สาวน้อยปลูกผัก 560-566

 TQF:บทที่ 560 ออกจากเฉาซาง (2)


 


วันรุ่งขึ้น ภายใต้สีหน้าอันดีใจของเจ้าของโรงเตี๊ยมและคนอื่นๆ หลังจากที่จ่ายค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ย่าหลานทั้ง 3 ก็ออกเดินทาง


 


เพิ่งเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกถึงพวกที่คอยตามอยู่ มีประกายบางอย่างในแววตา มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น


 


เด็กน่ารักแก่นๆอย่างหยูเฮงก็กระโดดโลดเต้นอยู่รอบๆตัวฟางซูหยุน เหมือนไม่ได้ตั้งใจอะไร แต่จริงๆจับตาเจ้าพวกคนน่าสงสัยได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะคนจากทิศไหน ขอแค่มีคนลงมือ นางก็มั่นใจว่าสามารถฟาดคนผู้นั้นออกไปได้ทันที


 


เมื่อพวกนางเดินออกไปเรื่อยๆ ก็มีคนสะกดรอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนพวกนี้ตามมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่จากสายตาของพวกเขาที่จ้องมองมาแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนั้นไม่หวังดีแน่


 


มีนางมารน้อยอย่างหยูเฮงอยู่ข้างๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ใส่ใจกับคนพวกนั้นเท่าไหร่ คนที่วิทยายุทธสูงสุดก็อยู่ระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกลัว


 


เมื่อเดินออกจากประตูเมืองแล้ว ก็มีบางคนหยุดฝีเท้าลงไม่ได้ตามออกมา ส่วนที่เหลือก็ยังตามออกมาตามทิศทางเดียวกับพวกนางเรื่อยๆ


 


เมื่อไปถึง 3 แยก ย่าหลานทั้ง 3 เดินช้าลง พวกคนสะกดรอยก็ช้าตาม แต่ยังคอยจับตาดูพวกนางอยู่


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วย นางโบกแขนเรียวเบาๆก็มีอินทรีย์หิมะปรากฏตัวออกมาทันที อินทรีย์หิมะตัวใหญ่คำรามใส่ฟ้า “ฮ่าวว….”


 


เสียงร้องเสียงดังสนั่นดังสะเทือนไปยันฟ้า เจ้าพวกที่สะกดรอยตามอึ้งกันไปหมด พวกเขาอ้าปากค้างมองไปยังทั้ง 3 ที่ขึ้นหลังอินทรีย์หิมะทะยานสู่ฟ้าไป ราวกับดาวตกที่หายไปจากสายตาในพริบตา


 


เร็ว เร็วจนตั้งตัวไม่ทัน


 


เมื่อพวกเขาได้สติกลับมา อยากจะไล่ตามก็ไม่ทันแล้ว


 


ไม่มีใครคาดคิดว่าสาวงามที่มาจากบ้านนอกก็มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร


 


สัตว์อสูร สัตว์วิญญาณ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้บ่อยที่ผืนดินฉางไห่ แต่คนที่มีไว้เป็นพาหนะได้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกมีอภิสิทธิ์จากตระกูลใหญ่ คนที่ไม่มีสำนักมีแต่พวกวิทยายุทธสูงๆเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง


 


ส่วนสัตว์อมตะ แม้แต่ที่ผืนดินฉางไห่ก็ยากจะได้เจอ ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่น้อย


 


แต่สาวงามเมื่อกี้เรียกสัตว์พาหนะที่อยู่จุดสูงสุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่ให้คนอื่นตกใจได้อย่างไร


 


ไม่มีใครไล่ตามพวกนางทัน แม้จะเจ็บใจ แต่ก็ได้แต่มองการจากไปของพวกนาง


 


การหายไปแบบนี้ถูกคนอื่นล่วงรู้ไปอย่างรวดเร็ว คนเหล่านี้ก็ไม่รอช้า รีบกระจายข่าวนี้ออกไปทันที เพราะคนพวกนี้ก็เป็นสายให้กับบรรดาสำนักและตระกูลอิทธิพลต่างๆ คอยจับตาและรวบรวมข่าวคราวของสรรพสิ่งต่างๆ เผื่อว่าจะมีประโยชน์ในวันหน้า


 


“ฮ่าๆๆๆ…..”


 


หยูเฮงหัวเราะจนเกือบจะหงายหลังบนหลังของอินทรีย์หิมะ นางหัวเราะไปพูดไป “ข้าขำจะตายอยู่แล้ว พวกเขาเอ๋อไปเลย ฮ่าๆๆๆ ฮูหยินฟาง คุณหนู ถ้าพวกเขาเห็นเราปล่อยสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากออกมาไม่รู้ว่าจะมีสีหน้ายังไง ฮ่าๆๆๆ ขำจริงๆเลย ฮ่าๆๆๆ…”


 


เห็นการขำจนเซไปเอียงมาของนางแล้ว ฟางซูหยุนส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าพวกเขารู้เข้าว่าพวกเรามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เราอาจจะกลายเป็นคนที่ถูกตามหาของผืนดินฉางไห่ก็ได้ ใครๆก็ต้องอยากเจอพวกเรา”


 


“สมบัติไม่ควรเอาออกไปอวด อย่างที่เขาว่า ผู้อยากได้ไม่ได้ผิด ของที่ล่อตาล่อใจต่างหากที่มีความผิด พวกเรามีสิ่งที่ทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อน พวกเขาต้องไม่ปล่อยไว้แน่ วันหลังพวกเจ้าต้องระวังหน่อย ไม่ใช่ว่าโดนเพ่งเล็งแล้วยังไม่รู้ตัว”


 


“ฮูหยินฟาง พวกเราไม่กลัวพวกเขาหรอก ใครปล้นใครก็ไม่แน่หรอกนะ” หยูเฮงเชิดหน้าขึ้นอย่างผยอง


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเคาะหัวของนาง “เลิกจองหองได้แล้ว ระวังไว้ก่อนจะดีกว่า พวกโดนลอบทำร้ายน่ะมีถมเถไป หากไม่ทันระวังแล้วโดนกระทำน่ะ ต่อให้เจ้าร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว”


 


“เฮ่ะๆ ข้าไม่กลัวหรอก”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองบนใส่นางและไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปถามคนข้างๆ “ท่านย่า พวกเราลงไปดูข้างล่างกันหน่อยดีมั้ย ข้ามองแล้วหุบเขาข้างล่างนี่ไม่เลวเลย จะได้ดูด้วยว่ามีสมบัติอะไรรึเปล่า บางทีเราอาจจะเจอของน่าสนใจก็ได้”


 


“ก็ได้ เราไม่ได้รีบอะไรอยู่แล้ว พวกเจ้าลงไปเที่ยวเล่น ข้าเข้ามิติ” ฟางซูหยุนสนับสนุน


 


“ได้”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่งท่านย่าเข้ามิติ ลูบอินทรีย์หิมะเบาๆให้บินลงไปในหุบเขา


 


ทั้ง 2 ปรากฏตัวในหุบเขาอย่างรวดเร็ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงหนูล่าสมบัติในมิติ “หยูเฮง เรียกหนูล่าสมบัติออกมาที่นี่เถอะ มันเป็นตัวหาสมบัติมือดี”


 


“อิอิ คุณหนู ท่านพูดถูก เจ้าหนูน้อยคงกำลังเบื่อ ช่วงนี้พวกเราไม่ได้เรียกมันออกมาเลย ครั้งนี้จะได้ถือโอกาสเรียกมันออกมาหาสมบัติให้เรา”


 


“ใช่”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพียงแค่นึกก็เรียกหนูล่าสมบัติที่นอนอยู่ในมิติออกมาได้


 


“จี๊ดๆๆๆ….” หนูล่าสมบัติรู้สึกตัวทันทีว่าไม่ได้อยู่ที่เดิม อ้าปากร้องไม่หยุด ดวงตากรอกไปมาอย่างดีใจ


 


หยูเฮงหิ้วหนูล่าสมบัติขึ้นมา ดึงหนวดมันเบาๆ “เจ้าหนูน้อย ได้เวลาทำงานของเจ้าแล้ว รีบไปหาสมบัติที่นี่มาให้พวกเราเดี๋ยวนี้ ถ้าหาไม่ได้ละก็ พวกเราจะลอกหนังเจ้าออกมา ได้ยินมั้ย”


 


“จี๊ดๆๆๆ”


 


หนูล่าสมบัติร้องใส่หยูเฮงอย่างเอาใจ แต่ดูยังไงก็ท่าทางขี้ริ้วขี้เหร่ หยูเฮงโยนนางออกไปพลางสั่ง “รีบนำทางไป ถ้าหาสมบัติไม่เจอละก็ ระวังตัวไว้….”


 


“จี๊ดๆๆ”


 


หนูล่าสมบัติหันกลับมาร้องก่อนจะพุ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง เหมือนว่าจะเริ่มทำงานแล้ว


 


ทั้ง 2 ตามหลังมันไปช้าๆ มีความช่วยเหลือจากหนูล่าสมบัติ เหมือนกับมาเดินเล่นเก็บของชัดๆ


 


เนื่องจากพลังวิญญาณที่ผืนดินฉางไห่นั้นหนาแน่น และกระจายออกไปอย่างกว้างไกล หุบเขาทั้งหลายต่อกันไปเรื่อยๆไม่หยุด ในเขาลึกป่าลึกแบบนี้มักจะมีอันตรายและสมบัติคอยซ่อนอยู่


 


แม้ว่าในทุกๆวันจะมีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธเข้าออกตามป่าตามเขา แต่ผืนดินฉางไห่น่ะใหญ่มากจริงๆ และไม่ใช่ทุกป่าที่จะมีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธไปเยือน บางที่ก็มีคนเข้าไปน้อยนัก สมุนไพรจิตวิญญาณมากมายก็ขึ้นอยู่ตามหุบเขาลึกเหมือนกัน


 


มีหนูล่าสมบัติออกโรง สมบัติทั้งทางถูกเก็บไปหมด ไม่พลาดแม้แต่ชิ้นเดียว


 


เมื่อหยูเฮงเข้าไปในป่าบนหุบเขานี้ พลังลมปราณของนางก็เบาบางและไม่ชัดเจน ลมปราณของไม้ต่างๆในป่าล่องลอยอยู่ทั่ว และไหลเข้าสู่ร่างนางไม่หยุด ราวกับร่างทั้งร่างได้หลอมรวมกับป่านี้ไปแล้ว


 


ตอนนี้หากมีคนใช้พลังจิตส่องดูก็คงจะแยกนางไม่ออก คิดว่านางเป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่ง


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวดูออกว่าพลังชีวิตของต้นไม้ที่นี่มีประโยชน์ต่อหยูเฮง จึงมีความคิดที่จะฝึกฝนที่นี่ อย่างไรซะก็ไม่ได้รีบเดินทางอยู่แล้ว ฝึกฝนในป่านี้อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้


 


“จี๊ดๆๆ”


 


จู่ๆก็มีเสียงร้องของหนูล่าสมบัติดังมาอีกครั้ง ทั้ง 2 รีบตามเข้าไป หนูล่าสมบัติพาพวกนางไปทะลุถ้ำหินแคบๆถ้ำหนึ่ง หากไม่สังเกตุดีๆจะไม่มีทางรู้เลยว่ามีถ้ำหินเล็กๆข้างหุบเขานี้ด้วย


 


ทั้ง 2 เดินไปได้ครึ่งนาทีก็จนสุดทาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงอึ้งไปกับภาพตรงหน้า ในถ้ำนี้มีน้ำไหลผ่าน มีนกมีดอกไม้ พลังวิญญาณหนาแน่นปกคลุมไปทั่งถ้ำ สัตว์วิญญาณมากมายวิ่งเล่นหยอกล้อกัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆจากสมุนไพรจิตวิญญาณและสมุนไพรวิเศษ ในถ้ำนี้มีทั้งกลิ่นหอมจากสวรรค์ น้ำตกน้ำธารใสสะอาด มีเสียงคำรามจากเสือสิงโต มีสะพานรุ้ง มีสัตว์อมตะ มีหมอกหลากสี มีภูเขามีหินผา


 


เป็นโลกใบสวยในถ้ำที่งามเกินจินตนาการ


 


“ว้าว สวยจริงๆเลย”


 


หยูเฮงร้องเสียงดัง แม้แต่หนูล่าสมบัติที่ชอบเพล่นพล่านไปทั่วยังยืนมองภาพงดงามตรงหน้านิ่ง


 


เป็นที่ที่ดีจริงๆ


 


“ที่นี่น่าจะยังไม่มีใครพบ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นแบบนี้แน่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเอ่ยเสียงแผ่ว


 


“ฮ่าๆๆ คุณหนู เราย้ายของพวกนี้เข้ามิติของเราให้หมดเลย”


 


—————


TQF:บทที่ 561 ตบตายในฝ่ามือเดียว (1)


 


 


พูดปุ๊บทำปั๊บ หยูเฮงน้อยไม่รู้จักหรอกคำว่าเกรงใจ กับสมบัติมากมายในหุบเขาแล้ว นางเลือกแล้วว่าจะขนไปหมด


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็รู้ว่าหากทิ้งของพวกนี้ไว้ที่นี่ ก็ต้องถูกคนอื่นพบเข้าสักวันอยู่ดี เหลือไว้ให้คนอื่นสู้เก็บไว้เองดีกว่า อีกอย่างมิติของตัวเองก็ต้องการสมบัติล้ำค่ามากมายอยู่แล้ว


 


เพื่อที่จะขนสมบัติพวกนี้ออกไปในเวลาอันรวดเร็ว หยูเฮงน้อยเรียกผู้ช่วยออกมาจากมิติ เมื่อทุกคนได้ออกมาเจอหุบเขาแสนสวยนี้ ก็ต่างชื่นชมไม่แพ้กัน


 


แน่นอนว่าการที่จะมีของพวกนี้ไว้ในการครอบครองของตัวเองก็ยิ่งทำให้อารมณ์ดีเข้าไปใหญ่ ทุกคนรีบแยกย้ายไปเก็บของทันที แหวนมิติเต็มไปทีละวง เนื่องจากยาและสมุนไพรวิเศษที่นี่มีเยอะมากจริงๆ แล้วก็มีนักสกัดยาอยู่ด้วย จะปล่อยยาพวกนี้ทิ้งไปก็กระไรอยู่


 


ตอนที่ทุกคนกำลังเก็บของกันอย่างมีความสุข จู่ๆเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็หยุดลง หยูเฮงน้อยก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจ “พวกเขาคงไม่ได้มาที่นี่ใช่มั้ย”


 


“เป็นไปได้” รู้สึกได้ว่าคนข้างนอกกำลังมาทางนี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า แต่นาทีต่อมาก็เหมือนได้ยินอะไรบางอย่าง “คนที่มานี่น้อยจริงๆ”


 


“โอ๊ย อยากมีคนมาเล่นด้วยนานแล้ว ไม่นึกว่าจะมีคนมาจริงๆ คราวนี้จะได้ออกแรงสักหน่อย ไม่อย่างนั้นน่าเบื่อแย่”


 


หยูเฮงน้อยทั้งคาดหวังและดีใจ ราวกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ สีหน้าจากโมโหเป็นดีใจ 2 ตาจ้องเขม็งไปยังปากถ้ำ


 


ไม่นานนักก็มีคน 3 คนปรากฏตัวขึ้นหน้าถ้ำ เป็นคนหนุ่มทั้งหมด พวกเขาเห็น 2 สาวที่เสมือนยืนรอตัวเองอยู่ก็อึ้งไป


 


โดยเฉพาะในเวลานี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้ใส่หมวกปิดหน้า ใบหน้าเปิดเผยสู่สายตาพวกเขา ชั่วขณะหนึ่ง ในสายตาพวกเขามีแต่หญิงสาวโฉมงามตรงหน้า บริสุทธิ์ผุดผ่องราวหิมะเพราะไม่แต่งเยอะ ทำให้พวกเขาเคลิบเคลิ้มกันหมด


 


สาวงามที่พวกเขาเคยเห็นมีมากนับไม่ถ้วน แต่เมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ต่างกันราวกับฟ้าและดิน นี่สิที่เรียกว่าไร้ที่ติ นี่สิที่เรียกว่าสูงส่งเหนือโลกีย์ นี่สิที่เรียกว่านางฟ้านางสวรรค์ คำชื่นชมทั้งหมดที่พวกเขาคิดได้อยากจะใช้ไปกับนางหมด


 


“เอ๋ หรือว่าพวกนี้เป็นคนเอ๋อ ทำไมนิ่งไปหมดเลยล่ะ” หยูเฮงน้อยรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงแกล้งแซวขึ้น


 


เสียงใสๆของเด็กน้อยดังขึ้น ทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ได้สติกลับมาแม้จะยาก 2 สาวงามตรงหน้างามเหนือสิ่งอื่นใดในโลกจริงๆ คนเล็กกำลังมองพวกเขายิ้มๆ ปากเล็กๆแดงระเรื่ออย่างธรรมชาติ นัยต์ตาสดใสกรอกไปมาด้วยความซุกซนและน่ารัก ราวกับนางฟ้าตัวน้อยบนสวรรค์ที่หล่นลงมาอย่างไม่ทันระวัง น่าเอ็นดูยิ่งนัก


 


ส่วนคนโตใส่ชุดสีม่วงอ่อน ผมดกดำยาวไปถึงเอวราวน้ำตก ผมข้างๆหูพัดไปตามลมยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนเข้าไปใหญ่ ทั้งคิ้วทั้งตาทั้งผิว สวยประณีตไร้ที่ติ นัยต์สีนิลราวอัญมณีหากแต่มีความใสสกาวอยู่ ผิวสีขาวผ่องและใบหน้าสวยหมดจดราวกับนางสวรรค์


 


นางเป็นเหมือนหิมะหน้าหนาวที่เย็นยะเยือกและสูงส่ง เพียงแต่สีหน้านางเย็นชาผิดกับเด็กสาวข้างๆ


 


สายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกวาดไปยังพวกเขา ล้วนแต่เป็นระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะ ถือเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธชั้นล่างของผืนดินชังไห่ คงมาถึงที่นี่ด้วยความบังเอิญ


 


เมื่อเห็นแผนที่ในมือพวกเขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขามาที่นี่ได้อย่างไร อดดีใจไม่ได้ที่มาถึงก่อนพวกเขา ไม่อย่างนั้นคงต้องพลาดสมบัติในหุบเขานี้ไป


 


ขณะนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง ทำให้รู้ว่ามีคนมาที่นี่อีกแล้ว


 


ชายหนุ่ม 1 ในนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก “แย่แล้ว พวกเขาไล่ตามมาแล้ว รู้งี้พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย”


 


ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังขึ้น “เหอะๆๆ ต่อให้พวกเจ้าไม่มาที่นี่ ข้าก็หาเจออยู่ดี เกาชิงหยาง พวกเจ้าตายแน่ วันนี้ ที่นี่จะเป็นที่ฝังร่างของพวกเจ้า


 


คล้อยหลังคำพูดของเขา ก็มีคนฝูงหนึ่งปรากฏตัว


 


ทั้งคนมีอายุและคนเยาว์วัยประมาณ 10 กว่าคนออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ราวกับมีคนติดเงินพวกเขาเป็นล้านแล้วไม่คืน และวิทยายุทธของคนพวกนี้ก็สูงกว่ามาก มีคนมีอายุ 2 คนที่มีวิทยายุทธถึงระดับจักพรรดิ์อมตะ คนระดับนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็นับว่าเป็นคนพิเศษทั้งนั้น แต่พวกเขาเป็นแค่ผู้ติดตามของคุณชายท่านหนึ่งเท่านั้น เห็นได้ว่าคนหนุ่มนี้มีฐานะที่ไม่ธรรมดา


 


โดยเฉพาะคุณชายหนุ่มที่ถูกห้อมล้อมไว้ตรงกลาง แม้จะหน้าตาดูดี แต่ท่าทางพิลึกพิลั่น และเขายังมีรอยยิ้มที่ดูโหดร้ายด้วย ยิ่งทำให้น่ารังเกียจไปใหญ่


 


คนบ้าๆแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวหรือหยูเฮงน้อยก็ไม่ชอบทั้งนั้น โดยเฉพาะหยูเฮงน้อยที่เบ้ปากอย่างรังเกียจ “กินกระเทียมเยอะไปรึเปล่า ทำไมปากเหม็นจัง”


 


แต่เหล่าคนที่ไล่ตามมานั้นต่างมอง 2 งามตรงหน้าด้วยความทึ่ง คุณชายหนุ่มคนนั้นก็มีสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก ตาแทบจะถลนออกมา


 


สวย สวยจริงๆ


 


หุ่นดีมีเว้ามีนูน หน้าขาวใสมีแววเฉลียวฉลาด คิ้วโก่ง นัยน์ตาเป็นประกาย สวยราวภูติบนดวงจันทร์ เกินกว่าที่จะเป็นคนบนโลกนี้


 


นางสวยมากจริง หากสาวงามคนอื่นมายืนตรงหน้านางต้องหม่นหมองลงไปเป็นแน่แท้ นางเป็นเหมือนนางฟ้าที่จุติลงมา


 


ความสวยของนางเป็นดั่งดอกบัวหิมะที่โผล่พ้นขึ้นจากตม


 


นางมีความสวยที่ไม่ได้เป็นของมนุษย์ พิเศษเหนือผู้อื่น สวยเหมือนหญิงสาวที่เดินออกมาจากเทพนิยาย


 


คุณชายคนนี้ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยเหนือระดับขนาดนี้มาก่อน เขาเคลิบเคลิ้มเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เดินไปยังเทพีในใจโดยไม่รู้ตัว


 


จักพรรดิ์อมตะทั้ง 2 ได้สติในทันที พวกเขามองเฉิงเสี่ยวเสี่ยวด้วยสายตาเหลือเชื่อ หญิงสาวที่สวยขนาดนี้พวกเขาก็ไม่ได้เห็นมานานแล้ว


———————————–


TQF:บทที่ 562 ตบตายในฝ่ามือเดียว (2)


 


แน่นอนว่าสิ่งที่พวกประหลาดใจที่สุดก็คือหญิงสาวคนนี้อยู่ระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะตอนต้นแล้ว ดูจากอายุแล้วก็น่าจะแค่ 10 กว่าปีเท่านั้น พรสวรรค์ไม่เลว ส่วนเด็กสาวข้างๆนาง


 


ยอดฝีมือทั้ง 2 ทั้งแปลกใจและสงสัย เพราะพวกเขามองวิทยายุทธของนางไม่ออก ราวกับไม่มี แต่สายตาของเด็กสาวที่มองมากลับทำให้พวกเขาใจสั่น ไม่ใช่คนที่ไม่มีวิทยายุทธแน่


 


พวกนางเป็นใคร ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขาที่ผืนดินชังไห่มาก่อน และยังปรากฏตัว ณ ที่แบบนี้ด้วย หรือว่า…


 


ความคิดต่างๆเกิดขึ้นในใจทุกคน ท่ามกลางการประจันหน้าของทั้ง 3 บรรยากาศเงียบเชียบจนน่ากลัว


 


ชายหนุ่มทั้ง 3 ที่มาในตอนแรกหลบไปข้างๆ พวกเขาเขยิบเข้าใกล้หุบเขาอย่างหวาดระแวง ซึ่งก็คือเขยิบเข้าใกล้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยด้วย


 


ฟางซูหยุนและสามีภรรยามั่วหวี่เจ๋อ รวมถึงผู้เฒ่าหยิงที่กำลังเก็บสมบัติอยู่ก็หยุดมือลง ฟางซูหยุนหยุดพวกเขาที่กำลังจะเดินเข้าไปไว้ อย่างไรซะวิทยายุทธของทั้ง 4 คนก็ยังต่ำอยู่ ออกไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ กลับจะเป็นภาระเปล่าๆ


 


อีกอย่าง จากสายตาของฟางซูหยุนย่อมดูออกกว่า 10 กว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธธรรมดา แต่เป็นคนมีสำนัก หากไปมีปัญหากับคนพวกนี้มากจะต้องยุ่งยากแน่


 


เพียงแต่เรื่องยุ่งยากก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะคุณชายคนนั้นท่าทางเหมือนโดนยาอะไรเข้าไป ฟางซูหยุนถอนหายใจอย่างรู้ว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจกับคนที่เดินเข้ามา สายตาเย็นชาราวกับไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเข้าใกล้ของเขา


 


“เฮ้ เจ้าเป็นใคร จะทำอะไร ข้าจะโยนพวกเจ้าออกไปให้หมดเลยคอยดู” หยูเฮงน้อยชี้นิ้วทำให้คุณชายคนนั้นขยับไม่ได้ทันที ราวกับถูกสะกดไว้


 


“บังอาจ….”


 


“กล้าดียังไง…..”


 


ยอดฝีมือทั้ง 2 ตะโกนดังลั่น ทั้ง 2 กระโจนไปขนาบข้างคุณชายทันที 1 ในนั้นมองพวกนางอย่างระแวง ส่วนอีกคนรีบถ่ายเทพลังเซียนเข้าร่างคุณชาย


 


หยูเฮงน้อยแค่ต้องการจะกันเขาเท่านั้น จึงใช้แค่วิชาสะกดเบาๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับ เมื่อปะทะเข้ากับพลังเซียนอีกฝ่ายจึงหลุดออกได้อย่างง่ายดาย


 


“ยัยเด็กนี่ อยากตายใช่มั้ย….”


 


เมื่อคุณชายฟื้นสภาพได้ก็ตะโกนโวยวาย ยัยเด็กนี่บังอาจมาจัดการเขา เสียหน้าหมด ความโกรธในใจพุ่งสูงปรีีด ชี้ไปยัง 2 สาวสวยตรงหน้าและหันไปสั่งคนข้างๆ “อาห้า อาเจ็ด เร็ว รีบจับพวกนางไว้ ข้าจะทำให้พวกนางทุกข์ทรมานจนร้องขอชีวิต”


 


“เจ้าสิอยากตาย” หยูเฮงน้อยโมโห มีความอาฆาตอยู่ในตา


 


ทุกคนต่างเห็นแววอาฆาตในตานาง มีคนอีก 10 กว่าคนพุ่งออกมา แต่ละคนมองพวกนางเหมือนเหยื่อที่ต้องล่า


 


คนมีอายุ 1 ในนั้นเอ่ยด้วยแววตาเย็นยะเยือก “ยัยหนู พวกเจ้าน่ะยอมให้จับเถอะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราใจร้าย”


 


“ถูกต้อง ที่นี่น่ะเป็นที่ของสำนักเรา พวกเจ้ากล้ายึดที่ของเรา ท่าทางข้าจะต้องจับพวกเจ้าไปให้ที่สำนักจัดการ”


 


“ถุย พวกเจ้าก็ไม่คิดจะใจดีอยู่แล้ว ข้าเคยเห็นคนหน้าด้าน แต่ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายขนาดพวกเจ้า นี่มันหน้าด้านที่สุดในปฐพีแล้ว ถุยๆๆๆ”


 


หยูเฮงน้อยมองพวกเขาอย่างดูแคลน คนพวกนี้ไม่ได้หวังดีตั้งแต่แรกแล้ว ความอาฆาตพุ่งขึ้นอีกครั้ง “วันนี้เจ้าพวกที่กล้ามาละลาบละล้วงพวกเราก็ตายอยู่ที่นี่แหละ”


 


“กล้ามากนะนังเด็กชั่ว เจ้ายังไม่รู้ถึงฝีมือของข้าสินะ ถึงเวลาเจ้าก็จะรู้ว่าการทำให้ข้าโมโหจะพบกับจุดจบเช่นไร ถึงเวลา…”


 


พูดเสร็จ สายตาหื่นกามก็มองไปยังร่างของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอีกครั้ง ทำให้นางรู้สึกขยะแขยงอยากจะอ้วก


 


“หยูเฮงน้อย เจ้าจัดการเลย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหันไปบอกหยูเฮงน้อยด้วยใบหน้าคุกรุ่น


 


หยูเฮงน้อยพยักหน้า ความอาฆาตในแววตาเพิ่มขึ้นไปอีก “คุณหนูวางใจได้ พวกเขาไม่รอดแน่”


 


“จับตัวพวกนางไว้” แม้จะมองวิทยายุทธของหยูเฮงน้อยไม่ออก แต่ผู้เฒ่าทั้ง 2 ก็คิดว่าตัวเองนั้นฝีมือไม่ธรรมดา จึงไม่ใส่ใจที่จะลงมือเอง สั่งคนวัยเยาว์ 10 กว่าคนข้างๆแทน


 


“ข้าเอง…”


 


1 ในนั้นกระโดดออกมา วิทยายุทธเขาอยู่แค่ระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะเท่านั้น กับคนไม่กลัวตายแบบนี้แล้วหยูเฮงน้อยไม่คิดจะออมมืออยู่แล้ว ตวัดมือออก


 


“!”


 


ทันใดนั้นร่างของอีกฝ่ายก็ปลิวออกไปเหมือนว่าวที่ขาดออก กระเด็นไปกระแทกกับผาหิน


 


“พรวด” เจ้าคนที่กระแทกกระอักเลือดออกมา และในเลือดนั้นก็มีสิ่งสีดำออกมาด้วย


 


เห็นได้ชัดว่าหยูเฮงน้อยกระแทกเขาจนอวัยวะภายในจนแหลกละเอียด ตายสนิท


 


คนที่เห็นๆกันอยู่ตายไปทั้งง่ายๆแบบนี้ ไม่มีแม้โอกาสจะตอบโต้ ทำให้ใจพวกเขาสั่นไหวไม่น้อย


 


“เจ้ากล้าฆ่าคนของข้า…”


 


คุณชายสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ตะคอกใส่หยูเฮงน้อย


 


“แน่นอนสิ” หยูเฮงน้อยมองบนอย่างไม่ไว้หน้า “เจ้านึกว่าข้าโง่หรือไงที่จะยืนให้คนอื่นฆ่า หรือสารเลวอย่างเจ้าก็ยืนให้คนอื่นฆ่าโดยไม่ตอบโต้ เจ้าจะลองดูตอนนี้เลยมั้ยล่ะ ยืนนิ่งๆอยู่ตรงนี้แล้วรอให้ข้าฆ่าเจ้า”


 


พูดจบหยูเฮงน้อยก็พุ่งฝ่ามือออกไปใส่เขาทันที


 


“คุณชายระวัง…”


 


หยูเฮงน้อยไวเกินไป จักพรรดิ์อมตะข้างๆก็ตอบโต้ไม่ทัน จึงได้แต่โยนลูกศิษย์ที่ใกล้เขาที่สุดออกไปกันหยูเฮงน้อย


 


“!”


 


เสียงดังเหมือนกัน จุดจบเหมือนกัน คนที่ 2 เลือดเนื้อเละเทะไปหมด เพียงแค่ชั่วขณะก็หมดลมหายใจไป


 


แต่คุณชายคนนั้นกลับมีชีวิตรอด ลูกศิษย์คนเมื่อกี้ช่วยเขาไว้


 


ทั้ง 2 ตายลงในฝ่ามือเดียวหมด พวกเขามีวิทยายุทธถึงระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ แต่อย่าว่าแต่ตอบโต้เลย แม้แต่โอกาสจะหลบก็ไม่มี ตายลงในชั่วพริบตาจริงๆ


TQF:บทที่ 563 ตบตายในฝ่ามือเดียว (3)


 


ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทั้ง 3 ที่มาก่อนหน้านี้ก็ตกตะลึงไปหมด คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กผู้หญิงน่ารักขนาดนี้จะแข็งแกร่งได้ปานนี้


 


เมื่อคนที่ไล่ฆ่าตัวเองตายไป 2 คนก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อย สำหรับพวกเขาแล้ว คนพวกนี้ตายไปให้หมดจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นหากคนจากสำนักมารชนะ พวกเขาก็ไม่รอด


 


คุณชายที่ทั้งตกใจโมโหสุดขีด คำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ฆ่าพวกนาง ฆ่าให้หมด”


 


“รนหาที่….” หยูเฮงน้อยจ้องอย่างโกรธแค้น พวกสารเลวที่จองหองแบบนี้ตายหมื่นรอบก็ไม่พอ


 


“อาห้า ให้นางได้เห็นฝีมือหน่อย”


 


“ขอรับ”


 


ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่ถูกเรียกว่าอาห้าก้าวออกไปก้าวนึง พลังลมปราณมากมายหลั่งไหลออกจากร่างเขาทันที และพุ่งเข้าล้อมหยูเฮงน้อยไว้


 


พลังลมปราณนี้แข็งกร้างและดุดัน ต่อให้เป็นระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ก็ยากจะต้านทานได้


 


คนอื่นๆยิ้มออกมาเมื่อสัมผัสกับพลังลมปราณนี้ มองนิ่งๆและหวังว่ายัยเด็กนี่จะได้รับบทเรียน


 


สีหน้าไม่สู้ดีของคุณชายก็ยิ้มออกเช่นกัน เขารอดูแววตาตื่นตระหนกจากหยูเฮงน้อย


 


แม้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะรู้ว่าหยูเฮงน้อยสู้ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่บ้าง อย่างไรซะอีกฝ่ายก็เป็นถึงจักพรรดิ์อมตะ ไม่ใช่คนธรรมดา “ระวังตัวด้วย”


 


“คุณหนูวางใจได้ เขาไม่อยู่ในสายตาข้าหรอก” หยูเฮงน้อยยังคงมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม ไม่สนใจเลยว่าคนของอีกฝ่ายเป็นถึงจักพรรดิ์อมตะ


 


อีกฝ่ายยิ้มเย็นๆ สายตาราวเสือร้ายจ้องเขม็งมาที่หยูเฮงน้อย ท่าทางเหมือนหมาป่าที่เห็นเหยื่อ พร้อมจะพุ่งเข้าใส่ทุกเมื่อ


 


และก็เป็นเช่นนั้น เขาพุ่งไปหาหยูเฮงน้อยดุจสายฟ้าฟาด บนใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างผยอง ราวกับเด็กสาวตรงหน้าจะเป็นหรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับเขา


 


หยูเฮงน้อยยิ้มเย็น เหยียดหยามรอยยิ้มของอีกฝ่าย อีกสักพักนางจะทำให้เขาร้องไห้ไม่ออก


 


นาทีต่อมาหยูเฮงน้อยขยับ พลังลมปราณที่ดุร้ายยิ่งกว่าเดิมหลั่งไหลออกจากร่างนาง


 


เมื่อพลังลมปราณแข็งกร้าวของเขาปะทะเข้ากับพลังลมปราณดุร้ายของหยูเฮงน้อยก็มลายหายไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือร่องรอยใดๆ


 


ไม่ทันที่เขาจะได้สติ พลังลมปราณที่ทำให้เขาสะเทือนก็ล้อมเขาไว้ราวกับถูกภูเขาทั้งลูกทับลงมา


 


เม็ดเหงื่อหยดเริ่มไหลลงมาจากหน้าเขา มีความตื่นกลัวอยู่ในแววตา แม้แต่ 2 ขาของเขาก็เริ่มสั่น คนที่เป็นถึงจักพรรดิ์อมตะอย่างเขากลับรู้สึกกลัวเมื่อเจอกับเด็กผู้หญิงตรงหน้า


 


แต่เขาจะแพ้ไม่ได้ เขามีแค่ความคิดเดียว รวบรวมพลังทั้งร่างและยกระดับพลังเซียนจนสุด พุ่งฝ่ามือสีดำไปหาหยูเฮงน้อยอย่างรวดเร็ว


 


ถ้าหากเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธทั่วๆไปเมื่อเจอเข้ากับฝ่ามือนี้ก็คงตายไปแล้ว แต่น่าเสียดาย คนที่เขาเจอดันเป็นหยูเฮงน้อย นางไม่กดดันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม นางเร็วกว่าอีกฝ่ายอีกหลายเท่า ฝ่ามือเล็กๆของนางพุ่งไปยังใบหน้าของเขา


 


เพียะๆๆๆ


 


เสียงฝ่ามือดังสะท้อนอยู่ในหุบเขา ทุกคนอึ้งไปหมด อ้าปากเล็กน้อย ตาเบิกโพลงด้วยความเหลือเชื่อเมื่อมองไปยังผู้เฒ่าที่ไม่สามารถต้านทานได้


 


จักพรรดิ์อมตะเลยนะ เป็นคนแข็งแกร่งที่ใครๆก็ต้องเคารพนับถือที่ผืนดินฉางไห่ตอนนี้กลับถูกเด็กผู้หญิงตบหน้า และเขายังหลบไม่พ้นอีกด้วย


 


“นี่มัน…”


 


คุณชายข้างๆตกใจจนเอ๋อ สีหน้าย่ำแย่มาก ในขณะเดียวกันก็มีแววตาตื่นกลัว ในที่สุดเขาก็เริ่มหวาดกลัวขึ้นบ้างแล้ว


 


แต่ว่าถูกเด็กผู้หญิงคนเดียวจัดการซะขนาดนี้เขาเจ็บใจมาก มองไปยังลูกศิษย์ข้างๆที่กลัวจนถอยกรูดก็โมโหขึ้นมาทันที คำรามใส่พวกเขา “สารเลว ยังไม่รีบไปช่วยผู้เฒ่าห้าอีก”


 


ทุกคนชะงักไปพร้อมสีหน้าตกใจ


 


ให้บรรลุราชันย์จักพรรดิ์ไปช่วยจักพรรดิ์อมตะ ล้อเล่นรึเปล่า


 


แต่คำสั่งของคุณชายพวกเขาไม่กล้าไม่ทำตาม รู้ทั้งรู้ว่าไปตายเปล่าก็ต้องเข้าไปอยู่ดี


 


“ฆ่าาา….”


 


“ฆ่าาาา…..”


 


ตู้มๆๆๆๆ


 


ทุกคนโจมตีพร้อมกันราวกับพายุถล่ม สะเทือนฟ้าดิน ดาบวิเศษ เครื่องวิเศษ วิชาต่างๆถูกใช้หมด พลังเซียนก็ถูกยกระดับจนสุด


 


4 คนที่มองอยู่ไกลๆสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขาแทบจะพุ่งออกมาเดี๋ยวนั้น ฟางซหยุนพูดเสียงเข้ม “ใจเย็นๆ รอดู”


 


ความแข็งแกร่งของหยูเฮงน้อยนางเห็นหมด แม้ว่าตอนนี้คนอีกฝ่ายจะเยอะ แต่วิทยายุทธไม่สูงเท่าไหร่ อีกอย่าง เมื่อกี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆก็ยังไม่ทันลงมือ เพราะฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ถือว่าอันตราย


 


“รนหาที่ตาย”


 


ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกจากตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว นางเพ่งเล็งเหล่าฝูงชนที่พุ่งเข้า เพียงแค่พลิกมือก็มีที่ตบยุงปรากฏออกมา นางตวัดไปยังคนพวกนั้นโดยไม่ลังเล


 


————————


TQF:บทที่ 564 ไม่เหลือสักคน ข่าวอันน่าผิดหวัง (1)


 


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตวัดไม้ตบยุงในมือก็มีร่างหนึ่งกระเด็นออกไป ลูกศิษย์ที่วิ่งล้อมเข้ามาไม่มีใครหนีพ้น ยิ่งตบยิ่งเยอะ


 


พรวดๆๆๆ….


 


เหล่าลูกศิษย์ที่ถูกตบกระเด็นกระอักเลือดออกมา ในเลือดนั้นมีสีม่วงดำผสมอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าคือก้อนเลือดหรืออวัยวะภายในกันแน่


 


ร่างของพวกเขากระเด็นออกไปไกลถึง 5-6 เมตร ก่อนจะร่วงลงพื้น


 


แต่ละคนไม่ลุกขึ้นมาอีก สิ้นชีวิตไปหมด


 


ไม่นานนักก็เหลือเพียง 2 คนเท่านั้น จักพรรดิ์อมตะอุทานออกมา เกิดเสียงระเบิดขึ้นที่ร่างของเขา และร่างเขาก็แยกออกจากกัน


 


พริบตาเดียวคนที่ลงมือตายกันเรียบ


 


ไม่ใช่แค่ 3 คนข้างๆที่อึ้งไป 4 คนไกลๆที่เตรียมจะเข้าสมทบต่างเบาใจลงเมื่อเห็นฉากนี้


 


2 คนที่เหลือตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคุณชายคนนั้น เขาหลบไปข้างหลังคนข้างๆอย่างหวาดกลัว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาว 2 คนนี้จะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ เพียงนาทีเดียวก็ฆ่าผู้ติดตามเขาไปหมด


 


“อา อาเจ็ด เรา เราจะทำยังไงกันดี…” ไม่เหลือเค้าความจองหองอีกต่อไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะสู้หน้าหญิงสาวรูปงามทั้ง 2 ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะจับพวกนางกลับไปเป็นทาสเลย


 


จักพรรดิ์อมตะที่ถูกเรียกว่าอาเจ็ดโกรธอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเกิดคิดชั่วๆขึ้นมาจะเจอเข้ากับปัญหาขนาดนี้ได้ยังไง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อาจจะจบลงด้วยความตาย


 


ไม่ว่าเขาจะโกรธเคืองอย่างไร อย่างไรซะนี่ก็เป็นลูกชายของเจ้าสำนัก เขาซึ่งเป็นผู้อาวุโสย่อมต้องคุ้มกันเขา จึงได้แต่ประสานมือใส่หญิงสาวทั้ง 2 “ทั้ง 2 ท่าน….”


 


อย่างไรซะคำพูดขอให้ไว้ชีวิตเขาก็พูดไม่ออก


 


หยูเฮงน้อยมองพวกเขา ยิ้มเย็นๆ พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ทำไม จะขอให้พวกเราไว้ชีวิตแล้วปล่อยให้พวกเจ้ากลับไปใช่มั้ย”


 


ทั้ง 2 ชะงักไป ก่อนจะผงกหัวรัวๆ พวกเขากลัวแล้วจริงๆ แม้ว่าเหล่าลูกศิษย์และผู้อาวุโสท่านหนึ่งจบชีวิตลงก็ไม่สนใจแล้ว พวกเขาแค่อยากจะรักษาชีวิตแล้วหนีไปจากนางมาร 2 คนนี้ไวๆ


 


“ฮ่าๆๆๆ”


 


หยูเฮงน้อยหัวเราะเสียงดัง ชี้ไปทางพวกเขาอย่างเหยียดหยาม “พวกเจ้าให้คน 10 กว่าคนมาฆ่าพวกเรา แล้วตอนนี้ยังกล้าจะมาขอให้พวกเราไว้ชีวิตอีกหรือ ฮ่าๆๆ”


 


เสียงหัวเราะอันดูหมิ่นราวกับดาบเล่มคมที่ปักเข้าไปในใจของพวกเขา โดยเฉพาะผู้อาวุโสเจ็ดที่ทั้งโกรธทั้งอาย เขาเข้าใจแล้วว่าวันนี้คงจะจบไม่ดีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้นายน้อยออกจากที่นี่ให้ได้


 


“คุณชาย เดี๋ยวข้าจะกันพวกนางไว้ ท่านต้องหนีออกไปให้เร็วที่สุด แล้วค่อยหาโอกาสแก้แค้นให้พวกเรา”


 


“อา อาเจ็ด ท่าน….” ในหัวมีเสียงของผู้อาวุโสเจ็ดดังขึ้น ต่อให้คุณชายคนนี้จะงี่เง่าแค่ไหน ก็เข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้ยอมสละชีวิตเพื่อให้เขามีทางรอด


 


คนที่ไม่เห็นเหล่าผู้อาวุโสอยู่ในสายตาอย่างเขา นาทีนี้ก็รู้สึกซาบซึ้ง แต่ไม่นานเขาก็ข่มความรู้สึกก่อนจะตอบกลับไป “อาเจ็ด ข้าเข้าใจแล้ว ท่านวางใจได้ ข้าต้องให้พ่อและสำนักมารแก้แค้นให้ท่านและอาห้าแน่”


 


“ดี…” ผู้อาวุโสเจ็ดไม่รู้หรอกว่าเขาจะหนีออกไปได้มั้ย ก็หวังให้เขาเอาอ่าวหน่อยแล้วหนีรอด “ระวังตัวด้วย ไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น เมื่อหนีออกจากที่นี่แล้ว ให้ไปขอความช่วยเหลือที่สำนักมารสาขาโดยเร็วที่สุด”


 


“ได้ อาเจ็ดก็ระวังตัวด้วย”


 


“พร้อมหรือยัง”


 


เมื่อสั่งเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสเจ็ดก็หันไปถลึงตาใส่หญิงสาวทั้ง 2 อย่างโกรธแค้นจนแทบอยากจะสับพวกนางออกเป็นชิ้นๆ เขากัดฟันกรอด “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมให้ทางรอด ข้าก็จะขอสู้ตาย…”


 


“ถุย พวกเจ้าไม่ให้ทางรอดคนอื่นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะพูดให้เหมือนเป็นผู้ถูกกระทำไปทำไม เจ้าแก่นี่ลืมแล้วหรือว่าเมื่อกี้พวกของเจ้ารังแกพวกเรายังไง”


 


หยูเฮงน้อยตอกกลับ สายตาดูถูกนั่นแทบทำให้คลั่ง


 


“อ๊ากก”


 


ผู้อาวุโสเจ็ดแหงนมองฟ้าคำราม พลังอาฆาตบนตัวเขาที่ถูกเก็บงำไว้ได้ทลายออกมาราวกับคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะถล่มทลาย


 


“หยูเฮงน้อย ให้ข้าจัดการมั้ย”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เอ่ยถามเสียงเบา เมื่อกี้หยูเฮงน้อยได้ปะมือกับจักพรรดิ์อมตะคนนึงแล้ว คนนี้จัดการเองก็ได้


 


“ไม่เป็นไรคุณหนู ข้ายังสนุกไม่พอเลย” หยูเฮงน้อยไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา “คุณหนู ท่านจับตาดูไอ้ชั่วนั่นไว้ด้วย เขาต้องหาโอกาสหนีแน่ อย่าให้เขาหนีไปได้”


 


“ไม่มีใครหนีไปได้หรอก” กับคนแค่ระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเช่นกัน ในสายตานางเขาไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว


 


อีกฝ่ายปล่อยพลังลมปราณแข็งแกร่งออกมา หยูเฮงน้อยปล่อยของตัวเองออกมาเรียบๆ ก่อนจะถล่มไปที่อีกฝ่าย


——————————


TQF:บทที่ 565 ไม่เหลือสักคน ข่าวอันน่าผิดหวัง (2)


 


 


ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งสำนักมารรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ทลายพลังของเขาออก เป็นพลังที่เขาไม่สามารถต้านทานไว้ได้ เพียงชั่วขณะก็ทำให้เขากระเด็นออกไป


 


แต่เขาก็ยังฝืนไว้อยู่เพื่อให้นายน้อยได้มีโอกาสหนี ผู้อาวุโสเจ็ดมองเด็กสาวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว ตกใจอยู่ไม่น้อย เดิมทีเขาคิดว่าผู้อาวุโสห้าประมาทไปเอง ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่


 


“พรวด”


 


มีเลือดไหลออกมาตามมุมปากเขา ร่างเขาเริ่มโยกไปมาราวกับเรือที่อยู่ท่ามกลางทะเลพายุฝน พร้อมจะคว่ำได้ทุกเมื่อ


 


นาทีนี้เขามีแววตาพร้อมสละขีวิต เขาส่งกระแสจิตไปยังคนข้างหลัง “รีบวิ่งออกไปข้างนอก….”


 


ส่งเสร็จเขาเอี๊ยวตัวไปอย่างแรงจะเกิดเสียงดังก๊อกราวกับเอวเขากำลังจะหัก เขาเข้าจู่โจมหญิงสาวทั้ง 2 ตรงหน้าด้วยร่างของตัวเอง


 


ในนาทีนั้น นายน้อยของสำนักมารรีบพุ่งออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างหลัง


 


อีก 3 คนที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกลตะโกนขึ้น “แย่แล้ว เขาหนีไปแล้ว…”


 


แม้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยถูกโจมตีอยู่ แต่ทั้ง 2 ก็ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสะบัดแขนไปทางเขาทันที หยูเฮงน้อยเองก็ลงมือตอบโต้


 


เป็นช่องว่างที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกระโจนร่างไล่ตามออกไป


 


ผู้อาวุโสเจ็ดเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ไวปานสายลมก็ใจเสีย แต่ตัวเขาเองที่ถูกหยูเฮงน้อยรั้งเอาไว้ก็หมดแรงจะต้านไหว


 


โดยเฉพาะเมื่อหยูเฮงน้อยจู่โจมมาด้วยฝ่ามือ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งความตาย แม้จะแทบขยับมือไม่ได้แล้ว แต่เขาก็ยังตอบโต้ออกไปด้วยฝ่ามือ


 


หยูเฮงน้อยยิ้มเย็นๆเมื่อเห็นร่างของผู้อาวุโสเจ็ดถอยกรูดออกไป แต่นางไม่หยุดเพียงเท่านี้ จู่โจมฝ่ามือออกไปอีกครั้ง


 


…..


 


เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ทุกคนเห็นเพียงหมอกเลือดที่กระจายอยู่ด้านหน้า ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งสำนักมารก็พบจุดจบเช่นเดียวกับผู้อาวุโสห้า กลายเป็นหมอกเลือดที่กระจายออกไป ต่อแต่นี้ไปจะไม่มีผู้อาวุโสเจ็ดอีกแล้ว


 


เขายอมสละชีวิตเพื่อให้นายน้อยสำนักมารมีทางรอด เขาทำได้แล้ว ส่วนนายน้อยจะหนีออกไปได้หรือไม่นั้น เขาไม่มีทางรู้ ได้แต่ตามบัญชาสวรรค์


 


เพียงแต่สวรรค์ดูแล้วไม่ได้เข้าข้างเขานัก เพราะเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลับมาพร้อมกับคนที่เหมือนตายไปแล้วในมือ เจ้าคนที่หนีออกไปเมื่อกี้นั่นเอง


 


สรรพสิ่งสงบลง


 


ท่ามกลางสายตาของทุกคน นัยน์ตาเขาค่อยๆหรี่ลง ฟ้าดินค่อยๆหายไป เหลือเพียงหญิงงามที่กำลังเดินมาทางนี้ ทุกก้าวที่นางย่างกรายราวกับเหยียบลงในใจของทุกคน


 


คนจากสำนักมารตายจนหมดสิ้น


 


ในใจของบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ทั้ง 3 ท่านเหลือเพียงความคิดนี้ แม้นี่จะเป็นเรื่องที่พวกเขาคาดหวังไว้ และก็เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้วจริงๆ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก


 


“คุณหนู เขาตายแล้วหรือ” หยูเฮงน้อยพิจารณาดูแล้วเหมือนอีกฝ่ายจะหมดลมหายใจแล้ว


 


“ตายแล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าเรียบๆ


 


บอกตามตรง นางไม่ได้ใส่ใจอะไรกับการตายของคุณชายคนนี้ แต่นางไม่รู้ว่าเจ้าสำนักมารที่อยู่ห่างไกลออกไปกระอักเลือดออกมา มีแววตาอาฆาต เขาค่อยๆเช็ดรอยเลือดที่มุมปากออก กล่าวเสียงเย็น “ไม่ว่าจะเป็นใคร กล้าฆ่าลูกชายข้าก็ต้องชำระแค้นนี้ด้วยเลือด…”


 


“ตายไปก็ดี อยู่ไปก็เปลืองข้าว เปลืองอากาศ คนแบบนี้ตายเร็วๆจะได้รีบไปเกิดใหม่”


 


หยูเฮงน้อยพึมพำนิดหน่อยก่อนจะเบือนสายตาไปยัง 3 คนที่เหลือ หน้าเล็กๆของนางมีรอยยิ้มแปลกๆพร้อมชี้ไปที่พวกเขา “คุณหนู เอาอย่างไรกับพวกเขาดี ฆ่าปิดปากให้หมดเลยดีมั้ย”


 


เมื่อคำนี้ออกไป ทั้ง 3 คนตัวสั่นไปนิดหน่อย แต่ถึงแม้จะกลัว พวกเขากลับไม่ได้ขอความเมตตา เพียงแค่กัดปากแน่นและไม่พูดอะไร


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองไปที่พวกเขา ไม่รู้สึกว่าอยากจะฆ่า จึงหันไปบอกกับหยูเฮงน้อย “ที่นี่ให้เจ้าจัดการเลย”


 


“เฮ่ะๆ ไม่มีปัญหา คุณหนู สบายๆ” หยูเฮงน้อยตีหน้าอกแปะๆรับคำ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้านิดหน่อยก่อนจะหายตัวไปเก็บสมบัติต่อทันที


 


เมื่อทั้ง 3 เห็นนางไปแล้วไม่ได้รู้สึกเบาใจลงเลย กลับเครียดยิ่งกว่าเดิม ในใจของพวกเขาหยูเฮงน้อยน่ากลัวกว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวมาก พวกเขายอมเจอกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังดีกว่านางมารน้อยเช่นนาง


 


“พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามาในที่ของพวกเรา” หยูเฮงน้อยถือครอบครองหุบเขานี้ไว้อย่างหน้าไม่อาย


 


ในสายตาของนาง ทุกอย่างในหุบเขานี้เป็นของนางหยูเฮงน้อย ใครก็ตามที่มาปรากฏตัวที่นี่เท่ากับมาแย่งสมบัติของนาง


 


“ข้ามีชื่อว่าเกาชิงหยาง เป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธไร้สำนักจากฮวงยัน พวกเราเป็นสมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่ง 2 คนนี้เป็นสหายของข้า เขาชื่อว่าตู้จินเฟย คนนี้ชื่อว่าโจวไห่หยัน พวกเราได้แผนที่มาโดยบังเอิญซึ่งเป็นแผนที่ของหุบเขานี้ จึงมาถึงที่นี่”


 


ตู้จินเฟยและโจวไห่หยันไม่กล้าชะล่าใจ รีบประสานมือใส่หยูเฮงน้อยเป็นการทักทาย หยูเฮงน้อยแม้จะเด็กแต่พวกเขาก็รู้ว่านางแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครกล้าทำกับนางเหมือนเด็ก


 


เกาชิงหยางยอมตอบกลับ อีก 3 คนก็ท่าทางเป็นมิตร ทำให้หยูเฮงน้อยรู้สึกชอบใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้นางเกิดความอยากรู้อยากเห็น ถามไถ่ด้วยความสงสัย “แล้วไอ้ชั่วเมื่อกี้นี่เรื่องอะไรกัน หรือว่าพวกเจ้าหลอกล่อพวกเขามาฆ่าที่นี่”


 


“นางฟ้าน้อยพูดเป็นเล่นไป” เกาชิงหยางยิ้มเฝื่อนๆ อธิบายอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเรากำลังล่าสัตว์อสูรที่ป่ารบนอกอยู่ พวกคนของนายน้อยสำนักมารแอบฟังที่พวกเราคุยกันจึงรู้ว่าพวกเราได้แผนที่มา พวกเขาอยากจะแย่งแผนที่จากเราไปจึงเพ่งเล็งพวกเราไว้”


 


“ไม่ใช่ล่ะมั้ง ข้าเห็นคนของเขาแต่ละคนต่างมีวิทยายุทธที่สูงกว่าพวกเจ้า พวกเจ้าจะหนีรอดมาจากพวกเขาได้อย่างไรกัน แล้วยังทิ้งห่างพวกเขาไว้ไกลด้วย ทำให้พวกเจ้ามีโอกาสหาที่ของพวกเราเจอ”


 


แม้ว่าหยูเฮงน้อยจะเด็ก แต่หัวนางไวกว่าใครทั้งนั้น นางพบจุดบอดในคำพูดของเขาทันที


 


 


“นางฟ้าน้อยพูดถูก พวกเราเกือบจะถูกจับได้แล้วจริงๆ แต่พี่ก่อหลอกล่อพวกเขาไปที่ถิ่นของงูอสูร และทำลายไข่งูอสูรไป 1 ใบแล้วทำให้ตัวของพวกคนจากสำนักมารเปื้อนไข่ งูอสูร 2 ตัวนั้นจึงไล่ฆ่าพวกเขา และพวกเราก็ฉวยโอกาสนั้นหนีมาได้”


 


ตู้จินเฟยเป็นคนตอบและเล่าเรื่องราวที่พวกเขาหนีรอดออกมาได้อย่างไร


 


“ว้าว พวกเจ้าไม่เลวเลยนี่ ใช้วิธีใส่ร้ายป้ายสี ความคิดเยี่ยม ทำได้ดี” หยูเฮงน้อยชอบใจมากๆจนแทบจะปรบมือให้


 


ทั้ง 3 คนก็ยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำชม อย่างไรซะนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิ


 


“พวกเราสลัดพวกเขาหลุด แต่ก็รู้ว่าคนของสำนักมารแข็งแกร่ง คงใช้เวลาไม่นานก็ฆ่าพวกงูอสูรได้และไล่ตามพวกเรามา พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะตามหาที่บนแผนที่นี้ ไม่คิดเลยว่าจะเจอจริง แต่คนของสำนักมารก็ตามมาด้วย ถึงได้…”


 


เกาชิงหยางพูดจบก็มองหยูเฮงน้อยอย่างระวัง ไม่ว่าอย่างไรคนของสำนักมารก็มาเพราะพวกเขา เขากลัวว่าหยูเฮงน้อยจะไม่พอใจและมีปัญหากับพวกเขา


 


แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหยูเฮงน้อยเบื่อจะแย่แล้ว มีคนมาเล่นด้วยนางดีใจออก จะตำหนิพวกเขาที่พาปัญหามาให้ได้อย่างไร


 


“ไม่เป็นไร ยังไงซะก็ตายหมดแล้ว จริงสิ เมื่อกี้พวกเจ้าพูดถึงทหารรับจ้างอะไรเหรอ ทหารรับจ้างของพวกเจ้าเก่งมั้ย แกร่งขนาดไหน มีคนระดับจักพรรดิ์อมตะหรือก้าวสู่เทพเทวาหรือเปล่า”


 


ก้าวสู่เทพเทวา?


 


ทั้ง 3 ยิ้มขมขื่น ส่ายหัวพร้อมกัน “ไม่มี ที่จริงกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเราเพิ่งจะลงทะเบียนไปไม่นานนี่เอง มีแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น หัวหน้ากลุ่มของเราก็ยังอยู่แค่ระดับจักพรรดิ์อมตะตอนต้นเท่านั้น ถึงเกณฑ์ลงทะเบียนกลุ่มทหารรับจ้างพอดีก็เท่านั้น จะไปมีก้าวสู่เทพเทวาได้อย่างไร”


 


“ไม่ใช่ละมั้ง พวกเจ้ามีแค่ 20 กว่าคนเองเหรอ ท่าทางก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนี่….”


 


หยูเฮงน้อยเม้มปากด้วยความแปลกใจ บอกตามตรงนางผิดหวังนิดหน่อย นึกว่าจะได้เจอกับคนแก่งๆบ้าง นางสามารถสู้กับจักพรรดิ์อมตะและก้าวสู่เทพเทวาได้แล้ว ยอมอยากได้ข่าวคราวของผู้มีฝีมือบ้าง


 


“พวกเรา…”


 


“ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก” หยูเฮงน้อยโบกมือและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อย่างไรซะกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเจ้าก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า จริงสิ แล้วตอนนี้พวกเจ้าจะทำไงต่อล่ะ จะอยู่หรือจะไป”


 


“…..” ได้ยินคำพูดของหยูเฮงน้อยทั้ง 3 ก็ชะงักไป พวกเขาสบตากันอย่างรวดเร็วและแอบถอนหายใจ อุตส่าห์เจอร่องรอยแล้วแต่กลับไม่มีส่วนของตัวเอง ยังไงซะก็ต้องเจ็บใจอยู่บ้าง


 


แต่พวกเขาก็มาก่อนตัวเอง และถ้าจะให้แย่งก็สู้เขาไม่ไหว พวกเขาเองก็ไม่สามารถตัดสินใจได้เหมือนกัน


 


“เอาล่ะ แล้วแต่พวกเจ้าก็แล้วกัน ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป แต่ข้าขอเตือนนะ เรื่องของสำนักมารพวกเจ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไว้ ถ้าหากพวกเรารู้เข้าว่าพวกเจ้าเอาไปแพร่งพรายละก็ รับผิดชอบกันเอาเอง”


 


 


 


 


——————————-



TQF:บทที่ 566 เตรียมเลื่อนขั้น (1)


 


พูดจบหยูเฮงน้อยก็หายตัวไป ไม่ได้สนใจ 3 คนนี้อีก


 


ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คือคนบริสุทธิ์ ต่อให้ไม่อยากให้เรื่องที่ตัวเองฆ่าคนของสำนักมารหลุดออกไป นางก็ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่ลงอยู่ดี จึงได้แต่ปล่อยพวกเขาไป


 


ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าพวกเขาถือว่าผูกความแค้นกับสำนักมารแล้ว ไม่มีทางเปิดโปงพวกนางแน่ นี่ก็เป็น 1 ในเหตุผลที่หยูเฮงน้อยวางใจ


 


หลังจากที่หยูเฮงน้อยหายไป 3 คนที่ยังยืนมองหน้ากันอยู่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไปหรือไม่ไป


 


“พี่เกา พวกเรา….” โจวไห่หยันที่อายุค่อนข้างน้อยถามขึ้น


 


ตู้จินเฟยก็มองเขาอยู่เช่นกัน พวกเขาชินแล้วกับการที่ให้เกาชิงหยางเป็นคนตัดสินใจ ทั้ง 2 มองเขาอย่างเฝ้ารอ


 


เนิ่นนาน เกาชิงหยางเม้มปาก มองไปยังสมบัติมากมายในหุบเขา เขาเข้าใจความหมายของสหายทั้ง 2 ดี ได้แต่ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ “พลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นกว่าข้างนอก ถ้าอย่างนั้นเราฝึกฝนที่นี่ก่อน อาจจะเกิดการบรรลุขึ้น”


 


“ได้”


 


ตู้จินเฟยและโจวไห่หยันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า บางทีในใจของพวกเขายังมีความคาดหวังอยู่


 


ทั้ง 3 หาที่โล่งๆก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นหญ้าและทำสมาธิ ราวกับไม่รับรู้อะไรกับข้างในหุบเขาอีก


 


การกระทำของพวกเขาอยู่ภายใต้การเฝ้ามองจากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวทั้งหมด แม้แต่บทสนทนาระหว่างหยูเฮงน้อยและพวกเขานางก็ได้ยินอย่างชัดเจน ถือว่ารู้ที่มาที่ไปของคนพวกนี้แล้วบ้าง


 


เห็นพวกเขาไม่ได้จากไปก็ถือว่าอยู่ในความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงไม่ยอมจากไปโดยดี ส่วนเรื่องที่พวกเขาไม่ได้เข้ามาหาสมบัติในหุบเขาเลยถือว่าอยู่เหนือความคาดหมาย


 


ไม่ว่าอย่างไร ของในหุบเขานี้ก็ไม่มีเจ้าของ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เมื่อได้เห็นและมีความสามารถพอที่จะเอามาได้ก็ถือว่าเป็นของคนๆนั้นได้ อย่างน้อยๆเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่กีดกันแน่ ยิ่งเรื่องฆ่าคนเพื่อปล้นทรัพย์ยิ่งทำไม่ลงใหญ่


 


สิ่งที่พวกเขาทำอยู่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็พอเดาออก พวกเขารอให้พวกตัวเองออกไปก่อนแล้วค่อยหาดูว่ามีสมบัติอะไรตกหล่นมั้ย ต้องยอมรับว่านางรู้สึกถูกใจในนิสัยของพวกเขาอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ยอมรับในคนพวกนี้


 


แน่นอนว่ามีหนูล่าสมบัติอยู่ อย่าว่าแต่สมบัติที่ตกหล่นเลย แม้แต่ขนเส้นเดียวก็คงไม่เหลือทิ้งไว้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตั้งสมาธิกับการเก็บสมบัติอีกครั้ง


 


ผ่านไป 2 วันพวกนางถึงได้กวาดล้างทั้งข้างในข้างนอกของหุบเขานี้จนหมด สมบัติที่อยู่ในแหวนมิติมากพอที่จะทำให้หยูเฮงน้อยยิ้มออกมาด้วยความเบิกบาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าครั้งนี้มิติน่าจะเลื่อนได้อีกหลายสิบขั้น


 


“เสี่ยวเสี่ยว ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ 3 คนนั้นยังอยู่อยู่เลย จะทำอย่างไรดี” ฟางซูหยุนทอดสายตาไปยังทั้ง 3 คนที่ยังอยู่ข้างล่างเนิน มีความสงสารอยู่ในแววตา


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วเบาๆ “ถึงแม้พวกเขาจะพลาดโอกาสไป แต่นิสัยไม่เลวเท่าไหร่ วิทยายุทธของพวกเขาไม่สูงนัก แต่ก็ไม่ได้ต่ำมาก สร้างสัมพันธ์ไมตรีไว้ก็ไม่แย่”


 


“ได้ข่าวว่าพวกเขาเป็นคนของกลุ่มทหารรับจ้าง” ฟางซูหยุนเอ่ยถาม


 


“ใช่แล้วท่านย่า”


 


“ฮูหยินฟาง กลุ่มทหารรับจ้างที่เก่งที่สุดมีกี่คนเหรอ” หยูเฮงน้อยถามด้วยความอยากรู้


 


นางหวั่นไหวนิดหน่อยซึ่งเฉิงเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสได้ทันที จึงตกอยู่ในภวังค์ความคิดบางอย่าง


 


ฟางซูหยุนยิ้มเมื่อได้ฟังคำถามของนาง “กลุ่มทหารรับจ้างก็แบ่งระดับเช่นกัน มีทั้งหมด 5 ระดับด้วยกัน ระดับ 5 คือระดับปลายแถว ขอแค่มีครบ 10 ก็สามารถก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 5 ได้แล้ว แต่อย่างแย่ที่สุดหัวหน้ากลุ่มก็ต้องมีวิทยายุทธระดับจักพรรดิ์อมตะ นี่คือกติการของสมาคมทหารรับจ้าง”


 


พูดมาถึงตรงนี้ ฟางซูหยุนหยุดไปนิดนึงเพื่อเรียบเรียงคำ ก่อนจะกล่าวต่อ “สำหรับผืนดินฉางไห่กลุ่มทหารรับจ้างเป็นอิทธิพลที่ขาดไม่ได้เลย โดยเฉพาะกับเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่ไม่มีพรสวรรค์พอจะเข้าสำนักแล้ว การมีอยู่ของมันสำคัญมากๆ เท่ากับเป็นบ้าน เป็นรากของพวกเขาเลยก็ว่าได้ พอๆกับกลุ่มคนไร้สำนัก แต่เงื่อนไขของกลุ่มคนไร้สำนักจะสูงกว่าหน่อย ส่วนกลุ่มทหารรับจ้างไม่มีเงื่อนไข ขอแค่หัวหน้ากลุ่มยอมรับเจ้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธระดับไหนก็เข้าได้”


 


“ด้วยเหตุนี้กลุ่มทหารรับจ้างจึงแบ่งระดับ กลุ่มทหารรับจ้างของ 3 คนข้างล่างนั่นมีแค่ 20 กว่าคนเท่านั้น หัวหน้ากลุ่มก็แค่จักพรรดิ์อมตะตอนต้น ตราของกลุ่มพวกเขาจึงเป็นแค่ของประดิษฐ์เท่านั้น ไม่มีแม้แต่ดาวเดียว”


 


“ฮูหยินฟาง กลุ่มทหารรับจ้างมีตราด้วยหรือ ดาวอะไร หมายความว่าอย่างไร แล้วสื่อถึงอะไร” หยูเฮงน้อยถามต่อ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวข้างๆก็เริ่มตั้งใจฟัง 2 สามีภรรยาโม่อู๋เซอและผู้เฒ่าหยิงก็เดินมารวมตัว


 


“ทุกกลุ่มทหารรับจ้างจะมีตราของตัวเอง เพราะตรานั้นสลักชื่อและสัญลักษณ์ของกลุ่มไว้ อย่างเช่นตราของกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 5 เป็นของประดิษฐ์ จำนวนสมาชิกอยู่ที่ 10-100 คน ตราของกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 4 เป็นของประดิษฐ์ทองแดง จำนวนสมาชิกอยู่ที่ 50-200 คน ตราของกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 3 เป็นของประดิษฐ์เงิน และมีดาวประดับอยู่ 1 ดวง มันเป็นเครื่องหมายเกียรติยศของกลุ่ม จำนวนสมาชิกอย่างน้อยๆก็อยู่ที่ 100-300 คน ตราของกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 2 เป็นของประดิษฐ์ทอง มีดาวประดับอยู่ 3 ดวง สมาชิกกลุ่มอย่างน้อยๆก็มี 300-500 คน ตราของกลุ่มทหารรับจ้างระดับ 1 เป็นของประดิษฐ์หินหยกสีม่วง มีดาวประดับอยู่ 5 ดวง จำนวนสมาชิกอยู่ที่ 500-1,000 คน นี่คือกติกาขั้นพื้นฐาน”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม