แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 564-570

ตอนที่ 564 ทำร้ายคนโสดกับเล่นสนุก

 

คู่รักที่สวมกอดกันอย่างร้อนแรงหลังจากไม่ได้เจอกันนานทำให้ผู้กำกับไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดอะไรก็ดูกระอักกระอ่วน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน 


 


 


นี่ นึกถึงความรู้สึกของคนอื่นกันหน่อย คิดว่าให้น้ำผลไม้แก้วเดียวแล้วจะให้คนอื่นมาดูคู่ตัวเองแสดงความรักกันยังไงก็ได้เหรอ? 


 


 


ถึงการแสดงความรักของหนุ่มหล่อกับสาวงามจะดูดี แต่มาทำระหว่างทำรายการไม่ได้นะ ยังมีผู้ฟังรอให้ช่วยแก้ปัญหาอยู่ 


 


 


“เหม่ยเหวย…เธอว่าช่วงต่อไปจะเอาไง?” ผู้กำกับเอ่ยปากถามอย่างเกรงใจ 


 


 


ไม่ถามไม่ได้นี่นา หนุ่มหล่อสาวงามพอเจอกันก็เกิดความรู้สึกร้อนแรง ถ้าเธอไม่ขัดจังหวะมีหวังจูบไม่เลิกแน่ โฆษณาแค่สองนาทีไม่พอให้จูบหรอก 


 


 


“ขอดูใบหน่อย” เสี่ยวเชี่ยนปล่อยอวี๋หมิงหลาง ส่งสายตาหวานเยิ้มให้เขาแล้วเดินไปหาผู้กำกับ เป็นครั้งแรกที่เธอดูบันทึกของผู้กำกับ 


 


 


“วันนี้มีคนที่โทรเข้ามาด่าเมียน้อยไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


“มี สายที่ห้ากำลังรออยู่ ได้ยินว่าสามีไปอยู่กับนางจิ้งจอกจนอีกฝ่ายท้อง สามีบังคับให้เธอหย่า ตอนโทรเข้ามาเอาแต่ร้องไห้ฉันต้องปลอบอยู่ตั้งนาน” 


 


 


“งั้นโอนสายที่ห้าเข้าไปให้เขาตอบคำถามของผู้ฟังคนนั้น” 


 


 


“เอ่อ…” ผู้กำกับไม่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกล้าขนาดนี้ แต่มันจะดีเหรอ 


 


 


ให้เมียน้อยที่คร่ำครวญเจอกับเมียหลวงที่เกลียดเมียน้อย รายการนี้ดังแน่ 


 


 


“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเพราะยืนกันอยู่คนละมุมมอง รายการของเราเอาความขัดแย้งนั้นเปิดเผยออกมา เชื่อฉันเถอะไม่พลาดหรอก” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเอียงคอมองเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เธอสวมกางเกงผ้าโปร่งบางขาเก้าส่วนกับรองเท้าส้นเข็ม ท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตสีกาแฟลายจุด แขนเสื้อถูกพับแล้วติดด้วยกระดุมเหนือข้อศอก เป็นชุดทำงานที่ดูดีมีสไตล์ 


 


 


แต่ในฐานะที่เป็นผู้ชายปรนนิบัติในห้องบรรทมมาสองปีกว่า อวี๋หมิงหลางเห็นเธอพูดแบบนั้นก็ดูออกทันที 


 


 


คู่หมั้นของเขาแสบมาก เขาหลงใหลในท่าทางที่เธอวางแผนเจ้าเล่ห์อย่างตั้งใจ เป็นอะไรที่คนอื่นมองไม่ออก มีแค่เขาเท่านั้นที่เข้าใจในความซุกซนของเธอ 


 


 


“งั้นสายนี้ให้โอนเข้าไปนานเท่าไร?” ผู้กำกับถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“ให้เมียหลวงด่าสักห้านาที จากนั้นก็ลองหาดูว่ามีผู้ฟังที่อยากด่าเมียน้อยหรือคนที่สามีไปมีเมียน้อยอีกไหม ถ้าไม่มีลองหาจากสายที่รออยู่เอาคนที่อารมณ์ร้ายโอนสายเข้ามาด่าต่อ ผู้ฟังคนอื่นด่าเสร็จก็เท่ากับได้ระบายอารมณ์ พวกเราก็เหมือนได้ทำบุญ” 


 


 


“ฮ่าๆ” อวี๋หมิงหลางขำเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เธอหันไปเขา เขาเลิ่กคิ้วใส่เธอ ความหมายคือ ทำแบบนี้ไม่กลัวรายการวุ่นวายแล้วถูกไล่ออกเหรอ? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนผายมือ ไล่ก็ไล่สิ ยังไงเธอก็ไม่ได้อยากมาทำอยู่แล้ว 


 


 


โอนสายเมียหลวงเข้าไปตามความต้องการของเสี่ยวเชี่ยน ซึ่งตอนรอสายก็ได้ฟังรายการอยู่ด้วย ยังคิดอยู่ว่านี่มันอะไรกัน? 


 


 


เป็นมือที่สามยังกล้าโทรเข้ามาคร่ำครวญในรายการ? นี่ยังมีศีลธรรมในใจไหมเนี่ย 


 


 


ถึงคนที่มาแย่งผู้ชายของตัวเองจะไม่ใช่เมียน้อยคนนี้ แต่เมียหลวงกับเมียน้อยต่างมีจุดยืนของตัวเอง มีเหรอจะยอมกัน? 


 


 


ครั้นแล้วนับตั้งแต่ทำรายการมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ปรากฏคำหยาบ เมียหลวงพอได้เริ่มก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ภาษาถิ่นรัวมาเหมือนปืนกล 


 


 


“ไม่เห็นหรือไงว่าเขาเป็นเมียถูกต้องตามกฎหมาย ยังจะมีหน้าไปหาเรื่องเขาอีก นังXX…” 


 


 


คำหยาบรัวมาไม่หยุดชนิดที่แทบไม่หายใจ สามารถรัวด่าคนได้ขนาดนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนดื่มน้ำผลไม้ที่อวี๋หมิงหลางซื้อมาพลางฟังเมียหลวงด่าอยู่ห้านาที จากนั้นจึงส่งสัญญาณมือให้ผู้กำกับ คนต่อไป 


 


 


เวลาที่เหลืออยู่ผลัดเปลี่ยนคนมาด่า การที่ผู้ฟังโทรเข้ามาในรายการแบบนี้แสดงว่ามีความอัดอั้นตันใจ เสี่ยวเชี่ยนให้ผู้กำกับเลือกคนที่หัวร้อนอารมณ์รุนแรงโอนสายเข้ามาด่าระบายอารมณ์ หรือไม่ก็เลือกคนที่ถูกเมียน้อยทำลายครอบครัว บรรยากาศแบบนี้เขาเรียกว่าลุกเป็นไฟ 


 


 


คนฟังรายการจากเดิมที่ง่วงๆอยู่ พอฟังมาถึงตรงนี้ก็เหมือนเกิดการโต้วาที พากันตาสว่างทันที ตาค้างรอฟังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อ 


 


 


จะไปหารายการสนุกๆแบบนี้ได้ที่ไหนอีก นี่มันทำให้ได้เปิดหูเปิดตาของแท้ 


 


 


ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ผ่านไปโดยการปล่อยให้ผู้ฟังผลัดกันมาด่าเมียน้อย เสี่ยวเชี่ยนแม้แต่คำพูดแนะนำก็ตัดทิ้ง เธอนั่งไขว่ห้างอย่างสง่างามพลางดื่มน้ำผลไม้เล่นหูเล่นตากับอวี๋หมิงหลางผ่านกระจก 


 


 


ประหนึ่งไฟจะลุกขึ้นมาจากแผ่นกระจกที่กั้นอยู่ ผู้กำกับที่น่าสงสารนั่งคัดกรองสายผู้ฟังตามคำสั่งเสี่ยวเชี่ยนพลางกล้ำกลืนฝืนทนกับการทำร้ายคนโสด เธอนั่งอยู่ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน 


 


 


ในที่สุดก็มาถึงช่วงท้ายรายการ ผู้ฟังคนสุดท้ายมัวแต่ด่าเมียน้อยจนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองจะถามอะไร 


 


 


“สาวสวยอย่างเธออายุยังน้อยทำไมถึงไปทำลายครอบครัวคนอื่นล่ะ? เมียเขาต่อให้ไม่ดียังไงนั่นก็เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำไมเธอยังมีหน้าโทรเข้ามาในรายการได้นะ พ่อแม่เธอถ้าฟังอยู่เขาจะรู้สึกปวดใจแค่ไหน ถ้าลูกสาวฉันเป็นแบบเธอฉันคง—” 


 


 


“ขอโทษด้วยนะคะคุณลุงท่านนี้เวลารายการของเรากำลังจะหมดลงแล้วค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนขัดจังหวะการด่าของผู้ฟังคนนี้ 


 


 


“อะไรนะ ไม่ให้พูดแล้วเหรอ? คนก่อนหน้าด่าตั้งหลายนาทีฉันเพิ่งเริ่มเองนะ” 


 


 


“รบกวนโทรมาในครั้งต่อไปนะคะ ดิฉันเข้าใจถึงความรู้สึกของคุณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนเปิดเพลงแล้วตัดสายลุงคนนี้ทิ้งทันที 


 


 


เธอเริ่มพูดปิดรายการท่ามกลางเสียงดนตรีอันไพเราะที่คลอตามไปด้วย 


 


 


“ผู้ฟังที่เป็นมือที่สามที่โทรมาก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าคุณได้ฟังอยู่หรือเปล่านะคะ และก็ไม่รู้ว่าได้ฟังความคิดเห็นของทุกคนที่มีต่อคุณหรือเปล่า ฉันไม่อยากตัดสินว่าการกระทำของคุณนั้นผิดหรือถูก ฉันอยากพูดแค่ว่า ความเศร้าของคุณในตอนนี้มันคือมีดที่ทิ่มแทงใจคนอื่น ถ้าคุณรักผู้ชายคนนั้นก็ขอให้เคารพการตัดสินใจของเขา ถ้าคุณไม่รักผู้ชายคนนั้นก็ขอให้เคารพศักดิ์ของความเป็นผู้หญิง คุณมีสิทธิ์อย่างอิสระที่จะวิพากษ์วิจารณ์ แต่อิสระของคนเราไม่ควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานการทำร้ายคนอื่น ถ้าคุณทำร้ายคนอื่นงั้นก็อย่าตำหนิความคิดของคนอื่นที่มีต่อคุณ เลือกอิสระก็ต้องยอมรับผลของมัน ขอให้โชคดีนะคะ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดปิดท้ายอย่างคล่องแคล่ว เหล่าผู้ฟังต่างฟังกันอย่างสนุกสนาน 


 


 


เพราะการปรากฏตัวของอวี๋หมิงหลางอย่างกะทันหันทำให้เสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนความคิด เกิดความนึกสนุกอยากลองอะไรใหม่ๆ ทำให้ยอดคนฟังเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้ขี้เกียจสนใจว่าตัวเองสร้างยอดคนฟังได้แค่ไหน ทางที่ดีเธออยากให้หัวหน้าสถานีพูดว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาแล้ว เธอปิดรายการแล้วเดินออกจากห้อง ยื่นมือให้อวี๋หมิงหลางประหนึ่งเป็นราชินี อวี๋หมิงหลางรับมือเธอมาอย่างรู้กันแล้วดึงเธอเข้ามากอด 


 


 


แม่ง ทรมานตรูอีกแล้ว ภูตที่อยู่ในใจผู้กำกับตะโกน 


 


 


“เสี่ยวหวาง ฉันไปก่อนนะ วันนี้เหนื่อยแย่เลยนะ พรุ่งนี้เจอกัน” เสี่ยวเชี่ยนลาผู้กำกับ แล้วเดินออกไปกับอวี๋หมิงหลางอย่างกระหนุงกระหนิง มือจับกันแน่นไม่ยอมปล่อย 


 


 


ผู้กำกับเก็บเอกสารพลางบ่นพึมพำ “อยากจะบ้าตาย ได้น้ำมะนาวมาดื่มแก้เลี่ยน…ว่าแต่สุดหล่อนั่นเข้ามาได้ยังไงกันนะ?” 


 


 


นี่คือปริศนา 


 


 


แต่เธอก็ยังต้องมานั่งปวดหัว ถ้าพรุ่งนี้หัวหน้าสถานีถามว่าทำไมแก้รูปแบบรายการเป็นแบบนั้นเธอจะตอบยังไงดี… 

 

 

 


ตอนที่ 565 เจ้าของบ้านกับภาพลักษณ์

 

สถานีโทรทัศน์กับสถานีวิทยุทำงานอยู่ตึกเดียวกัน ออกจากตึกไปจะเป็นลานจอดรถ เสี่ยวเชี่ยนเดินไปที่รถสีแดงของตัวเอง อวี๋หมิงหลางอยากขับ แต่เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองเขาจึงเดินไปนั่งข้างคนขับ 


 


 


เธอได้ใบขับขี่มาเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อน อวี๋หมิงหลางไปคุมการสอบด้วยตัวเอง 


 


 


ตอนเธอสอบอวี๋หมิงหลางแลกเวรเพื่อมาคุมโดยเฉพาะ เขายืนอยู่ข้างคนคุมสอบด้วยท่าทางเอามือกอดอก สวมแว่นกันแดด เห็นแล้วน่ากลัวไม่น้อย 


 


 


ท่าทางประมาณว่าใครกล้าให้ผ่านส่งเดชเจอดีแน่ เล่นเอาคนคุมสอบกดดันเป็นอย่างมาก ตกลงนี่ใครเป็นคนประเมินว่าผ่านกันแน่ เป็นครั้งแรกที่เห็นญาติคนสอบไม่ขอให้ปล่อยผ่านง่ายๆ อีกทั้งยังจับตามองคนคุมสอบ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเขาไม่อยากให้เธอได้ใบขับขี่ ชอบตั้งข้อสงสัยเรื่องเทคนิคการขับของเธอ 


 


 


อวี๋หมิงหลางคิดในใจว่าถ้าเธอขับไม่ดีกลับไปจะให้ฝึกใหม่ แต่หลังจากเห็นฝีมือในการขับรถของเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ยอม 


 


 


ชาติที่แล้วขับจนชำนาญแล้วฮึ่ย 


 


 


จากนั้นเพื่อเป็นการลงโทษที่เขาทำตัวมากเรื่อง เย็นวันนั้นเสี่ยวเชี่ยนจึงถีบอวี๋หมิงหลางให้ลงไปนอนบนพื้น 


 


 


นอนไปได้สักพักก็ถูกใครบางคนลากไปบนพื้น อีกทั้งยังให้เหตุผลว่า คุณไม่ให้ผมขึ้นไปนอน งั้นก็ลงมานอนกับผมสิ ลูกผู้ชายรักษาสัญญากับเมียเสมอ ไม่ให้ขึ้นไปทำงั้นก็ทำข้างล่าง 


 


 


ครั้นแล้วทั้งพื้นเอย โซฟาเอย ห้องน้ำเอย หรือแม้แต่ดาดฟ้าก็จัดไป 


 


 


สัตว์ป่าตัวนี้แม้แต่ดาดฟ้าก็ไม่เว้น มันโจ่งแจ้งมากเลยนะ ถึงจะรู้ว่าไม่มีใครเห็น แต่เสี่ยวเชี่ยนก็ใจเต้นแรงอยู่นาน ความรู้สึกหวาดเสียวนั่นก็ดีอยู่นะ—ไม่ถูกสิ เธอควรจะอาย 


 


 


ถึงจะอายแต่ทุกครั้งที่ขับรถเธอมักจะนึกถึงเรื่องคืนนั้น อย่างเช่นตอนนี้ที่ไล่ให้เขาไปนั่งข้างคนขับ 


 


 


รถคันนี้พี่ใหญ่ให้เป็นของขวัญวันหมั้น เหมาะสำหรับผู้หญิงทำงานในเมือง ที่นั่งข้างคนขับมีพื้นที่จำกัดเบาะก็ปรับไม่ได้ เสี่ยวเชี่ยนชอบเห็นเขานั่งคุดคู้อึดอัดแบบนั้น สมน้ำหน้า 


 


 


“นายมาตั้งแต่เมื่อไร กินข้าวหรือยัง เข้าไปได้ยังไง?” 


 


 


“ถามมาซะเยอะคุณจะให้ผมตอบคำถามไหนก่อน หืม?” ผู้ชายที่นั่งข้างคนขับเอามือเท้าคางมองเมียตัวเอง 


 


 


“อย่ามากวนประสาท” เสี่ยวเชี่ยนกลับรถอย่างคล่องแคล่วแล้วขับรถออกไป 


 


 


“พอแข่งเสร็จลงจากเครื่องบินก็มาเลย ยังไม่ได้กินข้าวรอคุณมาป้อน ส่วนผมเข้าไปได้ยังไง…คำถามนี้ดูโง่ไปหน่อย ผมขอปฏิเสธการตอบ” 


 


 


“ทำเป็นเก่ง แข่งชนะหรือเปล่า?” 


 


 


ครั้งนี้อวี๋หมิงหลางพาทีมไปแข่งไม่ใช่เข้าร่วมฝึกซ้อม เป็นการแข่งระหว่างทหารหน่วยรบพิเศษด้วยกัน 


 


 


ช่วงสองปีมานี้หน่วยรบพิเศษพัฒนาไปไวมาก ค่ายทหารแต่ละพื้นที่ต่างมีทีมหัวกะทิเป็นของตัวเอง ตอนนี้อวี๋หมิงหลางเป็นหัวหน้าหน่วยกลางแล้ว การที่เขาเป็นคนพาทีมไปร่วมแข่งด้วยตัวเองถือเป็นเกียรติของทั้งค่าย 


 


 


“แน่นอน ทีมที่ผมพาไปเองจะแพ้ได้ไง? ก็แค่เสียดายที่ตัวเองไม่ได้ลงไปเล่นสักเกมสองเกม คันไม้คันมือเป็นบ้า” 


 


 


ถัดจากอวี๋หมิงหลางลงไปยังมีหัวหน้าทีมย่อยอีกหลายคน ด้วยสถานะของเขาทำได้แค่คอยบัญชาการห้ามลงแข่ง ได้แต่เก็บความอัดอั้นไว้ไม่มีที่ระบาย เขาอยากจะลงแข่งด้วยตัวเองจริงๆ 


 


 


โชคดีที่ทหารของเขาเก่ง ผลงานแต่ละรายการโดดเด่นมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็ดีใจไปด้วย กำลังจะเอ่ยปากชมก็ได้ยินเขาหัวเราะแบบชั่วร้าย 


 


 


“อยู่ข้างนอกระบายไม่ได้ คุณก็ต้องให้ผมกลับมาระบายที่บ้าน อึดอัดมากเลยลูกเชี่ยน~” อยู่ข้างนอกจับปืนลงสนามไม่ได้ เลยต้องกลับมาใช้ปืนที่บ้าน ไม่น่ามีปัญหานะ 


 


 


อยากฮัมเพลงจัง พ่อแม่ให้ปืนมาหนึ่งกระบอก ยังไม่เคยได้ขัดให้ขึ้นเงาเลยสักครั้ง~ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเหยียบเบรกกะทันหัน อยากจับเขาโยนไปนอกหน้าต่างจริงๆ ไอ้คนหน้าด้าน… 


 


 


บ้านที่เธอซื้ออยู่ไม่ไกลจากสถานีโทรทัศน์ ขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง เธอเพิ่งซื้อเมื่อต้นปี 


 


 


ช่วงสองปีมานี้มีอสังหาริมทรัพย์ชื่อเธอเพิ่มขึ้นมาอีกสองแห่ง ที่หนึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกับแม่เธอ ส่วนอีกที่เป็นบ้านสองห้องนอนอยู่เมืองใกล้ๆ ไม่ไกลจากสถานีโทรทัศน์ ถึงพื้นที่ใช้สอยจริงจะไม่มาก แต่ทำเลดี 


 


 


จนถึงตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนมีบ้านในชื่อของตัวเองสามหลังกับตึกแถวในเมืองอีกหนึ่งแห่ง อวี๋หมิงหลางนอกจากมีบ้านสองชั้นหลังนั้นแล้ว เขายังได้ซื้อห้องเช่าออฟฟิศกับห้องเปิดร้านค้าจากพี่ชาย ตลาดหุ้นซบเซาหนักทำให้หลายคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า เขากับเธอไม่เพียงแต่จะหนีรอด ยังได้พาคนรอบตัวหนีได้ทันด้วย 


 


 


รอดไปได้ก็เอาเงินไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ราคาบ้านยังไม่ทะยานขึ้น เล่นเอาเจี่ยซิ่วฟางบ่นเสี่ยวเชี่ยน ลูกสาวคุมเงินของลูกเขยเข้มซะขนาดนั้น อีกทั้งยังเอาไปซื้อบ้านเยอะแยะ พออยู่ก็พอแล้ว จะซื้อไปเยอะแยะทำไม 


 


 


แต่ปัญหาก็คือลูกเขยไม่ว่าอะไร เสี่ยวเชี่ยนให้ซื้อก็ซื้อ 


 


 


มีช่วงหนึ่งเจี่ยซิ่วฟางคิดจะเรียกลูกสาวมาอบรมว่าให้เลิกซื้อ 


 


 


ปรากฏว่านอกจากจะกล่อมไม่สำเร็จแล้วยังถูกเสี่ยวเชี่ยนกล่อมให้ซื้อตึกแถวในเมืองอีกหนึ่งห้อง กว่าเจี่ยซิ่วฟางจะรู้ตัวก็ประทับรอยนิ้วมือจ่ายเงินไปแล้ว ฝีมือการล้างสมองของเสี่ยวเชี่ยนเหนือชั้นมาก 


 


 


ตึกแถวในชื่อเจี่ยซิ่วฟางปล่อยให้คนเช่าหมด ได้ค่าเช่ามาก็ไม่ขาดทุน เพียงแต่คนที่ฝากเงินมาจนชินถูกเสี่ยวเชี่ยนเอาเงินไปซื้อบ้านแบบนี้ก็ไม่ชินเท่าไร บางครั้งอยากคุยกับเสี่ยวเชี่ยน เตรียมคำพูดเสียดิบดี แต่พอได้คุยจริงกลับถูกเสี่ยวเชี่ยนล้างสมอง 


 


 


สุดท้ายเจี่ยซิ่วฟางก็ยอมแพ้ เธอรู้สึกว่าลูกสาวเหมือนคนขายประกันที่พูดคนตายให้กลายเป็นคนเป็นได้ ชักจูงความคิดเก่ง 


 


 


อยากทำอะไรก็ทำเลย ขี้เกียจยุ่งด้วยแล้ว 


 


 


ขอแค่อวี๋หมิงหลางดีกับเสี่ยวเชี่ยนก็พอแล้ว คนนอกรักษาเด็กคนนี้ไม่ได้หรอก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าปีหน้าราคาบ้านจะพุ่งสูง ภารกิจของเธอก็คือก่อนที่ราคาบ้านจะขึ้นรีบฆ่าแกะตัวอ้วนเอาเงินมาซื้อบ้าน เดี๋ยวแม่ก็ล้มเลิกความคิดอยากขัดไปเองหลังจากเห็นราคาบ้านพุ่งขึ้น 


 


 


มีบ้านหลายๆหลังอยู่เหนือทุกสิ่ง อีกสิบกว่าปีให้หลังบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์บริษัทหนึ่งจะล้มละลาย ขายบ้านสองหลังก็กำไรแล้ว แม่เธอชอบฝากเงินไว้เพราะอุ่นใจ แต่แล้วมันสามารถทำกำไรเพิ่ม16เท่าในหนึ่งปีไหมล่ะ? 


 


 


บ้าน บ้าน บ้านแล้วก็บ้าน 


 


 


ดังนั้นตอนนี้ต้องซื้อๆๆๆเพื่อทำกำไรในภายภาคหน้า 


 


 


พี่ใหญ่ไปกว้านซื้อที่ในเมืองหลวงตามคำแนะนำของเสี่ยวเชี่ยน ซึ่งถือเป็นเงินก้อนใหญ่ เขาแทบจะทุ่มหมดตัว ช่วงสองปีมานี้พี่ใหญ่ไว้ใจเสี่ยวเชี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ คำพยากรณ์ของประธานเชี่ยนเป็นจริงทุกครั้ง ตอนนี้ถือว่าเป็นกุนซือที่แสนเก่งกาจของพี่ใหญ่ไปแล้ว 


 


 


เป้าหมายต่อไปของเสี่ยวเชี่ยนคือซื้อบ้านในเมืองหลวง ตอนนี้ยังไม่จำกัดการซื้อ ยังซื้อเยอะได้อยู่ อนาคตของการเป็นเถ้าแก่ให้เช่าบ้านค่อยๆเติบโตขึ้นด้วยประการฉะนี้ 


 


 


เธอจอดรถที่หน้าร้านปิ้งย่างแถวบ้าน ทั้งสองคนลงไปกินข้าว เวลานี้ไม่ค่อยเหลืออะไรขายแล้วนอกจากร้านปิ้งย่างเสียบไม้ที่ยังเปิดอยู่ 


 


 


“ดื่มไหม?” อวี๋หมิงหลางถามเสี่ยวเชี่ยน ฤดูร้อนกินเบียร์กับของย่างเข้ากันที่สุด เขารู้ความสามารถในการดื่มเหล้าของเสี่ยวเชี่ยน บางครั้งทั้งสองคนจึงดื่มด้วยกัน 


 


 


“ได้—ช่างเถอะ” เดิมเสี่ยวเชี่ยนจะตอบตกลง แต่สายตาเหลือบไปเห็นในร้านมีคนนั่งอยู่โต๊ะหนึ่ง หน้าคุ้นๆเหล่านั้นทำให้เธอล้มเลิกความคิดจะดื่ม 


 


 


ขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังสงสัยว่าทำไมอยู่ๆเธอก็เปลี่ยนใจ จึงหันมองตามสายตาเธอแล้วก็ขำ 


 


 


ยัยตัวแสบ อยู่ต่อหน้าคนรู้จักยังหัดระวังเรื่องภาพลักษณ์ของหมอเป็นกับเขาด้วย 

 

 

 


ตอนที่ 566 คุยเรื่องเก่าๆกับดื่มเหล้า

 

ทำไมอยู่ๆเสี่ยวเชี่ยนก็ทำเป็นขรึม? 


 


 


เพราะภายในร้านอาหารที่ขนาดไม่เล็กนี้ นอกจากเธอกับอวี๋หมิงหลางแล้วยังมีคนรู้จักนั่งอยู่อีกโต๊ะ 


 


 


“หมอเฉิน” หูเหม่ยจิ้งพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนก็โบกมือให้อย่างดีใจ 


 


 


“หัวหน้ากลาง” หวางย่าเฟยเองก็ยืนขึ้น 


 


 


โต๊ะนี้ไม่เพียงแต่จะมีหูเหม่ยจิ้งกับฉู่เซวียนสองสามีภรรยานั่งอยู่ ยังมีหวางย่าเฟยที่เพิ่งเข้าร่วมการแข่งขันเสร็จได้รับอันดับที่ดีนั่งอยู่ด้วย 


 


 


หวางย่าเฟยเป็นเพื่อนกับหูเหม่ยจิ้ง ตอนนั้นที่เขาได้เจอกับเสี่ยวเชี่ยนก็เป็นเพราะฉู่เซวียนแนะนำ 


 


 


พวกเขาเป็นเพื่อนเก่ากัน เสี่ยวเชี่ยนเคยรักษาให้ทั้งสามคน 


 


 


หวางย่าเฟยได้รับการรักษาไประยะหนึ่งก็หายสนิท ก่อนหน้านี้ปีครึ่งเขาได้เข้าร่วมการทดสอบจนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ011 ต่อมาได้เป็นมือสไนเปอร์ฝีมือยอดเยี่ยมรับช่วงต่อจากอวี๋หมิงหลาง 


 


 


ตอนแรกหวางย่าเฟยยังเกลียดเสี่ยวเชี่ยน เพราะเธอเอาเรื่องที่เขามีปัญหาสุขภาพไปรายงาน ทำให้เขาพลาดโอกาสเข้าทีมของทหารหน่วยรบพิเศษ แต่ต่อมาทั้งสองคนก็ทลายกำแพงในใจได้ เขาเลือกให้เสี่ยวเชี่ยนรักษา นึกไม่ถึงว่าพอเขาหายแล้ว หน่วย011จะจัดการทดสอบให้เขาเป็นกรณีพิเศษ 


 


 


เป็นการทดสอบที่มีเขาเพียงแค่คนเดียว 


 


 


หลังจากที่หวางย่าเฟยได้เข้าหน่วยไปแล้ว เขาเคยไปหาอวี๋หมิงหลางเป็นการส่วนตัวเพื่อถามว่าเป็นเพราะเสี่ยวเชี่ยนช่วยพูดหรือเปล่าถึงได้จัดการทดสอบให้เขาเป็นกรณีพิเศษ อวี๋หมิงหลางบอกว่าก็ครึ่งๆ 


 


 


อวี๋หมิงหลางถูกใจความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นทุนเดิม เสี่ยวเชี่ยนเองก็รับรองให้หวางย่าเฟยว่าเขาไม่ได้มีอาการผิดปกติทางจิตใจที่จะส่งผลต่อการทำงาน 


 


 


แต่สิ่งที่ทำให้หน่วย011จัดสอบให้เป็นพิเศษเป็นเพราะความพยายามและความสามารถของตัวหวางย่าเฟยเอง หลังจากที่ถูกปฏิเสธไปคราวก่อนเขายังสามารถลุกขึ้นมาให้ความร่วมมือในการรักษาอีกทั้งยังทำการฝึกตามปกติ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าสภาพจิตใจของเขาสามารถเป็นมือสไนเปอร์มือวางอันดับหนึ่งได้ 


 


 


หลังเสร็จเรื่องหวางย่าเฟยรู้สึกขอบคุณมาก เขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนตอบเขามาว่า ฝนตกฟ้าร้องก็ยังเป็นเพราะสวรรค์เมตตา 


 


 


เห็นค่าในความล้มเหลว เพราะถ้าจัดการกับความล้มเหลวให้ดีก็จะกลายเป็นทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า 


 


 


หวางย่าเฟยรู้สึกกับอวี๋หมิงหลางและเสี่ยวเชี่ยนแตกต่างออกไป ซึ่งเขาไปแสดงออกในการฝึกที่พยายามมากเป็นพิเศษ ทำให้อวี๋หมิงหลางได้ทหารเก่งๆเพิ่มเข้ามา 


 


 


ส่วนหูเหม่ยจิ้งและสามีรู้สึกขอบคุณเสี่ยวเชี่ยนยิ่งกว่า ถึงหูเหม่ยจิ้งจะจำเรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนช่วยปลุกตัวตนให้เธอไม่ได้ แต่ฉู่เซวียนสามีเธอจำได้ชัดเจน หลังจากที่ลูกในท้องของหูเหม่ยจิ้งคลอดออกมา เขาก็ได้เชิญเสี่ยวเชี่ยนไปเป็นสักขีพยานให้กับปาฏิหาริย์ของชีวิตน้อยๆนี้ 


 


 


พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางทั้งโต๊ะก็พากันดีใจ 


 


 


“เจ้าตัวแสบทำไมยังไม่นอนอีก?” เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปแล้วก็เห็นเด็กน้อยตัวอ้วนในอ้อมกอดของหูเหม่ยจิ้ง 


 


 


“อย่าให้พูดเลย เด็กแสบคนนี้พลังเยอะเหลือเกิน ดึกดื่นไม่หลับไม่นอนก่อกวนฉันกับพ่อเขาอยู่เรื่อย นี่พ่อเขากลับจากเลิกงานเจอย่าเฟยพอดีเลยออกมากินข้าวด้วยกัน” หูเหม่ยจิ้งส่งเด็กให้เสี่ยวเชี่ยนอุ้ม 


 


 


เด็กคนนี้พอไปอยู่กับเสี่ยวเชี่ยนก็เอาแต่ยิ้ม เด็กอายุไม่ถึงสองขวบแต่อ้วนตุ๊ต๊ะ พ่อกับแม่ทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มี ดูได้จากเนื้อหนังที่เกินออกมา นี่เป็นเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่มีความสุข 


 


 


“หมอเฉินฉันว่าเสียวส่วงชอบหมอมากเลยนะคะ พอหมออุ้มเขาก็ยิ้มไม่หยุดเลย” หูเหม่ยจิ้งสังเกตเห็นว่าทุกครั้งที่เจอเสี่ยวเชี่ยนลูกชายจะดีใจมาก อีกทั้งยังพยายามเอามือตีเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เขาคงถูกชะตาฉันมั้งคะ” เสี่ยวเชี่ยนอุ้มเด็กพลางยิ้มแย้ม 


 


 


เด็กคนนี้มีชื่อจริงว่าฉู่ส่วง ชื่อเล่นชื่อหลางหลาง 


 


 


ตอนเกิดฉู่เซวียนถามหูเหม่ยจิ้งว่าจะให้ลูกชื่ออะไร เธอตอบอย่างไม่ลังเลว่า ชื่อจริงให้ชื่อฉู่ส่วง ชื่อเล่นว่าหลางหลาง 


 


 


เกือบทำศาสตราจารย์หลิวที่ไปด้วยช็อคตาย ยังนึกว่าเพราะเธอนึกอะไรออกหรือเปล่า 


 


 


แต่ไม่เลย ส่วนใหญ่หูเหม่ยจิ้งจะค่อนข้างอ่อนโยน มีอารมณ์ร้อนบ้างเล็กน้อย แต่นิสัยกลมกลืนกันได้ดี เธอนึกเรื่องเมื่อก่อนไม่ออกเลยแม้แต่น้อย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวเคยนั่งวิเคราะห์เรื่องความหมายของชื่อที่หูเหม่ยจิ้งตั้ง จนสุดท้ายได้ข้อสรุปที่ว่า ภายในจิตใต้สำนึก หูเหม่ยจิ้งกับโลนวูล์ฟได้เป็นคนๆเดียวกันแล้ว เด็กคนนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของโลนวูล์ฟเหมือนกัน 


 


 


“ลูกผมชอบยิ้มอยู่แล้ว เห็นใครก็ส่งยิ้มตลอด” ฉู่เซวียนเองก็ชอบเด็กคนนี้ที่กว่าจะได้มาเกิดไม่ง่าย และรู้สึกขอบคุณเสี่ยวเชี่ยนที่ช่วยเหลือครอบครัวเขาตอนที่เจอความลำบากที่สุด 


 


 


“หัวหน้ากลางกินด้วยกันสิครับ วันนี้ตอนลงจากเครื่องผมอยากจะเลี้ยงหัวหน้า แต่หัวหน้าบอกรีบ ที่แท้ก็รีบมาหาหมอเฉินนี่เอง” หวางย่าเฟยพูดอย่างเป็นกันเอง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกว่าทุกคนรู้ว่าอวี๋หมิงหลางมาหาเธอทำไม 


 


 


“หมอเฉินคะ เอาเหล้าสักเหยือกไหมคะ?” หูเหม่ยจิ้งถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันดื่มไม่ค่อยเป็น” 


 


 


อวี๋หมิงหลางได้ยินแบบนั้นในใจก็ได้แต่ เหอๆ แสร้งทำเข้าไป ต่อหน้าคนนอกเอาให้เต็มที่ 


 


 


“หมอเฉินไม่ดื่มงั้นหัวหน้ากลางเอาหน่อยสิครับ หมอเฉินวางใจได้ผมไม่มอมเขาหรอก ไม่ทำให้ ‘เสียงาน’ คืนนี้แน่นอน รับรองส่งการบ้านได้ครับ” 


 


 


“นายนี่ทำไมพูดมากแบบนี้? กลับไปอยากเพิ่มเมนูเหรอไง?” อวี๋หมิงหลางทำมาดเข้มต่อหน้าทหารของตัวเอง 


 


 


“เพิ่มเมนูคืออะไรเหรอ?” หูเหม่ยจิ้งถามด้วยความสงสัย 


 


 


“เซตAคือเดินทางวิบากระยะทางหมื่นฟุตอีกทั้งยังต้องแบกของหนัก เซตBคือวิดพื้น500ครั้ง นี่ไม่นับเป็นการฝึกปกติ เป็นเซตพิเศษ” ใครทำผิดก็จะได้รับเซตพิเศษ 


 


 


“นายฝึกทหารแบบนี้เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถามอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เธอเองก็เคยได้ยินสืออวี้บ่น บอกว่าอวี๋หมิงหลางเวลาอยู่ในค่ายเหมือนคนกระหายสงคราม ฝึกคนแบบเอาเป็นเอาตาย น่าสงสารพี่เฉียวเจิ้นที่แต่ละครั้งเหนื่อยจนเกือบตาย 


 


 


“พวกเขาก็พูดเว่อร์กันไป” อวี๋หมิงหลางเป็นตายก็ไม่ยอมรับ ต่อหน้าคู่หมั้นเขายังอยากแสร้งทำเป็นหมาฮัสกี้สุดเชื่อง แต่ทหารของเขากลับไม่ไว้หน้า 


 


 


“ไม่ได้เว่อร์แม้แต่นิดเดียว วันๆพวกเราฝึกกันแบบนี้แหละครับมีแต่จะหนักกว่าไม่มีเบากว่านี้ หมอเฉินคงไม่รู้ว่าหัวหน้าป่าเถื่อนแค่ไหน พวกเรายังแอบสงสัยกันเลยว่าเขาเป็น—” 


 


 


หวางย่าเฟยรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต จึงรีบเอาเมนูมาปิดหน้าเพื่อบังสายตาอาฆาตของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


จบกัน กลับไปโดนเพิ่มเมนูแน่ ดูจากสายตาของหัวหน้าแล้ว คงได้เพิ่มตั้งแต่เซตAไปจนถึงเซตGแน่ 


 


 


“เป็นอะไร?” เสี่ยวเชี่ยนกำลังฟังอย่างสนุก เห็นหวางย่าเฟยไม่พูดต่อจึงรีบถาม 


 


 


“ถ้าผมพูด กลับไปหัวหน้าเก็บผมแน่” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหันไปถามอวี๋หมิงหลางด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นายเป็นพวกคนหน้าไม่อายที่เอาความแค้นไปปนกับเรื่องงานไหม?” 


 


 


ใช่ อวี๋หมิงหลางตะโกนในใจ แต่ปากปฏิเสธลูกเดียว 


 


 


“ไม่ใช่แน่นอน รับประกันเลยว่ากลับไปไม่ลงโทษอะไรทั้งนั้น” มากสุดก็แค่เพิ่มเซตใหม่ให้สองเซต 


 


 


ถึงกับมาฟ้องเมียเขาคิดว่าจะรอดเหรอ? 


 


 


ไอ้ลูกน้องใจดำทำไมไม่ลองนึกถึงตอนที่เขาไม่ฝึก เขาถ่ายทอดประสบการณ์จีบสาวยังไงบ้าง? 


 


 


เขาทุ่มหมดตัวโดยไม่เหลือไว้สักนิด เสี่ยวเชี่ยนมีเขียนจดหมายหาอวี๋หมิงหลางบ้างหลังจากที่ถูกเขาตื๊อบ่อยๆ จดหมายรักของคนมีมันสมองแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งสำบัดสำนวนเลิศเลอ บางครั้งอวี๋หมิงหลางอารมณ์ดีก็จะอนุญาตให้ทุกคนอ่านเพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาสำนวนการเขียน จุดประสงค์สำคัญคือต้องการอวด นี่แหละหน่วย011 


 


 


หวางย่าเฟยคิดในใจว่าสิ่งที่หัวหน้ากลางสอนนั้นมีพิษ เพื่อนๆในหน่วยไปจีบสาวตามที่หัวหน้าสอนไม่มีใครทำสำเร็จสักคน ตอนนี้ได้โอกาส ‘ล้างแค้น’ แล้ว แล้วจะให้ปล่อยโอกาสหลุดลอยไปเหรอ? 

 

 

 


ตอนที่ 567 เพิ่มเซตเมนูให้กินจนอิ่ม

 

“หมอเฉิน งั้นผมจะพูดแล้วนะครับ หมอเก่งด้านจิตวิทยา หมอว่าบนโลกนี้มีโรคจิตเวชแบบที่ชอบทรมานคนอื่น เห็นคนอื่นโชคร้ายแล้วมีความสุขไหมครับ? หัวหน้ากลางของพวกเราชอบเห็นพวกเราถูกแดดเผา ส่วนเขานั่งดื่มน้ำอัดลมตากพัดลม ให้พวกเราฝึกเอาชนะความเหนื่อยล้าแต่ไม่ให้นอน ส่วนเขานั่งบนเก้าอี้โยกใส่หูฟังฟังเพลง สวมแว่นกันแดดไม่รู้ว่าหลับหรือไม่หลับ แต่ถ้าพวกเราแอบตุกติกเขาก็จะลุกขึ้นมาทันที เต็มไปด้วยพลัง…” 


 


 


พอได้พูดถึง ‘ความเลวร้าย’ ของอวี๋หมิงหลางที่มีอยู่มากมาย หวางย่าเฟยก็แฉอย่างมีความสุข 


 


 


อวี๋หมิงหลางยิ้มตาหยียื่นปีกไก่หนึ่งไม้ให้เขา อีกทั้งยังรินเครื่องดื่มให้ ปกติมือสไนเปอร์ที่อยู่ในสถานะเตรียมพร้อมห้ามดื่มเหล้า 


 


 


ถึงหวางย่าเฟยจะมีพรสวรรค์ด้านการยิงปืนชนิดที่เหนือคนอื่น แต่เขาก็ไม่มีทางเก่งถึงระดับอวี๋หมิงหลาง ขาดก็แค่เรื่องเซ้นส์ 


 


 


เซ้นส์ของอวี๋หมิงหลางเทียบได้กับสัตว์ แต่ใช้กับเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ ใช้กับคนอื่นแม่นหมด หวางย่าเฟยช้ากว่าเยอะ เบื้องหลังใบหน้ายิ้มแย้มของหัวหน้ากลางนั้นเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต หวางย่าเฟยยังดูไม่ออก ยังคงพูดคุยภาษาเดียวกันกับเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“มาๆๆ กินเยอะๆนะ” อวี๋หมิงหลางยื่นให้อีกหลายไม้จนหวางย่าเฟยรู้สึกเซอร์ไพร้ส์ไม่น้อย จะไปรู้ได้อย่างไรว่าแท้ที่จริงในใจของอวี๋หมิงหลางกำลังคิดว่า ‘กินเยอะๆเลยนะ กลับหน่วยแกจะไม่ได้กินอีก จะเพิ่มเซตเอาให้ตายไปเลย’ 


 


 


“ในมุมมองทางจิตวิทยา มนุษย์มีสัญชาตญาณแห่งการโจมตี แต่ลักษณะการโจมตีของคนส่วนใหญ่ไม่ชัดเจนในสภาวะปกติ ถ้าถูกกระตุ้นโดยปัจจัยภายนอกก็อาจจะปล่อยสัญชาตญาณนี้ออกมาจนทำให้เกิดเป็นโรคจิตเวช สัญชาตญาณการโจมตีแบ่งออกเป็นต่อภายนอกกับต่อภายใน ต่อภายนอกก็คือโจมตีคนอื่น อย่างเช่น โรคอารมณ์แปรปรวนขั้นรุนแรง ภาวะมีแนวโน้มการใช้ความรุนแรง ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง เป็นต้น ส่วนต่อภายในก็คือฆ่าตัวตาย ทำร้ายตัวเอง โรคซึมเศร้าก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้” 


 


 


“งั้นช่วยวิเคราะห์หน่อยครับว่าคนแบบไหนที่มีแนวโน้มชอบโจมตี” 


 


 


“ถึงสถานการณ์ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนมีปัจจัยด้านกรรมพันธุ์หรือฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล แต่ส่วนใหญ่คนที่มีแนวโน้มโจมตีต่อภายนอกเกี่ยวข้องกับเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างแยกกันไม่ได้ เด็กคนหนึ่งถ้าเติบโตมาในสังคมที่ใช้ความรุนแรงหรือตัวเขาไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างรุนแรงเขาก็จะเอาความรุนแรงนี้เป็นบรรทัดฐานของตัวเอง คนที่มีแนวโน้มชอบโจมตีคนอื่นมีจำนวนไม่น้อยในสังคม ซึ่งมันก็เกี่ยวกับการสั่งสอนภายในครอบครัว” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมักจะอธิบายเรื่องที่มีความซับซ้อนให้เข้าใจง่ายได้เสมอ คนที่คุยกับเธอ ต่อให้ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องพวกนี้แม้แต่นิดเดียวก็สามารถฟังเธอเข้าใจได้อย่างสบาย ไม่เหมือนกับพวกหนอนหนังสือบางคนที่แค่อ้าปากก็ไม่มีใครเข้าใจ 


 


 


“งั้นหัวหน้ากลางของพวกเราเป็นประเภทไหนเหรอครับ?” หวางย่าเฟยรู้สึกได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น 


 


 


“เขาน่ะเหรอ…” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองอวี๋หมิงหลาง รู้สึกได้ว่าเขาเอามือมาลูบขาเธออยู่ใต้โต๊ะ เพื่อเป็นการเตือนว่า พูดอะไรต้องรับผิดชอบนะ เดี๋ยวกลับไปจะเพิ่ม ‘เซตเมนู’ให้นะจ๊ะ 


 


 


ไส้กรอกยี่ห้อหัวใจ มีให้กินจนอิ่ม… 


 


 


ในฐานะที่เป็นจิตแพทย์ที่มีจรรยาบรรณ มีเหรอจะปล่อยให้คนบางคนมาขู่ได้? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำเหมือนไม่รู้เรื่องที่เขาส่งสัญญาณแบบนั้น เธอตอบหวางย่าเฟยแบบสบายๆ 


 


 


“แล้วนายคิดว่าเขาเป็นแบบไหนล่ะ?” 


 


 


“ฮี่ๆ พูดตามตรงนะครับ ผมคิดว่าหัวหน้ากลาง—” 


 


 


“หนุ่มน้อย กินสิกิน” อวี๋หมิงหลางคีบอาหารให้อีกรอบพร้อมทั้งส่งสายตาเตือนหวางย่าเฟย ต่อหน้าคู่หมั้นของเขาถ้ายังกล้าพูดจาพล่อยๆทำลายภาพลักษณ์ของเขาอีกล่ะก็ จะเอาจริงแล้วนะโว้ย 


 


 


“หัวหน้ากลางพอแล้วครับ ผมกินไม่หมดหรอก” หวางย่าเฟยก็ยังไม่รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานมา 


 


 


ให้กินเยอะขนาดนี้ก็ยังอุดปากแกไม่ได้ อวี๋หมิงหลางตะโกนในใจ 


 


 


“หมอเฉิน อันที่จริงเมื่อกี้ผมล้อเล่นน่ะครับ จริงๆแล้วพวกเราต่างรู้ว่าหัวหน้ากลางทำเพื่อพวกเราทั้งนั้น ถึงทุกคนจะแอบเรียกเขาว่าซาตาน แต่พวกเราก็รู้สึกโชคดีที่มีซาตานแบบนี้เป็นหัวหน้า หมอไม่รู้แน่นอนว่าความสามารถในการรบของพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน อัตราการแพ้ของพวกเราน้อยสุดในบรรดาทหารบก นี่ก็เป็นเพราะหัวหน้ากลางฝึกพวกเรามาอย่างเข้มงวด ปกติฝึกเยอะตอนรบเลยเสียเลือดน้อย เขาเป็นฮีโร่ในใจของพวกเราครับ” 


 


 


หวางย่าเฟยใช้โอกาสนี้พูดสิ่งที่อยู่ในใจแทนทุกคน 


 


 


ปกติอายไม่กล้าพูดต่อหน้า ตอนนี้ถือโอกาสพูดให้ว่าที่ภรรยาของหัวหน้าได้ฟัง 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้คนอื่นพูดถึงเขาไม่ดีต่อหน้าว่าที่ภรรยา 


 


 


แต่พอถูกชมต่อหน้าแบบนี้ก็รู้สึกเขินไม่เบา 


 


 


“เมาใช่ไหม? กินเยอะๆแล้วพูดน้อยๆ” อวี๋หมิงหลางเอาอาหารยัดใส่ปากหวางย่าเฟย 


 


 


“หัวหน้า ถึงผมจะได้พักก็ห้ามดื่มเหล้าลืมแล้วเหรอครับ?” หวางย่าเฟยถามอวี๋หมิงหลางด้วยความสงสัย 


 


 


ไม่ได้รู้เรื่องเล้ย…อวี๋หมิงหลางคิดว่าพอกลับไปเขาควรจะเรียกประชุมหัวหน้าหน่วยย่อยเพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ระหว่างทหารด้วยกันมีความรู้ใจกันมากกว่านี้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกขำ เสี่ยวเฉียงชอบบอกว่าเธอเหมือนขนมเกลียว เขาล่ะไม่เหมือนหรือไง? 


 


 


“นั่นสิ นายพูดถูก หัวหน้ากลางของพวกนายไม่ได้เป็นโรคจิตเวชหรอก ถึงเขาจะคิดหาวิธีทรมานพวกนายสารพัด แต่วัตถุประสงค์ไม่เหมือนกับพวกคนที่คิดโจมตีโลกภายนอกหรอก ถึงคนพวกนั้นจะมีเหตุผลในการทำที่แตกต่างกันไป แต่พวกเขามีจุดที่เหมือนกันนั่นก็คือหัวรั้นช่างจับผิด ขาดความมั่นใจกับความเคารพตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หัวหน้านายไม่มี” 


 


 


เขาก็แค่หน้าหนาเป็นพิเศษเท่านั้นแหละ เสี่ยวเชี่ยนสะบัดขาออกจากมือที่เริ่มลามปามมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหยิกแขนเขากลับ 


 


 


กินข้าวกันไปได้ครึ่งทางโทรศัพท์ของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น 


 


 


นี่จะตีหนึ่งแล้วใครโทรหาเธอกัน? 


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบเหล่มองจอโทรศัพท์ก่อนเสี่ยวเชี่ยนกดรับ เขาเห็นเป็นเบอร์ทังสุ่ยเซียน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนบอกขอโทษแล้วออกไปรับโทรศัพท์ อวี๋หมิงหลางแอบเดินตามออกไปไม่ใช่เพราะต้องการจะแอบฟัง แต่เป็นเพราะไม่วางใจ ตอนนี้ดึกมากแล้ว 


 


 


“สุ่ยเซียน ดึกป่านนี้แล้วมีอะไรหรือเปล่า?” 


 


 


“ไม่มีอะไร ฉันมาพักผ่อนที่เมืองนอก ลืมไปว่าตอนนี้ที่เธอดึกแล้ว เวลาต่างกัน” เสียงของสุ่ยเซียนลอดออกมาจากโทรศัพท์ 


 


 


“ตลกน่า ทักษะการคำนวณของเธอจะถดถอยได้ขนาดนี้เลยเหรอ? ฉันพนันหยวนนึง เธอตั้งใจโทรหาฉัน” 


 


 


สุ่ยเซียนเป็นคนไข้ของเสี่ยวเชี่ยน หลังจากที่ได้กลายเป็นเพื่อนกัน สถานะตอนนี้คือเป็นพี่น้องบุญธรรม 


 


 


“รอเดี๋ยวนะ—” สุ่ยเซียนพูดเสร็จก็หันไปพูดกับพ่อ “เขาจับไต๋ได้ทันที พ่อแพ้แล้ว พ่อติดกระเป๋าหนูหนึ่งใบ” 


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยนยัยตัวแสบ พวกเธอไม่ได้แอบไปตกลงกันไว้แล้วมาหลอกพ่อหรอกนะ?” เสียงบ่นของทังต้าเย่ลอยมาตามสาย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแสยะยิ้ม ดีมาก สองพ่อลูกเอาเธอไปใช้พนัน 


 


 


“เลิกเล่นละ เชี่ยนเอ๋อมีงานเธอจะรับไหม?” ช่วงหลายปีมานี้ทังสุ่ยเซียนได้ติดตามพ่อไปเรียนรู้เรื่องธุรกิจ ได้พบเจอผู้คนมากมาย ถ้าใครมองหาจิตแพทย์เธอก็จะแนะนำให้เสี่ยวเชี่ยน คนที่เศรษฐีรู้จักก็คือเศรษฐีด้วยกัน เรื่องราคาเสี่ยวเชี่ยนเป็นคนเรียก นี่แหละแหล่งที่มาบ้านของเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“มีปัญหาอะไรเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


“ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง รักษาได้ไหม?”  

 

 


ตอนที่ 568 เพื่อนเก่ากับตีเทนนิส

 

“วินิจฉัยแล้วเหรอ เป็นภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งจริงเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนคิ้วขมวด 


 


 


“ใช่ วินิจฉัยจากเมืองนอกแล้ว เขามีงานในประเทศเลยไม่สะดวกมาที่นี่ เธอรับรักษาได้ไหม? ราคาคุยกันได้” 


 


 


ราคาคุยกันได้ที่ทังสุ่ยเซียนว่าก็คือคิดเป็นรายชั่วโมงจะสี่หลักห้าหลักก็ว่าไป 


 


 


ค่ารักษาของเสี่ยวเชี่ยนถ้าจะใช้ภาษาแบบวงการเล่นของโบราณ สี่หลักก็คือราคาตั้งแต่6,000-9,900 ห้าหลักก็คือ 10,000-30,000 ราคาสามหลักเหมือนทำงานการกุศล ถ้าราคาสามหลักก็ 800-1,000 เก็บพอเป็นพิธี 


 


 


ปกติเสี่ยวเชี่ยนชอบรับเงินแกะอ้วนอยู่แล้ว แต่พอได้ยินชื่อโรคนี้เธอก็ลังเล 


 


 


ถ้าเป็นปกติเธอก็จะรับ แต่เสี่ยวเฉียงกลับมาแล้วก็ไม่แน่ว่าเธอจะมีเวลา โรคชนิดนี้รักษายากมาก ใช้เวลานาน ผลที่ได้ก็ใช่ว่าจะดี 


 


 


“งั้นเอาอย่างนี้ ขอเวลาหน่อยแล้วฉันจะให้คำตอบ” เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง ยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ 


 


 


“งั้นฉันจะไปบอกให้ทางนั้นรอก่อน เชี่ยนเอ๋อ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอลังเล โรคนี้มันซับซ้อนเหรอ?” สุ่ยเซียนเองก็ไม่ค่อยรู้ว่านี่เป็นโรคจิตเวชแบบไหน รู้แค่ว่าถ้าฝ่ายนั้นถึงกับต้องไปรักษาที่ต่างประเทศก็แสดงว่าไม่ธรรมดา 


 


 


“ฉันจะบอกแบบนี้แล้วกัน ถ้าจิตแพทย์อย่างพวกฉันเลือกคนไข้ได้เองล่ะก็ จิตแพทย์ทุกคนคงไม่มีใครเลือกรักษาผู้ป่วยโรคนี้ ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งมีอีกชื่อว่า ฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา” 


 


 


“รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทังสุ่ยเซียนตกใจ 


 


 


แม้แต่อวี๋หมิงหลางยังหันไปมองเสี่ยวเชี่ยน ฆาตกร? ฟังดูน่ากลัวชอบกล 


 


 


“ใช่ ดังนั้นฉันถึงขอคิดก่อนว่าจะรับดีไหม” 


 


 


“ก็ได้ เข้าใจแล้ว จริงสิเชี่ยนเอ๋อ อยากฝากฉันซื้ออะไรกลับไปไหม?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองเสื้อผ้าของอวี๋หมิงหลางแล้วพูดกับสุ่ยเซียน 


 


 


“ช่วงนี้งานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ร่วงฤดูหนาวไหม?” 


 


 


“จะมีงานของเวอซาเช่ ฉันว่าจะไปดูอยู่” 


 


 


“เอาเหมือนเดิม ถ่ายรายการส่งเข้าเมลให้ด้วย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางสาย อวี๋หมิงหลางเข้าไปโอบเอวเธอพลางพูด “ผู้หญิงอย่างพวกคุณ หน้าร้อนซื้อเสื้อผ้าหน้าหนาว หน้าหนาวซื้อเสื้อผ้าหน้าร้อน ซื้อกลับมาก็ยังใส่ไม่ได้ แขวนไว้ดูในตู้ เป็นนิสัยแบบไหนกัน?” 


 


 


“งานเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์เนมจะมีก่อนถึงฤดูทั้งนั้น ถ้าอยากซื้อคอลเลคชั่นใหม่ก็ต้องซื้อเวลานี้เนี่ยแหละ” 


 


 


ชุดที่อวี๋หมิงหลางใส่ตอนนี้เธอก็ซื้อตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้เธอรับหน้าที่ดูแลตู้เสื้อผ้าของเขา เวลาเธอซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนฤดูก็จะซื้อให้เขาด้วย 


 


 


“ไม่ต้องซื้อให้ผมแล้ว เสื้อผ้าผมพอใส่” อวี๋หมิงหลางเป็นผู้ชายที่ว่าซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวหลายๆตัวเปลี่ยนกันใส่ 


 


 


นับตั้งแต่หมั้นกับเสี่ยวเชี่ยน ตู้เสื้อผ้าของเขาก็เริ่มมีสีสันหลากหลาย เขาไม่ได้อะไรกับการแต่งตัวมาก มีใส่ก็พอ อย่างไรเสียเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่ค่อยได้ใส่ชุดลำลองเท่าไร 


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนเป็นผู้หญิงที่พิถีพิถัน ไม่เพียงแต่ตัวเธอจะพิถีพิถัน ผู้ชายของเธอก็ต้องด้วย อวี๋หมิงหลางบอกว่าไม่เอาเธอก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน 


 


 


อย่างไรเสียซื้อกลับมาเธอก็เอาไปแขวนในตู้เสื้อผ้าเขา ตาขี้เกียจคนนี้ยังไงก็ใส่ 


 


 


“เสียวเหม่ย เมื่อกี้คุณพูดว่าฆาตกรอะไรเหรอ?” 


 


 


“แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์สำเร็จภูมิใจมากไหม?” 


 


 


“ผมก็แค่สงสัย รู้ว่าคุณต้องเก็บความลับคนไข้น่า ผมแค่แปลกใจว่าโรคอะไรที่ทำให้เบบี๋ของผมลำบากใจ ผมจำได้ตอนที่คุณคุยกับหวางย่าเฟยก็พูดถึงชื่อโรคนี้” 


 


 


อวี๋หมิงหลางความจำดีมาก ฟังครั้งเดียวก็จำได้ 


 


 


“ฉันไม่ได้ลำบากใจและก็ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ เพียงแต่โรคนี้ไม่เหมือนโรคจิตเวชชนิดอื่น ความยากกับความซับซ้อนในการรักษามันเกินกว่าจะจินตนาการ ดังนั้นคนในวงการถึงได้เรียกโรคนี้ว่า ฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา นายก็รู้ว่าคนที่เรียนด้านเดียวกับฉันกว่าจะเรียนจนเป็นไม่ง่าย ต้องใช้เวลาหลายปี พวกเราไม่แนะนำให้นักศึกษาจบใหม่รับเคสแบบนี้หรอก” 


 


 


“ทำไมล่ะ?” 


 


 


“เพราะมันจะทำลายความมั่นใจของหมอมากเสียจนไม่เหลือ จะทำให้จิตแพทย์ที่ประสบการณ์รักษาไม่มากพอสงสัยในความสามารถของตัวเอง หมอหลายคนสุดท้ายเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก็เพราะโรคนี้” 


 


 


“เจ๋งขนาดนั้นเลย?” 


 


 


“อืม ใช่ แล้วนายห้ามไปเรียกว่าฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาต่อหน้าอาจารย์ฉันเด็ดขาดเลยนะ อาจารย์ถือมากเรื่องวิจารณ์ชื่อโรค” 


 


 


“ผมไม่ใช่คนปากเปราะอย่างหวางย่าเฟยเสียหน่อย อยู่ว่างชอบพูดจาเลอะเทอะ ไปกันเถอะลูกเชี่ยน เข้าไปกัน กินเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน พี่ยังมีงานใหญ่ต้องทำ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากจะทำหน้า เหอๆใส่เขาแล้วลากหวางย่าเฟยออกมาดูว่า ผู้ชายที่เป็นเหมือนฮีโร่ในสายตาพวกเขาอยู่บ้านหน้าด้านขนาดไหน 


 


 


กินมื้อดึกเสร็จ เสี่ยวเชี่ยนก็ขับรถพาอวี๋หมิงหลางกลับบ้าน ตอนที่ผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด 24 ชม. เสี่ยวเชี่ยนก็หยุดรถ อวี๋หมิงหลางเข้าใจทันทีว่าเธอต้องการทำอะไร 


 


 


ตามคาด เดินไปโซนผลไม้ เป้าหมายคือแตงโมสินะ… 


 


 


“เสียวเหม่ย พรุ่งนี้ตอนกลางวันมีเรียนไหม?” 


 


 


“ไม่มี” 


 


 


“ไปตีเทนนิสกันดีไหม?” 


 


 


“ไม่ดี” เธอไม่ไปทรมานตัวเองหรอก 


 


 


“ไปเถอะนะ ช่วงนี้ผมอยากเล่นลูกกลมๆ” 


 


 


ไอ้ลูกกลมๆบนตัวฉันสองลูกยังเล่นไม่พออีกเหรอ? แต่คำพูดที่ทำลายภาพลักษณ์แบบนี้ทำได้แค่ตะโกนในใจ 


 


 


“อยู่ๆทำไมถึงอยากไปตีเทนนิส? อากาศร้อนจะตาย ไปเล่นน้ำทะเลยังดีกว่า” 


 


 


“เมื่อคืนผมฝันว่าตีเทนนิสกับเพื่อนมอปลาย แล้วก็คิดได้ว่าตัวเองไม่ได้ไปตีเทนนิสนานแล้ว ไปเล่นเถอะนะเสียวเหม่ย?” เขาอ้อนวอน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองโซนผลไม้ เป้าหมายอยู่ที่แตงโมลูกสุดท้ายนั้น เธอเดินคุยกับเขาแบบไม่ใส่ใจ 


 


 


“เพื่อนคนที่เรียนเก่งชื่อเสียวอวี่นั่นอะเหรอ คนที่มีคุณสมบัติโดดเรียนได้แบบนาย?” 


 


 


ตอนมอปลายอวี๋หมิงหลางหน้าด้านมาก อาศัยว่าตัวเองเรียนเก่งเลยโดดคาบเรียนด้วยตัวเองตอนเย็นไปเล่นกีฬาที่โรงยิม เขาเคยเล่าให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง ตอนนั้นมีเพื่อนที่ผลการเรียนพอๆกับเขาด้วยอีกคน ทั้งสองคนเลยโดดเรียนไปตีเทนนิสกัน 


 


 


“ใช่ๆ เสียวอวี่นั่นแหละ ไม่เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ทำไมเมื่อคืนถึงฝันถึงเรื่องสมัยมอปลาย” 


 


 


สมัยเรียนมอปลายเป็นช่วงเวลาที่แสนมีความสุข อวี๋หมิงหลางเลยอยากพาเสียวเหม่ยของเขาไปร่วมรำลึกความสุขสมัยวัยรุ่น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยื่นมือไปหยิบแตงโม มีมืออีกข้างยื่นมาจับจากอีกทาง เธอเงยหน้า หันไปจ้องคนที่จะมาแย่งแตงโม 


 


 


“พิธีกรเย่?” 


 


 


“เหม่ยเหวย?” 


 


 


ผู้หญิงคนที่แย่งแตงโมใส่ชุดนอนสวมรองเท้าแตะ ดูเหมือนจะอาศัยอยู่แถวนี้ แต่ทรงผมหวีเรียบร้อยมาก ใบหน้าก็จัดเต็ม ใส่ขนตาปลอมด้วย 


 


 


เดิมอวี๋หมิงหลางอยากจะขอดูหน้าคนที่กล้ามาแย่งแตงโมคู่หมั้นเขา ปรากฏว่าพอเงยหน้าก็อึ้งกับใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็ดูแปลกนิดหน่อยไปหลายวินาที ทันใดนั้นเขาก็เบิกตาโพลงแล้วชี้ผู้หญิงคนนั้นด้วยความตกใจ 


 


 


“เย่เสียวอวี่” 


 


 


ผู้หญิงคนนั้นละสายตาไปมองเขาแล้วก็แสดงสีหน้าตกใจปนดีใจ 


 


 


“อวี๋หมิงหลาง”  

 

 


ตอนที่ 569 ตาบ้ากับการหึง

 

ถ้ารู้ว่าการมาซื้อแตงโมจะทำให้มาเจอเพื่อนเก่าเสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตนี้แน่นอน เธอไม่มีทางลืมสีหน้าตกใจยกมือชี้ใส่กันของอวี๋หมิงหลางกับเย่เสียวอวี่ได้ไปตลอดชีวิต 


 


 


จะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ยังไงดีล่ะ? เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเจอเม็ดทรายในข้าวสวยเสียอีก คล้ายกับตอนตอกไข่ดิบใส่ชาม ฟองแรกๆดีหมด ฟองสุดท้ายกลับเจอไข่เน่า 


 


 


จากนั้นก็ต้องเทไข่ทิ้งทั้งหมด ต้องมานั่งเซ็งอยู่คนเดียว 


 


 


ความตื่นเต้นดีใจที่ได้เจออวี๋หมิงหลางเมื่อครู่ อารมณ์ที่ไม่ได้เจอคนรักมานานอยากจะกลับไปเล่นผีผ้าห่ม ทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นความระแวง 


 


 


อวี๋หมิงหลางยังไม่รู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนได้เปิดขวดน้ำส้มสายชูแล้ว[1] เขาชี้เย่เสียวอวี่ เย่เสียวอวี่ก็ชี้เขา จากนั้นทั้งสองคนก็ยื่นมือจะแตะกัน ทำเหมือนตอนฉลองชัยชนะหลังตีเทนนิสเสร็จแบบสมัยเรียน 


 


 


มือซ้ายของเสี่ยวเชี่ยนรีบหยิบแตงหวานยัดใส่มือของอวี๋หมิงหลางอย่างรวดเร็ว มือขวางดึงอวี๋หมิงหลางไปข้างหลังอย่างเป็นธรรมชาติ แยกพวกเขาทั้งสองคนสำเร็จ จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่เย่เสียวอวี่ตกใจรีบหยิบแตงกวาที่มีหนามยัดใส่มือเธอ 


 


 


“คุณรู้จักกับคู่หมั้นฉันเหรอคะ?” คำว่าคู่หมั้น เสี่ยวเชี่ยนเน้นย้ำเป็นพิเศษ 


 


 


เซ้นส์ในการแยกแยะศัตรูหัวใจของผู้หญิงแรงกว่าเชอร์ล็อก โฮมส์เสียอีก 


 


 


แค่เธอเห็นสายตาดีใจของเย่เสียวอวี่ก็ได้กลิ่นแปลกๆแล้ว 


 


 


“คู่หมั้นเหรอ?” เย่เสียวอวี่ตกใจอย่างเห็นได้ชัด 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณรู้จักเสียวอวี่เหรอ?” อวี๋หมิงหลางเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่นอกเกม ผู้หญิงทั้งสองคนเริ่มทำสงครามสายตากันแล้ว เขายังคงอยู่ในห้วงแห่งความดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า 


 


 


“เขาเป็นพิธีกรของสถานีวิทยุ มีชื่อเสียงมาก” 


 


 


ก่อนที่เสี่ยวเชี่ยนจะปรากฏตัวด้วยชื่อเหม่ยเหวย รายการของเย่เสียวอวี่ติดโผรายการที่มียอดคนฟังสูงมาตลอด ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก 


 


 


รายการของเธอเป็นแนวเล่าเรื่องตลกขำขัน พวกคนขับรถชอบฟังมาก ตั้งชื่อน่ารักๆให้เธอว่า นางฟ้าสายฝน[2] เพราะเธอเสียงหวานพูดจาก็น่าฟัง เย่เสียวอวี่มักจะไปเป็นพิธีกรรับเชิญตามงานอีเว้นท์บ่อยๆ  


 


 


หลายคนต่างคิดว่าคนที่เสียงเพราะมักหน้าตาไม่ดี แต่เย่เสียวอวี่ไม่ใช่แค่เสียงเพราะยังหน้าตาออกแนวหวานๆอีกด้วย บวกกับนิสัยร่าเริง พูดคุยเป็นกันเอง สนุกสนาน จึงเหมือนเป็นโลโก้ของสถานีวิทยุ 


 


 


แต่หลังจากที่เหม่ยเหวยปรากฏตัว ยอดคนฟังรายการพาสเวิร์ดหัวใจก็ทะยานขึ้น ส่งผลต่อรายการตลกของเย่เสียวอวี่ที่จัดในตอนเที่ยง 


 


 


ถึงทั้งสองคนจะจัดรายการคนละเวลา เนื้อหารายการก็เป็นคนละประเภท แต่ผู้บริหารของสถานีกับเพื่อนร่วมงานมักจะชอบเอาทั้งสองคนมาเปรียบเทียบกันทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ 


 


 


ต่างเป็นพิธีกรที่ทั้งสวยทั้งมีเอกลักษณ์ทั้งคู่ คนหนึ่งสวยหวานร่าเริง ส่วนอีกคนเย็นชาดูฉลาด รอบตัวคนสวยก็มักจะเจอคำพูดแบบนี้ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เธอก็แค่ถูกอาจารย์จับมาฝึกงาน พอหมดเวลาก็ไป คนอื่นๆคิดว่างานสถานีวิทยุโทรทัศน์เป็นงานที่ไม่เลว แต่เธอไม่เสียดายเลยสักนิด ไม่ว่าทางสถานีจะมีกิจกรรมหรือประชุมอะไรเธอไม่เคยเข้าร่วม เรื่องบางอย่างผู้กำกับหรือไม่ก็ผู้บริหารเป็นคนโทรบอกเธอ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเคยได้ยินผู้กำกับพูดอยู่ว่าเพื่อร่วมงานเอาไปเทียบกับเสียวอวี่ บอกว่าหลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนมา บัลลังก์ของนางฟ้าสายฝนก็สั่นคลอน ได้ยินว่านางฟ้าสายฝนหวั่นใจมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มเหมือนว่านี่เป็นเรื่องตลก สิ่งที่คนพวกนี้แย่งชิงกันสำหรับเธอมันก็เหมือนวิวข้างทางที่นั่งรถผ่าน เธอก็แค่แขกที่มาเยี่ยมชม 


 


 


แต่เวลานี้เมื่อเห็นปฏิกิริยาระหว่างเย่เสียวอวี่กับอวี๋หมิงหลางที่ดูไม่ปกติเท่าไร เสี่ยวเชี่ยนก็เพิ่มความระแวง 


 


 


เย่เสียวอวี่ไม่คิดว่าไม่เจออวี๋หมิงหลางไม่กี่ปี มาเจอกันอีกครั้งข้างกายเขาจะมีแฟนแล้ว อีกทั้งยังเป็นเหม่ยเหวยที่แย่งหน้าเธอในสถานีวิทยุ ถึงใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเย็นชา ซึ่งไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเสี่ยวเชี่ยนไปได้ 


 


 


อวี๋หมิงหลางที่ปกติเป็นคนความรู้สึกไว ตอนนี้กลับไม่รู้เป็นไง เชื่องช้ายังไม่รู้สึกถึงปัญหา 


 


 


“จริงสินี่เฉินเสี่ยวเชี่ยนคู่หมั้นเรา เสียวอวี่เธอแต่งงานหรือยัง?” สำหรับเขาแล้วนี่คือเพื่อนเก่า เป็นเพื่อนเล่นกีฬาสมัยก่อน 


 


 


“ยังไม่มีแฟนเลย ไม่โชคดี…เหมือนนาย” เย่เสียวอวี่มองอวี๋หมิงหลาง แล้วเหลือบมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างเย็นชา จากนั้นก็รีบเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เพื่อนร่วมงานต่างบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ชอบยิ้ม ผู้ชายหลายคนชอบเธอเพราะรู้สึกว่าเธอเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัย สดใสดั่งดวงอาทิตย์ ไร้เดียงสาไม่เสแสร้ง 


 


 


“เหม่ยเหวยเธอจะกินแตงโมเหรอ? งั้นยกให้เธอแล้วกัน เมื่อก่อนเวลาที่ฉันไปตีเทนนิสกับหมิงหลางเขาชอบเลี้ยงแตงโมฉันบ่อยๆ งั้นนี่ก็ถือซะว่าตอบแทนเขาแล้วกัน” เย่เสียวอวี่แสร้งทำเป็นใจกว้าง 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้คิดอะไรมาก เขารู้แค่ว่าเสียวเหม่ยของเขาชอบกินแตงโมหลังเสร็จกิจจึงยื่นมือไปจะหยิบ แต่เสี่ยวเชี่ยนเอามือไปหยิกเอวเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม 


 


 


“ให้คุณดีกว่าค่ะ พวกคุณเป็นเพื่อนเก่ากันการมาเจอกันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต่อไปถ้าอยู่คนละเมืองจะได้เจอกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่างไรเสียเขาก็อยู่กับฉัน อยากกินเมื่อไรค่อยซื้อก็ได้ค่ะ ที่รักเลือกแตงหวานให้หน่อย แตงโมกินเบื่อแล้ว เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดีกว่า” ประโยคหลังเสี่ยวเชี่ยนพูดกับอวี๋หมิงหลาง 


 


 


โวะ เธอเรียกเขาว่าที่รัก 


 


 


เสี่ยวเฉียงเกือบขึ้นสวรรค์ เขารีบหยิบถุงไปเลือกแตงหวาน 


 


 


สายตามั่นใจของเสี่ยวเชี่ยนสบตากับเย่เสียวอวี่ที่ใกล้จะยิ้มไม่ออกเต็มที ไง คิดจะเอาเรื่องชื่นมื่นสมัยวัยเรียนกับแฟนฉันมาอวดฉันเหรอ? 


 


 


อย่าว่าแต่แตงนี่เลย แม้แต่แตงกวาของเขาก็มีแค่เธอได้ใช้ สลักเอาไว้แล้วว่าชาตินี้ของเสี่ยวเชี่ยนเท่านั้น อย่ามาเสร่อ 


 


 


อวี๋หมิงหลางใส่ของเสร็จก็มองเพื่อนเก่าที่ยืนอยู่ตรงแผงผลไม้มองมาที่ตัวเขาด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจ เขาจึงถามด้วยความสงสัย “เธอไม่ซื้อของเหรอ?” 


 


 


“ไม่แล้วล่ะ พวกเธอเลือกของไปนะ ฉันขอตัวก่อน” อยู่ต่อไม่ได้แล้ว เพราะเย่เสียวอวี่คิดว่ากำลังจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้ว 


 


 


ภาพลักษณ์สาวสดใสร่าเริงที่มีมานานจะมาพังทลายไม่ได้ 


 


 


พอเธอเดินออกเสี่ยวเชี่ยนก็หน้าบึ้ง 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่เข้าใจว่าภายในช่วงเวลาแค่ไม่กี่นาทีเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงทั้งสองคน เขามองแตงโมลูกนั้นแล้วถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณยังอยากกินแตงโมไหม? ซื้อไปด้วยเลยดีกว่า” 


 


 


“นายยังซื้อไม่พออีกเหรอ?” พูดจบก็เอาถุงยัดไปที่อกเขา แล้วหน้าบึ้งเดินออกไป 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร เขารีบคิดเงินแล้วไล่ตามเธอไป 


 


 


“เสียวเหม่ยเป็นอะไรไป?” อวี๋หมิงหลางเดินเข้าไปจับเธอตรงหน้ารถ 


 


 


เสียวเหม่ยแยกเขี้ยวใส่เขา “เสียวอวี่ที่ตีเทนนิสกับนายบ่อยๆเป็นผู้หญิง?” 


 


 


ใครจะไปคิดว่าเสียวอวี่เป็นผู้หญิง เธอคิดว่าเป็นผู้ชายมาตลอด 


 


 


“คุณไม่พูดผมก็ลืมไปเลยนะว่าเขาเป็นผู้หญิง คุณไม่รู้อะไร ตอนอยู่มอปลายเขาไม่ใช่แบบนี้ ผมสั้นมาก ตัวก็เล็ก ผมไม่ได้มองเขาเป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ ผู้หญิงนี่เปลี่ยนตอนอายุสิบแปดจริงๆ จำแทบไม่ได้” 


 


 


“เหอๆ…งั้นก็หมายความว่าตอนมอหกนายโดดเรียนไปตีเทนนิสกับผู้หญิงทุกวัน จากนั้นก็ซื้อแตงโมให้เขากิน เมื่อคืนนายยังฝันถึงเขาอีก?” 


 


 


“ตอนนั้นมีแค่เขาที่ไปเล่นกับผมได้นี่นา พวกไห่เจาผลการเรียนไม่ดีออกไปไม่ได้ ส่วนเรื่องแตงโมผมก็ลืมไปนานแล้ว ผมซื้อแตงโมให้เขากินเมื่อไรกันนะ? เรื่องความฝัน—” 


 


 


เขาอยากบอกว่า เมื่อคืนเขาไม่ได้ฝันเห็นแค่เสียวอวี่ยังฝันถึงเพื่อนสมัยเรียนมอปลายคนอื่นๆด้วย อาจเพราะใกล้ถึงช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็เป็นได้ เขาถึงได้ฝันถึงชีวิตสมัยเรียนมอปลาย 


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนไม่มีความอดทนที่จะฟังเขาอธิบายแล้ว 


 


 


ดีมาก อวี๋หมิงหลาง นายมันดีจริงๆ 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] ดื่มน้ำส้มสายชู หมายถึง หึงหวง 


 


 


[2] อวี่ (雨) ภาษาจีนแปลว่า ฝน 

 

 

 


ตอนที่ 570 ไม่เหมือนกันกับดัดจริต

 

มุมมองของผู้หญิงกับผู้ชายที่มีต่อปัญหานั้นไม่เหมือนกัน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแค่ดูก็รู้ว่า เพื่อนผู้หญิงคนนี้คิดไม่ซื่อกับเสี่ยวเฉียงของเธอ แต่คู่หมั้นจอมซื่อบื้อกลับรู้สึกแค่ดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า 


 


 


ยังดีที่เขาไม่ได้เสนอไว้กินข้าวกันอะไรแนวๆนั้น ถ้าเขาพูดขึ้นมา เสี่ยวเชี่ยนจะเอาแตงโมทุบหัวเขา 


 


 


แต่ถึงจะเป็นแบบนี้เธอก็ยังไม่พอใจเขาอยู่ดี 


 


 


ตลอดทางอวี๋หมิงหลางพยายามชวนเธอคุย เสี่ยวเชี่ยนเอาแค่ทำหน้าเชิ่ดไม่ยอมคุยด้วย เขาจึงได้แต่เดาความคิดเธอ เพราะอะไรนะทำไมเสียวเหม่ยถึงดูอารมณ์เสีย? 


 


 


บ้านหลังนี้ของเสี่ยวเชี่ยนอยู่ไม่ไกลจากสถานีวิทยุโทรทัศน์ จัดเป็นคอนโดตึกสูงที่หาได้ยาก ผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นชนชั้นระดับกลาง สภาพแวดล้อมค่อนข้างดี มีที่จอดรถชั้นใต้ดิน เข้าออกต้องใช้คีย์การ์ด ดังนั้นเธอถึงได้กล้าทำงานที่เลิกดึกแบบนี้ แต่พออวี๋หมิงหลางมาเขาก็ได้สำรวจรอบทิศ เป็นความเคยชินจากหน้าที่การงาน เพื่อหาดูว่ามีปัจจัยที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ 


 


 


ตอนนี้ในบ้านเหลือแค่เสี่ยวเชี่ยนคนเดียว อีกห้องว่างอยู่ เสี่ยวเชี่ยนพอกลับถึงบ้านก็เปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะ แขวนกระเป๋าไว้ที่ตู้ ไม่มองหน้าอวี๋หมิงหลางแม้แต่น้อย เดินตรงไปที่ห้องน้ำ อวี๋หมิงหลางดึงตัวเธอกลับมาแล้วมองเธอด้วยสายตาหม่นๆ 


 


 


“คุณโกรธ” 


 


 


“เปล่า” 


 


 


เวลาที่ผู้หญิงพูดว่าเปล่าความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ใช่ โกรธจนจะบ้าอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมรับจะทำไมล่ะ 


 


 


“เพราะแตงโม? งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อที่อื่นให้” อวี๋หมิงหลางนั่งคิดมาตลอดทางก็ยังคิดไม่ออก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนฟังเขาที่ยังกล้าพูดเรื่องแตงโม จึงเอื้อมมือไปผลักตัวเขาออก “ออกไปเลยนะ” 


 


 


“ผมไม่ออก นี่เป็นบ้านเมียผม ทำไมผมต้องออกไปด้วย?” 


 


 


มีสิทธิ์อะไร ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ให้เขา ‘เข้าไป’ ก็ช่าง นี่ยังจะให้เขาออกไปอีก? 


 


 


“ไปหาผู้หญิงที่ตอนดึกใส่ชุดนอนแล้วยังแต่งหน้าคนนั้น น่าสงสัยว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่า ไปกินแตงโมด้วยกันเลยไป ไปนั่งรำลึกความหลังด้วยกัน ฉันใจแคบมีที่ไม่พอให้ผู้ชายจิตใจดีเลี้ยงแตงโมเพื่อนสาวอย่างนายอยู่หรอก จริงสิ พรุ่งนี้นายจะไปตีเทนนิสกับเขาก็ได้นะ เล่นกันเก่งไม่ใช่เหรอ? อีกทั้งยังเคยโดดเรียนไปด้วยกัน พวกนายให้การสนับสนุนอุปกรณ์กีฬาของประเทศขนาดนี้ ไม่ไปวางแผนมีลูกด้วยกันเลยเล่า” 


 


 


อวี๋หมิงหลางใช้เวลาสามวินาทีวิเคราะห์กลิ่นดินระเบิดจากเสี่ยวเชี่ยน สุดท้ายจึงได้ข้อสรุป เขาถอยไปเงียบๆหนึ่งก้าว แล้วมองเสี่ยวเชี่ยนจากบนลงล่าง 


 


 


“เสียวเหม่ย ประจำเดือนมาก่อนกำหนดเหรอ?” 


 


 


ประจำเดือนเธอมาเมื่อไรเขาจำได้หมด ถึงจะยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนกว่า แต่ก็ตัดความเป็นไปได้ที่ประจำเดือนจะมาผิดพลาดทิ้งไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคู่หมั้นที่สุขุมเยือกเย็นมาตลอดของเขาทำไมอยู่ๆก็พูดจาไร้ตรรกะได้มากมายขนาดนี้? 


 


 


อุปกรณ์กีฬา วางแผนมีลูก มีอะไรเกี่ยวข้องกัน? 


 


 


“อะไรของปู่วะแม่ง ออกไป” เสี่ยวเชี่ยนโมโหเขาสุดๆ 


 


 


“ปู่อายุแปดสิบกว่าแล้วปล่อยท่านไปเถอะนะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางรับของตกแต่งบ้านที่เธอโยนมาแบบฉิวเฉียด เห็นแล้วก็ใจหายวาบ 


 


 


“จอมทำลายข้าวของ นี่มันหยกเลยนะ น้าผมให้แต่ของดีๆมาทั้งนั้น ถ้าแตกไปจะทำไง” 


 


 


ของตกแต่งใหญ่ขนาดนี้แพงมากเลยนะ น้าฉีเยี่ยให้มา 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย ข้างมือมีอะไรเธอก็ปาอันนั้น อวี๋หมิงหลางมือซ้ายรับหยกผักกาดขาว มือขวารับถ้วยรางวัลของเธอแบบฉิวเฉียด ปากก็ยังคาบชุดนอนผ้าไหมสไตล์ผ้ากันเปื้อน—โอ่ยเสียวเหม่ย ชุดแบบนี้ทำไมเอามาวางแบบนี้ ถูกคนอื่นเห็นเข้ามันจะไม่ดีนะ 


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนยกรูปปั้นสไตล์ยุคหลังที่ทำจากทองแดง อวี๋หมิงหลางทนไม่ไหวแล้ว 


 


 


เขาคายชุดผ้าไหมทิ้ง แล้วรีบทำท่ายอมแพ้ 


 


 


“แม่จ๋า เล่นอย่างอื่นเถอะนะ อันนั้นอย่าเขวี้ยงเลยจ้าแม่” 


 


 


ของหนักขนาดนั้นถ้าเธอโยนไม่โดนเขาแล้วหล่นทับเท้าเธอจะทำไง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นท่าทางของเขาก็ทั้งโกรธทั้งขำ 


 


 


ความหึงหวงที่แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเมื่อครู่ลดลงไปไม่น้อยแล้ว เธอรู้ว่าอวี๋หมิงหลางไม่ได้คิดไปทางนั้น เขาเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างยึดตึดกับเรื่องความสัมพันธ์ ไม่มีทางมีอดีตที่เกินเลยกับผู้หญิงที่น่าสงสัยว่าเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าแบบนั้นแน่ 


 


 


ด้วยนิสัยแบบเขาที่ถ้าถูกใจอะไรก็ต้องครอบครองให้ได้ ถ้าสมัยมอปลายชอบก็คงจีบไปนานแล้ว ไม่มีทางขาดการติดต่อไปหลายปี แล้วนับประสาอะไรกับการที่เพิ่งเจอกันแล้วอวี๋หมิงหลางไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษเลยสักนิด ก็แค่เป็นท่าทางของคนปกติเวลาเจอเพื่อนเก่า 


 


 


แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็ยังหงุดหงิด 


 


 


พอเธอนึกว่าช่วงหลายปีนั้นตอนที่เธอยังไม่ปรากฏตัว หมาฮัสกี้หน้าหนาตัวนี้โดดเรียนไปตีเทนนิสกับสาวแล้วเธอก็หมดความอดทน 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณไม่ชอบเสียวอวี่ใช่ไหม?” 


 


 


“ไม่ชอบ” 


 


 


“นิสัยเขาก็เหมือนผู้ชายนะ ตัวเขาเองก็บอกว่าตัวเองดูห้าวแต่ในใจไม่ได้คิดร้ายกับใคร ตอนเรียนก็แบบนั้น พวกคุณมีเรื่องขัดแย้งกันในที่ทำงานเหรอ?” 


 


 


“ฉันกับเขาไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่านายกับเขาขัดแย้งกันในอดีตหรือว่ามีความคิดที่ขัดแย้งกันเรื่องอนาคต? อวี๋หมิงหลางตานายมีปัญหาหรือเปล่า เขาแต่งหน้าหนาเหมือนคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำขนาดนั้นนายยังกล้าชมเขาว่าใสซื่อไม่เสแสร้งอีกเหรอ? นายรู้ไหมว่าคนแบบไหนถึงเป็นโรคนี้? เขาบอกว่าตัวเองดูห้าวนายก็เลยถูกเขาล้างสมองงั้นสิ?” 


 


 


ผู้ชายของจิตแพทย์ถูกคนอื่นล้างสมองแบบนี้มันยอมไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีล้างคืน 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณเรียนหนักทำงานหนักไปหรือเปล่า? ทำไมในสายตาคุณทุกคนผิดปกติทางจิตหมดเลยล่ะ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้มีเจตนาร้าย เขาก็แค่คิดว่าเสี่ยวเชี่ยนคิดเยอะไปหน่อย 


 


 


“นายสงสัยในความสามารถฉันเหรอ? นายเคยเห็นใครดึกดื่นขนาดนี้ใส่ชุดนอนแต่งหน้าลงมาซื้อของบ้าง?” 


 


 


ในสายตาของผู้ชายผู้หญิงที่งดงามใสซื่ออาจดูดัดจริตในสายตาของผู้หญิง ขนาดแต่งหน้ามาเห็นๆก็ยังรู้สึกว่าเป็นความงดงามอันบริสุทธิ์ 


 


 


“เขาแต่งหน้าด้วยเหรอ? พอคุณพูดแบบนี้ผมก็เพิ่งเอะใจนะ เขาไม่ค่อยเหมือนกับตอนเรียนจริงๆ แต่ผู้หญิงหลังเลิกงานก็อาจมีงานเลี้ยงสังสรรค์บ้างเลยขี้เกียจล้างเครื่องสำอางหรือเปล่า? แต่เมียผมนี่ดีจริงๆ งานไม่เป็นทางการก็ไม่แต่งหน้า” 


 


 


ในใจของเสี่ยวเชี่ยนเขียนตัวโตๆว่า เหอๆ จะไม่แต่งหน้าได้ไง? เธอไม่ชอบแต่งหน้า แต่บางโอกาสที่ไปเจอคนไข้ที่สำคัญๆเธอแต่งหน้าอ่อนๆไปเพื่อให้เกียรติอีกฝ่าย เธอแต่งหน้าเบาๆแบบคนทำงาน คนละเรื่องกับยัยเสียวอวี่เมื่อกี้เลย 


 


 


เธอไม่แก้คำพูดของอวี๋หมิงหลาง แต่ลากกลับเข้าเรื่องสำคัญ 


 


 


“เนื้อตัวมีกลิ่นหอมของครีมอาบน้ำ ผมก็หมาดๆ รู้ได้เลยว่าเขากลับบ้านอาบน้ำใส่ชุดนอนแล้ว แต่กลับอยู่ๆก็อยากกินผลไม้เลยลงมาซื้อ ขนาดแค่ไม่กี่นาทีเขายังลงรองพื้น ลงคอนซีลเลอร์กลบ ทาอายแชร์โดวปัดเป็นประกายวิ้งๆ ปะแป้งบล็อคเครื่องสำอาง ขนตาปลอมยังติด ไอน์ไลเนอร์ก็เขียน ทาปากสีอ่อน แต่ฉันสงสัยว่าเดิมสีปากเขาเข้ม เลยลงรองพื้นปากก่อนแล้วค่อยทาลิปสติกสีอ่อน ไหนยังจะปัดแก้ม แต่งหมดนี่ต่อให้มือโปรแค่ไหนก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่านาที เพื่อมาซื้อของแค่นี้เขากลับลงทุนแต่งหน้า นายบอกฉันซิ ว่านี่คือสาวน้อยบริสุทธิ์เสแสร้งไม่เป็นจริงเหรอ? ถ้าเขาไม่ได้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าล่ะก็ ฉันยกใบอนุญาตให้นายไปเลย” 


 


 


ฟังนักสืบเชอร์ล็อคเสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาเยอะแยะ อวี๋หมิงหลางถึงกับแน่นิ่ง 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม