เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ 561-578

 ตอนที่ 561 


ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้ว่า ซูหลีเป็นกรณีตัวอย่างของคนที่รักสนุกทุกข์ถนัด


 


 


ทันทีที่กระโจนออกมา ไม่รู้ว่าที่ใต้ฝ่าเท้าของนางสวมอะไรปกคลุมไว้อยู่ จากนั้นนางเดินโซเซเตาะแตะและล้มลงบนพื้นหิมะ!


 


 


“เหวอ!” นี่เป็นคราแรกที่ไม่มีผู้มีฝีมืออะไรอยู่ข้างกายนาง นางจึงหกล้มอย่างรุนแรง ซูหลีกระโจนลงบนพื้นหิมะ ทั้งยังร้องโหยหวนออกมาไม่หยุด


 


 


ทว่าซูหลีกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ นางเพียงสนใจเรื่อง…


 


 


“คราวนี้ข้าควรจะขอบคุณคุณหนูถึงจะถูก หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณหนูแล้ว ข้ากับสามีก็คง…”


 


 


“ฮูหยินจะเกรงใจมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ยื่นมือไปช่วยเล็กน้อยเท่านั้น”


 


 


“คุณหนูคงจะไม่รู้อะไร ซูหลีผู้นั้นเป็นคนเสียสติไปแล้ว จับกุมใครแล้วก็กัดไม่ปล่อย ไม่ว่าจะเป็นพวกเราหรือว่าตัวคุณหนูเองล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ใครจะไปรู้ว่าจะถูกเขาให้ร้ายถึงขนาดนี้”


 


 


“คุณหนูโปรดวางใจเถิด คราวนี้จักต้องให้คุณหนูไว้วางใจ ข้าและสามีจะต้องจัดการคนสารเลวนั่น…”


 


 


ซูลหลีวิ่งลื่นไถลเข้าไปในป่าดอกเหมย คาดไม่ถึงว่านางได้ยินบทสนทนานี้โดยบังเอิญ เพราะได้ยินในบทสนทนานี้เอ่ยถึงชื่อของนาง นางจึงก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ทว่าไม่ได้สังเกตที่ใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นพลันล้มลงไปในกองหิมะ


 


 


เพราะเกิดการเคลื่อนไหวเสียงค่อนข้างดัง ทำให้บทสนทนาที่ดำเนินอยู่นั้นเงียบลงอย่างฉับพลัน และไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก


 


 


“ใคร!” มีเสียงเยือกเย็นของสตรีตะโกนดังขึ้น ซูหลีอยากจะคลานขึ้นมาจากกองหิมะ แต่คาดไม่ถึงว่าการล้มครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรงจึงทำให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ ได้แต่ใช้มือดิ้นรนกับกองหิมะ มองดูแล้วดูน่าขันยิ่งนัก


 


 


“ฮูหยิน ที่นี่มีคนอยู่” มีคนเดินอ้อมออกมาและเห็นซูหลีที่กำลังดิ้นรนอยู่ในกองหิมะ


 


 


เป็นเพราะใบหน้าของซูหลีหันไปทางที่ล้มไปในกองหิมะ ยามที่คนผู้นั้นเดินออกมาจึงไม่เห็นใบหน้าของนาง จึงเอ่ยประโยคนี้ออกมาเท่านั้น


 


 


“คุณชาย คุณชาย!” ก่อนที่ซูหลีจะวิ่งมาทางนี้ กลุ่มคนที่นางนำมาติดตามอยู่ด้านหลัง ในเวลานี้พวกเขาเดินตามนางทันแล้ว จึงเห็นซูหลีที่ล้มลงและดิ้นรนอยู่ในกองหิมะ


 


 


“คุณชาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงตกใจ จากนั้นจึงรีบพยุงซูหลีที่คล้ายกับเต่าตัวหนึ่งขึ้นมา


 


 


“แหวะ!” ซูหลีพ่นหิมะออกมาจากปากและถือโอกาสลุกขึ้นนั่งบนพื้นหิมะ เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋ฉินจึงมองค้อนอย่างอดไม่ได้ และเอ่ยว่า


 


 


“เป็นสิ เป็นอย่างมาก!” ทันทีที่นางพูดจบก็หันศีรษะไปมองด้านข้าง พลันชำเลืองเห็นเงาของทั้งสองคนพอดี ซูหลีจึงหรี่ตาลงชี้ไปทางนั้นและเอ่ยว่า


 


 


“ขัดขวางพวกเขาเอาไว้!”


 


 


ฉินมู่ปิงและจี้ฉินทั้งสองคนก็เดินตามพวกเขามาเช่นกัน ทันทีที่เดินมาถึงก็ได้ยินซูหลีเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทว่าคนที่มีท่าทีตอบสนองก่อนคือชุยตานที่เข้ามาพร้อมกับเย่ว์ลั่วกับไป๋ฉิน


 


 


เขาเพียงชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงพุ่งตัวเข้าไปขัดขวางสองคนที่กำลังวิ่งหนีอยู่


 


 


“ไม่ได้ยินที่คุณชายของพวกข้าบอกให้พวกเจ้าหยุดหรือ!?” ชุยตานเป็นบุรุษ ทว่าคนที่วิ่งหนีอยู่นั้นเป็นเพียงสตรีสองคน เขาใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถสกัดทั้งสองคนเอาไว้ได้ เพียงแต่หลังจากเห็นใบหน้าของหนึ่งในสองคนนั้น สีหน้าของชุยตานก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


เป็นเพราะหนึ่งในคนผู้นั้นคือเจียงโม่อวี้ ซึ่งเคยพุ่งเข้ามาหาซูหลีที่หน้าประตูจวนในวันนั้น อีกทั้งยังเคยฟ้องร้องซูหลีต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้!


 


 


ทว่าตอนนี้เจียงโม่อวี้ควรจะไปอยู่ในเมืองที่เสิ่นฉางชิงประจำการอยู่ไม่ใช่หรือ ไยถึงปรากฏตัวที่ชานเมืองนี้ได้


 


 


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!? นำสายตาสกปรกของเจ้าออกไป นี่เป็นถึงฮูหยินของจวนโหว!” ข้างกายของเจียงโม่อวี้มีแม่นมคนหนึ่งติดตามมาด้วย แม่นมคนนั้นใช้สายตาจับต้องที่ชุยตานด้วยความโมโห

 

 

 


ตอนที่ 562 พบเพื่อนเก่า

 

“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เจ้านั่งอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกัน” หลังจากฉินมู่ปิงกับจี้ฉินเดินตามซูหลีทัน เมื่อเห็นท่าทางของซูหลีในเวลานี้ คิ้วของจี้ฉินก็ย่นขึ้นและถามประโยคนี้ออกมา


 


 


ทว่าสายตาของฉินมู่ปิงกับตวัดมองไปทางนั้นปราดหนึ่ง


 


 


“ข้า…รู้สึกเย็นสบายจนทนไม่ไหวแล้ว” ซูหลีหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยประโยคนี้ออกมา นางหกล้มเช่นนี้เป็นการทำให้นางเสียชื่อ!


 


 


นี่เป็นการหกล้มในพื้นระนาบโดยแท้!


 


 


“…” จี้ฉินหมดคำจะพูด


 


 


“ปล่อยข้านะ! เจ้าไม่ได้ยินหรือ!?” ทางแม่นมที่เป็นคนข้างกายของเจียงโม่อวี้ยังพยายามผลักชุยตานที่ยืนขวางทางเอาไว้


 


 


ซูหลีที่นั่งอยู่บนพื้นเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้วขึ้น นางยื่นมือออกมาและเอ่ยว่า “ดึงข้าขึ้นที”


 


 


คำพูดนี้ซูหลีพูดกับสาวใช้ทั้งสองคนของนาง ใครจะรู้ว่าการเคลื่อนไหวของฉินมู่ปิงจะเร็วยิ่งกว่า เขายื่นมือของตนให้กับซูหลี ซูหลีไม่แม้แต่มอง นางคว้ามือของเขาและดันตัวลุกขึ้นมา คาดไม่ถึงว่าทันทีที่เหลือบตาขึ้นมองจะสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือยากจะเข้าใจคู่นั้นของฉินมู่ปิง


 


 


“…ขอบคุณซื่อจื่อ” ซูหลีอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงดึงมือของตนเองกลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


 


 


ฉินมู่ปิงกวาดตามองที่มือของตนเองอยู่ปราดหนึ่งโดยไม่พูดไม่จา ทว่าซูหลีกลับเดินขากระแผลกไปทางชุยตาน


 


 


“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โหว-ฮู-หยิน!” ซูหลียืนนิ่งและใช้สายตาเย็นชาตวัดมองไปที่เจียงโม่อวี้และพูดทีละคำ


 


 


โหวฮูหยินสามคำนั้น เมื่อถูกนางเอ่ยขึ้นกลับให้ความรู้สึกถากถางอย่างบอกไม่ถูก


 


 


เจียงโม่อวี้ชะงักไปในทันที ผ่านไปพักหนึ่งก็หมุนกายหันมา


 


 


สีหน้าของนางดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก ใครก็ไม่ทราบว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ถึงได้เจอซูหลีในวันนี้


 


 


ทันทีที่ฉุกคิดถึงบทสนทนากับคนผู้นั้นภายในสวน นางไม่รู้ว่าซูหลีจะได้ยินไปมากน้อยเพียงใด วันนี้เพื่อมาเจอคนผู้นั้น นางจึงพาคนข้างกายอย่างแม่นมมาด้วยเท่านั้น ทางด้านซูหลีมีคนจำนวนมาก หากต้องการกระทำสิ่งใดขึ้นมา เกรงว่าคนอย่างนางจะต่อต้านไม่ไหว


 


 


เมื่อเจียงโม่อวี้หันมา แม้กระทั่งจี้ฉินก็ยังจำได้ว่านางคือใคร สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง


 


 


“ดูเหมือนว่าบุตรของฮูหยินจะคลอดอย่างปลอดภัย” ซูหลีมองเจียงโม่อวี้อย่างวิเคราะห์อยู่ปราดหนึ่ง เพราะนางหกล้มเมื่อครู่นี้ทำให้นางยืนได้อย่างไม่มั่นคงนัก เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงเดินเข้าไปประคองนางไว้


 


 


ไป๋ฉินรู้สึกรังเกียจเจียงโม่อวี้เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเจียงโม่อวี้ผู้นี้ อากัปกริยาของนางยังตอบสนองไม่ทัน จึงไม่ได้เข้าไปหาซูหลีในทันที


 


 


“ไม่ได้ถูกฆ่าทำร้ายในเวลานั้น ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเสียจริง” ใบหน้าของซูหลีฉายแววถากถาง คำพูดของนางก็ยังมีความนัยอย่างลึกซึ้งแฝงอยู่ สีหน้าของเจียงโม่อวี้ดูย่ำแย่เป็นอย่างมาก และนางก็มองไปที่ซูหลีด้วยโทสะ


 


 


ซูหลีกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าในบริเวณนี้นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดเลย


 


 


ทว่าก่อนหน้าที่นางจะมาถึงที่นี่นางกลับได้ยินเสียงของเจียงโม่อวี้คุยกับอีกคนอยู่ เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรีที่เยาว์วัย ทว่าไม่ใช่เสียงแม่นมข้างกายของเจียงโม่อวี้


 


 


นางแค่นยิ้มเย็นออกมา คนอีกคนหนึ่งนั้นหนีไปอย่างรวดเร็วจริงๆ


 


 


เพียงแต่เสียงนั้นคุ้นหูยิ่งนัก แม้ซูหลีจะไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่ภายในใจก็เกิดความสงสัยขึ้นมา


 


 


ดูเหมือนว่าในเมืองหลวงจะมีคนรังเกียจนางจำนวนไม่น้อย


 


 


“ไม่ได้เจอกันนาน คุณชายซูยังเป็นคนชอบพูดล้อเล่นเหมือนเดิม ข้าน้อยยังมีเรื่องต้องไปสะสาง ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อได้จึงขอตัวลา เชิญคุณชายซูชมดอกเหมยตามสบายเจ้าคะ!” หลังจากเจียงโม่อวี้หยุดชะงักไปพักใหญ่ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งและเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


นางหมุนกายเตรียมจะตามแม่นมผู้นั้นเดินออกไป


 


 


“ช้าก่อน!” ซูหลีออกคำสั่ง ชุยตานจึงเข้าขวางทางพวกนางโดยทันที


 


 


“ใต้เท้าซูนี่หมายความว่าอย่างไร” สีหน้าของเจียงโม่อวี้เก็บอาการต่อไปไม่ไหว


 


 


“ไม่มีอะไร” ซูหลีแสยะยิ้มเย็นออกมา พลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าหกล้มอย่างรุนแรงขนาดนี้ เจ้าเอ่ยจะไปก็จะไปแล้ว ข้าคงจะขายหน้านัก”

 

 

 


ตอนที่ 563 กระทำตอบกลับเช่นเดิม

 

เจียงโม่อวี้ได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที


 


 


นางจ้องมองซูลีอยู่นาน อดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าถอยหลังไปและเอ่ยว่า “เจ้าต้องการกระทำสิ่งใด”


 


 


“ข้าไม่ได้ต้องการกระทำสิ่งใด” ซูหลีแสยะยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มนี้ไม่ได้ยิ้มไปถึงดวงตา ในทางกลับกัน กลับให้ความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง “ข้าก็พูดแล้วว่า ข้าล้มลงอย่างน่าสมเพช แต่เจ้ากลับไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นั่นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร”


 


 


“คุณชายซู คำพูดของท่านจะไม่มีเหตุผลเกินไปเสียกระมัง ท่านหกล้มก็มิใช่พวกเราทำให้ท่านหกล้มเสียหน่อย!?” ซูหลีพูดอย่างไม่มีเหตุผลเลยสักนิด แม่นมที่เป็นคนข้างกายของเจียงโม่อวี้ได้ยินดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะพูดแย้ง


 


 


“แล้วอย่างไรเล่า” ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาและเอ่ยว่า “คนอย่างข้าก็ไม่ชอบพูดด้วยเหตุผลกับผู้อื่น!”


 


 


ฉินมู่ปิงถึงกับชะงักอึ้ง…


 


 


จี้ฉินก็เช่นกัน…


 


 


พวกเขาไม่เคยเห็นคนที่แสดงท่าทีอันธพาล ทั้งยังแสดงท่าทางได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ ถึงแม้จะรู้ว่าซูหลีแสดงท่าทีพาลเกเรอย่างไม่มีเหตุผล พวกเขาก็ไม่คิดจะช่วยเหลือเจียงโม่อวี้


 


 


เจียงโม่อวี้กับพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันทั้งสิ้น อีกทั้งยังเห็นใบหน้าของซูหลีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าในดวงตากลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น พวกเขารับรู้ได้ว่าซูหลีรู้สึกต่อเจียงโม่อวี้อย่างไร


 


 


“ซูหลี เจ้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ ไม่กลัวว่ากรรมจะตามสนองหรือ” นางไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้นางกระทำถูกหรือผิด หากเป็นเมื่อก่อน ซูหลีปฏิบัติเช่นนี้ใส่เจียงโม่อวี้ เกรงว่านางคงร่ำไห้มานานแล้ว


 


 


ทว่าครานี้ นางอดกลั้นไว้อยู่นาน จนสุดท้ายก็เอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา


 


 


วาจาโง่งมเช่นนี้ ช่างไร้น้ำหนักโดยแท้


 


 


“อืม!” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะอย่างจริงจัง และตอบอย่างเยือกเย็นว่า “ข้าจะรอรับผลกรรมจากเจ้า!”


 


 


“เจ้า…” สีหน้าของเจียงโม่อวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าคนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนของซูหลี นางจึงจนปัญญาที่จะพูด


 


 


“ชุยตาน!”


 


 


“ขอรับ!” ชุยตานรีบขานรับในทันที


 


 


“เมื่อครู่ข้าหกล้มได้อย่างไร ก็กระทำเช่นนั้นกับนาง” ซูหลีมองไปที่นางปราดหนึ่ง คล้ายกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ นางเลิกคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยว่า “อย่างไรเสีย ตอนนี้ก็ให้กำเนิดบุตรแล้ว เพียงหกล้มเช่นนี้ คงไม่ตายหรอกกระมัง”


 


 


“ซูหลี เจ้าจะต้องไม่ตายดี!” เจียงโม่อวี้นั้นเคยได้รับความอัปยศเช่นนี้เสียที่ไหน ตั้งแต่นางอยู่กับเสิ่นฉางชิง ก็ไม่เคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ กระทั่งในยามที่นางแพศยาผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ นางก็ไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจียงโม่อวี้


 


 


ซูหลีผู้นี้ ไยนางถึงกล้ากระทำเช่นนี้!?


 


 


“ข้าจะไม่ตายดีรึ?” หลังจากได้ยินคำพูดของเจียงโม่อวี้กล่าว ซูหลีพลันดิ้นรนออกจากมือของเย่ว์ลั่วและเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ดวงตาเต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง


 


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก่อนข้าจะตาย ก็ควรทำให้เจ้าตายเสียก่อนใช่หรือไม่?!” นางเดินขากระเผลกเข้าไปหาเจียงโม่อวี้ ท่าทางของนางนั้นดูน่าขันอย่างบอกไม่ถูก ทว่ายามมองยังดวงตาที่ฉายแววเย็นชาออกมา ไม่ว่าใครก็ขำไม่ออก


 


 


เจียงโม่อวี้ถูกนางใช้สายตาเช่นนั้นจ้องมอง หัวใจพลันเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง นางพูดอะไรไม่ออก พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง


 


 


“ลงมือ!”


 


 


“ขอรับ!” ทันทีที่ซูหลีออกคำสั่ง ชุยตานผู้นั้นก็ไม่เกิดความลังเลเลยสักนิด เขาผลักเจียงโม่อวี้จนล้มลงอย่างรุนแรง


 


 


“กรี๊ด!” พละกำลังของชุยตานนั้นไม่ใช่น้อยๆ ในเวลานี้เจียงโม่อวี้ล้มลงแรงกว่าซูหลี เจียงโม่อวี้จึงกรีดร้องอย่างโหยหวนหลายครา ทั้งร่างล้มลงไปบนพื้นหิมะพยายามดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง


 


 


“ฮูหยิน! โอ้ย!” แม่นมผู้นั้นเข้าไปพยุงนาง คาดไม่ถึงว่าเท้าของนางจะยืนอย่างไม่มั่งคง ยังไม่ทันพยุงเจียงโม่อวี้ขึ้น นางกลับล้มลงที่เบื้องหน้า


 


 


“กรี๊ด!” นางล้มลงบนร่างของเจียงโม่อวี้พอดี ครานี้เสียงร้องของเจียงโม่อวี้จึงดังโหยหวนขึ้นกว่าเดิม


 


 


“กลับกันเถอะ” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงหัวเราะด้วยเสียงเยียบเย็นพร้อมโบกมือไปมา แต่กลับไม่เอ่ยทักทายทั้งจี้ฉินและฉินมู่ปิง

 

 

 


ตอนที่ 564 บาดแผล

 

นางเพียงให้เย่ว์ลั่วประคองนางไปด้านนอกสวนดอกเหมย


 


 


ไป๋ฉินกับชุยตานรีบเดินตามซูหลีออกไป ในเวลานี้ทางด้านนี้ยังเหลือแม่นมผู้นั้น เจียงโม่อวี้ อีกทั้งยังมีฉินมู่ปิงกับจี้ฉินอยู่


 


 


จี้ฉินมองสองคนที่ล้มลงบนพื้นปราดหนึ่ง ดวงตาค่อนข้างจะซับซ้อน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ายามที่ซูหลีปฏิบัติต่อเจียงโม่อวี้นั้น ดูเหมือนจะแตกต่างกับคนอื่น


 


 


ซูหลีผู้นี้ดูเหมือนเป็นคนที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ทว่าหากพูดอย่างจริงจังแล้ว ถ้าคนอื่นไม่สร้างเรื่องวุ่นวายให้นาง โดยทั่วไปแล้วนางก็จะไม่กระทำเรื่องนอกกรอบอะไร


 


 


ทว่ายามที่นางปฏิบัติต่อเจียงโม่อวี้นั้น…


 


 


เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เกรงว่าการกระทำของเจียงโม่อวี้ก่อนหน้านี้จะกระตุ้นโทสะของซูหลี นางถึงได้กระทำเช่นนี้กระมัง


 


 


ทว่าที่จี้ฉินไม่รู้ก็คือ ไม่ว่าจะใครหากได้ยินว่าคนอื่นกำลังวางแผนทำร้ายตนเองอยู่ในเบื้องหลัง เกรงว่าคงจะไม่สบายใจเท่าไรนัก


 


 


เดิมซูหลีไม่ค่อยชอบเจียงโม่อวี้อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับได้ยินบทสนทนานั้นของนางกัน


 


 


จี้ฉินกับฉินมู่ปิงก็อยู่ต่อไม่นาน หลังจากซูหลีออกไป พวกเขาก็เดินออกไปเช่นกัน อีกตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้เข้าไปช่วยดึงทั้งสองคนนั้นให้ลุกขึ้น ประหนึ่งมองไม่เห็นก็มิปาน ดูเย็นชาเป็นอย่างมาก


 


 



 


 


อีกด้านหนึ่ง ซูหลีเดินกลับขึ้นรถม้าเป็นอันดับแรก จากนั้นปิดหน้าต่างและประตูรถม้าอย่างมิดชิด นางสั่งให้ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วนำชุดมาให้นางผลัดเปลี่ยน


 


 


พรึ่บ! ไป๋ฉินถลกชายกางเกงของซูหลีขึ้น ทว่ากลับถูกบาดแผลที่ค่อนข้างจะร้ายแรงของซูหลีทำให้ตกใจเป็นอย่างมาก


 


 


“คุณชาย!” ยามอยู่บนพื้นหิมะเมื่อครู่ ซูหลีดูเหมือนจะเดินขาเป๋ไปบ้าง ไป๋ฉินคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะมีบาดแผลเป็นทางยาวขนาดนี้


 


 


ขาขวาของซูหลี บริเวณตั้งแต่หัวเข่าจนถึงต้นขามีรอยบาดแผลเป็นแนวยาวพาดผ่าน เป็นรอยโลหิตที่ลึกเป็นอย่างมาก! อีกทั้งในเวลานี้มีโลหิตสดไหลออกมาไม่หยุด


 


 


ทว่าไป๋ฉินเหลือบตาชำเลืองมองนาง บนใบหน้าของนางกลับไม่แสดงความเจ็บปวดใดๆ ออกมา ในทางกลับกันคิ้วของนางผูกกันเป็นปม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


 


“ให้ข้าทำเถิด” เย่ว์ลั่วเห็นบาดแผลนี้แล้วก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เมื่อเห็นไป๋ฉินอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูก นางจึงรับยารักษาบาดแผลทองคำในมือของไป๋ฉินมา และใส่ยาให้กับซูหลีอย่างพิถีพิถัน


 


 


“โอ๊ย!” เมื่อผงยากระจายลงบนขาของซูหลี นางก็หดขาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่ ทั้งร่างก็ฟื้นคืนสติกลับมา


 


 


“หกล้มรุนแรงถึงเพียงนี้เลยหรือ?” นางหลุบตาลง เมื่อมองเห็นบาดเจ็บที่เป็นแนวยาวนี้ก็อดตกใจไม่ได้


 


 


ไป๋ฉินถึงกับพูดไม่ออก…


 


 


ทั้งหมดเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะซูหลีไม่ตกใจ แต่เป็นเพราะจิตใจของนางนั้นกำลังล่องลอย จนไม่ได้สังเกตเห็นขาของตัวเองต่างหาก!


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ คุณชาย ต่อไปหากท่านทิ้งพวกเราไว้ข้างหลังเช่นวันนี้ นี่ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นอีกจะทำอย่างไรกันเจ้าคะ!” ใบหน้าของไป๋ฉินเป็นกังวล จากนั้นเอ่ยกับซูหลีอย่างอดไม่ได้


 


 


ซูหลีขมวดคิ้วมองไปที่บาดแผลปราดหนึ่ง ทว่ากลับไม่พูดแย้งอะไรออกมา


 


 


“ยังดีที่ไม่ได้แช่อยู่ในพื้นหิมะนานเกินไป รอบาดแผลนี้ตกสะเก็ดก็ค่อยใช้ยาสร้างผิวหนังที่เหลือครึ่งขวดในห้องคุณชายนั้น ก็คงจะไม่เหลือแผลเป็นเอาไว้ใช่หรือไม่” เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้น จึงรีบพูดปลอบใจ


 


 


นางจัดการกับบาดแผลของซูหลีเสร็จ นางก็ปล่อยชายกางเกงลงมา


 


 


“คุณชายซู ซื่อจื่อให้บ่าวมาหาขอรับ ซื่อจื่อให้บ่าวมาถามท่านว่า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จหรือยังขอรับ ในบ้านพักเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านรีบเข้าไปขอรับ” ขณะที่ภายในรถม้ายังอยู่ในความเงียบ จู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กรับใช้คนหนึ่งดังขึ้น


 


 


ซูหลีได้ยินเสียงก็รู้ทันทีว่า นี่เป็นเสียงของจู๋ซย่าคนรับใช้ข้างกายของฉินมู่ปิง


 


 


“เจ้าไปบอกซื่อจื่อเถิด ข้ากำลังไปเดี๋ยวนี้”


 


 


“ขอรับ” จู๋ซย่าขานรับจากด้านนอก ซูหลีได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ หายไป จึงหมุนศีรษะกลับมาและมองไปที่ขาตนเองอย่างกลัดกลุ้มปราดหนึ่ง


 


 


บาดแผลนี้ คาดว่าวันนี้นางจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจไม่ได้เสียแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 565 บทกลอนทำนองดอกเหมย

 

งานชมดอกเหมยที่ดีครั้งหนึ่งต้องพังลงเพราะเจียงโม่อวี้ผู้นั้น!


 


 


อารมณ์ของซูหลีในเวลานี้ถือว่าไม่ค่อยดีนัก


 


 


นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็สั่งให้สาวใช้ทั้งสองคนขนาบซ้ายขวาเพื่อประคองขึ้นมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปภายในบ้านพักตากอากาศของจี้ฉิน


 


 


คนของสำนักเต๋อซั่นเมื่อเห็นท่าทางของนางเช่นนี้ ก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้ ซูหลีมองค้อนอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าก็ทำได้เพียงถูกคนประคองไว้ จากนั้นนั่งลงมองพวกเรากระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน


 


 


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภาพทิวทัศน์ของบ้านพักตากอากาศหลังนี้ที่พบเห็นได้ยาก


 


 


ดอกเหมยที่มีเสน่ห์เย้ายวนในหิมะ ดอกไม้ช่อสีแดงและขาวผลิบานขึ้นบนกิ่ง เพียงมองไกลๆ ก็ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก


 


 


ซูหลีนั่งภายในศาลาด้วยรอยยิ้มหยีไปถึงตา นางกวาดมองไปยังภาพทิวทัศน์นี้โดยรอบอย่างค่อนข้างพอใจ


 


 


เป็นเพราะทัศนียภาพตรงหน้านี้เป็นภาพที่หายาก ดังนั้นจึงทำให้คนแห่มาที่นี่ ยกเว้นบ้านพักตากอากาศซึ่งมีจี้ฉินเป็นเจ้าของ ด้านนอกของบ้านพักนี้มีพื้นที่หลายลี้ ทว่าจี้ฉินกลับไม่ห้ามให้คนนอกเข้ามา ดังนั้นก่อนที่พวกซูหลีจะมาที่นี่ ภายในสวนดอกเหมยที่อยู่ด้านนอกจึงมีคนเดินทางมาที่นี่หลายกลุ่มแล้ว


 


 


มิน่าเล่านางถึงพบเจียงโม่อวี้ที่นี่ จะว่าไปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ส่วนใหญ่เป็นเพราะทั้งสองคนนั้นโชคไม่ดี เดิมคงจะคิดหาสถานที่ที่ไม่มีใครรับรู้เพื่อวางแผนร้าย ใครคิดว่าจะบังเอิญได้พบกับซูหลีที่เป็นหัวใจหลักของเรื่องที่นี่กัน


 


 


“วันนี้เป็นโอกาสได้ยากที่ข้าจะอารมณ์ดี ข้าให้คนไปต้มสุราชิงเหมยมาให้ชิม” เมื่อเห็นว่าซูหลีนั่งใจลอย แตกต่างจากท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนที่ผ่านมา จี้ฉินก็ถือสุราสองจอกนั่งลงที่ด้านข้างของซูหลี


 


 


“ยังจะดื่มสุราอยู่อีกรึ…” ซูหลีมองที่สุราสองจอกนั้นปราดหนึ่ง มุมปากกระตุกขึ้น จากนั้นถึงเอ่ยว่า “ขาของข้าล้มลงจนจะหักแล้ว ยังให้ข้าดื่มสุราอีก อีกสักครู่หากดื่มจนเดินไม่ไหวแล้ว ข้าจะพึ่งเจ้าแล้วนะ!”


 


 


จี้ฉินได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขากลับหมองหม่นลง เขากวาดตามองยังขาที่คลุมด้วยพรมขนอ่อนก่อน จากนั้นถึงเคลื่อนสายตาจับจ้องยังใบหน้าของซูหลี และเอ่ยอย่างจริงจังว่า


 


 


“หากเจ้าต้องการพึ่งพา ก็สามารถพึ่งพาข้าได้ทั้งชีวิต ข้าสมัครใจ!”


 


 


ทันทีคำพูดนี้จบลง ทั้งซูหลีและเขาก็อ้ำอึ้งไปพร้อมกัน


 


 


ซูหลีอดที่จะหันศีรษะมองเขาปราดหนึ่งไม่ได้ ดวงตาของนางทอประกายบางอย่างออกมา


 


 


จี้ฉินถูกนางใช้สายตาเช่นนี้จ้องมอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกแห้งกร้านในหัวใจ และพุ่งตรงเข้าไปเช่นนี้


 


 


“แค่ก! พี่จี้พูดล้อเล่นเก่งโดยแท้!” ซูหลีไอเสียงเบา บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนพลันแผ่ปกคลุมในห้องนี้ นางยกจอกชาบนโต๊ะขึ้นจิบหนึ่งอึก


 


 


จี้ฉินก็ไม่ได้มองหน้าต่อไปอีก สายตาสอดส่องไปมา อีกทั้งใบหน้าฉายแววแปลกประหลาด มีเพียงหัวใจเต้นรัวที่เขาไม่สามารถปิดบังได้


 


 


“มัวทำอะไรกันอยู่ นี่! วันนี้เป็นโอกาสอันหาได้ยากที่ได้ออกมาข้างนอกเสียที พวกเรานั้นเป็นปัญญาชน ถ้าอย่างนั้นประพันธ์บทกลอน ‘ทำนองดอกเหมย’ เพื่อเพิ่มความรื่นเริงกันดีหรือไม่!?” ท่ามกลางบรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อยของทั้งสองคน หวงฮ่าวพลันพุ่งตรงเข้ามาจากด้านนอกพอดี และตะโกนอย่างใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง


 


 


“หึ!” ทันทีที่ซูหลีเห็นท่าทางของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองค้อน


 


 


“ยังจะประพันธ์ ‘ทำนองดอกเหมย’ อีกหรือ หวงฮ่าว แม้แต่ตัวหนังสือเจ้าก็ยังจดจำได้ไม่ครบ บัดนี้ยังจะอยากเลียนแบบผู้อื่นโดยประพันธ์บทกลอนอะไร นี่เจ้ายังปกติดีหรือไม่”


 


 


ทันทีพูดจบ โดยรอบก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะลั่น


 


 


ซูหลีกล่าวว่าหวงฮ่าวยังจดจำตัวอักษรได้ไม่ครบ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาส่งเดช ทว่ามีครั้งหนึ่งหวงฮ่าวถูกอาจารย์สั่งให้อ่านบทความบทหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าทันทีที่เขาอ่านจะอ่านผิดไปหลายคำ


 


 


หลังจากนั้นเป็นต้นมา เพียงแค่ครั้งเดียวก็กลายเป็นจุดอ่อนที่น่าหัวเราะทั้งสำนักเต๋อซั่นเสียแล้ว


 


 


ทว่าข้อเสนอแนะที่เขาแนะนำกลับแปลกประหลาดมาก คนของสำนักเต๋อซั่นไฉนจะเหมือนคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์ที่ใช้บทกลอนในการแสดงความรู้สึกกัน…

 

 

 


ตอนที่ 566 ภาพวาดของซูหลี

 

พวกเขาไม่ลากสตรีหอโคมเขียวร้องเพลงบรรเลงดนตรี นั่นก็ถือว่าสูงส่งแล้ว


 


 


หวงฮ่าวสามารถเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ ซูหลีก็รู้สึกแปลกแล้ว


 


 


“เฮ้อ ทว่าภาพทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ พวกเรากลับไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้ พวกเจ้าไม่รู้สึกเสียดายหรือ” ทันทีที่หวงฮ่าวได้ยินทุกคนพูดแย้งเขา เขาก็พยายามอธิบายอย่างสุดความสามารถ


 


 


“พอเถอะ อาศัยเพียงฝีมือการประพันธ์กลอนของเจ้า เจ้าไม่กลัวถูกหัวเราะเยาะหรือ!” เจียงไห่ที่อยู่ด้านข้างพูดเสียดสีเขาประโยคหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “แต่ว่าข้ามีข้อเสนอแนะข้อหนึ่ง ไม่ควรทำให้ภาพทิวทัศน์และอารมณ์เช่นนี้ต้องเสียเปล่า ดังนั้นในเมื่อประพันธ์บทกลอนไม่ได้ พวกเรามิสู้วาดภาพทิวทัศน์ที่งดงามตรงหน้านี้ไว้เสียดีกว่า พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”


 


 


ข้อเสนอแนะนี้ดูเข้าท่าอยู่บ้าง ฝีมือในการวาดภาพของเด็กหนุ่มเหล่านี้ถือว่าไม่เลว แม้จะเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง ทว่าเรื่องเหล่านี้พวกเขากลับทำได้ดีมาก


 


 


บัณฑิตที่มาสอนที่สำนักเต๋อซั่นคราก่อน ยังชมว่าพวกเขามีความสามารถในการวาดภาพ อีกทั้งยังวาดได้ดีกว่าคนสำนักฉยงสือหลายขุม


 


 


ทันทีที่เจียงไห่เอ่ยประโยคนี้ออกมาก็ได้รับความสนับสนุนจากทุกคน


 


 


จี้ฉินเห็นพวกเขาสนุกสนานขนาดนี้จึงไม่ได้ขัดขวางอะไร เพียงสั่งให้ข้ารับใช้เตรียมอุปกรณ์ในการวาดภาพ และวางโต๊ะวาดภาพที่พื้นหิมะด้านนอกศาลานี้ เพื่อให้พวกเขาวาดภาพ


 


 


“เช่นนั้นข้าไม่ออกไปแล้ว ข้ารู้สึกหนาว” เมื่อซูหลีเห็นจี้ฉินสั่งให้คนนำโต๊ะวาง เขามองมาทางนางปราดหนึ่ง นางจึงรีบจับเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ให้กระชับยิ่งขึ้น จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง


 


 


จี้ฉินเห็นดังนั้นจึงไม่ได้บีบบังคับอะไร เขาเพียงสั่งให้คนนำผลไม้และอาหารว่างบนโต๊ะทรงกลมที่อยู่ตรงหน้าซูหลีออกไป และจัดเตรียมอุปกรณ์วาดภาพให้แก่นางในศาลาแห่งนี้


 


 


จะว่าไปแล้วก็ประหลาดนัก เด็กหนุ่มกลุ่มนี้หากเอ่ยตามข้อเท็จจริงแล้วคงไม่มีใครยอมใคร


 


 


ทว่าหลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับซูหลีก็สนิทสนมกันมากขึ้น ยามอยู่ในสำนักเต๋อซั่น ซูหลีเป็นคนมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นเสมอ ยกตัวอย่างเช่นเหมือนกับการออกมาเที่ยว ซูหลีจะนั่งรถม้าตลอด และเวลานี้ต้องออกไปวาดภาพกลางหิมะ ทว่าซูหลีกลับนั่งอยู่ภายในศาลา…


 


 


ความพิเศษนี้ย่อมเป็นสิ่งยากที่จะเกิด และที่สำคัญพวกเขาล้วนไม่มีความคิดเห็นใดๆ


 


 


เสมือนกับการปฏิบัติต่อซูหลีเช่นนี้เป็นเรื่องปกติก็มิปาน


 


 


เมื่ออุปกรณ์วาดภาพเหล่านั้นวางลงตรงหน้า ซูหลีกลับไม่มองภาพทิวทัศน์ด้านนอก ทว่ากลับชำเลืองมองที่ต้นขาของตน จากนั้นใช้ความคิดที่เฉียบแหลมเริ่มลงมือ โดยหยิบพู่กันวาดภาพขึ้นมาและวาดสิ่งหนึ่งลงไป


 


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม คนที่วาดภาพดอกเหมยที่ภายนอกที่มีหิมะปกคลุมเหล่านั้นรู้สึกทนต่อไปไม่ไหว ต่างพากันเข้ามาอยู่ภายในศาลาจนแน่นขนัดไปหมด


 


 


จี้ฉินสั่งให้คนเก็บม้วนภาพวาดของพวกเขาไปวางไว้ในศาลา เขาไล่ชื่นชมและประเมินคะแนน


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าฝีมือการวาดภาพของพวกเขากลับยอดเยี่ยมกันทุกคน โดยเฉพาะภาพดอกเหมยที่เซี่ยเสียนเป็นคนวาดนั้น ยิ่งดูมีชีวิตจิตวิญญาณ ฝีมือการวาดประณีตเกินจะเปรียบ ทำให้ผู้ที่เห็นต้องตะลึง


 


 


ทว่าเมื่อไล่มาถึงฉินมู่ปิง เขากลับส่งกระดาษเปล่า ที่แท้ซื่อจื่อท่านนี้กลับไปคิดจะลงมือวาดนี่เอง


 


 


“พูดถึงการวาดภาพ ในพวกเราไม่ใช่ว่ามีคนที่เก่งกาจในเรื่องนี้อยู่หรือ” ในขณะที่ทุกคนกำลังชมภาพวาดอยู่ เจียงไห่พลันเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นอย่างทันควัน


 


 


ซูหลีที่กินผลไม้ดูพวกเขาอยู่ด้านข้าง ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องที่ร่างของซูหลี นางกระตุกมุมปาก นี่ยังสามารถคิดถึงนางได้อีกหรือ


 


 


“ซูหลี ภาพวาดของเจ้าเล่า นำออกมาให้พวกข้าดูเร็วเข้า!” คำพูดของเจียงไห่เป็นการเตือนสติพวกเขาเห็น ภาพวาดของซูหลีก่อนหน้านี้ ยามที่ทำการทดสอบให้คะแนน ภาพของนางได้คะแนนสูงที่สุด เมื่อครู่มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นนางตั้งใจวาดภาพ จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย จึงถามซูหลีและทวงภาพวาดของนาง


 


 


“ภาพวาดของข้า…ไม่จำเป็นต้องดูแล้วกระมัง” ซูหลีฉีกยิ้ม ใบหน้ายังเผยรอยยิ้มที่กระอักกระอ่วนออกมา


 


 


“อยู่ที่นี่!” คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะไม่ฟังความคิดเห็นจากซูหลีเลยแม้แต่น้อย!


 

 

 


ตอนที่ 567 ภาพการออกแบบเก้าอี้รถเข็น

 

มีคนค้นหาภาพของซูหลีจนพบ และถือไว้ในมือ


 


 


“นี่!…” ซูหลียื่นมือออกไป อยากที่จะขัดขวางพวกเขาไว้


 


 


“พรืด! นี่เจ้าวาดอะไรออกมากัน” คิดไม่ถึงว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เจียงไห่นำภาพของซูหลีคลี่เปิดออกแล้ววางบนโต๊ะกลม จากนั้นเรียกคนอื่นเข้ามาดูภาพวาดของซูหลี


 


 


ซูหลีถึงกับกุมขมับ นางเพียงว่างไม่มีอะไรทำ จึงอยากวาดของสิ่งนั้นออกมา เพื่อสร้างความสุขให้กับทุกคน!


 


 


“นี่คืออะไร?!” คิดไม่ถึงว่าภาพของสิ่งนั้นจะสามารถดึงดูดความสนใจของฉินมู่ปิงได้ เขามองภาพที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด เมื่อมองไปที่ดวงตาของซูหลี ก็พบว่ามีความแปลกประหลาดเจือปนอยู่


 


 


“นี่เจ้าภาพดอกเหมยที่เจ้าวาดออกมาหรือซูหลี นี่สายตาของเจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ดอกเหมยมีลักษณะเช่นนี้เสียที่ไหนกัน!” หวงฮ่าวชี้ไปที่ของสิ่งนั้นบนภาพวาด และพูดเย้ยซูหลี


 


 


ซูหลียกมุมปากขึ้น เพราะเหตุนี้นางถึงอยากจะขัดขวางพวกเขาไว้ เดิมนางไม่ได้วาดภาพดอกเหมยอะไรนั่น


 


 


“ของสิ่งนี้เรียกว่าอะไร” จี้ฉินมองของสิ่งนั้นอย่างละเอียดปราดหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นประหลาดใจเกินจะเปรียบเปรย เขาจ้องมองที่ของเล่นชิ้นนั้นและถามซูหลีประโยคหนึ่ง


 


 


ซูหลีเห็นว่าในเมื่อพวกเขาก็เห็นภาพนี้กันหมดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้นว่า “นี่เรียกว่าเก้าอี้รถเข็น”


 


 


มิผิด เมื่อครู่ที่นางใช้เวลาไปนานมาก ทั้งยังให้คนหาพู่กันวาดภาพที่เล็กละเอียดที่สุดมาให้นาง ก็เพื่อวาดภาพเก้าอี้รถเข็น


 


 


…แรงบันดาลใจได้มาจากขาที่หกล้มจนบาดเจ็บของนาง!


 


 


ของสิ่งนี้ในชาติที่แล้วเป็นอุปกรณ์ในยุคปัจจุบันที่นางคุ้นเคยมากที่สุด แต่ก่อนบิดาของนางเปิดโรงงานเก้าอี้รถเข็น จากที่นางเห็นผ่านตาบ่อยๆ ทำให้นางพอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง


 


 


เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ นางจึงไม่ครุ่นคิดให้วุ่นวายอะไรอีก พลันวาดภาพของสิ่งนี้ลงไป ที่นี่ไม่มีของสิ่งนี้ นางถึงเขียนวัสดุที่สามารถทดแทนได้ ทว่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้หรือไม่ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน


 


 


แน่นอนว่าไม่สามารถเลียนแบบเก้าอี้รถเข็นในยุคปัจจุบันออกมาได้ แม้ราชวงศ์ต้าโจวจะพัฒนาถึงเพียงใด ก็ตามเทคโนโลยีของยุคปัจจุบันไม่ทัน


 


 


ทว่าหากใช้วัสดุทดแทนประเภทเดียวกัน ปรับเปลี่ยนเป็นล้อไม้ ส่วนเบาะที่รองนั่งเปลี่ยนเป็นหนังเสือหรือไม้แดง ซูหลีรู้สึกว่าพอจะเป็นไปได้ ดังนั้นนางจึงลองวาดออกมาดู


 


 


นางเตรียมนำภาพนี้กลับไปหาช่างไม้ยอดฝีมือลองทำของสิ่งนี้ออกมา คิดไม่ถึงว่าเจียงไห่ผู้ปากมากผู้นี้จะพูดให้นางต้องนำภาพนี้ออกมาก่อน


 


 


“เก้าอี้รถเข็น!” หลังจากจี้ฉินได้ยินชื่อนี้แล้ว กลับผงกศีรษะ ชื่อนี้ช่างเหมาะสมจริงๆ พวก ใต้เก้าอี้ตัวนี้ประกอบไปด้วยล้อสองข้าง เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าเก้าอี้รถเข็นหรือ


 


 


“ของสิ่งนี้ออกแบบเพื่อคนที่แข้งขาไม่สะดวกอย่างข้า ทว่าข้าไม่ได้เป็นคนออกแบบ ข้าเพียงแค่เคยเห็นครั้งหนึ่ง ข้าอยากที่จะหาช่างไม้มาลองดูว่าจะสามารถสร้างออกมาได้สำเร็จหรือไม่!” ซูหลีแบะปากอธิบาย


 


 


“ถ้าหากว่ามีของสิ่งนี้ ผู้ที่แข้งขาเดินเหินไม่สะดวกจะสามารถเคลื่อนไหวได้เองดังใจคิดหรือไม่” ผู้ที่มีความสนใจกับของสิ่งนี้ที่สุดกลับเป็นฉินมู่ปิงผู้นั้น


 


 


ฉินมู่ปิงจับกระดาษภาพวาดแน่น ใบหน้าฉายแววดีใจและแปลกใจอย่างยากจะได้เห็น อารมณ์ขณะเขามองเห็นภาพนี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงชะงักไปครู่หนึ่ง พลันหรี่ตามองที่เขา


 


 


เดี๋ยวก่อน…หากนางจำไม่ผิด บิดาของฉินมู่ปิงจิ้งหนานอ๋องดูเหมือนขาทั้งสองข้างจะใช้งานไม่ได้ และนอนติดเตียงมาตลอดหลายปี!


 


 


สีหน้าของซูหลีพลันเปลี่ยนไป หากของที่จู่ๆ นางก็คิดได้สิ่งนี้สามารถสร้างออกมาได้ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นข่าวดีเป็นอย่างมากสำหรับจิ้งหนานอ๋อง!


 


 


นี่…


 


 


ภาพที่นางวาดตามอำเภอใจ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากขนาดนั้น!


 


 


ซูหลีเห็นดังนั้นจึงลังเลใจอยู่แวบหนึ่ง และผงกศีรษะจากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมา


 


 


“ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเคลื่อนไหวได้ดั่งใจคิด ทว่า…”

 

 

 


ตอนที่ 568 มีคำขอร้อง

 

“หลังจากมีของสิ่งนี้ ผู้ที่แข้งขาเดินเหินไม่สะดวกจะสามารถลุกออกจากเตียงได้” ซูหลีอธิบายอย่างอดทนประโยคหนึ่ง สีหน้าขณะที่พูดค่อนข้างซับซ้อน


 


 


จะว่าไปแล้ว พระโอรสของไทเฮาในเวลานี้ก็มีฉินเฮ่า บิดาของฉินมู่ปิงและหลิงอ๋องในอดีต ฉินเย่หานที่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน


 


 


ในเวลานั้นใครก็คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะได้ขึ้นครองราชย์ พระโอรสที่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงรักมากที่สุดนั้นก็คือฉินเฮ่า


 


 


เก้าอี้รถเข็นอาจจะไม่สามารถทำให้ฉินเฮ่าลุกขึ้นมามีโอกาสเดินไปมาเหมือนคนปกติได้ ทว่าสำหรับท่านอ๋องที่เคยมีใจฮึกเหิม เฝ้าระวังทั้งทางใต้ของแคว้นแล้วละก็ ถือเป็นของที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่งอย่างแท้จริง


 


 


ซูหลีหลับตาลงครู่หนึ่ง นางนำของสิ่งนี้วาดออกมา ไม่รู้ว่าถูกหรือผิดกันนะ…


 


 


“กระดาษภาพนี้ ข้าขอเก็บเอาไว้ก่อนได้หรือไม่” เพราะฉินมู่ปิงตื่นเต้นเกินไป จนไม่แม้กระทั่งจะรักษาภาพลักษณ์ซื่อจื่อ และเรียกแทนตนเองว่าข้ากับซูหลี


 


 


ซูหลีชะงักไปเล็กน้อยและผงกศีรษะ


 


 


ภาพก็วาดออกมาแล้ว หากนางปฏิเสธตอนนี้คงไม่เหมาะสมนัก


 


 


ในทางกลับกันหากนางทำให้ฉินมู่ปิงไม่พอใจ เมื่อถึงเวลานางก็ต้องมอบกระดาษนี้ให้เขาอยู่ดี และฉินมู่ปิงก็จะไม่รำลึกถึงมิตรภาพของนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


“เพียงแต่ของสิ่งนี้หากทำออกมา เกรงว่าจักต้องสิ้นเปลืองกำลังอยู่บ้าง…”


 


 


“ไม่เป็นปัญหา หากของสิ่งนี้สามารถทำออกมาได้จริงๆ ซูหลี บุญคุณนี้ของเจ้า ข้ากับท่านพ่อจักจดจำเอาไว้!” ฉินมู่ปิงจ้องมองซูหลีและเอ่ยด้วยอย่างจริงจัง เขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างตรงไปตรงมา


 


 


เดิมขณะที่ซูหลีกำลังเอ่ยถึงประโยชน์ของสิ่งนี้อยู่ โดยรอบก็มีคนเดาออกแล้วว่าสาเหตุที่ฉินมู่ปิงให้ความสนใจกับของสิ่งนี้จักต้องเป็นเช่นนี้ บัดนี้เมื่อเขาพูดออกมาก็ยิ่งทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้กว่าเดิม


 


 


จี้ฉินที่ยืนอยู่ข้างกายฉินมู่ปิงชำเลืองมองท่าทางดีใจของเขา นัยน์ตานั้นดูเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นจึงเหลือบตามองซูหลีครู่หนึ่ง


 


 


แววตาซับซ้อนเกินจะเปรียบ


 


 


“ง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก ซื่อจื่อจะเกรงใจกันเกินไปแล้ว เพียงแต่ข้ามีคำขอร้องประการหนึ่ง…” ทันทีที่ซูหลีกลอกสายตากลับมา จึงเอ่ยคำพูดเหล่านี้ขึ้นอย่างกะทันหัน


 


 


ฉินมู่ปิงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาอันลุ่มลึกของเขาคู่นั้นตวัดมองซูหลีครู่หนึ่ง สีหน้ากลับยังมีริ้วรอยของความดีใจแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มีอะไรจะขอร้อง ขอเพียงเจ้าพูดออกมาเท่านั้น”


 


 


“ของสิ่งนี้หากสามารถสร้างออกมาได้สำเร็จ ซื่อจื่อสามารถสร้างให้ข้าชิ้นหนึ่งจะได้หรือไม่” ขณะที่พูดซูหลีก็ฉีกยิ้มอย่างเกรงใจ นางก้มศีรษะมองที่เท้าของตนเอง


 


 


ฉินมู่ปิงชะงักไปเล็กน้อย ในดวงตามีประกายแวววาวพาดผ่านอย่างรวดเร็วและเอ่ยว่า “แน่นอนว่าได้ จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นของของเจ้า”


 


 


“เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน ขอบคุณซื่อจื่อเป็นอย่างมาก” ซูหลีก้มหัวให้กับเขา ในใจกลับกำลังครุ่นคิดกับตนเองอยู่


 


 


นางไม่เอ่ยว่าฉินมู่ปิงผู้นี้มีอะไรปิดซ่อนเอาไว้หรือไม่ เพียงแต่ต้องดูจิ้งหนานอ๋องท่านนั้น บัดนี้ราชวงศ์ยังสงบสุข ฮ่องเต้ก็เป็นพระอนุชาสายโลหิตเดียวกันกับเขา ทว่าเขายังมีกำลังทหารและอยู่ในที่ตรงนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจิ้งหนานอ๋องท่านนี้จะมีความคิดอย่างไร…


 


 


ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนสนใจ


 


 


แต่ไม่ว่าภายในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ซูหลีก็ไม่ใส่ใจ ขอเพียงอย่าลากนางเข้าไปเกี่ยวข้องก็พอแล้ว


 


 


เป้าหมายของนางคือเป็นขุนนางมือสะอาด เป็นขุนนางที่จงรักภักดีฮ่องเต้ก็เท่านั้น!


 


 


นางชำเลืองตาขึ้นสบตาและยิ้มให้กับฉินมู่ปิง แววตาของฉินมู่ปิงยามจ้องมองนางนั้น ดูแตกต่างกับยามปกติอยู่มาก ซูหลีจ้องมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยสีหน้าคงเดิม


 


 


ต่อมางานเลี้ยงชมดอกเหมยก็จบลงอย่างรวดเร็ว เพราะอากาศเริ่มเย็นลง ท้องฟ้ายามราตรีก็ใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นพอถึงตอนบ่ายพวกเขาก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง

 

 

 


ตอนที่ 569 บังเอิญพบกัน!

 

ด้านนอกของบ้านพักตากอากาศแห่งนี้ล้วนปลูกต้นเหมย รถม้าที่ซูหลีนั่งอยู่นั้นเป็นของฉินมู่ปิง เป็นรถม้าที่มีขนาดใหญ่มาก จึงไม่สามารถนำเข้ามาที่นี่ได้


 


 


ตอนขากลับซูหลียังต้องมีคนคอยพยุง เดินออกไปด้านนอกของบ้านพักตากอากาศนี้อย่างกระโผลกกระเผลก


 


 


ทุกก้าวที่ก้าวเดินนั้น ยิ่งทำให้บาดแผลของนางเจ็บเป็นอย่างมาก


 


 


“โอ๊ยๆ ถนอมข้าหน่อยเถิด!”


 


 


นางอ้าปากตะโกนออกมาว่าเจ็บตลอดทาง อีกทั้งยังเปลี่ยนวิธีตะโกนออกมาสารพัด ทำให้เย่ว์ลั่วกับไป๋ฉินทั้งสองประคองนางไปพลาง หัวเราะนางไปพลาง


 


 


“ทีเวลานี้ถึงรู้ว่าเจ็บนะเจ้าคะ ไยก่อนหน้านี้ไม่เชื่อฟังคำพูดที่บ่าวบอกละเจ้าคะ คุณชายเป็นเช่นนี้ ก็สมควรแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋ฉินทำปากขมุบขมิบเอ่ยประโยคนี้ออกมาเสียงเบา


 


 


เพี๊ยะ! คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะยกมือขึ้นตบศีรษะนางเสียงดังครั้งหนึ่ง


 


 


“โอ้ย! คุณชาย ท่านทำอะไรกัน!” ไป๋ฉินรู้สึกเจ็บ ลูบศีรษะตนเองและเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


“สาวใช้เช่นเจ้านับวันยิ่งใจกล้านัก แม้แต่นายท่านของเจ้าก็ยังกล้าขึ้นเสียงใส่ ระวังตัวเถอะข้ากลับไปจะลงโทษเจ้าโดยการให้คุกเข่าบนลูกคิด!” ซูหลีมองค้อนและเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์


 


 


“คุณชาย ไยท่านที่ปฏิบัติต่อบ่าวเช่นนี้เจ้าคะ!” ไปฉินเริ่มมีโทสะ นางประคองซูหลีไปพลาง ต้องการอธิบายด้วยเหตุผลกับซูหลีไปพลาง


 


 


ชุยตานที่เดินตามหลังทั้งสามคน ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดทาง


 


 


คุณชายเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ


 


 


เรื่องนี้คาดว่าจะไม่ใช่เพียงเขาเท่านั้นที่รู้ แม้แต่แม่นมชุยมารดาของเขา ไป๋ฉิน และคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายของซูหลีนั้นล้วนทราบอย่างชัดเจน


 


 


ซูหลีคนก่อนยามเกิดเรื่องก็เพียงให้พวกเขาแบกรับไว้แทน เขาไม่ได้อยู่ข้างกายซูหลีบ่อยๆ จึงไม่ได้ผลกระทบเท่าไหร่ ทว่ามารดาของเขาและไป๋ฉิน…


 


 


ได้รับความลำบากจากเรื่องนี้ไม่น้อยเลย


 


 


ก่อนหน้านี้เขายังอยากรับมารดาไปจากซูหลี ไม่ต้องการให้นางรองรับอารมณ์ของซูหลีแล้ว


 


 


ทว่ามารดามักจะกล่าวว่า ยามฮูหยินคนก่อนมีชีวิต นางมีบุญคุณต่อครอบครัวของพวกเขา แม้คุณชายจะยุ่งวุ่นวายไปหน่อย พวกเขาก็ต้องปกป้องคุณชายเป็นอย่างดี มิเช่นนั้นจะเป็นการทำลายน้ำใจของฮูหยินคนก่อน


 


 


ชุยตานจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ทว่าในใจนั้นรู้สึกไม่ชอบคุณชายผู้นี้เป็นอย่างมาก


 


 


เพียงแต่ใครจะคิดว่า เมื่อซูหลีไปหมู่บ้านหวงซาน ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


 


 


บัดนี้ใครก็ไม่สามารถแตะต้องคนที่คอยปรนนิบัติซูหลีได้ ไป๋ฉินยิ่งมีใจจงรักภักดีต่อซูหลีเป็นอย่างมาก


 


 


การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี!


 


 


การเปลี่ยนแปลงของซูหลีถึงทำให้ไป๋ฉินก็เปลี่ยนตามไปด้วย แตกต่างกับเมื่อก่อนราวกับเป็นคนละคนกันก็มิปาน


 


 


“คุณชาย ถึงแล้วขอรับ” ชุยตานดึงสติกลับ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม หากคุณชายเป็นเช่นนี้ ก็คุ้มค่าที่พวกเขาจะปกป้องไปตลอดชีวิต!


 


 


“อืม” เพราะรถม้าคันนี้สูงเกินไป ชุยตานจึงต้องไปหยิบเก้าอี้มา ซูหลีถึงจะสามารถปีนขึ้นไปได้


 


 


ขณะที่ยืนอยู่ข้างรถม้าเพื่อรอชุยตานหยิบเก้าอี้ ซูหลีก็กวาดสายมองไปรอบๆ อย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


 


คิดไม่ถึงว่าทันทีที่นางมองไปรอบๆ จะเห็นร่างของคนที่คุ้นเคยร่างหนึ่ง


 


 


ซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง และมองไปทางนั้นอย่างอดไม่ได้


 


 


รถม้าคนนั้น…อีกทั้งยังมีเงาร่างของคนผู้นั้น ไยฉินเย่หานถึงปรากฏตัวที่นี่ได้!?


 


 


ใบหน้าซูหลีชะงักเล็กน้อย ฮ่องเต้พระองค์นี้คงจะไม่ได้ติดตั้งเครื่องติดตามตัวในร่างของนาง จนสามารถตามนางมาได้หรอกกระมัง


 


 


นางยกมุมปากขึ้น ทว่าในเวลานี้เองนางกลับเห็นสตรีที่สวมอาภรณ์สีขาวดุจหิมะเดินมาหยุดตรงหน้าฉินเย่หาน


 


 


ฉินเย่หานที่สวมชุดอาภรณ์สีดำยืนเผชิญหน้ากับสตรีผู้นั้น ดูเหมาะสมกันอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ดูเหมือนสตรีผู้นั้นจะคำนับเขาครั้งหนึ่ง ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกันคล้ายกับกำลังสนทนากันอยู่ เพราะซูหลีอยู่ห่างไกลจากตรงนั้นมาก จึงไม่ได้ยินว่าทั้งสองคนกำลังพูดอะไรกัน


 


 


“คุณชาย เก้าอี้มาแล้วขอรับ” ชุยตานส่งเสียงเรียกซูหลี ซูหลีกลับไม่ตอบกลับ ท่าทางฉินเย่หานนั้นกลับเดินตามสตรีผู้นั้นเข้าไปภายในรถม้าของเขา!

 

 

 


ตอนที่ 570 เล่อผินเหนียงเหนียง

 

เอี๊ยด รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากสายตาของซูหลี สีหน้าของนางแข็งค้างไปเล็กน้อย แม้ว่าจะอยู่ห่างค่อนข้างไกล อีกทั้งไม่ได้ยินพวกเขาทั้งสองคนคุยอะไรกัน ทว่ารูปลักษณ์ของสตรีผู้นั้น ซูหลีนั้นมองเห็นอย่างชัดเจน


 


 


ท่าทีที่สง่างาม อีกทั้งยังมีใบหน้าด้านข้างที่สวยเพริศพริ้ง ยังมีท่วงท่าดูมีมารยาทขณะที่เดินอีกด้วย


 


 


นั่นไม่ใช่โฉมสะคราญผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่าง…ป๋ายถานหรอกหรือ


 


 


ในเวลาเช่นนี้ไยฉินเย่หานกับป๋ายถานถึงปรากฏตัวพร้อมกันที่นี่ได้? ซูหลีฉุกคิดถึงบทสนทนาที่ได้ยินตนที่ล้มลงบนในหิมะ ในดวงตาของนางมีประกายความคลุมเครือพาดผ่าน


 


 


“คุณชาย!?” ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเมื่อเห็นซูหลียืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเตือนสตินาง


 


 


“ไปกันเถอะ” ซูหลีเก็บสายตาของตนกลับมา สีหน้าของนางเข้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวขึ้นรถม้าไป


 


 


……


 


 


“เจ้าว่า เรื่องนี้พวกเราต้องบอกคุณชายหรือไม่”


 


 


“เกรงว่าคงจะพูดยากนัก”


 


 


“เฮ้อ…ทว่าแค่พวกเราสองคนจะปิดบังคุณชายไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน!”


 


 


วันที่สองยามเช้า หลังจากที่ซูหลีกลับมาจากที่เล่าเรียนก็เดินเข้ามาภายในบ้าน ทว่ายังไม่ได้เข้าไปภายในห้องก็ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วเสียก่อน


 


 


สีหน้าของนางชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นถึงผลักประตูจนเปิดออก…


 


 


“มีเรื่องอะไรที่พูดกับข้าได้ยากนัก?” ซูหลีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ไป๋ฉินกับเย่ว์ลั่วทั้งสองคิดไม่ถึงว่านางจะกลับมาในเวลานี้ เมื่อนางเดินเข้ามาสีหน้าของทั้งสองจึงมีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง


 


 


“เป็นอะไรไปนี่คือ?” ซูหลีเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ


 


 


“คุณชาย…” ไป๋ฉินมองนางปราดหนึ่ง จากนั้นหยุดพูดในทันที


 


 


“มีอะไรที่พูดได้ยาก หรือบิดาของข้าจะเตรียมหาแม่เลี้ยงใหม่ให้ข้า?” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นและเอ่ยประโยคนี้ออกมา


 


 


“คุณชายท่านพูดส่งเดชอะไรออกมากัน!” ไป๋ฉินที่เดิมรู้สึกเป็นห่วงนางเป็นอย่างมาก เมื่อถูกนางพูดแทรกเช่นนี้ ใบหน้าจึงกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้


 


 


“เช่นนั้นคือเรื่องอะไรกันเล่า รีบพูดออกมาเร็วเข้า!” ซูหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


 


“คะ คือว่า…” ไป๋ฉินหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ท้ายที่สุดแล้วสายตาของซูหลีก็ไปหยุดอยู่ที่เย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้าง


 


 


หลังจากเย่ว์ลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง ตั้งสติอย่างแน่วแน่แล้วจึงเอ่ยว่า “วันนี้มีข่าวจากวังหลวง ภายในลือว่า…คุณหนูสกุลป๋ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว อีกทั้งทันทีที่เข้ามาก็ถูกแต่งตั้งตำแหน่งผินแล้ว บัดนี้ทุกคนต่างพากันไปแสดงความยินดีกับป๋ายไต้ซือ!”


 


 


ทันทีที่ซูหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที


 


 


หลังจากนางเงียบไปครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นว่า “ป๋ายถานหรือ?”


 


 


“เจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วตอบ นางชำเลืองมองสีหน้าของซูหลีปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “บัดนี้กลายเป็นเล่อผินเหนียงเหนียงแล้ว คำว่าเล่อ เป็นตำแหน่งที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เล่อผินเหนียงเหนียงด้วยพระองค์เอง!”


 


 


เล่อผิน


 


 


ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง ที่แท้เมื่อวานฉินเย่หานก็ไปรับโฉมสะคราญมาด้วยตัวเอง ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง


 


 


ป๋ายถานก็ไม่เพียงแต่เป็นคนฉลาดและน่าสนใจ อีกทั้งรูปโฉมยังดีเลิศเป็นอันดับหนึ่ง ฮ่องเต้จะทรงโปรดก็คงไม่แปลก


 


 


“คุณชาย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เย่ว์ลั่วเห็นปฏิกิริยาของซูหลีแล้วก็อดถามขึ้นอีกประโยคไม่ได้


 


 


ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าคนข้างกายของซูหลีล้วนทราบสถานะที่แท้จริงของซูหลีดี ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาหาซูหลียามราตรีหลายต่อหลายครั้ง มีเรื่องบางเรื่องที่พวกนางนั้นเข้าใจดีที่สุด


 


 


โดยเฉพาะไป๋ฉินนั้นมองออกอย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากทราบเรื่องนี้แล้ว นางถึงรู้สึกกังวลมาโดยตลอดว่าหากซูหลีรับรู้แล้วจะเป็นอย่างไร จะเสียใจมากหรือไม่


 


 


บัดนี้เมื่อเห็นสีหน้าของซูหลีแล้ว พวกนางทั้งสองคนจึงมองหน้ากันครู่หนึ่ง สีหน้านั้นล้วนเต็มไปด้วยความกังวลใจ


 


 


แม้วันนี้พวกนางจะไม่บอกซูหลี หรือจะสามารถปิดบังไปได้วันสองวัน สุดท้ายซูหลีก็ต้องทราบเรื่องนี้อยู่ดี


 


 


สกุลป๋ายนั้นมีเล่อผินเหนียงเหนียงปรากฏตัวขึ้น คงจะรีบไปป่าวประกาศให้ทุกคนฟังแล้ว แม้แต่คนในสำนักเต๋อซั่นก็คงทราบกันทั่วหน้าแล้ว นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ


 


 


“ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นอะไรไปได้กัน”

 

 

 


ตอนที่ 571 ซูหลีโมโห

 

ซูหลีโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแต่สีหน้าดูไม่น่ามองเป็นอย่างมาก


 


 


“ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้ จักต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้…” ไป๋ฉินยังคิดที่จะพูดปลอบใจซูหลีสักสองสามประโยค ทว่าคำพูดนี้ไม่ทันจะเอ่ยจบก็ถูกเย่ว์ลั่วดึงแขนเสื้อเอาไว้เสียก่อน


 


 


ไป๋ฉินมองเย่ว์ลั่วอย่างไม่เข้าใจปราดหนึ่ง ก่อนหน้านี้มิใช่ฮ่องเต้ทรงปฏิเสธเรื่องที่จะให้ป๋ายถานผู้นี้เข้ามาอยู่ในวังหลวงหรอกหรือ


 


 


“หึ” เมื่อซูหลีได้ยินคำพูดของไป๋ฉิน สีหน้ายิ่งดูเย็นชากว่าเดิมหลายส่วน


 


 


นางอารมณ์ไม่ดีอย่างแท้จริง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง เพียงแต่พวกนางไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง เพราะเหตุใดนางถึงอารมณ์ไม่ดี


 


 


ในเมื่อฉินเย่หานมีความสนใจป๋ายถาน มีความคิดอยากจะให้ป๋ายถานเข้าวัง หากเป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านั้นในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนม์ของไทเฮาไยถึงใช้นางเล่นละครตบตาเช่นนั้น


 


 


ทำให้นางถูกหมายหัวอยู่เป็นเวลานาน ทั้งยังปะทะกับป๋ายเฮ่ออยู่หลายครา และนางยังฉีกหน้าสกุลป๋าย ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในราชสำนัก ตนก็สร้างศัตรูที่ยิ่งใหญ่ให้กับตนเองเสียแล้ว


 


 


บัดนี้ความคิดของฮ่องเต้พระองค์นี้ได้เปลี่ยนแล้ว เขาต้องการให้ป๋ายถานเข้าไปอยู่ในวัง ดูท่าทางของเขาแล้ว ประหนึ่งโปรดปรานป๋ายถานเป็นอย่างมาก เช่นนั้นสิ่งที่นางทำก่อนหน้านี้เล่า?!


 


 


นี่นับเป็นการนำนางไปแขวนไว้บนกองไฟ มิหนำซ้ำยังบอกนางอีกว่า เรื่องที่เจ้าทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มันไร้ซึ่งประโยชน์


 


 


ความรู้สึกในใจของซูหลีนี้ แน่นอนว่าไม่พูดออกมาก็รู้สึกได้


 


 


เพียงแต่หัวใจของนางนั้นไม่ค่อยจะสบายสักเท่าไร นางไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายนี้มาจากที่ใด แม้ว่าความรู้สึกนี้จะไม่รุนแรงนัก ทว่าก็ทำให้นางไม่อาจมองข้ามได้


 


 


ความรู้สึกที่ซับซ้อนปนเปกันไปหมด และแน่นอนว่าอารมณ์ของซูหลีไม่ดีเท่าไรนัก


 


 


“นายน้อย ฮ่องเต้ยังทรงเยาว์วัยและมีอำนาจมากมาย ทั้งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น วังหลังไม่อาจไม่มีคนได้” เย่ว์ลั่วมองซูหลีที่มีท่าทางดังนั้น นางจึงหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะพูดโน้มน้าวซูหลีอย่างอดไม่ได้


 


 


พวกนางล้วนคิดว่าซูหลีมีใจต่อฉินเย่หาน ถึงแม้จะไม่มีใจให้แก่เขา แต่ก็อาจจะมีความอาลัยอาวรณ์อยู่ มิเช่นนั้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องของป๋ายถาน ซูหลีคงจะไม่หลุดอาการเช่นนี้


 


 


ช่วงเวลาที่เย่ว์ลั่วอยู่ข้างกายไป๋ฉินไม่นานนัก ทว่านางก็ทราบดีว่า ในยามปกติซูหลีมีนิสัยรักอิสระ ดูเหมือนเป็นคนที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่นจนรู้แพ้รู้ชนะ ที่จริงแล้วส่วนใหญ่นางจะไม่นำเอาเรื่องเหล่านั้นเก็บมาใส่ใจตนเอง


 


 


นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นางเห็นซูหลีเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา แค่คิดก็ทราบแล้วว่าสำหรับซูหลีแล้ว เรื่องนี้มีความพิเศษมาก


 


 


“หึ!” ซูหลีแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง พลันเหลือบตามองเย่ว์ลั่วครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร เรื่องนางงามในวังหลังสามพันนางของฮ่องเต้ นั่นเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว จะเกี่ยวอะไรกับข้ากัน”


 


 


แม้จะพูดออกมาเช่นนี้ ทว่าในดวงตารูปดอกท้อของนางคู่นั้นกับไม่มีรอยยิ้มสักนิด


 


 


เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงผงกศีรษะ ไม่พูดอะไรต่ออีก ทว่ายามที่นางกับไป๋ฉินสบตากันกลับมีความกังวลพาดผ่านในดวงตาของทั้งสองคน


 


 


“นายน้อยของพวกเจ้า ไม่ได้มีเป้าหมายว่าจะเป็นสตรีของฮ่องเต้ วางใจเถิด” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงยิ้มออกมา นางตบมือเย่ว์ลั่วเบาๆ และเอ่ยว่า


 


 


“อย่าลืมว่ายังมีสัญญาพนันแขวนอยู่บนศีรษะข้า แม้ฝ่าบาทจะทรงรับพระสนมเข้ามากี่คน จะโปรดปรานใคร นั่นเกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน ข้าเป็นขุนนาง เขาเป็นจักรพรรดิ รู้หรือไม่”


 


 


เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองซูหลี ทว่ากับพบความมืดมนในดวงตาของซูหลี นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผยสีหน้าจริงจังออกมาให้พวกนางเห็น


 


 


เย่ว์ลั่วอ้ำอึ้งไปเล็กน้อย ทว่าจู่ๆ ก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซูหลีไม่ใช่กำลังปิดบังอำพรางนาง เพียงพูดอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่สมควรจะเป็นไปที่สุดระหว่างนางกับฉินเย่หานก็เท่านั้น

 

 

 


ตอนที่ 572 ไม่พบเจอ!

 

เพียงแต่…


 


 


ตอนนี้ยังดี ทว่าอย่างไรซูหลีก็ไม่สามารถเป็น ‘บุรุษ’ ได้ตลอดชีวิตกระมัง อย่างไรนางก็เป็นสตรีผู้หนึ่งอย่างแท้จริง!


 


 


เย่ว์ลั่วมองซูหลีอยู่นาน ทว่าเมื่อเห็นความชัดเจนเป็นอย่างมากในดวงตาของนาง รวมถึงอากัปกิริยาที่นิ่งสุขุมนี้แล้ว ชั่วพริบตานี้นางกลับพูดอะไรไม่ออก ซูหลีจักต้องมีเหตุผลของตนอย่างแน่นอน


 


 


“ไป๋ฉิน ข่าวนี้ประกาศออกมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกจวนตัวก็ต้องให้คนไปส่งของกำนัลให้แก่เล่อผินใช่หรือไม่” หลังจากซูหลีชะงักไปเล็กน้อย นางก็จ้องมองที่ไป๋ฉิน


 


 


“ใช่เจ้าค่ะ” ไป๋ฉินขานตอบ “บ่าวก็ได้ยินจากเด็กรับใช้ข้างกายของคุณชายคนอื่นๆ ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้จึงทำให้บังเอิญรับรู้ด้วย”


 


 


“อืม” ซูหลีผงกศีรษะ ปิดปากเงียบไม่พูดออกมาสักคำ นางชะงักไปครู่หนึ่งและพลันเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องส่งของขวัญไป”


 


 


“เอ๋?” ไป๋ฉินไม่เข้าใจว่า สิ่งที่ซูหลีบอกหมายความว่าเช่นไร


 


 


“ก่อนหน้านี้ในงานเลี้ยงเฉลิมพระชนม์ของไทเฮาข้าก็ผูกความอาฆาตเอาไว้แล้ว ในเวลานี้นางถูกแต่งตั้งเป็นตำแหน่งผินแล้ว หากพวกเราเข้าไปสมทบ เกรงว่าไม่มีประโยชน์อันใด” ซูหลีเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา อีกทั้งยังมีเหตุผลสำคัญที่นางไม่ได้เอ่ยออกมา นั่นก็คือนางไม่คิดจะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับป๋ายถาน


 


 


เป้าหมายของนางคือเป็นขุนนางผู้บริสุทธิ์ บนหน้าประวัติศาสตร์ มีขุนนางผู้บริสุทธิ์คนไหนรับผลประโยชน์จากพระสนมกัน?


 


 


นางก็ไม่ใช่พี่ชายหรือบิดาของป๋ายถาน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่จำเป็นเลยสักนิด


 


 


มิหนำซ้ำนางยังไม่ชื่นชอบป๋ายถานมาตั้งแต่แรก สตรีที่ทั้งเมืองหลวงล่ำลือว่าเป็นผู้มีความสามารถอันดับหนึ่ง ไม่ได้บริสุทธิ์ไร้พิษสงอย่างที่เขาล่ำลือกันขนาดนั้น โชคดีที่ชาติก่อนนางเคยเห็นหลายต่อหลายคราแล้ว


 


 


ในชาตินี้…


 


 


ไม่จำเป็นต้องคบค้าสมาคมกับนาง


 


 


“…เจ้าค่ะ” ไป๋ฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังขานรับ สุดท้ายในใจของซูหลีก็ตัดสินใจเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว


 


 


……


 


 


หลังจากงานชมดอกเหมย ผ่านไปครู่หนึ่งเมืองหลวงก็เข้าสู่ช่วงเหมันตฤดู หิมะตกติดต่อกันอยู่นานและอากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อซูหลีไม่มีเรื่องอะไรต้องไปจัดการ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงไม่ออกไปภายนอกอีกเลย


 


 


ไม่ผิด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


 


 


และไม่รู้ว่าฉินเย่หานเป็นอะไร ทั้งที่เพิ่งจะแต่งตั้งเล่อผินเหนียงเหนียงกลับไม่ไปหาป๋ายถานในตำหนัก เขากลับส่งหวงเผยซานมาเรียกซูหลีอยู่หลายครา


 


 


เพราะใกล้ถึงสิ้นปี ในราชสำนักย่อมมีเรื่องที่ต้องสะสางจำนวนมาก เขาจึงไม่มีเวลาเดินทางมาหาซูหลี ทว่าทุกครั้งที่หวงเผยซานมาที่นี่ ก็ถูกซูหลีตบตาทุกครา


 


 


ถ้าไม่ใช่เรื่องป่วยก็มีเรื่องยุ่ง


 


 


หวงเผยซานมาที่นี่ติดต่อกันหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่หน้าของนางก็ไม่ให้เจอได้ง่ายๆ ถูกปฏิเสธให้เข้าไปในจวนหลายต่อหลายครา ฉินเย่หานจึงไม่ให้หวงเผยซานมาที่นี่อีก


 


 


เมื่อเห็นว่าหวงเผยซานไม่มาที่นี่อีก ไป๋ฉินเริ่มรู้สึกร้อนใจ เดิมนางเห็นฉินเย่หานสั่งให้หวงเผยซานมาเรียกซูหลีเข้าไปในวัง นางก็รู้สึกว่าภายในพระทัยของฮ่องเต้ทรงมีซูหลีอยู่


 


 


คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะปฏิเสธอยู่หลายครั้งหลายครา


 


 


แม้แต่นางเห็นแล้วยังรู้สึกโมโห นับประสาอะไรกับฮ่องเต้


 


 


รอจนหวงเผยซานไม่มาที่นี่อีกแล้ว ไป๋ฉินจึงร้อนใจจริงๆ นางกลัวว่าฮ่องเต้จะรังเกียจซูหลีเพราะเรื่องนี้


 


 


นางนำคำพูดนี้เอ่ยกับซูหลี ก็ถูกซูหลีหัวเราะเยาะ


 


 


“อย่าลืมว่านายน้อยของพวกเจ้าจะสอบเพื่อเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนาง ไยเจ้าถึงคิดเสียเหมือนว่าข้าเป็นสนมที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้เรียกไปปรนนิบัติ และรอคอยความโปรดปรานจากฮ่องเต้อยู่ก็มิปาน”


 


 


ไป๋ฉินฟังคำพูดของนางจนหมดคำจะพูดแล้ว ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นางกลับรู้สึกว่า ในคำพูดนี้ของนางมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง


 


 


ในเมื่อไม่ได้เป็นสนมที่ไม่เคยถูกฮ่องเต้ปรนนิบัติ เพราะเหตุใดซูหลีถึงไม่ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เล่า ในเมื่อเป็นขุนนางก็ไม่ควรปฏิเสธฮ่องเต้อย่างง่ายดายเช่นนี้กระมัง


 


 


คำพูดนี้เมื่อเอ่ยกับซูหลี สีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาดูมีความหมายลึกซึ้งบางอย่าง


 


 


“ไป๋ฉิน เรื่องที่นายน้อยของเจ้าไม่ชอบมากที่สุดก็คือ การเป็นคนโง่ในสายตาผู้อื่นและถูกทอดทิ้ง เจ้ารู้หรือไม่”


 

 

 


ตอนที่ 573 ถ้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์

 

ไป๋ฉินผงกศีรษะคล้ายกับทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ปนกัน


 


 


ทว่าซูหลีไม่ทราบว่า ฉินเย่หานได้ส่งทหารหน่วยกล้าตายสองคนไปคุ้มกันซูหลี คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่นี้ไม่นานก็ถ่ายทอดถึงหูฉินเย่หาน


 


 


เพล้ง! จอกชาหล่นลงบนพื้นแตกจนกลายเป็นผุยผง


 


 


หวงเผยซานที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง แทบจะคุกเข่าให้กับฮ่องเต้


 


 


หลังจากคนใต้อาณัตินำคำพูดของซูหลีถ่ายทอดให้เขาฟัง บรรยากาศภายในห้องทรงอักษรจึงตึงเครียดเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ช่างเถอะ ไม่รู้ว่าในสมองของขันทีผู้น้อยใต้อาณัติของเขาคนนั้นผิดปกติที่ใด อาจเป็นเพราะถูกกลิ่นอายเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกจากร่างของฉินเย่หาน ทำให้แข็งจนทึมทื่อไปหมดแล้ว


 


 


ถึงได้ยกน้ำชาเย็นชืดให้กับฮ่องเต้จอกหนึ่ง!


 


 


หวงเผยซานแทบจะส่งเสียงร้องไห้ออกมา บรรยากาศในห้องทรงอักษรแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คนควรอยู่


 


 


อีกทั้งนายท่านผู้นั้นยังไม่ปริปากพูดอะไรออกมา และไม่อธิบายสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น


 


 


หวงเผยซานเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่ง จึงทราบสาเหตุที่ซูหลีก่อความวุ่นวายให้กับฮ่องเต้ในครานี้ ทว่าเรื่องที่ป๋ายถานเข้ามาเป็นนางสนมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ฮ่องเต้ทรงไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องราวใหญ่โตกับไทเฮาและสกุลป๋ายเพราะเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้


 


 


อีกทั้งฮ่องเต้มิเคยแตะต้องป๋ายถานเลยสักนิด


 


 


ในวันนั้นฮ่องเต้ถูกป๋ายไต้ซือเชื้อเชิญให้เสด็จไปที่สวนดอกเหมยนอกเมือง ป๋ายไต้ซือดูเหมือนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาสองราชวงศ์แล้ว ฮ่องเต้จึงทรงมิปฏิเสธ ใครจะรู้ว่าข้าวยังไม่ทันจะได้กิน ‘อาหาร’ ก็จัดวางรอบนโต๊ะเสียแล้ว


 


 


ท่าทางขวยเขินและประหม่าของป๋ายถานผู้นั้น หวงเผยซานมองแล้วหัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตลอดเวลา ตลอดทั้งบ่ายนั้นเขาไม่กล้ามองสีหน้าของฉินเย่หานเลยแม้แต่น้อย


 


 


หลังจากนั้นฉินเย่หานจึงรับป๋ายถานเข้าวัง และถือโอกาสแต่งตั้งนางเป็นเล่อผินเหนียงเหนียง ทว่าไม่ได้โปรดปรานนางเลยแม้แต่น้อย


 


 


อย่าคิดว่าหวงเผยซานมีท่าทางหวาดกลัว ที่จริงแล้วเขาถือว่าเป็นคนแรกที่สามารถพูดจาต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้ทรงมิได้โปรดปรานป๋ายถาน สกุลป๋ายก็ให้คนนำของกำนัลให้เขาเต็มห้องไปเสียหมด นี่ก็เพราะต้องการให้เขาไปสอบถามว่า ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร


 


 


ของเหล่านี้ล้วนส่งมาแล้ว หวงเผยซานนั้นยึดถือหลักการที่ว่าไม่รับ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องรับเอาไว้ จึงถามฮ่องเต้อย่างอ้อมค้อมคราหนึ่ง ในเวลานั้นฮ่องเต้ทรงตรัสว่าอย่างไร? อ๋อ…


 


 


“จัดการคนไปจับตามองไว้ หากยังว่านอนสอนง่ายก็ปล่อยไป หากล้ำเส้นมาแม้แต่นิดเดียวก็ส่งอั้นจิ่วไปจัดการ”


 


 


ส่งอั้นจิ่วไปจัดการ!


 


 


หัวใจของหวงเผยซานสั่นสะท้าน ถ้าป๋ายถานผู้นี้อยู่เฉยๆ ก็ยังดี ถ้านางไม่อยู่ในโอวาทก็จำเป็นต้องไปปรนนิบัติ…คนแปลกหน้าที่เคยเห็นหน้าตามาก่อน


 


 


อย่าคิดว่าหากอั้นจิ่วปรากฏตัวในยามปกติจะมีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกับฉินเย่หานเจ็ดถึงแปดส่วน ทว่าพวกเขานั้นทราบดีว่า ที่จริงแล้วอั้นจิ่วผู้นี้มีรูปโฉมแตกต่างกับฉินเย่หานอยู่มาก เดิมคนผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินเย่หานเพียงสองถึงสามส่วนเท่านั้น เจ็ดถึงแปดส่วนที่เห็นนั้นล้วนใช้วิชาแปลงกายสร้างขึ้นมา


 


 


กอปรกับไม่ให้เหล่าผินเฟยจุดไฟในยามราตรี อีกทั้งอั้นจิ่วยังมีส่วนสูงพอๆ กับฮ่องเต้ ใครจะสามารถทราบได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่


 


 


หวงเผยซานได้ยินในใจก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว ทว่าเขาก็รู้ดีว่าอะไรที่พูดได้ อะไรที่พูดออกไปไม่ได้


 


 


เขาเป็นคนของใคร ในใจเขานั้นทราบอย่างชัดแจ้งดี เรื่องที่เขารับของกำนัลของสกุลป๋ายนั้น ฉินเย่หานไม่จำเป็นต้องรับรู้ ทว่าฉินเย่หานไม่เคยสนใจสิ่งของเหล่านี้มาก่อน พวกเราที่เป็นคนใต้อาณัติก็ทราบดีว่าควรจะจัดการอย่างไร


 


 


หลังจากได้รับคำตอบจากฮ่องเต้ หวงเผยซานจึงสั่งให้คนนำกระดาษแผ่นหนึ่งไปส่งให้กับเล่อผินเหนียงเหนียง…


 


 


‘ช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งเรื่องราชการ ทรงไม่มีพระทัยจะใส่พระทัยเรื่องของหญิงชาย’


 


 


ข้อความที่ส่งกลับมานี้ ทำให้ทางป๋ายถานเบาใจลงไม่น้อย


 


 


ทว่า…


 


 


เรื่องเหล่านี้หวงเผยซานนั้นเข้าใจอย่างชัดเจน ทว่าไม่สามารถให้คนไปอธิบายกับซูหลีได้


 


 


เรื่องนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือเป็นความลับของราชนิกุล หากเขาพูดออกไปเพียงครึ่งคำ ศีรษะของเขาคงหลุดออกจากบ่า ทว่าหากไม่พูดทางด้านซูหลีก็ไม่ยอมให้พวกเขารับรู้ว่านางเป็นอย่างไรบ้าง


 


 


นี่เป็นโชคไม่ดีของเขาโดยแท้ ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างตัวสั่นงกๆ ประหนึ่งน้ำแข็งบางปกคลุมร่างไว้


 


 


เขากลัวว่าตนจะพูดอะไรผิดไป!

 

 

 


ตอนที่ 574 เก้าอี้รถเข็นมหัศจรรย์

 

การไปมาหาสู่เช่นนี้ผ่านไปเรื่อยๆ วันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนใกล้ถึงช่วงการสอบครั้งใหญ่ของสำนักเต๋อซั่น ซูหลีกลับได้รับข่าวจากฉินมู่ปิงว่า เก้าอี้รถเข็นสร้างออกมาแล้ว


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นกลับเดินทางไปหาฉินมู่ปิงด้วยตนเอง


 


 


ที่จริงแล้วบาดแผลที่ขาของนางนั้นไม่รุนแรงขนาดนั้น หลังจากหกล้มไปไม่กี่วัน นางก็สามารถเดินเหินได้อย่างเป็นอิสระแล้ว ทว่าของสิ่งนี้ในที่นี้ก็ถือว่าเป็น ‘ลิขสิทธิ์การออกแบบ’ ของนาง นางเดินทางไปดูก็ถือเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว


 


 


“คุณชายซูมาแล้ว เชิญเข้ามาเถิดขอรับ” หลังจากเรื่องของเก้าอี้รถเข็นนี้ แม้แต่จู๋ซย่า ซึ่งเป็นเด็กรับใช้ข้างกายของฉินมู่ปิงก็ยังปฏิบัติต่อซูหลีอย่างเกรงใจกว่าเดิมไม่น้อย


 


 


ซูหลีผงกศีรษะเล็กน้อย นางถูกเย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้างค่อยๆ ประคองไป นางเดินกระโผลกกระเผลกไปจนถึงห้องของฉินมู่ปิง


 


 


แม้ขาของนางจะหายดีแล้ว ทว่าอะไรที่ควรจะแสร้งทำก็ต้องแสร้งทำ อย่างไรฉินมู่ปิงก็รับปากนางแล้วว่า หลังจากสร้างของสิ่งนี้ออกมาได้ จะมอบให้นางชิ้นหนึ่งก่อน!


 


 


“ซูหลี รีบมาเร็วเข้า เจ้าดูนี่สิ” ทันทีที่นางเข้าไปในห้อง ฉินมู่ปิงก็เรียกนางดูของสิ่งนี้


 


 


เมื่อนำนางเดินเข้าไปในห้อง เขาก็ใช้มือดึงผ้าสีแดงออก เผยให้เห็นสิ่งของที่ถูกปกคลุมอยู่ด้านใน


 


 


เมื่อซูหลีเห็นของสิ่งนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน


 


 


ไม่ต้องพูดว่าสติปัญญาของคนโบราณนั้นไม่มีที่สิ้นสุดโดยแท้ นางเพียงเสนอกระดาษภาพให้เท่านั้น ก็สามารถสร้างออกมาได้เหมือนลักษณะเดิมเช่นเดียวกับในภาพ!


 


 


เก้าอี้รถเข็นตรงหน้ามีความคล้ายคลึงกับเก้าอี้รถเข็นที่ทางบ้านของซูหลีในยุคปัจจุบันผลิตเจ็ดถึงแปดส่วน เพียงแต่เป็นเพราะล้อของเก้าอี้ตัวนี้ทำขึ้นจากไม้ จึงดูโบราณและเรียบง่าย


 


 


แต่ถึงอย่างไรเหล่าช่างฝีมือนั้นก็มีแนวคิดที่ดีเลิศ เก้าอี้ไม้ตัวนี้ทำจากไม้แดง อีกทั้งบนเนื้อไม้ยังวาดลวดลายดอกไม้ ดูแล้วเป็นงานที่ประณีตเป็นอย่างมาก เปรียบเทียบกับเก้าอี้รถเข็นในยุคปัจจุบันแล้วกลับมีความน่าสนใจไปอีกแบบหนึ่ง


 


 


“ไม่เลว” ซูหลีร้องอุทานออกมาจากใจจริง!


 


 


“เพราะว่าวัสดุที่เจ้าเขียนไว้ด้านบนล้วนเป็นของที่มีน้ำหนัก ช่างไม้จึงไม่กล้าแกะสลักรูปดอกไม้ จึงวาดลวดลายดอกไม้แทน ดูแล้วก็จึงกลายเป็นเช่นนี้” ความสนใจของฉินมู่ปิงมีมากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเอ่ยถึงเรื่องเก้าอี้รถเข็นตัวนี้กับซูหลี


 


 


“ซื่อจื่อมีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้สมบูรณ์แบบกว่าภาพวาดห่วยๆ ของข้าอยู่ไม่น้อย ไม่รู้ว่านั่งลงแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง” ซูหลีชำเลืองมองฉีกยิ้มบางๆ ออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา


 


 


“ก่อนนำมาส่ง เด็กรับใช้ได้ลองใช้ดูแล้ว เจ้าจะลองด้วยตนเองหรือไม่” คำพูดประโยคนี้ของฉินมู่ปิง เผยให้ทราบถึงความตั้งใจของช่างไม้ที่ใช้เวลามากมายขนาดนี้ในการสร้างเก้าอี้รถเข็นขึ้นมา


 


 


ซูหลีเพียงมอบกระดาษภาพวาดนี้ให้ หากจะสร้างของสิ่งนี้ขึ้นมา ก็ถือว่าใช้กำลังไปไม่น้อยอย่างแท้จริง


 


 


ระหว่างการทำต้องใช้ความคิดมากถึงเพียงใด เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องบอกซูหลี


 


 


“เย่ว์ลั่ว ประคองข้านั่งลงและไปลองใช้ดูเสียหน่อย” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ จากนั้นสั่งให้เย่ว์ลั่วประคองนางนั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น


 


 


แผ่นรองนั่งบนเก้าอี้นั้นทำจากหนังกวางที่นุ่มที่สุด เมื่อนั่งลงจึงรู้สึกสบายมากซูหลียิ้มออกมา จากนั้นเหลือบตามองเย่ว์ลั่วและเอ่ยว่า


 


 


“ลองผลักดูสิ”


 


 


เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ของสิ่งนี้นางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ใช้งานอย่างไรนางยังไม่ทราบอย่างชัดเจน


 


 


อย่างไรก็ต้องให้ฉินมู่ปิงที่อยู่ด้านข้างชี้สอนนางอยู่ครู่หนึ่ง นางถึงได้หาที่จับด้านบนเจอและลองออกแรงผลักซูหลี


 


 


แอ๊ด ล้อเกิดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย


 


 


“เอ๋!” เย่ว์ลั่วร้องอุทานออกมาจากอดไม่ได้ ใบหน้ามีความประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง” ซูหลีถามด้วยรอยยิ้ม


 


 


“ยามผลักกลับไม่ได้ใช้แรงเยอะเจ้าค่ะ!” เดิมเย่ว์ลั่วคิดว่า คนตัวโตอย่างซูหลีนั่งรถบนเก้าอี้ตัวนี้ ยามที่ผลักคงต้องใช้แรงมากอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากขนาดนั้น


 


 


ในทางกลับกันกลับสามารถผลักซูหลีไปด้านหน้าได้อย่างสบายๆ


 


 


“นายน้อย ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนักเจ้าค่ะ!”

 

 

 


ตอนที่ 575 เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้

 

เย่ว์ลั่วเกิดความประหลาดใจอยู่บ้าง กระทั่งเสียงพูดก็ยังขึ้นเสียงสูงอย่างอดไม่อยู่


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยิ้มออกมาและเอ่ยว่า “สนุกใช่หรือไม่”


 


 


เยว์ลั่วผงกศีรษะติดต่อกัน


 


 


“เหล่าช่างที่ทำต้องทดลองหลายครั้ง ถึงจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ ซูหลี จากที่ข้าเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ ของชิ้นนี้นับว่าเป็นของเจ้า” ขณะที่พูดใบหน้าฉินมู่ปิงก็มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ด้วย


 


 


รอยยิ้มนี้แตกต่างกับรอยยิ้มที่ไม่จริงจังในยามปกติของเขา แสดงว่าเขารู้สึกดีใจจริงๆ


 


 


“เช่นนั้นก็ขอบคุณซื่อจื่อเป็นอย่างมาก” ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงหยุดชะงักเล็กน้อย และผงกศีรษะรับคำ


 


 


“คนที่ขอบคุณควรต้องเป็นข้าต่างหาก” ฉินมู่ปิงชายตาขึ้นมองนาง สีหน้าของเขานั้นมีความจริงจังมากกว่ายามปกติอย่างบอกไม่ถูก


 


 


ฉินมู่ปิงในท่าทางเช่นนี้ กลับทำให้ซูหลีรู้สึกไม่คุ้นเคย


 


 


แทบจะเปลี่ยนไปจนคล้ายกับเป็นอีกคนก็มิปาน


 


 


ซูหลีผงะอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอาการออกมาและเอ่ยว่า “นี่ช่างสะดวกต่อขาทั้งสองของข้าจริงๆ บัดนี้อยากไปที่ใด ก็ไม่ต้องมีคนเดินตามแล้ว”


 


 


ฉินมู่ปิงยิ้มแต่ไม่เอ่ยอะไร เขามองซูหลีด้วยแววตาลุ่มลึก ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา


 


 


……


 


 


ซูหลีกับเย่ว์ลั่วเดินออกจากจวนของฉินมู่ปิง ซึ่งนางยังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอยู่ เย่ว์ลั่วจึงค่อยๆเข็นนางไป


 


 


เมื่อล้อกดทับหิมะบนพื้น จึงทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น


 


 


“เย่ว์ลั่ว” ซูหลีที่เงียบมาโดยตลอด พลันเปิดปากพูดขึ้น


 


 


“นายน้อยมีอะไรเจ้าคะ” เย่ว์ลั่วเอ่ยถามด้วยเสียงเบา


 


 


“ไปเรือนขาว นำป้ายผ่านเข้าวังที่ฝ่าบาทเคยประทานให้ออกมา พวกเราจะเข้าวังกัน” สีหน้าของซูหลีเรียบเฉย ทว่ากลับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา


 


 


เย่ว์ลั่วได้ยินดังนั้นจึงชะงักวูบหนึ่ง ก่อนหน้านี้ซูหลียังดื้อรั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเข้าวังหลวง หวงเผยซานไปเชื้อเชิญด้วยตนเองหลายต่อหลายครา ก็ไม่สามารถเชิญนางมาได้


 


 


ไยบัดนี้ไปเจอฉินมู่ปิงคราหนึ่ง ก็ร้องขอเข้าวังหลวงด้วยตนเองแล้ว


 


 


ทว่าคำพูดเหล่านี้เย่ว์ลั่วก็ถามซูหลีออกมาได้ยาก นางได้ยินดังนั้นจึงเพียงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าค่ะ”


 


 


นางเข็นซูหลีมาจนถึงด้านนอกของเรือนขาว จากนั้นเดินขึ้นไปภายในเพื่อหยิบป้ายออกมา เพียงแค่ครู่เดียวเมื่อนางย้อนกลับมา ก็หยิบพรมคลุมขนสัตว์คลุมลงบนขาให้กับซูหลี


 


 


“เจ้านี่คิดอย่างรอบคอบจริงๆ” ซูหลีก้มศีรษะมองไปพรมขนสัตว์สีขาวปราดหนึ่ง และฉีกยิ้มบางๆ


 


 


“ไป๋ฉินบอกว่าจะรออยู่ในห้อง เช่นนั้นบ่าวจะไปเป็นเพื่อนท่าน” เย่ว์ลั่วเพียงฉีกยิ้มบางออกมาครู่หนึ่ง และไม่เอ่ยอะไรให้มากความ


 


 


“อืม” ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ นางไม่ถามอะไรต่อ


 


 


ตั้งแต่ที่เรือนขาวถูกคนมารื้อค้นจนหมด ไป๋ฉินจึงเริ่มเกิดความระแวง เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี


 


 


ซูหลีไม่อยากให้ยามที่ตนเองไม่อยู่ ภายในกลับมีสิ่งของหายไปอย่างพิลึกอีก!


 


 


เย่ว์ลั่วเห็นดังนั้นจึงไม่เอ่ยอะไรอีก นางเข็นซูหลีไปทางวังหลวง


 


 


ที่จริงพวกนางนั้นทราบอย่างชัดเจนว่าขาของซูหลีแทบจะหายดีแล้ว ทว่าทำไมนางถึงยังนั่งบนของเล่นนี้เข้าไปในวังอีก…เย่ว์ลั่วครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทว่านางก็ไม่ถามอะไร เพียงทำตามคำสั่งของซูหลี เข็นนางเข้าไปในวังหลวง


 


 


ในวันที่มีหิมะตกปกคลุมไปทั่วผืนดิน ซูหลีสวมเสื้อคลุมหนังสุนัขจิ้งจอกสีแดงเพลิง ซึ่งรับกับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือและกอปรกับท่าทางเช่นนี้ ทำให้ตลอดทางที่เดินมาถูกคนจำนวนไม่น้อยจับตาดู


 


 


นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมาตลอด อีกทั้งยังยกมือขวาขึ้นเท้าคาง มองไปด้านหน้าอย่างเกียจคร้าน


 


 


สิ่งของที่ร่างกายส่วนล่างนางนั่งอยู่นั้นเป็นของที่แปลกประหลาดมากจริงๆ กอปรกับท่าทางอ่อนเพลียเมื่อยล้าและความสวยหยาดเยิ้ม ยังไม่ทันเดินถึงห้องทรงอักษรก็ทำให้คลื่นลมกระพือพัดไปทั่วทั้งวังหลวงเสียแล้ว!


 


 


ทว่าเรื่องที่ซูหลีนั่งเก้าอี้ประหลาดเข้ามาในวังหลวงนั้น ในชั่วพริบตาเดียวก็คล้ายกับมีปีกที่บินเข้าไปในหูของคนจำนวนไม่น้อย

 

 

 


ตอนที่ 576 ไม่เห็นไทเฮาหรือ

 

“ยังมีเรื่องประหลาดเช่นนี้อีกหรือ” ภายในตำหนักชิงหนิง ป๋ายถานที่กำลังนวดที่พระเพลาของไทเฮาที่ประทับอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินข่าวที่ขันทีผู้นี้ถ่ายทอดออกมาก็อดเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้


 


 


“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ บ่าวอายุปูนนี้แล้ว ยังเพิ่งเคยเห็นเก้าอี้ที่นั่งลงและสามารถเคลื่อนที่ได้เป็นครั้งแรก ช่างมหัศจรรย์โดยแท้…” ขันทีผู้น้อยคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ


 


 


ไทเฮาที่อยู่บนเตียงลืมพระเนตรขึ้น ทรงตวัดสายตามองทางขันทีผู้นั้นครู่หนึ่ง ทำให้ขันทีผู้นั้นหุบปากลงในทันที


 


 


“เสด็จแม่ ใต้หล้ายังมีสิ่งของที่น่าสนใจเช่นนี้อยู่ ซูหลีผู้นั้นช่างฉลาดปราดเปรื่องโดยแท้” ป๋ายถานยิ้มยิงฟันและเอ่ยกับไทเฮาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล


 


 


ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง ไม่เพียงแต่จะถูกแต่งตั้งเป็นตำแหน่งผิน อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาเป็นอย่างมาก ทุกครั้งในบรรดาพระสนมที่มาคารวะไทเฮา มีเพียงนางเท่านั้นที่ไทเฮาทรงให้อยู่ต่อเพื่อคุยแก้กลุ้ม


 


 


ด้วยเหตุนี้เพียงไม่กี่วันเหล่าพระสนมก็ทราบเรื่องนี้ เล่อผินเหนียงเหนียงท่านนี้ไม่เพียงแต่อยู่ในสกุลที่มีชื่อและทรงอำนาจ มิหนำซ้ำนางยังได้รับความนิยมชมชอบภายในวังจากฮ่องเต้และไทเฮาอีกด้วย เก่งกาจจนไม่มีใครเปรียบได้ แม้แต่พระสนมทั้งสองพระองค์ของฝ่าบาทก็ยังไม่อาจเทียบกับนางได้


 


 


“ก็แค่ของที่ใช้ความฉลาดแกมโกงสร้างขึ้นมาก็เท่านั้น” เมื่อไทเฮาทรงได้ยินชื่อของซูหลี พระองค์ก็ทรงขมวดพระขนงขึ้นอย่างรำคาญใจ


 


 


“ในวังหลวงนี้เป็นสถานที่แห่งใด ใช่สถานที่ที่จะอนุญาตให้ซูหลีก่อความวุ่นวายเช่นนี้ได้หรือ” ป๋ายถานทราบดีว่าตั้งแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในงานเฉลิมพระชนม์ในคราก่อน ไทเฮาก็ทรงไม่ชื่นชอบซูหลีแล้ว ป๋ายถานได้ยินดังนั้นจึงฉีกยิ้มบางออกมา ทว่าไม่เอ่ยอะไรออกมา


 


 


“กราบทูลเหนียงเหนียง ในมือของคุณชายซูมีป้ายห้อยเอวที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ อีกทั้งเหล่าทหารล้วนทราบดีว่านั่นคือคุณชายเหิงอวี้ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งตำแหน่งให้ด้วยพระองค์เอง ดังนั้น…” น้ำเสียงของขันทีผู้นั้นต่ำลงเรื่อยๆ ดังนั้นจึงไม่มีคนกล้าขัดขวางซูหลีเอาไว้


 


 


“ข้าแก่แล้ว ที่ไม่ชอบที่สุดก็คือคนที่กำเริบเสิบเช่นนี้ ถานเอ๋อร์” ไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น


 


 


“หม่อมฉันอยู่นี่เพคะ” ป๋ายถานหยุดการเคลื่อนไหวในมือ จากนั้นรีบคุกเข่าลงทันที


 


 


“พาข้าไปดูผู้ที่ไม่รู้ความ ผู้ซึ่งไม่ทราบที่มาที่กล้ากำแหงในวังหลวงเสียหน่อย!”


 


 


ขณะที่ไทเฮาตรัส พระองค์ทรงลุกขึ้นจากเตียง


 


 


ป๋ายถานรีบรับพระหัตถ์ที่ไทเฮาทรงยื่นมา นางประคองไทเฮาลุกขึ้น ใบหน้าของนางที่มีประกายบางอย่างพาดผ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สามารถอำพรางได้อย่างเร็วไว ต่อมานางจึงตกปากรับคำและคอยประคองไทเฮาไปที่ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้


 


 



 


 


“เย่ว์ลั่วหนาวหรือไม่” นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหลีนั่งบนรถเข็น และถูกคนเข็นรถเพื่อชมทิวทัศน์ในวังหลวงเช่นนี้


 


 


เพียงแต่นางนึกเป็นห่วงเย่ว์ลั่ว จึงถามออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา


 


 


“บ่าวไม่หนาวเจ้าค่ะ” เย่ว์ลั่วฉีกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก้มศีรษะมองที่ถุงมือบนมือของตนปราดหนึ่ง


 


 


ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ซูหลีสั่งให้ไป๋ฉินทำขึ้น อีกทั้งยังใช้ขนสุนัขจิ้งจอกชั้นดีทำขึ้นอีก เดิมเย่ว์ลั่วคิดว่าของสิ่งนี้ทำขึ้นเพื่อให้ซูหลีใช้เอง ทว่าคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทำเสร็จ ซูหลีจะมอบสิ่งของเหล่านี้ให้กับพวกนางทั้งสองเป็นอันดับแรก


 


 


เย่ว์ลั่วทราบนิสัยของซูหลีดี จึงทำได้เพียงรับของที่นางมอบให้


 


 


ไม่ต้องพูดถึงว่าของสิ่งนี้มีประโยชน์มากมาย อย่างน้อยในเหมันตฤดูนี้มือของเย่ว์ลั่วก็ไม่ต้องเกิดอาการแพ้ความเย็นขึ้น


 


 


ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะเบาๆ และไม่ถามอะไรต่ออีก กลับมองที่หิมะเหล่านั้นอย่างสบายๆ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มประดับไว้ ท่าทางของนางไม่เหมือนคนที่เข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เลยสักนิด กลับเหมือนกับเข้าวังมาเล่นสนุกเสียมากกว่า


 


 


เย่ว์ลั่วชำเลืองมองดูแล้ว อดที่จะฉีกยิ้มออกมาไม่ได้ ซูหลีนั้นมีเสน่ห์เช่นนี้ ยามนางอารมณ์ดีก็จะสามารถทำให้เหล่าคนที่คอยปรนนิบัตินางเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีตามไปด้วย


 


 


“หยุดเดี๋ยวนี้!” ทว่าอารมณ์ดีเช่นนี้เกิดขึ้นได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ถูกคนตะโกนขัดจังหวะขึ้น


 


 


ฝีเท้าของเย่ว์ลั่วชะงักและหยุดลงในทันที ซูหลีจึงเคลื่อนที่ไปไม่ได้เช่นกัน


 


 


“คนเช่นใดที่กล้ากระทำเรื่องประหลาดเช่นนี้ในวังหลวงกัน!? ไม่เห็นไทเฮาเหนียงเหนียงหรืออย่างไร!?”

 

 

 


ตอนที่ 577 หาข้อผิด

 

ซูหลีหันไปมองตามเสียงที่ดังขึ้น จึงเห็นกลุ่มคนที่เดินมาจากทางโค้ง


 


 


คนที่เดินนำมาก็คือไทเฮาเหนียงเหนียงที่นางเคยพบครั้งหนึ่งในวันนั้น ที่บังเอิญก็คือคนที่กำลังประคองไทเฮาอยู่นั้น นางก็รู้จักด้วยเช่นกัน


 


 


นั่นก็คือผู้ที่ทันทีที่เข้ามาในวังหลวงก็ถูกแต่งตั้งเป็นเล่อผินเหนียงเหนียง…ป๋ายถาน


 


 


“บังอาจ เห็นไทเฮาเหนียงเหนียงแล้วยังไม่คารวะอีก!?” เสียงเมื่อครู่นั้นดังขึ้นอีกครั้ง ซูหลีเหลือบตาชำเลืองมองก็พบกับขันทีที่อยู่ข้างพระวรกายของไทเฮา อาภรณ์ของขันทีผู้นั้นเหมือนกับอาภรณ์ของหวงเผยซาน


 


 


ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภายในวังหลวงนี้เขามีตำแหน่งสูงมาก


 


 


“ถวายบังคมเพคะไทเฮาเหนียงเหนียง ทรงพระเจริญพันปี” เย่ว์ลั่วที่กำลังเข็นซูหลีอยู่คุกเข่าลง และส่งเสียงทำความเคารพไทเฮา


 


 


ดวงตาของซูหลีกวาดมองรอบหนึ่ง จากนั้นสายตาของนางจึงอยู่ที่ไทเฮาที่ทรงกำลังแสดงสีหน้าเยียบเย็นออกมา


 


 


นี่เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มาไม่ได้มาดี!


 


 


“ข้าน้อยถวายบังคมไทเฮาเหนียงเหนียง” ซูหลีเห็นสายตาของตนเองกลับมาและเอ่ยด้วยเสียงเบา


 


 


ถึงอย่างไรแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าร่างของนางกลับยังนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวนั้นอยู่ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังเตรียมใช้คำพูดในการทำความเคารพไทเฮาอีก


 


 


“บังอาจนัก! คนต่ำต้อยป่าเถื่อนนี่มาจากที่ใดกัน เรื่องที่พาลเกเรก่อความวุ่นวายในวังหลวงก็ช่างเถอะ มิหนำซ้ำกลับกล้าปฏิบัติต่อไทเฮาอย่างไร้มารยาทเช่นนี้ ทหาร ลากขึ้นมาโบยเสีย!” จูกงกงที่เป็นคนข้างพระวรกายของไทเฮาคิดไม่ถึงว่าซูหลีจะกล้ากระทำเช่นนี้


 


 


เดิมคณะของพวกเขาเดินมาที่นี่ ก็ไม่ใช่เพราะต้องการทักทายถามสารทุกข์สุกดิบของซูหลีอยู่แล้ว ทว่าซูหลีนั้นแสดงกริยาท่าทางเช่นนี้ออกมาเสียก่อน นี่กลับเป็นสิ่งที่จูกงกงคิดไม่ถึง


 


 


หรือซูหลีผู้นี้จะมีคนที่คอยสนับสนุนอะไรอยู่เบื้องหลังกัน ทว่าทำเช่นนี้ก็ไม่ถูกนี่นา ถึงจะมีคนที่คอยสนับสนุน ทว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้ นั่นเป็นถึงไทเฮาเหนียงเหนียงแห่งราชวงศ์ต้าโจว!


 


 


“ช้าก่อน” ซูหลีเลิกคิ้วขึ้น นางยังไม่ทันเอ่ยตอบก็เห็นทางไทเฮาทรงโบกพระหัตถ์ ทรงเรียกขันทีที่เอ่ยว่าจะโบกนางขึ้นเสียก่อน


 


 


“ไยข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้านางขนาดนี้กัน” ไทเฮามองซูหลีอยู่หลายครา จากนั้นจึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ


 


 


“ทูลเสด็จแม่เพคะ เขาคือบุตรของใต้เท้าซู ราชเลขากรมขุนนาง นามว่าซูหลีเพคะ คราก่อนในงานเฉลิมพระชนม์ของเสด็จแม่ เขายังมอบของขวัญให้กับเสด็จแม่พร้อมกับหม่อมฉันอยู่เลยเพคะ!” แม้ไทเฮาจะทรงถามขึ้น ทว่าไม่ได้ตรัสถามซูหลี กลับเป็นป๋ายถานที่อยู่ด้านข้างที่ตอบคำถามนี้


 


 


“ที่แท้ก็เป็นคนผู้นั้นนี่เอง!” มีประกายความเข้าใจอย่างถ่องแท้พาดผ่านบนพระพักตร์ของไทเฮา ซูหลีมองทั้งสองคนที่กำลังแสดงละครตบตาด้วยรอยยิ้มที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความคลุมเครือ


 


 


ไทเฮากับป๋ายถานใกล้ชิดสนิทสนมกับถึงเพียงนี้ จะสามารถลืมนางได้อย่างไรกัน


 


 


โดยเฉพาะนางที่ทำตัวกระด้างกระเดื่องใส่ไทเฮามาก่อน ซูหลีกลับไม่รู้สึกว่าไทเฮาพระองค์นี้จะเป็นเป็นผู้ที่มีพระทัยกว้างขวางเท่าไรนัก!


 


 


“ซูหลี เจ้ารู้ไหมว่า คนที่บุกเข้ามาภายในวังหลวง มีโทษถึงตาย!?” ไทเฮาทรงใช้สายพระเนตรเย็นชามองที่ซูหลี มีประกายความเกลียดชังพาดผ่านในดวงตาของไทเฮาอย่างรวดเร็ว


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจ นี่หากเปลี่ยนเป็นในยามปกติ ไม่แน่นางอาจจะรู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้างว่าไทเฮาพระองค์นี้จะทรงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ทว่าวันนี้นางไม่รู้เกรงกลัวเลยแม้สักนิด


 


 


พวกนางไม่กลัวความหนาวเหน็บ ถึงกับออกมาหาเรื่องนางโดยเฉพาะ นางจะทำให้พวกนางผิดหวังได้อย่างไรกัน!?


 


 


“กราบทูลไทเฮา ข้าน้อยมิได้บุกเข้ามาก่อความวุ่นวาย ฝ่าบาทพระราชทานป้ายห้อยเอวที่สามารถก้าวเข้าประตูวังเมื่อไรก็ได้ให้แก่ข้าน้อย อีกทั้งทรงอนุญาตให้กระหม่อมเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ เย่ว์ลั่ว” ซูหลีอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย


 


 


เย่ว์ลั่วได้ยินดั้งนั้นจึงคว้าป้ายห้อยเอวที่ห้อยไว้บริเวณเอวขึ้นมา พร้อมทั้งส่งให้กับจูกงกงที่อยู่ด้านหน้า


 


 


จูกงกงรับป้ายห้อยเอวนั้นมา ทั้งยังตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่นาน จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงซุบซิบว่า “ไทเฮาเหนียงเหนียง นี่เป็นป้ายห้อยเอวที่ฝ่าบาทพระราชทานให้มิผิด”


 


 


สีหน้าของไทเฮาเย็นชาขึ้นหลายส่วนทันใด

 

 

 


ตอนที่ 578 เด็ดหัวของซูหลี

 

ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างฉินเย่หานกับไทเฮานั้นแปลกประหลาดโดยแท้ ยามที่ไม่เอ่ยถึงฉินเย่หานสีพระพักตร์ของไทเฮาก็ยังดีอยู่ ทว่าทันทีที่เอ่ยถึงฉินเย่หาน สีหน้าของไทเฮาทรงแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนกับเป็นแม่ลูกกัน เหมือนเป็นศัตรูกันเสียมากกว่า


 


 


ซูหลีเห็นภาพเหล่านี้ในสายตา ใบหน้าของนางดูเรียบเฉยไม่ใส่ใจเกินจะเปรียบ กิริยาท่าทางเช่นนี้ของนางยิ่งทำให้เพลิงโทสะในพระทัยของไทเฮาเพิ่มขึ้นหลายส่วน


 


 


ฮ่องเต้ทรงไม่เห็นมารดาอย่างนางในสายตาก็ช่างเถอะ ทว่าซูหลีนั้นนับว่าเป็นตัวอะไรกัน ถึงได้กล้าแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา


 


 


“ทหาร!” ทันทีที่ไทเฮาทรงกวักพระหัตถ์ จูกงกงผู้นั้นก็ขานรับในทันที


 


 


“มัดคนที่ไม่รู้จักมารยาทผู้นี้ให้ข้าเดี๋ยวนี้ เห็นวังหลวงเป็นสถานที่ใด ถึงได้กล้าใช้กิริยาท่าทางเช่นนี้บุกเข้ามา แม้เห็นข้าแล้วก็ยังมีท่าทีเช่นนี้!”


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียงเพคะ!” ทันทีที่เย่ว์ลั่วได้ยินคำพูดประโยคนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางเปลี่ยนสีเป็นขาวซีดในทันที นางคุกเข่าลงเตรียมจะร้องขอความเมตตาให้แก่ซูหลี


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” คิดไม่ถึงว่าจูกงกงจะขานตอบได้เต็มปาก ดูท่าแล้วคงจะไม่เปิดโอกาสนายบ่าวทั้งสองอย่างพวกเขาพูดเลยแม้แต่น้อย


 


 


จูกงกงผู้นั้นเดินเข้าไปก้มหน้ามองเย่ว์ลั่วปราดหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นเตรียมจะตีเย่ว์ลั่ว!


 


 


“เจ้าคนต่ำต้อย เจ้ายังกล้าพูดต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮาอีกหรือ!”


 


 


“ช้าก่อน!” ขณะที่เขายกมือตนเองขึ้นเตรียมตบที่ใบหน้าของเย่ว์ลั่ว ซูหลีพลันส่งเสียงออกมาหยุดเขาไว้


 


 


“นายน้อย!” สีหน้าของไป๋ฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในแววตาที่มองไปทางซูหลีค่อนข้างมีความกังวล เมื่อเห็นซูหลีชำเลืองมองนาง นางถึงส่ายศีรษะให้กับซูหลี


 


 


ความหมายที่นางต้องการจะสื่อก็คือ ให้ซูหลีอย่าปะทะกับไทเฮาเพียงเพราะสาวใช้คนหนึ่ง


 


 


ซูหลีเลิกคิ้วเล็กน้อยและแค่นยิ้มเย็นออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นหันเหสายตาจับจ้องที่ร่างของจูกงกงแล้วเอ่ยว่า “จูกงกง ได้โปรดออมมือหน่อย อย่างไรก็เป็นสาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น คุ้มค่าที่ทำให้จูกงกงโกรธเสียที่ไหนกัน!?”


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียงเป็นมารดาของคนทั้งใต้หล้า เมื่อคิดดูแล้วคงจะทรงไม่กริ้วโกรธสาวใช้คนหนึ่งหรอกกระมัง ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะเหนียงเหนียง” สีหน้าของซูหลียังคงเรียบเฉย จนถึงเวลานี้แล้วก็ยังไม่เห็นความหวาดกลัวใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


ยิ่งไทเฮาทรงเห็นซูหลี นางก็ยิ่งรู้สึกว่าซูหลีกับฉินเย่หานทำให้นางเกิดความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันอย่างยิ่งยวด ดังนั้นสีหน้าของนางจึงไม่น่ามองกว่าเดิมไปอีกหลายส่วน


 


 


“จูเฉิงตีให้ข้าเสีย วันนี้ข้าจะดูเสียหน่อยว่า เจ้าเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาต่อหน้าข้า!”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงหาเรื่องข้าน้อยจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ!?” เมื่อเห็นว่าไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็จะทรงทำร้ายเย่ว์ลั่ว รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหุบลงในทันที


 


 


แม้ยามปกติทางทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าคนอื่นๆ ก็ช่างเถอะ ทว่าไม่คิดว่านางจะกล้าพูดเช่นนี้กับไทเฮา


 


 


ไทเฮาทรงชะงักค้างไปพริบตาหนึ่ง ตั้งแต่นางขึ้นมาเป็นไทเฮา ไม่สิ ต้องกล่าวว่าตั้งแต่ปีแรกๆ ที่นางเป็นกุ้ยเฟยของฮ่องเต้ ก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติต่อนางเช่นนี้เลย!


 


 


“…นี่เป็นการก่อกบฏโดยแท้!” เพราะว่ารู้สึกโกรธจนเกินขีดจำกัด ไทเฮาทรงมิได้ตรัสออกมาในทันที ทว่าสีหน้าของไทเฮานั้นดำทะมึนประหนึ่งก้นหม้อก็มิปาน


 


 


“จูเฉิง เด็ดหัวนางให้ข้าเสีย!” เดิมในวันนี้ไทเฮาทรงเพียงต้องการให้ซูหลีได้รับความลำบากเท่านั้น อย่างไรนางก็เป็นบุตรของราชเลขากรมขุนนาง อีกทั้งซูไท่มีบุตรชายเพียงคนเดียวก็คือซูหลี


 


 


หากนางทำอะไรกับซูหลีจริง และมีข่าวลือออกไปก็คงไม่น่าฟังเท่าไรนัก


 


 


มิหนำซ้ำจะทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในราชสำนักอีก


 


 


ไทเฮาทรงเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง เป็นธรรมดาที่ไทเฮาจะไม่ทรงกระทำเรื่องที่เสมือนยกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตนเองเช่นนี้!


 


 


แต่คิดไม่ถึงว่าซูหลีจะมีท่าทีเช่นนี้!


 


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางนั้นมีฐานะสูงส่งเป็นถึงไทเฮา ทว่ากลับต้องยืนคุยกับซูหลีเช่นนี้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม