่งหญ้าและทะเลทราย ด้วยใบหน้าและดวงตาอันเย็นชา เปรียบดังเทพสังหารสีนิลซึ่งอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์สุกสกาว ทำให้คนเห็นแล้วบังเกิดความหวาดกลัว 


 


 


เสียงของเขาพุ่งตรงออกไปไกล ชนเผ่านอกด่านที่ตามมายังคงกรุตัดผ่านกระโจมของเอ๋อจี้น่าอย่างเอาเป็นเอาตาย สองฝ่ายที่ประจำกันอยู่ข้างหน้ากลับเงียบสงัด 


 


 


ชนเผ่านอกด่านพี่เป็นหัวหน้าค่อยๆ ถอดหมวกเกราะ เคยเห็นเบ้าตาลึก กระดูกกรามที่ปูดโปนขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มสาดกะพริบเล็กน้อย เขาประสานมือคารวะให้หลินหว่านหรงอยู่ไกลๆ พูดตะโกนด้วยสำเนียงต้าหัวที่แข็งกระด้างอยู่บ้าง “ใต้เท้าหลิน ไม่ได้พบกันนาน! ลู่ตงจ้านอยู่ที่นี่ ยินดีต้อนรับการมาเยือนทุ่งหญ้าของใต้เท้า!” 


 


 


เป็นลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ยจริงด้วย! มันกลับย้อนกลับมาที่ทุ่งหญ้าจากอู่หยวน มิน่าถึงได้มีสติปัญญาวางแผนเช่นนี้! 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ประสานมือคารวะ “คนแซ่หลินมีคุณธรรมและความสามารถอันใด กลับต้องรบกวนใต้เท้าราชครูให้ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง น่าละอายๆ! ไม่ได้พบกันนาน พี่ลู่ดูคึกคักกว่าแต่ก่อน ช่างน่ายินดีเสียจริง!” 


 


 


ลู่ตงจ้านควบม้าขึ้นมาข้างหน้า ทอดสายตามองหลินหว่านหรง ชูนิ้วโป้งแล้วกล่าวด้วยความจริงใจ “ใต้เท้าหลิน ท่านเข้าสู่ทุ่งหญ้า ตัดแหล่งเสบียงที่มอบชีวิตให้กับทูเจวี๋ยของข้า ช่วยให้เฮ่อหลานซานพ้นจากอันตราย เมื่อพูดจากมุมมองของศัตรู ข้าควรแค้นท่าน แต่หากพูดจากการวางแผนการและความกล้าหาญ ท่านคือชาวต้าหัวที่ฉลาดมากที่สุด และยิ่งเป็นผู้ที่ข้าลู่ตงจ้านนับถือมากที่สุด!  

 

 


ตอนที่ 565 “ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้”

 

เจ้าลู่ตงจ้านคนนี้ ฉลาดหลักแหลมจริงด้วย หากไม่ใช่ว่าสองแคว้นรบพุ่งกันแล้วล่ะก็ การคบหาเป็นสหายกันกลับเหมาะสมยิ่งนัก หลินหว่านหรงหัวเราะอย่างห้าวหาญ พูดเสียงดังขึ้นมาว่า “พี่ลู่กล่าวชมเชยไปแล้ว พูดกันตามความจริง ในบรรดาชาวทูเจวี๋ยผู้ที่ข้าชื่นชมมากที่สุดก็คือพี่ลู่ หากไม่ใช่ว่าทำสงครามกัน พวกเรามาร่วมดื่มสุราสังสรรค์นั่นถือเป็นเรื่องที่มีความสุขอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง” 


 


 


“ใต้เท้าหลิน คำพูดของท่านประโยคนี้ทำให้ลู่ตงจ้านภาคภูมิใจยิ่งนัก!” ใบหน้าของราชครูทูเจวี๋ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและความยินดี “หากต้องการดื่มสุราสังสรรค์ ลู่ตงจ้านย่อมอยู่เป็นเพื่อนแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยังจะมอบความตื่นเต้นนอกเหนือความคาดหมายให้ท่านอีกด้วย! เพียงแต่ตอนนี้ใต้เท้าถอยกลับออกมาจากชายขอบทะเลทรายแห่งความตายก่อนจะดีกว่า ที่นั่นคือสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่ผู้กล้าทูเจวี๋ยที่กล้าหาญชาญชัยมากที่สุดก็ยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไป! ลู่ตงจ้านไม่อยากให้ผู้ที่ตนเองนับถือมากที่สุดต้องฝังร่างอยู่ในทะเลแห่งความตาย”  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ความหมายของพี่ลู่ก็คือให้ข้าถอยกลับออกมาจากทะเลแห่งความตาย จากนั้นก็รอให้ท่านมาจับตัวข้า? นี่คิดคำนวณได้ไม่เลวเชียวนะ!”  


 


 


ลู่ตงจ้านรีบส่ายศีรษะ “ข้าจะจับตัวท่านได้อย่างไร ใต้เท้าเข้าใจผิดไปแล้ว ท่านคือผู้ที่ฉลาดเฉลียวมากที่สุดของต้าหัว ในกลุ่มชาวทูเจวี๋ยของพวกเราก็ไม่อาจหาผู้ที่เหนือกว่าท่านได้ พวกเราชาวทูเจวี๋ย สิ่งที่นับถือมากที่สุดก็คือผู้แข็งแกร่งกับผู้กล้า ท่านใช้ปฏิภาณไหวพริบ ความกล้าหาญ สติปัญญาและความสามารถของท่านพิสูจน์ความเป็นผู้กล้าอันแท้จริงของท่านไปแล้ว ขอเพียงท่านยินดีกลับออกมาจากชายขอบของทะเลแห่งความตาย ลู่ตงจ้านขอรับรองต่อท่านว่าทูเจวี๋ยเราจะดูแลท่านตามขนบธรรมเนียมของบ้านเมือง ท่านต้องการตำแหน่งขุนนางอันใด ท่านข่านผีเจียต้องประทานให้ท่านอย่างแน่นอน!” 


 


 


ตำแหน่งขุนนางอันใดก็ประทานให้ได้? ชาวทูเจวี๋ยให้ความสำคัญข้ามากจริงนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “พี่ลู่ ข้าดำรงตำแหน่งขุนนางอะไรก็ได้จริงหรือ?!” 


 


 


เมื่อเห็นเขาคล้ายบังเกิดความหวั่นไหว ลู่ตงจ้านจึงรีบผงกศีรษะด้วยความยินดี “ตำแหน่งอันใดก็ได้ ใต้เท้าโปรดเลือกมา!”  


 


 


“พูดเช่นนี้หากข้าอยากเป็นท่านข่านทูเจวี๋ยของพวกท่าน อย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา?!” หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะร่วน 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ แต่ละคนต่างมองเขาด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว ด่าทอเสียงดังเซ็งแซ่ไม่หยุด  


 


 


ลู่ตงจ้านโบกมือด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ใต้บังคับบัญชา “ใต้เท้ากล่าวล้อเล่นแล้ว ตำแหน่งที่ต่ำกว่าท่านข่านลงไป ใต้เท้าเลือกได้ทั้งสิ้น” 


 


 


หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น โบกมือแล้วตอบว่า “นี่ก็ไม่น่าสนใจแล้ว พี่ลู่ ท่านก็รู้สถานการณ์ของข้าที่ต้าหัว เมียทั้งสองของข้าคือองค์หญิง ท่านพ่อตาคือโอรสสวรรค์ในรัชกาลปัจจุบัน ขอเพียงข้ายินดี ใต้เท้าเช่นข้านี้ก็เดินกร่างในราชสำนักต้าหัวได้แล้ว ไหนเลยจะต้องให้ชาวทูเจวี๋ยมาควบคุมด้วยเล่า? หากท่านมีความจริงใจสักหน่อยก็ให้ข้าเป็นท่านข่าน ใต้เท้าเช่นข้ายังจะพอพิจารณาอยู่บ้าง ฮิฮิ” 


 


 


สมกับเป็นชาวต้าหัวที่คิดเพ้อเจ้อเสียจริง รังแกกันเกินไปแล้ว! ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังลู่ตงจ้านร้องโวยวายเสียงดัง เดือดดาลจนยากจะสะกดกลั้น ราชครูทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด พูดเสียงดังว่า “ใต้เท้าหลิน สิ่งที่ท่านพูดมานี้ลู่ตงจ้านไม่อาจตัดสินใจได้ สิ่งเดียวที่ข้ารับรองได้ก็คือ ขอเพียงท่านมีความสามารถปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้นก็เป็นได้!”  


 


 


“เช่นนั้นก็หมายความว่าตอนนี้ข้าเป็นท่านข่านไม่ได้?!” หลินหว่านหรงส่ายศีรษะถอนหายใจ “น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ! พี่ลู่ ดูท่าว่าพวกเราคงได้แต่พบกันบนสนามรบเท่านั้นแล้ว!” ชาวต้าหัวชูดาบเหล็กที่อยู่ในมือด้วยความแข็งขัน สีหน้าหนักแน่นปรากฏให้เห็นเด่นชัด 


 


 


ลู่ตงจ้านเห็นอยู่ในสายตา มันส่ายศีรษะเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “ใต้เท้า เหตุใดต้องทำเช่นนี้?! ข้างหลังท่านก็คือทะเลแห่งความตายที่ไปแล้วไม่มีวันหวนกลับ ส่วนข้างหน้าก็คือทหารม้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน ท่านหมดหนทางไปแล้ว! หวังว่าใต้เท้าจะไตร่ตรองให้ดี!”  


 


 


“ไม่ต้องไตร่ตรองแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ไสม้าศึกให้เดินมาข้างหน้าหลายก้าวอย่างแช่มช้า “แม้นิสัยของคนแซ่หลินจะไม่ค่อยเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ก็รู้ว่าสิ่งใดที่ทำได้สิ่งใดที่ทำไม่ได้ บุรุษต้าหัวเรายอมยืนตาย แต่ไม่ยอมคุกเข่าเพื่อมีชีวิต! พี่ลู่ ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกท่านไม่ใช่ว่าชอบในการสู้ตัดสินกันหรอกหรือ? เช่นนั้นก็ดี ข้าขอใช้พระนามของพระโพธิสัตว์กวนอิมผู้มีเมตตากรุณา ขอสู้ศึกตัดสินกับพี่ลู่ ท่านกล้ารับการท้ารบหรือไม่?!” 


 


 


สู้ตัดสิน? มองดูหลินหว่านหรงที่อยู่กันอย่างเดียวดายสองคน จากนั้นก็มองทหารหาญนับหมื่นที่อยู่ข้างหลัง ลู่ตงจ้านเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นพร้อมเอ่ยว่า “ใต้เท้าหลิน นอกจากสติปัญญาในการวางแผนการของท่านจะเหนือกว่าผู้คนแล้ว ความหนาของหนังหน้าก็ถือว่าล้ำเลิศด้วยเช่นกัน! ภายใต้สถานการณ์ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความตาย ศึกตัดสินยังจำเป็นอีกหรือ? ลู่ตงจ้านหาใช่คนโง่เช่นนั้น!”  


 


 


“ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พี่ลู่ ท่านคือคนฉลาดอย่างแท้จริง!” หลินหว่านหรงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “เพียงแต่ท่านบอกว่าข้าอยู่ในห้วงแห่งความตาย ข้ากลับไม่เห็นด้วย อย่างน้อยที่สุด ข้ายังมีหมากอันร้ายกาจตัวหนึ่งที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยนะ”  


 


 


“หมากอันใด?!” เหมือนลู่ตงจ้านจะนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย 


 


 


หลินหว่านหรงควบม้ามาข้างหน้าสองก้าวพร้อมกล่าวระคนยิ้ม “ไม่มีอะไร ก็แค่ดาบทองเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง!…อ้อ พี่ลู่ ดาบทองนั่นท่านน่าจะได้รับแล้วกระมัง?!” 


 


 


แววตาของลู่ตงจ้านกระจ่างวูบ ในมือปรากฏดาบโค้งอันวิจิตรงดงามเล่มหนึ่ง งดงามกะทัดรัด เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ ซึ่งก็คือดาบทองที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ให้ความสำคัญเท่าชีวิตนั่นเอง “ใต้เท้าหลิน ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าของดาบทองนี้ ตอนนี้อยู่ที่ใด?!” 


 


 


ลู่ตงจ้านดวงตาวาวโรจน์ สีหน้าเคร่งขรึม ไม่เห็นความผิดปกติอันใด หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อยแล้วตอบว่า “ตอนนี้นางอยู่ที่ใดข้าบอกท่านไม่ได้ นางน่าจะอยู่ดียิ่งกว่าข้า อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องเผชิญกับการโจมตีทั้งในที่ลับและในที่แจ้งมากมายขนาดนี้!” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดี!” ราชครูทูเจวี๋ยผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ใต้เท้าหลิน ลู่ตงจ้านยื่นข้อเสนอให้ท่านข้อหนึ่ง!” 


 


 


“ข้อเสนออันใด?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา 


 


 


“ขอเพียงท่านยินยอมปล่อยตัวเจ้าของดาบทองเล่มนี้” ลู่ตงจ้านกล่าวด้วยท่าที่เคร่งขรึม “ขอสาบานในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า พวกเราจะปล่อยให้ท่านออกไปจากทุ่งหญ้าอย่างปลอดภัย!” 


 


 


ออกไปจากทุ่งหญ้าอย่างปลอดภัย? หลินหว่านหรงหวั่นไหว ลู่ตงจ้านจ่ายหนักขนาดนี้ ที่แท้อวี้เจียคนนี้มีสถานะอะไรกันแน่ 


 


 


“ว่าอย่างไร?!” เมื่อเห็นเขาก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างเงียบงัน ลู่ตงจ้านจึงรีบเอ่ยถามขึ้นอย่างรีบ 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะแล้วตอบว่า “น่าสนใจอยู่บ้าง เพียงแต่พี่ลู่ท่านก็รู้ ข้าเป็นคนทำการค้า ไม่มีวันทำการค้าที่ขาดทุนแน่นอน คุณหนูอวี้เจียผู้นี้น่าจะไม่ได้ขายด้วยราคาเท่านี้กระมัง!”  


 


 


คนทำการค้าตัวดี กลับเอาคุณหนูอวี้เจียมาค้าขายได้ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงแอบหัวเราะด้วยหน้าตาทะเล้นเจ้าเล่ห์ ต่อให้ลู่ตงจ้านจะนิสัยดีอีกสักเท่าไหร่ก็อดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้แล้ว “เช่นนั้นเจ้าจะเอาอย่างไร?” 


 


 


“นี่ยังจะต้องถามอีกหรือ เพิ่มราคาสิ!” หลินหว่านหรงกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “อย่างเช่น ทูเจวี๋ยของพวกท่านยอมแพ้สงคราม ลงนามในสัญญา สลายกองทหาร ตัดแบ่งดินแดนชดใช้ มอบบรรณาการทุกปี เปิดการค้าเสรีระหว่างสองแว่นแคว้น สอนภาษาต้าหัว อนุญาตให้สองแคว้นมีการโยกย้ายประชากร เชื่อมโยงทางการค้า เชื่อมโยงทางการแต่งงาน เชื่อมการส่งจดหมายข้าวของอย่างอิสระ…” 


 


 


เขาพูดเงื่อนไขออกมาหลายสิบข้ออย่างต่อเนื่องเป็นชุดๆ รวดเดียว ลู่ตงจ้านโมโหจนหน้าซีด สะบัดมือแล้วพูดว่า “ใต้เท้าหลิน เจ้าเพ้อฝันเกินไปแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นลู่ตงจ้านก็ต้องล่วงเกินแล้ว หากจับตัวเจ้าได้ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาตัวเจ้าของดาบทองไม่พบ! ทหารทั้งหลาย ผู้จับเป็นหลินซานได้ ตกรางวัลเป็นวัวและแพะหนึ่งพันตัว ม้าเหงื่อโลหิตสามตัว อวยยศเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่ง!” 


 


 


วัวและแพะหนึ่งพันตัว ม้าสามตัว? ที่แท้ข้าก็มีมูลค่าเท่ากับสัตว์เดรัจฉานที่ซื้อขายกัน! หลินหว่านหรงโมโหจนกระอักเลือด เจ้าลู่ตงจ้านคนนี้นี่ ออกจะไม่ไว้หน้ากันเกินไปแล้ว เขาไม่เข้าใจการตกรางวัลของชาวทูเจวี๋ย นึกเอาเองว่าเป็นการขายด้วยราคาของสัตว์เดรัจฉาน ถึงกระนั้นไหนเลยจะรู้ว่าวัวแพะสามพันตัว ม้าเหงื่อโลหิตสามตัวนี้มีค่าควรเมืองเพียงใด แทบจะเป็นของรางวัลที่มีมูลค่าสูงที่สุดของชาวทูเจวี๋ยแล้ว! 


 


 


เนื่องจากตกรางวัลอย่างหนัก ฝุ่นดินจึงฟุ้งกระจาย ทหารม้าทูเจวี๋ยที่มีจำนวนนับพันนับหมื่นกรูเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง พุ่งทะยานเข้ามา ดาบม้าที่อยู่ในมือเปล่งประกายเจิดจ้าสีเงิน แผ่นดินสะเทือนขุนเขาสะท้าน  


 


 


หลินหว่านหรงกับหูปู้กุยยืนอยู่หน้าเขตรอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทราย มองดูชาวทูเจวี๋ยที่บุกโจมตีเข้ามาราวกับน้ำป่าไหลหลากตรงหน้านี้อย่างเย็นชา ใบหน้าอันบิดเบี้ยวแล้วสายตาอันป่าเถื่อนนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน เสียงฝีเท้าม้าอันสะเทือนเลื่อนลั่นกับแผ่นดินที่สั่นไหวแทบทำให้เยื่อแก้วหูทะลุ 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นกว่าคนถูกกระโจมของเอ๋อจี้น่าตัดแบ่งเป็นสามส่วน เบียดเสียดยัดเยียดยิ่งนัก หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เผาค่าย! พี่หู ต้องดูฝีมือท่านแล้วล่ะ!” 


 


 


“รับบัญชา!” หูปู้กุยคำรามเสียงดัง จุดไฟที่หัวธนู เขาค้อมร่างเล็กน้อย คันธนูขนาดมหึมาที่อยู่ในมือแอ่นชี้ฟ้า ธนูเพลิงอันลุกโชติช่วงแนบอยู่กับสาย 


 


 


เมื่อเห็นธนูเพลิงและคันศรขนาดมหึมาที่อยู่ในมือหูปู้กุย ลู่ตงจ้านกะพริบตา หันกลับไปมองกระโจมที่เชื่อมต่อกันจนถึงขอบฟ้าของเอ๋อจี้น่ากับทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเบียดเสียดยัดเยียดอยู่ตรงกลางและกำลังเหยียบย่ำเข้ามาต่อเนื่องไม่ขาดสาย มันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันทันที ใช้ภาษาทูเจวี๋ยตวาดเสียงดังออกมาว่า “รีบออกไปจากกระโจม พวกมันจะโจมตีด้วยเพลิง!” 


 


 


“สายไปแล้ว!” หลินหว่านหรงเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่น “พี่ลู่ ข้าจะจุดดอกไม้ไฟให้ท่านดูก็แล้วกันนะ!” 


 


 


พูดยังไม่ทันจบ หูปู้กุยก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กายน้าวคันศร ธนูเพลิงที่ลุกโชติช่วงนั้นก็ยิงออกไปอย่างเร็วรี่ราวกับดาวตกที่มีดวงตางอกเงย ตกลงไปที่กระโจมหลังหนึ่งซึ่งอยู่กึ่งกลางเอ๋อจี้น่าพอดี 


 


 


“พรึบ” เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา กระโจมที่ถูกสาดน้ำมันถูกอัคคีขนาดใหญ่กลืนกินภายในชั่วพริบตา หญ้าแห้งซึ่งอยู่ระหว่างกระโจมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว ทำให้เพลิงนี้แผ่ขยายออกไปทีละชั้นๆ ม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเบียดเสียดเข้ามาตกใจ ร้องโหยหวนเสียงยาว จากนั้นก็ไม่รับการควบคุมจากทหารมาอีก ชักเท้าวิ่งกระจัดกระจายออกไปรอบด้าน  


 


 


หูปู้กุยยิงธนูเพลิงเสียงดังขวับๆ ออกไปอีกสองครั้ง กระโจมลุกไหม้แผดเผา เอ๋อจี้น่าตกอยู่ท่ามกลางแสงเพลิง ม้าทูเจวี๋ยวิ่งไปทั่วทุกสารทิศราวกับบ้าคลั่ง เนื่องจากเบียดเสียดกัน คนไถลม้าคว่ำ เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นไม่หยุด!  


 


 


คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับเล่นลูกไม้ต่อหน้าต่อตาตัวเองได้ ลู่ตงจ้านใบหน้าแดงก่ำตวาดเสียงดัง กวัดแกว่งดาบม้า นำพาทหารม้าทูเจวี๋ยพุ่งตรงมายังพวกของหลินหว่านหรงทั้งสองคน 


 


 


เสียงห่าธนูดังขวับๆ ถากผ่านข้างกายตนเองไป เร็วรี่ประหนึ่งสายลมแห่งทะเลทราย เมื่อเห็นว่าเอ๋อจี้น่ากลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ชาวทูเจวี๋ยกำลังสาละวนวุ่นวายอยู่กับการเอาน้ำมาดับไฟ ทหารม้าชนเผ่านอกด่านที่กรูบุกกันเข้ามาราวกับเมฆสีดำ หลินหว่านหรงจึงหักหัวม้า มองดูใบหน้าอันแดงก่ำของลู่ตงจ้านพลางกล่าวระคนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “พี่ลู่ ไว้พบกันวันหลัง! พี่หู พวกเราไป!” 


 


 


พวกเขาสองคนหวดแส้ม้าขึ้นพร้อมกัน ม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ยแหงนใบหน้าขึ้นกู่ร้องคราหนึ่ง เท้าหน้ายกขึ้นแล้วกระโดดอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ข้ามผ่านทุ่งหญ้าวิ่งตรงไปยังทะเลทราย เสียงพายุทรายอันรวดเร็วและรุนแรงดังขึ้น ดังหวีดหวิวพร้อมกวาดม้วนร่างของพวกเขาเข้าไป เพียงชั่วพริบตาก็มองไม่เห็นแล้ว 


 


 


“หยุด!” มาถึงชายขอบทะเลทราย ทหารม้าชาวทูเจวี๋ยก็หยุดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ใบหน้าพวกมันปรากฏความหวาดกลัวอย่างยิ่ง กลับไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไป ห่าธนูอันไร้สิ้นสุดแฝงเสียงลมหวีดหวิวยิงพุ่งตรงไปยังส่วนลึกของทะเลทราย ทว่าลมทะเลทรายพัดรุนแรง ไหนเลยจะเห็นเงาร่างชาวต้าหัวได้อีก 


 


 


ทะเลแห่งความตายแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดเดินออกมาโดยรอดชีวิตมาก่อน และไม่มีผู้ใดรู้ว่ามันเชื่อมต่อไปถึงที่ใด คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับมีความกล้าเช่นนี้ ไม่สนแม้แต่ความเป็นความตาย บุกเข้าไปอย่างห้าวหาญ 


 


 


ลู่ตงจ้านหยุดรั้งอยู่หน้าชายขอบของทะเลทราย พลันผงกศีรษะ หยิบลูกศรขนาดใหญ่ข้างกายมา จากนั้นจึงมัดวัตถุที่อยู่ในมือกับลูกธนูจนแน่น เสียงหวีดหวิวดังฟิ้ว หัวธนูนั้นหมุนวนพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ยิงเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลทราย… 


 


 


เสียงฉึกดังขึ้นครั้งหนึ่ง หัวธนูปักลงบนพื้นทะเลทรายอย่างแรง ทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง หูปู้กุยรั้งสายตากลับมาจากร่างของชนเผ่านอกด่านที่อยู่ริมขอบทะเลทราย มองลูกธนูนั้นพร้อมกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ บนนั้นมีของอยู่ด้วย?!” 


 


 


ลมทะเลทรายรุนแรงยิ่งนัก บนตัวลูกธนูมีทรายเหลืองเกาะบาง ๆ ภายในชั่วพริบตา หลินหว่านหรงกระโดดลงจากม้า เก็บลูกธนูนั้นขึ้นมา 


 


 


ลูกธนูหนักนี้ชาวทูเจวี๋ยใช้เพื่อทำลายชุดเกราะโดยเฉพาะ ตัวธนูกว้างใหญ่และมีน้ำหนักมาก ถืออยู่ในมือรู้สึกหนักอึ้งยิ่งนัก เมื่อเช็ดฝุ่นออกไปก็เห็นว่าบนธนูนั้นใช้ด้ายสีทองมัดกล่องขนาดเล็กกล่องหนึ่งเอาไว้  


 


 


เมื่อเปิดกล่องนั้นออกก็มีแสงประกายสีทองปะทะเข้ามา กลับทำให้หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย 


 


 


หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “นี่ไม่ใช่ดาบทองของอวี้เจียหรอกหรือ? ชนเผ่านอกด่านคืนให้พวกเราอีกทำไมหรือขอรับ?!”  


 


 


หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็งุนงงเช่นกัน เห็นชัดว่าดาบทองเล่มนี้เป็นสิ่งของแทนใจที่อวี้เจียมอบให้กับชายคนรัก เพื่อมันแล้วชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนไม่แยแสแม้แต่ชีวิต แล้วเหตุใดลู่ตงจ้านถึงส่งมันกลับคืนมาเล่า? 


 


 


เหล่าหูหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ดีไม่ดีอวี้เจียคนนี้ก็คือลูกสาวของลู่ตงจ้าน ราชครูทูเจวี๋ยถูกใจท่าน อยากให้อวี้เจียมอบดาบทองเล่มนี้ให้ท่าน รับท่านเป็นลูกเขยก็ได้นะขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงวิเคราะห์ดาบทองเล่มนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนถี่ ไม่พบว่าลู่ตงจ้านเล่นตุกติก ดังนั้นจึงเก็บดาบเล่มเล็กนั้นเข้าไปในอก หัวเราะแล้วพูดว่า “อวี้เจียเป็นลูกสาวของลู่ตงจ้าน?! ต้นไผ่แย่งออกหน่อไม้ดี?! พี่หู ท่านก็ช่างคาดเดาเก่งเสียเหลือเกิน! เจ้าไม่สู้บอกว่านางก็คือท่านข่านทูเจวี๋ย ต้องการให้ข้าเป็นสามีจะดีกว่า อย่างนั้นข้ายังจะรู้สึกดีกว่าเล็กน้อยใส่อีกนะ ฮ่าๆ!” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพรวดออกมาเช่นกัน บอกว่าเขาพูดจาเหลวไหล แม่ทัพหลินกลับเหลวไหลยิ่งกว่าข้าเสียอีก เขามีสายตาดียิ่งนัก สายตาไปอยู่บนกล่องที่เกือบจะถูกทรายกลบกล่องนั้น เห็นว่ามีชายผ้าโผล่มามุมหนึ่งแวบๆ เหล่าหูร้องด้วยความตกใจทันที “ท่านแม่ทัพ เหมือนยังมีจดหมายอยู่นะขอรับ!” 


 


 


เมื่อครู่สนใจแค่ดูดาบทอง กลับไม่ได้สังเกตว่าภายในกล่องยังมีจดหมายผ้าอยู่อีกด้วย หลินหว่านหรงปัดฝุ่นทรายบนฝากล่อง ดึงผ้าผืนนั้นออกมาจากนั้นจึงกวาดสายตามองโดยอาศัยแสงจันทร์ 


 


 


ผ้าผืนนั้นอ่อนนุ่มเรียบลื่นๆ เขียนตัวอักษรบูดเบี้ยวอยู่หกพยางค์ “ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้!”  

 

 


ตอนที่ 566 เจ้าคนซื่อบื้อ

 

ตัวอักษรที่อยู่บนผืนผ้านั้นบิดเบี้ยวโย้ไปเย้มา แม้แต่ลายมือของเด็กน้อยชาวต้าหัวก็ยังสู้ไม่ได้ คิดว่าน่าจะเป็นจดหมายของลู่ตงจ้าน มันคืนดาบทองมาให้ ทั้งยังเขียนประโยคนี้มาอีก ที่แท้หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้?! คำพูดนี้เหตุใดถึงฟังดูคุ้นหูขนาดนี้นะ ลู่ตงจ้านคิดจะโฆษณาให้ใคร? 


 


 


คิดไปคิดมา ทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงไม่สนใจมันไปเลย นำดาบทองกับจดหมายยัดเข้าไปในอก หัวเราะพร้อมพูดกับหูปู้กุยว่า “ภาษาต้าหัวของเจ้าลู่ตงจ้านคนนี้กลับแค่พอถูไถ เหตุใดแค่เขียนตัวหนังสือก็ยังสู้ข้าไม่ได้เลย น่าเสียดายๆ!” 


 


 


“น่าเสียดายมากขอรับ” หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “เพียงแต่หากเอ่ยถึงการเขียนตัวอักษรต้าหัวของชาวทูเจวี๋ย ข้าว่าคุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ สตรีผู้นี้ไม่เพียงแค่หน้าตางดงาม มิหนำซ้ำยังเชี่ยวชาญวัฒนธรรมต้าหัวอีกด้วย สติปัญญาและบุคลิกภาพทางสูงส่งกว่าผู้คนทั่วไป ลู่ตงจ้านยอมปล่อยพวกเรา แต่ก็ต้องรับรองความปลอดภัยของนาง สตรีผู้นี้จะต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอน!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “แต่ละชนชาติล้วนมีผู้โดดเด่นมีความสามารถ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด สิ่งที่สำคัญก็คือต้องดูว่าผู้มีความสามารถพวกนี้จะเอาความฉลาดและสติปัญญาไปใช้กับเรื่องอะไร ทั้งวันเอาแต่คิดเรื่องแย่งชิงผู้อื่นเพื่อทำให้ชีวิตของคนในเผ่าดีขึ้นเช่นอวี้เจียแบบนั้น ผลลัพธ์ของมันก็มีแต่ตรงข้ามเท่านั้น”  


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง สนับสนุนคำพูดของหลินหว่านหรงยิ่งนัก 


 


 


จันทร์อร่ามฟ้าดวงดารามีเพียงน้อยนิด ลมทะเลทรายรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ใต้ท้องนภายามราตรี ทะเลทรายขาวกระจ่างใสประดุจหิมะ แม้แต่ท้องฟ้ายามราตรีก็ยังเป็นสีขาวจางๆ บนผืนทรายสีเงิน ประทับรอยกีบเท้าม้าตื้นๆ ไปทั่ว ค่อยๆ แผ่ขยายไปยังส่วนลึกของทะเลทราย 


 


 


ลมทะเลทรายพัดจนทำให้คนยากจะลืมตา ทั้งสองคนวิ่งห้อตะบึงไปตามรอยกีบเท้าม้าตื้นๆ ในทะเลทรายไปสักระยะหนึ่ง เกือบครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นก็มองเห็นเงาของขบวนไพร่พลขนาดใหญ่  


 


 


เกาฉิวคุมอยู่ท้ายขบวน หันกลับมามองเป็นระยะ เมื่อเห็นเงาร่างของทั้งสองคนก็โบกมือด้วยความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องทันที “น้องหลิน เหล่าหู พวกเราอยู่ตรงนี้!”  


 


 


ครั้นเห็นว่าหลินหว่านหรงกับหูปู้กุยกลับมาอย่างปลอดภัย ทหารห้าพันนายก็โห่ร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้น เสียงแห่งความยินดีดังไปทั่ว บรรยากาศแห่งความสุขนั้นกลบลมทะเลทรายในบัดดล  


 


 


ทะเลแห่งความตายหลัวปู้ปั๋วเริ่มจากเทือกเขาฉีเหลียน แผ่ขยายขึ้นไปทางเหนือจากตุนหวงกานซู่ ไปจนถึงเกาชางและตีนเขาเทียนซาน ทิศเหนือติดกับเทือกเขาเทียนซาน ทางใต้ติดกับช่วงตีนเขาทางเหนือของภูเขาอาเอ่อร์จินและหัวมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาเขาคุนหลุน ตะวันออกเชื่อมต่อกับตุนหวง ตะวันตกเชื่อมต่อกับทะเลทรายถ่าเค่อลาหม่าก้าน ในทะเลแห่งความตาย มีเนินทรายทรงพีระมิดอยู่เต็มไปหมด ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นราบ สูงถึงหลายร้อยจั้ง สายลมอันบ้าคลั่งของทะเลทรายพัดพาจนก่อให้เกิดกำแพงทรายเหล่านี้ ความสูงสูงขึ้นได้อีกหลายเท่า ประหนึ่งภูเขาใหญ่ล้มถล่มลงมา น่าหวาดกลัวยิ่งนัก 


 


 


หลัวปู้ปั๋วอากาศแห้งแล้งตลอดทั้งปี แทบจะไม่มีฝนตกเลย ด้วยสภาพเช่นนี้จึงมีพืชและสัตว์ที่มีชีวิตรอดน้อยยิ่งนัก จึงได้รับการขนานนามว่า ‘ทะเลแห่งความตาย’ 


 


 


เข้าหลัวปู้ปั๋วจากอี้อู๋ก็เป็นระยะทางครึ่งหลังของทะเลแห่งความตายแล้ว เดินทางอย่างต่อเนื่องภายในทะเลทรายอันเวิ้งว้างว่างเปล่านี้มาสามวัน เมื่อทอดสายมองตาออกไปก็ยังเป็นทรายเหลืองซึ่งปลิวฟุ้งกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าอยู่ดี มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน และยิ่งมองไม่เห็นสีเขียวใดๆ ทั้งสิ้น หากไม่ใช่หูปู้กุยซึ่งเป็นคนนำทางใช้เข็มทิศเพื่อบ่งบอกทิศทางไม่หยุด หลินหว่านหรงก็แทบจะสงสัยว่าตัวเองเดินผิดทางเสียแล้ว 


 


 


“มารดามัน! สมกับเป็นทะเลแห่งความตาย” ความร้อนระอุที่ทรายแผ่ออกมาทำให้ทหารทุกคนเหงื่อไหลรินแผ่นหลังเปียกชุ่ม หลายคนถอดเสื้อตัวบนออก เดินทางโดยเปลือยแขน เหล่าเกาเช็ดเหงื่อที่ไหลรินอยู่บนหน้าผาก เปิดถุงใส่น้ำแล้วเลีย จากนั้นจึงแขวนถุงน้ำซึ่งหวงแหนราวกับชีวิตไว้ที่เอวอย่างระมัดระวัง แลบลิ้นพลางหอบหายใจ “เดินทางมาตั้งหลายวันหลายคืนแล้ว นอกจากทรายก็คือทราย กระต่ายยังไม่ฉี่ ขนนกก็ยิ่งมองไม่เห็นสักเส้นเดียว เส้นทางนี้ให้คนเดินที่ไหนกันเล่า?!” 


 


 


หูปู้กุยเก็บเข็มทิศกลับเข้าไปในถุงสัมภาระ หัวเราะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “น้องเกา เดินทางในทะเลทรายเป็นครั้งแรก จะรู้สึกแบบนี้ก็ไม่แปลก อย่าว่าแต่เจ้าเลย หลายปีมานี้ข้าเหล่าหูเดินทางในทะเลทรายกลับไปกลับมาไม่ต่ำกว่าหมื่นลี้ นึกว่าตัวเองมองทะเลทรายขาดตั้งแต่แรก แต่พอเข้ามาในหลัวปู้ปั๋วข้าถึงเข้าใจว่าเส้นทางพวกที่เคยใช้ก่อนหน้านี้นั้นถือว่าปกติแล้วจริงๆ! เข้ามาในหลัวปู้ปั๋ว อย่าว่าแต่ขนนกเลย ที่มีขางอกเงย ที่มีขนแหลมงอกเงยก็ไม่เห็นเหมือนกัน ทะเลแห่งความตายนี้ช่างสมคำร่ำลือเสียจริง” 


 


 


เขาพูดไปหลายประโยคในปากจึงแห้งผาก เลียขอบถุงใส่น้ำเลียนแบบเหล่าเกาเช่นนั้นเหมือนกัน นับตั้งแต่เข้าทะเลทรายมา หลินหว่านหรงก็ออกคำสั่งเด็ดขาด ทัพใหญ่ทุกวันนี้มีอาหารแค่สองมื้อเท่านั้น อาหารแต่ละมื้อก็จำกัดเพียงอาหารแห้งปริมาณน้อยเท่านั้น ส่วนน้ำดื่มก็ยิ่งจำกัดอย่างเข้มงวด ไม่ถึงเวลา ไม่ถึงสถานที่เป้าหมาย ห้ามดื่มน้ำเองโดยพลการ การป้อนหญ้าและน้ำให้ม้าศึกก็ใช้วิธีการเดียวกัน 


 


 


เคลื่อนทัพอยู่ในทะเลทราย ความสำคัญของน้ำและอาหารไม่ต้องเอ่ยถึง ทหารห้าพันนายทำตามกฎทหารอย่างเคร่งครัด มีคำสั่งถึงทำ เมื่อห้ามก็หยุด เมื่อทำตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด สามวันผ่านไปกลับไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนเลย  


 


 


ตอนนี้ถึงเวลาอาหารอีกแล้ว ทัพใหญ่จึงหยุดขบวน หูปู้กุยเหลียวมองรอบด้านหลายครั้ง ทว่ากลับไม่เห็นเงาของหลินหว่านหรง เกาฉิวดึงตัวเขาเอาไว้ ชี้ไปที่รถม้าหนึ่งเดียวที่อยู่กลางขบวน หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องหาแล้ว อยู่ตรงนั้น!” 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย พี่น้องของข้าเป็นเช่นไรแล้ว?!” มองดูใบหน้าขาวซีดของหลี่อู่หลิง หลินหว่านหรงก็ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตาฉายแววกังวลอย่างยิ่ง เข้าทะเลทรายมาสามวันแล้ว อาหารยิ่งขัดสนมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนสภาพของหลี่อู่หลิงกลับไม่ได้ดีขึ้นมาตลอด นี่ทำให้คนกลุ้มใจตายแล้วจริงๆ 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยพลิกเปลือกตาหลี่อู่หลิง ตรวจชีพจรให้เขาอีกครั้ง จากนั้นถึงเอ่ยปากอย่างเย็นชาออกมาว่า “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ?”  


 


 


เคลื่อนทัพอย่างรีบร้อนมาหลายวัน เนื่องจากขาดน้ำ ริมฝีปากสีแดงสดของนางจึงแห้งเล็กน้อย ถึงแม้ใบหน้าจะซีดเซียวอยู่บ้าง แต่ผิวพรรณกลับยังกระจ่างใสชุ่มชื้น ปราศจากมลทิน ทำให้หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ต้องทอดถอนด้วยความตกใจ ไม่รู้ว่าแม่หนูคนนี้โตมาด้วยการแช่น้ำนมมาตั้งแต่เล็กหรือไม่ 


 


 


ไม่บอกข้า? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตามหาดาบเล็กสีทองอร่ามออกมาจากอก กวัดแกว่งอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นก็เก็บกลับเข้าไปในอกอย่างรวดเร็ว  


 


 


อวี้เจียตกใจ จากนั้นจึงโผเข้ามาด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “ดาบทองของข้า?! อัวเหล่ากง เจ้ารีบคืนให้ข้าเร็ว!”  


 


 


เนื่องจากสาวน้อยทูเจวี๋ยโผเข้ามาอย่างเร็วรี่ ดังนั้นจึงมุดเข้าสู่อ้อมอกของเขาพอดี สองมือดึงทึ้งเสื้อของเขา  


 


 


แม่หนูนี่บ้าไปแล้วหรือ?! เรื่องถอดเสื้อผ้าผู้ชายก็ทำออกมาได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยช่างห้าวหาญเสียจริงนะ หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี รีบจับเสื้อผ้าของตัวเองไว้ พูดออกมาว่า “จะ…เจ้าทำอะไรน่ะ? ตอนนี้เป็นกลางวันแสกๆ บุรุษข่มขืนได้ ลบหลู่ไม่ได้!” 


 


 


อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห จับเสื้อของเขาพร้อมออกแรงดึงเบาๆ ทันที “จะ เจ้าเอาดาบทองคืนให้ข้า!” 


 


 


เสียงดังกิ๊งคมชัด เนื่องจากนางออกแรงดึงกระชาก ชุดบริเวณหน้าอกของหลินหว่านหรงจึงคลายออก ไม่รู้ว่ามีอะไรร่วงหล่นลงมา กลิ้งแกว่งไกวไปมาบนพื้นรถออกไปไกลลิบ 


 


 


“อาวุธลับของข้า!” หลินหว่านหรงร้องเสียงดัง ขณะที่กำลังจะไปแย่งคืนกลับมานั้น ของชิ้นนั้นก็ไปอยู่ใต้เท้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อวี้เจียมือไวตาไว คว้าใส่มือทันที เมื่อเพ่งมอง สิ่งที่กุมอยู่ในมือนั้นกลับเป็นเหรียญทองแดงขนาดเล็กเหรียญหนึ่ง นางกวาดตามองคราหนึ่งจากนั้นก็นิ่งอึ้งไป 


 


 


หลินหว่านหรงเข้ามาเพื่อจะชิงไปจากมือนาง พูดอย่างมีน้ำโหว่า “กล้ามาแย่งเงินกับคนจนหรือ? เจ้าอยากตายแล้วหรือไร รีบคืนเงินมาให้ข้า!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด ถือเหรียญทองแดงเหรียญนั้นอยู่ในมือแน่น สองมือกุมเอาไว้ถึงตายก็ไม่ยอมปล่อย  


 


 


อวี้เจียคนนี้ช่างดื้อด้านเสียจริงนะ! สองมือสองเท้าของหลินหว่านหรงพุ่งเข้าหาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หน้าผากมีเหงื่อไหลรินไม่หยุด สูญเสียแรงไปทั้งร่าง แต่ก็ไม่อาจแกะฝ่ามือของนางได้ ทั้งสองคนเจ้าแย่งข้าทึ้ง จ้องหน้ากันอย่างมีโทสะ อยู่ใกล้กันยิ่งนัก ได้ยินเสียงหายใจกระชั้นถี่ของอีกฝ่ายได้ 


 


 


ครั้นเห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้กันแค่คืบของแต่ละฝ่ายนั้นอย่างชัดเจน ทั้งสองก็อดชะงักพร้อมกันไม่ได้ การเคลื่อนไหวของมือเชื่องช้าลง  


 


 


มุมปากอันงดงามของอวี้เจียหยักยกอย่างดื้อดึง น้ำตากระจ่างใสคลอเบ้า หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็หงุดหงิดยิ่งนัก เขาคลายมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ให้เจ้าก็ได้! ท่านย่ามัน วันนี้ดวงซวย เสียเงินหนึ่งอีแปะไปเปล่าๆ ข้าต้องปวดใจไปหลายปีแน่เลย!” 


 


 


“พรืด” อวี้เจียป้องปากหัวเราะเบาๆ นำเหรียญทองแดงเหรียญนั้นไปไว้ที่ริมฝีปาก ทันใดนั้นนางก็เหมือนรู้สึกว่าท่าทางไม่ถูกต้อง เพราะอย่างนั้นจึงรีบทำสีหน้าเย็นชาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


ข้าไม่เชื่อว่าจะควบคุมเจ้าไม่ได้! หลินหว่านหรงเช็ดเหงื่อที่อยู่บนมือ ควักดาบทองที่อยู่ในอกออกมาแล้วแกว่งไปมา หัวเราะฮิฮะพลางกล่าวว่า “น้องสาว นี่ เจ้ายังจะเอาอีกหรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียเห็นแล้วก็ร้อนใจยิ่งนัก “เจ้า…เจ้าเอาดาบทองคืนมาให้ข้า!” 


 


 


“คืนเจ้า?! ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้นะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะหน้าทะเล้น “พอพี่น้องของข้าฟื้นขึ้นมา ดาบทองก็จะเป็นของเจ้าแล้ว ควรทำอย่างไร เจ้าก็คิดเอาเองเถิด” 


 


 


เมื่อเห็นเจ้าโจรผู้นี้หัวเราะเจ้าเล่ห์ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง อวี้เจียก็กัดฟันกรอดแค่นเสียงฮึ่มๆ พูดเสียงเบาออกมาว่า “ต่ำช้า รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องเสนอเงื่อนไขไร้ยางอายหนีออกมา!” 


 


 


“สมญานามต่ำช้าไร้ยางอายข้าก็แบกรับมานานหลายปีแล้ว ไม่สนใจหรอกว่าจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกสักหนสองหน” หลินหว่านหรงพูดพร้อมหัวเราะฮิฮะ “ตรงไปตรงมาหน่อย ประโยคเดียว เจ้าจะรับปากหรือไม่รับปาก?!” 


 


 


นี่ยังจะไม่รับปากได้อีกหรือ?! เจ้าโจรนี่กุมข้าอยู่ในมือแล้ว! อวี้เจียหงุดหงิดอยู่บ้าง ถึงกระนั้นก็รู้สึกอับจนปัญญา นางเงียบงันอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยปาก “เมื่อผู้ป่วยคนนี้ฟื้นขึ้นมา เจ้าจะคืนดาบทองให้ข้า…คำพูดเจ้าเชื่อถือได้?!” 


 


 


“หากคำพูดข้าเชื่อถือไม่ได้ ขอให้ลงโทษว่าทั้งชาตินี้ข้าต้องถูกเมียขี่เป็นม้า!” หลินหว่านหรงชูมือขวาขึ้นสูง สาบานด้วยท่าทีอันหนักแน่น 


 


 


เจ้าโจรไร้ยางอาย! อวี้เจียหน้าแดง กัดฟันกรอด “เช่นนั้นก็ดี ภายในสามวันข้าจะทำให้เจ้าคืนดาบทอง” 


 


 


“อาศัยอะไร?!” หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง ย้อนถามอย่างไม่ไว้หน้า 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “ถามข้า?…ตัวเจ้าไม่มีสมองหรืออย่างไร” 


 


 


หลินหว่านหรงกระเด้งขวับขึ้นมาจนเกือบทะลุยอดหลังคารถ “เจ้า…เจ้าหมายความว่า ภายในสามวันเสี่ยวหลี่จื่อก็จะฟื้นขึ้นมา?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่ เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินไม่ชัด!” 


 


 


“ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว!” อวี้เจียเดินหน้าไปพร้อมแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง ไม่สนใจเขาอีก 


 


 


สามวัน! สามวันหลังจากนี้เสี่ยวหลี่จื่อก็จะฟื้นขึ้นมา! มองดูใบหน้าขาวซีดของหลี่อู่หลิง ฟังเสียงหายใจแช่มช้าของเขา หลินหว่านหรงก็ตื่นเต้นจนยากจะควบคุมตัวเอง ลำคอแห้งผาก เขาหยิบถุงน้ำจากเอวด้วยอาการสั่นเทา สะบัดมือไปมา ถุงน้ำว่างเปล่า เหลือแค่ตรงก้นแล้ว 


 


 


เพิ่งยกถุงน้ำไปถึงริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะดูดเข้าไปหลายคำ กลับเห็นอวี้เจียจ้องมองเขาด้วยท่าทางแปลกๆ แววตาระยิบระยับ มองดูริมฝีปากที่ปลิออกเล็กน้อยของสาวน้อยทูเจวี๋ย น่าจะไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางส่งถุงน้ำไปให้ “น้องสาว เจ้าช่วยพี่น้องของข้า น้ำดื่มสะอาดนี้เป็นสิ่งที่ข้าขอบคุณเจ้า รีบดื่มเถอะ!” 


 


 


ดวงหน้างามของอวี้เจียร้อนเล็กน้อย รีบร้องเหอะออกมา แล้วผลักถุงน้ำกลับคืนไป “ข้าไม่ต้องการของของเจ้า สกปรกจะตาย” 


 


 


ก่อนเข้าทะเลทราย แต่ละคนต่างเติมน้ำแล้ว อวี้เจียคนนี้ก็ปราศจากข้อยกเว้น ทั้งยังเป็นหลินหว่านหรงที่เติมถุงน้ำให้นางจนเต็มด้วยตัวเองอีกด้วย เขาหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ดูจากท่าทางของเจ้า น่าจะไม่ได้ดื่มน้ำมาสองวันแล้วกระมัง ถึงแม้น้ำในทะเลทรายจะมีค่าดั่งทองคำ แต่ก็ไม่อาจเสียดายจนไม่ยอมดื่มได้หรอกนะ ชีวิตสำคัญกว่าอยู่ดี” 


 


 


“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วยหรือ?!” อวี้เจียส่ายหน้าอย่างดูแคลน ยื่นมือน้อยๆ นุ่มนิ่มนวลเนียนมาโบกอยู่ข้างหน้าเขา 


 


 


มือน้อยนั้นกลมกลึงชุ่มชื่น ขาวนุ่มนิ่มเรียบลื่น หลินหว่านหรงกำลังมองดูอย่างลุ่มหลง จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ขึ้นมาทันที ลุกขึ้นพร้อมตวาดด้วยโทสะ “เจ้า…เจ้าเอาน้ำสะอาดล้างมือ?!” 


 


 


“นั่นแล้วจะทำไม?” อวี้เจียพูดอย่างเย็นชา “ไม่ใช่แค่ล้างมือ ข้ายังล้างหน้าด้วย!” 


 


 


“เจ้า เจ้า…” หลินหว่านหรงโมโหจนหน้าดำคล้ำเขียว ในทะเลทรายที่หยดน้ำมีค่าดั่งทองคำ ผู้หญิงคนนี้กลับเอาน้ำช่วยชีวิตมาล้างมือล้างหน้า ยังจะมีเหตุผลอีกหรือไม่ ยังจะมีกฎหมายอีกหรือไม่?! 


 


 


เมื่อเห็นว่าเจ้าโจรคนนี้สั่นไปทั้งตัว โมโหจนพูดไม่ออก อวี้เจียกลับยิ้มเล็กน้อย “สตรีรักสวยรักงามถือว่าเป็นนิสัยตามธรรมชาติ ข้าใช้ถุงน้ำของตัวเองมาล้างหน้าล้างมือ ต่อให้ต้องตายอยู่ในทะเลทราย ก็เป็นเรื่องของข้าเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใด! ต้องให้เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!” 


 


 


“ข้าเชื่อเจ้าแล้วจริงๆ! ผู้หญิงที่ไร้เหตุผล!” เขาแหวกผ้าม่านเสียงดังขวับแล้วกระโดดลงจากรถม้าไป เสียงด่าทอด้วยความเดือดดาลของเจ้าโจรคนนั้นดังเข้าหูไม่หยุด อวี้เจียหลุบดวงตาคู่งามลงต่ำ เงียบงันไม่เอ่ยวาจา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


ขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างเงียบๆ นั้นเอง ผ้าม่านกลับเลิกขึ้นราวกับสายลมพัดมาอีกครั้งหนึ่ง โจรหน้าดำยื่นหน้าเข้ามาจากนอกตัวรถ มือชูถุงน้ำอันว่างเปล่านั้นของเขา พูดด้วยท่าทางดุร้ายออกมาว่า “อ้าปาก…” 


 


 


“ทำไม?! ”อวี้เจียส่ายหน้าอย่างดื้อดึง 


 


 


ด้วยความเดือดดาล หลินหว่านหรงจึงบีบคอขาวสะอาดของนางไว้ อวี้เจียถูกบังคับให้อ้าปาก “เจ้าจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เป็นไร แต่พี่น้องของข้าตายไม่ได้! เจ้าต้องอยู่ต่อไปให้ข้าอีกสามวัน ดื่มเร็ว!” 


 


 


ภายในถุงน้ำเหลือแค่น้ำสะอาดเพียงไม่กี่คำ ไหลเข้าไปในปากอวี้เจียอย่างแช่มช้า นางไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายวันแล้ว ความรู้สึกที่น้ำสะอาดเข้าไปในปากช่างหวานชื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยไอเพราะสำลัก น้ำตาไหลทันที 


 


 


“มีอะไรให้ร้องกัน!” มองดูถุงน้ำที่ว่างเปล่า หลินหว่านหรงก็ปล่อยอวี้เจีย ทำเสียงอย่างมีน้ำโหคราหนึ่ง “ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ไม่เชื่อฟังขนาดนี้มาก่อนเลย! เสียเงินแล้วยังต้องเสียน้ำอีก…นับตั้งแต่ผานกู่เบิกฟ้าและแผ่นดิน การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ ข้าคนแซ่หลินเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก!” 


 


 


ขี้เกียจจะมองน้ำตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ เขาหมุนกายแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ถุงน้ำมันว่างเปล่าที่ห้อยอยู่ตรงเอวแกว่งไกวไปมา เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนลูกน้ำเต้าที่ลอยน้ำอยู่ 


 


 


อวี้เจียมองเอาหลังของเขา ร้องไห้ไปร้องไห้มาจู่ๆ ก็หัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง ปิดหน้าพร้อมพูดเบาๆ ว่า “เจ้าคนซื่อบื้อ!” 


 


 


มุมปากนางยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับ หัวเราะไปหัวเราะมากลับร้องไห้ออกมาอีกครั้งหนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 567 - 1 ผมขาวทรายสีเงิน

 

เกาฉิวกับหูปู้กุยกำลังพูดจาสรวลเสเฮฮากันอยู่ เมื่อเห็นหลินหว่านหรงกระโดดลงมาจากรถม้าของหลี่อู่หลิง ตาถลน หน้าดำราวกับถ่าน กำลังเดินมุ่งตรงมาทางนี้ 


 


 


“นี่เป็นอะไรไปน่ะ?!” พวกของเหล่าเกาสองคนต่างสบตากัน ในใจเต็มไปด้วยคำถาม 


 


 


หูปู้กุยหยิบถุงใส่น้ำที่แขวนอยู่ตรงเอวขึ้นมาแล้วส่งให้หลินหว่านหรง “อากาศร้อนจริงๆ! แม่ทัพหลิน เร็ว ดื่มน้ำขอรับ!!” 


 


 


หลินหว่านหรงเช็ดเหงื่อ โบกไม้โบกมือแล้วดันถุงน้ำกลับไป “พี่หูท่านดื่มเถอะ ข้าเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่นี้” 


 


 


มองดูริมฝีปากอันแห้งผากของเขาแล้ว หูปู้กุยก็ขมวดคิ้ว พูดส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา “ดื่มไปแล้วอะไรกัน ท่านแม่ทัพอย่ามาหลอกข้าเลย! เมื่อคืนท่านเอาน้ำในถุงน้ำของท่านกรอกใส่ถุงน้ำของเสี่ยวหลี่จื่อไปแล้ว แล้วจะดื่มน้ำไปตอนไหนกัน?! ท่านแม่ทัพมีจิตใจรักใคร่พี่น้อง แต่ก็ต้องดูแลเอาใจใส่ร่างกายด้วยนะขอรับ” 


 


 


เหล่าหูกลับเป็นคนเอาใจใส่ หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พี่หู วางใจเถอะ ตอนข้ากระหายน้ำแล้วจริงๆ จะมาหาท่าน จะไปเกรงใจท่านทำไมกันเล่า ฮ่าๆ!” 


 


 


เห็นท่าทางหัวเราะเฮฮาของหลินหว่านหรงก็รู้ว่าโน้มน้าวไปก็ไร้ประโยชน์ หูปู้กุยจึงทำได้แค่เก็บถุงน้ำกลับไปเท่านั้น 


 


 


“น้องหลิน นี่คือเส้นทางสายไหมที่เจ้าพูดอะไรนั่นใช่หรือไม่…” เกาฉิวเหลียวมองรอบด้าน เสียงลมหวีดหวิว ทรายเหลืองเต็มไปหมด แม้ม่านราตรีจะค่อยๆ เคลื่อนคล้อยลงมาแล้วก็ตาม ทว่าความร้อนที่ทรายแผ่ออกมาก็ยังลวกฝ่าเท้าดั่งไฟแผดเผาอยู่ดี ทรมานยิ่งนัก 


 


 


การเดินทัพในทะเลทรายต่างจากที่ราบ เพื่อไม่ให้พระอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาจนสิ้นเปลืองพลังกายและปริมาณน้ำโดยเปล่าประโยชน์ ทุกคนจึงพักช่วงกลางวันและออกเดินทางช่วงกลางคืน ยามที่ดวงตะวันร้อนแรงถึงขีดสุดก็ตั้งค่ายเพื่อพักผ่อน ยามสายัณห์ออกเดินทางมุ่งไปข้างหน้า เดินทัพกันทั้งคืน ต่อให้เป็นเช่นนี้พลานุภาพของทะเลทรายก็ยังเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ไกลโข ไม่อาจไม่หยุดพักผ่อนได้ 


 


 


“…ทั้งไม่มีผ้าไหม ทั้งไม่เห็นเส้นทาง เจ้าชื่อนี้ตั้งขึ้นมาออกจะไม่เข้ากับความจริงเกินไปแล้วกระมัง!” เหล่าเกาหน้าร้อนจนแดงก่ำ ถอนหายใจพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


“นี่คือเส้นทางสายไหมนั้นไม่ผิด แต่เส้นทางสายไหมไม่ใช่เส้นทางที่ปูด้วยผ้าไหมตลอดทางอย่างเช่นท่านจินตนาการเยี่ยงนั้น…” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายศีรษะ “พูดให้ง่ายสักหน่อยก็คือ เส้นทางสายไหมนี้เป็นเส้นทางแลกเปลี่ยนทางการค้าซึ่งเชื่อมไปยังอีกทวีปหนึ่งของต้าหัวเรา เนื่องจากผ้าไหมของต้าหัวเราเรียบลื่นงดงาม ใครเห็นใครก็รัก พ่อค้าซึ่งเดินทางไปมาระหว่างทวีปเอเชียและยุโรปชอบเอาผ้าไหมวางอยู่บนหลังม้าหลังอูฐ นำไปขายยังอีกฝั่งหนึ่งของโลก ด้วยเหตุนี้เส้นทางนี้ถึงมีชื่ออันงดงาม เรียกว่าเส้นทางสายไหม” 


 


 


เหล่าเกาเหล่าหูสองคนได้ฟังแล้วก็วิงเวียน ไม่เข้าใจว่าอีกฝั่งหนึ่งของโลก ทวีปเอเชียและยุโรปนั่นคือสถานที่เช่นไรกันแน่ เพียงแต่เมื่อได้ฟังน้องหลินเล่าเรื่องเส้นทางสายไหมแห่งนี้แล้วกลับเป็นเรื่องน่าสนุกเรื่องหนึ่งระหว่างเดินทาง เขาสองคนผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง หัวเราะฮ่าๆ ออกมา 


 


 


บางทียิ่งรู้น้อยก็ยิ่งมีความสุขกระมัง เห็นรอยยิ้มใสซื่อจริงใจของพวกหูปู้กุยสองคน หลินหว่านหรงพลันรู้สึกอิจฉาพวกเขาขึ้นมาทันที…ความเรียบง่ายไม่จำเป็นว่าจะไม่ใช่วาสนา! 


 


 


ขณะที่กำลังสัพยอกกับพวกเขาสักสองสามประโยค ที่ข้างกายกลับมีเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยดังขึ้นมา “ฝั่งหนึ่งของโลก ทวีปเอเชียและยุโรป นั่นคือที่ใดกัน?! แล้วนี่เจ้าจะไปที่ใดกันอีก?” 


 


 


หลินหว่านหรงหันกลับไปก็พลันเห็นใบหน้างดงามหมดจดดวงหน้าหนึ่งกำลังมองมาที่ตนเองอย่างสงบนิ่ง กลับเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่นเอง ไม่รู้ว่านางมายืนอยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไร ฝีเท้าแผ่วเบาราวกับแมวเยี่ยงนั้น 


 


 


ในทะเลแห่งความตายอันเวิ้งว้างแห่งนี้ มีแต่ทรายสีเหลืองและตะวันอันร้อนแรง หญ้าไม่งอกเงยแม้แต่นิ้วเดียว กระโดดเข้าทะเลทรายเพียงลำพังย่อมเท่ากับขุดหลุมฝังให้ตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความฉลาดหลักแหลมของสาวน้อยทูเจวี๋ย นางไม่มีวันกระทำเรื่องอันโง่งมเช่นนี้ออกมาได้แน่ ดังนั้นหลินหว่านหรงรู้สึกคร้านที่จะมัดนางเสียด้วยซ้ำ มอบอิสระให้นางอย่างเต็มที่ หากมีปัญญาก็ลองหนีให้ข้าดูสิ! 


 


 


อวี้เจียเบิกตากว้าง ขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์และความกระหายใคร่รู้ กำลังรอคอยคำตอบของเขาอยู่ 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ไม่สนใจนาง กวักมือไปทางหูปู้กุยสองคน “พี่ชายทั้งสอง พวกเรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันเถอะ ที่นี่มีคนล้างจนสะอาด ข้าเห็นแล้วรู้สึกไม่ชิน” 


 


 


แม้พวกของเหล่าหูสองคนจะไม่เข้าใจความหมายประชดที่มีอยู่ในคำพูดของเขา แต่เมื่อดูจากท่าทีนั้นก็รู้ว่าชักสีหน้าใส่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ 


 


 


อวี้เจียย่อมเข้าใจเจตนาของเขา นางอดมองเขาด้วยความโมโหและขบขันไม่ได้ เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียง “บุรุษขี้งก บุรุษที่โง่จะตายอยู่แล้ว!” 


 


 


สีหน้าท่าทางของสองคนนี้แปลกประหลาดพิกล เหล่าเกามองดูตาปริบๆ ตัดสินใจไม่ไปแล้ว นั่งกระแทกก้นลงกับพื้น หัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อพักผ่อน เช่นนั้นทุกคนก็นั่งลงเถอะ ฟังน้องหลินเล่าเรื่องน่าสนุกกัน!” 


 


 


ก้นเขาเพิ่งจะสัมผัสพื้นกลับต้องร้องโอ๊ย กระเด้งขึ้นมาพร้อมแยกเขี้ยว หูปู้กุยหัวเราะ “น้องเกา ช่างกล้าเสียจริงนะ ทรายระอุขนาดนี้เจ้าก็กล้านั่งลงไปด้วย” 


 


 


“ไม่เกี่ยวกับทราย ที่พื้นมีของ!” เหล่าเกาด่าทออย่างเคียดแค้น เตะพื้นที่เพิ่งนั่งลงไปเมื่อครู่ เสียงดังปังคราหนึ่ง คนทั้งหลายต่างเบิกตาโพลงขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เหล่าเกาไม่ได้หลอกลวง ที่ใต้พื้นทรายกลับมีของอยู่จริงๆ  


 


 


หลินหว่านหรงนั่งยองๆ ลงไป ไม่สนใจว่าจะร้อนลวกมือ เขารีบคุ้ยแหวกทรายออกไป ทุกคนจดจ้องการเคลื่อนไหวของเขาตาไม่กะพริบ 


 


 


ทรายนั้นถูกแหวกออกเป็นชั้นๆ กลับมีต้นไม้แห้งอยู่ต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้เดิมทีมีก้านอันหนาอวบอยู่สองก้าน เพียงแต่สูญเสียน้ำจนค่อยๆ โรยราไป หดจนเหลือขนาดเท่าไม่กี่ฝ่ามือ หดจนเหมือนกับหัวไชเท้าแห้ง! 


 


 


“นี่มันต้นอะไร เหตุใดถึงโตอยู่ในทะเลแห่งความตายได้?!” ยังเป็นอวี้เจียที่เอ่ยปากก่อน ไม่รู้ว่าถามใครเช่นกัน…นางค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไป อยู่ข้างหลินหว่านหรงพร้อมเอื้อมมือ ค่อยๆ ลูบต้นไม้แห้งนั้น 


 


 


หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจยาว “เจ้านี่เรียกต้นหูหยาง เป็นต้นไม้ที่มีพลังชีวิตกล้าแกร่งมากที่สุดบนโลกชนิดหนึ่ง ต้าหัวเรามีชนรุ่นก่อนเคยชื่นชมมันว่า ‘เกิดแต่ไม่ตายหนึ่งพันปี ตายแต่ไม่ล้มหนึ่งพันปี ล้มแต่ไม่แห้งหนึ่งพันปี’ ความหมายก็คือความแข็งแกร่งของพลังชีวิต ไม่มีผู้ใดเทียมเทียบ” 


 


 


“ต้นไม้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด?!” อวี้เจียถูลำต้นแห้งเ**่ยวนั้นเบาๆ ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจออกมาน้อยๆ “เกิดแต่ไม่ตาย ตายแต่ไม่ล้ม ล้มแต่ไม่แห้ง ชีวิตสามพันปี ถึงกระนั้นกลับไม่อาจสู้ทะเลแห่งความตายหลัวปู้เน่าเอ่อร์นี้ได้ น่าสงสาร น่าเวทนา” 


 


 


“นางพูดว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์…อยากถามว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์นี่มันที่ไหนกัน?” เกาฉิวถามน้องหลินเสียงเบา 


 


 


“หลัวปู้เน่าเอ่อร์? อ๋อ อาจจะเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กของทูเจวี๋ยก็ได้ ไม่นับว่าโด่งดังอะไรมากนัก” หลินหว่านหรงลูบจมูก อธิบายอย่างลวกๆ  


 


 


“ไม่รู้เรื่อง” อวี้เจียถลึงตามองเขา แค่นเสียงแล้วกล่าวว่า “หลัวปู้เน่าเอ่อร์ก็คือหลัวปู้ปั๋วที่พวกเจ้าพูดนั่นล่ะ ในภาษาทูเจวี๋ยของพวกเรา หลัวปู้ปั๋วเรียกว่าหลัวปู้เน่าเอ่อร์ ความหมายก็คือทะเลสาบอันงดงามที่มีน้ำมานับพันปี…หึ ที่แท้หลัวปู้ปั๋วก็คือหมู่บ้านเล็กๆ ในสายตาของอัวเหล่ากง ยังนับว่าไม่โด่งดังมาก…อวี้เจียกลับได้รับรู้ความรู้ของเจ้าแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงหน้าร้อน หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ภาษาทูเจวี๋ยน่ะหรือ ไม่เพราะแถมจำยาก ข้าลืมไปชั่วขณะก็ให้อภัยได้” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะ “ทะเลสาบอันงดงามที่มีน้ำมานับพันปีอะไรกัน น่าขันยิ่งนัก ทรายที่มีอยู่เต็มไปหมดนี้ กระต่ายยังไม่ฉี่ ไหนเลยจะมีทะเลสาบได้” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างเห็นด้วยเช่นกัน อวี้เจียส่ายศีรษะเล็กน้อย กล่าวอย่างดูแคลนออกมาว่า “ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้า ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ของตัวเองแม้แต่น้อย แล้วจะไม่ถูกผู้อื่นรังแกได้อย่างไร? เมื่อหนึ่งพันปีก่อนหลัวปู้ปั๋วคือทะเลสาบขนาดมหึมา ในซานไห่จิง[1] ซึ่งบันทึกสถานที่ก่อนยุคฉินของพวกเจ้า ขนานนามหลัวปู้ปั๋วว่าโยว่เจ๋อ เคยมีสถานที่กว้างใหญ่สามร้อยลี้ ที่แห่งนั้นมีแหล่งน้ำ คิมหันต์เหมันต์ไม่เคยขาด ต่อมาก็มีชื่อเรียกขานจำนวนมาก อย่างเช่น ข่งเชวี่ยไห่ (ทะเลนกยูง) ลั่วผู่ฉือ (สระลั่วผู่) แต่ละชื่อล้วนไม่พ้นคำทะเลสาบ เป็นชาวต้าหัว แต่กลับไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยเช่นข้านี้ยังต้องเหงื่อตกแทนพวกเจ้า” 


 


 


เหล่าหูเหล่าเกาเล่นดาบทวนมาตั้งแต่เล็ก ที่ชอบอ่านมากที่สุดคือตำราภาพ ไหนเลยจะเคยศึกษาซานไห่จิงอะไรนั่น เมื่อถูกสาวน้อยทูเจวี๋ยกล่าววาจาต่อว่ามาสองสามประโยคก็รู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจทันที ก้มหน้าลงด้วยความละอายใจ 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ศาสตร์ทั้งหลายย่อมมีการศึกษาโดยเฉพาะ การเข้าใจประวัติศาสตร์หาใช่ให้พวกเราจดจำเรื่องราวน้อยใหญ่ได้ทุกเรื่องอย่างละเอียด หากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นทุกคนก็คงกลายเป็นนักประวัติศาสตร์ไปแล้ว หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย คุณหนูอวี้เจีย แม้เจ้าจะขนานนามตัวเองว่ารู้เรื่องราวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะรู้เรื่องราวน้อยใหญ่ภายในทูเจวี๋ยทุกสิ่ง!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ขอเพียงเป็นประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยที่แท้จริง อวี้เจียไม่มีทางไม่รู้” 


 


 


“ร้ายกาจขนาดนี้เชียว?” หลินหว่านหรงกลอกตา หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอสุ่มถามก็แล้วกัน ขอเรียนถามคุณหนูอวี้เจียว่า ข่านองค์แรกของทูเจวี๋ยมีสนมทั้งหมดกี่คน?” 


 


 


 


 


 


——  


 


 


[1] ซานไห่จิง หรือคัมภีร์ภูเขาและท้องทะเล เป็นคัมภีร์อายุกว่า 2000 ปี บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแม่น้ำ ทะเล ภูเขา พืชพันธุ์และสัตว์นานาชนิด รวมไปถึงตำนานเทพต่างๆ  

 

 


ตอนที่ 567 - 2 ผมขาวทรายสีเงิน

 

“สตรีที่ท่านข้านทูเจวี๋ยเราแต่งตั้งมีทั้งหมดแปดสิบเก้าคน” อวี้เจียกล่าวดูแคลน “เจ้ามาถามเรื่องพวกนี้ด้วยเหตุใด ข้าหลอกเจ้า เจ้าก็ใช่ว่าจะรู้อยู่ดี” 


 


 


“เขามีผู้หญิงมากขนาดนี้เลยนะ นั่นเยอะกว่าพ่อพันธุ์ม้าอย่างข้ามากเลย” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านข่างองค์แรกของพวกเจ้ามองสตรีเหล่านี้ที่ส่วนใดเป็นอันดับแรก?!” 


 


 


คำถามพรรค์นี้ก็ถามออกมาได้! ต่ำช้าลามกมารดามันเกินไปแล้ว แต่ข้าชอบมาก! หูปู้กุยกับเกาฉิวจ้องหน้ากัน ประกายลามกวูบวาบอยู่ในดวงตา เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง  


 


 


ดวงหน้าน้อยของอวี้เจียแดงก่ำ กล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้า เจ้ามันต่ำช้าลามก!” 


 


 


“ข้าต่ำช้าลามก?! เป็นเจ้าคิดเหลวไหลถึงจะถูก” หลินหว่านหรงหัวเราะร่า “ให้ข้าสอนประวัติศาสตร์ทูเจวี๋ยแก่เจ้าสักครั้งก็แล้วกัน การมองสตรีครั้งแรก สิ่งที่มองย่อมเป็นใบหน้าของสตรี มิเช่นนั้นเจ้านึกว่าจะเป็นที่ใดได้ มองขามองก้น นั่นเห็นหรือ?! นั่นคือต่ำช้าลามก!” 


 


 


อวี้เจียอึ้ง จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที เจ้าโจรนี่กำลังเล่นคำ แม้แต่ท่านข้าก็ถูกเขาด่าไปยกหนึ่ง 


 


 


เกาฉิวปรบมือหัวเราะอย่างต่ำช้า “ดูคนต้องดูหน้าจริงๆ ช่างเป็นคำพูดที่เอ่ยถึงสันดานของบุรุษได้ในประโยคเดียว สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียจริง!” 


 


 


มองท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของหลินหว่านหรงแล้ว สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อยากเข้าไปต่อยเขาสักสองหมัดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เห็นชัดๆ ว่าเจ้าหลอกล่อให้ข้าคิดเหลวไหล เจ้าคนนี้ ชอบก่อกวนไร้เหตุผล!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายศีรษะ ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ช่างสมกับที่ว่าหากคิดเพิ่มโทษย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำเสียจริง น้องสาว เจ้านี่ออกจะร้ายกาจเหลือเกินนะ ใช้ปากระราน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นคนถูก นี่ยังจะให้คนมีชีวิตได้อีกหรือ?” 


 


 


โทษของ ‘อวี้เจีย’ ย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำ[1]? ขาจงใจใช้คำพ้องมาประชดตนเอง สาวน้อยทูเจวี๋ยฉลาดหลักแหลม ไหนเลยจะฟังไม่ออก เพียงแต่นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เห็นอยู่ว่าเป็นเรื่องที่ตนเองได้เปรียบ แล้วเหตุใดพอเจ้าโจรนี่พูดไปไม่กี่คำ กลับเปลี่ยนทิศโดยสิ้นเชิงได้ เขามีความสามารถอันใดกันแน่? 


 


 


“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าต้องการพูดถึงที่มาของหลัวปู้ปั๋วนี้ เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องราวอันแสนจะงดงามให้เรื่องหนึ่ง” หลินหว่านหรงหัวเราะ กล่าวอย่างแช่มช้าออกมาว่า “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหนุ่มน้อยซึ่งเป็นราชนิกุลอยู่คนหนึ่งชื่อหลัวปู้เน่าเอ่อร์ เขาหล่อเหลาสง่างาม หน้าตาไม่ค่อยต่างจากข้า หลัวปู้เน่าเอ่อร์ไม่ยอมรับสืบทอดตำแหน่งราชา เขาต้องการเดินทางผ่านทะเลทรายไปที่ชิวฉือเพื่อศึกษาการดนตรีและการร่ายรำ ขณะเดินทางผ่านถ่าหลี่มู่เผินเขาก็หลงทาง ความกระหายน้ำและความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาหมดสติไปกับพื้น กลับถูกหมี่หลานบุตรสาวของเทพแห่งสายลมช่วยเอาไว้ แม่นางหมี่หลานผู้นี้ซื่อบริสุทธิ์น่ารัก สะสวยจิตใจดีงาม ทั้งสองบังเกิดรักแรกพบ ทุ่มเทใจให้ความรัก ยากพรากยากจาก เทพแห่งสายลมพอพบว่าบุตรสาวรักกับคนธรรมดา ด้วยความพิโรธอย่างยิ่งจึงควักดวงตาของหลัวปู้เน่าเอ่อร์ หักขาทั้งสองของหมี่หลาน จากนั้นก็เป่าพวกเขาแยกไปยังทะเลทรายอันนกน้างทางตะวันตกและตะวันออกสองฝั่ง ลงโทษให้พวกเขาไม่อาจพบหน้ากันชั่วชีวิต” 


 


 


เมื่อเขาเล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดลง ทว่าอวี้เจียฟังจนรู้สึกสนใจ รีบถามขึ้นมาว่า “จากนั้นล่ะ จากนั้นพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” 


 


 


ขอเพียงเป็นผู้หญิงก็ต่างชอบฟังเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก จะต้องถามตอนจบออกมาให้ได้ นี่คือกฎเหล็กที่ไม่อาจโยกคลอน หลินหว่านหรงลอบหัวร่อกับตัวเอง ส่ายศีรษะพร้อมถอนหายใจ “ทั้งสองต่างถูกแยกกันละฟากฟ้า ไม่อาจพอกันได้ ดั่งเช่นห้วงคำนึงเฉกเช่นดาบ แต่ละดาบเร่งให้คนแก่ชรา หมี่หลานสาวน้อยผู้งดงาม ทุกวันที่คิดถึงคนรัก ภายในคืนเดียวเส้นผมก็หงอกขาว น้ำตาที่ไหลรินรวมตัวจนกลายเป็นท้องธาร กลายเป็นทะเลสาบกระจ่างใสแห่งหนึ่ง นี่คือหลัวปู้ปั๋วในตำนาน หลัวปู้ปั๋วเมื่อโบราณกาล ทะเลสาบเปล่งประกายงดงาม น้ำมรกตท้องฟ้าสีคราม แม่น้ำหลายสายไหลรวม เฉกเช่นไข่มุกที่ร่วงหล่นลงมาทีละเม็ด ว่ากันว่านั่นคือหยาดน้ำตาของสาวน้อยผู้มากด้วยความรัก” 


 


 


“ต่อมาแม่นางหมี่หลานคิดถึงจนสิ้นชีวา ดวงวิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์ เพียงชั่วข้ามคืน ฟ้าเปลี่ยนสี ทะเลสาบแห้งเหือด หลัวปู้ปั๋วอันงดงามนับแต่นั้นก็หายไปตลอดกาล คงเหลือเพียงทรายสีเงินที่มีอยู่เต็มพื้นที่ ว่ากันว่าทรายสีเงินซึ่งมีอยู่เต็มไปหมดนี้เกิดจากเส้นผมขาวของสาวน้อย เรื่องเล่าที่เป็นตำนานนี้มีชื่อว่า หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน” 


 


 


หากเอ่ยถึงความสามารถในการเล่าเรื่อง คนแซ่หลินยอมรับเป็นที่สอง ใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้ายอมเป็นที่หนึ่งแล้ว เขาวาจาเป็นเลิศ เมื่อเทียบกับการร่ายกลอนโบราณอันจืดชืดของอวี้เจีย เขากลับตรงไปตรงมา เข้าใจโดยง่าย เล่าประวัติของหลัวปู้ปั๋วนี้อย่างน่าซาบซึ้งตราตรึงใจ เข้าใจได้ทุกวัย แม้แต่ชายฉกรรจ์คนหยาบเช่นเหล่าเกากับหูปู้กุยนี้ก็ยังฟังอย่างลุ่มหลง 


 


 


“หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน!” อวี้เจียอดก้มหน้าลงไปไม่ได้ พูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ดวงตาเปล่งประกายมุ่งหวังอย่างแปลกประหลาด เจ้าโจรคนนี้เหมือนเป็นนักเล่านิทาน ก่อนหน้านี้ใช้ปริศนาคำทายมาหลอกให้ตนเองติดกับจนหงุดหงิด ต่อมานิทานเรื่องนี้กลับทำให้คนจดจำฝังใจ หนึ่งดาษๆ หนึ่งสูงส่ง เกิดการเปรียบเทียบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ ‘หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงิน’ สองประโยคนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา ทว่ากลับทำให้คนจดจำฝังใจ ไม่มีทางลืมเลือนตลอดกาล 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะ “เป็นอย่างไร เรื่องนี้สนุกมากล่ะสิ? เทียบกับซานไห่จิงที่เจ้าเอาออกมาเล่าเป็นอย่างไรบ้าง?!” 


 


 


“เรื่องแต่งทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกน่า” อวี้เจียก้มหน้าลูบไล้ต้นหูหยางเบาๆ กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง  


 


 


เกาฉิวชูนิ้วโป้ง เอ่ยด้วยความชื่นชมอย่างยิ่ง “น้องหลิน ข้าพบว่าข้าชอบเจ้าเล่านิทานมากขึ้นเรื่อยๆ มิน่าคุณหนูและองค์หญิงถึงชอบเจ้าตั้งมากมายเช่นนี้! การเดินทัพครั้งนี้แห้งเ**่ยวอับเฉาน่าเบื่อ เจ้าพอจะเล่าเรื่องให้พวกเราฟังทุกครึ่งชั่วยามได้หรือไม่?” 


 


 


เจ้าคนบ้าคนนี้ เห็นข้าเป็นเจ้านิทานหลอกเด็กหรืออย่างไร? หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง อยากจะถีบเจ้าแก่คนนี้ให้กระเด็นไปเสียรู้แล้วรู้รอด  


 


 


สนทนากันไปหลายประโยค หูปู้กุยก็ย้ายต้นหูหยางออกไป ทันใดนั้นก็เห็นลำแสงสีขาวกระจ่างวูบ อวี้เจียร้องอ๊ะขึ้นด้วยความตกใจ กอดแขนหลินหว่านหรงไว้แน่น 


 


 


ครั้นช้อนดวงตามองไป ใต้ต้นไม้นั้นกลับมีกระดูกสีขาวอันเย็นเยียบโผล่ออกมา อวี้เจียตกใจจนหน้าซีด กอดแขนหลินหว่านหรง ไม่กล้าปล่อยแม้สักชั่วเสี้ยวนาที 


 


 


สตรีช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเสียจริง พวกนางสามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ทว่ากลับไม่อาจเงยหน้าเมื่ออยู่เบื้องหน้ามดแมลงและแมลงสาบได้เช่นกัน หลินหว่านหรงถอนหายใจ ขุดย้ายต้นหูกับเหล่าเกาสองคนออกไปจนหมด ทว่าข้างใต้กลับแน่นขนัด มีกระดูกขาวอยู่ทุกแห่งหน 


 


 


โครงกระดูกกองระเกะระกะ สภาพยุ่งเหยิงสะเปะสะปะ มีทั้งกระดูกม้าและกระดูกคน ลองนับขั้นต้น ดูท่าทางอย่างน้อยก็มียี่สิบสามสิบคนได้ ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าใดแล้ว 


 


 


“น้องหลิน ทำ…ทำไมถึงมีคนตายอยู่ตรงนี้ได้?!” เหล่าเกาฆ่าคนฆ่ามามากมาย แต่ในทะเลทรายอันไร้ขอบเขตแห่งนี้ จู่ๆ ได้เห็นโครงกระดูกกองพะเนินเช่นนี้ กลับรู้สึกหวาดกลัว 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว “เส้นทางสายไหม ไม่เพียงแค่มีผ้าไหมอันงดงามเท่านั้น ยังมีกระดูกขาวโพลนกองอยู่มากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้บุกเบิกของพวกเรา” 


 


 


นี่คือขบวนพ่อค้าขบวนหนึ่งบนเส้นทางสายไหม มีม้วนผ้าไหมหลายสิบพับที่เกือบจะแห้งกรอบนั้นเป็นหลักฐาน อาจเพราะขาดอาหารเสบียง สุดท้ายจึงฝังร่างอยู่ในทะเลทราย 


 


 


ข้างกระดูกสีขาวโพลนนั้นยังมีเศษอะไรบางอย่างอยู่ คล้ายเป็นหนังแกะแห้ง อวี้เจียไม่เอื้อนเอ่ยสักคำเดียว จัดระเบียบอย่างถ้วนถี่ 


 


 


หูปู้กุยมองหลายรอบ กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เหมือนจะมีตัวอักษรอยู่! มีภาษาต้าหัว แถมยังมีภาษาทูเจวี๋ยอีกด้วย! น่าแปลก เหตุใดชาวต้าหัวเรากับชนเผ่านอกด่านถึงมาผสมปนเปอยู่ที่หลัวปู้ปั๋วนี่ได้ล่ะ?!” 


 


 


นี่ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกเลย หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เส้นทางสายไหม ไม่ได้เป็นของพวกเราเท่านั้น แต่เป็นของชนชาติอื่นด้วย เป็นเส้นทางที่ใช้ร่วมกันของทุกชนชาติ พ่อค้าบนเส้นทางสายไหม ไม่แบ่งแยกต้าหัวกับทูเจวี๋ย ต่างเป็นผู้บุกเบิกที่กล้าหาญ เป็นผู้อาวุโสของพวกเรา แม้จะเป็นชนชาติที่แตกต่างกันสองชนชาติ แต่พวกเขาก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้” 


 


 


อวี้เจียเงยหน้ามองเขา คล้ายกำลังขบคิดพิจารณาความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเขา นางครุ่นคิดเล็กน้อย สายตาค่อยๆ เลื่อนลอย เงียบงันไม่เอื้อนเอ่ยวาจา… 


 


 


เรื่องเกี่ยวกับหลัวปู้ปั๋ว โคลงกลอนและเรื่องเล่าในบทนี้ส่วนใหญ่คือเรื่องจริง เรื่องของหมี่หลานก็นำมาจากเนื้อหาที่มีอยู่จริง ทว่าบทนี้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย หลั่งน้ำตาเช่นหมี่หลาน ผมขาวทรายสีเงินเป็นการแต่งเรื่องของพี่ซานล้วนๆ นักประวัติศาสตร์นักภูมิศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านอย่าถือเป็นเรื่องจริง 


 


—— 



[1] โทษของ ‘อวี้เจีย’ ย่อมไม่ลำบากในการหาถ้อยคำ มาจากสำนวนเดิมที่ว่า อวี้เจียจือจุ้ย เหอฮ่วนอู๋ฉือ (欲加之罪,何患无辞) โดยผู้เขียนต้องการเล่นคำว่า อวี้เจีย (玉伽) ชื่อของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ กับคำว่า อวี้เจีย (欲加) 


ตอนที่ 568 กลอนรัก

 

“ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิ…” หูปู้กุยขุดแหวกดินทราย จัดการจำแนกแจกแจงซากโครงกระดูกภายใต้ต้นไม้อย่างละเอียดถี่ถ้วนถี่ ทันใดนั้นก็พบอะไรบางอย่าง จึงส่งเสียงดังออกมา 


 


 


หลินหว่านหรงมองไปตามเสียง ภายใต้ดินทรายอันหนาทึบนั้นเผยให้เห็นโครงกระดูกอันสมบูรณ์สองโครงอยู่รําไร โครงกระดูกสองโครงนี้กอดแนบชิดกัน นิ้วมือทั้งสิบกุมประสานกันแน่น นอนอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้น เมื่อถูกสายลมและสายฝนมานานหลายปี กายเนื้อของพวกเขาจึกถูกย่อยสลายไปตั้งนานแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงซากโครงกระดูกขาวเท่านั้น 


 


 


อวี้เจียจ้องมองโครงกระดูกที่กอดกันแน่นนั้น ผ่านไปเนิ่นนานถึงพูดเบาๆ ออกมาว่า “เมื่อดูจากรูปร่างแล้วเหมือนจะเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี!” 


 


 


“ไม่แน่ว่ายังเป็นคู่รักกันด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมาตายอยู่ในทะเลทรายได้?!” หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับคุกเข่าลงไป แหวกดินทรายที่อยู่ข้างกระดูกนั้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นเศษหนังแกะจำนวนหนึ่งออกมาให้เห็นรําไร หนังแกะนี้ถูกลมพัดแดดสาดส่องมานาน ดำทะมึนและแห้งกรอบมาก ยุ่ยสลายกลายเป็นชิ้นๆ ตั้งนานแล้ว ถึงกระนั้นอวี้เจียกลับอารมณ์ดี นางเช็ดดินทรายออกไปเบาๆ ต่อเศษแผ่นหนังแกะเข้าไปทีละชิ้นทีละชิ้น  


 


 


บนหนังแกะผืนนี้เขียนอักษรภาษาจีนกับภาษาทูเจวี๋ยสองอย่าง ตัวอักษรแม้จะขาดหายไม่สมบูรณ์ ทว่าหลักใหญ่ใจความก็ยังอ่านได้ชัดเจน สาวน้อยทูเจวี๋ยจำแนกอย่างถ้วนถี่ สีหน้าค่อยๆ หนักอึ้ง นางถอนหายใจออกมาอย่างเลื่อนลอยในทันที ส่ายหน้าเบาๆ ใบหน้าผุดความอึดอัดคับข้องใจ 


 


 


เมื่อเห็นว่าอวี้เจียปราศจากเจตนาขัดขวางตนเอง หลินหว่านหรงจึงประชิดใบหน้าเข้าไปพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “นี่คืออะไร?! เป็นแผนที่ขุมทรัพย์หรือเคล็ดวิชา?! เกิดเหตุการณ์ประหลาดทุกครั้งจะต้องเจอของดี ในนิยายก็เขียนกันแบบนี้ทั้งนั้น” 


 


 


เจ้าคนนี้ดวงตานี่หาแต่เงินเสียจริง อวี้เจียถลึงตามองเขาด้วยความหงุดหงิดโมโห “เหตุใดเรื่องราวอันสวยงาม พออยู่ในสายตาของเจ้าก็ต้องกลายเป็นเรื่องทุเรศต่ำตมขนาดนี้ด้วยนะ…เจ้าดูเองเถอะ” 


 


 


ไม่รู้ว่าไปหาเรื่องผู้หญิงคนนี้ตรงที่ใดกันอีก สีหน้าของนางจึงเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ จ้องมองหลินหว่านหรง ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ  


 


 


หลินหว่านหรงเข้าไปประชิดข้างหน้า จ้องหนังแกะแผ่นนั้นพร้อมจำแนกอย่างละเอียดคู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็กลับกลายเป็นแปลกประหลาด เขาอยากหัวเราะ ถึงกระนั้นก็รู้สึกกระดากใจขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เมื่อเห็นว่าน้องหลินทำหน้าตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ สีหน้าแปลกประหลาดพิกล เกาฉิวจึงอดพูดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ “น้องหลิน บนนี้เขียนเอาอะไรเอาไว้หรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ก็ไม่มีอะไร แค่จดหมายรักที่เก่าแก่โบราณมากฉบับหนึ่งเท่านั้นเอง” 


 


 


“จดหมายรักเก่าแก่โบราณมาก?” หูปู้กุยหัวเราะ “นี่กลับแปลกแล้ว ในเมื่อเป็นจดหมายรัก เหตุใดต้องเขียนด้วยสองภาษาเล่า? หรือว่าก่อนตายพวกเขายังคิดที่จะแปลจดหมายรักของตัวเองให้กลายเป็นหลากหลายภาษาเผยแพร่ไปทั่วอีกหรือ” เกาฉิวผงกศีรษะส่งเสียงอืมออกมาคราหนึ่ง สนับสนุนความเห็นของหูปู้กุยอย่างชัดเจน 


 


 


หลินหว่านหรงมองดูโครงกระดูกที่ตระกองกอดกันนั้น กล่าวเสียงทุ้มหนักออกมาว่า “สาเหตุที่เขียนด้วยสองภาษานั้นเป็นเพราะคู่รักคู่นี้เกิดจากชนชาติที่แตกต่างกัน ผู้ชายคนนี้เป็นชาวต้าหัวของเรา ส่วนผู้หญิงก็คือสตรีทูเจวี๋ย” 


 


 


บุรุษต้าหัวกลับสตรีทูเจวี๋ย? หูปู้กุยเหล่าเกามองหน้ากัน หลายร้อยปีมานี้ต้าหัวกับทูเจวี๋ยอยู่ในสถานะที่เป็นศัตรูกันมาโดยตลอด ความรักของคนหนุ่มสาวสองชนชาติ นั่นถือเป็นเรื่องต้องห้ามอย่างยิ่งของทั้งสองฝ่าย คิดไม่ถึงว่าในทะเลแห่งความตายแห่งนี้กลับฝังคู่ยวนยางต่างชนชาติคู่หนึ่งเอาไว้ด้วย 


 


 


“ชายหนุ่มชาวต้าหัวนี้ถือกำเนิดในตระกูลผู้มีการศึกษา ต่อมาครอบครัวตกต่ำ ดังนั้นจึงละทิ้งเรื่องของอักษรมาทำการค้า ไปมาระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย เขาบังเอิญได้รู้จักกับสตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ ทั้งสองคนค่อยๆ บังเกิดความรักกันขึ้นมา ตกลงอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต ทว่าเนื่องจากการศึกสงครามที่มีมานานหลายปีของสองแว่นแคว้น สั่งสมความแค้นเอาไว้อย่างล้ำลึกยิ่งนักความรักของพวกเขาถูกคัดค้านจากทุกคน สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ถูกคนในเผ่าใช้ม้าจำนวนห้าสิบตัวมาเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน มอบให้กับผู้กล้าร่วมเผ่าพันธุ์คนหนึ่ง” 


 


 


เมื่อเล่าถึงตรงนี้หลินหว่านหรงก็ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วพูดต่อไปว่า “จะไม่วิจารณ์พวกเจ้าก็ไม่ได้แล้วจริงๆ…คนเราไม่ใช่สินค้า เหตุใดถึงค้าขายออกไปทั้งอย่างนี้ได้? ที่แท้พวกเจ้าเห็นสหายร่วมชาติของตัวเองเป็นอะไรกันแน่?!” 


 


 


เขาใช้สายตาจ้องมองอวี้เจีย คำพูดนี้กล่าวให้ใครฟัง ทุกคนล้วนรู้ดี สาวน้อยทูเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกล่าวอย่างดื้อดึง “นิสัยของคนในเผ่าข้า ไหนเลยจะต้องให้ชาวต้าหัวอย่างพวกเจ้ามายุ่งด้วย?!” 


 


 


“ไม่ให้พวกเรายุ่ง ดังนั้นเลยก่อเรื่องจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้! หากไม่ใช่คนในเผ่าของเจ้าบีบบังคับแล้วพวกเขาจะตายหรือ?” หลินหว่านหรงชี้ไปยังโครงกระดูกที่อยู่บนพื้น พูดเสียงดังขึ้นอีกนิด กล่าวด้วยความเดือดดาล 


 


 


อวี้เจียมองเขาหลายครั้ง กำหมัดน้อยแน่น กล่าวอย่างเย็นชาขึ้นมาว่า “เหตุใดถึงมาว่าแค่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเรา? เหตุใดถึงไม่ต่อว่าชาวต้าหัวของพวกเจ้า? การคัดค้านเรื่องมงคลนี้ พวกเจ้าก็มีส่วนด้วย! หากบอกว่าบีบพวกเขาให้ตาย ก็มีความผิดของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน!” 


 


 


มองดูสองคนทะเลาะเบาะแว้งพุ่งเป้ากันไปมา เหล่าเกาเหล่าหูต่างสบตากัน รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เดิมทีสองคนนี้ประชันปัญญาประชันความกล้าก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทุกประโยคตอบโต้กันกลับไปกลับมาเช่นในวันนี้กลับเห็นได้น้อยมาก ดูท่าว่าอวี้เจียคงหาเรื่องอะไรท่านแม่ทัพหลินแล้วจริงๆ 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะอึกอักสองครา “น้องหลิน เรื่องยังเล่าไม่จบเลย ในเมื่อสตรีผู้นั้นถูกมอบให้ผู้อื่นไปแล้ว แล้วเหตุใดถึงมาอยู่กับคนรักของนาง มายังหล้วปู้ปั๋วแห่งนี้ได้อีกเล่า?” 


 


 


“หนีตามกันมาน่ะสิ ยังจะมีวิธีไหนอีก” หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวด้วยความอับจนปัญญา “พวกเขาหลบหนีออกมาในคืนก่อนงานวิวาห์ ทว่ากลับถูกคนในเผ่าของผู้หญิงพบเห็น ถูกไล่ตามจนหมดสิ้นหนทาง ทั้งสองคนกัดฟันกรอด มุดเข้ามาในทะเลแห่งความตายที่ปราศจากผู้คนแห่งนี้ พวกเขาพบขบวนพ่อค้าขบวนนี้โดยบังเอิญ เพ้อฝันเอาว่าจะติดตามพวกเขาเดินผ่านเส้นทางสายไหม แสวงหาโลกของตนเอง เรื่องหลังจากนั้น ข้าไม่เล่าพวกท่านก็รู้แล้ว พวกเขาเดินเข้ามาในทะเลแห่งความตาย กลับไม่อาจเดินออกไปได้อีก การกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนกองหนึ่งอยู่ในทะเลทราย ไม่พรากจากกันอีกทุกชาติทุกภพ…นิ้วมือเรียวงามดวงพักตร์เปล่งประกาย กึ่งหนึ่งคือฝุ่นดินกึ่งหนึ่งดินทราย ข้าขอให้สวรรค์เบิกเนตร ลำบากเยี่ยงนี้เหตุใดถึงทอดทิ้งเรา! เฮ้อ กลอนดีๆ สหายผู้ล่วงลับท่านนี้ ไม่เพียงแค่เขียนกลอนได้ดี ความสง่างามนี้เหมือนข้าในสมัยก่อนยิ่งนัก” 


 


 


ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง พวกของหูปู้กุยสองคนฟังแล้วก็ทอดถอนใจ เมื่อครู่ได้ฟังน้องหลินเล่านิทานเรื่องผมขาวทรายสีเงินนี้ คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาก็มีของจริงมาแสดงให้เห็น 


 


 


อวี้เจียฟังเขาร่ายกลอน นิ่งงันเหม่อลอยอยู่นาน จากนั้นถึงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “กลอนเป็นกลอนดี คนก็มั่นคงในรัก มิน่าถึงทำให้สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราเทใจให้ เทียบกับโจรที่ไร้ความรู้ทำอะไรไม่เป็นหลอกลวงผู้อื่นพวกนั้นยังดีกว่าเป็นร้อยเท่า” 


 


 


นังหนูคนนี้มาประชดข้าอีกแล้วหรือ? หากพูดถึงการแต่งกลอน มั่นคงในรัก ข้าดีกว่าพี่ชายคนนี้เป็นร้อยเท่า หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของนาง ประชิดมาเบื้องหน้าอวี้เจีย “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ จดหมายรักของสตรีทูเจวี๋ยของพวกเจ้าเขียนว่าอะไร พอจะให้ข้าลองอ่านด้วยได้หรือไม่?” 


 


 


“เจ้าอ่านออกหรือ?” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองค้อนคราหนึ่ง ถือหนังแกะที่อยู่ในมือแน่นด้วยความระมัดระวัง 


 


 


หากเอ่ยถึงภาษาทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงก็อ่อนด้อยตื้นเขินจริงๆ เขาหัวเราะด้วยความอับจนปัญญาเล็กน้อย ส่งเสียงฮิฮะแล้วพูดว่า “มีภาษาบางอย่างที่ใช้รวมกันทั่วแผ่นดิน ถ้าไม่เรียนก็อ่านออก คุณหนูอวี้เจีย เจ้าจะอ่านจดหมายรักฉบับนี้ให้ฟังได้หรือไม่? สตรีทูเจวี๋ยจะเขียนจดหมายรักออกมาเช่นไร ข้าก็อยากรู้มากจริงๆ” 


 


 


มองดูใบหน้ายิ้มทะเล้นของเขา ท่าทางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น อวี้เจียก็หน้าแดงเล็กน้อย นางจ้องหนังแกะที่อยู่ในมือนั้น ก้มหน้าลงพร้อมอ่านเสียงเบา “…ข้าเป็นปลาที่อยู่ในทะเลทรายตัวหนึ่ง น้ำตาไหลรินยามคะนึงหา กลายเป็นสายธารที่ไม่มีวันแห้งเหือดในชีวิตของข้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงเหม่อลอย ผ่านไปเนิ่นนานถึงถอนหายใจเราพูดว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นี่เป็นกลอนรักที่สตรีทูเจวี๋ยผู้นั้นทิ้งเอาไว้หรือ?” 


 


 


อวี้เจียไม่เงยหน้า ส่งเสียงอืมเบาๆ ครั้งหนึ่ง “เขียนโดยสตรีทูเจวี๋ยของพวกเราจริงๆ” 


 


 


“ไม่เลวๆ ที่แท้ชาวทูเจวี๋ยก็มียอดหญิงด้วย” หลินหว่านหรงปรบมือ “บุรุษชาวต้าหัวของพวกเราคนนี้ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ลักพาตัวยอดหญิงทูเจวี๋ยหลบหนี ตีให้ตายก็ไม่ยอมจำนน ความห้าวหาญเช่นนี้เสูสีกับข้าได้เลยจริงๆ นะ” 


 


 


มองดูท่าทางหัวเราะต่ำช้าของคนผู้นี้แล้ว อวี้เจียก็อดแค่นเสียงออกมาคราหนึ่งไม่ได้ พูดอย่างมีน้ำโหเล็กน้อยออกมาว่า “ห้าวหาญอะไรกัน บุรุษต้าหัวผู้ชั่วช้าเช่นพวกเจ้าก็รู้จักแต่ล่อลวงสตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเรา!” 


 


 


นี่จะโทษพวกข้าได้หรือ? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แบมือทั้งสองข้างออกแล้วเลยว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลักการของเจ้าช่างแปลกประหลาดเสียจริง หากเป็นตามการวิเคราะห์ของเจ้า ข้าจะพูดแบบนี้เหมือนกันได้หรือไม่…สตรีทูเจวี๋ยผู้ชั่วช้า ชอบล่อลวงบุรุษต้าหัวอย่างพวกเรามากที่สุด!!” 


 


 


“เจ้า!” อวี้เจียไหนเลยจะฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขาไม่ออก เช่นนั้นจึงโมโหจนหน้าแดง หันหน้าไปอย่างเดือดดาล ไม่แยแสเขาอีกต่อไป 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ส่งเสียงถอนหายใจด้วยความทดท้อเป็นอย่างยิ่ง “เพียงแต่กลอนรักนี้แต่งได้ไม่เลวจริงๆ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ชอบมาก!” 


 


 


“ไม่ฟัง!” อวี้เจียปิดหูอย่างแง่งอน บางทีอาจเป็นเพราะร้อนเกินไป ใบหน้าของนางกลับแดงก่ำ  


 


 


นอกจากคู่รักหนึ่งหญิงหนึ่งชายนี้แล้ว โครงกระดูกอื่นๆ ต่างปะปนอยู่ด้วยกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้อีก 


 


 


หลินหว่านหรงพูดต่อไปว่า “ผู้บุกเบิกเส้นทางสายไหมเหล่านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นชาวต้าหัวหรือว่าชาวชาวทูเจวี๋ย พวกเขาต่างเพียบพร้อมด้วยความกล้าและจิตใจที่ต้องการแสวงหา เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าให้พวกเราเคารพนับถือ พี่หู เก็บรวบรวมโครงกระดูกของพวกเขา ฝังให้ดีๆ เถอะ” 


 


 


โครงกระดูกขาวของผู้วายชนม์บนเส้นทางสายไหมนี้พิสูจน์ถึงความแล้งน้ำใจของทะเลแห่งความตาย พวกเขากับนายทหารห้าพันนายคือผู้ร่วมเส้นทางอย่างแท้จริง  


 


 


บรรยากาศกดดันไปชั่วขณะ หูปู้กุยรับคำ ไปตามหานายทหารมาหลายคน ขุดหลุมขนาดใหญ่ ฝังโครงกระดูกขาวโพลนเหล่านั้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย บุรุษสตรีผู้มั่นคงในรักซึ่งเป็นตายร่วมกัน อยากจะพรากจากกันคู่นั้น ทุกคนใช้ทรายสร้างเป็นป้ายสุสานให้พวกเขาสองคนคนละหนึ่งป้าย แม้แต่หนังแกะที่เขียนกลอนรักอยู่เต็มไปหมดผืนนั้นก็ฝังลงไปพร้อมกัน 


 


 


มองดูโครงกระดูกซึ่งค่อยๆ ถูกทรายกลบฝัง ไม่ว่าพวกเขาจะเคยสูงศักดิ์มั่งคั่งมากเพียงใด สุดท้ายก็กลายเป็นดิน ณ ช่วงเวลานี้ไม่ว่าจะเป็นชาวต้าหัวหรือว่าชาวทูเจวี๋ย คล้ายไม่ได้สลักสำคัญเช่นนั้นอีกต่อไป 


 


 


หลินหว่านหรงคุกเข่าลงไปก่อน โขกศีรษะให้แก่เหล่าวิญญาณของผู้บุกเบิกที่ล่วงลับอยู่บนเส้นทางสายไหม อวี้เจียเห็นเขาทำเช่นนี้แล้วก็อึ้งไปเล็กน้อย นางละล้าละลังอยู่นาน แต่สุดท้ายก็กัดฟันกรอด คุกเข่าลงข้างกายเขาอย่างแช่มช้า 


 


 


หลินหว่านหรงมองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง กล่าวระคนหัวเราะออกมาว่า “นี่เจ้าคารวะใคร?” 


 


 


“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วยหรือ” อวี้เจียส่งเสียงฮึดฮัดเบาๆ “…แล้วเจ้าคารวะใคร?” 


 


 


“คารวะผู้บุกเบิกซึ่งใช้สองเท้าเหยียบย่างเส้นทางสายไหมเหล่านี้” 


 


 


อวี้เจียกัดฟันกรอด พูดออกมาเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็คารวะพวกเขาเช่นกัน!” 


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าเคร่งขรึมในบัดดล กล่าวเรียบๆ ออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าต้องคิดให้ดีนะ ผู้บุกเบิกเส้นทางเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ชาวทูเจวี๋ยของพวกเจ้า ทั้งยังมีชาวต้าหัวอย่างพวกเราด้วย เจ้าจะคารวะพวกเขาด้วยหรือ?!” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน พูดจาอึกอัก “ข้า ข้า…” 


 


 


“ช่างเถอะ ความเชื่อของแต่ละคนนั้นต่างกัน ข้าก็จะไม่บังคับเจ้าเช่นกัน” หลินหว่านหรงโบกมือเบาๆ พร้อมถอนหายใจอย่างเงียบงัน “เจ้าอยากคารวะใครก็คารวะคนนั้นเถอะ” 


 


 


อวี้เจียเงียบงันอยู่นาน จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาทันที ชี้ไปยังสุสานของคู่รักคู่นั้นพร้อมเอ่ยออกมาเบาๆ “ข้าขอคารวะพวกเขาคงได้สินะ ความซื่อสัตย์จงรักจงรักภักดีอยู่เคียงข้างกันของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนี้ทำให้ข้าซาบซึ้งใจ!” 


 


 


นังหนูคนนี้กลับฉลาดเสียจริงนะ ทำให้สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้หยิ่งผยองกลายเป็นแบบนี้ได้ก็หายากยิ่งแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ข้าซาบซึ้งมากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็มาคารวะพร้อมกันเถอะ ต้าหัวของเรามีประเพณีแบบนี้!” 


 


 


ประเพณีอะไรกัน! อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง หน้าแดงระเรื่อ ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว ทอดสายตามองสุสานที่ฝังร่างคู่รักคู่นั้น นางคารวะลงไปด้วยท่าทางแช่มช้อย ปากถอนหายใจพึมพำออกมาว่า “อยู่ไม่พรากจาก ตายไม่ทอดทิ้ง ร่วมเป็นร่วมตายกับคนรัก ไม่ใช่ความสุขอย่างหนึ่งหรอกหรือ?! ขอเทพแห่งทุ่งหญ้าโปรดคุ้มครอง อวี้เจียไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้อีกแล้ว! ขอให้คู่รักในแผ่นดินล้วนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข!” 


 


 


นางประนมมือ คารวะด้วยความจริงใจ โขกศีรษะด้วยความเคารพนบนอบ 


 


 


ไม่ต้องมองก็รู้ว่าแม่หนูคนนี้จะขอพรอะไร หลินหว่านหรงหลบแอบหัวเราะอยู่ด้านข้าง 


 


 


เมื่ออวี้เจียยืนขึ้น พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ตกแล้ว นั่งมองหลินหว่านหรง ทันใดนั้นก็หัวเราะเบาๆ ออกมา “อัวเหล่ากง ข้าอยากดื่มน้ำ เจ้ายังมีอีกหรือไม่?!” 


 


 


ไม่อยากให้พูดเรื่องไหนก็พูดเรื่องนั้นจริงๆ นะ! เจ้าเอาน้ำสะอาดไปล้างหน้าแล้ว ยังกล้ามาขอน้ำจากข้าเพื่อดื่มอีก? หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยน กล่าวด้วยความโมโหดุร้าย “หากเจ้ายังกล้าพูดคำว่าน้ำออกมาอีกสักคำหนึ่ง ข้าจะขอแลกกับเจ้าแล้ว” 


 


 


มองดูริมฝีปากแตกแห้งผากของเขา อวี้เจียก็ส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเจ้าฉลาดมาก แต่บางครั้งก็ข้ารู้สึกว่าเจ้าก็โง่เหมือนลิง!” 


 


 


“ขอร้องล่ะ ลิงน่ะฉลาดเข้าใจหรือไม่?!” หลินหว่านหรงพูดด้วยความไม่พอใจ 


 


 


อวี้เจียยิ้มเล็กน้อยพลางผงกศีรษะ หัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี ลิงฉลาด เจ้าดื่มน้ำแล้วหรือยัง?!”  


 


 


หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายลงไปในลำคอแห้งผาก “ต้องให้เจ้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยหรือ..เมื่อครู่ข้าเพิ่งดื่มไปหนึ่งร้อยกว่าอึก แน่นจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่มีเวลามาพูดไร้สาระกับเจ้า พี่หู สายแล้ว ขบวนออกเดินทาง!” 


 


 


หูปู้กุยรับคำ ขี่ม้านำหน้า ทหารห้าพันนายเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ เมื่อหลินหว่านหรงหันกลับมา กลับไม่พบร่องรอยของสาวน้อยทูเจวี๋ยแล้ว 


 


 


เกาฉิวส่งถุงผ้าที่มีผ้าไหมห่อหุ้มเอาไว้ให้เขาถุงนึง กะพริบตาด้วยความหมายกำกวม “น้องหลิน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ให้ข้าเอาสิ่งนี้มอบให้เจ้า!” 


 


 


ให้ข้า? อีกทั้งยังฝากเหล่าเกาเอามาให้อีก? หลินหว่านหรงเหลียวมองรอบด้าน กลับไม่รู้ว่าอวี้เจียมุดไปอยู่ท้ายขบวนไหนแล้ว 


 


 


ถุงผ้าไหมนี้ให้สัมผัสอ่อนนุ่ม พอบีบแล้วก็มีเสียงขลุกขลิกเบาๆ ไม่รู้ว่าบรรจุอะไรเอาไว้  


 


 


เขาแกะถุงออกด้วยความสงสัย เพิ่งมองได้แวบเดียวก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น 


 


 


สิ่งที่อวี้เจียมอบให้กลับเป็นถุงน้ำที่บรรจุอยู่เต็มถุงหนึ่ง บริเวณปากถุงมีรอยประทับริมฝีปากหยักโค้งที่ถูกลมพัดจนแห้งคล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่รอยหนึ่ง ทั้งยังส่งกลิ่นหอมจางๆ ออกมาอีกด้วย…  

 

 


ตอนที่ 569 - 1 วางยาพิษเจ้าให้ตาย

 

เมื่อกำลังพลขบวนใหญ่เดินทางล่วงเข้าสู่ทะเลทรายอันเวิ้งว้างต่อไป อากาศก็ยิ่งร้อนระอุมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพภูมิอากาศแห้งแล้งมากยิ่งขึ้น ลมทะเลทรายอันรุนแรงพัดเสียจนไม่อาจลืมตาขึ้นมาได้ 


 


 


สิ่งที่ทำให้คนกังวลหาใช่เพียงเท่านี้ ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางทะเลแห่งความตายมากขึ้นเรื่อยๆ ลมทะเลทรายก็ทวีความรุนแรงตาม ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือว่ากลางคืน ลมทะเลทรายอันรุนแรงบ้าคลั่งก็จะกลบท้องฟ้าจนเป็นสีเหลืองแดงไปจนหมดสิ้น กำแพงทรายสูงตระหง่านประหนึ่งลูกข่างที่กำลังหมุนวน ส่งเสียงหวีดหวิว คำรามเสียงดังลั่น พุ่งปะทะเข้าหาขบวน ฝังทุกคนอยู่ท่ามกลางทรายสีเหลือง แม้แต่การหายใจก็ยากลำบากเหลือแสน ยิ่งเดินมุ่งหน้าไปมากเท่าไหร่ ทะเลแห่งความตายก็ยิ่งเผยโฉมหน้าอันบิดเบี้ยวของมันมากขึ้นเท่านั้น  


 


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่แค่ความเร็วในการเดินทางจะลดทอนช้าลงไปมากเท่านั้น เรื่องอาหารการกินก็ทวีความยากลำบากมากขึ้นเช่นกัน ทุกวันจะต้องมีม้าศึกจำนวนหลายสิบตัวที่ล้มแดดิ้นอยู่กลางทะเลทราย เหล่านายทหารเองก็ค่อยๆ เกิดอาการขาดน้ำ 


 


 


“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าต้องอับจนกลายเป็นมนุษย์แห้งแล้วแน่ๆ” เกาฉิวแลบลิ้นหอบ น้ำลายที่ถ่มออกมาล้วนเป็นสีเหลือง เต็มไปด้วยดินทราย “ทะเลแห่งความตายมารดามันแห่งนี้ช่างไม่ใช่สถานที่ที่คนจะอยู่ได้เลยจริงๆ พวกเราจะออกไปได้เมื่อไหร่กันแน่นะ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงลำคอแห้งผากจนพ่นควัน เขากลืนน้ำลายอย่างแรง รู้สึกเจ็บลำคอเล็กน้อย นี่คืออาการของการขาดน้ำ 


 


 


“เมื่อดูจากทิศทางในตอนนี้ พวกเราน่าจะเดินทางได้ประมาณครึ่งทางแล้ว” หน้าผากของเขาร้อนระอุ ขณะที่ใช้แขนเสื้อยกขึ้นไปเช็ดกลับไม่พบเม็ดเหงื่อสักเท่าไหร่ “พี่เกา ท่านอย่าร้อนใจไป เมื่อดูจากโครงกระดูกที่พบระหว่างทางแล้ว เส้นทางที่พวกเรากำลังเดินทางอยู่นั้นไม่ผิด ต้องเคยมีคนรุ่นก่อนเดินทางตัดทะลุผ่านหลัวปู้ปั๋วจนเคยไปถึงแถบเกาชางและเทียนซานแน่นอน”  


 


 


พอเอ่ยถึงโครงกระดูกขาว เกาฉิวก็ขนลุกไปทั้งร่าง นับตั้งแต่วันนั้นที่ค้นพบกระดูกท่อนแรก สองวันที่ผ่านมานี้ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นวิญญาณอนาถาที่ล่วงลับไปแล้วมากเท่าใด หากพูดอย่างไม่เกินเลยไปนัก เส้นทางสายไหมแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่เกิดจากกองโครงกระดูก เมื่อเทียบกับผู้บุกเบิกเส้นทางเหล่านี้ พวกเขานอกจากมีจำนวนมากกว่าสักหน่อย ก็ไม่เห็นมีข้อได้เปรียบมากกว่านี้แล้วจริงๆ  


 


 


“เกาชาง เทียนซาน?!” หูปู้กุยขมวดคิ้วมุ่น “สถานที่หลายแห่งนี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน แต่เหมือนว่าพวกเราจะมีน้อยคนยิ่งที่เคยไปถึงสถานที่เหล่านี้นะขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะส่งเสียงอืม “เช่นนั้นพวกเราก็มาเป็นคนกลุ่มแรกที่ไปถึงก็ได้ เทียนซานเป็นสถานที่ที่ดีงาม สกุณาขับขานบุปผาหอมจรุง ทัศนียภาพประดุจภาพเขียน บนยอดเขามีหิมะและสระน้ำแห่งสรวงสวรรค์ ตามตำนานเล่าว่าเป็นสถานที่ลงสรงของเหล่าองค์หญิงของเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อข้ามผ่านเทือกเขาเทียนซานก็จะบรรลุถึงภูเขาอาเอ่อร์ไท่ พวกเราจะเข้าสู่ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอีกครั้งจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาอาเอ่อร์ไท่ เมื่อเดินทางตัดผ่านเคอปู้ตัวกับทะเลสาบอู้ซูปู้รั่วเอ่อร์ก็จะไปถึงเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ย”  


 


 


เส้นทางสายนี้คนทั้งหลายต่างรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้ว ครั้นเดินทางตัดผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่เข้าสู่ทุ่งหญ้า นั่นจะเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้แสดงฝีไม้ลายมือ แต่ที่เดินทางยากลำบากมากที่สุดก็คือเส้นทางจากทะเลแห่งความตายไปจนถึงเทียนซานแห่งนี้ 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ ท่านแม่ทัพ หลี่อู่หลิงเป็นอย่างไรบ้างแล้วขอรับ?” หูปู้กุยเคยถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง “อวี้เจียบอกว่าภายในสามวันเขาก็จะฟื้นขึ้นมา? แต่วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้วนะขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ นี่เป็นปัญหาที่เขากังวลมาตลอดเช่นกัน นับตั้งแต่ส่งถุงน้ำให้ อวี้เจียก็ทำเหมือนมองไม่เห็นเขา หลายวันมานี้นางกลับไม่พูดจากับเขาแม้แต่ประโยคเดียว 


 


 


“ข้าจะลองไปดูก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงโบกมือ เดินมุ่งตรงไปยังรถมาของหลี่อู่หลิง เพิ่งจะเลิกผ้าม่านครึ่งก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ลอยเตะจมูก เมื่อเพ่งมองอย่างถ้วนถี่กลับเห็นว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยมือถือครกตำยา กำลังตำยาเบาๆ อยู่ กลิ่นหอมนั้นลอยมาจากภาชนะที่บรรจุยาเอาไว้ 


 


 


หลินหว่านหรงมุดร่างขึ้นไป นำจมูกเข้าไปใกล้แล้วดม จากนั้นจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นี่มันยาอะไรกัน หอมจังเลยนะ!”  


 


 


อวี้เจียเหลือบมองเขาคราหนึ่ง จากนั้นจึงเบือนหน้าไป เหมือนไม่อยากสนทนากับเขา 


 


 


แม่หนูคนนี้เป็นอะไรไปอีกแล้ว?! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา “คุณหนูอวี้เจียลำบากแล้ว วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเส้นตายสามวัน ไม่ทราบว่าพี่น้องของข้าคนนี้จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่” 


 


 


“ไม่ต้องให้เจ้ามาเตือนข้า” สีหน้าของอวี้เจียเย็นชา ผลักครกตำยาใส่มือเขา “เจ้ามาได้พอดี ตำสมุนไพรนี้ให้แหลกละเอียด!” 


 


 


น้ำเสียงของนางเย็นชา ออกคำสั่งอย่างไม่เกรงใจ ในเมื่อเป็นการตำยาให้เสี่ยวหลี่จื่อ หลินหว่านหรงย่อมยินดีสั่งนางเรียกใช้อย่างเต็มใจ สากตำยาราวกับโบยบินได้ กระแทกภาชนะไม้นั้นเสียงดังปังๆ ผ่านไปไม่นานก็บดสมุนไพรนั้นจนเป็นผง ที่นางใช้ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรใดเช่นกัน ดมแล้วรู้สึกหอมมาก เมื่อสัมผัสถูกผิวหนังเพียงนิดเดียวกลับเย็นยิ่งนัก  


 


 


“น้ำ!” เมื่อเห็นว่าผงยาบดได้พอสมควรแล้ว อวี้เจียก็หยิบชามไม้มาชามหนึ่ง ออกคำสั่งอย่างเย็นชาว่า 


 


 


หลินหว่านหรงรีบหยิบถุงน้ำมาจากเอวแล้วเปิดฝาออกพร้อมเทน้ำลงไป อวี้เจียเห็นรอยริมฝีปากสีแดงที่แห้งแข็งอยู่บนปากถุงก็เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียง “เหตุใดถึงยังมีมากขนาดนี้ เจ้าไม่ได้ดื่มเลยหรือ?!”  


 


 


“เสียดาย…” หลินหว่านหรงปิดจุกถุงน้ำนั้นอย่างระมัดระวัง หัวเราะพร้อมตอบกลับมา 


 


 


สองแก้มของสาวน้อยทูเจวี๋ยร้อนลวกเล็กน้อย ก้มหน้าแล้วเทผงยาลงไปในชามพร้อมคนเบาๆ “เสียดายอะไรกัน ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าก็รู้จักแต่หลอกลวงคน!”  


 


 


หลินหว่านหรงรีบโบกมือ “ข้าหมายความว่าทรัพยากรน้ำล้ำค่า ดังนั้นถึงเสียดายที่จะดื่ม! ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องอื่น เจ้าอย่าคิดเตลิดไป!” 


 


 


“เจ้าน่ะสิถึงคิดเตลิด! ถือไว้!” อวี้เจียเอ่ยปากด้วยความหงุดหงิดรำคาญ ส่งชามไม้ให้เขา หลินหว่านหรงจึงทำได้แค่ถือประคองไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้น 


 


 


อวี้เจียควักสมุนไพรแห้งท่อนหนึ่งออกมาจากอก มาพร้อมกลิ่นที่ทำให้สำลัก นางหักสมุนไพรนี้ออกเป็น สองท่อนอย่างระมัดระวัง ส่วนที่เหลือก็เก็บกลับเข้าไปในอก หลินหว่านหรงลองดมดู สีหน้าอดแปรเปลี่ยนไม่ได้ “นี่คือ…หญ้าแสบจมูก?!” 


 


 


“นับว่าเจ้ายังพอมีความรู้อยู่บ้าง!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกมา ฉีกยาแสบจมูกให้เป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงไปในชามยา ชามยาซึ่งเดิมทีส่งกลิ่นหอมออกมาก็มีกลิ่นที่เปลี่ยนแปลงไปทันที กลิ่นฉุนแสบจมูกกลิ่นหนึ่งลอยเข้ามา ช่างเหม็นยิ่งนัก 


 


 


ใช้ใบยาสูบเป็นตัวยา นี่ก็ไม่ใช่ตำรับยาของการแพทย์แผนจีนแน่นอน ที่แท้เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำลังเล่นพิเรนทร์อะไรกันอยู่นะ? เมื่อได้กลิ่นฉุนแสบจมูกนั้น หลินหว่านหรงจึงพูดออกมาเบาๆ “หมอเทวดาอวี้เจีย ที่แท้นี่มันคือยาอะไรกันแน่ กลิ่นมันช่าง…ช่างพิเศษเสียจริงนะ!” 


 


 


“พิเศษอย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียยิ้มเล็กน้อย ยกชามยาไปที่ริมฝีปากเขาแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าลองชิมดูสิ!” 


 


 


“ให้ข้าชิม?!” หลินหว่านหรงตะกุกตะกัก “ไม่ต้องจะดีกว่า ข้าไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย จะกินยาทำไมกันเล่า” 


 


 


อวี้เจียผงกศีรษะ “เจ้าไม่ชิม? ถ้าเช่นนั้นก็ป้อนให้ผู้ได้รับบาดเจ็บผู้นี้เลยก็แล้วกันนะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่อยู่แล้ว!” 


 


 


“หมายความว่าอย่างไร?” หลินหว่านหรงเบิกตาขึ้นโพลง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


 


 


อวี้เจียมองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า “นี่คือสมุนไพรที่ค่อนข้างพิเศษอย่างหนึ่ง อยากให้คนที่ค่อนข้างหน้าหนามาลองยา ก็ง่ายๆ เช่นนี้ล่ะ!” 


 


 


คนหน้าหนามาลองฤทธิ์ยา? นังหนูคนนี้ด่าข้าอีกแล้ว! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครั้ง “คงไม่มีพิษหรอกนะ…” 


 


 


“เจ้าเลือกที่จะไม่ดื่มก็ได้…” อวี้เจียมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา 


 


 


ถ้าบอกว่าวางยาพิษ นางก็สามารถเล่นตุกติกในถุงน้ำได้เลยทันที ไหนเลยจะต้องเติมลงไปในตัวยาด้วย 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะออกมาหลายครั้ง มองน้ำยาที่ผสมคลุกเคล้านั้น เขากลั้นใจ บีบจมูกแล้วชิมคำเล็กๆ คำหนึ่ง  

 

 


ตอนที่ 569 - 2 วางยาพิษเจ้าให้ตาย

 

 “ถุยๆ!” ยาเพิ่งจะเข้าปากก็มีกลิ่นรุนแรงเข้าสู่ปอดผ่านทางลำคอ จากปอดย้อนกลับมาที่ลำคอทันที ชาๆ แสบๆ เปรี้ยวๆ ขมๆ อยากจะกลืนไปยิ่งกว่าน้ำซาวข้าวเสียอีก 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ๊ากออกมาครั้งหนึ่งแล้วบ้วนน้ำยาออกมาทั้งหมด หน้าตาเต็มไปด้วยความขื่นขม แลบลิ้นออกมายาวเหยียดหอบหายใจไม่หยุด “น้องสาว ที่แท้นี่มันยาอะไรกันแน่ ข้ากลัวว่าหากไม่ถูกเจ้าวางยาพิษจนตายก็ต้องถูกเจ้าทำให้ตกใจจนตาย” 


 


 


ใบหน้าของอวี้เจียปรากฏเป็นความยินดีปรีดา หัวเราะออกมาตัวโยน “ให้เจ้าดื่มเจ้าก็ดื่มหรือ…บอกว่าเจ้าทึ่ม เจ้าก็ยังไม่เชื่อ! อัวเหล่ากง คราวนี้เจ้าต้องถูกข้าวางยาไปจนตายแล้ว!” 


 


 


สีหน้าของหลินหว่านหรงแปรเปลี่ยนยกใหญ่ เอ่ยถามด้วยความตกใจอย่างยิ่ง “เจ้าพูดจริงหรือ?! เหตุใดจิตใจเจ้าถึงได้โหดเ**้ยมอำมหิตเช่นนี้?!” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองดวงตาเขา กัดฟันกรอดพร้อมกล่าวออกมาอย่างมีน้ำโห “ต่อให้จริงแล้วจะทำไม?! ข้าจิตใจโหดเ**้ยมอำมหิต ข้าจะวางยาพิษเจ้าให้ตาย…เจ้าฆ่าข้าเลยสิ!” 


 


 


อำมหิตผายลมน่ะสิ! ด้วยฝีมือของแม่หนูนางนี้ หากจะวางยาพิษจริงๆ ข้ายังจะมาถกเถียงกับนางอย่างอยู่ดีมีสุขตั้งครึ่งค่อนวันอย่างนี้อีกหรือ? เมื่อเห็นอวี้เจียโมโหเดือดดาลราวกับแม่เสือดาวดุร้ายเพราะความสงสัยของตัวเอง หลินหว่านหรงจึงโบกมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ พวกเราไม่ทะเลาะกันแล้ว ข้าชื่อว่าเจ้าไม่มีทาง…” 


 


 


“เจ้าฝันหวานไปแล้ว” อวี้เจียพูดขึ้นอย่างเย็นชา “บางทีเจ้าอาจจะถูกพิษที่ทำให้ไม่ค่อยออกฤทธิ์ของข้าแล้วยังไม่รู้ตัวก็ได้นะ”  


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “พวกเราอาจจะอยู่ในสถานะของสองชนชาติที่อยู่กันคนละฝ่าย แต่เจ้าไม่เหมือนคนชั่วช้าโหดเ**้ยมเช่นนั้น…ใช่แล้วล่ะ วันนั้นเหตุใดเจ้าถึงต้องหลอกข้าว่าเจ้าใช้น้ำล้างหน้าไปแล้วด้วยล่ะ? ทำจนข้าเชื่อแล้วจริงๆ!”  


 


 


อวี้เจียหน้าแดง กล่าวอย่างมีทิฐิ “หากพูดไปแล้วเจ้าจะเชื่อหรือ? เจ้าเป็นคนที่หลอกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? เป็นเจ้าที่คิดไม่ดีไปเองต่างหาก ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว”  


 


 


นางเบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากสีแดงชาดแน่น ใบหน้าเย็นชา หลินหว่านหรงรู้เช่นกันว่าเรื่องนี้ตนเองออกจะมีอคติไปบ้างจริงๆ สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้แม้จะจิตใจหยิ่งยโส ถึงกระนั้นกลับฉลาดล้ำเลิศ ไม่ใช่คนที่ทำอะไรมุทะลุแบบนั้นเด็ดขาด 


 


 


ภายในรถทั้งสองคนต่างไม่เอ่ยวาจา หลินหว่านหรงถือประคองชามยา จะรุกก็ใช่ที่จะถอยก็ใช่ที่ สีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างล้นเหลือ  


 


 


ประจันหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็หัวเราะฮ่าๆ ทนหน้าด้านพูดออกมาว่า “นั่น หมอเทวดาอวี้เจีย ถือว่าข้าขอโทษเจ้าก็ได้ คราวก่อนเป็นความเข้าใจผิดจริงๆ ใช่แล้วล่ะ ยังต้องขอบคุณที่เจ้ามอบน้ำสะอาดให้ข้าด้วย!” 


 


 


อวี้เจียเบือนหน้าไป แค่นเสียงออกมาเบาๆ พร้อมเผยว่า “นั่นแค่คืนให้เจ้าเท่านั้น ไม่ต้องให้เจ้ามาขอบใจ”  


 


 


หลินหว่านหรงมองเห็นสีหน้าของนางไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรกันแน่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพูดจาอย่างระมัดระวังออกมาว่า “หมอเทวดา สายมากแล้ว เจ้าว่าอาการบาดเจ็บของพี่น้องของข้าคนนี้…” 


 


 


“ดาบทองล่ะ?” อวี้เจียพูดตัดบทเขาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ หันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าอันเย็นชา  


 


 


หลินหว่านหรงควักดาบโค้งสีเหลืองอร่ามออกมาจากอกพลางกล่าวระคนหัวเราะ “อยู่นี่! คุณหนูอวี้เจียวางใจ จุดเด่นอันยิ่งใหญ่มากที่สุดของข้าคนนี้ก็คือความจริงใจ สิ่งที่รับปากเจ้าแล้วจะต้องทำได้แน่นอน เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดี!” 


 


 


อวี้เจียละคำพูดของเขาประโยคนี้ของเขาไปทันที นางทอดสายตามองดาบทองเล่มนั้น ภายในดวงตาคล้ายยินดีคลายกังวล เงียบงันอยู่นานถึงเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “เจ้าประคองผู้ได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเถิด”  


 


 


หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก รีบประคองร่างหลี่อู่หลิงขึ้นมาให้พิงกับหน้าอกตนเอง อวี้เจียหยิบดาบทองมาจากมือเขา เล็งไปที่หน้าอกของหลี่อู่หลิง หลินหว่านหรงตกใจทันที “เจ้าจะทำอะไร?!” 


 


 


อวี้เจียพูดอย่างเย็นชา “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้ามายุ่มย่าม เจ้าถือชามยาให้ดี ฟังคำสั่งข้า พอข้าตะโกนว่าเริ่มได้ เจ้าก็กรอกยา! กรอกรวดเดียวลงไปทั้งหมด ห้ามหยุด!” 


 


 


สาวน้อยใช้อำนาจสั่งการอย่างเต็มที่ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หลินหว่านหรงนอกจากทำตามคำสั่งแล้วก็ปราศจากหนทางอื่นใดอีก อวี้เจียกุมดาบทอง และไม่ดึงออกจากฝัก นางพลิกเปลือกตาหลี่อู่หลิง ผงกศีรษะเล็กน้อย ดาบทองที่อยู่ในมือโจมตีออกไปอย่างฉับพลันทันที ฝักดาบกระแทกหน้าอกเสี่ยวหลี่จื่อโดยแฝงพลังเล็กน้อย 


 


 


หลี่อู่หลิงที่กำลังหลับสนิทร่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง คล้ายบังเกิดเสียงแค่นลมหายใจด้วยความเจ็บปวดคราหนึ่ง ปากอ้าออก อวี้เจียส่งเสียงด้วยความร้อนใจออกมา “เร็ว เริ่มได้!” 


 


 


หลินหว่านหรงไม่กล้าชักช้า บีบคอหลี่อู่หลิง กรอกยาลงไปในปากเขาด้วยท่าแหงนศีรษะ หลี่อู่หลิงส่งเสียงอึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ได้รับการกระตุ้นจากยานั้น หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที กลับไออย่างรุนแรง  


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อ เสี่ยวหลี่จื่อ…” เมื่อเห็นว่าหลี่อู่หลิงมีปฏิกิริยาตอบสนอง ด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงจึงกอดร่างขาวพร้อมออกแรงร้องเรียก 


 


 


การกระตุ้นของยาไม่อาจดูแคลนได้ หลี่อู่หลิงไอออกมาหลายครั้ง ภายในท้องบังเกิดเสียงดังขลุกๆ ทันที อวี้เจียรีบพูดขึ้นมาว่า “รีบประคองเขาออกไปนอกรถ!” 


 


 


หลินหว่านหรงอุ้มเขาแล้วพุ่งลงไปจากรถม้า หลี่อู่หลิงส่งเสียงแหวะคราหนึ่ง หมอบอยู่บนขาเขา เริ่มอาเจียนใส่พื้นทรายอย่างรุนแรง 


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อ!” หูปู้กุย เกาฉิว สวี่จิ้นสามคนที่อยู่ทางนั้นเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงนี้ก็บุกเข้ามา สายตาของทหารทุกคนต่างมุ่งตรงมาทางนี้ 


 


 


ช่วงหลายวันที่หลี่อู่หลิงสลบไสล อาหารที่กินเข้าไปจึงมีจำกัดยิ่งนัก การอาเจียนครั้งนี้นอกจากน้ำใสๆ ที่มีรสเปรี้ยวแล้วก็ปราศจากสิ่งอื่นใดออกมาอีก แม้บาดแผลภายนอกของเขาจะสมานตัวพอสมควรแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นร่างกายก็ยังคงอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งนัก การอาเจียนครั้งนี้ราวกับใช้สรรพกําลังทั่วทั้งร่างกายจนหมดสิ้น เขานอนหงายอยู่ในอ้อมอกหลินหว่านหรง หน้าซีดราวกระดาษ หายใจแผ่วเบายิ่งนัก เพียงแต่ขนตาที่สั่นระริกเบาๆ นั้นเตือนสติทุกคนว่าเขาฟื้นแล้วจริง ๆ 


 


 


“น้ำ!” หลินหว่านหรงตวาดขึ้นเสียงดัง มีถุงน้ำที่หูปู้กุยส่งมาให้หลี่อู่หลิงตั้งแต่แรก ระหว่างที่เสี่ยวหลี่จื่อสลบไสลไม่ได้สติ แม้ว่าจะอยู่ในทะเลทราย ทุกวันยังคงป้อนน้ำไม่หยุด ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ถุงน้ำของเขามักจะถูกบรรจุไว้เต็มเสมอ 


 


 


หลินหว่านหรงกรอกน้ำสะอาดเข้าไปในปากเสี่ยวหลี่จื่อ หลี่อู่หลิงสูดเข้าไปหลายคำอย่างละโมบ ริมฝีปากแตกแห้งผากในที่สุดก็ค่อยๆ ขยับขมุบขมิบ 


 


 


หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก กอดบ่าของเขาไว้แน่น “เสี่ยวหลี่จื่อ เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้ารีบฟื้นเร็ว!” 


 


 


“พี่หลิน…” เสียงเรียกขานอันอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งนักนั้นแฝงด้วยลมหายใจ คล้ายมาจากท้องนภา ท่ามกลางเสียงคำรามของลมทะเลทรายภายในทะเลสาบแห่งนี้ แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน แต่ก็ยังเข้าสู่ใบหูของทุกคน 


 


 


หลี่อู่หลิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตาของเขาหม่นหมองไร้ประกาย เพียงแต่เมื่ออยู่ในสายตาของทหารห้าพันนาย กลับเจิดจรัสราวกับดาวประกายพรึกที่อยู่บนท้องนภา 


 


 


“ฮ่าๆ เสี่ยวหลี่จื่อฟื้นแล้ว เสี่ยวหลี่จื่อฟื้นแล้ว! ”หลินหว่านหรงส่งเสียงหัวเราะดังลั่น น้ำตาไหลริน…  

 

 


ตอนที่ 570 - 1 พายุ

 

 


 


 


เสียงกู่ร้องตะโกนนี้ราวกับมีปีกงอกเงย แพร่จากข้างหลังมาสู่ข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อึงคะนึงไปทั้งขบวนภายในชั่วพริบตา จิตใจอันร้อนแรงของเหล่านายทหารถูกจุดติดอย่างรวดเร็ว ทุกคนโอบกอดกันด้วยความดีใจ เสียงกู่ร้องยินดีดังกึกก้องสลับกันไปมาไม่ขาดสาย ความปีติยินดีและความตื่นเต้นเปี่ยมล้นภายในจิตใจของพวกเขา แม้แต่ทะเลแห่งความตายอันโหดร้ายทารุณแห่งนี้เหมือนไม่ได้น่าหวาดกลัวเช่นนั้นอีกแล้ว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ข้าวต้มมาแล้วขอรับ…” สวี่เจิ้นวิ่งเหยาะๆ มา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น มือของเขาถือชามไม้ไว้ สิ่งที่อยู่ในนั้นก็คือข้าวต้มอันร้อนระอุ ใต้น้ำใสที่มีไอร้อนพวยพุ่งมีธัญพืชและข้าวนอนก้นอยู่จำนวนน้อยนิด 


 


 


ธัญพืชเหล่านี้คงเหลือไว้หลังจากการปลดสัมภาระให้เบาลงครั้งแล้วครั้งเล่า เก็บไว้ให้หลี่อู่หลิงที่ได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะ ส่วนการต้มข้าวต้มภายในทะเลทรายซึ่งหยดน้ำมีค่าดั่งทองคำก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก เพื่อช่วยหลี่อู่หลิง ทหารห้าพันนายกลับแย่งกันแบ่งน้ำสะอาดอันล้ำค่าออกมาโดยไม่ตัดพ้อพร่ำบ่น 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งอยู่บนรถม้า มองดูภาพเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ สายตาเหม่อลอย การช่วยเหลือรักใคร่ซึ่งกันและกันเช่นนี้ ในสายตาของชาวทูเจวี๋ยที่เคารพเทิดทูนนิสัยหมาป่า ผู้อ่อนแอตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งนั้นแทบไม่อาจจะจินตนาการได้เลย 


 


 


หลินหว่านหรงกับเหล่าเการ่วมแรงกันประคองหลี่อู่หลิงให้ดี สวี่เจิ้นเป่าข้าวต้มที่ร้อนระอุให้เย็น จากนั้นถึงป้อนใส่ปากหลี่อู่หลิงด้วยความระมัดระวัง 


 


 


ข้าวต้มร้อนเข้าสู่ลำคอ หลี่อู่หลิงมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาหลายส่วน เขาเคี้ยวเล็กน้อยหลายคำจากนั้นก็กลืนลงไป ในที่สุดก็สูดลมหายใจลึกๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา 


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” เมื่อเห็นเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หูปู้กุยไม่อ่านสะกดกลั้นความยินดี เช็ดน้ำตาบริเวณหางตา เอ่ยถามอย่างปีติยินดี 


 


 


หลี่อู่หลิงริมฝีปากขาวซีด ถึงกระนั้นบนใบหน้าเหลืองอมโรคกลับเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้พบมานาน ตอบด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงออกมาว่า“พี่หู พี่เกา ข้ายังไม่ตาย?!” 


 


 


“ยัง ยัง เจ้าจะตายได้อย่างไร? เจ้ายังไม่ได้สู่ขอภรรยาเลยนะ ไม่ว่าใครก็เอาชีวิตเราไปไม่ได้ ฮ่าๆๆ…” เหล่าเกาดีใจจนหัวเราะอ้าปากเสียงดัง ภายในดวงตามีน้ำตารื้นอยู่ 


 


 


หลี่อู่หลิงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง กล่าวอย่างอ่อนแรงออกมาว่า “ข้าสบายดี พี่หลิน พี่เกา พี่หู พวกท่านสบายดีหรือไม่?!” 


 


 


“ดีๆ” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบศีรษะเขา “พวกเรากินได้นอนหลับ อยู่กันอย่างมีความสุข รออีกสองวันพอเจ้าหายดีแล้ว พวกเรารวมถึงสวี่เจิ้นจะพาเจ้าขี้ม้า ไปดูหลัวปู้ปั๋ว ท่องเที่ยวเทียนซาน ไปกระทำเรื่องอันสะเทือนเลื่อนลั่น เจ้าว่าดีหรือไม่?” 


 


 


“ดี” เสี่ยวหลี่จื่อใบหน้าเผยความตื่นเต้น “ถ้าชอบติดตามพี่หลินทำเรื่องใหญ่มากที่สุด ได้เปรียบหรือไม่ไม่รู้ แต่รับรองว่าไม่มีทางเสียเปรียบก็พอ…ท่านน้าสวีของข้าก็พูดเช่นนี้!” 


 


 


คุณหนูสวีพูด? ไม่มีอะไรนางมาพูดเรื่องพวกนี้กลับเสี่ยวหลี่จื่อทำไมกันนะ นี่ไม่ใช่การทำลายชื่อเสียงของข้าหรอกหรือ? หลินหว่านหรงเหงื่อแตกทันที ทุกคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า อดเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ ความสุขแผ่ขยายเข้าไปในจิตใจของคนทุกคน 


 


 


หลี่อู่หลิงฟื้นแล้ว ในที่สุดหินก้อนใหญ่อันหนักอึ้งซึ่งกดทับจิตใจของหลินหว่านหรงก็ถูกยกออกไปได้ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในการเดินทัพอย่างต่อเนื่องและต้องเผชิญหน้ากับทะเลแห่งความตายก่อนหน้านี้ของเหล่านายทหารล้วนปลาสนาการไปสิ้น ทุกคนต่างโห่ร้องยินดี อารมณ์คึกคักอักโข หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมาในช่วงเวลาสำคัญนี้ เหมือนได้ฉีดยาบำรุงหัวใจให้กับพวกเขา ทุกคนล้วนกระตือรือร้นอย่างเต็มที่ ความมั่นใจที่จะได้เดินออกจากทะเลแห่งความตายเพิ่มสูงขึ้น 


 


 


เสี่ยวหลี่จื่อหลับลึกมาหลายวัน ร่างกายอ่อนแรง กินข้าวต้มไปหลายคำ สนทนาไปหลายประโยค ก็ต้องทะเลาะกับหนังตา ไม่นานนักก็หลับไปอีก การหลับลึกในช่วงเวลานี้คือปฏิกิริยาตอบสนองในการปรับสมดุลของร่างกาย แสดงว่าอาการค่อยๆ ดีขึ้น แม้จะยังไม่ถึงขั้นหายดี แต่นั่นก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นเอง 


 


 


หลินหว่านหรงกับเหล่าหูย้ายเขาขึ้นไปบนรถม้าด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเกาฉิวจึงตรวจอาการบาดเจ็บของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง ฟังชีพจรและการเต้นของหัวใจ สุดท้ายก็หน้าชื่นตาบาน กล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ขอเพียงพักฟื้นให้ดี ภายในสามสี่วันเสี่ยวหลี่จื่อก็จะลงพื้นเดินเหินได้ เฮ้อ ถึงจะไม่ชอบชาวทูเจวี๋ย แต่ข้าก็ไม่อาจไม่พูดได้ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ก่อนหน้านี้ดึงเสี่ยวหลี่จื่อกลับมาจากประตูผีได้ นั่นก็อัศจรรย์จนไม่อาจอัศจรรย์ไปได้อีกแล้ว คราวนี้ก็ยิ่งล้ำเลิศ นางบอกว่าเสี่ยวหลี่จื่อจะฟื้นภายในสามวัน ก็ฟื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่ยอมนับถือก็ไม่ได้นะ!” 


 


 


เหล่าเกาหมอกำมะลอคนนี้ แม้รักษาโรคจะไม่ได้เรื่อง แต่ก็เป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธสูงส่งเช่นกัน เขาบอกว่าหลี่อู่หลิงจะลงพื้นเดินได้ภายในสามสี่วัน ก็น่าจะไม่ผิดแน่ 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ “แค่เรื่องวิชาการแพทย์ สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ก็มีฝีมือจริงๆ นับประสาอะไรกับนางช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ ข้าเหล่าหูนับถือยิ่งนักเช่นกัน” 


 


 


เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงอวี้เจีย หลินหว่านหรงถึงสังเกตได้ นับตั้งแต่หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมา ทุกคนขอร้องดีใจ สายตาไปอยู่ที่เสี่ยวหลี่จื่อ กลับหลงลืมสาวน้อยทูเจวี๋ยไป ก่อนหน้านี้ตอนช่วยเหลือคนเมื่อครู่นางยังอยู่ในตัวรถ ทว่าว่ายามนี้กลับหายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว โชคดีที่สถานที่แห่งนี้คือทะเลทรายอันเวิ้งว้างภายในทะเลแห่งความตาย ไม่มีใครกังวลว่านางจะหลบหนี 


 


 


เมื่อคนทั้งหลายจัดให้หลี่อู่หลิงพักผ่อนเรียบร้อยแล้วถึงกระโดดลงมาจากรถ ภายใต้แสงสายัณห์ อาทิตย์อัสดงทรายสีเหลือง หลัวปู้ปั๋วยามเย็นเผยให้เห็นโฉมหน้าอันอ่อนโยนอย่างยากจะได้เห็น ลมทะเลทรายพัดกระทบใบหน้าเบาๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น กลับเหมือนสองมืออันอ่อนนุ่มของสาวน้อย เส้นขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลเปล่งประกายสีทองระยิบระยับ  


 


 


ฉวยโอกาสช่วงที่หลี่อู่หลิงฟื้นขึ้นมาแล้ว ทุกคนจึงพักผ่อนอยู่กับที่สักระยะหนึ่ง หลินหว่านหรงตรวจสอบเสบียงอีกรอบ หากไม่อยู่เหนือความคาดหมายก็ยังพอฝืนยืนหยัดไปได้อีกสี่ห้าวัน 


 


 


เดินตั้งแต่หัวขบวนไปจนถึงท้ายขบวน ขณะกำลังจะเดินย้อนกลับไป ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีอันแผ่วเบาลอยเข้ามาอย่างแช่มช้า คล้ายตัดพ้อ คล้ายชอกช้ำรันทด ท่วงทำนองอ้อยส้อย ทำให้คนยากจะลืมเลือน 


 


 


บนเนินทรายที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ดวงตะวันค่อยๆ ตกดินอย่างแช่มช้า คล้ายถาดสีแดงกลมๆ ใบหนึ่งตัดแบ่งอยู่ที่เส้นขอบฟ้า เงาร่างอันงดงามร่างหนึ่งยืนสงบนิ่ง เรือนร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนั้นวาดเป็นเส้นเงาสีดำบางๆ ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงสีแดงสด ราวกับภาพสีน้ำที่สะท้อนขึ้นมา 


 


 


ทรายเหลืองปลิวกระทบชายกระโปรงอันพลิ้วไหวของนางเป็นระยะ นางจ้องมองสถานที่อันห่างไกลอย่างเงียบงัน สงบนิ่งราวกับเม็ดทรายในทะเลทรายขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง 


 


 


“นกกายามสนธยาเสาะแสวงหาเถาวัลย์พฤกษาอันแห้งเ**่ยว เรือนริมสายธารสะพานหลังน้อย อาชาผ่ายผอมสายลมประจิมเส้นทางโบราณ ใจข้าเอยจะขาดรอน…กลอนดีๆ!” 


 


 


เสียงโหวกเหวกโวยวายเสียงดังแว่วมาจากข้างหลัง อีกทั้งยังตามมาด้วยเสียงปรบมือเบาๆ หลายครั้ง สาวน้อยทูเจวี๋ยวางขลุ่ยหยกลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มบางให้เห็น นางแค่นเสียงเบาๆ ออกมาแล้วเอ่ยว่า “เป็นนกกายามสนธยาตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย เจ้าคนนี้ยังพอรู้ตัวอยู่บ้างนะ” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แห้งๆ ออกมาสองครั้ง กระโดดขึ้นเนินทรายยืนอยู่ข้างกายนาง “หมอเทวดา ช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริงนะ ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างแห่งนี้ยังมีอารมณ์มาดูพระอาทิตย์ตกดิน เป่าขลุ่ยหยก ช่างเป็นที่นับถือแก่คนเช่นข้ายิ่งนัก” 


 


 


“คนหยาบ?! อัวเหล่ากง ยากนักที่เจ้ากลับจะถ่อมตัวได้สักครั้งหนึ่ง” สาวน้อยทูเจวี๋ยประชดประชันเสียงเย็นชา 


 


 


“เป็นคนหยาบก็ถ่อมตัวด้วยหรือ?” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความตกใจยิ่งนัก “เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีแววเสียเหลือเกิน นี่ข้าเป็นคนหยาบมาตั้งนาน อยากจะละเอียดก็ละเอียดไม่ได้แล้วเหมือนกัน!” 


 


 


มุมปากของเจ้าคนผู้นี้ผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาอีกแล้ว อวี้เจียเห็นมานาน จะกี่มากน้อยก็พอเข้าใจนิสัยของเขาอยู่บ้าง ขอเพียงเห็นรอยยิ้มนี้ ในใจของเจ้าโจรต้องไม่ได้คิดอะไรดีๆ เป็นแน่ สาวน้อยส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกมาคราหนึ่ง เก็บขลุ่ยหยกขนาดเล็กกะทัดรัดเข้าไปในอก 


 


 


“นี่ ให้เจ้า!” หลินหว่านหรงหยิบดาบทองออกมาแล้วส่งใส่มืออวี้เจีย 


 


 


น้อยครั้งนักที่เจ้าโจรจะใจกว้าง ทอดสายตามองดาบโค้งที่ส่องประกายสีทองระยิบระยับเล่มนั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับลังเลอยู่ชั่วขณะ 


 


 


“เจ้า จะคืนให้ข้าจริงหรือ?” ใบหน้านางกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย 


 


 


“แน่นอนสิ เจ้านึกว่าสมญานามหนุ่มน้อยผู้ซื่อสัตย์ของข้าลือกันไปอย่างนั้นเองหรือ?” หลินหว่านหรงมองนางด้วยความรู้สึกไม่พอใจ “ดาบเล็กๆ เล่มนี้มาอยู่กับข้านอกจากใช้ตัดแต่งเล็บแล้วก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้จริงๆ ข้าพูดแล้วว่าจะคืนให้เจ้า นั่นก็หมายความว่าคืนให้เจ้าจริงๆ ไม่ต้องซาบซึ้งใจเกินไปนัก นี่เป็นสิ่งที่เจ้าควรได้อยู่แล้ว” 


 


 


ข้าจะซาบซึ้งทำไมกัน? อวี้เจียถลึงตามองเขาหลายครั้ง ฟังประโยคแรกๆ ของเขากลับยังมีความจริงใจอยู่บ้าง แต่พอถึงประโยคสุดท้ายกลับเป็นการได้เปรียบแล้วแต่แกล้งมาทำเป็นไขสืออย่างแท้จริง 


 


 


อวี้เจียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือออกไป กุมดาบทองเล่มนั้นแม่น นางดึงเบาๆ สองครั้ง ไม่รู้เพราะอะไรเช่นกัน ดาบทองเล่มนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ลองดึงอีกสองครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ 


 


 


“เจ้าจะจับแน่นขนาดนั้นทำไมกัน…รีบคลายมือออกสิ!” สาวน้อยร้องเรียกด้วยสีหน้าหงุดหงิดโมโห ใบหน้าแดง 


 


 


“อ้อ ข้ายังนึกว่าเจ้าไม่เอาแล้วเสียอีก!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน สองมือคลายออกไป “หมอเทวดา เจ้าตื่นเต้นตึงเครียดกับดาบเล่มเล็กเล่มนี้เสียขนาดนี้ หรือว่าข้างในจะซุกซ่อนความลับอะไรไว้?!” 


 


 


บนใบหน้าของอวี้เจียมีโทสะ ยัดดาบทองเล่มนั้นกลับใส่มือของเขา “มีความลับอะไรกัน? เจ้าเอากลับไปดูเองก็ได้แล้ว!” 


 


 


“นี่ถือว่าเจ้ามอบดาบทองให้ข้าแล้วหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยื่นมือไปลูบดาบทอง “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไม่เอาแล้ว เฮ้อ พูดตามความจริง ข้าไม่ได้ชอบเล่นดาบ!”  


 


 


“ใครให้เจ้า คืนมาให้ข้า!” อวี้เจียตวาดเสียงเจื้อยแจ้วคราหนึ่ง ชิงดาบทองกลับไปอีกครั้ง บริเวณดวงตาอันงดงามปรากฏสีแดงระเรื่อเล็กน้อย ทว่าใบหน้ากลับมีแต่โทสะ 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องดาบโค้งที่อยู่ในมืออวี้เจีย ยิ้มเล็กน้อย “ของของใครก็คืนคนนั้น ดาบทองเล่มนี้คืนให้เจ้าแล้ว เพียงแต่บุญคุณของคุณหนูอวี้เจียข้ายังต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”  


 


 


สีหน้าของอวี้เจียเย็นชา ใบหน้าอันงดงามปกคลุมด้วยความเย็นเยียบ “เจ้าจะมาขอบคุณข้าทำไม อย่าลืมสิว่าผู้ที่ยิงพี่น้องของเจ้าจนบาดเจ็บคือชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเรา เจ้าสังหารคนในเผ่าของข้า เราชาวทูเจวี๋ยก็ฆ่าสหายร่วมแคว้นของเจ้าเช่นกัน สองชนชาติของพวกเรานี้เดิมทีก็เหมือนน้ำกับไฟ หากมิใช่เจ้าใช้เงื่อนไขมาแลกเปลี่ยน เจ้านึกว่าข้าจะช่วยศัตรูของคนในเผ่าข้าอย่างนั้นหรือ?!” 


 


 


“ศัตรู? คุณหนูอวี้เจียกล่าวได้ดี” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเล็กน้อย กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “ด้วยความรู้ความสามารถของคุณหนูอวี้เจีย ข้ากลับขอเรียนถามสักหน่อย ต้าหัวเรากับทูเจวี๋ยของพวกเจ้ามีความแค้นอะไรกันแน่ เป็นใครที่ทำให้พวกเรากลายเป็นศัตรูคู่แค้นที่เป็นหรือตายก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้?”  


 


 


ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันเย็นชา เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของสาวน้อยทูเจวี๋ย ก็รู้สึกเพียงว่าเต็มไปด้วยความประชดประชัน แต่คำถามนี้นางดันไม่อาจตอบกลับไปได้ เพราะความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า ผู้ที่รุกรานต้าหัวก่อนก็คือบรรพบุรุษของนางนั่นเอง นางกัดฟันกรอด หลบสายตาเขา “เจ้าไม่ต้องมาถามข้า ข้าไม่รู้” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา “คุณหนูอวี้เจีย เกิดเป็นคนก็ต้องพูดด้วยจิตใจอันดีงาม คนในเผ่าของเจ้า บรรพชนของเจ้าทำอะไรเอาไว้บ้าง นับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบันเจ้ากลับไม่รู้เลยหรือ?! ข้าว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำโดยตั้งใจมากกว่า” 


 


 


“ต้องให้เจ้ายุ่งด้วย?!” อวี้เจียกัดฟันกรอดเค้นเสียงอย่างมีน้ำโห ราวกับแม่เสือดาวที่ถูกกระตุ้นโทสะ 


 


 


พูดเหตุผลกับผู้หญิง ความยากเท่ากับขึ้นท้องฟ้าไปลูบคลำดวงดาว หลินหว่านหรงถอนหายใจ “คนเรานั้นก็เล็กกระจ้อยร่อยยิ่งหนัก พวกเราอยู่ในประวัติศาสตร์ สิ่งที่มองเห็นก็มีแค่การสู้แลกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ราวกับน้ำและไฟเท่านั้น แต่มีใครรู้บ้างว่าอีกหลายร้อยปีหลังจากนี้ ศัตรูซึ่งเคยชักดาบเข้าหากัน เป็นศัตรูคู่แค้นกันกลับอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้? เมื่อเทียบกับกระแสธารอันยาวนานของประวัติศาสตร์ พวกเราซึ่งนึกว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ ก็เป็นเพียงเม็ดทรายอันเล็กกระจ้อยร่อยเม็ดหนึ่งที่อยู่ในนั้นเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะดิ้นรนเช่นไร คิดว่าตัวเองเป็นเช่นไร สุดท้ายแล้วก็ต้องถูกประวัติศาสตร์กลบฝัง ข้าเป็นเช่นนี้ คุณหนูอวี้เจียเจ้าก็ปราศจากข้อยกเว้น” 


 


 


อาการทอดถอนใจของเขานี้ เปลี่ยนจากท่าทางเหลาะแหละไม่จริงจังหัวเราะสรวลเสเฮฮาที่มีก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น ทุกประโยคล้วนออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ แม้แต่อวี้เจียเองก็ยังสัมผัสได้ถึงความจริงใจและความรู้สึกอับจนปัญญาที่มีอยู่ภายในจิตใจของเจ้าโจรคนนี้ได้เช่นกัน  


 


 


ท่าทางเช่นนี้ของเขากลับเห็นได้น้อยยิ่งนัก สาวน้อยทูเจวี๋ยนิ่งอึ้ง เสียงแผ่วเบาราวกับพึมพำกับตัวเองออกมาว่า “อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ เจริญรุ่งเรืองร่วมกัน? นี่เป็นไปได้หรือ?” 


 


 


“การหลอมรวมทางชนชาตินั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง ก็เหมือนคนรักที่ร่วมเป็นร่วมตายหรือโครงกระดูกสีขาวที่พวกเราได้เห็นบนเส้นทางสายไหมนี้ พวกเขาผู้ใดเป็นชาวต้าหัว ผู้ใดเป็นชาวทูเจวี๋ย เรื่องนี้ยังสำคัญหรือไม่? พวกเขาไม่ใช่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมฝ่าฟันความยากลำบากกันอีกหรือ?” 


 


 


อวี้เจียครุ่นคิด ไม่ได้โต้แย้งอย่างน่าประหลาด 


 


 


“หลายร้อยปีหลังจากนี้ เมื่อปราศจากพรมแดนเฮ่อหลานซานอีกต่อไป ทุ่งหญ้าและแผ่นดินด้านในรวมกันเป็นครอบครัวเดียว แต่ละชนชาติอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า แบ่งแยกกันไม่ได้อีกต่อไป!” 


 


 


อวี้เจียกลับไม่รู้ว่าคิดไปถึงที่ใด อดส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกมาคราหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าแดงก่ำ “ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้าอะไรกัน โจรเช่นเจ้านี้คิดแต่เรื่องไร้ยางอาย!” 


 


 


หลินหว่านหรงตาโตอ้าปากค้าง นี่ก็เรียกว่าไร้ยางอายหรือ? สวรรค์โปรดเวทนา เป็นเจ้าที่คิดเหลวไหลไปเอง ข้าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ ปราศจากความคิดพิเรนทร์แม้แต่น้อยเลยนะ ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้ช่างเผ็ดร้อนเสียจริง อะไรก็กล้าคิดออกมาได้! 


 


 


“เจ้าจะมาถลึงตามองข้าทำไมกัน! เรื่องหลายร้อยปีหลังจากนี้เจ้ารู้ได้อย่างไร?” สาวน้อยแค่นเสียงพลางใบหน้าแดง คล้ายรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง 


 


 


ผู้หญิงบ้ากามคนนี้ ข้าไม่ถลึงตามองเจ้าหรือว่าจะให้ถลึงตามองตัวเอง? หลินหว่านหรงกะพริบตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หรือเจ้าจะลืมไปแล้วว่าข้าดูดวงชะตาและลายมือได้ อย่างที่ว่ากันว่ารู้ย้อนหลังไปห้าร้อยปี รู้ล่วงหน้าห้าร้อยปี…ความรักอันยิ่งใหญ่นี้ข้าบอกเจ้าแค่คนเดียว เจ้าห้ามไปบอกคนอื่นล่ะ!” 


 


 


เห็นท่าทางเจ้าเล่ห์มีพิรุธของเขาแล้ว อวี้เจียก็อยากจะหัวเราะแต่ก็กลั้นเอาไว้ “เจ้าพูดมาตั้งมากมายขนาดนี้ การหลอมรวมทางชนชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์อะไรต่อมิอะไร แต่เจ้าอย่าลืมว่าสองแคว้นของพวกเราตอนนี้กำลังรบกันอยู่ หากข้าให้เจ้าล้มเลิกการโจมตีคนในเผ่าของข้า เจ้าจะยินดีหรือ?!” 


 


 


อวี้เจียช่างสมกับเป็นสตรีที่มีความคิดความอ่านอย่างยิ่งเสียจริง ปัญหานี้กลับทำให้หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไป เขาคงคิดอยู่นาน จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน การอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์นั้นมันก็เป็นแค่รูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น การรบในตอนนี้ยังต้องรบ เพียงแต่รบจนเจ็บแล้ว หวาดกลัวแล้ว ทุกคนถึงจะสงบจิตใจลง พิจารณาปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ดีได้ 


 


 


อวี้เจียเห็นสีหน้าก็รู้ความคิดเขา อดแค่นเเสียงพร้อมพูดออกมาไม่ได้ “เจ้าคนนี้ ปากคุยโม้เสียใหญ่โต แต่ใจกลับไม่ได้คิดเหมือนกัน?! ต่ำช้า!” 


 


 


คนอยู่ในประวัติศาสตร์ก็ไม่อาจเป็นตัวของตัวเองอยู่บ้างจริงๆ! หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกอับจนปัญญา ปลดถุงน้ำที่อยู่บริเวณเอวออกแล้วยัดใส่มืออวี้เจีย “มาพูดเรื่องพวกนี้ก็ช่างปวดหัวเสียจริง ช่างเถอะ ไม่คิดแล้ว ถุงน้ำถุงนี้ก็คืนให้เจ้าก็แล้วกัน!”  

 

 


ตอนที่ 570 - 2 พายุ

 

“ทำอะไรน่ะ” อวี้เจียมีโทสะแล้ว ออกแล้วโบกมือ “ของที่ถูกเจ้าทำให้สกปรก ข้าไม่เอาหรอกนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขอสาบานด้วยชื่อเสียงอันสูงส่งของข้า น้ำนี้ข้าไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย!” 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้แตะต้อง?!” สาวน้อยกัดฟันกรอดด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว “พวกเราชาวทูเจวี๋ย ของที่ให้ออกไปแล้วจะไม่มีวันรับกลับคืนมาอีก นี่คือสิ่งที่ข้าคืนให้เจ้า มันเป็นของเจ้า หากเจ้าไม่ชอบ เช่นนั้นก็เทมันทิ้งลงไปในทะเลทรายก็พอแล้ว” 


 


 


คนโง่น่ะสิถึงจะเทน้ำสะอาดลงไปในทะเลทราย มองดูอวี้เจียเดินหน้าไปด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว หลินหว่านหรงก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นไรดีเหมือนกัน ตอนนี้พวกเขามีสถานะเป็นศัตรูกัน แล้วทำไมกลับต้องผลักไสกันไปมาเพราะเรื่องถุงน้ำด้วยนะ พอคิดถึงเรื่องนี้ หลินหว่านหรงก็รู้สึกแปลกๆ 


 


 


ทั้งสองคนโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง ทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นจึงสงบไป  


 


 


ทะเลทรายเป็นสีแดงฉาน อาทิตย์อัสดงประหนึ่งโลหิต ทัศนียภาพอันงดงามเช่นนี้กลับมีความงดงามเฉพาะตัวยิ่งนัก อวี้เจียทอดสายตามองออกไปไกลด้วยท่าทีอันสงบนิ่ง ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงด้วยความตกใจออกมาว่า “นั่น นั่นคืออะไร!”  


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ช้อนสายตามองดู เห็นเพียงว่าบนเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ นั้น มีไอหมอกปกคลุม ค่อยๆ ปรากฏป่าทึบสีเขียวชอุ่มโผล่ออกมาอย่างน่าประหลาด ภายในป่ามีตัวเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการตั้งตระหง่านอยู่แห่งหนึ่ง ธงชักขึ้นสูงโบกพลิ้วไสว หอคอย กำแพงเมือง รถม้า จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ล้อมรอบเมืองนั้นคือแม่น้ำใสสะอาดที่ไหลอย่างแช่มช้า ม้าวัวแพะเดินหาอาหารอย่างสบายอารมณ์ บุรุษละสตรีหนุ่มสาวรื่นเริงมีความสุข เดินเลี้ยงม้าร้องรำทำเพลง 


 


 


เมืองซึ่งโผล่อย่างกะทันหันบนเส้นขอบฟ้านี้ราวกับเมืองบนสรวงสวรรค์ มองเห็นอย่างชัดเจน ราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม โดยเฉพาะสายน้ำที่ไหลรินนั้น สำหรับคนที่อยู่ในทะเลทรายแล้วก็ยิ่งยั่วยวนใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ไม่ใช่แค่หลินหว่านหรงกับอวี้เจีย แม้แต่นายทหารทุกคนก็มองจนเหม่อลอย 


 


 


“นะ…นี่มันคือที่ไหนกันแน่ เป็นสวรรค์อย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียมองอย่างลุ่มหลงยิ่งนัก กล่าวพึมพำกับตัวเอง 


 


 


สวรรค์?! ห้วงสมองของหลินหว่านหรงกระจ่างวูบ กระเด้งขึ้นมาทันที หัวเราะเสียงดังพร้อมพูดว่า “ข้ารู้แล้วเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น[1] นี่คือเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น!” 


 


 


“เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น?!”อวี้เจียอวี้เจียขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้สายตากระหายใคร่รู้มองดูเขา “อะไรคือเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น?” 


 


 


สาวน้อยคนนี้เติบโตบนทุ่งหญ้า แต่กลับไม่เคยเห็นภาพลวงตา ช่างน่าเสียดายเสียจริง หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “ต้าหัวเรามีกลอนกล่าวไว้ว่า ริมห้วงมหรรณพเซิ่นปล่อยไอกลายเป็นตึกและหอ ยิ่งใหญ่ไพศาลดั่งเวียงวัง เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นที่ว่านี้อันที่จริงแล้วก็คือภาพที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงหักเหกับพื้นดิน สะท้อนภาพที่อยู่ห่างไกลออกไป ดังนั้นพวกเราจึงเห็นตลาด ตัวเมือง ขุนเขาสายน้ำ ตัวคน มิหนำซ้ำยังกำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอีกด้วย ทุกอย่างมีชีวิตชีวาราวกับของจริง เซิ่นคือมังกรโบราณของต้าหัวชนิดหนึ่ง ตามตำนานเล่าว่ามันพ่นไอออกมาเป็นหอคอยและเมือง ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น” 


 


 


เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น จากความหมายของชื่อ โดยหลักแล้วจะปรากฏบนผิวทะเล จะปรากฏในทะเลทรายเป็นบางครั้งเช่นกัน แต่พบไม่มากมายนัก อวี้เจียไม่เคยเห็นกลับพอให้อภัยได้ 


 


 


อวี้เจียร้องอ้อออกมาครั้งหนึ่ง เอ่ยถามเสียงเบาว่า “เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น ชื่อนี้กลับมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ไม่เหมือนแต่งขึ้นมา เจ้าโจร ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยมาทะเลทราย แล้วเหตุใดถึงรู้ที่มาของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นได้?!” 


 


 


“เพราะข้าใฝ่รู้พากเพียรพยายาม อ่านตำรามากมายน่ะสิ” หลินหว่านหรงโม้โดยไม่แม้แต่กะพริบตา  


 


 


“ข้าไม่เชื่อหรอก!” อวี้เจียหัวเราะ ทอดสายตามองทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ภายในดวงเนตรอันงดงามเปล่งประกาย “สวรรค์ก็มีเมืองเช่นนี้ ซ้ำยังเรียกว่าเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น! หากข้าไปดูได้ นั่นจะดีมากเพียงใดนะ!” 


 


 


ดูผายลมน่ะสิ! ภาพที่แท้จริงของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นนี้ อย่างน้อยก็ห่างออกไปพันลี้ แล้วเจ้าจะไปตามหาที่ไหนได้? หลินหว่านหรงหัวเราะ “อย่าเลยดีกว่า ไม่แน่ว่าภาพของพวกเราทางนี้ก็สะท้อนขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาของผู้อื่นที่อยู่ไกลห่างออกไปก็เป็นได้!” 


 


 


“จริงหรือ? พวกเราก็เป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นด้วย?!” อวี้เจียยินดีเป็นล้นพ้น หันกลับมามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดีและความมุ่งหวัง 


 


 


ผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่หลอกให้ดีใจง่ายที่สุดในใต้หล้าเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครั้ง “น่าจะไม่ผิด เจ้ามองทิวทัศน์บนสะพาน ผู้ที่ชมทิวทัศน์มองเจ้าอยู่บนตึก พูดแล้วก็ไม่ใช่หลักการเช่นนี้หรอกหรือ?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาคราหนึ่ง ก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเบาๆ ออกมาว่า “อัวเหล่ากง เห็นเจ้าท่าทางเหมือนคนไม่ได้เรียนตำรับตำรา เหตุใดถึงพูดจามีหลักการออกมาได้?!” 


 


 


ข้าไม่ได้เรียนตำรับตำรา?! เจ้าเห็นด้วยตาข้างไหน! สมุดภาพที่เกาฉิวให้ข้า ข้าพลิกดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะออกมาคราหนึ่ง กล่าวโดยยิ้มแต่เปลือกนอก “อันธพาลมีอารยะ สตรีต่างหวาดกลัว! คุณหนูอวี้เจียเจ้าต้องระวังนะ!” 


 


 


สาวน้อยนิ่งงัน จากนั้นก็หัวเราะคิกคักในทันที “หากอันธพาลในใต้หล้ามีมาตรฐานเช่นเดียวกับเจ้า เช่นนั้นสตรีอย่างพวกเราก็ไม่ต้องกลัวแล้ว!” 


 


 


นี่คือการดูถูก ดูถูกกันเห็นๆ หลินหว่านหรงโมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน! อวี้เจียส่ายหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าในทะเลแห่งความตายกลับมีภาพอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้อยู่ด้วย ผู้อื่นเป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาเรา พวกเราก็เป็นเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นในสายตาผู้อื่นด้วยเช่นกัน อัวเหล่ากง คำพูดนี้ของเจ้ากลับบอกเล่าถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติสารพัดอย่างบนโลกมนุษย์จนหมดสิ้น” 


 


 


หรือว่าข้าจะเป็นคนมีตรรกะอันล้ำลึกขนาดนี้จริงๆ? ตัวของหลินหว่านหรงยังรู้สึกประหลาดใจจนต้องหัวเราะออกมา! 


 


 


ภาพของเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นนี้ปรากฏอยู่ในสายตาของนายทหารทุกคน เมื่อคิดเชื่อมโยงไปถึงการฟื้นขึ้นมาของหลี่อู่หลิงในวันนี้ก็พลันบังเกิดเป็นศุภมงคลจากสรวงสวรรค์ หมายถึงทัพของเราจะโชคดีมีชัย 


 


 


ผ่านไปไม่นานเมืองบนสวรรค์นั้นก็ค่อยๆ มลายหายไป ในที่สุดเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นก็กลายเป็นไอลอยล่อง ไม่หวนคืนอีก อวี้เจียมองอย่างเหม่อลอย พูดพึมพำว่า “เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น ที่แท้ก็เป็นความฝันตื่นหนึ่ง หาใช่ความจริง!” 


 


 


ไอหมอกสลายหายไป ลมทะเลทรายทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หินและทรายกระทบใบหน้าจนเจ็บ ทะเลแห่งความตายราวกับพิโรธอย่างเฉียบพลัน บริเวณที่เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นหายไปนั้นผุดเมฆสีเหลืองเข้มกลุ่มหนึ่ง เคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในหูก็ได้ยินยินเสียงกึกก้องของมัน  


 


 


“นี่คืออะไร?!” หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


อวี้เจียมองอย่างถ้วนถี่คราหนึ่ง หน้าซีดขึ้นมาทันที “พายุทะเลทราย!” 


 


 


นึกว่าจะช้าไป แต่กลับรวดเร็วกว่าที่คิด นางเพิ่งพูดจบ ทะเลแห่งความตายซึ่งเมื่อครู่ยังอ่อนโยนอยู่พลันเปลี่ยนสีหน้า หินและดินทรายปลิวว่อน สายลมบ้าคลั่ง เมฆเหลืองอันเร็วรี่กลุ่มนั้นแฝงเสียงหวีดหวิว พุ่งเข้ามาหาภายในชั่วพริบตา ฟ้าดินกลายเป็นสีเหลืองหม่นภายในชั่วพริบตา เพียงห่างออกไปไม่กี่จั้งก็มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนแล้ว 


 


 


“ลมพายุมาแล้ว ทุกคนรีบคุกเข่าลง จับมือให้แน่น ให้ช่วยเหลือกันและกัน…” หูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์ในทะเลทรายมากที่สุดใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย ตะโกนเสียงดังลั่นแข่งกับเสียงลม เกาฉิวกับสวี่เจิ้นที่อยู่อีกด้านหามหลี่อู่หลิงลงจากรถม้า ใช้ร่างกายของทั้งสองคนบังกันเขาเอาไว้ 


 


 


ช่วงหลายวันนี้ประสบพายุทะเลทรายมาหลายครั้ง เพียงแต่เสียงนั้น ขนาดนั้น กลับคนละเรื่องกับคราวนี้โดยสิ้นเชิง 


 


 


เสียงลมหวีดหวิวดังลั่นข้างใบหู เมฆสีเหลืองซึ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วนั้นค่อยๆ เผยโฉมหน้าอันบิดเบี้ยวออกมา ราวกับลูกข่างขนาดมหึมาที่กำลังหมุนอย่างเร็วรี่ซึ่งกำลังปะทะเข้ามาพร้อมเสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว ระหว่างทางที่เข้ามาหายังคงหมุนวนรอบตัวเองอย่างรวดเร็วไม่หยุด พัดพาจนหินดินทรายกระจัดกระจาย ประหนึ่งคมดาบอันแหลมคม 


 


 


เนินทรายที่อยู่ใต้เท้าโยกคลอนราวกับจะโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้า คนไม่อาจยืนตรงได้อีก ทรายที่มีอยู่เต็มใบหน้าเข้าไปในปากและจมูก ทำให้หายใจติดขัดขึ้นมาทันที 


 


 


“รีบไปเร็ว!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดัง จับมืออวี้เจียหมุนกายแล้ววิ่งลงไปจากเนินทราย เสียงลมหวีดหวิวดังอยู่ข้างหลัง ประหนึ่งมีน้ำหนักนับหมื่นจินกดทับลงมา ทั้งสองสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย สายลมพัดหมุนวน ใต้เท้ากลับเบามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะหลุดจากผิวพื้นดินเยี่ยงนั้น 


 


 


หนีไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เนินทรายที่อยู่ข้างหลังก็ส่งเสียงถล่มดังครืน ถูกพายุทรายนั้นกวาดม้วนทั้งลูก ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้าเป้นวงขนาดมหึมา ทรายซึ่งโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งนั้นรวมกันเป็นกลุ่มเดียว กลายเป็นพายุทะเลทรายที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รุนแรงมากยิ่งขึ้น พุ่งเข้าหาทุกคน 


 


 


“คุกเข่า รีบคุกเข่าลง!” ท่ามกลางสายลมอันบ้าคลั่ง หลินหว่านหรงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงตัวเอง ทุกครั้งที่อ้าปากก็จะมีพายุทรายขนาดม**มากรอกเข้าลำคอ แสบจนเขาต้องไอและหอบออกมาอย่างรุนแรง เขาจับมืออวี้เจียไว้แน่น ตะโกนเสียงดังโดยใช้พลังทั่วทั้งร่าง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยคล้ายได้ยินเสียงตะโกนของเขา งอขาทั้งสองข้างลงในบัดดล มือจับเขาแน่น ดึงเขาให้คุกเขาลงไปด้วย  


 


 


พายุทะเลทรายที่กำลังหมุนวนอยู่ข้างหลังดังหวีดหวิว แฝงพลานุภาพในการขุดรากถอนโคน หมุนวนข้างกายคนทั้งสองไม่หยุดหย่อน หลินหว่านหรงรู้สึกเพียงว่าร่างกายตนเบาหวิว ร่างกายที่มีน้ำหนักหนึ่งร้อยสี่ซ้าห้าสิบจิน[2] คล้ายจะกระเด้งขึ้นไปในอากาศ กลายร่างเป็นเม็ดทรายในทะเลทรายเม็ดหนึ่ง 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด หากถูกกวาดม้วนขึ้นไปในอากาศ นั่นก็เท่ากับมุดเข้าไปในเครื่องปั่น สิ่งที่รอคอยเขาอยู่ก็คือร่างที่แหลกสลายป่นปี้! เขาคำรามดังอ๊ากออกมาคราหนึ่ง สองขาจมลงไปในทรายอย่างแรงเพื่อเพิ่มแรงต้านทาน ยับยั้งไม่ให้ร่างกายปลิวหมุนขึ้นฟ้า  


 


 


“พรึบ!” เสียงทึบๆ ดังท่ามกลางสายลมคราหนึ่ง แม้จะเบา แต่หลินหว่านหรงกลับได้ยินอย่างชัดเจน 


 


 


อวี้เจีย! 


 


 


เขารีบจับมือของสาวน้อยแน่น ฝืนลืมตาท่ามกลางลมทะเลทราย เห็นว่าร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยเป็นเหมือนต้นหลิวที่กำลังเอียงล้ม สองขาแกว่งไกวไปมาท่ามกลางสายลม เห็นว่ากำลังจะถูกกวาดม้วนเข้าไป เพียงแต่นางมีสีหน้าดื้อดึง ต่อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมขอร้อง! 


 


 


ผู้หญิงที่ดื้อด้านคนนี้นี่! หลินหว่านหรงโมโหจนคำรามด้วยโทสะ สองขาดีดขึ้นอย่าเร็วรี่ทันที สะบัดแขนออกไปแล้วกอดนางไว้ในอ้อมอกแน่น 


 


 


อวี้เจียตัวสั่น ทว่ากลับไม่สนใจความเป็นความตาย ประหนึ่งม้าป่าที่ไม่ยอมสยบตัวหนึ่ง ดิ้นรนอย่างรุนแรงภายในอ้อมอกเขา 


 


 


“เจ้าทำอะไร อยากตายอย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงระเบิดโทสะ ตวาดอย่างรุนแรงข้างใบหูนางด้วยกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด ประหนึ่งหมาป่าที่น่ากริ่งเกรงตัวหนึ่งท่ามกลางลมพายุทะเลทรายอันรุนแรงนี้  


 


 


ร่างของอวี้เจียชะงักงัน พยายามออกแรงลืมตาขึ้นมองเขาอย่างเต็มที่ ท่าทางตวาดดุดันรุนแรงของเจ้าโจรคนนี้ราวกับเทพสวรรค์ที่กำลังเดือดดาล ดวงตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยสาดประกายหลายหลาก แปรผันมากหลายออกมาภายในชั่วพริบตา สลับซับซ้อนยิ่งนัก 


 


 


ครั้นเห็นนางไม่ขัดขืนต่อไป หลินหว่านหรงถึงผ่อนลมหายใจยาว ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้ยังป่าเถื่อนยิ่งกว่าเสือดาวเสียอีก ไม่โหดสักหน่อย ก็คุมนางไม่อยู่แล้วจริงๆ  


 


 


สายลมบ้าคลั่งรุนแรง สองคนกอดกัน ได้ยินเพียงเสียงลมดังข้างใบหู ร่างกายเป็นเหมือนเรือน้อยที่ขยับขึ้นลงเป็นระยะตามระลอกขึ้นบนห้วงมหรรณพ 


 


 


เสียงดังแคว่กคราหนึ่ง กลับเป็นชุดที่อยู่ทางด้านหลังของหลินหว่านหรงถูกหินที่ปลิวอยู่กรีดจนขาด ชุดนั้นถูกสายลมอันบ้าคลั่งฉีกขาดปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้าท่ามกลางสายลมรุนแรง 


 


 


“ถุงน้ำ!” อวี้เจียอ้าแขนทั้งสองข้างออก ร้องเสียงดังออกมา นางขดตัวอยู่ในอ้อมอกหลินหว่านหรง ดังนั้นจึงมองเห็นชัดเจน ถุงน้ำซึ่งแขวนอยู่ที่เอวของหลินหว่านหรงปลิวหมุนวนไปกับสายลมตามชุดที่ขาดวิ่นนั้น จากนั้นจึงร่วงหล่นห่างจากตัวไปไม่กี่จั้ง 


 


 


น้ำดั่งชีวิต! หลินหว่านหรงปวดใจ ทว่ากลับไม่อาจสนใจอะไรได้มากนัก น้ำหมดสิ้นก็ยังหาใหม่อีกได้ คนหมดสิ้น เช่นนั้นก็เท่ากับสลายเป็นอากาศธาตุของจริงแล้ว 


 


 


ยังคิดไม่จบก็รู้สึกหน้าอกเบาโหวง อวี้เจียคนนั้นกลับพุ่งปราดออกไปราวกับแม่เสือดาวอันปราดเปรียวว่องไว เมื่อดูจากทิศทางนั้นแล้วกลับพุ่งตรงไปยังถุงน้ำ 


 


 


สายลมบ้าคลั่งดังหวีดหวิว หมุนวนโอบล้อมร่างกายนาง กำลังจะดึงร่างนางให้ลอยขึ้น สาวน้อยทูเจวี๋ยโผลล้มลงกับพื้น เพียงยื่นมือออกไปเท่านั้น 


 


 


ร่างกายของนางต้านลม นิ้วมืออยู่ห่างจากถุงน้ำแค่ไม่กี่นิ้ว ถึงกระนั้นจนแล้วจนรอดก็คว้าไม่ถึง สาวน้อยกัดริมฝีปากจนหลั่งโลหิต สองขาดีดให้ไปข้างหน้าอย่างแรง สายลมบ้าคลั่งรุนแรง ค่อยๆ พัดพาร่างนางขึ้น ส่วนถุงน้ำนั้นก็หมุนวนไม่หยุด ตั้งแต่ต้นนิ้วมือก็อยู่ห่างจากถุงน้ำเพียงน้อยนิด ถึงกระนั้นก็ยากจะเข้าใกล้ได้อยู่ดี 


 


 


เมื่อเห็นว่าสายลมอันบ้าคั่ลงกำลังจะพัดาร่างนางให้ลอยขึ้น อวี้เจียก็หลับตา น้ำตาสองหยดไหลริน ขณะที่กำลังจะทำใจจากไปตามสายลมนั้นเอง กลับรู้สึกว่าร่างกายถูกดึงกลับมาอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง 


 


 


เสียงซึ่งเกือบจะเหมือนการขู่คำรามเสียงหนึ่งดังข้างใบหูนาง “ผู้หญิงโง่ เจ้าไม่ต้องการชีวิตแล้วหรือ?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยน้ำตาไหลพราก นางยื่นมือออกไปคว้าถุงน้ำกลับมาอย่างรวดเร็ว กอดไว้ในอกแน่น 


 


 


หลินหว่านหรงใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นทราย สองขาย่ำอยู่บนพื้นทราย คุกเข่ากอดร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์เอาไว้ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เป็นเขาที่รีบรุดเข้ามาโดยไม่สนชีวิต เพียงแต่เพลิงโทสะที่มีอยู่ในใจกลับไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้แล้ว “เจ้าจะทำอะไรกันแน่? เจ้าไม่อยากอยู่ แต่ข้ายังอยากอยู่นะ ถูกเจ้าทำให้โมโหจะตายอยู่แล้ว!” 


 


 


“ไม่ได้ทำอะไร” สาวน้อยตวาดด้วยโทสะออกมาทันที เสียงดังกว่าเขาหลายเท่านัก คล้ายเสือดาวน้อยที่กำลังเดือดดาลตัวหนึ่ง “น้ำที่ข้าให้เจ้า ห้ามหายไปแม้แต่หยดเดียว ฟังเข้าใจหรือไม่? ก็แค่นี้ล่ะ!” 


 


 


พอพูดจบนางก็กอดถุงน้ำนั้นแน่น มุดขวับเข้าไปในอ้อมอกหลินหว่านหรง ซุกใบหน้าเข้ากับหน้าอกเขา ไม่กล้าขยับเขยื้อนอีกต่อไป! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่น หมายถึง ภาพลวงตา 


 


 


[2] จิน เป็นหน่วยวัดน้ำหนักของ โดยหนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม  

 

 


ตอนที่ 571 - 1 หลอกลวงและแค้นใจ

 

นังหนูคนนี้กลับยังร้ายกาจกว่าข้าอีกหรือ? ถูกนางเอะอะโวยวายใส่ หลินหว่านหรงกลับอึ้งไป อะไรคือห้ามหายไปแม้แต่หยดเดียว? แม่หนูนี่ออกจะวางอำนาจเกินไปแล้วกระมัง 


 


 


ทะเลแห่งความตายเป็นสีเหลืองขมุกขมัวไปหมด เสียงสายลมขู่คำรามอย่างบ้าคลั่ง หินดินทรายปลิวว่อน เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลก็เหมือนเมฆสีเหลืองซึ่งกำลังเคลื่อนที่พวยพุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ลมพายุที่มีอยู่เต็มผืนฟ้าคำรามก้อง กวาดม้วนฝุ่นดินคละคลุ้ง เศษหินขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันปลิวลอยหมุนวนอยู่ในอากาศ กระแทกกับพื้นส่งเสียงดังเพียะๆ อยู่ใจกลางลมพายุ หลินหว่านหรงซึ่งแม้ปกติจะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งไร้เทียมทานก็ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนใบไม้แห้งใบนึง ถ่ายโอนเอนไปมาเกือบจะลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาใช้ร่างกายบังเศษหินดินที่กระจัดกระจาย ปกป้องอวี้เจียไว้ในอ้อมกอด 


 


 


แสนยานุภาพของทะเลแห่งความตายอยู่เหนือจินตนาการของหลินหว่านหรงมากนัก สองคนรวมกัน น้ำหนักก็ต้องมีอย่างน้อยสองร้อยกว่าจิน แต่ในสายตาของลมพายุนี้กลับสู้ใบไม้ใบเดียวก็ยังไม่ได้ สายลมอันบ้าคลั่งโบกพัดกระทบอาภรณ์ ดินทรายใต้เท้าหมุนวนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างกายของคนทั้งสองเบาโหวงไม่หยุด เกือบจะหลุดออกจากพื้นดินแล้ว 


 


 


“อัวเหล่ากง พวกเราจะตายหรือไม่?” สาวน้อยทูเจวี๋ยประชิดข้างใบหูเขาพร้อมพูดเสียงดัง ดวงตาสาดประกายอันแสนจะสลับซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ 


 


 


“อย่าพูด แค่กๆ…มีข้าอยู่ เจ้าไม่ตายหรอกน่า!” หลินหว่านหรงคำรามเสียงดังหลายครั้งถึงจะอ้าปากออกมาได้ ดินทรายจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาในปากตามกระแสลม อัดอยู่เต็มช่องปากและโพรงจมูก ทำให้เขาต้องคายออกมาอย่างรุนแรง แม้แต่การหายใจก็รู้สึกเหมือนว่าขาดอากาศ 


 


 


“มีเจ้าอยู่ ข้าก็จะไม่ตาย?!” อวี้เจียกัดริมฝีปากสีแดงสดแน่น ก้มหน้าลงเล็กน้อย นางเงียบงันอยู่นาน ทันใดนั้นก็พูดเสียงสั่นแผ่วเบาข้างใบหูเขา “อัวเหล่ากง หากเจ้าไม่ใช่ชาวต้าหัว นั่นจะดีสักเพียงใด!” 


 


 


ไร้สาระ! พ่อแม่ข้าคลอดคนผิวเหลืองตาดำเช่นข้าออกมา เจ้าบอกให้เปลี่ยนก็จะเปลี่ยนได้หรือ? หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “หากเจ้าไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย เช่นนั้นก็จะยิ่งดี ข้าจะได้จัดการเจ้าที่ต้าหัว!” 


 


 


สายลมบ้าคลั่งดังครืนๆ พัดผ่าน กวาดม้วนคนทั้งสองขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับถอนต้นหอมบนพื้นดินแห้งผาก อวี้เจียรู้สึกเพียงว่าร่างกายลอยล่องเบาหวิว น้ำตาพลันคลอหน่วย นางพยายามพูดเสียงดังอย่างสุดกำลัง “อัวเหล่ากง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร…ข้าคือ…แค่กๆ กอดข้าแน่นๆ…” 


 


 


สายลมรวดเร็วรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงชั่วพริบตาก็กำลังจะกวาดม้วนคนทั้งสองขึ้นไป หลินหว่านหรงถูกอวี้เจียกอดจนแน่น คิดจะขยับก็ยากราวกับขึ้นสวรรค์ เขาอดคำรามก้องออกมาคราหนึ่งไม่ได้ กอดร่างของสาวน้อยเอาไว้แล้วกลิ้งไปหลายตลบ สลัดหลุดออกไปหลายจั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว สถานที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่เมื่อครู่ถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลองภายในชั่วพริบตา สายสีเหลืองลอยคละคลุ้งอยู่เต็มท้องฟ้า  


 


 


 ระหว่างที่อวี้เจียเอ่ยวาจา ทรายก็เข้าไปในช่องปาก การกลิ้งรอบนี้จึงยิ่งทำให้ไอออกมาอย่างรุนแรง 


 


 


หากชักช้าอีกสักหน่อยร่างก็คงต้องแหลกสลายไปแล้วจริงๆ หลินหว่านหรงหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นก็ยังไม่อาจไหลออกมาได้ มองดูสาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งกำลังไอน้ำหูน้ำตาไหล หลินหว่านหรงก็ราวกับสิงโตซึ่งถูกกระตุ้นโทสะ คำรามออกมาอย่างเร็วรี่ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร ตอนนี้เจ้าจงอยู่อย่างสงบนิ่งให้ข้า สงบนิ่ง! ได้ยินหรือไม่?!…มารดามัน! ไม่ถูกพายุทะเลทรายม้วนขึ้นไป ก็กลับเกือบถูกสาวน้อยเช่นเจ้าทำให้โมโหจนตาย!” 


 


 


เขาตวาดต่อเนื่องหลายครั้ง กินทรายเข้าไปเต็มปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยทรายเหลืองฝุ่นดิน สารรูปดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก  


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาอย่างเหม่อลอย ฟันขาวขบริมฝีปากสีชาดแน่น น้ำตาไหลพรากลงมาทันที 


 


 


“ห้ามเจ้าด่าข้า!” นางสะอื้นออกมาคราหนึ่ง มุดเข้าอ้อมกอดของเขาในบัดดล อ้าปากแล้วกัดไปที่หน้าอกเขา กำลังฟันของอวี้เจีย หลินหว่านหรงรับทราบมาหลายครั้งตั้งนานแล้ว การกัดครั้งนี้หน้าอกจึงประทับรอยฟันเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย 


 


 


ท่านย่ามัน! ผู้หญิงทูเจวี๋ยคนนี้เป็นเสือดาวจริงๆ กัดจนปวดไปถึงใจเลยทีเดียว ลมทะเลทรายพัดผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงทำได้เพียงคุ้มกันผู้หญิงดุร้ายป่าเถื่อนคนนี้เท่านั้น ข้างหน้ามีปากเสือดาว ข้างหลังมีทรายและหิน ได้รับความเจ็บปวดทั้งสองด้าน 


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดสาวน้อยทูเจวี๋ยก็คลายปากออกไป เมื่อเห็นรอยฟันที่เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมคราบเลือดบนหน้าอกเขา นางก็นิ่งเหม่อลอย สองตาเปียกชื้นทันที ก้มหน้าลงไปอย่างหมดแรง 


 


 


“เกิดปีจอไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่กัดแล้วล่ะ?!” เจ็บโว้ย! หลินหว่านหรงสูดลมหายใจหนาวเหน็บไปครั้งหนึ่ง ส่งเสียงกังวานด้วยโทสะ  


 


 


อวี้เจียไม่เอื้อนเอ่ยวาจา หยิบถุงน้ำที่นางใช้ชีวิตแลกมาแนบไปที่รอยฟันบนหน้าอกเขาเบาๆ จากนั้นจึงก้มหน้าลงไปอีก แนบใบหน้าลงบนถุงน้ำอย่างแช่มช้าและเงียบงัน แม้จะขวางกั้นด้วยถุงน้ำ ทว่าเสียงหัวใจเต้นรุนแรงของเจ้าโจรคนนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน นางหลับตาเบาๆ ถึงกระนั้นมุมปากกลับผุดรอยยิ้มหวานชื่นขึ้นมา 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังทำท่าทางป่าเถื่อน ตอนนี้กลับว่านอนสอนง่ายราวกับแมวดาว สองตาปิดสนิท ขนตาอันเรียวยาวซึ่งชุ่มชื้นไปด้วยหยดน้ำกระเพื่อมไหวเล็กน้อย สองมือสองเท้าแนบชิดกัน ขดตัวแน่นอยู่ในอ้อมอกเขา ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สภาพเช่นนี้กลับทำให้หลินหว่านหรงรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง 


 


 


อวี้เจียขดตัวอยู่ในอ้อมอกเขา กอดเขาแน่น แล้วค่อยๆ สงบนิ่งลง เมื่อปราศจากการโหวกเหวกโวยวายของสาวน้อยคนนี้ หลินหว่านหรงจิตใจสงบสุขขึ้นมาก ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างนี้ ทั้งสองคนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา สายลมบ้าคลั่งโบกพัดรุนแรง ส่งเสียงหวีดหวิว ณ ขอบฟ้า ทว่าที่นี่กลับเงียบสงัดอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้สึกว่าอวี้เจียไม่เคยสงบนิ่งเช่นนี้มาก่อน ขณะที่หลินหว่านหรงก้มหน้าลงไปมอง กลับพบว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นใบหน้าประดับรอยยิ้ม หายใจสมดุลเป็นจังหวะ กลับหลับสนิทไปแล้ว! 


 


 


แบบนี้ก็หลับได้ด้วย? ผู้หญิงไม่อาจเอาเหตุผลปกติมาวัดได้เลยจริงๆ! หลินหว่านหรงแหงนหน้ากู่ร้องด้วยความโศกเศร้า ปวดใจยิ่งนัก 


 


 


ในที่สุดพายุทะเลทรายอันน่าหวาดกลัวก็จากไปพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิว ทิ้งไว้เพียงเศษซาก เศษหินเศษดินที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น สภาพเละเทะยุ่งเหยิงยิ่งนัก สองขาของหลินหว่านหรงจมลึกอยู่ในทรายสีเหลืองอันหนาเตอะสุมมาจนถึงโคนต้นขาเขา 


 


 


“ตื่นได้แล้ว!” หลินหว่านหรงใช้ฝ่ามือฟาดก้นอันงามงอนของอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊ะด้วยความตกใจ กระเด้งขึ้นมาจากพื้น เห็นว่าตนนอนอยู่บนทะเลทรายโดยไม่สึกหรอแม้แต่น้อย กลับเป็นเจ้าโจรคนนี้ที่ถูกทรายกลบไปเกินครึ่งตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยทราย หายใจกระชั้นถี่ เหนื่อยล้าจนเหมือนกำลังจะล้มลง 


 


 


“ต่ำช้า!” สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงเบาๆ คราหนึ่ง ใบหน้าแดงโร่ นางรีบคุกเข่าลง ควักดาบทองอันล้ำค่านั้นออกมาจากอก เสียบลงไปในเนินทรายข้างหน้าเขาดังขวับ ออกแรงขุดอย่างเต็มที่ คิดจะช่วยเขาออกมา 


 


 


เมื่อเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ออกแรงอย่างดุดันป่าเถื่อน ไม่แยแสดาบทองอันสูงค่านั้นแม้แต่น้อย เข้าใกล้โคนขาไปเรื่อยๆ ห่างไปอีกไม่กี่นิ้วก็จะถึงส่วนสำคัญแล้ว หลินหว่านหรงก็ตกใจจนหน้าซีด “ช้าหน่อยๆ น้องสาว ดาบทองอันล้ำค่าขนาดนี้ เอามาใช้ขุดดินออกจะสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว…ให้ข้าทำเองก็แล้วกันนะ!” 


 


 


“ไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง!” อวี้เจียร้องออกมาคราหนึ่ง ดาบทองในมือกลับส่งเสียงสวบๆ หลายครั้ง เร่งขุดมากยิ่งขึ้น 


 


 


นี่จะเอาข้าถึงตายแล้วนะ! หลินหว่านหรงตกใจเป็นล้นพ้น รีบกดมือนางไว้ “น้องสาว ขอบใจเจตนาดีของเจ้า ดาบน้อยของเจ้าเล่มนี้สูงค่าเกินไป ข้ากลัวว่าอีกประเดี๋ยวไม่ทันระวังจะกระแทกของแข็งบางอย่างที่อยู่บนตัวข้าเข้า กระแทกจนดาบทองของเจ้าพังไป นั่นก็จะเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นะ!” 


 


 


กระแทกดาบทองจนพัง? อวี้เจียนิ่งงัน เมื่อดูตำแหน่งที่ดาบทองขุดลงไปนั้นกลับต้องร้องอ๊ะออกมาคราหนึ่งพร้อมรีบหดมือกลับ เบือนหน้าหนีด้วยสองแก้มแดงปลั่ง สุดท้ายแล้วผู้หญิงก็หน้าบางล่ะนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง 


 


 


“หน้าไม่อาย!” อวี้เจียถลึงตามองเขา เสียบดาบทองเบาๆ ข้างกาย จากนั้นจึงใช้มือขุดทรายให้เขา 


 


 


สองคนร่วมแรงร่วมใจ ขุดไปครู่หนึ่งถึงจัดการเนินทรายไปพอสมควร หลินหว่านหรงออกแรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย กระเด้งออกมาจากกองทราย ถึงกระนั้นขากลับแดงเถือกเพราะถูกทรายกรีดจนเป็นแผล กางเกงก็ขาดวิ่น เหลือแค่ริ้วผ้าไม่กี่ริ้วที่ปลิวไสวไปตามสายลม โชคยังดีที่กางเกางในยังอยู่ ถึงไม่ได้อับอายขายขี้หน้ามากนัก 


 


 


อวี้เจียมองดูสารรูปที่ดูไม่จืดของเขาก็กัดฟันกรอด อยากหัวเราะแต่จมูกกลับร้าวระบม 


 


 


“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนที่โดดเด่นเป็นสง่าอย่างข้านี้หรืออย่างไร?!” ถูกสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้จ้องมองมันก็ช่างรู้สึกกระดากใจอยู่บ้างจริงๆ หลินหว่านหรงร้องตะโกนด้วยความอายจนกลายเป็นความโมโห 


 


 


อวี้เจียเบือนหน้าไป แค่นเสียงเบาๆ พร้อมพูดว่า “น่าเกลียดจะตายอยู่แล้ว! ใครมองเจ้ากัน?” 


 


 


พายุทะเลทรายซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ ก่อให้เกิดเนินทรายขนาดมหึมาแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปอีกหลายร้อยจั้ง พื้นที่ราวหลายสิบหมู่[1]ได้ พลานุภาพเป็นที่ประจักษ์ได้ รถม้าถูกกวาดม้วนขึ้นไปบนอากาศ ร่วงหล่นลงมาแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่กระทะใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่พ่อครัวของกองทัพใช้อยู่ก็ลอยปลิวออกไปหลายร้อยจั้ง จมอยู่ในหลุมทราย 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หมู่ หน่วยมาตราวัดของจีน โดย 1 หมู่ เท่ากับ 666.67 ตารางเมตร  

 

 


ตอนที่ 571 - 2 หลอกลวงและแค้นใจ

 

 “น้องหลิน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เป็นอะไรนะ?!” เกาฉิวรีบวิ่งเข้ามาถามไถ่โดยไม่สนใจที่จะเช็ดฝุ่นทรายบนใบหน้า 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม “ข้าไม่เป็นอะไร ก็แค่หลังจากนี้ต้องสวมกางเกงเปิดเป้าเดินทางเท่านั้นเอง แต่แบบนี้ก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตในช่วงวัยเจริญพันธุ์ของข้าแล้วล่ะ!” 


 


 


คำเดียวเลย แกร่ง! เกาฉิวฟังแล้วก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ นับถือน้องหลินอย่างศิโรราบ! 


 


 


“เสี่ยวหลี่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินหว่านหรงถามด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


เหล่าเกาตบอกพร้อมตอบว่า “มีข้าอยู่ เจ้าวางใจเถอะ รับรองว่าเจ้าหนุ่มนี้ไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว เมื่อครู่นี้ข้ายังป้อนน้ำให้เขาดื่มด้วยนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ เดินตัดผ่านกลุ่มไพร่พลพร้อมกับหูปู้กุย ตรวจนับความเสียหายอย่างถ้วนถี่ 


 


 


พายุทะเลทรายขนาดยักษ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ แม้แต่หูปู้กุยที่คุ้นชินกับลักษณะของทะเลทรายก็ยังไม่เคยพบเช่นกัน ความตกใจที่ได้รับจึงยากจะหลีกเลี่ยง โชคยังดีที่หนทางก่อนหน้านี้เคยประสบพายุทะเลทรายมาหลายครั้งแล้ว ทุกคนมีประสบการณ์มาบ้าง ต่างกอดกันแน่น ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ปรับตัวอย่างเหมาะสม ขบวนเสียหายน้อยยิ่งนัก หลินหว่านหรงก็ชื่นชมยินดีมากเช่นกัน 


 


 


แน่นอนว่ามีจุดที่รู้สึกเสียดายด้วย เศษหินคมซึ่งถูกกระแสของทรายพัดขึ้นมานั้นกรีดถุงน้ำขาดไปสองถุง ทำให้ทรัพยากรน้ำซึ่งแต่เดิมมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้วทวีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกคนต่างรู้สึกปวดใจเป็นล้นพ้น 


 


 


“เอ๊ะ” หูปู้กุยติดตามอยู่ข้างหลังหลินหว่านหรง จู่ๆ ก็ส่งเสียงด้วยความตกใจ “ท่านแม่ทัพ ถุงน้ำของท่านล่ะ เหตุใดถึงไม่เห็นขอรับ?” 


 


 


เหล่าหูตะโกนเช่นนี้ เกาฉิวจึงรีบหันกลับมาเช่นกัน ยามนี้น้ำสะอาดยังมีค่ายิ่งกว่าทองคำ 


 


 


ถุงน้ำ? หลินหว่านหรงคลำช่วงเอวโดยไม่รู้ตัว ดวงหน้าอันงดงามของอวี้เจียพลันผุดขึ้นตรงหน้า ช่วงที่พายุทะเลทรายรุนแรงมากที่สุด เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ที่เอาตัวเข้าเสี่ยง พยายามเอาถุงน้ำที่บรรจุน้ำอยู่เต็มถุงนั้นกลับมาอย่างเอาเป็นเอาตาย หลินหว่านหรงยังด่าทอนางด้วยโทสะเพราะเรื่องนี้อีกด้วย ตอนนี้พอมาคิดดู การกระทำของนางครั้งนี้อาจช่วยชีวิตที่กระหายน้ำได้อีกหลายสิบชีวิต 


 


 


หลินหว่านหรงยังไม่ทันได้พูด เกาฉิวก็มองไปไกลๆ คราหนึ่ง จากนั้นก็ร้องอ้อยาวๆ ออกมาทันที หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “ที่แท้ก็อยู่ตรงนี้นี่เอง!” 


 


 


ทุกคนมองไปตามสายตาเขา เห็นว่าอวี้เจียกำลังนั่งขี่อยู่บนม้าน้อยตัวหนึ่ง ขอริมฝีปากสีแดงชาด ทว่ามือทั้งสองกลับประคองถุงน้ำที่บรรจุอยู่เต็ม กอดแนบแน่นอยู่กับหน้าอก 


 


 


เมื่อเห็นสายตาของทุกคนเหลือบมองมา สาวน้อยทูเจวี๋ยก็แค่นเสียงเบาๆ ซ่อนถุงน้ำนั้นไว้ข้างหลัง  


 


 


การกระทำที่เหมือนกับเด็กนี้ทำให้ทุกคนหัวร่อเสียงดังลั่น บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก เหล่าเกากล่าวพลางยักคิ้วหลิ่วตา “เจ้าถุงน้ำนี่นะ มีแค่น้องหลินที่เอามาได้ ทุกคนรอชมดูก็พอแล้ว” 


 


 


คำพูดเขาตีความได้สองแบบ ทุกคนไหนเลยจะฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงหัวเราะอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที อวี้เจียอยู่ไกลมาก ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะอะไรอยู่ ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย 


 


 


เจ้าคนลามกเหล่าเกาคนนี้นี่ อะไรก็กล้าคิดนะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความอับจนปัญญา โบกไม้โบกมือ ขบวนไพร่พลมุ่งหน้าต่อไป 


 


 


เมื่อประสบกับเมืองแห่งท้องทะเลหอของเซิ่นและพายุทะเลทรายในหลัวปู้ปั๋ว ทุกคนจึงปราศจากความหวาดกลัวแล้ว ขอเพียงไม่หลงทาง น้ำและอาหารประทังต่อไปได้ ทะเลแห่งความตายก็จะถูกสยบ 


 


 


เดินทางมุ่งหน้าเช่นนี้ต่อไป ประสบพายุทะเลทรายขนาดใหญ่หลายครั้ง ทุกคนค่อยๆ เคยชินจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ประหวั่นลนลานเช่นนั้นอีกต่อไป ลักษณะเฉพาะอันชัดเจนมากที่สุดบนเส้นทางสายไหมแห่งนี้ก็คือโครงกระดูกขาวจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งฝังอยู่ใต้ทรายอันหนาเตอะ พวกเขาเก็บโครงกระดูกของผู้ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนตลอดเส้นทาง กลับกลายเป็นสัญลักษณ์บอกทางที่ชี้นำให้พวกเขามุ่งหน้าไปด้วยเช่นกัน 


 


 


อาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิงค่อยๆ ดีขึ้น เหมือนที่หมอกำมะลอเกาฉิววิเคราะห์เอาไว้ เขาลงเดินเหินได้แล้ว ข่าวดีนี้ทำให้ทุกคนสงบจิตใจลงได้เสียที การสร้างขวัญและกำลังใจของเรื่องนี้ช่างมหาศาลนัก  


 


 


ช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อกลับมาได้ ผู้ที่มีผลงานใหญ่มากที่สุดก็คือเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แต่นางดันเป็นชาวทูเจวี๋ย เรื่องนี้ช่างยากจะตัดสินได้จริงๆ เพียงแต่เมื่อผ่านพายุทะเลทรายครั้งนั้นไปแล้ว อวี้เจียกลับไม่รู้เป็นเช่นไร ค่อยๆ เงียบงันลงไปเรื่อยๆ สายตาบางครั้งร้อนแรง บางครั้งหมองหม่น บางครั้งมีความสุข บางครั้งเศร้าเสียใจ บางครั้งยังเผยความหวาดกลัวตื่นตระหนกอย่างน่าประหลาดออกมาอีกด้วย ทำให้คนคาดเดาไม่ออก 


 


 


 


 


 


น้ำกับเสบียงลดน้อยลงไปทุกวัน ยิ่งเดินทางย้อนหลังทะเลทรายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความจำเป็นจึงทำได้เพียงเลือกฆ่าม้าศึกที่มีกำลังอ่อนแรงไปจำนวนหนึ่ง แม้จะเป็นเช่นนี้ เมื่อเดินทางได้อีกหลายสิบวัน น้ำก็หมดสิ้น ทหารห้าพันนายพลันตกอยู่ในห้วงแห่งความสิ้นหวัง 


 


 


“น้องหลิน วันนั้นไม่ใช่เจ้าบอกว่าเดินทางไปอีกเจ็ดวันก็จะออกจากหลัวปู้ปั๋วแล้วไม่ใช่หรือ?” เหล่าเกาประคองร่างอยู่บนหลังม้า เอ่ยถามพลางหอบหายใจหนักๆ “ตอนนี้ไม่ใช่แค่เจ็ดวันมาสองครั้งแล้ว เหตุใดพวกเราถึงยังเดินวนอยู่ในทะเลทรายอีก?” 


 


 


วันนั้นพูดโม้เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของทหาร ถูกเหล่าเกาพูดเปิดโปงจนหมดสิ้น น้ำที่มีอยู่ใช้จนหมดสิ้นตั้งแต่เมื่อวาน ภายในสามวันหากเดินออกจากทะเลทรายไม่ได้ พวกเขาก็จะเป็นเหมือนผู้อาวุโสบนเส้นทางสายไหม ฝังกระดูกอยู่ในทะเลแห่งความตายนี้ไปตลอดกาล 


 


 


หลินหว่านหรงร้อนใจดั่งไฟสุม เลียริมฝีปากอันแห้งผาก กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “พี่เกาอย่าร้อนใจไป หากข้าเดาไม่ผิด ทางออกของหลัวปู้ปั๋วน่าจะอยู่ละแวกนี้แล้ว บางทีพรุ่งนี้ ไม่สิ บางทีคืนนี้พวกเราอาจได้ว่ายน้ำอยู่ในทะเลสาบอันกระจ่างใสก็เป็นได้” 


 


 


อยู่ในทะเลทรายมายี่สิบกว่าวัน อย่าว่าแต่อาบน้ำเลย แม้แต่ดื่มน้ำก็ต้องควบคุมจำกัดทีละหยด แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าน้องหลินกำลังสร้างวิมานในอากาศ แต่เหล่าเกาก็ยังอดเลียริมฝีปาก นัยน์เต็มไปด้วยความมุ่งหวังไม่ได้ 


 


 


เดินทางมาจนถึงตอนนี้ ลมทะเลทรายค่อยๆ เบาลง อากาศก็ไม่ได้แห้งแล้งขนาดนั้นแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่ได้ประสบพายุทะเลทรายมาสี่ห้าวันติด สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์เมื่อมาถึงริมชายขอบทะเลทราย เพียงแต่ที่แท้ทางออกของหลัวปู้ปั๋วอยู่ที่ใดกันแน่ กลับไม่ได้หาง่ายดายขนาดนั้น 


 


 


ขณะที่กำลังมองประเมินไปทั่วทุกสารทิศ ทันใดนั้นแขนเสื้อก็รัดแน่น มีคนดึงชุดเขาจากด้านข้างเบาๆ เมื่อหันหน้าไปก็เห็นดวงหน้าอันงดงามของสาวน้อยทูเจวี๋ย เนื่องจากขาดน้ำ ริมฝีปากสีแดงสดใสของนางจึงสูญเสียความเปล่งประกายอย่างที่เคยมีมา ทว่านัยน์ตาทั้งสองข้างกลับเปล่งประกายระยิบระยับ มองเขาด้วยความรู้สึกเปี่ยมล้น 


 


 


อวี้เจียไม่ได้สนทนากับเขามาหลายวันแล้ว วันนี้กลับเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาเขาก่อน กลับทำให้หลินหว่านหรงประหลาดใจมาก 


 


 


“เจ้าตามข้ามา!” สาวน้อยพาเขาไปที่มุมหนึ่ง กัดฟันกรอด ควักของชิ้นหนึ่งออกมาจากอก “นี่ ให้เจ้า!” สัมผัสมือเรียบลื่นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ กลับเป็นขวดแก้วขนาดเท่าฝ่ามือเด็กขวดหนึ่ง ภายในขวดเหลือน้ำสะอาดอยู่ไม่กี่หยด อยู่ตรงก้นพอดี 


 


 


“นี่เอามาจากไหนกัน?” หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง หลายวันนี้น้ำดื่มของทุกคนถูกควบคุมแบ่งสรรกันตามกฎระเบียบ แม้น้ำสะอาดที่เหลือแค่ก้นขวดนี้จะมีปริมาณน้อย ถึงกระนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวันในการแบ่งสัน 


 


 


“ข้าแอบขโมย!” สาวน้อยมองเขาอย่างเย็นชา เบือนหน้าหนีไป 


 


 


คำพูดนี้จะเชื่อได้อย่างไรกัน? หลินหว่านหรงถามด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด “เจ้าเก็บน้ำเอาไว้…สองวันนี้เจ้าไม่ได้ดื่มน้ำเลยหรือ?!” 


 


 


“พูดเหลวไหล ข้าดื่มแล้ว” อวี้เจียกล่าวอย่างดื้อดึง “ใครใช้ให้เจ้าไม่ค้นตัว? นี่ข้าแอบเก็บมาจากถุงน้ำของเจ้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันกรอด “น้ำนี้เจ้าเก็บไว้ครึ่งหนึ่ง ที่เหลือเอาให้เสี่ยวหลี่จื่อ!” 


 


 


“เจ้ากล้า?!” อวี้เจียโมโหขึ้นมาทันที แย่งขวดแก้วที่อยู่ในมือเขา พูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “นั่นคือพี่น้องของเจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับข้า หากเจ้าจะเอาน้ำหยดสุดท้ายนี้ให้ผู้อื่น ข้ายอมให้มันไหลซึมเข้าไปในทะเลทราย!” 


 


 


นางเปิดจุกขวด กำลังจะรินรดลงบนพื้น 


 


 


“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงรีบชิงขวดเล็กกลับมา มองดูสาวน้อยผู้ดื้อดึงคนนี้ เขาถอนหายใจอย่างหมดแรง “เอาเถอะ ถือว่าข้าติดค้างเจ้า ครึ่งหนึ่งเก็บให้เจ้า ครึ่งหนึ่งเก็บให้ข้า เช่นนี้ก็ได้แล้วสินะ เจ้าไม่ต้องส่ายหน้า ข้าคนนี้มีหลักการอยู่เช่นกัน อยากมากก็ต่างคนต่างแยกย้าย ปล่อยให้มันไหลซึมลงไปในทะเลทราย ข้านับหนึ่งสองสาม อ้าปาก!” 


 


 


อวี้เจียตะลึงงัน ยังไม่ทันได้สติกลับมา น้ำสะอาดสายหนึ่งก็ไหลเข้าลำคอผ่านริมฝีปาก นาสูดตามสัญชาตญาณคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เจ้าโจรนี้กลับไม่หยุดมือ หยดน้ำภายในชวดนั้นกรอกใส่ปากนางจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว  


 


 


มองดูขวดน้อยที่ว่างเปล่านั้น นางก็เหม่อลอย จู่ๆ ก็เปล่งเสียงร้องไห้จ้าออกมา “อัวเหล่ากง เจ้าคนต่ำช้านี่ เจ้ากล้าหลอกข้า?! ข้าแค้นเจ้า ข้าแค้นเจ้าตายแล้ว ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีกแล้ว!” 


 


 


นางขึ้นคร่อมม้า หวดแส้ลงบนหลังม้า อาชาตัวนั้นก็สะบัดเท้าวิ่งห้อตะบึงไป 


 


 


นี่มันอะไรกันอีกละนี่? หลินหว่านหรงยังคงนิ่งอึ้งเป็นบื้อใบ้ ทันใดนั้นก็ได้ยินหูปู้กุยที่อยู่ข้างหลังร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นยินดี “ท่านแม่ทัพ รีบดูเร็ว!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม