ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 551.1-563.2

ตอนที่ 551.1

 

ม่านราตรีมาเยือน ท้องฟ้าเหมือนดั่งม่านดำขนาดมหึมา ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด 


 


 


เสียงฝีเท้าม้าอันเร่งร้อนและแจ่มชัดเหยียบย่ำกรีดผ่านทุ่งหญ้าอันสงบเงียบ ท่ามกลางความรางเลือน เงาร่างหลายสิบร่างวิ่งห้อตะบึงมาแต่ไกล ม้าศึกที่อยู่ใต้ร่างวิ่งตัดผ่านความมืดดั่งธนู ท่วงท่าปราดเปรียว เมื่อเข้ามาใกล้ถึงค่อยๆ มองเห็นเงาร่างของคนกลุ่มนี้ชัดเจนขึ้น กลับเป็นชาวทูเจวี๋ยเสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตาอิดโรยสามสิบสี่สิบคน ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นดินทั้งหวาดกลัวและประหวั่นลนลาน มีหลายคนที่ยังได้รับบาดเจ็บจากธนูอีกด้วย โลหิตไหลหลั่ง ทว่าพวกมันกลับไม่สนใจที่จะทำแผล เร่งม้าดั่งโผบิน หันกลับไปชะเง้อมองด้วยความตื่นเต้นอยู่เป็นระยะ  


 


 


ณ สถานที่อันห่างไกลท้องฟ้ายามสายัณห์เวิ้งว้าง มองไม่เห็นเงาคน ไม่เห็นฝีเท้าม้า ชาวต้าหัวซึ่งตามเข่นฆ่าพวกมันมาตอดเส้นทางไม่รู้ถูกสลัดทิ้งจนมองไม่เห็นตั้งแต่เมื่อไหร่  


 


 


ทุ่งหญ้า ในที่สุดก็ถึงดินแดนของชาวทูเจวี๋ยของพวกเราแล้ว! ชนเผ่านอกด่านทุกคนต่างน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื้นตัน กู่ร้องยินดี สีหน้าแห่งความตื่นเต้นออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น  


 


 


การหลบหนีครั้งนี้อย่างน้อยก็เดินทางออกมาได้สี่ห้าสิบลี้ ม้าทูเจวี๋ยเหนื่อยจนส่งเสียงหอบแฮ่กๆ ชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนหลังม้าก็ยิ่งหอบหายใจราวกับวัวด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว 


 


 


เมื่อพักผ่อนเล็กน้อยไปครู่หนึ่ง ชนเผ่านอกด่านซึ่งเป็นผู้นำที่อยู่ในนั้นก็มองสหายของตนเอง อ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เสียงซึ่งปกติดังก้องกังวานดั่งระฆังยามนี้กลับแหบพร่า เห็นๆ อยู่ว่าคิดจะพูดภาษาทูเจวี๋ย แต่พอฟังด้วยหูของคนในเผ่า กลับเป้นการร้องคำรามสะเปะสะปะดังอ๊าๆ อันแหบพร่า 


 


 


ข้ากลับพูดไม่ได้! ชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นหน้าซีดเผือด ดวงตาสาดประกายหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาใช้แรงทั่วทั้งสรรพางค์กาย พยายามสั่งการอย่างเอาเป็นเอาตาย นอกจากเสียงอ๊าๆ แหบพร่าที่อยู่ในลำคอแล้ว กลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว สิ่งที่ยิ่งทำให้อกสั่นขวัญแขวนไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ แต่สหายที่ร่วมหลบหนีกับเขามาอีกสามสี่สิบคนต่างหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีผู้ใดพูดออกมาได้สักคนเดียว 


 


 


หนึ่งในนั้นที่หนวดเคราเต็มหน้า ดึงหมวกลงต่ำคนหนึ่งใช้สองมือดึงปากออกกว้าง พยายามพูดออกมาหลายประโยค จนใจที่พยายามอยู่นานก็ยังไร้ผล ชาวทูเจวี๋ยสามสี่สิบคนได้ยินเสียงคำรามด้วยความเดือดดาลของเจ้าดำคนนี้ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาพร้อมกัน เสียงโหยหวนของหมาป่าดังสลับกันไปมา ดังไม่ขาดสาย   


 


 


ยังเป็นชาวทูเจวี๋ยที่เป็นหัวหน้าที่สงบเยือกเย็นอยู่บ้าง คิดถึงช่วงหลายวันที่ถูกจับตัว นอกจากเที่ยงวันนี้ที่ชาวต้าหัวส่งมองเนื้อแห้งให้พวกมันหลายชิ้นราวกับบังเกิดความเมตตาแล้ว เวลาอื่นมันกับสหายของมันต่างไม่ได้กินข้าวสักเม็ด ด้วยความตะกละตะกราม เนื้อแห้งนั้นกลายเป็นอาหารชั้นยอดในท้องของพวกมันตั้งแต่แรก ตอนนี้พอมาคิดดูจะต้องเป็นชาวต้าหัวผู้ชั่วช้าที่เล่นตุกติกในเนื้อแน่นอน ทำให้มันกับเหล่าสหายของมันไม่อาจเอ่ยปากพูดได้อีก 


 


 


ท่ามกลางเสียงขู่แฮ่ๆ ความปีติยินดีซึ่งเกิดขึ้นหลังประสบคราเคราะห์ปลาสนาการไปตั้งแต่แรก ใบหน้าของชาวทูเจวี๋ยทุกคนเต็มไปด้วยความโมโหเดือดดาลและความหวาดกลัว ความเจ้าเล่ห์เพทุบายและความชั่วช้าของชาวต้าหัวทำให้พวกมันหวาดกลัว ความคิดเพียงหนึ่งเดียวในยามนี้ของพวกมันเพียงต้องการหลุดพ้นจากกรงเล็บมารของชาวต้าหัวให้เร็วที่สุด หวนคืนสู่อ้อมกอดของเทพแห่งทุ่งหญ้า 


 


 


ด้วยความรู้สึกผิดหวังกับความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีออกมาไม่มีเวลามานับว่าที่อยู่ซ้ายขวานั้นเป็นคนรู้จักกันหรือไม่ พวกมันกัดฟันกรอดแล้วควบม้าห้อตะบึงโดยไม่เอ่ยวาจา คล้ายต้องการสลัดความคิดเกี่ยวกับมารร้ายต้าหัวทิ้งไป 


 


 


“ชาวทูเจวี๋ย” ที่ใบหน้ามีหนวดเคราเต็มไปหมด ปกปิดใบหน้าเกินครึ่งหนึ่งผู้นั้นปะปนอยู่ในกลุ่มของชนเผ่านอกด่าน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สีหน้าเดือดดาลเศร้าสร้อย เพียงแต่ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีใครดูรูปโฉมของเขาออก 


 


 


ทุกคนต่างมีจิตใจหนักอึ้ง อีกทั้งไม่รู้ว่าเดินทางออกมาได้กี่ลี้แล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังขึ้นมา แทรกมาด้วยเสียงดาบม้าและที่ใส่ธนูกระแทกกัน ที่อยู่ไกลๆ ทหารม้าทูเจวี๋ยหลายร้อยนายชูคบเพลิงสูงแล้ววิ่งห้อตึงมาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“อ๊า…อ๊า…” ครั้นเห็นทหารม้าทูเจวี๋ยอันห้าวหาญ เหล่าชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีมาพลันหลั่งน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื่นเต้นทันที รีบชูแขนร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นยินดี ทหารม้าทูเจวี๋ยกลุ่มนั้นเพิ่มความเร็วในบัดดล พุ่งตรงมาทางนี้ 


 


 


เมื่อทั้งสองฝ่ายใกล้กัน ใบหน้าของทหารม้าทูเจวี๋ยก็มองเห็นได้ชัดเจน ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือชายฉกรรจ์จมูกโด่งโดดออกมาผู้หนึ่ง รูปร่างหน้าตาองอาจห้าวหาญ พอมันเห็นหัวหน้าชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีออกมาผู้นั้นก็พลันส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตกใจ “ตูเอ่อร์ฮั่นจี้ เหตุใดถึงเป็นเจ้าได้?!” 


 


 


ตูเอ่อร์ฮั่นจี้ผงกศีรษะอย่างเดือดดาล ร้องอ๊าๆ เปะปะวุ่นวายหลายครั้ง หัวหน้าทหารม้าไม่รู้ว่ามันพูดไม่ได้แล้ว มองการแสดงของตูเอ่อร์ฮั่นจี้อยู่นาน ถึงกระนั้นกลับไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีออกมาแต่ะคนสีหน้าร้อนรน ร้องอ๊าๆ เสียงดังออกมาพร้อมกัน ทหารม้าที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นถึงเข้าใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ทันที “พวกเจ้าพูดไม่ได้?” 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยสี่สิบคนผงกศีรษะพร้มอกัน สีหน้าเสียใจเดือดดาลออกมาให้เห็นชัดเจน  


 


 


คบเพลิงส่องทุ่งหญ้าให้สว่างขึ้นมาก ชายฉกรรจ์หนวดเคราเต็มใบหน้าท่าทางดุร้ายมากที่สุดซึ่งร้องโวยวายก่อนหน้านั้นแอบก้มหน้าลงต่ำ เพื่อไม่ให้คนจับพิรุธได้ แม้จะฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่ออก แต่เขาก็เดาได้ว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้กำลังคุยอะไรกันอยู่ อดยื่นมือไปลูบคลำหน้าอกไม่ได้ แอบหัวเราะฮิฮะ พูดไม่ได้แล้วจะนับเป็นผายลมอะไรได้ ขอเพียงท่านปู่เกาของเจ้ายินดี ทำให้พวกเจ้านกเขาไม่ขันทั้งชาติ นั่นเป็นเรื่องเล็กที่ทำได้ง่ายดายราวกับยื่นมือไปหยิบมา 


 


 


สี่สิบคนต่างพูดไม่ได้? หัวหน้าทหารม้าตกใจยิ่ง เมื่อเห็นสายตาร้อนรนของตูเอ่อร์ฮั่นจี้ก็ไม่ถามไถ่ รีบโบกมือ ทหารม้าขบวนใหญ่เปลี่ยนทิศทาง คุ้มกันส่งชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีมากลับไป 


 


 


เดินทางได้ยี่สิบสามสิบลี้ ก็เห็นพื้นราบขนาดมหึมาแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ชาวทูเจวี๋ยสองสามพันคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เสียงคนดังเซ็งแซ่ ชาวทูเจวี๋ยเหล่านี้เหงื่อท่วมร่าง ท่ามกลางความดุร้ายแฝงความเหนื่อยล้า ม้าทูเจวี๋ยซึ่งเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ในแผงคอมีเหงื่อกระจ่างใสเกาะเป็นชั้นๆ ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวเพลิงอันลุกโชน ดูสะดุดตาอย่างเห็นให้ชัด 


 


 


เห็นชัดว่าชาวทูเจวี๋ยเพิ่งมาถึงที่นี่ อานม้ายังไม่ได้ถอดลง คอกม้ายังสร้างไม่เรียบร้อย ม้าทูเจวี๋ยสามพันตัวแกว่งหางไปมาเดินสับสนวุ่นวายไปทั่ว ดูอลหม่านยิ่งนัก 


 


 


เกาฉิวมองหลายครั้ง อดที่จะลอบผงกศีรษะไม่ได้ เจ้าเหล่าหูนี่มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ชาวทูเจวี๋ยตั้งค่ายยามพระอาทิตย์ตกดินจริงด้วย 


 


 


เหล่าทหารม้าทูเจวี๋ยซึ่งกำลังเตรียมน้ำและหญ้าให้ม้าศึกมองดูสหายร่วมชาติราวสี่สิบคนซึ่งชุดขาดวิ่น หน้าตาอิดโรยเดินเข้ามาในค่ายอย่างไร้ชีวิตชีวา ค่อยๆ มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้น ชาวทูเจวี๋ยนิสัยป่าเถื่อน แต่ไหนแต่ไรมาเทิดทูนแต่ผู้แข็งแกร่ง พวกมันเหยียบย่ำซากศพของสหายร่วมชาติเพื่อเดินไปข้างหน้าได้ นิสัยหมาป่ามองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นกับคนร่วมชนเผ่าซึ่งถูกชาวต้าหัวจับตัว ทั้งยังหลบหนีออกมาพวกนี้ สีหน้าดูแลนจึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน  


 


 


ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองของชาวทูเจวี๋ย ตัวปลอมเช่นเกาฉิวนี้จึงรีบดึงหมวกให้ต่ำลงมากขึ้น ศีรษะก็ก้มจะติดเท้าแล้ว เพื่อไม่ให้คนจับผิดได้ เขา ‘ทำตัวต่ำต้อย’ ขนาดนี้ แม้ทำให้ชาวทูเจวี๋ยยิ่งหัวเราะเยาะและดูแคลน แต่กลับไม่มีใครสงสัย ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าชาวต้าหัวกลับขวัญกล้าถึงเพียงนี้ กล้าปะปนเข้ามาในค่ายของทูเจวี๋ยเพียงลำพัง 


 


 


“พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก ห้ามผู้ใดไปไหนซี้ซั้ว” หัวหน้าทหารม้าคำรามใส่ทุกคน ลากตัวตูเอ่อร์ฮั่นจี้ผู้สูญเสียการพูด รีบเดินเข้าไปในกระโจมที่เพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อยหลังหนึ่ง 


 


 


เกาฉิวกลอกตาวุ่นวาย แอบมองประเมินรอบด้าน บนตัวและใบหน้าทหารม้าทูเจวี๋ยสามพันคนนี้เต็มไปด้วยฝุ่นดินทราย เห็นชัดว่าการเคลื่อนทัพทางไกลหนึ่งวันหนึ่งคืนทำให้สูญเสียพลังกายพวกมันอย่างมาก ในมือของคนส่วนใหญ่ถือเนื้อแห้งและอาหารเสบียง นั่งอยู่บนพื้น กำลังดื่มน้ำสะอาดที่เพิ่งจะตักมา ขบฉีกเนื้อกันอยู่ ยังมีอีกหลายร้อยคนที่กำลังสร้างคอกม้า เตรียมป้อนหญ้าและน้ำให้ม้าศึก 


 


 


ทั่วทั้งค่ายตั้งกระโจมอย่างง่ายๆ มาแค่สองหลัง ชาวทูเจวี๋ยนั่งจับกุล่มเล็กๆ พักผ่อนกระจายอยู่บนพื้นหญ้า ดูจากท่าทางพวกมันแค่พักผ่อนชั่วคราวเท่านั้น ผ่านไปไม่นานก็จะออกเดินทางอีก 


 


 


เกาฉิวกำลังมองอย่างใจลอย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กแปลกประหลาดเสียงหนึ่งดังเข้ามา “ถอยไปๆ เจ้าพวกเชลยขวัญอ่อน!” 


 


 


เขาฟังภาษาทูเจวี๋ยไม่ออก ดังนั้นจึงอดเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้ เห็นทหารม้าทูเจวี๋ยสองคนกำลังร้องเสียงดัง หัวเราะแปลกประหลาด ในมือยกถังไม้ขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยน้ำสะอาดที่เพิ่งตักมาจากทะเลสาบ ผลักเกาฉิวและชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างกายเขาโดยไร้ความกริ่งเกรง เดินไปทางคอกม้า  


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีออกมาพ่ายแพ้หลายครั้ง เดิมทีก็มีเพลิงโทสะอยู่ในใจอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของคนในเผ่าก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ สายตาของทุกคนต่างเดือดดาล ขวางทหารม้าสองคนนี้ไว้ เข้าไปหาแล้วระดมต่อยวุ่นวาย! การต่อยตีครั้งนี้พลันเหมือนกระทะที่เดือดพล่าน ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเมื่อครู่ยังพักผ่อนอยู่บนพื้นหญ้าพลันเข้ามาจากรอบด้าน ค่ายของชนเผ่านอกด่านต่างสับสนอลหม่าน 


 


 


เกาฉิวหัวเราะฮิฮะเย้ยหยันหลายครา ฉวยโอกาสยามราตรีเบียดร่างออกมาจากฝูงชน เข้าใกล้บริเวณรวมตัวของม้าศึกโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง หญ้าอ่อนที่เพิ่งงอกเงยเรียงรายกันเป็นทิวแถว ห่างออกไปไม่ไกลราวสามถึงห้าก้าวมีรางให้อาหารม้าขนาดกว้างใหญ่รางหนึ่ง ภายในรางนั้นบรรจุน้ำสะอาดที่ตักมาเต็มไปหมด ม้าศึกสามพันตัวเดินทางอย่างเร็วรี่มาทั้งวัน มีเหงื่อกระจ่างใสผุดออกมาจาตามซอกขน เปล่งประกายวิบวับ กำลังกินน้ำและหญ้าอย่างสบายอารมณ์  


 


 


กวาดตามองโดยรอบคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสายตาของทุกคนต่างไปอยู่ที่เหตุชุลมุนบนสนามหญ้า เกาฉิวก็ควักห่อยาหลากสีออกมาจากอก กลั้นลมหายใจ เดินกระย่องกระแย่งเข้าใกล้รางน้ำ กวนผงยาที่อยู่ในมือลงไปในน้ำอย่าเงียบงัน 


 


 


“เอะอะอะไรกัน!” มีคนสามคนเดินออกมาจากกระโจมที่เพิ่งสร้างเสร็จ นอกจากตูเอ่อร์ฮั่นจี้กับหัวหน้าคนก่อนหน้านี้แล้ว ผู้ที่อยู่หน้าสุดกลับเป็นชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบกว่าปี ลำตัวตั้งตรงองอาจห้าวหาญ หน้าตาดุร้ายป่าเถื่อน สองตามันเบิกโพลง ใหญ่โตราวกับกระดิ่ง จากนั้นก็ไม่มีผู้ใดส่งเสียงดังขึ้นมาอีก 


 


 


ชายฉกรรจ์ผู้นี้เหือนเป็นหัวหน้าของทหารม้าสามพันคนนี้ มันกล่าวด้วยท่าทีดุร้ายออกมาว่า “ผู้กล้าทูเจวี๋ยทุกคน รวมพลทันที ทหารม้าต้าหัวอยู่ข้าหน้าพวกเรา ถึงเวลาทำคุณประโยชน์ให้ท่านข่านแล้ว!” 


 


 


“สั่วหลานเข่อ แบบนี้จะบุ่มบ่ามเกินไปหรือเปล่า? จากคำพูดของตูเอ่อร์ฮั่นจี้ ชาวต้าหัวที่เข้าสู่ทุ่งหญ้าพวกนั้นมีถึงห้าพันคน ต่างเป็นทหารต้าหัวชั้นยอดที่เลือกมาจากหนึ่งในพัน มิหนำซ้ำอัวเหล่ากงหัวหน้าของพวกมันเจ้าเล่ห์เพทุบาย แผนการมากมาย พวกเราไปเช่นนี้จะตกหลุมพรางของมันหรือเปล่า?!” 


 


 


ผู้ที่พูดก็คือหัวหน้าทหารม้าที่ช่วยตูเอ่อร์ฮั่นจี้ก่อนหน้านี้ มันขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง 


 


 


“กลัวใช่หรือเปล่า?” สั่วหลานเข่อกล่าวระคนหัวเราะอย่าดูแคลน “หรือว่าทหารอาชาเหล็กทั้งสามพันของข้ายังจะสู้ชาวต้าหัวแค่ห้าพันไม่ได้? หากเจ้ากลัว เจ้าก็พาคนจากฮาเอ่อร์เหอหลินกลับไปก่อนเถอะ พวกเราเอ๋อจี้น่าไม่มีวันถอยเด็ดขาด” 


 


 


หัวหน้าทหารม้ากล่าวอย่างมีน้ำโห “เจ้ากล้าดูถูกพวกเรา? ดินแดนฮาเอ่อร์เหอหลินผู้กล้าหาญของข้าไม่มีคนที่ถอยหนีเด็ดขาด” 


 


 


สั่วหลานเข่อผงกศีรษะ “ดี ท่านข่านก็ต้องการผู้กล้าเช่นเจ้านี้ ตอนนี้จงถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้ตรวจสอบสามสิบห้าคนที่ตูเอ่อร์ฮั่นจี้พามาให้ละเอียด ชาวต้าหัวเจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้าไม่เชื่อว่าพวกมันจะปล่อยนักโทษง่ายดายขนาดนี้ จะต้องมีแผนการแอบแฝงแน่นอน” 


 


 


พกมันสองคนสนทนากัน เกาฉิวฟังออกเป็นแค่เสียงโช้งๆ เช้งๆ กลับฟังไม่ออกสักประโยคเดียว ห่อยาโปรยลงไปในรางอาหารของม้าจนหมดสิ้น รอเวลาครึ่งป้านน้ำชา หญ้าและน้ำเสบียงของม้าศึกก็เกือบหมดแล้ว เกาฉิวอดหัวเราะฮิฮะไม่ได้ 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยค่อยๆ รวมตัวกันที่ค่ายใหญ่ ชนเผ่านอกด่านสามสิบกว่าคนที่หลบหนีมาก็ถูกเรียกมาไต่ถามทีละคนด้วยเช่นกัน 


 


 


“ขาดไปคนหนึ่ง!” หลังจากสั่วหลานเข่อนับไปหลายรอบ ทันใดนั้นก็ตวาดเสียงดังกึกก้องออกมา “เจ้านั่นจะต้องเป็นไส้ศึกแน่ รีบค้นเร็ว!” 


 


 


มันพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงพลุสัญญาณดังพรึบมาจากท้องฟ้า แตกเป็นประกายอันเจิดจ้าที่สุดท่ามกลางม่านราตรี เจิดจ้าอร่ามตายิ่งนัก  


 


 


“หลานชาวทูเจวี๋ยทั้งหลาย ท่านปู่เกาแห่งต้าหัวของพวกเจ้าอยู่นี่!” ชายฉกรรจ์สวมชุดชนเผ่านอกด่าน หนวดเคราเต็มใบหน้าคนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้า ระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น เขาโยนหมวกทิ้งไป เผยให้เห็นใบหน้าอันแท้จริง 


 


 


“เป็นมัน…จับมันเอาไว้!” เหล่าทหารม้าทูเจวี๋ยตวาดดังลั่นด้วยความเดือดดาล ชูดาบม้าขึ้นสูงแล้วบุกเข้าหาเกาฉิว 


 


 


“ไป!” เกาฉิวรีบคตวาดออกมาคราหนึ่ง มือหนึ่งถือดาบปัดป่ายธนูอันคมกริบที่ยิงเข้ามา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับแผงคอม้าแล้วเร่งม้าศึกที่อยู่ใต้ร่าง ม้าทูเจวี๋ยกู่ร้องยาวๆ พุ่งขวับออกไปไกล ทะลวงชาวทูเจวี๋ยจนกระจัดกรจาย เพียงชั่วพริบตาก็วิ่งทะยานออกไปนอกค่าย 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยฝึกฝนมาดีดังคาด เกาฉิวขี่ม้าบุกออกไป ทั้งรวดเร็วรุนแรงและกะทันหัน ชนเผ่านอกด่านกลับไม่สับสนวุ่นวายแม้แต่น้อย คนหลายพันคนขึ้นหลังม้า บังคับม้าดึงบังเ**ยนพร้อมเพรียงกัน ไล่ตามอยู่ข้างหลังเขา 


 


 


“ฟิ้ว!” บนท้องฟ้าอันห่างไหลปรากฏพลุสัญญาณขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายกำลังตอบรับทางนี้อยู่ 


 


 


“ข้างหน้าออกไปอีกสี่สิบลี้ พบเงาร่างของทหารม้าต้าหัว!” ม้าเร็วที่อยู่ข้างหน้ามารายงาน ทำให้ใบหน้าของหัวหน้าทูเจวี๋ยแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นทันที ดาบโค้งในมือมันออกจากฝัก ตวาดเสียงดังออกมา “เหล่าผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน เพื่อท่านข่าน เวลาสร้างผลงานมาถึงแล้ว! ฆ่าชาวต้าหัวที่บุรุกทุ่งหญ้า ฆ่าพวกมัน!” 


 


 


“ฆ่าชาวต้าหัว!” นิสัยดุร้ายของชาวทูเจวี๋ยปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน ส่งเสียงขู่คำรามของหมาป่าดังแฮแฮ่ สามพันคนคร่อมอยู่บนหลังม้า ร่างแทบจะอยู่ในระนาบเดียวกับหลังม้า ความรวดเร็วนั้นยังเร็วยิ่งกว่าลูกธนูเสียอีก เสียงฝีเท้าดังตึงๆ กระแทกทุ่งหญ้าราวอสุนีบาตยามวสันต์ ผืนแผ่นดินคล้ายบังเกิดความสั่นสะเทือน  

 

 

 


ตอนที่ 551.2

 

เกาฉิวหันกลับไปมอง ตกใจจนขนลุกชันขึ้นมาทันที ม้าศึกสามพันตัววิ่งห้อตะบึงออกมาพร้อมกัน ราวกับยอดเขาที่ไหลเลื่อนเข้ามาหาใต้ท้องนภา ก่อฝุ่นดินคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า ความกึกก้องกัมปนาทเพียงพอที่จะกลทุกสรรพสิ่ง ดาบม้าที่ถืออยู่ในมือชาวทูเจวี๋ยส่องประกายเย็นเยียบ ไม่ต้องเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงเสียงลมหวีดหวิว ลูกธนูคมกริบบินผ่านเป็นระยะ ยิงมาที่ท้ายทอย หัวไหล่และแผ่นหลังเขาราวกับมีดวงตางอกเงย ดาบใหญ่ในมือเขากวัดแกว่งไปมาไม่หยุด ตกใจจนหัวชาวาบ 


 


 


มีแค่อยู่บนทุ่งหญ้าเท่านั้นถึงรับรู้ความผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของชาวทูเจวี๋ยอย่างแท้จริงได้ พวกมันขี่ม้ายิงธนูรวดเร็วราวกับสายลม เป็นสิ่งที่คนนอกชนเผ่าใดๆ ไม่อาจต้านทานได้ เมื่อเทียบกับการโจมตีบนทะเลทรายแล้ว ชาวทูเจวี๋ยซึ่งรวมกลุ่มกันบนทุ่งหญ้าถึงจะดุร้ายที่สุดและน่ากลัวมากที่สุด 


 


 


เพียงอึดใจเดียวก็วิ่งมาได้ยี่สิบกว่าลี้ ม้าทูเจวี๋ยเหงื่อท่วมร่างราวกับสายฝน ทว่าความเร็วกับไม่ได้ลดทอนแม้แต่น้อย ชนเผ่านอกด่านที่อยู่ข้างหลังตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ห่างไม่เกินสอสามร้อยลี้ ข้างใบหูได้ยินเสียงกรีดร้องของชนเผ่านอกด่านและเสียงหวีดหวิวของลูกธนู แม้เหล่าเกาจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ถึงกระนั้นก็ยังถูกทำให้ตื่นตระหนก เยื่อแก้วหูดังวิ้งๆ หน้าซีดเผือดไม่ได้อยู่ดี 


 


 


“เหล่าหู หูปู้กุย เจ้ายังไม่ไสหัวออกมามารดามันอีก?!” เกาฉิวอ้าปากด่าทอไปหลายประโยค ระหว่างร้อนรนใช้สองมือกุมศีรษะ รีบหลบลูกธนูที่โจมตีเข้ามาดอกหนึ่ง ทว่าม้าศึกใต้ร่างกลับร้องต่ำๆ ออกมา น้ำขาวแตกฟองในปาก ขาหน้าอ่อนยวบ ล้มลงไปตรงๆ ขณะที่ล้มลงไปนั้นขาหลังก็ยกขึ้น ร่างของเกาฉิวถูกสลัดหลุดออกไป 


 


 


เมื่อเห็นชาวต้าหัวตกม้า ชาวทูเจวี๋ยก็คึกคักขึ้นมาทันที พวกมันส่งเสียงผิวปากโห่ร้องยินดี ม้าใต้ร่างบุกเข้ามาดั่งสายลม 


 


 


“มารดามัน!” เมื่อเห็นชนเผ่านอกด่านม้าศึกที่รุกมาทางด้านหลัง เหมือนจะมาถึงได้ภายในชั่วพริบตา ร่างของเหล่าเกาก็กลิ้งตลบอยู่บนพื้นสองรอบ หนีออกไปไกลลิบทันที กุมหัวแล้วรีบวิ่งมุดไป 


 


 


“น้องเกาไม่ต้องกลัว หูปู้กุยมาแล้ว!” มีเสียงคำรามดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาจากสถานที่อันห่างไกล เสียงฝีเท้าม้าดังตึงตังขึ้นมา ราวกับอสุนีบาตยามวสันต์อันสะเทือนเลื่อนลั่นใบหู คบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนส่องค่ำคืนอันมืดมิดจนสว่างราวกับกลางวัน ธงมังกรหัวเซี่ยพลิ้วไสวท่ามกลางสายลม เหล่าเกาน้ำตาร้อนคลอเบ้าด้วยความตื้นตันขึ้นมาทันที ท่านแม่ ในที่สุดผู้ช่วยชีวิตก็มาแล้ว! 


 


 


มองดูทหารม้าทูเจวี๋ยที่ห้อตะบึงมาแต่ไกลราวกับหมาป่า หลินหว่านหรงก็กุมมือเหล่าเกา กล่าวทอดถอนชมเชย “พี่เกา หากศึกครั้งนี้ได้ชัย ท่านคือผู้สร้างผลงานอันดับหนึ่ง!” 


 


 


“น้องหลินกล่าวชมเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ” เกาฉิวหน้าชื่นตาบาน เพียงชั่วพริบตาก็ลืมเลือนอันตรายที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ม้าศึกชนเผ่านอกด่านวิ่งออกมายี่สิบกว่าลี้ ภายในชั่วอึดใจเดียว ถือว่าเป็นตะเกียงที่ใกล้เหือดแห้ง ฮิฮิ พอที่จะสร้างความลำบากให้ไอ้เด็กพวกนี้แล้ว” 


 


 


ทั้งสองเพิ่งพูดคุยสัพยอกกันไปไม่กี่ประโยค ทหารม้าทูเจวี๋ยที่อยู่ตรงข้ามก็ค่อยๆ หยุดลง ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านมีเสียงแข็งกระด้างแว่วมาเสียงหนึ่ง กลับเป็นภาษาต้าหัว “ที่อยู่ตรงข้าม คืออัวเหล่ากงต้าหัวทหารม้า?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางไสม้าไปข้างหน้า “มิกล้าๆ ชื่อของข้าน่าจะให้ท่านย่าของท่านมาเรียกขานถึงจะถูก ฝั่งตรงข้ามคือแม่ทัพจากเอ๋อจี้น่าหรือว่าฮาเอ่อร์เหอหลิน?” 


 


 


“ข้าคือสั่วหลานจากเข่อเอ๋อจี้น่า” ฝั่งตรงข้ามมีชาวทูเจวี๋ยหน้าตาดุร้ายผู้หนึ่งขี่ม้าออกมา แส้ม้าในมือชี้มาที่หลินหว่านหรง “อัวเหล่ากง รีบลงจากม้าแล้วยอมจำนนโดยเร็ว ข้าจะให้เจ้ามีสภาพศพครบถ้วน มิเช่นนั้นจะต้องบดขยี้ร่างเจ้าเป็นเสี่ยงๆ” 


 


 


“โหดร้ายขนาดนี้เชียว” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “แม่ทัพเข่ออะไรผู้นี้ ได้ยินว่าท่านเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าใช่หรือไม่?” 


 


 


สั่วหลานเข่ออึ้งเล็กน้อย ถึงมันจะยอมรับว่าตัวเองกำลังวังชาไร้ขีดจำกัด ทว่าก็ไม่เคยกล้าเพ้อเจ้อเรียกตนเองว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า แต่เมื่อเห็น ‘อัวเหล่ากง’ จากต้าหัวทำหน้าตาทะเล้นเจ้าเล่ห์ มันจึงกล่าวด้วยความเดือดดาลออกมา “ข้าคือผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า! ชาวต้าหัวผู้อ่อนแอ เจ้ากล้ามาสู้ตัดสินกับข้าหรือไม่?! ข้าขอใช้ชื่อของผู้กล้ารับประกันกับเจ้า จะไม่ลอบโจมตีเจ้าเด็ดขาด!” 


 


 


หลินหว่านหรงหรี่สองตาลงเล็กน้อย จ้องมองม้าตัวนั้นหลายครั้ง หัวเราะแล้วตอบว่า “ท่านเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า ส่วนข้าน่ะหรือ พอฝืนเรียกได้ว่าผู้กล้าที่อ่อนแอมากที่สุดของต้าหัว ในเมื่อแม่ทัพสั่วหลานเข่อต้องการได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า มาท้าทายผู้กล้าที่อ่อนแอมากที่สุดแห่งต้าหัว เฮ้อ ข้ารู้สึกกระดากใจที่จะปฏิเสธเหลือเกิน…พี่สั่ว ท่านถนัดใช้อาวุธใดมากที่สุด?” 


 


 


สั่วหลานเข่อส่งคันธนูที่แบกอยู่ข้างหลังส่งให้คนด้านข้าง ชูดาบศึกที่อยู่ในมืออย่างหยิ่งผยอง “ข้าเป็นทหารม้าทูเจวี๋ย แน่นอนว่าต้องใช้ดาบโค้งสู้ตัดสินกับเจ้า สั่วหลานเข่อขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า จะไม่ลอบโจมตีเป็นอันขาด” 


 


 


“อ้อ” หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้าเช่นกัน เพื่อความยุติธรรม ข้ากับพี่สั่วสองคนในมืออนุญาตให้ถืออาวุธได้เพียงชนิดเดียว ผู้ใดตกลงจากหลังม้าก่อน หรือผู้ใดถูกอีกฝ่ายโจมตีถูกก่อน นั่นก็ถือว่าผู้นั้นพ่ายแพ้ พี่สั่วรู้สึกว่าเป็นเช่นไร?!” 


 


 


คิดจะแข่งทักษะการขี่ม้ากับข้า? สั่วหลานเข่อหัวเราะหยัน “ได้ วิธีการนี้ยุติธรรม อาวุธที่ข้าใช้คือดาบโค้ง เจ้าใช้อะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงควักของสีดำทะมึนอย่างหนึ่งออกมาจากอก กุมอยู่ในมือ หัวเราะแล้วพูดว่า “เพื่อแสดงความใจกว้างของต้าหัวเรา ข้าจะใช้อาวุธสั้นนี้สู้กับท่าน ท่านดูสิ นี่สั้นกว่าดาบโค้งของท่านมากเลยนะ พี่สั่ว ข้าเป็นคนซื่อ ทุกคนต่างก็รู้ดี ไม่มีทางเอาเปรียบท่านแน่นอน” 


 


 


อาวุธสั้นที่อัวเหล่ากงถืออยู่ในมือนั้นสั้นมากจริงๆ และมีขนาดไม่เกินฝ่ามือของสั่วหลานเข่อมากเท่าใดนัก บนนั้นมีท่อเหล็กมัดอยู่สองท่อ เปล่งประกายหรุบหรู่ ดูไม่ออกว่าร้ายกาจอย่างไร 


 


 


“ดี เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่า” สั่วหลานเข่อวางใจ วิ่งม้าจะมาข้างหน้า 


 


 


“เฮ้อ ช้าก่อน!” หลินหว่านหรงเหลอบมองม้าศึกตัวนั้นอีกครา หัวเราะพร้อมโบกมือ “พี่สั่วอย่าลนลานไป ยังมีอีกเรื่องที่จะไม่ได้นัดหมายกัน” 


 


 


“เรื่องอะไรอีก?!” เมื่อเห็นชาวต้าหัวคนนี้ยึกยัก สั่วหลานเข่อจึงรู้สึกไม่พอใจมาก 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะหยัน “ในเมื่อเป็นการสู้ตัดสิน เช่นนั้นก็ต้องมีของรางวัล พี่สั่ว หากท่านแพ้ ทหารม้าสามพันของท่านนี้ก็ต้องยอมจำนนให้จับกุม ให้ข้าจัดการตามใจชอบ! หากข้าแพ้ ข้าจะปล่อยคนผู้หนึ่ง!” 


 


 


“เจ้าเห็นข้าเป็นไอ้โง่หรืออย่างไร?” สั่วหลานเข่อร้องด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง “ข้าแพ้แล้วต้องมอบคนในเผ่าข้าให้เจ้า เจ้าแพ้กลับปล่อยคนแค่คนเดียว” 


 


 


“อย่าลนลานไป” หลินหว่านหรงคลำขอชิ้นหนึ่งออกมาจากรองเท้า หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “ดูเจ้านี่เสียก่อน ท่านก็จะรู้ว่ามันคุ้มหรือไม่!” 


 


 


สิ่งที่ถืออยู่ในมือเขาก็คือดาบโค้งขนาดเล็กเล่มหนึ่ง ทำจากทองคำบริสุทธิ์ วิจิตรงดงามเหนือธรรมดา ส่องประกายเจิดจรัสภายใต้แสงเพลิงลุกโชติช่วง 


 


 


“อ๊ะ นี่มันก็ไม่ใช่ดาบของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือ?!” เกาฉิวร้องออกมาเบาๆ  


 


 


เมื่อเห็นดาบโค้งสีท้องอร่ามนี้ สั่วหลานเข่อก็อ้าปากกว้างทันที ดวงตาสาดประกายด้วยความหวาดกลัว ยินดี มุ่งหวัง มันลงจากม้าก่อน จากนั้นจึงคุกเข่าข้างหนึ่ง โค้งคารวะอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ปากพร่ำบ่นพึมพำกับตนเองสองประโยคด้วยท่าทางจริงใจ จากนั้นแสงตาของมันก็กระจ่างวูบด้วยแววดุร้าย พลิกตัวขึ้นม้าแล้วขู่คำรามเสียงดัง “ชาวต้าหัว ข้ารับปากเงื่อนไขของเจ้า!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้กลับยังสำคัญยิ่งกว่าคนในเผ่าสามพันคนของมันอีกหรือ?! หูปู้กุยเกาฉิวดวงตาฉายแววตกใจ 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะยิ้มแย้ม ส่งดาบทองให้หูปู้กุย “เอาเถอะ พี่สั่ว นี่น่าจะเป็นการสู้ตัดสินที่ยุติธรรมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าหัวและทูเจวี๋ยแล้ว เริ่มตอนนี้เลยเถอะ!” 


 


 


“ไป!” หลินหว่านหรงเพิ่งพูดจบ สั่วหลานเข่อก็ดึงบังเ**ยน ดาบโค้งวาววับที่อยู่ในมือกรีดเป็นลำแสงเย็นเยียบสายหนึ่ง โจมตีโดยตรงมาที่หลินหว่านหรง ขณะที่ม้าศึกใต้ร่างมันกระโดดขึ้นคล้ายชะงักงันเล็กน้อย เพียงแต่ยามนี้สั่วหลานเข่อกำลังบังเกิดความคิดสังหารเปี่ยมล้น ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้ 


 


 


“มาได้ดี!” หลินหว่านหรงหัวเราะยาวๆ สองครา สองขาหนีบม้าศึก ห้อตะบึงออกไปราวกับลูกธนู 


 


 


หนึ่งร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง เมื่อเห็นว่าสองคนค่อยๆ เข้ามาใกล้ กำลังจะแลกชีวิตกันนั้น จู่ๆ หลินหว่านหรงก็หัวเราะเสียงดังคราหนึ่ง หักหัวม้ากลับ กลับวิ่งไปยังทิศทางที่ตั้งฉากกับสั่วหลานเข่อ วิ่งวนอยู่บนพื้นที่ว่างหน้าทัพทั้งสองฝ่าย  


 


 


“ไปไหน!” เมื่อเห็นชาวต้าหัวคล้ายขลาดกลัวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มสู้ สั่วหลานเข่อยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง ตวาดเสียงดังคราหนึ่ง ควบม้าตามอยู่ข้างหลังเขา 


 


 


เมื่อเห็นผู้นำทัพลงสนามเข่นฆ่า ทหารของทั้งสองฝ่ายต่างไม่กะพริบตา จ้องมองการกระทำทุกอย่างของทั้งสองคนเขม็ง 


 


 


วิชาการขี่ม้าของสั่วหลานเข่อไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย หลินหว่านหรงวิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างหน้า มันไล่ตามอยู่ข้างหลัง ระยะห่างขยับเข้ามาใกล้ทีละก้าว จากร้อยจั้งในคราแรก จนถึงแปดสิบจั้ง ห้าสิบจั้งในช่วงท้าย ระยะห่างใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ทหารต้าหัวพลันหลั่งเหงื่อเย็นทันที 


 


 


“ระวังปืน!” หลินหว่านหรงที่กำลังห้อตะบึงอยู่ตวาดออกมายาวๆ อย่างฉับพลัน หันหน้ากลับมาบนหลังม้า กระบอกปืนดำเมี่ยมเล็งมาที่สั่วหลานเข่อ 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่อยู่บนม้าขดตัว ก้มหัวลงไปทันที อาวุธสั้นของอัวเหล่ากงกลับสงบนิ่ง ปราศจากเสียง นี่กลับเป็นกระบวนท่าหลอก ระยะที่ไล่ตามจนใกล้เมื่อครู่ห่างออกไปภายในชั่วพริบตานี้ เหล่านายทหารต้าหัวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง  


 


 


วนเป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนหนึ่งหนี คนหนึ่งตาม ทุกครั้งที่สองฝ่ายเข้ามาใกล้ ชาวต้าหัวก็จะ ‘ระวังปืน’ สั่วหลานเข่อทำได้เพียงก้มหัวลงไปอย่างจนใจ ทั้งยังทำให้ทหารทั้งหลายหัวเราะเยาะ  


 


 


ไปมาอยู่สองรอบ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยนั้นก็แว่วเข้าสู่หูของสั่วหลานเข่อ ผู้กล้าทูเจวี๋ยทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ดาบม้าในมือชูขึ้น ขู่คำรามแฮ่ๆ “อัวเหล่ากงคนเจ้าเล่ห์ เก่งนักเจ้าก็อย่าหนี!” 


 


 


“สั่วหลานเข่อคนขวัญอ่อน เก่งนักเจ้าก็อย่าตาม!” เสียงหัวเราะงอหายของชาวต้าหัวแว่วเข้ามา ผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด  


 


 


ในที่สุดสั่วหลานเข่อก็ทนไม่ได้แล้ว มันใช้แรงทั้งร่างตบม้าที่อยู่ใต้ร่าง ม้าทูเจวี๋ยตัวนั้นระหว่างที่วิ่งอยู่ปากก็มีฟองสีขาวให้เห็นรางๆ เหงื่อสีแดงออกเต็มร่างประดุจโลหิต 


 


 


ด้วยความพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของสั่วหลานเข่อ ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายก็ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ สามสิบจั้ง ยี่สิบจั้ง ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ขนบนใบหน้าของชาวต้าหัวก็มองเห็นชัดเจน 


 


 


“ระวังปืน!” หลินหว่านหรงหันกลับมาทันที ตวาดรุนแรงคราหนึ่ง สั่วหลานเข่อถูกเขาขู่มามากแล้ว ตอนนี้จึงกลับไม่กลัว ไม่เพียงไม่หลบ หน้าตากลับยิ่งดุร้ายมากขึ้น “ไป!” มันหวดแส้ลงบนก้นม้า ม้าทูเจวี๋ยส่งเสียงอย่างอ่อนแรงสองครา ล้มลงดังโครมโดยหัวอยู่หน้าเท้าอยู่หลัง ล้มลงไปข้างหน้า ร่างของสั่วหลานเข่อพลันตั้งตรงราวกับก้อนหิน ถูกดีดออกไปตรงๆ  


 


 


เสียงดัง ‘ปัง’ สนั่นหวั่นไหวคราหนึ่ง สั่วหลานเข่อร่วงหล่นลงพื้นอย่างแรง หน้าผากมีรูโลหิตขนาดใหญ่รูหนึ่ง สองตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับ! 

 

 

 


ตอนที่ 552.1

 

เหตุกะทันหันนี้อยู่เหนือความคาดหมายชาวทูเจวี๋ยทั้งหมด ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึงว่าสั่วหลานเข่อผู้กล้าแห่งเอ๋อจี้น่าที่เห็น ๆ อยู่ว่ากำลังได้เปรียบ ท่วงทีดุร้ายป่าเถื่อนนั้น ภายในชั่วพริบตากลับร่วงหล่นจากม้า ถูกชาวต้าหัวโจมตีจนถึงแก่ชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างนั้นมีความแปลกประหลาดพิสดารอย่างบอกไม่ถูก ชาวทูเจวี๋ยสามพันคนยืนแน่นิ่งอึ้งอยู่กับที่ เงียบงันไร้ซึ่งสรรพสำเนียง 


 


 


ทหารต้าหัวกลับยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง หัวเราะงอหายเรื่องที่เข่นฆ่าหัวหน้าศัตรูอย่างง่ายดาย แม่ทัพหลินช่างเป็นดั่งเทพเสียจริง เกาฉิวชูมือกู่ร้องเสียงดังนำ “แม่ทัพหลินเลิศภพจบแดน ไร้เทียมทาน!” 


 


 


“เฮ! เฮ! เลิศภพจบแดน! ไร้เทียมทาน!” นายทหารห้าพันคนชูดาบทวนและคบเพลิงในมือขึ้นสูง ท่ามกลางแสงไฟอันเจิดจ้า เสียงกู่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นดังกระหึ่มไปจนถึงสวรรค์ชั้นฟ้า 


 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้ชอบทำให้คนนับถือเสียจริง! หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา เป่าควันที่ปากกระบอกปืนเบาๆ จากนั้นจึงเก็บปืนเข้าไปในอก หักหัวม้าแล้วเดินเยื้องย่างไปข้างกายสั่วหลานเข่อ เห็นว่าชาวทูเจวี๋ยผู้นี้นอนหงายอยู่บนพื้น สองมือสองขาแผ่หลาเป็นตัวอักษร “太” (ไท่) ขนาดใหญ่ บนหน้าผากมีรูโลหิตขนาดยักษ์รูหนึ่ง โลหิตไหลทะลัก เพียงชั่วพริบตาก็ย้อมพื้นหญ้าสีเขียวข้างกายจนแดงฉาน สั่วหลานเข่อเบิกสองตาโพลง ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจว่าตนเองพ่ายแพ้ได้อย่างไร 


 


 


หลินหว่านหรงกลับไปยังหน้าขบวนของตนเอง แหงนหน้าหัวร่อยาวๆ “การสู้ตัดสินที่ยุติธรรมมากที่สุดบนโลกเสร็จสิ้นแล้ว สั่วหลานเข่อตายแล้ว! พวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยยังไม่รีบลงจากม้ายอมจำนนอีก?!” 


 


 


“ลงจากม้ายอมจำนน ลงจากม้ายอมจำนน!” เหล่าทหารต้าหัวอารมณ์พลุ่งพล่าน กู่ร้องตะโกนออกมาพร้อมเพรียงกัน 


 


 


ชนเผ่านอกด่านสามพันคนต่างมองหน้ากัน พวกมันแม้แต่ฝันก็ยังคิดไม่ถึง สั่วหลานเข่อซึ่งเดิมทีควรเป็นชาวทูเจวี๋ยที่ถนัดการประลองมากที่สุด กล้าหาญดุดันมากที่สุดกลับถูกคนคร่าชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชาวต้าหัวเจ้าเล่ห์นี้ใช้วิชามารอะไรอีกด้วย นี่ก็สร้างความตื่นตระหนกและแรงกดดันทางทางจิตใจแก่พวกมันอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำตามข้อตกลงก่อนการประลองระหว่างสั่วหลานเข่อกับอัวเหล่ากง หากสั่วหลานเข่อพ่ายแพ้จนตัวตาย ชนเผ่านอกด่านสามพันคนจะต้องวางดาบยกมือยอมจำนน สิ่งนี้สำหรับชาวทูเจวี๋ยซึ่งมีนิสัยหมาป่าแล้วถือเป็นการหยามเหยียดอย่างยากจะรับได้ 


 


 


“ชาวต้าหัวที่ไร้ยางอาย พวกเจ้าเล่นตุกติก! ข้าจั่วจ้านไม่มีทางยอมเจ้าแน่!” ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านที่เงียบงัน จู่ๆ ก็มีเสียงโมโหเดือดดาลดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง คนผู้นั้นร่างกายแข็งแรงกำยำ ซึ่งก็คือหัวหน้าทหารม้าที่มาช่วยตูเอ่อร์ฮั่นจี้ก่อนหน้านี้นั่นเอง เมื่อสั่วหลานเข่อตาย จั่วจ้านผู้นี้จึงกลายเป็นหัวหน้าสูงสุดของชาวทูเจวี๋ยสามพันคน 


 


 


เกาฉิวแนะนำที่มาที่ไปของคนผู้นี้เสียงเบา หลินหว่านหรงตะโกนเสียงดังออกไปว่า “จั่วจ้านใช่หรือไม่? ได้ยินว่าเจ้าเป็นหัวหน้าจากฮาเอ่อร์เหอหลิน เจ้าอย่ามาใช้จิตใจของคนถ่อยมาประเมินจิตใจของวิญญูชน นี่คือการประลองที่ยุติธรรมมากที่สุดบนโลกนี้ เป็นสั่วหลานเข่อผู้กล้าแห่งเอ๋อจี้น่าที่เอ่ยปากตกลงด้วยตัวเอง แม้เขาจะรบพ่ายแพ้จนตัวตาย แต่กลับยังสง่าผ่าเผยตรงไปตรงมากว่าเจ้ามากนัก เจ้าปฏิเสธไม่ยอมรับผลการสู้ตัดสินอย่างเปิดเผย ไม่เพียงแต่ไม่เคารพต่อผู้กล้าจากเอ๋อจี้น่า ทว่ายิ่งลบหลู่เทพแห่งทุ่งหญ้าอีกด้วย เทพแห่งทุ่งหญ้าจะต้องลงโทษพวกเจ้าแน่นอน 


 


 


หูปู้กุยที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วก็หัวเราะพรวดออกมาทันที หากเอ่ยถึงฝีปาก ผู้ใดยังจะเหนือกว่าแม่ทัพหลิน หลายประโยคนี้ไม่เพียงสร้างความร้าวฉานระหว่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า แต่ยิ่งยกเอาเทพแห่งทุ่งหญ้าผู้ยิ่งใหญ่มาอีกด้วย ชาวทูเจวี๋ยต่อให้จะกร่างอีกสักเพียงใดก็ไม่กล้าไม่เคารพเทพแห่งทุ่งหญ้า! 


 


 


จริงดังคาด หลินหว่านหรงพอพูดจบ ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านก็บังเกิดเสียงทะเลาะเบาะแว้งดังเซ็งแซ่ ชาวต้าหัวใช้แผนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ พวกมันมองไม่เห็น แต่สั่วหลานเข่อสาบานโดยใช้เทพแห่งทุ่งหญ้า กลับเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ยินกับหู หากตระบัดสัตย์ก็ต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ มีชนเผ่านอกด่านที่ซื่อสัตย์บางคนคุกเข่าลงไปแล้ว กำลังสวดภาวนาแด่เทพแห่งทุ่งหญ้า 


 


 


จั่วจ้านหัวหน้าทหารม้าแห่งฮาเอ่อร์เหอหลินเห็นว่าค่อยๆ สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ มันจึงสะบัดดาบม้าในมืออย่างฉับพลัน รีบตวาดด้วยน้ำเสียงมีโทสะออกมาว่า “เหล่าผู้กล้าทูเจวี๋ย เชิดศีรษะอันสูงส่งของพวกเจ้าขึ้นมา ห้ามก้มหัวยอมจำนนแด่ชาวต้าหัวที่ต่ำชั้นเป็นอันขาด เพื่อแสดงความจงรักภักดีที่พวกเรามีต่อท่านข่าน ฆ่าชาวต้าหัว! บุก!” 


 


 


มันและม้าบุกอยู่ข้างหน้าสุด ทหารม้าในดินแดนตนหลายพันนายตามติดอยู่ข้างหลังมัน ทุ่งหญ้าบังเกิดลมสลาตันอันรุนแรงขึ้นมาหอบหนึ่ง ชาวทูเจวี๋ยซึ่งเดิมทียังลังเลตัดสินใจไม่ได้ เพียงชั่วพริบตาก็ถูกสัญญาณบุกตะลุยนี้กระตุ้นสันดานหมาป่าขึ้นมา พวกมันส่งเสียงขู่แฮ่ๆ แล้วพลิกตัวขึ้นหลังม้า รวมตัวกันจนกลายเป็นสายน้ำที่ไหลทะลักสายหนึ่ง บุกเข่นฆ่าเข้าให้กระบวนทัพต้าหัว 


 


 


ทอดสายตามองจุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่วิ่งห้อตะบึงมาอย่างเร็วรี่บนทุ่งหญ้า หลินหว่านหรงก็รู้สึกเดือดดาลยิ่งนัก “มารดามัน! เจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ช่างดื่มนมแพะแล้วฉี่เหม็นจริงๆ ด้วย ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด!” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะ “ไม่มีความน่าเชื่อถือก็ยิ่งดี อีกประเดี๋ยวพวกเราลงมือขึ้นมาจะได้ยิ่งถูกต้องเที่ยงธรรมมากขึ้น ถอย พี่น้องทั้งหลาย ถอยไปให้หมด!” 


 


 


หูปู้กุยออกบัญชา ทหารม้าต้าหัวห้าพันนายหักหัวม้าวิ่งห้อตะบึงจากไป จั่วจ้านเห็นรูปการณ์แล้วยินดียิ่งนัก “ชาวต้าหัวผู้อ่อนแอ ไม่กล้าสู้ตัดสินกับพวกเรา! ผู้กล้าทั้งหลาย ตามข้าไปฆ่ามัน!” 


 


 


“ฆ่า!” เมื่อเห็นทหารม้าต้าหัวถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เลือดลมหมาป่าของชาวทูเจวี๋ยก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที ลืมเลือนการลงทัณฑ์จากเทพแห่งทุ่งหญ้าอะไรนั่นไปตั้งแต่แรก พวกมันเร่งม้าศึก ชูดาบวาววับที่อยู่ในมือขึ้น แย่งกันกู่ร้องหวีดหวิว ท่วงท่าดุร้ายน่ากลัว 


 


 


เพียงอึดใจเดียวก็วิ่งออกมาได้สองลี้ ม้าทูเจวี๋ยซึ่งวิ่งบุกตะลุยอยู่ข้างหน้าสุดจำนวนหลายร้อยตัวหลั่งเหงื่อโลหิตประดุจสายฝนทั่วร่าง ส่งเสียงหอบหายใจหนักๆ ดังฟืดฟาด ร่างกายค่อยๆ เริ่มสั่นเทา ทหารม้าทูเจวี๋ยยังไม่รู้ตัว ม้าศึกซึ่งกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วพลันร่างวูบลงไปหนึ่งช่วง เท้าทั้งสี่ไม่อาจออกแรงได้อีก ล้มตรงๆ ไปข้างหน้าทันที 


 


 


“อ๊า!” ชาวทูเจวี๋ยที่ตกใจจนหน้าถอดสีถูกเหวี่ยงออกไปราวกับโยนก้อนหิน ร่างหมุนหลายรอบกลางอากาศ ล้มลงตรงๆ กระแทกพื้น ร้องโอดโอยอย่างน่าอนาถ ม้าศึกร้องโหยหวนเสียงแหบพร่า ดังไปทั่วสนามรบต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน ทหารม้าที่บุกตามหลังมารั้งไม่ทัน กีบเท้าม้ารุนแรงเหยียบย่ำร่างของสหายและม้าศึก ร่วงออกไปครั้งหนึ่ง ม้าศึกทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังวิ่งอย่างเร็วรี่จู่ๆ ก็เหมือนหล่นวูบกลางอากาศ ล้มลงภายในชั่วพริบตา ลอยปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยร่างของชนเผ่านอกด่าน 


 


 


ชาวต้าหัวซึ่งเดิมที่ ‘หลบหนี’ อย่างเร็วรี่หัวหัวกลับมาโดยพร้อมเพรียง หูปู้กุยดึงบังเ**ยน หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ชาวทูเจวี๋ยคนตระบัดสัตย์ เทพแห่งทุ่งหญ้าเริ่มลงโทษพวกเจ้าแล้ว พี่น้องทั้งหลาย บุก!” 


 


 


“บุก!” ทหารม้าต้าหัวที่หักหัวกลับมาประหนึ่งยอดขุมบรรพตที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วบนทุ่งหญ้า บุกเข้ามาราวกับลมพายุ เมื่อเทียบกับชาวทูเจวี๋ยก็ยิ่งเหนือกว่าจนไม่อาจเทียมทัดได้ ระยะทางหลายลี้ประชิดเข้ามาใกล้ภายในชั่วพริบตา ชาวทูเจวี๋ยซึ่งยังคงร้องร้องครวญคราวโอดโอยอยู่บนพื้นพวกนั้นมองดูดาบสังหารของชาวต้าหัวที่ฟันลงมา ถึงกระนั้นกลับหมดเรี่ยวแรงต้านทานหลบหลีก ท่ามกลางประกายโลหิตอันไม่มีที่สิ้นสุด ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนกลายเป็นวิญญาณอันแดดิ้นใต้คมดาบทหารต้าหัว เสียงร้องด้วยความตกใจ เสียงร้องโอดโอย กรีดผ่านความเงียบสงัดของทุ่งหญ้าระลอกแล้วระลอกเล่า ดังก้องไปทั่วท้องนภา 


 


 


มองดูคนในเผ่าของตนที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นจากม้า ม้าทูเจวี๋ยอันแข็งแรงบึกบึนไร้เทียมทานในกาลก่อนล้มลงบนพื้นน้ำลายฟูมปาก เมื่อลองคิดถึงสั่วหลานเข่อซึ่งถูกโจมตีจนตายอย่างน่าประหลาด ในที่สุดจั่วจ้านก็บังเกิดปัญญา มันรีบตะโกนเสียงหลง “แย่แล้ว พวกมันเล่นตุกติกกับม้าศึก ลงจากม้า รีบลงจากม้า!” 


 


 


ยามนี้ชนเผ่านอกด่านตกลงสู่ห้วงสนามรบโดยสิ้นเชิง แล้วจะมีสักกี่คนที่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของมันกัน?! ม้าทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งไปข้างหน้าตามกันล้มลงไปทีละตัว ม้าแต่ละตัว ชาวทูเจวี๋ยแต่ละคน ต่างกลายเป็นเป้าสังหารของทหารม้าต้าหัว เมื่ออยู่ต่อหน้าความสับสนอลหม่านซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ สถานการณ์จึงสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ต่อให้เป็นชาวทูเจวี๋ยที่ฝึกฝนมาอย่างดีมากที่สุดก็ไม่อาจรวมกลุ่มเพื่อป้องกันและโต้กลับอย่างมีประสิทธิภาพได้ พวกมันทำได้แค่มองดูคนในเผ่าตนเองล้มลงทีละคนเท่านั้น ความหวาดผวาและความสิ้นหวังที่ไม่เคยมีมาก่อนครอบคลุมจิตใจของทุกคน 

 

 

 


ตอนที่ 552.2

 

ท่ามกลางโลหิตชุ่มโชก ทหารม้าต้าหัวที่บุกล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าเป็นเหมือนมารปีศาจที่ร่วงลงมาจากฟ้าภายในใจชาวทูเจวี๋ย พวกเขาโลหิตชโลมร่าง ไอสังหารเข้มข้น ทำให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่ใช่อากาศหนาว แต่ละดาบของเหล่าทหารม้าที่ฟันลงไปล้วนต้องมีเสียงร้องโหยหวนของชาวทูเจวี๋ยดังขึ้นมา แขนขาขาดพิการ โลหิตสาดกระจายเต็มพื้นหญ้า ความแม่นยำและความโหดเ**้ยมนั้น แม้แต่ชนเผ่านอกด่านที่คุ้นชินกับการเข่นฆ่าสังหารก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านยิ่งนัก 


 


หูปู้กุยควบม้าห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะร่าเสียงดังด้วยความสาแก่ใจ เข่นฆ่าสังหารต่อหน้าชนเผ่านอกด่านที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ามากที่สุด มองดูความหวาดผวาและความสิ้นหวังอันล้ำลึกภายในดวงตาของพวกมัน ความรู้สึกเช่นนั้นมันช่างสาแก่ใจอย่างไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบได้ ทุกครั้งที่เขายกดาบฟันก็ต้องมีหัวของชาวทูเจวี๋ยหนึ่งหัวที่ปลิวหมุนกรีดเป็นเส้นโค้งสีแดงฉานอยู่กลางอากาศ ร่วงหล่นลงบนพื้นดังตุบ ใบหน้าอันบิดเบี้ยวมองเห็นอย่างชัดเจน 


 


“แฮ่! แฮ่!” เกาฉิวห้อตะบึงอยู่ข้างกายหูปู้กุย ม้าเร็วดั่งลูกธนู ในมือไม่รู้ไปหาเชือกยาวเหยียดมาจากที่ใด ปลายเชือกมัดเป็นวง เขาขู่ร้องเสียงดังไปพลาง สองตาก็เปล่งประกายสีแดงสดของหมาป่า เหวี่ยงบ่วงบาศออกไปราวกับคล้องม้า ด้วยสายตาและพละกำลังของเขา บ่วงบาศนั้นก็คล้องลงบนคอของชนเผ่านอกด่านราวกับมีดวงตางอกเงย ไม่มีครั้งใดที่พลาดเป้า เกาฉิวหัวเราะเสียงดังแปลกประหลาดระคายหูพร้อมดึงเชือก มองดูชนเผ่านอกด่านที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำถูกคล้องจนแน่นราวกับแพะแกะที่หมดหนทางสู้ แลบลิ้นยาว ดวงตาเบิกกว้าง เขาก็ยิ่งบังเกิดสันดานหมาป่า หวดแส้ควบม้า ขยับลากชนเผ่านอกด่านที่ถูกคล้องจนแน่นวิ่งห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่งบนพื้นหญ้าไม่หยุด เมื่อนึกถึงความอกสั่นขวัญหายที่เขาถูก ชาวทูเจวี๋ยไล่ล่าสังหารสิบลี้ก่อนหน้านี้ การกระทำเช่นนี้ก็ให้อภัยได้ 


 


เสียงลม เสียงฝีเท้าม้า เสียงดาบ เสียงกู่ร้องด้วยโทสะ เสียงโอดโอย เหมือนดั่งเพลงสงครามอันแดงฉานเพลงหนึ่งที่ดังกึกก้องไปทั่วทุ่งหญ้า 


 


“ลงจากม้า รีบลงจากม้า!” จั่วจ้านหัวหน้าทหารม้าสองตาแดงฉาน ส่งเสียงดังลั่น เสียงของมันแหบพร่า ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ชนเผ่านอกด่านที่รวมตัวอยู่รอบกายมันก็เหลือแค่ไม่ถึงหกร้อย ทอดสายตามองรอบด้าน ทุกแห่งมีแต่โลหิต หัวม้า แขนขาที่กระจัดกระจายของคนในเผ่า ภพเหตุการณ์อันทารุณโหดร้ายนั้นทำให้ชาวทูเจวี๋ยซึ่งคุ้นชินกับการเข่นฆ่าสังหารมานานต้องสั่นเทา บางทีพวกมันคงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องที่เคยทำกับผู้อื่นเมื่อก่อนจะมีสักวันที่ร่วงหล่นใส่หัวของพวกมันเช่นเดียวกัน เมื่อถึงคราวที่ต้องตายอย่างจริงแท้แน่นอน พวกมันถึงเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าความหวาดกลัว 


 


เสียงดังค่อยๆ สงบลง ทุ่งหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบสงัดอย่างแช่มช้า มีเสียงร้องโอดโอยแผ่วดังขึ้นมาเป็นบางครั้ง เสมือนยันต์กวักวิญญาณ กระแทกดังตึงๆ ใส่หน้าอกของชนเผ่านอกด่านที่เหลืออยู่อย่างรุนแรง ใจของพวกมันไม่เคยเต้นรุนแรงขนาดนี้มาก่อน 


 


ชาวทูเจวี๋ยราวหกร้อยคนที่เหลืออยู่ล้วนมองสถานการณ์ออกตั้งแต่แรก ตัดสินใจทิ้งม้าถึงได้รักษาชีวิตมาจนถึงตอนนี้ พวกมันรวมตัวอยู่ข้างกายจั่วจ้าน กำดาบโค้งในมือแน่น มองชาวต้าหัวที่ล้อมเข้ามาอย่างแช่มช้าจากรอบทิศทางด้วยความหวาดกลัว 


 


ทหารม้าต้าหัวห้าพันนายชูคบเพลิงที่อยู่ในมือขึ้นสูง ค่อยๆ เข้ามาทีละก้าวๆ เข้ามาใกล้ชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่อย่างเงียบงัน พวกเขามีสีหน้าเย็นชา ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยวาจา แม้แต่เสียงฝีเท้าม้าก็เงียบงันแผ่วเบาย่างชัดเจน 


 


โลหิตที่อยู่บนคมดาบของชาวต้าหัวไหลหยดติ๋งๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้าอย่างเงียบงัน เมื่อรวมตัวกันก่อเกิดเป็นเสียงซ่าๆ เบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน ทุ่งหญ้าเงียบสงัดจนแม้แต่เข็มหล่นบนพื้นสักเล่มก็ยังได้ยิน ชาวทูเจวี๋ยเบิกตาโพลง มองดู ทหารม้าต้าหัวที่เกาะกลุ่มทรงพลังราวกับขุนเขาและกำลังรุกคืบเข้ามาทีละก้าวเหล่านี้ รูม่านตาของพวกมันค่อยๆ เบิกกว้าง เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง ความเงียบสงัดแห่งความตายประหนึ่งก้อนศิลาขนาดมหึมาก้อนหนึ่งที่กดทับจิตใจของทุกคน ความรู้สึกที่ชะตาชีวิตถูกคนกุมไว้ในกำมือยังยากจะทานทนยิ่งกว่าฆ่าพวกมันสักร้อยรอบเสียด้วยซ้ำ  


 


ภายใต้ความกดดันอันมหาศาล ในที่สุดชาวทูเจวี๋ยรูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งก็ยากจะทนไหว มันร้อง “อ๊าๆ” เสียงดังสองครั้ง สองตาแดงดั่งโลหิต กวัดแกว่งดาบศึก บุกออกมาท่ามกลางฝูงชน พุ่งไปยังขบวนของชาวต้าหัวราวกับหมาป่าอันเดียวดายตัวหนึ่ง 


 


“พรึบ” เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งกวาดผ่านไป ชาวทูเจวี๋ยที่บุกออกไปยืนแน่นิ่งในบัดดล มันยืนนิ่งอยู่นาน ดาบในมือร่วงลงพื้นดังเคร้ง ร่างกายที่กำยำดั่งหมีล้มครืนโดยพลัน ไม่รู้ว่ามีลูกธนูดอกหนึ่งมาจากที่ใดเสียบทะลุคอหอยมันพอดี ไม่มีโลหิตไหลออกมาสักหยดเดียว ชาวทูเจวี๋ยล้มลงอย่างเงียบงัน แม้ตายไปแล้วก็ยังเบิกตาโพลง 


 


ชาวต้าหัวเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขารุกคืบเข้ามาใกล้อย่างแช่มช้า ใบหน้าสงบนิ่งราวกับว่าธนูดอกนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ฝีเท้าม้าดังกุบกับค่อยๆ ดังมากขึ้นเรื่อยๆ กระแทกหน้าอกชาวทูเจวี๋ยทุกคนชนเผ่านอกด่านซึ่งโชคดีเหลืออยู่ห้าหกร้อยคนกำดาบแน่น กันอยู่ตรงหน้าอกตนเองด้วยสองมืออันสั่นเทา ปราศจากความถืออำนาจบาตรใหญ่โหดเ**้ยมอำมหิตยามที่พวกมันขี่ม้าไล่ตามต้าหัวอีกต่อไป สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นความหวาดผวา ความหวาดผวาที่ไร้จุดสิ้นสุด 


 


ท่ามกลางชาวทูเจวี๋ยพลันมีเสียงร้องเรียกแข็งกระด้างดังขึ้นมา เสียงกู่ร้องตะโกนอันเร่งร้อนแฝงด้วยอาการสั่นเทาของจั่วจ้านหัวหน้าชนเผ่านอกด่านดังแว่วเข้ามา “อัวเหล่ากง เจ้าคนต้าหัวผู้เจ้าเล่ห์ชั่วช้า ต่ำช้าไร้ยางอาย ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า ขอให้ชื่อของผู้กล้าจากฮาเอ่อร์เหอหลิน ขอเชิญเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน ข้าต้องการสู้ตัดสินกับเจ้า” 


 


“สู้ตัดสิน?!” หลินหว่านหรงถ่มหญ้าเขียวที่คาบไว้ในปากออกอย่างไปอย่างรุนแรง กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “มารดามัน! ไอ้เจ้านี่มีหน้าพูดออกมาจากปากอีกนะ? เห็นข้าปัญญาอ่อนหรืออย่างไร! คิดไม่ถึงว่าคนที่หน้าหนากว่าข้าอีกกลับเกิดที่ทูเจวี๋ย!” 


 


เกาฉิวดึงบ่วงบาศเปื้อนโลหิตที่อยู่ในมือแน่น หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “คนน่ะนะ ต่างก็มีช่วงที่หน้าไม่อายกันทั้งนั้น น้องหลิน เจ้าต้องปลงให้ตกสักหน่อย ต้องรู้ว่ามันมีหนังหน้างอกมาหนากว่าเจ้าได้ ถือเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง” 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้นับวันยิ่งมีความสามารถนะ หูปู้กุยฝืนสะกดกลั้นหัวเราะ ประสานมือแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นก็ให้ข้าน้อยไปลองกับมันสักตั้งเถอะขอรับ” 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา “พี่หู หลักการในการจัดการเรื่องราวต่างๆ ของข้าก็คือไม่มีทางเสียเปรียบ  มาสู้ตัดสินกับเจ้าคนที่เหมือนกับปลาในอวนนี้น่ะหรือ?! พวกเราทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้หรือ?!” 


 


ฝีเท้าของชาวต้าหัวยังคงไม่เร็วไม่ช้า แต่ละก้าวแต่ละก้าวทำให้ล้อมชาวทูเจวี๋ยอยู่กึ่งกลาง ความเย็นเยียบมาพร้อมกับสายลมเย็นเสียดแทงกระดูกบนทุ่งหญ้า พัดผ่านจิตใจของทุกคน 


 


จั่วจ้านกำลังจะเอ่ยปากพูดอีก ทว่ากลับได้ยินอัวเหล่ากงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหัวเราะยาวๆ ออกมา “อยากสู้ตัดสิน?! ก็ได้ แต่เจ้าตกลงเงื่อนไขข้าข้อหนึ่งก่อน” 


 


“เงื่อนไขอะไร?!” จั่วจ้านรีบถาม 


 


“เงื่อนไขนี้น่ะหรือ พูดแล้วก็ง่ายดายมาก” อัวเหล่ากงยิ้มเล็กน้อย เผยฟันขาวสะอาดเย็นเยียบ “ขอเพียงพี่จั่วจั่วจ้านเจ้าวางอาวุธ แก้ผ้าให้หมด วิ่งเปลือยร่างอยู่หน้าทัพทั้งสองฝ่ายรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังสามครั้งว่าท่านปู่หลินมาจากต้าหัว ข้าจะส่งคนไปสู้ตัดสินกับเจ้า” 


 


จั่วจ้านใบหน้ามีเส้นเอ็นปูดโปน ขู่คำรามเสียงแฮ่ๆ “เจ้ากล้าลบหลู่ผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ไร้เทียมทาน จั่วจ้านไม่มีทางละเว้นเจ้า ผู้กล้าทั้งหลาย บุกไปกับข้า ฆ่าชาวต้าหัว!” 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่กำลังรอคอยด้วยความร้อนรนและหวาดกลัว เมื่อเผชิญความตายที่อยู่ใกล้ตรงหน้า สุดท้ายก็ปราศจากความอดทนที่จะรอคอยต่อไปอีกแล้ว พวกมันตวาดด้วยความเดือดดาล ชูดาบขึ้น เดินไปทางชาวต้าหัวพร้อมบุกเข่นฆ่าเข้ามา 


 


มองดูกระบวนทัพที่มีฝีเท้าย่ำแย่และสับสน รวมถึงความหวาดกลัวที่ซุกซ่อนอย่างล้ำลึกภายในดวงตาของพวกมัน หูปู้กุยก็ส่ายหน้าพร้อมกล่าวทอดถอนใจ “กระบวนทัพนี้แม้แต่ทหารเดินเท้าขั้นต่ำสุดของต้าหัวเราก็ยังสู้ไม่ได้ ที่แท้พออยู่ห่างจากม้า ชาวทูเจวี๋ยก็ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น!” 


 


คำพูดนี้มีเหตุผลมาก ชาวทูเจวี๋ยเกิดบนหลังม้า ตายบนหลังม้า ม้าศึกก็คือชีวิตที่สองของพวกมัน เมื่อไปจากม้า จุดเด่นของพวกมันก็ปราศจากที่ให้ใช้งาน ด้วยความไม่เป็นระเบียบและความบุ่มบ่ามของชนเผ่านอกด่าน พวกมันก็สูญเสียพลังในการโจมตีอันร้ายกาจไร้เทียมทานของมันไปด้วยเช่นกัน 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเหล่าหูพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ทอดถอนใจไปก็ไร้ประโยชน์ มีจุดเด่นก็มีจุดด้อย ก็เหมือนกับพวกมันที่เชี่ยวชาญการขี่ม้า จะไม่เก่งเรื่องการรบทางเท้าก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ หากมีวันหนึ่งที่ชาวทูเจวี๋ยไม่ฝึกการขี่ม้า เปลี่ยนเป็นฝึกกระบวนทัพทหารเดินเท้าขึ้นมา เช่นนั้นพวกมันก็ไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยแล้ว” 


 


ประโยคนี้ทำให้หูปู้กุยกับเกาฉิวสองคนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นทันที 

 

 

 


ตอนที่ 552.3

 

ชาวทูเจวี๋ยที่กระเสือกกระสนก่อนตายย่างก้าวรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันกวัดแกว่งดาบทำศึก วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หอบหายใจหนักหน่วง เส้นเอ็นปูดโปนบนหน้าผาก สองตาแดงฉานมองเห็นได้ชัดเจน มองเห็นเงาร่างของฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าได้รางๆ 


 


 


หมาป่าก็คือหมาป่า เพียงแต่ถูกถอดเขี้ยวไปก็เท่านั้นเอง หลินหว่านหรงส่ายหน้า โบกมืออย่างเย็นชา ตวาดเสียงดังออกมาว่า “ยิงหน้าไม้!” 


 


 


หน้าไม้ยิงต่อเนื่องอันแสนจะร้ายกาจยิงออกไป ถักทอเป็นร่างแหธนูอันแน่นขนัดอยู่เบื้องหน้ากระบวนของชนเผ่านอกด่าน ลูกศรอันคมกริบจำนวนนับไม่ถ้วนแทงทะลุหน้าผากและหน้าอกชาวทูเจวี๋ย พวกมันล้มลงไปทีละคน ตายตาไม่หลับ ชนเผ่านอกด่านที่สูญเสียม้าศึกปราศจากความน่าเกรงขามในกาลก่อนอีกต่อไป กลายเป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารม้าต้าหัว 


 


 


หลังจากห่าธนูสามรอบผ่านพ้นไป ชาวทูเจวี๋ยสูญเสียไปเกินครึ่ง โลหิตสดๆ ไหลย้อมพื้นหญ้าเป็นสีแดงฉานเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ท่วงทีในการโจมตีก็ค่อยๆ เบาบาง ความดุร้ายของชนเผ่านอกด่านปรากฏให้เห็นยามนี้จนหมดสิ้น แม้คนจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง แต่พวกมันก็ยังเหยียบย่ำซากศพของสหายกรูกันมาข้างหน้าโดยปราศจากความลังเล เพียงแต่สิ่งที่ต้อนรับพวกมันก็คือลูกศรอันคมกริบอันเย็นเยียบกับดาบใหญ่ขาววิบวับของชาวต้าหัว 


 


 


“บุก!” ไม่รอให้หลินหว่านหรงสั่งการ ทหารม้าห้าพันนายบุกออกไปราวกับลมสลาตัน ฝีเท้าม้าอันอึกทึกคึกคักสั่นสะเทือนทุ่งหญ้า ประกายโลหิตสาดกระจาย ทหารม้าต้าหัวใช้ท่วงทีที่รุนแรงดั่งสายลมพัดพาเมฆากระจัดพลัดพราย กวาดม้วนชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยคนที่เหลืออยู่ สนามรบปราศจากเรื่องให้คำนึงอีกต่อไป นี่กลายเป็นการเข่นฆ่าสังหารเพียงอย่างเดียวไปแล้ว ชาวทูเจวี๋ยที่สูญเสียม้าศึกเมื่ออยู่ต่อหน้าทหารม้าต้าหัวก็อ่อนแอราวกับมดปลวก การดิ้นรนขัดขืนทั้งหมดต่างเสียเที่ยวเปล่า เมื่อเผชิญกับทหารม้าที่ดุร้ายราวกับหมาป่าและพยัคฆ์ การดิ้นรนทุกอย่างของพวกมันต่างแลกมาด้วยดาบที่ฟาดฟันร่าง 


 


 


ชั่วเสี้ยววินาทีก่อนตายนั้น ชาวทูเจวี๋ยส่วนใหญ่บังเกิดความทรงจำอันรางเลือน จำได้ไม่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ที่พวกมันเคยเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เพียงแต่พวกมันซึ่งนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าในตอนนั้นกลับล้มครวญครางจมกองเลือด กลับเป็นชาวต้าหัวที่ทุกอย่างในตอนนี้ต่างกลับตาลปัตร หรือว่านี่จะเป็นการลงโทษจากเทพแห่งทุ่งหญ้าจริง? จวบจนสิ้นชีวิต ชาวทูเจวี๋ยก็ยังไม่เข้าใจปัญหานี้อยู่ดี 


 


 


ม้าทูเจวี๋ยสองพันกว่าตัวที่วิ่งออกไปไกลสุดก็ไม่เกินสี่สิบลี้ ส่วนใหญ่ล้วนข้าสี่ข้างอ่อนระทวย น้ำลายฟูมปาก นอนอยู่บนพื้นไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ม้าศึกส่วนน้อยซึ่งยังยืนหยัดต่อไปได้ก็ยากจะหนีพ้นจากชะตาชีวิตที่คมดาบฟาดฟันร่าง ศึกใหญ่ที่ควรจะรุนแรงจบสิ้นไปอย่างสงบเช่นนี้ ทหารม้าชนเผ่านอกด่านสามพันคนถูกกำจัด พวกมันไปไม่มีวันไปถึงต๋าหลานจาตลอดกาลด้วย 


 


 


“น้องเกา เจ้าใช้ยาอะไรกันแน่?!” ทอดสายตามองม้าศึกซึ่งกองอยู่บนพื้นไปทั่วทุ่งหญ้า หูปู้กุยตกใจยิ่งนัก อดดึงเกาฉิวมาไต่ถามให้ละเอียดไม่ได้ 


 


 


เหล่าเกาครุ่นคิด ส่ายหน้าอย่างแช่มช้าแล้วตอบว่า “จำไม่ค่อยได้แล้ว อย่างไรเสียก็กองใหญ่ ยาถ่าย ยาพิษ ยาปลุกกำหนัด ยาสลบอะไรต่อมิอะไร สรุปแล้วที่ใช้ได้ก็เอามาใช้ ผสมรวมกันทั้งหมด น้องหลินกังวลว่าฤทธิ์ยาจะไม่พอ ยังสั่งเป็นพิเศษว่าให้ข้าเพิ่มสารหนูลงไปอีกหลายหยด ฮิๆ ไม่ต้องพูดถึงม้า แม้แต่เทพเซียนก็ทนไม่ไหว” 


 


 


แม้แต่สารหนูก็ใช้ด้วย รุนแรงมากจริงๆ! เหล่าหูขนลุก อดจ้องมองเกาฉิวหลายครั้งไม่ได้ 


 


 


“มองข้าทำไม” เกาฉิวกลอกตาค้อน ใบหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ “สมบัติที่ข้าพกมาก่อนเดินทางใช้จนหมดแล้ว ตอนนี้ยาสักห่อเดียวก็ไม่มี เพื่อต้าหัว ข้าถึงกับมอบทุกอย่างให้เลยนะ” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ สองครา ยกนิ้วกล่าวชื่นชมอย่าบต่อเนื่อง สองคนหัวเราะเฮฮาอยู่ครู่หนึ่ง เกาฉิวมองไปรอบด้าน ทันใดนั้นก็ร้องเอ๊ะด้วยความตกใจ “นั่นไม่ใช่น้องหลินหรือ เขาไปทำอะไรที่นั่นกัน?!” 


 


 


มองไปตามสายตาของเขา เห็นว่ามีซากศพซากหนึ่งนอนอยู่ไกลๆ ซึ่งก็คือจั่วจ้านหัวหน้าทหารม้าแห่งฮาเอ่อร์เหอหลินนั่นเอง ร่างของจั่วจ้านต้องลูกศรหลายดอก หลั่งโลหิตจนตาย หลินหว่านหรงยืนอยู่ข้างจั่วจ้านที่รบจนตัวตายผู้นั้น ในมือไม่รู้ว่าถืออะไร กำลังยืนนิ่งเหม่อลอย 


 


 


หูปู้กุยรีบตามเข้าไป สายตาเหลือบมองก็เห็นว่าสิ่งที่ถืออยู่ในมือหลินหว่านหรงกลับเป็นผ้าไหมเปื้อนเลือดผืนหนึ่ง บนผ้าไหมผืนนั้นคล้ายวาดร่างคนเอาไว้ เนื่องจากอยู่ไกลเกินไปจึงมองเห็นไม่ชัด 


 


 


“พี่หู พี่เกา พวกท่านดูนี่สิ!” เมื่อเห็นสองคนเข้ามาหา หลินหว่านหรงหัวเราะ ส่งผืนผ้าที่อยู่ในมือให้หูปู้กุย “ค้นได้จากตัวจั่วจ้าน” 


 


 


หูปู้กุยรับมาอยู่ในมือ รู้สึกว่าผ้าผืนนั้นสัมผัสอ่อนนุ่ม วิจิตรงดงามล้ำค่า เมื่อมองบนผืนผ้าอีกครา กลับวาดเงาร่างขอสตรีนางหนึ่ง เรือนผมสีดำขลับ คิ้วโก่ง นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึกประดุจสายน้ำ ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านสีทองขับเรือนร่างของนางให้อรชรมากขึ้น งดงามยวนเย้าเหนือธรรมดา ในมือของสตรีผู้นั้นถือดาบโค้งสีทองเล่มหนึ่ง ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ คล้ายแฝงความรู้สึกบีบคั้นกดดันซึ่งควบคุมชะตาชีวิตผู้อื่นได้ 


 


 


“เอ๊ะ ดูคุ้นตามากเลยนะ!” เหล่าเกาพึมพำกบตัวเอง ทันใดนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยน “…นี่ นี่คือเยวี่ยหยาเอ๋อร์!” 


 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้ปฏิกิริยาตอบสนองช้าเกินไปหน่อยนะ! หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ “น่าจะใช่กระมัง พี่หู ท่านเห็นว่าอย่างไร?” 


 


 


หูปู้กุยพินิจพิจารณาผืนผ้าและภาพวาดคนนี้อย่างละเอียด ครุ่นคิดอยู่นานถึงผงกศีรษะ “สตรีที่อยู่ในภาพน่าจะเป็นอวี้เจียอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ข้าเหล่าหูจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่ก็มองออกว่าภาพเหมือนนี้ประณีตวิจิตรงดงาม ในแคว้นทูเจวี๋ย วิชาการต่อสู้คือทุกสิ่ง มีภาพเหมือนอันวิจิตรงดงามในชีวิตที่อยู่ว่างๆ ไม่ทำอะไรเช่นนี้ได้ นั่นต้องเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอนขอรับ” 


 


 


“ผู้สูงศักดิ์?!” หลินหว่านหรงหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลง ครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่นานจากนั้นถึงหัวเราะออกมา “พี่หู ท่านพูดต่อไป” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะเล็กน้อย “อีกประเด็นหนึ่ง คุณภาพของผ้าไหมที่ใช้บนผืนผ้าภาพวาดนี้ เมื่ออยู่ที่ต้าหัวก็ถือเป็นของระดับสุดยอด ดังนั้นเมื่ออยู่ที่แคว้นทูเจวี๋ยจึงยิ่งเป็นของที่คนธรรมดาไม่อาจใช้ได้ บวกกับภาพเหมือนที่งามวิจิตรนี้ ผ้าผืนนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมาจากราชสำนักทูเจวี๋ย” 


 


 


เกาฉิวถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อมาจากราชสำนักทูเจวี๋ย เช่นนั้นเหตุใดภาพนี้ถึงมาอยู่ในมือจั่วจ้านได้ล่ะ หรือว่าเจ้าคนแซ่จั่วนี้จะเป็นคนรักของเยวี่ยหยาเอ๋อร์?” 


 


 


เหล่าเกาอะไรก็กล้าคิดออกมาได้นะ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “จะใช่คนรักของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าแน่ใจได้อย่างหนึ่ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ต้องมาจากราชสำนักทูเจวี๋ยแน่นอน มิหนำซ้ำสถานะยังสูงส่งอีกด้วย สั่วหลานเข่อก่อนหน้านี้รู้จักดาบทองเล่มนี้ ยอมใช้ชีวิตของคนในเผ่าสามพันคนเพื่อแลกให้ข้าปล่อยตัวอวี้เจีย ส่วนบนตัวจั่วจ้านก็ยิ่งมีภาพเหมือนอันวิจิตรงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อีก นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ พิสูจน์เรื่องหนึ่งได้พอดี…” 


 


 


“เรื่องอะไรขอรับ!” หูปู้กุยรีบถาม 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มบาง “พิสูจน์ได้ว่าชาวทูเจวี๋ยกำลังออกตามหาเบาะแสของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างสุดกำลัง! ภาพเหมือนของนางจะต้องส่งไปทุกดินแดนตั้งนานแล้ว ดังนั้นสั่วหลานเข่อถึงยอมสู้ตายเข้าแลก ส่วนสถานะของอวี้เจียจะต้องอยู่ล้ำกว่าที่พวกเราจินตนาการไว้ หรือก็ไม่แน่ว่ายังจะเป็นองค์หญิง ต๋าต๋าอะไรนั่นจริงๆ เสียด้วยซ้ำ” 


 


 


เกาฉิวกับหูปู้กุยต่างสบตากัน พลันบังเกิดความยินดีอย่างยิ่งหากเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นองค์หญิงทูเจวี๋ยจริง เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเขาสองคนต่อให้ต้องสู้อย่างเอาเป็นเอาตายก็ต้องให้น้องหลินเป็นราชบุตรเขยทูเจวี๋ยนี้ให้ได้ 


 


 


สามคนคาดเดาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงรูปโฉม ความรู้ บุคลิกท่าทางของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนองค์หญิง เกาฉิวหัวเราะอย่างต่ำช้า “น้องหลิน ฉวยโอกาสค่ำคืนนี้ฟ้ามืดลมแรง ไม่สู้จัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ ถ้าให้ชนเผ่านอกด่านได้เปรียบไป ไม่สู้ได้เปรียบน้องหลินผู้สง่างามล้ำเลิศเช่นเจ้าจะดีกว่า ขอเพียงเจ้าไม่แต่งเข้าทูเจวี๋ย ข้าเหล่าเกายังมีสมบัติส่วนตัวชิ้นสุดท้ายที่จะมอบให้ อย่าว่าแต่องค์หญิงเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนลงมาจากสวรรค์ นางก็ต้องนอนลงไปอย่างว่าง่าย” 


 


 


“นี่ ก็ไม่ค่อยดีกระมัง!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะอย่างเหนียมอาย “ถึงข้าจะเป็นผู้ที่เข้ากับคนได้ง่าย…แต่ไม่ใช่คนใจง่ายเด็ดขาด ใช้ยาออกจะชั้นต่ำเกินไป ไม่สู้…ใช้กำลังไปเลยจะดีกว่า!” 


 


 


เหล่าเกาเหล่าหูสองคนตะลึงงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาทันที คนลามกสามคนพูดคุยหัวเราะกัน รู้สึกมีความสุขไปชั่วขณะ 


 


 


เมื่อสะสางสนามรบเสร็จสิ้น ทัพใหญ่ก็เคลื่อนที่โต้รุ่ง ควบม้าเดินทางไปหลายร้อยลี้ถึงหาสถานที่ตั้งค่ายเพื่อพักผ่อน อวี้เจียสงบนิ่งเป็นพิเศษระหว่างการเดินทางนี้ ทั้งไม่เอะอะด่าทอ ทั้งไม่ดิ้นรนขัดขืน สายตาเฉยชาประดุจสายน้ำ ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ 


 


 


เมื่อหลินหว่านหรงเข้ามาในกระโจมก็ผ่านยามสามไปแล้ว อวี้เจียนอนอยู่บนพื้นหญ้าอันเย็นเฉียบ ร่างอันสูงโปร่งขดตัวอยู่ที่หนึ่ง บนขนตามีน้ำค้างกระจ่างใสเกาะ กำลังหลับสนิท สาวน้อยทูเจวี๋ยที่อยู่ในห้วงแห่งความฝันสงบนิ่งเรียบร้อย ปราศจากท่าทีเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอีกต่อไป น่ารักน่าชังยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองอยู่นาน ส่ายหน้าอย่างเงียบงัน เขาค้อมเอวลงไป อุ้มร่างของอวี้เจียขึ้นแล้ววางลงบนเตียงทหาร การเคลื่อนไหวของเขาแผ่วเบาอ่อนโยน เพิ่งวางร่างของนางลงเรียบร้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยที่กำลังหลับลึกกลับลืมตาขึ้นมา ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองเขาอย่างเย็นชา 


 


 


หลินหว่านหรงร้องหวาพลางกระโดดหลบ “เจ้า เจ้าทำอะไร?! นอนหลับก็ลืมตาด้วย?!” 


 


 


“คำพูดนี้น่าจะเป็นข้าถามเจ้าถึงจะถูกนะ” อวี้เจียแค่นเสียงด้วยโทสะ “กลางดึกกลางดื่น เจ้าอุ้มข้าขึ้นเตียงเจ้าทำไม?” 


 


 


“ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่เตียงของข้าแล้ว” หลินหว่านหรงหัวเราะ “เมื่อคืนมันถูกเจ้าทำให้แปดเปื้อน นอกจากเจ้า ยังมีใครกล้านอนมันอีก?” 


 


 


ดวงหน้าอันงดงามของอวี้เจียแดงเล็กน้อย “แปดเปื้อนอะไรกัน เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าไม่นอนรังสุนัขเหม็นของเจ้าหรอกน่า” 


 


 


“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางยืนขึ้น บิดขี้เกียจยาวๆ “ข้าจะออกไปปัสสาวะ จากนั้นจะไปฝึกเพลงดาบกับเหล่าเกา ต่อไปก็ฝึกภาษาทูเจวี๋ยกับหูปู้กุย คืนนี้ไม่กลับมาแล้ว เจ้านอนไปก่อนเถอะ” 


 


 


โจรไร้ยางอาย! เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลอบกัดฟันกรอด กับความหน้าหนาของเจ้าคนนี้ นางมีภูมิต้านทานในระดับหนึ่งแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินออกไปจริงๆ อวี้เจียจึงรีบพูดว่า “เจ้า เจ้ารอก่อน!” 


 


 


หลินหว่านหรงหันหน้ากลับไปมองนางคราหนึ่ง อวี้เจียหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลงไปน้อยๆ กล่าวด้วยสียงอันอ่อนโยน “จะ…เจ้าไม่ต้องไป ข้า ข้ากลัว! เจ้าต้องการเรียนภาษาทูเจวี๋ย ข้าสอนเจ้าได้” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพรวดออกมา นังหนูนี่น่าสนใจจริงนะ หรือว่าบนโลกนี้จะยังมีอะไรที่น่ากลัวกว่าข้าอีก? เขาหัวเราะหัวเราะฮ่าๆ สองครา เดินไปนั่งข้างเตียงนาง “เจ้ากลัวอะไร?!” 


 


 


ดวงตาโตอันงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กะพริบปริบๆ กล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “ข้ากลัวหมาป่า!” 


 


 


หลินหว่านหรงกลอกตามองค้อน แพ้แล้ว! หรือว่าข้าพออยู่ต่อหน้าเจ้ายังสู้หมาป่าไม่ได้?! 


 


 


อวี้เจียคล้ายอ่านความคิดเขาออก อดหัวเราะคิกคักเบาๆ ไม่ได้ ใบหน้าฉายประกายงามยวนเย้า “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ได้ยินว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในต้าหัว?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองนาง “หากเจ้าเอาคำว่าหนึ่งในออกไป ข้าจะยอมรับด้วยความยินดีมาก เจ้าพูดถูกต้อง” 


 


 


“ขี้โม้” อวี้เจียยิ้มงามเฉิดฉัน ดวงหน้าอันงดงามประหนึ่งบุปผาที่ผลิบานเต็มที่ หลินหว่านหรงมองคราหนึ่ง จากนั้นก็มิอาจเคลื่อนสายตาออกไปได้อีก 


 


 


แสงจันทร์สุกสกาวลอดผ่านหน้าต่างกระโจมเข้ามา ส่องใบหน้าอวี้เจีย ส่องประกายงดงามยวนเย้า นางมองท้องนภาสว่างอย่างเหม่อลอย พึมพำออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดมากที่สุดในต้าหัว เช่นนั้นอัวเหล่ากง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้างนี้ ที่แท้มีดวงดาราอันสุกสกาวกี่ดวงกันแน่?” 


 


 


หลินหว่านหรงมองนางพลางยิ้มเล็กน้อย “นับดวงดาวเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก หากเจ้าจะถามให้ได้ เช่นนั้นก็ลองดูเส้นผมของเจ้า มากเท่ากับผมดำขลับของเจ้านั่นล่ะ” 


 


 


“ผมของข้า?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า “ข้าไม่เคยนับเส้นผมข้ามาก่อนเลย อัวเหล่ากง เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ข้ามีผมดำกี่เส้น?” 


 


 


“เช่นนั้นก็ดูลายมือที่ฝ่ามือเจ้า” อัวเหล่ากงจับมือน้อยของนางขึ้นมาแล้ววางตรงหน้านางเบาๆ เยวี่ยหยาเอ๋อร์เหม่อลอย “ลายมือ? ดูอย่างไร?!” 


 


 


โจรจับมือน้อยขาวกระจ่างใสของนาง หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “เจ้าดู ลายเส้นที่หยักโค้ง เล็กละเอียดทุกเส้นบนฝ่ามือเจ้าก็คือเส้นผมหนึ่งเส้นของเจ้า และเป็นเส้นชีวิตของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อดูลายมือของเจ้าชัดเจนก็จะคำนวณเส้นผมที่อยู่บนศีรษะเจ้าได้ และเข้าใจความทุกข์สุขพบเจอพรากจาก ความยินดีความเสียใจแต่ละครั้งในชีวิตเจ้าด้วย นู่น เริ่มนับจากตรงนี้ หนึ่ง สอง สาม…” 


 


 


อวี้เจียสายตาดี เป็นอย่างที่เจ้าโจรว่าไว้ บนฝ่ามือขาวสะอาดของนางมีเส้นเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นล้วนเล็กจนแทบจะมองไม่เห็น ถึงกระนั้นกลับมีอยู่จริง 


 


 


หรือว่าลายเส้นบนฝ่ามือนี้จะคาดการณ์ชีวิตข้าล่วงหน้าได้จริง? มองดูเจ้าโจรกุมมือน้อยของตน อวี้เจียก็บังเกิดอารมณ์สับสนขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือกลับมีเหงื่อซึมออกมาจำนวนมาก 


 


 


“นับได้หรือยัง?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยขัดขืนเล็กน้อย เอามือออกไปเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เจ้าโปรดบอกข้ามา ฝ่ามือข้ามีเส้นลายมืออยู่เท่าใด แล้วข้าจะมีความทุกข์สุขพบเจอพรากจากมากเท่าใด?!” 


 


 


หลินหว่านหรงมองนาง หัวเราะพลางส่ายหน้า “ลายเส้นบนฝ่ามือเจ้า ความทุกข์สุขพบเจอพรากจากในชีวิตเจ้า บางทีอาจมีมากเหมือนแผนการของเจ้าก็ได้ น้องสาว เป็นคนน่ะทำตัวบริสุทธิ์สักหน่อยก็ดีนะ” 


 


 


“เจ้าน่ะสิถึงไม่บริสุทธิ์ใจ!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถลึงตาตำหนิเขา ทางแจ้งคือโมโห ทว่ากลับมีความรู้สึกอันยากจะบรรยายได้เกิดขึ้นรำไร 


 


 


จะตายแล้ว! หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ในใจลอบทอดถอนคราหนึ่ง  


 


 


“โจร เจ้ารู้เรื่องราวมากขนาดนี้ได้อย่างไร?” เสียงของอวี้เจียแผ่วเบาราวกับยุง ใบหน้าซับสีแดงซ่าน เบาบาง ประหนึ่งชาดทาหน้าอันงดงาม มือน้อยอันอ่อนนุ่มนิ่มไร้กระดูกของนางไม่รู้สั่นเทาเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นฝ่ายกุมมือหลินหว่านหรงก่อน “เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยของเรานะ?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยเรือนร่างอ่อนนุ่มนิ่ม ก่อเป็นเส้นสายอันน่าลุ่มหลง ปรางแก้มงดงามของนางแดงดั่งแสงอรุโณทัย ปากน้อยสีแดงสดใสพ่นกลิ่นกรุ่นออกมาเล็กน้อย นิ้วมือเรียวนุ่มนิ่มแฝงเหงื่อหอสะอาด กุมมือหลินหว่านหรงแน่น รสชาติที่แสนจะกวักวิญญาณเช่นนั้น หากเป็นมนุษย์ล้วนยากจะทานทนได้ 


 


 


“ถ้าเป็นชาวทูเจวี๋ย เจ้าจะให้ข้าเป็นราชบุตรเขย?!” โจรจ้องมองเรือนร่างอันงดงามของนาง กลืนน้ำลายอย่างแรง กล่าวกระเซ้า 


 


 


อวี้เจียดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด นางแก้มแดงเล็กน้อย ก้มหน้าลงไปเบาๆ ระหว่างที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจา ปรากฎสีหน้าออกมาสารพัน 


 


 


“ดูแล้วงดงามมาก!” โจรหัวเราะร่า ตีแก้มอันอ่อนนุ่มนิ่มของนางคราหนึ่ง ดวงตาสุกใสประดุจสายน้ำ “แต่ ข้าไม่พูดไม่ได้…คุณหนูอวี้เจีย เจ้าช่างเป็นนักแสดงยอดแย่คนหนึ่งเสียจริง” 

 

 

 


ตอนที่ 553

 

“นักแสดงอะไร?” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยท่าทีเอียงอายและงุนงง “เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ข้าฟังไม่เข้าใจ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าไม่เร็วไม่ช้า ยิ้มแล้วพูดว่า “นักแสดงที่ดี ไม่ใช่แค่เรียนรู้การจำแนกฉากเหตุการณ์และช่วงเวลาต่างๆ เท่านั้น แต่ยิ่งต้องเรียนรู้การควบคุมสายตาของตัวเองด้วย! ตอนที่เจ้าพร่ำพรรณนาความรักกับคนผู้หนึ่ง สายตาต้องมีความรักลึกซึ้งและร้อนแรง ต้องรู้ว่าการกลอกตาของเจ้าแต่ละครั้งต่างหมายถึงการแบ่งแยกสมาธิเล็กๆ ครั้งหนึ่งของเจ้าด้วย เช่นนั้นจะทำร้ายการแสดงของเจ้าอย่างรุนแรง…เจ้าดูข้า…” 


 


 


อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เห็นว่าบนใบหน้าของโจรต้าหัวประดับรอยยิ้มบาง จ้องตนเองเขม็ง! ดวงตาของเขากระจ่างสุกใสดุจสายน้ำ นัยน์ตาดำขลับสะท้อนเงาร่างอันงดงามร่างหนึ่ง สายตาและการกระทำนั้นเป็นธรรมชาติราวกับสายลมแผ่วเบาซึ่งพัดผ่านใบหน้า เต็มไปด้วยความรู้สึกและมุ่งมั่น! 


 


 


“เจ้า เจ้าทำอะไร?!” อวี้เจียเริ่มประหวั่นลนลาน เสียงใจเต้นตึกตักได้ยินอย่างชัดเจน! 


 


 


“ข้ากำลังสอนเจ้าแสดงละคร!” หลินหว่านหรงจ้องดวงหน้าอันงดงามของนาง กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อเจ้าอยู่หน้าคนที่เจ้าชอบ เจ้าใจเต้นได้ เสียงสั่นได้ แต่สายตาต้องแน่วแน่ ร้อนแรง ให้เขารู้สึกถึงความรู้สึกอันล้ำลึกดั่งห้วงมหาสมุทรของเจ้า นั่นคือความจริงใจไม่มีสิ่งใดเทียมเทียมได้…อย่างเช่นข้าในตอนนี้…” 


 


 


แสงจันทร์กระจ่างประดุจวารี สาดส่องลงเบื้องหน้าหน้าต่างอย่างเงียบงัน ทุ่งหญ้าเงียบสงบจนได้ยินเสียงลมหายใจของหญ้าเขียวชอุ่ม! เจ้าโจรยิ้มพลามองนาง น้ำเสียงผ่าเบาอ่อนโยนเป็นเหมือนดั่งยันต์สะกดจิต! 


 


 


ใบหน้าของทั้งสองคนใกล้แค่คืบ ดวงตาทั้งสี่จ้องประสาน ราวกับว่าแม้แต่ลมหายใจก็ยังหลอมรวมกัน! มองดูดวงตา “ซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความรักอันล้ำลึก” ของเขาคู่นั้น ลมหายใจของสาวน้อยทูเจวี๋ยติดขัด อกงามหอบกระชั้นถี่เป็นระยะ นางรีบเบือนหน้าไป กล่าวอย่างมีน้ำโหด้วยใบหน้าแดงก่ำ “โจรต่ำช้า เจ้าอย่ามาใช้วิชามารกับข้า! ข้าไม่ยอมจำนนแน่!” 


 


 


“วิชามาร?!” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ายกย่องข้ากินไปแล้ว! กลับเป็นเจ้าเสียอีก ใช้วิชาเช่นนี้กับข้ามาตลอดทาง จำนวนครั้งข้านับไม่หวาดไม่ไหวแล้ว!” 


 


 


“ข้าเปล่าเสียหน่อย!” อวี้เจียแค่นเสียงฮึ่มๆ เบาๆ น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนระโหยยิ่งนัก! 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง สายตาร้อนแรง แย้มยิ้มพลางมองนาง! อวี้เจียถูกเขามองจนใจสั่น สองแก้มอดที่จะแดงซ่านไม่ได้ รีบเบือนหน้าหนีไป ตำหนิเสียงเจื้อยแจ้วออกมาเบาๆ “มองข้าทำไม?! โจรผู้ต่ำช้า!” 


 


 


ตราบาปเรื่องเป็นโจรของข้านี้ดูท่าทางคงล้างไม่ได้เสียแล้ว หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า ตบศีรษะอวี้เจียเบาๆ “ยังคงเป็นคำพูดเดิมนั้น น้องสาว เป็นคนต้องบริสุทธิ์ใจเสียหน่อยนะ!” 


 


 


“ข้าจะบริสุทธิ์ใจหรือไม่บริสุทธิ์ใจต้องให้เจ้ามายุ่งด้วย!” สาวน้อยทูเจวี๋ยยิ้มหยันพลางประชดกลับ “พูดจาปาวๆ ว่าข้าแสดงละคร ข้าว่านะ เจ้าต่างหากล่ะที่แสดงละครเก่งที่สุด! เจ้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อแสดงละคร!! ถุย โจรถ่อยต่ำช้า อัวเหล่ากงผู้ต่ำช้า!” 


 


 


มองดูท่าทางโมโหเดือดดาล ด่าทอผรุสวาสใหญ่โตของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับตอนที่นางเจ้าเล่ห์และยวนเสน่ห์แล้วก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป! หลินหว่านหรงหัวเราะเสียงดัง “แม่นางอวี้เจีย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมองธาตุแท้ของข้าออกเร็วถึงเพียงนี้! เจ้าพูดไม่ผิด ชีวิตของข้าเดิมทีก็คือละครฉากหนึ่ง! น่าเสียดาย เจ้าไม่มีวันดูเข้าใจไปตลอดกาล!” 


 


 


เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ในรอยยิ้มแฝงความอ้างว้างอยู่บ้าง! 


 


 


“ทุเรศ!” เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าโจรผู้นี้ก็รู้สึกว่าขัดหูขัดตามากเป็นพิเศษ สาวน้อยทูเจวี๋ยก้มหน้าลงพร้อมเปล่งเสียงด่าออกมาเบาๆ! 


 


 


ภายในกระโจมเงียบสงัดไปชั่วขณะ สองคนต่างไม่เอ่ยวาจา! แสงจันทร์สีเงินสาดกระทบกระโจม เปล่งประกายเรืองรองเย็นเยียบ! 


 


 


อวี้เจียเดิมทีไม่อยากสนใจเขา ทว่าจนใจที่ในกระโจมก็มีกันอยู่แค่สองคน ข้างกายมีคนนั่งอยู่ผู้หนึ่ง แล้วนางจะหลับได้อย่างไรกัน! นางช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าเจ้าโจรนั่นไม่รู้นั่งลงบนพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือไม่รู้ว่าเอาจดหมายมาจากที่ใด เขามองจดหมายในมือด้วยใบหน้าอมยิ้ม นิ่งและเหม่อลอย! แสงจันทร์สาดส่องลงบนจดหมาย สิ่งที่วาดบนกระดาษจดหมายแผ่นนั้นกลับเป็นสตรีที่มีเรือนร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนางหนึ่ง บ้างเคลื่อนไหวบ้างสงบนิ่ง บ้างหัวเราะบ้างขมวดคิ้ว งดงามเหลือเกิน! เจ้าโจรถูจดหมายฉบับนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ ดวงตาทอประกาย น้ำลายไหลยาวออกมาสามนิ้ว! 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงเหอะเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวอย่างดูแคลน “สมกับเป็นคนต่ำช้า ไม่รู้ว่าไปแอบขโมยภาพเหมือนของสตรีบ้านใด เอารัดเอาเปรียบผู้คนเช่นนี้?!” 


 


 


“น้องสาวอย่างเจ้านี้กลับสอดมากนักนะ ข้าดูแล้วลูบภาพเหมือนของเมียข้าสักหน่อยก็ไม่ได้เหรอ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครา เก็บจดหมายจากทางบ้านกลับเข้าไปในอก จากนั้นจึงหยิบผืนผ้าเปื้อนเลือดผืนหนึ่งติดมือออกมา ค่อยๆ คลี่ออกแล้วแกว่งอยู่ตรงหน้าอวี้เจีย! 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์พอเห็นก็นิ่งอึ้ง สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที “นี่ นี่คือภาพเหมือนของข้า เจ้าไปเอามาจากที่ไหน?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วนพลางกะพริบตา เก็บผ้าผืนนั้นอย่างแช่มช้า “จะเอามาจากที่ไหนเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าแค่มาแจ้งข่าวให้สักหน่อย…คุณหนูอวี้เจีย คนในเผ่าเจ้าคิดถึงเจ้ามากนะ! พวกเขาต่างอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เจ้าถึงจะกลับไปราชสำนักทูเจวี๋ยได้เสียที?!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กำหมัดแน่น สูดลมหายใจลึกหลายครั้ง กล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ชาวต้าหัวต่ำช้า อย่าคิดเพ้อฝันว่าจะได้อะไรจากปากข้าเลย อวี้เจียไม่มีทางยอมจำนนต่อหมาป่าชั่วร้ายเช่นเจ้าแน่!” 


 


 


“เจ้าไม่ตอบ…หรือว่าข้าจะเดาไม่ได้?!” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แยแส กล่าวระคนหัวเราะ “ผู้ที่มาจากราชสำนัก ทั้งมีความรู้ หน้าตาก็สะสวย แถมยังมีจิตรกรวาดภาพเหมือนให้เจ้า สถานะจะต้องไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่องค์หญิงก็ต้องเป็นต๋าต่าอะไรนั่น ข้าพูดถูกหรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียดวงตาสงบนิ่งดั่งวารี มุมปากผุดรอยยิ้มประชด “เจ้าไม่ใช่คนที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดของต้าหัวหรอกหรือ แม้แต่ลายมือก็ยังนับได้ชัดเจน ยังจะมาถามข้าอีกทำไม” 


 


 


ความหนักแน่นมั่นคงของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หลินหว่านหรงรับรู้มาตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นนางมีสายตาเรียบเฉย ปราศจากความตื่นตกใจ คำพูดปราศจากพิรุธใดๆ จึงไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย! เขาผงกศีรษะพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ไม่รีบๆ อย่างไรเสียเวลายังอีกยาวไกล ที่ข้ามีก็คือเวลา! พวกเราค่อยๆ ใช้ไปก็ได้ ไม่แน่ว่ายังต้องใช้เวลาจนมหาสมุทรแห้งผากศิลาแหลกสลาย ตราบชั่วฟ้าดินสลายก็ได้นะ…” เขานำผ้าที่อยู่ในมือส่งให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ “นี่ คืนให้เจ้า!” 


 


 


“คืนข้า?!” อวี้เจียตกใจ มองเขาอย่างอึ้งๆ หลายครั้ง “คืนให้ข้าจริง?! เจ้าจิตใจดีขนาดนี้เชียว?!” 


 


 


“ไม่คืนให้เจ้าแล้วจะทำอะไรได้อีก?!” หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ถืออยู่ในมือข้า เจ้าต้องนึกว่าข้าคิดไม่ซื่อ ต้องการกระทำมิดีมิร้ายกับเจ้าแน่! คืนให้เจ้าจะดีกว่า ข้าจะได้โล่งอกอยู่อย่างสบายใจ!” 


 


 


ดวงหน้างามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงแล้วแดงอีก ก้มหน้าลงไป กำผ้าผืนนั้นแน่น! 


 


 


ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์น่าลุ่มหลงอยู่บ้างจริงๆ! หลินหว่านหรงส่ายหน้า ตบศีรษะนางเบาๆ หลายครั้ง “ดึกแล้ว ข้าต้องออกไปทำงานแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เร็วสักหน่อยเถอะ! อย่าลืมนับเส้นลายมือล่ะ ดูสิว่าเจ้ามีความทุกข์มากเท่าใด แล้วยังมีความสุขอีกเท่าใด ในหนึ่งชีวิตของคนเราก็มีแค่นี้ล่ะ…เอ๊ะ เจ้าจ้องข้าทำไม?!” 


 


 


อวี้เจียริมฝีปากขมุบขมิบหลายครั้ง ในที่สุดก็แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาออกมา “ข้าว่าเจ้ากำลังแสดงละครอยู่ใช่หรือไม่ ลายมือนั่นใช้งานได้เช่นนั้นจริงหรือ?!” 


 


 


“ไม่ต้องสงสัย! คิดให้น้อยหน่อย จริงใจให้มากหน่อย!” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบเฉย “เมื่อมองจากสันดานคน นอกจากความขัดแย้งทางชนชาติ ข้ากับเจ้าเนื้อแท้หาได้แตกต่างกันเลย!” 


 


 


อวี้เจียครุ่นคิดอยู่นาน รู้สึกว่าในคำพูดของเขาแฝงความหมายมากมายเหลือเกิน ทำให้ตนเองผู้ฉลาดหลักแหลมก็ไม่อาจรับรู้ไปชั่วขณะ! เห็นเขาย่างก้าวออกไปนอกกระโจม สาวน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ร้องเรียกเบาๆ ขึ้นมา “อัวเหล่ากง” 


 


 


“หืม?!” เจ้าโจรยิ้มพลางหันหน้ากลับมา “ข้าชอบฟังเจ้าเรียกชื่อข้ามากที่สุดแล้ว น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าเรียกชื่อข้าทำไมหรือ?!” 


 


 


เจ้าคนนี้เปลี่ยนสีหน้ายังเร็วกว่าพลิกตำราเสียอีก! เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าอยากเรียนภาษาทูเจวี๋ยจริง ข้ายินดีสอนให้ ยิ่งไปกว่านั้น รับรองว่าสำเนียงแข็งกระด้างของลูกน้องเจ้าจะดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า!” 


 


 


“ขอบใจ!” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา “เจ้าก็รู้ ข้าเป็นคนที่แสดงละครเป็น อย่าถือคำพูดข้าเป็นจริงมากเกินไปเลย…ภาษาทูเจวี๋ยและสตรีทูเจวี๋ย ข้าไม่สนใจเลยสักนิด!” 


 


 


“ปัง” เสียงดังเบาๆ อยู่ข้างหลังคราหนึ่ง ดังชัดเจนเป็นพิเศษท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงาทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน! เขาหันหน้ากลับไป เห็นว่าภาพเหมือนเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผืนนั้นหล่นอยู่บนพื้นข้างหลังตนเอง อวี้เจียที่นอนอยู่บนเตียงสองตาสาดประกายเย็นเยียบ สีหน้าเย็นชาประดุจเหล็กกล้า! 


 


 


สองมือของนางมัดอยู่ด้วยกัน แต่กลับโยนภาพเหมือนมาไกลขนาดนี้เชียว?! หลินหว่านหรงมองจนตาโตอ้าปากค้าง! อวี้เจียมองเขาอย่างเดือดดาล ตาไม่กะพริบ ขนตายาวคล้ายหมอกพิรุณเดือนสามท่ามกลางแสงจันทร์อันเย็นเยียบ! 


 


 


แสดงละคร! ต้องแสดงละครอยู่แน่! หลินหว่านหรงใจสั่นสะท้าน รีบหนีออกมาจากกระโจม! 


 


 


ฝีเท้าของเขาเร็วรี่ เพิ่งจะเลิกผ้าม่านขึ้นก็รู้สึกว่าที่ประตูมีขุนเขาใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่สองลูก พลันหลบไม่ทัน กลับกระแทกไปตรงๆ และร้อง “โอ๊ย!” ด้วยความตกใจ! ร่างแข็งแรงกำยำสองร่างล้มลงบนพื้นอย่างแรง เจ็บยิ่งนัก! 


 


 


“พี่เกา พี่หู พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?!” เมื่อเห็นเจ้าคนลามกสองคนที่นอนอยู่บนพื้น หลินหว่านหรงก็ทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขัน! 


 


 


เกาฉิวนวดก้นพลางยืนขึ้นมาจากพื้น ยิ้มประจบพลางพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรๆ ราตรีช่างงดงามเสียเหลือเกิน ข้านอนไม่หลับ เลยนัดหูปู้กุยออกมาคุยความในใจกัน ใช่ไหม เหล่าหู?!” 


 


 


เขาแอบบีบเหล่าหูหลายครั้ง หูปู้กุยหน้าแดงก่ำ รีบเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ใช่ๆ คุยความในใจขอรับ!” 


 


 


“อ้อ กลางดึกคนเงียบสงัด มาคุยความในใจที่ประตูหน้ากระโจมข้า…” หลินหว่านหรงผงกศีรษะรับรู้ทันที กล่าวโดยยิ้มแต่เปลือกนอก “พี่ชายทั้งสองช่างมีอารมณ์สุนทรีจริงนะ…” 


 


 


น้องหลินเป็นใครกัน?! นั่นเป็นโคตรของคนที่ฉลาดเป็นกรด! เกาฉิวย่อมรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังเขาได้ ดังนั้นจึงรีบหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่จริงคุยความในใจเป็นเรื่องรอง เรื่อหลักของพวกเราคือต้องการฟังว่าน้องหลินจะแสดงแสนยานุภาพ สยบเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เช่นไร!” 


 


 


“ใช่ๆ เหล่าเกาพูดไม่ผิด พวกเรามาเพื่อฟังเรื่องบนเตียงขอรับ!” เหล่าหูรีบพูดเสริมตามความสัตย์จริงทันที! 


 


 


“อ้อๆ ที่แท้ก็ฟังเรื่องบนเตียง!” หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว “เช่นนั้นพี่ชายทั้งสองได้ยินอะไรบ้างล่ะ?” 


 


 


เกาฉิวหัวเราะลามก “ยังรุนแรงกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก น้องหลินกำลังวังชาเปี่ยมล้น ฝีมือช่างสูงส่งล้ำเลิศ ทำให้คนติดเบ็ดแล้วยังไม่รู้ตัว! สมกับเป็นผู้ที่เน้นเรื่องความรู้สึก ใช้กำลังเป็นเรื่องเสริม นับถือ นับถือ!” 


 


 


“ติดเบ็ดไม่ติดเบ็ดอะไรกัน” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา “จินตนาการข้าจนเป็นคนเช่นไร?! พี่เกา เป็นคนต้องจิตใจบริสุทธิ์!” 


 


 


เกาฉิวส่งเสียงอืม สีหน้าจริงจังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “บริสุทธิ์แล้วสยบม้าพยศได้ด้วย? หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อนข้าก็ไม่มีวันเชื่อแน่นอน! แต่วันนี้พอฟังเรื่องบนเตียงเสร็จ ข้าถึงตระหนักขึ้นมาได้ทันที ขอเพียงน้องหลินออกโรง ความบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนเป็นอนาจาร อนาจารเปลี่ยนเป็นบริสุทธิ์ได้! น้องหลินการวิจารณ์การแสดงละครอันสูงส่งครั้งนี้ ช่างทำให้คนขนหัวตั้ง…โอ๊ะ ไม่ใช่ ชื่นชมยิ่งนัก! วิธีการสูงส่ง ถือเป็นการใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง ลงมือยอดเยี่ยมทุกกระบวนท่า ปราศจากร่องรอย น่าเสียดายที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ดูถูกคนแสดงละคร แต่ตัวเองตกอยู่ในการแสดงแล้วยังไม่รู้ตัวอีก! สมกับคำที่ว่า ผู้ที่ต้องการควบคุมคนกลับถูกคนควบคุม น่าขัน น่าทอดถอนใจ! ทีเพียงน้องหลินที่ปล่อยตัวปล่อยใจไม่ยึดติด ดูเหมือนไม่ได้แสดง แต่กลับมีการแสดงอยู่ทุกที่ แล้วจะใช้คำว่าสูงส่งแค่คำเดียวได้อย่างไร!” 


 


 


มีการแสดงไม่แสดงอะไรกัน เหล่าเกาวกไปวนมา ทำเอาหูปู้กุยวิงเวียน! หลินหว่านหรงหัวเราะ “พี่เกาคิดมากเกินไปแล้ว ข้าไหนเลยจะเป็นคนชั่วร้ายขนาดนั้น! ก็แค่ผู้อื่นต้องการทำกับข้าเช่นไร ข้าก็ย้อนคืนกลับไปเช่นนั้นก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ตั้งใจ!” 


 


 


เมื่อทั้งสองคนหัวเราะเสร็จแล้ว หูปู้กุยถึงพูดว่า “ท่านแม่ทัพ หน่วยลาดตระเวนหลายสายที่ส่งไปฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าก่อนหน้านี้เพิ่งกลับมาส่งข่าว พวกเขาหาสถานที่ตั้งของทั้งสองแห่งได้แล้ว! จริงดังคาด ชนเผ่านอกด่านสองดินแดนนี้ยังรักษากำลังทหารส่วนใหญ่เอาไว้ ชายฉกรรจ์มากถึงสี่พักว่าคนขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะแล้วพูดว่า “ตอนนี้พวกมันน่าจะกำลังรอข่าวจากจั่วจ้านกับสั่วหลานเข่ออยู่ จะไม่เลื่อนทัพโดยง่ายเป็นการชั่วคราวแน่!” 


 


 


เกาฉิวขมวดคิ้ว “นี่กลับลำบากแล้ว ถ้าพวกมันหัดหัวไม่เคลื่อนไหว ชายฉกรรจ์สี่พันกว่านั่นเฝ้าอยู่ที่เอ๋อจี้น่า ถ้าพวกเราดึงดันตัดผ่านที่นี่ไปยังอี้อู๋ เกรงว่าจะสูญเสียจำนวนมาก ได้ไม่คุ้มเสียแน่!” 


 


 


เหล่าเกากลับฉลาดขึ้นมาสักครั้งอย่างยากจะหาได้ หูปู้กุยผงกศีรษะเห้นด้วยอย่างยิ่งเช่นกัน! หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมพูดว่า “พี่เกาไม่ต้องเป็นห่วง ข้อดีที่สุดของการใช้การศึกเลี้ยงการศึกก็คือปราศจากภาระ คิดจะสู้ก็สู้ คิดจะไปก็ไป ไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเราคือที่ใด ทุ่งหญ้านี่ใหญ่ขนาดไหน พวกเราก็ไปไกลมากขนาดนั้น! พูดได้ว่าศิษย์ในการเป็นฝ่ายกระทำนั้นอยู่ในกำมือของพวกเราทั้งสิ้น! ส่วนชนเผ่านอกด่านต้องเฝ้าดินแดน ทำได้แค่ถูกกระทำถูกทุบตีเท่านั้น นี่ไม่ใช่นิสัยของพวกมัน! ขอเพียงพวกเราเล่นลูกไม้สักหน่อย การยึดเอ๋อจี้น่าย่อมไม่ใช่ปัญหาแน่! พูดกันตามจริง เรื่องที่ข้าเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้กลับไม่ได้อยู่ที่ทุ่งหญ้า…” 


 


 


ไม่ได้อยู่ที่ทุ่งหญ้า?! หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “ท่านแม่ทัพ ท่านหมายถึงกุนซือสวี?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา “ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า แม้จะสู้อย่างสะใจ เพียงแต่การติดต่อระหว่างเรากับโลกภายนอกกลับตัดขาดโดยสิ้นเชิง! เฮ่อหลานซานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? คุณหนูสวีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว? นางได้รับข่าวสารที่ข้าส่งไปหรือไม่? ทุกอย่างต่างไม่ชัดเจน นี่ถึงเป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเรา!” 


ตอนที่ 554 ดาบทอง

 

เกาฉิวกับหูปู้กุยฟังแล้วจิตใจก็ค่อยๆ หนักอึ้ง เฮ่อหลานซานเป็นสถานที่ที่เชื่อมโยงร้อยรัดจิตวิญญาณและความฝันของทหารทั้งห้าพัน เป็นสถานที่ฝากฝังจิตใจของพวกเขา! หากเฮ่อหลานซานถูกโจมตีแตก ห้าพันคนที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ก็เหมือนฟางที่ลอยล่อง ปราศจากที่พึ่งพิงอีกต่อไป! 


 


 


เหล่าเกาส่งเสียงอืม พูดพึมพำเบาๆ “คุณหนูสวีฉลาดหลักแหลม นางต้องได้รับข่าวสารของเจ้าแน่ ไม่แน่ว่าตอนนี้นางกำลังคิดหาหนทางที่จะได้รับการติดต่อจากพวกเราก็เป็นได้ ขอน้องหลินโปรดวางใจเถอะ!” 


 


 


กองไฟร้อนแรงส่งเสียงดังเพียะๆ เบาๆ แสงไฟหรุบหรู่ส่องใบหน้าของทั้งสามคน หลินหว่านหรงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามีอะไรให้ไม่วางใจกัน? ชั่วเสี้ยวนาทีที่ย่างเข้าสู่ทุ่งหญ้านั้น ความเป็นความตายก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องคิดถึงอีกต่อไป ได้ร่วมเดินทางและคบหาเป็นสหายกับพี่ชายทั้งสอง สู่ให้ลือลั่นบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้สักตั้ง ต่อให้ตาย ข้าก็เป็นชายชาตรีที่คำจุนผืนฟ้าและผืนแผ่นดิน มีอะไรให้เสียดายกัน?!” 


 


 


“พูดได้ดี!” หูปู้กุยปรบมือหัวเราะเสียงดัง สะท้านไปถึงชั้นฟ้า “บุรุษอย่าได้อิจฉาความร่ำรวย ชายชาตรีควรลือลั่นในสนามรบ! ผู้ชายอกสามศอก ยืนตระหง่านบนโลกหล้า เท้าย่ำปฐพี มือค่ำท้องนภา ขับไล่ชนนอกด่าน ปกบ้านป้องเมือง คือความยิ่งใหญ่ยามมีชีวิต วีรกรรมยามมอดม้วย มีเรื่องอันใดให้หวั่นกลัว?!” 


 


 


เกาฉิวมองหูปู้กุยตั้งแต่หัวจรดเท้า ฉีกปากหัวเราะพร้อมพูดว่า “เหล่าหู รู้จักท่านก็สักระยะหนึ่งแล้ว มีคำพูดคราวนี้นี่ล่ะที่เหมือนลูกผู้ชาย! ทั้งสองคนโปรดวางใจ ไม่ว่าจะภูขาดาบทะเลเพลิงหรือป่าทวนห่าธนู หากข้าเหล่าเกาขมวดคิ้ว ข้าคือคนที่นั่งยองฉี่ หดหัวเดิน!” 


 


 


สามคนเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า อดหัวเราะเสียงดังกันไม่ได้ หกมือใหญ่ยื่นออกมากุมกันแน่น แสงเพลิงสาดส่องใบหน้าสีดำและมีความมุ่งมั่นของพวกเขาจนสว่างเรืองรอง…… 


 


 


รบชนะต่อเนื่องสามครั้ง ไพร่พลห้าพันล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า โจมตีปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างพิสดาร กำจัดทหารม้าสามพันของฮาเอ่อร์เหอ หลินกับเอ๋อจี้น่า เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันสังหารศัตรูไปนับหมื่น ที่เข่นฆ่าล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ย นี่ไม่อาจไม่พูดว่าเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ สร้างความกระทบระเทือนทางจิตใจแก่ชนเผ่านอกด่านมหาศาล เชื่อว่าชาวทูเจวี๋ยตอนนี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนหน่วยกล้าตายชาวต้าหัวที่เข้าสู่ทุ่งหญ้ากลุ่มนี้อีกแล้ว 


 


 


ทัพใหญ่ปรับกระบวนอยู่ครึ่งวัน ด้านหนึ่งคือเพื่อเติมเสบียงเลี้ยงม้า อีกด้านคือกำลังรอคอยปฏิกิริยาของชนเผ่านอกด่าน แน่นอนว่า ณ ส่วนลึกของจิตวิญญาณหลินหว่านหรงยังมีความหวังอันแสนจะไร้เดียงสาอยู่อย่างหนึ่ง หวังว่าพอสวีจื่อฉิงได้รับข่าวแล้วจะคิดหาหนทางติดต่อกับตนเองได้ อย่างน้อยก็ก่อนเข้าสู่อี้อู่ เหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางแห่งความตายสายนั้น เขาอยากรู้ว่าเฮ่อหลานซานเป็นอย่างไรกันแน่ นี่ไม่ใช่แค่ความหวังของเขาคนเดียว แต่ยิ่งเป็นเสียงภายในใจที่มีร่วมกันของทหารห้าพันคน 


 


 


สองดินแดนอย่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าหลังจากขาดข่าวคราวจากทหารม้าสามพันนายเริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่สุขแล้วจริงๆ ตามข่าวที่หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ารายงานกลับมา ภายในสองดินแดนแอบมีร่องรอยของการโยกย้ายกำลังพล แต่หลังจากชนเผ่านอกด่านเสียเปรียบไปแล้วก็กลายเป็นรอบคอบมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าส่งทหารม้ากลุ่มเล็กออกมาอย่างบุ่มบ่ามอีกต่อไป สถานการณ์ค่อยๆ ชะงักงันขึ้นมา 


 


 


หากยึดเอ๋อจี้น่าไม่ได้ก็ไม่อาจเข้าสู่อี้อู๋ การลอบโจมตีเค่อจือเอ่อร์ราชานีของชนเผ่านอกด่านก็ยิ่ง เหมือนดั่งภาพลวงตา หรือว่าพี่น้องห้าพันคนจะต้องเอ้อระเหยอยู่ในทุ่งหญ้าไปทั้งชาติ?! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความร้อนรนภายในใจของหูปู้กุยกับเกาฉิวมีมากขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นหลินหว่านหรงที่ยังมีทีท่าไม่รู้สึกรู้สา พูดคุยหัวเราะเฮฮาทำท่าทางตลกกับทุกคน ปราศจากความตึงเครียดแม้แต่น้อย คล้ายต้องการปักหลักอยู่ในทุ่งหญ้า เป็นโจรไปทั้งชาติจริงๆ สภาพจิตใจเช่นนี้ทำให้พวกของเหล่าเกาสองคนสงสัย เหล่านายทหารกลับยินดีปรีดายิ่งนัก ต่างแย่งสนทนากับเขา ตลอดเส้นทางการเดินทัพบรรยากาศผ่อนคลายยิ่งนัก หูปู้กุยเกาฉิวสองคนต้องทอดถอนใจ ต่างไม่รู้ว่าหลินหว่านหรงวางแผนอะไรอยู่ในใจกันแน่ 


 


 


“หวานหยาดเยิ้ม เธอยิ้มได้หวานหยาดเยิ้ม ราวกับบุปผาเบ่งบานกลางสายลมวสันต์ อา เธอยิ้มได้หวานหยาดเยิ้ม เบ่งบานกลางสายลมวสันต์…” โจรนอนอยู่บนรถ สองมือหนุนท้ายทอย คาบหญ้าต้นเล็กที่ไม่รู้จักชื่อ โยกซ้ายโยกขวา ฮัมเพลงเถียนมีมี่ 


 


 


ผ้าม่านบางเบางแกว่งไกวเล็กน้อย เผยดวงหน้าอันงดงามยวนเย้าของอวี้เจีย นางนั่งขัดสมาธิ ห่างจากหลินหว่านหรงแค่ไม่กี่ฉื่อ ปิดดวงตาทั้งสองลงเล็กน้อย ไม่พูดไม่ขยับ นับตั้งแต่ “แสดงละคร” เมื่อคืน นางก็ไม่พูดกับหลินหว่านหรงอีก กระทั่งว่ายังไม่เคยมองเขาตรงๆ เลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่รักษาให้หลี่อู่หลิงเมื่อครู่ นางก็เงียบงันประดุจเหล็ก ไม่เปล่งวาจาสักคำเดียว สองคนนี้นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน คนหนึ่งฮัมเพลง คนหนึ่งนั่งนิ่ง ความเคลื่อนไหวต่างสอดประสานกัน กลับหาได้ยากยิ่งนัก  


 


 


“ยิง รีบยิง รีบยิงเร็ว!” เสียงเอะอะโวยวายทั้งร้อนรนและรุนแรงดังแว่วเข้ามา เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังข้างใบหู หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง กลับเห็นหูปู้กุยกับเกาฉิวมือถือเกาทัณฑ์ขี่ม้าวิ่งห้อตะบึง กำลังไล่ตามเงาสีขาวขนาดเล็กซึ่งวิ่งอยู่บนทุ่งหญ้าข้างหน้าด้วยอาการลิงโลด ดูจากท่าทางแล้วเป็นการแข่งฝีมือยิงธนู เหล่านายทหารที่อยู่ด้านข้างกำลังกู่ร้องส่งเสียงผิวปากให้กำลังใจพวกเขาอยู่ 


 


 


“เอ๊ะ ม้าขาวตัวเล็กขนาดนี้เชียว?!” หลินหว่านหรงเพ่งสมาธิเพ่งสายตาอยู่นาน กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ 


 


 


อวี้เจียค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา กวาดสายตามองออกไปไกลๆ หลายครั้ง ครั้นเห็นโจรมีท่าทางไม่รู้เรื่องแต่ทำเป็นรู้เรื่องก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ สุดท้ายนางจึงพูดด้วยความรู้สึกยากจะทานทน “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเจ้าว่าไม่รู้เรื่องหรอกนะ…เจ้าเคยเห็นม้าขาวตัวเล็กขนาดนี้เหรอ?! เห็นชัดว่านั่นเป็นแค่กระต่ายขาวตัวหนึ่ง เจ้าหน้าโง่ที่ชี้กระต่ายเป็นม้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมายาวๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่แท้เป็นกระต่ายน้อยสีขาวตัวหนึ่งนี่เอง น่าละอายๆ ไม่ได้จับกระต่ายมานานมากแล้ว ดังนั้นถึงมองผิดไปชั่วขณะ ต้องขอบคุณคำชี้แนะจากคุณหนูอวี้เจีย!” 


 


 


มองดูสีหน้าหัวเราะสรวลเสเฮฮาของโจร สาวน้อยทูเจวี๋ยก็พลันรู้สึกว่าหลงกล เจ้าคนนี้แผนการมากมาย จงใจล่อลวงให้นางเอ่ยปากพูด เหตุใดข้าถึงดูไม่ออกนะ?! 


 


 


“ไม่ต้องขอบคุณข้า” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ กลอกตามองค้อนด้วยความรู้สึกหมดแรงและอับจนปัญญา “เพียงหวังว่าวันหลังตอนที่เจ้าร้องเพลงพวกนี้จะอยู่ห่างจากข้าสักหน่อย อย่าให้ข้าได้ยิน นั่นถือว่าเทพแห่งทุ่งหญ้าดูแลอวี้เจียแล้ว” 


 


 


นางส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิดโมโห มองเขาเบา ๆ หลายครั้ง นัยน์ตาทั้งสองข้างสงบนิ่ง สีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม 


 


 


“คุณหนูอวี้เจียชมข้าอีกแล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวหน้าหนา “ที่จริงข้าเตรียมที่จะใช้ภาษาทูเจวี๋ยร้องสักเพลง ไหนเลยจะรู้ว่าพอถึงเวลากลับลืมภาษาทูเจวี๋ยหลายประโยคนี้ไป รู้สึกอายจริงๆ!” 


 


 


พูดถึงภาษาทูเจวี๋ยก็คือถึงเรื่องเมื่อคืน อวี้เจียขบฟันเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่สนใจภาษาทูเจวี๋ยกับสตรีทูเจวี๋ยหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงร้องเพลงภาษาทูเจวี๋ย?!” 


 


 


“เฮ้อ ข้าก็ไม่สนใจสตรีทูเจวี๋ยจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่อาจยับยั้งให้สตรีทูเจวี๋ยเกิดความสนใจต่อข้าได้นี่นา!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความขื่นขม “ช่วยไม่ได้ มีเสน่ห์มากก็เป็นเช่นนี้! ใช่แล้ว คุณหนูอวี้เจีย ตอนที่สาวน้อยทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าแสดงความรักต่อคนรักมักจะพูดประโยคไหนกัน?!” 


 


 


“เจ้ามาถามเรื่องนี้ทำไม?! ห้ามเจ้าทำร้ายสตรีทูเจวี๋ยของข้า!” สาวน้อยมองเขาอย่างระแวดระวัง หวาดระแวงยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงหัเราะฮ่าๆ “คุณหนูอวี้เจียกล่าวหนักไปแล้ว ใครทำร้ายใครก็ยังไม่แน่จริงๆ นะ! ที่จริงข้าก็แค่อยากร่วมศึกษาวิชาความรู้กับเจ้าเท่านั้น…ข้าได้ยินว่าวิธีการแสดงความรู้สึกที่จริงใจมากที่สุดของสตรีทูเจวี๋ยก็คือมอบของที่เทียบเท่าชีวิตให้คนรักของตน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจไม่แปรเปลี่ยนต่ออีกฝ่าย เป็นแบบนี้ใช่หรือไม่?!” 


 


 


แววตาของโจรสาดกะพริบ จ้องมองอวี้เจียเขม็ง! เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงด้วยความเดือดดาล เงยดวงหน้าอันงดงามด้วยความหยิ่งผยอง “ใช่แล้วจะทำไม?! ไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะรู้เสียหน่อย สตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเราก็จะเก็บรักษสิ่งของซึ่งมีค่าเท่าชีวิตของเราไว้อย่างหนึ่งตั้งแต่เด็ก เมื่อถึงเวลาบรรลุนิติภาวะก็จะมอบให้กับชายคนรักของตน เมื่อให้ไปแล้วต่อให้เขายากดีมีจน เป็นตายป่วยพิการ ก็จะไม่เสียใจภายหลังไปตลอดชีวิต! สตรีในเผ่าของข้าเปิดเผยร้อนแรง รักก็คือรัก แค้นก็คือแค้น ไหนเลยจะเหมือนพวกลูกคุณหนูต้าหัวเหล่านั้น อ้ำๆ อึ้งๆ กระบิดกระบวน เห็นๆ อยู่ว่าเสแสร้งมารยา แต่กลับยังทำท่าสงวนท่าที ถุย จอมปลอม!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงถุยออกมาเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รู้สึกดีต่อเหล่าคุณหนูต้าหัวสักเท่าไหร่ 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คุณหนูอวี้เจียสุดโต่งเกินไปแล้ว! ความเปิดเผยตรงไปตรงมาย่อมมีความน่ารักของความเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ความเขินอายก็มีความงดงามของความเขินอายเช่นเดียวกัน อย่างที่พูดกันว่าดอกเหมย กล้วยไม้ ต้นไผ่และเก๊กฮวยต่างมีจุดเด่นของตนเอง ทุกคนต่างมีรสนิยมต่างกัน แบบที่ชอบย่อมแตกต่างเช่นกัน แล้วจะใช้แนวคิดมาบีบบังคับได้อย่างไร?! เจ้าไม่ใช่ผู้ชาย ย่อมไม่อาจเข้าใจได้!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาหลายครั้ง อดที่จะขบริมฝีปากสีชาดเบาๆ ไม่ได้ ยิ้มหยันที่มุมปาก “ช่างเป็นบุรุษที่แถเก่งนักนะ!” 


 


 


“ถือว่าข้าแถก็ได้” หลินหว่านหรงโบกมือโดยไม่แยแส  หัวเราะแล้วพูดว่า “ในเมื่อสตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ามีสมบัติล้ำค่าดั่งชีวิต คิดว่าคุณหนูอวี้เจียก็ไม่มีข้อยกเว้นกระมัง! ข้ากลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ด้วยฐานะอันสูงส่งของคุณหนูอวี้เจีย สิ่งที่เจ้าเลือกเก็บนั้นจะเป็นสมบัติที่มีหน้าตาอย่างไรกันนะ?!” 


 


 


เขาถอนหายใจเบาๆ หยิบดาบโค้งสีทองออกมาจากรองเท้าเล่มหนึ่ง ด้ามทองบริสุทธิ์ส่องประกายเจิดจรัส คมดาบเปล่งประกายเย็นเยียบ ไอเย็นกดดันผู้คน เขาโบกสะบัดคราหนึ่ง เส้นผมหลายปอยก็ขาดครึ่งพร้อมกัน ร่วงหล่นลงพื้นอย่างเงียบงัน 


 


 


อวี้เจียมองด้วยท่าทีนิ่งอึ้ง จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที มือเท้ากระเสือกกระสนคิดจะโผเข้าหาเขา “คืนมาให้ข้า เจ้ารีบคืนมาให้ข้า เจ้าโจรที่สมควรตายคนนี้!” 


 


 


นัยน์ตาสีฟ้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีไอน้ำรื้นบางๆ นางขบริมฝีปากสีแดงชาติอย่างหัวรั้น โผเข้าสู่อ้อมอกเขาราวกับแม่เสือดาวน้อยที่ถูกกระตุ้นโทสะตัวหนึ่ง เพียงแต่มือเท้านางถูกมัด แล้วจะออกแรงได้อย่างไร ดิ้นรนไปสองครั้งก็หอบหายใจ จวบจนซุกเข้าไปในอกเขาทั้งร่างถึงรู้สึกได้ว่าไม่ถูกต้อง คิดจะผละไปจากอ้อมอกเขาแต่กลับปราศจากเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย 


 


 


“จะ…เจ้าจะทำอะไร?!”  ซบอยู่บนร่างโจรด้วยร่างอันอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรง ได้กลิ่นอายที่มาจากตัวเขา สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ใจเต้นรัวดังตึกตัก ร้องตะโกนตกใจเสียงหลงออกมาด้วยใบหน้าที่แดงด้วยความอาย 


 


 


“ประโยคนี้ข้าควรถามเจ้าถึงจะถูก” หลินหว่านหรงประคองร่างนางให้ตั้งตรง มองนางด้วยความรู้สึกขบขัน  


 


 


สองคนจ้องหน้ากัน ใบหน้าอยู่ใกล้ยิ่งนัก สี่ตาจ้องประสาน คล้ายย้อนกลับไปยังเหตุการณ์แสดงละครเมื่อคืน อวี้เจียหน้าแดงเล็กน้อย ก้มหน้าพูดออกมาเบาๆ “เจ้า เจ้ารีบเอาดาบทองคืนให้ข้า ไม่อย่างนั้น ข้า…ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” 


 


 


“ช่างเป็นคำขู่ที่ร้ายกาจขนาดนี้เชียว?!” หลินหว่านหรงหัวเราะ “คุณหนูอวี้เจียโปรดวางใจ เจ้าดาบทองนี่ในสายตาเจ้าสำคัญเท่าชีวิต แต่ในสายตาข้ามันก็แค่เศษเหล็กกองหนึ่ง เจ้าให้ข้า ข้าก็ไม่เอา!” 


 


 


“โจรสมควรตาย คืนให้ข้า รีบคืนให้ข้า!” อวี้เจียหน้าแดงก่ำ รีบร้องตวาดเสียงเจื้อยแจ้ว โผเข้าหาเขาด้วยความเดือดดาล 


 


 


มองดูร่างที่ดิ้นรนไม่หยุดของนาง หยาดเหงื่อกระจ่างใสซึ่งซึมอยู่บนปลายจมูกของนาง หลินหว่านหรงโบกมือเรียบๆ “ก็แค่เศษเหล็ก ไม่มีประโยชน์กับข้า เจ้าวางใจ คืนให้เจ้าแน่ แต่คุณหนูอวี้เจียต้องการดาบทองคืนด้วยความร้อนใจเช่นนี้ เหมือนจะเตือนสติข้าเรื่องหนึ่ง” 


 


 


“เรื่อง…เรื่องอะไร?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยซึ่งกำลังกระเสือกกระสนเงยหน้าขึ้นมาทันที ดวงตาเผยแววตื่นตระหนกอย่างยากจะปิดบัง 


 


 


หลินหว่านหรงเป่าที่คมดาบนั้นเบาๆ กล่าวระคนยิ้มออกมาว่า “ดาบทองเล่มนี้หรูหราสูงสง่า ที่ยังสำคัญเท่าชีวิต เป็นของแทนใจที่เจ้ามอบให้คนรักย่อมไม่ผิดแน่ แต่หากเห็นมันเป็นเพียงสิ่งของแทนใจธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง เช่นนั้นก็ออกจะดูถูกคุณหนูอวี้เจียเกินไปแล้ว!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ช้อนสายตาขึ้นมองเขา นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนสายประกายบาง แปรเปลี่ยนไม่หยุด ถึงช่วงสุดท้ายจู่ๆ นางก็หยุดการดิ้นรน กลับคลี่ยิ้มออกมา ดวงหน้าอันงดงามเฉกเช่นเหล่าบุปผาที่ผลิบานท่ามกลางเหมันต์อันหนาวเหน็บ หยาดเยิ้มยวนเย้าเหลือคนา  


 


 


“ดาบทองอันงดามเล่มหนึ่ง เจ้าว่ามันยังมีนัยยะอันใดอีกนะ?!” เสียงนางแผ่วเบานุ่มนวล ประหนึ่งไข่มุกร่วงหล่นลงบนถาด นัยน์ตาทั้งสองมองเขาแฝงรอยยิ้ม ดวงหน้าข่าวกระจ่างใสประดุจหยก เส้นผมงามหลายปอยพลิ้วผ่านหน้าปากนาง แฝงความรู้สึกอันสูงสง่ามีบารมี มุมปากของนางประดับด้วยรอยยิ้มยวนเสน่ห์ ริมฝีปากสีแดงสดอ้าออกเล็กน้อย ราวกับผลอิงเถาที่สุกงอม ยั่วยวนให้คนกระทำผิด! 


 


 


ก่อนหน้านี้ยังเป็นสาวน้อยที่ตกอยู่ในห้วงความรักอยู่เลย เพียงชั่วพริบตากลับเหมือนกลายเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วในวัยสาวผู้มีความเป็นผู้ใหญ่และงามหยาดเยิ้ม ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าเช่นนี้ทำให้หลินหว่านหรงมองจนนิ่งอึ้งไปเช่นกัน 


 


 


“ดะ ดาบ ดาบทองเล่มนี้อาจเป็นสัญลักษณ์ทางสถานะของเจ้า” มองดูอวี้เจียผู้งามยวนเย้าจะแทบจะหยาดหยด ประหนึ่งหยอกเอินบุรุษเพศอยู่ในฝ่ามือผู้นี้ ตรงข้ามกับน้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนเมื่อครู่มากเสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงไม่อาจทนทานได้อย่างยิ่ง รีบก้มหน้าลงไป 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?!” อวี้เจียยิ้มแย้ม ดวงตาดั่งวารีมองประเมินเขาหลายครั้ง ริมฝีปากสีแดงสดราวกับจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ “อัวเหล่ากง ไม่สู้พวกเรามาพนันกัน หากเจ้าเดาฐานะของข้าออก อวี้เจียจะมอบดาบทองเล่มนี้ให้เจ้า! จำไว้!” นางหัวเราะคิกคักเบาๆ ดวงตาทั้งคู่อ่อนโยนดุจวารี “…เป็นข้ามอบให้เจ้า ไม่ใช่เจ้าแย่งไป!เจ้ายินดีหรือไม่?!” 


 


 


“…อ้อ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ข้าควรไปฝึกวิชาทวนแล้ว ขอลา ขอลา!” โจรหลั่งเหงื่อชุ่มหลัง ผุดลุกขึ้นยืนฝนบัดดล หัวกับกระแทกกับคานบนรถม้าเข้าพอดีจนเกิดเสียงดังปังเบาๆ รถม้าโยกคลอนไประยะหนึ่ง 


 


 


มองดูเงาร่างที่กระโดดผลุบไปด้วยสภาพดูไม่จืดของเขา เสียงหัวเราะหยาดเยิ้มคิกคักของอวี้เจียดังลอยออกไปไกล ได้ยินอย่างชัดเจน “โจรขวัญอ่อน ผู้ใดถึงเป็นนักแสดงยอดแย่ ตอนนี้เจ้ารู้กระจ่างแจ้งแล้วใช่หรือไม่?!”  

 

 


ตอนที่ 555 ยาแรง

 

กระโดดลงจากรถด้วยสภาพทุลักทุเล หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นออกมา หลินหว่านหรงเปียกชุ่มทั้งตัว อย่างที่ว่ากันว่าคนไม่อาจดูรูปโฉม น้ำทะเลไม่อาจประมาณ จิตใจและฝีมือของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ อย่าว่าแต่ชาวทูเจวี๋ยเลย แม้แต่ทั่วทั้งต้าหัวก็หาได้ไม่กี่คน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นแค่สาวน้อยทูเจวี๋ยที่อายุราวยี่สิบปีเท่านั้น หากปล่อยให้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ก็จะยากแก่การควบคุม แล้วผู้ใดจะเป็นคู่ต่อกรนางได้อีก? 


 


 


เมื่อคิดถึงใบหน้าตำหนิโมโห เอียงอายตัดพ้อ อ้ำๆ อึ้งๆ ของอวี้เจียเมื่อคืน การแสดงของสาวน้อยทูเจวี๋ยแทบจะถึงขั้นสมบูรณ์แบบ หลินหว่านหรงอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้ ออกไปยิงอินทรี แต่กลับถูกอินทรีจิกตาบอด ที่แท้เมื่อคืนแม่หนูคนนี้ก็กระเซ้าแกล้งข้ามาตลอด 


 


 


แต่เขาไม่อาจไม่ยอมรับได้เช่นกัน แค่เอาเรื่องการแสดงมาพูด เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็เหนือล้ำกว่าเขามากนัก และพิสูจน์คำพูดเก่าแก่ที่ว่าผู้หญิงเกิดมาก็แสดงเป็นนั้นได้พอดี 


 


 


กับอวี้เจียคนนี่ ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนต้องอยู่ให้ไกลห่างราวกับเคารพผีสางเทวดา ทั้งไม่อาจฆ่า ทั้งไม่อาจแตะต้อง ช่างเป็นเผือกร้อนลวกมือเสียจริง หวังแค่ว่าหลี่อู่หลิงจะฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เมื่อสลัดหลุดจากการข่มขู่ของนังหนูคนนี้ได้ ตัวเองถึงจะมีวันที่นอนหลับสนิท  


 


 


ดาบทองของอวี้เจียเล่มนั้นยังอยู่ในมือตน พลิกไปพลิกมาพร้อมมองอย่างถ้วนถี่ เห็นแค่ดาบโค้งเล่มนี้เปล่งประกายสีทองระยิบระยับ บนฝักดาบฝังอัญมณีหรูหราแปลกประหลาดงดงาม กึ่งกลางคมดาบฝังโมราสีเขียวเข้มเม็ดหนึ่ง ระยิบระยับวับวาว หรูหราสูงค่าเหนือธรรมดา 


 


 


ดาบที่สวยขนาดนี้เอามาใช้ฆ่าคนก็ช่างน่าเสียดายเสียจริง เขาค่อยๆ ถอนทอนใจออกมาคราหนึ่ง ดาบทองที่งดงามประณีตขนาดนี้ น่าจะแสดงฐานะของสถานะของอวี้เจียอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่แม่หนูคนนี้ยามใสซื่อบริสุทธิ์ก็เหมือนกระดาษขาว ยามเจ้าเล่ห์เพทุบายก็เหมือนนางจิ้งจอก คิดจะล้วงความลับออกจากปากนางหรือ?! ไม่มีทาง! 


 


 


“พี่หู!” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ออกแรงกวักมือเรียกหูปู้กุยที่ได้รับชัยมาอยู่ไกลๆ  


 


 


เหล่าหูมือหิ้วกระต่ายป่าอ้วนพีตัวหนึ่ง กำลังขี่ค่อมอยู่บนหลังม้าอวดต่อหน้าทุกคนด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง กระต่ายป่าตัวนั้นถูกยิงทะลุกะโหลก ทุกแม่นยำทั้งโหดเ**้ยม ส่วนเกาฉิวก็เป่าเคราถลึงตาตามอยู่ข้างกายเขา เห็นชัดว่าไม่ยอมอย่างยิ่ง 


 


 


หูปู้กุยเดินเข้ามาหา โยนกระต่ายป่าอ้วนพีที่มีน้ำมันไหลลงกับพื้น หัวเราะพร้อมพูดว่า “ต้นฤดูใบไม้ผลิจะหากระต่ายที่ตัวใหญ่ขนาดนี้ได้สักตัวช่างยากลำบากเสียงจริง ต้องยิงให้ถูกก็ยิ่งไม่ง่ายดาย! คืนนี้ข้าน้อยมีอะไรให้ขัดฟันท่านแม่ทัพแล้ว!” 


 


 


เกาฉิวติตตามอยู่ข้างเขา พอได้ยินก็ร้องสบถออกมาอย่างไม่ยินยอม “ยิงถูกไม่ง่ายดายอะไรกัน หากไม่ใช่เหล่าหูท่านขี่บนม้ามาบังสายตาข้า คืนนี้ก็ควรเป็นข้าเหล่าเกาที่หาอะไรมาขัดฟันให้น้องหลิน!” 


 


 


“ขอบคุณความเอาใจใส่ของพี่ชายทั้งสอง!” หลินหว่านหรงรู้สึกอบอุ่นใจ ส่ายหน้าพลางกล่าวระคนหัวเราะ “ของดีขนาดนี้เก็บให้พี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บได้เสพสุขกันเถอะ พวกเขาต้องการการบำรุงยิ่งกว่าข้า พี่หู ข้ามีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งจำเป็นต้องให้ท่านไปทำ!” 


 


 


“ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการ!” เมื่อเห็นหลินหว่านหรงมีสีหน้าหนักอึ้ง หูปู้กุยจึงรีบประสานมือตอบ 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ค่อยๆ ส่งดาบโค้งอันประณีตที่อยู่ในมือให้หูปู้กุย “พี่หู นี่ ท่านเก็บเอาไว้” 


 


 


“เอ๊ะ นี่ก็ไม่ใช่ดาบน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรอกหรือ?!” เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความประหลาดใจ 


 


 


ดาบโค้งเล่มนี้ดูเมือนหรูหราสวยงามกะทัดรัด ทว่าพออยู่ในมือแล้วกลับหนักอึ้ง หูปู้กุยกุมอยู่ในมืออย่างระมัดระวัง มองเขาด้วยความสงสัยคราหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ ท่านจะให้ข้าน้อยไปทำอะไรหรือขอรับ เกี่ยวกับดาบทองเล่มนี้หรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มแย้ม สายตาไปอยู่บนดาบโค้งที่อยู่ในมือเขา “เกี่ยวกับดาบทองเล่มนี้อย่างมาก พี่ชายทั้งสอง คิดว่าพวกท่านคงเดาออกเช่นกัน อวี้เจียมี่สถานะสำคัญที่ไม่ธรรมดาในแค้วนทูเจวี๋ย เพียงแต่สำคัญถึงขั้นไหนกันแน่ พวกเราก็ไม่มีใครรู้” 


 


 


สถานะของอวี้เจียเป็นปัญหาใหญ่ซึ่งทำให้ทั้งสามคนกลัดกลุ้มมาโดยตลอด พอได้ยินหลินหว่านหรงเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงกลั้นหายใจในทันที ฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างสงบนิ่ง  


 


 


“จากการอยู่กับอวี้เจีย ข้ามีความรู้สึกอย่างหนึ่ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในแคว้นทูเจวี๋ย คำพูดโบราณนั้นกล่าวได้ดี ร่วมเดินทางกับเสือ หากไม่สยบเสือ ก็ต้องถูกเสือขย้ำ! พูดว่านังหนูคนนี้เป็นแม่เสือสาวที่ดุร้ายตัวหนึ่ง นั่นไม่เกินเลยไปแม้แต่น้อย ต้องต่อกรกับเสือร้ายตัวหนึ่งเช่นนี้ พูดตามจริงแล้ว ข้าก็ไม่ได้มีความมั่นใจมากเท่าไหร่เช่นกัน!” นึกถึงสายตาของอวี้เจียซึ่งบางครั้งใสซื่อบริสุทธิ์ บางครั้งยวนเย้าพราวเสน่ห์ ทุกอย่างต่างล่อลวงให้คนรู้สึกเวทนาสงสาร ยามยั่วยวนก็น่าตื่นตระหนกกวักวิญญาณคน หลินหว่านหรงอดหัวเราะฮิคราหนึ่งไม่ได้ ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด 


 


 


พวกของเหล่าหูสองคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง สตรีที่ถูกแม่ทัพหลินเรียกขานว่าเป็นเสือร้ายได้ บนโลกนี้ก็มีแค่อวี้เจียคนเดียวเท่านั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ขนาดนั้น แม่ทัพหลินที่ผ่านบุปผามาจนช่ำชองกลับจัดการนางไม่ได้?! นี่ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน! เหล่าเกากะพริบตา กล่าวด้วยความจริงใจ “น้องหลิน ข้ายังมียาดีที่เก็บเอาไว้ส่วนตัวจำนวนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นให้เจ้ายืมใช้ก่อนก็ได้นะ?” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ขอบคุณเจตนาดีของพี่เกา เพียงตัวของแม่หนูอวี้เจียคนนี้ก็เป็นหมอ ใช้ยาขึ้นมาเกรงว่าจะร้ายกาจกว่าข้าและท่านเสียอีก อย่าทำเรื่องที่ขโมยไก่ไม่สำเร็จต้องเสียข้าวสาร ถูกคนวางยาปลุกกำหนัดย้อนศรเลย นั่นจะแย่เอานะ!” 


 


 


เหล่าเกาใจสั่นสะท้าน น้องหลินพูดถูกต้องยิ่งนัก นับตั้งแต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถูกจับตัวมา นางเคยมีความหวาดกลัวให้เห็นหรือไม่? หากถูกคนวางยาง่ายดายขนาดนั้น นางก็ไม่ใช่อวี้เจียแล้ว อย่าถูกนางควบคุมย้อนกลับจะดีกว่า 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ กล่าวด้วยความกังวลอย่างยิ่ง “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องยิ่งนัก สตรีทูเจวี๋ยนิสัยแข็งกร้าวรุนแรง หากใช้วิธีการรุนแรงบีบบังคับให้นางยินยอม นางจะต้องต่อต้านจนตัวตายแน่! ในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวหลี่จื่อยังต้องพึ่งพานางรักษา การตายของนางปราศจากข้อดีกับพวกเราทั้งสองฝ่าย ทำไม่ได้จริงๆ ขอรับ!” 


 


 


เกาฉิวถอนหายใจหนักๆ กล่าวด้วยความจนใจ “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ แล้วพวกเราจะจัดการนางอย่างไรกันแน่? หรือว่าจะปล่อยให้นางรังแกพวกเรา น้องหลิน?” 


 


 


หลินหว่านหรงกลอกตามองค้อน พูดอะไรกัน? คนที่รังแกข้าได้บนโลกนี้ยังส่ายหางอยู่ในท้องมารดาอยู่เลย 


 


 


“ขอบคุณความห่วงใยของพี่เกา” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง “ที่จริงหากต้องการต่อกรกับอวี้เจียก็ง่ายดาย ไม่ใช่การใช้แผนการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ตาต่อตาฟันต่อฟันหรอกหรือ ก็อย่างที่ว่าไว้ อันธพาลเป็นวิชาการต่อสู้ ใครก็รั้งไม่อยู่ ข้าพูดอย่างถ่อมตัว หากเอ่ยถึงแผนการเจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้าคือบรรพบุรุษของแท้แน่นอน นังหนูนั่นนึกว่าตัวเองจับจุดอ่อนของข้าได้ แต่ไม่รู้ว่าข้าหาช่องโหว่ของนายได้ตั้งแต่แรกแล้ว ฮิฮิ!” 


 


 


เห็นแม่ทัพหลินเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เป็นป้ายยี่ห้อ พวกของเหล่าเกาสองคนก็ขนลุกขึ้นมาพร้อมกัน อย่างที่พี่ซานว่าไว้ อันธพาลเป็นวิชาการต่อสู้ ใครก็รั้งไม่อยู่! แม่นางน้อยอวี้เจียต้องซวยแล้ว! เกาฉิวบังเกิดความคึกคักทันที กล่าวด้วยความร้อนใจว่า “น้องหลิน นางมีช่องโหว่อะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงเดินเอามือไพล่หลังไปหลายก้าว กล่าวไม่เร็วไม่ช้าออกมาว่า “ที่แท้อวี้เจียมีฐานะเช่นไรในทูเจวี๋ย เชื่อว่าพี่ชายทั้งสองก็คงสงสัยใคร่รู้เช่นเดียวกับข้า ยามนี้ก็มีโอกาสใหญ่ขนาดนี้แล้ว ลองดูสิว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ลึกลับคนนี้มีอิทธิพลต่อชนเผ่านอกด่านมากเท่าไหร่กันแน่! พี่หู เฮ่อหลี่เย่ผู้กล้าทูเจวี๋ยนั่นยังอยู่ในมือท่านกระมัง?!” 


 


 


หูปู้กุยกล่าวระคนหัวเราะ “คนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ก็คือเจ้าเฮ่อหลี่เย่ที่ถูกพวกเราจับตัวไว้ ไม่ได้ดื่มกันทั้งวัน แต่กลับยังมีกำลังวังชาไม่หมดสิ้น ช่างเป็นชายชาตรีผู้กล้าคนหนึ่งเสียจริง เชื่อว่าผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าต้องเป็นของมันเท่านั้นแน่ขอรับ!” 


 


 


“ผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้า?! ยอดเยี่ยม!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมปรบมือ พูดด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ผู้กล้าเช่นนี้อย่าให้เสียเปล่าเลย ฉวยโอกาสช่วงที่คนไม่สนใจ ปล่อยให้มันหนีไปเถอะ!” 


 


 


“ให้มันหนี?!” หูปู้กุยร้อนใจขึ้นมาทันที “ท่านแม่ทัพ นี่จะได้อย่างไร? เจ้าเฮ่อหลี่เย่คนนี้ไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ยธรรมดาทั่วไป มันมีพลังไร้ขีดจำกัด สามารถหนึ่งต่อร้อย ปล่อยมันไปไม่กับปลอยเสือเข้าป่าหรอกหรือ? วันหน้ายังมีทหารอีกตั้งเท่าไหร่ที่ต้องตายใต้เงื้อมมือนาง?!” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขา ยิ้มอย่างแปลกประหลาด “พี่หู ไม่ต้องร้อนใจไป เรื่องหลบหนีนี้ จะหนีไปถึงที่ไหนได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง! นั่น พี่เกา เอายาชั้นเลิศที่เก็บรักษาที่ตัวท่านออกมาให้อีกสักหน่อย…” 


 


 


“ไม่มีแล้วๆ ใช้หมดแล้ว!” เกาฉิวรีบกุมหน้าอก ร้องเสียงดังด้วยความประหม่าตื่นเต้น! 


 


 


หลินหว่านหรงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ไม่มีแล้วจริงๆ หรือ? เช่นนั้นก็ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน เดิมทีข้ายังคิดฉวยโอกาสนี้ยึดดินแดนชนเผ่านอกด่านมาสักสองแห่ง เดินทัพเข้าอี้อู๋ มุ่งตรงไปยึดราชธานีทูเจวี๋ย…น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายเหลือเกินจริงๆ!” 


 


 


เหล่าเกาควักห่อกระดาษขนาดเล็กที่ห่ออย่างแน่นหนาออกมาหลายห่อ พูดคิ้วขมวดด้วยหน้าตาขมขื่นว่า “น้องหลิน ของดีของข้ามีไม่มากแล้ว ใช้ให้ประหยัดสักหน่อยก็แล้วกัน รอให้รบเสร็จแล้ว ข้ายังต้องพึ่งมันไปทำการคบหากับเหล่าผู้กล้าสตรีอีกนะ!” 


 


 


เจ้านี่ก็ไม่ลืมเรื่องพรรค์นั้นเลยนะ! หลินหว่านหรงโบกมือกล่าวระคนหัวเราะ “พี่เกาวางใจได้ คราวนี้ใช้ไม่มาก เพียงให้เฮ่อหลี่เย่ล้มตายอยู่นอกเขตแดนเอ๋อจี้น่าหรือไม่ก็ฮาเอ่อร์เหอหลินก็พอแล้ว!” 


 


 


แค่วางยาพิษคนผู้หนึ่ง ไม่ต้องใช้ตัวยาจำนวนมาก เกาฉิวไม่ตกใจลนลานในทันที “น้องหลิน ในเมื่อต้องการฆ่าเจ้าคนแซ่เฮ่อนี่ ฟันดาบเดียวจะใช้แรงมากสักเท่าไหร่ แล้วเหตุใดถึงต้องสิ้นเปลืองยาของข้าด้วยล่ะ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงกัดฟันนกรอด แค่นเสียงคราหนึ่ง “หากแค่ฆ่าคน ข้ายังต้องเปลืองแรงขนาดนี้หรือ? ข้าต้องการให้เจ้าเฮ่อหลี่เย่ที่วิ่งนำไปนี่ช่วยส่งสารให้ข้าฉบับหนึ่ง!” 


 


 


ให้เฮ่อหลี่เย่ส่งสาร? เกาฉิวกับหูปู้กุยนิ่งอึ้ง นี่มันเหมือนเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ เฮ่อหลี่เย่เป็นผู้กล้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้า แล้วมันจะส่งสารให้พวกเราได้อย่างไรกันเล่า?! 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย ไม่อธิบาย เพียงพูดว่า “พี่เกา ต้องให้เฮ่อหลี่เย่ล้มตายอยู่นอกเขตแดน ไม่เห็นดินแดนของ ชนเผ่านอกด่าน ท่านทำได้หรือไม่?!” 


 


 


“แน่นอนว่าได้” เกาฉิวตบอกดังปักๆ รีบผงกศีรษะไม่หยุด “ข้าเหล่าเกาก็อาศัยเรื่องนี้กินข้าวนะ!” 


 


 


“ดี” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ดวงตาสาดประกายดุร้าย “พี่หู ตอนที่เฮ่อหลี่เย่วิ่งหนี ท่านจงไล่ตามอย่างโหดเ**้ยม ยิงธนูใส่มันอีกสักหลายดอก ทางที่ดีที่สุดก็ให้มันบาดเจ็บสาหัส ยิ่งสภาพดูไม่จืดก็ยิ่งดี คำนวณเวลา รอให้ถึงช่วงที่เฮ่อหลี่เย่สิ้นลม…” เขาหยุดชั่วครู่ แล้วยิ้มเล็กน้อย ชี้ไปที่ดาบโค้งซึ่งอยู่ในมือเหล่าหูพร้อมกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “…ค่อยเอาเจ้าดาบทองนี่ใส่มือมัน!” 


 


 


“อะไรนะขอรับ?!” พวกของหูปู้กุยสองคนร้องเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน ตาแทบจะถลนออกมา “ให้มัน? นี่จะได้อย่างไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิคราหนึ่ง “ให้เฮ่อหลี่เย่ที่ตายไปแล้วคนหนึ่งจะมีเรื่องอะไรให้กังวลกัน? ไม่เพียงเท่านี้ พี่เกาท่านยังต้องเขียนจดหมายเลือดโดยใช้ชื่อของเฮ่อหลี่เย่ ลายมือจะต้องหยาบและหวัด ลายเส้นจะต้องพร่าเลือนไม่ชัดเจน ให้คนเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นจดหมายก่อนตายของเฮ่อหลี่เย่!” 


 


 


จดหมายเลือดนี้ย่อมใช้ภาษาทูเจวี๋ย เหล่าหูเป็นทหาร แนวทางในการเขียนหนังสือและลายเส้นใกล้เคียงกับเฮ่อหลี่เย่ ให้เขาเขียนจึงเหมาะสม! พวกของเกาฉิวสองคนต่างไม่เข้าใจว่าเขาต้องการทำอะไร แต่เมื่อเห็นหลินหว่านหรงสีหน้าจริงจังไม่เหมือนล้อเล่น ดังนั้นจึงส่งเสียงอืมพร้อมเพรียงกัน ถามขึ้นมาว่า “เขียนอะไรบนจดหมายเลือด” 


 


 


หลินหว่านหรงย่ำเท้าเบาๆ หลายก้าว จากนั้นก็หันกลับมาทันที มองไปทางอวี้เจียทางนั้นคราหนึ่ง สาวน้อยทูเจวี๋ยกำลังนั่งอยู่บนรถครุ่นคิด คล้ายว่านางสัมผัสได้ถึงสายตาของหลินหว่านหรง ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเบาๆ ยิ้มงามยวนเย้าให้เขาคราหนึ่ง หมู่มวลบุปผาพลันอับเฉา! 


 


 


หลินหว่านหรงรีบก้มหน้าลง หัวเราะฮิฮะคราหนึ่ง “ให้บอกว่า ผู้กล้าจากดินแดนฮาเอ๋อรบดุเดือดกับชาวต้าหัวหนึ่งคืน แม้ทั้งกองทัพจะหมดสิ้น แต่ชาวต้าหัวก็สูญเสียอย่างหนัก เหลือไพร่พลแค่สองพันกว่าคน!” 


 


 


หูปู้กุยกล่าวอย่างตระหนักขึ้นมาได้ในทันที “ท่านแม่ทัพ ท่านต้องการสร้างสถานการณ์ปลอมว่าเฮ่อหลี่เย่เสี่ยงตายทะลวงวงล้อม เสี่ยงตายมาส่งสาร ล่อชนเผ่านอกด่านจากสองดินแดนนี้ออกมา? ไม่เลว เฮ่อหลี่เย่ห้าวหาญชาญชัย บนทุ่งหญ้าหาใช่ชนชั้นไร้นาม ให้มันหนีออกไปส่งสารถือว่าสมด้วยเหตุและผล บวกกับบาดแผลเต็มร่าง เหมือนผ่านการหลบหนีการรบพุ่งอย่างรุนแรง ล้มตายอยู่นอกเขตแดน นี่ก็ยิ่งเหมือนจริงเข้าไปอีก! แผนการนี้ใช้งานได้ขอรับ!” 


 


 


“ชนเผ่านอกด่านหาใช่ชนชั้นไร้สามารถเช่นกัน แค่พวกนี้ยังไม่รับประกัน!” หลินหว่านหรงส่ายหน้า “ยังต้องวางยาแรง ให้พวกมันล่องลอยสุขสม อยากหยุดก็ทำไม่ได้ พวกมันถึงบ้าคลั่งโดยสิ้นเชิง!” 


 


 


“ยาแรงอันใดหรือ?!” เกาฉิวกับหูปู้กุยสบตากัน เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน 


 


 


สายตาของหลินหว่านหรงร้อนแรง จ้องดาบโค้งที่อยู่ในมือหูปู้กุย หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “ดาบทองนี้ก็คือยาแรง! ลองคิดดูสิ เฮ่อหลี่เย่พญาอินทรีแห่งทุ่งหญ้า มือถือดาบทองและจดหมายโลหิต เดินทางรอนแรมมาขอความช่วยเหลือ ฮิฮิ ที่น่าตื่นเต้นก็อยู่ตรงนี้! พี่หู เพิ่มไปที่จดหมายเลือดอีกประโยคหนึ่ง…” 


 


 


“ประโยคอะไรหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหยุดเล็กน้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ทางนั้นเงยหน้าเหล่มองมาราวกับมีจิตสัมผัส ดวงหน้าอันงามยวนเย้ามองเห็นอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงส่งเสียงผิวปาก ออกแรงโบกไม้โบกมือให้สาวน้อย กล่าวระคนหัวเราะกระเซ้าเย้าแหย่แปลกประหลาด “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าหาพี่ชายคนรักให้เจ้าสักหลายคนดีหรือไม่?! เจ้าชอบอ้วนสักหน่อย หรือว่าผอมสักหน่อย?!” 


 


 


อวี้เจียอึ้ง ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง หลินหว่านหรงก็ก้มหน้าลง หรี่ดวงตาทั้งสองข้างเล็กน้อย กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ประโยคสุดท้าย จำให้ดีล่ะ…ด้วยคำสั่งของนายแห่งดาบทอง หากผู้ใดช่วยเหลือนางได้ด้วยตนเอง นางยินดีมอบดาบทองให้ ร่วมเสพสุขกับเกียรติยศอันสูงส่งกับเขา ขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า!” 

 

 

 


ตอนที่ 556 ท่านแม่ทัพถูกเข็มแทง

 

หูปู้กุยอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วยความงามและสติปัญญาของอวี้เจีย ในชนเผ่านอกด่านจะต้องเป็นบุคคลอันยิ่งใหญ่ที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินเป็นแน่แท้ ให้เฮ่อหลี่เย่เดินทางรอนแรมไปส่งสาร ทั้งยังมีดาบทองเป็นตัวชักนำ เอาตัวอวี้เจียมอบให้ ชนเผ่านอกด่านต้องเชื่อแน่นอน ได้เคียงคู่กับอวี้เจีย ชาวทูเจวี๋ยที่ดุร้ายพวกนี้ต่อให้ต้องสละชีวิตก็ต้องมาช่วยนางแน่นอน ท่านแม่ทัพ วิธีของท่านนี้ช่างล้ำเลิศยิ่งนัก” 


 


 


“ตอนนี้ก็ต้องดูว่าอวี้เจีย มีเสน่ห์มากแค่ไหนแล้ว” หลินหว่านหรงยิ้มเล็กน้อย โบกมือพร้อมพูดว่า “พี่หู เรื่องนี้ให้ท่านทำด้วยตัวเอง ช่วงเวลาจะต้องกะให้พอดี อย่าให้ชนเผ่านอกด่านจับพิรุธได้” 


 


 


“ขอท่านแม่ทัพโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องจัดการให้เรียบร้อยขอรับ!” หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น ประสานมือคารวะแล้วหมุนกายจากไป เมื่อเห็นเหล่าหูเดินจากไปอย่างสง่างามเช่นนี้ เกาฉิวก็ร้อนใจขึ้นมาทันที รีบดึงแขนเสื้อหลินหว่านหรงแล้วพูดว่า “น้องหลิน ยังมีข้าอีกนะ ข้าทำอะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตามองเขา “นี่ยังต้องมาสอนข้าอีกหรือ แน่นอนว่าต้องไปวางยาสิ เรื่องนี้นอกจากท่านแล้วไม่มีใครทำได้!” 


 


 


เหล่าเกาผงกศีรษะด้วยความยินดี “เช่นนั้นพอวางยาเสร็จล่ะ ข้าจะตามเหล่าเกาไปดูข้างหน้าด้วยได้หรือไม่?” 


 


 


“ไม่ได้!” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ยังมีเรื่องที่สำคัญกว่ารอให้ท่านไปทำ หากชนเผ่านอกด่านจากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินเคลื่อนไหวออกมาทั้งรัง หากพวกเราไม่เปลี่ยนเส้นทาง มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเจอกับพวกมัน เพื่อป้องกันความสูญเสียโดยไม่จำเป็น การเดินทัพของพวกเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง” 


 


 


หลักการง่ายๆ เช่นนี้เกาฉิวย่อมเข้าใจ เขารีบผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร น้องหลินรีบว่ามา!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้งดงามกำลังชะเง้อคอรอฟังอยู่ทางนี้ หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมโบกมือให้นาง หัวเราะพร้อมพูดกดเสียงต่ำ “เดินทางปล่อยอี้อู๋ไปก่อน มุ่งตรงไปทางเหนือ บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า!” 


 


 


เกาฉิวได้ยินก็ตกใจ ถามด้วยความสงสัยว่า “ปล่อยอี้อู๋ บุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า? หรือว่าพวกเราจะไม่ไปราชธานีทูเจวี๋ยแล้ว? ด้วยกำลังแค่นี้ของพวกเรา หากบุกเข่นฆ่ากันซึ่งหน้า เกรงว่าจะเป็นเหมือนไข่กระทบหิน ร้ายมากกว่าดีนะ” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า “พี่เกาเข้าจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ต้องการปล่อยอี้อู๋ แต่ต้องการปล่อยมันไปก่อน ให้ชนเผ่านอกด่านไม่ล่วงรู้เจตนาของพวกเรา ก็อย่างที่ว่ากันว่าอยากได้สิ่งใด ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างก่อน ชนเผ่านอกด่านไม่รู้เลยว่าเป้าของพวกเราอยู่ที่ใด พวกเราบุกเข่นฆ่าเข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้ากลับจะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกมันให้เร็วมากยิ่งขึ้น ให้เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินไม่รู้สึกตัว เมื่อพวกมันผ่อนคลายลง พวกเรากก็หันเหทิศทางบุกเข้าสู่อี้อู๋ นี่ถึงเป็นการโจมตีพิสดาร!” 


 


 


เมื่ออธิบายเช่นนี้เหล่าเกาก็เข้าใจในทันที เป็นอย่างที่น้องหลินว่าไว้ บุกเข่นฆ่าช่วงที่ชนเผ่านอกด่านไม่ได้ระวังป้องกัน แบบนี้ถึงจะสู้ได้สุดกำลัง และเป็นวิธีลดการสูญเสียจากการทำศึกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 


 


 


“เข้าสู่ใจกลางทุ่งหญ้า รอบด้านมีแต่ดินแดนของชนเผ่านอกด่าน ถือว่าเดินหนึ่งก้าวเสี่ยงเพิ่มอีกหนึ่งก้าว พี่เกาโปรดนำหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยออกไปสืบด้วยตัวเอง หากพบสิ่งผิดปกติจงรีบกลับมารายงานทันที ห้ามชักช้า เรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายและการดำรงอยู่ของทัพเรา พี่เกาต้องกระทำการด้วยความละเอียดรอบคอบ!” หลินหว่านหรงจับมือเขาด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวออกมาอย่างแช่มช้า  


 


 


“รับบัญชา!” เกาฉิวผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้น ประสานมือคารวะอย่างต่อเนื่อง “ขอน้องหลินโปรดวางใจ เหล่าเกาต้องทำตามคำสั่งเจ้าจนลุล่วง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” 


 


 


ทุกสิ่งวางแผนเรียบร้อย ขุนพลใหญ่สองคนข้างกายออกไปพร้อมกัน อวี้เจีย ทางนั้นเขาก็อยากอยู่ให้ไกลห่าง ปราศจากคนให้พูดคุยไปชั่วขณะ กลับทำให้เขารู้สึกเหงายิ่งนัก ดังนั้นจึงหยิบภาพเหมือนของฮูหยินทุกคนออกมาดูอย่างถ้วนถี่อยู่นาน ถึงกระนั้นยิ่งดูก็ยิ่งคิดถึง อยากจะติดปีกโบยบินกลับไปอยู่ข้างกายพวกนางให้มันรู้แล้วรู้รอดไป หลายวันที่เข้าสู่ทุ่งหญ้านี้ ข่าวสารของเฮ่อหลานซานถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฮูหยินและคนที่ต้องเป็นฮูหยินในเมืองหลวง ความคำนึงหาเพิ่มพูนอย่างล้นเหลือ 


 


 


ทัพใหญ่เปลี่ยนเส้นทางมุ่งตรงไปยังใจกลางทุ่งหญ้า เดินทางจนถึงยามสนธยาถึงจะปักหลักพัก ยังไม่ได้รับข่าวสารจากหูปู้กุย ความรู้สึกเคว้งคว้างไม่รู้ข่าวคราวทำให้คนทรมานมากที่สุด หลินหว่านหรงเดินย่ำกลับไปกลับมาภายในกระโจมหลายก้าว รู้สึกเบื่อยิ่งนัก ดังนั้นจึงเดินออกมาจากกระโจมทันที 


 


 


แสงตะวันค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าอย่างแช่มช้าอยู่ไกลๆ พื้นพิภพปกคลุมด้วยแสงสายัณห์เข้มข้น กระโจมหลายร้อยหลังราวกับบุปผาน้อยสีขาวที่เบ่งบานอยู่เต็มทุ่งหญ้า แผ่ขยายออกไปจากข้างกายจวบจนถึงขอบฟ้า ม้าศึกซึ่งรวมกลุ่มกันเดินเยื้องย่างหาอาหารอย่างสบายอารมณ์อยู่บนทุ่งหญ้า เสียงหัวเราะดังสดใสของนายทหารแว่วเข้ามาเป็นระยะ เมื่อเห็นภาพอันสงบสุข กระโจมที่เชื่อมต่อกันเป็นทิวแถว ม้าที่เดินรวมกลุ่มกันตรงหน้า ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้คือชาวต้าหัวที่เดินทางมาจากแดนไกล นับตั้งแต่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า เสื้อผ้าการกินอยู่หลับนอนของพวกเขาแทบจะไม่ต่างจากชนเผ่านอกด่านธรรมดาทั่วไป มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือผิวสีเหลืองและนัยน์ตาสีดำคู่นั้น! 


 


 


กลิ่นหอมแผ่ขยายออกมาจากค่าย พ่อครัวทหารตั้งกระทะใหญ่ ต้มกระต่ายป่าที่หูปู้กุยยิงมาได้จนเป็นน้ำแกงเนื้อกระทะใหญ่ หญ้าอ่อนและเกลือจำนวนเล็กน้อยเป็นเครื่องปรุงเพียงอย่างเดียว  


 


 


“ท่านแม่ทัพ สักชามไหมขอรับ!” เมื่อเห็นจอมทัพเดินเข้ามา พ่อครัวทหารหลายคนจึงรีบหยุดงานที่อยู่ในมือ ยกน้ำแกงเนื้อสดใหม่ชามหนึ่งมาให้ หลินหว่านหรงใช้สองมือประคองชามน้ำแกง สูดดมกลิ่นหอมเข้าไปลึกๆ ทำให้คนน้ำลายไหลยืด เขาส่ายหน้าด้วยความลุ่มหลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมา เทน้ำแกงเนื้อคืนกลับไปที่เดิมโดยไม่ได้แตะต้อง 


 


 


พ่อครัวร้อนใจขึ้นมาทันที “เป็นอะไรไปขอรับ ท่านแม่ทัพ รสชาติไม่ดีหรือขอรับ?! พวกข้าน้อยไร้สามารถ ในทุ่งหญ้านี่นอกจากหญ้าป่าก็ไม่มีอะไรแล้ว…” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขา หัวเราะพลางส่ายหน้า “นี่คือน้ำแกงเนื้อที่อร่อยที่สุดบนโลกนี้ เพียงแต่มีคนที่ต้องการมันมากกว่าข้า อย่าลืมว่าพวกเรายังมีเสี่ยวหลี่จื่อกับพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน พวกเขาถึงเป็นคนที่ต้องการการเอาใจใส่มากที่สุด!” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ…” นายทหารทุกคนต่างสะอึกสะอื้นอับจนคำพูด เบ้าตาเปียกชื้นภายในชั่วพริบตา 


 


 


นี่ไม่ใช่ภาพที่เขาต้องการเห็น หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยความจนใจ ขณะที่กำลังจะชักเท้าเดินจากไปพลันได้ยินเสียงหัวเราะพรวดเบาๆ อยู่ไม่ไกล เสียงของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ดังขึ้นมา “ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ากลับมีฝีมืออยู่บ้างนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง เห็นอวี้เจียกำลังนั่งอยู่บนรถม้าไม่ไกล กำลังยิ้มแย้มมองเขาอยู่ ดวงหน้าอันงดงามยวนเย้าดั่งบุปผา เขาหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ ย่ำเท้าเข้าไปหา “เอ๊ะ นี่ไม่ใช่คุณหนูอวี้เจียหรอกหรือ เจ้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยนะ!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย เผยฟันขาวสะอาดที่เรียงตัวเป็นระเบียบ “ข้ามาดูใต้เท้าอัวเหล่ากงว่าเหล่าทหารเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเจ้าได้อย่างไร คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะโง่เขลาถึงเพียงนี้ กลับซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหลเพราะน้ำแกงเนื้อชามเดียว” 


 


 


“หุบปากของเจ้าซะ” หลินหว่านหรงหน้าตาถมึงทึงทันที มองนางอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ใช่ชาวต้าหัว ไม่มีวันที่เจ้าจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเรา ราษฎรต้าหัวเป็นราษฎรที่ฉลาดหลักแหลมขยันหมั่นเพียร เรียบง่ายจิตใจดีบริสุทธิ์มากที่สุดบนโลกนี้ เรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงทว่ากลับเรื่องที่สมเหตุผลและควรกระทำ ก็ทำให้พวกเขาจดจำด้วยความซาบซึ้งใจไปทั้งชาติแล้ว ความมุ่งหวังและความซาบซึ้งในบุญคุณ เป็นความรู้สึกอันแสนจะเรียบง่ายที่สุดที่ติดตัวพวกเขามาแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยผู้โหดร้ายทารุณเช่นพวกเจ้าไม่มีวันเรียนรู้และไม่มีทางทำได้ไปนับพันนับหมื่นปี เจ้าไม่ชอบได้ แต่อย่ามานึกว่าตัวเองสงบเยือกเย็น หลุดพ้นจากโลกีย์มากนักเลย ยิ่งไปกว่านั้นอย่ามานึกว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่สูงส่งหาใดเทียบไม่แล้วจะไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้ ประวัติศาสตร์อันยาวไกลราวกับสายธารยาว ลองดูอารยธรรมและความเจริญรุ่งเรืองที่สหายร่วมชาติข้าสร้างขึ้นมาอย่างเงียบๆ เจ้าถึงจะเข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าสติปัญญาล้ำเลิศแสร้งโง่เขลา บอกว่าพวกเขาโง่เขลา?! ขอโทษที่ข้าพูดตามตรง คุณหนูอวี้เจีย เจ้าไม่มีคุณสมบัติ เจ้ามันก็แค่เกิดมามีเนื้อหนังที่สวยงามโดยเสียเที่ยวเปล่าเท่านั้น ยังอยู่ห่างไกลจากสติปัญญาล้ำเลิศเป็นโยชน์!” 


 


 


คำพูดประโยคเดียวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กระตุ้นโทสะเขาขึ้นมาจริงๆ เขาด่าทอวุ่นวายไปยกใหญ่โดยไม่ยั้งไมตรีและตีแสกหน้า จบแล้วยังถ่มน้ำลายด้วยความเดือดดาลอีกด้วย สีหน้าดูแคลนยิ่งนัก 


 


 


เห็นชัดว่าอวี้เจียคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ เมื่อเห็นสายตาเย็นชาของหลินหว่านหรงแล้ว นางก็บังเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าคราวนี้เจ้าโจรไม่ได้กำลังแสดงละครอยู่ ดูท่าว่าครั้งนี้ตัวเองไปแตะเกล็ดน้อยของเขาแล้วแน่นอน นางมองหลินหว่านหรงด้วยท่าทีนิ่งอึ้ง ใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด คิดจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ก้มหน้าลงไปอีก 


 


 


หลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทีเรียบเฉย “สายแล้ว คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ!” 


 


 


“ข้าจะพักได้อย่างไรกัน?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียง เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นปรากฏไอหมอกรางเลือน นางออกแรงยกสองมือที่ถูกมัดขึ้น ใบหน้าผุดสีชมพูบางๆ กัดฟันพร้อมพูดว่า “…ถูกเจ้ามัดจนมีสภาพเช่นนี้ แล้วข้าจะพักผ่อนได้อย่างไร หรือจะให้นอนในอ้อมอกเจ้าอีก?!” 


 


 


พูดถึงตรงนี้นางก็อดที่จะก้มหน้าลงไปไม่ได้ ใบหน้าแดงเล็กน้อย ผมที่ปรกลงมาพลิ้วผ่านหน้าอกอันอวบอิ่ม ซอกคอเรียวยาวขาวกระจ่างใสสูงสง่าน่าลุ่มหลงดั่งหงส์ฟ้า ภายในดวงตาสีฟ้าผุดประกายเอียงอาย ทำท่าทางปากอย่างใจอย่าง 


 


 


เมื่อเห็นสีหน้านาง ไหนเลยจะยังเป็นอวี้เจีย สาวน้อยผู้เสแสร้งว่าเอียงอายคนนั้นได้ เห็นชัดว่าเปลี่ยนกลับไปเป็นสาวน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์และขี้อายคนนั้น หลินหว่านหรงมองจนตาโตอ้าปากค้าง แม่หนูนี่ฝีมือการเปลี่ยนสีหน้าช่างร้ายกาจเสียเหลือเกิน อยู่กับนางก็รู้สึกแยกไม่ออกจริง ๆ ว่าประโยคใดจริงประโยคใดเท็จ อันตราย อันตรายเสียจริง 


 


 


เขาอดปากลิ้นแห้งผากไม่ได้ หลับตาลงทันทีพร้อมหัวเราะออกมา “คุณหนูอวี้เจีย ขอเจ้าอย่าได้แสดงละครอีกเลย ยิ่งไม่ต้องคิดเพ้อฝันที่จะยั่วยวนข้าด้วย ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของข้าคนนี้ก็คือความซื่อสัตย์…ซื่อสัตย์มาก! เรื่องออกนอกลู่นอกทางพรรค์นั้นไม่ใช่นิสัยของข้าเลยจริงๆ…ข้าเกิดมาก็เป็นคนที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง!” 


 


 


“ซื่อสัตย์มากนักนะ” เยวี่ยหยาเอ๋อร์เหลือบมองเขา คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ซื่อสัตย์กับฮูหยินนับสิบคนโดยไม่มีคนอื่นได้ ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้าถือว่าเป็นยอดคนที่หาได้ยากนับพันปีในประวัติศาสตร์ต้าหัวแล้ว” 


 


 


ดวงหน้างดงามของสาวน้อยทูเจวี๋ยเหมือนแต่งแต้มชาด แฝงสีแดงระเรื่อจางๆ นางแอบเงยหน้าขึ้น มองประเมินเขาเป็นระยะ ดวงตาเปล่งประกาย 


 


 


ยังคิดจะยั่วยวนข้าอีกหรือ? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังหลายครั้ง จ้องมองเรือนร่างอันงดงามของนางโดยตรง รีบกลืนน้ำลายหลายอึก “ข้าซื่อสัตย์ คุณหนูอวี้เจีย เจ้าก็ไม่เลวนะ เอาดาบทองสับปะรังเคมาเป็นของกำนัลได้ หากทั่วทั้งทุ่งหญ้ารู้ว่าเจ้าต้องการหาคู่ เชื่อว่าผ่านไปไม่กี่วันคนรักของเจ้าก็ต้องกลิ้งมาเหมือนก้อนหิมะแน่นอน ฮ่าๆ!” 


 


 


“พูดจาเหลวไหลอะไร อะไรกลิ้งมา” อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน คล้ายโมโหจริงๆ แล้ว แต่ท่าทางโมโหของนางดังแฝงการยั่วยวนอย่างอื่นอีก “เจ้าเห็นสตรีทูเจวี๋ยอย่างพวกเราเป็นอะไรกัน? ต่างได้ใหม่ก็ลืมเก่าอย่างเจ้านี้หรือ?! ข้าขอสาบานในนามเทพแห่งทุ่งหญ้า เมื่อดาบทองมอบไปแล้ว อวี้เจีย จะขออยู่ร่วมตราบชั่วชีวิต ไม่คิดเสียใจภายหลังตลอดกาล นี่เป็นคำสาบานที่ข้าให้กับท่านเทพ” 


 


 


“เข้าใจๆ” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะร่า “เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์เหมือนกับข้า!” 


 


 


ต้องมาเทียบกับเจ้านั้นยังไม่สู้ให้ข้าตายให้มันแล้วไปจะดีกว่า สาวน้อยทูเจวี๋ยทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห อดแค่นเสียงออกมาไม่ได้ หน้าอกสะท้อนเร็วรี่ อารมร์พลุ่งพล่าน สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย คล้ายคิดไม่ถึงว่าตัวเองกลับได้รับผลกระทบจากเจ้าโจร อารมณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขนาดนี้ 


 


 


“เด็กๆ ส่งคุณหนูอวี้เจีย กลับไปพักผ่อน!” ครั้นเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นเงียบงัน สายตาสาดประกายไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลินหว่านหรงก็คร้านที่จะสนทนากับนาง สั่งการเสียงดังออกมาประโยคหนึ่ง 


 


 


ทหารสองนายเข้ามาอย่างเร็วรี่ จากนั้นก็ยื้อยุดแขนเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อวี้เจีย บิดร่างกล่าวด้วยโทสะ “อย่ามาแตะตัวข้า ข้าเดินเองได้!” 


 


 


นางกระโดดลงจากรถ หลินหว่านหรงหัวเราะพลางแก้เชือกที่มัดขานางออก “เอาเถอะ เจ้าเดินไปเอง เฮ้อ คนดีที่ดูแลนักโทษเป็นพิเศษเช่นข้านี้ บนโลกหาได้ไม่กี่คนแล้วนะ” 


 


 


มองสองมือที่ถูกมัดจนแน่นของตัวเอง อวี้เจียก็อยากจะถีบเขาให้ปลิวสักทีให้มันรู้แล้วรู้รอดไป อวี้เจีย ไม่พูดไม่จา เดินไปยังกระโจมที่อยู่กึ่งกลางอย่างแช่มช้าภายใต้การควบคุมตัวของนายทหาร 


 


 


เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นนางก็หันหน้ากลับมา มองหลินหว่านหรงอย่างลึกซึ้งหลายครั้ง ยิ้มงามเฉิดฉันแล้วพูดว่า “เจ้าโจร มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าลืมบอกเจ้า” 


 


 


“หา เจ้าว่าอะไรนะ?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยที่หันกลับมาอย่างกะทันหันทำให้หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง เขากำลังตั้งใจมองประเมินเรือนร่างอันงดงามของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ พอได้ยินจึงรีบทำท่าทาสำรวมเคร่งขรึม 


 


 


อวี้เจีย ใบหน้าแดง พูดเสียงแผ่วเบา “เจ้าโจร ท่าทางการแสดงของเจ้าเมื่อครู่น่าเกรงขามมาก มีบารมีมาก เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน เหมือนผู้กล้าที่แท้จริง อวี้เจีย ชอบมาก!” 


 


 


นางเงยหน้ามองเขาหลายครั้ง ใบหน้าประดับรอยยิ้มสะใจ หมุนกายโดยฉับพลัน ชักเท้าแล้ววิ่งไปทางกระโจม หัวเราะคิกคักยวนเย้าตลอดทาง 


 


 


แสดงละคร นี่เจ้าแสดงต่อไปเถอะนะ! หลินหว่านหรงแค่นเสียงเย็นชา หันกลับมาอย่างแช่มช้า ยังไม่ทันได้ย่างก้าว ก็มีเสียงลมหวีดหวิวแผ่วเบาจนแทบจะไม่รู้สึกกรีดผ่านอากาศจนมาถึงร่างเขา 


 


 


“โอ๊ย!” หลินหว่านหรงรีบแค่นเสียงออกมา รู้สึกว่าที่ก้นเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทั้งปวดทั้งชา เมื่อเอามือไปคลำที่อยู่ในมือกลับเป็นวัตถุบางๆ เย็นเยียบชิ้นหนึ่ง! 


 


 


นายทหารหลายนายที่อยู่ใกล้เขาเห็นสถานการณ์ก็ตกใจ รีบมาคุ้มกันรอบตัวเขาโดยพร้อมเพรียงกัน แหกปากร้องเสียงดังออกมาว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว รีบมาเร็ว ก้นท่านแม่ทัพถูกเข็มแทงเข้าแล้ว!” 

 

 

 


ตอนที่ 557 - 1 ใครคือพี่สาวนางเซียนของเจ้า

 

ถูกเข็ม? หลินหว่านหรงมือคลำไปที่ก้น กัดฟันกรอดแล้วถอนวัตถุที่เย็นเฉียบนั้นออกมา ไอเย็นส่งผ่านมาตามฝ่ามือ เข็มเงินเล่มนั้นเปล่งประกายเย็นเยียบท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง 


 


 


เข้มเงินที่ไม่ได้เห็นมานาน! ปลายเข็มแม้จะเย็น ทว่ากลับทำให้จิตใจคนอบอุ่น หลินหว่านหรงกระเด้งขึ้นมาราวกับได้รับสมบัติอันล้ำค่า เหลียวมองรอบด้านหลายครั้ง ร้องเรียกเสียงดังด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น “นางเซียนหนิง พี่สาวนางเซียน เจ้าอยู่ที่ใด?” 


 


 


รอบด้านเงียบสงัด นอกจากเสียงลมหายใจของเหล่าทหารแล้วก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวผิดปกติอันใดอีก ทุกคนต่างมองเขาด้วยความสงสัย ถูกเข็มแล้วก็ยังดีอกดีใจขนาดนี้อีก เดี๋ยวก็นางเซียนเดี๋ยวก็พี่สาว แม่ทัพหลินเสียสติไปแล้วหรือ 


 


 


มองดูสายตาแปลกประหลาดของเหล่าทหาร หลินหว่านหรงก็ไม่สนใจให้มากความเช่นกัน เมื่อนึกขึ้นว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหนิงอวี่ซีอาจร่วมเดินทาง ความปีติยินดีและความซาบซึ้งใจเป็นล้นพ้นนั้นพลันถั่งท้นขึ้นมาภายในใจภายในชั่วพริบตา เขาโบกมือทั้งสองข้างพร้อมร้องเสียงดัง “ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ตอนออกจากเมืองซิงชิ่งก็รู้แล้ว พี่สาวนางเซียน ข้าคิดถึงเจ้ามาก เจ้าออกมาหาข้าเถอะ มาห้าข้าเถอะนะ!” 


 


 


เขาไม่หยุดยั้งฝีเท้า เดินตัดผ่านท่ามกลางหมู่กระโจมไม่หยุด ตามหาเงาร่างของหนิงอวี่ซี ท่าทางจริงใจและบ้าคลั่ง เหล่าทหารมองเงาร่างของจอมทัพ ท่ามกลางความงงงวยกลับแฝงด้วยความนับถือ แสดงความคิดพี่สาวนางเซียนผู้นั้นต่อหน้าคนตั้งมากมายขนาดนี้ การแสดงความรู้สึกของท่านแม่ทัพช่างไม่ธรรมดาเสียจริงนะ 


 


 


เดินไประยะหนึ่งจนตามหาเกือบทุกกระโจมแล้ว แม้แต่ท่ามกลางม้าศึกที่อยู่กันเป็นฝูงนั่นก็ยังไปตามหามารอบหนึ่ง ทว่ายังไม่พบเงาของหนิงอวี่ซีอยู่ดี มือกำเข็มเงินอันเย็นเฉียบ หลินหว่านหรงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน นี่พี่สาวนางเซียนหมายความว่าอย่างไร? ตอนช่วยเราที่เมืองซิงชิ่ง นางไม่ยอมปรากฏตัวก็ยังพอให้เข้าใจได้ แต่ตอนนี้เข้าสู่ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่แล้ว แทบจะหลุดพ้นจากสายตาของทุกคน แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่ออกมาพบข้าอีก? ในเมื่อไม่ยอมพบข้า แล้วเหตุใดนางถึงต้องซัดเข็มใส่ข้าเล่มหนึ่งด้วย นี่ไม่ใช่ว่ากำลังแกล้งข้าชัดๆ หรืออย่างไร? 


 


 


ความสงสัยทั้งหมดเก็บอยู่ในใจ เดินวนภายในค่ายอย่างไร้จุดหมายหลายรอบก็ไม่พบเงาของหนิงอวี่ซี ความหดหุ่ผิดหวังย่อมรู้ได้ เขาปราศจากความคึกคักไปในทันที เคี้ยวหญ้าแห้งหลายครั้งอย่างไร้รสชาติ กลับกระโจมไปอย่างเศร้าสร้อย 


 


 


เพิ่งเข้ามาในกระโจมก็เห็นเงาร่างที่คล้ายเสาไม้เสาหนึ่งนอนอยู่ ตลอดทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนา เหมือนกับบ๊ะจ่างที่ถูกมัดแน่นอย่างนั้น แม้แต่ใบหน้าก็ถูกปิดบังเอาไว้ ร่างนี้ปากถูกยัดเศษผ้า พยายามดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย สองขาถีบเตะไม่หยุด แม้กระทั่งเสียงก็ยังไม่อาจเปล่งออกมาได้สักแอะเดียว มีเพียงหน้าอกที่ขยับขึ้นลงไม่หยุดเท่านั้นที่ยืนยันว่านางเป็นสตรี 


 


 


“เจ้าเป็นใคร?” หลินหว่านหรงตกใจสะดุ้งโหยง กระโดดหนึไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณ เอ่ยถามเสียงเร็วรี่ 


 


 


สตรีที่ถูกมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่างคนนั้นพอได้ยินเสียงเขาก็ยิ่งดิ้นรนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ออกแรงส่งเสียงอื๊อๆ ออกมา หลินหว่านหรงครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าคือเยวี่ยหยาเอ๋อร์?!” 


 


 


 ‘บ๊ะจ่าง’ ที่อยู่บนพื้นบิดร่าง ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่อนอันแปลกประหลาด ดูจากท่าทางนั้นคล้ายผงกศีรษะ  


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงเฮ้อออกมาคราหนึ่ง ตบหน้าผากอย่างแรง ข้าก็บื้อไปแล้ว ผู้หญิงที่เข้ามาอยู่ในกระโจมข้า นอกจากอวี้เจียแล้วยังจะเป็นใครได้อีก? นี่เป็นฝีมือของพี่น้องคนไหนนี่ มัดนังหนูนี่แน่นเกินไปสักหน่อยนะ มองแวบเดียวยังนึกว่าเป็นมนุษย์ไม้มุดเข้ามาเสียอีก 


 


 


“อย่าลนลานๆ ข้าจะให้เจ้าได้สูดอากาศเดี๋ยวนี้ละ” หลินหว่านหรงกลั้นหัวเราะพร้อมเดินเข้าไปหา คุกเข่าลงอย่างแช่มช้า ปลดเชือกที่มัดอยู่บนร่างของนาง เชือกที่อยู่บนตัวของอวี้เจียคนนี้ไม่รู้ว่ามัดอย่างไร กอปรด้วยเงื่อนซับซ้อนมากมาย ห่างไปไม่ไกลนักก็มีเงื่อนเป็นเงื่อนตาย หลินหว่านหรงใช้สรรพกำลังทั่วทั้งร่างถึงจะแก้มัดเชือกตรงศีรษะนางออกไปได้ เหงื่อเย็นไหลหยดติ๋งๆ ออกมาไม่หยุด 


 


 


บนใบหน้าขาวกระจ่างใสราวกับน้ำนมของอวี้เจียปรากฏรอยแดงจางๆ ขึ้นหลายเส้น นางหน้าบวมจนเป็นสีม่วง นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างวูบด้วยประกายน้ำตาอันแสนจะอดสู 


 


 


เพิ่งเอาเศษผ้าออกจากปากนาง อวี้เจียก็สะอื้นออกมาคราหนึ่ง ไหล่ทั้งสองข้างสั่นระริกเบาๆ น้ำตาสองสายค่อยๆ ไหลรินลงมาตามแก้ม สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ดื้อดึงยิ่งนัก ระหว่างร่ำไห้ก็หมุนร่างไป ไม่ยอมให้หลินหว่านหรงเห็นใบหน้านาง มีเพียงไหล่งามที่สั่นระริกไม่หยุดนั่นเท่านั้นที่แสดงความรู้สึกยามนี้ของนางออกมาอย่างชัดเจน นั่นคือความอดสูและความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่งยวด 


 


 


เชือกนี้ช่างมัดอย่างมีมาตรฐานเสียจริง มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือที่มัดจนช่ำชอง ในทัพข้ากลับซุกซ่อนคนมีความสามารถแบบนี้อยู่ด้วย ช่างเหนือความคาดหมายเสียจริง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “คุณหนูอวี้เจีย นี่ ถูกคนจับตัวจะได้รับความลำบากเล็กน้อยก็ยากจะหลีกเลี่ยงนะ พวกพี่น้องของข้าแม้จะลงมือหนักไปสักหน่อย แต่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าสักหน่อยนี่นา เจ้าอย่าเสียใจเกินไปเลยนะ!” 


 


 


อวี้เจียหันหน้ามา ดวงตาปรากฏประกายน้ำตาแห่งความอดสูกระจ่างวูบ กล่าวโดยแทบจะกัดฟันกรอดออกมาว่า “เจ้าโจรเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นเจ้า อย่ามาแสร้งทำทีมีเมตตาต่อหน้าข้าเลย หากไม่ใช่เจ้าส่งสตรีเข้ามา แล้วข้าจะถูกหยามเช่นนี้หรือ” 


 


 


“สตรี?!” หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง ส่ายหน้าราวกับเป็นกลองป๋องแป๋ง “แม่นางอวี้เจีย เจ้าอย่ามาล้อเล่นเลย ข้านำทัพเดี่ยวเข้าสู่ทุ่งหญ้า จะพาสตรีมาด้วยทำไมกัน?! ห้าพันคนของข้านี้ต่างเป็นชายฉกรรจ์เหมือนกันทั้งหมด อย่าว่าแต่สตรีเลย แม้แต่แมลงสาบตัวเมียก็ยังหาไม่ได้สักตัว! แล้วข้าจะส่งสตรีมามัดเจ้าได้อย่างไร…หากจะมัดก็เป็นข้าทำเองนี่ล่ะ!” 


 


 


ดูจากสีหน้าจริงใจของเขาแล้วก็ไม่เหมือนคนโกหก อวี้เจียครุ่นคิดถึงพฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเขา เจ้าอัวเหล่ากงคนนี้ไร้ยางอายลากมกต่ำช้า แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังมั่นใจได้ ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขากระทำ เขาจะยอมรับด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขามีฝีมือแปลกประหลาดอัศจรรย์หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องส่งสตรีเข้ามา 


 


 


“ไม่ใช่เจ้าจริงหรือ?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก้มหน้า น้ำตาไหลเป็นทาง เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา  


 


 


จากความงามยวนเย้าก่อนหน้ามาจนถึงความอ่อนแอน่าเวทนาตอนนี้ อวี้เจียแปรเปลี่ยนสารพันอย่างฉับพลัน หลินหว่านหรงจำแนกไม่ออกเช่นกันว่าคนไหนถึงจะเป็นนางตัวจริง “ไม่ใช่ข้าจริงๆ!” หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออก กล่าววาจาอย่างผู้บริสุทธิ์ “ถ้าข้าอยากจะสั่งสอนคน ก็ไม่จำเป็นต้องยืมมือบุคคลที่สามเลย แม่นางอวี้เจีย เจ้าเห็นใบหน้าคนผู้นั้นชัดเจนหรือไม่?!” 


 


 


ประกายน้ำภายในดวงตาของสาวน้อยทูเจวี๋ยเปล่งประกาย ส่ายหน้าด้วยท่าทางน่าเวทนาสงสาร “สตรีผู้นั้นเข้ามาดุจสายลม อีกทั้งข้ายังถูกเจ้ามัดอย่างแน่นหนา ยังไม่ทันได้ขัดขืนก็ถูกนางสยบไว้แล้ว แม้แต่ใบหน้านางก็เห็นไม่ชัด นางมัดข้าแน่นหนา ทั้งยังหัวเราะเย็นชาข้างใบหูข้าไม่หยุด ตัวข้าไร้เรี่ยวแรงแม้แต่น้อย สิ่งที่มองเห็นเพียงอย่างเดียวก็คือนางสวมชุดกระโปรงสีขาว” 


 


 


ชุดกระโปรงสีขาว? หลินหว่านหรงใจเต้น ตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันที หรือจะเป็นพี่สาวนางเซียน? และมีแค่นางเท่านั้นถึงมีความสามารถเช่นนี้ เพียงแต่นางซัดเข็มเงินใส่ช้า ทั้งยังมัดอวี้เจียอีก แต่กลับไม่ยอมพบหน้าข้า ที่แท้นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? 


 


 


เขาหงุดหงิดใจไม่น้อย ปลดเชือกที่อยู่บนร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์สะเปะสะปะ พอมาถึงหน้าอกนางกลับนิ่งอึ้งไป 


 


 


สองจุดที่นูนขึ้นมาบนอกงามอันชูชันของอวี้เจีย แต่ละจุดกลับปักเข็มเงินกระจ่างแวววาวเอาไว้ ปลายเข็มเพียงปักลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ขยับสั่นกระเพื่อมเล็กน้อยตามการหายใจของสาวน้อยทูเจวี๋ย น่าดูชมยิ่งนัก เมื่อมองไปที่ท้องน้อยของนางอีก ก็มีเข็มเงินปักอยู่เล่มหนึ่งเช่นกัน ก่อเป็นรูปสามเหลี่ยมกับสองจุดที่อยู่บนหน้าอก สีเงินวูบวาบ กระจ่างตายิ่งนัก 


 


 


อวี้เจียเห็นมือเขาดึงเชือกแต่ตากลับไม่ขยับ ดังนั้นจึงมองตามสายตาเขาไป เมื่อเห็นเข็มเงินแวววาวนั้น สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ตะลึงงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ร้องอ๊ะเสียงแหลมแสบแก้วหูออกมาทันที เสียงดังลอยออกไปไกล ทำให้แก้วหูหลินหว่านหรงจะทะลุอยู่แล้ว 


 


 


“ข้าจะฆ่านาง ข้าจะฆ่านาง!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ร่ำไห้ตะโกนร้องเสียงดัง กำปั้นน้อยกำเข้าหากันแน่น น้ำตาไหลรินดุจสายฝน จากความกระทบกระเทือนจากการถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ นางหาใช่นางมารผู้งามยวนเย้าอีกต่อไป แต่เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยธรรมดาทั่วไป ยิ่งน่าเวทนา ทำให้คนสงสารมากยิ่งขึ้น 


 


 


เข็มเงินที่สั่นกระเพื่อมไม่หยุดเกิดเป็นระลอกคลื่นที่ทำให้คนอกสั่นขวัญหาย หลินหว่านหรงหลั่งเหงื่อเต็มหน้า นี่เป็นวิชาฝ่ามือขั้นสูงสุดในกระบวนท่าสามสิบหกฝ่ามือ พี่สาวนางเซียนไปเรียนของพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? เช่นนั้นวันหลังตอนที่ข้าแลกเปลี่ยนกับนางจะไม่ยิ่งราบรื่นหรอกหรือ? 


 


 


“เอ่อ คุณหนูอวี้เจีย” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา “การแพทย์ต้าหัวเราล้ำลึกกว้างขวาง เข็มเงินนี้มีวิธีการใช้งานตั้งมากมาย ไม่ใช่การลบหลู่อย่างที่เจ้าคิดเอาไว้ ก็อย่างเช่นการที่สตรีผู้นั้นใช้การฝังเข็มแบบสามเหลี่ยมบนตัวเจ้า ที่จริงแล้วถือเป็นศาสตร์ที่สูงส่งมากอย่างหนึ่ง รอให้เจ้าศึกษาต้าหัวของลึกซึ้งอีกนิด เจ้าจะเข้าใจเอง” 


 


 


“เจ้าก็ไม่ใช่ตัวดีอะไรเหมือนกันนั่นล่ะ” ครั้นได้ยินเขาแก้ตัวให้สตรีผู้นั้น เบ้าตาของอวี้เจียเปียกชื้น กัดฟันด้วยความเคียดแค้น “เจ้ากับนางร่วมมือกันมาหลอกข้า…อัวเหล่ากง ข้าแค้นเจ้า อวี้เจียแค้นเจ้า!” 

 

 

 


ตอนที่ 557 - 2 ใครคือพี่สาวนางเซียนของเจ้า

 

ตอนนั้นยังพูดอยู่เลยว่าข้าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง ชั่วพริบตากลับแค้นข้าอีกแล้ว สตรีทูเจวี๋ยคนนี้ก็เปลี่ยนแปลงเก่งเหมือนกันนะ หลินหว่านหรงไม่ใส่ใจเช่นกัน หัวเราะพลางส่ายหน้า “แค้นก็แค้นไปเถิด ไม่ได้มีเนื้อขาดหายไปสักชิ้น ยังเป็นคำพูดโบราณประโยคนั้น ข้าไม่เคยหวังว่าเจ้าจะรักข้า!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยถุยคราหนึ่ง กับคนที่หน้าหนาเช่นนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร ทำได้เพียงมองเข็มเงินไม่กี่เล่มที่อยู่บนร่าง เบือนหน้าไป หลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบงัน 


 


 


หลินหว่านหรงลุกยืนขึ้น กล่าวด้วยความเที่ยงธรรมเต็มใบหน้า “สิ่งที่ต้าหัวเราเน้นก็คือบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัว เข็มเงินบนตัวเจ้า ข้าที่เป็นบุรุษไม่สะดวกที่จะเอาออก ไปหาคนอื่นจะดีกว่านะ” 


 


 


เขาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก คล้ายจะไปหาผู้ช่วยคนอื่น อวี้เจียรีบเอ่ยปาก เสียงแผ่วเบายิ่งนัก “เจ้า เจ้ารอก่อน…” 


 


 


หลินหว่านหรงมองนางด้วยความประหลาดใจคราหนึ่ง “คุณหนูอวี้เจีย ยังมีเรื่องอะไรอีก? ข้าร้อนใจจะไปหาคนมาช่วยเจ้าอยู่นะ ช้ากับเจ้าบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัวกันจริงๆ!” 


 


 


ในค่ายทหารแห่งนี้มีแต่บุรุษ จะหาสตรีมาถอนเข็มก็เกรงว่าคงต้องหานักแปลงโฉมมาแล้วล่ะ เวลานี้เจ้ากลับยังมาจำเรื่องบุรุษสตรีไม่อาจถูกเนื้อต้องตัว ก่อนหน้านี้ตอนที่บีบบังคับข้า ทำไมไม่เห็นเจ้านึกถึงเรื่องพวกนี้? อวี้เจียหงุดหงิดโมโหจนไม่อาจจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อยากเห็นหน้าสตรีที่ทำร้ายนางอีกต่อไป ดังนั้นจึงทำได้แค่กัดฟันกรอด ใบหน้าฉายแววแน่วแน่ “ไม่ต้อง ข้าไม่ใช่ชาวต้าหัว สตรีแห่งทุ่งหญ้าไม่ได้มีข้อห้ามมากมายขนาดนั้น อัวเหล่ากง ขอให้เจ้าดึงเข็มให้ข้าได้หรือไม่…” 


 


 


พูดถึงเอาเข็มออก นางก็มองหลินหว่านหรงด้วยท่าทางน่าเวทนาสงสารคราหนึ่ง สองตามีน้ำตารื้น ใบหน้างดงามผุดสีแดงซ่าน เสียงแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ช่างไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะไม่ยั่วยวนเลยนะ หลินหว่านหรงรีบกลืนน้ำลาย พูดด้วยท่าทีเสแสร้ง “นี่ก็ไม่ค่อยดีกระมัง ถ้าเมียข้ารู้จะด่าข้าเอานะ อีกอย่าง ข้าไม่ใช่คนใจง่ายจริงๆ!” 


 


 


“ชาวต้าหัวคนเสแสร้ง!” อวี้เจียมองเขาด้วยความเดือดดาล เบือนหน้าไปอย่างหมดแรง กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “คำพูดนี้ เจ้าก็ทำได้แค่หลอกลวงตัวเองเท่านั้นล่ะ” 


 


 


นังหนูนี่กลับรู้จักข้าอย่างลึกซึ้ง หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมาอย่างอับจนปัญญา “เอาเถอะ ในเมื่อแม่นางอวี้เจียเชื้อเชิญด้วยความจริงใจเช่นนี้ ข้าก็จะฝืนลำบากใจลองทำดู เพียงแต่ขอพูดเตือนไว้ก่อน ขั้นตอนการดึงเข็มนี้ซับซ้อนแปรเปลี่ยนสารพัน แถมน้องสาวเช่นเจ้ายังมีรูปร่างขนาดนี้อีก หากพลั้งเผลอไป สองมือข้ากับร่างกายเจ้าเกิดการกระทบแตะต้อง ลูบๆ คลำๆ อะไรต่อมิอะไรโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าจะมาบ่นข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ใช่คนมักง่าย…” 


 


 


อวี้เจียหน้าแดงพลางถลึงตามองเขาหลายครา หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองครา กลืนคำพูดข้างหลังกลับไป 


 


 


การเอาเข็มเงินออกมา ประสบการณ์ของหลินหว่านหรงมีตั้งมากมายถมเถไป ไม่ว่าจะเป็นจิ้งจอกอันหรือว่าหนิงอวี่ซีต่างก็เคยทิ่มเข็มใส่เขามาแล้ว โดนไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง เพียงแต่จะเอาเข็มออกจากหน้าอกอวี้เจีย สำหรับคนจริงจังเช่นเขานี้ยังถือว่ายากยิ่งนัก  


 


 


อวี้เจียเห็นเขาถูฝ่ามือ เอามือใหญ่มาทำท่าทางตรงหน้าอกนางไม่หยุด ดวงตาก็สาดประกายลามก ทว่ากลับไม่ลงมือ สาวน้อยทูเจวี๋ยหน้าแดงประดุจโลหิต รีบหลับตาลงพร้อมพูดว่า “เจ้าโจร เจ้ายังรออะไรอยู่อีก? รีบเอาเข็มเงินออกจากตัวข้าโดยเร็ว อวี้เจียจะซาบซึ้งใจเจ้าไปตลอดกาล!” 


 


 


“ข้ากำลังกะขนาดอยู่ อ้อ ไม่ใช่ ข้ากำลังหาตำแหน่งอยู่” ไม่ทันระวังเกือบพลั้งปากออกมาแล้ว เขารีบพูดแก้ ถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าอย่าแกว่งได้หรือไม่? ไอ้ที่แกว่งอยู่นี่ข้ามองแล้วตาลาย ถ้าพลาดจับผิดที่ สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงได้ แต่ชายชาตรีต้าหัวเช่นข้านี้จะต้องถูกคนเหยียดหยามแน่ ข้าไม่อาจเสี่ยงเช่นนี้ได้จริงๆ” 


 


 


ไอ้แกว่งไม่แกว่งข้าควบคุมได้หรือไง สตรีในแผ่นดินก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น! ต่อให้อวี้เจียสตรีทูเจวี๋ยผู้งดงามยวนเย้าห้าวหาญ แต่เมื่อถูกเขากระเซ้าเช่นนี้ รับรู้ถึงสายตาอันร้อนแรงราวกับจะกินคนได้ของบุรุษต้าหัว นางก็ยังอดทั้งอายทั้งโมโหจนอยากจะตายไม่ได้อยู่ดี กัดฟันกรอด หลับตาไม่พูดไม่จาทันที 


 


 


พี่สาวนางเซียน นี่เจ้ากำลังทดสอบความแน่วแน่ของข้าอยู่สินะ หลินหว่านหรงทอดถอนใจ เล็งหนึ่งในเข็มเงิน ออกนิ้วราวกับสายลม เข็มเงินเล่มนั้นก็ตกอยู่ในมือโดยไม่ให้รู้ตัว ตลอดการเคลื่อนไหวหมดจดรวบรัด เสร็จภายในชั่วอึดใจเดียว กระทั่งว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ 


 


 


เข็มเงินขนาดบางละเอียดส่งความรู้สึกเย็นเฉียบเข้ามา ประดุจมืออันอบอุ่นของนางเซียนหนิงที่พัดผ่านจิตใจหลินหว่านหรง สายตาของเขาไปอยู่ที่เข็มเงินเล่มนั้น นึกถึงรูปร่างหน้าตาหนิงอวี่ซีแล้วเหม่อลอยไปชั่วขณะ 


 


 


อวี้เจียรอคอยอยู่นาน ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติอันใด ลมหายใจกระชั้นถี่ในทีแรกของเจ้าโจรนั่นก็ค่อยๆ สงบลง สายตาอันร้อนแรงที่สาดส่องบนร่างก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน 


 


 


 


 


 


“เหตุใดเจ้าถึงไม่ดึง!” นางลืมตาขึ้นมาโดยฝืนสะกดกลั้นความอาย เมื่อสายตาไปอยู่ที่ร่างตนเอง เสียงก็ชะงักไป เห็นว่าหน้าอกและท้องน้อยของตนราบเรียบ เข็มเงินหลายเล่มนั้นไม่รู้ว่าถูกดึงออกไปเมื่อใด ในมือของโจรกุมเข็มเงินไว้ แววตาชะงักงัน ดูท่าทางกำลังใจลอยอยู่ 


 


 


เมื่อเข็มเงินถูกดึงออกไป ร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็มีกำลังวังชากลับคืนมาหลายส่วน มองดูชาวต้าหัวที่กำลังเหม่อลอยผู้นั้น สายตาของนางก็สาดประกายสลับซับซ้อน เจ้าโจรนี่ก็ร้ายแค่ปาก ดูเหมือนต่ำช้าเสเพล ถึงกระนั้นกลับไม่เคยลงมือลงไม้กับตนเองเลย เมื่อครู่โอกาสที่จะเอารัดเอาเปรียบก็ดีมากขนาดนั้น แต่เขาก็ปล่อยไปโดยง่าย อย่างที่ว่ากันว่าคนเราดื่มน้ำ ร้อนเย็นรู้อยู่แก่ใจ หรือว่าเขาจะไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้าเลยสักนิด? 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาเปล่งประกาย ใจเหมือนมีความรู้สึกอันสับสนปนเป รีบก้มหน้าลงไป ไม่ให้คนเห็นแววตาตัวเอง 


 


 


“เอาล่ะ ภารกิจเสร็จสิ้น” หลินหว่านหรงปัดมือแล้วยืนขึ้นมา เก็บเข็มเงินเข้าอกอย่างปราสจากพิรุธ หมุนกายแล้วจะเดินออกไป 


 


 


“เจ้าโจร!” อวี้เจียเรียกคราหนึ่ง จากนั้นก็รีบพูดแก้ว่า “อัวเหล่ากง!” 


 


 


“เรื่องอะไร?!” อัวเหล่ากงเอ่ยถามด้วยความยินดียิ่ง 


 


 


อวี้เจียส่งเสียงอืม หลุบตาลงต่ำ ใบหน้าขาวกระจ่างใสดุจแต่งแต้มชาด “จะเอาดาบทองคืนให้ข้าก่อนชั่วคราวได้หรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้ง คืนให้เจ้าชั่วคราวอะไรกัน? ข้าให้เหล่าหูเอาดาบทองไปหาราชบุตรเขยให้เจ้าแล้ว เจ้าอดทนรอสักสองวันเถอะ เขาหัวเราะฮ่าๆ สองครา พูดเฉไปว่า “ดาบทองน่ะหรือ ข้าให้พวกพี่น้องเอาไปเถือหนังกระต่ายแล้ว เกรงว่าคงคืนไม่ได้ชั่วคราว แล้วเจ้าจะเอาเจ้านี่ไปทำอะไร?!” 


 


 


“เจ้า!” อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที อกงามสะท้อนเร็วรี่ ดวงตาคล้ายจะพ่นไฟออกมาได้  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ ขณะกำลังจะสาวเท้าออกไปกลับได้ยินอวี้เจียพูดเสียงเบาออกมาว่า “อัวเหล่ากง ขอบใจเจ้า เจ้า…เจ้าคืนดาบทองให้ข้าก่อนชั่วคราว ข้า…ไม่แน่ว่าข้าจะมอบให้เจ้ากับตัว” 


 


 


ดวงหน้าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แดงสดใสดั่งแสงสายัณห์ ก้มหน้าลงไปด้วยความเขินอายและขลาดกลัว ดวงตาสาดประกายยวนเย้าบางๆ 


 


 


หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส กล่าวระคนยิ้มบาง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะเชื่อเจ้า หรือว่าข้าควรเชื่อเจ้าหรือไม่?!” 


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าของเขาเผยความดูแคลนออกมา อวี้เจียก็กะพริบตา อกงามหอบหระชั้นถี่ นางสีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล หัวเราะคิกคักพร้อมกล่าวอย่างยวนเย้า “อย่าว่าแต่เจ้าเลย ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ อัวเหล่ากง เจ้าช่างเป็นคนฉลาดเสียจริง อวี้เจียชอบเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา ก้าวเท้าออกไป ดวงดาราประดับเต็มท้องนภา ราตรีมืดมน ทว่าในใจเขากลับถวิลหาอย่างบอกไม่ถูก เห็นชัดว่าอยู่ใกล้นางเซียนหนิงแค่เอื้อม ทว่าเงาร่างนางกลับห่างไกลสัมผัสไม่ถึงดังสายลมโชยเอื่อยบนทุ่งหญ้า ความรู้สึกอยู่ใกล้ทว่าไกลดั่งขอบฟ้าเช่นนี้ ทำให้ใจคนยากจะทนรับไหว 


 


 


“ใคร?!” ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็มีเงาคนขยับวูบข้างกาย หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังคราหนึ่ง เงยหน้ามองไป เงาร่างสีขาวอรชรร่างหนึ่งพุ่งทะยานออกไปนอกค่ายอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกกรีดผ่านไป 


 


 


“พี่สาวนางเซียน!” หลินหว่านหรงกะพริบตา ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น เขาพลันบังเกิดเรี่ยวแรงอันมหาศาลระเบิดไปทั่วร่าง ชักเท้าเดิน ไล่ตามเงาร่างสีขาวนั้นออกไปนอกค่าย 


 


 


เงาร่างอรชรอ้อนแอ้นนั้นแม้จะท่าร่างรวดเร็ว แต่หลินหว่านหรงกลับตามติดไม่ลดละได้ ไม่รู้ว่าเดินทางไปกี่ร้อยจั้ง เงาสีขาวนั้นก็ขยับวูบ หายวับไปในทันที 


 


 


เดือนจรัสฟ้าลอยกลางเวหน หมู่มวลดาราเงียบสงัด ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนเชื่อมประสานกับขอบฟ้า ทำให้คนหลอมรวมอยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“นางเซียนหนิง พี่สาวนางเซียน เจ้าอยู่ไหน? เจ้ารีบออกมาเร็วสิ!” เดินย่ำเท้าช้าบนหญ้าที่ขึ้นบางๆ หยาดน้ำค้างทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด ขยับสาวเท้ายาวๆ เหลียวมองรอบด้าน เขาตะโกนเสียงดังโดยใช้พลังทั่วทั้งสรรพางค์กาย  


 


 


ทุ่งหญ้าเงียบสงัดราวกับท้องฟ้าอันเงียบเหงาวังเวง มองไม่เห็นเงาคน ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เงาสีขาวนั้นหายวับไปราวกับอากาศธาตุ 


 


 


หลินหว่านหรงรู้สึกผิดหวัง นั่งกระแทกก้นลงพื้นทันที พูดเสียงดังออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมพบข้า เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะนั่งอยู่ตรงนี้ก็ได้ เจ้าห้ามสนใจข้า…ถ้าเจ้าสนใจข้าเจ้าจะเป็นแม่ของลูกข้า!” 


 


 


เขาเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ ราวกับเด็กน้อย หน้าด้านหน้าทนไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ท่าทางน่าขบขันยิ่งนัก 


 


 


เงียบงัน เงียบงันไร้ที่สิ้นสุด สรรพสิ่งล้วนเงียบสงัด คล้ายจะได้ยินเสียงลมหายใจของทุ่งหญ้าและท้องนภา สายลมยามราตีอันหนาวเหน็บพัดผ่าน ไม่รู้ว่ามีเสียงหมาป่าหอนโหยหวนมาจากที่ใด ทำให้คนสั่นสะท้าน 


 


 


หลินหว่านหรงนั่งนิ่งอยู่นาน ไม่ได้ยินเสียงใดๆ และยิ่งไม่มีหนิงอวี่ซีซึ่งอยู่ในชุดขาวเหนือล้ำหกว่าหิมะท่องคลื่นมาหาด้วย ทุกสิ่งเงียบสงัดอย่างชัดเจน เงียบสงัดเสียจนได้ยืนเสียงลมหายใจของผืนพิภพ 


 


 


ลูบไล้เข็มเงินที่อยู่ในมืออย่างแช่มช้า คล้ายสัมผัสได้ถึงแขนอันขาวกระจ่างใส ผิวพรรณอันละเอียดเนียนนุ่มนั้น เหมือนคนงามผู้นั้นมายืนแย้มยิ้มอยู่ตรงหน้า หลินหว่านหรงมองจนเหม่อลอย ยื่นมือออกไปอย่างแช่มช้า ลูบคำร่างที่ไร้ตัวตนนั้น กล่าวพึมพำกับตัวเองว่า “พี่สาวนางเซียน ใช่เจ้าหรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ยอมพบข้า?!” 


 


 


ระหว่างที่ครุ่นคิดนั้น ข้างหลังก็พลันมีเสียงหญ้าไหวที่แผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้น “ใคร?!” หลินหว่านหรงรีบหมุนกายพร้อมตวาดเสียงดัง  


 


 


พุ่มหญ้ากลับคืนสู่ความเงียบสงัด คล้ายไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อน เพียงแต่รอยคลื่นที่เกิดขึ้นไหนเลยจะลบเลือนไปโดยง่าย หลินหว่านหรงเดินไปทางพุ่มหญ้าเตี้ยนั้นอย่างแช่มช้า เสียงสั่นเครือเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “พี่สาวนางเซียน เป็นเจ้าหรือ? เจ้าออกมาเร็ว ข้าคิดถึงเจ้า ข้าขอสาบานด้วยความเป็นคนของข้า ข้าจะไม่รังแกเจ้าเด็ดขาด เจ้าก็ออกมาหาข้าเถอะนะ” 


 


 


เขาเหมือนข่มขู่ เหมือนล่อลวง ฝีเท้าย่ำลงกลางพุ่มหญ้านั้นแล้ว มองเพียงปราดเดียวก็มองกวาดไปทั่วทุ่งหญ้าอันแบราบนั้นจนหมดสิ้น ไหนเลยจะมองเห็นเงาของหนิงอวี่ซีได้ 


 


 


เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ส่ายหน้าอย่างแช่มช้า กำลังจะนั่งลงบนพื้น 


 


 


“พรืด” เสียงหัวเราะยวนเย้าเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นมา แฝงความรู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง คล้ายออเซาะคล้ายยวนเย้า ประหนึ่งหยาดฝนพร่างพรมผืนแผ่นดิน สายลมยามวสันต์พัดผ่านจิตใจ อากาศพลันโบกโชยกลิ่นอันกระชากขวัญและวิญญาณ 


 


 


เสียงที่คุ้นเคย เสียงที่ยวนเย้านั้น แฝงเสียงคิกคัก ราวกับความอบอุ่นอ่อนโยนของสายลมวสันต์ที่พัดผ่านผืนแผ่นดิน ดังขึ้นข้างหลังเขาเบาๆ “น้องชาย ใครคือพี่สาวนางเซียนของเจ้าหรือ?!” 

 

 

 


ตอนที่ 558 - 1 สวรรค์ของพวกเรา

 

หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งตะลึงงัน ค่อยๆ หันร่างกลับมา เห็นว่าตรงหน้ามีสตรียืนอยู่นางหนึ่ง ริมฝีปากแต้มสีชาด ดวงหน้างามเฉิดฉัน ผิวพรรณขาวอันนุ่มนิ่มเรียบลื่นแฝงสีเลือดฝาด นัยน์ตาเรียวยาวคิ้วโก่ง บั้นท้ายงามงอนเอวคอดกิ่ว ร่างกายซึ่งถูกขับเด่นภายใต้ชุดกระโปรงสีขาวอวบอัดเป็นผู้ใหญ่ ส่วนโค้งส่วนเว้าล้ำเลิศ ก่อเป็นเส้นสายอันงดงาม 


 


 


นางมองประเมินหลินหว่านหรงอย่างถ้วนถี่ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มืองามทัดปอยผมข้างหูเบาๆ การเคลื่อนไหวแผ่วเบานุ่มนวล การยกมือย่างเท้าเผยท่วงท่าอันงามหยาดเยิ้มเกียจคร้านออกมา ราวกับสตรีที่แต่งงานแล้วผู้งดงามสูงศักดิ์ที่กำลังพร่ำบ่นตัดพ้อ ยวนเสน่ห์ยิ่งนัก น่าลุ่มหลงยิ่งนัก 


 


 


“ท่าน…ข้า…” หลินหว่านหรงมองจนแน่นิ่งเป็นบื้อใบ้ ฝีปากที่ปกติแคล่วคล่องช่างเจรจาขมุบขมิบอยู่นาน ทว่ากลับพูดไม่ออกสักคำเดียว 


 


 


สตรีผู้งดงามเฉิดฉันยวนเสน่ห์ผู้นี้มุมปากอมยิ้ม เยื้องยุรยาตรเบาๆ กระแสคลื่นความอบอุ่นยามวสันต์ไหลเวียน ยามชม้ายชายตามีชีวิตชีวา นางเดินเข้ามาพลางหัวเราะคิกคักเบาๆ ค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง “ท่านอะไร ข้าอะไร? ทำไมหรือน้องชาย เห็นข้าแล้วแม้แต่พูดจาก็ทำไม่ได้แล้วหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงเบ้าตาแดงในบัดดล กางแขนอ้าอ้อมอกเข้าไปต้อนรับทันที “พี่สาวอาจารย์ ท่านมาได้อย่างไร?! น้องชายคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว กอดๆ ข้าต้องการกอดๆ!” 


 


 


พี่สาวอาจารย์หัวเราะคิกคัก ดวงตาฉายประกายเจ้าเล่ห์ ร่างอันยวนเสน่ห์ขยับบิดราวกับงู ทำให้สองมือเขากอดอากาศทันที 


 


 


“พอเห็นหน้าก็คิดจะเอาเปรียบข้าแล้วหรือ? ข้าไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ” อันปี้หรูกะพริบตาปริบๆ กล่าวพลางยิ้มแย้มเล็กน้อย “จะกอดก็ไปกอดพี่สาวนางเซียนของเจ้านั่นไป เจ้าคิดถึงแต่นางตลอด ข้าได้ยินชัดเจน” 


 


 


นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ประหนึ่งเป็นประโยคล้อเล่น หลินหว่านหรงกลับหน้าร้อน ลอบรู้สึกละอายใจ เหตุใดข้าถึงกลายเป็นคนความรู้สึกช้าแบบนี้นะ คนที่ทิ่มเข็มที่ก้นข้าได้ ทั้งยังหยามเหยียดอย่างรุนแรงกับอวี้เจียมากขนาดนั้น นอกจากพี่สาวอันที่เป็นนางจิ้งจอกคนนี้แล้วยังจะมีใครทำได้อีก? นางเตือนสติข้ามาสองครั้งแล้ว แต่น่าแค้นใจที่ข้ากลับคิดไปเองก่อน คิดว่าต้องเป็นนางเซียนหนิงมาแน่นอน ดังนั้นถึงได้เข้าใจผิดมากขนาดนี้ ช่างละอายใจต่อความห่วงใยของพี่สาวอันเสียจริง  


 


 


“เหตุใดถึงไม่พูดแล้วล่ะ?” เมื่อเห็นเขาก้มหน้าลงเงียบงันไม่เอ่ยวาจา สงบนิ่งอย่างน้อยครั้งจะมีได้นับตั้งแต่รู้จักมา อันปี้หรูกะพริบตา ค่อยเดินเข้าไปใกล้เขา กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หรือว่าน้องชายเจ้าเห็นข้าแล้วไม่มีความสุข ไม่ดีใจ?!” 


 


 


“ไม่ใช่นะ” หลินหว่านหรงส่ายหน้า สองตาแดงก่ำ กล่าวพึมพำ “พี่สาวอาจารย์ ท่านไม่รู้ น้องชายไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เคียดแค้นโรคหลายใจของข้านี้” 


 


 


อันปี้หรูครุ่นคิด จากนั้นก็เข้าใจความหมายของเขา นางอดหัวร่องอหายไม่ได้ อกงามอันอวบอิ่มสั่นสะเทือนราวกิ่งบุปผาที่แกว่งไกว กรีดเป็นระลอกคลื่นอันแสนจะงดงาม 


 


 


หลินหว่านหรงมองจนดวงตาพร่าพราย อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ยื่นมือมาจับมือนาง “พี่สาว ท่านหัวเราะอะไร?” 


 


 


อันปี้หรูหลบกรงเล็บมารเขาโดยปราศจากพิรุธ มองค้อนเขาคราหนึ่ง กล่าวระคนหัวเราะออกมา “ข้าก็ว่าคืออะไร เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้เจ้าก็ต้องมาโทษตัวเองขนาดนี้ด้วยหรือ? น้องชาย เจ้าลืมที่ข้าเคยพูดกับเจ้าแล้วหรือ เจ้ายิ่งคิดถึงศิษย์พี่ข้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งดีใจมากขึ้นเท่านั้น” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้ง เมื่ออยู่ต่อหน้านางจิ้งจอกอันคนนี้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นคนทึ่ม “เพราะอะไร พี่สาวอาจารย์ ท่านไม่หึงหรือ?” 


 


 


“หึงกับผีเจ้าน่ะสิ!” อันปี้หรูปรางแก้มขาวสะอาดแดงเล็กน้อย จิ้มหน้าผากเขาเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวพลางหัวเราะฮิๆ “หนังหน้าของเจ้านี้กลับหนานักนะ เห็นว่าข้าหลอกง่ายหรืออย่างไร? ตอนแรกให้เจ้าเข้าเมืองหลวงไปล่อลวงศิษย์พี่ข้า เจ้ากลับแกล้งทำเป็นหน้าบาง จะเป็นจะตายก็ไม่ยอม ตอนนี้กลับดีนักนะ ความรักเป็นชู้สุกงอม แต่กลับยังมาทำไขสือต่อหน้าข้าอีก น้องชาย เจ้าว่าข้าควรชอบเจ้าหรือว่าหงุดหงิดเจ้าดี? คิกๆ…” 


 


 


นางจิ้งจอกอันหัวเราะเบาๆ ประชิดใบหน้าอันพราวเสน่ห์นั้นมาอยู่ข้างหน้าเขา แววตาเปล่งประกาย มองพินิจเขาอย่างถ้วนถี่ 


 


 


ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้ยิ่งนัก รู้สึกถึงลมหายใจของทั้งสองฝ่ายได้รางๆ สายลมอุ่นอันอ่อนนุ่มนั้นพัดผ่านใบหน้า อดทำให้เขาหายใจติดขัดไม่ได้ 


 


 


นับตั้งแต่จากลากันที่จวนเฉิงอ๋องในกาลก่อน ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบหน้ากันนานแล้ว เมื่อคิดถึงความรักใคร่สุดซึ้งที่ไม่อาจแยกจากกัน เสียงหัวเราะอันพราวเสน่ห์ของพี่สาวอัน เสียงร้องครางเบาๆ ราวกับจิ้งจอกในคืนนั้น แม้จะแค่แสดงละคร แต่กลับไม่มีใครเสแสร้ง ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำและเงินแท้เสียงอีก 


 


 


ไม่พบกันนาน ร่างอันยวนเย้าของอันปี้หรูก็ยิ่งสมบูรณ์เป็นผู้ใหญ่ประดุจเปลวเพลิง ทำให้คนไม่อาจหักใจเคลื่อนสายตาออกไปได้ รูปโฉมของนางงามพิลาสทรงเสน่ห์ เหนือล้ำกว่ากาลก่อน เสียงหัวเราะดังไม่หยุด ความสนุกสนานบังเกิดไม่ขาดสาย เพียงแต่ใบหน้าที่อิดโรยเล็กน้อย หางตาซึ่งผุดความรู้สึกตัดพ้อเสียใจเป็นบางครั้งนั้น กลับเปิดเผยอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว 


 


 


“พี่สาวอาจารย์ ท่านผอมลง!” จ้องใบหน้านาง หลินหว่านหรงก็พึมพำพลางถอนหายใจคราหนึ่ง 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?!” อันปี้หรูลมหายใจชะงักงัน ปีกจมูกกระจุ๋มกระจิ๋มกระตุกเบาๆ ก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ไหล่งามสะท้านเล็กน้อย ฝ่ามือเรียวยาวบีบกำแน่นหลายครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครากลับเป็นรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มเหลือประมาณ “น้องชาย อย่าพูดจาเหลวไหล ใช้ตาเจ้ามองให้ชัดก่อนแล้วค่อยพูด ข้าผอมตรงไหนกัน?” 


 


 


นางยิ้มยวนเย้า สองมือเท้าสะเอว หมุนวนด้วยท่วงท่าอรชรหลายรอบ สะโพกอวบอิ่มเอวคอด ราวกับสายลมวสันต์พัดโชยกิ่งหลิว รูปร่างอันล้ำเลิศอ้อนแอ้นนั้นกลายเป็นทัศนียภาพอันงดงาม เหมือนดั่งนางเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าลงมาสู่แดนดิน ทำให้หลินหว่านหรงมองจนเป็นบื้อใบ้ไป 


 


 


“เจ้ารีบว่ามาเร็ว ข้าผอมตรงไหน?! พูดไม่ได้ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!” นางจิ้งจอกอันหยุดหมุนร่างอันงดงามอรชรนั้น จ้องตาหลินหว่านหรงเขม็ง ออกแรงเงื้อกำปั้นน้อย รอยยิ้มงดงามยวนเย้าน่าลุ่มหลงเป็นพิเศษ 


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่ใช่ท่านผอมแล้ว” หลินหว่านหรงจมูกร้าวระบม กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เป็นสายคาดเอวที่หลวมไป ฝีมือการเย็บก็ไม่ดี! คราวหน้าน้องชายจะตัดชุดที่พอดีตัวมากที่สุดให้พี่สาวตัวหนึ่ง รับรองว่าท่านจะเหมือนนางเซียนยิ่งกว่านางเซียน” 


 


 


“หึ ฝีมือในการเย็บไม่ดี ทำสายคาดเอวหลวม!” อันปี้หรูแค่นเสียงเบาๆ อย่างไม่ลดราวาศอก ก้มหน้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ไม่เอ่ยวาจาอีก ไหล่งามสะท้อนเบาๆ  


 


 


“พี่สาว…” เหมื่อเห็นหยดน้ำตาที่หยดลงบนทุ่งหญ้าเบาๆ นั้น หลินหว่านหรงก็อดรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก อ้าแขนออก คิดจะกอดนางเข้าสู่อ้อมอก 


 


 


อันปี้หรูกลับเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน น้ำตาคลอในดวงตา ยิ้มแย้มพลางมองเขา 


 


 


ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน ที่อยู่ตรงหน้าเห็นชัดว่ายังเป็นพี่สาวอันที่ยั่วยวนราวกับนางจิ้งจอกคนนั้น ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่จินหลิงก็เอารัดเอาเปรียบไปไม่น้อย เพียงแต่พอเปลี่ยนเป็นภาพในปัจจุบัน มองดูอันปี้หรูซึ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่เหมือนเดิมตรงหน้า เขากลับรู้สึกขลาดกลัว สองมือไม่รู้ว่าควรยื่นไปหรือว่ารั้งกลับมาดี ค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ 


 


 


อันปี้หรูยิ้มพลางปาดน้ำตา มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง เอ่ยวาจาพร้อมหัวเราะฮิๆ “น้องชาย ฝีมือดีขึ้นนะ แม้แต่ข้าก็ยังเกือบทนถ้อยคำหวานหูของเจ้าไม่ได้ คิดว่าศิษย์พี่ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องประดุจเซียนของข้าคนนั้นก็พ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือเจ้าเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังทนไม่ได้ นางจะแพ้ก็ไม่ผิด!” 


 


 


เมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงหนิงอวี่ซีก็นึกถึงบุญคุณความแค้นที่ยากจะตัดรอนระหว่างพวกนางขึ้นมา อีกทั้งตนเองก็มีความสัมพันธ์กับพวกนางในเวลาเดียวกัน เรื่องราวบนโลกดั่งหมากล้อมเสียจริง ไม่มีใครรู้ว่าจะกลับกลายมาจนถึงขั้นนี้ หลินหว่านหรงอดถอนใจไม่ได้ ยิ้มขึ้นพลางส่ายหน้า 


 


 


อันปี้หรูมองดูสีหน้าของเขา แล้วก็อดกะพริบตาไม่ได้ ค่อยๆ เข้าไปใกล้ใบหน้าเขา ริมฝีปากน้อยสีแดงสดพ่นกลิ่นกรุ่นดุจกล้วยไม้หัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “น้องชาย ได้ยินว่าเจ้ากับศิษย์พี่ของข้าคนนั้นอยู่กันตามลำพังบนยอดเขาตั้งหลายวัน ทัศนียภาพที่นั่นล้ำเลิศ เป็นอย่างไร ได้ลิ้มรสชาดบนริมฝีปากนางบ้างหรือยัง? มีรสชาติเช่นไร เล่าให้พี่สาวฟังสักหน่อยสิ คิกๆ” 


 


 


พี่สาวอันก็คือพี่สาวอัน หากเอ่ยถึงนิสัยเผ็ดร้อนอุกอาจ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีใครเทียมทัดนางได้ แม้แต่เซียนเอ๋อร์เองก็แค่เรียนรู้เพียงกระผีกเดียวจากนาง หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี จึงหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ หลายครั้ง กล่าวอย่างเหนียมอายว่า “ข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องกินชาดทาปากสักเท่าไหร่ ยังต้องให้พี่สาวท่านชี้มากกว่านี้ถึงจะได้” 


 


 


อันปี้หรูหกวาดสายตามองเขาหลายครั้ง นิ้วมือเรียวยาวงดงามจิ้มหน้าผากเขา หัวเราะพร้อมพูดตำหนิออกมาว่า “สารเลวน้อย คิดเอาเปรียบข้าหรือ?! ไม่มีทาง! เจ้าไม่พูดข้าก็รู้ ศิษย์พี่ของข้าเป็นความฝันของบุรุษทั้งแผ่นดิน เป็นนางเซียนผู้น่าเกรงขามไม่อาจรุกก้ำกล้ำเกินได้ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ครานี้ตกอยู่ในน้ำมือเจ้า รสชาตินั้นจะต้องล้ำเลิศพิสดารแน่ ใช่หรือไม่?!” 


 


 


นางจิ้งจอกคนนี้เหมือนต้องการจะได้ยินเขาพูดออกมาจากปากให้ได้ว่านางเซียนหนิงมีรสชาติเช่นไร พวกนางสองคนต่อสู้กันมาทั้งชีวิต คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ก็ไม่มีใครยอมใครเช่นกัน ทำให้หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก 


 


 


“พี่สาวอาจารย์ อันที่จริงนางเซียนหนิงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ท่านคิดเอาไว้” เขาครุ่นคิดอย่างแช่มช้าพร้อมตอบว่า “นางก็เป็นคนธรรมดาที่มีจิตใจดีงาม พวกเราไม่ควรมีความแค้นอันล้ำลึกมากขนาดนั้น รอให้วันหลังมีเวลาว่าง พวกเราทุกคนนั่งลงดื่มน้ำชา พูดคุยกัน สนทนาปัญหาชีวิต อุดมคติ ปัญหาเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกกัน นี่ก็ช่างเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์มากเลยนะ พี่สาว ท่านว่าใช่หรือไม่?!” 


 


 


“ปัญหาเรื่องการอบรมสั่งสอนลูกอะไรกัน?!” อันปี้หรูหน้าร้อน มองเขาหลายครั้ง ยิ้มหราแล้วเอ่ยว่า “พูดจาเหลวไหล! ตอนนี้เจ้ากลับเริ่มพูดจาแทนนางแล้ว?! ดูท่าเสน่ห์ของศิษย์พี่ข้าคนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ นะ ทำให้เจ้าคิดถึงนาง รำพึงถึงนางไม่หยุดหย่อน แม้แต่ลงสนามรบแล้วก็ยังห่วงหานางขนาดนี้” 


 


 


น้ำเสียงนางแผ่วเบาเลื่อนลอย คล้ายตำหนิคล้ายตัดพ้อ ทว่าใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มยวนเย้าพราวเสน่ห์ แม้แต่หลินหว่านหรงก็ไม่อาจจำแนกได้ ที่แท้ประโยคไหนถึงจะเป็นความในใจที่แท้จริงของนางกันแน่ พี่สาวอันคนนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีสภาพจิตใจที่เป็นปริศนา 


 


 


ครั้นเห็นน้องชายเงียบงันไร้ซึ่งถ้อยคำ นางจิ้งจอกอันก็พลันคลี่ยิ้มออกมาทันที เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “น้องชาย ข้าอยากถามเจ้าสักประโยคหนึ่ง เจ้าต้องตอบข้ามาตามความสัตย์จริง!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “พี่สาวอาจารย์รีบถามมา พอเห็นหน้าท่านแล้ว ข้าก็ซื่อสัตย์มากมาตลอด”  

 

 


ตอนที่ 558 - 2 สวรรค์ของพวกเรา

 

“ปากดี” นางจิ้งจอกอันค้อนเขาคราหนึ่ง หว่างคิ้วแดงซ่าน นางขบริมฝีปากสีชาดงามสดใสพร้อมหัวเราะคิกคักเบาๆ ถามเสียงค่อยออกมาว่า “น้องชาย ช่วงที่ข้าจากไปนี้เจ้าเคยคิดถึงข้าหรือไม่?!” 


 


 


“คิดถึง คิดถึงแน่นอน!” หลินหว่านหรงตอบอย่างหนักแน่น “คืนนั้นพี่สาวจากไปโดยไม่บอกกล่าว จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าข้าเป็นคนที่โง่ที่สุดบนโลกนี้ ไม่เข้าใจว่าใครเป็นผู้ที่รักใคร่ข้าจากใจจริง ข้าเคยสาบานว่าพอรบเสร็จแล้ว ขอแค่ยังมีชีวิตรอดกลับไปได้ ข้าจะต้องไปที่เสฉวน ไปตามหาพี่สาวที่ดินแดนเผ่าแม้ว ใครกล้ามาสู่ขอท่าน ข้าจะฆ่ามันคนนั้น!” 


 


 


อันปี้หรูอึ้ง พลันกะพริบตาเบาๆ ใส่เขา กล่าวด้วยสีหน้ายวนเย้า “เจ้าคนนี้กลับไม่รู้จักแยกแยะ คนที่มาสู่ขอนั่นเจ้าจะฆ่าให้หมดเลยหรือ? ข้าขอบอกเจ้า ข้าถูกใจบุรุษเก้าสิบเก้าคนที่เผ่าแม้ว รอให้กลับไปแล้วข้าจะไปโปรดปรานพวกเขา เจ้าจะทำอะไรได้?!” 


 


 


“เช่นนั้นข้าจะโปรดปรานท่านก่อน!” หลินหว่านหรงตวาดคำราม บุกไปช้างหน้าราวกับหมาป่าตัวผู้ที่ติดสัด 


 


 


“เช่นนั้นเจ้าก็มาเหรอ?!” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก คล้ายอายคล้ายตำหนิ ร่างงามยวนเย้าหลบหลีกจากรงเล็บมารของเขา ชักเท้าแล้ววิ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า หลินหว่านหรงไล่ตามอยู่ข้างหลังนาง สองคนวิ่งไล่ตามราวกับเด็กน้อย หัวเราะเฮฮา ภายใต้แสงดาราอันเจิดจรัส ท่ามกล่างทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง ปราศจากสายตาจากชาวโลก ปราศจากการผูกมัดจากทางโลก พวกเขาลืมเลือนความกลัดกลุ้มและความหงุดหงิดทั้งหลาย กระเซ้าเย้าแหย่อย่างเต็มที่ ไล่ตามหาสวรรค์ที่เป็นของตนเอง 


 


 


ไม่รู้ว่าวิ่งไปนานเท่าไหร่ เบื้องหน้ามองไปเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีอันอ่อนนุ่มไร้ขอบเขต อันปี้หรูหัวเราะยวนเย้า คล้ายเด็กน้อยผู้ซุกซนคนหนึ่ง ล้มอ่อนยวบลงไป นางพลันสงบนิ่ง หายใจอยู่นิ่งๆ ดวงตาทั้งสองดุจวารี ทอดสายตามองนภากาศที่เต็มไปด้วยดวงดาราอันล้ำลึกนั้น อกงามอันอวบอิ่มขยับขึ้นลงเบาๆ มองใบหน้านางจากด้านข้าง งามราวกับภาพลวงตา ประหนึ่งหมอกฝนขุนเขายามฤดูสารท ระลอกคลื่นแห่งซีหู งามจนทำให้คนไม่กล้าสบตามอง  


 


 


แต่ไหนแต่ไรมาเคยเห็นแต่พี่สาวอันงดงามประดุจบุปผา เจ้าเล่ห์ดั่งจิ้งจอก ถึงกระนั้นไหนเลยจะเคยเห็นด้านที่งดงามสง่าและอ่อนโยนประดุจวารีของนางนี้?! หลินหว่านหรงนอนตะแคงอยู่ข้างอันปี้หรู มองดวงหน้างามดุจเซียนของนาง ลืมเลือนแม้แต่หายใจไปในบัดดล 


 


 


“เจ้ามองอะไร?!” เสียงของพี่สาวอันดังขึ้นเบาๆ นางยิ้มแย้มพลางมองหลินหว่านหรง สองตาสุกสกาวดั่งดวงดารา 


 


 


“พี่สาว ท่านช่างงามเหลือเกิน!” หลินหว่านหรงเบิกตากว้าง พึมพำราวกับเป็นบื้อไปแล้ว 


 


 


ใบหน้าอันปี้หรูซับสีแดงซ่าน กลับก้มหน้าลงไปด้วยความอาย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา การยิ้มนี้ขอนางราวกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานกลางคิมหันต์อันหนาวเหน็บ ดวงดาราบนท้องนภาพลันอับแสง หัวใจหลินหว่านหรงพลันหยุดเต้น พี่สาวอันผู้งดงามยวนเย้าดั่งเซียนกลับมีช่วงที่เอียงอายด้วย? เกือบจะพรากชีวิตคนไปแล้วจริงๆ 


 


 


ใจของเขาเต้นรัวดังตึกตัก เอื้อมมือไปจับมือน้อยของอันปี้หรู นางจิ้งจอกอันหน้าแดงสดใส พลันถอนหายใจพร้อมเอ่ยเสียงเบาออกมา “เจ้าเห็นหรือไม่ ดวงดารางดงามเพียงใด!” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดวงดาราอันเงียบเหงาที่สาดกะพริบดั่งมุกล้ำค่า สาดส่องไปทั่วท้องนภายามราตรีอันเวิ้งว้าง หมู่ดาวระยิบระยับอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ เหมือนท้องฟ้ากับผืนดินหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 


 


 


“ดวงดาราแม้จะงดงาม แต่กลับทำได้แค่สาดแสงกะพริบยามราตรีเท่านั้น” อันปี้หรูหยุดครู่หนึ่ง พูดเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอยต่อไป น้ำเสียงลอยล่องราวกับมาจากท้องฟ้า หากไม่ใช่ว่าอยู่ใกล้นางยิ่งนัก ก็แทบจะไม่ได้ยินนางพูด 


 


 


หลินหว่านหรงตกใจ รีบมองนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านกำลังพูดอะไร? ดวงดาราอะไร ท้องฟ้ายามราตรีอะไร?!” 


 


 


“ข้ากำลังพูดว่าเจ้าหน้าโง่” อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก จิ้มจมูกเขาคราหนึ่ง “คำพูดเมื่อครู่ยังพูดไม่จบ ข้ายังมีเรื่องจะถามต่อ” 


 


 


หากบอกว่าบนโลกนี้ยังมีดาวข่มคนแซ่หลินอยู่ล่ะก็ จะต้องเป็นนางจิ้งจอกอันคนนี้อย่างไร้ข้อกังขา อันปี้หรูคล้ายกลัดกลุ้มคล้ายยิ้มแย้ม คล้ายตำหนิคล้ายยวนเย้า ความคิดพร่าเลือนดั่งหมอกควัน แทบจะไร้ร่องรอย เสียทีที่เขาได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาดอันดับหนึ่งในแผ่นดิน เมื่ออยู่หน้าพี่สาวอันกลับถูกนางมัดมือมัดเท้าเอาไว้เช่นกัน ไม่อาจใช้พลังทั่วทั้งร่างได้เลย 


 


 


มองดูอันปี้หรูซึ่งหวนคืนสู่ความพราวเสน่ห์ เขาก็รีบผงกศีรษะ “พี่สาวรีบถามมาเร็ว ทางที่ดีที่สุดให้ถามครั้งเดียวจนจบ พวกเราจะได้ประหยัดเรี่ยวแรงบ้างเพื่อไปทำเรื่องอย่างอื่นกัน” 


 


 


อันปี้หรูมองค้อนเขาคราหนึ่ง ใบหน้าซับสีชมพูบางๆ พูดเสียงเบาออกมาว่า “คราวนี้ห้ามแกล้งเลอะเลือนอีก…ข้ากับศิษย์พี่ข้า เจ้าคิดถึงคนไหนมากกว่ากันแน่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งอึ้งไปทันที นี่เป็นคำถามที่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก่อนหน้านี้เซียนเอ๋อร์เคยถามมาก่อน คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เรื่องเก่าจะบังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แถมอีกฝ่ายกลับเปลี่ยนเป็นพี่สาวอัน ความยากของคำถามนี้ไม่ธรรมดา ฝีมือในการหลอกเอาใจเซียนเอ๋อร์พวกนั้นก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์ในการรับมือนางจิ้งจอกอันแม้แต่น้อย กระทั่งว่ายังจะย้อนศรอีกด้วย 


 


 


“เอ่อ…” เขาอึกอัก ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากเช่นไร 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” อันปี้หรูผงกศีรษะเล็กน้อย หัวเราะขึ้นมา “เจ้าคิดถึงนางมากกว่าสักหน่อยก็สมควร เป็นข้าที่ใช้ให้เจ้าไปล่อลวงนาง เจ้าชนะแล้ว เจ้าคิดถึงนางก็เท่ากับคิดถึงข้า ข้าดีใจเช่นกัน” 


 


 


นางหัวเราะคิกคัก อกงามกระเพื่อมไหวเล็กน้อยไม่หยุด เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ หัวเราะไปหัวเราะมาเบ้าตาก็เปียกชื้น นางแอบหมุนกายไป น้ำตาค่อยๆ เอ่อคลออย่างแช่มช้า ภายใต้แสงจันทราอันสุกสกาว สะอาดบริสุทธิ์ดังผลึกแก้ว 


 


 


เหตุผลนี้ของพี่สาวอันช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนทำให้คนอยากจะร้องไห้เสียเหลือเกิน หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความอับจนปัญญา “ท่านจะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ดี พี่สาวอัน นับตั้งแต่จากลากันที่จวนเฉิงอ๋อง ข้าก็คิดถึงท่านทุกวัน คิดจนนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน” 


 


 


“พูดจาเหลวไหล เจ้าคิดถึงพี่สาวนางเซียนของเจ้าถึงจะเป็นเรื่องจริง” อันปี้หรูใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ตำหนิเบาๆ พร้อมกล่าวระคนหัวเราะ 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยท่าทีอันหนักแน่น “ท่านพูดไม่ผิด ข้าคิดถึงพี่สาวนางเซียนมาก มากรักเดิมทีก็เป็นโรคที่รักษาไม่หายของข้าอยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางรักษา แต่นางเซียนกับท่านคือคนสองคน ข้าคิดถึงนางเซียน ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้คิดถึงพี่สาวเช่นท่าน ที่จริงแล้วความรู้สึกที่ข้ามีต่อพี่สาวนั้นซับซ้อนมาก ไม่ใช่ไม่คิดถึง แต่ข้าไม่กล้าคิด” 


 


 


อันปี้หรูอึ้งเล็กน้อย ส่งเสียงเหอะออกมาเบาๆ ทันที “มาหลอกเอาใจข้าอีกแล้ว ด้วยความกล้าของเจ้า ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าคิดอีก?!” 


 


 


หลินหว่านหรงทอดถอนใจคราหนึ่ง “ข้าหลอกเอาใจฟ้าหลอกเอาใจดินหลอกเอาใจฮ่องเต้ แต่ไม่มีวันหลอกเอาใจพี่สาวท่านแน่ นับตั้งแต่วันที่จากกันที่จวนเฉิงอ๋องวันนั้น พี่สาวอาจารย์จากไปด้วยความเสียใจ ใจข้าว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง ข้ารู้ว่าพี่สาวอาจารย์ต้องไม่ให้อภัยข้าแน่นอน ตอนทัพใหญ่ออกเดินทางจากเมืองหลวง เซียนเอ๋อร์บอกข้าว่าจะมอบความตื่นเต้นยินดีให้ข้าอย่างหนึ่ง ข้าไม่กล้าคิดเลยว่านั่นคืออะไร ต่อมาตอนอยู่ที่เมืองซิงชิ่ง มีคนใช้เข็มเงินช่วยเหลือ ที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อข้าใช้ดาบฟันลาปู้หลี่ ต่างมีคนเล่นลูกไม้ แต่ข้าไม่กล้าคิดว่านั่นคือพี่สาว เพราะข้ารู้ว่าท่านกำลังโกรธข้าอยู่ ตอนนี้ไม่มีทางปรากฏต่อหน้าข้าแน่ ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าคิดว่าพี่สาวอาจารย์จะตามติดอยู่ข้างกายข้า ไมตรีอันล้ำลึกเช่นนี้จะยิ่งทำให้ข้าละอายใจมากยิ่งขึ้น ไม่กล้าเผชิญหน้าพี่สาวอาจารย์มากยิ่งขึ้น มีคำพูดโบราณประโยคหนึ่งพูดว่าอย่างไรนะ ระดับสูงสุดของความรักก็คือไม่กล้าเผชิญหน้ากับคนที่รัก เพราะทุกครั้งที่นางมองกลับมาจะทำให้ข้ามีความสุขจนตาย ข้าไม่กลัวตาย แต่ข้ากลัวว่าหลังจากตายแล้วจะไม่มีใครรักท่านเช่นข้าอีก!” 


 


 


อันปี้หรูเหม่อลอยนิ่งอึ้ง นางก้มหน้าลงอย่างเงียบงัน มือน้อยสั่นเทาเบาๆ สีแดงซ่านบนใบหน้าแผ่ขยายไปจนถึงซอกคอขาวกระจ่างใส 


 


 


พี่สาวอันต่อกรได้ยากจริงๆ แต่ฝีมือของคนแซ่หลินนั่นเกิดจากประสบการณ์ที่มีมานาน ความหนาของหนังหน้าเขาบนโลกนี้มีน้อยมาก ต่อให้เจ้าเป็นนางเซียนจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นางจิ้งจอกอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ไม่ว่าใครก็รับลูกระเบิดน้ำตาลอันตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเขาไม่ได้  


 


 


แอบมองประเมินพี่สาวอัน เห็นเพียงนางก้มหน้าอยู่ หน้าแดงสดใส คล้ายตำหนิคล้ายยินดี รอยยิ้มบริเวณมุมปากมองเห็นได้ชัดเจน หลินหว่านหรงก็เช็ดหางตาเบาๆ ลุกยืนขึ้นมาอย่างเงียบงัน “ช่างเถอะ ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างแห่งนี้มีแต่ชนเผ่านอกด่านเต็มไปหมด ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ายังจะมีชีวิตรอดกลับไปได้หรือไม่ วันนี้ได้พบพี่สาวอันอีกครั้งข้าก็พึงพอใจแล้ว ปราศจากความถวิลหาอีก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว” 


 


 


เขาชักเท้าแล้วเดินไป ปราศจากการรั้งรอแม้แต่น้อย ท่าทางแน่วแน่ยิ่งนัก อันปี้หรูจ้องมองเขา รอยยิ้มบริเวณุมปากงามยวนเย้ามากยิ่งขึ้น 


 


 


หนึ่ง สอง สาม หยุดเร็วสิ พี่สาวอัน! เขานับในใจอย่างเงียบๆ พลางเดินไปหลายก้าว ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ยินเสียงของอันปี้หรู หน้าผากพลันหลั่งเหงื่อเย็น หรือว่าข้าจะย้ายหินมาทับเท้าตัวเอง? รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่สาวจิ้งจอกคนนี้ไม่ได้รับมือง่ายดายขนาดนั้น 


 


 


ระหว่างที่กำลังกลุ้มใจอยู่นั้นก้นพลันเย็นวาบ เขากระเด้งขวับขึ้นมา หมุนกายแล้วร้องเสียงดังด้วยความยินดี “พี่สาว ท่านมาทิ่มก้นข้าอีกทำไม? เข็มเงินมันแพงมากเลยนะ!” 


 


 


“คิกๆ” อันปี้หรูป้องปากน้อยพลางหัวเราะเบาๆ เรือนร่างอันงามล้ำแกว่งไกวสั่นไหวมีชีวิตชีวา ก็เกิดเป็นระลอกคลื่นเป็นระยะ “ที่ข้ามีก็คือเข็มเงิน ที่ข้ามีก็คือฝีมือ ข้าชอบทิ่มเจ้า เจ้าจะทำอะไรข้าได้?!” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้งไปเช่นกัน ฝีมือของพี่สาวอันสูงกว่าข้า ตั๋วเงินมากกว่าข้า แม้แต่ฝีมือในการจัดการคนยังไม่ด้อยไปกว่าข้าอีก นางอยากจะทิ่มข้าก็ทำอะไรนางไม่ได้จริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะทิ่มกลับไปได้บ้าง 


 


 


“ทำไม กลัวหรือ?!” อันปี้หรูเยื้องย่างปทุมาแกว่งไกวเบาๆ เดินอย่างแช่มช้ามาข้างกายเขา กล่าวพลางยิ้มงามยวนเย้า 


 


 


“มะ ไม่กลัว!” หลินหว่านหรงปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดติดอ่าง 


 


 


อันปี้หรูสะบัดชายเสื้อยาว เช็ดเหงื่อให้เขาอย่างอ่อนโยน กล่าวระคนหัวเราะเสียงต่ำข้างใบหูเขา “ของพวกนี้จะทำให้เจ้ารู้จักจำ พูดกันไว้แล้วว่าห้ามหลอกข้า เหตุใดหลังจากนั้นถึงพูดคำพูดคำจาน่าฟังพวกนั้นมาหลอกให้ข้าดีใจอีก เจ้าเห็นข้าเป็นสาวน้อยอ่อนต่อโลกเช่นเซียนเอ๋อร์หรือไง” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเดือดดาล “พี่สาว นี่ท่านพูดอะไรกัน ข้าพูดจริงทุกถ้อยคำ ทุกประโยคล้วนมาจากก้นบึ้งของหัวใจ แล้วนี่จะไปหลอกให้ท่านดีใจได้อย่างไร? หากชอบคนหนึ่งแล้วเป็นความผิด ข้ายินดีที่จะผิดแล้วผิดเล่า” 


 


 


“ไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจ?” พี่สาวอันหน้าแดงด้วยความอาย ก้มหน้าลงพร้อมพูดเสียงเบา “เช่นนั้นเจ้าพูดอีกรอบสิ ข้าชอบฟังเจ้าพูดหลอกให้ข้าดีใจ!” 


ตอนที่ 558 - 3 สวรรค์ของพวกเรา

 

 


 


 


หลินหว่านหรงตะลึงงันทันที 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางนิ่งอึ้งของเขา อันปี้หรูก็หัวเราะคิกคักพลางส่ายหน้า จิ้มจมูกเขาเบาๆ คราหนึ่ง กล่าวด้วยความงามยวนเสน่ห์ออกมาว่า “ตาโง่!” 


 


 


อยู่กับพี่สาวอันมีครั้งไหนบ้างที่ไม่เสียเปรียบ หลินหว่านหรงรุกถอยเสียการควบคุม ก้มหน้าลงละห้อย ถึงกระนั้นกลับทำได้แต่ยอมจำนน ท้องฟ้ายามราตรีเงียบเหงา สองคนนั่งเคียงกัน ซบซึ่งกันและกัน ต่างไม่เปิดปากเอ่ยวาจา ถึงกระนั้นกลับมีความอบอุ่นและความสุขใจที่ไม่อาจจะพรรณนาออกมาได้อบอวลไปทั่วทั้งใจ 


 


 


“เมื่อก่อนข้าไม่เคยมาที่ทุ่งหญ้าเลย” อันปี้หรูจ้องมองท้องนภายามราตรีอันเวิ้งว้างล้ำลึกนั้น กล่าวพึมพำออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าทุ่งหญ้ากลับเวิ้งว้างกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ รองรับได้ทุกสิ่ง บางครั้งข้าก็อยากรั้งอยู่ที่นี่จริงๆ” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่านาง กล่าวระคนหัวเราะว่า “ไม่ต้องกังวล รอให้รบเสร็จ ชนเผ่านอกด่านยอมจำนน พวกเราไปกลับบ่อยๆ ก็ได้ ทุ่งหญ้านี้ที่จริงแล้วก็เป็นสวรรค์แห่งหนึ่ง” 


 


 


“เจ้าก็คิดเช่นนี้ด้วย?!” อันปี้หรูเหลือบมองเขาด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย กะพริบตาเร็วรี่ อกงามสะท้อนสับสน ประกบข้างใบหูเขาอย่างยั่วยวน เอ่ยเบาๆ ว่า “น้องชาย ที่นี่ก็คือสวรรค์ของพวกเรา!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ สวรรค์ของพวกเรา!” ได้กลิ่นหอมจางๆ ทอดสายตามองนางจิ้งจอกที่งามยวนเย้าดั่งวารีคนนี้ หลินหว่านหรงก็ชาวาบไปทั้งร่างแล้ว 


 


 


อันปี้หรูยื่นมือออกไปปัดหญ้าที่ติดอยู่บนเส้นผมเขาเบาๆ มองเขาอย่างเงียบงันหลายครั้ง นัยน์ตาสาดประกายอาวรณ์ จู่ๆ ก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจคราหนึ่ง “สุดท้ายข้าก็ยังแพ้อยู่ดี!” 


 


 


“แพ้อะไร?!” หลินหว่านหรงเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


อันปี้หรูยิ้มแย้มเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องถาม ถามข้าก็ไม่บอก ในเมื่อข้าปรากฏตัวแล้ว ข้าอันปี้หรูยอมพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้! น้องชาย เจ้ารู้จักเส้นทางไปเผ่าแม้วหรือไม่?!” 


 


 


ยิ่งพูดก็ยิ่งลึกลับ ยอมพนันก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้อะไร? แล้วทำไมถึงลากไปเกี่ยวกับเผ่าแม้วได้? หลินหว่านหรงใจผุดเครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ “พี่สาวอาจารย์ อยู่ดีๆ เหตุใดถึงเอ่ยถึงเผ่าแม้วขึ้นมาอีก? ไม่รู้ทางก็ไม่เป็นไร ข้าถามได้นี่นา คนงามดั่งเซียนเช่นพี่สาวนี้ เกรงว่าข้ายังไปไม่เข้าเสฉวนก็ได้ยินชื่อของท่านแล้ว” 


 


 


“ปากเก่ง! เผ่าแม้วเป็นบ้านเกิดของข้า ที่นั่นมีบุรุษจากเก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อม ข้าดูตัวไปเก้าสิบเก้าคน แต่ละคนต่างเป็นบุรุษรูปงามแข็งแรงกำยำล่ำสันกันทั้งนั้น” นางจิ้งจอกอันกล่าวพลางหัวเราะฮิๆ “ดังนั้นเจ้าต้องมาให้เร็วหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีส่วนของเจ้าแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงได้ยินก็เดือดดาล “พี่สาว เป็นคนก็ต้องมีความจริใจ ข้ามาก่อนนะ! อย่าว่าแต่เก้าสิบเก้าคนเลย ต่อให้เก้าพันเก้าร้อย นั่นก็มาแย่งข้าไม่ได้ ข้าจะยิงมัน!” 


 


 


“ตาทึ่มผู้ห้าวหาญ เจ้าจำไว้ก็พอแล้ว…ใครใช้ให้ผู้อื่นต้องการแย่งเจ้าไปกันล่ะ! สมน้ำหน้า!” อันปี้หรูหัวเราะไปหัวเราะมาก็เบ้าตาเปียกชื้น ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอีก 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองพี่สาวอันด้วยความสงสัยครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงแต่ฝีมือของนางจิ้งจอกคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา หัวเราะหน้าตาเบิกบาน ไม่เผยความผิดปกติออกมาแม้แต่น้อย 


 


 


“พี่สาว นับตั้งแต่เคลื่อนทัพใหญ่ท่านก็เริ่มตามข้ามาแล้วหรือ?” หลินหว่านหรงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


อันปี้หรูหัวเราะ “เจ้าคิดเสียเลิศเลอ ใครตามเจ้า เป็นเซียนเอ๋อร์กังวลว่าระหว่างทางเจ้าจะไปแปดเปื้อนบุปผาหาเรื่องต้นหญ้า ข้าถึงได้รีบมาดูเจ้า คิดไม่ถึงว่ายังจับได้ทีละคน คุณหนูสวีคนนั้นข้าไม่ต้องพูดถึงแล้ว แม้แต่สตรีทูเจวี๋ยเจ้าก็ยังไม่ละเว้นด้วย คำนวณโชคชะตา ดูลายมือ น้องชาย ลูกไม้ของเจ้านี่ช่างมีไม่น้อยเลยนะ ยอดเยี่ยม!” 


 


 


นางหัวเราะงามยวนเย้า ทว่าภายในดวงตากลับฉายแววหงุดหงิด ด้วยฝีมือของพี่สาวอัน อวี้เจียถือว่าเดินเข้าด่านประตูผีไปแล้วรอบหนึ่ง 


 


 


“พี่สาวท่านพูดล้อเล่นแล้ว ข้าเป็นคนที่เห็นคนหนึ่งก็รักคนหนึ่งหรือ?!” หลินหว่านหรงพูดพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “สถานะของอวี้เจียคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน วันหลังข้าต้องได้ใช้งานนาง ดังนั้นข้าถึงเก็บนางไว้” 


 


 


“หากมิใช่เช่นนี้ข้าคงฆ่านางไปนานแล้ว จะเก็บไว้ให้นางมาแย่งสามีกับเซียนเอ๋อร์หรือ” นางจิ้งจอกอันแค่นเสียงคราหนึ่ง “สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้ยั่วยวนร้ายกาจนัก เกรงว่าคงไม่ใช่ตัวดีอะไร เจ้าต้องมีจิตใจตั้งมั่น ข้าจะไปสืบที่ดินแดนของชนเผ่านอกด่านสองแห่งข้างหน้ามาแล้ว…” 


 


 


“อะไรนะ?!” หลินหว่านหรงได้ยินก็ตกตะลึง รีบจับมือนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านอย่าขู่ให้ข้าตกใจ ที่นั่นมันอันตรายมาก ไม่ใช่สถานที่ที่ท่านจะไป!” 


 


 


“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไปได้ก็ย่อมกลับมาได้” ถูกเขาจับมือเอาไว้ อันปี้หรูก็หน้าแดงเล็กน้อย ถึงกระนั้นกลับไม่ได้ขัดขืน “สองดินแดนนี้ แค่ชายฉกรรจ์ก็มีถึงสามสี่พันคนแล้ว กระโจมส่วนใหญ่ต่างแขวนภาพเหมือนของอวี้เจีย สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เจ้าต้องระวังให้ดี” 


 


 


หลินหว่านหรงจับมือนางแน่น กล่าวพลางลูบไล้อย่างแช่มช้า “พี่สาววางใจเถิด ความร้ายกาจของอวี้เจียคนนี้ข้ารับรู้มาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ความร้ายกาจของข้านั่นไม่ใช่เรื่องคุยโม้ เชื่อว่าพี่สาวท่านก็เคยรับรู้มาเช่นกัน ข้าต้องให้นางได้เห็นดีแน่” 


 


 


“เจ้าร้ายกาจขนาดไหนหรือ?!” นางจิ้งจอกอันทอดสายตายวนเย้าให้เขา ป้องปากหัวเราะเบาๆ  


 


 


หลินหว่านหรงปากคอแห้งผาก พี่สาวอันคนนี้ชอบยั่วเขามากที่สุด แต่กลับทำให้เขามองได้แต่กินไม่ได้ ทำได้เพียงกระวนกระวายเท่านั้น เขาถอนหายใจอย่างอับจนปัญญา ลูบคลำหนักๆ บนมือน้อยของนางจิ้งจอกอันหลายครั้ง กล่าวด้วยความหดหู่ออกมาว่า “พี่สาว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้ามีน้องชายที่ชื่อหลี่อู่หลิงได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ ให้นังหนูอวี้เจียนั่นรักษาเข้าให้ฟื้น…” 


 


 


“ข้าไปดูตั้งแต่แรกแล้ว ยังเกือบถูกเจ้าใช้ดาบฟันด้วยนะ” อันปี้หรูถลึงตามองเขาคล้ายตำหนิคล้ายตัดพ้อเขาคราหนึ่ง ครานี้หลินหว่านหรงถึงตระหนักขึ้นมาได้ เงาสีขาวที่เห็นในคือนนั้นที่แท้ก็คือพี่สาวอัน นางเฝ้าอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ มาตลอด 


 


 


นางจิ้งจอกอันตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ความหนักหนาของอาการบาดเจ็บหลี่อู่หลิง วันข้าเห็นกับตาแล้ว ต่อให้ข้าออกโรงเอง ก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ ทักษะการกรีดหน้าอกขับเลือดของนางนั้น หากมิใช่ผู้มีความสามารถล้ำเลิศซึ่งกอปรด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าอย่างยิ่งก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้นข้าจึงพูดอย่างมั่นใจว่าอวี้เจียคนนี้ไม่ธรรมดา ส่วนเรื่องที่ตอนนี้หลี่อู่หลิงยังสลบไสลอยู่นั้นไม่เกี่ยวกับอวี้เจีย เป็นเพราะเขาบาดเจ็บสาหัสเกินไปจริงๆ ต้องใช้ระยะเวลาถึงจะค่อยๆ ได้สติ เพียงแต่เห็นชัดว่าอวี้เจียผู้นั้นรู้เรื่องนี้อย่างดี นี่เป็นหนึ่งในวิธีการเอาตัวรอดของนางเช่นกัน” 


 


 


อวี้เจียกลับไม่ได้เล่นตุกติกบนร่างหลี่อู่หลิง?! นี่กลับเป็นเรื่องแปลกเสียจริง เห็นชัดว่าพี่สาวอันมองความสงสัยเขาทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า “ไม่แน่ว่าแม่หนูคนนี้จะถูกใจเจ้า จงใจเอาใจเจ้าก็ไม่แน่ น้องชาย ยินดีกับเจ้าด้วย มือเท้ายื่นเข้าไปในทูเจวี๋ยแล้ว” 


 


 


เป็นผู้หญิงก็ต้องหึง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ สองครั้ง ไม่กล้ารับคำพูดนาง 


 


 


อันปี้หรูยิ้มอย่างเงียบงัน จ้องมองเขาอยู่นาน ทันใดนั้นก็กวักมืออย่างอ่อนโยน “น้องชาย เจ้ามานี่” 


 


 


หลินหว่านหรงหมุนกลับไป อันปี้หรูยื่นมือน้อยออกไปอย่างแช่มช้า แฝงอาการสั่นเทาเล็กน้อย ลูบไล้ใบหน้าเขาเบาๆ ความรู้สึกอันอบอุ่นอ่อนโยนนวลเนียน ความชุ่มชื่นเรียบลื่นอ่อนนุ่มนั้นส่งผ่านจากผิวหนังมาถึงจิตใจ หลินหว่านหรงจิตใจล่องลอย ร่างกายชาวาบ ขณะกำลังรู้สึกสุขสบายนั้นกลับรู้สึกข้างหูเย็นวาบขึ้นมาทันที เมื่อเบนหน้ามองก็เห็นว่าในมือของนางจิ้งจอกอันถือดาบน้อยอันคมกริบเล่มหนึ่ง กำลังมองเขาพลางยิ้มแย้ม 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ๊ะคราหนึ่ง ถามด้วยความตกใจ “พี่สาว เจ้า เจ้าทำอะไรหรือ?” 


 


 


อันปี้หรูเช็ดดาบเล็กบนใบหน้าเขา กล่าวพลางยิ้มหยัน “ขอถามแทนเซียนเอ๋อร์ วันหลังยังกล้าเกาะแกะกับนางจิ้งจอกทูเจวี๋ยคนนั้นอีกหรือไม่?!” 


 


 


“ไม่กล้าแล้ว…อ๊า ไม่ ไม่ใช่ ไม่เคยเกาะแกะกันมาก่อนเลย วันหลังก็ยิ่งไม่มี” เขาตอบพบางหลั่งเหงื่อเย็น เขาทั้งชื่นชอบทั้งหวาดกลัวพี่สาวอันคนนี้ 


 


 


“นี่เจ้าพูดมาเองนะ” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก กล่าวด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หลับตา” 


 


 


เขาไม่รู้ว่าอันปี้หรูต้องการทำอะไร ดังนั้นจึงทำได้แค่หลับตา สัมผัสถึงคมดาบอันเย็นเฉียบนั้น ผิวหนังชาวาบเป็นระยะ การลูบไล้อันอบอุ่นอ่อนโยนส่งผ่านมาจากใบหน้า จากนั้นก็เย็นเฉียบ ทั้งยังแฝงความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย เขาแอบเปิดตาออกมาเล็กน้อย เห็นว่าพี่สาวอันมีสีหน้าอบอุ่นอ่อนโยน นำน้ำจากในถุงน้ำมาล้างหน้าตาที่เปรอะเปื้อนของเขาให้สะอาด นิ้วมือไล้ไปตามใบหน้าเขา ดาบน้อยกวัดแกว่งเบาๆ หนวดเคราที่ขึ้นมาราวกับหญ้าป่าของเขาถูกโกนออกไปอย่างแช่มช้า 


 


 


“พี่สาวอาจารย์…” หลินหว่านหรงซาบซึ้งอย่างยิ่ง กอดเอวคอดกิ่วของนางแน่น 


 


 


อันปี้หรูยิ้มแย้มเล็กน้อย ตบแก้มเขาเบาๆ สองครา “เด็กดี น้องชาย พี่สาวโกนหนวดให้เจ้า จำเอาไว้ จงเป็นบุรุษที่สะอาดสะอ้าน! เป็นบุรุษที่ข้าชอบ!” 


 


 


“ข้าสะอาดมากเลยนะ ท่านต้องชอบแน่นอน!” เขาพูดพลางหัวเราะร่า กอดร่างนางแน่น 


 


 


อันปี้หรูถลึงตามองเขาอย่างขบขัน ยากเย็นนักกว่าจะมีโอกาสให้เขาเอาเปรียบได้คราหนึ่ง ดังนั้นก็ปล่อยตามใจเขาไปเถอะ 


 


 


โกนหนวดเคราเขาจนเกลี้ยงเกลา จากนั้นก็ตรวจสอบอย่างถ้วนถี่อีกรอบหนึ่ง ไม่เหลือตอเอาไว้ พี่สาวอันถึงผงกศีรษะ มองดูดาบน้อยที่อยู่ในมือ ถอนหายใจเบาๆ พร้อมเอ่ยว่า “เจ้ายังจำคืนที่เจ้าปล่อยเด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยคืนนั้นได้หรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้ง อยู่ดีๆ เหตุใดมาพูดถึงเรื่องนี้อีก เขาผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง “จำได้ๆ พี่สาวอัน จู่ๆ ท่านมาถามเรื่องนี้ทำไม” 


 


 


อันปี้หรูมองคมดาบที่อยู่ในมือ ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ หากคืนนั้นเจ้าชูดาบเข่นฆ่า นับจากนั้นเป็นต้นไป ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีก” 


 


 


หลินหว่านหรงสันหลังพลันหลั่งเหงื่อเย็นทันที พูดแบบนี้ทำไมกัน หรือว่าพี่สาวอันจะนับถือศาสนาพุทธ? เป็นไปไม่ได้น่า เมื่อก่อนตอนที่นางคลุกคลีอยู่กับพรรคบัวขาว โลหิตที่เปื้อนมือไม่มีทางน้อยไปกว่าข้าแน่ แล้วมาพูดแบบนี้ตอนนี้ทำไมกัน 


 


 


“ประหลาดใจมากใช่หรือไม่?” อันปี้หรูมองเขาพลางยิ้มงามยวนเย้า “คำพูดนี้ไม่ควรออกมาจากปากพระแม่ศักดิ์สิทธิ์พรรคบัวขาวที่ฆ่าคนจำนวนนับไม่ถ้วน?!” 


 


 


“เอ่อ พี่สาว จะพูดจะจาก็ต้องมีหลักการกันบ้าง” เดาเจตนานางจิ้งจอกอันไม่ถูก เขาจึงทำได้เพียงหัวเราะฮิฮะสองคราเท่านั้น 


 


 


พี่สาวอันลูบผมเขาอย่างแช่มช้า เอ่ยเสียงเบาออกมาว่า “ง่ายมาก ก็เพราะเมื่อก่อนข้าฆ่าคนมามากมาย สองมือแปดเปื้อนคาวโลหิต ตอนนี้คิดจะชำระล้างกลับสายไปแล้ว เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายทุกคืน เจ้าก็จะเข้าใจ รสชาติในการฆ่าคนนั้นยากจะทานทน หากเจ้าชูดาบเข่นฆ่า สองมือแปดเปื้อนคราวโลหิตด้วย แล้วข้าจะไปตามหาอ้อมกอดที่ทำให้ข้าจิตใจสงบสุข พักผ่อนจิตใจได้อย่างไร?” 


 


 


คำพูดของอันปี้หรูแฝงความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง นางสร้างพรรคบัวขาวขึ้นมากับมือ จากนั้นก็มองดูมันเจริญรุ่งเรืองและล่มสลาย เคยมีความฮึกเหิมกว้างไกล มองชีวิตคนราวผักหญ้า ถึงกระนั้นกลับยังอยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย ประสบการณ์อันมากล้นนั้นไม่มีวันด้อยไปกว่าหลินหว่านหรง เมื่อความรุ่งเรืองล่มสลาย การตระหนักรู้ของนางก็ล้ำค่ามากเป็นพิเศษ 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางส่ายหน้า “เมตตาไม่ถืออำนาจกองทัพ ดังนั้นจึงมีคนพูดว่าข้าไม่เหมาะกับการรบ” 


 


 


พี่สาวอันลูบไล้ใบหน้าของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะกับการรบ แต่ไม่เหมาะกับการฆ่าฟัน! เพราะเจ้าก็เป็นคนธรรมดาที่มีข้อบกพร่อง เป็นคนธรรมดาที่มีเลือดมีเนื้อ หากมีวันหนึ่งเจ้าปราศจากข้อบกพร่องโดยสมบูรณ์ เกรงว่าคงมีไม่กี่คนที่ชอบเจ้าแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล อยากจะกอดนางแล้วร่ำไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป นางจิ้งจอกอันคนนี้แม้จะแปรเปลี่ยนหลากหลาย ทว่ากลับมองความเป็นคนภายในจิตใจเขาออกอย่างยากจะได้พานพบ 


 


 


“คำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าเมื่อครู่ เจ้าจำได้หรือยัง?” อันปี้หรูถอนหายใจแผ่วเบาเลื่อนลอย “จะต้องระวังอวี้เจีย! ยังมีเผ่าแม้วของข้าอีก เจ้าห้ามลืม” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะส่งเสียงอืมหลายครั้ง นางจิ้งจอกอันพลันคลี่ยิ้ม กล่าวยวนเย้าออกมา “น้องชาย เจ้ามานี่ ให้ข้าเอาเปรียบเจ้า…ข้าจะกอดเจ้า!” 


 


 


ใจของหลินหว่านหรงเต้นรัวดังตึกตักๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีร่างอันงดงามนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก แฝงกลิ่นหอมจางๆ ค่อยๆ ซบเข้าสู่อ้อมอกเขา 


 


 


ร่างอันยวนเสน่ห์ของอันปี้หรูสั่นระริกเล็กน้อย ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาอย่างเงียบงัน สองมือกอดเอวเขาแน่น คล้ายต้นไม้สองต้นที่งอกจากรากเดียวกัน 


 


 


ที่อยู่ในอ้อมอกก็คือนางจิ้งจอกอัน นางจิ้งจอกอันที่ใครก็ไม่อาจรังแกได้! 


 


 


หลินหว่านหรงประหม่าราวกับมีความรักครั้งแรก มือเท้าไม่รู้จะวางไว้ที่ใด ยากเย็นนักกว่าจะรวบรวมความกล้ากอดเอวคอดกิ่วของนาง ขณะที่กำลังจะออกแรงเพิ่มกลับรู้สึกว่าหน้าอกเปียกชื้น น้ำตาของพี่สาวอันราวกับทำนบที่พังทลาย ถั่งท้นไหลหลั่งไม่อาจเก็บกลับคืน  


 


 


“ฮิๆ ไม่ได้ร้องไห้มานานมากแล้ว” พี่สาวอันเช็ดน้ำตาบริเวณหางตาด้วยความกระดากใจ เงยหน้าขึ้นมาแล้วคลี่ยิ้มพราวเสน่ห์ให้เขา “ข้าน่าเกลียดมากใช่หรือไม่?!” 


 


 


ท่าทางร่ำไห้น้ำตาคลอของนางประหนึ่งดอกโบตั๋นต้องหยาดน้ำค้าง งามเจิดจ้ายากจะมีสิ่งใดเทียม หลินหว่านหรง ผงกศีรษะอย่างเหม่อลอย “พี่สาวอัน ท่านคือสตรีที่งดงามมากที่สุดบนโลกนี้ ไม่มีใครเทียบท่านได้” 


 


 


“บอกว่าเจ้าไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจ ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด” อันปี้หรูหัวเราะพรวด บิดขี้เกียจด้วยท่าทางเกียจคร้าน ราวดอกโบตั๋นผลิบานกลางนภา งามเฉิดฉันไร้เทียมเทียบ “ที่แท้อ้อมกอดของบุรุษก็อบอุ่นขนาดนี้นี่เอง” 


 


 


นางหัวเราะคิกคักเบาๆ ออกแรงกอดหลินหว่านหรง ศีรษะประชิดข้างใบหูเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างล้นเหลือ “คำพูดที่กล่าวไปแล้วต้องรักษา ที่นี่คือสวรรค์ของพวกเรา จะต้องกลับมานะ”  

 

 


ตอนที่ 559 ฉีกเสื้อผ้านาง

 

หายใจแผ่วเบาอ่อนนุ่มส่งผ่านมาที่ใบหู หลินหว่านหรงรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเจ้าทึ่มไปบ้างแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าพี่สาวอันผู้ยวนเย้าแปรเปลี่ยนหลากหลายคนนี้ ฝีมือทั้งหมดของเขาล้วนมิอาจใช้งานออกมาได้ อันปี้หรูคล้ายยึดเส้นลมปราณเขาเอาไว้ การกระทำโดยไม่ตั้งใจทุกอย่างนั้น ทุกรอยยิ้มนั้น ต่างทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด กระชากขวัญและวิญญาณ กลับควบคุมเขาไว้เป็นแม่นมั่น  


 


 


จากกันมานาน บัดนี้พี่สาวอันมาอยู่ตรงหน้าตนทั้งคน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วเจรจายวนเย้าของนาง มองรอยยิ้มงามเฉิดฉันของนาง หลินหว่านหรงก็รู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ส่งเดินทางรอนแรมไกล เฝ้าเคียงข้างอย่างเงียบงัน น้ำใจนี้ซาบซึ้งทั้งผืนฟ้าปฐพี ทำให้เขายากจะตบแทนไปทั้งชีวิต 


 


 


ราตรีประดุจวารี สายลมเอื่อยโบกโชยใบหน้า แสงดาราทั่วทั้งท้องนภาส่องประกายอย่างสงบนิ่ง ทุ่งหญ้าใต้แสงจันทร์เหมือนปกคลุมด้วยผ้าโปร่งบางอันพร่ามัว สองคนนั่งอยู่กับพื้น อิงแอบแนบชิดกัน หยาดน้ำค้างทำให้เสื้อผ้าอาภรณ์และใบหน้าของพวกเขาเปียกชื้น ถึงกระนั้นทั้งสองกลับไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ระหว่างท้องฟ้าและผืนแผ่นดินเหมือนเหลือแค่เสียงเต้นของหัวใจและลมหายใจของกันและกันเท่านั้น 


 


 


แพขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย พี่สาวอันถอนหายใจอย่างเงียบงัน ลุกยืนขึ้นอย่างแช่มช้า หลินหว่านหรงตกใจจนต้องตะเกียกตะกายขึ้นมา รีบจับมือนางแล้วพูดว่า “พี่สาวอาจารย์ ท่านทำอะไร? ตีให้ตายข้าก็ไม่ปล่อยให้ท่านไปนะ” 


 


 


เสียงหัวเราะพรวดออกมาคราหนึ่ง อันปี้หรูหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาทันที “ใครบอกว่าข้าจะไป?!” 


 


 


หลินหว่านหรงจับมือนางไว้ มองประเมินนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า พูดอย่างระแวดระวังว่า “ไม่ได้จะไป?! เช่นนั้นท่าน…” 


 


 


“ผีเลอะเลือน” อันปี้หรูเหลือบมองอย่างยวนเย้าหลายครา นิ้วมือเรียวยาวจิ้มหน้าผากเขา พูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มออกมา “มีฐานะเป็นผู้ปกครองกองทัพ ออกมาจากค่ายเพียงลำพังไม่ว่า ยังจะมาคิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน ไม่ยอมกลับไปอีก นายทหารใต้บังคับบัญชาเจ้าตอนนี้เกรงว่าคงกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ หากข้าเป็นจอมทัพหลี่ไท่จะลงโทษโบยเจ้าหนึ่งพันไม้ ให้ก้นเจ้าแตกลาย!” 


 


 


หลินหว่านหรงพูดหน้าชื่นตาบาน “ขอเพียงพี่สาวอาจารย์ไม่ไป อย่าว่าแต่หนึ่งพันเลย ต่อให้หนึ่งหมื่นไม้นั่นจะถือเป็นอะไรได้ ข้ายอม” 


 


 


“เจ้าก็เอาแต่พูดหลอกให้คนดีใจ” อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก ค้อนเขาด้วยท่าทางพราวเสน่ห์ จากนั้นจึงก้มหน้าอย่างแช่มช้าพร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “วางใจเถอะ ต่อให้เจ้าเอาดาบมาไล่ข้า วันนี้ข้าก็ไม่ไป ใครใช้ให้เจ้าติดค้างข้ามากมายขนาดนั้น” 


 


 


“ใช่ๆ” หลินหว่านหรงเอ่ยด้วยความยินดีอย่างยิ่ง “สิ่งที่ข้าติดค้างพี่สาวอาจารย์ ทั้งชาติก็ใช้ให้ไม่หมด ข้าต้องการคืนสิบชาติ ร้อยชาติ” 


 


 


“เจ้าเอาคำพูดพวกนี้ของเจ้าไปเอาใจเซียนเอ๋อร์ยังพอทำเนา เอามาพูดกับข้ากลับไร้ประโยชน์” เสียงนางหยุดชะงัก ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ออกมา “ข้าไม่ให้โอกาสเจ้ามากมายขนาดนั้นเช่นกัน พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปแล้ว ฮิๆ…” 


 


 


นางพูดยังไม่ทันจบหลินหว่านหรงก็กอดนางแล้ว กล่าวเสียงดังด้วยความตกใจ “ท่านอย่าขู่ข้าให้ตกใจเลยนะ พี่สาว น้องชายขวัญอ่อน ทนรับการทรมานหลายรอบจากท่านไม่ไหว” 


 


 


“ขวัญเจ้ากลับอ่อนมากจริงๆ…รู้จักแต่เอารัดเอาเปรียบข้า” นางจิ้งจอกอันหัวเราะคิกคัก มุดเข้าไปในอ้อมอกเขาอย่างเงียบงัน “น้องชาย ข้าก็เหมือนกับเจ้า ต่างเป็นคนซื่อที่พูดโกหกไม่เป็น เจ้าไม่รู้หรือ” 


 


 


คนซื่อ? หลินหว่านหรงกะพริบตา ถ้าข้ากับพี่สาวอันต่างถือว่าเป็น “คนซื่อ” ได้แล้วล่ะก็ อย่างนั้นแผ่นดินนี้ก็ไม่มีโจรอันธพาลแล้วล่ะ นี่พี่สาวจิ้งจอกกำลังทำให้ข้าสบายใจล่ะสิ 


 


 


เมื่อเห็นเขามีสีหน้าเหม่อลอย ทว่าดวงตากลับกลอกวนไม่หยุด อันปี้หรูหัวเราะเบาๆ ทันที ถูใบหน้าที่โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลาของเขาหลายครั้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องชาย ข้าชอบท่าทางบื้อๆ ของเจ้า คิกคิก!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าอย่างเงียบงัน ดูไปดูมาเขารู้สึกว่าฝีมือของพี่สาวอันนั่นใช้เพื่อควบคุมเขาโดยเฉพาะ การกระทำทุกอย่างของเขาคล้ายอยู่ในกำมืออันปี้หรูจนหมดสิ้น คนเราเกิดมาบนโลก มีนางจิ้งจอกที่มาทำลายตนเองโดยเฉพาะอย่างพี่สาวอาจารย์ ไม่รู้ว่าจะเป็นความทุกข์หรือว่าความสุขดี 


 


 


เวลาก็สายมากแล้ว ออกจากค่ายมานานเกินไป หลินหว่านหรงรู้สึกกังวลอยู่บ้างเช่นกัน ในค่ายไม่อาจพาสตรีเข้าไปได้ ทว่าสิ่งนี้กลับไม่อาจสร้างความลำบากให้อันปี้หรู นางหยิบชุดบุรุษออกมาจากห่อสัมภาระที่นางพกติดตัวมาชุดหนึ่ง จากนั้นก็เกล้าผมอันงดงามประดุจเมฆานั้นขึ้นไป แต่งกายอย่างคล่องแคล่ว เมื่อแต่งหน้าเรียบร้อยก็กลายเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามล้ำเลิศผู้หนึ่ง 


 


 


“ท่านแม่ทัพ คืนนี้ข้าจะนอนในกระโจมท่าน ท่านยินดีที่จะรับข้าน้อยไว้หรือไม่ขอรับ?!” เมื่อแต่งกายเสร็จ นางมองหลินหว่านหรงพลางยิ้มแย้ม งามยวนเย้าพราวเสน่ห์เหนือธรรมดา 


 


 


“ท่านย่ามัน เหตุใดพี่สาวอันไม่ว่าจะแต่งกายเป็นบุรุษหรือสตรีต่างน่าดูชมถึงเพียงนี้นะ?! หลินหว่านหรงกลืนน้ำลาย กล่าวพลางผงกศีรษะกลืนน้ำลายอย่างแรง “ยินดีๆ น้องชาย เจ้ารอข้านะ พี่ชายจะไปปูเตียงให้เจ้า” 


 


 


อันปี้หรูมองค้อนเขาด้วยความรู้สึกขบขัน แม้ร่างจะแต่งกายเป็นบุรุษ แต่สีหน้าท่าทางที่แปรเปลี่ยนสารพันนั้นกลับทำให้เขาลุ่มหลงภายในชั่วพริบตา 


 


 


เมื่อเข้ามาในค่าย นายทหารทุกคนล้วนเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง แม่ทัพหลินซึ่งโกนหนวดโกนเคราเรี่ยมเร้เรไร ใบหน้าล้างจนสะอาดหมดจดจูงมือบุรุษรูปงามยวนเย้าผู้หนึ่งโดยไม่ยอมวางมือ เดินส่ายอาดๆ ผ่านทุกคนอย่างหน้าชื่นตาบาน โบกไม้โบกมือให้ทุกคนด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง เหมือนรบชนะมาอย่างนั้น กลับเป็นบุรุษรูปงามยวนเย้าผู้นั้นที่กลับท่าทางผ่าเผย ยามยิ้มแย้มไอเสน่ห์ยวนเย้าบีบคั้นผู้คน ทุกคนเห็นแล้วก็หนาวสั่น รีบเบือนหน้าไป 


 


 


จูงมืออันปี้หรูเนเข้ามาในกระโจม สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ยังไม่ทันได้เปล่งวาจาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องเร่งเร้าดังขึ้นมาจากข้างใน “อ๊ะ…เจ้า เจ้าเป็นใคร เข้ามาในกระโจมของอัวเหล่ากงทำไมกัน?!” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้ามอง เห็นอวี้เจียเบิกตาโพลง มองตนเองอย่างตกตะลึงพรึงเพริดและงงงวย ราวกับไม่รู้จักกันภายในชั่วพริบตา 


 


 


“ทำไม? เห็นคนหล่อแล้วก็ไม่รู้จักหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ลูบคลำใบหน้าที่โกนจนเรียบเนียน กล่าวด้วยท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่อง “คุณหนูอวี้เจีย มองข้าให้ถ้วนถี่ ข้าเป็นใคร?! ฮิๆ!” 


 


 


อันปี้หรูช่วยเขาโกนหนวดเครา มัดผมที่ยุ่งเหยิง ล้างหน้าให้สะอาด ปราศจากท่าทางสกปรกมอมแมมนับตั้งแต่ล่วงเข้าสู่ทุ่งหญ้านั้นอีกต่อไป ทั้งใบหน้าถือว่าเปลี่ยนใหม่จนหมดสิ้น ราตรีมืดครึ้ม คราแรกที่เข้ากระโจมมาด้วยความตกใจ เยวียหยาเอ๋อร์กลับจำเขาไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงเขา จากนั้นก็มองใบหน้าเขาอย่าละเอียด ครานี้อวี้เจียถึงเอ่ยปากอย่างระแวดระวัง “จะ…เจ้าคืออัวเหล่ากง?!” 


 


 


“ไอ้หยา!” ความเจ็บปวดระบมส่งผ่านมาจากก้น ทำให้หลินหว่านหรงเจ็บจนกระเด้งขึ้นมาทันที 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างยากจะทานทนของเขา อวี้เจียเอ่ยถามด้วยความตกใจทันที “อัวเหล่ากง เจ้าเป็นอะไร?!” 


 


 


ไม่ต้องดูก็รู้ บนก้นอย่างน้อยต้องมีเข็มเงินเย็นเฉียบปักอยู่สิบเล่ม หลินหว่านหรงสูดลมหายใจหนาวเหน็บ ฝีมือของพี่สาวอันคนนี้ง่ายดายรุนแรง ใช้ได้ผลกับข้ายิ่งนักจริง ๆ เขาหัวเราะฮ่าๆ แห้ง ๆ สองครา “เอ่อ แม่นางอวี้เจีย วันหลังเจ้าก็เรียกชื่อข้าตรงๆ เถอะนะ ข้าชื่อหลินซาน เจ้าน่าจะเคยได้ยิน ไม่อย่างนั้นเรียกข้าว่าแม่ทัพหลิน ใต้เท้าหลินก็ได้ จะเรียกว่าโจรข้าก็ยอมรับ ส่วนชื่ออื่นนั้นยังไม่ต้องเรียกชั่วคราวก็แล้วกันนะ ฮ่าๆ” 


 


 


เยวียหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความฉงน “อัวเหล่ากง เหตุใดถึงเรียกไม่ได้?! ข้ารู้สึกว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้ามีเอกลักษณ์เฉพาะมากกว่า ทำให้คนจำได้ทันที! ส่วนหลินซานอะไรนั่น ข้าไม่อยากเรียกเหมือนกัน!” 


 


 


“น้องชาย ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของเจ้านี่มันช่างเพราะเสียจริงนะ ใครตั้งให้เจ้าหรือ?!” นางจิ้งจอกอันประชิดข้างใบหูเขา กัดฟันงามดังกรอดๆ ฟังแล้วงามยวนเย้า เข็มเงินที่ปักอยู่บนก้นนั้นกลับเย็นเยียบเสียดแทงกระดูก 


 


 


หลินหว่านหรงลอบร้องโอดโอย เมื่อครู่มัวแต่มีความสุขกับพี่สาวอัน กลับลืมเรื่องชื่อภาษาทูเจวี๋ยนี้ไปเสียได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาอยู่กับเซียนเอ๋อร์ วันๆ ก็เรียกขานว่าเหล่ากง พี่สาวอันฟังอยู่ด้านข้างแล้วจะไม่เข้าใจความหมายแฝงของสองคำนี้ได้อย่างไรกัน 


 


 


แม่เอ๊ย! ต้องถูกนังหนูอวี้เจียคนนี้ทำร้ายจนตายแน่ เขากลอกตาแล้วรีบพูดว่า “ชื่อภาษาทูเจวี๋ยน่ะหรือ น่าจะเป็นพวกเหล่าหู เหล่าเกาตั้งให้ข้ากระมัง เฮ้อ ความรู้ของเจ้าสองคนนี้ดาดๆ ตั้งชื่อออกมาช่างไม่ได้เรื่องเลย! พี่สาวอาจารย์ ท่านก็รู้นี่ว่าพวกเราเข้าสู่ทุ่งหญ้า หากปราศจากชื่อดีๆ สักชื่อหนึ่งก็ไม่อาจสะกดชนเผ่านอกด่านพวกนี้ได้ อันที่จริงชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้าไม่ได้อ่านเช่นนี้ ท่านต้องอ่านกลับหลัง…” 


 


 


เขากับพี่สาวอันพูดซุบซิบกันอยู่ข้างหู พูดความหมายของชื่อนี้ไปรอบหนึ่ง 


 


 


“จริงหรือ เจ้ากลับเป็นคนซื่อขนาดนี้จริงหรือ?!” อันปี้หรูหัวเราะร่วน เข็มเงินในมือแทงลงไปที่ก้นเขาหนักๆ คราหนึ่ง 


 


 


“จริงสิๆ” หลินหว่านหรงเหงื่อแตกเต็มใบหน้า รีบร้องออกมา สองคนอยู่ใกล้มากเมื่อเห็นใบหูน้อยอันนุ่มนิ่มขาวกระจ่างใสของพี่สาวอัน ไม่รู้ว่าบังเกิดความคิดสัปดนมาจากที่ใด ไม่สนใจความปวดชาบนก้น อดจะเป่าลมหายใจเซียนใส่ใบหูนางเบาๆ ไม่ได้ 


 


 


ลมร้อนปะทะเข้ามา อันปี้หรูสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ใบหูร้อนลวก ใบหน้าแดงเล็กน้อย มองดูใบหน้าดำและผอมซูบของหลินหว่านหรง คิดขึ้นมาได้ว่าเข้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าหนทางตายเก้ารอดหนึ่ง ไม่รู้ว่าได้รับความลำบากมามากเท่าใด เข็มเงินที่อยู่ในมือจึงไปทิ่มแทงลงไปอีก 


 


 


“กลับไปจะให้เซียนเอ๋อร์จัดการเจ้า!” มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง พี่สาวอันก้มหน้า หางตาชิ้นเล็กน้อย 


 


 


“พี่สาวอาจารย์ ข้ากับนางบริสุทธิ์จริงๆ นะ” หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ปวดใจนัก กุมมือน้อยของนางแล้วพูดว่า “ตลอดเส้นทางนี้ท่านติดตามข้ามาก็น่าจะมองเห็น ที่จริงแล้วข้าเป็นคนที่มีหลักการมากคนหนึ่ง” 


 


 


นางจิ้งจอกอันเงยหน้าขึ้นมา มองเขาด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มหลายครั้ง “แม้แต่เหล่ากงก็เรียกแล้ว นี่ยังจะเรียกว่าบริสุทธิ์อีก?! หากนับเช่นนี้ ข้ากับเจ้าก็เป็นผู้ที่ใสซื่อบริสุทธิ์บนโลกนี้แล้ว…เหตุใดเจ้าต้องทำเรื่องใสซื่อบริสุทธิ์กับข้าเช่นนี้ด้วยล่ะ?!” 


 


 


“นั่นน่ะสิ?!” หลินหว่านหรงตกใจจนหน้าถอดสี “เหตุใดข้าถึงต้องทำเรื่องใสซื่อบริสุทธิ์กับท่านด้วยนะ?! นั่นไม่ใช่สันดานของข้าเลย! พี่สาวอาจารย์ ประโยคเดียวของท่านปลุกข้าผู้อยู่ในห้วงความฝัน ข้าอยากกอดๆ หอมๆ นอนๆ กับท่าน!” 


 


 


เขาอ้าแขนแล้วโผเข้าหาอันปี้หรู ร่างงามของนางจิ้งจอกอันขยับบิด หัวเราะแล้วหลบไป สองคนหัวร่อต่อกระซิกกันในกระโจมครู่หนึ่งกลับทำให้อวี้เจียผู้นั้นมองดูจนตาโตอ้าปากค้าง “อัวเหล่ากง เขา เขาเป็นใคร?!” 


 


 


“เขาเป็นใคร?!” ฉวยโอกาสช่วงที่อันปี้หรูไม่ระวัง หลินหว่านหรงโอบนางแน่น หัวเราะฮิฮะพร้อมตอบว่า “พูดออกไปก็ไม่กลัวทำให้เจ้าตกใจตาย เขาเป็นที่รักอันดับหนึ่งไม่มีสอง ผู้งามพิลาสในแผ่นดินมากที่สุดบนโลกนี้ เป็นเมี…” 


 


 


นิ้วงามเรียวยาวสองนิ้วกดริมฝีปากเขา อันปี้หรูส่ายหน้าเล็กน้อย พูดเบาๆ ออกมาว่า “อย่าพูดจาพร่ำเพรื่อ ทุกประโยคที่เจ้าพูดออกมาจะต้องมีคนคิดว่าจริง” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “พี่สาว ข้าจะพูดจาพร่ำเพรื่อได้อย่างไร?! ข้าไม่เคยมีสติมากเท่านี้มาก่อน ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค ล้วนจริงแท้แน่นอน ข้าต้องการสู่…” 


 


 


“นั่นก็ห้ามพูดเช่นกัน” ดวงหน้าของนางจิ้งจอกอันแดงก่ำ แค่นเสียงต่ำพร้อมเอ่ยว่า “…หากจะพูด ก็ต้องไปถึงเผ่าแม้วก่อน! พวกเขาเชื่อแล้วข้าถึงจะเชื่อ!” 


 


 


“ก็แค่เผ่าแม้วเองนี่นา” หลินหว่านหรงหัวเราะด้วยความเชื่อมั่นเต็มอก “เหนือใต้ออกตกข้าก็ตะลุยไปมาหมดแล้ว ยังจะกลัวเก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อมอีกหรือ?!” 


 


 


อันปี้หรูส่งสายตายวนเย้า หัวเราะพลางตบใบหน้าเขา “น้องชาย แค่พูดแต่ไม่ทำมันก็เป็นแค่การเล่นปา**่ปลอมๆ รอให้เจ้าไปถึงเผ่าแม้วของข้าแล้ว เจ้าจะต้องโดนดีแน่นอน ถึงเวลาอย่าร้องไห้ออกมาก็แล้วกัน” 


 


 


มองดูผู้ชายสองคนนี้ตระกองกอดกันพูดจาอี๋อ๋อกัน เจ้าโจรยิ้มจนน้ำลายไหลออกมา เยวียหยาเอ๋อร์หน้าซีดเผือด “พวก…พวกเจ้า อัวเหล่ากง ที่แท้เจ้าก็มีความชอบเช่นนี้…” 


 


 


“ความชอบแบบไหน?” อันปี้หรูยิ้มยวนเย้าพลางเดินเข้าไปหา จ้องมองอวี้เจีย ดวงตากระจ่างวูบรุนแรง 


 


 


อวี้เจียนิ่งงัน รีบก้มหน้าหลบหลีกสายตานาง “เจ้า เจ้ามีเวทมนตร์?! ห้ามมองข้านะ!” 


 


 


“แม่นางน้อย เจ้าช่างไม่ธรรมดานะ!” อันปี้หรูดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ ตบคอนางเบาๆ สองครา มุมปากผุดรอยยิ้มบาง 


 


 


อวี้เจียแค่นสียงคราหนึ่ง รีบเงยหน้าขึ้นมา “เจ้า เจ้าจะทำอะไรกับข้า” 


 


 


อันปี้หรูหัวเราะคิกคัก “เจ้าเป็นหมอเทวดาที่มีฝีมือทางการแพทย์ล้ำเลิศ ข้าจะทำอะไรเจ้าได้?!” 


 


 


สองคนขยับเข้ามาใกล้ อวี้เจียจ้องดวงตาพี่สาวอันอยู่นาน ทันใดนั้นก็หัวเราะดูแคลนออกมาเบาๆ “ที่แท้เจ้าก็เป็นสตรี!” 


 


 


สายตาของอวี้เจียคนนี้กลับไม่เลวนะ มืดขนาดนี้แล้วยังแยกแยะบุรุษสตรีออกอีก หลินหว่านหรงถามด้วยความสนเท่ห์ “เจ้าดูออกได้อย่างไร?!” 


 


 


อวี้เจียกล่าวพลางยิ้มหยัน “ดวงตามีน้ำตามีรอยยิ้ม หางตาคล้ายยินดีคล้ายกังวล ถึงกระนั้นมักสะท้อนเงาของคนผู้หนึ่งออกมา มีเพียงสตรีที่บังเกิดความรักเท่านั้นถึงจะเป็นเช่นนี้ เจ้าลองถามนางดูสิ ว่าใช่เช่นนี้หรือไม่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงอึ้ง มองพี่สาวอันน้อยๆ คราหนึ่ง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน 


 


 


อันปี้หรูหน้าแดงเล็กน้อย ส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “คารมคมคายนักนะ คำพูดของเจ้านี้ก็หลอกได้แต่เขาเท่านั้นล่ะ แต่ว่านะ น้องสาว เจ้ากลับเป็นคนฉลาดมากจริงๆ การต่อกรกับบุรุษก็ถือว่ามีฝีมือมาก แต่ว่านะ บางครั้งก็ฉลาดเกินไป คิกๆ” 


 


 


หลินหว่านหรงฟังแล้วก็หลั่งเหงื่อโชก ต่อกรกับบุรุษก็ถือว่ามีฝีมือมากอะไรกัน นี่ไม่ใช่ว่ากำลังว่าข้าชัดๆ หรอกหรือ?! 


 


 


“ฉลาดเกินไปอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดอะไร!” อวี้เจียเบือนหน้าหนีไป กล่าวอย่างดึงดัน  


 


 


“น้องชาย เจ้ามานี่!” พี่สาวอันยิ้มยวนเย้ามองหลินหว่านหรงคราหนึ่ง กวักมือให้เขาเบาๆ  


 


 


หลินหว่านหรงมองจนตาลาย พุ่งขวับมาที่ข้างกายนาง “พี่สาวอาจารย์ ท่านเรียกข้าทำไมหรือ?!” 


 


 


“ให้เจ้าทำเรื่องที่เจ้าชอบมากที่สุด” อันปี้หรูหัวราะคิกคัก จิ้มหน้าผากเขาคราหนึ่ง สีหน้ายั่วยวนอย่างหาใดเทียม “เห็นน้องสาวผู้นี้หรือไม่…ไปฉีกเสื้อผ้านาง!”  

 

 


ตอนที่ 560 รอยสักของอวี้เจีย

 

“ท่านว่าอะไรนะ?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา ให้ข้าไปฉีกเสื้อผ้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปหรอกนะ เขากระบิดกระบวนอยู่ครึ่งค่อนวัน กล่าวด้วยความเหนียมอายออกมาว่า “พี่สาว เอ่อ ไม่ค่อยดีกระมัง แม้การเชี่ยวชาญเรื่องถอดเสื้อผู้อื่นจะเป็นจุดเด่นของข้า แต่ข้าไม่ใช่คนใจง่ายแน่นอน! เรื่องนี้ทำให้ข้าลำบากใจเหลือเกิน” 


 


 


“น้องชายช่างมีคุณธรรมสูงส่ง” อันปี้หรูหัวเราะคิกคักเบาๆ ดวงตาส่องประกายเล็กน้อย มองค้อนเขาคล้ายตำหนิคล้ายยวนเย้า “เช่นนั้นวันนี้เจ้าจะมีข้อยกเว้นให้ข้า ใจง่ายสักครั้งได้หรือไม่?! พี่สาวอยากเห็นท่าทางง่ายๆ ของเจ้าจริงๆ นะ” 


 


 


มองดูริมฝีปากสีชาดสดใสที่เกือบจะหยาดหยดเป็นน้ำได้ สายตาอันงดงามยวนเย้าดั่งวารีของนาง พี่สาวอันที่เป็นนางจิ้งจอกนี้เฉกเช่นคบเพลิงบนทุ่งหญ้า จุดความพลุ่งพล่านไปทั่วร่างเขา หลินหว่านหรงจับมืออันปี้หรู แอบถูไถกลางฝ่ามืออันนุ่มนิ่มของนางหลายครั้ง กล่าวด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความเที่ยงธรรม “พี่สาวอาจารย์ อย่าว่าแต่ฉีกเสื้อผ้าผู้อื่นเลย ต่อให้ขึ้นภูเขาดาบ ลงกระทะน้ำมัน น้องชายก็จะไม่ยอมถอย แม่นางอวี้เจีย ขอโทษแล้ว!” 


 


 


เขาหัวเราะฮิฮะ ย่างก้าวไปทางเยวี่ยหยาเอ๋อร์ด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญ อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ สองมือกอดอกด้วยความประหวั่นลนลาน กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “จะ…เจ้ากล้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “ข้ามีอะไรไม่กล้า มีพี่สาวอาจารย์หนุนหลังข้าอยู่! แม่นางอวี้เจีย เจ้าอดทนกไปก่อนสักครู่นะ ข้ามีประสบการณ์ในการฉีกเสื้อผ้ามาก รับรองว่าสำเร็จในครั้งเดียว” 


 


 


ปากเขาพูดกระเซ้า มือใหญ่ก็คลำไปถึงชุดของอวี้เจียแล้ว เขาดึงปกเสื้อนางเบาๆ เยวี่ยหยาเอ๋อร์รู้สึกร้อนใจและโมโหระคนกัน เบ้าตาพลันเต็มไปด้วยน้ำตา ลำคอเรียวยาวของนางเชิดสูง ดั่งหงส์ฟ้าผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีไม่ยอมจำนนอันงดงามตัวหนึ่ง ตื่นตระหนกหวาดกลัว เคียดแค้น รวดร้าว สิ้นหวัง สายตาที่เอื้อนเอ่ยวาจาได้ของสาวน้อยทูเจวี๋ยจ้องมองเขาอย่างดุดัน ความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบภายในชั่วพริบตา น้ำตากระจ่างใสไหลรินอย่างเงียบงัน 


 


 


ท่าทางน่าเวทนาสงสารของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ทำให้คนอดตาค้างไม่ได้ หลินหว่านหรงเบือนหน้าหนี ไม่มองสายตาของนาง ถามเสียงเบาออกมา “พี่สาวอาจารย์ เริ่มได้หรือยัง?” 


 


 


นางจิ้งจอกอันหัวเราะพร้อมเดินเข้าไป ลูบคลำดวงหน้าอันเรียบลื่นของสาวน้อยทูเจวี๋ยหลายครั้งพร้อมกล่าวอย่างอ่อนโยน “น้องสาวผู้น่าสงสาร ทำให้ข้าเห็นแล้วก็เวทนาจริงๆ นะ! น้องชาย อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องอ่อนโยนสักหน่อย ดูจากท่าทางของน้องสาวแล้วยังเป็นครั้งแรกของนางอีกด้วย อย่าหยาบคายเกินไป ระวังจะทำให้นางบาดเจ็บ!” 


 


 


หลินหว่านหรงฟังจนเหงื่อแตกท่วมใบหน้า นางจิ้งจอกบ้ากามคนนี้ เห็นชัดๆ ว่ากำลังยั่วยวนข้าอยู่นี่นา! 


 


 


อวี้เจียใบหน้าแดงก่ำ กล่าวด่าทอออกมาเสียงเจื้อยแจ้ว “เจ้า สตรีที่เป็นนางจิ้งจอกเช่นเจ้านี้ ข้าอวี้เจียจะไม่ละเว้นเจ้าแน่!” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?” พี่สาวอันกะพริบตา เลียริมฝีปากแดงชุ่มชื่น จับมือของหลินหว่านหรงขึ้นมาแล้วค่อยๆ คลำไปที่ซอกคออันขาวบริสุทธิ์ดั่งหงส์ฟ้าของอวี้เจีย กล่าวระคนหัวเราะยวนเย้า “น้องชาย เจ้าลองมาลูบคลำดู สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้มีรสชาติเป็นเช่นไร?” 


 


 


อวี้เจียสั่นเทาเบาๆ ทั้งร่าง มองหลินหว่านหรงน้ำตาพร่ามัว ภายในดวงตาเปี่ยมล้นด้วยความเงียบงันด้วยความสิ้นหวัง หลับดวงตาอันงดงามอย่างแช่มช้า น้ำตาขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลรินลงมาตามปรางแก้มทั้งสองข้างอย่างเงียบงัน เดิมทีสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้ก็งามพิลาสหาใดเปรียบอยู่แล้ว ความอ่อนแอจากความสิ้นหวังเช่นนี้ยิ่งสลัดความป่าเถื่อนออกไปจนหมดสิ้น หาท่าทางอันเผ็ดร้อนไม่พบอีกต่อไป 


 


 


ขณะที่ฝ่ามืออยู่ห่างจากผิวของอวี้เจียแค่เพียงนิดเดียว จู่ๆ หลินหว่านหรงก็หันหน้ากลับมา มองอันปี้หรูพร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่สาวอาจารย์ ท่านอยากให้ข้าลูบคลำสตรีอื่นต่อหน้าท่านจริงหรือ?!” 


 


 


พี่สาวอันหน้าแดงเล็กน้อย เบือนหน้าไปพร้อมแค่นเสียงเบาๆ “เจ้าอยากจะคลำก็คลำ ถามข้าทำไม?!” 


 


 


คำพูดนี้พูดแฝงปรัชญายิ่งนัก หลินหว่านหรงได้ยินชัดแจ๋ว เขาจับมือนางพร้อมหัวเราะฮ่าๆ “พี่สาวอาจารย์ ท่านอย่ามาทดสอบข้าเลย ต่อให้สตรีทูเจวี๋ยผู้นี้จะงดงามอีกสักเพียงใด ก็ไม่มีทางได้หนึ่งในหมื่นของพี่สาวอาจารย์ แล้วข้าจะลูบคลำนางทำไม?!” 


 


 


อันปี้หรูทัดปอยผมข้างใบหู มองค้อนเขาอย่างยวนเย้าคราหนึ่ง “หมาป่าบ้ากามน้อย พูดจาเสียน่าฟัง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้านะ นี่เจ้ากำลังรักหยกถนอมอบุปผา แสร้งปล่อยเพื่อจับ เป็นกลยุทธ์ในการขโมยหัวใจชั้นยอด” 


 


 


“เฮ้อ ในเมื่อพี่สาวอาจารย์เข้าใจข้าผิดเช่นนี้ เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า ข้าลูบคลำก็ได้ ไม่ลูบคลำก็เสียทีที่ไม่ทำ…” หลินหว่านหรงถอนหายใจ ยื่นมือไปทางใบหน้าอันเรียบลื่นของอวี้เจีย 


 


 


ยังไม่ทันจะเข้าใกล้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ถูกมือน้อยอันอ่อนนุ่มข้างหนึ่งจับเอาไว้ อันปี้หรูยิ้มร่าพลางมองดูเขา “ใครใช่ให้เจ้าไม่ฟังข้า ตนนี้คิดจะลูบคลำก็สายไปแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงหน้าชื่นตาบาน ประคองฝ่ามือนางแล้วเสียดสีเบาๆ “พี่สาวไม่ต้องหึง ข้าไม่ลูบคลำ ลูบคลำแค่ท่านก็พอ” 


 


 


“พูดจาเหลวไหล ใครหึงกัน?!” ปรางแก้มงามของอันปี้หรูแดงซ่าน มองตำหนิเขาคราหนึ่ง นางกุมมือเขาพลางยิ้มยวนเย้าอย่างอ่อนโยน “ห้ามลูบคลำข้าเช่นกัน ข้ามีเข็มเงินอันร้ายกาจอยู่!” 


 


 


ทั้งสองคนชายรักหญิงมีใจ กระเง้ากระงอดแสดงความรักราวกับข้างกายปลอดผู้คน มีความสุขยิ่งนัก อวี้เจียฟังทุกถ้อยคำอยู่ในหู โมโหจนหน้าซีด ด่าทออย่างเดือดดาล “ชายโฉดหญิงชั่ว!” 


 


 


ชายโฉดกับหญิงชั่วเกิดมาก็เป็นคู่กัน หลินหว่านหรงไม่รู้สึกต่อต้านทั้งกลับยินดี หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับคำชม พี่สาวอาจารย์ น้องสาวคนนี้จะจัดการอย่างไรดี?!” 


 


 


อันปี้หรูถอนหายใจ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ยังจะทำอะไรได้? ในเมื่อเจ้ารักหยกถนอมบุปผา ไม่อาจหักใจแตะต้องนาง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ทำเอง น้องสาว ตอนนี้ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้า เจ้าคงไม่คัดค้านกระมัง ฮิๆ!” 


 


 


เสียงหัวเราะยังไม่ทันจบ มืองามของนางก็ยื่นออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายอสนีบาต เล็งอย่างแม่นยำ อาภารณ์ตรงท้องน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นางดึงเบาๆ เสียงผ้าดังแคว่ก ตามเสียงกรีดร้องของอวี้เจีย ชุดกระโปรงของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็ขาดกลางเป็นสองส่วน เศษผ้าหลายชิ้นค่อยๆ ลอยหล่นลงบนพื้นหญ้า เผยให้เห็นสะดือและท้องน้อยอันงดงามของอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้เรือนร่างงดงามล้ำเลิศราวกับสวรรค์สร้าง เอวคอดกิ่วกะทัดรัดเพียงกำมือ ผิวพรรณกระจ่างใส สุกสกาวดั่งอาบน้ำนม งดงามยวนเย้าน่าลุ่มหลง ใต้แสงตะเกียงอันหรุบหรู่ เปล่งประกายอันยั่วยวนใจ 


 


 


อวี้เจียกรีดร้องดังอ๊ะ สองมือกอดหน้าอก พยายามปกปิดผิวอ่อนนุ่มนิ่มที่เผยออกมาข้างนอก ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัวและเดือดดาล “สตรีที่เหมือนดั่งจิ้งจอก เจ้าจะทำอะไร?! อัวเหล่ากง เจ้าห้ามมองข้า!” 


 


 


พี่สาวอันหัวเราะร่วน กอดแขนหลินหว่านหรง กล่าวยั่วยวนออกมา “ข้าจะให้เขามองเสียอย่าง…น้องชาย เจ้าเบิกตาให้กว้าง จะต้องดูให้ชัดนะ” 


 


 


หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะ กลืนน้ำลายอย่างแรง “ดู ต้องดูอย่างยิ่ง พี่สาวอาจารย์ ยังจะถอดอีกหรือไม่? ข้าอยากช่วยมากเลย” 


 


 


เมื่อเห็นดวงตาของน้องชายสาดประกายหื่นกระหาย จ้องมองท้องน้อยขาวสะอาดของอวี้เจียไม่วางตา พี่สาวอันจิ้มหน้าผากเขาแฝงด้วยความโมโหเล็กน้อย แค่นเสียงแล้วพูดว่า “ดูตรงไหนกันน่ะเจ้า?!…ขึ้นมาอีกนิด…เหอะ ไม่ใช่ให้เจ้าดูหน้าอกนาง…ลงมาอีกหน่อย!” 


 


 


นางจิ้งจอกอันสั่งการไปมา หลินหว่านหรงใช้สายตาตามนาง กลับมองอวี้เจียตั้งแต่หัวจรดเท้าไปรอบหนึ่ง ทำให้พี่สาวอันหัวเราะร้องไห้ไม่ออก 


 


 


“อัวเหล่ากง ห้ามดู เจ้าห้ามดู!” อวี้เจียใช้สองมือกอดอก ร่ำไห้อย่างรุนแรง 


 


 


อันปี้หรูแค่นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ หยิบเข็มเงินแล้วทิ่มไปที่ก้นเขาคราหนึ่ง “ไอ้หยา” หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว กระเด้งขึ้นมาราวกับนั่งลงบนปะทัด 


 


 


… 


 


 


“เห็นอะไรบ้าง?!” พี่สาวอันทัดปอยผมข้างหูเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ยิ้มงามเฉิดฉัน อารมณ์หลากหลายสารพัน 


 


 


หลินหว่านหรงคว้ามือของนางพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะมองแต่พี่สาว” 


 


 


“มาหลอกให้ข้าดีใจอีกแล้ว?!” อันปี้หรูบีบแขนเขาอย่างแรง ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด 


 


 


นางกลอกตามองอวี้เจีย สีหน้าเย็นชาทันที นางออกแรงเล็กน้อยก็แยกแขนที่ขวางตรงหน้าอวี้เจียออกไปได้ ไล่จากสะดือและท้องน้อยอันขาวกระจ่างใสของอวี้เจียขึ้นไป ใต้อกซ้ายของนาง บนผิวอันกระจ่างใสราวกับหยกนั้นกลับสักหมาป่าทองขนาดกะทัดรัดที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บตัวหนึ่ง หมาป่าทองนั้นใหญ่ประมาณฝ่ามือ สีหน้าท่าทางสง่างาม บารมีบีบคั้นผู้คน กำลังเชิดหัวแหงนมองท้องฟ้า ภายในดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายเย็นเยียบ คล้ายอำมหิตเย็นชา ทั้งคล้ายอบอุ่นอ่อนโยน มีความสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก 


 


 


“ที่แท้ก็หมาป่าตัวเมียตัวหนึ่ง!” หลินหว่านหรงจ้องหมาป่าน้อยสีทองตัวนี้ จับจ้องอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจคราหนึ่ง 


 


 


หมาป่าคือสัญลักษณ์ของทูเจวี๋ย บนธงกองทัพของชนเผ่านอกด่านก็ปักหมาป่าสารพัดสารพันรูปแบบ แต่รอยสักหมาป่าสีทองนี้เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนร่างของสตรีทูเจวี๋ยผู้งดงามเช่นนี้ การปรากฏของรอยสักหมาป่าสีทองเช่นนี้ นัยยะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และนี่อาจเป็นเครื่องพิสูจน์สถานะของอวี้เจียก็เป็นได้ ดาบทองสูงค่า รอยสักหมาป่าทอง เยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นใครกันแน่?! 


 


 


หลินหว่านหรงจดจ้องผิวขาวกระจ่างใสของอวี้เจีย ดวงตาสาดประกายวูบวาบคมกริบ อวี้เจียยามนี้กลับหยุดร้องไห้แล้ว กำลังกัดฟันกรอด จ้องมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว 


 


 


“คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” เสียงแผ่วเบาอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างใบหู เมื่อช้อนสายตามอง อันปี้หรูก็กำลังยิ้มงามยวนเย้าให้เขาอยู่ “สถานะของอวี้เจียคนนี้ต้องมีสักวันที่กระจ่างแจ้ง! เจ้าแค่จับตัวนางให้มั่นก็พอ จำไว้ ใช้ฝีมือที่เจ้ามีทั้งหมด!” 


 


 


ความหมายอันลึกซึ้งภายในดวงตาพี่สาวอัน แม้แต่คนโง่ก็ยังดูออก หลินหว่านหรงกำลังจะส่ายหน้าด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด มือน้อยของอันปี้หรูก็กดลงบนริมฝีปากเขาแล้ว “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องทำเรื่องชั่วช้าสามานย์แล้วจะทำไม?! ข้าจะสู้กับสวรรค์พร้อมเจ้า สวรรค์ไม่สู้ข้า ข้าสู้สวรรค์!” 


 


 


“พี่สาว!” หลินหว่านหรงเบ้าตาแดงก่ำ กอดร่างนางแน่น ไม่กล้าปล่อยไปอีก 


 


 


อันปี้หรูเบือนหน้าไปเช็ดหางตา หัวเราะคิกคักพร้อมเอ่ยว่า “น้องชาย ข้าง่วง อยากนอนแล้ว” 


 


 


“ได้ๆ” หลินหว่านหรงรีบผงกศีรษะปลกๆ “พี่สาว คนนี้ท่านก็นอนพักผ่อนในกระโจมข้าเถิด ข้าเฝ้าอยู่ข้างนอก เปลี่ยนให้ข้าไปเป็นทหารเฝ้ายามสักครั้ง” 


 


 


อันปี้หรูส่ายหน้าเล็กน้อย หัวเราะร่วนพร้อมตอบว่า “นั่นก็ไม่ได้ ข้าอยู่ตัวคนเดียวกลัวความมืด อีกอย่าง หากทำให้เจ้าเหนื่อยจะมีคนปวดใจเอาได้” 


 


 


“พวกของเซียนเอ๋อร์นางไม่มีทางรู้หรอก” หลินหว่านหรงหัวเราะสองครา “เพียงแต่ในเมื่อพี่สาวท่านกลัวความมืด เช่นนั้นข้าเฝ้าอยู่ข้างกายท่านก็ได้ ข้าคนนี้ที่ไม่กลัวมากที่สุดก็คือความมืด!” 


 


 


มองดูใบหน้าดำทะมึนของเขา อันปี้หรูป้องปากหัวเราะพราวเสน่ห์ มีความสุขอย่างยิ่ง หัวเราะไปหลายครั้ง จู่ๆ นางก็ยื่นมือชี้ไปยังอวี้เจียที่อยู่บนพื้น “เช่นนั้นนางเล่า คงไม่ได้นอนอยู่ในกระโจมของเราด้วยหรอกนะ?!” 


 


 


“นาง?!” หลินหว่านหรงอึ้ง “พื้นหญ้าใหญ่ตั้งขนาดนั้น หรือว่ายังไม่พอให้สาวน้อยคนหนึ่งนอนอีก?! ต้องให้นางมาขวางพวกเราทำเรื่องดีๆ ตรงนี้ทำไมกัน?!” 


 


 


“อัวเหล่ากง เจ้า เจ้า…” อวี้เจียโมโหจนหน้าแดงก่ำ มองเขาด้วยสายตาที่เหมือนจะพ่นไฟได้ น้ำตาวาววับไหลรินไม่หยุด 


 


 


เมื่อเทียบกับพี่สาวอันแล้ว สถานะของอวี้เจียคนนี้ยังห่างไกลลิบลับ หลินหว่านหรงหยิบเสื้อคลุมตัวเก่ามาคลุมบนร่างนาง จากนั้นก็หาสถานที่ให้นางอย่างลวกๆ เมื่อหมุนกายเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง กลับเห็นอันปี้หรูถอดชุดบุรุษออกไปแล้ว หวนคืนสู่ร่างสตรี กำลังมองตะเกียงที่ส่องแสงหรุบหรู่อย่างเหม่อลอย 


 


 


“พี่สาว ท่านเป็นอะไร?!” หลินหว่านหรงสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหา จับมือนางพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


“กำลังรอเจ้ากลับมาน่ะสิ” อันปี้หรูยิ้มงามเฉิดฉัน “เรื่องที่ข้าพูดวันนี้เจ้าจำได้หรือยัง?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะปลกๆ “ย่อมจำได้แล้ว รอให้รบที่นี่เสร็จ ข้าจะไปเผ่าแม้ว เอาชนะไอ้เก้าสิบเก้าคนที่มันแทรกแถวมา! กล้ามาแย่งผู้หญิงของพี่ซาน ข้าว่าพวกมันรำคาญการมีชีวิตแล้ว!” 


 


 


“แทรกแถว แย่งผู้หญิงอะไรกัน!” พี่สาวอันหัวร่องอหาย หัวเราะจนน้ำตาเล็ดออกมา ยากเย็นนักกว่าจะสงบอารมณ์ลงไปได้ นางปาดน้ำตา บิดร่างอย่างเกียจคร้าน มองเขาพลางกล่าวยวนเย้า “น้องชาย ข้าจะนอนแล้ว เจ้าล่ะ?!” 


 


 


การบิดขี้เกียจของนางนี้ เรือนร่างงดงามอรชร ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่น มองจนผู้คนดวงตาพร่าพราย หลินหว่านหรงกล่าวพึมพำออกมา “พี่สาว ท่านนอนเถอะ ข้าเฝ้าท่านก็ได้ จริงๆ นะ ข้าไม่เคยทำตัวบริสุทธิ์เช่นนี้มาก่อนเลย!” 


 


 


“ข้าก็ด้วย ฮิๆ!” อันปี้หรูนอนอยู่บนเตียงทหาร มองเขาพลางกะพริบตา หัวเราะน่าลุ่มหลงยิ่งนัก 


 


 


ดึกมากแล้ว พี่สาวอันคล้ายเหนื่อยแล้วจริงๆ อกอวบอิ่มขยับขึ้นลงเป็นระยะ แพขนตายาวสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย ในที่สุดก็หลับตาลงอย่างแช่มช้า 


 


 


ไม่เคยมองประเมินนางจิ้งจอกอันในระยะใกล้ขนาดนี้มาก่อน เส้นผมที่มีกลิ่นหอมสะอาด คิ้วโก่งบางๆ ปรางแก้มกระจ่างใสประดุจหยก ริมฝีปากสีแดงสด ซอกคองดงามน่าหลงใหลราวกับหงส์ฟ้าสีขาว แม้อยู่ในห้วงนิทรากลับมีรอยยิ้มยวนเสน่ห์บางๆ ประดับอยู่บนใบหน้า  


 


 


หลินหว่านหรงมองอย่างเหม่อลอย เข้าไปใกล้หน้านางโดยไม่รู้ตัว นางจิ้งจอกอันกลับเหมือนสัมผัสได้ ลืมตาขึ้นมาทันที “น้องชาย เจ้าคิดจะเอาเปรียบข้า?!” 


 


 


“เปล่าๆ” หลินหว่านหรงรีบส่ายหน้า 


 


 


อันปี้หรูหัวเราะร่วน “ในเมื่อเจ้าไม่ได้เอาเปรียบข้า เช่นนั้นข้าจะเอาเปรียบเจ้า…ข้ากลัวความมืด เจ้ากอดข้านอนได้หรือไม่?!” 


 


 


ตูม! หลินหว่านหรงสมองศีรษะวูบ พุ่งปราดขึ้นไปบนเตียง สองคนเบียดกันอยู่บนเตียงเล็กอันแสนจะคับแคบ กอดกันแน่น ร่างของพี่สาวอันซึ่งเบาราวกับไร้น้ำหนักแฝงกลิ่นหอมสะอาดอ่อนๆ และสั่นระริก ซบอยู่ในอ้อมอกเขาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี 


 


 


กอดร่างอันร้อนรุ่มสั่นเทานางจิ้งจอกอัน หลินหว่านหรงอารมณ์ปั่นป่วนราวกับเข้าห้อหอครั้งแรก ต่อจากนี้จะทำอะไรกลับไม่รู้เรื่องแล้ว อันปี้หรูบีบใบหน้าเขาคราหนึ่งพร้อมกล่าวระคนหัวเราะเบาๆ “ห้ามทำเรื่องเลวร้ายอีก ต้องบริสุทธิ์ใจ เจ้าพูดเองนะ! ข้านอนแล้ว!” 


 


 


นางหัวเราะไปหัวเราะมาก็ค่อยๆ หลับตาลง กลับหลับไปอย่าสงบจริงๆ  


 


 


หลินหว่านหรงหยิบเส้นด้ายเส้นหนึ่งออกมาจากอก แอบมัดชายชุดนาง ปลายอีกด้านมัดที่สายรัดเอวของตนเองแน่น จากนั้นก็ทดสอบความมั่นคง เขาถึงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ  


 


 


ดูสิว่าเจ้าจะหนีอย่างไรอีก? มองดูขนตายาวอันงดงามของพี่สาวอันซึ่งกำลังนอนหลับสนิทนั้น จากนั้นเขาจึงหลับไปอย่างมีความสุข  

 

 


ตอนที่ 561 ไปแล้วจริงๆ

 

ค่ำคืนนี้กอดพี่สาวอัน หลับสนิทและสงบสุข แม้แต่ฝันก็ยังแอบยิ้ม คล้ายเก็บสมบัติอันล้ำค่าที่สุดบนโลกมาได้ เมื่อตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้นก็เป็นยามแสงแรกอรุณแล้ว เขาพลิกตัวอย่างเกียจคร้าน เสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนร่างปลิวไหลลงพื้น ความหนาวเย็นเล็กน้อยปะทะโจมตีเข้ามา 


 


 


ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ชุดของหลินหว่านหรงถูกถอดจนหลุดออกไป มองดูหน้าอกและแขนอันเปลือยเปล่าของตนแล้ว เขาก็กล่าวระคนหัวเราะด้วยอาการงุนงง “พี่สาวอาจารย์ นอนอยู่ดีๆ ท่านมาถอดชุดของข้าทำไม?!” 


 


 


เขาหาวออกมา เอื้อมมือไปแล้วจะโอบข้างกาย เพิ่งยื่นมือออกไปกฌรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ลืมตาขวับขึ้นมาทันที 


 


 


ข้างกายว่างเปล่า มีเพียงกลิ่นหอมจางๆ ลอยอยู่ในกระโจมเท่านั้น ถึงกระนั้นไหนเลยยังจะมีเงาร่างของอันปี้หรูอีก ลางสังหรณ์อัปมงคลถั่งท้นขึ้นมาในจิตใจ เขาตกใจวูบ ไม่สนใจที่จะสวมเสื้อผ้าแล้วเช่นกัน กระเด้งผลุบลงจากเตียง ดึงทึ้งผ้าม่านกระโจมออกพร้อมส่งเสียงตะโกนดังลั่น “พี่สาวอาจารย์ ท่านอยู่ที่ใด?! ข้ากลัวนะ ท่านรีบกลับมาเร็ว!” 


 


 


ฟ้าเพิ่งมีแสงเรืองรอง ค่ายยามแสงแรกอรุณเงียบสงัดไปหมด เสียงกู่ร้องตะโกนของเขาดังแพร่ไปทั่วทุกสารทิศ ชักนำให้เหล่านายทหารมองด้วยสายตาประหลาดใจ ทุกคนล้วนมองประเมินเขา สีหน้าแปลกประหลาด เหมือนอยากหัวเราะแต่ไม่กล้าหัวเราะ 


 


 


ยังนึกว่าหน้าอกเปลือยเปล่าของตนทำให้คนตื่นตระหนก หลินหว่านหรงจึงคร้านที่จะถือสาหาความ กู่ร้องตะโกนชื่อขอนางจิ้งจอกอันไม่หยุด เพียงแต่เงาร่างของพี่สาวอาจารย์กลับสูญสลายไร้ร่องรอยไปพร้อมกับแสงแรกรุ่งนี้เฉกเช่นดวงดาราเมื่อคืน 


 


 


“ดวงดาราแม้จะงดงาม แต่กลับทำได้แค่เพียงสาดแสงกะพริบยามราตรีเท่านั้น…” 


 


 


“วางใจเถอะ ต่อให้เจ้าเอาดาบมาไล่ข้า วันนี้ข้าก็ไม่ไป ใครใช้ให้เจ้าติดค้างข้ามากมายขนาดนั้น…” 


 


 


ทุกถ้อยคำ ทุกรอยยิ้มของอันปี้หรูผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง ที่แท้ทุกคำพูดทุกรอยยิ้มของพี่สาวจิ้งจอกนี้ต่างแฝงความหมายลึกซึ้ง หลินหว่านหรงลอบส่ายหน้า ไม่อาจทนรับได้ไหว ความคิดถึงทำให้คนแก่ชรา พี่สาวอันที่ไปมาประดุจสายลมนี้ยังไม่เอาชีวิตข้าไปอีกหรือ?! 


 


 


ถอยกลับเข้าไปในกระโจมอย่างเดือดดาล กลิ่นหอมจางๆ ลอยเข้าจมูก เป็นกลิ่นกายของอันปี้หรู เมื่อนึกย้อนไปถึงการอิงแอบแนบชิดของทั้งสองคนเมื่อคืน เรือนร่างอันกอปรด้วยส่วนโค้งส่วนเว้า เสียงหัวเราะน่าลุ่มหลงกระชากวิญญาณ รูปโฉมอันงดงามยวนเย้าน่าหลงใหล กลับปลาสนาการไปสิ้นภายในเช้าตรู่วันนี้ ราวกับฝันฉากหนึ่ง 


 


 


ร่างอันเปลือยเปล่าส่งผ่านความเย็นเข้ามา เส้นด้ายที่มัดอยู่กับร่างคนทั้งสองซึ่งใช้ป้องกันพี่สาวอันไม่ให้จากไปโดยไม่ได้บอกกล่าวเมื่อคืนหายไปแล้ว แม้แต่ชุดของเขาก็ไม่รู้ไปที่ไหนแล้ว 


 


 


สู้กับพี่สาวอันไม่เคยได้รับผลดีมาก่อนเลย! หลินหว่านหรงยิ้มขื่นพลางส่ายหน้า เหลือบตามอง เห็นเพียงว่าบนหัวเตียงนั้นมีชุดใหม่วางอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พับเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมจางๆ ชุดนี้ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร เมื่ออยู่ในมือแล้วอ่อนนุ่ม เบาบางราวกับไม่มีสิ่งใด ทว่าพอสวมใส่บนร่างกลับอบอุ่น หอมกรุ่น สบายกายยิ่งนัก 


 


 


ภายใต้ชุดมีจดหมายสีขาวสะอาดถูกทับอยู่ฉบับหนึ่ง ตัวอักษรขนาดเล็กอันงดงามหลายแถวนั้นตกกระทบม่านจักษุ ‘น้องชาย เจ้ากล้ามัดชายเสื้อข้า ข้าก็ถอดเสื้อเจ้า ทุกคนเสมอกัน ฮิๆ ชุดข้าเอาไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วันหลังถูกสตรีนางอื่นถอดออกไปโดยไม่ระวัง ทำลายคุณธรรมของเจ้า’ 


 


 


ที่แท้พี่สาวอันก็ถอดเสื้อผ้าข้าจริงๆ ไม่รู้ว่านางจะฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบไปบ้างหรือไม่ หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ตกใจและยินดีระคนกัน ใจทั้งหวานชื่นทั้งรวดร้าว รีบเช็ดหางตา อ่านต่อไป 


 


 


‘เมื่อคืนข้าหลับสบายมาก เป็นครั้งแรกที่ข้าหลับอย่างสุขสงบ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ซุกอยู่ในอ้อมอกอันกว้างขวางของหมี เตียงเล็กมาก แต่ก็อบอุ่นมากเช่นกัน ข้าชอบอ้อมกอดหมี’ 


 


 


อันปี้หรูวาดเป็นหน้ายิ้มอันงามยวนเย้าขนาดเล็กกะทัดรัดอยู่ตรงนี้ วาดเหมือนจริง เมื่อมองดูดวงหน้าอันงดงามนี้แล้วหลินหว่านหรงก็อยากจะหัวเราะ ทว่าจมูกกลับร้าวระบม ข้ากลับกลายเป็นหมีของพี่สาวอันที่เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกคนนี้แล้วหรือ? ข้าน่ารักขนาดนั้นเลยหรือ?! 


 


 


‘มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่พอ น้องชายหมี ท่าทางตอนเจ้าหลับดูซื่อบื้อมาก เจ้ากลับนอนหลับเหมือนหมู แก้ผ้าเจ้าก็ยังไม่รู้ตัว ข้าหงุดหงิดมาก ดังนั้นตอนที่แก้ผ้าเจ้าข้าเลยเอาเปรียบสักหน่อย ไม่ต้องคับแค้นไป อย่างมากคราวหน้าให้เจ้าเอาเปรียบกลับก็ได้ ฮิๆ 


 


 


ข้าจะกลับไปเผ่าแม้วแล้ว คราวนี้แอบลงเขาลับหลังคนรักเก้าสิบเก้าคนของข้า บนเขาไม่รู้จะวุ่นวายเพียงใด เรื่องข้างกายเจ้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว แค่มุ่งหน้าอย่างวางใจก็พอ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้แม้แต่เส้นขน ต้องจำคำข้าเอาไว้ ระวังสตรีชนเผ่านอกด่าน เก้าดินแดนสิบแปดหมู่บ้านสามสิบหกป้อม ข้าจะรอเจ้าที่เผ่าแม้ว! เจ้าห้ามมาสาย ไม่อย่างนั้นคนรักทั้งเก้าสิบเก้าคนนั้นของข้า ข้าจะร่วมรักด้วยวันละคน ข้าเป็นคนซื่อเหมือนกับเจ้า ไม่เคยโกหก ฮิๆ…เอาเปรียบเจ้าอีกครั้ง…พี่สาวอาจารย์!’ 


 


 


พอเอ่ยถึง ‘เอาเปรียบเจ้าอีกครั้ง’ บนจดหมายขาวสะอาดแผ่นนั้นกลับประทับรอยริมฝีปากสีแดงสดเอาไว้ กลิ่นหอมหวานจางๆ ดั่งน้ำหวานจากเกสรดอกไม้เข้าสู่รูจมูก ทำให้คนอาลัยอาวรณ์ ครั้นนึกถึงท่าทางอันแสนจะพราวเสน่ห์ยามที่พี่สาวอันจุมพิตริมฝีปากน้อยสีแดงสดนี้ลงบนกระดาษจดหมาย จิตใจของหลินหว่านหรงก็ร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง อยากกลายร่างเป็นกระดาษจดหมายแผ่นนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป เพื่อเสพสุขกับจูบอันหอมหวานของพี่สาวอันผู้พราวเสน่ห์ 


 


 


คำลงท้ายของอันปี้หรูฉบับนี้ทั้งจริงจังทั้งทีเล่นทีจริง แม้จะแฝงด้วยอารมณ์สนุกสนานอยู่ทุกแห่งหน ทว่ากลับไม่อาจปิดบังความรักได้ ประหนึ่งสายน้ำที่ไหลรินลงมาจากขุนเขาเข้ามาปะทะใบหน้า สะอาดกระจ่างใสดั่งแก้วผลึก 


 


 


คิดไม่ถึงว่าพี่สาวอันจะไปทั้งอย่างนี้ นางมาเร็ว ไปเร็วยิ่งกว่า ประหนึ่งสายลมวสันต์อันอบอุ่นบนทุ่งหญ้า เพียงพริบตาก็มลายหายไป ถึงกระนั้นกลับนำมาซึ่งความซาบซึ้งอันแสนจะล้ำลึกที่สุดและความทรงจำอันแสนจะตราตรึงไปตลอดกาล  


 


 


มองดูรอยริมฝีปากสีแดงสดที่อยู่บนกระดาษแผ่นนั้น หลินหว่านหรงก็ถอนหายใจออกมา กล่าวพึมพำขึ้นว่า “พี่สาวอาจารย์ ทุกครั้งพอท่านเอาเปรียบข้าแล้วก็ไป บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่สบายเช่นนี้…ข้าจะเอาเปรียบท่านครั้งหนึ่งเช่นกัน ให้ท่านไม่อาจต่อต้าน ฮิๆ!” 


 


 


เขาจุ๊บริมฝีปากน้อยสีแดงสดที่อยู่บนกระดาษจดหมายแผ่นนั้นคราหนึ่ง หอมจรุงหวานชื่น กลิ่นหอมติดอยู่ที่ริมฝีปาก 


 


 


“พรืด” กลับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังเข้ามาจากนอกกระโจม เสียงงามยวนเย้าเสียงหนึ่งลอยเข้ามา “ที่แท้ก็ ‘ไม่อาจต่อต้าน’ เช่นนี้นี่เอง ไม่เคยเห็นเจ้าเรียบร้อยขนาดนี้มาก่อนเลย เมื่อคืนไปทำอะไรเข้าล่ะ ทำไมถึงได้ว่าง่ายขนาดนี้?!” 


 


 


เสียงนี้คุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้อีก หลินหว่านหรงกระเด้งขึ้นมาราวกับถูกเข็มทิ่มก้น “พี่สาวอาจารย์ ท่านยังไม่ไปหรือ?!” 


 


 


เขาพุ่งออกนอกกระโจม เห็นเพียงเงาร่างสีขาวขยับวูบไหวออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วราวกับสายลมสดชื่นหอบหนึ่ง ดูจากเรือนร่างอันอรชรขนาดนั้น หากไม่ใช่อันปี้หรูแล้วจะเป็นใครได้อีก? 


 


 


อันปี้หรูท่าร่างรวดเร็วยิ่งนัก แทบจะต่างจากเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง คล้ายไม่อยากให้เขาตามทัน เมื่อเห็นว่าทั้งสองห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความร้อนใจ หลินหว่านหรงจึงหยุดฝีเท้าทันที ตะโกนเสียงดังลั่นออกมาว่า “พี่สาวอาจารย์ ข้าคิดถึงท่าน ข้าคิดถึงท่าน!” 


 


 


ร่างของอันปี้หรูสะท้านเล็กน้อย ฝีเท้าค่อยๆ เชื่องช้าลง ลังเลอยู่นาน สุดท้ายจึงค่อยๆ หมุนร่างกลับมา ใบหน้าอันงามยวนเย้าคลี่รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ภายในดวงตาอันสุกสกาวระยิบระยับ เต็มไปด้วยน้ำตากระจ่างใส 


 


 


“น้องชาย” นางหัวเราะคิกคักพลางออกแรงโบกมือ น้ำตาดั่งสายฝน “ดินแดนเผ่าแม้ว ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่น เจ้าต้องมาให้ได้นะ! ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว ห้ามเจ้ามองข้า!” 


 


 


… 


 


 


“พี่สาวอาจารย์…” หลินหว่านหรงร้องเรียกเสียงดัง ต้องการไล่ตามไป อันปี้หรูมองเขาอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง นางหัวเราะออกมาเบาๆ พลางหมุนกายแล้วจากไป เพียงชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง 


 


 


“พี่สาวอัน ข้าต้องไปหาท่านแน่ ท่านต้องรอข้านะ! ต้องรอข้านะ!” เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นของหลินหว่านหรงถ่ายทอดออกไปไกลโข อันปี้หรูซึ่งกำลังเดินทางอย่างเร็วรี่หันหน้ากลับมา ยิ้มแย้มเล็กน้อยให้เขาคราหนึ่ง ท่ามกลางหยาดน้ำตาอันพร่าเลือน เงาร่างอันยวนเสน่ห์กลายเป็นควันขาว ค่อย ๆ ไกลออกไป 


 


 


คราวนี้ไปแล้วจริงๆ! หลินหว่านหรงมองเงาร่างอันปี้หรูยืนนิ่งเหม่อลอย ใจรู้สึกขมขื่นอยู่บ้าง ทว่าก็ยังบังเกิดความรู้สึกปลอบใจตัวเองขึ้นมาเช่นกัน สุดท้ายพี่สาวอันก็ไม่ได้เลือกที่จะลาไปโดยมิได้บอกกล่าว นางละล้าละลังอยู่นอกกระโจม อยากไปแต่ก็อยากอยู่ แสดงความขัดแย้งและความอาวรณ์ที่มีภายในใจนางอย่างชัดเจน  


 


 


หากบอกว่าการจากลาที่จวนเฉิงอ๋องคราวก่อนเต็มไปด้วยความเสียดายและความปวดใจ คราวนี้กลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง มันมอบการรอคอยและความมุ่งหวังอย่างลึกซึ้ง แม้จะร่ำไห้ แต่ก็แฝงด้วยรอยยิ้ม เมื่อจินตนาการถึงความปีติยินดีและรอยยิ้มของพี่สาวอันเมื่อได้พบกันอีกครั้ง หลินหว่านหรงก็พลันพลุ่งพล่านจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ สตรีที่มีน้ำใจไมตรีเช่นนี้ หากไม่ไปรักใคร่ทะนุถนอมให้ดี คนเราเกิดมามีชีวิตบนโลกยังมีความหมายอะไรกันอีก 


 


 


“น้องหลิน น้องหลิน…” เสียงร้องเรียกต่ำๆ หลายครั้งทำให้หลินหว่านหรงตกใจจนได้สติ เขาหันหน้ามา เห็นว่าเกาฉิวกลอกดวงตาแวววับ กำลังมองประเมินเขาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เหล่าเกายืนข้างหูปู้กุย เขามองใบหน้าหลินหว่านหรง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อไหลพร่างพรู 


 


 


“เอ๊ะ พี่เกา พี่หู พวกท่านกลับมาแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงรีบปาดน้ำตาตรงหางตา หัวเราะพร้อมเอ่ยถามว่า 


 


 


“กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว” เกาฉิวหัวเราะร่าพลางจ้องใบหน้าเขา กล่าวอย่างมีเลศนัย “น่าเสียดายที่กลับมาช้าไป พลาดอะไรดีๆ ไปเลยนะ” 


 


 


เกาฉิวกับหูปู้กุยตอนที่บุกโจมตีพรรคบัวขาวที่ซานตงต่างเคยเห็นอันปี้หรู แม้จะอยู่ค่อนข้างไกล แต่ผู้ที่เป็นเหมือนดั่งเทพเซียนเช่นอันปี้หรูนี้ ให้เจอกันครั้งเดียวก็ไม่มีวันลืมเลือน หลินหว่านหรงโบกมือ “เสียใจจากการจากลาเท่านั้น ไหนเลยจะมีอะไรดีๆ ได้ พี่ชายทั้งสองล้อเล่นแล้ว” 


 


 


เกาฉิวทำหน้าทะเล้น กล่าวระคนหัวเราะออกมา “น้องหลินถ่อมตัวแล้ว จากลาแม้จะเสียใจ แต่ก็งดงามสดใสเลยนะ คนที่มีบุญเรื่องสตรีเช่นน้องชายนี้ ผู้อื่นแปดชาติก็ไม่อาจเสพสุขได้” 


 


 


เมื่อเห็นเหล่าเกาพูดจามีเลศนัย หูปู้กุยก็เบือนหน้าไปแอบหัวเราะเช่นกัน หลินหว่านหรงถามด้วยความกังขา “งดงามสดใสอะไร พี่เกา ท่านพูดอะไร?! ข้าฟังไม่เข้าใจ!” 


 


 


ยังเป็นหูปู้กุยที่ซื่อสักหน่อย สั่งคนให้ไปยกน้ำสะอาดมา หัวเราะพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ เชิญดูขอรับ!” 


 


 


น้ำใสสะอาด สะท้อนเงาของหลินหว่านหรง ผมเผ้าเกล้าเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าโกนเกลี้ยงเกลา ท่าทางหล่อเหลาสง่างามมาก เพียงแต่บนแก้มซ้ายขวาทั้งสองข้างกลับมีรอยริมฝีปากเล็กๆ สีแดงสดข้างละรอยแกว่งไกวเป็นระลอกตามคลื่นน้ำ ราวกับริมฝากน้อยสีแดงสดใสกำลังพูดตัดพ้ออยู่เงียบๆ  


 


 


หลินหว่านหรงเหม่อลอย ที่แท้พี่สาวอันก็ ‘เอาเปรียบ’ ข้าแบบนี้นี่เอง ไม่รู้ว่านางประทับลงไปเมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงหลับได้นะ? เขาหงุดหงิดใจยิ่งนัก ลูบใบหน้าเบาๆ ทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ ราวกับว่าดวงหน้าซึ่งแสดงอาการทั้งยินดีทั้งตัดพ้อของอันปี้หรูมาผุดอยู่ตรงหน้าจริงๆ อีกครั้งหนึ่ง 


 


 


“น้องหลิน ล้างเถอะ” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะอย่างมีเจตนาแฝง “ไม่อย่างนั้นประเดี๋ยวให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นเห็นเข้าจะไม่วุ่นวายกันใหญ่หรือ?!” 


 


 


เกี่ยวกับสตรีทูเจวี๋ยคนนั้นผายลมอะไรกัน! หลินหว่านหรงแค่นเสียง นึกถึงสายตาที่หันกลับมามอง น้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างเงียบๆ ของพี่สาวอัน เขากัดฟันกรอดแล้วผลักกะละมังใส่น้ำนั้นออกไป “มีอะไรให้ล้างกัน มองไปมองมาก็ชินแล้วไม่ใช่หรือ?! ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้หล่อเหลากว่า ใครให้ข้าล้างหน้า ข้าจะเอาเรื่องผู้นั้น!” 


 


 


เหล่าเกาเหล่าหูสองคนสบตากัน สุดท้ายก็อดหัวเราะดังลั่นออกมาไม่ได้ น้องหลินช่างเป็นพวกมากรักจริงๆ นะ ในเมื่อเขาไม่อยากล้างหน้า พวกเรายังจะไปสนใจผายลมอะไรกันอีก อย่างไรเสียเหล่าพี่น้องก็เห็นกันแล้ว ที่ควรหัวเราะก็หัวเราะไปแล้ว! 


 


 


หลินหว่านหรงปกป้องใบหน้าอย่างระมัดระวัง กล่าวด้วยท่าทีจริงจังออกมาว่า “พี่เกา ท่านกับหน่วยลาดตระเวนสืบข่าวมาเป็นอย่างไรบ้าง?! ข้างหน้ามีดินแดนของชนเผ่านอกด่านหรือไม่?!” 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะสองคราแล้วตอบว่า “เมื่อวานพวกเราไปได้สองสามร้อยลี้ ดินแดนเล็กๆ กระจิ๊บกระจ้อยร่อยกลับมีอยู่สองสามแห่ง ต่างมีไม่ถึงพันคน ไม่ได้ส่งผลคุกคามต่อพวกเรา เพียงแต่พี่น้องที่อยู่ข้างหน้ารายงานกลับมาว่านอกรัศมีพวกเราไปหกร้อยลี้ มีดินแดนชนเผ่านอกด่านขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าชื่อถ่า ได้ยินว่าเป็นหนึ่งในดินแดนที่สูงส่งมากที่สุดแห่งหนึ่งของทูเจวี๋ย ขนาดยามเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดมีคนถึงแสนกว่าคน ชนเผ่านอกด่านที่บุกโจมตีเฮ่อหลานซานอยู่แนวหน้าส่วนใหญ่ก็เคลื่อนย้ายมาจากดินแดนนี้ ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีอยู่สองสามหมื่นคนได้” 


 


 


“ชื่อถ่านี้ข้ารู้จัก” หูปู้กุยพูดต่อ “อ๋องซ้ายทูเจวี๋ยปาเต๋อหลู่มาจากดินแดนชื่อถ่า ดินแดนนี้มีชายฉกรรจ์จำนวนมาก ชอบกินเนื้อดิบมากที่สุด ห้าวหาญดุร้าย ได้รับสมญานามว่าเป็นดินแดนที่แข็งแกร่งมากที่สุดบนทุ่งหญ้า” 


 


 


หลินหว่านหรงโบกมือ “ระยะห่างหกร้อยกว่าลี้ ช่องว่างนี้เพียงพอให้พวกเราปรับเปลี่ยนแก้ไข ชื่อถ่านั่นยังไม่ใช่เป้าหมายของเรา ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดก็คือเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน พี่หู เจ้าเฮ่อหลี่เย่นั่นจัดการเรื่องของเราเป็นอย่างไรบ้าง?!” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้หูปู้กุยก็ชูนิ้วโป้ง หัวเราะฮิฮะแล้วตอบว่า “น้องเกา ฝีมือการใช้ยาช่างสมคำร่ำลือ เจ้าเฮ่อหลี่เย่นั่นล้มอยู่นอกเขตแดนฮาเอ่อร์เหอหลิน ผ่านไปได้ไม่เกินครึ่งชั่วยามก็ถูกเจ้าพวกชนเผ่านอกด่านพบเห็นแล้ว” 


 


 


“จริงหรือ?!” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความยินดียิ่ง “เช่นนั้นพวกมันเห็นดาบทองกับจดหมายสั่งเสียหรือไม่?!” 


 


 


หูปู้กุยส่ายหน้าพลางทอดถอน “ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ได้เห็นภาพนั้นกับตา ชาวทูเจวี๋ยพอเห็นดาบทองกับจดหมายสั่งเสียก็ตื่นเต้นราวกับบิดาสิ้นชีวิตอย่างนั้น พวกมันจัดกระบวนทัพกันทั้งคืน นำหญ้าเสบียงมาเพียงพอ ชนเผ่าสองดินแดนรวมได้หกเจ็ดพันคน ออกเดินทางอย่างเอิกเกริกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วขอรับ” 


 


 


หกเจ็ดพันคน?! หลินหว่านหรงตกตะลึงพรึงเพริดจนอับจนคำพูด เมื่อเป็นเช่นนี้ชายฉกรรจ์ของสองดินแดนนี้ไม่ใช่ยกออกมาหมดเลยหรือ? เพราะอะไรถึงทำให้พวกมันร้อนใจขนาดนี้ แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สน? 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ย…อวี้เจีย! 


 


 


ทั้งสามคนต่างมองหน้าสบตากัน สูดลมหายใจหนาวเหน็บเข้าไปพร้อมกัน!  

 

 


ตอนที่ 562 ไปสถานที่อันลึกลับแห่งหนึ่ง

 

เสน่ห์ของสาวน้อยทูเจวี๋ยช่างไม่ธรรมดาเสียเหลือเกิน พอดาบทองนั้นปรากฏ เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินสองดินแดนนี้กลับออกมากันหมด พลังในการเรียกระดมคนของอวี้เจียอยู่เหนือจินตนาการของทุกคน 


 


 


เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อคืน หลินหว่านหรงจึงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่หู ท่านความรู้กว้างขวาง ท่านลองว่ามาสักหน่อยเถิด หากบนตัวชาวทูเจวี๋ยสักลายหมาป่าทอง นั่นมันจะมีความหมายว่าอย่างไร?” 


 


 


“รอยสักหมาป่าทอง?!” หูปู้กุยครุ่นคิดอยู่นาน ขมวดคิ้วพลางส่ายหน้าอย่างแช่มช้า “ตามที่ข้ารู้มา หัวหน้าหรือขุนนางผู้สร้างความดีความชอบของแต่ละดินแดนของชนเผ่านอกด่านล้วนชอบสักลายหมาป่า ตำแหน่งนั้นอยู่ที่หน้าอก แผ่นหลัง ข้อมือ หรือแม้กระทั่งหน้าผาก แสดงถึงความเ**้ยมหาญดุร้าย สูงส่งหาใดเปรียบ ช่วงหลายปีนี้สู้รบกับชนเผ่านอกด่าน หมาป่าเขียว หมาป่าเทา หมาป่าดำข้าล้วนเห็นมาหมดแล้ว มีแค่ไม่เคยเห็นรอยสักหมาป่าทองเท่านั้นขอรับ” 


 


 


หมาป่าทองตรงหน้าอกอวี้เจียย่อมต่างจากหมาป่าเขียวหมาป่าเทาพวกนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่นเป็นสัญลักษณ์ของสถานะที่สูงส่งยิ่งกว่าอย่างหนึ่ง นี่ไม่ค่อยต่างจากการคาดเดาของหลินหว่านหรงเท่าใดนัก ทว่าสถานะที่แท้จริงของอวี้เจียยังคงเป็นปริศนา โชคดีที่การไปราชธานีทูเจวี๋ยคราวนี้หนทางอีกยาวไกล เขามีเวลาที่จะขุดความลับของสาวน้อยทูเจวี๋ยอย่างเต็มที่ 


 


 


เหล่าเกาพูดกดเสียงต่ำ “จะไปสนหมาป่าดำหมาป่าทองทำไมกัน พวกเราจัดการให้หมดก็สิ้นเรื่องแล้ว น้องหลิน ชายฉกรรจ์จากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินออกมากันหมด มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่พวกเราตั้งค่ายเมื่อคืนนี้ ภายในดินแดนนั้นว่างเปล่ายิ่งนัก พวกเราจะลงมืตอนนี้เลยหรือไม่?!” 


 


 


“ไม่ต้องใจร้อน” หลินหว่านหรงโบกมือด้วยท่าทีเรียบเฉย “รอให้พวกเราไปไกลแล้วจริงๆ และหน่วยลาดตระเวนข้างหน้ากลับมารายงานข่าวแล้ว พวกเราค่อยลงมือก็ยังไม่สาย พี่หู ท่านสั่งการลงไป ทัพใหญ่ให้สวมชุดเบา มุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป หากปราศจากคำสั่งข้า ใครก็ห้ามหยุด” 


 


 


“รับบัญชา!” หูปู้กุยผงกศีรษะ รีบรุดไปจัดการ 


 


 


จัดการกลบร่องรอยการก่อไฟหุงหาอาหารและตั้งกระโจมเมื่อคืนจนหมดสิ้น เมื่อไม่พบพิรุธอันใดอีก หลินหว่านหรงถึงโบกมือ ทหารห้าพันนายควบม้าออกเดินทาง มุ่งตรงไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้า 


 


 


ยิ่งเดินทางเข้าไปก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเวิ้งว้างและกว้างใหญ่ได้ ทอดสายตามองไปมีแต่ฟ้าสีครามเมฆสีขาว บุปผาส่งกลิ่นหอมหญ้าเขียวขจี ทำให้จิตใจของคนอดที่จะสดชื่นปลอดโปร่งไม่ได้ เดินทางอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าและแผ่นดิน คนเราก็เล็กกระจ้อยร่อยและอ่อนแอถึงเพียงนั้น คล้ายเมล็ดพืชในห้วงมหรรณพเมล็ดหนึ่ง 


 


 


เมื่อทอดสายตามอง ณ สถานที่บรรจบของพื้นฟ้าและผืนแผ่นดินที่อยู่ไกลลิบ ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่พี่สาวอันเคยพูดไว้เมื่อคืน “ทุ่งหญ้านี่ก็คือสวรรค์ของพวกเรา” ถ้อยคำยังคงอยู่ข้างใบหู ทว่าคนงามกลับไร้ร่องรอย สองตาของเขาเปียกชื้นโดยไม่อาจจะทนได้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้เดินทางท่องสวรรค์ทุ่งหญ้าแห่งนี้ร่วมกับพี่สาวอันอีก 


 


 


แม้จะอยู่ระหว่างการเดินทัพ ทว่าหน่วยลาดตระเวนกลับส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง ความเคลื่อนไหวของเอ๋อจี้น่ากับฮ่าเอ่อร์เหอหลินจะมีม้าเร็วกลับมารายงานทุกหนึ่งชั่วยาม ม้าสายสืบของชนเผ่านอกด่านเองก็ขยายขอบเขต ตามหาร่องรอยของชาวต้าหัวไม่หยุดเช่นกัน เพียงแต่น่าเสียดาย หลินหว่านหรงกลับอ้อมฮาเอ่อร์เหอหลิน เดินหน้านำทัพมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าโดยตรง กลับเดินอ้อมเป็นเส้นโค้ง เดินย้อนศรกับชาวทูเจวี๋ย นี่เป็นสิ่งที่ชนเผ่านอกด่านคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง 


 


 


“พี่หู ตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินเท่าใด?” เดินทางรวดเดียวสามชั่วยาม จวบจนเที่ยงไปแล้วถึงค่อยๆ พักเท้า ยามเที่ยงของต้นฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดสาดส่องตรงลงมาบนทุ่งหญ้า อบอุ่นสบาย เนื่องจากเดินทางรอนแรมรีบร้อน นายทหารทุกคนต่างหลั่งเหงื่อโซมกายตั้งแต่แรก ใบหน้าแดงก่ำ กลับเป็นหลินหว่านหรงที่มีสีหน้าท่าทางเป็นปกติ ชุดที่พี่สาวอันมอบให้เขาไม่รู้ทำมาจากวัสดุอะไร เย็นสบายระบายอากาศยิ่งนัก เดินทางนานขนาดนี้กลับไม่เห็นเหงื่อสักหยดเดียว 


 


 


เหล่าหูลูบหน้าผาก สะบัดเหงื่อซึ่งถูกย้อมเป็นสีดำทิ้งไป พูดพลางหอบหายใจหนักๆ ว่า “ท่าทางจะอยู่ออกไปสองร้อยลี้ เมื่อคำนวณจากการเดินเท้าของชนเผ่านอกด่านพวกนั้น ตอนนี้พวกมันน่าจะอยู่ห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินสามร้อยกว่าลี้ได้ขอรับ” 


 


 


“ดี” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พี่หู ถ่ายทอดลงไป ให้พี่น้องทั้งหมดหยุดการเดินหน้า จัดกระบวนอยู่กับที่ สั่งการเพิ่มเป็นพิเศษอีกประโยคหนึ่ง ตอนนี้พวกเราอยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า ห่างจากชื่อถ่าแค่สี่ร้อยลี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าม้าสายสืบของชนเผ่านอกด่านกำลังเคลื่อนไหวอยู่โดยรอบ พวกเราต้องเพิ่มความระวังป้องกัน ทุกคนห้ามส่งเสียงเอะอะ ยิ่งห้ามก่อไฟหุงหาอาหาร อนุญาตแค่ดื่มน้ำสะอาด กินอาหารแห้ง และพักผ่อนอยู่กับที่เท่านั้น” 


 


 


เกาฉิวทอดสายตามองโดยรอบ เห็นว่าสภาพภูมิประเทศบริเวณนี้เปิดโล่งกว้าง แม้แต่จัดวางหน่วยยามลับก็ยังยาก เหมาะแก่การบุกทะลวงของทหารม้าพอดี ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าด้วยความกังขา “น้องหลิน ยังห่างจากช่วงฟ้ามืดอีกสักระยะหนึ่ง เหตุใดถึงหยุดทัพตอนนี้?! พวกเราจะค้างแรมที่นี่หรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า เงียบงันไม่เอ่ยวาจา เขาเงยหน้าทอดสายตามองออกไปไกลๆ ทิศทางนั้นกลับเป็นที่ตั้งของฮาเอ่อร์เหอหลินพอดี หูปู้กุยคิดแล้วคิดอีก จากนั้นจึงถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ คืนนี้จะโจมตีตลบหลังแล้วหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจออกมา “เวลาไม่รอข้า ตอนนี้ไม่อาจรอข่าวจากคุณหนูสวีแล้ว ไม่ว่าเฮ่อหลานซานทางนั้นจะเป็นเช่นไร พวกเราก็ต้องไปราชธานีทูเจวี๋ย แม้จะแค่ประทับรอยเท้าเพียงข้างเดียว แต่นั่นก็คือรอยเท้าของชาวต้าหัวเรา เป็นการสร้างความสะเทือนขวัญแก่ชนเผ่านอกด่านมากที่สุด ให้พวกมันไม่กล้าดูถูกหัวเซี่ยอันเกรียงไกรของพวกเราอีก พี่หู นี่อาจเป็นเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายเส้นทางหนึ่ง ท่านกลัวหรือไม่?!” 


 


 


เหล่าหูอึ้ง ทันใดนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมา “ข้ากลัวอะไรกัน! เข่นฆ่าไปจนถึงรังของชนเผ่านอกด่านได้ นั่นถือเป็นความฝันของทหารชาวต้าหัวผู้ปกบ้านป้องเมืองทุกคน ต่อให้ตาย ข้าก็หัวเราะแล้วตายขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงมองเกาฉิวที่อยู่ข้างกายหลายครั้ง “พี่เกา ท่านล่ะ?!” 


 


 


“นี่ยังต้องมาถามข้าอีกหรือ?!” เกาฉิวหัวเราะร่วน “นับตั้งแต่ติดตามน้องหลิน ข้าก็สู้อย่างเบิกบานใจ ฆ่าก็สะใจ เรื่องดีขนาดนี้จะไปหาที่ไหนได้อีก? ไปเดินเล่นที่ราชธานีทูเจวี๋ยก็ดีมากเช่นกัน จะได้จับตัวสาวๆ มาสักสองคน เหล่าหูคนหนึ่ง ข้าคนหนึ่ง! ตายก็ต้องตายที่หน้าท้องของสาวๆ ชาวทูเจวี๋ย” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครา สายตาลุ่มลึก ทอดมองออกไปไกล “พี่หู พี่เกา อย่าพูดเรื่องความเป็นความตายออกมาโดยง่าย พวกเรายังมีอีกตั้งหลายอย่างที่ยังไม่ได้ไปเสพสุขอยู่นะ ที่บ้านข้ามีเมียคนดีหลายคนอย่างชิงเสวียน เฉี่ยวเฉี่ยว เซียนเอ๋อร์ที่กำลังรอข้าอยู่ บนยอดเขาเขียนเจวี๋ยมีนางเซียนหนิงที่อยู่อย่างอ้างว้างเดียวดาย เผ่าแม้วยังมีพี่สาวอันที่เหมือนนางจิ้งจอก ข้ารับปากนางแล้วว่าจะต้องบุกเผ่าแม้วอย่างหาญกล้า ร่วมท่องเที่ยวสวรรค์ทุ่งหญ้ากับนางอีกครั้ง ด้วยเหตุผลทั้งหมดก็จะตายไม่ได้ ห้ามตายเด็ดขาด! พวกเราทุกคนต้องมีชีวิตรอดกลับมา” 


 


 


เขากำหมัดแน่น พ่นลมหายใจยาวๆ คล้ายให้กำลังใจทุกคน น้ำเสียงแน่วแน่นั้นแข็งแกร่งดั่งศิลา หูปู้กุยเกาฉิวได้รับอิทธิพลจากเขา กำสองมือแน่นพร้อมกัน “พวกเราต้องมีชีวิตรอดกลับมา!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดี ถ่ายทอดลงไป ประกระบวนทั้งกองทัพ ป้อนน้ำม้าศึกให้เพียงพอ ตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ เตรียมน้ำสะอาดและอาหารแห้งให้เรียบร้อย ยามตะวันตกดินพวกเราจะออกเดินทาง” 


 


 


การตัดสินใจนี้ถ่ายทอดลงไปอย่างเงียบงัน ทุกคนต่างเงียบสงัดเคร่งขรึม นายทหารทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าศึกในค่ำคืนนี้จะเป็นการเริ่มต้นครั้งใหม่ เบื้องหน้ายังมีเส้นทางรบที่โหดร้ายทารุณมากยิ่งขึ้นกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ ไม่มีใครหัวหดหวาดกลัว กระทั่งว่ายังแอบตื่นเต้นและตั้งตารอเสียด้วยซ้ำ นับตั้งแต่เสี้ยววินาทีที่ล่วงเข้าสู่ทุ่งหญ้า ความเป็นความตายก็ไม่ใช้ปัญหาที่พวกเขาต้องขบคิดอีกแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงมองตรวจตราภายในกระบวน ตรวจสอบอาวธยุทโธปกรณ์และเสบียงของนายทหารทุกคนอย่างละเอียด ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ศึกในคืนนี้ไม่รู้ว่าการเติมเสบียงครั้งถัดไปจะมีขึ้นเมื่อไหร่ เตรียมเพิ่มอีกสักส่วนหนึ่งก็มีความหวังขึ้นอีกส่วนหนึ่ง 


 


 


เมื่อกลับมายังข้างม้าศึกของตน กลับเห็นว่าบนม้าที่อยู่ข้างกาย สาวน้อยทูเจวี๋ยถูกมัดอย่างแน่นหนา เรือนผมยาวดำขลับงดงามแผ่สยายลงมาดั่งเมฆา ปิดบังใบหน้าอันงดงามของนางไว้ อวี้เจียพาดนอนอย่างสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน อกงามอันอวบอิ่มนั้นขยับขึ้นลงเป็นระยะ ก่อเกิดระลอกคลื่นอันงดงาม  


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย เมื่อคืนหลับสบายดีไหม?!” หลินหว่านหรงปลดเชือกที่มัดนาง วางนางลงจากม้า กล่าวพลางยิ้มเยาะ  


 


 


อวี้เจียถูกมัดมานาน เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวก พอสัมผัสพื้นสองขาก็อดสั่นเทาไม่ได้ ล้มอ่อนยวบลงไป 


 


 


หลินหว่านหรงเข้าไปประคองนาง แต่สาวน้อยทูเจวี๋ยกลับยกมือขึ้นปัดฝ่ามือของเขาออกไปอย่างแรง อวี้เจียกัดฟันกรอดร่างสั่นเทา ประคองหลังม้าอย่างดื้อดึง ค่อยๆ ยืนอย่างมั่นคง นางเชิดหน้าโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ดวงตาสาดประกายร้อนแรงไม่ยอมคน 


 


 


หลินหว่านหรงมองนางแวบหนึ่งก็ตกใจยกใหญ่ทันที เพียงแค่คืนเดียวสาวน้อยคนนี้เหมือนซูบผอมลงไปมาก ริมฝีปากสีแดงสดซีดลงเล็กน้อย ดวงหน้ากระจ่างใสประดุจหยกปราศจากรอยยิ้ม มีเพียงนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นที่ส่องประกายร้อนแรง พิสูจน์ว่านี่ยังเป็นอวี้เจียที่ยังมีชีวิตอยู่! 


 


 


แม้ทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อดูจากเพศแล้ว สตรีผู้ดื้อดึงคนนี้ควรแค่แก่การนับถือจริงๆ หลินหว่านหรงทอดถอนใจเงียบๆ  


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “เจ้าคิดจะพูดอะไรกับข้า ชาวต้าหัว? หรือว่าเจ้ายังลบหลู่ข้าไม่พอ?” 


 


 


ชุดของอวี้เจียถูกอันปี้หรูฉีกทำลายไปนานแล้ว สิ่งที่คลุมอยู่บนนร่างนางกลับเป็นชุดเก่าที่หลินหว่านหรงเคยสวมใส่ ทั้งยาวทั้งใหญ่ หลวมโพรก ห่อหุ้มเรือนกายอันงดงามของนางอยู่ข้างใน กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย บางทีเจ้าอาจจะไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนว่าถูกจับตัวเป็นประกัน” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “ลองคิดดูสิว่าหากสหายร่วมชาติของข้าตกอยู่ในเงื้อมมือชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าจะมีจุดจบเช่นไร?! แล้วลองดูสภาพของเจ้าในตอนนี้…บางที เจ้าคงต้องขอบคุณเทพแห่งทุ่งหญ้าให้ดีแล้วล่ะ เป็นนางที่คุ้มครองให้เจ้าปลอดภัยไม่สึกหรอมาจนถึงตอนนี้!” 


 


 


สายตาของเจ้าโจรคนนี้เย็นวาบดั่งก้อนน้ำแข็ง บนใบหน้าดำผุดรอยยิ้มหยันดูแคลน ทว่ากลับรู้สึกสูงส่ง น่างเกรงขาม อวี้เจียเหม่อลอย รีบส่ายหน้า กล่าวด้วยโทสะออกมาว่า “อย่าเอาดีใส่ตัวเลย ที่เจ้าเก็บข้าไว้ก็แค่เพื่อใช้ประโยชน์จากข้าเท่านั้น นึกว่าข้าไม่รู้หรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “น้องสาว ความฉลาดของเจ้าช่างล้ำเลิศเสียจริงนะ มิน่าพี่สาวอันถึงชมเจ้าไม่ขาดปาก!” 


 


 


เมื่อเอ่ยถึงสตรีที่แปลกประหลาดราวกับนางจิ้งจอก ใบหน้าของอวี้เจียพลันเผยความเจ็บปวดอย่างล้ำลึกทันที นางกำหมัดแน่น ราวกับกำลังสร้างกำลังใจให้ตัวเอง พูดพึมพำออกมาว่า “ข้าไม่กลัวนาง ข้าไม่กลัวนางข้าต้องเอาชนะนางได้แน่!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพรวด ฝีมือของพี่สาวอันไม่เพียงใช้ได้ผลกับข้า แสนยานุภาพที่มีต่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ก็ไม่อาจดูแคลนได้เลยนะ 


 


 


เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของเขา อวี้เจียถลึงตากใส่เขาด้วยความโมโห รอยริมฝาปกสีแดงสดบนแก้มทั้งสองข้างของโจรหน้าดำช่างเตะตา เหมือนดอกไม้ดอกน้อยที่ผลิบานสองดอก นางกัดฟันกรอด เบือนหน้าไปพร้อมยิ้มหยัน “พี่สาวอาจารย์ของเจ้าล่ะ เหตุใดไม่เห็นแล้ว? เมื่อคืนเจ้าไม่ได้ยินดีมากหรืออย่างไร ถูกคนเขาทิ้งแล้วยังมีความสุขขนาดนี้อีก ช่างเป็นชาวต้าหัวที่ไร้ความห้าวหาญอย่างหายากบนโลกนี้เสียจริง!!” 


 


 


“ทิ่มแทงจุดเจ็บปวดข้าอีกแล้วนะ ระวังว่าข้าจะฉีกเสื้อเจ้าล่ะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะแปลกประหลาดหลายครั้ง ทำท่าว่าจะคว้าตัวของนาง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊ะด้วยความตกใจ กอดอกแน่น หน้าซีดราวกับกระดาษ เหมือนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนขึ้นมาได้ กับฝีมืออันรุนแรงของพี่สาวอัน นางก็เหมือนหลินหว่านหรง ต่างรับรู้อย่างลึกซึ้ง 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ “ก็อย่างที่ว่า คนรักทั้งสองหากเมื่อนานวันเข้าเหตุใดต้องอยู่แค่การลูบๆ คลำๆ ทุกเช้าค่ำด้วยเล่า? ความรักของข้ากับพี่สาวอันเหมือนคนดื่มน้ำ เย็นหรืออบอุ่นต่างรู้กันเอง เจ้าเป็นคนนอกจะมองเข้าใจได้อย่างไร?! ช่างเถอะ ไม่มาถกเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กพวกนี้กับเจ้าแล้ว น้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าจะบอกข่าวดีอย่างยิ่งให้เจ้าอย่างหนึ่ง…” 


 


 


เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ สองมือออกแรงทำท่าทางเป็นวงกลมวงใหญ่ อวี้เจียเห็นแล้วก๊อกสั้นขวัญแขวน “ข่าว ข่าวอะไร?!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ข้าเลือกทหารที่กำยำแข็งแรงให้เจ้าหลายคนแล้ว มีทั้งเอ๋อจี้น่า ทั้งฮาเอ่อร์เหอหลิน พวกมันแต่ละคนล้วนห้าวหาญบึกบึน กำลังวังชาดั่งหมาป่า อีกไม่นานก็จะตามมาพบเจ้าแล้ว…” 


 


 


อวี้เจียผู้นั้นฉลาดล้ำเลิศ พอได้ยินก็ทั้งร้อนใจทั้งตกใจทันที “เจ้า เจ้าใช้ดาบทองของข้า?! ชาวต้าหัวผู้ต่ำช้า! อัวเหล่ากง ข้าแค้นเจ้า เจ้าฆ่าข้าเถอะ!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องไห้เจ็บปวดออกมาโดยไม่อาจสะกดกลั้น น้ำตาพร่างพรูราวสายฝน ท่าทางเจ็บปวดเช่นนั้นราวกับดาบทองนี้คือชีวิตของนาง 


 


 


ก็แค่ดาบสับปะรังเคเล่มหนึ่งเองนี่นา? มีแค่ชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเจ้านี่ล่ะที่เห็นมันเป็นของล้ำค่า หลินหว่านหรง เบะปากอย่างดูแคลน 


 


 


แสงตะวันริมขอบฟ้าดั่งโลหิต อาบไล้ท้องฟ้าของทุ่งหญ้าจนเป็นสีแดงฉานอันวังเวง หูปู้กุยที่อยู่ทางนั้นห้อตะบึงมาอย่างเร็วรี่ พูดเสียงเบาว่า “ท่านแม่ทัพ เกือบได้เวลาแล้วขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงรับคำเรียบๆ คราหนึ่ง “ให้ทุกคนรอ ทิ้งของหนักทั้งหมด พกแค่ดาบอาวุธ เสบียงเท่านั้น เป้าหมายคือฮาเอ่อร์เหอหลิน ออกเดินทาง!” 


 


 


“ออกเดินทาง!” หูปู้กุยโบกมือ ทหารห้าพันนายหวดแส้ม้าอย่างพร้อมเพรียง เสียงฝีเท้าม้าคมชัดดังกึกก้อง ฝุ่นดินคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า สะท้อนแสงตะวันตกดินสีสดใส ค่อยๆ เลือนลับไปกับขอบฟ้า 


 


 


“พวก พวกเจ้าจะไปที่ใด?!” อวี้เจียถูกโยนขึ้นหลังม้า ร่ำไห้พลาเอ่ยถามด้วยความตกใจ 


 


 


หลินหว่านหรงพลิกตัวขึ้นม้า ยิ้มแย้มเล็กน้อย “ไปสถานที่อันลึกลับแห่งหนึ่ง บางทีอาจเป็นที่ที่เจ้ามุ่งหวังมานานแล้วก็ได้!”  

 

 


ตอนที่ 563 - 1 เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล

 

 


 


 


ท้องฟ้าของทุ่งหญ้าบทจะเปลี่ยนแปลงก็เปลี่ยนแปลงราวกับใบหน้าของเด็กน้อย 


 


 


ก่อนออกเดินทาง เห็นชัดว่ายังเป็นฟ้าแจ้งยามอาทิตย์อัสดง พอเดินทางไปได้สักระยะหนึ่งกลับค่อยๆ มีฝนตกโปรยปรายลงมา ฝนตกบนทุ่งหญ้าต่างจากที่ราบ มันปราศจากหุบเขาและทิวเขาสูงชันคอยกำบัง สายฝนประดุจต้นเสา ตกกระทบใบหน้าหน้าคนตรงๆ เจ็บปวดยิ่งนัก ลมหนาวบนทุ่งหญ้าก็ยิ่งปราศจากทิศทางที่แน่นอน ขู่คำรามอย่างโหดร้ายอุกอาจ บังคับให้สายฝนแกว่งไกวไปมา บางครั้งก็ไปทางทิศตะวันออก บางครั้งก็ตะวันตก ทุ่งหญ้าอันเงียบสงัดมืดครึ้มขมุกขมัว ราวกับปกคลุมด้วยผ้าม่านหนาชั้นหนึ่ง ครอบสีเขียวขจีของผืนแผ่นดินให้อยู่ในไอหมอก 


 


 


นี่เป็นฝนครั้งแรกหลังจากล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่เร็วไม่ช้า ดันตกมาในช่วงเวลานี้พอดี ทำให้หลินหว่านหรงได้รับทราบถึงพลานุภาพของสวรรค์ 


 


 


น้ำฝนทำให้กีบเท้าม้าเปียกชุ่ม หญ้าเขียวขจีส่องประกายหยดน้ำและโคลน ความเร็วในการเดินทางของม้าศึกไม่อาจไม่ลดทอนลงได้ เหล่านายทหารมุ่งหน้าฝ่าฝน อาภรณ์บนร่างเปียกชุ่มโชกจนหมดสิ้น เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ขบวนไพร่พลนี้ก็เหมือนเมฆาที่ขยับเคลื่อนที่ไม่หยุดท่ามกลางหมอกฝน ทั้งรวดเร็วและเป็นระเบียบ 


 


 


“กีบเท้าลื่น ส่งผลต่อความเร็วในการเดินทาง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ถึงจะไปถึงฮาเอ่อร์เหอหลินขอรับ” หูปู้กุยมองท้องฟ้า เช็ดน้ำฝนที่ไหลพร่างพรูบนใบหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล 


 


 


นี่เรียกว่าสวรรค์ไม่สนับสนุน หลินหว่านหรงคำนวณทุกสิ่งอย่างแม่นยำได้ มีแค่อารมณ์ของสวรรค์นี้เท่านั้นที่เขาไม่อาจคาดเดาล่วงหน้า เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออก ฝนตกทิศตะวันตก สิ่งที่ข้าเป็นห่วงตอนนี้ก็คือพวกเราทางนี้ฝนเทลงมาเป็นห่าใหญ่ ส่วนทัพผสมระหว่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า เส้นทางการเดินทัพของพวกมันกลับท้องฟ้าโปร่งสดใส ถ้าเป็นแบบนี้ความเร็วของพวกมันก็จะเร็วกว่าเราไม่น้อย หากพวกมันไปถึงต๋าหลานจาแล้วไม่พบร่องรอยของพวกเราจะต้องย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วแน่ นำดันเรือได้ แต่ก็คว่ำเรือได้เช่นกัน เพื่ออวี้เจีย ชนเผ่านอกด่านเดินทางมาช่วยเหลือหามรุ่งหามค่ำได้ และย้อนกลับหามรุ่งหามค่ำเพื่อนางได้เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบฝ่ายหนึ่งได้เปรียบเช่นนี้ หากไม่ระวังพวกเราก็จะถูกพวกมันกัดเอาได้” 


 


 


ความกังวลของหลินหว่านหรงไม่ใช่จะไร้เหตุผล พยายามครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อล่อให้ชายฉกรรจ์หลายพันคนจากเอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลินออกมาก็เพื่อฉวยโอกาสนี้ลอบโจมตี เข้าสู่อี้อู๋อย่างราบรื่น ฝนห่าใหญ่ที่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ กลับมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเสียข้อได้เปรียบนี้ไป ครั้นถูกชนเผ่านอกด่านกัดเป็นแม่นมั่น พวกเขาก็ยากจะหลุดรอดแล้ว 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะอย่างแรง “ท่านแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก พวกเราทางนี้ฝนตก ต๋าหลานจาทางนั้นกลับเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะฟ้าแจ้งจางปาง สภาพอากาศผีสางบนทุ่งหญ้าก็คือใบหน้าของเด็กทารก ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงอีกเมื่อไหร่ ตอนนี้หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ายังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าทางนี้นมีสถานการณ์เช่นไรกันแน่” 


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? จะรุกหรือจะหยุด?!” เกาฉิวถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง 


 


 


“หยุดไม่ได้” หลินหว่านหรงกล่าวอย่างแน่วแน่ “ตอนนี้คือสู้กันเรื่องความต่างของเวลา โอกาสของเรากับชนเผ่านอกด่านก็จะเสมอกัน หากตอนนี้หยุดการมุ่งหน้า เมื่อชนเผ่านอกด่านซึ่งถูกเคลื่อนย้ายออกมากลับสู่ดินแดน ความพยายามทั้งหมดของพวกเราก็จะสูญเปล่า หากคิดจะยึดเอ๋อจี้น่า เข้าสู่อี้อู๋ รุกคืบเข้าไปใกล้ราชธานีทูเจวี๋ย ไม่รู้ว่าต้องถึงเมื่อไหร่ พี่หู ท่านเห็นว่าอย่างไร?!” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะพร้อมตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าสนับสนุนความเห็นของท่านแม่ทัพ โอกาสอันดีที่สวรรค์ประทานมาให้นี้ พวกเราไม่อาจพลาดไปได้ ในเมื่อจะรบ เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องที่ไม่ต้องเสี่ยงขอรับ” 


 


 


“ดี” หลินหว่านหรงออกแรงโบกมือ “สั่งการพี่น้องทุกคน ห้ามทะนุถนอมม้า สิ่งที่พวกเราต้องการตอนนี้ก็คือความเร็ว ม้าศึกกับหญ้าเสบียงรอให้ยึดเอ๋อจี้น่าได้แล้วค่อยเติม” 


 


 


สามคนตัดสินใจแน่วแน่ จากนั้นก็ปราศจากการชักช้าอีกต่อไป นำพาทหารห้าพันนายมุ่งหน้าฝ่าฝน การเคลื่อนทัพบนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ที่มืดมิดไร้ตะวันเช่นนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือทิศทาง เพื่อป้องกันการหลงทางและหลุดขบวน หูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์บนทุ่งหญ้ามากที่สุดจึงนำหน้า ส่วนเกาฉิวรั้งท้ายเพื่อคุมขบวน สามคนแยกกันทำงาน มุ่งหน้าไปฮาเอ่อร์เหอหลิน รถม้าที่มีเพียงหนึ่งเดียวในกองทัพเหลือไว้ให้หลี่อู่หลิง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันทุกข์ยากลำบากเช่นไร พวกเขาล้วนไม่มีวันละทิ้งพี่น้องของตัวเอง 


 


 


ฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าดินปกคลุมด้วยไอหมอก ยื่นมือออกไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แต่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวก็มองรูปโฉมของอีกฝ่ายไม่ชัดเจนแล้ว อาชาใต้ร่างลื่นอย่างต่อเนื่อง ทุ่งหญ้าซึ่งแต่เดิมว่าง่ายกลายเป็นบ้าคลั่งรุนแรงภายในชั่วพริบตา นอกจากสาปแช่งสวรรค์แล้ว หลินหว่านหรงก็ทำได้แค่ยิ้มขื่นเท่านั้น 


 


 


ไม่รู้ว่าเดินทางนานเท่าใด เสื้อผ้าบนร่างล้วนชุ่มโชก น้ำฝนเย็นไหลจากคอไปถึงหน้าอก ให้ความรู้สึกเย็นเยียบ หลินหว่านหรงอดหนาวสั่นสะท้านไม่ได้ เหลือบมองไปทางม้าศึกที่อยู่ด้านข้าง สาวน้อยทูเจวี๋ยเสื้อผ้าเปียกโชกไปหมด แนบชิดกับร่างกาย เรือนร่างอันงดงามกอปรด้วยส่วนโค้งส่วนเว้าขยับขึ้นลงสูงต่ำนั้นราวกับทัศนียภาพแห่งเฮ่อหลานซานที่แผ่ทอดยาวออกไป น้ำฝนทำให้ผมนางเปียก กลายเป็นสายน้ำไหลอันกระจ่างใสเป็นสายสาย ค่อยๆ ไหลรินลงมาจากแก้มนาง อวี้เจียหน้าขาวซีด สองตาปิดสนิท เรือนกายอันอรชรสั่นเทาเล็กน้อยท่ามกลางลมฝนอันโหดร้าย คล้ายหญ้าน้อยที่อ่อนแอไม่อาจต้านทานลมต้นหนึ่ง 


 


 


สวรรค์นั้นยุติธรรม อยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน ลมหนาวน้ำค้างและหยาดฝนไม่เพียงข่มขวัญชาวต้าหัว ขณะเดียวกันก็ข่มขวัญชาวทูเจวี๋ยด้วยเช่นกัน 


 


 


ต่างเป็นคนเป็นๆ รบกันไปมาแบบนี้ ที่แท้มันเพื่ออะไรกันแน่นะ หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางถอนหายใจ เขาหยิบเสื้อตัวยาวออกมาจากห่อผ้า นี่เป็นชุดที่เฉี่ยวเฉี่ยวตัดเย็บให้เขากับมือ หลังจากลดสัมภาระครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นหนึ่งในสัมภาระไม่กี่ชิ้นที่เขาเหลืออยู่แล้ว 


 


 


ร่างกายอันหนาวเย็นมีความอบอุ่นส่งผ่านมา อวี้เจียลืมตาขึ้น เห็นว่าบนร่างอันเปียกชุ่มของตนมีเสื้อคลุมตัวยาวตัวใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แฝงกลิ่นหอมจาง ๆ เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วร่วงหล่นจากท้องฟ้า ตกกระทบลงบนเสื้อคลุมนั้น ประทับเป็นรอยคราบน้ำใหม่ 


 


 


“ข้าไม่ต้องการ…ไม่ต้องการความเมตตาจอมปลอมจากเจ้า!” อวี้เจียเบือนหน้าไปพร้อมพูดออกมาด้วยความเดือดดาล ใบหน้าน้อยแดงก่ำ คราบน้ำตาสองสายไหลลงจากแก้ม ไม่รู้ว่าเป็นน้ำฝนหรือว่าน้ำตา 


 


 


หลินหว่านหรงเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า โบกมือพร้อมกล่าวยิ้มหยัน “ถือเป็นความเมตตาจอมปลอมก็แล้วกัน…ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าจะเรียนรู้ความเมตตาจอมปลอมเช่นนี้บ้าง?!” 


 


 


น้ำฝนไหลบนใบหน้าดำเขาอย่างเร็วรี่ ผมซึ่งยังหวีและเกล้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตอนเช้าหลุดกระจายไปตั้งแต่แรก รอยประทับริมฝีปากสีแดงสดสองรอยถูกชะด้วยน้ำฝนจนค่อยๆ เลือนไป คนแช่อยู่ในม่านพิรุณ สภาพดูไม่จืดอย่างบอกไม่ถูก บุคลิกท่วงทีนั้นคล้ายต่างจากก่อนหน้านี้อีกแล้ว  


 


 


“เรื่องของชาวทูเจวี๋ยเราไม่ต้องให้เจ้ายุ่ง” สาวน้อยแค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง ทว่าเสียงกลับเบาลงไปมากโดยไม่รู้ตัว ด้วยความหนาวเย็น นางมุดร่างเข้าไปในเสื้อคลุมอันแสนจะอบอุ่นตัวนั้นตามสัญชาตญาณ 


 


 


เมื่อเห็นอวี้เจียซึ่งขดตัวเป็นก้อนด้วยร่างอันสั่นงันงก หลินหว่านหรงก็หัวเราะ ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “ชุดมันอุ่นมากล่ะสิ นี่เป็นชุดที่เมียข้าอดหลับอดนอนหลายคืนตัดเย็บขึ้นมากับมือก่อนออกเดินทางมารบ ชาวต้าหัวเรามีประเพณีอย่างหนึ่ง ก่อนนายทหารออกเดินทาง ภรรยากับคนรักจะตัดเย็บชุดใหม่ให้เองกับมือ หวังว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างสวัสดิภาพโดยเร็ววัน เพียงแต่ดวงดาราเคลื่อนคล้อย ฤดูกาลผันผ่าน ผู้กล้าซึ่งรบในสมรภูมินั้นกลับมีสักกี่คนที่ได้หวนคืนอย่างปลอดภัย? สตรีผู้งดงามดั่งบุปผาจำนวนนับไม่ถ้วนต้องรอคอยไปชั่วชีวิต กลายเป็นหินคอยสามีบนภูผาสูง…ความรักความห่วงใยของชาวต้าหัวเรา ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ายากจะเข้าใจไปตลอดกาล!” 


 


 


อวี้เจียโมโหทันที “หาใช่ต้าหัวเช่นเจ้าถึงมีบุคคลผู้มั่นคงในรักเช่นนี้ บุรุษและสตรีชาวทูเจวี๋ยเราก็มีความรักความห่วงใยเช่นนี้ คนรักของสตรีทูเจวี๋ยทุกคนต่างรบพุ่งอยู่ในสนามรบ พวกเขาต้องสูญเสียชีวิตเช่นกัน ต้องพรากจากภรรยาและคนรักไปตลอดกาลเช่นกัน!” 


 


 


“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงยังต้องก่อสงครามมารดามันด้วย? น่าสนุก?!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังด้วยโทสะ สองตาแดงฉาน หวดแส้ใส่ม้าที่บรรทุกอวี้เจีย บังเ**ยนของม้าตัวนั้นถูกเขาดึงอยู่ในมือ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกู่ร้องออกมา วิ่งวนเป็นวงกลมเท่านั้น แกว่งจนทำให้ร่างของสาวน้อยเกิดเป็นเส้นสายอันงดงามหลายสาย  


 


 


เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะของหลินหว่านหรง อกงามของอวี้เจียก็ขยับขึ้นลงอย่างเร็วรี่และรุนแรง “อัวเหล่ากง เจ้า เจ้ากล้าด่าดูหมิ่นข้า?!” 


 


 


“ด่าดูหมิ่นเจ้าถือเป็นผายลมอะไรได้” หลินหว่านหรงหน้าบึ้งกล่าวอย่างดุร้าย “ทำให้ข้าโมโห ข้าจะทำให้เจ้าได้รับรู้ว่าอะไรคือโจรที่แท้จริง! เจ้างามมากใช่หรือไม่ ถอดเสื้อผ้าเจ้าให้เกลี้ยง ให้เจ้างดงามต่อหน้าฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้า ต่อหน้าคนในเผ่าของเจ้า!” 


 


 


การเปลี่ยนสีหน้าของเจ้าโจรนี่ไม่ธรรมดา เมื่อครู่ยังสนทนาหัวเราะสรวลเสเฮฮาอยู่เลย เพียงชั่วพริบตาก็เต้นผางราวกับลิงซิงซิง[1]แล้ว ระหว่างที่เขาคำรามด้วยโทสะ ดวงตาก็พ่นเปลวเพลิงออกมา ทำให้อวี้เจียอดสะท้านอยู่บ้างไม่ได้เช่นกัน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ลิงซิงซิง หมายถึง ลิงอุรังอุตัง 

 

 

 


ตอนที่ 563 - 2 เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล

 

นางกัดฟันกรอด ฝืนเชิดหน้าขึ้น “การศึกสงครามก็เพื่อให้คนในเผ่าข้ากับชนรุ่นหลังมีที่ดินที่อุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ให้พวกเขาหลุดพ้นจากสายฝนอันโหดร้ายและสายฝนอันหนาวเหน็บ ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่ง นี่ผิดอะไร?!” 


 


 


“เพียะ!” หลินหว่านหรงใช้ฝ่ามือฟาดลงบนก้นอันงามงอนของอวี้เจียอย่างแรง เสียงคมชัดนั้นกรีดผ่านลมฝน แพร่ออกไปไกลลิบ 


 


 


“ผิดอะไร?! ต้องการให้คนในเผ่าเจ้ามีชีวิตที่ดีก็สามารถครอบครองแผ่นดินของผู้อื่น เข่นฆ่าคนชนชาติอื่นได้?!” หลินหว่านหรงโมโหแล้วเช่นกัน ฟาดก้นนางหนักๆ สองครั้ง เสียงเพียะๆ ดังชัดเจน “อันธพาลทั้งโลกคิดจะคร่อมเจ้า แล้วพวกมันจับเจ้ามัด แก้ผ้าเจ้าจนหมด ทำเพื่อระบายความใคร่ได้ด้วยใช่หรือไม่…สมองของเจ้ามันโตออกมาเช่นไร เหตุใดถึงคิดตรรกะของโจรปล้นชิงเช่นนี้ออกมาได้?! ลองเบิกตาเจ้ามองดู สงครามที่เจ้าเริ่ม นอกจากชีวิตที่สูญเสีย โลหิตไหลนองเป็นท้องธารของคนทั้งสองชนชาติแล้ว พวกเจ้ายังได้อะไรอีกบ้าง? ได้แผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย? เจ้าลองไปถามคนในเผ่าเจ้าดู ตอนที่พวกเขารบจนตาย อุดมสมบูรณ์ไหม สุขสบายไหม?!…ข้าอยากจะอัดเจ้าจริงๆ!” 


 


 


คำถามครั้งหนึ่งก็ตีก้นอวี้เจียครั้งหนึ่ง เสียงดังเพียะๆ ทำให้ทุกคนตกใจ นายทหารที่ไปๆ มาๆ อยู่ข้างกายจ้องมองจอมทัพหน้าดำคนนี้ อยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้าหัวเราะอีก พวกหูปู้กุยสองคนสบตากัน เหล่าเกาผงกศีรษะพร้อมพูดว่า “น้องหลินแสดงอำนาจแล้ว แม่หนูทูเจวี๋ยคราวนี้ลำบากแล้วล่ะ!” 


 


 


ถูกเจ้าโจรนี่ลบหลู่ ทั้งยังถูกชาวต้าหัวที่ผ่านไปมาชมดูพลางหัวเราะเยาะอีก สาวน้อยทูเจวี๋ยส่งเสียงคราหนึ่ง ใบหน้ากลับแดงโดยพลัน อกงามสั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางจ้องมองเขาอย่างดุดัน ใช้เสียงสั่นด้วยอารมณ์โกรธนั้นพูดขึ้นมาว่า “อัวเหล่ากง เจ้าฆ่าข้า ฆ่าข้าเถอะ” 


 


 


หลินหว่านหรงสะบัดข้อมือที่บวมปวด แรงดีดสะท้อนของก้นนังหนูคนนี้ช่างดีเสียจริง สะเทือนจนข้าขนหัวลุกชัน เขาหัวเราะฮิฮะเย็นชา “ข้าจะฆ่าเจ้าทำไม เจ้าไม่ใช่เอาแต่คิดเพ้อเจ้าว่าจะสยบผู้อื่นหรืออย่างไร?! แต่ข้าจะให้เจ้าดูเสียอย่าง ว่าเจ้ากับคนในเผ่าเจ้าถูกผู้อื่นสยบเช่นไร!” 


 


 


“พวกเราชาวทูเจวี๋ยไม่มีวันถูกสยบ!” ร่างอวี้เจียดิ้นรนไม่หยุด หยดน้ำฝนตกกระทบบนร่างและใบหน้านาง ภายในดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยแววตาไม่ยอมจำนน 


 


 


“ไม่มีวันถูกสยบ?!” หลินหว่านหรงยิ้มหยัน แนบชิดใบหน้านางอย่างแช่มช้า “คุณหนูอวี้เจีย เจ้ามองตาข้า” 


 


 


สาวน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สบกับดวงตาสีดำขลับของหลินหว่านหรงเข้าพอดี ดวงตาของโจรต่ำช้าไร้ยางอายผู้นี้กระจ่างใสดุจวารี สุกสกาวดั่งแก้วผลึก ยังล้ำลึกยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรี  


 


 


“มอง มองอะไร?! ข้าไม่มอง!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะให้เจ้าจดจำตาดำ ผิวสีเหลืองของข้าเอาไว้ นี่คือชนชาติที่ไม่เคยถูกผู้อื่นสยบมาก่อน พวกเขามีอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุด ความเจริญก้าวหน้าที่ล้ำลึกมากที่สุด ผงาดอยู่บนโลกนี้มาหลายพันปี ไม่เคยล้มมาก่อนเลย…แต่ทูเจวี๋ยของพวกเจ้า” เขาโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะอย่างดูแคลน “…หลายร้อยปีหลังจากนี้ ทูเจวี๋ยจะมีแค่ชื่อที่หลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์เท่านั้น!” 


 


 


ลมหายใจของอวี้เจียขาดห้วง “เจ้าพูดเหลวไหล ทูเจวี๋ยของเราแข็งแกร่งไร้เทียมทาน จะต้องสืบทอดต่อไปไม่จบสิ้น ยั้งยืนยงหมื่นปี!” 


 


 


“สืบทอดต่อไปไม่จบสิ้น ยั้งยืนยงหมื่นปี? อาศัยการรบไม่รู้จักจบสิ้น การเข่นฆ่าสังหารไม่รู้จักจบสิ้นของพวกเจ้าหรือ?! ตื่นเถอะนะ น้องสาว!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบใบหน้านาง “คน ไม่อาจใช้ก้นคิด…ไอ้หยา…เจ้ากัดข้า!” 


 


 


ด้วยความได้ใจจนลืมตัวของเขา นิ้วมือจึงไปอยู่ที่ริมฝีปากอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยจึงอ้าปากแล้วกัด ไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย สิบนิ้วเชื่อมถึงใจ ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงส่งผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงร้องอ๊าๆ เสียงดังพลางหดนิ้วกลับไป ทว่านิ้วมือกลับมีรอยฟันเรียงตัวเป็นระเบียบแน่นขนัด โลหิตไหลซึมออกมา อวี้เจียจ้องเขาเขม็ง ดวงตาสาดประกายกระหยิ่มยิ้มย่องหลังจากได้แก้แค้น 


 


 


แม่หมาป่าน้อยตัวนี้นี่! หลินหว่านหรงแค่นเสียงคราหนึ่ง ลูบคลำก้นแม่หมาป่าอีกครั้ง อวี้เจียร้องคราหนึ่ง สีหน้าดั่งโลหิต อับอายเดือดดาลจนอยากจะตาย 


 


 


สั่งสอนแม่หมาป่าน้อยตัวนี้อย่างหมดจด สายลมฝนบนทุ่งหญ้ายังคงดังเดิม เนื่องจากรีบร้อนเดินทาง ดังนั้นจึงห่างจากฮาเอ่อร์เหอหลินแค่เจ็ดแปดสิบลี้แล้ว 


 


 


“แม่ทัพหลิน แม่ทัพหลิน…” หูปู้กุยควบม้า ฝ่าลมฝนเข้ามาจากด้านหน้าสุดของขบวน ด้านหลังเขายังมีม้าเร็วตามมาด้วยอีกสิบกว่าตัว ทุกคนพอเห็นหลินหว่านหรงอยู่เบื้องหน้าก็หยุด จากนั้นหูปู้กุยจึงลงจากม้า น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว 


 


 


“พี่หู เป็นอะไร?!” หลินหว่านหรงตกใจ ชายฉกรรจ์ผู้เ**้ยมหาญเช่นหูปู้กุยนี้ ตีให้ตายก็ไม่มีทางหลั่งน้ำตาได้ 


 


 


หูปู้กุยรีบส่ายหน้า เช็ดน้ำตา หัวเราะฮ่าๆ พร้อมเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ข้าดีใจขอรับ ท่านแม่ทัพ ท่านดูสิ นี่คือใคร…” 


 


 


เขาหัวเราะพลางหลบทาง ข้างหลังมีเงาคนร่างหนึ่งขยับวูบออกมา อายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าดำ ท่าทางฝึกฝนมาดี กำลังมองหลินหว่านหรงด้วยความยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งงัน จากนั้นก็กอดเขาพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่นออกมาราวกับบ้าคลั่ง “เสี่ยวสวี่ สวี่เจิ้น เป็นเจ้าจริงหรือ? เจ้ามาได้อย่างไร? เจ้าหาพวกเราได้อย่างไร?! ท่านย่ามัน  เหตุใดสวรรค์ถึงส่งเรื่องดีๆ มาให้!” 


 


 


สวี่เจิ้นเช็ดน้ำตาบริเวณหางตา ประสานมือพร้อมตอบด้วยความยินดี “ท่านแม่ทัพ เป็นกุนซือสวีที่ส่งข้ามาขอรับ!” 


 


 


กุนซือสวี? สวีจื่อฉิง?! ชื่อซึ่งทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหู หลินหว่านหรงบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านอยากจะร้องไห้ แม้เพิ่งจากกันมาแค่สิบกว่าวัน แต่เมื่ออยู่ระหว่างการรบอาบโลหิตบนทุ่งหญ้ามาตลอดทางนี้ เฮ่อหลานซานกับคุณหนูสวีรางเลือนราวกับเมฆาบนขอบฟ้า คล้ายไม่เกี่ยวข้องกับทัพเดี่ยวนี้โดยสิ้นเชิง 


 


 


วันนี้จู่ๆ สวี่เจิ้นก็มาโผล่ตรงหน้าตน เขาถึงรู้สึกเหมือนได้หวนคืนสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งหนึ่ง แม้ไม่รู้ว่าสวี่เจิ้นหาตำแหน่งในปัจจุบันของพวกเขาได้อย่างไร แต่น้ำใจของสวีจื่อฉิงนี้กลับหนักแน่นดั่งภูผาเฮ่อหลานซาน 


 


 


“ท่านแม่ทัพ นี่คือสารที่กุนซือสวีมอบให้ท่านขอรับ” สะกดความพลุ่งพล่าน สวี่เจิ้นควักหนังแกะขนาดเล็กผืนหนึ่งออกมาจากรองเท้า เมื่อดึงหลายครั้งก็เผยให้เห็นกระดาษจดหมายสีขาวสะอาด 


 


 


จดหมายของสวีจื่อฉิง? หลินหว่านหรงรับจดหมายแผ่นนั้นมา ฝ่ามือกลับสั่นเทาเล็กน้อย สำหรับทัพอันโดดเดี่ยวที่มุ่งลึกสู่ ทุ่งหญ้านี้ เฮ่อหลานซานถึงจะเป็นบ้านของพวกเขา 


 


 


“ศึกปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ชื่อเสียงท่านเลื่องลือ ล่วงลึกสู่ทุ่งหญ้า ตัดเสบียงศัตรู ใช้เลือดเนื้อขับไล่ ขับศัตรูสู่นอกประตูบ้านเมือง ทำให้ชนเผ่านอกด่านสดับนามต้องขวัญหาย ซาบซึ้งบุญคุณท่าน ไม่มีสิ่งใดตอบแทน มีเพียงเรื่องเดียว ขอท่านโปรดจดจำ จื่อฉิงแม้ตัวตาย เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล!!” 


 


 


“จื่อฉิงแม้ตัวตาย เฮ่อหลานซานไม่มีวันล้มตลอดกาล” แค่คำพูดประโยคนี้ก็แสดงทุกสิ่ง หลินหว่านหรงกุมมือหูปู้กุย กล่าวด้วยเสียงอันแน่วแน่ “พี่หู เฮ่อหลานซานยังอยู่ในมือพวกเรา!” 


 


 


เหล่าหูเช็ดน้ำตา ฉีกยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วว่ากุนซือสวีรักษาเฮ่อหลานซานได้ เจ้าหนอนหนังสือตู้ซิวหยวนคนนี้ช่างห้าวหาญ สวี่เจิ้น พวกเจ้าล้วนห้าวหาญ! พวกเรารบหลายครั้งบนทุ่งหญ้า ไม่ได้รบเสียเที่ยวเปล่า!” 


 


 


“เจตนาท่าน จื่อฉิงทราบ หนทางเบื้องหน้ายาวไกล ขวากหนามมากล้น หวังท่านทนุถนอมตน อย่าให้คนห่วงหา ข้าสวมชุดพรักพร้อม ฝังครึ่งกายในผืนทราย ขอพรทุกคืนวัน รอท่านหวนคืน!” 


 


 


จดหมายฉบับนี้ก็เหมือนนิสัยสวีจื่อฉิง เรียบง่ายยิ่งนัก หนักแน่นยิ่งนัก “ฝังครึ่งกายในผืนทราย รอท่านหวนคืน” ประโยคสุดท้ายกึ่งปกปิดกึ่งเปิดเผย เป็นถ้อยความลับของพวกเขาทั้งสองคน มีแค่หลินหว่านหรงถึงอ่านเข้าใจ จดหมายมีตัวอักน้อยนิดไม่กี่คำ แม้ข้อความจะสั้น ทว่าความรักกลับไม่มีวันสิ้นสุด ความหมายลึกซึ้ง 


 


 


หลินหว่านหรงลูบกระดาษจดหมายขาวสะอาดแผ่นนั้น อารมณ์พลุ่งพล่าน น้ำฝนสาดซัดบนเส้นผมและใบหน้าเขา รวมตัวกันเป็นสายไหลหลั่งลงมา เขาเงียบงัน ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอยู่นาน… 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม