เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 55.1-56.3

ตอนที่ 55 - 1 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง

 

กงอิ้นนั่งลงแล้ว เหยียลี่ว์ฉียังยืนอยู่


 


 


ตรงข้ามกับกงอิ้น เรือนร่างของเขาเกร็งแน่น ยังคงมองดูทิศทางที่ทหารเยียนซาจากไปอย่างไม่เชื่อสายตา


 


 


มีเพียงเขาที่รู้ว่าทหารเยียนซาเป็นกองทัพอย่างไร แม้ว่าบัดนี้กองทัพกองนี้ยังเชื่อฟังคำบัญชาของตระกูลเหยียลี่ว์ ทว่าความผูกพันทางสายเลือดเพียงน้อยนิดนั้นในยามแรกค่อยๆ เจือจางตามการสืบทอดเชื้อสายในแต่ละรุ่น ยามนี้พลังการควบคุมที่ตระกูลเหยียลี่ว์มีต่อกองทัพกองนี้ย่อมไม่มากเท่ากาลก่อนเนิ่นนานแล้ว


 


 


ฉะนั้นสำหรับสัตว์ร้ายฝูงนี้ เขาคุ้นเคยยิ่งยวดและเตรียมป้องกันยวดยิ่ง ตนเองใคร่ครวญครุ่นคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเมื่อครู่ เขาคงไม่เสี่ยงอันตรายเดินไปยังข้างกายทหารเยียนซาผู้ใดผู้หนึ่ง


 


 


ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขารู้ความหมายที่ท่าทางนั้นแสดงออกมา…


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมองจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเต็มที่รอบหนึ่งอีกครั้ง คล้ายได้มองนางอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก


 


 


แสงแวววาวในดวงตาของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดจึงพ่นลมหายใจยาวเฮือกหนึ่งออกมาแล้วกอดอกนั่งลง


 


 


ในฝูงชน เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลุ่มนั้นเงียบสงบอย่างหาได้ยาก หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน อีชีจึงถอนหายใจยาว


 


 


ในเสียงของเขาเปี่ยมด้วยความฉงนสนเท่ห์


 


 


“เหล่าพี่น้อง ดูท่าทางเช่นนี้แล้ว ภายหลังคงไม่มีเรื่องนั้นหรอก…” เขาถามว่า “ตาเฒ่าคำนวณพลาดแล้วใช่หรือไม่”


 


 



 


 


สองมหาราชครูต่างกลับสู่ความสงบเงียบโดยพลัน แม้แต่การทะเลาะวิวาทก่อนหน้านี้ยังคล้ายหลงลืมไปแล้ว


 


 


ผู้คนที่เหลือไร้กะจิตกะใจจะสืบเสาะเช่นกันด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวไม่ได้ลงจากเวที นางลากชายกระโปรงขนาดมหึมาของนางเดินไปยังกึ่งกลางเวที


 


 


“ในความเห็นของข้า การโต้เถียงของพวกเจ้าเมื่อครู่ไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย” ประโยคเดียวของนางสะเทือนฟ้าดิน


 


 


“โอ้” เหยียลี่ว์ฉีนำหน้าไถ่ถามท่ามกลางเสียงแสดงความเห็นอื้ออึง


 


 


“ลงโทษข้า กักบริเวณข้าหรือลอบทำร้ายข้า ควรต้องไถ่ถามความเห็นของข้าก่อนหรือไม่” นางชี้ที่จมูกตนเอง ยิ้มอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าข้าไม่เห็นด้วย”


 


 


ทุกคนหัวเราะครืน


 


 


“หากพระองค์ทรงผ่านการทดสอบในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จได้ บางคราพระองค์อาจทรงมีคุณสมบัติจะตรัสวาจาประโยคนี้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางท่านหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ยามนี้หรือ…เหอะๆ”


 


 


ทุกคนหัวเราะเหอะๆ เช่นกัน


 


 


“เหอะๆ น้องสาวเจ้าสิ” จิ่งเหิงปัวแบะปากครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่ ข้าไม่ผ่านการทดสอบของพวกเจ้า ทว่าการทดสอบของพวกเจ้าจักพิสูจน์ความสามารถสารพัดได้หรือ การทดสอบของพวกเจ้าจักทดสอบความสามารถที่แท้จริงของราชินีองค์หนึ่งออกมาได้จริงหรือ”


 


 


“บทกลอนบทกวีร้องระบำทำเพลง กู่ฉินหมากล้อมเขียนพู่กันวาดภาพ วรยุทธการทหาร เศรษฐกิจการเมือง” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ย “คำถามที่ครอบคลุมความรู้ความสามารถทั่วโลกหล้าทุกสิ่งอย่าง วันนี้ล้วนได้เคยถามพระองค์รอบหนึ่งแล้ว หรือว่าพระองค์ยังทรงเสนอความสามารถที่เหลือนอกเหนือจากนี้ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ได้!” จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงตะโกน


 


 


“เหอะๆ! ขอฟังให้ละเอียด!”


 


 


“ข้าถามพวกเจ้าก่อนว่าการเป็นจักรพรรดิควรจะทำเรื่องใดให้ดีก่อน”


 


 


“ปกครองแว่นแคว้น ดูแลการเมืองในราชสำนักให้มั่นคง สร้างสมดุลระหว่างขุนนาง สยบภายนอกสงบภายใน” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “แลความสามารถเหล่านี้ต้องการการค้ำจุนจากความสามารถพื้นฐานเหล่านั้นที่ผู้ชราร่ายออกมาเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ปกครองอย่างไร มั่นคงอย่างไร สยบภายนอกหรือสงบภายในอย่างไร”


 


 


“กระหม่อมน่ะเข้าใจ เพียงเกรงว่าหลังจากเอ่ยแล้ว ตำแหน่งจักรพรรดินี้กระหม่อมคงเป็นได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หัวเราะกันครื้นเครงระลอกหนึ่ง ไร้ซึ่งเจตนาดี


 


 


“เสแสร้ง!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเช่นกัน กล่าวว่า “ฝันไปชาติหน้าเถิด! เจ้าเข้าใจอะไรเล่า!”


 


 


“ฝ่าบาททรงนึกว่าถ้อยคำหยาบคายจะทำให้ทรงผ่านด่านไปมั่วซั่วได้หรือ”


 


 


“เอ่ยวาจาระดับใดกับคนระดับนั้น เจ้าคู่ควรเพียงระดับนี้” จิ่งเหิงปัวไม่ถอยสักก้าว กล่าวว่า “ปกครองแว่นแคว้น ดูแลการเมืองในราชสำนักให้มั่นคง นำทหารต้านศัตรู ดูแลขุนนางและราษฎรให้สงบสุข แท้จริงแล้วเอ่ยทะลุปรุโปร่งว่าต้องทำเรื่องหนึ่งให้ได้…”


 


 


นางเพิ่มเสียง กล่าวว่า “ให้ราษฎรกินอิ่มท้อง!”


 


 


เสียงหัวเราะดังก๊ากทั่วทั้งลานกว้างเงียบสงัดคล้ายถูกมีดเฉือนสะบั้น


 


 


“ข้าเอ่ยผิดหรือไม่” จิ่งเหิงปัวบีบคั้นซักถามเซวียนหยวนจิ้งว่า “กินอิ่มท้องแล้วถึงจะมอบธัญพืชจ่ายภาษีได้ กินอิ่มท้องแล้วถึงจะทำให้จิตใจราษฎรมั่นคงได้ กินอิ่มท้องแล้วจะไม่มีความวุ่นวายในแคว้น กินอิ่มท้องแล้วถึงมีกำลังโจมตีผู้อื่น เจ้ากล้าเอ่ยว่ากินอิ่มท้องไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดหรือ!”


 


 


ทุกคนไร้วาจา จิ่งเหิงปัวใช้คำเข้าใจง่ายทว่าหลักการถูกต้องยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาปากท้องของราษฎรล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ต่อให้ที่แห่งนี้มีตระกูลผู้ดีไม่คิดเช่นนั้นด้วยรู้สึกว่าเกียรติภูมิของตระกูลผู้ดีสำคัญที่สุด การปกครองราชสำนักสำคัญที่สุด ย่อมคงจักไม่เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาเบื้องหน้าราษฎรนับพันนับหมื่นนี้เป็นแน่


 


 


ราษฎรแถวหน้าได้ยินวาจาประโยคหนึ่งนี้แล้วต่างกระตือรือร้นขึ้นมาโดยพลัน


 


 


“ใช่! กินอิ่มท้องสำคัญที่สุด!”


 


 


“พวกเราจะกินอิ่มท้อง!”


 


 


“ความสามารถนับพันนับหมื่น หากสามารถทำให้พวกเรากินอิ่มท้องได้ย่อมเป็นเจ้านายที่ดี!”


 


 



 


 


“ฝ่าบาททรงหวังจะปลุกเร้าอารมณ์ราษฎรหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซวียนหยวนจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “พระองค์ทรงรู้ได้อย่างไรว่าทั่วทั้งราชสำนักเราไม่เคยพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้ราษฎรกินอิ่มท้อง เรื่องนี้เดิมทีเป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรกของราชวงศ์ปัจจุบัน ทว่าภูมิศาสตร์ต้าฮวงจำกัดตั้งแต่กำเนิดจักทำอย่างไร แม้ผลิตเพชรพลอยทองคำมากมาย ทว่าทั้งมีลุ่มน้ำพันลี้ ดินแดนทุรกันดาร แผ่นดินที่ธัญญาหารยากจะอุดมสมบูรณ์ ข้าวเปลือกไร้ผืนดินให้เพาะปลูก บึงโคลนส่วนใหญ่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแลครอบครองที่ดินโดยเสียเปล่า ทั้งแคว้นมีที่ดินที่สามารถเพาะปลูกเพียงหนึ่งถึงสองส่วนในสิบส่วน จะไปปลูกธัญพืชที่ใด จะไปกินอิ่มที่ใด”


 


 


“หากว่า…” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม กล่าวว่า “หากว่าข้าทำให้ราษฎรกินอิ่มได้ล่ะ”


 


 


ทั่วทั้งลานกว้างต่างเงียบสงบโดยพลัน


 


 


ราษฎรที่ผิดหวังแยกย้ายไปหยุดฝีก้าวโดยพลัน


 


 


ถ้วยชาในมือกงอิ้นปิดเข้าหากันเพียงครั้ง เงยหน้าฉับพลัน ชาร้อนเกือบจะกระเซ็นโดนมือ


 


 


เหยียลี่ว์ฉีที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมองทหารเยียนซาโดยตลอดหันกลับมาโดยพลัน


 


 


คนมากกว่านั้นกลับเปล่งเสียงหัวเราะดังก้องออกมาโดยพลัน


 


 


“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆ…” เซวียนหยวนจิ้งหัวเราะเสียงดังมองดูรอบทิศทาง เอ่ยว่า “วาจานี้ฟังแล้วคุ้นหูยิ่งนัก!”


 


 


“นั่นสิ” ซังต้งยิ้มแย้มอย่างสุภาพเยือกเย็น เอ่ยว่า “คล้ายว่าราชินีผู้สืบราชสันตติวงศ์ทุกลำดับต่างทรงตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้ ทว่าจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถกระทำได้โดยสิ้นเชิง”


 


 


“หรือว่าราชินีองค์ใหม่ของพวกเราอาจจะทรงทำได้เล่า” ยามนี้เฟยหลัวจึงเดินกรีดกรายปรากฏออกมา เม้มปากยิ้มเพียงครั้ง เอ่ยสืบต่อว่า “เช่น ทรงเรียกหาวิหคเทวะล่องหนทิ้งธัญญาหารนับมิถ้วนลงมาอะไรเช่นนั้น”


 


 


เป็นเสียงหัวเราะดังก้องอีกระลอกหนึ่ง


 


 


มหาปราชญ์ที่นั่งโกรธเคืองทำหน้าบึ้งโดยตลอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งนั้นลุกขึ้นโดยพลัน ชี้ตรงจมูกจิ่งเหิงปัวพลางตวาดว่า “อย่าหวังนำเรื่องนี้มาล้อเล่น! มิฉะนั้นผู้ชราไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”


 


 


ทุกคนมองสีหน้าเขียวคล้ำของเขาแล้วต่างผุดเผยสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง…ยามนั้นบิดามารดาพี่ชายน้องชายของผู้สูงอายุท่านนี้ล้วนอดอยากสิ้นชีพทั้งเป็นด้วยเพราะภัยแล้งครั้งนั้น วัยเด็กน่าเวทนายิ่งนัก ชั่วชีวิตตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ไว้ว่าชาตินี้ขอให้ไร้ผู้อดอยากสิ้นชีพอีกแม้แต่เพียงผู้เดียว หากมีผู้สามารถทำได้จะยอมให้ตระกูลตนหลายชั่วคนเป็นข้ารับใช้ผู้นั้น


 


 


ทว่าเอ่ยจนท้ายสุดแล้ว ปณิธานอันยิ่งใหญ่ย่อมเป็นเพียงปณิธานอันยิ่งใหญ่เท่านั้น ในบึงโคลนยากจะปลูกข้าวเปลือกธัญญาหาร มักจะปล่อยน้ำได้ไม่แห้ง อีกทั้งครอบครองพื้นที่ใหญ่เกินไป การฝังกลบเกินควรจะทำให้เกิดน้ำท่วมหรือความแห้งแล้ง แลไม่รู้ว่าเพราะได้รับอิทธิพลจากบึงโคลนมากเกินไปหรือไม่ ที่ดินธรรมดาจำนวนมากปลูกพืชพันธุ์ออกมาได้ไม่มากเท่าใดเช่นกัน นี่เป็นปัญหาแก้ยากไร้วิธีแก้ไขตลอดกาลของต้าฮวง


 


 


“ล้อเล่นอะไร!” จิ่งเหิงปัวที่อารมณ์ดีมาโดยตลอดหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยพลัน โบกมือกลางอากาศอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เอากรงเล็บของเจ้าลงไป พี่รังเกียจการถูกคนชี้จมูกเป็นที่สุด!”


 


 


“หากเจ้าเอ่ยวาจาพิกลพิการอีก จะไม่ใช่เพียงผู้ชราชี้จมูกเจ้า ทว่าทุกคนจะต้องการชีวิตของเจ้า!” มหาปราชญ์โกรธจนคิ้วสีขาวราวหิมะสะท้านสะเทือน เอ่ยว่า “บึงโคลนจะปลูกธัญพืชได้อย่างไร!”


 


 


“ไม่ปลูกธัญพืชแล้วไม่มีวิธีอื่นหรือ สมองตายแล้วหรือ”


 


 


“หลายร้อยปีมานี้ไม่รู้ว่าทุกคนคิดหาวิธีมากมายเพียงใด จักให้เจ้าวิพากษ์วิจารณ์มั่วซั่วในยามนี้อย่างไรกัน!” เจ้าผู้ชราตบบนเก้าอี้ตนเองอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “อย่าหวังเอ่ยวาจามั่วซั่วเต็มปากในที่แห่งนี้! วันนี้ผู้ชราขอเอ่ยต่อที่แห่งนี้ หากเจ้าแก้ไขธัญพืชแห้งแล้งได้ ผู้ชราจักเป็นข้ารับใช้ของเจ้าชั่วชีวิต กระทำตามคำสั่งของเจ้า หากเจ้าเพียงหลอกลวงราษฎร ผู้ชราไม่สนใจว่าเจ้าเป็นราชินี ขอดาบประหารเจ้าเป็นผู้แรก!”


 


 


“ต้องการตาเฒ่าเช่นเจ้าเป็นข้ารับใช้ทำอะไร พอถึงยามนั้นกลายเป็นว่าเจ้าปรนนิบัติข้าหรือว่าข้าปรนนิบัติเจ้า” จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ไอ้พวกโง่มันสมองไม่วิวัฒนาการ! ผืนบึงโคลนปลูกธัญพืชผลผลิตไม่ได้ เหตุใดจึงมิอาจปลูกสิ่งอื่น ผู้ใดกำหนดว่าธัญญาหารถึงจะลงท้องได้ ขอเพียงเป็นของกินย่อมป้อนให้ท้องอิ่มได้ มิใช่หรือ”


 


 


พอเอ่ยมาทุกคนเงียบสงัด


 


 


วาจาเดียวสะบั้นเมฆครึ้ม


 


 


ระบบความคิดคือสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ยามไม่มีผู้ทำลายมัน ทุกผู้คนต่างพุ่งดิ่งเฮโลไปเบื้องหน้าตามวงโคจรสายนั้น พอมีผู้ทำลายมัน ทุกคนถึงได้ตื่นตะลึง อา ที่แท้ยังมีความคิดอีกแบบหนึ่ง แท้จริงแล้ววิธีคิดอีกแบบหนึ่งง่ายดายเช่นนี้ เหตุใดตนเองในยามแรกจึงคิดไม่ถึง


 


 


บนลานกว้างเงียบสงบโดยพลันแล้ว ไม่ว่าความรู้สึกที่มีต่อราชินีจะเป็นอย่างไร ปากท้องของราษฎรล้วนเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งด้วยเพราะสัมพันธ์กับความมั่นคงของอำนาจการเมือง คนเกือบส่วนหนึ่งเริ่มครุ่นคิด ใบหน้าบางคนผุดเผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์ บางคนลุกยืนออกมาโดยตรง


 


 


กงอิ้นมีสีหน้าชื่นชมเล็กน้อย ทว่าไร้ซึ่งสีหน้าประหลาดใจ ประเด็นหนึ่งนี้เขาย่อมคิดได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่รูปร่างลักษณะภูมิประเทศของต้าฮวงถูกจำกัด เกษตรกรรมไม่พัฒนา การทดลองเพาะปลูกในบึงโคลนไม่เคยสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นจนบัดนี้ หากมีผู้สามารถชี้เส้นทางหนึ่งออกมาให้ชัดแจ้ง อย่างน้อยย่อมสามารถย่นเวลาการสืบเสาะไปได้หลายสิบปี มีคุณูปการล้นพ้นต่อต้าฮวง


 


 


คนผู้นี้ จะใช่นางหรือไม่ 

 

 


ตอนที่ 55 - 2 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง

 

 “ฝ่าบาท!” มีผู้ตะโกนอยู่ห่างไกลว่า “วาจาที่พระองค์ตรัสมามีเหตุผล วาจานี้อาจารย์พวกเราเคยเอ่ยไว้ด้วย ผู้มีความสามารถมากมายแห่งต้าฮวงต่างเคยเอ่ยไว้ อาจารย์ข้าเคยกระทั่งทดลองเพาะปลูกชนิดพันธุ์นอกเหนือจากนั้นที่บึงโคลนบางแห่ง ซ้ำยังเคยเลี้ยงปลา ทว่าปลารอดชีวิตได้ยากยิ่ง เคยลองปลูกผักก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวเพียงใด พระองค์มีสิ่งใดสามารถชี้แนะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น โอ้ เด็กหนุ่มผู้อยู่ห่างไกลนั้นใบหน้าขาวผ่อง ดวงตาเปล่งประกาย กำลังโบกมือให้นางสุดชีวิต นี่มันสุภาพบุรุษน้ำยาทาเล็บไม่ใช่เหรอ


 


 


ข้างกายเขายังมีพ่อรูปงามอีกหลายคน แต่ละคนมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน มีผู้กอดอกชำเลืองนางอย่างเย็นชา มีผู้เท้าคางจ้องนางเขม็ง มีผู้กำลังกระโดดเหมือนกัน กระโดดสูงเสียยิ่งกว่าอีชี กระโดดไปพลางตบศีรษะของอีชีลงไปพลาง


 


 


เหอะ นี่มันศิษย์พี่ศิษย์น้องตัวเลขกลับตาลปัตรกลุ่มนั้นเหรอ


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวมองเห็นคนคุ้นเคยพลันอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โบกมือให้ด้านล่างด้วยใบหน้าเปล่งประกายเช่นกันพลางร้องว่า “ไฮ!”


 


 


“ไฮ!” ความสามารถในการเรียนรู้ของอีชีแข็งแกร่งอย่างยิ่งแต่ไหนแต่ไร


 


 


“ไฮ!” ความสามารถในการเรียนรู้ของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องตัวเลขแข็งแกร่งยิ่งกว่า เสียงพร้อมเพรียงดังกังวานจากลำคอ ทำให้ราษฎรรอบทิศทางต่างตื่นตะลึง


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มดุจมวลผกา


 


 


กงอิ้นที่เมื่อครู่กำลังอยากเอ่ยวาจาทว่าถูกเสียงไฮไปไฮมานั้นขัดจังหวะ ถ้วยชาในมือคล้ายเปล่งเสียงดังแก๊ก…


 


 


“ปลาพันธุ์อื่นเลี้ยงยากหรือ” จิ่งเหิงปัวตะโกนเสียงดังว่า “ต้องเลี้ยงปลาที่ค่อนข้างดุร้าย! จะให้ดีที่สุดต้องปลาเหนียน[1]! กินของเน่าเสียได้! ยังปรับปรุงบึงโคลนให้ดีขึ้นได้ด้วย!”


 


 


มหาปราชญ์เงยหน้าฉับพลัน ผิวหน้าชักเกร็งระลอกหนึ่ง ไม่ได้สนใจว่าข้างกายคือผู้ใด คว้าแขนเขาไว้ทั้งเร่งเร้าหลายเสียงต่อเนื่องว่า “เร็ว! รีบนำกระดาษพู่กันมาบันทึก!”


 


 


ผู้ที่ถูกคว้าไว้นั้นร้องโหยหวนถึงนภา รีบเอ่ยว่า “ท่านผู้ชราท่านผ่อนแรงหน่อย ผ่อนแรงก่อน!”


 


 


ไม่รอให้เขากำชับ กงอิ้นยืนขึ้นนานแล้ว กำชับขุนนางการเกษตรรีบเร่งสืบเท้าไปเบื้องหน้าด้วยตนเอง


 


 


“กินแต่ปลาคงมิอาจช่วยชีวิต” เฟยหลัวยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า “อย่างมากเพียงสามารถช่วยเพิ่มการหาเลี้ยงชีพประเภทหนึ่งให้ผู้คนส่วนหนึ่ง มิเคยได้ยินว่าปลาสามารถเป็นธัญญาหารได้ อีกทั้งปลามากมายสุดท้ายแล้วยังคงไร้ประโยชน์ ซ้ำยังจะทำลายความสมดุลของตลาดที่เคยมีมาแต่เดิม”


 


 


ทุกคนพยักหน้า ผู้เข้าใจเศรษฐศาสตร์เล็กน้อยต่างเข้าใจหลักการนี้ การเพาะเลี้ยงชนิดพันธุ์เพียงชนิดเดียวจนมากมายมิใช่ข่าวดี


 


 


“ทำได้เพียงเลี้ยงปลาหรือ” อีชีถามปัญหาที่ทุกคนกังวลที่สุดออกมา


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเริงร่า นางทายถูกแล้ว ต้าฮวงมีผู้มีความสามารถที่มีแนวคิดเปิดกว้างอยู่จริงด้วย รู้ว่าบึงโคลนปลูกพืชไร่เกษตรไม่ได้ก็หันไปเพาะเลี้ยงชนิดพันธุ์นอกจากนั้น ทว่าชนิดพันธุ์ทั่วโลกมีมากมายขนาดนั้น หากไม่รู้ว่าชนิดไหนเหมาะสมชนิดไหนไม่เหมาะสมแล้วค่อยๆ ทดลองไปทีละชนิดละชนิด บางชนิดระยะเวลาเพาะเลี้ยงยังยาวนาน นั่นต้องเสียแรงกายแรงใจนานเท่าไร


 


 


สิ่งที่พวกเขาต้องการตอนนี้ก็คือการชี้แนะเท่านั้น บอกพวกเขาชนิดไหนเหมาะสม ภายหลังย่อมจะผันแปรกลายเป็นห่วงโซ่อาหารออกมา


 


 


“สิ่งที่สามารถปลูกได้มีมากมาย พวกเจ้าคิดจะนำบึงโคลนมาใช้เป็นที่ดินตลอดมา แนวคิดไม่ถูกต้อง แท้จริงแล้วควรใช้เป็นบ่อน้ำพิเศษ คล้ายว่าในเขตแดนต้าฮวงไม่ได้มีน่านน้ำมากมาย พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์จากน้ำใช่หรือไม่”


 


 


“ต้าฮวงไม่นับว่ามีน่านน้ำน้อย ทว่าด้วยเพราะราษฎรค่อนข้างรวมศูนย์ อีกทั้งได้รับผลกระทบจากสภาวะแวดล้อม มีสัตว์น้ำดุร้ายมากมาย ราษฎรไม่กล้าเข้าใกล้โดยง่าย ฉะนั้นผลิตภัณฑ์จากน้ำน้อยยิ่งนัก ผลิตผลจากในน้ำก็ไร้ผู้คนกล้าลิ้มลอง” มหาปราชญ์ตอบกลับโดยพลัน เจ้าผู้ชราก็หลงลืมความโกรธเคืองจนเส้นเลือดปูดโปนเมื่อครู่แล้ว สีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง


 


 


“ฉะนั้นพวกเจ้าคงพลาดพืชน้ำที่กินได้มากมายเป็นแน่” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ยามข้าเข้าสู่ต้าฮวง เคยพบว่าริมน้ำมีหลูเฮา[2] ทว่าคล้ายจะไม่มีผู้ใดเคยเด็ดไปเลย” นางนึกถึงกลิ่นหอมกรุ่นของหลูเฮาผัดเต้าหู้แห้ง เกือบจะน้ำลายไหลออกมา


 


 


“หลูเฮา สิ่งใดหรือ” มีผู้ถามโดยพลัน


 


 


แลมีผู้เอ่ยอย่างเข้าใจในฉับพลันว่า “ใช่หญ้าสีเขียวอ่อนชนิดนั้นหรือไม่ แลมีผู้อยากลองกินดูหน่อย ทว่าในน้ำมักมีสัตว์น้ำ ต่างเอ่ยว่าสิ่งเหล่านี้คือหญ้าพิษที่สัตว์น้ำเพาะปลูก ไม่มีผู้ใดกล้ากิน”


 


 


“ไม่เกี่ยวอะไรกับสัตว์น้ำเลยแม้แต่น้อย” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หลูเฮาเป็นเพียงพืชชนิดหนึ่ง ผืนบึงโคลนยังสามารถปลูกอันอ้อ[3] กระจับ[4]และรากบัว โอ้ รากบัวคือสิ่งที่เป็นปล้องๆ แบบนั้น รากบัวสามารถทำแป้งรากบัว ทั้งมีโภชนาการทั้งสามารถอิ่มท้อง”


 


 


ขุนนางการเกษตรจดบันทึกดังสวบสาบ กำชับผู้ใต้บัญชาไปพลางว่า “ตระเตรียมผืนบึงโคลนแห่งหนึ่งทดลองปลูกโดยพลัน!”


 


 


“ข้ายังเอ่ยไม่จบ” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “บึงโคลนที่ซึ่งมีน้ำให้ปลูกหลูเฮา รากบัว กระจับ อันอ้อและเลี้ยงปลา ต้าฮวงคุณภาพดินไม่ดี พืชผักก็น้อย เช่นนี้บนโต๊ะอาหารยังมีผักเพิ่มมาหลายจาน บึงโคลนที่ซึ่งสามารถปล่อยน้ำออกจนแห้งให้เพาะปลูกต้นหม่อน ต้นหม่อนสามารถให้ลูกหม่อน ลูกหม่อนทั้งกินได้ทั้งใช้เป็นยาได้ ใบหม่อนทั้งเลี้ยงเป็ดไก่ได้ทั้งเลี้ยงไหมได้ ไหมที่เลี้ยงออกมาเอาไว้ทอผ้าได้ ขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ…”


 


 


คราวนี้ไม่เพียงแต่ขุนนางการเกษตรกำลังบันทึก ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มสะบัดพู่กันจดบันทึก ผู้ที่ไม่มีพู่กันก็ท่องจำครุ่นคิดพึมพำกับตนเอง ผู้คนมากมายเบียดกันอยู่เบื้องล่างเวทีมากขึ้น เหล่าทหารก็หลงลืมรักษาการณ์ความเป็นระเบียบเรียบร้อยตามเดิม


 


 


ราษฎรถือว่าอาหารสำคัญเทียมฟ้า นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดของการดำรงชีวิต ไม่มีความดึงดูดใจใดที่ยิ่งใหญ่นอกเหนือกว่าสิ่งนี้แล้ว


 


 


พวกชุ่ยเจี่ยเบียดเสียดไปเบื้องล่างเวทีเช่นกัน มองจิ่งเหิงปัวอย่างเหลือเชื่อมากยิ่งขึ้น พวกนางอยู่ร่วมกันกับจิ่งเหิงปัวมานาน ภาพแห่งความทรงจำยิ่งลึกล้ำ ต่างรู้ว่านอกจากมีความสามารถพิเศษแล้ว นางไม่ชอบอ่านหนังสือและไม่ชอบครุ่นคิด กินดื่มเที่ยวเล่นกลับถนัดเชี่ยวชาญยิ่งนัก การทดสอบมากมายก่อนหน้านี้ตอบออกมาไม่ได้ถึงจะปกติ เพียงแต่ถอนใจว่าต้าปัวมีความกล้าหาญมากเกินไป รู้แน่ชัดว่าไร้ความสามารถยังจะลองดูสักครั้ง ยามนี้ฟังนางเอ่ยอย่างฉะฉาน รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าคล้ายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


 


ชุ่ยเจี่ยเปี่ยมด้วยสีหน้าดีใจ ยงเสวี่ยกอดเจ้าหมาโง่ไว้ กระซิบกระซาบเพียงกับมันว่า “ฟ้าใกล้สว่างแล้ว!”


 


 


จิ้งอวิ๋นพิงกระเป๋าเงยหน้าอย่างมึนงง แสงอาทิตย์สาดส่องใบหน้าของนางจนขาวโพลนคล้ายดั่งหิมะ


 


 


“…ลูกหม่อนยังกลั่นเหล้าได้ กิ่งหม่อนเพาะเห็ดได้ บึงโคลนทั้งบึงจะกลายเป็นห่วงโซ่อาหารเพาะเลี้ยงห่วงหนึ่ง หากยินยอมล่ะก็ ยังสามารถสร้างเป็นสวนทัศนาจร ให้เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่มีเงินแต่โง่ในเมืองเหล่านั้นมาสังสรรค์ยามคิมหันต์ ตกปลาใต้ต้นไม้ใหญ่สักหน่อย เก็บหม่อนในป่าหม่อนสักหน่อย ดึงใบบัวในบ่อปลาเก็บกระจับเอยอะไรเช่นนั้น แล้วกินอาหารชาวนาที่ทำจากสิ่งเติบโตในน้ำไร้สิ่งเจือปนมื้อหนึ่ง สามารถตั้งนามว่าว่าทุ่งสวนเขียวขจีเอย ออกซิเจนบาร์เอย…” จิ่งเหิงปัวพูดน้ำไหลไฟดับ


 


 


เหล่าเจ้าขุนมูลนายผู้มีเงินแต่โง่ผุดเผยสีหน้าแห่งจินตนาการ รู้สึกว่าทุ่งสวนเขียวขจีนี้ทำให้คนใฝ่หาโดยแท้


 


 


กงอิ้นหลับตาไม่เอ่ยวาจา คิดในใจอยู่ตรงนั้น นายทหารผู้หนึ่งข้างกายเขาดวงตาสองข้างเปล่งประกาย กระซิบอย่างรวดเร็วข้างหูเขาว่า “ยินดีด้วยราชครู! ราชินีทรงเป็นพหูสูต! นี่คือวิธีใช้บึงโคลนพื้นฐานที่สุด แม้ว่าสิ่งที่เพาะปลูกออกมาไม่ใช่ธัญญาหาร ทว่าขอเพียงมีผลผลิตย่อมแลกเป็นธัญญาหารได้เช่นกัน อย่างน้อยที่สุดบึงโคลนทิ้งร้างครึ่งใหญ่ในอาณาเขตต้าฮวงนั้นก็มีประโยชน์แล้ว ภาคใต้ของพวกเรามีบึงโคลนมากภาคเหนือมีบึงโคลนน้อย ต้าฮวงอาศัยภาคเหนือเป็นกำลังหลักในการจัดหาข้าวสาลีให้ ต้องการจนกระทั่งนำเพชรพลอยแลกธัญญาหารกับแคว้นน้อยหลายแคว้นข้างเคียง มักจะเสียเปรียบ ซ้ำยังทำให้เพชรพลอยลดมูลค่าลง ยามนี้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น สามารถใช้สิ่งของแลกเปลี่ยนได้ เพชรพลอยสามารถนำไปแลกเปลี่ยนยังแคว้นที่มีอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า เช่น ต้าเยียน ตงถัง ไปแลกเอาอาชาอาวุธที่สำคัญยิ่งกว่า เช่นนี้พอคำนวณดูแล้ว ได้ประโยชน์ไม่สิ้นสุดเชียว…”


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวกำลังกล่าวอย่างฉะฉานเช่นกัน


 


 


“ข้าได้ยินว่าพอพวกเจ้าเจอภัยแล้ง จะนำเพียงเพชรพลอยทองคำไปแลกธัญญาหารกับแคว้นน้อยข้างเคียง เช่นนี้เสียเปรียบได้ง่าย เพชรพลอยทองคำจะลดมูลค่าลงด้วย ในภายหลังสามารถนำผลผลิตแลกธัญญาหาร นำเพชรพลอยไปแลกสิ่งของที่มีมูลค่าสูงยิ่งกว่ากับแคว้นใหญ่หลายแคว้นนอกเหนือจากนั้น เพชรพลอยราคาสูงยิ่งนักในทุ่งหญ้าเอยต้าเยียนเอย…”


 


 


ใบหน้าสตรีผ่องอำไพใต้แสงอาทิตย์ ดวงเนตรแลคล้ายเพชรพลอยแวววาวสาดแสง นั่นคือแสงรุ่งโรจน์แห่งสติปัญญา สาดส่องขอบฟ้าทั้งแคว้นต้าฮวงให้สว่างรุ่งโรจน์


 


 


หลังจากวันนี้ ต้าฮวงจักชำระล้างแสงแห่งคุณธรรมครู่หนึ่งนี้ ผืนดินสีดำขมุกขมัวเปล่งประกายเขียวขจีแห่งชีวิตด้วยเพราะการมาถึงของสตรีนางหนึ่ง


 


 


เรื่องนี้จักเป็นบันทึกในยามหนึ่งของประวัติศาสตร์ต้าฮวง เจือด้วยลมหายใจงดงามและอวดตนซึ่งเป็นของจิ่งเหิงปัวเพียงผู้เดียว


 


 


มุมปากกงอิ้นผลิแย้มรอยยิ้มเจือจาง


 


 


นางน่ะ ยามปกติไม่โดดเด่น เผลอประเดี๋ยวพาผู้คนตื่นตะลึงเสียจริง…


 


 


สตรีที่แลคล้ายร่าเริง แท้จริงแล้วกลับซุกซ่อนความลึกลับและตื่นตะลึงดีใจนับมิถ้วนไว้นางนี้ คราวหน้าจะนำพาความรู้สึกสดชื่นอย่างไรมาให้เขาอีกหนอ


 


 


 


 


 


 


 


[1] ปลาเหนียน ชื่อวิทยาศาสตร์ Silurus asotus หรือรู้จักกันในชื่อปลาดุกเวลส์จีน หนึ่งในปลาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีลำตัวสีน้ำตาลและมีจุดสีดำกระจายอยู่ทั่วลำตัว หัวมีขนาดใหญ่ มีหนวดที่มุมปาก 2 คู่ยาว ปากกว้างมาก ตามีขนาดเล็ก


 


 


[2] หลูเฮา ชื่อวิทยาศาสตร์ Artemisia selengensis Turcz. ex Bess. ลำต้นสีเขียวกลวงคล้ายผักบุ้ง ใบเรียวยาวมีแฉก กลิ่นหอมสดชื่น


 


 


[3] อันอ้อ ชื่อวิทยาศาสตร์ Oenanthe javanica (Blume) DC ใบหยักเว้าเป็นพู มีดอกย่อยสีขาวจำนวนมาก


 


 


[4] กระจับ ชื่อวิทยาศาสตร์ Trapa bispinosa Roxb. ใบคล้ายใบบัวขอบใบหยักถี่ มีฝักแก่สีดำ เปลือกหนาแข็ง ลักษณะงอโค้งคล้ายเขาควาย 

 

 


ตอนที่ 55 - 3 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง

 

“อืม นี่เป็นเพียงวิธีการใช้บึงโคลน” จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน มุมปากเชิดขึ้น กล่าวต่อไปว่า “ที่จริงแล้วย่อมไม่นับว่าดีเพียงใด อย่างน้อยที่สุดยังคงเพาะปลูกธัญญาหารไม่ได้…” 


 


 


“ดีเสียยิ่งนักแล้ว!” มหาปราชญ์ที่หมอบอยู่เบื้องล่างเวทีมีหยาดน้ำตาเอ่อล้น หลงลืมความโกรธแค้นก่อนหน้านั้นไปเนิ่นนานแล้ว เอ่ยว่า “ขอเพียงบึงโคลนที่ทิ้งร้างนับร้อยปีสามารถใช้ประโยชน์ได้ ขอเพียงสามารถใช้ได้แม้เพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่ง ต้องแก้ไขปัญหาปากท้องของราษฎรต้าฮวงให้ดีขึ้นได้แน่! ฝ่าบาทพระองค์ทรงมีคุณูปการล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ข้ายังเอ่ยไม่จบนะ…” จิ่งเหิงปัวประคองเจ้าผู้ชราขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กล่าวว่า “ท่านนั่งให้ดี อืมนั่นล่ะนั่งให้ดี ข้ากลัวว่าประเดี๋ยวท่านจะตื่นเต้นดีใจจนร่วงลงไป…ที่จริงแล้วน่ะ ได้ยินว่าคุณภาพดินของต้าฮวงมีปัญหาต่างๆ เช่นกัน ทำให้ปริมาณผลผลิตธัญญาหารน้อย เรื่องคุณภาพของดินนี้น่ะ แท้จริงแล้วสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เช่นกัน เช่น ผืนดินเป็นกรดเกินไปสามารถเพาะปลูกพืชไร่เกษตรที่มีค่าเป็นด่าง เช่น เหมาเยี่ยเสาจื่อ[1] หรือโหยวไฉ่มาปรับปรุง ผืนดินค่อนข้างเป็นด่างต้องหมั่นปลูกมู่ซวี[2] เฉ่ามู่ซี[3] หรือเฮยไม่เฉ่า[4]…” 


 


 


ทุกคนกำลังฟังอย่างเคลิบเคลิ้มลุ่มหลง นางเบนสายตาครั้งหนึ่งฉับพลันแล้วหยุดลง 


 


 


“โอ๊ย ข้าเองเอ่ยจนเหนื่อยแล้ว” 


 


 


ที่จริงไม่ใช่กล่าวจนเหนื่อยแล้วแต่ลืมแล้วต่างหาก นางไม่ได้มาจากครอบครัวที่ทำไร่ไถนาสักหน่อย จะจำได้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไร 


 


 


ในตอนนั้นประกายรัศมีกะพริบวูบ นึกได้ว่าในกระเป๋ามีสารานุกรมความรู้เล่มหนึ่ง ส่วนอุตสาหกรรมในนั้นส่วนใหญ่ไร้วิธีทำให้เป็นจริง แต่ส่วนการเกษตรพุ่งเป้าหมายไปยังวิธีการปรับปรุงผืนดินทุกชนิดให้ดีขึ้น รวมทั้งวิธีเพาะปลูกบนผืนดินทุกชนิดพอดี นางหาบทเกี่ยวกับบึงโคลนนั้นจนเจอ 


 


 


ระหว่างทาง นางค้นหาโดยละเอียด พบเจอชนิดพันธุ์มากมายที่สามารถเพาะเลี้ยงในบึงโคลน หลูเฮาและต้นหม่อนต่างพบเจอระหว่างทาง ต้าฮวงไม่ได้กันดารสักหน่อยแต่ถูกสภาวะแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเกินควรผูกมัดพลังการทดลอง 


 


 


พอผสมผสานกับภูมิปัญญาการเกษตรในยุคปัจจุบันที่ประสบการณ์ของคนนับไม่ถ้วนสืบเสาะออกมา นางได้กระทำการคัดลอกที่สมบูรณ์แบบ นี่ยังเป็นสาเหตุที่นางกล้าเดิมพันกับกงอิ้น ซ้ำยังกล้าทุ่มสุดตัวรับการท้าทายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจตนเองว่าขาดแคลนความสามารถ 


 


 


นางเชื่อว่าหากเทียบกับบทกลอนบทกวีการทหารที่พรรณนาสายลมดอกไม้หิมะพระจันทร์ไร้ประโยชน์สิ้นดีอะไรนั่น ปากท้องของราษฎรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคนนับไม่ถ้วนถึงจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เรื่องนี้คือแรงดึงดูดใจที่ผู้ทะเยอทะยานยิ่งใหญ่กว่านี้หรือผู้คัดค้านไร้ยางอายกว่านี้ยังไร้หนทางต่อต้าน ผู้เฉยเมยต่อเรื่องนี้จักต้องถูกความโกรธแค้นของราษฎรล้มล้าง 


 


 


“อา ราชินีทรงเหนื่อยแล้ว!” มหาปราชญ์กระโดดขึ้นมาย้ายม้านั่งตนด้วยตนเองเป็นผู้แรก เอ่ยว่า “ทรงประทับ! ทรงประทับ!” 


 


 


เจ้าผู้ชรากระโดดขึ้นกระโดดลง ใบหน้าแดงก่ำ กระตือรือร้นจนคล้ายนักเรียนผู้หนึ่งซึ่งเร่งรีบต้องการเอาใจอาจารย์ให้สอบผ่าน 


 


 


คนกลุ่มหนึ่งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบรีบเร่งปรามผู้สูงอายุเช่นเขาไว้ มีผู้สืบเท้ารวดเร็วมาขยับบัลลังก์ให้ราชินี 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองเขาอย่างขออภัยเล็กน้อยแวบหนึ่ง…ขอโทษด้วยนะ แม้ท่านกระตือรือร้นแค่ไหน ตอนนี้ฉันก็ไม่คิดจะกล่าวต่อแล้ว 


 


 


ไพ่ตายไม่อาจเปิดออกมาแบบครั้งเดียวทิ้ง ต้องเก็บไว้ค่อยๆ หลอกล่อ แบบนี้ถึงจะรักษาตำแหน่งไว้ได้ นางเข้าใจหลักการนี้แจ่มแจ้ง 


 


 


“เหนื่อยเกินไปแล้ว นึกไม่ออกแล้ว…” นางหันกายนั่งลงอย่างเชื่องช้า ยกขาขึ้นมาไขว่ห้างท่ามกลางสายตาเฝ้ารอคอยเป็นที่สุดของคนฝูงหนึ่ง 


 


 


ไม่มีใครสนใจการไขว่ห้างนางด้วยต่างจ้องมองริมฝีปากแดงสดงดงามของนาง รอคอยประโยคถัดไปซึ่งเป็นเส้นทางแห่งชีวิตใหม่ที่ได้สูญสลายเมฆหมอกนำพาผู้คนออกมา 


 


 


จิ่งเหิงปัวหาวครั้งหนึ่ง ศีรษะก้มต่ำลงไม่ขยับเขยื้อนแล้ว 


 


 


“ขอฝ่าบาทจักต้องทรงลองคิดดูให้ดี จักต้องทรงลองคิดดูให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ…” หน้าผากของคนกลุ่มหนึ่งมีเหงื่อซึม เบียดเสียดกันอยู่ข้างเวที มองนางตาปริบๆ  


 


 


“ข้าว่า” จิ่งเหิงปัวไม่ตอบรับ ดีดเล็บมือสวยสดงดงาม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ยามนี้นับว่าผ่านการทดสอบแล้วหรือไม่” 


 


 


ไม่รอให้ผู้อื่นเอ่ยตอบ มหาปราชญ์กระโดดขึ้นมาประหนึ่งถูกเข็มทิ่มแทง ตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “นับว่าผ่านแน่นอน! หากเรื่องนี้ไม่นับยังมีเรื่องใดนับได้ว่าผ่าน!” 


 


 


“นับว่าผ่านแน่นอน!” เสียงของราษฎรดังเสียยิ่งกว่าเขา ทหารเยียนซาที่ยืนอยู่ห่างไกลถอดเกราะหนังเผยกล้ามเนื้ออีกครั้งแล้ว มือกุมมีดไว้ไอสังหารคละคลุ้งวนเวียนทั่วทั้งลานกว้าง เปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ผู้ใดเอ่ยว่าไม่นับก็สังหารผู้นั้น…ผู้ใดต่างรู้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขานับว่ามาจากลุ่มน้ำเฮยสุ่ยซึ่งเป็นดินแดนแห่งการเนรเทศ ที่แห่งนั้นทุรกันดาร เมล็ดพืชพันธุ์ไร้ผลเก็บเกี่ยวตลอดทั้งปี ผู้คนหิวโหยสิ้นชีพเกลื่อนกลาด ต่างพึ่งนักโทษเหล่านี้ออกมาเป็นทหารรวมถึงเป็นโจรเก็บเงินเล็กน้อยเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวเลี้ยงดูญาติพี่น้องในภายหลัง 


 


 


เหล่าขุนนางและผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่านิ่งเงียบ อารมณ์ฝูงชนดุจคลื่นธาร ผู้ใดก็ไม่กล้าย้อนศรทวนคลื่นด้วยกลัวถูกคลื่นยักษ์แห่งความโกรธแค้นพัดพาออกไป 


 


 


“อ้อ…” จิ่งเหิงปัวที่ครอบครองต้นลมโดยสิ้นเชิงเพียงพยักหน้าก็ผ่านด่านไม่ร้อนใจแล้ว 


 


 


นางนั่งอย่างสบายอกสบายใจ ยิ้มแย้มเขย่านิ้วมือ 


 


 


“ยังนึกว่าราชินีต้องแสดงความสามารถพิเศษสุดยอดเพียงใดในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จเสียอีก นึกไม่ถึงว่าความสามารถของข้ายังแสดงออกมาไม่ถึงสามส่วน พวกเจ้าก็ตกใจจนตัวสั่นเทิ้มค้อมศีรษะกราบกรานแล้ว เฮ้อ…” นางขมวดคิ้วเปี่ยมด้วยท่าทางแห่งวีรบุรุษเดียวดาย ถอนใจเสียงยาว 


 


 


ทุกผู้คนมองดูนางอย่างตกตะลึง ไม่รู้ว่านางมีแผนการจะทำอะไรกันแน่ 


 


 


“ก่อนหน้านี้ ข้าเอ่ยว่าความสามารถพิเศษใดข้าก็ทำไม่ได้ นั่นคือข้าจงใจ!” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังว่า “ข้าน่ะอยากมองเห็นสีหน้าท่าทางของคนบางคนว่าจักอัปลักษณ์ถึงเพียงใด!” 


 


 


สีหน้าท่าทางของคนบางคนย่ำแย่ยิ่งนัก 


 


 


“บัดนี้ ข้าจะให้พวกเจ้าได้รู้จักอย่างแท้จริงว่าสิ่งใดเรียกว่าผู้วิเศษล้ำโลกา ความสามารถพิเศษเยี่ยมยอด!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันกายดังสวบเดินไปยังขอบเวที หันหลังให้ทุกคนลูบคลำบริเวณเอวอย่างเงียบเชียบ คว้าการ์ดโพลารอยด์ที่ประณีตงดงามที่สุดออกมากุมไว้ในฝ่ามือ 


 


 


สถาบันวิจัยไม่ขาดแคลนสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงไม่ว่าอะไรก็ตาม ซ้ำยังมีทิศทางการวิจัยแบบคนบ้าคลั่งซึ่งก็คืออุปกรณ์เทคโนโลยีต้องเบาบางพกง่าย ตอนที่หนีออกมาจิ่งเหิงปัวนำของพวกนี้มาด้วยมากที่สุดเพราะนางคิดว่าหลังจากออกไปแล้วจะอาศัยขายของพวกนี้แลกเงิน 


 


 


ฉะนั้นโพลารอยด์พลังงานแสงอาทิตย์แบบการ์ดในมือก็คือฉบับยอดเยี่ยมที่หาไม่ได้ในท้องตลาด 


 


 


“บัดนี้” นางหันหน้ามากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ให้พวกเจ้าได้รู้จักตาทิพย์แรกในโลกนี้ก่อน!” 


 


 


ฝูงชนเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย มีผู้เอ่ยเสียงดังว่า “ตาทิพย์หรือ ฝ่าบาทพระองค์ทรงล้อเล่นกระมัง บนโลกนี้มีตาทิพย์อะไรที่ใดกัน หลายปีก่อนในประวัติศาสตร์ต้าฮวงเคยมีผู้มีสายตาล้ำเลิศ ว่ากันว่าสามารถจำแนกแมลงวันได้แม้เกินสามจั้ง พระองค์จะแสดงความสามารถเทวะเฉกเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“จำแนกแมลงวันได้แม้เกินสามจั้งนับว่าเป็นความสามารถอะไร” จิ่งเหิงปัวพ่นลมออกจมูก กล่าวว่า “ตาทิพย์ของข้าเห็นความเคลื่อนไหว! เห็นข้างหลัง!” 


 


 


ทุกคนฮือฮา ทยอยแสดงความเห็น 


 


 


“เห็นสิ่งของที่เคลื่อนไหวได้ก็ช่างเถิด เห็นข้างหลังหรือ ข้างหลังมีดวงตาหรือ” 


 


 


“จะเป็นไปได้อย่างไร!” 


 


 


“ข้าคือราชินีฟ้าประทาน ทวยเทพมอบความสามารถในการรับรู้สัมผัสสรรพสิ่งให้ข้า” จิ่งเหิงปัวชี้นิ้วมือขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าสามารถทดสอบได้ วางของสิ่งหนึ่งไว้หรือว่าทำเรื่องหนึ่งข้างหลังข้า ดูว่าข้ารู้หรือไม่!” 


 


 


ฝูงขุนนางต่างเบนสายตาไปทางกงอิ้น กงอิ้นโบกมืออย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนเผชิญหน้าทุกคนอยู่เบื้องหน้าเวที ข้างหลังนาง มหาปราชญ์ประคองของสิ่งหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเซ่นไหว้ข้างหลังนางอย่างมือเบาเท้าเบาด้วยตนเอง แล้วเดินลงไปอย่างมือเบาเท้าเบา 


 


 


ทุกคนกลั้นลมหายใจมองดู สายตาแวววาว 


 


 


ซังต้งเดินยิ้มแย้มมาโดยพลัน จิ่งเหิงปัวจ้องมองท่วงท่าฝีก้าวของนางเขม็ง 


 


 


ซังต้งเดินผ่านข้างกายจิ่งเหิงปัวแล้วส่งกระจกบานหนึ่งมา ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พระเกศาของฝ่าบาทคล้ายยุ่งเหยิงแล้ว จะทรงจัดแต่งสักหน่อยหรือไม่เพคะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวหลับตาลงทันทีแล้วผลักกระจกออก ยิ้มเย็นชากล่าวว่า “เจ้ากองเซ่นไหว้ซังช่างหวังดีเสียจริง เพียงแต่ข้าเกรงว่ามองปราดเดียว หากมองเห็นสิ่งของข้างหลังนี้แล้วคงถูกเอ่ยว่าเป็นสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมา” 


 


 


ซังต้งถูกเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมยังมิได้โกรธเคือง มองนางปราดหนึ่งด้วยท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม กระซิบว่า “ฝ่าบาทต้องทรงรู้จักพอประมาณ หากทำให้พวกเราดูแย่ วันหน้าพระองค์ย่อม…” 


 


 


“ไม่ทำให้พวกเจ้าดูแย่ วันหน้าพวกเจ้าคงจะไม่ทำดีต่อข้า” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มสนิทสนมยิ่งกว่านาง เสียงแผ่วเบายิ่งกว่าชั่วร้ายยิ่งกว่ากล่าวว่า “สตรีชั่วที่ประจำเดือนมาไม่ปกติก่อนวัยหมดประจำเดือนสารคัดหลั่งสับสนวุ่นวายฮอร์โมนต่อมหมวกไตผิดปกติเช่นพวกเจ้านี้มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อหาเรื่องใส่ตัว เห็นผู้ใดขัดหูขัดตาก็กัดผู้นั้น เที่ยวกระจายโรคพิษสุนัขบ้าทุกแห่งหนทั้งวันจนกระทบผังเมืองเป็นมลพิษต่ออากาศ ข้าจะไม่เคลื่อนพลกลุ่มจับสุนัขได้อย่างไร โอ้จริงสิ” นางมองดูสีหน้าที่ยิ่งย่ำแย่ของซังต้ง ยิ่งยิ้มแย้มจนอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น กล่าวว่า “เมื่อครู่มีวาจาหนึ่งเจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว พวกเจ้าดูแย่ ถูกต้อง พวกเจ้าดูย่ำแย่ยิ่งนักจริงเชียว ไม่มีผู้ใดบอกพวกเจ้าหรือว่าลักษณะหน้าตาเกิดจากจิตใจ ผู้ที่เล่นเล่ห์เพทุบายเต็มท้องอิจฉาคนทำร้ายคนด่าคนทั้งวันจะยิ่งมีหน้าตาคล้ายแม่สุนัขชรา” 


 


 


“เจ้า…” ใบหน้าของซังต้งใกล้จะกลายเป็นสีใบหม่อนแล้ว ริมฝีปากขมุบขมิบครู่ใหญ่ อยากด่าด่าไม่ออก อยากกลืนกลืนไม่ลง คนผู้หนึ่งซึ่งดูท่าทางเยือกเย็นสง่างามได้เผยความหน้าเขียวเขี้ยวงอกโดยพลัน หน้าตาอัปลักษณ์หลายส่วนเสียจริง 


 


 


เปรียบเทียบกันแล้ว จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มจนเรียกได้ว่าเนตรงามดุจภาพวาด โฉมสะคราญแย้มผกา 


 


 


หากสามคนนั้นในกลุ่มสี่คนอยู่ที่นี่คงจะต้องถุ้ยเสียงหนึ่ง กล่าวสักประโยคว่า “สมน้ำหน้า!” 


 


 


ทะเลาะกับจิ่งเหิงปัวเหรอ รับกรรม! 


 


 


นางคนนี้เกียจคร้านอย่างมาก มักปล่อยวางไม่ยอมโต้เถียง แต่หากใครแหย่อะไร นางคงไม่ยอมเลิกราแน่นอน จะไม่เหมือนไท่สื่อหลันที่ให้ความสำคัญกับสถานะไม่ยอมกล่าวคำหยาบคาย จะไม่เหมือนจวินเคอที่ซื่อสัตย์เกรงใจไม่ยอมด่าแรงเกินไป และจะไม่เหมือนเหวินเจินที่กลอกกลิ้งยอมแค่ทำลายคนโดยไม่ระบุนามแน่นอน นางจะหอบศักดิ์ศรีตนเข้าสู่สนามรบ โจมตีบนล่างพร้อมกันสามทิศทาง สะบัดกรงเล็บควักหัวใจทักทายเจ้าทั้งตระกูล 


 


 


ซังต้งอัดอั้นตันใจอยู่ครู่ใหญ่ถือกระจกไว้แน่น ไม่แค่นแม้เพียงเสียงหนึ่งหันกายเดินจากไป จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ 


 


 


นางจำได้จากท่วงท่าฝีก้าวการเดินของซังต้งแล้วว่านางคือใคร 


 


 


คนขายอาหารว่างที่ถนนอาหารว่างเมืองซีคัง! 


 


 


ฮูหยินวัยกลางคนที่ร้องเรียกลูกค้านางนั้นคือนาง คนแก่ที่นั่งหลังค่อมทำอาหารคือเซวียนหยวนจิ้ง! 


 


 


บุคคลระดับอาวุโสสองคนนี้ปรากฏกายที่นั่นปลอมตัวเป็นแบบนั้นด้วยตนเองในตอนนั้น ไม่ต้องถามเป้าหมาย คงเป็นองค์ราชินีหุ่นเชิดเช่นนางเป็นธรรมดา 


 


 


ในใจคงไร้ซึ่งเจตนาดีแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามนั้นของนางถูกก้อนหินอึหมาเขวี้ยงใส่สองครั้ง กงอิ้นเป็นคนลงมือแน่นอน ก๋วยเตี๋ยวต้มยำนั่นผิดปกติ! 


 


 


พูดอีกแบบหนึ่งคือสตรีนี้ไม่ใช่เพิ่งกลั่นแกล้งนางร้อยแปดพันเก้าในวันนี้ แต่มีความคิดจะสังหารนางตั้งนานแล้ว สตรีนี้คือศัตรูแท้จริงที่ไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อนางได้ 


 


 


แล้วยังจะเกรงใจอะไรอีก 


 


 


ซังต้งถูกทำให้โกรธจนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดข้างกายนางจึงไม่มีใคร จิ่งเหิงปัวเอามือไพล่หลังทำท่าทางแหงนมองฟ้าใคร่ครวญ 


 


 


ทุกคนต่างเงียบขรึมมองท้องฟ้าตามนาง…ฝ่าบาททรงกำลังเชิญโองการเทพให้จุติใช่หรือไม่ 


 


 


ฉวยโอกาสตอนทุกคนกำลังมองท้องฟ้า การ์ดกล้องถ่ายรูปที่จิ่งเหิงปัวกุมไว้ในฝ่ามือข้างขวาจ่อเล็งหลังกาย ขยับตัวเปิดปิดหน้ากล้องอย่างรวดเร็ว 


 


 


“แชะ” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาไร้คนได้ยิน จิ่งเหิงปัววางมือลง นิ้วมือเวียนวนคว้าภาพถ่ายไว้ในฝ่ามือ มองแวบหนึ่งแล้วโล่งอกโล่งใจ 


 


 


ภาพถ่ายแม้ว่าเอนเอียงไปหน่อยแต่ยังคงถ่ายของสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน มันคือปะการังแดงสูงครึ่งตัวคนต้นหนึ่ง 


 


 


เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังกังวลนิดหน่อยว่าของที่วางเล็กเกินไป จ่อเล็งข้างหลังจ่อไม่ตรงสิ่งของถ่ายไม่ติด สุดท้ายตอนนี้จึงวางใจแล้ว ฝ่ามือขยี้ครั้งหนึ่งนำภาพถ่ายที่ขยี้จนเละแล้วสอดเข้าไปในแขนเสื้อ กระแอมไอเสียงหนึ่ง 


 


 


ทุกคนก้มศีรษะลงมา มองดูนางอย่างเฝ้ารอคอย 


 


 


จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงดังอย่างไม่ทำให้ผิดหวังว่า “ปะการังแดงสูงสามฉื่อต้นหนึ่ง!” 


 


 


บนลานกว้างเงียบสงบเป็นแผ่นผืน จากนั้น เสียงโห่ร้องฟาดเปรี้ยง 


 


 


“ฝ่าบาทยอดเยี่ยม!” อีชีแทบจะกระโดดไปถึงศีรษะของผู้ที่อยู่ข้างกาย ถูกเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมแรงร่วมใจกดลงไป ฝ่าเท้าฉวยโอกาสเหยียบย่ำจนหนำใจรอบหนึ่ง 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] เหมาเยี่ยเสาจื่อ ชื่อวิทยาศาสตร์ ViciavillosaRoth พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีม่วง นิยมใช้เป็นพืชคลุมดินและปุ๋ยพืชสด 


 


 


[2] มู่ซวี ชื่อวิทยาศาสตร์ Medicago Sativa Linn พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลือง เป็นพืชอาหารสัตว์ที่สำคัญ 


 


 


[3] เฉ่ามู่ซี ชื่อวิทยาศาสตร์ Melilotus officinalis (L.) Pall. พืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง ออกดอกสีเหลืองเป็นพุ่ม นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์ 


 


 


[4] เฮยไม่เฉ่า ชื่อวิทยาศาสตร์ Lolium perenne L. หญ้าชนิดหนึ่ง เติบโตเป็นกระจุก ใบสีเขียวเข้มเรียบมันวาว นิยมใช้เป็นอาหารสัตว์  

 

 


ตอนที่ 55 - 4 งามตะลึงพรึงเพริดต้าฮวง

 

 


 


 


ฝูงขุนนางต่างมีสีหน้าประหลาดใจ พวกเขารู้แน่ว่าจิ่งเหิงปัวไม่ได้หันหน้ามา ไม่ได้หันหน้ามาแล้วจะรู้ได้อย่างไร สิ่งของคือสิ่งที่มหาปราชญ์ฉวยโอกาสคว้ามา มหาปราชญ์คงไม่สมรู้ร่วมคิดกับราชินีเป็นแน่ สำหรับคุณธรรมของเจ้าผู้ชรานี้ทั้งราชสำนักล้วนเชื่อถือได้ 


 


 


ราชินีองค์ใหม่มีสิ่งมหัศจรรย์มากมายโดยแท้ เกือบจะเทียบเคียงปีศาจ! 


 


 


กงอิ้นดื่มชาอึกหนึ่งเชื่องช้า 


 


 


เมื่อครู่ในฝ่ามือนางคือสิ่งใด 


 


 


นางยังมีของดีที่ตนเองซุกซ่อนไว้อย่างเงียบเชียบมากเพียงใดกันแน่ 


 


 


… 


 


 


“เมื่อครู่ผู้คนส่วนมากต่างกำลังเงยหน้า” เฟยหลัวแบะปาก ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “หรือว่ามีผู้หันกายแอบมองอย่างรวดเร็วก็ไม่รู้สินะ” 


 


 


“มาสิ ปิดตาข้าไว้” จิ่งเหิงปัวกล่าวทันทีว่า “จากนั้นเจ้าเปลื้องผ้าร่ายระบำหลังกายข้า ข้ารับรองว่าสามารถเอ่ยออกมาได้ว่าบนร่างกายเจ้ามีตำหนิที่ใดมีรอยแตกลายที่ใดมีรอยทำแท้งที่ใด” 


 


 


เฟยหลัวขมวดคิ้วเรียวยาว เอ่ยว่า “รอยแตกลายอะไร…” จากนั้นจึงเข้าใจขึ้นมาเลือนราง ตะคอกว่า “เจ้ากล้าเหยียดหยามข้า!” 


 


 


“หากเจ้าไม่มีข้าจะขอโทษเจ้า” นักเลงหญิงจิ่งเหิงปัวมองดูนางอย่างยิ้มแย้มปรีดา กล่าวต่อไปว่า “ทว่าต้องพิสูจน์ต่อหน้าสาธารณชนนะ เป็นอย่างไร สักหน่อยหรือไม่” 


 


 


ใบหน้าของเฟยหลัวแดงซ่าน สะบัดแขนเสื้อจากไป…ปะทะคารมกับอันธพาล นับว่าโง่เขลายิ่งนัก 


 


 


“ไม่เชื่อหรือ” จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา กล่าวว่า “เช่นนั้นให้คนเป็นมาทดสอบ หันหลังทำท่าทางใส่ข้าอยู่ข้างหลัง ดูว่าข้ารู้หรือไม่” 


 


 


“กระหม่อมเอง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มยกมือขึ้นโดยพลัน เอ่ยว่า “องค์ราชินี กระหม่อมอยากทำท่าทางหนึ่งให้พระองค์มาเนิ่นนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“เพียะ” เสียงหนึ่ง กงอิ้นที่นั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อนวางถ้วยลงโดยพลัน ลุกขึ้นเชื่องช้า เอ่ยว่า “กระหม่อมเอง” 


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มนั่งลงไปอีกครั้ง ในสายตายังมีความหยอกล้อหลายส่วน 


 


 


สำหรับจิ่งเหิงปัวแล้วใครจะมาก็ไม่เป็นไร ยิ้มแย้มกวักมือให้กงอิ้น 


 


 


กงอิ้นถลกแขนเสื้อขึ้นเวทีมา เดินไปยังที่ซึ่งห่างจากข้างหลังนางหนึ่งจั้ง ยืนหันหลังให้นาง 


 


 


เขาหันหน้าหาด้านในของเวทีหลากสี เบื้องหน้าคือฉากหลังม่านผืนใหญ่สีแดงผืนหนึ่ง เขาคล้ายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยกมือขึ้นมาทอดลงบนม่านผืนใหญ่ 


 


 


นิ้วมือยกขึ้นลงไม่กี่ครั้ง ม่านผืนใหญ่ฉีกขาดโดยไร้เสียง 


 


 


จิ่งเหิงปัวหงายมือไว้ การ์ดกล้องถ่ายรูปในมือดังแชะเสียงหนึ่งปล่อยภาพถ่ายออกมา จิ่งเหิงปัวยกแขนเสื้อขึ้นมามองท้องฟ้ากล่าวว่า “ดวงอาทิตย์ใหญ่จัง…” อาศัยการบดบังของแขนเสื้อกว้างใหญ่ มองดูภาพถ่ายในฝ่ามือ 


 


 


บนภาพถ่ายกงอิ้นหันหลังให้นาง มือทอดลงบนม่านผืนใหญ่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองจนงงงวย เดิมทีนางนึกว่ากงอิ้นจะทำท่าทางที่ค่อนข้างจำแนกได้โดยง่ายจำพวกท่าตวัดดาบ ใครจะรู้ว่าตอนนี้เขาทำแบบนี้ ไม่มีท่วงท่าอะไรสักนิดชัดๆ เลย 


 


 


สายตาของนางทอดลงบนม่านผืนใหญ่นั้นกะทันหัน เดี๋ยวก่อนนะ บนม่านผืนใหญ่เหมือนจะมีรอยขาดเหรอ 


 


 


แนวขวาง โค้งๆ งอๆ ขึ้นๆ ลงๆ เป็นรอยรอยหนึ่ง 


 


 


พิธีเฉลิมฉลองแบบนี้คงจะไม่นำสิ่งของผุผังมาประดับตกแต่ง รอยขาดนี้คงเป็นเพราะเขาทำลงไปแน่นอน 


 


 


จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ นำภาพถ่ายสอดกลับเข้าไปในแขนเสื้อ กล่าวเสียงดังว่า “ราชครูฝ่ายขวากำลังฉีกผ้าม่าน!” 


 


 


ผู้คนเบื้องล่างยังคงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวด้านบนได้ชัดเจน ต่างร้อง “ว้าว” เสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่เลย! ใช่เลย!” 


 


 


เหล่าราษฎรดีอกดีใจคล้ายคลุ้มคลั่ง พุ่งกายขึ้นมาปานคลื่นธาร ตบไม้กระดานตรงขอบเวทีสูงพลางร้องเสียงดังว่า “ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! พระองค์คือเทพธิดาฟ้าประทานแห่งต้าฮวงเรา ในโลกหล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


สิ่งที่พี่ทำไม่เป็นเยอะแยะไป! พี่เพียงแค่โกหกคนอื่นเป็นแค่นั้นเอง! 


 


 


จิ่งเหิงปัวสบถประโยคหนึ่ง ยิ้มแย้มดุจมวลผกาจับมือกับผู้ชมหน้าเวทีพลางกล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยน่ะ เรื่องเล็กน้อยเอง ขอบคุณที่สนับสนุน รักพวกเจ้านะ!” 


 


 


… 


 


 


“ฝ่าบาทกระหม่อมรักพระองค์! ไฮๆ ฮัลโหลกระหม่อมรักพระองค์!” อีชีกับเหล่าพี่น้องสายฮาของเขาร้องเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงจากที่ห่างไกล 


 


 


จิ่งเหิงปัวโบกมือให้ทางนั้นอยู่ห่างไกล กงอิ้นที่ลงจากเวทีแล้วหันข้างมองดูทิศทางนั้นอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง 


 


 


นับว่าพวกเขาอ่านสถานการณ์ออก มิกล้าประชิดใกล้ 


 


 


มิฉะนั้นนึกว่าตี้เกอมิกล้าแตะต้องเจ็ดสังหารเชียวหรือ 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังเสียงร้องดังโหวกเหวกโวยวายทางนั้น กำลังยุ่งอยู่กับการจับมือยิ้มแย้มรับช่อดอกไม้เสพสุขการปฏิบัติแบบซูเปอร์สตาร์ หยุดชะงักทันที 


 


 


อะไร… 


 


 


ปัว… 


 


 


เส้นโค้งงอนั้นที่กงอิ้นวาดเมื่อครู่… 


 


 


ปัวลั่ง ปัว 


 


 


จิตใจนางว้าวุ่นขึ้นมาทันที หลงลืมว่าตนเองกำลังทำอะไร นั่งยองตรงขอบเวทีแล้วเริ่มตะลึงงัน ถูกพวกบ้ากามตั้งหลายคนแอบจับมือยังไม่รับรู้ 


 


 


จนกระทั่งใบหูเจ็บปวดขึ้นมา นางฟื้นคืนสติยื่นมือลูบคลำ บนพื้นมีกลีบเลี้ยงดอกไม้ร่วงลงมา พอมองดูอีกครั้ง มหาเทพกำลังมองนางอย่างเฉื่อยเนือยแน่ะ ในมือถือดอกไม้ที่ไม่มีกลีบเลี้ยงดอกหนึ่งอย่างไม่ปิดบัง 


 


 


ความคิดกว้างไกลและงดงามเมื่อครู่ของจิ่งเหิงปัว ถูกมหาเทพผู้ชอบทำลายบรรยากาศเป็นที่สุดดับสูญดังสวบ 


 


 


คิดมากเกินไปแล้ว! 


 


 


ปัวไม่ปัวอะไรเล่า! 


 


 


เขาแค่ทำท่าทางตามใจชอบบนเวทีแค่นั้นเอง จะเกี่ยวข้องกับนางได้อย่างไร ในสมองของเขานอกจากก้อนหินแล้วก็คือต้าฮวง มีพื้นที่มากมายขนาดนั้นให้จิ่งเหิงปัวคนนี้เหรอ 


 


 


นึกว่านี่คือนิยายโรแมนติกน้ำเน่าเหรอ 


 


 


ฮึ! 


 


 


ท่ามกลางเหล่าราษฎรผู้ตกอยู่ในความตื่นเต้น ผู้คนเบียดเสียดหนาแน่นพิงอยู่หน้าเวที ยื่นมือไปยืดยาวด้วยปรารถนาจะได้สัมผัสปลายนิ้วราชินีผู้ทรงอัศจรรย์สักเพียงน้อย 


 


 


ทว่าราชินีถูกราชองครักษ์สองนายลากกลับไปอย่างรวดเร็ว ราชองครักษ์เชิญราชินีประทับยืนด้านหลังอย่างมีมารยาท หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ราษฎรเบียดเสียดมาเบื้องหน้าเหยียบย่ำกันจนถึงชีวิต 


 


 


ชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าจิ่งเหิงปัวโศกเศร้ามากด้วยไม่อาจเสพสุขการปฏิบัติแบบซูเปอร์สตาร์ต่อไป แต่ยังคงร่นถอยกลับไปกลางเวทีอย่างว่านอนสอนง่าย สบสายตาทั้งโศกเศร้าทั้งเฝ้ารอคอยของทุกคน อาการชอบโอ้อวดของนางกำเริบอีกครั้งแล้ว ตัดสินใจว่าแสดง “ความสามารถพิเศษ” เพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างย่อมได้ หากจะสั่นสะเทือนก็ต้องสั่นสะเทือนรุนแรงให้ราษฎรต้าฮวงได้ตราตรึงอยู่ในความทรงจำแบบลึกซึ้งที่สุดไปเลย จะได้กรุยทางพื้นฐานมวลชนของตนเองให้ดี 


 


 


“ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ลืมเอ่ยไป ข้ายังวาดภาพได้ด้วย” นางยิ้มแย้มอย่างเชื่องช้า 


 


 


ความตื่นเต้นของทุกคนลดลงเล็กน้อย การวาดภาพได้ไม่นับว่าเป็นความสามารถพิเศษอะไร สำหรับสตรีในตระกูลใหญ่นี่คือความสามารถพิเศษที่จำเป็นต้องตระเตรียม ต่อให้ฉวยโอกาสลากคนธรรมดาผู้หนึ่งริมทางมาอาจจะยังสามารถวาดได้สักเล็กน้อย 


 


 


“ภาพวาดของข้า” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ กล่าวว่า “แตกต่างจากที่พวกเจ้าจินตนาการ ภาพวาดของข้าเรียกว่า…” นางหรี่ตาขึ้นมาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวว่า “เรียกว่าภาพจารึกประวัติศาสตร์นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้เหมือนกันเป๊ะไร้ซึ่งความผิดพลาดซูเปอร์สปีดขนาดมินิ!” 


 


 


อะไรนะ 


 


 


บนใบหน้าของทุกผู้คนผุดเผยสีหน้างงงวย 


 


 


“วาจาแรกไม่ต้องอธิบายแล้ว นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้น่ะ ส่วนวาจาหลัง” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีอธิบายว่า “เหมือนกันเป๊ะพวกเจ้าคงเข้าใจกระมัง คือว่าคล้ายกันโดยสิ้นเชิงน่ะ ซูเปอร์สปีดคือเอ่ยว่าเร็ว เร็วกว่าพวกเจ้าวาดภาพมาก ขนาดมินิคือเอ่ยว่าเล็ก อืม ขนาดประมาณฝ่ามือ” นางชูฝ่ามือให้เห็น 


 


 


เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสายฮาที่อยู่ห่างไกลตะโกนโดยพลันว่า “ฝ่าบาทพระหัตถ์ของพระองค์ขาวจังเลย!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวแย้มยิ้มดุจมวลผกา เอ่ยว่า “ขอบใจ!” 


 


 


สองมหาราชครูผู้หนึ่งส่งสายตาวูบไหวมองไปทางนั้น ผู้หนึ่งใช้นิ้วมือกดฝาถ้วยไว้ ไตร่ตรองว่าจะใช้สอยกองทัพสังหารพวกมันหรือไม่ 


 


 


“ขอชมภาพวาดฝีพระหัตถ์เทพของฝ่าบาท!” เหล่าราษฎรสับสนอลหม่านขึ้นมาอีกครั้ง ฝูงขุนนางกลับมิเอ่ยวาจาแล้ว ยามราชินีองค์ใหม่องค์นี้แสดงความสามารถระลอกแล้วระลอกเล่า ฝ่ามือสะบัดลงมาดังกังวานครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นกัน ยามนี้ผู้ใดต่างไม่กล้าใช้น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความยั่วยุตามใจชอบ 


 


 


“จัดเตรียมของสักสิ่งให้ข้าวาดเถิด” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มให้ฝูงขุนนาง 


 


 


ไม่มีผู้เอ่ยวาจา ยามนี้ทุกคนประจักษ์แล้วว่าในเมื่อราชินีกล้าเอ่ยย่อมกระทำได้เป็นแน่ ผู้ใดต่างไม่ยินยอมไปยกเกี้ยวนี้ให้นาง 


 


 


กงอิ้นมองมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนางปราดหนึ่ง วางถ้วยลงไตร่ตรองสักพัก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทว่าประคองถ้วยขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


เมื่อครู่เขาออกหน้าไปเสียแล้ว ยามนี้ไม่เหมาะสมหากต้องแสดงตนมากเกินไป อย่างไรเสียมวลชนจ้องมอง ยังมีผู้มีเจตนาแอบแฝงค่อนข้างมาก 


 


 


นิ้วมือของเหยียลี่ว์ฉีเคาะบนผิวโต๊ะ สายตาระยิบระยับกำลังจะปริปาก มหาปราชญ์พลันยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำขอที่ไร้เหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เชิญเอ่ย” จิ่งเหิงปัวรักษาความเคารพพื้นฐานต่อคนที่มีคุณธรรมมีความรู้ไว้ได้ตลอดมา 


 


 


“กระหม่อมหวังมาโดยตลอดว่าจะมีภาพเหมือนสักภาพหนึ่ง” มหาปราชญ์ฉังฟังหรี่ดวงเนตรชรายิ้มแย้มเอ่ยว่า “แลเคยเชิญจิตรกรเอกในตี้เกอมาวาดภาพกระหม่อม แม้ว่าวาดออกมาได้ดียิ่งนัก ทว่าเหล่าจิตรกรเอกคงจะด้วยเพราะเคารพรักใคร่กระหม่อมเหลือเกิน มักจะวาดกระหม่อมจนอ่อนวัยไปไม่น้อย แลดูผิวชุ่มชื้นเรียบเนียน แม้ว่ามองดูแล้วถูกใจนัก ในความเคลิบเคลิ้มนั้นแลคล้ายไม่รู้สึกว่ากาลเวลาผันผ่านวัยเฒ่าชราไปมากเพียงใด ทว่าชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หากตนเองที่แท้จริงยังมองไม่เห็น จักเอ่ยถึงเรื่องมองผู้อื่นให้ชัดเจนได้อย่างไร ฉะนั้น กระหม่อมอยากมองผิวเ**่ยวย่นผมขาวโพลนของตนเองให้ชัดเจนยิ่งนัก ขอฝ่าบาททรงประทานให้สมปรารถนาพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยสิ้นแล้วโค้งกายเล็กน้อย 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังอย่างคล้ายเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ เข้าใจส่วนใหญ่ว่าเจ้าผู้ชราต้องการจะมองความแก่เฒ่าของตนเองให้ชัดเจน ในใจยังมีเคารพเลื่อมใสหลายส่วน…นึกถึงยุคนั้นของเราในตอนนั้นไม่ยอมแก่ลงสุดชีวิตเลยล่ะ ทุ่มเททั้งหมดที่มีไปศัลกรรม พอล้างหน้าแก่เหมือนแม่เรา พอมีลูกไม่เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่แต่เหมือนคางคกน่ะ! 


 


 


ใครนั่นไม่ใช่เคยกล่าวไว้เหรอ กล้าที่จะเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก ตอนนี้คนที่กล้าที่จะเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบากนับเป็นชายชาตรีทั้งนั้น! 


 


 


ไม่ต้องกล่าวแล้ว สนับสนุน! 


 


 


“ท่านวางใจ!” นางยิ้มจนตาหยีเช่นกัน กล่าวว่า “ต้องวาดภาพท่านที่สมบูรณ์พูนพร้อมไม่ขาดแม้แต่เส้นเดียวภาพหนึ่งเป็นแน่ ทว่ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง ท่านกับข้าวาดภาพในห้องลับ ระหว่างการวาดภาพนั้น ท่านสาบานว่าจะไม่บอกกล่าวผู้ใดก็ตาม” 


 


 


“แน่นอน” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชำเลืองตามองตาเฒ่า ใจคิดว่าโพลารอยด์ชิ้นเดียวของพี่ก็สามารถท่องไปทั่วต้าฮวงของเจ้าได้แล้ว แต่อีกเดี๋ยวจะใช้วิธีอะไรที่ทั้งไม่ให้เจ้าผู้ชรามองเห็นกล้องถ่ายรูป ทั้งสามารถถ่ายภาพออกมาได้อย่างชัดเจนจนกำราบตาเฒ่าตำแหน่งสูงส่งคนนี้ได้นะ 


 


 


แล้วจากนั้นจะใช้วิธีอะไรที่ทำให้เหล่าเจ้าขุนมูลนายที่ใจดำซับซ้อน คิดถึงเพียงแต่ประโยชน์ส่วนตนฝูงหนึ่งนี้ตื่นตะลึงได้นะ  

 

 


ตอนที่ 56 - 1 ราชินีเฮงซวย

 

 


 


ราชองครักษ์บนเวทีกางผ้าม่านผืนหนึ่งตรงนั้นภายใต้การจัดการของจิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวกับฉังฟังเข้าไปหลังผ้าม่าน ส่วนทุกคนที่รอคอยอยู่เบื้องล่างต่างรู้ว่าการวาดภาพเสียเวลาเป็นที่สุด จึงมีผู้เดินออกไปซื้ออาหาร มีผู้นั่งลงดื่มน้ำ มีผู้เริ่มเปิดวางเดิมพันว่าราชินีจะใช้เวลานานเพียงใดในการวาดภาพหนึ่งภาพ


 


 


“จ่ายแล้วยกมือนะจ่ายแล้วยกมือ!” อีชีคือเจ้ามือที่กระโดดขึ้นกระโดดลงอย่างคึกคักที่สุดในนั้น


 


 


“ข้าพนันหนึ่งชั่วยาม!”


 


 


“ข้าพนันครึ่งชั่วยาม!”


 


 


“ข้าพนัน…” อีชีกำลังตระเตรียมจะลงครึ่งชั่วยามเช่นกัน หันหน้าโดยพลัน


 


 


ผู้ที่กินอาหารแหงนหน้าขึ้น หลงลืมเคี้ยวอาหารที่อยู่เต็มปาก ส่วนผู้ดื่มน้ำก้มหน้าอย่างรุนแรง เกือบจะสำลักน้ำสิ้นชีพ


 


 


ผ้าม่านเบื้องบนสะบัดออกโดยพลัน


 


 


ฉังฟังเดินโซซัดโซเซพุ่งออกมา สองมือสั่นเทิ้ม พุ่งออกมาไม่กี่ก้าวแล้วเงยหน้าขึ้นมา ริมฝีปากสั่นสะท้านคล้ายตื่นเต้นจนยากจะควบคุมตนเอง


 


 


ทุกคนตื่นตะลึงจนยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียง ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องชั่วร้ายใดขึ้นมาอีก มีผู้เอ่ยพึมพำว่า “วาดได้อัปลักษณ์เหลือเกินจนทำให้มหาปราชญ์ตกตะลึงเสียแล้วหรือ”


 


 


มีเพียงนัยน์ตาของอีชีที่กลอกไปมา ดวงตากะพริบวูบ ใช้มือตบลงครั้งหนึ่งโดยพลันพลางเอ่ยว่า “ข้าพนันชั่วพริบตา! ยามนี้วาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว!”


 


 


“เหลวไหล!” ทุกคนพ่นลมออกจมูก


 


 


หากวาดรวดเร็วเพียงหนึ่งเค่ออาจจะเป็นไปได้ ทว่าหากเอ่ยว่ายามนี้วาดเสร็จแล้วจะเป็นไปได้อย่างไร กระดาษวาดภาพยังไม่ทันได้กางออกมาเลยด้วยซ้ำ


 


 


สายตาของเซวียนหยวนจิ้งผุดเผยรอยยิ้มสายหนึ่ง สืบเท้าก้าวไปประคองฉังฟัง เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสฉัง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าวาดได้ชุ่ยเกินไป ผู้อาวุโสฉังมีรูปโฉมสูงวัยสูงส่ง จะถูกพู่กันธรรมดาบนโลกมนุษย์แต่งแต้มมั่วซั่วได้อย่างไร พวกเราจะต้อง…”


 


 


วาจาน้ำไหลไฟดับของเขาถูกเสียงร้องปลื้มปีติยิ่งนักเสียงหนึ่งของฉังฟังขัดจังหวะ


 


 


“สวรรค์มีตา!” ฉังฟังกางมือทั้งสองข้างออก เงยหน้าร้องเสียงดังว่า “ในที่สุดได้จุติเทพธิดา พระราชทานแก่ต้าฮวงเรา!”


 


 


มือที่ยื่นออกไปของเซวียนหยวนจิ้งหยุดค้างกลางอากาศ กล้ามเนื้อบนใบหน้าชักเกร็งเป็นระลอก


 


 


คนกลุ่มหนึ่งเบื้องล่างเขวี้ยงอาหารขว้างน้ำดื่ม ผู้ที่อยากนอนลงรีบเร่งพลิกกายลุกขึ้นมา


 


 


อีชีเป็นผู้หนึ่งซึ่งรู้สึกตัวรวดเร็วที่สุดจริงแท้ นัยน์ตากลอกเพียงครั้งเก็บเงินวางเดิมพันด้วยท่าทางยินดีแทบบ้าคลั่ง ร้องว่า “ข้าชนะแล้ว! จ่ายเงินจ่ายเงิน!”


 


 


“มหาปราชญ์…” เสียงของเซวียนหยวนจิ้งแหบแห้งเล็กน้อย


 


 


ร่างกายจิตใจของตาเฒ่าฉังดั่งมีกำลังวังชามากมายขึ้นมาโดยพลัน เดินหลบหลีกเขาอย่างว่องไว เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผู้ชราสามารถพิสูจน์ได้ ฝ่าบาททรงวาดภาพเสร็จแล้ว อีกทั้งดั่งวาจาที่พระนางตรัสไว้ว่ารวดเร็ว! เสมือนจริง! ไม่ขาดหายแม้เพียงเส้นเดียว!”


 


 


ทุกคนฮือฮา ต่างรู้ว่าฉังฟังเป็นผู้ซื่อตรงราวแผ่นไม้จนแทบจะเคร่งขรึมเข้มงวด อุปนิสัยชอบหาเรื่องติถึงขนาดควานกระดูกออกมาจากไข่ไก่ได้ วาจาเช่นนี้เอ่ยออกมาจากปากเขา อำนาจบารมีดุจดังผ้าเช็ดหน้าพิสูจน์พรหมจรรย์ในคืนเข้าหอผืนนั้น


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” มีผู้เอ่ยว่า “ขอจงเผยให้เหล่าข้าได้เชยชมด้วยความเคารพศรัทธา”


 


 


“ไม่ต้อง” เจ้าผู้ชราขยับสาบเสื้อให้แน่น เอ่ยว่า “ภาพยอดเยี่ยมนี้มีร่องรอยแห่งเซียน ราชินีได้ตรัสว่าหากผู้คนมากมายเชยชมจะไปกำจัดจิตวิญญาณของมัน ผู้ชรารับปากราชินีว่าจะไม่ให้ผู้คนมากมายเกินไปได้เห็น”


 


 


“คงต้องให้พิสูจน์สักหน่อยกระมัง” เซวียนหยวนจิ้งมองเขาด้วยหางตา เอ่ยว่า “มหาปราชญ์ไม่ให้ดู หรือว่ามีสิ่งอื่นสิ่งใดซ่อนอยู่”


 


 


“ผู้ชราเห็นพวกเจ้าต่อต้านราชินีทุกแห่งหน เช่นนี้ถึงเรียกว่ามีมารร้ายในใจ!” ฉังฟังไม่ไว้หน้าเขาสักเพียงน้อย สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งจนใบหน้าชราของเซวียนหยวนจิ้งเขียวคล้ำ


 


 


ผ้าม่านสะบัดเพียงครั้ง จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มออกมา ก้าวฝีเท้าเปี่ยมเสน่ห์ล้นเหลือเช่นแมว กล่าวว่า “ภาพวาดของข้านี้น่ะมีสิ่งมหัศจรรย์จริงแท้ ไม่เพียงแต่คนมองมากแล้วจะสูญเสียจิตวิญญาณ อีกทั้ง…” นางยิ้มแย้มชำเลืองมองเซวียนหยวนจิ้ง ซังต้ง เฟยหลัวกลุ่มหนึ่งนั้น กล่าวว่า “ผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ต่อให้วาดเสร็จแล้วย่อมจะเลือนรางอย่างรวดเร็วยิ่งนัก”


 


 


“เอ่ยวาจาเหลวไหลอะไร!” เซวียนหยวนจิ้งแค่นเสียงเย็นชา


 


 


“มหาปราชญ์ เช่นนั้นให้ขุนนางร่วมสำนักที่ท่านคิดว่ามีคุณสมบัติน่าเชื่อถือได้เห็นสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม


 


 


ฉังฟังสอดภาพไว้ในแขนเสื้อเฉกเช่นของล้ำค่า เดินไปยังข้างกายขุนนางกองพิธีการกลุ่มนั้น ล้วงภาพถ่ายใบหนึ่งออกมา…อย่างระมัดระวัง


 


 


แน่นอนว่าเขาคิดว่านั่นคือภาพวาด


 


 


เมื่อครู่ในผ้าม่าน ราชินีให้เขาเบนหน้าเพียงน้อยจับจ้องมองที่ห่างไกล ตนเองเดินไปยังด้านข้างของเขา ให้เขาได้ยินเสียงใดไม่ต้องตื่นเต้น แลไม่ต้องแบ่งความสนใจเบนสายตาไป นั่นคือช่วงเวลาที่เทพประทานความฉลาดหลักแหลม ไม่อาจเคลื่อนไหวรบกวน


 


 


เขากระทำตามทุกสิ่ง หันกายนั่งตัวตรงตั้งใจจับจ้องเมฆขาวกลุ่มหนึ่งริมขอบฟ้า กำลังกังวลว่ากระดูกผู้ชราปูนนี้นั่งท่วงท่านี้นานไปจะเกิดปัญหาหรือไม่ พลันได้ยินเสียงแชะเสียงหนึ่ง หลังจากนั้นราชินีจึงตรัสว่าเรียบร้อยแล้ว


 


 


เฒ่าฉังฟังตื่นตะลึงพรึงเพริ้ด


 


 


จากนั้นยามเขามองเห็น “ภาพจารึกประวัติศาสตร์นับแต่โบราณกาลจนบัดนี้ไร้ผู้สามารถทำได้เหมือนกันเป๊ะไร้ซึ่งความผิดพลาดซูเปอร์สปีดขนาดมินิ” นั้น พลันตื่นตกใจมากยิ่งขึ้น


 


 


ยามนี้เขาล้วงสิ่งของออกมาอย่างยินดีปรีดา ตระเตรียมทำให้ผู้อื่นตื่นตกใจ


 


 


หลายคนนั้นตื่นตัวขึ้นมาดังคาดการณ์ ใบหน้าเปี่ยมด้วยความโกรธแค้นถลึงตาใส่ราชินี เหล่าขุนนางกองพิธีการที่ในใจด่านางว่าหลอกลวงโลกหล้า ขัดขืนฝืนใจยื่นหน้าออกมา ดวงตาเบิกกว้างแล้วโดยพลัน


 


 


นี่ๆ นี่ๆ…นี่คือภาพหรือ


 


 


บนโลกนี้มีภาพวาดเช่นนี้หรือ


 


 


บน “ภาพในภาพวาด” ฉังฟังหันกายนั่งตัวตรงมองไปไกลขอบฟ้า แสงเงาเหลืองอ่อนยามบ่ายประทับบนคิ้วสีดอกเลาของเขาจนดูลายพร้อยแลทั้งลึกซึ้ง สายตาลึกล้ำเงียบสงัด บรรยายการแปรเปลี่ยนโดยไร้วาจากับการสั่งสมพ้นผ่านกาลเวลา


 


 


สิ่งที่ทำให้คนยิ่งอุทานอย่างตื่นตะลึงคือรูปร่างหน้าตา สีผิว กระทั่งริ้วรอยทุกเส้นบนใบหน้านั้นต่างชัดเจนจนคล้ายดั่งฉังฟังนั่งอยู่ตรงเบื้องหน้า แม้แต่ไฝเม็ดเล็กเม็ดน้อยเม็ดหนึ่งใต้ลำคอยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


 


“ภาพในภาพวาด” เผยให้เห็นอายุและลักษณะหน้าตาที่เป็นของฉังฟังทั้งสิ้น ทว่าแสงเงาที่สมบูรณ์แบบนั้นได้บดบังความชรานั้นไว้ ทำให้คนไม่รู้สึกว่าผู้ชราในภาพอ่อนแอแก่หง่อมอย่างไร รู้สึกเพียงว่าความฉลาดเฉียบแหลมลึกล้ำซึ่งเป็นของผู้อาวุโสกับผู้มีปัญญา รวมถึงบุคลิกสงบเยือกเย็นได้ผุดเผยออกมาจากใบหน้า


 


 


อัสดงงดงามไร้สุดสิ้น ไม่ยอมยินหวาดหวั่นสายัณห์เลือน


 


 


ต่างเป็นผู้มีสายตาแหลมคม การลงเส้นอย่างสมบูรณ์แบบและแสงเงาของ “ภาพ” นี้ก่อให้เกิดเสียงชื่นชมเซ็งแซ่ของทุกผู้คนโดยพลัน สิ่งน่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวก็คือภาพเล็กไปหน่อย


 


 


ทุกผู้คนล้วนมองออกว่าเฒ่าฉังฟังชื่นชอบ “ภาพ” นี้จนถึงกระดูก เพิ่งยื่นภาพออกไปเพียงชั่วครู่ เขาก็เริ่มเร่งเร้า เอ่ยว่า “ทุกท่าน เบามือหน่อย! ระวังหน่อย! อ๊ะ! อย่าหายใจแรง! อย่าได้อุทานอย่างตื่นตะลึง! ดูเสร็จหรือยัง ผู้ชราจะเก็บแล้วนะ!”


 


 


ทุกคนอดจะสะอึกสะอื้นไม่ได้ แม้แต่เสนาพิธีการที่จู้จี้ที่สุด ยามคืนภาพกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ยังอดจะไม่ได้ที่จะถอนใจเอ่ยว่า “จิตรกรที่โดดเด่นที่สุดในตี้เกอยังมิอาจวาดได้ถึงขนาดนี้! ลายเส้นแห่งเทพสวรรค์โดยแท้ พลังมนุษย์มิอาจกระทำได้!”


 


 


ฉังฟังผู้เอาจริงเอาจังยามนี้ยิ้มแย้มเบิกบาน รับคืนมาอย่างเร่งรีบด้วยกลัวว่านิ้วมือของผู้คนจะทำให้สิ่งล้ำค่าของเขาสกปรก พอเห็นท่าทางที่เขาเปิดผ้าลายปักสามชั้นออกอย่างระมัดระวัง ห่อ “ภาพ” นี้อย่างดีทีละชั้นละชั้น ของสิ่งนี้คงจะเป็นของล้ำค่าที่สืบทอดต่อไปของตระกูลฉังแล้วนับแต่นี้


 


 


เหล่าฝูงขุนนางมองดูด้วยเสียงชื่นชมเซ็งแซ่ อิจฉาตาร้อน ต่างรู้สึกว่า “ภาพ” เช่นนี้หาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์ หากตนเองได้มีสักภาพคงจะดี จะได้เป็นสิ่งให้ลูกหลานรุ่นหลังระลึกถึงตน สิ่งของเช่นนี้สามารถสืบทอดต่อไปได้หลายชั่วคน มิอาจสูญสิ้นตลอดกาลอย่างแท้จริง


 


 


มนุษย์มักมีความหวาดกลัวยากจะเอ่ยต่อเรื่องหลังความตายแล้ว สิ่งที่หวาดกลัวบางครามิใช่ความตาย ทว่าคือการสูญสลายหายไปจนสิ้นของมนุษย์เช่นตนเองนี้ ร่องรอยที่เคยมาโลกมนุษย์ถูกกำจัดไปจนสิ้นนับแต่นั้น สำหรับทุกคนแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ยากจะอดกลั้นยิ่งนัก โลกในภายหลังถึงมีการบันทึกภาพทุกชนิด ปลอบโยนจิตใจหวาดกลัวต่อการสูญสิ้นหลังความตายของผู้คน ฉะนั้นยามนี้ “ภาพเหมือน” ชัดเจนอย่างยิ่งเช่นนี้ มีแรงดึงดูดใจทุกคนมากมายกว่าของหรูหราทั่วไปนัก


 


 


จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของทุกคนแล้วหัวเราะเริงร่า คำนวณว่าอนาคตอันใกล้คงจะมีเงินทองก้อนใหญ่ไหลมาเทมาแล้ว


 


 


แต่ว่าตอนนี้ วิธีใช้กล้องโพลารอยด์ตัวนี้ยังเผยออกมาไม่หมดเลยนะ


 


 


นางมองเฟยหลัวแวบหนึ่ง ตอนนี้เฟยหลัวกำลังหันหน้าคุยกับคนข้างกาย จากนั้นขยับเดินไปอีกหลายก้าว หันข้างให้จิ่งเหิงปัว


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบฉวยโอกาสปล่อยแขนเสื้อลง หันข้างทำท่าเช็ดเหงื่อ กล่าวว่า “ร้อนจัง…” พลางรีบเร่งกดแชะถ่ายรูปใบหนึ่ง


 


 


เฟยหลัวคล้ายรู้สึกได้จึงหันหน้ากลับมาโดยพลัน จิ่งเหิงปัวปล่อยแขนเสื้อลงแล้ว รอคอยสักครู่ให้ภาพถ่ายออกมา นางอาศัยจังหวะยกแขนเสื้อขึ้นลอบมองดูครั้งหนึ่ง ยิ้มออกมา


 


 


ตอนนี้เบื้องล่างเวทีมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกำลังสอบถามนางว่า “มิรู้ว่าฝ่าบาทจะทรงยินยอมแสดงลายเส้นมหัศจรรย์แก่ฝ่ายกระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ…”


 


 


“ใต้เท้าท่านนี้” จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “นี่มันเรื่องเล็กน้อย ทว่าข้าอยากเตือนเจ้าวาจาหนึ่ง การวาดภาพต่อหน้าสาธารณชนต้องระมัดระวังนะ ภาพวาดของข้าน่ะคือศาสตร์เทพประทานเชียวนะ มิใช่สิ่งที่ตัวข้าเองสามารถควบคุมได้ ศาสตร์เทพประทานย่อมนำพาความสามารถในการจำแนกคุณธรรมมาด้วย คุณธรรมยิ่งสูงส่งยิ่งชัดเจน ภาพเหมือนของมหาปราชญ์แจ่มชัดเสมือนจริง ทั้งนี้ด้วยเพราะผู้สูงอายุเช่นเขามีคุณธรรมสูงส่ง แลด้วยเพราะการอบรมบ่มเพาะจิตใจของตัวผู้สูงอายุเช่นเขาเอง หากคุณธรรมของผู้ใดไม่ผ่านด่าน วาดออกมาลางเรือนพร่ามัว พอถึงยามนั้นคงไม่อาจโทษข้าได้”


 


 


ขุนนางนั้นร้อง “เหอะ” เสียงหนึ่ง ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก เฟยหลัวกลับหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “วาจาเหลวไหลทั้งเพ! ลายเส้นนี้ขึ้นอยู่กับฝีพระหัตถ์ขององค์ฝ่าบาท ทรงอยากวาดให้ชัดเจนย่อมทรงวาดชัดเจน ทรงอยากวาดให้เลือนราง เบื้องล่างพระหัตถ์จงใจสั่นไหวเพียงน้อยย่อมเละเทะแล้ว ตรัสศาสตร์เทพประทานใดไร้สาระ! ราชินีต้าฮวงของเราทรงเสแสร้งแกล้งกระทำคิดจะปิดบังทุกคนเช่นนี้ตั้งแต่ยามใด! ทรงนึกว่าทั่วทั้งราชสำนักแห่งนี้ไร้ซึ่งผู้มีสายตาเฉียบแหลมแล้วจริงหรือเพคะ”


 


 


ขุนนางใหญ่ส่วนหนึ่งมีสีหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าวาจานี้ของราชินีจะเอ่ยได้ตามใจชอบเกินไปเสียแล้ว ความสามารถนี้มิอาจยอมรับได้โดยง่าย มิเช่นนั้นภายหลังนางเห็นผู้ใดขัดหูขัดตา จงใจวาดผู้นั้นให้เละเทะ คนผู้นั้นย่อมแบกรับชื่อเสียง “คนต่ำทราม” อย่างไม่เป็นธรรมไปชั่วชีวิตหรือ จะยอมให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!


 


 


“เสนาหญิงจะเอ่ยเช่นนี้มิได้” หนวดเคราของฉังฟังสั่นเทิ้มโดยพลัน เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ไม่เคยลองจะรู้ได้อย่างไรว่าเหลวไหล อีกทั้งเมื่อครู่ฝ่าบาทวาดภาพให้กระหม่อม มิใช่สิ่งที่วาดได้บนโลกมนุษย์โดยแท้ เจ้าเอ่ยว่าสิ่งนี้มิใช่ศาสตร์เทพประทานได้หรือ”


 


 


“วาดได้ลึกซึ้งลี้ลับหน่อยเพียงนั้นเอง” เฟยหลัวไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “อีกทั้งต่อให้การวาดภาพของนางมีศาสตร์เทพประทาน จะเอ่ยว่าวาดได้เละเทะด้วยเพราะเทพประทานเช่นกัน ข้าคนแรกล่ะที่ไม่เชื่อ”


 


 


“เสนาหญิงเฟยหลัวคัดค้านดุเดือดเช่นนี้ทำอะไร” จิ่งเหิงปัวตอบกลับทันที กะพริบตา กล่าวว่า “เจ้าเปี่ยมคุณธรรมดีงามเช่นนั้น ถึงอย่างไรย่อมวาดได้ไม่เลือนรางแน่ หรือว่าในใจเจ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองไร้ซึ่งคุณธรรมอันดีงาม กลัวว่าจะถูกข้าวาดจนเลือนราง ฉะนั้นจึงคัดค้านอย่างดุเดือด”


 


 


“คุณลักษณะของข้ามิใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถวาดออกมาได้” เฟยหลัวหัวเราะอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “เจ้ายั่วยุไปก็ไร้ประโยชน์”


 


 


จิ่งเหิงปัวแบะปาก ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “คุณลักษณะของเจ้าวาดออกมามิได้โดยแท้ เจ้างดงามอัศจรรย์ ทำให้ผู้คนลุ่มหลง อย่างไรเสียความอัศจรรย์ของผู้ที่สมรสตั้งแต่อายุสิบสอง สมรสสามสามีสิ้นชีพสามสามีตายคนหนึ่งปีนก้าวหนึ่งตายอีกคนหนึ่งปีนอีกก้าวหนึ่งสามีที่ตายแล้วของผู้อื่นยิ่งอยู่ยิ่งดวงซวยสามีที่ตายแล้วของเจ้ายิ่งอยู่ยิ่งปวกเปียก คนธรรมดาคงวาดออกมามิได้จริงด้วย”


 


 


“จิ่งเหิงปัว!” เฟยหลัวลุกขึ้นฉับพลัน ยกมือสะบัดเพียงครั้ง ร้องว่า “ทหาร…”


 


 


พวกกงอิ้นเพิ่งจะลุกขึ้น


 


 


จิ่งเหิงปัวยกมือเช่นกัน มือยกสูงเสียยิ่งกว่าเฟยหลัว สะบัด “ภาพเหมือน” ใบหนึ่งลงบนพื้นดังเพียะเสียงหนึ่ง


 


 


“เจ้าคิดจะทำอะไร หา เจ้าคิดจะลอบปลงพระชนม์หรือ เจ้าคิดจะสังหารราชินีของพวกเขาต่อหน้าผู้คนนับหมื่นคนนี้หรือ หรือว่าคิดจะสังหารเจ้านายองค์ใหม่ที่พวกเขาคิดว่านำพาความหวังมาให้ต้าฮวงต่อหน้าเหล่าขุนนางที่หวังให้ราษฎรต้าฮวงอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขเป็นอย่างยิ่งพวกนี้หรือ” นางชี้ไปยังจมูกตนเอง กล่าวว่า “อยากหรือ อยากทำก็เข้ามาสิ มาเลย!”


 


 


ฝีก้าวที่ยกขึ้นมาของเฟยหลัวหยุดชะงัก ใบหน้าสีชมพูซีดแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว ความรู้สึกที่ถูกคนนับพันนับหมื่นจับจ้องย่ำแย่ยิ่งนัก ขาของนางค้างอยู่กลางอากาศ รู้สึกเพียงดั่งถูกน้ำหนักนับหมื่นจวิน[1]ทับบนขา ไม่กล้าไม่อาจยกขาขึ้นมา ไม่พร้อมไม่ยอมวางลงขาไป


 


 


ทว่าจิ่งเหิงปัวไม่คิดจะปล่อยนางไปสักนิดเดียว


 


 


 


 


 


[1] จวิน หน่วยวัดปริมาตรและปริมาณ 30 ชั่งเท่ากับ 1 จวิน หรือประมาณ 7.5 กิโลกรัม 

 

 


ตอนที่ 56 - 2 ราชินีเฮงซวย

 

ไม่สั่งสอนนางสักครั้ง วันหลังคงมีเฟยหลัวอีกมากมายโผล่ออกมาต่อต้านนางซึ่งหน้า นางไม่ได้มีเวลามาคอยกวาดล้างอย่างสบายใจทีละคน!


 


 


“ไม่ขึ้นมาก็อย่าได้ขึ้นมาอีก ที่แห่งนี้เดิมทีก็ไม่มีที่ให้เจ้ายืน” ปลายเท้าของจิ่งเหิงปัวตวัดเพียงครั้ง เตะภาพถ่ายนั้นให้ขุนนางกองพิธีการผู้หนึ่งเบื้องล่าง กล่าวว่า “ว่าจะไว้หน้าเจ้าสักหน่อย เจ้ากลับจะหาเรื่องให้ได้! คุณลักษณะของเจ้าข้าวาดออกมาไม่ได้หรือ มาสิ ทุกคนที่เดินผ่านไปผ่านมามองความงดงามอัศจรรย์แห่งท่านเสนาหญิงของพวกเราสักหน่อย!”


 


 


ขุนนางกองพิธีการฝูงหนึ่งยื่นหน้าไปมองดูภาพถ่าย สีหน้าต่างเปลี่ยนแปลงไป


 


 


เฟยหลัวเบิกตากว้างอย่างงงัน นางไม่รู้ว่าจิ่งเหิงปัววาดภาพเหมือนให้ตนเองแล้วตั้งแต่ยามใด


 


 


“ก่อนหน้านี้ที่ข้าวาดภาพเหมือนให้มหาปราชญ์ มองเห็นท่วงท่าหันข้างของเสนาหญิงงดงามยิ่งนัก เกิดความสนใจขึ้นมาโดยพลันจึงฉวยมือวาดให้เสนาหญิงภาพหนึ่งเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่าหลังจากวาดออกมาแล้วเลือนรางยิ่งนัก ข้าอยากไว้หน้าเสนาหญิงสักหน่อยถึงได้เก็บไว้ไม่เอ่ยขึ้นมา ไม่คิดว่าเสนาหญิงกลับขัดขวางข้าตลอดเวลา…” จิ่งเหิงปัวเหม่อมองท้องฟ้าอย่างเจ็บปวด กล่าวว่า “เฮ้อ ข้าน่ะเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงามผู้หนึ่งเช่นนี้แล…”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะออกมาดังพรวด กงอิ้นก้มหน้าดื่มชา น้ำชาสีเขียวใสสะท้อนรอยยิ้มเจือจางรอยหนึ่งตรงมุมปากเขา


 


 


สตรีเจ้าเล่ห์นางหนึ่งเช่นนี้


 


 


เรื่องอาศัยพลังภายนอกไม่แปลกประหลาด สิ่งที่แปลกประหลาดคือเป็นเพียงของสิ่งเดียวกันโดยแท้ นางยังสามารถจงใจเสแสร้งแกล้งทำก่อร่างสร้างลูกไม้หลากหลาย ตาทิพย์ใด เนตรข้างหลังใด ภาพเหมือนลึกซึ้งลี้ลับใด ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมใด…เปลี่ยนทิศทางเปลี่ยนวิธีการพอเอ่ยจากปากนางก็กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันใหม่ ความสามารถปราดเปรียวแคล่วคล่องเช่นนี้ แนวคิดยืดหยุ่นทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ นักการเมืองชั้นยอดเยี่ยมยังเทียบไม่ติด


 


 


การหลอกลวงผู้อื่นต้องการความสามารถเช่นกัน ขาดโอกาส จิตใจและการเล่นลิ้นไม่ได้แม้เพียงสิ่งเดียว วิธีที่นางจัดการราษฎรต้าฮวง จัดการฉังฟัง จัดการเหล่าขุนนาง จัดการศัตรูแตกต่างกันไป ถ่อมตนแล้วค่อยโอ้อวดต่อราษฎร กะเทาะฉังฟังทีละครั้ง เจ้าร้ายมาข้าร้ายยิ่งกว่าต่อซังต้ง บีบบังคับเฟยหลัวทีละก้าว จากนั้นฉวยโอกาสประจบสอพลอเหล่าขุนนางเพื่อลดเจตนาร้ายของทุกคน


 


 


ดวงใจวิจิตรนิ้วมือเรียวยาวปั่นป่วนความคิดคนนับหมื่น ทั่วทั้งปะรำพิธีทดสอบกลายเป็นเวทีของนางแต่เพียงผู้เดียว


 


 



 


 


“ภาพเหมือน” ถูกส่งต่อไปในมือเหล่าขุนนาง แต่ละคนมีสีหน้าแปลกประหลาดตื่นตกใจ เฟยหลัวมองดูสีหน้าทุกคน สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากความโกรธแค้นเป็นความประหลาดใจและความไม่สบายใจเช่นกัน


 


 


นางไม่อยากจะเชื่อว่าภาพเหมือนภาพหนึ่งจะทำให้ทุกคนผุดเผยสีหน้าเช่นนั้นได้อย่างไร ต่อให้วาดเละเทะแล้ว อาจจะด้วยเพราะราชินีจงใจวาดเละเทะย่อมเป็นไปได้


 


 


“ดูสิ” จิ่งเหิงปัวหัวเราะคิกๆ กล่าวว่า “ภาพเช่นนี้ หากจงใจวาดเละเทะจะวาดออกมาได้หรือ”


 


 


ทุกคนนิ่งเงียบ


 


 


บน “ภาพเหมือน” ท่อนล่างของเฟยหลัวชัดเจนยิ่งนัก ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์และรูปร่างท่าทางชัดเจนแจ่มแจ้งว่าเป็นนาง ทว่าตั้งแต่ลำคอขึ้นไป ใบหน้ารวมเป็นผืนเดียวแลดูแปลกประหลาดยวดยิ่ง หลงเหลือไว้เพียงเงาว่างเปล่าเจือด้วยสีสันผืนหนึ่ง ยังคงมองออกได้ว่าเป็นนาง ถึงขนาดมองเห็นเค้าโครงรูปหน้าได้ ทว่าเปลี่ยนไปจนโฉมหน้าไม่เหลือเค้าเดิม พอคนมองปราดเดียว แผ่นหลังพลันขนลุกขนชันขึ้นมา


 


 


ผู้คนส่วนมากวาดภาพได้ ต่างรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าวาดเละเทะวาดแย่แล้ว ส่วนใหญ่มักมีร่องรอยให้ติดตาม การลงน้ำหนักเบาหรือหนักเกินไป ลายเส้นเอนเอียง ยามลงสีถูกแขนเสื้อสะบัดผ่านล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เดิมทีนึกว่าสิ่งที่เรียกว่าวาดแย่แล้วจะเป็นแบบนี้ เช่นนั้นคงผ่านการกลั่นกรองมิได้แน่แท้ ทว่าพอดูภาพเหมือนในยามนี้ ความพร่าเลือนเช่นนั้นยากจะบรรยาย ด้วยเพราะอิ่มเอิบเต็มแน่นเป็นแผ่นผืน ไร้ร่องรอยให้สืบเสาะ ทำให้คนรู้สึกคล้ายว่าคนผู้นี้พลันพร่าเลือนในความเป็นจริงด้วยถูกแสงบดบังไว้ มิใช่ผลลัพธ์ที่มนุษย์วาดออกมาได้


 


 


ผู้คนจำนวนมากอยากคัดค้าน ทว่ายามเผชิญแสงเงาพิเศษเช่นนี้ ไร้หนทางเอ่ยวาจาคัดค้านออกมาโดยแท้ แลด้วยเพราะผลลัพธ์เช่นนี้จึงหลั่งเหงื่อเย็นเยียบทั่วร่าง กลัวว่าหากเสนอหน้าคัดค้านแล้วถูกตาต้องใจฝ่าบาท ได้ภาพงดงามอัศจรรย์จะทำอย่างไร ภาพนี้ของฝ่าบาทน่ะมิใช่เจ้าเอ่ยว่าไม่วาดแล้วจะรอดพ้นได้ เพียงนางฉวยมือย่อมวาดออกมาให้เจ้าสักใบได้โดยพลัน!


 


 


พอถึงยามนั้นต่อให้ตนเองยืนกรานว่าจงใจวาดแย่ ทว่าผู้คนมากมายในใจต่างคนต่างคิด ภายหลังชื่อเสียงทางการเมืองในวงการขุนนางคงมีเรื่องนินทากาเลให้ตำหนิติเตียนเพิ่มขึ้นอีกเรื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราษฎรนับหมื่นทั่วลานกว้างนี้ที่กำลังมองอยู่ด้วย อุดปากของราษฎรเท่ากับอุดแม่น้ำเชียวนะ!


 


 


เช่นนี้เองขุนนางที่ใจร้อนที่สุดหวังคัดค้านที่สุดย่อมไม่กล้าส่งเสียงอย่างเปิดเผยแล้ว


 


 


“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เฟยหลัวทนบรรยากาศแปลกประหลาดแบบนี้ไม่ไหว แลทนสายตาแปลกประหลาดของทุกคนที่กวาดบนร่างตนเองทีละครั้งละครั้งไม่ไหว รีบก้าวเข้าไปแย่งภาพถ่ายมาดู สีหน้าออกเขียวฉับพลัน ฉีกทิ้งดังแควกๆ โดยไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว เอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ข้า! นี่จะเป็นข้าไปได้อย่างไร! นี่มันจงใจวาดมั่ว! จงใจวาดมั่ว!”


 


 


ยอดฝีมือที่ชื่นชอบการวาดภาพหลายคนกำลังพิจารณาความมหัศจรรย์ของภาพเหมือนนี้อย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ช่วยไว้ไม่ทันการณ์ ได้แต่แอบร้องว่าเสียดาย


 


 


“ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าไม่ใช่เจ้าแล้ว ไยจึงต้องเน้นหนักว่าจงใจวาดมั่วอีกเล่า หากไม่ใช่เจ้า ข้าจงใจวาดมั่วเกี่ยวอะไรกับเจ้า อีกทั้งเหตุใดจึงต้องฉีกทิ้งเล่า” จิ่งเหิงปัวเข้าใจว่าจะจับจุดให้แม่นได้อย่างไรโดยตลอด เหล่าราษฎรเบื้องล่างที่ไม่ได้เห็นภาพถ่ายไม่เข้าใจเรื่องราวร้อง “ไอ้หยา…” แฝงความหมายลึกล้ำเสียงหนึ่งโดยพร้อมเพรียง


 


 


เฟยหลัวกัดฟันสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอีกครั้ง…ผู้รู้จักสถานการณ์คือผู้ฉลาดเลิศล้ำ อย่างน้อยที่สุดในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จในวันนี้ ผู้ใดต่างมองออกว่าทะเลาะกับราชินีไปไม่ได้อะไรดีขึ้นมาเป็นแน่ นางกุมดวงใจราษฎร กำราบนักปราชญ์ เบื้องหลังมีราชครูหนุนนำ ซ้ำยังเผยศาสตร์แห่งเทพชนิดต่างๆ ออกมาเรื่อยไป ผู้ใดจะรู้ว่าก้าวต่อไปนางจะวาดลวดลายเล่นลูกไม้ใดอีก ผู้ใดบ้างไม่มีความพะว้าพะวังต่อเรื่องราวที่คาดคะเนไม่ได้


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่ทำตัวได้ทีขี่แพะไล่อีก วันนี้แค่ทิ่มหนามเล็กๆ ให้เฟยหลัวคงสั่นคลอนแก่นแท้ไม่ได้ วันเวลาภายภาคหน้ายังอีกยาวไกลนะ


 


 


“ทุกท่าน” นางยิ้มแย้มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวว่า “ความสามารถนี้น่ะ ภายภาคหน้าข้าจะรับลูกศิษย์ ทว่าการสอนคงสอนเพียงว่าจะวาดภาพใบน้อยที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างไร การใช้ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมนั่นเป็นความสามารถเทพประทาน มิอาจถ่ายทอดให้กันตามใจชอบ ฉะนั้นภายหลังหากทุกท่านอยากได้ภาพเหมือนที่ละเอียดลึกซึ้งของตนเองยังมีโอกาสนะ”


 


 


ทุกคนผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่งโดยพลัน ผู้คนจำนวนมากมีสีหน้ายินดีปรีดา


 


 


ผู้คนจำนวนมากชื่นชอบภาพเหมือนชนิดนี้ ทว่ายังพะว้าพะวังกับความสามารถน่ากลัวที่ว่า “วาดเละเทะเท่ากับไร้คุณธรรม” นั้นจึงไม่กล้าทดลอง พอได้ยินว่าศาสตร์ภาพเหมือนจำแนกคุณธรรมมิอาจถ่ายทอดคนสู่รุ่นหลัง เช่นนั้นย่อมไร้ซึ่งความเกรงกลัวอีก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อายุมากบางส่วนกำลังไตร่ตรองแล้วว่าหากต่อไปศิษย์ของราชินีสำเร็จวิชาออกขายภาพคงต้องซื้อสักภาพ


 


 


จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าท่าทาง มุมปากนางกระหวัดขึ้น


 


 


เล่นโพลารอยด์ต่อหน้ามวลชน สร้างผลลัพธ์ฮือฮายิ่งใหญ่ที่สุด พวกที่หวังให้ติดเบ็ดคือไอ้แก่หนังเหนียวเช่นพวกเจ้าฝูงนี้


 


 


กระดาษอัดภาพมีจำกัด ถ่ายภาพครั้งหนึ่งน้อยลงใบหนึ่ง ภาพที่ให้มหาปราชญ์นับเป็นโฆษณา ภาพที่ให้เฟยหลัวนับเป็นคำเตือน ภายหลังคงต้องนำมาหาเงิน รอให้ร้านถ่ายรูปของพี่เริ่มกิจการ พี่จะโกงพวกเจ้าแบบสุดๆ ไปเลย อืม หนึ่งภาพควรคิดราคาเท่าไร หนึ่งพันตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึง


 


 


นิ้วมือเวียนวนครั้งหนึ่งเก็บโพลารอยด์เข้าที่ วันนี้เล่นสิ่งนี้พอแล้ว สินค้าเทคโนโลยีมีจำกัด ทุกชิ้นต้องแสดงคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมาถึงจะใช้ได้ ไม่อาจสิ้นเปลืองเรื่อยเปื่อย


 


 


“คราวนี้คงมองเห็น…” นางเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้ม กล่าวต่อไปว่า “ความสามารถของเจิ้นชัดเจนแล้วสินะ”


 


 


รอบทิศเงียบสงบไปชั่วครู่ จากนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้น มหาปราชญ์ฉังฟังก้าวขึ้นเวทีมาด้วยท่วงท่าเรียบร้อย โค้งกายจรดพื้นให้จิ่งเหิงปัวภายใต้สายตาจับจ้องของมวลชน


 


 


“กระหม่อมฉังฟัง ขอพระราชทานอภัยโทษสำหรับความไร้มารยาทต่อราชินีในยามแรกสุดพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “กระหม่อมอ่านตำราท่องบทกวีเสียแรงเปล่า ไม่รู้จักทบทวนตนแลไม่รู้จักประเมินความสามารถของมนุษย์ มีตาหามีแววไม่ ไม่ให้เกียรติฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงลงทัณฑ์ให้หนักหน่วงเพื่อตักเตือนมิให้เอาเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


รอบด้านเคร่งขรึม มหาปราชญ์มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ความประพฤติบริสุทธิ์แจ่มแจ้ง มิเคยก้มศีรษะให้ผู้ใดนานนับสิบปี ชั่วชีวิตนี้ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดให้ผู้คนประณามหยามเหยียดเช่นกัน บัดนี้ทุกคนมองเขาก้มศีรษะระริกต่อหน้าสาธารณชน เส้นผมยาวสีขาวราวหิมะพลิ้วไหวในสายลม ต่างรู้สึกว่าเบื้องลึกในจิตใจทั้งสงสารแลเลื่อมใส


 


 


หาญกล้าจ้องมองความผิดพลาดของตนเองโดยตรงไม่ว่ายามใด ไม่ปัดความรับผิดชอบไม่ปิดบังไม่หลบหลีกถึงจะเป็นความกล้าหาญที่แท้จริง คู่ควรกับคำว่านักปราชญ์สองคำนี้


 


 


จิ่งเหิงปัวรีบเร่งก้าวขึ้นมาประคอง เสียงหัวเราะกังวานสดใส กล่าวว่า “ไอ้หยา ท่านฉังอย่าได้จริงจังขนาดนี้เลย เป็นตัวข้าเองที่ไม่ได้เอ่ยให้ชัดเจนน่ะ มาๆๆ นั่งๆ วันหลังไปเที่ยวในวังบ่อยๆ นะ”


 


 


ฉังฟังเงยหน้าขึ้นมองเห็นรอยยิ้มไร้ซึ่งความเสแสร้งของสตรีเบื้องหน้าอย่างแจ่มชัด สว่างไสวเจิดจ้าดั่งสาดส่องท้องนภาครึ่งผืน


 


 


นิ้วมือสีขาวราวหิมะของนางประคองหลังมือแก่หง่อมดำคล้ำของเขาไว้อย่างแผ่วเบา สีขาวสีดำตัดกันแจ่มชัด พาให้คนปลงอนิจจังกับการผันผ่านของกาลเวลาและการกำเนิดใหม่แห่งสติปัญญา


 


 


ฉังฟังไม่ได้จับมือของนางไว้ เขาถอยหลังก้าวหนึ่งหลีกลี้การประคองของผู้อื่น แขนเสื้อสองข้างพลิ้วสยาย เข่าสองข้างจรดพื้นดัง “ตึ่ก” เสียงหนึ่ง


 


 


เสียงดั่งดังกังวานในดวงใจของทุกผู้คน


 


 


ชายชราผู้นั้นหมอบคำนับสูงสุด เสียงทรงพลังแว่วไปไกลโพ้น


 


 


“ผู้สร้างคุณูปการให้อาณาประชาราษฎร์ของเราย่อมเป็นเจ้านายให้ข้าฉังฟังรับใช้ชั่วกาล!”


 


 


“สวรรค์คุ้มครองต้าฮวง วันนี้รับเสด็จราชินีลิขิตสวรรค์ของเราด้วยความปลื้มปีติ!”


 


 


ฝูงชนหมอบคลานคลาคล่ำบนจัตุรัสในยามเดียวกัน กระแสคลื่นศีรษะมนุษย์ดุจกระแสคลื่นสีดำสาดซัดออกมาเป็นระลอก แสงอาทิตย์จุดประกายสายตาของราษฎรแล้วกระโจนออกไปอย่างเริงร่าจากปลายผมนับมิถ้วน


 


 


“สวรรค์คุ้มครองต้าฮวง น้อมรับเสด็จราชินี!”


 


 


เสียงตะโกนกึกก้องคืออินทรีนับมิถ้วนเหินทะยาน ทลายขอบฟ้าสลายเมฆหมอก แสงอรุโณทัยสาดส่องใต้ท้องนภากว้างไกล ดั่งเส้นทางแสงรุ้งรุ่งโรจน์สายหนึ่งเชื่อมประสานเหนือเมฆ สตรีสูงโปร่งบอบบางอาภรณ์งามร่อนระบำนางนั้น เชิดขากรรไกรล่างขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาเพียงน้อย ยิ้มแย้มดั่งเมฆาเรืองรองแพรวพราวทั่วท้องนภากลางเส้นทางรุ่งโรจน์สายนั้น


 


 



 


 


เสียงตะโกนเสียงหนึ่งนี้ดังครืนกึกก้องกลางนครตี้เกอ ความเกรียงไกรของคลื่นเสียงเหนือกว่าเสียงโห่ร้องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของราชินีหมิงเฉิงเมื่อห้าปีก่อน เหนือกว่าเสียงโห่ร้องของราชินีเทียนหนิงผู้ผ่านการทดสอบของพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จอย่างราบรื่นในพิธีรับเสด็จเมื่อสามสิบแปดปีก่อน ล้ำกว่าเสียงโห่ร้องยามราชินีรุ่ยเหิงที่เลื่องชื่อว่าเป็นราชินีผู้ทรงปัญญาที่สุดประกาศประมวลกฎหมายต้าฮวงเมื่อสองร้อยยี่สิบเอ็ดปีก่อน อาจถึงขนาดล้ำกว่าเสียงโห่ร้องในพิธีบวงสรวงสักการะฟ้าขององค์ปฐมจักรพรรดิราชินีเซิ่งเต๋อ จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น


 


 


เสียงโห่ร้องข้ามผ่านขอบฟ้า ข้ามผ่านกาลเวลา ปลุกโชคชะตาในวิเวกให้ตื่นฟื้น ผุดเผยสายตาทั้งเจิดจ้าลานตาทั้งกว้างใหญ่


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเกือบถูกคลื่นเสียงมหึมานี้ประคองขึ้นมา เรือนร่างพลิ้วไหวลุ่มหลง


 


 


ความลำบากยากแค้นตลอดทาง ความทุกข์ทรมานต่างๆ นานาได้รับการชดเชยท่ามกลางแสงรุ่งโรจน์แห่งมวลชนในขณะนี้ สิ่งนี้ยังเป็นสิ่งที่นางพิชิตราบคาบด้วยตนเอง


 


 


แม้กล่าวว่าความรู้ยุคปัจจุบันมาจากการคัดลอก ทว่าการกุมจิตใจของทุกผู้คนเอาไว้ได้ นางรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชนะ


 


 


หวังจะสะเทือนฟ้าดิน ต้องถ่อมตนแล้วค่อยโอ้อวด จงใจบอกว่าไม่เป็นมากมายขนาดนั้นให้จิตใจเฝ้ารอคอยของทุกคนลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ถึงมีกองทัพอัศจรรย์ภายหลังผุดเผยออกมาให้มวลชนตะลึงพรึงเพริด


 


 


นางเสพสุขเสียงโห่ร้องนี้ด้วยความลำพองใจไปพลาง ใคร่ครวญครุ่นคิดว่านางชนะสัญญาเดิมพันกับกงอิ้นแล้ว ควรจะใช้วิธีลงโทษวิธีไหนดีล่ะไปพลาง วิ่งเปลือยกาย ร่ายระบำ ร้องเพลง นางทั้งลังเลทั้งคิดหนัก ด้านหนึ่งคิดว่าเรื่องเหล่านี้ควรให้เขากระทำต่อหน้าธารกำนัล นางจะครองต้นลมให้เต็มที่สักครั้ง ภายหลังเขาจะได้ไม่มีหน้ามารังแกนางอีก อีกด้านหนึ่งรู้สึกว่าให้สตรีบ้ากามมากมายมองเห็นกงอิ้นวิ่งเปลือยกายร้องเพลงร่ายระบำทำให้พวกนางได้เปรียบเกินไปแล้วทั้งนั้น ควรจะให้นางเสพสุขคนเดียวถึงจะถูก ลังเลร้อยพัน กลัดกลุ้มยากแก้ไข ยืนอยู่บนเวทีเอียงสายตาเพ่งเล็งกงอิ้นไปพลางฝันกลางวันเชื่อมโยงกันไปพลาง…


 


 


บนเก้าอี้ไม้แบบโบราณเบื้องล่าง กงอิ้นรู้สึกถึงสายตานางเนิ่นนานแล้ว ถ้วยชาในมือขยับไปมา เลิกคิ้วเล็กน้อย…ไม่ต้องคิดยังรู้ว่าเจ้าผู้นี้คงกำลังคิดเรื่องสัญญาเดิมพันเป็นแน่


 


 


พอนึกถึงสัญญาเดิมพันก็นึกถึงดวงพักตร์โกรธเคืองจนแดงซ่านของนางในวันนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง…นัยน์ตาดำขลับผ่องอำไพปานนั้นพุ่งประชิดถึงเบื้องหน้า สว่างไสวจนแผดเผาผู้คน


 


 


สุดท้ายเขาพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง…ยินยอมเดิมพันเต็มใจพ่ายแพ้


 


 


อารมณ์ดีโดยพลัน เขาเชิดคิ้วมองไปทางจิ่งเหิงปัว มุมปากกระหวัดโค้งเพียงน้อยอย่างควบคุมมิได้


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวจ้องเขม็งทันที


 


 


ยิ้ม!


 


 


รอยยิ้มของมหาเทพกง!


 


 


รอยยิ้มออกมาจากภายในใจที่มหาเทพกงให้นางซึ่งนางมองเห็นเป็นครั้งแรก!


 


 


ไอ้เวรเอ้ย งาม! ขนาด! นั้น! 

 

 


ตอนที่ 56 - 3 ราชินีเฮงซวย

 

คือทิวทัศน์งามบริสุทธิ์โดยกำเนิด คือดอกฉยงฮวา[1]สีสันสดใส คือแสงขาวสลับเมฆบาง คือปลายหยกแผ่คลุมพงไพร คือจันทร์งามผ่องอำไพสาดส่องภูผาเหนือใต้ คือสายลมผ่านพัดทลายมวลผกาโรยราเบ่งบาน ดุจหยกเกลี้ยงเกลา ดั่งแสงกำเนิด ประหนึ่งท้องนภาเบื้องล่างขาวโพลนเป็นสีเดียว จุดประกายตรงมุมปากเขาในพริบตา


 


 


ยามเขายิ้มแย้มขึ้นมา นัยน์ตาวาดโค้งเพียงน้อยเช่นกัน นัยน์ตาสีดำขลับเจือด้วยแสงน้ำเงินมืดมิดทอประกายพร่างพราว บรรยากาศสูงส่งเย็นชาเยือกเย็นในวันเวลาเดิมถูกรอยยิ้มสงบเงียบดั่งสายลมอบอุ่นปุยเมฆแผ่วบางปกคลุมโดยพลัน


 


 


จิ่งเหิงปัวยกมือกุมจมูกไว้ดังสวบ


 


 


ไม่ไหวแล้ว!


 


 


อย่าได้เลือดกำเดาไหลเชียวนะ…


 


 


ยังจะมานั่งคิดวิธีลงโทษอะไรอีกเล่า ขอให้เขายิ้มให้ตนเองทุกวันก็พอแล้ว ยิ้มอ่อนยิ้มละมุนยิ้มบางผิวยิ้มใจไม่ยิ้ม ขอเพียงเป็นรอยยิ้มจะอย่างไรก็ดีทั้งนั้น! แม่งเอ้ยปกติเขาไม่ยิ้มเสียของแค่ไหนเนี่ย!


 


 


กงอิ้นมองเห็นท่าทางถูกความงามพาสติเลอะเลือนนั้นของนาง เบนสายตาออกมา ส่ายหน้าอย่างระอาใจ รอยยิ้มมุมปากไม่จางหาย


 


 


เขาโบกมือบอกใบ้องครักษ์ถอนกำลังและให้คนล่วงหน้าไปจัดการพิธีการรับขบวนเสด็จกลับวังขั้นต่อไป ความอันตรายพ้นผ่านต้องน้ำขึ้นให้รีบตักรีบเร่งกลับวัง จะได้ไม่ราตรียาวนานความฝันเยิ่นเย้อ


 


 


สายตาของเขาเฉียดผ่านเหยียลี่ว์ฉีกับผู้นำของเผ่าจั๋นอวี่ ทั้งสองคนผู้หนึ่งถูกจัดการให้นั่งฝั่งตรงข้ามเขา อีกผู้หนึ่งถูกจัดการให้นั่งห่างออกไปยิ่งกว่า ด้วยเพราะเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สองตระกูลนี้ก่อความวุ่นวายขึ้นมาในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จราชินีอีก ยามนี้มองดูคนสองฝ่ายต่างไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ เขาวางใจขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีลอยล่องไปทั่วสี่ทิศ คล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม ผู้วางแผนผู้หนึ่งข้างกายเขาโค้งกายลงมาเอ่ยเสียงแผ่วเบาข้างหูเขาว่า “นายท่าน นึกไม่ถึงว่าราชินีจะผ่านการทดสอบแล้ว อีกทั้งยามนี้ยังได้รับความเคารพรักจากราษฎรยิ่งนัก ท่านดูสิ คนของเผ่าจั๋นอวี่ที่อยู่ในตี้เกอยามนี้ต่างเข้าร่วมพิธี ณ ที่แห่งนี้ หากในยามนี้พวกเราสวมรอยคนของเผ่าจั๋นอวี่ลงมือกับราชินี…”


 


 


หัวคิ้วของเหยียลี่ว์ฉีเลิกขึ้นเพียงน้อย มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง


 


 



 


 


แม้มีน้อยทว่ามาเป็นคู่ ในซอกมุมไม่สะดุดตาฝูงชนแห่งหนึ่งมีคนกำลังวางแผนการลับเช่นกัน


 


 


“นึกไม่ถึงว่าราชินีจะผ่านการทดสอบแล้ว” คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงทุ้มว่า “เช่นนี้ ข้ากลับมีแผนการใหม่”


 


 


“หา”


 


 


“เหยียลี่ว์ฉีสังหารทายาทเผ่าจั๋นอวี่ของพวกเรา ซ้ำยังทำลายกำลังที่อยู่ในนครของพวกเราไปมาก ความแค้นเช่นนี้ต้องชำระ เดิมทีนึกว่ากงอิ้นกลับมาแล้วจะได้ช่วยพวกเราสังหารเหยียลี่ว์ฉีทิ้งพอดิบพอดี ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไปกินยาผิดขนานหรืออย่างไร กลับถือว่าความมั่นคงตี้เกอคือหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่ง ใช้สอยกองทัพยับยั้งพวกเรา บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว ยามนี้ราชินีกำลังได้รับความรักลึกซึ้งจากราษฎร เรือนร่างฝากฝังด้วยความหวังของมหาปราชญ์และพวกพ้อง หากในยามนี้พวกเราสวมรอยเป็นคนของเหยียลี่ว์ฉีลงมือกับราชินี…”


 


 



 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีทอประกายแสงออกมา ทว่าเล็กน้อยเพียงพริบตาเดียว จากนั้นสายตาของเขาเบนไปบนเวที


 


 


ยามนี้นางยิ้มแย้มดุจมวลผกา รัศมีเรืองรองทั่วพักตร์ ช่วงชีวิตยามนี้แทบจะเอ่ยได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งจุดสูงสุด…


 


 


หากจะทำลายนางในขณะนี้ ง่ายดายยิ่งนัก…


 


 


จากนั้นเขาส่ายหน้า


 


 


ผู้วางแผนมองดูเขาอย่างไม่เข้าใจ ใคร่ครวญว่านี่คือแผนการอันดีที่ทั้งชั่วร้ายทั้งได้ผล ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้านายจึงถอดใจเยี่ยงนี้


 


 


เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมิเอ่ยวาจา สองมือทำกรอบขึ้นมา จัดวางใบหน้าของจิ่งเหิงปัวไว้ในกรอบ มองไปมองมา ถอนหายใจเฮือกอย่างเชื่องช้า


 


 



 


 


คนของกองพิธีการเบียดเสียดมายังเบื้องหน้าเวที เรียกหาจิ่งเหิงปัวเสียงแผ่วว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”


 


 


“หา” จิ่งเหิงปัวฟังไม่ชัด อารมณ์กำลังตื่นเต้นดีใจและยังตกอยู่ในภวังค์รอยยิ้มล่มแคว้นของกงอิ้น เดินก้าวใหญ่ก้าวหนึ่งออกไป กล่าวว่า “เรื่องใดหรือ…”


 


 


“ฉึบ”


 


 


เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา มีเพียงจิ่งเหิงปัวได้ยิน เรือนร่างนางชะงักค้างเยือกแข็งอยู่บนเวทีแล้ว


 


 


ขุนนางและราษฎรเบื้องล่างเวทีคล้ายพบความผิดปกติเช่นกัน เสียงโห่ร้องค่อยๆ หยุดลง


 


 


จากนั้นพวกเขาต่างเบิกตากว้าง


 


 


เส้นสีขาวเส้นหนึ่งค่อยๆ ปรากฏบนช่วงเอวราชินี ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ…อ๊ะไม่ใช่! นั่นไม่ใช่เส้นสีขาว นั่นคล้ายจะเป็นผิวกายของราชินี!


 


 


จิ่งเหิงปัวคงไว้ซึ่งท่วงท่ากึ่งหันหลัง เบิกตากว้างมองดูรอยขาดตรงหว่างเอวตนเองยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครู่ฝีเท้าของนางกว้างเกินไปเร็วเกินไป เหยียบถูกชายกระโปรง ตอนที่ชายกระโปรงร่วงหล่น ช่วงเอวหลวมโพรกด้วยสูญเสียเข็มขัดอยู่แล้วจึงร่วงไปข้างล่าง ไม่รู้ว่าติดบนอัญมณีที่ขัดเงาจนแหลมคมบนเอวเม็ดไหนจนฉีกเป็นรอยขาดมหึมารอยหนึ่งในพริบตา…


 


 


การตอบสนองของนางรวดเร็วมาก ใช้มือหนึ่งบดบังรอยขาดหว่างเอวไว้อย่างรวดเร็ว สายตาขอความช่วยเหลือกวาดไปทางกงอิ้นทันที


 


 


วันนี้ดันมีพิธีการตอนเที่ยงตรง อากาศร้อนจัด ทุกคนต่างเสื้อคลุมนอกเบาบางไม่ได้สวมผ้าคลุม


 


 


ก่อนหน้านี้สี่ด้านต่างเป็นม่านกั้น แต่ว่าหลังจากจิ่งเหิงปัวปลดม่านกั้น ม่านกั้นทั้งหมดต่างเคลื่อนย้ายไปแล้ว


 


 


การตอบสนองของกงอิ้นรวดเร็วเช่นกัน ลุกขึ้นถลาขึ้นมาบนเวทีโดยพลัน


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ตะโกนหาชุ่ยเจี่ยว่า “ในกระเป๋าข้ามีผ้าคลุมผืนเล็ก เอามา!”


 


 


ชุ่ยเจี่ยชะงักงันรีบเร่งเปิดกระเป๋าออก เพราะกลัวกระเป๋าสกปรกจึงวางไว้บนพื้นกระดานเวที ชุ่ยเจี่ยเปิดกระเป๋ามองเห็นของสิ่งหนึ่งในปราดเดียว ชะงักงันโดยพลัน


 


 


ทั่วทั้งร่างนางตะลึงงันอยู่ตรงนั้น สีหน้าตกตะลึง


 


 


จิ่งเหิงปัวเร่งเร้าว่า “เร็วสิ!”


 


 


ชุ่ยเจี่ยถูกเตือนสติ ทว่าไม่ได้หาผ้าคลุม มือกลับกดลงไปข้างล่างหวังจะปิดกระเป๋าลง


 


 


ยังไม่ทันได้ปิดกระเป๋า ฝูงชนพุ่งถลาข้างหลังกาย ฝ่าเท้านางลื่นไถลโดยพลัน ทั้งร่างกระแทกบนกระเป๋า กระเป๋าไถลออกไป สิ่งของที่วางไว้ด้านบนสุดพลันปลิวว่อนทั่วเวทีทั้งอย่างนั้น


 


 


ลูกตาของทุกคนปลิวว่อนทั่วเวทีตามสิ่งของสีสันสวยงามเหล่านั้นโดยสำนึก


 


 


รองเท้าส้นสูง กระโปรง เสื้อผ้าเล็กกระจ้อยรูปร่างแปลกประหลาดชนิดต่างๆ กระเป๋ารูปร่างแปลกประหลาดชนิดต่างๆ อีกทั้งสิ่งของที่กลมๆ ยาวๆ รูปร่างแปลกประหลาดอีกสิ่งหนึ่ง


 


 


สิ่งของปลิวว่อนออกมามากมายโดยแท้ สายตาของทุกคนยังไม่ทันได้จำแนกแลไม่ได้มองเห็นชัดเจนว่าสิ่งนั้นคือสิ่งใด เสียงกรีดร้องของสตรีเสียงหนึ่งดังขึ้นโดยพลัน


 


 


“ว้าย…น่าอายยิ่งนัก!”


 


 


เสียงคล้ายเปล่งออกมาจากกลางฝูงชน แหลมสูงสั่นระริก เปี่ยมด้วยความตื่นตะลึงโกรธเคืองและกระดากอาย ทุกคนเบื้องหน้าเวทีมองไปบนเวทีอย่างงงงวยเล็กน้อย มีของสิ่งหนึ่งกำลังกลิ้งกุกกักตั้งแต่เริ่มจนจบ…ความมหัศจรรย์แลคุ้นเคยนั้น ท่วงท่าที่ทำให้คนยากจะเชื่อสายตา ค่อยๆ ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปเช่นกัน


 


 


ตาย! โหง! แล้ว!


 


 


ไอ้สิ่งนี้ทำไมอยู่ในกระเป๋าได้! ต่อให้อยู่ในกระเป๋าก็ควรจะอยู่ข้างล่างสุด กลิ้งขึ้นมาตอนไหนเนี่ย!


 


 


นางพยายามนึกสุดชีวิต นึกได้ว่าเหมือนว่าหลายปีก่อนรู้จักเพื่อนเลวคนหนึ่งในอินเทอร์เน็ต ตอนที่นางฉลองวันเกิด เขาบอกว่าจะส่งของล้ำค่าเลิศล้ำทั่วหล้าที่สตรีชื่นชอบที่สุดขาดไม่ได้ที่สุดให้นาง นางรอคอยอย่างเปี่ยมด้วยความหวัง ผลลัพธ์คือสิ่งส่งมาภายหลังเป็นของเฮงซวย หลังจากนางหัวเราะฮ่าๆๆ เล่นอยู่รอบหนึ่ง อาจจะฉวยมือโยนใส่ในชั้นประกบของกระเป๋า ตอนที่เก็บสัมภาระก็ไม่ค่อยได้สนใจ ด้วยเพราะตอนนั้นของสิ่งนั้นมีถุงบรรจุภัณฑ์อยู่ชัดๆ …


 


 


ปล่อยไอ้สิ่งนี้ออกมาในเวลานี้ภายใต้สายตาจ้องมองของมวลชน หนังหน้าหนาขนาดนั้นของนางก็ทนไม่ไหว สิ่งที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าคือ นี่มันยุคโบราณ นี่มันต้าฮวงที่กฎเกณฑ์เข้มงวดอย่างยิ่ง ถูกเหล่าขุนนางแถวหน้ามองเห็นของสิ่งนี้ ภายหลังนางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร


 


 


กงอิ้นชะงักอยู่ตรงนั้นเช่นกัน


 


 


แม้เป็นบุรุษที่เกรียงไกรกว่านี้ ยามมองเห็นของสิ่งนั้นกลิ้งกุกกักอยู่ตรงเท้าโดยพลัน ยังอดจะตื่นตะลึงในดวงใจไม่ได้เช่นกัน


 


 


นี่…


 


 


คนหรือ


 


 


การตอบสนองแรกของเขาก็คือหันกายไปข้างหลังมองจิ่งเหิงปัว ในสายตาเปี่ยมความด้วยฉงนสนเท่ห์ สีหน้าซีดเผือดและปากที่อ้ากว้างของจิ่งเหิงปัวคล้ายกำลังบอกคำตอบย่ำแย่คำตอบหนึ่งให้เขาฟัง


 


 


ในใจกงอิ้นสับสนวุ่นวายอย่างหาได้ยาก ไม่อยากจะเชื่อทุกสิ่งที่ตนเองมองเห็นด้วยตา ยามนี้ของสิ่งนั้นกำลังกลิ้งกุกกักถึงฝ่าเท้าของเขา เขาก้มหน้ามองปราดหนึ่ง ความขยะแขยงและขวยเขินไร้หนทางอำพราง ยกเท้าเตะออกไปโดยสำนึก


 


 


หลังจากเตะออกไปเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง “โอ้” ดังขึ้นเป็นระลอกรอบด้าน


 


 


กงอิ้นฟื้นคืนสติโดยพลัน


 


 


ไม่ได้ ของสิ่งนี้ไม่อาจให้ผู้อื่นมองเห็นได้ชัดเจน!


 


 


มีข้อสงสัยใดหลังเสร็จเรื่องราวค่อยไถ่ถาม ยามนี้ทำได้เพียงทำลายทิ้งของสิ่งนี้โดยพลัน!


 


 


ฝีเท้าก้าวใหญ่ของกงอิ้นเฉียดออกไป เริ่มไล่ตามเจ้าสิ่งนั้นที่กลิ้งมั่วซั่วไปทั่วเวที…


 


 


ทว่าของสิ่งนั้นกลิ้งลงไปเบื้องล่างเวทีแล้ว คนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดกันหวังจะก้าวขึ้นมามองเห็นให้ชัดเจน


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวตื่นฟื้นขึ้นมาจากความตื่นตะลึงเช่นกัน ไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียวสองมือสะบัดครั้งหนึ่ง ใช้พลังเคลื่อนย้ายสิ่งของทำลายศพลบหลักฐาน!


 


 


ยามนี้นี่เอง “สวบ” เสียงหนึ่ง กงอิ้นคว้าของสิ่งนั้นไว้แล้ว


 


 


สัมผัสเกลี้ยงเกลาอัศจรรย์ คล้ายของจริงทว่ามิใช่ เขาขยะแขยงจนแทบอาเจียน


 


 


พริบตาต่อมาของสิ่งนั้นสูญสลายจากฝ่ามือเขาโดยพลัน กงอิ้นหันกายไปข้างหลัง มองเห็นของสิ่งนั้นกำลังลอยไปทางฝ่ามือของจิ่งเหิงปัว


 


 


แย่แล้ว!


 


 


ของสิ่งนี้จะให้นางคว้าไว้ได้อย่างไร!


 


 


ถูกผู้อื่นมองเห็นฉากหนึ่งนี้จะยิ่งย่ำแย่!


 


 


ยามนี้ตามเข้าไปขัดขวางไม่ทันการณ์ กงอิ้นหันกายฉับพลัน มือข้างหนึ่งคว้าเพียงครั้งมีมีดบางเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมาในมือแล้ว เขายกมีดสองมือ หันกายฟาดฟันอย่างรุนแรง!


 


 


“ครืน!” เวทีสูงพังทลาย!


 


 


หมอกธุลีตลบอบอวล ไม้กระดานปลิวว่อน ไม้กระดานแผ่นใหญ่แต่ละแผ่นทั้งกระเด้งขึ้นมาทั้งจมลึกลงไป ผู้คนเบื้องหน้าเวทีทยอยกุมหน้าร่นถอยเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดเจ็บ ได้ยินคล้ายมีเสียงเหินผ่านเหนือศีรษะเลือนราง มีผู้ตะโกนลั่นว่า “ราชินีต่ำทรามไร้ศีลธรรม ต้าฮวงของเราจะยอมรับสตรีผู้มีคุณธรรมจริยธรรมต่ำทรามเช่นนี้ได้อย่างไร รับมีดของข้าไปเสีย!”


 


 


ทั้งมีผู้ร้องอย่างตกใจขึ้นมาว่า “มีดนางแอ่นเหิน! ใต้บัญชาตระกูลเหยียลี่ว์!”


 


 


ทุกคนได้ยินเสียงเลือนราง ทั้งเห็นเงามีดเปล่งประกายในหมอกธุลี แลไม่ทันได้ห่วงสิ่งใดได้แต่ทยอยถอยหลัง รอให้ร่นถอยถึงบริเวณปลอดภัยแล้วลืมตาขึ้นมา มองเห็นเพียงเวทีสูงทรุดทลาย มีแสงมีดเปล่งประกายรำไร สิ่งของที่กลิ้งมั่วซั่วอยู่บนเวทีหายไปด้วยกันกับราชินีแล้ว


 


 


 


 


 


 


 


[1] ดอกฉยงฮวา ชื่อวิทยาศาสตร์ Viburnum macrocephalum Fort. f. keteleeri (Carr.) Rehd. ดอกสีขาวห้ากลีบทรงกลม ฐานรวมกันเป็นพุ่ม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม