สาวน้อยปลูกผัก 553-559
TQF:บทที่ 553 คิดถึงแปลกๆ (1)
“พวกเขาไม่ใช่คนดีจริงๆนั่นแหละ แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ เพราะฉะนั้นถ้าสู้ไม่ได้ก็เลี่ยงซะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบเรียบๆ
“เฮอะ ต้องมีซักวันที่คนทั่วหล้านี้ไม่กล้ารังแกพวกเรา” หยูเฮงกัดฟันกรอด
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะเมื่อได้ฟัง “แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าต้องมีวันนั้น”
“คุณหนู เราจะกลับไปตอนนี้เลยมั้ย”
“ยังไม่รีบ จะกลับหรือไม่กลับก็ไม่ได้เป็นอะไร จริงสิ ไม้เทพสายฟ้ามีประโยชน์ต่อเจ้าแล้วต้นหลิวไม่ใช่หรือ เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ”
พูดจบ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็หยิบไม้เทพสายฟ้าออกมาและยื่นให้หยูเฮง
ตาคู่สวยของหยูเฮงเป็นประกายเมื่อเห็นไม้เทพสายฟ้า หน้าเล็กๆยิ้มขึ้นอย่างสดใส “ของดีจริงๆ คุณหนู พวกเราไปหาเจ้าต้นหลิวน้อยกัน”
นางโบกแขนเล็กๆก็มีประตูมิติ 1 บานปรากฏตรงหน้า ทั้ง 2 ก้าวข้ามไป
พริบตาเดียวพวกนางก็มาอยู่ข้างหน้าวังสวรรค์ มาถึงหน้าต้นหลิว หยูเฮงโบกไม้เทพสายฟาในมือคุยกับต้นหลิวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้นน้อย เจ้าดูซิว่านี่อะไร”
ฟิ้วๆๆๆ
ก้านของต้นหลิ้วล้อมเข้ามาจนหมด รัดเข้ากับไม้เทพสายฟ้าแน่น ใบของมันสะบัดไม่หยุดราวกับต้องการสื่ออะไร
ชอบ ดีใจ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวดูออก หยูเฮงโอ้อวดอย่างได้ใจ “เจ้าต้นน้อย จะบอกให้นะ นี่คือไม้เทพสายฟ้า รู้มั้ยว่ามีประโยชน์ต่อเจ้าและข้ามาก รีบเรียกพี่สาวเร็ว แล้วพี่สาวจะแบ่งให้เจ้า เป็นไง”
“พี่สาว….”
เสียงเบาๆแว่วมาในหัวของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮง ให้ความรู้สึกอ่อนวัยและเขินอาย ที่สำคัญเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย เสมือนเด็กที่เพิ่งหัดพูดกำลังฝึกเรียกคุณพ่อคุณแม่
“ฮ่าๆๆ เรียกข้าพี่สาวแล้ว เจ้าต้นหลิวเรียกข้าว่าพี่สาวแล้ว” หยูเฮงหัวเราะอย่างดีใจ ราวกับการเป็นพี่สาวเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะพูดอะไร ปล่อยให้เด็กทั้ง 2 คุยกัน ไม่มีทีท่าจะร่วมวงสนทนา
“พี่สาว พี่หยูเฮง”
เสียงของเจ้าต้นหลิวชัดขึ้น แต่ยังเบาอยู่ รู้ได้ไม่ยากว่าเป็นเพราะเจ้าต้นหลิวน้อยยังอ่อนแออยู่มาก
“เฮ่ะๆ เห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าพี่สาว จะแบ่งให้เยอะหน่อยแล้วกัน เจ้ารีบโตไวๆ อีกหน่อยเราจะได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน”
“อื้ม ได้ พี่หยูเฮง ไม้เทพสายฟ้าที่เจ้าเอามาเนื้อเดิมก็เป็นต้นหลิว มันถือเป็นไม้สายฟ้าชนิดหนึ่ง ข้ากินแล้วจะเติบโตขึ้นได้ไว”
ต้นหลิวน้อยต้องการมันจริงๆ มันรีบบอกสิ่งที่ตัวเองรู้ราวกับเจอสมบัติล้ำค่า
“มันเป็นต้นหลิว?”
หยูเฮงแปลกใจนิดหน่อย ก้านของต้นหลิวน้อยผงกราวกับกำลังพยักหน้าอยู่
“มิน่าล่ะ ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยกับมัน ไม่คิดว่าจะเป็นสายพันธุ์เดียวกับเจ้า”
หยูเฮงทั้งแปลกใจทั้งดีใจ ก่อนจะหันไปพูดกับคนข้างๆที่เงียบอยู่ “คุณหนู ข้ากับเจ้าต้นน้อยต้องเก็บตัวดูดซับไม้นี้”
“ได้ เจ้ากับต้นหลิวทำการดูดซับที่นี่ ข้ากับท่านย่าออกไปก่อน เจ้าเสร็จแล้วค่อยออกมาหาพวกเรา”
ด้านในมิติ โดยเฉพาะตรงหน้าลานวังสวรรค์ ไม่ต้องห่วงเลยว่าจะมีอะไรบุกเข้ามา เพราะที่นี่นอกจากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็มีแต่หยูเฮงที่มาได้ อย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์อสูรก็ไม่สามารถมาที่นี่ได้
ดังนั้นวางใจได้เลยที่หยูเฮงและต้นหลิวจะดูดซับไม้เทพสายฟ้าอยู่ที่นี่
มิติถูกควบคุมโดยเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ตรงเข้าไปที่โรงเตี๊ยม เข้าห้องไปแล้วจึงได้พาท่านย่าออกมาจากมิติ
หลังจากที่ย่าหลานออกมาแล้ว ก็รีบมาพบกับอีก 3 คนทันที ระดับวิทยายุทธจุดสูงสุดของก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์ตอนปลายของอาจารย์โม่อู๋เซอและหรงจิ้งซือมั่นคงขึ้น ขอแค่เข้าไปในมิติของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็สามารถบรรลุเป็นปรากฏราชันย์จักพรรดิ์ได้ การได้เป็นปรากฏราชันย์จักพรรดิ์ถึงจะนับว่าได้ก้าวเข้าสู่การบำเพ็ญเซียนแล้วจริงๆ
ผู้เฒ่าหยิงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาเองก็ถึงก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์ตอนปลายแล้วเหมือนกัน แม้จะยังไม่ถึงจุดสูงสุด แต่ด้วยพลังวิญญาณของผืนดินฉางไห่ การบรรลุของเขาก็แค่สายไปไม่นาน
ทุกคนนั่งลง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยิบของที่ซื้อให้พวกเขาออกมา โดยเฉพาะดาบชิงเฟิงที่อาจารย์หญิงเห็นปุ๊บก็ชอบเลย จับดูด้วยความชอบอย่างไม่สามารถวางลงได้
———————————————
TQF:บทที่ 554 คิดถึงแปลกๆ (2)
“คุณหนูลำเอียง” ผู้เฒ่าหยิงตาร้อนถึงที่สุดเมื่อเห็นดาบวิเศษ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองบนกับท่าทีอิจฉาของเขา อดพูดไม่ได้ “น่าอายจริงๆ”
“น่าอายก็น่าอาย คุณหนู นั่นน่ะของวิเศษเลยนะ ทั้งชีวิตข้าก็ไม่เคยเห็น” ผู้เฒ่าหยิงไม่อายเลย พูดออกมาอย่างคนมีเหตุผล
ฟางซูหยุนส่ายหน้าและหัวเราะ “ของวิเศษก็ไม่ได้สุดยอดอะไร ขอแค่วิทยายุทธเจ้าถึงขั้น หลังจากนี้อยากได้ของอะไรก็ได้ อีกอย่าง เหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช้อาวุธนี่ และพวกเราก็ไม่เห็นที่เหมาะกับเจ้าด้วย”
“เขาน่ะไม่ใช้หรอก ไม่แน่ก็แค่อยากได้มาสะสม และเราก็ไม่มีเงินซื้อให้เขาด้วย”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพูดต่อพลางมองไปที่ตาแก่จอมโลภ หัวเราะก่นด่า “เจ้านี่เอาไหนหน่อยสิ รีบๆบรรลุบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ ก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะ ถึงเวลานั้นเจ้าออกไปเดินสักรอบก็คงมีของมากมายมาให้เจ้าถึงที่”
“มาให้ถึงที่?”
โม่อู๋เซอพูดขึ้นอย่างขบขัน “มีเรื่องดีแบบนี้ที่ไหนกันใครจะมาให้ของวิเศษตัวเองถึงที่”
“อาจารย์ เรื่องนั้นก็ไม่แน่หรอก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะ เหลือบมองตาเฒ่าที่ยิ้มเขิน “บางคนนี่ชอบรังแกคนอื่นนี่ ขอแค่เจ้าพวกที่มาถึงที่ ผู้เฒ่าหยิงโขกสับหมด ย่อมต้องได้สมบัติมาไม่น้อยอยู่แล้ว ของพลังวิญญาณเอย ของวิเศษเอย ก็คงไม่น้อยเหมือนกัน ท่านว่าถูกมั้ย”
“นี่มันปล้นกับการถูกปล้นนี่” หรงจิ้งซือก็หัวเราะออกมา
ฟางซูหยุนหัวเราะตาม แต่ไม่นานนักนางก็หุบยิ้มลง “เสี่ยวเสี่ยว ครั้งนี้ใช้หินพลังวิญญาณไปไม่น้อย หินพลังวิญญาณในตัวเจ้าก็ไม่เยอะ เจ้าจะทำอย่างไรดี”
หินพลังวิญญาณเป็นเงินตราใช้สอยในผืนดินฉางไห่ ไม่ว่าจะซื้ออะไร ขอแค่มีหินพลังวิญญาณก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่มีหินพลังวิญญาณก็ยากมากที่จะซื้อของ แม้ว่าเหรียญทองก็ใช้ได้ แต่ก็ซื้อได้แค่ของใช้สอยทั่วไปเท่านั้น ของที่มีราคาหน่อยหรือการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ฝึกฝนวิทยายุทธต้องใช้หินพลังวิญญาณเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ซื้ออะไรไม่ได้
ตอนนี้พวกนางเพิ่งจะมาถึงผืนดินฉางไห่ เพื่อเลื่อนขั้นมิติแล้ว หินพลังวิญญาณที่เหลือไว้มีไม่มาก แค่วันนี้วันเดียวก็ใช้ไปเกือบ 200 เม็ด ในมือเฉิงเสี่ยวเสี่ยวแม้จะมีอีก 2-300 เม็ด แต่สำหรับการใช้จ่ายของ 5 คนแล้วก็อยู่ได้อีกไม่กี่วัน
ตอนนี้ยังไม่มีใครให้พึ่งพา และก็ไม่มีกิจการอะไร อยากจะได้หินพลังวิญญาณเพิ่มก็ต้องหาวิธี
“ท่านย่าพูดถูก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใส่ใจไม่ได้ อย่างไรซะเรื่องนี้นางก็ต้องเป็นคนจัดการ และก็เป็นความรับผิดชอบของนางด้วย “พวกเราจะรีบจัดการเรื่องนี้”
การหาหินพลังวิญญาณ จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก หลักๆต้องดูว่าจะหาอย่างไร
ในที่ต้องห้ามของบางสถานที่
ภูเขาขึ้นกันเรียงราย ทั้งชันและอันตราย หุบเขาแต่ละลูกเป็นสีดำน้ำเงิน มีหมอกขึ้นบางๆ เหมือนผ้าขาวที่แยกภูเขาออกจากกัน เหลือเพียงยอดเขาสีเขียว ราวกับภาพวาดทิวทัศน์ที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยหมึกจางๆ ผ่านไปสักพักหมอกจางออก หินผาที่เผยออกมาถูกแสงมยูขย้อมเป็นสีแดงเพลิง ค่อยๆกลายเป็นสีทองแดง ตัดกับต้นไม้ท้องนาสีเขียว ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความงาม
มองผ่านหมอกวันจางๆ ยอดเขารอบทิศ และต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ทั่ว ท่ามกลางทุ่งเมฆมีร่างสีขาวร่างหนึ่งปรากฏให้เห็นลางๆ ราวกับละลายไปกับท้องฟ้าและผืนดิน ผมสีดกดำสยายเบาๆราวกับเทวดาจุติ ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
หลังจากที่หมอกจางออกไป เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาปานเทวดา ตาคู่ดำเป็นประกายบางทีก็ฉายเววคมกริบ บางทีก็ฉายแววสับสน
เขาก็คือโม่ซวนซุนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว อยู่ที่นี่มาหลายเดือน เขาจำได้แค่ตัวเองชื่อโม่ซวนซุน ตาแก่ซอมซ่อคนหนึ่งที่บอกว่าเป็นอาจารย์ของตัวเองพามาที่นี่
สำหรับอาจารย์คนนี้ เขารู้สึกแปลกๆอยู่ตลอด ไม่ได้รู้สึกสนิทชิดเชื้อหรือเคารพรัก กลับอยากจะหนีออกไปจากที่นี่ แต่อาจารย์ก็บอกตัวเองว่าแต่เดิมเขาก็เป็นคนของโถงวิหารสวรรค์อยู่แล้ว
เขาคุ้นเคยเป็นอย่างมากกับหลายๆอย่างในโถงวิหารสวรรค์ ราวกับเติบโตที่นี่ แต่ก็มีบางอย่างในใจบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีอะไรแน่ๆ
ส่วนจะเป็นอะไรนั้นเขาก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าความทรงจำของตัวเองหายไปเยอะมาก ส่วนทำไมถึงหายไปนั้นอาจารย์ตาแก่ซอมซ่อไม่ได้บอกตัวเอง บอกแค่ว่าเมื่อถึงเวลาเขาก็จะรู้เอง
ตาแก่ซอมซ่อไม่ยอมบอกตัวเอง โม่ซวนซุนถามคนอื่นก็ไม่ได้ความ เพราะคนอื่นๆในโถงวิหารสวรรค์ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขามายืนอยู่บนยอดเขานี้ได้ 2 วันแล้ว รู้สึกอยู่ตลอดว่าจะมีความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นมา แต่เขากลับไม่สามารถจับมันไว้ได้ บางครั้งก็มีเสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นในหัว แต่เขาก็จำไม่ได้ว่านางเป็นใคร เพียงแต่หัวใจเจ็บขึ้นมา นี่มันเรื่องอะไรกัน
ในป่ามีเสียงร้องของนกแว่วมา เสียงใสๆนั่นราวกับบทเพลงอันไพเราะ ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มไป
บทเพลง บทเพลงอันไพเราะ
นึกถึงตรงนี้เขาเคลิ้มไป มีบทเพลงที่คุ้นเคยถูกร้องขึ้นจากปากเขา “(เพลงหนูรักข้าว)”
เมื่อร้องจบโม่ซวนซุนก็อึ้งไป เขาไปหัดร้องเพลงแปลกๆแบบนี้มาจากที่ไหนกัน เขารู้สึกอยู่ลางๆว่าเพลงนี้สำคัญมาก ราวกับตัวเองจะร้องให้ใครฟัง
ใคร ใครกัน เขานึกอย่างไรก็ไม่ออก รู้แค่ว่าคนๆนี้สำคัญกับตัวเองมาก สำคัญมาก แต่ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนล่ะ
——————————
TQF:บทที่ 555 วุ่นวายถึงที่ (1)
ในหัวเหมือนมีบางอย่างแว้บผ่านไป ไวจนเขาจับไม่อยู่ โม่ซวนซุนกุมหน้าผากอย่างเหนื่อยใจ ถอนหายใจเศร้าๆ
ทันใดนั้น ก็มีความคิดหนึ่งโผล่เข้ามาในหัว เพลงที่เขาร้องเมื่อกี้สำคัญมาก บางทีนี่อาจจะเป็นวิธีที่เขาจะใช้หาคนและเรียกความทรงจำคืนได้
คิดมาถึงตรงนี้ ตาของเขาฉายแววหนักแน่น ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเขาก็ต้องเรียกความทรงจำกลับมาให้ได้
“อาจารย์ปู่เล็ก”
เสียงนุ่มๆแว่วเข้ามาขัดความคิดของโม่ซวนซุน เขาขมวดคิ้วมองไปยังหญิงสาวชุดแดงที่กำลังมาด้วยสายตาเย็นชา
ฐานะของโม่ซวนซุนสูงส่งมาก ต่อให้เป็นเจ้าโถงเมื่อเจอเขาก็ต้องเรียกอาจารย์อา ส่วนคนรุ่นหลังกว่านั้นก็เป็นรุ่นศิษย์หลานทั้งนั้น จะเรียกอาจารย์ปู่เล็กก็เป็นเรื่องปกติ
หญิงสาวชุดแดงตรงหน้าสวยไม่แพ้ใคร เป็นศิษย์หลานที่มาหาเขาบ่อยที่สุด ไม่รู้ทำไมโม่ซวนซุนถึงรู้สึกไม่ชอบศิษย์หลานคนนี้เอาซะเลย แม้ว่าทุกครั้งนางจะมีท่าทีเอาใจแต่เขาก็ไม่รู้สึกดีเลยสักนิด
“มีอะไร” น้ำเสียงเย็นชา โม่ซวนซุนขี้เกียจแม้แต่จะเหลืองมอง ราวกับคนที่มานี้ไม่ใช่หญิงสาวโฉมงาม หากแต่เป็นขอทาน
ในใจของหยินเฟิ่งทั้งแค้นและสับสน นางเป็นลูกศิษย์ระดับสูง คนที่ชอบนางไม่ถึงพันก็ถึงร้อย เดินไปไหนก็ถูกเทิดทูนอย่างกับจันทราบนท้องฟ้า แต่ละคนต่างคอยเอาใจนางกันทั้งนั้น นอกจากคนๆนี้…
ผู้ชายที่ตัวเองพากลับมา แต่ตอนนี้นางกลับเป็นฝ่ายเข้าให้และยังถูกเมินใส่ ทำให้นางยากจะยอมรับจริงๆ
ถูกเมินขนาดนี้ แน่นอนว่าหยินเฟิ่งไม่ยอม โดยเฉพาะเรื่องที่ถูกเขาด่าว่านังสารเลวที่โถงใหญ่ นางยังแค้นมาจนถึงตอนนี้ นางจึงบอกกับตัวเองว่าจะต้องพยายามทำให้เขาชอบตัวเองให้ได้ แล้วค่อยทิ้งเขา ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะชำระหนี้แค้นนี้
เพื่อให้เรื่องนี้เป็นจริง หยินเฟิ่งใช้ทุกข้ออ้างเพื่อได้เข้าใกล้ผู้ชายคนนี้ แต่นางปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายตรงหน้านี้ ไม่ต้องพูดถึงฐานะผู้สืบสานจิตเทพ ลำพังแค่ตัวตนของเขาก็มีแรงดึงดูดมากมายทำให้นางอยากจะเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว
กับคำพูดเย็นชาของเขา หยินเฟิ่งเม้มปาก เอ่ยเสียงอ่อน “อาจารย์ปู่เล็ก 3 เดือนให้หลังโถงสาขาของเราจะเริ่มคัดตัวลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าอาจารย์ปู่เล็กอยากจะไปดูมั้ย”
“ไม่อยาก” โม่ซวนซุนไม่อยากจะอยู่กับนางเลย พูดจบเขาก็หายตัวไปทันที ราวกับพูดกับนางมากกว่านี้ถือเป็นการทรมานตัวเอง
ไปอีกแล้ว
ใบหน้าของหยินเฟิ่งเย็นเฉียบทันที กัดฟันกรอด “ไอชั่ว ข้าไม่ปล่อยให้เขาอยู่อย่างสุขสบายหรอก สักวันความอับอายที่ข้าได้รับนี้จะคืนให้เป็นเท่าตัว เจ้าคอยดูก็แล้วกัน”
ภายในโถงหลัก เจ้าโถงและชายวัยกลางคนกำลังดูฉากที่เกิดขึ้นเมื่อกี้อยู่ จนกระทั่งหยินเฟิ่งจากไปพวกเขาถึงได้สลายภาพนั้นออก
“เจ้าโถง ท่าทางจะให้พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะยาก” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาอย่างใช้ไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก” เจ้าโถงยิ้มออกมาเบาๆ “แม้ว่าอาจารย์อาจะปฏิบัติกับหยินเฟิ่งไม่ค่อยดี ขอแค่พวกเขาเจอกันบ่อยๆจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงในวันหน้าแน่ ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือน ถ้าอีกหลายปีหรือหลายร้อยปี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ อีกอย่าง ตอนนี้อาจารย์อายอมคุยกับหยินเฟิ่งบ้างก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้ว ถ้าหากไม่สนใจหยินเฟิ่งเลยจริงๆถึงจะเป็นปัญหา”
“ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ก็หวังว่าพวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อความทรงจำของอาจารย์อากลับมา ต้องลงมือกับหยินเฟิ่งอีกแน่ ต่อให้เป็นพวกเราก็คงยากที่จะห้าม”
“เอาหน่า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงลูกศิษย์เจ้าหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีอาจารย์ปู่อยู่นี่ พวกเราจะมีอะไรให้เป็นห่วง ถึงวันนั้นแล้วค่อยว่ากัน”
“พอเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้”
ชายวัยกลางคนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดต่อ “จริงสิ อีก 3 เดือนก็จะถึงเวลาที่พวกเราโถงวิหารสวรรค์รับลูกศิษย์อีกแล้ว เจ้าโถงมีแผนว่าอย่างไรบ้าง”
“แผน? จะมีแผนอะไรอีก หวังว่าจะได้ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์หน่อยก็พอใจแล้ว พวกเราโถงวิหารสวรรค์ไม่ได้เรียกร้องสูงนัก ขอแค่มีพรสวรรค์ที่จำเป็นต่อพวกเราโถงวิหารสวรรค์ก็พอแล้ว แต่ตอนนี้จะหาลูกศิษย์ที่เหมาะสมกับพวกเราในผืนดินฉางไห่นี่ยากจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเราบอกเหล่าผู้อาวุโสก็พอแล้ว หลักๆก็คือดูพรสวรรค์ของศิษย์เหล่านั้น ขอแค่พรสวรรค์ดี วิทยายุทธแย่หน่อยก็ไม่เป็นไร อย่างไรซะสำหรับพวกเราโถงวิหารสวรรค์ จะยกระดับวิทยายุทธของลูกศิษย์ก็ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งสำคัญคือมีพรสวรรค์ที่จำเป็นต่อโถงวิหารสวรรค์”
“ถูกต้อง ลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์น่ะมีน้อยมากจริงๆ หวังว่าในบรรดาลูกศิษย์ปีนี้จะมีเรื่องให้ดีใจบ้างเถอะ”
“ขอให้เป็นแบบนั้น”
ภายในโรงเตี๊ยมของเฉาซาง ฟางซูหยุนได้ข่าวมาว่าอีก 3 เดือนโถงวิหารสวรรค์จะเปิดรับศิษย์ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรีบพาอาจารย์และอาจารย์หญิงเข้ามิติ ให้พวกเขาพัฒนาระดับวิทยายุทธในเวลาที่เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นด้วยวิทยายุทธของพวกเขา เกรงว่าแม้แต่การทดสอบรอบแรกของโถงวิหารสวรรค์ก็ไม่ผ่าน
ดังนั้น ทุกคนจึงตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ก่อน 2 เดือน เดือนที่ 3 ค่อยเดินทางไปโถงสาขาที่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้าร่วมการคัดตัว จะได้ไม่พลาดโอกาส
บอกตามตรง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้ อย่างไรซะกว่าโถงวิหารสวรรค์จะเปิดรับศิษย์ก็ใช้เวลาในรอบหลายปีหรือหลายสิบปี การตัดสินใจขึ้นอยู่กับโถงวิหารสวรรค์ล้วนๆแล้วค่อยแจ้งไปยังแต่ละเขต ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าโถงวิหารสวรรค์เปิดรับศิษย์เมื่อไหร่
เมื่อได้โอกาสนี้ โม่อู๋เซอและหรงจิ้งซือไม่อยากพลาดไป ไม่ว่าอย่างไรเดิมทีพวกเขาก็เป็นคนของโถงวิหารสวรรค์ แล้วยังมีโอกาสเข้าไปตามหาลูกศิษย์ที่หายตัวไปอีก ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย หวังว่าจะบรรลุระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ได้ใน 3 เดือน
เมื่อก่อนพวกเขาอาจจะไม่รีบที่จะบรรลุ แต่ตอนนี้พวกเขาต้องพึ่งมิติของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพื่อทำการบรรลุ ขอแค่ได้เป็นบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้เข้าไปในโถงวิหารสวรรค์ ไม่อย่างนั้นต่อให้วิทยายุทธระดับปรากฏราชันย์จักพรรดิ์พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะผ่านเข้าไปได้
กับความต้องการและความคิดของอาจารย์และอาจารย์หญิงแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงได้แต่พยายามช่วยให้อาจารย์และอาจารย์หญิงได้ตามที่หวัง
เมื่อเสร็จจากอาจารย์และอาจารย์หญิงแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็มาที่วังสวรรค์ ตอนนี้ก้อนเมฆลอยอยู่ทั่วโดยมีหมอกขาวล้อมรอบ ราวกับอยู่ในความฝัน ยากจะแยกออกว่าไหนคือเรื่องจริง หยูเฮงนั่งหลับตาฝึกฝนอยู่ใต้ต้นหลิว ไม่ได้ตื่นขึ้นเพราะการมาของนาง
—————————————————————
TQF:บทที่ 556 วุ่นวายถึงที่ (2)
ต้นหลิวน้อยๆที่เขียวขจีตั้งอยู่หลังหยูเฮงทั้งลำต้นมีแสงสีเขียวไหลเวียนอยู่ กลายเป็นอักขระลึกลับที่เปล่งแสงสีเขียวจ้าระยิบระยับ ทุกอย่างเหมือนกับกำลังร่างภาพโลกอีกใบขึ้นมา ไม่สามารถวัดขนาดอะไรได้เลย
เหมือนจะเป็นรูปธรรม แต่ก็เหมือนจะเป็นนามธรรม ในชั่วขณะนี้ แม้แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ไม่รู้อะไรยังเข้าใจว่าเจ้าต้นหลิวน้อยนี้ไม่ธรรมดา สมกับที่เป็นต้นไม้เทพจริงๆ
นางดีใจอยู่ไม่น้อย รอคอยให้พวกเขาตื่นมาอย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เห็นความผิดปกติบนตัวหยูเฮง มีเมฆลอยอยู่เหนือหัวนาง เป็นประกายเจิดจ้า มีพลังมากมายไหลเวียนอยู่ กลายเป็นเมฆหลายสียาวออกไปหลายหมื่นลี้ ดอกบัวสีม่วงยักษ์ 3 ดอกฝังรากขึ้นไป ค่อยๆขยายก้านอันสง่าออก ใบของมันเป็นสีเขียวสดใส กลีบดอกใหญ่เทียบเท่าล้อรถ หมุนติ้วๆไม่หยุด ทั้งหญ้าวิเศษและหลิงจือพากันผุดขึ้นจากพื้น ยาวไปถึงขอบฟ้า
ทันใดนั้นนางก็เริ่มกลายร่าง บางครั้งเป็นต้นใหญ่สีเขียว บางครั้งเป็นดอกไม้สีสด บางครั้งเป็นดอกไม้สีอ่อน บางครั้งก็เกิดผลมากมาย ราวกับกำลังสลับไปเรื่อยๆระหว่างแต่ละพืชพันธุ์ ผ่านไปสักพักก็มีแสงเปล่งออกมามากมายเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสีรุ้ง สีแดง สีเขียว สีม่วง สีเหลือง สีทองและอีกมากมายเกินจะนับ สว่างจ้าสะดุดตา
วิวัฒนาการ ร่างเดิมของหยูเฮงกำลังวิวัฒนาการ
อย่างไรซะเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็คิดไม่ถึงว่าหยูเฮงจะมีโอกาสวาสนาได้เจอไม้เทพสายฟ้าได้ ทำให้นางประหลาดใจมากจริงๆ
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็เกิดความผิดปกติ บรรยากาศสงบอบอวลไปทั่ววังสวรรค์ พลังวิญญาณมากมายลอยอยู่กลางอากาศและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นทิวทัศน์งดงามจนถึงที่สุด มีสะพานสายรุ้งตั้งตะหง่านอยู่บนฟ้า เมฆลอยรวมตัวกัน
ท่ามกลางความผิดปกตินี้ เวลาก็ได้ผ่านไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดหยูเฮงก็ลืมตาขึ้น ภายในตาคู่สวยของนางราวกับมีดวงดาราและแสงสายฟ้ามากมายพุ่งออกมา ณ บัดนี้แม้แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามอย่างแปลกประหลาด
แน่นอนว่าสำหรับนางแล้วคงไม่ถึงขั้นเกรงกลัว เพียงแต่รู้สึกว่าลมปราณของหยูเฮงแตกต่างจากเมื่อก่อน ส่วนนางจะได้อะไรเพิ่มหลังจากการวิวัฒนาการนี้ และจะมีความสามารถอย่างไร เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็อยากรู้
“คุณหนู….” หยูเฮงเก็บลมปราณอย่างรวดเร็ว กล่าวยิ้มๆ “คุณหนู ตอนนี้ต่อให้เจอกับจักพรรดิ์อมตะก็ไม่ต้องกลัว”
“จักพรรดิ์อมตะ? ไม่ใช่ล่ะมั้ง” เฉิงเสี่ยวเสียวตะลึงนิดหน่อย ต่อให้เป็นผืนดินฉางไห่ จักพรรดิ์อมตะก็เป็นระดับชั้นยอด หยูเฮงกลับไม่เกรงกลัวจักพรรดิ์อมตะ จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร
“แน่นอน”
หยูเฮงยิ้มผยอง “คุณหนู ท่านอย่าดูถูกไม้เทพสายฟ้าไป สำหรับพวกเราแล้วมันสำคัญมากจริงๆ ถ้ามีอีกละก็ข้าและเจ้าต้นหลิวน้อยก็จะพัฒนาขึ้นได้อีกขั้น”
“คุณหนู พี่หยูเฮงพูดถูก ไม้เทพสายฟ้าเหมือนจะไม่มีพลังชีวิตเท่าไหร่ แต่จริงๆพลังชีวิตข้างในมีเยอะมาก ข้ากับพี่หยูเฮงชอบ”
เสียงของต้นหลิวน้อยแว่วมา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังก็รู้เลยว่ามันเติบโตขึ้นเยอะ ไม่เหมือนเสียงเล็กๆอ่อนๆเมื่อตอนก่อนจะเก็บตัว ฟังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
ตอนนี้ราวกับเด็กอายุ 4-5 ขวบ สามารถออกเสียงได้อย่างชัดเจนแล้ว บอกได้ว่าหลังจากที่มันดูดซับไม้เทพสายฟ้าไปก็โตขึ้นหลายขวบ
หยูเฮงเหมือนรู้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดอะไรอยู่ กล่าวยิ้มๆ “คุณหนู คราวหน้าถ้ามีไม้เทพสายฟ้าอีกพวกเราจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
“เจ้าคิดว่าของแบบนี้เหมือนผักกาดหรือไง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองบนอย่างเหนื่อยใจ “อยากจะได้ของแบบนี้ก็ต้องดูโอกาสวาสนาของพวกเจ้า ของของเจ้าก็เป็นของของเจ้า ไม่ใช่ของเจ้า ต่อให้อยู่ในมือก็หายได้”
“เฮ่ะๆ ถ้าอยู่ในมือพวกเราไม่หายแน่ ข้าจะกินมันทันทีเลย”
“แล้วก็มีข้าด้วย” ต้นหลิวน้อยแจม
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องที่ยังไม่มีเค้าโครงแล้ว วันนี้พวกเราต้องหาวิธีทำอย่างไรจะหาหินพลังวิญญาณจำนวนมากได้ ตอนนี้หินพลังวิญญาณสำคัญต่อพวกเรามาก”
—————————
TQF:บทที่ 557 ต้นหลิวแนะวิธี รวบรวมหินพลังวิญญาณ (1)
“หินพลังวิญญาณ? เรายังมีอีกหลายร้อยเม็ดไม่ใช่หรือ” หยูเฮงเหล่มองพลางถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัวเบาๆ “ข้ายังมีอีก 200 กว่าเม็ดเท่านั้น พวกเรายังต้องอยู่โรงเตี๊ยมอีก 2 เดือน อย่างน้อยก็ต้องใช้อีกหลายสิบเม็ด ไหนจะของที่พวกเราต้องอาจจะต้องซื้ออีก หินพลังวิญญาณที่เหลืออยู่จะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่”
“ตอนนี้หลักๆก็คือหาวิธีจะหาหินพลังวิญญาณยังไง ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยพวกเราอาจจะต้องลำบาก โดยเฉพาะอีก 2 เดือนอาจารย์แหละอาจารย์หญิงต้องไปคัดตัวที่โถงวิหารสวรรค์ ทุกอย่างต้องใช้หินพลังวิญญาณหมด ไม่มีไม่ได้”
“อื้อ นั่นก็ใช่ ของที่นี่แพงมากจริงๆ คุณหนู ไม่อย่างนั้นเราสกัดยาเม็ดและวารีโอสถขายกันเถอะ” หยูเฮงนึกวิธีที่ได้ที่สุด
พวกนางมาอยู่ที่ผืนดินฉางไห่โดยไร้ญาติไร้มิตร อยากจะหาหินพลังวิญญาณแบบถูกหลักก็ต้องใช้ความสามารถสกัดยาของพวกนาง
วิธีนี้เป็น 1 ในวิธีที่รวดเร็วและได้ผลที่สุด
“หรือไม่ ในมิติเรามีผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำหยินหยาง น้ำธารวิเศษ ของพวกนี้ก็ขายได้เหมือนกัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะหาหินพลังวิญญาณไม่ได้” หยูเฮงกล่าวอย่างมั่นใจ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังก็ชะงักไปนิดหน่อย ก่อนจะส่ายหัว “พวกเราเพิ่งจะมาถึงผืนดินฉางไห่ ยังไม่คุ้นเคยเลย พูดกันตามตรงข้ายังไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเรา ตอนนี้วิทยายุทธของข้ายังไม่สูงเท่าไหร่ เหลือไพ่ตายไว้น่าจะดีกว่า ยังไม่รู้เลยว่าอีกหน่อยเราจะต้องเจอกับเรื่องอะไรบ้าง หากผู้อื่นรู้จักตัวตนของเราเร็วเกินไปคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”
“ก็ถูก คุณหนู ท่านสามารถบรรลุเป็นก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะใน 2 เดือนนี้ ก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะถือเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับกลางที่ผืนดินฉางไห่ แม้จะยังไม่ใช่ชั้นยอด แต่ด้วยอายุแค่ 19 ท่านก็นับเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สุดๆแล้ว คุณหนูไม่ต้องคิดว่าตัวเองไร้ฝีมือหรอก”
“คุณหนู พี่หยูเฮงข้ามีวิธีสกัดหินพลังวิญญาณ” เสียงของต้นหลิวน้อยดังขึ้นข้างหูพวกนาง
“อะไรนะ” หยูเฮงตกใจเป็นคนแรก ตากลมโตเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อพลางร้องตะโกนขึ้น “เจ้าต้นน้อย เจ้าไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย”
“ต้นหลิวน้อย เจ้าพูดจริงหรือ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
“แน่นอน” ก้านของต้นหลิวน้อยโบกสะบัดเบาๆ เสียงใสๆดังขึ้น “ข้าพูดเรื่องจริง ไม่หลอกคุณหนูและพี่หยูเฮงหรอก”
“จริงหรือ งั้นเจ้ารีบสอนข้ากับคุณหนูเร็ว” หยูเฮงยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ได้ ไม่มีปัญหา”
ต้นหลิวน้อยตอบรับทันที ยื่นก้านออกมา 2 ก้านเข้าสู่ตรงกลางระหว่างคิ้วของพวกนาง มีแสงสีทองสว่างวาบเข้าไปในหัวของพวกนาง
ก้านหลิวถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทั้ง 2 เผยรอยยิ้มออกมา หยูเฮงเอะอะขึ้นทันที “เยี่ยมจริงๆ มีวิธีสกัดหินพลังวิญญาณแบบนี้อีกหน่อยเราก็จะมีหินพลังวิญญาณกันแบบใช้ไม่หมดเลยน่ะสิ อยากจะมีเท่าไหร่ก็ได้ นี่มันสุดยอดไปเลย ฮ่าๆๆๆ……”
เสียงหัวเราะด้วยความดีใจของหยูเฮงสะท้อนไปทั่วฟ้า ได้ยินไปถึงเหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตามหุบเขาไกลๆ พวกมันเองก็มีท่าทีดีใจก่อนจะกลับไปฝึกฝนต่อ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มออกมา เห็นด้วยกับสิ่งที่หยูเฮงพูด
หลังจากนี้นางก็ไม่กลัวว่าจะไม่มีหินพลังวิญญาณใช้แล้ว
“คุณหนู พี่หยูเฮงวิธีนี้ยังมีประโยชน์อีกอย่าง” เสียงของต้นหลิวน้อยดังขึ้นอีกครั้ง
หยูเฮงหยุดหัวเราะและถามขึ้น “มีประโยชน์อะไร รีบบอกมาเร็วเข้า”
“มิติของพวกเราไม่มีพวกสายฟ้าไม่ใช่หรือ เมื่อโลกภายนอกเกิดการฟ้าร้องสายฟ้าฟาด พวกท่านก็ใช้วิธีที่สกัดหินพลังวิญญาณ ไปสกัดมุกสายฟ้ามาแล้วโยนเข้ามิติของเรา อีกหน่อยมันจะกลายเป็นฟ้าฝนในมิติเราได้ คราวนี้เราก็จะมีฟ้าฝนในมิติแล้ว และเมื่อมีฟ้าฝน เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในมิติของเราก็สามารถบรรลุเป็นสัตว์อมตะได้ เมื่อเป็นสัตว์อมตะแล้วพลังของพวกเขาก็จะสูงขึ้นไปอีก สามารถสู้กับจักพรรดิ์อมตะหรือระดับเทพเจ้าได้เลย”
“ถ้าคุณหนูมีสัตว์อมตะนับไม่ถ้วน ต่อให้ที่นี่เป็นผืนดินฉางไห่แล้วยังไง คุณหนูก็พลิกฟ้ากลับดินได้อยู่ดี ใครก็ทำอะไรคุณหนูไม่ได้ จะตามหาคุณชายก็ยิ่งง่ายขึ้นไปใหญ่”
ต้นหลิวน้อยชี้แจงจนกระจ่าง หยูเฮงตาเป็นประกาย ตบมือพลางร้องไชโย “ดีจริงๆ ถ้าเป็นแบนี้ละก็พวกเราจะต้องกลัวอะไรอีก เหมือนกับที่เจ้าต้นหลิวน้อยพูด จะเดินแทยงในผืนดินฉางไห่ก็ไม่มีใครกล้ามาแหยมกับพวกเราหรอก เยี่ยมจริงๆ ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะสดใสดังสะท้อนออกไปอีกครั้ง ทำให้เหล่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในป่าดีใจไปด้วยอีกครั้ง แม้ว่าพวกมันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็เชื่อว่าต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ความไม่สงบในจิตใจเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ค่อยๆหายไปในที่สุด ถ้าหากแก้ปัญหานี้ได้จริงๆละก็ นางไม่กล้าบอกว่าจะเดินแทยงในผืนดินฉางไห่ แต่อย่างน้อยๆก็ไม่ต้องคอยเป็นห่วงคนรอบข้างแล้ว กับอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้านางก็มั่นใจที่จะเอาชนะได้ขึ้น
“ต้นหลิวน้อย ด้วยความหนาแน่นของมิติเราสามารถสกัดหินพลังวิญญาณได้มั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนึกปัญหาขึ้นมาได้
“ได้”
ต้นหลิวน้อยโบกก้านหลิว “คุณหนู พลังวิญญาณในมิติของเราทำหินชั้นยอดออกมาไม่ได้ แต่หินพลังวิญญาณระดับสูงน่ะไม่มีปัญหาแน่ๆ และอยากจะสกัดออกมาเท่าไหร่ก็ได้”
“งั้นก็ดี”
อย่าว่าแต่หินพลังวิญญาณระดับสูงเลย ได้แค่ระดับกลางก็ถือว่าดีแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพอใจมาก หันไปบอกกับหยูเฮง “ช่วงนี้พวกเราสกัดหินพลังวิญญาณก่อน สะสมได้สักหน่อยแล้วค่อยมาฝึกฝน”
“คุณหนู ข้าว่าอย่าสกัดในมิติของพวกเราจะดีกว่า”
หยูเฮงส่ายหัวเล็กๆของนาง “คุณหนู พลังวิญญาณของมิติพวกเราไม่เลวก็จริง แต่ถ้าหากเราสกัดหินพลังวิญญาณในระยะยาวละก็ พลังวิญญาณก็จะอ่อนแอลง สู้เราออกไปสกัดหินพลังวิญญาณข้างนอกดีกว่า พลังวิญญาณของผืนดินฉางไห่ก็ไม่แย่เท่าไหร่ พวกเราจะสกัดมากแค่ไหนก็ไม่เป็นไรหรอก”
————————————
TQF:บทที่ 558 ต้นหลิวแนะวิธี รวบรวมหินพลังวิญญาณ (2)
“พี่หยูเฮงท่านกังวลมากไปแล้ว พลังวิญญาณของมิติเราน่ะไม่เปลี่ยนแปลงไปหรอก อย่าลืมสิว่าในมิติพวกเรามีธารวิเศษที่ก่อกำเนิดพลังวิญญาณเข้าสู่อากาศเรื่อยๆไม่ขาด ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่หมื่นปีมันก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก มิติของคุณหนูมีแต่จะดึขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่แย่ลงแน่นอน” ต้นหลิวน้อยบอกความคิดของตัวเอง
“เฮ่ะๆๆ….”
หยูเฮงหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ ดึงก้านของต้นหลิวน้อยมาโยกไปมา “เจ้าต้นหลิวน้อย เจ้าพูดถูก แต่เจ้าจงจำไว้ว่าของบ้านเราก็ต้องเป็นของบ้านเราตลอดไป ต่อให้เป็นการสกัดหินพลังวิญญาณก็ต้องไปสกัดข้างนอก ของของพวกเราเก็บไว้จะดีกว่า เข้าใจมั้ย”
“หืม แบบนี้เองเหรอ…” ต้นหลิวน้อยเชื่อฟังคำสั่งสอนของหยูเฮงอย่างว่าง่าย
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขี้เกียจจะสนใจ 2 ตัวนี้ กระโจนตัวขึ้นเบาๆและยืนอยู่ในอากาศ นางตวัด 2 มือในอากาศทำให้เกิดพลังวิญญาณออกมามากมายเข้ามาหมุน แข็งตัว และหดตัวในมือนาง เพียงไม่กี่วิก็กลายเป็นหินพลังวิญญาณ 3 เม็ด
หยูเฮงก้าวตามขึ้นไปยืนอยู่กับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว พิจารณาหินพลังวิญญาณในมือนาง พลังวิญญาณเกาะอยู่ด้วยกันโดยไม่สลายไป หนาแน่นจนถึงที่สุด จึงเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ “หินพลังวิญญาณระดับสูง จะถึงชั้นยอดอยู่แล้ว พลังวิญญาณในมิติพวกเราหนาแน่นพอ”
“ไม่เลว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม พลิกมือวางหินพลังวิญญาณเข้าไปในแหวนมิติ “สกัดหินพลังวิญญาณระดับสูงในมิติก่อน รอให้ถึงกลางคืนเราค่อยออกไปสกัดข้างนอก อย่างแย่ที่สุดก็น่าจะได้หินพลังวิญญาณระดับกลาง ถึงเวลาก็สกัดออกมาอีกจำนวนนึง แบบนี้ปัญหาเรื่องหินพลังวิญญาณก็หมดไป”
“ได้ เชื่อคุณหนู” หยูเฮงยังไงก็ได้ นางโบกมือ 2 ข้างในอากาศ ท่องเคล็ดวิชา ก่อนจะดึงเอาพลังวิญญาณในอากาศออกมา มันได้แข็งตัวและหดตัวในมือเล็กๆของนางอย่างรวดเร็ว กลายเป็นหินพลังวิญญาณระดับสูง 2 เม็ด
หยูเฮงพึมพำกับหินพลังวิญญาณในมือ “หรือว่าพลังวิญญาณในมิติเราสกัดได้แค่หินพลังวิญญาณระดับสูงเท่านั้น สกัดชั้นยอดออกมาไม่ได้”
“ได้สิ พี่หยูเฮงท่านกับคุณหนุเพิ่งจะเคยสกัด รอให้พวกท่านทำจนชินก็จะยกระดับคุณภาพของหินพลังวิญญาณได้ อีกหน่อยก็สกัดหินพลังวิญญาณชั้นยอดออกมาได้เหมือนกัน” ต้นหลิวน้อยตอบนาง
“ว้าว ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง เยี่ยมจริงๆ”
หยูเฮงดีใจเข้าไปอีก 2 มือดึงพลังวิญญาณในอากาศไม่หยุด หินพลังวิญญาณใสสกาวปรากฏขึ้นในมือนางทีละเม็ด เก็บแล้วก็สกัดอีก
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็เช่นกัน ทั้ง 2 ยุ่งจนไม่ได้พักเลย เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆพวกนางก็ชินมือขึ้นเรื่อยๆ นอกจากหินพลังวิญญาณระดับสูงแล้ว ก็มีชั้นยอดปรากฏออกมาทีละก้อน 2 ก้อนบ้าง หินพลังวิญญาณชั้นยอดแบบนี้ต่อให้เป็นที่ผืนดินฉางไห่ก็เห็นไม่บ่อยนัก
ถ้าหากเรื่องที่พวกนางสามารถใช้พลังวิญญาณสกัดหินพลังวิญญาณออกได้แพร่งพรายออกไปละก็ เกรงว่าจะฮือฮาไปทั่วผืนดินฉางไห่ คนอื่นๆคงจะทำทุกวิธีเพื่อให้ได้เคล็ดวิชามาจากพวกนาง เพราะการได้ครอบครองเคล็ดวิชานี้ก็เท่ากับครอบครองความร่ำรวยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทุกคนสู้กันแทบตายก็เพื่อทรัพยากรทั้งนั้น การครอบครองหินพลังวิญญาณจำนวนมากนอกจากจะดีต่อการฝึกฝนของตัวเองแล้ว ยังสามารถซื้ออะไรก็ตามที่อยากได้ด้วย จะไม่ให้ผู้คนบ้าคลั่งได้อย่างไร
หลายชั่วยามต่อมา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหยุดลงในที่สุด
ในมือของนางมีหินพลังวิญญาณระดับสูงนับพันเม็ด หินพลังวิญญาณชั้นยอดก็มีนับร้อยเม็ด นางมองหยูเฮงที่สนุกจนหยุดไม่อยู่ด้วยความขบขัน “พอได้แล้ว เจ้ากลัวพลังวิญญาณของมิติพวกเราถูกดึงไปจนหมดไม่ใช่หรือไง ทำไมตอนนี้ถึงไม่ยอมหยุดล่ะ”
“อิอิ คุณหนู นั่นน่ะข้าล้อเล่น” หยูเฮงเป็นภูติของมิติ ย่อมรู้ดีว่าไม่มีผลอะไรกับพลังวิญญาณในมิติหรอก ต่อให้เบาบางลงก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น แปปเดียวก็ฟื้นฟูกลับมาได้เหมือนเดิม
“คุณหนู ที่ข้ามีหินพลังวิญญาณ 2 พันกว่าเม็ดแล้ว จะต่ออีกมั้ย”
“ต้องต่ออยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ที่นี่ ตอนนี้ข้างนอกเป็นตอนกลางคืนแล้ว พวกเราไปที่หุบเขานอกเมือง ไปดูว่าข้างนอกนั่นจะสกัดหินพลังวิญญาณระดับสูงออกมาได้มั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะ อย่างไรซะพลังวิญญาณข้างนอกนั่นก็ไม่แย่ ไม่ว่าจะดึงมาใช้แค่ไหนนางก็ไม่เสียดาย
หยูเฮงเข้าใจความคิดของนาง เอ่ยยิ้มๆ “ได้คุณหนู เราไปสกัดหินพลัววิญญาณข้างนอกกัน”
ตัดสินใจแล้วหยูเฮงก็ควบคุมมิติให้ออกไปนอกเมือง พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวที่ป่าด้านนอกหลายสิบลี้ ทั้งใช้จิตออกไปสอดส่องรอบๆและก็พบว่ามีคนจำนวนหนึ่งพักอยู่ในระยะหลายสิบลี้ หากไม่ระวังคนพวกนี้อาจเจอพวกนางได้
“คุณหนู เราจะทำอย่างไรต่อดี” หยูเฮงขมวดคิ้ว เหลือบมองคนข้างๆ
“ไม่เป็นไร” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มนิดๆ ควบคุมมิติทะยานขึ้นไปในอากาศไปสู่จุดที่พลังวิญญาณหนาแน่นที่สุด ก่อนจะดึงหยูเฮงออกมา “ตอนนี้พวกเราอยู่ตรงนี้ ต่อให้คนอื่นมองขึ้นมาก็ไม่เห็นเราหรอก อีกอย่างจะมีใครไร้สาระขนาดที่นั่งมองท้องฟ้าตอนดึกๆ”
ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว เป็นช่วงที่ทุกคนพักผ่อน พวกนางหายตัวไปยังจุดที่สูงที่สุด ถ้าไม่มีใครบินผ่านตรงนี้กก็ไม่มีทางพบพวกนางแน่
“ก็ดี พวกเราสกัดหินพลังวิญญาณก่อน”
“ลงมือเลย”
ทั้ง 2 สกัดหินพลังวิญญาณออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่พอมองแล้วหยูเฮงก็โวยวายขึ้นทันที “คุณหนู พลังวิญญาณที่นี่แน่นหนาขนาดนี้ทำไมถึงได้แต่หินพลังวิญญาณระดับต่ำล่ะ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจ้องมองหินพลังวิญญาที่มีตำหนิอยู่บ้างในมืออย่างใช้ความคิด “แม้ว่าพลังวิญญาณที่นี่จะหนาแน่น แต่สิ่งเจือปนมีเยอะเกินไป พวกเราไม่ได้คัดกรองจึงสกัดออกมาแต่หินระดับต่ำเดี๋ยวเราคัดกรองพลังวิญญาณหน่อย เชื่อว่าต้องได้หินระดับกลางหรือระดับสูงได้แน่”
“ได้ งั้นพวกเราลองดูกัน” หยูเฮงยอมรับความจริง
และก็จริง หลังที่จากที่ลองไปหลายครั้งก็ได้หินระดับกลาง ผ่านไปสักพักระดับสูงก็ปรากฏออกมาเช่นกัน ทั้ง 2 จึงยิ่งขยันขันแข็งขึ้นไปอีก
จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่างพวกนางถึงหยุดลง หลังจากที่ลงมือทำงานมาครึ่งคืน ก็ได้หินพลังวิญญาณนับพันเม็ดเข้ากระเป๋า พวกนางควบคุมมิติให้กลับไปโรงเตี๊ยมอย่างมีความสุข
เนื่องจากพวกเขาเดินทางในมิติ จึงไม่มีใครรู้ตัว
กลังมาถึงโรงเตี๊ยม เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ได้ออกไปจากมิติ นางยังคงสกัดหินพลังวิญญาณอยู่ หยูเฮงเองจึงต้องสกัดด้วยอย่างเชื่อฟัง
2 วัน 2 คืนผ่านไปในพริบตาเดียว ตอนนี้หินพลังวิญญาณในมือพวกนางมีนับแสนเม็ดแล้ว หินชั้นยอดก็มีถึงนับหมื่นเม็ด ที่เหลือล้วนแต่เป็นหินระดับกลางและระดับสูง แค่หินพลังวิญญาณพวกนี้ก็นับเป็นสมบัติกองโตแล้ว
หยูเฮงต้องลากเฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกไปด้านนอก นางกลัวว่าถ้ายังทำต่อไปพลังวิญญาณในมิติอาจจะถูกใช้จนหมดจริงๆก็ได้ อย่างไรซะก็ต้องให้มิติฟื้นฟูกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟางซูหยุนและผู้เฒ่าหยิงเบาใจได้สักทีเมื่อเห็นการปรากฏตัวของพวกนาง
“เสี่ยวเสี่ยว ทำไมเจ้าไม่ได้ออกมาเลยถึง 2 วันล่ะ ข้านึกว่าเจ้าเป็นอะไรไปซะอีก” ฟางซูหยุนดึงหลานสาวไว้
ใบหน้าสะสวยมีสีหน้ารู้สึกผิด เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบเบาๆ “ท่านย่า ข้าขอโทษ รู้อย่างนี้ข้าออกมาบอกท่านก่อนดีกว่า”
“คุณหนู 2 วันนี้ท่านยุ่งอยู่กับอะไรถึงไม่ได้ออกมาเลย” ผู้เฒ่าหยิงก็ถามด้วยความอยากรู้
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ดีมากๆอยู่แล้ว”
หยูเฮงเป็นคนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮูหยินฟาง ผู้เฒ่าหยิง ข้ากับคุณหนูกำลังวิธีแก้ปัญหาเรื่องหินพลังวิญญาณอยู่ หลังจากนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกแล้ว”
“แก้ปัญหาเรื่องหินพลังวิญญาณ?” ผู้เฒ่าหยิงถามอย่างตกใจ “แก้อย่างไร ไปหาหินพลังวิญญาณที่ไหน หรือว่า 2 วันนี้พวกท่านสกัดยาเม็ดกันอยู่”
นอกจากสกัดยาเม็ดแล้ว ผู้เฒ่าหยิงก็นึกวิธีอื่นที่จะหาหินพลังวิญญาณไม่ได้เลย
“เฮ่ะๆ แน่นอนว่าไม่ใช่”
——————————————
TQF:บทที่ 559 ออกจากเฉาซาง (1)
“พอก่อน ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดอะไร” ไม่รู้ทำไมฟางซูหยุนไม่ยอมให้ทั้ง 2 เฉลยออกมา
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสถึงความรำคาญใจจากสีหน้าท่านย่าได้ ราวกับเจอเข้ากับบางอย่าง จึงถามขึ้น “ท่านย่า เกิดอะไรขึ้นหรือ”
หรือว่า 2 วันนี้ที่โรงเตี๊ยมเกิดบางอย่างขึ้นโดยที่ตัวเองไม่รู้
ไม่ทันที่ฟางซูหยุนจะตอบ ผู้เฒ่าหยิงข้างๆชิงเอ่ยก่อน “คุณหนู ตอนนี้มีคนจำนวนมากคอยสืบหาข่าวของพวกเราอยู่ ขืนเราอยู่ที่นี่ต่อต้องเจอปัญหาแน่ เจ้าของโรงเตี๊ยมเองก็จะพลอยยุ่งยากไปด้วย”
“เกิดอะไรขึ้น” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังไม่เข้าใจ
หยูเฮงกระพริบตาปริบๆถามงงๆ “พวกเราอยู่โรงเตี๊ยมนี้แล้วไปเกี่ยวอะไรกับคนอื่น ทำไมต้องตามหาพวกเราด้วย”
“ข้างนอกนั่นไม่รู้ว่าใครไปประกาศเรื่องที่เราเป็นคนต่างถิ่น มีเงินทองและสมบัติมากมาย ทำให้มีผู้ฝึกฝนวิทยายุทธนับไม่ถ้วนเข้ามาคอยเสาะหาเรื่องของเราแม้ในยามวิกาล โรงเตี๊ยมนี้แทบจะถูกล้อมไว้หมดแล้ว ทำให้แขกคนอื่นๆในโรงเตี๊ยมไม่พอใจ เจ้าของโรงเตี๊ยมก็เช่นกัน ดังนั้น….”
“นี่มันอะไรกัน…”
ไม่ทันที่ผู้เฒ่าหยิงจะพูดจบ หยูเฮงก็โมโหโทโสแล้ว นางตะโกนลั่น “พวกเราจ่ายหินพลังวิญญาณเพื่อเข้าพักที่โรงเตี๊ยม เขากล้าไม่ยอมให้อยู่รึ นี่มันคนทำมาหากินบ้านอะไร มีลูกค้าแต่ไม่เอารึ นี่มันรังแกกันชัดๆ อย่าให้ข้าต้องโมโห ไม่อย่างนั้นจะทุบโรงเตี๊ยมนี้ให้ราบเป็นหน้ากองไปเลย”
“เอาหน่า โทษเขาไม่ได้หรอก อย่างไรซะก็เป็นพวกเราเองที่ไปเตะตาผู้ฝึกฝนวิทยายุทธพวกนั้นเข้า โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าเจ้ากับเสี่ยวเสี่ยวไม่อยู่ ยิ่งทำให้พวกเขาอยากรู้อยากเห็นเข้าไปใหญ่ วนเวียนอยู่แถวโรงเตี๊ยมทั้งวัน กลางค่ำกลางคืนก็ไม่เว้น ทำให้แขกหลายคนเข้าใจผิด เจ้าของโรงเตี๊ยมเองก็ลำบากใจ”
ฟางซูหยุนไม่มีท่าทีตำหนิเจ้าของโรงเตี๊ยม แต่ช่วยอธิบายความลำบากใจของเขา นางพูดจบก็หันไปมองเฉิงเสี่ยวเสี่ยว “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“มี 2 วิธี พวกเราแอบออกจากเฉาซาง จะได้ไม่ถูกพวกเขารบกวน 2 เราอยู่ที่โรงเตี๊ยม แต่หาซื้อบ้านสักหลัง อยู่สัก 2-3 เดือนค่อยไป” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอกอย่างไตร่ตรอง
“จะไปก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ไปหาที่อื่นอยู่ก็ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้าหากซื้อบ้านอยู่ที่นี่ ถึงจะไม่คุ้มแต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ ตอนจะไปค่อยขายก็จบ แต่ถ้าทำแบบนี้พวกผู้ฝึกฝนวิทยายุทธในเมืองต้องมาหาถึงที่แน่ ถึงตอนนั้นเราไม่ยอมไปเจอใครก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่”
ฟางซูหยุนขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบา รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธมาหายังพอเมินได้ แต่หากเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจะทำแบบนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จัก หากคนอื่นหามาถึงที่นี่เจอจริงๆจะไม่สนใจไม่ได้ โดยเฉพาะไปเตะตาคนที่นี่เข้าแล้ว คนอื่นยังไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของตัวเองต้องไม่ยอมรามือแน่
ยิ่งหากมีการชักจูงจากคนคิดไม่ดี ต้องเห็นย่าหลานทั้ง 3 เป็นเหยื่อให้ล่าแล้วแน่ๆ ตอนนี้จะเลือกทางไหนก็เต็มไปด้วยความยุ่งยาก
“ท่านย่า ที่นี่มีข่าวอะไรน่าสนใจมั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถาม
ฟางซูหยุนเหล่มองอย่างสงสัย ถามขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าหมายความว่า?”
“ท่านย่า ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรให้อยู่ต่อแล้ว เราไปจากที่นี่กันเถอะ ไปที่โถงสาขาวิหารสวรรค์ใกล้ๆก็ยังดี อยู่ที่นี่ไปก็ไม่สงบ ในเมื่อไม่มีเรื่องจำเป็นให้อยู่แล้ว สู้เราไปซะดีกว่า”
“ใช่แล้วฮูหยินฟาง ที่นี่ไม่มีโถงสาขาวิหารสวรรค์ และก็ไม่มีผู้เชี่ยวชาญยันต์วิเศษด้วย เราไปจากที่ไหนดีกว่า ถ้ามีพวกไม่กลัวตายมาหาเรื่องพวกเราจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวหรอก”
ตอนนี้หยูเฮงมีพลังระดับจักพรรดิ์อมตะ ไม่กลัวพวกผู้ชายไม่หวังดีพวกนั้นหรอก
“ถูกต้อง ข้าก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่แล้ว โถงสาขาวิหารสวรรค์ที่ระดับล่างสุดก็อยู่ที่อำเภอชั้น 2 ไม่ใช่หรือ พวกเราไปดูหน่อยก็ดี จะได้หาผู้เชี่ยวชาญยันต์วิเศษมาคลายคำสาปให้ท่านย่าด้วย”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งพูดจบ ผู้เฒ่าหยิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ฮูหยินฟาง ข้าคิดว่าคุณหนูและหยูเฮงพูดถูก ไปจากที่นี่เถอะ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ไม่สามารถฝึกฝนอย่างสบายใจได้”
“ได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ” ฟางซูหยุนตัดสินใจ
“เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเราไป คืนนี้เราเคลื่อนย้ายโดยใช้มิติกัน จะได้ไม่มีใครรู้ตัว” หยูเฮงเสนอขึ้น
“ไม่ดี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่เห็นด้วย มองตาเฒ่าข้างๆ “ไม่น่าจะมีใครเคยเห็นผู้เฒ่าหยิง พรุ่งนี้ข้า ท่านย่า หยูเฮงจะไปคืนห้องด้วยกัน แล้วเราก็ไปจากที่นี่”
“ทำไม”
หยูเฮงไม่เข้าใจ ผู้เฒ่าหยิงก็เหมือนกัน ฟางซูหยุนก็มองนางด้วยความฉงน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม “เราจะพึ่งมิติทุกเรื่องไม่ได้หรอกนะ ถึงแม้การพึ่งพามิติจะช่วยลดปัญหาลง แต่ปัญหาก็มีข้อดีของมันอยู่ เรื่องดีและเรื่องร้ายมักจะมาคู่กัน ไม่ลองประสบพบเจอด้วยตัวเองดูก็เสียเที่ยวที่มาผืนดินฉางไห่น่ะสิ”
“อีกอย่าง มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเราถึงจะได้ข่าวคราวต่างๆมากขึ้น ดังนั้น ข้าตัดสินใจว่าจะจากไปท่ามกลางสายตาของทุกคน”
พูดมาถึงตรงนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ลูบหัวหยูเฮงเบาๆ “หยูเฮง เจ้าต้องปกป้องท่านย่าให้ดีนะ เรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง”
“ได้ ไม่มีปัญหา” หยูเฮงตอบรับเต็มปากเต็มคำ
ฟางซูหยุนยิ้ม ไม่ได้ปฏิเสธ
—————————————
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น