ชายาเคียงหทัย 55.1-59.2

ตอนที่ 55-1 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง

 

      “เรียนพระชายา ไท่เฟยรองมาเพคะ”


 


 


ในห้องหนังสือ เยี่ยหลีกำลังนั่งสะสางบัญชีที่นำมาจากจวนเยี่ย ก็มีสาวใช้เดินเข้าประตูมารายงาน เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นเห็นสาวใช้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตกใจเล็กน้อย


 


 


ชิงซวงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “จิ้งเหวิน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”


 


 


สาวใช้คนนี้คือจิ้งเหวิน หรือชื่อเดิมคือหานฉิง เป็นคนที่เยี่ยหลีส่งไปอยู่ห้องเย็บปักถักร้อยตั้งแต่สมัยยังอยู่จวนเยี่ย ชุดสาวใช้ในตำหนักติ้งอ๋องเป็นสีเดียวกันหมดคือเป็นชุดสีเหลืองนวลกับเข็มขัดสีอ่อน แต่ชุดที่เรียบง่ายธรรมดาๆ เช่นนี้เมื่ออยู่บนตัวนางยังดูมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นอีกหลายส่วน


 


 


           จิ้งเหวินเหลือบมองเยี่ยหลีอย่างตระหนก ก่อนตอบเสียงเบาว่า “หมัวมัวที่เป็นหัวหน้าบอกว่า พระชายาคงไม่ใส่เสื้อผ้าที่จิ้งเหวินเย็บเพคะ ในห้องเย็บปักมีสาวเย็บผ้าฝีมือดีอยู่แล้วสี่คน จึงให้จิ้งเหวินออกมาคอยรับใช้อยู่ที่ด้านนอกเพคะ”


 


 


แม้ว่านางจะดีใจที่ได้ออกจากห้องเย็บปัก แต่เมื่อผลงานของตนถูกวิจารณ์เสียไม่มีชิ้นดีเช่นนั้น สีหน้าจิ้งเหวินมีแววอับอาย เยี่ยหลีได้แต่นึกละเ**่ยใจ สาวใช้คนนี้ทำงานในห้องเย็บปักมาเดือนกว่าเกือบสองเดือน แต่ไม่ได้ทำให้นางเรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นเลยแม้แต่น้อย หรือนางคิดว่าการที่นางมีรูปโฉมงดงามจะทำให้ไม่ต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเช่นนั้นหรือ


 


 


           “เอาละ เจ้าออกไปก่อน แล้วเชิญไท่เฟยรองเข้ามาเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมโบกมือ


 


 


           “เพคะ พระชายา” จิ้งเหวินโค้งตัวคารวะ ก่อนถอยออกไปอย่างนอบน้อม


 


 


           ชิงซวงบ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “เหตุใดหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวถึงได้ให้นางมารับใช้คุณหนูนะเจ้าคะ แค่ดูก็รู้แล้วว่านางเป็นคนไม่เรียบร้อย”


 


 


ชิงหลวนและชิงอวี้ต่างเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ทีหลัง จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับจิ้งเหวินที่อยู่ห้องเย็บปักสักเท่าไร เพียงรู้สึกว่าลักษณะท่าทางนางดูเย้ายวนเกินไปหน่อยเท่านั้น เมื่อได้ฟังชิงซวงเอ่ยเช่นนี้จึงรีบหันไปมองนางทันที


 


 


ชิงซวงกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดใจ “เพราะข้าแท้ๆ ที่ลืมบอกเรื่องนี้กับหลินหมัวมัว”


 


 


ชิงสยายิ้ม “เอาละชิงซวง หลินหมัวมัวเป็นหมัวมัวผู้ใหญ่ที่อยู่กับฮูหยินมาตั้งแต่แรก เจ้าคิดว่านางดูไม่ออกหรือว่าจิ้งเหวินเป็นคนอย่างไร อีกอย่างตอนนี้นางเป็นเพียงสาวใช้ขั้นสองที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอก แม้แต่กับอวิ๋นเอ๋อร์ ชุ่ยเอ๋อร์นางก็ยังเทียบไม่ได้ ในตำหนักติ้งอ๋องที่นางไม่คุ้นเคยและมีแต่คนไม่คุ้นหน้าเช่นนี้นางจะเล่นลูกไม้อันใดได้”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มแล้ววางหนังสือลง “ชิงซวง เจ้าต้องเรียนรู้จากชิงสยาให้มากๆ เสียแล้ว อย่าได้เอะอะโวยวายไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้”


 


 


           ชิงซวงแลบลิ้นออกมา “เพคะ น้อมรับคำสั่งพระชายาเพคะ”


 


 


           เมื่อก้าวเข้าประตูโถงดอกไม้สำหรับต้อนรับเหล่าสตรีโดยเฉพาะแล้ว เยี่ยหลีก็ถึงกับอึ้งไป ตรงตำแหน่งประธานมีสตรีวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ นางอยู่ในชุดผ้าไหมอวิ๋นจิ่นดูหรูหรา บนศีรษะปักเครื่องประดับทองฝังอัญมณี มองดูสูงส่งยิ่งนัก หากไม่รู้ถึงฐานะของนางมาก่อน เยี่ยหลีคงคิดว่าท่านนี้ไม่ใช่พระชายารองแต่เป็นพระชายาเอกของติ้งอ๋องคนก่อนเป็นแน่ ตอนที่นางเข้าไป ไท่เฟยรองกำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ ด้านหลังมีเด็กสาวยืนอยู่สองคน คนหนึ่งกำลังทุบไหล่ให้นาง ส่วนอีกคนกำลังถือพัดคอยพัดเบาๆ ให้นางอยู่ เยี่ยหลีเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ได้ นี่ยังไม่ทันถึงเดือนหก อากาศในเมืองหลวงของต้าฉู่ยังไม่ถือว่าร้อน นางไม่กลัวว่าพัดไปจะทำให้นางหนาวหรือ


 


 


           “พระชายา” เมื่อทุกคนเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา จึงรีบยืดตัวขึ้นคารวะ


 


 


           “ออกไปเถิด ข้าให้ไท่เฟยรองรอนานแล้ว” เยี่ยหลีโบกมือให้คนอื่นถอยออกไป ก่อนขมวดคิ้วเดินไปนั่งที่ด้านหนึ่ง


 


 


ไท่เฟยรองหยางจึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองสำรวจเยี่ยหลีด้วยสายตาจับผิด เยี่ยหลีอมยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้นางสำรวจตนตามสบาย ก่อนเลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวในชุดสีขาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง หญิงสาวผู้นั้นดูบอบบางมาก เมื่อสบตากับเยี่ยหลีแล้วก็รีบหลบสายตาด้วยท่าทีตื่นตระหนกทันที


 


 


           “ที่ไท่เฟยรองมานี่ มีเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยหลีเลื่อนสายตากลับไปมองที่ไท่เฟยรองหยาง


 


 


           ไท่เฟยรองหยางหรี่สายตาลงด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าที่ล่วงเลยวัยสะพรั่งมาแล้วขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด นางส่งเสียงเหอะเบาๆ “ฐานะของพระชายานี่คงสูงเกินไปสินะ เข้าเรือนมาแล้วก็ไม่รู้จักไปคารวะผู้อาวุโส ข้าจึงต้องมาคารวะพระชายาด้วยตนเอง”


 


 


เยี่ยหลีเข้าใจในทันที ที่แท้ก็มาหาเรื่องนี่เอง นางย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความรำคาญใจ ก่อนยิ้มน้อยๆ ให้ไท่เฟยรอง “เช่นนั้นเป็นข้าเองที่เสียมารยาท เพียงแต่เมื่อวานข้าได้สอบถามท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องบอกข้าแต่เพียงว่า หลังจากข้ากลับบ้านเดิมก็ให้ไปคารวะพี่สะใภ้ใหญ่ แต่ไม่ได้เอ่ยถึงว่าในตำหนักอ๋องนี้มีใครที่ข้าควรต้องไปคารวะอีก”


 


 


           ไท่เฟยรองหยางหน้าเสียลงทันที ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะคืนสีหน้าให้เป็นปกติได้ นางหันมองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “หลายปีนี้ท่านอ๋องสภาพจิตใจไม่ดีนัก คงมีเรื่องที่หลงลืมไปบ้างเป็นธรรมดา แต่เจ้ามีฐานะเป็นชายา ไม่รู้จักเอ่ยเตือนก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังกล้าเสียมารยาทเช่นนี้อีก!”


 


 


           เตือนหรือ ม่อซิวเหยายังไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึง เห็นชัดอยู่ว่าเขาไม่ได้เคารพเจ้า ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่เอ่ยเตือนเขาหรอก


 


 


           เยี่ยหลีจดจำฐานะของสมาชิกแต่ละคนในตำหนักติ้งอ๋องได้ตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานเข้ามาแล้ว อย่างเช่น ชายารองหยางคนนี้ จะว่าไปฐานะของนางก็มีความพิเศษอยู่ไม่น้อย นางไม่ได้เป็นเพียงชายารองคนเดียวของอดีตติ้งอ๋อง ม่อหลิวฟางเท่านั้น แต่นางยังเป็นท่านน้าแท้ๆ ของม่อซิวเหยาและม่อซิวเหวิน น้องสาวแท้ๆ ของพระชายาติ้งอ๋องคนก่อน แต่ด้วยฐานะเช่นนี้ กลับไม่ทำให้นางได้รับความเคารพจากตำหนักติ้งอ๋องมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่หรือติ้งอ๋องรุ่นต่อมาอย่างม่อซิวเหวิน รวมถึงติ้งอ๋องคนปัจจุบันอย่างม่อซิวเหยา ทุกคนต่างทำเหมือนนางเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น ปีนี้ไท่เฟยรองหยางอายุยังไม่ห้าสิบปี ใกล้เคียงกับองค์หญิงเจาหยาง แต่สตรีหม้ายที่ครองตนอยู่เป็นโสดทั้งสองคนนี้ หากเปรียบเทียบจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว อาจจะคิดว่าพวกนางอายุต่างกันสักสิบปีได้


 


 


           ทว่าเยี่ยหลีไม่ได้เห็นใจนางด้วยเหตุผลเช่นนี้ กล่าวได้เพียงว่า ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางหาเรื่องใส่ตัวเอง ไท่เฟยรองหยางคนนี้ แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องมาเมื่อตอนที่พระชายาติ้งอ๋องคนก่อนให้กำเนิดม่อซิวเหวิน หลังจากคลอดม่อซิวเหวินแล้วร่างกายนางก็อ่อนแอลงมาก ความรักที่เคยมีต่อติ้งอ๋องก็ค่อยๆ จืดจางลง เจ็ดปีให้หลังก็เสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดม่อซิวเหยาได้ไม่นาน และเมื่อได้เห็นม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อไท่เฟยรองหยางเหมือนเป็นอากาศธาตุ และท่าทีของม่อซิวเหวินที่ปกติขึ้นชื่อเรื่องเป็นบัณฑิตผู้สุภาพเรียบร้อย แต่กลับปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีรังเกียจเช่นนั้นแล้ว เยี่ยหลีจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะคิดได้ว่า สมัยนั้นไท่เฟยรองหยางคงใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเพื่อให้ตนได้แต่งงานเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง และคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างม่อหลิวฟางกับพระชายาย่ำแย่ลงเป็นแน่ ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ หากม่อซิวเหยาต้องการที่จะแต่งภรรยารองเข้ามา อย่างไรนางก็จะไม่รับเยี่ยซานหรือเยี่ยหลินเข้ามาอย่างแน่นอน หากว่าการต้องใช้สามีร่วมกับคนอื่นเป็นเรื่องที่นางยากจะรับได้แล้ว การที่ต้องใช้สามีร่วมกับพี่น้องของตนเองคงถือเป็นการท้าทายความอดทนของนางน่าดู 

 

 


ตอนที่ 55-2 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง

 

“ข้า…ไม่รู้จริงๆ ว่าข้าจะต้องไปคารวะชายารองคนหนึ่งด้วย” เยี่ยหลีหลุบตาลงครึ่งหนึ่ง พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ 


 


 


           “เจ้า! เจ้าบังอาจนัก!” ไท่เฟยรองหยางหน้าแดงก่ำทันที นางเอามือชี้หน้าเยี่ยหลีอยู่นานแต่พูดอันใดไม่ออก ฐานะของชายารองนี้เป็นหนามตำใจนางมาตลอด เมื่อตอนแต่งงานเข้าตำหนักอ๋อง นางไม่ได้ผิดหวังอันใด ก็ใครใช้ให้นางเกิดจากลูกภรรยารองกันเล่า แต่เมื่อพี่สาวตายลง นางคิดว่าตนจะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นชายาเอก เพราะท่านอ๋องมีนางเป็นชายารองเพียงผู่เดียว แต่จนกระทั่งถึงวันที่ท่านอ๋องสิ้น ท่านอ๋องก็ไม่เคยหันมาสนใจนางเลยแม้สักน้อย และเมื่อม่อหลิวฟางสิ้นไป นางก็รู้ดีว่าตนไม่มีโอกาสอีกแล้ว นางจะต้องมีตำแหน่งเป็นชายารองเช่นนี้ไปจนตาย ต่อให้ตายไปแล้วนางก็ไม่มีโอกาสได้ฝังร่างร่วมกับม่อหลิวฟาง 


 


 


           “กฎระเบียบของตำหนักอ๋อง ไท่เฟยรองไม่น่าไม่รู้ ใครกันแน่ที่บังอาจ” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นจ้องนาง ตำหนักติ้งอ๋องอยู่ข้างนอกมีท่านอ๋องเป็นประมุข ส่วนตำหนักในมีพระชายาเป็นประมุข อย่าว่าแต่แค่ไท่เฟยรองธรรมดาๆ เลย ต่อให้เป็นไท่เฟยตัวจริงก็มิอาจหมิ่นเกียรติชายาเอกได้ ดังนั้นเมื่อม่อซิวเหวินสิ้นไป บ่าวในตำหนักจึงไม่มีใครเรียกชายาเอกเวินว่าพระชายาอีกเลย แต่เรียกเป็นฮูหยินใหญ่แทน เพื่อแสดงให้เห็นว่าฐานะของนางคือพี่สะใภ้ใหญ่ของท่านอ๋อง แต่ไม่ใช่พระชายาของตำหนักติ้งอ๋อง 


 


 


           เมื่อกดความถือยศถือศักดิ์ของไท่เฟยรองหยางลงแล้ว สีหน้าเยี่ยหลีก็ค่อยอ่อนโยน พร้อมแย้มยิ้มน้อยๆ “ไท่เฟยรองหยางมาแต่เช้าเช่นนี้ มีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือ” 


 


 


           ไท่เฟยรองที่อึ้งไปหลังจากเยี่ยหลีเปลี่ยนท่าทีไปเสียดื้อๆ เมื่อเรียกสติกลับมาได้ เห็นนางเปลี่ยนสีหน้าก็นึกอยากแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาอีก หญิงสาวในชุดสีขาวที่อยู่ด้านข้างจึงเอ่ยเรียกนางเสียงเบาด้วยความไม่สบายใจ “ท่านน้า…” 


 


 


           ไท่เฟยรองหันมองหญิงสาวในชุดขาวคนนั้น แล้วจึงได้กดอารมณ์โกรธของตนกลับลงไป ก่อนหันหน้าไปพูดกับเยี่ยหลีว่า “นางคือหลานสาวจากบ้านเดิมของข้า ชื่อเชียนหรู” 


 


 


           หญิงสาวในชุดขาวลุกยืนขึ้นทำความเคารพเยี่ยหลี ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “เชียนหรูขอคารวะพี่สะใภ้” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หากเป็นลูกสาวตระกูลหยาง และเป็นหลานสาวของไท่เฟยรอง เช่นนั้นนางก็คือลูกพี่ลูกน้องของม่อซิวเหยาสินะ น้องสาวคนนี้เยี่ยหลีไม่คุ้นเอาเสียเลย ด้วยเพราะเดิมทีตระกูลหยางไม่ใช่ตระกูลใหญ่ อันที่จริงนอกจากม่อหลั่นอวิ๋น ติ้งอ๋องรุ่นแรกที่แต่งงานกับองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนแล้ว ชายาตระกูลม่อรุ่นต่อๆ มาต่างก็ไม่ได้มีประวัติโดดเด่นอันใด ซึ่งแน่นอนว่าเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ชายตระกูลม่อไม่ต้องการสร้างข้อผูกมัดให้ตนกับทางบ้านฝ่ายหญิง และอีกส่วนหนึ่งคงเพราะไม่อยากให้องค์ฮ่องเต้เกิดนึกระแวงขึ้นมา เท่าที่นางรู้บ้านเดิมของชายารองหยางไม่มีลูกชายสายหลัก มีก็เพียงลูกชายสายรองซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เช่นนั้นหยางเชียนหรูคนนี้ก็คือทายาทของบุตรชายสายรองของตระกูลหยางสินะ  


 


 


“น้องสาวไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องคงลืมเป็นแน่ จึงไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงน้องสาวเลย ข้าไม่ทันได้เตรียมของขวัญแรกพบหน้ามาให้ ขอน้องสาวอย่าได้ถือสา” ระหว่างที่พูด เยี่ยหลีก็ถอดกำไลหยกหิมะลายเมฆออกมาวางลงบนมือของเชียนหรู ก่อนหันไปยิ้มและเอ่ยถามไท่เฟยรองว่า “น้องสาวอาศัยอยู่กับไท่เฟยรองเช่นนั้นหรือ” 


 


 


           ไท่เฟยรองเหลือบมองเยี่ยหลีทีหนึ่งก่อนพยักหน้า “เชียนหรูอายุพอสมควรแล้ว และนางไม่มีญาติคนอื่น ข้าจึงได้รับนางมาไว้ข้างกายจะได้คอยดูแลกันได้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนของตำหนักอ๋อง อยู่เรือนเดียวกับข้าก็ไม่เป็นไรหรอก” 


 


 


           เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้คิดจะจัดสรรหาเรือนใหม่ให้นางอยู่แล้ว จึงยิ้มแล้วพยักหน้า  


 


 


“น้องสาวกับไท่เฟยรองไม่รู้สึกว่าไม่สะดวกสบาย ข้าก็ดีใจ หากขาดเหลืออันใดก็ให้คนมาบอกข้าได้เลย ไม่ต้องเกรงใจไป” สายตาไท่เฟยรองเปลี่ยนไปทันที ก่อนเอ่ยว่า “ที่ข้าพานางมาพบเจ้าเพราะมีเรื่องพอดี ปีนี้เชียนหรูจะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ถึงเวลาที่จะคิดเรื่องแต่งงาน แต่เวลาปกติก็ยากนักที่จะได้พบหน้าท่านอ๋อง ข้าเองก็อายุมากแล้วเลยเลาะเลือน ในเมื่อเจ้ามีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเชียนหรู ก็ช่วยมองหาคนดีๆ ให้นางหน่อยก็แล้วกัน อีกเรื่องนางเป็นหญิงสาว จะให้มาแต่งตัวจืดชืดเช่นนี้ทั้งวันก็คงใช้การไม่ได้ เสื้อผ้าเครื่องประดับก็ควรจะมีเพิ่มอีกสักหน่อย” 


 


 


           ไท่เฟยรองมัวแต่สนใจเรื่องที่ตนกำลังพูดอยู่ ไม่ได้สนใจว่าเชียนหรูที่นั่งอยู่ข้างๆ นางนั้นได้แต่หน้าแดงก้มหน้า ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองใคร เยี่ยหลีนั่งพิงเก้าอี้ฟังสิ่งที่ไท่เฟยรองร้องขออยู่ด้วยท่าทีสบายๆ หากจะว่าในตอนแรกยังพอมีน้ำเสียงแห่งการปรึกษาหารืออยู่บ้าง ทว่าในตอนท้าย ไท่เฟยรองกลับใช้น้ำเสียงเหมือนออกคำสั่งเสียอย่างนั้น  


 


 


เยี่ยหลีมองชุดสีขาวประหนึ่งหิมะที่เชียนหรูใส่อยู่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “ปกติที่ตำหนักนี้ตัดเงินค่าใช้จ่ายของน้องสาวหรือ”  


 


 


ต่อให้ม่อซิวเหยาไม่เคารพไท่เฟยรอง แต่ก็ไม่น่าจะต้องถึงกับตัดเงินค่าใช้จ่ายของเด็กสาวคนหนึ่งหรอกกระมัง ชุดของเชียนหรูเป็นชุดสีขาวเรียบสะอาดไปทั้งชุด แม้แต่ผมก็ยังใช้ผ้าสีขาวมาประดับตกแต่ง คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางกำลังถือศีลให้ใครอยู่ สาวใช้ของตำหนักที่พอมีหน้ามีตาหน่อยยังแต่งกายได้สวยงามกว่านางเสียอีก 


 


 


           เชียนหรูเงยหน้าขึ้นโดยพลัน นัยย์ตาคลอด้วยหยดน้ำ นางรีบเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรนว่า “มิได้เพคะ…ตำหนักอ๋องไม่เคยดูแลข้าไม่ดีเลย ขอท่านพี่สะใภ้อย่าได้เข้าใจพี่ชายผิด…เชียนหรูเอง เชียนหรูเองที่ไม่ดี…” เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดหน้าผาก นี่มันเรื่องอันใดกัน นางนวดหว่างคิ้วพร้อมหันไปบอกชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ไปดูทีว่าซุนหมัวมัวว่างอยู่หรือไม่ เชิญนางมาที่นี่ที” 


 


 


           ซุนหมัวมัวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนชิงหลวนจะเล่าเรื่องให้นางฟังคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นนางจึงพาแม่บ้านที่ดูแลเรื่องบัญชีของเรือนหลังและผู้ดูแลค่าใช้จ่ายภายในตำหนักเข้ามาด้วย 


 


 


           “คารวะพระชายา คารวะไท่เฟยรอง” ทั้งสามทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “หมัวมัวไม่ต้องมาพิธี” 


 


 


           ซุนหมัวมัวยืดตัวขึ้น “ขอบคุณพระชายา ได้ยินว่าพระชายาเรียกพบบ่าวด้วยเรื่องค่าใช้จ่ายในเรือนของไท่เฟยรอง บ่าวจึงบังอาจพาพ่อบ้านหวังที่เป็นคนดูแลบัญชีกับจางหมัวมัวที่เป็นคนดูเรื่องค่าใช้จ่ายมาด้วยตนเอง ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “หมัวมัวไม่ต้องกล่าวเช่นนี้หรอก ข้าเพิ่งมาเป็นชายาที่นี่ จึงยังไม่ค่อยคุ้นกับเรื่องพวกนี้ ไท่เฟยรองถามเรื่องค่าใช้จ่ายของน้องสาว ข้าจึงต้องเชิญเจ้ามาสอบถาม เมื่อเป็นเช่นนี้ จางหมัวมัว เรื่องค่าใช้จ่ายของน้องสาวเป็นอย่างไรบ้างหรือ หากน้องสาวไม่ได้รับการดูแลอย่างยุติธรรม แล้วคนนอกรู้เข้าก็คงคิดว่าตำหนักอ๋องของเราไม่ดี”  


 


 


จางหมัวมัวรีบเดินขึ้นหน้ามาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า “เรียนพระชายา ค่าใช้จ่ายของคุณหนูนั้นจัดสรรให้เท่ากับเงินที่คุณหนูสายรองของตำหนักควรได้ ถึงแม้ตำหนักของเราจะไม่มีคุณหนูมาหลายรุ่นแล้ว แต่กฎระเบียบเดิมยังคงมีอยู่ บ่าวมิกล้าตัดข้าใช้จ่ายของคุณหนูเป็นอันขาดเพคะ” 


 


 


           “เช่นนั้น ค่าใช้จ่ายของคุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง หากที่ตั้งไว้เมื่อครั้งก่อนไม่เหมาะสมเพียงพอจะปรับเปลี่ยนเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือจะดึงจากเงินส่วนของข้าหรือท่านอ๋องออกไปบ้างก็ยังได้” เยี่ยหลีเอ่ย 


 


 


           จางหมัวมัวเหลือบมองเชียนหรูที่นั่งอยู่ “คุณหนูได้เงินสำหรับใช้จ่ายเดือนละสามสิบตำลึง ปกติเครื่องแป้งและของอื่นๆ ล้วนเป็นของที่ทางตำหนักซื้อให้ต่างหาก ส่วนในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูร้อน ฤดูหนาว ก็มีเสื้อผ้าให้ฤดูละสี่ชุด ช่วงต้นฤดูหนาวและช่วงต้นฤดูร้อนก็จะได้เครื่องประดับอย่างละสองชุด เงินพิเศษช่วงวันตรุษจีนและเทศกาลอื่นๆ ก็ไม่เคยให้ขาดเลยเพคะ บ่าวรับใช้ตำหนักอ๋องนี้มาหลายรุ่น ไม่กล้าปฏิบัติต่อคุณหนูไม่ดีอย่างแน่นอนเพคะ” 


 


 


           ผู้ดูแลบัญชีที่ยืนอยู่อีกด้านก็พูดขึ้นว่า “พระชายาโปรดให้ความเป็นธรรม เมื่อครั้งงานมงคลใหญ่ของท่านอ๋องและพระชายา ทุกคนล้วนได้รับเงินรางวัล ฮูหยินใหญ่ได้ห้าร้อยตำลึง ไท่เฟยรองได้สองร้อยตำลึง คุณหนูหนึ่งร้อยตำลึง พวกบ่าวๆ ในจวนเองก็ล้วนได้รับเงินรางวัล บ่าวไม่เคยรั้งรอ ขอส่งสมุดบัญชีนี้เพื่อเป็นหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ทุกคนจึงหันไปมองทางเชียนหรู ชุดเสื้อผ้าสีขาวของนาง กับรูปร่างบอบบางที่ดูประหนึ่งลมพัดก็จะปลิวได้นั้น ช่างดูไม่เหมือนคนที่ได้รับการดูแลไม่ดีเอาเสียเลย ใบหน้าเคร่งขรึมของซุนหมัวมัวดูไม่พอใจ อย่าว่าแต่ตำหนักอ๋องไม่เคยดูแลนางไม่ดีเลย เพราะต่อให้ดูแลไม่ดีจริง แต่ก็ถือได้ว่าตำหนักอ๋องนี้ได้คอยเลี้ยงดูให้นางมีชีวิตอยู่มาได้ตั้งหลายปี ท่านอ๋องกับพระชายาเพิ่งมีงานมงคลใหญ่ไป ที่แต่งชุดขาวทั้งชุดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน 


 


 


           บรรดาสาวใช้ที่ติดตามเยี่ยหลีมาจากจวนเยี่ยต่างก็มีความเห็นต่อคุณหนูผู้แสนบอบบางคนนี้ คุณหนูสี่ที่ว่าบอบบางมากแล้วนั้น แม่นางคนนี้ยังดูอ่อนแอประหนึ่งต้องลมไม่ได้เลยเสียยิ่งกว่า อีกอย่างสิ่งที่ตำหนักอ๋องให้คุณหนูคนนี้ ก็พอๆ กับที่ตระกูลเยี่ยให้คุณหนูสายหลักแล้วด้วยซ้ำ คุณหนูของตนเมื่อตอนอยู่ที่ตระกูลเยี่ยเดือนๆ หนึ่งได้เงินเพียงสามสิบตำลึงเท่านั้น อีกทั้งในเมืองหลวงก็ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนูหยางคนนี้มาก่อน มองดูก็รู้ว่าคุณหนูคนนี้ไม่เคยออกจากตำหนักไปไหน ย่อมไม่มีค่าใช้จ่ายอันใดแน่นอน คุณหนูของพวกนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาก็รีบแล่นมาร้องว่าเงินไม่พอใช้เช่นนี้ เกินไปแล้วจริงๆ 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองไท่เฟยรอง ไม่ใช่ว่านางเป็นคนใจแคบ เพียงแต่นางเพิ่งเข้ามาอยู่ในตำหนัก จึงมิอาจขัดขืนกฎที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ ตั้งไว้ แล้วเพิ่มเงินที่ให้กับเชียนหรูได้ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีกิจการใหญ่โตเพียงใด ก็คงมิอาจหยิบเงินออกมาใช้ได้ตามใจโดยไม่สนใจอันใดได้ หากไม่มีกฎทุกอย่างคงเละเทะไม่อยู่ในร่องในรอย อีกทั้งที่ตำหนักติ้งอ๋องให้เชียนหรูนั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว น่าเสียดายที่ไท่เฟยรองไม่คิดเช่นนั้น เมื่อเห็นท่าทีลำบากใจของเยี่ยหลีแล้ว นางจึงพูดขึ้นด้วยความโกรธ “พระชายาหมายความว่าอย่างไร ถึงอย่างไรเชียนหรูก็ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ ของท่านอ๋อง หรือว่าแม้แต่เงินค่าใช้จ่ายอีกแค่ไม่กี่ตำลึงนี่ก็ให้ไม่ได้ หากคนนอกรู้เข้าว่าตำหนักติ้งอ๋องดูแลเด็กสาวกำพร้าพ่อแม่แค่คนหนึ่งไม่ดี คงจะไม่ดีต่อชื่อเสียงท่านอ๋องเป็นแน่”  


 


 


สรุปก็คือ ไท่เฟยรองตั้งใจที่จะยัดเยียดชื่อเสียงเรื่องการดูแลคนให้ม่อซิวเหยาให้ได้สินะ 


 


 


           “เช่นนั้น ไท่เฟยรองเห็นว่าเท่าไรจึงจะเหมาะสมหรือ” 


 


 


           ไท่เฟยรองขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่เต็มใจ “อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ต้องมีแปดสิบตำลึง แล้วเรื่องเครื่องประดับ มีแค่สองชุดจะไปพออันใด หลายปีนี้เชียนหรูไม่มีหน้าออกไปพบเจอผู้คน ตอนนี้มีเรื่องแต่งงานเข้ามาอีก อีกหน่อยคงได้ติดตามเจ้าออกไปไหนมาไหนอยู่ไม่น้อย ให้ร้านเฟิงหวาโหลวส่งมาให้อีกสี่ชุดก็แล้วกัน”  


 


 


เมื่อเห็นสีหน้าเผด็จการของไท่เฟยรองแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกกลอกตาในใจ นางเห็นดีด้วยที่จะให้เชียนหรูมาติดตามข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้แต่เรื่องที่หลายปีนี้นางไม่ได้ออกไปไหนมาไหนยังมาโยนให้เป็นความผิดของตำหนักติ้งอ๋องได้อีก หากไม่ได้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ด้วยพื้นฐานบ้านตระกูลหยางเกรงว่าคงไม่มีใครจำเด็กสาวสายรองของตำหนักอ๋องได้เสียด้วยซ้ำ 


 


 


           “ไท่เฟยรองโปรดระวังคำพูดด้วย พระชายาเป็นประมุขหญิงของตำหนักติ้งอ๋อง ไม่อาจพาเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนออกไปไหนมาไหนข้างนอกด้วยได้ ต่อให้ทำได้ ก็ควรเป็นคุณหนูของตำหนักอ๋องหรือน้องสาวสายหลักของบ้านเดิมพระชายาเสียมากกว่า” ซุนหมัวมัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม  


 


 


เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะนึกชมในใจว่า พูดได้ดี นางไม่คิดอยากจะพาหญิงสาวที่อ่อนแอเพียงเห็นดอกไม้ร่วงก็น้ำตาไหล เห็นฝนตกก็เสียใจออกไปแนะนำให้ใครต่อใครได้รู้จักหรอก  


 


 


เมื่อได้ยินที่ซุนหมัวมัวกล่าวเช่นนั้น หยางเชียนหรูก็อายจนหน้าแดง ร้องเบาๆ พร้อมเอามือจับที่หน้าอก มีหยดน้ำกลิ้งไปมาอยู่ในดวงตาจวนเจียนจะไหลลงมาเสียให้ได้  


 


 


เยี่ยหลีไม่รอให้ไท่เฟยรองได้ระบายความโกรธ นางขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ในเมื่อถามจนได้ความโดยละเอียดแล้ว พ่อบ้านหวังกับจางหมัวมัวเชิญออกไปก่อนเถิด แล้วต่อไปทุกเดือนให้ดึงเบี้ยหวัดจากส่วนของข้ายี่สิบตำลึงไปให้คุณหนู ผู้มาเยือนถือว่าเป็นแขก เรามิอาจดูแลนางไม่ดีได้” 


 


 


           “เพคะ น้อมรับคำสั่งพระชายา” พ่อบ้านหวังและจางหมัวมัวรับคำก่อนล่าถอยออกไป 


 


 


           เยี่ยหลีเอ่ยต่อว่า “ไท่เฟยรองกับน้องสาวก็เชิญกลับไปก่อนเถิด ส่วนเรื่องแต่งงานของน้องสาว ข้าขอไปปรึกษากับท่านอ๋องก่อน แล้วข้าจะให้คำตอบไท่เฟยรองอีกทีหนึ่ง” 


 


 


           ไท่เฟยรองยังคงไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นท่าทางส่งแขกของเยี่ยหลี จึงไม่กล้าขัดความต้องการของเยี่ยหลี ทำได้เพียงพาหยางเชียนหรูผู้น่าสงสารกลับออกไปด้วยความโกรธ  

 

 


ตอนที่ 55-3 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง

 

เมื่อส่งทั้งสองคนกลับไปแล้ว เยี่ยหลีหันไปพูดกับซุนหมัวมัวว่า “ซุนหมัวมัว เบี้ยหวัดของพ่อบ้านหวังกับจางหมัวมัวเดือนนี้ให้เพิ่มคนละสิบตำลึง เอาจากส่วนของข้าไปได้เลย” 


 


 


           ซุนหมัวมัวรับคำ ก่อนหันมองเยี่ยหลี “อันที่จริงพระชายาไม่ต้องสนใจไท่เฟยรองกับคุณหนูก็ได้นะเพคะ ตำหนักอ๋องของเราไม่เคยดูแลนางไม่ดีอยู่แล้ว สมบัติที่ตระกูลหยางทิ้งไว้ให้คุณหนู พวกเราไม่เคยไปแตะต้องเลยแม้นิดเดียว”  


 


 


เยี่ยหลีพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “เจ้าดูสิว่าวันนี้นางแต่งตัวเช่นไร หากใครมาเห็นเข้าจะให้คิดว่าอย่างไร”  


 


 


ซุนหมัวมัวเบ้ปาก “พระชายาอาจจะไม่ทราบ คุณหนูคนนี้แปลกน้อยเสียเมื่อไร ได้ยินว่านางชอบสีขาวเป็นที่สุด เดิมทีพวกชุดทั้งสี่ฤดูที่พวกเราส่งไปล้วนเป็นสีสันที่เด็กสาวต่างชื่นชอบ แต่นางกลับบอกว่าโบราณ ยอมใส่แต่ชุดสีขาว หากชุดที่ส่งไปไม่มีสีขาว นางกลับยอมใส่ชุดเก่าของปีที่แล้วแทน ทำให้ต้องเสียเสื้อผ้าไปโดยเปล่าประโยชน์ คนดูแลไม่รู้จะทำเช่นไร ทำได้เพียงพยายามหาชุดสีขาวส่งไปให้นาง งานแต่งงานของท่านอ๋องและพระชายาคราวนี้ จางหมัวมัวได้สั่งเป็นพิเศษให้ทำชุดสีชมพูอ่อนกับชุดสีม่วงอ่อนส่งไปให้ ใครจะคิดว่า…” 


 


 


           โบราณหรือ เกรงว่าคงจะไม่ใช่เพราะเหตุนั้นหรอก เยี่ยหลีนึกไปถึงใครอีกคนที่ชอบใส่ชุดสีอ่อน 


 


 


           “อีกหน่อยเกรงว่าแขกของตำหนักคงจะมีไม่น้อย จะให้นางแต่งตัวเช่นนั้นออกมาเจอผู้คนไม่ได้”  


 


 


เมื่อก่อนตำหนักติ้งอ๋องไม่ค่อยมีแขกไปใครมา แต่ตอนนี้ม่อซิวเหยาแต่งงานและยอมออกมาให้แขกได้พบหน้าแล้ว จะกลับไปปิดประตูไม่ต้อนรับแขกอีกก็คงจะไม่ได้  


 


 


“เดี๋ยวไว้ข้าจะลองถามท่านอ๋องดู ว่าเขาจะให้เปลี่ยนเสื้อสีอ่อนทั้งหมดทิ้งเลยหรือไม่” คิดไปคิดมาแล้ว เยี่ยหลีจึงยิ้มน้อยๆ ซุนหมัวมัวอึ้งไป แต่ก็สามารถเรียกสติกลับมาได้โดยทันที “ความหมายของพระชายาคืออันใดหรือเพคะ” 


 


 


           “ข้าไม่ได้หมายความว่าอันใดทั้งนั้น เพียงแค่ข้าไม่ค่อยชอบชุดสีขาวสักเท่าไร” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ 


 


 


           “พระชายา ท่านอ๋องขอเชิญพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           ข้างกายม่อซิวเหยาไม่มีสาวใช้คอยรับใช้ ดังนั้นคนที่มาแจ้งข่าวจึงเป็นองครักษ์ข้างกายของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถาม “ตอนนี้ท่านอ๋องอยู่ที่ใด”  


 


 


“ท่านอ๋องรอพระชายาอยู่ที่ศาลากลางน้ำพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


           “ข้ารู้แล้ว เจ้าไปเถิด” 


 


 


           ตำหนักติ้งอ๋องถือเป็นตำหนักที่กว้างใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกี่ยวพันกับสถานะของตำหนักติ้งอ๋องในต้าฉู่ ติ้งอ๋องทุกรุ่นก็คอยปรับปรุงตำหนักมาเรื่อยๆ ถึงแม้จะไม่มีการขยายพื้นที่ แต่เรื่องทัศนียภาพถือได้ว่าสวยงามเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง มุมทางทิศตะวันตกของตำหนักเป็นทะเลสาบที่กินพื้นที่หนึ่งในหกส่วนของตำหนัก และมีการสร้างทางเดินไม้คดเคี้ยวไปมาจนถึงกลางทะเลสาบซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลากลางน้ำขนาดใหญ่จนสามารถแบ่งได้ถึงสามห้อง ในทะเลสาบเต็มไปด้วยใบบัวสีเขียว เมื่อสะท้อนน้ำทำให้น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวมรกตใส เพียงเดินเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย น่าจะเป็นที่หลบร้อนในฤดูร้อนได้ดี 


 


 


           เยี่ยหลีโบกมือให้สาวใช้หยุดรอ ส่วนตนก้าวไปทางเดินเหนือของทะเลสาบไปยังศาลากลางน้ำ นางเดินเข้าไปก็เห็นม่อซิวเหยากำลังนั่งใจลอยอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดกว้าง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านาง ม่อซิวเหยาจึงเรียกสติกลับมาแล้วหันมายิ้มให้นาง “อาหลี”  


 


 


เยี่ยหลีเดินเข้าไปข้างใน “กำลังคิดอันใดอยู่หรือ”  


 


 


ม่อซิวเหยายิ้มแล้วส่ายหน้า “สองวันนี้ยุ่งแต่กับเรื่องน่าเบื่อๆ จนไม่มีเวลาถามเลยว่า เจ้าพอคุ้นชินกับที่นี่หรือยัง” 


 


 


           เยี่ยหลียักไหล่ ก่อนหาที่นั่งตรงข้ามเขาแล้วนั่งลง  


 


 


“ความสามารถในการปรับตัวของข้าดีมากมาโดยตลอด คนในตำหนักก็ล้วนเป็นคนดี ข้าเริ่มคุ้นชินกับที่นี่แล้ว”  


 


 


เมื่อเห็นม่อซิวเหยามองนางแปลกๆ เยี่ยหลีจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วยิ้มให้เขา “คงไม่ใช่ว่าท่านยังไม่ชินหรอกกระมัง” ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะพยักหน้าขึ้นมาจริงๆ เขาหัวเราะเสียงเบา “ข้ายังไม่ค่อยชินจริงๆ เสียด้วย ดูเหมือน…หลายปีมาแล้วที่ข้ารู้สึกว่าในตำหนักนี้มีข้าอยู่เพียงคนเดียว” 


 


 


           “อืม…ต้องการให้ข้าหลบไปหรือไม่” เยี่ยหลีรู้สึกผิดเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าการมีอยู่ของนางจะสร้างความลำบากใจให้ม่อซิวเหยาเสียได้ ม่อซิวเหยาเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่หุบลง เขาส่ายหน้า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร อาหลี ข้าคิดว่าพวกเราเป็นสามีภรรยากันเสียอีก” 


 


 


           “ถ้าเช่นนั้น…” 


 


 


           “ข้าคิดว่าพวกเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่านี้” ม่อซิวเหยาเอ่ย 


 


 


           เยี่ยหลีจึงได้เข้าใจ กับคนบางคนเมื่อเจอกับเรื่องที่ตนไม่คุ้นชินก็จะหลบหนี แต่กับบางคนกลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความลำบากแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยาเป็นคนอย่างหลัง คู่แต่งงานอย่างพวกเขาที่ก่อนหน้าแต่งงานไม่เคยมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอกันมาก่อน หลังแต่งงานย่อมต้องสร้างความรู้สึกต่อกันใหม่ “ท่านมีความเห็นอันใดดีๆ หรือ”  


 


 


“หากเจ้ามีเวลาว่างสามารถมาพูดคุยกับข้าหรืออ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้าได้ หรือหากเจ้าไม่รู้สึกขายหน้า ข้าก็สามารถออกไปไหนมาไหนเป็นเพื่อนเจ้าได้” ม่อซิวเหยาตอบ 


 


 


           ออกไปข้างนอกหรือ เยี่ยหลีใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย นางลืมไปเลยว่าหลังแต่งงานแล้วจะมีผลพลอยได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือออกไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าแต่ก่อน 


 


 


           “ไม่มีปัญหา” เยี่ยหลีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของม่อซิวเหยา 


 


 


           เมื่อเห็นนางไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย ก็ทำให้ม่อซิวเหยาอึ้งไป มุมปากยกขึ้น ดูมีแววรื่นรมย์อยู่น้อยๆ “เมื่อวานข้าบอกว่าจะวาดภาพเหมือนให้อาหลี อาหลีมาดูสิว่าภาพนี้เป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


เยี่ยหลีเดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจ “วาดเสร็จเร็วเช่นนี้เชียวหรือ” 


 


 


           บนโต๊ะด้านหน้าม่อซิวเหยามีม้วนภาพม้วนหนึ่งกางเปิดอยู่ ในภาพมีหญิงสาวในชุดแดงคนหนึ่งกำลังยืนถือดาบ เยี่ยหลีมองออกทันที การแต่งตัวและเครื่องประดับศีรษะนั้นเป็นชุดที่นางใส่ในวันแต่งงาน เพียงแต่ชุดสีแดงนั้นไม่ใช่ชุดผ้าไหมเฟิ่งหวางปักลายดอกโบตั๋นอันหรูหรากรุยกรายอย่างที่นางใส่จริงในวันแต่งงาน แต่เป็นชุดพลิ้วไหวสีแดงปักลายเมฆสีทอง ช่วงเอวคาดไว้ด้วยผ้าสีทอง ดอกโบตั๋นตรงหว่างคิ้วเปลี่ยนเป็นรูปลูกไฟสีแดงสด ในมือหญิงสาวถือกระบี่ร่ายรำ ใบหน้าเปล่งประกายสง่างาม และดูมีความทระนงและดุดันเพิ่มเข้ามา 


 


 


           “นี่คือข้าหรือ” เยี่ยหลีจ้องมองหญิงสาวในภาพด้วยความตกตะลึงแล้วเอ่ยถามเสียงเบา หญิงสาวในภาพมีใบหน้าที่นางคุ้นเคย ทว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า แต่ในความรู้สึกแปลกหน้านั้นกลับเป็นเหมือนความรู้สึกที่นางคุ้นเคยอยู่จริง ไม่รู้เพราะเหตุใด เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่าหญิงสาวในภาพนั้นงดงามยิ่งนัก งดงามกว่าปกติที่นางมองตนเองในกระจกอยู่เป็นร้อยเท่า  


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “เล่าขานหญิงงามเคยร่ายรำ กระบี่เดียวสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า อาหลีมีบุคลิกเหมือนท่านหญิงชิงอวิ๋นในสมัยนั้น” 


 


 


           “ข้าไม่…” อาหลีส่ายหน้า นางไม่เคยรำกระบี่ให้ใครเห็น พูดให้ถูกคือนางรำกระบี่ไม่เป็น เยี่ยหลีมองกระบี่หลั่นอวิ๋นที่ส่องประกายอยู่ในมือหญิงสาวในภาพอย่างใจลอย 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “ข้าเห็นว่านี่ถึงจะเป็นอาหลี” 


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งเงียบไป แต่สายตาไม่อาจละไปจากหญิงสาวในภาพได้เลย จริงๆ แล้ว นางเคยเห็นสีหน้าเช่นนี้บนอีกใบหน้าหนึ่งที่นางคุ้นเคย ถือปืนบ้าระห่ำอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและสายลมฝนแห่งเลือด ห้ำหั่นเข้าฆ่าฟันศัตรู ซึ่งนั่นเป็นชีวิตที่แตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่นางยอมรับความจริงในปัจจุบันได้ นางพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตนเองเป็นไปตามสิ่งที่หญิงสาวในยุคนี้ควรจะเป็น และคิดว่าตนเองค่อยๆ ลืมหญิงสาวที่สามารถยิ้มได้ท่ามกลางกองโคลนและหยาดเหงื่อ แต่หาก…นางลืมได้แล้วจริงๆ หากนางยอมรับได้แล้วจริงๆ ตอนนี้นางจะมีความสามารถที่แอบซ่อนไว้ได้อย่างไร 


 


 


           “วันนั้นที่อาหลีจับกระบี่หลั่นอวิ๋น…ข้าคิดว่าอาหลีงดงามกว่าทุกครั้งที่ข้าพบเห็น” ม่อซิวเหยาพูดประหนึ่งทอดถอนใจ มีภาพเยี่ยหลีในวันที่ดึงกระบี่หลั่นอวิ๋นลอยคว้างอยู่ในดวงตา ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่นั้นเป็นลักษณะเยือกเย็นที่หาไม่ได้ในหญิงสาวผู้ใด รวมถึงท่าทีโบกมือสะบัดกระบี่อย่างเป็นธรรมชาตินั่นด้วย ในตอนนั้นม่อซิวเหยารู้สึกประหนึ่งว่าตนได้เห็นนายทหารชั้นเอกที่อยู่ในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


           “ท่าน…ภาพนี้ท่านให้ข้าใช่หรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “สิ่งนี้ข้าย่อมให้เจ้า” ตั้งแต่เมื่อวานที่เอ่ยเรื่องภาพวาดขึ้นมาโดยบังเอิญ ม่อซิวเหยารู้ดีว่าอันที่จริงเยี่ยหลีนึกว่าตนเพียงพูดเล่นเท่านั้น แต่ในหัวของเขากลับมีแต่ภาพของเยี่ยหลีที่งดงามน่าดึงดูดในวันแต่งงานและภาพวันที่นางชักกระบี่ในจวนเยี่ยลอยขึ้นมา ดังนั้นถึงแม้สองวันนี้ในตำหนักจะมีเรื่องยุ่งยากอยู่ไม่น้อย แต่เขายังใช้เวลายามค่ำคืนวาดภาพนี้ออกมา “เพียงแต่ ข้ายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย อาหลีเห็นว่าควรจะตั้งชื่อใดดี” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล “ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรไม่ได้เอาออกไปให้ใครชื่นชมอยู่แล้ว” นางชอบภาพวาดภาพนี้มาก หากตั้งชื่อภาพแล้วทำให้มันดูแย่ลงจะทำอย่างไร 


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว จากนั้นจึงค่อยพยักหน้า “เอาเถิด ไม่ต้องตั้งชื่อก็ได้ แต่อย่างไรก็ยังต้องลงชื่อ” เขาหยิบพู่กันขึ้นจากแท่นแขวนพู่กันบนโต๊ะ ก่อนเอ่ยปากสั่งว่า “ช่วยข้าฝนหมึกที” 


 


 


           เยี่ยหลีอยากเห็นตัวอักษรของม่อซิวเหยา จากฝีมือที่ได้เห็นในภาพนี้ เรื่องที่ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาเคยบอกว่าตนวาดภาพได้ดีไม่แพ้หานหมิงเย่ว์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาอวดอ้างเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนตัวหนังสือออกมาเป็นอย่างไร  


 


 


ม่อซิวเหยามองนางยิ้มๆ “การเขียนตัวอักษรของอาหลีมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก ข้าอาจทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว”  


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มมองเขาที่กำลังนำพู่กันไปจุ่มหมึก ก่อนเขียนอักษรลงที่มุมหนึ่งของภาพว่า “ติ้งอ๋องซิวเหยาให้อาหลีผู้เป็นภรรยา” ตัวอักษรของม่อซิเหยามีทั้งความหนักแน่นและสง่างาม แต่มองดูแล้วไม่ทำให้รู้สึกถึงความโอ้อวด  


 


 


เยี่ยหลีพอใจเป็นอย่างมาก นางหยิบภาพขึ้นอย่างระมัดระวัง ปล่อยให้ลมพัดจนแห้งก่อนนำกลับมาวางที่เดิม เมื่อกวาดตาไปเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าให้อาหลีผู้เป็นภรรยาแล้ว ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ก็เห็นเขากำลังมองมาที่นางอยู่พอดี หากนางหลบตาตอนนี้จะแสดงให้เห็นว่านางกลัวชัดเจนเกินไปหรือเปล่า เยี่ยหลีจึงเบิกตาให้โตขึ้นแล้วจ้องตอบเขา ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ ก่อนเป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อน 


 


 


           บรรยากาศตอนนี้แปลกเสียจนเยี่ยหลีคิดอยากที่จะหลบไปจากตรงนี้ แต่ภาพที่อยู่บนโต๊ะทำให้นางไม่อยากจากไปไหน หากไปเสียดื้อๆ เช่นนี้ก็แสดงว่านางเป็นฝ่ายยอมแพ้อย่างนั้นสิ นางเพิ่งตอบตกลงว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาให้มากขึ้นไปไม่นานนี้เอง ภายในหัวนางคิดวนเวียนไปมา ก่อนเยี่ยหลีจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“จริงสิ เมื่อครู่ข้ามีเรื่องที่อยากปรึกษาท่าน ท่านเปลี่ยนชุดสีขาวทั้งหมดได้หรือไม่” เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงน เยี่ยหลีจึงถามต่อว่า “หรือว่าท่านชอบสีขาวเป็นพิเศษ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ชอบสีไหนเป็นพิเศษ เพียงแต่ใช้จนชินแล้วเท่านั้น ว่าแต่…เหตุใดเจ้าจึงคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหรือ” เท่าที่เขารู้จักเยี่ยหลี นางไม่ใช่คนที่จะเข้ามายุ่มย่ามว่าเขาจะใส่เสื้อผ้าสีอะไร 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ก่อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนเมื่อสักครู่ ม่อซิวเหยามองนางโดยไม่พูดอันใด “ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าเป็นเพราะข้าใส่สีขาว นางจึงไม่ใส่ชุดสีอื่นนอกจากสีขาวหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าคิดเช่นนั้น” 


 


 


           “แต่ข้าก็ไม่ได้ใส่แต่สีขาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี่” ถึงแม้ชุดของเขาจะเป็นสีอ่อนเสียมาก แต่ไม่ถึงขนาดว่าไม่มีสีอื่นเลย 


 


 


           “แต่ก็ชัดเจนมาก ทุกครั้งที่ท่านปรากฏตัวต่อหน้านางก็มักอยู่ในชุดสีขาวเสมอ” เยี่ยหลียักไหล่อย่างเกียจคร้าน 


 


 


           ม่อซิวเหยาจ้องนางอยู่นาน ก่อนหัวเราะขึ้นเสียงเบา “หึหึ…อาหลี นี่เจ้ากำลังหึงหรือ” 


 


 


           หึงหรือ! 


 


 


           เยี่ยหลีหน้าบึ้งขึ้นมาทันควัน ดีดตัวลุกขึ้นก่อนเอ่ยเสียงปกติว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้หึง!” พูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไป โดยไม่สนใจแม้แต่ภาพวาด 


 


 


           “ท่านอ๋อง” 


 


 


           ผ่านไปเพียงครู่ อาจิ่นก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูมองมาที่ม่อซิวเหยา ซุนหมัวมัวพูดถูก ท่านอ๋องไม่ค่อยรู้ว่าจะปฏิบัติต่อพระชายาอย่างไร นี่เพียงไม่นานก็ทำให้พระชายาโกรธจนหนีไปเสียแล้ว 


 


 


           ม่อซิวหยายิ้มน้อยๆ “อีกประเดี๋ยวนำภาพนี้ไปส่งให้พระชายาด้วย”  

 

 


ตอนที่ 56-1 กลับบ้าน

 

           พวกชิงหลวนซึ่งเดินตามหลังเยี่ยหลี เห็นคุณหนูของตนที่มักมีท่าทีนุ่มนวลอยู่เป็นนิจ ตอนนี้กลับมีสีหน้าบูดบึ้ง เดินสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกมา ทำให้พวกนางอดที่เหลือบมองกันไม่ได้ ศาลากลางน้ำอยู่กลางทะเลสาบไกลจากฝั่งมากเกินไป พวกนางไม่ได้ยินสิ่งที่ท่านอ๋องกับพระชายาคุยกันเลย  


 


 


ชิงสยาเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “หรือว่าท่านอ๋องรังแกพระชายา”  


 


 


ชิงซวงหน้าขรึมลงทันที “อันใดนะ ท่านอ๋องรังแกคุณหนูหรือ” 


 


 


           ชิงหลวนและชิงอวี้รีบจับชิงซวงไว้ก่อนที่นางจะอาละวาด ชิงหลวนอดเบ้ปากไม่ได้ นางเคยเห็นฝีมือของพระชายามาแล้วกับตา นางสามารถล้มชายกำยำได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทันได้หายใจ กับท่านอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จะรังแกพระชายาได้หรือ  


 


 


ชิงอวี้หยุดคิดเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวไปถามอาจิ่นก็แล้วกัน เขาต้องรู้เป็นแน่”  


 


 


ชิงซวงเบ้บาก “เขาก็อยู่ที่ฝั่งเหมือนพวกเรา จะรู้ได้อย่างไร”  


 


 


ชิงสยาเห็นด้วย “เขาติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กๆ ย่อมรู้แน่ว่าท่านอ๋องทำอันใดให้พระชายาโกรธ รีบเดินเถิด พระชายาเดินไปไกลแล้ว” 


 


 


           เยี่ยหลีเร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังเรือนของตน ในใจนึกก่นด่าม่อซิวเหยาเสียไม่มีชิ้นดี นางตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้คิดว่าเขาเป็นคนสุภาพ ถึงขั้นเคยคิดว่าเขาไม่ประสาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่แท้เจ้าคนบ้านั่นก็เล่นละคร…ไม่สิ เล่นตลกกับนาง! หึง! หึง…เจ้าทึ่มเอ๊ย นางจะไปหึงอันใดกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไร อย่างดีก็แค่ไม่ชอบเห็นคนอื่นอยากได้ของของนางก็เท่านั้นเอง 


 


 


           “พระชายานี่เป็นอันใดไปเพคะ” เมื่อกลับถึงเรือน เว่ยหมัวมัวที่เดินออกมารับ เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเยี่ยหลีก็รีบเอ่ยถามทันที นับตั้งแต่จากคุณหนูที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไปก็นานหลายปี เว่ยหมัวมัวจึงทุ่มเทความเป็นห่วงเป็นใยขาดหายไปนานให้กับเยี่ยหลีทั้งหมด เป็นห่วงทั้งความรู้สึกและสุขภาพของนางมากกว่าใคร  


 


 


เมื่อหมัวมัวเอ่ยถามเช่นนี้เยี่ยหลีกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ด้วยรู้ตัวว่าตนเองออกอาการมากเกินไป จึงไม่กล้าพูดว่าตนถูกม่อซิวเหยาเล่นตลกใส่ จนเดินงอนหนีออกมา นางรีบจับมือเว่ยหมัวมัว “แม่นม ข้าไม่ได้ให้ท่านพักผ่อนหรือ เหตุใดท่านถึงได้มาคอยดูแลข้าทั้งวันเช่นนี้ ระวังเถิด หลานตัวน้อยของท่านจะจำท่านไม่ได้เสีย”  


 


 


ครอบครัวของหลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวต่างติดตามเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋อง และเยี่ยหลีก็ให้คนในครอบครัวที่เป็นชายซึ่งพอใช้การใช้งานได้ไปเป็นหลงจู๊คอยดูแลร้านค้าและบ้านพักอาศัยข้างนอก ส่วนผู้หญิงก็ให้ทำงานอยู่ที่เรือนของตน ปกติจึงพยายามไม่ให้ทั้งสองต้องมาคอยดูและรับใช้ตนมากนัก โดยเฉพาะหลินหมัวมัวที่อายุไม่น้อยแล้ว หากมาคอยตามนางที่ยังสาวไปไหนต่อไหน คงไม่ใช่งานเบาๆ เป็นแน่ 


 


 


           เว่ยหมัวมัวมองหน้านางด้วยความเสียใจ “คุณหนูเป็นผู้ใหญ่แล้ว รำคาญแม่นมแล้วใช่หรือไม่เพคะ” 


 


 


           “แม่นม…” เยี่ยหลีถึงกับปวดหัว มาไม้นี้อีกแล้ว! แต่ยังดีที่ช่วยเปลี่ยนเรื่องไปได้ นางจูงเว่ยหมัวมัวเข้าไปข้างใน เยี่ยหลีเอ่ยปลอบโยนเว่ยหมัวมัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทำให้นางค่อยยิ้มออกได้ 


 


 


           “พระชายา อาจิ่นมาเพคะ” ชิงซวงเข้ามารายงาน ใบหน้างามงอง้ำ ดูท่าคงไปโกรธอันใดอาจิ่นเข้า 


 


 


           “ให้เขาเข้ามาเถิด” เยี่ยหลียิ้มอย่างล้อเลียน “ใครไปทำให้ซวงเอ๋อร์ของเราโกรธเข้าเสียแล้ว” 


 


 


           ชิงซวงกระทืบเท้าหน้าแดง “คุณหนู! ก็อาจิ่นที่สมควรตายนี่อย่างไรเล่าเพคะ ถือว่าตนเป็นคนสนิทท่านอ๋อง วันวันเอาแต่ทำหน้าตาย อย่างกับมีใครไปติดหนี้เขาสักห้าร้อยตำลึงแล้วไม่คืนอย่างนั้น”  


 


 


เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ชิงซวง เจ้าไปหาเรื่องเขาเองละสิ อาจิ่นแค่เป็นคนไม่ค่อยพูดเท่านั้น ยังห่างไกลจากคนหน้าตายมากนัก” ม่อจิ่งหลีต่างหากถึงจะเรียกว่าคนหน้าตาย กับอาจิ่นอย่างมากก็แค่เป็นคนขรึมๆ ไม่ค่อยพูด หน้านิ่งๆ ที่ยังพอมีแววอ่อนให้เห็น ยังเทียบกับพี่รองไม่ได้ด้วยซ้ำ 


 


 


           อาจิ่นถือกล่องเดินเข้ามา เหลือบมองชิงซวงด้วยใบสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ชิงซวงรู้ดีว่าตนนินทาคนอื่นทั้งยังให้เขาได้ยินเต็มสองหูเช่นนี้ จึงรู้สึกละอายใจไม่น้อย จึงหันหน้าหนีไปเสีย เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ แต่สีหน้าที่มองอาจิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจิ่น มีเรื่องอันใดหรือ” อาจิ่นวางกล่องลงบนโต๊ะ ก่อนเดินถอยออกไปสองก้าว “ท่านอ๋องสั่งให้อาจิ่นนำของสิ่งนี้มาให้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้พระชายาโกรธ พระชายาเป็นคนใจกว้าง ขออย่าได้ถือโทษโกรธท่านอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคที่พูดอย่างติดๆ ขัดๆ นั้น ทำให้เยี่ยหลีรู้ทัน จึงส่งยิ้มให้อาจิ่น “อาจิ่น ประโยคสุดท้ายนั่นใครสอนให้เจ้าพูดหรือ” 


 


 


           อาจิ่นหน้าแดงขึ้นทันที ได้แต่นิ่งอึ้งมองเยี่ยหลีอย่างไม่รู้จะทำเช่นใดดี ทั้งพระชายาและท่านอ๋องต่างก็เป็นคนฉลาด พูดโกหกต่อหน้าพวกท่านถึงอย่างไรก็ถูกจับได้ อาจิ่นจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ  


 


 


           เยี่ยหลีอมยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ท่านอ๋องของเจ้าไม่มีทางพูดเช่นนี้ อีกอย่างข้าไม่ได้โกรธอันใด ของนี่ข้ารับไว้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด” 


 


 


           อาจิ่นถอยกลับไปเงียบๆ เยี่ยหลีเปิดกล่องดูอย่างอารมณ์ดี ในกล่องเป็นภาพอย่างที่นางคิดไว้ เมื่อสักครู่นางยังคิดอยู่ว่าจะไปหาข้ออ้างใดเพื่อให้ได้รูปนี้กลับมาดี ไม่คิดเลยว่าม่อซิวเหยาจะให้อาจิ่นนำมาให้รวดเร็วเช่นนี้ นางกางภาพออกลงบนโต๊ะ เยี่ยหลีจ้องมองหญิงสาวในภาพแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ในหัวมีคำพูดของม่อซิวเหยาดังขึ้น… “ข้าคิดว่านี่ถึงจะเป็นอาหลี” 


 


 


           “สวยจังเลย…” ชิงซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “คุณหนู ภาพนี้ท่านอ๋องเป็นคนวาดหรือเพคะ สวยจังเลยเพคะ” 


 


 


           เว่ยหมัวมัวเองก็ยิ้มอย่างพอใจยิ่ง “ท่านอ๋องมีใจให้คุณหนูแล้ว ดูท่า นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่จะดูคนไม่ผิดจริงๆ หึหึ…” 


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้พูดอันใด แค่ภาพภาพเดียวจะอันใดกันเชียว 


 


 


           เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ต้องกลับบ้านเดิมแล้ว สามวันที่เยี่ยหลีอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องนี้ถือว่านางปรับตัวได้ดีมากทีเดียว แม้แต่หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวที่ก่อนหน้านี้นึกหนักใจ ยังเบาใจไปได้มาก เหลือก็เพียงเรื่องที่ท่านอ๋องและพระชายายังไม่ได้ร่วมหอกันเท่านั้นที่ทำให้หมัวมัวทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่คนที่เป็นกังวลและไม่พอใจในเรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงพวกนางเท่านั้น ซุนหมัวมัวของตำหนักติ้งอ๋องเองก็เช่นกัน ซุนหมัวมัวเองก็เห็นม่อซิวเหยามาตั้งแต่เล็กๆ รู้จักนิสัยเจ้านายของตนเป็นอย่างดี กับพระชายาคนใหม่ก็ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่พอใจ ถึงขั้นเคยส่งสัญญาณให้หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวช่วยคิดหาทาง บ่าวเล็กบ่าวใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋องต่างให้ความเคารพคุณหนูของตนกันอย่างพร้อมเพรียง รอเพียงให้คุณหนูกลับมาจากการกลับบ้านเดิมก็จะได้เข้าดูแลตำหนักติ้งอ๋องอย่างเป็นทางการ แล้วหมัวมัวทั้งสองจะมีเรื่องอันใดให้ไม่พอใจอีกหรือ ดังนั้นเมื่อตอนกลับบ้านรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกนางจึงสดใสเสียจนแทบจะมีดอกไม้บานออกมา 


 


 


           ตระกูลเยี่ยให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ไม่เพียงเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อที่พาเยี่ยซาน เยี่ยหลินและเยี่ยหรงออกมาต้องรับเท่านั้น แม้แต่คนที่แต่งงานออกไปแล้วอย่างเยี่ยเจินและเยี่ยอิ๋งก็ได้พาสามีของตนกลับมาด้วย ที่เยี่ยอิ๋งกลับมาร่วมงานด้วยนั้นเยี่ยหลีไม่แปลกใจเท่าไร แต่เยี่ยเจินที่เป็นชายารองของหนานโหวซื่อจื่อสามารถพาหนานโหวซื่อจื่อกลับมาเป็นเพื่อนตนได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อย เข้ามาถึงก็พบเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทันที เยี่ยหลีถูกพี่ๆ น้องๆ พาไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวทันที ส่วนม่อซิวเหยาอยู่คุยกับเจ้ากรมเยี่ยและม่อจิ่งหลีอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ 


 


 


           เรือนชิงอี้เซวียนที่เยี่ยหลีเคยอยู่ยังคงเก็บไว้ให้นาง พี่น้องสาวๆ จึงมานั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินในเรือนชิงอี้เซวียน เยี่ยเจินมองบรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วหันมองชุดสีม่วงอ่อนของเยี่ยหลี บนศีรษะนางเสียบแซมด้วยเครื่องประดับมุก บนติ่งหูมีต่างหูมุกห้อยอยู่ ข้อมือสวมกำไลข้อมือหยกลายดอกบัวชั้นดี เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์นิ่งๆ ทั้งยังอมยิ้มอยู่ในหน้าอีกด้วย ทำให้ดูมีความสูงส่งกว่าตอนที่อยู่บ้านนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนใจด้วยนึกอิจฉา “ดูท่าน้องสามจะอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างสบายใจดีใช่หรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีแย้มยิ้ม “ลำบากพี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงแล้ว เรียบร้อยดีทุกอย่าง”  


 


 


เยี่ยซานคอยจับแขนเยี่ยหลีถามโน่นนี่ไม่ได้หยุด เช่นว่า ตำหนักติ้งอ๋องใหญ่หรือไม่ สวยงามหรือไม่ ในตำหนักมีใครอยู่บ้าง น่าคบหาหรือไม่ เป็นต้น เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้รีบร้อนตอบ รอจนนางถามจนพอใจแล้วจึงค่อยเลือกคำถามข้อที่ตอบได้มาตอบ เยี่ยซานยังไม่ได้คำตอบที่ตนพอใจ จึงอยากจะเอ่ยปากถามต่อ แต่ก็ถูกเยี่ยหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงเอาไว้เสียก่อน จึงได้หยุดปากด้วยความผิดหวัง 


 


 


           “ได้ยินว่าในตำหนักติ้งอ๋องยังมีพระชายาคนก่อนกับไท่เฟยรองอยู่หรือ พี่สามได้พบแล้วหรือไม่” ด้วยเมื่อครู่เยี่ยซานเอ่ยปากถามไม่ได้หยุด ทำให้เยี่ยอิ๋งไม่มีโอกาสได้พูดเลย ทำได้เพียงนั่งหน้านิ่งเฉยอยู่อีกด้านหนึ่ง เพิ่งมีโอกาสได้มองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามก็ตอนนี้เอง 


 


 


           เยี่ยหลีมองดูเยี่ยอิ๋งด้วยความตกใจ ก่อนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสี่ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดีหรือเปล่า” ช่วงเวลาเพียงไม่นาน เยี่ยอิ๋งดูเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ดูนางผ่ายผอมและบอบบางลงไปยิ่งกว่าเดิมจนเกือบต้องลมไม่ได้เสียแล้ว แต่ก่อนเมื่อสมัยที่ยังอยู่ตระกูลเยี่ย ถึงแม้เยี่ยอิ๋งจะดูบอบบางแต่อันที่จริงแล้วหวังซื่อบำรุงนางเป็นอย่างดี สีหน้ามีเลือดฝาด ดูมีเสน่ห์อยู่เสมอ แต่มาตอนนี้เลือดฝาดบนใบหน้านั้นกลับหายไป ทั้งยังดูเงียบเชียบลงกว่าแต่ก่อนไม่น้อย ถึงแม้ใบหน้าจะมีสีสันจากการปัดแก้ม แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดความสวยเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องประทินโฉมเหมือนแต่ก่อน  


 


 


แววตาเยี่ยอิ๋งเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนหลุบตาลงต่ำ “ลำบากให้พี่สามต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าเพียงแต่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”  

 

 


ตอนที่ 56-2 กลับบ้าน

 

เยี่ยหลีลอบถอนใจเบาๆ เยี่ยอิ๋งเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยจริงๆ ดูท่าความสามารถในการอบรมของเสียนเจาไท่เฟยจะห่างชั้นกับเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่พอดูทีเดียว “เมื่อเหนื่อยก็ต้องรู้จักพักผ่อนให้มากๆ ไม่ว่าอย่างไรสุขภาพก็สำคัญที่สุด หากไม่มีสุขภาพที่ดีแล้วก็เท่ากับไม่มีอันใดเลย” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนนางเสียสองประโยค ก่อนกลับไปตอบคำถามของเยี่ยอิ๋ง “พี่สะใภ้ใหญ่ไปอยู่ที่วัดเสียหลายปีแล้ว ไว้ข้ากลับไปนี่จึงค่อยเข้าไปคารวะนาง ส่วนไท่เฟยรองนั้น…” เมื่อคิดถึงไท่เฟยรองที่มีนิสัยแปลกประหลาดแล้ว เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ชายารองของท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันบ่อยนัก”


 


 


เยี่ยซานรีบพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นในตำหนักติ้งอ๋องก็มีเพียงพี่สามกับท่านอ๋องเป็นประมุขกันสองคนเท่านั้นใช่หรือไม่” เมื่อพูดจบประโยค ไม่เพียงเยี่ยซาน เยี่ยเจิน และเยี่ยหลินเท่านั้นที่นึกอิจฉา แม้แต่เยี่ยอิ๋งก็ยังอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาอิจฉามาที่นาง ในตำหนักที่ไม่มีผู้ใหญ่มาคอยกดหัว ไม่มีพวกพี่สะใภ้น้องสะใภ้ หรือแม้แต่น้องเขยให้ต้องคอยรับมือ ช่างเป็นบ้านในฝันของเจ้าสาวทุกคนที่เพิ่งแต่งงานออกไปจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงสภาพของม่อซิวเหยา เยี่ยอิ๋งก็กลับมารู้สึกว่าเสมอกันแล้ว หากเทียบกับการออกไปไหนแล้วผู้คนจะคอยหัวเราะเยาะหรือไม่ก็เห็นใจแล้ว การที่อยู่บ้านแล้วถูกรังแกบ้างก็ยังถือว่าพอทนได้มิใช่หรือ


 


 


           “ดูแล้วน้องสามกับท่านอ๋องมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน น้องสามช่างมีวาสนานัก” เยี่ยเจินถอนใจเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา


 


 


           เยี่ยอิ๋งดูไม่ค่อยเชื่อถือนัก จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ติ้งอ๋องเป็นคนอารมณ์ดีเช่นนั้นจริงหรือ ได้ยินคนพูดกันว่า โดยทั่วไปคนพิการมักมีอารมณ์แปลกๆ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องไม่ใช่คนคบหาด้วยยาก” ม่อซิวเหยาอารมณ์ดีหรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่ ณ ตอนนี้พวกเขาปรองดองกันดีก็พอแล้ว


 


 


เยี่ยอิ๋งรู้ว่าเยี่ยหลีไม่ค่อยพอใจกับคำพูดนางสักเท่าไร แต่ไหนแต่ไรมานางไม่คุ้นเคยกับการก้มหัวให้เยี่ยหลี จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดขึ้นทันที เมื่อเยี่ยเจินเห็นท่าทีของทั้งสอง จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “อีกไม่กี่วันในวังก็จะจัดงานเลี้ยงส่งคณะทูตจากแคว้นต่างๆ แล้ว น้องสาม น้องสี่ได้รับจดหมายเชิญกันหรือยัง”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “ยังเลย”


 


 


           เยี่ยหลินหัวเราะ “คณะทูตจากแคว้นต่างๆ ก็มาเพื่ออวยพรพี่สามกับท่านอ๋องในงานมงคลสมรสทั้งนั้น ต่อให้คนอื่นไม่ไป อย่างไรท่านอ๋องกับพี่สามก็ต้องไป แต่ว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงรู้เรื่องนี้เร็วกว่าพี่สามกับพี่สี่อีกเล่า”


 


 


เยี่ยเจินหัวเราะ “งานครั้งนี้ฮ่องเต้มอบหมายให้ท่านซื่อจื่อของข้าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าย่อมรู้ก่อนเป็นธรรมดา”


 


 


เยี่ยซานตาเป็นประกาย “เช่นนั้นพี่ใหญ่จะได้ไปด้วยหรือไม่”


 


 


เยี่ยเจินพยักหน้าอย่างทั้งเขินอายและยินดี “ซื่อจื่อท่านบอกแล้วว่าคราวนี้จะพาข้าเข้าวังไปด้วย” พูดจบก็หันไปมองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ ที่หนานโหวซื่อจื่อตัดสินใจให้นางที่เป็นชายารองเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วย คงเพราะนางเพิ่งได้เป็นพี่สาวของพระชายาติ้งอ๋องเป็นแน่ ถึงแม้จะเป็นเพียงชายารอง แต่ทุกวันนี้เยี่ยเจินเริ่มรู้สึกว่าตนพอมีที่ยืนในตำหนักหนานโหวบ้างแล้ว เพราะต่อให้เป็นชายาเอกของซื่อจื่อก็ยังไม่มีน้องสาวที่เป็นเจาอี๋หนึ่งคนและพระชายาเอกอีกสองคนหรอก เมื่อมองจากจุดนี้ หากตนสามารถคลอดทายาทชายออกมาได้ ต่อไปอาจมีโอกาสต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่กับชายาซื่อจื่อเลยก็เป็นได้


 


 


           “เหอะ ต่อให้พี่ใหญ่ได้ไป แต่เจ้าก็คงไม่ได้ไปหรอก” เยี่ยอิ๋งมองเยี่ยซานด้วยความดูแคลน ก่อนเอ่ยวาจาเชือดเฉือน เยี่ยซานหน้าแดงขึ้นทันที พูดอย่างอายๆ ว่า “พี่สี่ ข้า…ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” เยี่ยอิ๋งไม่แม้แต่จะหันไปมองนาง “ใครจะไปสนใจว่าเจ้าคิดเช่นไร ก็แค่คนบางคนไม่รู้แจ้งถึงฐานะของตนเอง”


 


 


           “ท่านพี่!” เยี่ยซานตาแดง มีน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตา สุดท้ายทำได้เพียงลุกขึ้นวิ่งออกไป คำพูดของเยี่ยอิ๋งรุนแรงไม่น้อย แม้จะพูดกับเยี่ยซาน แต่เยี่ยหลินเองก็ทำตัวไม่ถูกไปด้วย เมื่อเห็นเยี่ยซานวิ่งไกลออกไปจึงลุกขึ้นเดินตามออกไปอีกคน แม้แต่สีหน้าของเยี่ยเจินเองก็พลอยดูไม่ดีไปด้วย


 


 


เยี่ยหลีมองเยี่ยอิ๋งด้วยความแปลกใจ ก่อนหันมองเยี่ยเจิน เยี่ยเจินได้แต่ถอนใจก่อนพูดเสียงเบาว่า “น้องสี่ เจ้าอารมณ์ไม่ดีก็อย่าได้ไปลงกับน้องหกเลย”


 


 


เยี่ยอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมยิ้มเยาะ “ข้าอารมณ์ไม่ดีหรือ พี่ใหญ่ ท่านลองถามดูสิหากเป็นพี่สามนางจะอารมณ์ดีหรือไม่”


 


 


           “บ่าวคารวะคุณหนูทั้งสาม ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญพระชายาติ้งอ๋องไปพูดคุยด้วยเพคะ” สาวใช้จากหรงเล่อถังเข้ามารายงาน


 


 


           เยี่ยอิ๋งปรายสายตามองเยี่ยหลีแล้วยิ้มเยาะ “พี่สามไม่ได้อยากรู้หรือว่าข้าเป็นอย่างไร ท่านไปเดี๋ยวก็รู้เอง”


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า ลุกขึ้นมองเยี่ยอิ๋ง “น้องสี่ นิสัยเช่นนี้ของเจ้าอยู่ที่บ้านนี้ก็ว่าไปอย่าง เมื่อแต่งงานออกไปแล้วยังเป็นเช่นนี้อีก…เจ้าคิดว่าฮูหยินยังจะคอยช่วยปกป้องเจ้าได้หรือ”


 


 


           เยี่ยอิ๋งทำหน้าบึ้ง ก่อนเมินสายตาไปทางอื่นไม่พูดอันใดต่อ เยี่ยหลีก็ไม่ฝืน ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันโดยสายเลือด แต่กับพี่น้องสามสี่คนนี้ นางกลับรู้สึกห่างไกลกับคำว่าเป็นพี่น้องกันอยู่มาก และยิ่งเทียบไม่ได้กับลูกพี่ลูกน้องตระกูลสวีเลย หากเอ่ยเตือนได้ก็จะเอ่ยเพียงสองสามประโยค หากไม่ฟังนางก็จนใจ


 


 


           เมื่อไปถึงหรงเล่อถัง เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ในโถงดอกไม้ด้วยชุดที่มีกลิ่นอายของความเป็นมงคล เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็ยิ้มแย้มขึ้นทันที “หลีเอ๋อร์ รีบเข้ามาให้ย่าดูหน่อยเร็ว…”


 


 


           เยี่ยหลีเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจ “หลายวันนี้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องพอคุ้นชินบ้างหรือไม่ พวกบ่าวที่ตำหนักใช้งานได้คล่องแคล้วดีหรือไม่ มีใครทำให้เจ้าลำบากใจหรือเปล่า”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงแล้ว หลีเอ๋อร์สบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ บ่าวในตำหนักต่างให้ความเคารพเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าติดต่อกัน “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นเจ้ากับท่านอ๋อง…”


 


 


 “กับท่านอ๋องก็เข้ากันได้ดีเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีกล่าวตอบ


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีลำบากใจ มองเยี่ยหลีพักหนึ่งก่อนพูดว่า “ย่าหมายความว่า เจ้ากับท่านอ๋อง…เจ้ากับท่านอ๋อง พวกเจ้าคิดว่าจะมีลูกกันเมื่อไรหรือ ท่านอ๋องก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว”


 


 


เยี่ยหลีเขินอายเล็กน้อย ที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึกอักอยู่เป็นนานก็เพราะอยากถามว่าพวกนางเข้าห้องหอกันหรือยังนี่เอง


 


 


เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้องเยี่ยหลี “เจ้าอย่าได้หลอกย่าเชียว หากย่ามองไม่ออกก็ถือว่าที่ใช้ชีวิตอยู่มานี้เสียเปล่าแล้ว เจ้ากับท่านอ๋องยังไม่ได้ร่วมหอกันใช่หรือไม่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูจะเข้าใจดีว่าหลานสาวคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับหลานสาวคนอื่นๆ นัก จึงพับความคิดที่จะพูดอ้อมค้อมไปอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามขึ้นตรงๆ แทน


 


 


           เรื่องนี้ก็ยังมองออกหรือ เยี่ยหลีคิดก่อนพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้ากับท่านอ๋องต่างรู้สึกว่าเรายังไม่คุ้นเคยกันดีนัก คบหากันไปพักหนึ่งก่อนค่อย…ก็ยังไม่สาย อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็เข้ากันได้ดีมาก จึงไม่ได้รีบร้อนอันใดเจ้าค่ะ”


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองสีหน้านิ่งเรียบปลอดโปร่งของเยี่ยหลีแล้วก็ได้แต่ลอบส่ายหน้าในใจ “เช่นนั้น…เรื่องในตำหนักท่านอ๋อง ท่านให้ใครจัดการหรือ”


 


 


           “เรื่องภายนอกย่อมมีท่านอ๋องเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องภายในตำหนักเมื่อกลับไปแล้วก็จะให้ข้าเป็นคนจัดการเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีเอ่ยตอบ


 


 


           สีหน้าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูผ่อนคลายลง อย่างน้อยก็มีหลานสาวคนนี้ที่รู้จักคว้าอำนาจในตำหนักมาอยู่ในมือ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้จะทำเช่นไรกับเยี่ยหลีกับเยี่ยอิ๋งที่เป็นหลานสาวสายหลักสองคนนี้ดี เยี่ยอิ๋งที่ดูจะฉลาดแต่กลับไร้สมอง แต่งงานเข้าตำหนักหลีอ๋องไปก็ไม่รู้จักที่จะคว้าเอาอำนาจไว้ให้มั่น วันๆ เอาแต่ฟาดฟันกับเหล่าอนุด้วยความหึงหวง ทำให้ตนเองดูเป็นภรรยาที่ช่างโวยวาย เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยหลีที่เพิ่งเผยความสามารถให้เห็นกลับฉลาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ดูจากท่าทีของบ่าวที่ติดตามมาจากตำหนักติ้งอ๋องที่มีต่อเยี่ยหลีก็รู้ได้แล้วว่านางอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างดีทีเดียว ทว่านางเมินเฉยต่อติ้งอ๋องจนเกินไป นางควรรู้ว่าถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นชายาเอก แต่หากอยากมีชีวิตที่สุขสบายไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาติ้งอ๋องอยู่ดี


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไล่บ่าวที่คอยรับใช้ออกไป ก่อนจับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยถามเสียงเบา “หลีเอ๋อร์ เจ้าพูดกับย่าตรงๆ นี่เป็นเพราะ…เป็นเพราะขาของท่านอ๋องใช่หรือไม่ เจ้าจึงได้…”


 


 


           เยี่ยหลีไม่ตอบ จึงทำให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่คอยสังเกตอยู่มั่นใจในการคาดเดาของตน เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนหายใจ “เด็กน้อยที่น่าสงสาร ย่ารู้ว่าเจ้าน่าสงสาร…แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องไปแล้ว จะทำเช่นไรได้ ต่อให้เจ้าเป็นชายาติ้งอ๋องแล้ว แต่ก็ยังต้องจับท่านอ๋องไว้ให้อยู่มือมิใช่หรือ ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องทายาท ขอเพียงเจ้ามีทายาทใครก็มาสั่นคลอนตำแหน่งเจ้าไม่ได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ท่านอ๋องมีอนุหรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “เช่นนี้แล้วดูท่าท่านอ๋องจะให้ความสำคัญกับเจ้าพอดู ไม่มีอนุก็ยิ่งดี ขอเพียงให้เจ้ามีลูกกับท่านอ๋องได้ก่อน เรื่องในอนาคต…” เมื่อเห็นท่าทางพูดลำบากของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เยี่ยหลีที่ครุ่นคิดอยู่เป็นนานจึงได้เข้าใจความหมายของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า นางรู้สึกว่าเยี่ยฮูหยินต้องการจะบอกนางว่า ต่อให้นางไม่ชอบม่อซิวเหยาที่ขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็ต้องคลอดลูกชายให้ได้เสียก่อน ขอเพียงมีลูกชายแล้ว และหากนางรับม่อซิวเหยาไม่ได้จริงๆ ก็สามารถผลักเขาไปให้หญิงอื่นได้ ถึงอย่างไรนางก็มีฐานะเป็นชายา ขอให้มีทายาทก็เพียงพอแล้ว ความโปรดปรานของฝ่ายชายกว่าครึ่งนั้นหวังพึ่งพิงไม่ได้


 


 


           เหตุใดนางจึงไม่นึกสงสัยว่าม่อซิวเหยาไม่สามารถเรื่องนี้กันนะ เยี่ยหลีมีความคิดร้ายๆ เกิดขึ้นในหัว


 


 


           “ขอบพระคุณท่านย่าที่สั่งสอน หลีเอ๋อร์ทราบดีว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ” เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถ่ายทอดประสบการณ์ของตนต่อไป เยี่ยหลีจึงรีบเอ่ยปากรับคำ 

 

 


ตอนที่ 56-3 กลับบ้าน

 

เมื่อเห็นนางรับฟังคำสอนของตนเช่นนี้ก็เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพอใจเป็นอย่างมาก จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เด็กดี ย่ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องเข้าใจง่ายกว่าเยี่ยอิ๋ง เดิมทีเรื่องนี้ไม่ควรพูดในวันนี้ที่เจ้ากลับมาบ้าน เพียงแต่อีกหน่อยเมื่อเจ้าเป็นพระชายาติ้งอ๋องแล้ว คงไม่มีเวลากลับมาบ้านอีก ย่าจึงได้พูดกับเจ้าเสียตอนนี้ ไว้อีกสองสามวันหากเจ้าว่างไม่มีอันใดทำ ก็มารับน้องห้ากับน้องหกของเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนที่ตำหนักติ้งอ๋องเถิด”


 


 


           เยี่ยหลีนิ่งอึ้ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพูดต่อว่า “ซานเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์เป็นเด็กดีทั้งคู่ พวกเจ้าพี่น้องก็โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ หากพวกนางสามารถ…ก็จะพอช่วยเจ้ากับอิ๋งเอ๋อร์ได้อีกแรง ความหมายของย่าก็คือ หลินเอ๋อร์สุขุมกว่าหน่อย ให้ดีที่สุดคือไปอยู่กับอิ๋งเอ๋อร์ที่ตำหนักหลีอ๋อง ส่วนซานเอ๋อร์เป็นคนง่ายๆ นิสัยของเจ้าก็เอานางอยู่ เจ้าเห็นว่าอย่างไร”


 


 


           ข้าเห็นว่าอย่างไร ข้าเห็นว่าอย่างไร เยี่ยหลีแทบอยากจะเป็นบ้า ฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้คิดเองเออเองไปหน่อยเสียแล้วกระมัง แม้แต่ให้ใครอยู่กับใครก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ตำหนักหลีอ๋องกับตำหนักติ้งอ๋องตำหนักละคนพอดี มิน่าเมื่อสักครู่สีหน้าของเยี่ยอิ๋งถึงได้ดูย่ำแย่เช่นนั้น นางฟาดฟันกับอนุของม่อจิ่งหลีในตำหนักหลีอ๋องก็เหน็ดเหนื่อยพออยู่แล้ว บ้านเดิมของนางยังจะมาส่งน้องสาวไปเพิ่มเติมให้อีก เป็นใครก็คงต้องปวดหัว


 


 


เยี่ยหลีกระแอมเบาๆ ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วยิ้มน้อยๆ “ท่านย่า พูดเรื่องนี้ในตอนนี้จะเร็วไปหน่อยหรือไม่ ข้ากับท่านอ๋องยังไม่ได้…ก็รีบร้อนจะให้น้องสาวของตระกูลเข้าตำหนักไปอีกคน ท่านอ๋องจะคิดอย่างไร”


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะ “ย่าก็ไม่ได้บอกให้เจ้าจัดการตอนนี้เสียหน่อย ถึงอย่างไรซานเอ๋อร์ก็อายุยังน้อย รอไปอีกสักปีสองปีก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้ามีความคิดนี้อยู่ในใจก็พอ”


 


 


           เยี่ยหลีดึงมุมปากขึ้น แล้วถามว่า “น้องห้ากับน้องหกถึงแม้จะเกิดจากภรรยารอง แต่จวนเจ้ากรมของเราก็ไม่ได้ต้อยต่ำอันใด เข้าตำหนักอ๋องไปเป็นชายารองจะไม่ลดฐานะพวกนางไปหน่อยหรือเจ้าคะ”


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “เรื่องแต่งงานนี้ย่าเป็นคนตัดสิน พวกนางจะมีอันใดให้น่าเสียเปรียบกัน เข้าตำหนักอ๋องไปเป็นชายารอง จะไม่มีเกียรติมากกว่าแต่งงานไปเป็นภรรยาเอกของขุนนางเล็กๆ หรือลูกชายสายรองหรือ หลีเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วงพวกนางสองคนไป ซานเอ๋อร์กับหลินเอ๋อร์เป็นเด็กที่เชื่อฟังมาโดยตลอด พวกนางไม่มีความเห็นอันใดหรอก”


 


 


           แต่ข้ามีนี่ เยี่ยหลีคิดไปมา ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “หลีเอ๋อร์เข้าใจความหมายของท่านย่ากับท่านพ่อเจ้าค่ะ เพียงแต่…ลูกสาวตระกูลเรานอกจากพี่รองที่เข้าวังไปแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็แต่งเข้าตำหนักอ๋องกันทุกคน เช่นนี้แล้ว…ไม่เป็นผลดีต่อพี่รองเลย เรื่องนี้…ท่านย่าได้ปรึกษากับท่านพ่อแล้วหรือยังเจ้าคะ”


 


 


อันที่จริงเมื่อลองคิดดีๆ เยี่ยหลีก็เข้าใจว่าที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทุ่มเทใจกับเรื่องนี้เป็นเพราะเหตุใด นั่นก็เพราะเพื่อเด็กในท้องของคนในวัง สายเลือดของฮ่องเต้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือเป็นชายนั่น อย่าว่าแต่ตอนนี้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องเลย ต่อให้เป็นหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน เยี่ยหลีก็ไม่เคยคิดที่จะให้ความร่วมมือกับแผนการมักใหญ่ใฝ่สูงของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ดี นางไม่เข้าใจจริงๆ เจ้ากรมเยี่ยก็ถือได้ว่ารับใช้อยู่ในราชสำนักมานาน เหตุใดจึงเห็นด้วยกับแผนการของคนแก่ที่อยู่แต่กับบ้านคนหนึ่งได้


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งไป หรี่ตาลงมองประเมินเยี่ยหลี “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ”


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หลีเอ๋อร์ก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเยี่ย หากพี่รองได้ดีก็ย่อมดีกับหลีเอ๋อร์ เพียงแต่…ท่านย่าจะสนใจแค่เพียงตำหนักอ๋องสองตำหนักนี้ไม่ได้ ท่านย่าต้องทราบว่า…ท่านอ๋องไม่เคยสนใจเรื่องของราชสำนัก และการสนับสนุนจากข้าราชการในราชสำนักก็สำคัญยิ่งนัก”


 


 


           “เรื่องนี้…”


 


 


           เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านิ่งคิดไปครู่หนึ่ง นางรู้ดีว่าที่เยี่ยหลีพูดมาก็มีเหตุผล ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เยี่ยหลีมั่นใจว่าตนสามารถควบคุมตำหนักติ้งอ๋องได้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลเยี่ยส่งบุตรสาวเข้าไปอีกคน หากว่าเยี่ยหลีไม่ยินยอม แล้วพวกเขาบังคับให้นางรับเข้าไป จะกลายเป็นว่าทำให้พี่น้องทะเลาะกันเองก็คงดูไม่ดีนัก และเท่าที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยซานหรือเยี่ยหลินต่างก็สู้กับเยี่ยหลีไม่ได้ทั้งคู่ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่ดื้อแพ่งต่อไป นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์พูดมามีเหตุผล เป็นย่าเองที่คิดไม่รอบคอบ เรื่องนี้เจ้าก็ถือเสียว่าย่าไม่เคยพูดถึงมาก่อนก็แล้วกัน” ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ แต่ติ้งอ๋องทุกรุ่นที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครยุ่งเกี่ยวกับราชการงานเมืองเลยจริงๆ เช่นนี้แล้ว ตำหนักติ้งอ๋องคงมีประโยชน์ไม่เท่าตำหนักหลีอ๋องเป็นแน่


 


 


           “เจ้าค่ะ ท่านย่าไม่ได้พูดอันใดทั้งนั้น หลีเอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินอันใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีเอ่ยรับคำเบาๆ ได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอนว่าย่อมดีที่สุด อีกหน่อยตำหนักติ้งอ๋องก็คือบ้านของนาง นางไม่คิดอยากให้ที่นั่นมีสิ่งที่นางนึกรังเกียจให้เห็น


 


 


           เมื่ออยู่คุยเป็นเพื่อนเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าได้ครู่หนึ่ง ก็มีบ่าวเข้ามาเชิญให้ทั้งสองไปรับประทานอาหาร เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัว จึงไม่มีแขกนอกร่วมอยู่ด้วย มีเพียงเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า พร้อมด้วยเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อ ม่อจิ่งหลีกับเยี่ยอิ๋ง ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี และหนานโหวซื่อจื่อ นามฟู่เจาร่วมโต๊ะอยู่เท่านั้น บนโต๊ะอาหาร เยี่ยหลีรับรู้ถึงสายตาเยียบเย็นที่ส่งมาอยู่ตลอดเวลา เยี่ยหลีไม่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองก็เดาได้ว่าเป็นใคร เยี่ยอิ๋งคีบกับข้าวให้ม่อจิ่งหลีอย่างกระตือรือร้น แต่ม่อจิ่งหลียังมัวแต่สนใจคนอื่น เขาจ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเหมือนใครไปติดเงินเขาไว้หลายพันตำลึงแล้วไม่คืนอย่างไรอย่างนั้น ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีรับประทานอาหารด้วยท่าทีสบายๆ คอยคีบอาหารที่อีกฝ่ายชอบให้กัน ฟู่เจามองดูฟากนั้นทีฟากนี้ทีเหมือนครุ่นคิดเรื่องอันใดอยู่ แล้วก็หันไปดื่มเหล้ากินอาหารเหมือนไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยกลับเต็มไปด้วยความประดักประเดิด ดูออกว่าเขาพยายามให้บรรยากาศดูกลมเกลียวเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ลูกเขยทั้งสามคนกลับไม่มีใครที่ตนสามารถแตะต้องได้เลยนี่สิ นอกจากหนานโหวซื่อจื่อที่ยังพอเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ม่อซิวเหยาก็ไม่ใช่คนที่คบหาได้ยากอันใด แต่ใบหน้าของม่อจิ่งหลีนั้นกลับเหมือนมีตัวหนังสือเขียนอยู่อย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ


 


 


           “อะแฮ่ม จะว่าไปท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้พบหน้ากันหลายปีแล้ว ข้าขอดื่มให้ท่านจอกหนึ่ง” สุดท้ายเป็นฟู่เจาที่ทำลายบรรยากาศอันน่าอึดอัดลง เขาลุกขึ้นยื่นจอกเหล้าไปทางม่อซิวเหยา “และขอดื่มให้พระชายา ขอให้ท่านอ๋องกับพระชายาใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุขตลอดไป”


 


 


           ม่อซิวเหยายกจอกเหล้าขึ้น พร้อมยิ้มอย่างสุภาพ “ขอรับคำอวยพรของท่าน เมื่อครั้งท่านแต่งงานข้าไม่มีโอกาสได้ไปแสดงความยินดี ขออย่าได้ถือสา” เขาเงยหน้ากระดกเหล้าจอกที่ฟู่เจาขอดื่มให้


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เจาจึงดูจริงใจขึ้น “ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนก็ถือว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ มาวันนี้กลายมาเป็นญาติกัน เมื่อตอนที่มาท่านแม่ยังได้สั่งมาว่า หากพระชายามีเวลาว่างก็ขอเชิญไปนั่งเล่นที่ตำหนักโหวบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หนานโหวซื่อจื่อคนนี้ดูท่าจะเข้ากับคนเก่งไม่น้อย คนในเมืองหลวงต่างก็รู้กันดีว่าถึงแม้หนานโหวซื่อจื่อจะยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่ง แต่ตอนนี้ในตำหนักโหวก็มีชายาของซื่อจื่อที่เป็นประมุขอยู่แล้ว ตอนนี้เขากลับปิดปากไม่พูดถึงชายาซื่อจื่อ แต่กลับอ้างชื่อหนานโหวฮูหยินแทน


 


 


           เยี่ยหลียิ้มแล้วยกจอกขึ้นรับการดื่ม “ซื่อจื่อโปรดขอบคุณหนานโหวฮูหยินแทนข้าด้วย”


 


 


           ม่อจิ่งหลีมองทุกคนที่พูดคุยพร้อมยิ้มแย้มให้กันแล้ว จึงส่งเสียงเหอะ พร้อมลุกยืนขึ้น “ในเมื่อฟู่เจาดื่มให้ท่านแล้ว ม่อซิวเหยา ข้าก็จะดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง”


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้มน้อยๆ “ข้าก็ไม่ได้ดื่มเหล้ากับจิ่งหลีนานแล้ว เช่นนั้นขอดื่มให้เจ้ากับชายาหลีอ๋องด้วยเลยได้หรือไม่”


 


 


           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ โบกมือให้สาวใช้ที่จะเข้ามารินเหล้าหลบไป ก่อนจะรินเหล้าให้ม่อซิวเหยาและตนเองคนละจอก เงยหน้าขึ้นกระดกหมดจอกในคราวเดียว จากนั้นปรายตามองแก้วม่อซิวเหยาที่อยู่ตรงหน้า ม่อซิวเหยาอมยิ้มแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มทีเดียวหมดเช่นกัน


 


 


           “เอามาอีก!” ม่อจิ่งหลียกเหยือกเหล้าขึ้นเทจนเต็มอีกครั้ง แล้วทั้งสองก็เปิดศึกดวลเหล้ากันบนโต๊ะอาหาร 

 

 


ตอนที่ 57-1 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง

 

          เยี่ยหลีขมวดคิ้วมองชายสองคนตรงหน้าที่เอาแต่ดวลเหล้ากันโดยไม่พูดไม่จาสักคำ เจ้ากรมเยี่ยกลอกตามองบนจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าไปแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสนใจ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าฝืนใจเอ่ยทัดทานไปหนึ่งประโยค ทว่าม่อจิ่งหลีไม่แม้แต่จะสนใจ ส่วนม่อซิวเหยาก็เพียงหันไปอมยิ้มพร้อมพยักหน้าให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า แต่ก็มิได้ปฏิเสธม่อจิ่งหลีที่ชวนให้ดื่มต่อ เยี่ยหลีหันไปมองอาจิ่นที่ยืนอยู่ไม่ไกล อาจิ่นรับรู้ถึงสายตาของเยี่ยหลีที่ส่งมา สีหน้าที่มองม่อซิวเหยาดื่มเหล้าอยู่เงียบๆ จึงมีแววร้อนใจ


 


 


           เมื่อม่อจิ่งหลียื่นมืออกมาจะรินเหล้าอีกครั้ง กลับมีนิ้วเรียวงามดุจหยกยื่นออกมาปิดจอกเหล้าไว้ ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้งลงทันที เลิกคิ้วขึ้นถามม่อซิวเหยา “ม่อซิวเหยา นี่หมายความว่าอย่างไร”


 


 


เยี่ยหลียังคงสีหน้าเรียบเฉย ย้ายจอกเหล้ามาวางไว้หน้าตนเอง “หลีอ๋องท่านเมาแล้วหรือไร คนที่ไม่ให้เทเหล้าคือข้าเอง เหตุใด้ท่านจึงมาถามท่านอ๋องของข้าล่ะ”


 


 


ม่อจิ่งหลีหัวเราะหึ ก่อนเอ่ยอย่างดูแคลน “ผู้ชายเขาดื่มเหล้ากัน ผู้หญิงจะมายุ่งให้มากเรื่องทำไม ข้าไม่ได้มีความคิดอ่านเช่นเดียวกับผู้หญิงหรอกนะ”


 


 


เยี่ยหลียิ้มเยือกเย็น “ผู้หญิงก็ไม่มีความคิดอ่านเช่นเดียวกับท่านอ๋องเช่นกัน เพียงแต่บ่ายนี้ข้ากับท่านอ๋องยังต้องไปเยี่ยมคารวะตระกูลสวี หลีอ๋องคงไม่คิดอยากให้ท่านอ๋องไปบ้านตระกูลสวีทั้งๆ ที่มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งไปทั่วตัวเช่นนี้กระมัง ท่านต้องรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่ถือสาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้อย่างท่านหลีอ๋อง โดยเฉพาะตระกูลสวีเป็นตระกูลของบัณฑิตผู้มีการศึกษา มีธรรมเนียมปฏิบัติสืบทอดกันมาในตระกูล ท่านหลีอ๋องคงไม่อยากให้ข้ากับท่านอ๋องถูกท่านลุงไล่ออกมาหรอกกระมัง”


 


 


           “ม่อซิวเหยา พอแต่งงานแล้วเจ้าคงไม่ได้เป็นโรคกลัวผู้หญิงเพิ่มขึ้นหรอกกระมัง” ม่อจิ่งหลีหน้าบึ้ง จ้องหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนหันไปพูดเยาะม่อซิวเหยา


 


 


           ม่อซิวเหยามองตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ บนใบหน้ายังมีแววขบขันเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย “จิ่งหลี เคารพความเห็นภรรยาไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร อาหลีพูดถูก ตอนบ่ายพวกเรายังต้องไปคารวะท่านสวีกับท่านผู้ตรวจการสวี เจ้าก็รู้ ท่านหงอวี่กล้าไล่พวกเราออกมาจริงๆ”


 


 


ม่อจิ่งหลีไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ “ทำไมข้าจึงไม่รู้มาก่อนว่า วันกลับบ้านไม่เพียงต้องไปพบคนในตระกูลเดิม แม้แต่คนของตระกูลท่านลุงก็ต้องไปพบด้วย อย่าพูดจาไร้สาระ ม่อซิวเหยา เหล้าที่ข้าเทให้ เจ้าจะดื่มหรือไม่”


 


 


           “ไม่ดื่ม” ม่อซิวเหยาตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกได้ว่าม่อซิวเหยาอารมณ์ดีอย่างประหลาด แม้แต่ตอนที่พูดกับม่อจิ่งหลีนางยังสัมผัสได้ถึงแววล้อเล่นอยู่ในน้ำเสียง


 


 


           “อะแฮ่ม…จิ่งหลี ในเมื่อติ้งอ๋องยังมีธุระ งั้นพวกเราก็อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย ไว้ทุกคนมีเวลาว่างแล้วค่อยมานั่งดื่มกันก็ยังได้” ฟู่เจาได้แต่เข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์


 


 


ทุกคนล้วนเติบโตมาในเมืองหลวง รู้จักกันมาตั้งแต่เล็กๆ ม่อซิวเหยากับม่อจิ่งหลีไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่คิดว่าหลายปีนี้ที่ไม่ได้เจอจะเพิ่มความโหดเ**้ยมเข้ามาด้วย ทำให้คนที่ดูอยู่รอบนอกอย่างพวกเขาไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเป็นเช่นนี้ ฟู่เจาอดรู้สึกยินดีไม่ได้ ตอนนี้ม่อซิวเหยาดูนิสัยดีขึ้นมาก ถึงขนาดยอมฟังคำทัดทานของพระชายา หากเป็นเมื่อหลายปีก่อนเกรงว่า ถ้าทั้งสองไม่ดวลกันไม่ลดละก็คงลงไม้ลงมือกันไปแล้ว


 


 


           “จิ่งหลี…” เยี่ยอิ๋งเอ่ยทักท้วงสียงอ่อนโยน “ช่วงบ่ายพวกเรายังต้องออกไปทำธุระกันมิใช่หรือ ไว้ค่อยเชิญติ้งอ๋องมาดื่มครั้งหน้าเถิด”


 


 


           ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงมองนาง ส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก คนอื่นๆ ต่างลอบถอนใจกันเบาๆ เจ้ากรมเยี่ยนวดขมับที่เริ่มปวดตึบๆ เบา พร้อมสาบานกับตนเองในใจว่า จะไม่ให้ลูกเขยสองคนนี้ร่วมโต๊ะดื่มเหล้ากันอีกต่อไป


 


 


           เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาก็ขอตัวลาเพื่อไปเยี่ยมตระกูลสวีต่อ ก่อนกลับสวีหงอวี่ยังได้เชิญม่อซิวเหยาไปพูดคุยกันตามลำพังที่ห้องหนังสืออีกกว่าครึ่งชั่วยาม เยี่ยหลีถูกกันไม่ให้ไปร่วมฟังด้วย จึงได้แต่นั่งรออยู่นอกห้องหนังสือ ลูกพี่ลูกน้องตระกูลสวีเกือบทุกคน ยกเว้นสวีชิงเฉินที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง[a1] กับสวีชิงเจ๋อที่ถูกท่านป้าสะใภ้รองเรียกใช้จนหัวหมุนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนอยู่เป็นเพื่อนนางที่ในเรือน


 


 


สวีชิงเยี่ยนโน้มตัวลงบนโต๊ะ พร้อมหัวเราะหึๆ มองเยี่ยหลี “พี่หลี ท่านพ่อข้าไม่กินพี่เขยหรอกน่า ท่านไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก”


 


 


เยี่ยหลีเหลือบตามองเขาอย่างไม่เห็นขัน “ลูกตาของเจ้าเห็นว่าข้าเป็นห่วงเขาหรือ”


 


 


“เห็นเต็มสองตาเลยทีเดียว” สวีชิงเยี่ยนชี้ไปที่ลูกตาของตนเอง


 


 


           สวีชิงเฟิงที่ปกติเป็นคนจิตใจหยาบกระด้างยังรู้สึกน้อยใจอย่างน้อยครั้งที่จะได้เห็น มองเยี่ยหลีพร้อมพูดด้วยความเสียใจว่า “ไม่คิดเลยว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน หลีเอ๋อร์จะเปลี่ยนไปเป็นคนของตระกูลอื่นเสียแล้ว หากว่าติ้งอ๋องรังแกอะไรเจ้า เจ้าก็กลับมาบอกพี่สาม พี่สามจะออกหน้าช่วยเจ้าเอง”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเข้าใจแล้ว พี่สามวางใจเถิด”


 


 


สวีชิงเฟิงถอนหายใจ “อีกไม่กี่วันข้าก็จะต้องไปจากเมืองหลวงแล้ว พี่สามจะบอกพี่รองไว้ รอพี่รองแต่งงานแล้วให้พี่สะใภ้รองไปเยี่ยมเจ้าที่ตำหนักติ้งอ๋องบ่อยๆ นะ”


 


 


           สวีชิงเยี่ยนหัวเราะ “พี่สาม ท่านไม่ต้องทำเกินกว่าเหตุเช่นนี้ก็ได้กระมัง ตำหนักติ้งอ๋องไม่ใช่ภูเขากระบี่หรือทะเลไฟเสียหน่อย มีพวกเราอยู่ ติ้งอ๋องจะกล้ารังแกพี่สาวได้อย่างไร”


 


 


           สวีชิงป๋อที่นั่งอยู่อีกด้านกลอกตาบนขึ้นทันที “ใครกันที่พอเห็นติ้งอ๋องแล้วเป็นต้องรีบหลบทันที” เหตุใดตระกูลสวีจึงได้มีลูกชายคนเล็กที่ใจเสาะเช่นนี้นะ แล้วยังจะหวังจะให้ออกหน้าช่วยเยี่ยหลีอีกหรือ”


 


 


           สวีชิงเยี่ยนหน้าแดงขึ้นทันที แค่คิดถึงฝีมือของใครบางคนเข้าก็ตัวสั่นแล้ว “พี่สี่ จะว่าข้าใจเสาะไม่ได้นะ ก็ใครให้คนคนนั้น…” โหดเ**้ยมเกินไปจริงๆ นี่ นึกไปถึงโจรดวงซวยสองคนที่บ้านพักหลังเล็กในคืนนั้น หลังจากนั้นสวีชิงเยี่ยนยังนอนฝันร้ายอยู่อีกหลายคืน จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่เห็นม่อซิวเหยา ปฏิกิริยาของเขาก็คืออยากหลบไปยืนอยู่ข้างหลังสวีชิงป๋อ


 


 


เมื่อเยี่ยหลีมองท่าทีเขินๆ ของสวีชิงเยี่ยน ถึงแม้เขาจะพูดไม่จบ แต่นางก็พอเดาได้ คงเป็นเพราะใครบางคนไปทำเรื่องเขย่าขวัญเขาเข้า จนทำให้สวีชิงเยี่ยนขวัญหนีดีฝ่อ แต่เรื่องนี้เยี่ยหลีไม่ได้คิดที่จะซักไซ้ ม่อซิวเหยาฆ่าฟันข้าศึกมาตั้งแต่อายุยังน้อย นางก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่วันๆ ตัวไม่ต้องฝุ่นหรอก


 


 


           เมื่อกลับไปยังตำหนัก เยี่ยหลีก็เริ่มยุ่งกับการรับช่วงงานจำนวนมากของตำหนักอ๋อง แค่เพียงสมุดบัญชีต่างๆ ก็ทำให้เยี่ยหลีต้องใช้เวลาศึกษาถึงสองวันเต็มๆ กว่าจะเข้าใจ ในขณะเดียวกันนางตกใจกับความร่ำรวยมหาศาลของตำหนักติ้งอ๋อง ทรัพย์สมบัติที่ติ้งอ๋องสั่งสมมารุ่นสู่รุ่นมากมายเสียจนทำให้เยี่ยหลีนึกตกใจ เมื่อจัดการงานในมือจนพอคล่องแล้ว เยี่ยหลีก็ได้รับจดหมายเชิญจากในวังพอดี และเนื่องด้วยเป็นงานเลี้ยงอำลาคณะทูตจากแคว้นต่างๆ ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีจึงไม่อาจหาเหตุผลมาปฏิเสธได้


 


 


           เป็นอีกครั้งที่นางได้เข้าวัง แต่ด้วยประสบการณ์คราวที่แล้วที่ไม่ค่อยรื่นรมย์นัก ทำให้เยี่ยหลีอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก รถม้าของตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้จอดที่หน้าประตูวังเหมือนรถม้าของชนชั้นสูงทั่วไป แต่ขับเข้าประตูวังไปได้เลย ม่อซิวเหยาอยู่ในชุดสีขาวนวลปักลายมังกรทะยานท่ามกลางหมู่เมฆสีเงิน มีเครื่องประดับศีรษะทำจากหยกขาวประดับอัญมณีสีน้ำเงิน ยิ่งทำให้ดูสุภาพและงามสง่า


 


 


“อาหลีอารมณ์ไม่ดีหรือ”


 


 


           เยี่ยหลีนั่งเอนตัวพิงรถม้าอยู่อย่างเกียจคร้าน “เปล่า เพียงแค่ในวังนี้มักทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก”


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “ทั้งที่มีคนไม่รู้เท่าใดที่อยากเข้ามาในวังหลวง ความคิดของอาหลีช่างพิเศษนัก”


 


 


           เยี่ยหลีเหลือบตามองเขา “เหยียบศพคนไม่รู้เท่าใดเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ หรือไม่ก็ถูกคนอื่นเหยียบเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ มันน่าดึงดูดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยาหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยิ้ม “แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมน่าเบื่อ เพียงแต่คนส่วนใหญ่มักมองไม่เห็นระหว่างทางนั้น พวกเขาเพียงคิดฝันว่าตนเองจะได้ปีนขึ้นไปอยู่ยังจุดสูงสุดเท่านั้น ความรู้สึกเป็นสุขเมื่อได้ยืนอยู่เหนือคนนับหมื่น เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาลืมเลือนสิ่งอื่นๆ ไป”


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้ว จ้องมองเขาอยู่พักใหญ่ก่อนถามขึ้นว่า “ซิวเหยาก็คิดเช่นนี้หรือ”


 


 


ม่อซิวเหยาอึ้งไป หลุบตาลงมองมือของตนที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็น พักใหญ่กว่าจะตอบเสียงขรึมว่า “ข้าเพียงไม่อยากให้ตนเองเป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นเหยียบเพื่อให้ได้ขึ้นเป็นใหญ่ก็เท่านั้น” ภายในรถม้าเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่เยี่ยหลีจะเอ่ยขึ้นเงียบๆ ว่า “ข้าไม่ชอบการเหยียบใคร แต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาเหยียบข้า”


 


 


           “ท่านอ๋อง ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮามีรับสั่งเชิญพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” อาจิ่นเอ่ยรายงานเสียงขรึมมาจากนอกรถม้า


 


 


รถม้าค่อยๆ หยุดลง เยี่ยหลีคาดคะเนที่จอดรถม้าอยู่ในใจ ไม่ใช่ที่ที่ตนเคยมาก่อนหน้านี้ คำนวณแล้วสถานที่นี้น่าจะอยู่แถวตำหนักเฟิ่งเต๋อของฮองเฮา


 


 


ม่อซิวเหยาหันมาบอกว่า “ข้าต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้ เจ้าเข้าไปเองได้หรือไม่”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า ลุกขึ้นเพื่อลงจากรถม้า ม่อซิวเหยารั้งนางไว้ “ระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอันใด…ให้ชิงหลวนออกมาบอกอาจิ่นโดยทันที เขาจะคอยอยู่แถวๆ ตำหนักเฟิ่งเต๋อ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “แต่ว่าท่าน…” อาจิ่นเป็นองค์รักษ์ติดตามม่อซิวเหยา และเป็นคนที่เขาไว้วางใจที่สุด หากอาจิ่นไม่คอยอยู่ข้างกายเขา…


 


 


ม่อซิวเหยายิ้ม “เจ้าคงไม่คิดว่าคนที่ข้าไว้ใจได้มีเพียงอาจิ่นหรอกนะ ไม่เป็นไรหรอก ไปเถิด”


 


 


           “เอาเถิด อีกเดี๋ยวพบกัน” เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เยี่ยหลีจึงไม่ได้ดื้อดึงอีก ลุกขึ้นลงจากรถม้าไป


 


 


นอกรถม้ามีคนจากตำหนักเฟิ่งเต๋อรออยู่แล้ว เมื่อเห็นเยี่ยหลีลงมาก็รีบเดินเข้ามาหา “บ่าวคารวะพระชายาติ้งอ๋อง บ่าวรับพระบัญชาจากองค์ฮองเฮาให้มารอรับพระสนมที่นี่เพคะ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากเจ้าแล้ว”


 


 


           “บ่าวมิบังอาจ ทูลเชิญพระชายาตามบ่าวมาเพคะ”


 


 


 


 


 


 


 [a1]หมายถึง ไปโน่นมานี่ไม่หยุด ใช่ไหมคะ อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง หมายถึงไม่ได้อยู่ประจำ อพยพไปเรื่อยๆ 

 

 


ตอนที่ 57-2 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง

 

เมื่อเข้าไปยังตำหนักเฟิ่งเต๋อ ในตำหนักมีสตรีชั้นสูงนั่งกันอยู่ไม่น้อย ตำหนักเฟิ่งเต๋อตกแต่งอย่างโอ่อ่าหรูหราหากก็ดูไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินไป ทว่ายังมีรายละเอียดพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ให้เห็น เยี่ยหลีรู้สึกสนใจในฮองเฮาที่ชื่อเสียงไม่ได้เป็นที่โจษจันกันในหมู่ราษฎรสักเท่าใดพระองค์นี้ขึ้นมาทันที


 


 


           “ถวายพระพรฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปีเพคะ” เยี่ยหลีเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ พร้อมคารวะหญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ในตำหนักทุกคน


 


 


           “ชายาติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” น้ำเสียงของฮองเฮาฟังดูสง่างามและนุ่มนวล ไม่เหมือนแม่ของแผ่นดินที่อยู่สูงส่งเลยแม้แต่น้อย


 


 


           “เป็นพระกรุณาเพคะ” เยี่ยหลียืดตัวขึ้น ก่อนเดินตามสาวใช้ที่มานำไปนั่งอยู่เก้าอี้ว่างตัวแรกสุด ถึงแม้ในบรรดาหญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ ณ ที่นี้ทั้งหมด เยี่ยหลีถือว่าอายุน้อย และไม่ได้มีความสำคัญมากสักเท่าใด แต่เมื่อดูจากฐานะแล้ว ตำหนักติ้งอ๋องถือได้ว่าเป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือกว่าเชื้อพระวงศ์ในเมืองหลวง แน่นอนว่าฐานะของชายาติ้งอ๋องก็ย่อมอยู่สูงกว่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้เยี่ยหลีจะมาช้า แต่ก็ยังเว้นเก้าอี้ที่อยู่หน้าสุดไว้ให้นาง


 


 


เยี่ยหลีมองไปเรื่อยเปื่อย พบใบหน้าที่ตนคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย ฮูหยินใหญ่แห่งจวนฮว่ากั๋วกงพาฮว่าเทียนเซียงมาด้วย ข้างกายองค์หญิงเจาหยางและองค์หญิงเจาเหรินมีองค์หญิงซีสยาและท่านหญิงหรงหวาที่ไม่ได้พบหน้าเสียนาน แล้วยังมีเยี่ยอิ๋ง พระชายาหลีอ๋องผู้งดงามต้องตาต้องใจ ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ในตำหนักเฟิ่งเต๋อล้วนเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ไม่มากก็น้อย หรือไม่ก็ล้วนเป็นขุนนางกันทั้งสิ้น ฮูหยินหรือสตรีสูงศักดิ์ทั่วไปไม่ได้มารวมอยู่ที่นี้ด้วย


 


 


           เมื่อนั่งลงแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หันมองฮองเฮาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งหงส์ ฮองเฮาอยู่ในชุดเฟิ่งผาวสีเหลืองอร่าม ท่วงท่าเป็นธรรมชาติดูสูงส่งแสดงให้เห็นถึงฐานะมารดาแห่งแผ่นดินเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเยี่ยหลีมองไป ฮองเฮาก็กำลังอมยิ้มมองมาที่ตนอยู่พอดี นางจึงตกใจเล็กน้อย ฮองเฮาไม่ได้ถือว่าเป็นหญิงงามเป็นพิเศษ พระนางมาจากจวนของฮว่ากั๋วกงเช่นเดียวกัน แต่ความงามของฮว่าเทียนเซียงดูจะมีมากกว่าฮองเฮาอยู่ขั้นหนึ่ง เพียงแต่ท่าทางสงบเยือกเย็นสง่างามเป็นธรรมชาติเช่นนั้น ไม่ว่าฮว่าเทียนเซียงหรือสตรีสูงศักดิ์คนใดที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างก็เทียบไม่ได้


 


 


           “ฮองเฮาเพคะ ท่านนี้คือพระชายาของติ้งอ๋องหรือเพคะ” เสียงเล็กใสดังมาจากฝั่งตรงข้ามดึงดูดความสนใจของทุกคนโดยทันที เยี่ยหลีหันมองไปตามเสียง ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีสันสดใส นั่งอยู่ทางฝั่งขวามือขององค์หญิงเจาเหริน เห็นได้ชัดว่ามีฐานะไม่ธรรมดา


 


 


           ฮองเฮายิ้ม “ถูกแล้ว ท่านนี้ก็คือพระชายาของติ้งอ๋อง จะว่าไป ตั้งแต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นมาถึงเมืองหลวงของต้าฉู่ก็สุขภาพไม่ค่อยดีมาโดยตลอด คงยังไม่ได้พบกับพระชายาของติ้งอ๋องสินะ ชายาติ้งอ๋อง ท่านนี้คือองค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิง”


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นให้เกียรติข้าแล้ว”


 


 


           ด้วยฐานะของเยี่ยหลี ถึงแม้หลิงอวิ๋นจะเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น แต่ก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อนางได้ แต่องค์หญิงองค์นี้จากที่เมื่อสักครู่ยังยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส กลับทำเหมือนไม่ได้ยินที่นางพูดเสียอย่างนั้น นางใช้สายตามองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนพูดขึ้นว่า “ได้ยินท่านพี่เล่าว่าท่านชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้หรือ”


 


 


เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ข้าได้เคยเห็นกระบี่หลั่นอวิ๋นจริง” แต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นกลับไม่พอใจกับคำตอบนี้ นางลุกยืนพร้อมเชิดหน้าขึ้น “ข้าไม่เชื่อ ข้าอยากประลองกระบี่กับเจ้า”


 


 


           “ข้าใช้กระบี่ไม่เป็น” เยี่ยหลีตอบเสียงเรียบ


 


 


           “จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าใช้กระบี่ไม่เป็นแล้วเหตุใดจึงชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้เล่า” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยคาดคั้น


 


 


           เยี่ยหลีเลิกคิ้วพร้อมยิ้มน้อยๆ “องค์หญิง การชักกระบี่กับใช้กระบี่นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ใครเป็นคนกำหนดว่าคนที่ใช้กระบี่ไม่เป็นจะไม่สามารถชักกระบี่ออกมาได้กัน” นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหตุใดบรรดาองค์หญิง ท่านหญิง และคุณหนูทั้งหลายถึงได้ชอบบังคับให้คนประลองนั่นประลองนี่โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำสิ่งที่พวกนางต้องการประลองเป็นหรือไม่


 


 


“ข้าไม่สน อย่างไรข้าก็อยากจะประลองกับเจ้า หรือว่าเจ้าไม่กล้ารับคำท้า”


 


 


           เยี่ยหลีลุกขึ้นยืน “องค์หญิงเอ่ยถามต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮา ฮูหยิน และคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงเช่นนี้ข้าจะไม่กล้ารับได้หรือ”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดด้วยความพอใจว่า “ถ้าเช่นนั้น กระบี่ของเจ้าเล่า”


 


 


           “อันที่จริงในชาตินี้นอกจากกระบี่หลั่นอวิ๋นแล้วข้าไม่เคยแตะต้องกระบี่เล่มอื่นอีกเลย กระบี่ที่เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อส่งมาให้ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เคยจับอาวุธชนิดนี้ ดังนั้นข้าจึงไม่มีกระบี่ และยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องจับกระบี่อย่างไร”


 


 


           “พรืด…บังคับให้คนที่ไม่เคยแม้แต่จับกระบี่ให้มาประลองกระบี่…ฮองเฮาเพคะ พรุ่งนี้เทียนเซียงจะไปท้าท่านแม่ทัพให้ประลองการปักผ้ากับหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ จากนั้นก็เรียกหม่อมฉันว่าเป็นคนที่ปักผ้าเก่งที่สุดในใต้หล้า”


 


 


ฮว่าเทียนเซียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮว่าฮูหยินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ถึงแม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก แต่กลับได้ยินกันทั่ว หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ ฮองเฮาถลึงตาใส่เทียนเซียงเสียทีหนึ่ง แต่ในดวงตากลับมีแววขบขันซ่อนอยู่ “ฝีมือการปักผ้าของเจ้ายังกล้าเอามาพูดอีก”


 


 


ฮว่าเทียนเซียงปิดปากหัวเราะ “ฮองเฮาพูดถึงหม่อมฉันเช่นนั้นได้อย่างไรกันเพคะ ข้าเพียงอยากมีชื่อเสียงดีๆ บ้างก็เท่านั้น ตำแหน่งที่หนึ่งในใต้หล้าเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ออกจะตายเพคะ”


 


 


           เยี่ยหลีมองฮว่าเทียนเซียงด้วยสายตาซาบซึ้ง ฮว่าเทียนเซียงกะพริบตาปริบๆ ส่งให้นาง ก่อนหลบไปข้างหลังฮว่าฮูหยินทำทีเขินอาย


 


 


           ฮองเฮากลั้นยิ้มไว้ แล้วหันไปพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง พระชายาติ้งอ๋องไม่เชี่ยวชาญศาสตร์การใช้กระบี่ ดังนั้นอย่าได้ประลองกระบี่เลย”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกฮว่าเทียนเซียงทำให้โกรธจนหน้าแดง นางจึงกัดฟันตอบว่า “นางชักกระบี่หลั่นอวิ๋นออกมาได้ จะใช้กระบี่ไม่เป็นได้อย่างไร เห็นชัดๆ ว่านางตั้งใจจะล้อหม่อมฉันเล่น”


 


 


           “กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นของของตำหนักติ้งอ๋อง นางเป็นชายาของติ้งอ๋องอยากจะชักกระบี่ออกมาอย่างไรก็ได้ จะใช้กระบี่เป็นหรือไม่ เกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย” ท่านหญิงหรงหวาที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งปรายตามององค์หญิงหลิงอวิ๋น ก่อนพูดประชดประชนว่า “องค์หญิงจากต่างแคว้นนี่ล้วนประหลาดกันเช่นนี้ทุกคนเลยหรือไร เหตุใดจึงชอบบังคับให้คนประลองโน่นนี่ รู้ทั้งรู้ว่าคนเขาทำไม่ได้ก็ยังไม่รู้จักหยุด องค์หญิงพูดไปเลยดีกว่าว่าให้พระชายาติ้งอ๋องยอมแพ้ แล้วยอมรับว่าฝีมือกระบี่ของท่านเหนือกว่านางไปเสียเลย ไม่ดีกว่าหรือ”


 


 


           “เจ้า!” ที่ท่านหญิงหรงหวาพูดเช่นนี้ ไม่เพียงองค์หญิงหลิงอวิ๋นเท่านั้น แม้แต่องค์หญิงซีสยาก็พลอยรู้สึกประดักประเดิดไปด้วย หลายคนต่างหวนนึกไปถึงงานบุปผานานาพรรณที่องค์หญิงซีสยาต้องการที่จะประลองการร่ายรำกับพระชายาติ้งอ๋อง


 


 


เมื่อฮองเฮาเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะไปกันใหญ่ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เอาละๆ  พอเท่านี้เถิด หรงหวา หยุดพูดไร้สาระต่อหน้าองค์หญิงทั้งสองได้แล้ว”


 


 


ท่านหญิงหรงหวาส่งเสียงเหอะเบาๆ นั่งเงียบอยู่ข้างๆ องค์หญิงเจาเหรินต่อไป เมื่อเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว นางเกลียดองค์หญิงซีสยาซึ่งเป็นที่โปรดรานขององค์หญิงเจาหยางผู้มีนิสัยชอบกดหัวผู้อื่นเช่นเดียวกับนางมากเสียกว่าอีก จึงพลอยนึกเกลียดองค์หญิงหลิงอวิ๋นผู้แสนทะนงตนที่มาใหม่ผู้นี้ไปด้วย


 


 


           “กุ้ยเฟยเสด็จ!”


 


 


           หลังจากมีเสียงแหลมเล็กเอ่ยรายงานดังขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดสีเหลืองไข่นกกระทาก็ก้าวเข้ามาในตำหนักด้วยสีหน้าเยือกเย็น


 


 


           “หม่อมฉันคารวะฮองเฮา” หลิ่วกุ้ยเฟยยังคงเยือกเย็นและหยิ่งทะนงเหมือนคราวก่อนที่ได้พบ นางโค้งตัวลงเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการคารวะฮองเฮาแล้ว ดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยแห่งวังหลังพระองค์นี้ดูจะไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือฮองเฮา


 


 


ฮองเฮาก็ดูจะคุ้นชินกับท่าทีเช่นนี้ของหลิ่วกุ้ยเฟยเสียแล้ว จึงเพียงพยักหน้าน้อยๆ “ช่างเถิด เหตุใดวันนี้กุ้ยเฟยจึงมาที่ตำหนักเฟิ่งเต๋อได้” สตรีชั้นสูงทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรมาหลิ่วกุ้ยเฟยไม่เคยที่จะร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงเลย แม้แต่พวกนางหลายคนที่จะต้องเข้าวังเกือบทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละครั้ง ก็มีน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นหลิ่วกุ้ยเฟย


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยตอบเสียงเย็นว่า “หม่อมฉันว่างอยู่ ไม่มีอะไรทำ ได้ยินฮ่องเต้บอกว่าที่ตำหนักของฮองเฮาครึกครื้นนัก จึงขอมาดูหน่อยเพคะ ฮองเฮาไม่ทรงยินดีหรือเพคะ”


 


 


คิ้วเรียวของฮองเฮาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่ยังคงพูดอย่างใจกว้าง “ในเมื่อเจ้าสนใจ ก็เชิญนั่งลงเถิด” ฮองเฮาโบกมือให้นางกำนัลเตรียมเก้าอี้ให้หลิ่วกุ้ยเฟยนั่ง ทว่าหลิ่วกุ้ยเฟยกลับเดินไปตรงหน้าเยี่ยหลี “ข้านั่งที่นี่ได้หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หากเหนียงเหนียงไม่รังเกียจ ก็เชิญนั่งเถิดเพคะ”


 


 


           เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยนั่งลงข้างเยี่ยหลี ฮองเฮาจึงไม่เสียเวลาจัดที่นั่งให้นางอีก ฮองเฮามักรักษาระยะห่างระหว่างหลิ่วกุ้ยเฟยที่เป็นสนมที่องค์ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุดคนนี้อยู่เสมอ ยังดีที่ถึงแม้ปกติหลิ่วกุ้ยเฟยจะเป็นคนประหลาดและมีความทะนงตนอยู่มาก บางครั้งก็ถึงกับเอาแต่ใจอย่างไม่มีเหตุผล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮองเฮาแล้วก็ยังไม่แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรมากนัก วันนี้ที่นางเยือกเย็นและเอาแต่ใจโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว อย่างน้อยๆ เมื่อเทียบกับไทเฮา ฮองเฮาก็รู้สึกว่ายุติธรรมกับตนอย่างประหลาดแล้ว


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างเยี่ยหลีด้วยสีหน้าเรียบเฉย บรรดาสตรีสูงศักดิ์ที่คิดอยากสนทนากับเยี่ยหลีที่เพิ่งเป็นพระชายาติ้งอ๋องหมาดๆ จึงได้พากันถอดใจไปชั่วคราว ถึงแม้ไม่รู้ว่ากุ้ยเฟยไม่เคยไว้หน้าใครมาก่อน หากเผลอไปทำให้กุ้ยเฟยรำคาญเข้า คนที่ดูไม่ดีก็จะเป็นตนเอง


 


 


           เมื่อไม่มีใครคุยด้วย เยี่ยหลีจึงได้แต่นั่งฟังคนอื่นๆ คุยกัน โชคดีที่นางเป็นคนนั่งทน


 


 


           “เรื่องที่เกิดในตำหนักเมื่อสักครู่ ข้าได้ยินคนเขาพูดกันแล้ว” เดิมทีคิดว่าหลิ่วกุ้ยเฟยคงไม่คุยกับตน แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียบๆ ดังขึ้นข้างตัว ก็ทำให้เยี่ยหลีอึ้งไปเล็กน้อย


 


 


           “เจ้านี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ! คราวที่แล้วองค์หญิงจากหนานจ้าวจะประลองการร่ายรำ เจ้าก็ร่ายรำไม่เป็น มาครั้งนี้องค์หญิงจากแคว้นซีหลิงอยากประลองกระบี่ เจ้าก็ไม่เป็นอีก! เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง” น้ำเสียงของหลิ่วกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและรังเกียจ โชคดีที่พระนางกดเสียงไว้ให้เบามากๆ มิเช่นนั้นเรื่องที่พระชายาติ้งอ๋องร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงครั้งแรกก็ถูกหลิ่วกุ้ยเฟยต่อว่า คงทำให้ทั้งเมืองหลวงครึกครื้นขึ้นมาได้เลยทีเดียว


 


 


เมื่อได้ยินที่หลิ่วกุ้ยเฟยต่อว่า เยี่ยหลีไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หากนางจำไม่ผิด หลิ่วกุ้ยเฟยคนนี้ชื่นชอบม่อซิวเหยา แต่นางไม่ใช่แม่ของเขามิใช่หรือ น้ำเสียงดูถูกเช่นนี้นี่มันเรื่องอะไรกัน “เหนียงเหนียง หม่อมฉันไม่มีความสนใจด้านการร่ายรำ อีกอย่าง…ตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่ได้ต้องการชายาที่ร่ายรำเก่งจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเมืองหลวง ส่วนเรื่องวิชาเพลงกระบี่นั้น…ดูเหมือนจะไม่ใช่วิชาที่คุณหนูในเมืองหลวงต้องศึกษานะเพคะ”


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าลืมไปหรือเปล่าว่าฝีมือการวาดภาพของเจ้าก็แสนธรรมดา แม้แต่การเขียนกลอนก็ยังต้องมีคนช่วยเจ้าเขียน เจ้าระวังตัวให้ดีเถิด หากกล้าทำให้ขายหน้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”


 


 


         เหนียงเหนียง ท่านไม่ใช่มารดาของม่อซิวเหยาจริงๆ หรือ 

 

 


ตอนที่ 57-3 มหรสพก่อนงานเลี้ยงในวัง

 

    “หลิ่วกุ้ยเฟยกำลังคุยอะไรกับชายาติ้งอ๋องหรือ ดูสนุกเชียว” จู่ๆ องค์หญิงเจาเหรินที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เอ่ยถามขึ้น


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นจ้องนางนิ่งอยู่พักหนึ่ง “สายตาขององค์หญิงเจาเหรินเห็นว่าข้าดูสนุกหรือ” องค์หญิงเจาเหรินโดนสวนกลับจนพูดไม่ออก เยี่ยหลีถอนใจเบาๆ ในใจ นึกอิจฉาหลิ่วกุ้ยเฟยที่มีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีสิทธิ์มีนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะมีฮ่องเต้คอยคุ้มครองและให้ความโปรดปรานแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยที่มีนิสัยเช่นนี้ ต่อให้ตระกูลจะมีประวัติยิ่งใหญ่เพียงใด ก็เกรงว่าคงจะมีชีวิตอยู่ในวังได้ไม่นาน


 


 


เมื่อเห็นองค์หญิงเจาเหรินหน้าตึงพร้อมกับนิ่งใบ้ไป ดูเหมือนจะทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยอารมณ์ดีขึ้นมาก จ้องมองอีกฝ่าย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “องค์หญิงไม่ได้ถามว่าข้ากับพระชายาติ้งอ๋องกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ ข้ากำลังบอกว่าในเมื่อชายาติ้งอ๋องไม่ชำนาญเพลงกระบี่ เช่นนั้นให้ข้าแลกเปลี่ยนวิชากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นสักหน่อยดีหรือไม่”


 


 


           “กุ้ยเฟย!” ฮองเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยกลับไม่สนใจ เพียงจ้ององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสายตาเยียบเย็น “องค์หญิง ท่านเห็นว่าอย่างไร”


 


 


           ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเพิ่งมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ไม่นาน แต่นางก็รู้มาว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นกุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้ตงฉู่โปรดปรานเป็นที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถลงมือกับหลิ่วกุ้ยเฟยได้ จะแพ้หรือชนะนั้นยังไม่ต้องพูดถึง หากพลั้งมือทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยบาดเจ็บ แล้วฮ่องเต้ตงฉู่จะสืบสาวเอาความขึ้นมา ย่อมเป็นตัวนางที่เป็นฝ่ายผิด ถึงอย่างไรตอนนี้พวกนางก็ยังอยู่บนผืนแผ่นดินของตงฉู่


 


 


“เมื่อสักครู่หลิงอวิ๋นเพียงแค่ล้อชายาติ้งอ๋องเล่นเท่านั้น หลิงอวิ๋นอายุยังน้อยไม่ค่อยรู้ความ จะกล้าประมือกับกุ้ยเฟยได้อย่างไรเพคะ”


 


 


           “เอาเถิด กุ้ยเฟย องค์หญิงหลิงอวิ๋นเพียงแค่นิสัยยังเด็ก อีกอย่างนางก็ไม่รู้มาก่อนว่าชายาติ้งอ๋องไม่เป็นเพลงกระบี่ ไม่ได้ตั้งใจดูถูกต้าฉู่ของเรา” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบ สีพระพักตร์ดูแน่วแน่และไม่ยอมให้ขัดขืนอย่างที่ยากนักจะได้เห็น หลิ่วกุ้ยเฟยมีฐานะเป็นถึงกุ้ยเฟย เรื่องที่จะออกหน้าแทนชายาติ้งอ๋องไม่รู้เป็นเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดี อีกทั้งสมัยก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะเข้าวังเคยมีใจให้ติ้งอ๋องนั้น ไม่ใช่ความลับในหมู่ชนชั้นสูง ที่พระนางทำเช่นนี้ก็เพื่อหาข้ออ้างที่เหมาะสมให้กับเรื่องที่หลิ่วกุ้ยเฟยช่วยออกหน้าแทนนางเท่านั้น


 


 


           เมื่ออยู่เป็นเพื่อนคุยกับฮองเฮาได้พักใหญ่ ด้วยเพราะยังเหลือเวลาก่อนเริ่มงานเลี้ยงอีกมาก ฮองเฮาจึงได้เชิญให้ฮุหยินทั้งหลายไปยังอุทยานเพื่อชมดอกไม้และเดินเล่นกันได้ตามใจ ทุกคนต่างพากันเอ่ยขอบคุณพร้อมทั้งถวายพระพรลาฮองเฮาเพื่อออกไปยังอุทยาน ก่อนไปหลิ่วกุ้ยเฟยถูกฮองเฮาเรียกตัวเอาไว้ก่อน


 


 


เมื่อออกจากตำหนักเฟิ่งเต๋อ ฮว่าเทียนเซียงก็รีบเดินยิ้มเข้ามาหาเยี่ยหลีโดยทันที “คารวะพระชายาติ้งอ๋อง”


 


 


           เยี่ยหลีปรายตามอง “เจ้าว่างเกินไปหรือ”


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงโบกมือไปมา “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้ ตามธรรมเนียมแล้วข้าควรที่จะทำความเคารพพระชายาติ้งอ๋องมิใช่หรือ เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อสักครู่หลิ่วกุ้ยเฟยไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากใช่หรือไม่”


 


 


เยี่ยหลีไม่เข้าใจ “เหตุใดนางจึงต้องทำให้ข้าลำบากด้วย”


 


 


ฮว่าเทียนเซียงมองนางเงียบๆ ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “อาหลี ข้าบอกให้เจ้าออกไปไหนมาไหนบ้างเจ้าก็ไม่ฟัง เจ้าคงสิรู้ว่า หลิ่วกุ้ยเฟย…” แล้วนางก็รู้ตัวว่าการพูดถึงเรื่องกุ้ยเฟยคนหนึ่งที่ในวังนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี ฮว่าเทียนเซียงจึงกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูเยี่ยหลีว่า “ก่อนที่หลิ่วกุ้ยเฟยจะเข้าวัง นาง…มีใจให้กับติ้งอ๋อง”


 


 


เยี่ยหลีไม่ได้กล่าวอะไร แม้แต่ฮว่าเทียนเซียงยังรู้ข่าวเรื่องนี้ ดูท่าจะไม่ใช่แค่การมีใจธรรมดาๆ เสียแล้ว เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้ารู้ แต่นางไม่ได้ทำให้ข้าลำบากหรอก”


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงเดินคู่ไปกับเยี่ยหลี ยักไหล่พร้อมเอ่ยว่า “พูดตามจริง ข้าประหลาดใจไม่น้อยที่นางช่วยออกหน้าแทนเจ้า ดูจากสีหน้าของนางแล้วก็ไม่เหมือนว่าจะเห็นเจ้าแปลกไปจากคนอื่น”


 


 


           “หลิ่วกุ้ยเฟยฝีมือกระบี่ดีมากหรือ” เยี่ยหลีตัดสินใจว่าจะไม่เล่าให้ฮว่าเทียนเซียงฟังเรื่องที่นางเคยถูกหลิ่วกุ้ยเฟยดูถูกต่างๆ นานา


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงถอนหายใจ สีหน้าทั้งอิจฉาและริษยา “ว่าไปแล้ว หลายปีมานี้ การที่ทุกปีเมืองหลวงจะต้องมีการคัดเลือกสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งกับสาวงามอันดับหนึ่งอะไรนั่น ล้วนเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยนี่สิ…ถึงจะเป็นหญิงสาวที่ทั้งสวยทั้งเก่งของจริง ได้ยินว่างานบุปผานานาพรรณในปีนั้นเป็นปีที่มีสีสันที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าฉู่มาเลยทีเดียว สมัยนั้นคนที่เข้าร่วมการประลองเป็นสาวงามสองคนแรกที่อยู่ในภาพยอดหญิงงามแห่งแคว้นของหานหมิงเย่ว์พอดี เจ้าคงพอนึกภาพออก…”


 


 


เยี่ยหลีเห็นด้วยอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่ได้เห็น แต่ก็สามารถจินตนาการได้ว่าการแข่งขันนั้นจะต้องดุเดือดมากเป็นแน่ “แล้วหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นผู้ชนะหรือ”


 


 


           “ไม่ นางแพ้” ฮว่าเทียนเซียงพูดด้วยความเสียดาย “ตอนนั้นหลิ่วกุ้ยเฟยเพิ่งอายุได้สิบสามปี แต่ซูจุ้ยเตี๋ยอายุสิบหกปีแล้ว ต่อให้ตอนนี้หลิ่วกุ้ยเฟยเป็นเพชรเม็ดงามและเป็นบัณฑิตแห่งแคว้น แต่เมื่อตอนอายุสิบสามก็เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น ยอดเพชรงามแห่งต้าฉู่ภาพแรกจึงเป็นของซูจุ้ยเตี๋ย ส่วนภาพที่สองจึงเป็นหลิ่วกุ้ยเฟย ภาพนั้นหานหมิงเย่ว์วาดขึ้นตอนที่หลิ่วกุ้ยเฟยอายุได้สิบห้าปี แน่นอนว่า หากพูดกันเฉพาะเรื่องรูปลักษณ์แล้ว ในใต้หล้านี้ข้ายังไม่เห็นจะมีใครที่เอาชนะซูจุ้ยเตี๋ยคนนั้นได้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ยังแพ้อย่างราบคาบ”


 


 


           “อืม หลังจากนั้นเล่า”


 


 


           “หลังจากนั้นทั้งสองก็ได้ประลองกัน ปีนั้นในงานบุปผานานาพรรณถือว่าไม่มีคนอื่นเทียบได้เลย ซูจุ้ยเตี๋ยได้ที่หนึ่งด้านร่ายรำ วาดภาพ โคลงกลอน และดนตรีฉิน สี่ประเภท หลิ่วกุ้ยเฟยได้ที่หนึ่งด้านหมากล้อมและเขียนอักษร สองประเภท ที่สองล้วนผลัดกัน จากนั้นหลังจากที่ซูจุ้ยเตี๋ยหมั้นหมายก็ไม่ได้ร่วมงานบุปผานานาพรรณอีกเลย หลังจากนั้นสามปี หลิ่วกุ้ยเฟยก็ได้ที่หนึ่งทั้งด้านร่ายรำ วาดภาพ โคลงกลอน ดนตรีฉินและอื่นๆ ขอเพียงเป็นการประลองในงานบุปผานานาพรรณ นางล้วนได้ที่หนึ่งทั้งหมด”


 


 


           เยี่ยหลียอมรับอย่างจริงใจ มิน่าหลิ่วกุ้ยเฟยถึงได้เชิดหน้ามองนางด้วยรูจมูกตลอด นางมากความสามารถจริงๆ นี่เอง เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของเยี่ยหลี ฮว่าเทียนเซียงก็พูดอย่างจริงจังว่า “ข้าพูดให้เจ้าฮึกเหิมขึ้นมาบ้างหรือไม่ หรือว่าเจ้าไม่รู้สึกหวั่นใจบ้างเลยหรือ”


 


 


เยี่ยหลีถอนใจ “เจ้าคิดมากไปแล้ว” ตัวนางกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่เก่งกาจเช่นนั้นไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันเสียหน่อย จะให้นางเรียนจนเก่งกาจจนได้ที่หนึ่งไปเสียทุกด้านเช่นนั้น นางยอมไปใช้ชีวิตเที่ยวเล่นอยู่ในป่าเสียยังดีกว่า จะให้นางวาดแผนที่ หรือวาดโครงสร้างอาวุธอะไรก็ไม่มีปัญหาเลย แต่จะให้นางยกพู่กันขึ้นวาดภาพก็ทำได้เพียงลอกเลียนแบบเท่านั้น ในงานบุปผานานาพรรณครั้งนั้นถือว่านางแสดงความสามารถได้มากกว่าธรรมดาแล้ว


 


 


           “ช่างเถิด” ฮว่าเทียนเซียงโบกมือให้วุ่นไปหมด เหลือบมองเห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่จ้องมองพวกนางอยู่ไม่ไกลแล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าไปทำอะไรให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นนั่นอีกหรือ”


 


 


เยี่ยหลีพูดไม่ถูก “ข้าเพิ่งเคยพบหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นครั้งแรกจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าเพียงเคยพบเพียงเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิงเท่านั้น”


 


 


ฮว่าเทียนเซียงไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดนางจึงทำหน้าเหมือนอยากกินเจ้าเช่นนี้เล่า”


 


 


           “กระบี่หลั่นอวิ๋นหรือ” นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเพียงเรื่องเดียวที่นางคิดออก


 


 


           “กระบี่หลั่นอวิ๋นหรือ นั่นเป็นของของตำหนักติ้งอ๋อง เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงหลิงอวิ๋น”


 


 


           “ใครก็รู้ว่านั่นเป็นของที่ส่งกลับมาให้จากแคว้นซีหลิง องค์หญิงหลิงอวิ๋นคงนึกเสียดายกระมัง พวกเราไปที่อื่นกันเถิด” เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่จ้องพวกนางอยู่เดินเข้ามา เยี่ยหลีก็รีบพูดขึ้นทันที


 


 


           ฮว่าเทียนเซียงเบ้ปาก “เป็นโชค ไม่ใช่ภัย หากเป็นภัยก็หนีไม่พ้น หรือว่าเจ้าคิดอยากจะเดินหลบไปทั่วอุทยานหรือ”


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง” ยังพูดไม่ทันจบ องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็เดินมาตรงหน้าพวกนางพอดี บรรดาสตรีสูงศักดิ์โดยรอบที่อยู่ห่างไปไม่ไกลต่างก็เหลือบมองมาทางนี้โดยไมได้ตั้งใจ


 


 


           “องค์หญิง มีเรื่องอันใดอีกหรือ”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าอยากคุยกับพระชายาเป็นการส่วนตัว”


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ข้าไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใดที่จะต้องคุยกับองค์หญิง”


 


 


           ใบหน้าเรียวเล็กขององค์หญิงหลิงอวิ๋นขรึมลง “ข้าเดินทางมาเป็นพันลี้ กับแค่การเดินในอุทยานเป็นเพื่อนข้า พระชายาติ้งอ๋องก็ยังไม่ยินยอมหรือ”


 


 


เยี่ยหลีจึงได้แต่พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้น เชิญองค์หญิงเถิด” องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะเบาๆ เชิดหน้าขึ้นออกเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง เยี่ยหลีได้แต่ส่งสีหน้าปลอบโยนไปให้ฮว่าเทียนเซียงที่มองมาด้วยความกังวล ถอนใจเบาๆ ทีหนึ่งก่อนออกเดินตามไป เด็กสาวสมัยนี้นี่…ขาดการอบรมกันจริงเชียว!


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นโบกมือให้สาวใช้ตนถอยออกไป เยี่ยหลีจึงเกรงใจไม่กล้าให้พวกชิงหลวนตามไปด้วย ทั้งสองเดินคู่กันไปตามทางเดินเล็กๆ ในอุทยาน เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นว่า “องค์หญิงมีเรื่องอันใดที่อยากจะพูดกับข้าหรือ”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นหันหน้ามามองนาง แล้วส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง”


 


 


           มุมปากเยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว จะแต่งลูกสาวก็ต้องแต่งให้ดี นี่ไม่ได้หมายความว่าข้าได้บ้านสามีที่ดี มีสามีที่ดีหรอกหรือ”


 


 


 “เจ้าไม่ต้องมาทำท่าทางเช่นนี้ ข้าสืบเรื่องเจ้ามาโดยละเอียดแล้ว ก็แค่ลูกสาวบ้านเจ้ากรมเยี่ยที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แล้วยังถูกหลีอ๋องถอนหมั้นมาอีก เมื่อได้รับพระราชทานงานสมรสกับติ้งอ๋องถึงได้พอมีชื่อเสียงขึ้นมาบ้าง ต่อให้เจ้าได้เป็นสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงแล้วอย่างไร เจ้าก็ยังไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋องอยู่ดี” หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างดูแคลน


 


 


           “อ้อ เช่นนั้นหรือ” เยี่ยหลียังคงสีหน้าเดิมไม่เปลี่ยน แล้วเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ต่อให้ข้าไม่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง แล้วเกี่ยวอันใดกับองค์หญิงหรือ”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นเลิกคิ้ว อมยิ้มประหนึ่งได้ที “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ว่าเกี่ยวอันใดกับข้า ติ้งอ๋องเป็นของข้า เยี่ยหลีหากเจ้ารู้ตัวก็หลีกไปไกลๆ เสียดีๆ”


 


 


เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จ้องมององค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างจริงจังอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยถามว่า “องค์หญิง ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”


 


 


           “ว่ามา”


 


 


           “ข้าขอถามว่า ซิวเหยารู้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม “เท่าที่ข้ารู้ ซิวเหยาไม่ได้ออกไปไหนมาไหนอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดปี คิดคร่าวๆ ต่อให้พวกท่านเคยพบหน้ากันก็คงเป็นตอนที่องค์หญิงมีอายุได้เจ็ดขวบ ข้าขอถามว่า…ซิวเหยาจะยังจำได้หรือว่าท่านเป็นใคร หรือว่า เขาไม่แม้แต่จะรู้จักท่านเลย”


 


 


           “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ข้าเป็นองค์หญิงที่สูงศักดิ์ที่สุดของต้าหลิน หรือว่าจะสู้เจ้าไม่ได้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธ


 


 


           เยี่ยหลีมองนางด้วยความแปลกใจ “หากองค์หญิงอยากแต่งงานกับติ้งอ๋องจริง ก็ควรที่จะปรากฏตัวเพื่อมาแย่งกับข้า ก่อนงานแต่งงานของพวกเราถึงจะถูกมิใช่หรือ ตอนนี้พวกเราแต่งงานกันไปแล้ว องค์หญิงจึงมาปรากฏตัวเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร ท่านคงทราบว่าตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยแต่งชายาพร้อมๆ กันสองคนรวมทั้งไม่เคยหย่าและแต่งงานใหม่มาก่อน หรือว่าองค์หญิงจะยอมเสียเปรียบมาเป็นภรรยารอง หากไม่ใช่…ต่อให้ข้าตายไป แล้วองค์หญิงได้แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องโดยสะดวก ท่านก็ยังได้เป็นเพียงภรรยาที่มาทีหลัง วันหนึ่งค่ำและสิบห้าค่ำยังต้องไปจุดธูปกราบไหว้วิญญาณข้าอีกด้วยนะ”


 


 


           “เจ้า…เจ้าฝันไปเถิด! ข้าจะต้องเป็นชายาเอกของติ้งอ๋องให้ได้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดด้วยความโกรธ


 


 


           “แล้วแต่ท่านจะคิดเถิด” เยี่ยหลีมองนางด้วยความสงสาร “แต่ข้าคิดว่าความต้องการของเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อดูเหมือนจะไม่เหมือนกับท่าน ท่านว่าใช่หรือไม่”


 


 


           แววตาขององค์หญิงหลิงอวิ๋นเปล่งประกายโกรธแค้น หากไม่ใช่เพราะเมื่อถึงเมืองหลวงต้าฉู่ เหลยเถิงเฟิงก็กักตัวนางไว้ให้อยู่แต่ในจวนทูต แล้วบอกกับผู้อื่นว่านางสุขภาพไม่ดี จนเมื่อติ้งอ๋องจัดงานมงคลสมรสเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยปล่อยนางออกมา นางจะเพิ่งมาหาเยี่ยหลีเอาตอนนี้ได้อย่างไร


 


 


เยี่ยหลีอมยิ้มมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แล้วพูดต่อว่า “จะว่าไป การพาองค์หญิงที่อายุกำลังเหมาะสมมาเป็นทูตยังแคว้นเพื่อนบ้านด้วยนั้น ข้ายังไม่เคยเห็นนัก…โดยส่วนใหญ่ก็มาเพื่อที่จะ…แต่งงานหรือ ดูเหมือนข้าได้ยินว่าเมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว แคว้นซีหลิงต้องพบกับพายุหิมะ หรือว่า…” มีหลายๆ เรื่องที่นางไม่คิดอยากนึกถึง แต่ไม่ใช่ว่านางมองไม่ออก กับองค์หญิงหลิงอวิ๋นท่านนี้นางไม่นึกกังวลใจแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่ว่าองค์หญิงท่านนี้จะมีความสามารถเพียงใด ฮ่องเต้ก็คงไม่ให้ม่อซิวเหยาแต่งงานกับองค์หญิงซีหลิงเพื่อมาทำให้ตนลำบากขึ้นเป็นแน่ ไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงแคว้นซีหลิง ต่อให้เป็นองค์หญิงแคว้นเป่ยหรงหรือองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกับม่อซิวเหยา มีเพียงองค์หญิงตรงหน้าคนนี้คนเดียวที่ไม่เข้าใจสถานการณ์เหล่านี้ คิดไปเองว่ามาหานางแล้วบอกให้นางถอยไปตรงๆ ก็จะเป็นไปอย่างที่ตนหวังไว้ นางไม่อยากนึกดูถูกความนึกคิดขององค์หญิงเหล่านี้เลยจริงๆ เพียงแต่…ในบรรดาองค์หญิงรุ่นสาวอยู่มีใครที่ปกติบ้างหรือไม่นะ หรือว่านางจะยังเด็กเกินไปจริงๆ


 


 


           “ท่านชอบอะไรในตัวติ้งอ๋องหรือ” เมื่อเห็นสีหน้าแน่วแน่ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้ว เยี่ยหลีจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะเบาๆ “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ติ้งอ๋องเป็นชายหนุ่มที่ยอดเยี่ยมสุดในใต้หล้า เป็นแม่ทัพอายุน้อยที่สุดและเก่งกาจที่สุด และเป็นชายหนุ่มที่มากความสามารถอีกด้วย คนที่ข้าต้องการจะแต่งงานด้วยย่อมเป็นคนที่ดีเลิศที่สุดเป็นธรรมดา”


 


 


           “เขาตอนนี้ดูจะไม่ได้ดีเลิศอย่างที่ท่านว่า” เยี่ยหลีเอ่ยเตือน


 


 


           “เจ้านี่ช่าง…เจ้านี่ช่างเห็นแก่ได้เสียจนเกินทน พูดกับเจ้ามากขึ้นอีกแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ติ้งอ๋องคงตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้ชอบผู้หญิงอย่างเจ้า ข้ารู้ว่าฮ่องเต้ของตงฉู่มีรับสั่งให้เขาแต่งงานกับเจ้า แต่ผู้หญิงอย่างเจ้าจะเข้าใจว่าเขาดีเลิศเพียงไหนได้อย่างไร”


 


 


           เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอ่ยหาความชอบธรรมเช่นนี้แล้ว เยี่ยหลีจึงนึกพิจารณาตัวเองว่าตนควรจะรู้สึกอายดีหรือไม่ เมื่อเทียบกับองค์หญิงตรงหน้าแล้ว หยางเชียนหรูกลายเป็นคนปกติ และเยี่ยอิ๋งกลายเป็นคนที่น่ารักขึ้นมาทันที


 


 


           “ข้าจะต้องเป็นชายาติ้งอ๋องให้ได้!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีพร้อมพูดด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


 


           “พยายามเข้า ข้าขอให้ท่านประสบความสำเร็จ” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ


 


 


           “ข้าจะต้องเป็นชายาติ้งอ๋องให้ได้!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดจบนางก็กระโดดลงทะเลสาบจำลองที่อยู่ข้างๆ ไปทันที


 


 


           “ช่วยด้วย…ช่วยด้วย องค์หญิงตกน้ำ!” เสียงแหลมของผู้หญิงดังก้องขึ้นในอุทยาน


 


 


           เยี่ยหลีก่นด่าเสียงเบา ก่อนจะกระโดดลงน้ำตามไปด้วยอีกคน


 


 


           บ้าเอ้ย เจ้าบ้านี่มีแม่อยู่เยอะเสียจริง! ม่อซิวเหยา เตรียมตัวตายให้ดีเถิด! 

 

 


ตอนที่ 58-1 องค์หญิงหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์

 

       ตอนที่ตกน้ำไปนั้น เยี่ยหลียังอดนึกก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ ถึงแม้หลายปีมานี้นางจะพยายามฝึกฝนฝีมือและร่างกายของตนอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเปรียบกับชาติที่แล้วที่ต้องฝึกฝนท่ามกลางสายลมและสายฝน คลุกดินคลุกโคลนแล้ว ยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก อีกทั้งร่างกาย ณ ตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่รักใคร่ แต่ก็เป็นลูกคุณหนูที่มีชีวิตสุขสบายอย่างแท้จริง เมื่อตอนตกลงน้ำนางยังเป็นตะคริวขึ้นมาด้วยซ้ำ ยังดีที่เยี่ยหลีเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว จึงปรับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ก่อนพุ่งตัวไปทางองค์หญิงหลิงอวิ๋น จับองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่กำลังตะเกียกตะกาย แล้วดึงให้ลงไปก้นสระให้ลึกขึ้นได้


 


 


           แค่มองก็รู้แล้วว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นท่านนี้ว่ายน้ำไม่เป็น เยี่ยหลีอดยิ้มมุมปากไม่ได้ ดีจริง นี่นางควรจะต้องชื่นชมองค์หญิงท่านนี้ที่มีความกล้าในการเสียสละตนเองเพื่อความรักหรือไม่นะ ว่ายน้ำไม่เป็นแต่กล้ากระโดดลงน้ำ! เช่นนั้นก็เอาให้รู้สึกเสียหน่อยก็แล้วกันว่า การจมน้ำมันเป็นอย่างไร เชื่อว่าต่อไปนางคงเรียนรู้ที่จะประเมินศักยภาพตนเองก่อนคิดทำอะไรเป็นแน่


 


 


เดิมทีองค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่ได้ตื่นตกใจสักเท่าไรนัก ด้วยนางรู้ว่าจะมีคนมาช่วยนางอย่างรวดเร็ว แต่นางกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังจมลึกลงไปเรื่อยๆ จึงยิ่งตกใจและดิ้นรนหนักขึ้นไปอีก เยี่ยหลีนึกส่งเสียงเหอะในใจ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในน้ำนั้นคือตนกำลังจมน้ำแล้ว เยี่ยหลีรีบเคลื่อนตัวไปหลังองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างรวดเร็ว แล้วทำให้หญิงสาวที่กำลังตื่นตระหนกหมดสติไป จากนั้นจึงลากนางว่ายไปอีกฝั่งหนึ่ง จนเมื่อคิดว่าใกล้ถึงขีดสุดขององค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้ว จึงได้ผลักนางกลับไป


 


 


           เพียงชั่วแวบเดียว คนทั้งอุทยานก็มารวมตัวกันอยู่ริมทะเลสาบ องครักษ์จากแคว้นซีหลิงและองค์รักษ์ภายในอุทยานที่มาถึงก่อนรีบกระโดดลงน้ำลงไปช่วย


 


 


           “คนอยู่ไหน!” คนบนฝั่งร้องถามขึ้น ทุกคนต่างหันไปมองก็เห็นว่ามีผ้าทอสีสดลอยอยู่บนผิวน้ำ จากนั้นจึงเห็นพระชายาติ้งอ๋องลอยขึ้นมาอีกคน มือข้างหนึ่งยังลากเอาองค์หญิงหลิงอวิ๋นมาด้วย ในสายตาทุกคนต่างมองว่าพระชายาติ้งอ๋องได้ช่วยองค์หญิงหลิงอวิ๋นไว้ เยี่ยหลีทันได้เห็นว่าองค์รักษ์ที่ว่ายน้ำเข้ามาด้วยความรวดเร็วนั้นกำลังยิ้มน้อยๆ ให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่กำลังสลบอยู่


 


 


“องค์หญิง ฟื้นสิ องค์หญิง…มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว” เดิมทีที่เยี่ยหลีลงมือไปนั้นก็ไม่ได้รุนแรงอะไร เมื่อถูกลากขึ้นจากผิวน้ำ องค์หญิงหลิงอวิ๋นจึงลืมตาขึ้นได้อย่างรวดเร็ว นางพบเยี่ยหลีกำลังส่งยิ้มเยาะน้อยๆ มาให้ตนอยู่ ด้วยความโกรธจึงไม่ได้สนใจว่าพวกนางจะอยู่กันที่ใด องค์หญิงหลิงอวิ๋นตะโกนเสียงแหลมขึ้น “เจ้าปล่อยข้านะ!” จากนั้นก็ออกแรงผลักตนเองออกมา


 


 


           “องค์หญิง ท่านอย่าขยับ ระวัง…”


 


 


           “เจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้า!” เมื่อเห็นว่าองครักษ์มาถึงตัวตนแล้ว องค์หญิงหลิงอวิ๋นยิ่งผลักเยี่ยหลีออกไปโดยไม่กลัวอะไรทั้งนั้น


 


 


           ดีมาก…เยี่ยหลีปล่อยตัวตามแรงผลักขององค์หญิงหลิงอวิ๋นให้ตนจมลงน้ำไปอีกครั้งด้วยสีหน้าตื่นตกใจท่ามกลางสายตาของทุกคน


 


 


           เมื่อขึ้นฝั่งได้ก็มีนางกำนัลคลุมเสื้อผ้าที่แห้งและสะอาดให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นโดยทันที ชิงอวี้และชิงหลวนถลึงตามององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยความโกรธ “องค์หญิง พระชายาของพวกเรามีใจช่วยท่าน เหตุใดท่านจึงต้องผลักท่านลงไปด้วย!”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ก็เห็นใบหน้าของทุกคนที่มองมายังตนด้วยสายตากล่าวโทษ จึงได้ตะลึงไป นี่ไม่เหมือนกับแผนที่นางวางเอาไว้เลย! “ข้าไม่ได้ผลักนาง!”


 


 


ฮว่าเทียนเซียงยิ้มเยาะ “เป็นถึงองค์หญิงกล้าทำไม่กล้ารับ ต่อให้ท่านโกหกก็ช่วยแต่งเรื่องที่พอเชื่อได้หน่อยมิได้หรือ หรือว่าองค์หญิงคิดว่าพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี่ตาบอดกันไปหมดแล้ว”


 


 


องค์หญิงหลิงอวิ๋นโกรธจัด “นางผลักข้าลงไปหรอก ข้าจำเป็นต้องให้นางช่วย”


 


 


องค์หญิงเจาเหรินสีหน้าเคร่งขรึม “ความหมายขององค์หญิงคือพระชายาติ้งอ๋องเป็นคนผลักท่านลงน้ำ จากนั้นนางก็กระโดดตามลงไปช่วยท่านหรือ สุดท้ายท่านปลอดภัยดีแต่เป็นนางที่ตอนนี้ยังไม่ได้กลับขึ้นฝั่งอย่างนั้นหรือ องค์หญิงท่านต้องขอพรให้ชายาติ้งอ๋องไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นแล้ว เกรงว่าต่อให้ท่านเป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิง ต้าฉู่ของเราก็คงไม่อยู่เฉยเป็นแน่!”


 


 


           “พระชายา…หาพระชายาเจอแล้วเจ้าค่ะ…” ชิงอวี้ที่รออยู่บนฝั่งด้วยความร้อนใจตะโกนขึ้น ในทะเลสาบ ชิงซวงและชิงหลวนประคองเยี่ยหลีที่เห็นชัดว่าหมดสติไปแล้วขึ้นมาบนผิวน้ำ ริมฝั่งผู้คนต่างพากันช่วยลากเยี่ยหลีขึ้นมาพร้อมทั้งนำเสื้อผ้าสะอาดมาห่มคลุมให้นาง ชิงอวี้ยกมือของนางขึ้นมาจับชีพจร องค์หญิงเจาหยางมองเยี่ยหลีด้วยความร้อนใจ “เป็นอย่างไรบ้าง เหตุใดหมอหลวงจึงยังไม่มีอีก”


 


 


ชิงอวี้เงยหน้าขึ้น “เป็นพระกรุณาที่องค์หญิงทรงเป็นห่วงเพคะ พระชายากินน้ำเข้าไปหลายอึกจึงได้สลบไป คงไม่มีอันตรายอะไรเพคะ เพียงแต่…ตอนนี้ต้องหาที่ให้พระชายาพักผ่อนก่อนเพคะ”


 


 


องค์หญิงเจาหยางหันมองไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ที่นี่ใกล้กับตำหนักเจาสยามากที่สุด พาชายาติ้งอ๋องไปที่นั่นเร็ว” ทุกคนต่างรุมล้อมเยี่ยหลีที่ยังไม่ได้สติ ก่อนมีคนพาตัวนางไปยังตำหนักเจาสยาโดยมีองค์หญิงเจาหยางนำทางไป องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ตกน้ำเช่นกันแต่ไม่เป็นอะไรจึงไม่มีใครสนใจไปโดยปริยาย เมื่อเห็นกลุ่มคนรีบพากันไปแล้ว สีหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋นจึงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด


 


 


           “องค์หญิง…” นางกำนัลจากแคว้นซีหลิงที่ติดตามนางมาเอ่ยเรียกขึ้นอย่างระมัดระวัง


 


 


           “ไสหัวไป!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดด้วยความโกรธ


 


 


           บรรยากาศในตำหนักเจาสยาเต็มไปด้วยความอึดอัด ภายในตำหนัก ม่อซิวเหยามองหญิงสาวที่ยังคงไม่ได้สติด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างเตียง หมอหลวงเข้ามาจับชีพจรด้วยความระมัดระวัง มีองค์หญิงเจาหยางนั่งขมวดคิ้วอยู่อีกด้าน “ชายาติ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”


 


 


หมอหลวงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนหันมองม่อซิวเหยา “เรียนท่านอ๋อง องค์หญิง พระชายาไม่ได้เป็นอันใดมาก เพียงแต่…คาดว่าน่าจะเป็นเพราะความตกใจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกลับไปสั่งยาสงบใจและยาขับความเย็นมาให้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ในเมื่อไม่เป็นอะไร แล้วเหตุใดพระชายาจึงยังไม่ฟื้นอีกเล่า” องค์หญิงเอ่ยถาม


 


 


หมอหลวงตอบว่า “เรื่องนี้…พระชายาอย่างไรก็เป็นสตรี เกรงว่าช่วงที่ตกน้ำลงไปคงเกิดสำลักน้ำทำให้หายใจไม่สะดวก แต่ว่าเรื่องสำลักน้ำนั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร พักผ่อนอีกเล็กน้อยก็จะฟื้นขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์หญิงเจาหยางนึกไปถึงตอนที่เยี่ยหลีพาร่างขององค์หญิงหลิงอวิ๋นขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วอยู่ดีๆ ก็โดนองค์หญิงหลิงอวิ๋นผลักลงไปอีก สีหน้าจึงยิ่งขรึมลง แล้วพยักหน้า “เจ้าออกไปต้มยาเถิด”


 


 


           “กระหม่อมทูลลา”


 


 


           ภายในห้องเหลือเพียงองค์หญิงเจาหยางกับม่อซิวเหยา องค์หญิงเจาหยางลุกยืนขึ้น “ซิวเหยา เจ้าดูแลชายาให้ดีเถิด ส่วนองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั่น ข้าจะช่วยถามหาความยุติธรรมให้เอง”


 


 


ม่อซิวเหยาพยักหน้าเรียบๆ “ลำบากท่านป้าแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้ไว้รอให้อาหลีฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยจัดการก็แล้วกัน”


 


 


องค์หญิงเจาหยางถอนใจพร้อมพยักหน้า “แล้วแต่เจ้าก็แล้วกัน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนชายาของเจ้าเถิด ข้าออกไปก่อนละ”


 


 


เมื่อเห็นว่าองค์หญิงเจาหยางออกไปแล้ว ม่อซิวเหยาจึงได้เลื่อนเก้าอี้รถเข็นเข้าไปใกล้ๆ จ้องมองหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติอยู่เป็นนาน ก่อนถามขึ้นเรื่อยๆ ว่า “อาหลี เจ้ากะจะนอนจนพ้นงานเลี้ยงคืนนี้ไปเลยหรือ”


 


 


แพขนตาของเยี่ยหลีขยับเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น “ท่านรู้ได้อย่างไร”


 


 


 ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ความรู้สึก แม้แต่หมอหลวงเจ้ายังหลอกได้ ข้าจะมองออกได้อย่างไร” เห็นสีหน้าของหมอหลวงที่ดูทั้งประหลาดใจและไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงจำใจต้องบอกว่าเป็นเพราะความตกใจทำให้ยังไม่ได้สติ ดวงตาม่อซิวเหยาจึงมีแววขบขันขึ้น


 


 


           “อาหลี ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจ้าชอบช่วยคนให้พ้นภัยเช่นนี้” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบขณะมองเยี่ยหลี


 


 


           เยี่ยหลีจึงได้แต่บอกว่า “ข้าก็ไม่มีทางเลือก หากไม่ช่วยนาง ครั้งนี้คงเปลี่ยนเป็นข้าที่เป็นคนผลักนางตกน้ำไปแล้ว”


 


 


           ม่อซิวเหยาตาเป็นประกาย “ด้านนอกเมื่อครู่ องค์หญิงหลิงอวิ๋นยืนยันว่าเจ้าเป็นคนผลักนางตกน้ำจริงๆ”


 


 


           “ด้านนอก…นางนี่ช่างดื้อแพ่งเสียจริง โดนไปขนาดนั้นแล้วยังมีแรงโวยวายอีกหรือ” เยี่ยหลีประหลาดใจ ตอนอยู่ในน้ำ นางแกล้งองค์หญิงหลิงอวิ๋นไปไม่น้อย ไม่คิดว่านางไม่แม้แต่จะพบหมอหลวง แต่กลับโวยวายต่อเช่นนี้อีก เมื่อคิดได้ว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้ตนต้องมีภัยในครั้งนี้ ดวงตาคู่งามของเยี่ยหลีก็หรี่ลงทันที มองจ้องใบหน้างดงามที่โผล่พ้นออกมาจากหน้ากากครึ่งหนึ่ง “จะว่าไปท่านอ๋อง…เรื่องวันนี้ก็เพราะท่านเป็นต้นเหตุ ท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่”


 


 


           ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย เยี่ยหลีส่งเสียงเหอะเบาๆ “องค์หญิงหลิงอวิ๋นหลงใหลท่านเหลือเกิน ทั้งยังประกาศกร้าวอีกด้วยว่า นางจะต้องเป็นชายาตำหนักติ้งอ๋องให้ได้”


 


 


           “องค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิงหรือ” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว


 


 


เยี่ยหลีดุเขาด้วยสายตา “ท่านคงไม่ได้มีเรื่องที่ตกลงกันไว้เมื่อหลายปีก่อนเข้าจริงๆ ใช่หรือไม่” กล้าหลอกเด็กผู้หญิงอายุเพียงเจ็ดแปดขวบ คนเลวเช่นนี้…ต้องตีให้ตาย!


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้า พูดกับเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ายืนยันได้ว่า ข้ากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นน่าจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน”


 


 


           “หากไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน นางจะเอะอะโวยวายว่าจะแต่งงานกับท่านได้อย่างไร ถึงขั้นกระโดดลงทะเลสาบไปเองอีก หรือว่า…เพราะฐานะของตำหนักติ้งอ๋อง” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ นางไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าม่อซิวเหยาจะหลอกนางในเรื่องนี้ หรือว่าอันที่จริงม่อซิวเหยาจะรู้จักกับองค์หญิงหลิงอวิ๋น โอกาสเป็นไปได้นั้นน้อยมาก


 


 


“จะว่าไป…การแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องดูจะไม่เอื้อประโยชน์ให้กับแคว้นซีหลิงสักเท่าไร หากแคว้นซีหลิงคิดอยากผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงาน วิธีที่ดีที่สุดคือให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นแต่งงานกับฝ่าบาท”


 


 


           ม่อซิวเหยาเหลือบมองนาง ดูตกใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแคว้นซีหลิงต้องการผูกสัมพันธ์ทางการแต่งงาน”


 


 


           “ไม่เช่นนั้นจะพาองค์หญิงคนหนึ่งเดินทางมาด้วยเป็นพันๆ ลี้เพื่อสิ่งใดกัน แค่มาเยี่ยมหรือ”


 


 


           ม่อซิวเหยากล่าวว่า “แคว้นซีหลิงกับต้าฉู่ของพวกเราไม่ค่อยลงรอยกันมาโดยตลอด ถึงแม้หลายปีนี้จะค่อนข้างสงบสุขแต่ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลับมาเปิดศึกกันอีก ตามปกติแล้ว แคว้นซีหลิงไม่มีทางให้องค์หญิงมาแต่งงานกับต้าฉู่แน่นอน”


 


 


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การแต่งงานก็เท่ากับเป็นตัวประกัน หากสองแคว้นเปิดศึกกันขึ้นมา ไม่ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิงหรือท่านหญิงก็จะเป็นเพียงของที่ต้องเสียสละผู้น่าสงสาร เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จะว่าไปก็ใช่ ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดีแก่ใจ ฮ่องเต้ของแคว้นซีหลิงต่อให้มีลูกสาวมากจนไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องส่งมาไว้กับศัตรูของตนหรอก


 


 


           ม่อซิวเหยามองนางนั่งพิงหมอนขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยสายตาอบอุ่น “ไม่ต้องคิดมากไป เขาอยากสานสัมพันธ์จากการแต่งงานหรือไม่ รอให้ถึงงานเลี้ยงคืนนี้เดี๋ยวก็รู้เอง” 

 

 


ตอนที่ 58-2 องค์หญิงหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์

 

เมื่อเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาเดินออกมาจากด้านในนั้น ภายในตำหนักที่ก่อนหน้านี้มีเสียงพูดคุยกันจ้อกแจ้กก็เงียบเสียงลงทันที ดูท่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานคงทำให้ผู้คนตกใจไม่น้อย ไม่เพียงฮองเฮา แม้แต่ฮ่องเต้ก็มาอยู่ที่นี่ด้วย ทูตจากทุกแคว้นต่างมากันพร้อมเพรียง ยกเว้นทูตจากเป่ยหรง เมื่อเห็นทั้งสองออกมา ม่อจิ่งฉีมองมาที่เยี่ยหลีก่อนครู่หนึ่งจึงถามขึ้นว่า “ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”  


 


 


ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เป็นพระกรุณาที่ฝ่าบาททรงเป็นห่วง อาหลีไม่ได้เป็นอะไรมากพ่ะย่ะค่ะ”  


 


 


ฮองเฮาพยักหน้าด้วยความยินดี “ชายาติ้งอ๋องไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เชิญชายาติ้งอ๋องนั่งลงเถิด” 


 


 


           ทั้งสองเอ่ยขอบคุณฮองเฮา แล้วเยี่ยหลีก็นั่งลงตาม เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อแห่งแคว้นซีหลิง เหลยเถิงเฟิงยืนขึ้นเอ่ยเสียงใสว่า “พระชายาติ้งอ๋อง เมื่อสักครู่หลิงอวิ๋นเองก็ตกใจไม่น้อย จึงไม่ทันระวังพลั้งมือทำให้พระชายาต้องพลอยตกใจไปด้วย ขอให้พระชายาโปรดอภัย” ยังไม่ทันพูดจบดี องค์หญิงหลิงอวิ๋นที่อยู่ข้างๆ ก็รีบยืนขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยความเจ็บใจ “ท่านพี่ ข้าบอกแล้วไงว่านางเป็นคนผลักข้าลงไป!”  


 


 


องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็นกันหมดว่าชายาติ้งอ๋องคิดอยากช่วยท่าน แต่ท่านกลับผลักชายาติ้งอ๋องที่กำลังหมดแรงกลับลงน้ำ จนทำให้นางสลบไป”  


 


 


องค์หญิงหลิงอวิ๋นโกรธจนหน้าแดง “ข้ามีพยาน”  


 


 


องค์หญิงเจาหยางขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้ เมื่อสักครู่องค์หญิงก็ได้บอกแล้วว่าสาวใช้ของท่านเห็นกับตาว่าชายาติ้งอ๋องเป็นคนผลักท่านตกน้ำ แต่ว่า…หากดูจากท่าทีที่ท่านมีต่อชายาติ้งอ๋องเมื่อตอนอยู่ในตำหนักเฟิ่งเต๋อกับสถานการณ์ในน้ำแล้ว คำพูดของสาวใช้ท่านเกรงว่าคงยากที่จะเชื่อถือได้”  


 


 


“ท่านว่าข้าโกหก!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงแหลม องค์หญิงเจาหยางมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้ไม่ได้ตอบอะไรแต่สีหน้าขององค์หญิงก็เพียงพอที่จะบอกทั้งหมดแล้ว 


 


 


           “หลิงอวิ๋น เลิกโวยวายได้แล้ว!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้น 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นโกรธจนร้องไห้ออกมา พูดด้วยความแค้นใจว่า “ดี! พวกท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะตายให้ดูเพื่อเป็นการพิสูจน์!” พูดจบก็ดึงปิ่นทองที่ศีรษะออกมาหมายจะนำมาแทงเข้าที่หัวใจของตน 


 


 


           “องค์หญิงอย่า…!” 


 


 


           “หลิงอวิ๋น…!” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมือไวตาไวรีบคว้าแขนองค์หญิงหลิงอวิ๋นไว้แล้วแย่งปิ่นในมือนางมา มองน้องสาวลูกพี่ลูกน้องที่แสนเอาแต่ใจคนนี้ด้วยความปวดหัว ขณะเดียวกันก็เหลือบมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยความสงสัย ถึงแม้น้องสาวคนนี้จะชอบแผลงฤทธิ์อยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยมีครั้งใดที่ปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้มาก่อน หรือว่านางจะถูกใส่ร้ายจริงๆ  


 


 


           เหลยเถิงเฟิงจ้องตาเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามขึ้น “พระชายาติ้งอ๋อง หากว่าข้าจะขอให้ท่านช่วยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังหน่อยจะได้หรือไม่”  


 


 


เยี่ยหลีมองตอบสายตาเขาด้วยท่าที่สงบ แล้วเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น องค์หญิงหลิงอวิ๋นคุยกับข้าอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าตกน้ำไปได้อย่างไร จากนั้นข้าก็ตกน้ำตามลงไป” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก จ้องเยี่ยหลีด้วยสายตาจับผิด “ท่านก็ตกลงไปด้วยหรือ เช่นนี้ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านตกลงไปได้อย่างไร” 


 


 


           เยี่ยหลีส่ายหน้า “อยู่ดีๆ องค์หญิงหลิ่งอวิ๋นตกลงน้ำไป ข้าตกใจยังไม่ทันตั้งตัวได้ก็ตกน้ำตามลงไปเสียแล้ว” 


 


 


           “ดูเหมือนพระชายาติ้งอ๋องจะว่ายน้ำเป็น” เหลยเถิงเฟิงกล่าว 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ก็ไม่ถือว่าเป็น เพียงแต่ตอนเด็กๆ ข้าเคยจมน้ำ จึงพอได้เรียนมาบ้าง เพียงแต่ไม่มีประสบการณ์นัก จึงได้…” 


 


 


           เยี่ยหลีพูดเหมือนไม่ได้พูดอะไร แต่สำหรับคนที่นั่งฟังอยู่นางได้พูดทุกอย่างออกมาหมดแล้ว ถึงขั้นผูกเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ทุกคนต่างเห็นกับตาว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นต้องการจะคุยกับพระชายาติ้งอ๋องให้ได้ ดูท่าว่าทั้งสองคงกำลังพูดเรื่องอะไรที่ไม่พอใจ ทำให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นออกอาการจนพลัดตกน้ำไป แล้วจึงลากเอาชายาติ้งอ๋องลงไปด้วย หากเรื่องราวไม่เป็นเช่นนี้ แล้วพยายามคิดเสียว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ก็เห็นๆ อยู่ว่าพระชายาติ้งอ๋องช่วยชีวิตองค์หญิงหลิงอวิ๋นไว้ ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นจะเปลี่ยนบุญคุณเป็นความแค้น ผลักชายาติ้งอ๋องกลับตกน้ำไปจนทำให้นางสลบไสลไม่ได้สติ อีกทั้งยังอาศัยช่วงที่เจ้าตัวยังไม่ฟื้น บอกกับทุกคนว่าอีกฝ่ายผลักตนเองตกน้ำ ทันใดนั้น สายตาที่ทุกคนในตำหนักมององค์หญิงหลิงอวิ๋นและคณะทูตจากแคว้นซีหลิงก็เปลี่ยนไปทันที เดิมที่ชนชั้นสูงในต้าฉู่ก็มีความรู้สึกไม่ดีต่อแคว้นซีหลิงอยู่แล้ว มาตอนนี้ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าไปใหญ่ คนแคว้นซีหลิงนี่เป็นคนประเภทไหนกันนะ 


 


 


           “อันที่จริง องค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่ควรต้องพยายามทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นวังหลวงแห่งต้าฉู่ หากองค์หญิงจากแคว้นซีหลิงเกิดเป็นอะไรไป จะไม่กระทบกับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างแคว้นซีหลิงกบต้าฉู่ของเราหรือ ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงหญิงที่อ่อนแอ แต่จะไม่มีทางทำเรื่องที่ทำลายความสงบระหว่างสองแคว้นโดยเด็ดขาด” เยี่ยหลีมององค์หญิงหลิงอวิ๋น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ สบายๆ “แต่ข้ากลับมีข้อสงสัย ข้ากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินมาจากอุทยาน เราทั้งสองต่างให้สาวใช้รออยู่ที่ด้านนอก โดยหลักการแล้วตำแหน่งที่พวกนางอยู่นั้น…ไม่ว่าองค์หญิงจะตกลงไปเองหรือเป็นข้าที่ผลักท่านลงไป สาวใช้ของท่านหากไม่ได้ยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบแล้ว ก็คงไม่อาจเห็นเหตุการณ์ได้ ไม่รู้ว่าพวกนางเห็นกับตาว่าข้าผลักองค์หญิงตกน้ำได้อย่างไร ฝ่าบาท ฮองเฮาเพคะ ให้สาวใช้ของข้ากับสาวใช้ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นเข้ามาได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาหันไปมองม่อจิ่งฉี เมื่อเห็นเขาไม่ได้ว่าอะไร จึงพยักหน้า “ทำตามที่พระชายาว่า” 


 


 


           พวกชิงหลวนเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสาวใช้ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นพามาจากแคว้นซีหลิง องค์หญิงเจาหยางเป็นผู้เอ่ยปากถามว่า “ตอนนั้นพวกเจ้าได้ตามพระชายาและองค์หญิงไปหรือไม่” 


 


 


           ชิงอวี้เดินขึ้นหน้ามาตอบว่า “เรียนองค์หญิง ตอนนั้นองค์หญิงหลิงอวิ๋นบอกว่าต้องการที่จะพูดคุยกับพระชายาของพวกเราเป็นการส่วนตัว อีกทั้งยังได้ให้นางกำนัลของพระองค์ล่าถอยไปก่อนแล้ว ดังนั้นพระชายาจึงได้สั่งให้พวกบ่าวไม่ต้องตามเพคะ”  


 


 


องค์หญิงเจาหยางเลิกคิ้วถามต่อว่า “เช่นนั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ริมทะเลสาบ” ชิงอวี้ส่ายหน้า “ระหว่างทะเลสาบกับอุทยานมีภูเขาจำลองกั้นอยู่ พวกบ่าวอยู่ห่างไปค่อนข้างมาก ถูกภูเขาลูกนั้นบังไว้จึงไม่เห็นว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างเพคะ”  


 


 


สาวใช้ขององค์หญิงหลิงอวิ๋นก้าวขึ้นหน้าขึ้นมา “พวกบ่าวเห็นเพคะ พระชายาติ้งอ๋องผลักคุณหนูของพวกเราตกน้ำเพคะ” สาวใช้นางนั้นพูดโพล่งขึ้น 


 


 


           องค์หญิงเจาหยางเลิกคิ้ว หันมององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “อ้อ…เช่นนั้นตอนนั้นพวกเจ้าอยู่กันที่ใดหรือ” 


 


 


           สาวใช้ผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตนพูดอะไรผิดไป จึงเหลือบมองไปทางที่คณะจากซีหลิงนั่งอยู่ด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก ก่อนฝืนตอบออกมา “พวกเรา…พวกเราอยู่แถวต้นเถาริมทะเลสาบเพคะ”  


 


 


           องค์หญิงเจาหยางพยักหน้า “หากอยู่ตรงนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเห็น เพียงแต่ข้าอยากรู้ว่า พวกเจ้าที่ควรจะรออยู่ด้านหลัง เหตุใดจึงได้เดินอ้อมเกือบครึ่งอุทยานแล้วไปอยู่ข้างต้นเถาได้เล่า ข้าจำได้ว่าจากต้นเถาไปถึงทะเลสาบ ระหว่างภูเขาจำลองมีแม่น้ำสายเล็กขวางอยู่ อีกทั้งสะพานดูเหมือนจะอยู่ห่างไปไกลไม่น้อย”  


 


 


“เรื่องนี้…” ต่อหน้าผู้คนมากมาย ทั้งยังมีฮ่องเต้และฮองเฮาแห่งต้าฉู่อยู่ด้วย ต่อให้สาวใช้คนนี้ใจกล้าเทียมฟ้าเพียงใดก็ไม่กล้าไม่ตอบคำถามขององค์หญิงเจาหยางได้ จึงต้องจำใจตอบว่า “คือ…องค์หญิงให้บ่าวไปอยู่ที่นั่น…ไปที่นั่น…เพคะ…” 


 


 


           องค์หญิงเจาหยางยิ้ม “ไปที่นั่นอะไรหรือ หากว่าอยู่ในช่วงเดือนสาม จะบอกว่าให้ไปเด็ดดอกเถาก็ยังพอฟังได้ แต่ตอนนี้ก็ใกล้จะเข้าเดือนหกแล้ว ปกติไม่มีใครเขาไปที่นั่นกันนะ” 


 


 


           “บ่าว…บ่าว…” สาวใช้ผู้นั้นกระวนกระวายจนแทบอยากจะขอให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นช่วย แต่มาคราวนี้องค์หญิงหลิงอวิ๋นเองก็คิดเหตุผลที่พอฟังขึ้นไม่ออกเช่นกัน ได้แต่ฝืนพูดว่า “ไม่ต้องสนใจว่าสาวใช้ข้าไปอยู่ตรงนั้นทำไม อย่างน้อยพวกนางก็สามารถยืนยันได้ว่า เห็นข้าถูกนางผลักตกลงน้ำจริง” 


 


 


           องค์หญิงเจาหยางใช้ชีวิตอยู่ในวังมาตั้งแต่เล็กๆ จึงไม่ถูกลวงง่ายๆ ดวงตาหงส์จ้องสาวใช้ผู้นั้นนิ่ง “ในเมื่อเจ้าว่าชายาติ้งอ๋องผลักองค์หญิงหลิงอวิ๋น เช่นนั้นชายาติ้งอ๋องผลักอย่างไรหรือ ตอนนั้นองค์หญิงหลิงอวิ๋นหันหน้าเข้าหาชายาติ้งอ๋องหรือว่าหันหลังให้ หรือว่าหันข้างให้กันแน่ ชายาติ้งอ๋องใช้มือขวาหรือมือซ้ายผลัก ตอนที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกชายาติ้งอ๋องผลักได้ส่งเสียงร้องหรือไม่ หากร้อง ร้องว่าอะไรบ้าง”  


 


 


สาวใช้ผู้นั้นทำสีหน้าอ้ำอึ้ง พักหนึ่งจึงได้ตอบว่า ”บ่าวจำได้ว่า…ตอนนั้นองค์หญิงหันหลังให้พระชายาติ้งอ๋อง พระชายาติ้งอ๋อง…พระชายาติ้งอ๋องใช้ทั้งมือซ้ายและขวาผลักองค์หญิงเพคะ หลังจากองค์หญิงถูกผลักตกไปแล้วยังได้ร้องเรียกให้คนช่วยเพคะ” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงที่นั่งอยู่หน้าตึงไปทันที ในใจนึกก่นด่าว่าเจ้าโง่ 


 


 


           สีหน้าองค์หญิงเจาหยางเปลี่ยนไป เอ่ยเสียงเข้มว่า “บังอาจ! เจ้ากล้าพูดปดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮาเชียวหรือ! ตอนนั้นองครักษ์ที่รีบวิ่งไปที่ทะเลสาบบอกว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกของเจ้าจึงรีบวิ่งไป เห็นว่าในน้ำมีคนโบกมือไปมาไม่หยุด ถึงได้รู้ว่ามีคนตกน้ำ เหตุใดเจ้าจึงได้ยินเสียงองค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเรียกให้ช่วยได้ หรือว่าเจ้ามีวิชาดี หูไวตาไวเสียยิ่งกว่าองครักษ์ในวังหรือ”


 


 


           “บ่าว…บ่าว…” สาวใช้คนนั้นฝืนแต่งเรื่องมายืดยาวจนแต่งต่อไม่ได้อีก เมื่อถูกองค์หญิงตะคอกเช่นนี้ เนื้อตัวจึงอ่อนปวกเปียกลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้น “องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย องค์หญิงโปรดไว้ชีวิตด้วย บ่าวจะ…”


 


 


           “หุบปาก!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เจ้าไม่ได้ยินหลิงอวิ๋นร้องเรียกเสียหน่อย องค์หญิงถามก็พูดไปตามความจริงเท่าที่เจ้ารู้ อย่าได้เอาเรื่องไม่จริงไปใส่สีสันเชียว” สาวใช้ผู้นั้นอึ้งไป รีบร้อนพยักหน้าว่า “เพคะ…เพคะ…บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวไม่ได้ยินองค์หญิงร้อง…”


 


 


           เหลยเถิงเฟิงหันกลับไป อมยิ้มพร้อมยกมือทำท่าคารวะเยี่ยหลี “พระชายโปรดอภัยด้วย สาวใช้คนนี้ติดตามหลิงอวิ๋นมาตั้งแต่เล็กๆ ไม่เคยเห็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คงเพราะความตื่นเต้นทำให้มองอะไรผิดไปทำให้เข้าใจพระชายาผิด หลิงอวิ๋นไว้ใจสาวใช้คนนี้มาก แล้ววันนี้ยังต้องเจอเรื่องน่าตกใจถึงได้เข้าใจผิดไปตามนาง…ขอพระชายาโปรดเห็นใจด้วย”


 


 


เยี่ยหลีมองสีหน้าที่ให้ตายก็ไม่ยอมรับผิดของหลิงอวิ๋นแล้ว รอยยิ้มปรากฏแววเยาะหยัน “ซื่อจื่อกล่าวเกินไปแล้ว เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาร่วมงานในวังหลวงก็เกิดเรื่องขึ้นเสียแล้ว ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องต้องขายหน้ายิ่งนัก ไม่แน่ว่า…ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดมาอาจมีเหตุผลก็เป็นได้ องค์หญิงท่านว่าใช่หรือไม่”


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นส่งเสียงเหอะ ก่อนเมินหน้าไปไม่ยอมมองหน้าเยี่ยหลี 

 

 


ตอนที่ 58-3 องค์หญิงหลิงอวิ๋นแผลงฤทธิ์

 

 


 


 


อยู่ดีๆ ท่านหญิงหรงหวาที่นั่งอยู่ข้างองค์หญิงเจาหยางก็เลิกคิ้วขึ้นหัวเราะ แล้วถามว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นพูดอะไรที่ทำให้พระชายาติ้งอ๋องเห็นด้วยหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีถอนใจน้อยๆ “ข้าเสียมารยาทเช่นนี้ ทำให้ตำหนักติ้งอ๋องและท่านอ๋องต้องเสียหน้า ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ท่านอ๋องอาจเขียนจดหมายหย่าขาดให้ข้าก็เป็นได้ ตำแหน่งพระชายาติ้งอ๋องนี้อาจต้องเปลี่ยนคนเสียแล้ว” 


 


 


           ฮองเฮาร้องขึ้นเสียงเบา “ไร้สาระ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น ติ้งอ๋องจะไร้เหตุผลเช่นนั้นได้อย่างไร” 


 


 


           ม่อซิวเหยาที่นั่งดูละครเฉยอยู่ พยักหน้ารับด้วยสีหน้าระแวดระวัง “ฮองเฮากล่าวถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แล้วหันไปยิ้มกับเยี่ยหลี “อาหลีวางใจเถิด ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าก็คือชายาเอกแห่งตำหนักติ้งอ๋องที่แต่งงานเข้ามาอย่างมีเกียรติ ใครที่กล้าสงสัยในตัวอาหลีก็ถือว่าสงสัยในตำหนักติ้งอ๋องของข้า!”  


 


 


องค์หญิงเจาหยางยิ้มตาม “ซิวเหยาพูดเช่นนี้ถูกแล้ว ใครที่กล้าสงสัยในตัวชายาติ้งอ๋องจะถือว่าไม่ถูกกับข้า ชายาติ้งอ๋องวางใจเถิด เรื่องวันนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าเจ้าถูกรังแก” 


 


 


           “ท่านอ๋อง พระชายา น้องข้าไม่รู้ความทำให้เข้าใจพระชายาผิดไป ข้าน้อยต้องขอโทษแทนนางด้วย ขอพระชายาได้โปรดให้อภัย” 


 


 


           เยี่ยหลีหลุบตาลงไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแสดงสีหน้าว่าให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินเท่านั้น 


 


 


           ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ซื่อจื่อ เรื่องการขอโทษนี้ให้เจ้าตัวเป็นคนพูดเองดูจะจริงใจเสียกว่า ท่านว่า ถูกหรือไม่”  


 


 


เหลยเถิงเฟิงอึ้งไปถนัด ม่อซิวเหยาต้องการให้หลิงอวิ๋นเอ่ยขอโทษด้วยตนเองเช่นนี้ เท่ากับเป็นการตบหน้าหลิงอวิ๋นชัดๆ เรียกได้ว่าไม่ยอมไว้หน้ากันเลย เหลยเถิงเฟิงหันมองเยี่ยหลีเหมือนคิดอะไรอยู่ “หลิงอวิ๋นอายุยังน้อย เป็นเพราะข้าที่เป็นพี่ใหญ่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนให้ดี จึงควรเป็นข้าน้อยที่เป็นคนขอโทษ”  


 


 


ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นซื่อจื่อควรที่จะสอนองค์หญิงให้ทำผิดต้องยอมรับผิด แล้วยังเรื่องจะรับผิดชอบผลของการกระทำของตนอย่างไร เรื่องวันนี้…ข้าสามารถมองว่าแคว้นซีหลิงต้องการที่จะยั่วยุตำหนักติ้งอ๋องได้หรือไม่” เมื่อองค์หญิงหลิงอวิ๋นถูกคนที่ตนมีใจให้มาตลอดต่อว่าต่อหน้าเช่นนี้ จึงตาแดงขึ้นอย่างน่าสงสาร 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงใจเต้นขึ้นทันที หากเขารู้ว่าท่าทีของม่อซิวเหยาจะแข็งกร้าวเช่นนี้ เขาจะบังคับให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นยอมขอโทษเสียตั้งแต่ทีแรก เสียหน้าอย่างไรก็ดีกว่าเสียชีวิต! อย่างไรหลิงอวิ๋นก็ต้องอยู่ที่ต้าฉู่นี่ หากนางไปล่วงเกินม่อซิวเหยาเข้า ตอนที่ตนยังอยู่ต้าฉู่ก็ยังคงพอช่วยนางได้บ้าง แต่หากเขาไปแล้วเกรงว่าแม้แต่นางตายไปอย่างไรก็คงไม่รู้ เรื่องวันนี้เหลยเถิงเฟิงเชื่อว่าหลิงอวิ๋นต้องการจะหาเรื่องชายาติ้งอ๋อง แต่หากจะว่าชายาติ้งอ๋องคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด เหลยเถิงเฟิงไม่เชื่ออย่างแน่นอน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือม่อซิวเหยาพูดเสียจนทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องระหว่างแคว้นซีหลิงกับตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ตอนนี้ม่อซิวเหยาจะพิการ แต่พลังอำนาจของตำหนักติ้งอ๋อง สามารถทำให้สีของใต้หล้าเปลี่ยนไป จนแม้แต่สีของเมฆดำก็ยังไม่เหลือได้เลยทีเดียว หากท่าทีของม่อซิวเหยาอ่อนข้อกว่านี้สักหน่อยยังพอว่า แต่นี้ม่อซิวเหยากลับแข็งกร้าวเช่นนี้ทำให้เขาถึงกับขนพองสยองเกล้า แคว้นซีหลิงยังไม่ต้องการสงครามในตอนนี้ 


 


 


           “หลิงอวิ๋น! ขอโทษพระชายาติ้งอ๋องเสีย!” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นในทันที 


 


 


           “อะไรนะ จะให้ข้าขอโทษนาง!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงแหลมขึ้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างขมวดคิ้ว แม้แต่ท่านหญิงหรงหวายังอดเบ้ปากอย่างเย้ยหยันไม่ได้ ต่อให้นางได้ชื่อว่าเป็นท่านหญิงที่ทะนงตนที่สุดในเมืองหลวง แต่คงไม่เสียมารยาทในสถานการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน องค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิงได้รับการเลี้ยงดูมาเช่นไรคงต้องพิจารณากันใหม่เสียแล้ว 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นจ้องเยี่ยหลีด้วยความโกรธแค้น “เหตุใดข้าจะต้องขอโทษนางด้วย ข้าเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แห่งซีหลิง ให้ข้าขอโทษนาง นางควรได้รับหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ที่องค์หญิงไม่ยอมขอโทษเพราะดูถูกฐานะข้าเช่นนั้นหรือ” 


 


 


           “เจ้ามีอะไรให้ข้าต้องชื่นชมล่ะ” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง พร้อมปรายตามองเยี่ยหลี หลายวันนี้นางสืบเรื่องเยี่ยหลีมาหมดแล้ว ก็แค่คุณหนูจวนเจ้ากรมคนหนึ่งที่ถูกมองข้ามมาหลายปี ทั้งยังเป็นคุณหนูผู้โด่งดังเรื่องไร้คุณสมบัติทั้งสามของเมืองหลวง ไร้ซึ่งความสามารถ คุณธรรม และความงดงาม แม้แต่หลีอ๋องยังอดทนรับชื่อเสียงของนางไม่ได้จนต้องทิ้งนางไป นางก็เพียงโชคดีหน่อยที่ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้กับติ้งอ๋อง ส่วนเรื่องที่นางเป็นผู้ชนะในงานบุปผานานาพรรณนั้น สำหรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นแล้วเรื่องนั้นไม่คู่ควรที่จะต้องใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เยี่ยหลีก็เพียงแค่โชคดีเท่านั้น 


 


 


           นัยน์ตาเยี่ยหลีมีประกายเย็นเยียบ ได้แต่เอ่ยปลอบตนเองในใจไม่หยุดว่า นางยังเด็ก อย่าได้ไปทำตัวเช่นเดียวกับนาง…ช่างเรื่องนางยังเด็กเถิด! เด็กคนนี้ขาดการอบรมยิ่งนัก หากยังอยู่ในหน่วยทหาร คนที่ไม่รู้จักอะไรควรไม่ควรเช่นนี้คงถูกนางถลกหนังไปแล้ว “เช่นนี้…องค์หญิงดูถูกข้าหรือดูถูกฐานะชายาแห่งตำหนักติ้งอ๋องกันหรือ” เยี่ยหลีถาม 


 


 


           “เจ้าไม่คู่ควรกับฐานะชายาติ้งอ๋องแต่แรกแล้ว!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นตะโกนขึ้น เยี่ยหลียกมุมปากขึ้น มององค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทุกคนต่างนึกชื่นชมนางว่าเป็นคนใจเย็นและควบคุมตนเองได้ดี “เช่นนั้นองค์หญิงเห็นว่าใครที่เหมาะกับฐานะชายาติ้งอ๋องหรือ” หากเจ้ากล้าพูดว่าหญิงคนนั้นเป็นตนเอง…ข้าก็จะยอมให้เจ้าเลย 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นสะอึกไป รีบหันมองม่อซิวเหยาอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่เป็นความชื่นชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ม่อซิวเหยากำลังยิ้มน้อยๆ มองชายาที่นั่งอยู่ข้างกายตน โดยไม่แม้แต่จะสนใจสายตาตัดพ้อขององค์หญิงหลิงอวิ๋น ถึงแม้องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะประกาศต่อหน้าเยี่ยหลีว่า ตนมีเป้าหมายที่ตำแหน่งชายาติ้งอ๋อง แต่ก็ยังไม่มีหน้าพอที่จะเอ่ยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ว่ามีเพียงตนที่เหมาะสมกับติ้งอ๋อง ขณะที่เยี่ยหลีนึกแปลกใจกับสีหน้าเจ็บปวดของนางมาก เด็กสาวคนนี้ไม่เคยพบม่อซิวเหยามาก่อน เพียงแค่การพบหน้ากันครั้งแรกกลับแสดงความรู้สึกได้อย่าง…ลึกซึ้งเช่นนี้…หากเป็นเมื่อแปดปีก่อนยังพอจะบอกได้ว่าเป็นรักแรกพบ แต่ม่อซิวเหยาในตอนนี้ดูจะขาดคุณสมบัติที่ทำให้คนเกิดรักแรกพบต่อเขาได้อย่างสิ้นเชิง การเทิดทูนวีรบุรุษจะทำให้เด็กสาวคนหนึ่งลุ่มหลงได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ควรที่จะเทิดทูนวีรบุรุษแห่งแคว้นตนเองเสียมากกว่ากระมัง 


 


 


           หรือว่าองค์หญิงท่านนี้เป็นคนไม่มีเขตแคว้น 


 


 


           “หากเป็นเมื่อก่อน องค์หญิงจะดูถูกข้าก็ไม่เป็นไรหรอก เพียงแต่ตอนนี้…ข้ามิอาจทำให้บรรพบุรุษแห่งตำหนักติ้งอ๋องต้องขายหน้าเพราะข้าได้” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมจ้องหน้าองค์หญิงหลิงอวิ๋น  


 


 


องค์หญิงหลิงอวิ๋นยังคงพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “ข้าจะไม่มีทางขอโทษคนที่สู้ข้าไม่ได้เป็นอันขาด!”  


 


 


เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ก่อนหน้านี้องค์หญิงจะบังคับให้ข้าประลองกระบี่ ข้าได้ปฏิเสธไป เช่นนั้นพวกเรามาประลองกันตอนนี้อีกทีดีหรือไม่ หากข้าแพ้ เรื่องในวันนี้…ก็ให้ถือเสียว่าเป็นข้าที่ผลักองค์หญิง ยินดีให้องค์หญิงลงโทษข้าได้ตามสบาย แต่หากองค์หญิงแพ้…” 


 


 


           “ไม่มีทาง!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางแพ้เจ้า!” 


 


 


           เยี่ยหลีไม่สนใจนาง กลับพูดต่อว่า “ข้าต้องการให้องค์หญิงคุกเข่าขอโทษข้าต่อหน้าขุนนางและฮูหยินทุกท่านในงานเลี้ยง” 


 


 


           “เจ้า! ได้ ข้ารับปาก” เหลยเถิงเฟิงยังไม่ทันได้เอ่ยทัดทาน หลิงอวิ๋นก็พูดเสียงดังขึ้นเสียแล้ว “หากเจ้าแพ้ข้าต้องการให้เจ้าคำนับสามครั้งกราบเก้าครั้งตั้งแต่หน้าประตูวังไปจนถึงจุดที่คนคึกคักที่สุดในเมืองหลวง จากนั้นยอมรับต่อหน้าทุกคนว่า เจ้าไม่เหมาะสมจะเป็นชายาติ้งอ๋อง!” 


 


 


           เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ “คำไหนคำนั้น” 


 


 


           “ช้าก่อน!” องค์หญิงเจาหยางลุกยืนขึ้น “ข้าจำได้ว่าชายาติ้งอ๋องไม่เป็นเพลงกระบี่” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้ม “องค์หญิงพูดถูกแล้วเพคะ ดังนั้นพวกเราจึงจะไม่ประลองกระบี่ แต่จะประลองธนู ข้าเชื่อว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นคงยิงธนูเป็นเป็นแน่ใช่หรือไม่” 


 


 


           “ห๊ะ! เจ้าจะแข่งยิงธนูกับข้า!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเหมือนได้ฟังเรื่องตลก มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าดูหมิ่นก่อนหัวเราะออกมา “ข้าเรียนยิงธนูตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ สิบขวบข้าก็ยิงเข้าเป้าได้ทุกดอก เจ้า…ง้างธนูไหวหรือ” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มอย่างสุภาพ “ความหมายขององค์หญิงคือจะไม่ประลองแล้วใช่หรือไม่” 


 


 


           “ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักประเมินความสามารถตนเองเช่นนี้ ข้าก็จะทำตามใจเจ้าก็แล้วกัน เจ้าว่ามาเลย จะประลองอย่างไร” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มด้วยความพอใจ ลุกยืนขึ้นเอ่ยกับม่อจิ่งฉีและฮองเฮาว่า “เช่นนั้น ขอรบกวนให้ฝ่าบาทและฮองเฮาช่วยเป็นพยานด้วย”  


 


 


ม่อจิ่งฉีถามนางว่า “ชายาติ้งอ๋อง เจ้าตัดสินใจแน่แล้วหรือ ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนนะ”  


 


 


เยี่ยหลียิ้ม “ขอฝ่าบาทได้โปรดอนุญาตด้วยเถิดเพคะ เกียรติของตำหนักติ้งอ๋องไม่ควรถูกเหยียบย่ำเช่นนี้” 


 


 


           ม่อจิ่งฉีสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “ได้ ข้าอนุญาต” 


 


 


           เยี่ยหลีโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อม “เป็นพระกรุณาของเยี่ยหลีที่ฝ่าบาททรงอนุญาตเพคะ” จากนั้นจึงได้หันไปยิ้มให้องค์หญิงหลิงอวิ๋น “องค์หญิง เชิญ” 


 


 


           “เหอะ!” องค์หญิงหลิงอวิ๋นหมุนตัวเดินออกไปจากตำหนักก่อน เยี่ยหลียิ้มอย่างอ่อนหวานและเยือกเย็น แล้วค่อยๆ เดินตามออกไป 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงที่เดินตามมาข้างหลังมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงและแน่วแน่ของหญิงสาวตรงหน้า ไม่รู้เหตุใดในใจจึงเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีนัก   

 

 


ตอนที่ 59-1 ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ

 

         ณ ลานโล่งแห่งหนึ่งในอุทยาน มีผู้คนยืนกันอยู่เต็มไปหมด ไกลออกไปอีกหน่อยแม้แต่นางกำนัลและขันทีที่ว่างจากงานยังมาคอยแอบเมียงมองความคึกคักที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้นในวังหลวง ม่อจิ่งฉีและฮองเฮาพาพระสนมรวมถึงขุนนางและฮูหยิน รวมถึงสตรีชนชั้นสูงที่มาร่วมงานเลี้ยงกลุ่มใหญ่มาร่วมเป็นพยานให้กับพระชายาติ้งอ๋องและองค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วย ทำให้ในอุทยานเกิดเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน ด้วยเพราะจำนวนคนมากเกินไป ทำให้มีเพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา พระสนม และราชนิกุลที่มียศศักดิ์สูงส่งเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้นั่งดู ส่วนคนอื่นๆ ได้แต่เพียงยืนดูเท่านั้น แต่ทุกคนต่างก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทุกคนต่างจ้องมองสตรีสองนางที่อยู่กลางลานด้วยความตื่นเต้น ชายาติ้งอ๋องไม่ได้ขอให้ตั้งเป้าธนู เช่นนั้นจะประลองกันอย่างไรเล่า 


 


 


           หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ข้างองค์ฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย สายตาเยือกเย็นที่มองไปยังเยี่ยหลีดูมีแววพินิจพิเคราะห์อยู่หลายส่วน ม่อจิ่งฉีก้มหน้าลงมองสีหน้าสนมรัก ก่อนหัวเราะเสียงเบา “สนมรักกำลังมองอะไรอยู่หรือ ดูท่าสนมรักจะชอบชายาติ้งอ๋องมาก”  


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “ฝ่าบาททรงล้อหม่อมฉันเล่นแล้ว หม่อมฉันเพียงแค่นึกสงสัยเท่านั้นเพคะ”  


 


 


ม่อจิ่งฉีหัวเราะเสียงดังลั่น “คนที่สามารถทำให้สนมรักนึกสงสัยได้มีไม่มากนัก แต่เท่าที่ข้าดู เกรงว่าชายาติ้งอ๋องไม่ทางที่จะชนะได้หรอก”  


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยเลิกคิ้ว แต่ยังคงสงบและเยือกเย็นดังเช่นปกติ แววตาม่อจิ่งฉีมีประกายร้อนแรงขึ้น พูดต่อว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นธิดาคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นซีหลิง ได้เรียนรู้วิชาทั้งบุ๋นและบู๊มาตั้งแต่เล็กๆ ที่แคว้นซีหลิง ฝีมือยิงธนูของนางโด่งดั่งเสียยิ่งกว่าเพลงกระบี่เสียอีก” 


 


 


           “หากนางแพ้จะมีผลดีกับฝ่าบาทอย่างไรหรือเพคะ” หลิ่วกุ้ยเฟยถามเรียบๆ 


 


 


           ม่อจิ่งฉียิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาเลื่อนสายตาไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งเงียบอยู่ห่างไปไม่ไกล สายตาขรึมลง 


 


 


           “ท่านอ๋อง…” ข้างกายม่อซิวเหยา ชิงซวงมองเยี่ยหลีที่กำลังเตรียมตัวอยู่กลางลานด้วยความร้อนใจ นางติดตามคุณหนูมาก็หลายปี เหตุใดชิงซวงจะไม่รู้ว่า คุณหนูของตนแทบจะไม่เคยเรียนการยิงธนูเลย อย่างมากมีแค่เล่นๆ กับคุณชายสามที่บ้านตระกูลสวีเท่านั้น แล้วจะชนะองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ตรากตรำฝึกฝนมาได้อย่างไร 


 


 


           ม่อซิวเหยาเพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “นิ่งไว้ก่อนอย่างเพิ่งตื่นตูมไป” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ มองสีหน้าเรียบเฉยของม่อซิวเหยาแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว หรือว่าชายาติ้งอ๋องจะมีไม้ตายอะไรอย่างนั้นหรือ แต่ว่าไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เรื่องนี้ไม่เป็นผลดีต่อแคว้นซีหลิงของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เหลยเถิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะนึกก่นด่าอยู่ในใจ พระปิตุลาท่านทรงเลอะเลือนไปแล้วหรือไร เหตุใดจึงได้เลือกให้หลิงอวิ๋นมาอยู่ที่ต้าฉู่ เพราะแม้แต่องค์หญิงที่ไม่เป็นที่โปรดปรานที่สุดในวังหลวงของซีหลิงยังรู้ประสามากกว่าเจ้าเด็กคนนี้เป็นร้อยเท่า “ติ้งอ๋อง เรื่องนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะความไม่รู้ประสาของหลิงอวิ๋น ข้าน้อยได้ยินว่าชายาติ้งอ๋องเป็นถึงหญิงสาวมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แต่ไม่ชำนาญวิชาการต่อสู้ การประลองครั้งนี้อาจไม่ยุติธรรมกับพระชายาเท่าไรนัก” 


 


 


           ม่อซิวเหยายิ้ม “ในเมื่ออาหลีเป็นผู้เลือกเอง จะยุติธรรมหรือไม่นั้นย่อมไม่สำคัญ จริงหรือไม่” 


 


 


           “แต่หากเกิดพระชายา…” ม่อซิวเหยามั่นใจมากว่าชายาติ้งอ๋องจะสามารถเอาชนะได้ หรือไม่ได้สนใจว่าตำหนักติ้งอ๋องจะเสียหน้ากันแน่ 


 


 


           “หากอาหลีแพ้ ข้าจะคุกเข่าให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นเพื่อนนาง!” ม่อซิวเหยาเอ่ยตอบเรียบๆ เหลยเถิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันจนเก็บสีหน้าไม่อยู่ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองสาวงามที่อยู่ในชุดสีเหลืองนวลเช่นเดียวกับติ้งอ๋อง มือที่ถือจอกเหล้าอยู่กำแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว แววตามืดครึ้ม คิ้วคมอย่างชายชาตรีขมวดเข้าหากันแน่น 


 


 


           กลางลานประลอง เยี่ยหลีและองค์หญิงหลิงอวิ๋นต่างกำลังตรวจสอบคันธนูในมือ องค์หญิงหลิงอวิ๋นสำรวจคันธนูในมือตนอย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่เคยยิงธนูมาก่อน แต่เยี่ยหลีกลับสำรวจคันธนูในมืออย่างเงอะๆ งะๆ ลองตรงนั้นจับตรงนี้ ผู้คนที่ยืนดูอยู่รอบๆ จึงอดร้อนใจแทนนางไม่ได้ ชายาติ้งอ๋องรูปร่างระหงบอบบาง กิริยาเชื่องช้าและไม่คุ้นเคยของนางทำให้ผู้คนอดนึกสงสัยไม่ได้ อย่าว่าแต่ยิงธนูเลย ชายาติ้งอ๋องสามารถค้างงันธนูได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 


 


 


           “ว่ามาเถิด จะประลองอย่างไร” องค์หญิงหลิงอวิ๋นเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางเชิดคางขึ้นปรายตามองเยี่ยหลีอย่างดูหมิ่น 


 


 


           เยี่ยหลีวางคันธนูของตนลงอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ให้องค์หญิงหลิงอวิ๋น “หนึ่งคนต่อธนูหนึ่งดอก ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ!” 


 


 


           “ตามสบาย” องค์หญิงหลิงอวิ๋นกระชับคันธนูในมือ “ว่ามา ให้ยิงไปที่ใด ใบไม้ที่ร่วงหล่นหรือนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า” 


 


 


           คำพูดขององค์หญิงหลิงอวิ๋นยิ่งทำให้ทุกคนตกใจมากขึ้นไปอีก เพราะนั่นยิ่งทำให้รู้ถึงฝีมือธนูขององค์หญิงองค์นี้ นางสามารถพูดถึงการยิงใบไม้ที่ร่วงหล่นได้อย่างมั่นใจเช่นนี้ ย่อมหมายความว่านางเป็นคนฝีมือดีจริงๆ ฮว่าเทียนเซียงที่ยืนอยู่ข้างฮว่าฮูหยินกำแขนเสื้อตัวเองแน่น อดตื่นเต้นจนเหงื่อซึมแทนเยี่ยหลีไม่ได้ 


 


 


           เยี่ยหลีค่อยๆ ง้างคันธนูของตนช้าๆ “ธนูเป็นอาวุธ ไม่ได้ใช้เพื่อยิงใบไม้หรือยิงนก ดังนั้น…เราจะประลองการยิงคน!” พูดจบก็ยกคันธนูขึ้นเล็งนิ่งไปยังองค์หญิงหลิงอวิ๋น 


 


 


           อะไรนะ! 


 


 


           ทุกคนต่างตกตะลึง มองหญิงสาวที่อยู่กลางลานเล็งธนูไปยังองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างแม่นยำแม้จะดูไม่ถนัดมือนัก 


 


 


           “เจ้า…เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ล้อเล่นอะไรเช่นนี้” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องเสียงหลง  


 


 


พวกนางยืนอยู่ห่างกันไม่ถึงห้าสิบก้าว องค์หญิงหลิงอวิ๋นเป็นนักยิงธนูชั้นดีนางย่อมดูออก ถึงแม้ท่าทางของเยี่ยหลีจะดูไม่ทะมัดทะแมงนักแต่ก็ดูรู้ว่าเคยเรียนมา ด้วยระยะเท่านี้ไม่ว่านางหรือเยี่ยหลีโอกาสจะยิงพลาดมีไม่มาก ดังนั้น เยี่ยหลีไม่ได้คิดที่จะประลองธนูกับนางตั้งแต่แรก แต่ต้องการที่จะประลองความกล้า 


 


 


เยี่ยหลียิ้มเย็น “ไม่ว่ากระบี่หรือธนูต่างก็เป็นอาวุธทั้งสิ้น อาวุธนั้นมีไว้ฆ่าฟัน ในเมื่อเป็นการประลอง ย่อมไม่อาจให้เดือดร้อนไปถึงผู้อื่น ดังนั้นจึงต้องรบกวนให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นและข้ายิงธนูใส่กันคนละดอก รับผิดชอบการเจ็บหรือตายด้วยตนเอง!” 


 


 


           “ไม่…” นางไม่อยากสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับฮ่องเต้และกลายเป็นสนมคนหนึ่งในวังหลวง นางอยากแต่งงานกับติ้งอ๋อง เป็นชายาติ้งอ๋อง แต่นางไม่อยากตายและไม่อยากรับรู้ความรู้สึกของการถูกธนูยิงด้วย 


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง! เรื่องนี้จะเกินกว่าเหตุไปหรือไม่ หากเกิดอะไรไม่คาดคิดขึ้น…” เหลยเถิงเฟิงลุกยืนขึ้นเอ่ยทัดทาน  


 


 


เยี่ยหลีหันไปมอง แล้วอมยิ้ม “ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ ว่าต้องรับผิดชอบการเจ็บหรือตายด้วยตนเอง อีกอย่างฝ่าบาทก็ทรงอนุญาตให้ข้ากับองค์หญิงหลิงอวิ๋นประลองกันแล้ว หรือซื่อจื่อต้องการให้ข้ากลืนน้ำลายตนเองต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทและฮองเฮา รวมถึงขุนนางในราชสำนักของต้าฉู่ เช่นนั้นอีกหน่อยตำหนักติ้งอ๋องจะมีหน้าอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร” เหลยเถิงเฟิงพูดไม่ออก ท่านไม่ได้บอกก่อนว่าจะต้องเดิมพันด้วยชีวิตนี่ 


 


 


           “แน่นอนว่า หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นเกิดกลัว จะยอมแพ้เมื่อไรก็ย่อมได้” สุดท้ายเยี่ยหลีจึงได้พูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค และประโยคนี้ย่อมปิดทางถอยทั้งหมดขององค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นางจะยอมแพ้เยี่ยหลีได้อย่างไร นางจึงหลุดปากพูดด้วยสีหน้าโกรธขึ้งและไม่ยอมแพ้  


 


 


“ข้าจะไม่ยอมแพ้เจ้าแน่ ข้ายอมเดิมพัน!” 


 


 


           “ดีมาก เริ่มกันเลยเถิด” เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มๆ ด้วยความพอใจ ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ๆ องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็เกิดไม่กล้าจ้องตานางขึ้นมา มองเมินหลบสายตาไปด้วยความประหม่า 


 


 


           เมื่อเหตุการณ์เกิดกลับตาลปัตรเช่นนี้ ม่อจิ่งฉีเองก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน หลิ่วกุ้ยเฟยมองแผ่นหลังของเยี่ยหลี นัยน์ตามีแววชื่นชมอย่างไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน “หม่อมฉันกลับเห็นว่าโอกาสชนะของชายาติ้งอ๋องมีไม่น้อยทีเดียว”  


 


 


ฮองเฮาก็ทราบดีว่า ถึงแม้หลิ่วกุ้ยเฟยจะอยู่ในตระกูลขุนนางสายบุ๋น แต่นางกลับเป็นสตรีที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊อย่างที่หาได้ยาก จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า “กุ้ยเฟยคิดว่าชายาติ้งอ๋องจะชนะหรือ”  


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยตอบว่า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นคนนี้ไม่ได้ใจกล้าจริงดั่งที่นางแสดงออกมา” 


 


 


           “ถ้าเช่นนั้น ก็ทำตามที่ชายาติ้งอ๋องว่า” ม่อจิ่งฉีลุกขึ้นเอ่ย “ดอกเดียวตัดสินแพ้ชนะ ยิงพลาดหรือหลบหลีกถือว่าแพ้ทั้งคู่ เริ่มได้” 


 


 


           ภายในอุทยานเงียบกริบ ขันทีผู้ให้สัญญาณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เอ่ยเสียงแหลมขึ้น “พระชายา องค์หญิง เชิญเตรียมตัวได้” จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าออกไปจากลานประลอง 


 


 


           “หนึ่ง…” 


 


 


           ทั้งสองง้างธนูขึ้นพร้อมกัน ที่ทำให้ทุกคนตกใจนั้นคือการที่ชายาติ้งอ๋องผู้ดูเรียบร้อยและบอบบางกลับง้างคันธนูได้โดยไม่ลำบากเลย 


 


 


           “สอง…” 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นง้างธนูออกจนสุด เล็งผ่านปลายธนูไปยังหญิงสาวฝั่งตรงข้าม นางมั่นใจเป็นอย่างมาก หากนางยิงธนูดอกนี้ออกไป จะต้องทำให้ชายาติ้งอ๋องที่ไม่รู้จักประเมินตนเองคนนี้สิ้นชีพอย่างแน่นอน ขอเพียง…ยิงธนูดอกนี้ออกไป! ทันใดนั้น นิ้วที่ง้างคันธนูขององค์หญิงหลิงอวิ๋นก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง นางเห็นสายตาของหญิงสาวที่อยู่อีกด้านอย่างชัดเจน สายตาที่เยือกเย็นดุจหิมะ ทำให้หัวใจของนางเหมือนตกลงไปอยู่ในสายน้ำอันเย็นเยียบ เยี่ยหลีในสายตาขององค์หญิงหลิงอวิ๋นดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ประหนึ่งมีรังสีอำมหิตและความมั่นใจว่าตนจะต้องยิงถูกแผ่ออกมาอย่างไม่สามารถจะต้านทานได้ นางเพียงมองตนด้วยความสงบนิ่งเท่านั้น ประหนึ่งไม่เห็นธนูที่เล็งมายังนางดอกนั้นอยู่ในสายตา เหมือนนางแน่ใจว่าธนูดอกนั้นจะยิงมาไม่ถูกนางอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งเมื่อคิดเช่นนี้ องค์หญิงยิ่งเหลือบมองไปทางปลายธนูของเยี่ยหลีอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ นางเริ่มรู้สึกหมดหวัง เมื่อค้นพบว่า หากนางไม่หลบ ต่อให้เยี่ยหลีเป็นมือใหม่ แต่ธนูดอกนั้นจะต้องยิงถูกตัวนางแน่นอน 


 


 


           หน้าผากขององค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่รู้ว่ามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาตั้งแต่เมื่อไร 


 


 


           เยี่ยหลีค่อยๆ สัมผัสถึงคันธนูที่อยู่ในมือ ถึงแม้จะยังไม่ค่อยถนัดมือนัก ยิ่งเทียบไม่ได้กับปืนที่ตนใช้สู้รบมาหลายปีจนคุ้นมือ แต่นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มายังชาตินี้ที่นางได้ยิงตัดสิน ถึงแม้จะเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่เล่นให้เด็กสาวคนหนึ่งดู แต่ก็อดทำให้นางรู้สึกพอใจและยินดีไม่ได้ เมื่อมองตามปลายธนูไป นางเห็นสายตาหวาดหวั่นในดวงตาองค์หญิงหลิงอวิ๋นอย่างชัดเจน มุมปากนางจึงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           ดูเหมือนทุกคนจะกลั้นใจรอการมาถึงของการนับครั้งสุดท้าย เหลยเถิงเฟิงจ้องนิ่งอยู่ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋น และด้วยเพราะมุมที่นั่งอยู่ทำให้เขาไม่เห็นสีหน้าของเยี่ยหลี แต่เมื่อดูจากภาษาท่าทางแล้ว เขามองออกว่าเยี่ยหลีไม่คุ้นเคยกับการยิงธนู ด้วยความสามารถของหลิงอวิ๋นควรจะต้องมั่นใจมาก แต่ทำไมนางจึงดูตื่นเต้นเช่นนั้น 


 


 


           ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นอย่างสงบนิ่ง มือทั้งสองข้างวางสบายๆ อยู่บนที่เท้าแขน แต่หากมีใครได้ลองสังเกตดีๆ แล้วพบว่ามือขวาของเขามีบางอย่างซ่อนอยู่ สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่องค์หญิงหลิงอวิ๋นเช่นกัน ทว่าไม่ได้จ้องไปที่ใบหน้าขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่เป็นที่ปลายธนูของนาง 


 


 


           ข้าไม่มีทางแพ้…องค์หญิงหลิงอวิ๋นพยายามบังคับตัวเองอย่างยิ่งยวดไม่ให้ไปสนใจธนูของเยี่ยหลี นางลอบกลืนน้ำลายพร้อมเอ่ยให้กำลังใจตนเองในใจไม่หยุด แต่สายตากลับเผลอหันไปมองปลายธนูของเยี่ยหลีตลอด 


 


 


           “สาม…!” เสียงแหลมเล็กดังขึ้นที่ข้างหู หลิงอวิ๋นเห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นของเยี่ยหลีได้อย่างชัดเจน มือง้างออกไกลขึ้นเตรียมปล่อยลูกธนูออกมา ส่วนนางเองก็ง้างคันธนูจนสุดก่อนปล่อยลูกธนูออกไป 


 


 


           “สวบ…” ลูกธนูถากเข้าที่หัวไหล่ของเยี่ยหลี ก่อนตกห่างออกไปไม่ไกล 


 


 


           เป็นไปได้อย่างไร! องค์หญิงหลิงอวิ๋นนิ่งอึ้งไป ที่ยิ่งตกใจไปกว่านั้นคือเยี่ยหลียังไม่ได้ปล่อยลูกธนูออกมา แต่ตนเองกลับหมดโอกาสเสียแล้ว ได้แต่มองใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยหลีที่มองมายังตน ได้ยินที่นางบอกทางสายตาโดยไม่ต้องพูดว่า “ตาข้าแล้ว…” ที่ยิ่งเห็นชัดไปกว่าคือในดวงตาคู่นั้นไม่มีรอยยิ้มเจืออยู่เลยจนนิดเดียว มีเพียงแววเยือกเย็นที่เย็นเยียบเสียยิ่งกว่าปลายธนูและรังสีอำมหิต นางเห็นเยี่ยหลีออกแรงค่อยๆ ง้างออกจนสุด แล้วปล่อย… 


 


 


           “สวบ…” 


 


 


           “อย่า!” อยู่ดีๆ หลิงอวิ๋นก็ร้องเสียงแหลมขึ้น แม้แต่ภาพลักษณ์ก็ไม่สนใจที่จะรักษาอีก ถึงขั้นเอามือกอดศีรษะนั่งลงกับพื้น ลูกธนูปักลงที่พื้นหน้าตนห่างไปหนึ่งก้าว องค์หญิงหลิงอวิ๋นมองลูกธนูที่สั่นไหวน้อยๆ ด้วยความตระหนก แล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา  

 

 


ตอนที่ 59-2 ดอกเดียวรู้แพ้รู้ชนะ

 

ทุกคนต่างหันมามองหน้ากันด้วยความระทึก เยี่ยหลีวางคันธนูลงอย่างสบายๆ ยิ้มอย่างสดใสและพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นว่า “องค์หญิง อันที่จริงมือข้าชาไปหมด ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเลยว่าข้าจะยิงถูกท่าน” 


 


 


           “เจ้า…เจ้า…” องค์หญิงหลิงอวิ๋นร้องไห้โดยไม่มีเสียง เอามือชี้หน้าเยี่ยหลีแต่พูดอะไรไม่ออกอยู่เป็นนาน เยี่ยหลียิ้มตาหยีมองนาง รู้สึกเพียงว่าความอึดอัดที่ได้รับในวันนี้ถูกปลดปล่อยออกมาหมดแล้ว ที่แท้ การสั่งสอนเด็กที่ไม่เชื่อฟังนี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนสบายใจที่สุดแล้ว 


 


 


           “ดี!” ม่อจิ่งฉีหัวเราะพร้อมปรบมือ “การประลองครั้งนี้ ชายาติ้งอ๋องเป็นฝ่ายชนะ ซื่อจื่อเห็นว่าอย่างไรบ้าง” 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงมองหญิงสาวที่มีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้าด้วยความสับสน ก่อนลุกยืนขึ้น “ที่แท้ชายาติ้งอ๋องก็เป็นหญิงที่มีจิตใจห้าวหาญ ข้าน้อยขอนับถือ แน่นอนว่าพระชายาเป็นผู้ชนะ หลิงอวิ๋น คุกเข่าขอโทษพระชายาเสีย” เหลยเถิงเฟิงพูดกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด สิ่งที่เยี่ยหลีต้องการคือให้นางขอโทษกลางงานเลี้ยงต่อหน้าขุนนางทุกคน แต่เหลยเถิงเฟิงกลับตัดคำขอช่วงหลังทิ้งเสีย ให้หลิงอวิ๋นขอโทษโดยทันที ทั้งสามารถทำให้ผู้คนรับรู้ว่า องค์หญิงแคว้นซีหลิงกล้าทำกล้ารับ อีกทั้งตอนนี้หลิงอวิ๋นกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร อาจทำให้ผู้คนนึกเห็นใจได้บ้าง พอถึงเวลางานเลี้ยง ทุกคนก็มัวแต่รื่นเริงจนไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก แต่หากปล่อยไปจนถึงช่วงงานเลี้ยง ถึงตอนนั้นเรื่องที่หลิงอวิ๋นพ่ายแพ้ให้กับชายาติ้งอ๋องคงแพร่ไปทั่ววัง หากรอจนทุกคนได้พูดคุยกันคงทำให้ทุกคนเห็นหลิงอวิ๋นย่ำแย่ไปกว่านี้ ต่อให้ถึงตอนนั้นหลิงอวิ๋นคุกเข่าลงขอโทษก็คงไม่ทำให้ทุกคนรู้สึกดีกับนางขึ้นแน่นอน ที่สำคัญกว่านั้นคือเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อเรื่องที่เขาจะทำต่อไปด้วย 


 


 


           “คุกเข่า…” องค์หญิงหลิงอวิ๋นใบหน้าซีดขาว นางไม่คิดเลยว่าตนเองจะต้องมาแพ้ให้กับหญิงสาวผู้อ่อนแอของตงฉู่ในเรื่องที่ตนถนัดที่สุด คิดไปถึงก่อนหน้านี้ที่ตบปากรับคำด้วยความหุนหันพลันแล่น ถึงแม้จะนึกเสียใจตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เมื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางเหลยเถิงเฟิง กลับได้รับเพียงสายตาตักเตือนตอบกลับมา ยิ่งหันไปมองผู้คนโดยรอบ ทั้งฮ่องเต้ของตงฉู่ ฮองเฮา เหล่าสนม ขุนนางใหญ่และฮูหยินแล้วยังคณะทูตและองค์หญิงจากหนานจ้าว องค์หญิงหลินอวิ๋นรู้ทันทีว่า หากนางคุกเข่าลงไปจริงๆ ชื่อเสียงของนางคงย่อยยับจนไม่เหลือหลอเป็นแน่ 


 


 


           “เรื่องคุกเข่านั้นไม่ต้องแล้วละ องค์หญิงแค่ขอโทษข้าก็พอ” จู่ๆ เยี่ยหลีก็เอ่ยขึ้น 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นอึ้งไป รู้แก่ใจแล้วว่าการอาละวาดต่อไปไม่มีผลดีกับตนเสียเลย ตนเองเมื่ออยู่ที่ตงฉู่ไม่มีอำนาจอะไรมากมาย ท่านพี่ก็ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ ถึงอย่างไรก็คงเอาชนะชายาติ้งอ๋องคนนี้ไม่ได้ 


 


 


           องค์หญิงหลิงอวิ๋นจึงฝืนใจกัดฟันโค้งตัวลง “เป็นเพราะหลิงอวิ๋นไม่รู้ความ ล่วงเกินชายาติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋องได้โปรดอภัยด้วย” 


 


 


           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พยักหน้า “องค์หญิงเป็นแขก อย่าเก็บมาใส่ใจเลย” พูดจบก็หมุนตัวไปไม่สนใจองค์หญิงหลิงอวิ๋นอีก เยี่ยหลีเดินกลับไปทางม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาหลบตาลง จนเมื่อของในมือขวาอัตรธานไปแล้วจึงได้เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีที่เดินมาถึงหน้าตนแล้ว ถึงแม้สีหน้าของเยี่ยหลียังคงสุภาพเรียบร้อยเป็นปกติ แต่ม่อซิวเหยากลับแน่ใจว่าตนเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของนาง 


 


 


           เหลยเถิงเฟิงประสานมือมาทางเยี่ยหลีเป็นการขอบคุณโดยไม่ได้เอ่ยอะไร เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ แล้วนั่งลงข้างม่อซิวเหยา พยายามบังคับตัวเองให้ไม่สนใจสายตาที่ส่งมาจากรอบทิศ องค์หญิงหลิงอวิ๋นเดินกลับมาด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก่อนนั่งลงข้างเหลยเถิงเฟิง ไม่มีกระจิตกระใจจะหาเรื่องเยี่ยหลีอีก 


 


 


           เมื่อรู้สึกถึงสายตาของม่อซิวเหยาที่จ้องมายังตน เยี่ยหลีจึงเงยหน้าขึ้นถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ” ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “เมื่อครู่อันตรายมาก” หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงหลิงอวิ๋นจิตใจไม่สงบ แล้วเปลี่ยนเป็นอีกคนที่มีฝีมือยิงธนูธรรมดาๆ ถึงอย่างไรก็อาจยิงถูกตัวเยี่ยหลีได้ ดีที่สุดก็เพียงแค่ทั้งสองฝ่ายต่างแพ้และเจ็บตัวกันไป  


 


 


เยี่ยหลีส่ายหน้า ยักไหล่ยิ้มๆ “ไม่มีอันตรายหรอก หากไม่ใช่องค์หญิงหลิงอวิ๋น ข้าก็คงไม่ประลองธนูกับนางแน่นอน” ที่นางเลือกธนูก็ด้วยเพราะนางมองออกว่าจิตใจองค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่นิ่งพอที่จะสู้กับพลแม่นปืนอย่างนางได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาแวบเดียวก็เถิด นางเป็นองค์หญิงที่เติบโตมาในวัง ได้รับการปกป้องและพะเน้าพะนอเอาใจ ถึงอย่างไรก็ไม่อาจรักษาจิตใจให้สงบนิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้านางได้ แน่นอนว่า หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นมือไม้ไม่สั่นและสามารถยิงธนูมาที่ตนได้ นางก็มีวิธีการรับมืออย่างอื่น “อีกอย่าง ท่านอ๋องคงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันกับข้าหรอก ใช่หรือไม่” เมื่อเห็นสายตาไม่เห็นด้วยของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงพูดขึ้นยิ้มๆ 


 


 


           ม่อซิวเหยาอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าพูดถูก” หากธนูดอกนั้นขององค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่เฉียงออกไป ข้าก็จะไม่ให้มันยิงมาถูกตัวเยี่ยหลีเป็นอันขาด 


 


 


           “ชายาติ้งอ๋อง เจ้าเคยเรียนยิงธนูหรือ” ม่อจิ่งฉีเอ่ยถามเสียงใส เยี่ยหลียืนขึ้นตอบด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ทูลฝ่าบาท เปล่าเพคะ เพียงแต่เคยเรียนเล่นๆ กับพี่ชายที่บ้านท่านลุงเท่านั้น ไม่เคยเรียนอย่างจริงจังเพคะ” ม่อจิ่งฉีหัวเราะอย่างมีนัยยะ ไม่เคยเรียนอย่างจริงจังแต่กลับสามารถเอาชนะยอดฝีมืออย่างองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ร่ำเรียนมาหลายปีในการประลองได้ ไม่ว่าเรื่องพรสวรรค์หรือความหลักแหลมของเยี่ยหลีล้วนเก่งกาจทั้งคู่ ม่อจิ่งฉีกอดหลิ่วกุ้ยเฟยเข้าแนบอก ก่อนพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูท่าชายาติ้งอ๋องและสนมรักของข้าจะเป็นหญิงสาวน่าอัศจรรย์ที่มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊สินะ”  


 


 


หลิ่วกุ้ยเฟยตอบเรียบๆ ว่า “ฝ่าบาทกล่าวถูกแล้วเพคะ” 


 


 


           เมื่อส่งเสด็จฮ่องเต้ ฮองเฮาและกุ้ยเฟยแล้ว เยี่ยหลีเบื่อที่จะยุ่งวุ่นวายกับเหล่าคนที่เข้ามาชื่นชมและสอบถาม จึงได้หลบออกมาหาที่นั่งเย็นสบายภายในอุทยานกับม่อซิวเหยา คนส่วนใหญ่ต่างรู้งานจึงไม่ไปรบกวนเวลาคู่สามีภรรยา จะมีก็เพียงคนสองคนเท่านั้นที่ไม่จัดอยู่ในคนเหล่านั้น เมื่อปฏิเสธคนของเยี่ยเจาอี๋ที่ส่งมาเชิญไปร่วมงานเลี้ยงเล็กๆ ในวังแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หันไปมองม่อซิวเหยาที่เอาแต่จ้องตนอยู่ “ท่านอ๋องมีอะไรหรือ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาหมุนถ้วยชาในมือเล่นอย่างเลื่อนลอย “อาหลีช่างมีพรสวรรค์ในการศึกษาวิชาการต่อสู้ ดูๆ แล้วมีพื้นฐานไม่เลวเลย” 


 


 


           เยี่ยหลีไม่ได้สนใจว่าม่อซิวเหยาจะล่วงรู้ถึงฝีมือของตน ม่อซิวเหยาเป็นคนระมัดระวังตัวอย่างมาก ถึงแม้จะดูสุภาพแต่ก็เป็นคนที่ระแวดระวัง การต้องใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักเป็นเวลานาน แล้วปิดบังไม่ให้เขารู้ ดูจะเป็นไปไม่ได้เลย อีกอย่างเยี่ยหลีก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบัง ด้วยนางต้องการพื้นที่ให้ตนเองได้ฝึกฝน หรืออาจเรียนวิชาที่ยากยิ่งกว่านี้เพื่อพัฒนาฝีมือตนเองให้เก่งขึ้น เยี่ยหลียิ้มอย่างเปิดเผยพร้อมมองตอบม่อซิวเหยา “สามารถทำให้ท่านอ๋องบอกว่าไม่เลวได้ เช่นนั้นก็คงไม่เลวจริงๆ” 


 


 


           ม่อซิวเหยาเองดูไม่ได้ตั้งใจที่จะสืบสาวหาความไปจนถึงต้นตอ เขายิ้มน้อยๆ พร้อมส่ายหน้า “หากอาหลีชอบ ในห้องหนังสือมีเคล็ดลับวิชาการต่อสู้อยู่ไม่น้อย สามารถเอาไปอ่านได้” เมื่อเห็นเยี่ยหลีตาเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ทำให้ม่อซิวเหยาถึงกับยิ้มออกมา “ในเมื่ออาหลีบอกว่าไม่เป็นเพลงกระบี่ ข้าสามารถหาคนมาช่วยสอนอาหลีได้” 


 


 


           “ได้จริงๆ หรือ” 


 


 


           “ยิ่งวิชาการป้องกันตัวของอาหลีมากเท่าไร ข้าก็ย่อมวางใจได้มากขึ้นเท่านั้น จะมีอะไรไม่ได้กันเล่า” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ 


 


 


           “ดีจริงเชียว ขอบคุณท่านมาก” เยี่ยหลียิ้ม 


 


 


           ม่อซิวเหยาส่ายหน้าเรียบๆ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าต้องการอะไร สามารถบอกข้าได้ตรงๆ เหตุใดจึงต้องเอ่ยขอบคุณกัน” เมื่อได้เห็นรอยยิ้มอย่างจริงใจของเยี่ยหลีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้ม่อซิวเหยาอดคิดไม่ได้ว่า การหาคนมาสอนเพลงกระบี่ให้เยี่ยหลีนั้นเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว 


 


 


           ตกเย็นงานเลี้ยงเริ่มขึ้นท่ามกลางบรรยากาศแปลกๆ ตอนที่เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่นั้น สายตาทุกคู่ในตำหนักต่างจับจ้องมาที่นางโดยทันที ดูท่าการประลองในอุทยานเมื่อช่วงบ่ายคงทำให้เยี่ยหลีโด่งดังขึ้นมาไม่น้อย เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงบ่าย ไม่เพียงสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่ในอุทยานเท่านั้น ตอนนี้คนที่เข้ามาร่วมงานทุกคนต่างได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายกันหมดแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นมู่หรงถิงที่นั่งอยู่ข้างฉินเจิงขมวดคิ้วมองมาที่ตน รวมถึงสายตาชื่นชมที่ยากจะปกปิดได้ของสวีชิงเฟิงแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องสงสัยว่า เรื่องนี้คงได้เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าข่าวที่แพร่ออกไปว่าอย่างไรบ้างเท่านั้น จะว่าชายาติ้งอ๋องมีความสามารถทั้งด้านบู๊และบุ๋น หรือจะว่าชายาติ้งอ๋องโหดร้ายเสียจนทำให้องค์หญิงแคว้นซีหลิงที่แสนจะเอาแต่ใจต้องตกใจจนเสียน้ำตา 


 


 


           เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ในข้อหลัง เยี่ยหลีก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ 


 


 


           เมื่อกล่าวถึงงานเลี้ยงของวังหลวง ก็คืองานที่มีสุราและอาหารชั้นเลิศ พร้อมด้วยการแสดงร่ายรำอันงดงาม เยี่ยหลีได้ยินองค์ฮ่องเต้พูดคุยกับคณะทูตจากแต่ละแคว้นด้วยคำพูดตามมารยาท ได้ยินขุนนางข้างๆ พูดคุยกันเสียงเบา ระหว่างนั้นก็คีบอาหารที่ดูหน้าตาน่ากินมารับประทาน ถึงอย่างไรอาหารในงานเลี้ยงเช่นนี้ก็คงไม่อาจคาดหวังว่าจะกินให้อิ่มได้ ไว้กลับถึงตำหนักก่อนค่อยหาของว่างมื้อค่ำมากินก็แล้วกัน 



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม