ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ 542-567

 


 

 

 


ตอนที่ 542

 

ตามหาตลาดมืด

“นี่ๆ รู้ป่ะ” จู่ๆ นักเรียนในห้องก็ถามขึ้นมา “เฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึกล่ะ เหมือนกับเจียงซู่อีเลย อยู่ๆ เธอก็หายไป”


 


 


เยี่ยหลิงหลิ่งกังวลใจกับเรื่องซุบซิบนี้ที่สุด เธอกอดถุงขนมมันฝรั่งเอาไว้แล้วถามขณะเคี้ยว “เป็นไปได้มั้ยว่าเธอเข้าร่วมการฝึกแต่ไม่มีใครเห็นเธอเฉยๆ”


 


 


“เป็นไปไม่ได้หรอก รถทหารขับออกไปเมื่อสองวันก่อน แต่ฉันเห็นเฉาชิงฉือที่ตลาดเจี้ยนตงตอนบ่ายเมื่อวาน เพื่อนร่วมชั้นเธอบอกว่าเธอไม่ได้ไปเข้าเรียน” นักเรียนคนหนึ่งว่า “เมื่อคืนในกลุ่มแชตได้คุยกันรึเปล่าว่าทำไมเฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึก”


 


 


“บางทีเธออาจต้องไปปฏิบัติภารกิจก็ได้” เยี่ยหลิงหลิ่งกล่าวพลางครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เธอก็โพล่งถาม “ถ้างั้นหลี่ว์ซู่ก็…”


 


 


“เบาเสียงหน่อย” นักเรียนอีกคนมองไปทางหลี่ว์ซู่ “หลี่ว์ซู่น่ะไม่ใช่หรอก กรณีเขาไม่เหมือนเฉาชิงฉือ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเชียว ดูจากท่าทีเขาตอนนี้ เขาคงเศร้าอยู่”


 


 


ในมือหลี่ว์ซู่มีหนังสือเรียนประวัติศาสตร์อยู่ เขาพลิกหน้าหนังสือไปหน้าใหม่ทุกครึ่งนาที ดวงตาจับจ้องไปที่ตัวอักษร หลี่ว์ซู่เอาแต่ทบทวนเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่กลับมาเข้าเรียน


 


 


ทว่าเขาใช้เวลาทบทวนรวดเร็วมาก ในสายตาเพื่อนร่วมห้อง พวกเขาเห็นแค่ว่าหลี่ว์ซู่พลิกอ่านหนังสือแบบผ่านๆ เท่านั้น ทว่ามันสมองของหลี่ว์ซู่นั้นไม่เหมือนใคร เขารู้เนื้อหาทั้งหมดอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็แค่อ่านทวนมันอีกรอบ


 


 


หลี่ว์ซู่เป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด หากเหตุการณ์ที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืนไม่เกิดขึ้น ดูจากทัศนคติที่จริงจังของตัวเองแล้ว เขาก็คงใช้ชีวิตที่มุ่งหาความสำเร็จแบบคนอื่นๆ เช่นกัน


 


 


เยี่ยหลิงหลิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “หลี่ว์ซู่ นายวางแผนจะเรียนซ้ำชั้นแล้วสอบเข้าวิทยาลัยผู้บำเพ็ญหรือว่า…”


 


 


หลี่ว์ซู่มองเธออย่างสงบ “ฉันไม่อยากเสวนากับคนที่ได้คะแนนน้อยกว่าหกร้อยสี่สิบ”


 


 


เยี่ยหลิงหลิ่งอึ้งไปถนัด


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยหลิงหลิ่ง +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


ห้องเรียนเงียบกริบไปราวสองวินาที ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน ราวกับว่าพวกเขาย้อนกลับไปยังช่วงก่อนหน้าจิตวิญญาณฟื้นคืน ตอนที่ทุกคนเกรงกลัวหลี่ว์ซู่กับคะแนนสอบของเขา…


 


 


แล้วพวกเขาก็เข้าใจเรื่องราว หลี่ว์ซู่วางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัยปกติ พวกเขาไม่มีทางแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ได้หรอก!


 


 


ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจพวกเขา เพราะถึงอย่างไรเขากับนักเรียนพวกนั้นก็อยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว


 


 


คำว่า “พลังจิตวิญญาณฟื้นฟู” เจ็ดพยางค์นี้เป็นดาบคมที่ตวัดแบ่งแยกโลกของพวกเขาออกจากกัน


 


 


เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ยังคงต้องเตรียมตัวสอบจบการศึกษาและใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่สำหรับหลี่ว์ซู่นั้น เขาถูกลิขิตให้เดินไปบนเส้นทางอันแสนขรุขระของผู้บำเพ็ญ


 


 


หากหลี่ว์ซู่เอ่ยปากบอกเพื่อนของเขาว่าเขาฆ่าคนไปมากมายขนากไหน พวกเขาอาจหวาดกลัวหลี่ว์ซู่ไปเลยก็ได้


 


 


เขาไม่เหมือนกับหลิวหลี่ มือของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด เส้นทางผู้บำเพ็ญของเขาปูไปด้วยซากศพ


 


 


ตอนนี้มีปริศนามากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์การตายของทาคาชิมะ ทาริอัตสึ กระนั้นคนที่อยู่ในสมรภูมิรบครั้งนั้นต่างก็พากันปิดปากเงียบสนิททั้งหมด แม้กลุ่มอนุรักษนิยมจะลองสอบถามกับซากุราอิ ยาเอโกะแล้ว แต่เธอก็ไม่หลุดพูดอะไรออกมาเลยสักนิด


 


 


ทว่าเมื่อสายลับจากองค์กรต่างๆ เดินทางไปยังฐานของพวกทวยเทพเพื่อสืบดู ข้อมูลที่พวกเขาได้กลับมามีจุดร่วมที่ตรงกันอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือทาคาชิมะได้ใช้พิธีกรรมเลือดในการเลื่อนระดับพลังของตัวเอง แต่เพราะเขาไม่สามารถเปิดดวงตาแห่งสวรรค์รัศมีสิบกิโลเมตรได้ นี่จึงแสดงว่าเขาไม่ได้เลื่อนระดับไปเป็นระดับ A อย่างแท้จริง ทุกคนคาดเดาว่าแม้ทาคาชิมะจะไปไม่ถึงระดับ A แต่เขาก็น่าจะมีพลังเป็นลำดับต้นๆ ของระดับ B หรือไม่ก็สูงกว่านั้น


 


 


แต่ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนฆ่าทาคาชิมะกันล่ะ


 


 


ตัวตนของคนคนนี้เป็นความลับสุดยอดถึงขนาดที่ว่าทั่วทั้งโลกต่างก็จับตามอง


 


 


คนอย่างเยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่คาดคิดหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้จะเป็นคนที่พริ้มพราวที่สุดคนหนึ่งของโลก นอกเสียจากว่าเขาจะเฉลยออกมาว่าเขานี่แหละที่เป็นคนฆ่าทาคาชิมะ หรือไม่ก็ยอมรับข้อเสนอของเนี่ยถิงแล้วขึ้นเป็นราชันฟ้า


 


 


ทว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเลือกกลับเป็นการนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเป็นสุขในห้องเรียนอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้


 


 


เยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่เข้าใจหรอก กระทั่งเนี่ยถิงเองก็คงไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ทว่าสือเสวจิ้นกลับหัวเราะจนพูดไม่เป็นภาษา


 


 


ตอนเย็นหลังเลิกเรียน หลี่ว์ซู่รีบเก็บของออกจากห้องเรียนไปทันทีราวกับเขาได้คาแรกเตอร์ชายผู้สันโดษคืนมาดังเดิม เมื่อเพื่อนนักเรียนคนอื่นเดินออกมาจากห้อง หลี่ว์ซู่ก็วาร์ปไปถึงประตูโรงเรียนแล้ว เยี่ยหลิงหลิ่งมองดูร่างของหลี่ว์ซู่จากระเบียง แล้วจู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมา “ดูนั่น!”


 


 


ทุกคนหันไปมองตาม พวกเขาสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่กำลังยืนคุยอยู่กับซีเฟ่ย อาจารย์ประจำห้องเต้าหยวน นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ “มีอะไรแปลกเหรอ พวกเขาสองคนรู้จักกันนี่”


 


 


เยี่ยหลิงหลิ่งเองก็รู้สึกไม่แน่ใจเช่นกัน “ฉันว่าฉันเห็นซีเฟ่ยทำวันทยาหัตย์หลี่ว์ซู่… แต่ฉันอาจจะตาฝาด”


 


 


ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวอยู่ที่ไหน เพราฉะนั้นซีเฟ่ยจึงรับหน้าที่ดูแลเมืองลั่วแทน ทุกคนต่างก็ประทับใจในตัวเขา ทำให้เขากลายเป็นที่ชื่นชอบที่สุดในบรรดาคนของเครือข่ายฟ้าดินสาขาประจำเมืองลั่ว


 


 


“ร้อยเอกหลี่ว์ซู่ จะกลับบ้านแล้วเหรอ” ซีเฟ่ยหัวเราะแล้วถาม เขายังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นยศพันเอกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครปิดข่าวก็เถอะ แต่เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นก็ไม่ได้บอกคนที่เหลือ


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ “ผมก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเหมือนกันนะ ผมว่าจะตรวจตราดูพื้นที่นี่สักหน่อยว่ามีผู้บำเพ็ญคนไหนทำผิดกฎหรือเปล่า”


 


 


ซีเฟ่ยที่กำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็เงียบไป เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี หลี่ว์ซู่จะไปทำอะไรแผลงๆ อีกหรือเปล่า เขาไม่เห็นจะต้องไปตรวจตราพื้นที่อะไรตอนนี้ ซีเฟ่ยคิดว่าแถวนี้คงจะสงบสุขกว่าถ้าหลี่ว์ซู่ไปโรงเรียนและกลับบ้านตามปกติ


 


 


“อย่าให้ผมเสียเวลาคุณเลยครับ เดี๋ยวผมไปก่อนล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรกับซีเฟ่ยมากมาย เขารีบเดินไปขึ้นรถเมล์โดยไม่หันกลับมามอง


 


 


เจ้ากระรอกช่วยเขาหาที่แปลกๆ ได้สำเร็จ ที่นั่นอยู่ในเมืองเหวินหวาน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่หลังประตูเหล็กนั่น


 


 


พวกหนูของเจ้ากระรอกเห็นผู้บำเพ็ญหรือพวกมนุษย์ที่มีพลังปะปนอยู่กับผู้คนที่เดินเข้าออกประตูนั้น แต่การคุ้มกันที่นั่นหนาแน่นหนามาก พวกหนูเลยเข้าไปข้างในไม่ได้


 


 


หลี่ว์ซู่วางแผนว่าจะไปที่นั่นเพื่อไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเข้าไปในสถานที่อันตราย ในเมืองลั่ว เขาไม่มีศัตรูในเครือข่ายฟ้าดิน นับประสาอะไรกับตลาดมืดที่อยู่หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้


 


 


เขาเดินเข้าไปในประตูเมืองเหวินหวาน ไม่มีคนธรรมดาออกมาเดินตอนกลางคืน ไม่มีแสงไฟตามถนน ทุกๆ อย่างรอบตัวดูมืดไปหมด


 


 


เขาเห็นคนเดินเข้าออกเป็นระยะๆ คนเหล่านั้นมองหลี่ว์ซู่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่ไว้ใจแล้วก็รีบเดินหายไป


 


 


หลี่ว์ซู่เดินเช้าไปข้างใน ตอนที่เขาเดินเข้าไปยังบริเวณเงาของชายคาตึก เขาก็เปลี่ยนหน้าตาตัวเองให้กลายเป็นเกาเสินอิ่น


 


 


ตอนแรกเขาอยากเปลี่ยนเป็นเฉินจู่อาน แต่เขาทำหน้าตุ้ยนุ้ยไม่ได้…


 


 


เขาเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ แล้วประตูเหล็กก็ปิดสนิทตามหลัง มีแสงสลัวส่องผ่านรอยแยกตรงประตู เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน

 

 

 


ตอนที่ 543

 

องค์ท่าน 

 


 


เมืองเหวินหวานนั้นเป็นถนนที่ทอดยาวไปจนถึงประตูเหล็กและสิ้นสุดตรงนั้น 


 


 


หลังจากที่ร้านรวงปิดกันหมด แสงที่ส่องสว่างมีเพียงแสงจากป้ายนีออนที่เขียนว่า ‘เมืองเหวินหวาน’ เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อทำตามกฎที่ว่าหากร้านยังเปิดต้องเปิดไฟป้ายร้านตอนกลางคืนไว้ 


 


 


ตอนนี้เขาเริ่มลังเลที่จะเข้าไปแล้วเนื่องจากเขามีศิลาวิญญาณติดตัวไว้เยอะเกินไป ตลาดมืดแบบนี้ คนจะซื้อไปได้เท่าไหร่กันนะ อันที่จริงตอนนี้เขาชักเริ่มอยากเอาไปขายให้เพื่อนในเครือข่ายฟ้าดินแทนแล้ว ถ้าพวกเขาเสนอราคาดีๆ มาให้ 


 


 


หลังจากที่คิดไตร่ตรองดูดีๆ หลี่ว์ซู่ก็โทรหาจงอวี้ถัง 


 


 


“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…” 


 


 


บ้าอะไรเนี่ย! หลี่ว์ซู่หน้าตึง นี่จงอวี้ถังบล็อกเบอร์เขาเหรอ 


 


 


หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปลี่ยนไปโทรหาเนี่ยถิง 


 


 


“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกปิดเครื่องอยู่ในขณะนี้…” 


 


 


“ดี! ทำกันแบบนี้แหละ อย่ามาเสียใจกันทีหลังนะ” หลี่ว์ซู่ส่งเสียงเยาะ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขายศิลาวิญญาณที่ตลาดมืดมันนี่แหละ! 


 


 


เขาเคยคิดจะขายให้พวกชาวต่างชาติอยู่เหมือนกัน แต่ราคาขายในประเทศจีนสูงกว่า เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนจำกัดการขายเพราะมีศิลาวิญญาณอยู่ในจำนวนไม่มาก เพราะฉะนั้นถ้าขายในต่างประเทศคงไม่ได้ราคาดีเท่าไหร่นัก 


 


 


เขาไม่อยากกดราคาขายลงหรอก… 


 


 


เขาพยายามมากกว่าจะได้ศิลาวิญญาณมาเก้าหมื่นสองพันเม็ดมา นอกจากจะลอบเข้าโกดังไปจิ๊กมาแล้ว เขายังแอบหยิบมาจากพิธีกรรมเลือดอีกด้วย 


 


 


ขณะเดียวกันนั้นเอง จงอวี้ถังที่กำลังยุ่งอยู่กับเอกสารในเมืองอวี้โจวก็มองโทรศัพท์ที่มีสายโทรเข้ามาอย่างลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับสายจนกระทั่งหน้าจอดับไปเอง เขาไม่ได้บล็อกเบอร์หลี่ว์ซู่หรอก แต่เขาเปลี่ยนเสียงโทรเข้าเป็น ‘ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…’ หลังจากที่หลี่ว์ซู่โทรมากวนเขาบ่อยเกินไป… 


 


 


ในขณะเดียวกัน เนี่ยถิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องควบคุมชั้นล่างที่ตรอกหลิงจิ้งก็พึมพำขึ้นมาขณะมองไปที่จอหลายพันจอในคราวเดียว “เขาเจอตลาดมืดเข้าแล้วสิ ดูเขาจะรีบอยากขายของที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพเร็วๆ นะ” 


 


 


สือเสวจิ้นพลิกหน้ากระดาษจากหนังสือเย็บกี่แล้วถาม “ไม่กลัวเขาไปก่อเรื่องใหญ่อีกเหรอ จะไปขายอะไรไม่รู้ตั้งมากมายภายในครั้งเดียว แน่ใจนะว่าคุณจะไม่เข้าไปยุ่งน่ะ” 


 


 


“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่น่าจะเก็บไว้กับตัวมากขนาดนั้น แม้จะมีอยู่บ้างก็เถอะ” เนี่ยถิงตอบพลางนวดหว่างคิ้ว “ระบบของกลุ่มทวยเทพเข้มงวดพอตัว ตอนนั้นทาคาชิมะเองก็ประจำอยู่ในป้อมปราการด้วย เขาคงไม่มีโอกาสเอาอะไรออกมาได้เยอะขนาดนั้น” 


 


 


สือเสวจิ้นเหลือบมอง “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ…” 


 


 


… 


 


 


หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปข้างในแล้วเคาะประตูเหล็ก เสียงเคาะดังสนั่นทำลายความเงียบในตอนกลางคืนไปหมด 


 


 


หน้าต่างเล็กๆ หลังประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ง หลี่ว์ซู่สบตาเข้ากับผู้ชายร่างผอม ดูเจ้าเล่ห์ ไว้หนวดคนหนึ่ง เขาส่องคบไฟมาที่หน้าต่าง ผู้ชายคนนั้นถามขึ้นมาพร้อมกับลอบสังเกตผู้มาเยือน “ที่นี่เป็นที่พักขององค์ท่าน แกเป็นใคร” 


 


 


หลี่ว์ซู่ชะงักไป ที่พักขององค์ท่านเหรอ ท่านไหนล่ะ 


 


 


แต่ก่อนที่เขาจะตอบ ชายคนนั้นก็หมดความอดทนเสียแล้ว “ฉันถามว่าแกเป็นใคร” 


 


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด เขาไม่น่าได้เข้าไปถ้าไม่บอกชื่อศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ เขาเลยลองหยั่งเชิงไปว่า “ฉันคือกัสสปะ [1]” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +199] 


 


 


หวังเจ๋อไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “องค์ท่านเป็นคำเรียกที่สูงส่ง เขาไม่จำเป็นต้องมีชื่อศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ไม่เหมือนกัสสปะของแกหรอก” แล้วเขาก็รีบปิดประตูใส่หลี่ว์ซู่ทันใด แต่ว่าประตูไม่ยอมขยับเขยื้อนสักนิดด้วยแรงต้านของหลี่ว์ซู่… 


 


 


“ฉันเป็นคนขายของ” หลี่ว์ซู่พูด 


 


 


“ใครส่งแกมา” หวังเจ๋อมองไปข้างๆ 


 


 


คำถามเขาดึงความสนใจจากหลี่ว์ซู่ได้มาก แทนที่จะถามว่ามาขายอะไร แต่หมอนี่กลับถามว่าใครส่งเขามา นี่ไม่เหมือนกับตอนที่เขาไปตลาดมืดครั้งที่แล้ว ที่นี่ดูจะมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า รักษาความลับดีกว่า ในขณะที่ที่อื่นๆ นั้นสนใจอยากได้ของไวๆ 


 


 


เป็นมืออาชีพน่าดูเลยนะ ที่นี่แหละ ตลาดมืดที่เขาตามหา 


 


 


แต่จะเข้าไปยังไงล่ะถ้าบอกชื่อคนแนะนำไม่ได้ 


 


 


หวังเจ๋อเอ่ยอย่างเหนือกว่า “ถ้าไม่มีชื่อคนแนะนำก็จ่ายค่ามัดจำมาสามแสนหยวนเป็นค่าเข้า ตอนออกไปค่อยมาเอาคืน ถ้าขายให้ลูกค้าได้มากกว่าสามคนถึงจะกลายเป็นลูกค้าเก่าของที่นี่” 


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเอาศิลาวิญญาณยื่นผ่านหน้าต่าง ตามราคาตลาดแล้ว นี่น่าจะรวมเป็นราคามากกว่าสามแสนหยวน 


 


 


ว่ากันตามตรงแล้ว ราคานี้ไม่ได้สูงเกินไปเลย ถ้าดูจากความต้องการซื้อรายปีของลูกค้า ซึ่งก็น่าจะน้อยว่าสองหมื่น 


 


 


แต่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าด้วย ผู้บำเพ็ญสามารถใช้ศิลาหนึ่งเม็ดเพื่อช่วยในการฝึกครบหนึ่งรอบ 


 


 


มีใครหลายคนพยายามจะอัปราคาศิลาวิญญาณแต่กไม่สำเร็จ เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนกำหนดราคา และคนซื้อก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดที่จะไม่รู้ราคา พวกลูกค้าจะซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลเท่านั้น 


 


 


ประตูเหล็กเปิดออก หวังเจ๋อมองมาที่หลี่ว์ซู่แล้วพูดขู่ “ทำตัวดีๆ ในที่ขององค์ท่านล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้ออกไปแบบร่างไร้วิญญาณ ห้ามใช้ความรุนแรงหรือฉ้อโกงที่นี่ด้วย ไม่งั้นโดนหักแขนหักขาแน่ถ้าองค์ท่านจับแกได้ แกรู้ชื่อท่านไหม” 


 


 


“…ไม่อะ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +299!] 


 


 


“บ้านนอกคอกนาจริง” หวังเจ๋อทำตัวเย็นชากว่าเดิม “ชื่อของท่านยังไม่เคยได้ยิน กล้าเรียกตัวเองเป็นคนเมืองลั่วได้ยังไง” 


 


 


หลี่ว์ซู่ก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน แล้วแกรู้ไหมว่าแกกำลังพูดอยู่กับใคร! หลี่ว์ซู่หยุดคิดพักหนึ่ง ใบหน้าขุ่นตึง 


 


 


“แล้วรู้จักหลี่ว์ซู่ไหม” 


 


 


“รู้สิ! ฮีโร่แห่งชาติหลี่ว์ซู่ ใครๆ ในเมืองลั่วก็รู้จักเขากันทั้งนั้น” หวังเจ๋อหัวเราะเย้ยหยัน เจ้าหมอนี่กล้ามาวัดความรู้เขางั้นเหรอ… 


 


 


“…แล้วรู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าลึก 


 


 


“…รู้สิ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่อยากจะเถียงกลับเพราะหวังเจ๋อไม่น่ารู้จักสี่ยวอวี๋ เขาคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้เลย 


 


 


“เดี๋ยวนะ แล้วไปรู้สึกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ยังไง” หลี่ว์ซู่งง 


 


 


“โอ๊ย ใครในเมืองเหวินหวานไม่รู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กัน เดือนก่อนมีไอ้โง่ที่ไหนไม่รู้ไปแกล้งเธอ ตอนนี้ชีวิตพวกนั้นบัดซบป่นปี้กันหมด” หวังเจ๋อแยกเขี้ยว 


 


 


“อย่างนี้นี่เอง” หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึเน “แล้วใครเก่งกว่าล่ะ องค์ท่านของนายหรือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋” 


 


 


“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ท่านอยู่แล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูแข็งแกร่งก็เพราะมีสัตว์วิเศษและมีสหายร่วมรบของพี่ชายคอยช่วย เธอมีเครือข่ายฟ้าดินหนุนหลังอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เราไม่ไปยั่วอารมณ์เธอน่ะ แต่ถ้าเกิดเธอมาสร้างปัญหาละก็ องค์ท่านเองก็มีเส้นสายในเครือข่ายฟ้าดินเหมือนกัน” หวังเจ๋อทำท่าเป็นเชิงบอกให้หลี่ว์ซู่เดินเข้ามา 


 


 


หลี่ว์ซู่บอกไม่ได้เลยว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่หรือเปล่า เขายิ้มอย่างเยือกเย็น ใบหน้ามีความอาฆาตอาบอยู่ 


 


 


“พี่ชาย ฉันว่าถ้าเป็นละครละก็ นายคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนที่สามหรอก อยากรู้ไหมว่าทำไม” 


 


 


“ทำไมล่ะ” 


 


 


“เพราะนายรู้มากเกินไปยังไงล่ะ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] พระกัสสปพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ 

 

 

 


ตอนที่ 544

 

ผังครอบครัว

พอเข้ามาข้างมาข้างในแล้ว ก็มีประตูหนึ่งทางด้านซ้ายที่มีคนเฝ้าอยู่สองสามคน พวกเขากำลังดื่มเอ้อร์กัวโถว [1] กับถั่วทอดเป็นขนมกับแกล้มภายใต้แสงสลัวๆ พวกเขาทักทายหลี่ว์ซู่ด้วยสายตาเยือกเย็น 


 


 


ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะเดินเข้าไปถึงปลายถนน หวังเจ๋อก็รีบกลับไปยังประตูหลังจากได้รับข้อความ ทว่าคราวนี้ประตูกลับเปิดออกกว้าง 


 


 


“ท่านคงเป็นคุณเกาสินะครับ ‘ท่าน’ ได้สั่งให้เราพาคุณชมสถานที่ ตามสบายเลยนะครับ ถ้าถูกใจสิ่งไหนก็บอกเราได้เลย” หวังเจ๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบประแจง 


 


 


กลุ่มคนห้าคนเดินผ่านประตูเข้ามาข้างใน เสื้อคลุมตัวใหญ่ของผู้นำกลุ่มนั้นถูกปลดออก เผยให้เห็นชุดสูทสีขาวข้างใน เขามีท่าทีสง่าผ่าเผย ด้านหลังเขาคือนักสู้ระดับ D ส่วนที่ด้านข้างเขาเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่เดินประกบมา ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่สามารถจับคลื่นพลังจิตวิญญาณอะไรได้จากตัวเธอเลย 


 


 


ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็ต้องสัมผัสอะไรได้บ้าง จะเป็นคลื่นพลังจิตวิญญาณแม้เพียงน้อยนิดหรืออะไรก็เถอะ เพราถึงอย่างไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็ประกอบไปด้วยอนุภาคของพลังจิตวิญญาณ กระนั้นเด็กสาวคนนี้ราวกับมีเกราะบังพลังจิตวิญญาณเอาไว้ 


 


 


หลี่ว์ซู่ลอบสังเกตเธออย่างระมัดระวัง บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบผู้หญิงตัวสูงขนาดนี้ เธอใส่เสื้อกันลมสีแดงที่รูดซิปปิดมาถึงจมูก ยากมากที่จะระบุว่าคนคนนี้เป็นเพศอะไรหากไม่เห็นเค้าโครงหน้าที่ดูเป็นผู้หญิง 


 


 


ส่วนสูงของหลี่ว์ซู่นั้นอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แต่เด็กสาวตรงหน้ากลับตัวสูงเท่าเขา… 


 


 


หลี่ว์ซู่ก้าวหลบไปด้านข้างเพื่อให้คนกลุ่มนี้เดินเข้าไปก่อน คุณเกาและเด็กสาวไม่สนใจเขาเลยสักนิด ในขณะที่บอดี้การ์ดอีกสามคนจ้องคนอื่นไปทั่วด้วยสายตาเย็นเยือก 


 


 


เด็กสาวที่เดินนำหน้าเอ่ยเสียงหวาน “แล้วองค์ท่านล่ะ ฉันล่ะกลัวว่าพวกเขาจะเป็นแค่พวกทึ่มที่ไม่เคยเห็นโลกรึเปล่า ทุกวันนี้พวกท่านน่ะไม่ค่อยมีค่าอะไรหรอก” 


 


 


หวังเจ๋อและคนอื่นๆ กลั้นหายใจทันที พวกเขารู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในจุดที่จะไปพูดจากระทบกระทั่งกลุ่มคนตรงหน้าได้ ทว่าหลี่ว์ซู่กลับเอ่ยถามเสียงขุ่น 


 


 


“หมิ่นองค์ท่านของพวกเรางั้นเหรอ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเกาชัง +199] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย +269] 


 


 


หลี่ว์ซู่มีความรู้สึกว่าน่าหลานเชวี่ยน่าจะเป็นผู้นำที่แท้จริงของกลุ่มนี้ เพราะงั้นเขาเลยพยายามยั่วโทสะเธอให้ได้แต้มอารมณ์เพื่อจะได้รู้ชื่อ แต่ใครจะรู้ บางทีซีเฟ่ยอาจช่วยสืบหาประวัติของเธอให้หลี่ว์ซู่ได้ก็ได้ 


 


 


กลุ่มคนพวกนั้นเหลือบมองมาที่หลี่ว์ซู่ด้วยความตกใจ แต่น่าหลานเชวี่ยกลับไม่สะทกสะท้าน หวังเจ๋อตกใจสุดขีด องค์ท่านไปเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่! เขารีบอธิบายทันที “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนของเราครับ เชื่อผมเถอะ” 


 


 


คุณเกาหัวเราะ “ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ไปกันเถอะครับ” จากนั้นทั้งกลุ่มก็เดินตามหวังเจ๋อไปในกระท่อม หลี่ว์ซู่เดินตามหลังพวกเขาไป 


 


 


ในนั้นมีทางเดินลงไปตรงมุม มีป้ายที่ส่องสว่างจากหลอดไฟใส่ไส้อยู่สองข้างทาง มันอ่านได้ว่า ‘ยอด PLA [2]’ 


 


 


ดูก็รู้ว่าที่นี่เคยเป็นหลุมหลบระเบิดมาก่อน 


 


 


ใครจะรู้ว่ามันจะถูกเปลี่ยนมาเป็นตลาดมืดในสมัยนี้ พอเดินลึกลงไปก็ได้ยินเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ในอุโมงค์ และในขณะนั้น หลี่ว์ซู่ก็ได้ยินเสียงใครสักคนกรีดร้อง “กัดมัน! กัดคอมันเลย!” 


 


 


กลิ่นข้างล่างนี่ไม่ค่อยเหม็นอย่างที่หลี่ว์ซู่คิดไว้ สงสัยคงเพราะเพิ่งปรับปรุงระบบระบายอากาศใหม่ หลี่ว์ซู่เริ่มสงสัยว่าองค์ท่านในตำนานนี้คือใครกันแน่ 


 


 


ทำไมเขาถึงดำเนินธุรกิจตลาดมืดขนาดใหญ่แบบนี้ได้ภายใต้จมูกของเครือข่ายฟ้าดิน 


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นคนยืนล้อมบริเวณรั้วอยู่ ในรั้วมีสุนัขสองตัวกำลังสู้กันอย่างดุเดือด สุนัขตัวหนึ่งดูแข็งแรงและบอกไม่ได้ว่าคือสายพันธุ์อะไร มันถูกกระชากโยนไปกระแทกกับผนังรั้วเสียงดังปัง แต่ผนังไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย พวกนักพนันเห็นแบบนั้นก็เฮกันใหญ่ 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่แท้สุนัขสองตัวนั้นก็เป็นสัตว์วิเศษระดับ F นั่นเอง 


 


 


คนพวกนี้รวยกันขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย มาพนันสัตว์วิเศษสองตัวสู้กันเนี่ยนะ 


 


 


ข้างนอกนั่นมีพนักงานที่รับผิดชอบจดบันทึกข้อมูลการพนัน จำนวนเงินที่ถูกลงพนันและชื่อคนพนันถูกเขียนลงในนั้นอย่างชัดเจน 


 


 


มีร้านค้าอยู่ในหลุมหลบระเบิดนี่ราวๆ ร้อยร้านได้ หลี่ว์ซู่สงสัยว่าอาจจะมีทางออกอีกทางในนี้ เอาไว้ให้เจ้าของได้หลบหนีเผื่อว่ามีคนของเครือข่ายฟ้าดินมาทลายที่แห่งนี้ แต่เขาก็ยังไม่เห็นทางออกที่ว่านั่น 


 


 


หลี่ว์ซู่เลยตัดสินใจส่งเจ้ากระรอกไปเพื่อตรวจดู การใช้งานพวกหนูในงานนี้ถือว่าเหมาะเลย เพราะพวกมันจะได้ช่วยกันชุดดูว่ามีทางออกไหนบางในหลุมหลบระเบิดนี้ 


 


 


ขณะนั้น หวังเจ๋อก็ปรี๊ดแตกที่เห็นหลี่ว์ซู่ยังตามพวกเขามา “ไหนบอกว่ามาขายของไง ขึ้นไปขายข้างบนเร็วเข้าสิ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พอเขาเจอที่เหมาะๆ สำหรับตั้งแผงขายของแล้ว เขาก็ตะโกนขึ้นมา ในมือถือกุยช่ายเอาไว้ 


 


 


“กุยช่ายจ้า! กุยช่าย! ผู้ชายกินจะปึ๋งปั๋ง ผู้หญิงกินจะเด็ดสะระตี่ ถ้ากินทั้งผู้ชายผู้หญิงรับรองว่าเตียงพังแน่นอน…” 


 


 


หวังเจ๋อหัวหมุน “พี่ชาย ไม่ต้องมาขายกุยช่ายที่นี่ก็ได้ ขึ้นไปขายข้างนอกเอาก็ได้นี่ เครือข่ายฟ้าดินไม่ได้ห้ามขาย” 


 


 


“นี่นายรังเกียจกุยช่ายฉันเหรอ” 


 


 


“…ไอ้เวรนี่” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +666!] 


 


 


ที่หวังเจ๋อพูดมาก็มีเหตุผล เพราะถ้าขายอะไรได้ในตลาดมืดก็ต้องแบ่งรายได้ให้องค์ท่านสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนจ่ายค่าภาษี 


 


 


น่าหลานเชวี่ยก็ส่งสายตาดูถูกดูแคลนมาที่หลี่ว์ซู่ ช่างเป็นคนขายกุยช่ายที่น่าสมเพชจริงๆ 


 


 


ในตลาดมืดนั้น ลำดับขั้นถือว่าสำคัญมาก พวกลำดับบนจะขายอาวุธวิญญาณ ลำดับรองลงมาก็จะเป็นขายสัตว์วิเศษ ตามมาด้วยศิลาวิญญาณและของที่กินได้ตามลำดับ 


 


 


จู่ๆ ชายวัยกลางคนที่ขายของแผงข้างๆ ก็ยิ้มแล้วเอ่ยถามหลี่ว์ซู่ด้วยความสนอกสนใจ 


 


 


“กุยช่ายนี่เท่าไหร่น่ะ” 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่กำลังจับตาดูเกาชังและน่าหลานเชวี่ยอยู่ด้วยหางตา เขาเลยตอบออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก 


 


 


“ก้านละสามร้อยหยวน แต่สามก้านหนึ่งพันหยวน” 


 


 


“เออดี งั้นเอามาสามก้าน” 


 


 


หลี่ว์ซู่รับเงินมาแล้วยื่นกุยช่ายสามก้านไปให้ แต่ทันใดนั้นผู้ชายคนที่มาซื้อก็เพิ่งนึกออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ 


 


 


“พี่ชาย เคยขายหนูอ้นมาก่อนไหม หนูตัวหนึ่งราคาสามหยวน แต่หนูสามตัวสิบหยวน” [3] 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเฉินป๋อคัง +666!] 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของจีนที่มีดีกรีแอลกอฮอล์ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทำมาจากข้าวฟ่าง 


 


 


[2] ตัวย่อ PLA มาจากคำว่า People’s Liberation Army หรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนซึ่งเป็นกองทัพทหารของจีน 


 


 


[3] เป็นเรื่องตลกที่โด่งดังในโลกอินเทอร์เน็ตของจีน 

 

 

 


ตอนที่ 545

 

แผ่นเหล็กที่แท้จริง

ถ้าจะทิ้งเงินไปเฉยๆ คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ หลี่ว์ซู่จึงเก็บเงินเข้ากระเป๋าแล้วถามออกไปด้วยความสงสัย 


 


 


“พี่ชาย คนพวกนี้เพิ่งเคยมาที่นี่กันครั้งแรกเหรอ” 


 


 


“ก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่แหละ แต่คนจำพวกนี้น่ะเห็นบ่อยแล้ว คงจะมาจากตระกูลนั้นนั่นแหละ เราอาจจะต้องย้ายกันอีกแล้ว” เฉินป๋อคังตอบขณะจุดบุหรี่ขึ้นสูบ 


 


 


“ทำไมต้องย้ายล่ะ ไม่ดีใจกันเหรอที่คนรวยๆ มาที่นี่” หลี่ว์ซู่งง 


 


 


“เหอะๆ ดูแล้วนายคงไม่ได้ออกไปข้างนอกเท่าไหร่สินะ พวกเรานำเข้าศิลาวิญญาณจากต่างประเทศมาขายเอากำไร แต่พอพวกคนพวกนี้มาเราก็ขายกันยากขึ้น พวกนี้ไม่จริงใจเรื่องการซื้อศิลาวิญญาณหรอก” เฉินป๋อคังตอบอย่างแฝงความนัย 


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่ก็เข้าใจ ว่ากำไรที่พวกผู้บำเพ็ญพวกนี้ได้จากการขายศิลาวิญญาณนั้นก็คือค่าเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง พวกเขาไม่สามารถเดินตามเส้นทางปกติได้ แต่ถึงยังไงคนพวกนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญอยู่ดี พวกเขาสามารถข้ามภูเขาไปขนศิลามาจากต่างประเทศได้ ส่วนกำไรที่ได้จากการขายก็เอามาดูแลชีวิตตัวเอง 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่แอบสงสัยเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าพวกคนรวยพวกนี้มากว้านซื้อศิลาไปเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวเหล่านี้ก็ต้องมีเงินไหลเข้ามาและอยู่กันอย่างสบายขึ้นสิ มีอุปสงค์ก็ต้องมีอุปทาน 


 


 


เฉินป๋อคังหัวเราะ “นายพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเซี่ยโจวใช่ไหม ฉันก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน จริงอยู่ที่ศิลาเม็ดหนึ่งขายได้สามแสนหยวน แต่ตระกูลนั้นน่ะเล่นแง่ พวกเขาจะเพิ่มราคาซื้อสินค้าขึ้นมาแล้วบอกว่าจะช่วยเรา หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้อำนาจที่มีควบคุมตลาดมืดทั้งหมด ทำธุรกิจกับคนพวกนี้ก็ต้องจ่ายเงินค่าส่วนแบ่งให้ด้วย ตอนแรกก็ขายไม่ค่อยได้กำไรอยู่แล้ว ยังจะมาขอค่านายหน้าเพิ่มอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ นี่มันบีบให้ออกไปขายที่อื่นชัดๆ ฉันก็เลยย้ายมาเมืองลั่วนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าพวกมันก็ยังจับตาดูที่นี่ด้วย” 


 


 


นั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น พวกตระกูลใหญ่นั่นก็เลยหันมาสนใจธุรกิจตลาดมืดใต้ดินนี้แทนเพราะไปแทรกแซงเครือข่ายฟ้าดินไม่สำเร็จ การที่น่าหลานเชวี่ยกับเกาชังมาที่นี่ก็หมายความว่ามีพวกตระกูลอื่นๆ อยากเข้ามาควบคุมตลาดมืดที่เมืองลั่วนี่เหมือนกัน แบบเดียวกับที่ตระกูลที่คุมตลาดมืดในเซี่ยโจวทำ 


 


 


 


 


 


ขณะเดียวกัน วิทยาลัยผู้บำเพ็ญเจ็ดแห่งจากทั่วประเทศก็มารวมตัวกันเริ่มฝึกฝน พวกเขากลัวกันว่าในอนาคตพวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวจะค่อยๆ มารวมตัวกันบริเวณนี้ แค่นี้การมีอยู่ของตลาดมืดในพื้นที่นี้ก็เยอะกว่าเมืองอื่นๆ อย่างก้าวกระโดดแล้ว 


 


 


ตลาดมืดจะต้องคำนึงถึงการไหลเวียนของสินค้าเป็นอันดับแรก นอกจากเจ็ดวิทยาลัยผู้บำเพ็ญแล้ว ที่อื่นๆ มีผู้บำเพ็ญมากกว่านี้อีกไหม คำตอบคือไม่ 


 


 


การที่ผู้บำเพ็ญจะเลือกไปอยู่ที่เมืองใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ามีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณในเมืองนั้นมากแค่ไหน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องฝึกฝนตัวเองร่วมด้วย ขนาดเครือข่ายฟ้าดินเองยังต้องคำนึงถึงตำแหน่งที่ตั้งก่อนจะสร้างโรงเรียน โดยบริเวณโรงเรียนจะต้องมีความเข้มข้นของพลังจิตวิญญาณมากกว่าที่ไหนๆ ในเมืองนั้น 


 


 


ผู้บัญชาการทหารหลายๆ คนที่มาจากตระกูลใหญ่ต่างก็แก่งแย่งที่ในเมืองลั่วกันทั้งนั้น 


 


 


เกาชังและน่าหลานเชวี่ยเดินเข้ามา พวกเขาไม่สนใจอุปกรณ์หรือสินค้าใดทั้งนั้น แต่กลับหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นศิลาวิญญาณวางขาย 


 


 


“ฉันให้สามแสนสองร้อยหยวนต่อหนึ่งเม็ด และขอเหมาหมดนั่น” 


 


 


คนขายแผงลอยหน้าเกาชังเอ่ยอย่างชื่นใจ “นายครับ ผมมีแค่สองเม็ดเท่านั้น แต่กว่าจะได้มาก็ยากลำบากไม่น้อย เกือบโดนเครือข่ายฟ้าดินจับได้แล้ว…” 


 


 


“งั้นสามแสนสามร้อยหยวน” น่าหลานเชวี่ยเริ่มรำคาญ เธอดูไม่ได้อยากมาต่อราคา เธอแค่อยากกดราคาคนขาย 


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าผู้หญิงท่าทีตรงไปตรงมาเบื้องหน้าเองก็ดูเคี้ยวยากเหมือนกัน… 


 


 


นอกจากนี้เธอยังพกเงินมาเยอะด้วย พอตกลงราคากันได้แล้ว บอดี้การ์ดข้างหลังก็เอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกมาจัดแจงโอนเงินให้คนขาย 


 


 


หลี่ว์ซู่มั่นใจยิ่งกว่าเดิมว่าน่าหลานเชวี่ยคนนี้คือหัวหน้าที่แท้จริงของกลุ่ม เพราะหากไม่ใช่แล้วจะสามารถกำหนดราคาแบบนี้ได้ยังไง 


 


 


ส่วนเกาชังก็คงเป็นนายหน้าให้กับตระกูลของน่าหลานเชวี่ย แต่หลี่ว์ซู่ก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมน่าหลานเชวี่ยถึงลงมาที่ตลาดมืดเพื่อซื้อสำหรับช่วยฝึกฝนด้วยตัวเองแบบนี้ 


 


 


พอพวกคนขายได้ยินราคาที่น่าหลานเชวี่ยเสนอก็รีบกรูกันเข้ามา พวกเขามีศิลากันไม่มากหรอก แค่คนละหนึ่งถึงสองเม็ดเท่านั้น ที่มีมากที่สุดก็คือห้าเม็ด แต่เกาชังก็ไม่ได้ปฏิเสธคนไหนเลย พวกเขากว้านซื้อศิลาทั้งหมดที่คนขายมี 


 


 


คนขายบางคนก็พยายามจะกำหนดราคาของเอง ทว่าเกาชังไม่สนใจพวกเขาเลยสักนิด ถ้าน่าหลานเชวี่ยไม่ได้พูดอะไร เขาก็จะไม่เพิ่มราคาให้แม้แต่สตางค์เดียว 


 


 


น่าหลานเชวี่ยมองไปที่หวังเจ๋อแล้วหัวเราะ “องค์ท่านของแกไปไหนแล้วเสียล่ะ ไม่เห็นหน้าเลย” 


 


 


หลี่ว์ซู่ตาเป็นประกายทันที เขาก็อยากรู้ว่าองค์ท่านเป็นใครกันแน่ แต่เขารู้ว่าการที่น่าหลานเชวี่ยอยากพบองค์ท่านนี่คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ แน่ 


 


 


เธอกับตระกูลของเธอมาเพื่อควบคุมตลาดมืด ถ้าองค์ท่านคนนี้ไม่สามารถต่อกกับอำนาจของตระกูลใหญ่ได้ เขาก็คงถูกควบคุมด้วยแน่นอน หรือไม่ก็ถูกกำจัด… แบบไหนก็เป็นไปได้ทั้งนั้น 


 


 


“ท่านบอกว่าท่านปวดท้องน่ะครับ” หวังเจ๋อหัวเราะอย่างประจบสอพลอ 


 


 


น่าหลานเชวี่ยและเกาชังมองหน้ากัน พวกเขาไม่คิดว่าคนที่เรียกได้ว่าเป็นผู้คุมตลาดมืดจะไม่ยอมแม้แต่จะออกมาให้เห็นหน้า นี่ยิ่งกว่ากลัวกันเสียอีก เขาคิดว่าตระกูลนี้จะยอมปล่อยไป ไม่ทำอะไรเลยเหรอถ้าเจ้าของไม่ออกมาให้เห็นแบบนี้ 


 


 


ตระกูลของเธอเกรงกลัวเครือข่ายฟ้าดินมาตลอดและไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งด้วย พวกเขาถึงได้ทุ่มเงินปิดสถานที่ให้ปลอดคนภายนอก จะได้ไม่มีเสี้ยนหนามให้รำคาญใจ 


 


 


ตระกูลพวกนี้มักจะใช้ตลาดมืดเป็นที่ทำเงิน แต่เครือข่ายฟ้าดินไม่ไว้หน้าตระกูลเหล่านี้เลย เครือข่ายฟ้าดินกำจัดตลาดมืดทิ้งทุกครั้งหลังจากมีตระกูลใดเข้าไปคุม 


 


 


พวกเครือข่ายฟ้าดินชัดเจนในอุดมการณ์ทีเดียว ใครก็ตามที่คิดว่าอำนาจจะชนะทุกสิ่ง เครือข่ายฟ้าดินก็จะแสดงอำนาจและความแข็งแกร่งนั้นกลับไปเช่นกัน 


 


 


ครั้งนี้ตระกูลของเธอก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่ใครจะไปสู้เนี่ยถิงได้ 


 


 


ทว่าสำหรับองค์ท่านคนนี้คงไม่เข้าใจว่าต่อให้คนตายไปคนสองคนก็ทำลายความมั่นคงอะไรไม่ได้หรอก 


 


 


หากตลาดมืดแหกกฎแล้วสร้างกฎขึ้นมาใหม่ นั่นก็เหมือนกับงูสู้กับมังกรนั่นแหละ 


 


 


ทันใดนั้นก็มีคนร่างใหญ่เดินเข้ามาในหลุมหลบระเบิดพลางดึงกางเกงขึ้น เขาสวมแว่นตากันแดดขนาดใหญ่ไว้บนหน้า “ฮ่าๆๆๆ คงจะเสียมารยาทน่าดูถ้าฉันไม่ได้มารับแขกด้วยตัวเอง สนใจของชิ้นำกนเป็นพิเศษไหมครับ” 


 


 


น่าหลานเชวี่ยกับเกาชังมองหน้ากัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าองค์ท่านจะมาปรากฏตัวเอาตอนนี้ได้ 


 


 


หลี่ว์ซู่เองก็สั่นอยู่ลึกๆ เหมือนกัน ให้ตายเถอะ! ถึงจะใส่แว่นกันแดดปิดหน้าแต่รูปร่างท่าทางแบบนี้หลี่ว์ซู่คุ้นเคยดี! 


 


 


ราชันฟ้าหลีอีเสี้ยวหายหน้าหายตาไปช่วงนี้ โผล่มาอีกทีก็มาเป็นองค์ท่านในตลาดมืดใต้ดินแบบนี้เนี่ยนะ! ราชันฟ้าผู้เป็นที่เล่าขานมาเปิดตลาดมืดเอง… อะไรฟะเนี่ย! 


 


 


ที่หวังเจ๋อพูดว่าองค์ท่านของเขามีเส้นสายในเครือข่ายฟ้าดินน่ะไม่ใช่แล้ว องค์ท่านของแกเป็นราชันฟ้าเองเลยโว้ย! 


 


 


ฮ่าๆ หลี่ว์ซู่อยากรู้ว่าพอตระกูลใหญ่เจอราชันฟ้าหลีอีเสี้ยวตัวจริงเสียงจริงขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันนะ… 

 

 

 


ตอนที่ 546

 

ซีนหนังรักแบบฉบับ

การปรากฏตัวของหลี่อีเสี้ยวนี่นช่างเป็นอะไรที่เฉพาะตัวมาก เกาชังและน่าหลานเชวี่ยคิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะอ้างว่าไม่สบายเพื่อหลบหนีออกไป แต่เขากลับมาปรากฏตัวขณะดึงกางเกงขึ้นไปด้วยแบบนี้เนี่ยนะ 


 


 


หลี่ว์ซู่เองพยายามคิดว่าสมาชิกคนไหนในเครือข่ายฟ้าดินกันนะที่องค์ท่านคนนี้รู้จัก แต่ไม่ใช่ใครที่เขาคิดเลยสักนิดเดียว องค์ท่านคนนี้ดันเป็นราชันฟ้าเสียเอง! 


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังคิดว่าที่หลี่อีเสี้ยวมาคุมตลาดมืดในเมืองลั่วนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเครือข่ายฟ้าดินหรือเปล่า หรือเป็นการตัดสินใจลับๆ ของหลี่อีเสี้ยวเอง 


 


 


ถ้าเกี่ยวกับเครือข่ายฟ้าดินจริง เนี่ยถิงก็ต้องรู้เรื่องนี่แน่ แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าสถานการณ์มันไม่น่าจะซับซ้อนถึงขนาดนั้น… 


 


 


หลี่อีเสี้ยวคิดว่าไม่มีใครจำเขาได้ตอนที่เขาใส่แว่นกันแดดอันใหญ่นี่หรอก แต่ความเป็นจริงแล้วทั้งหน้าและหุ่นของหลี่อีเสี้ยวนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเขามาก ใครที่รู้จักเขายังไงก็ต้องจำได้ภายในทันที 


 


 


แถมไอ้เจ้าแว่นกันแดดนั่นก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าใหญ่ๆ อ้วนๆ นี่ได้หรอก แต่หลี่ว์ซู่ไม่มีแรงจะไปล้อเขาตอนนี้ เขาไม่คิดว่าเนี่ยถิงจะแนะนำให้หลี่อีเสี้ยวทำแบบนี้ เพราะเนี่ยถิงคงไม่ยอมให้หลี่อีเสี้ยวหลอกลวงตัวเองหรอก 


 


 


ยิ่งกว่านั้นพวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวอย่างหวังเจ๋อ หรือตระกูลผู้บำเพ็ญที่ไหนบ้างที่จะไม่มีข้อมูลของหลี่อีเสี้ยว 


 


 


หลี่อีเสี้ยวหัวเราะแล้วเอ่ยถาม “ว่าไงล่ะ มีของอะไรที่สนใจบ้างไหม” 


 


 


เกาชังสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบ “ราชันฟ้าหลี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย…” 


 


 


“ราชันฟ้า? ราชันฟ้าอะไรกัน” หลี่อีเสี้ยวเลิ่กลั่ก “อย่าล้อกันเล่นให้ใจหายแบบนี้สิ!” 


 


 


จากใจสหายร่วมรบกับหลี่อีเสี้ยวที่โบราณสถานเกาะช้างมา หลี่ว์ซู่อายเสียจนอยากจะเอาปี๊บคลุมหัว 


 


 


เกาชังหน้าตึง “ราชันฟ้าหลี่ ไม่เห็นจะต้องทำแบบนี้เลย…” 


 


 


“บ้าบอน่า!” หลี่อีเสี้ยวลนลานใหญ่ “ฉันคือองค์ท่านต่างหาก ฉันไม่รู้จักราชันฟ้าหลี่ราชันฟ้าหม่าอะไรทั้งนั้น” 


 


 


เกาชังและน่าหลานเชวี่ยพูดไม่ออก มั่นใจในทักษะการปลอมตัวของตัวเองอะไรขนาดนั้น! 


 


 


มาตอนนี้ทุกคนในตลาดมืดก็เงียบเสียงลงและพยายามจะเข้ามาดูหน้าหลี่อีเสี้ยวกัน เหตุการณ์แบบนี้มันช่างหมิ่นเหม่เสียเหลือเกิน พวกเขาไม่อยากโดนเครือข่ายฟ้าดินจับได้หรอกนะ หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าสาเหตุที่เครือข่ายฟ้าดินยอมผ่อนปรนกับผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวนั้นคงเป็นเพราะเขาเป็นแค่คนนอกที่ยืนดูเฉยๆ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงในเครือข่ายฟ้าดิน 


 


 


ทว่าผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวที่อยู่ระดับต่ำมากเหล่านี้ไม่รับรู้ถึงจุดประสงค์นี้ พวกเขาเลยกลัวเครือข่ายฟ้ากันมาก 


 


 


พวกเขาวิ่งหาตลาดมืดกันอย่างเป็นระบบระเบียบ แต่สุดท้ายกลับมาเจอว่าผู้คุมตลาดมืดที่นี่เป็นราชันฟ้าเองเสียนี่ อย่างกับในหนังที่นักแสดงเดินกันอยู่ดีๆ แล้วไปเจอกับบอสตัวเอ้เข้าให้ 


 


 


คนตรงหน้านี้คือราชันฟ้าหลี่อีเสี้ยว หลายคนเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา แต่ก็ได้รู้แค่วีรกรรมยิ่งใหญ่ที่เขาทำเท่านั้น ไม่เคยได้เจอตัวเป็นๆ สักที พอเปรียบเทียบลักษณะของเขากับองค์ท่านแล้ว ดูเหมือนว่าจะทั้งอ้วนทั้งแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้เยอะ… 


 


 


พวกหน้าใหม่ถึงกับลนลานกันใหญ่ 


 


 


แต่พวกที่คุ้นเคยกับแวดวงนี้กลับรู้สึกดีใจ พวกเขาเปลี่ยนความคิดด้วยรู้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ทำไมต้องตื่นเต้นด้วย ราชันฟ้าเปิดตลาดมืดเพื่อหาเงินด้วยตัวเองเลยนะ ใครสนกันว่าราชันฟ้าจะทำไปก็เพราะว่าเขาจน ในเมื่อมีเครือข่ายฟ้าดินคุ้มกะลาหัวแบบนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว 


 


 


เกาชังไม่คาดคิดว่าเขาจะมาเจอราชันฟ้าที่นี่ จริงอยู่ที่ตระกูลของน่าหลานเชวี่ยมีอำนาจขึ้นทุกวันๆ ในอาณาจักรสีเทาของการฝึกฝนนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะไปไหนทำอะไร ทุกอย่างก็ง่ายดายราวกับขยี้วัชพืชแห้งทิ้งหรือทุบทำลายไม้ที่ผุแล้ว ไม่มีตลาดมืดที่ไหนที่จะมาต่อกรกับครอครัวของน่าหลานเชวี่ยได้อยู่แล้ว 


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ละตระกูลย่อมมีข้อตกลงลับๆ ร่วมกัน สำหรับแต่ละตระกูลแล้ว ตลาดมืดแต่ละที่จะไม่มีใครครอบครอง พวกเขาจะต้องครอบครองตลาดว่างๆ ก่อนถึงจะย้ายไปต่อได้ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อลดความบาดหมางกันระหว่างตระกูลแต่ละตระกูล หากไม่ยอมทำตาม ตระกูลแต่ละตระกูลก็คงจะไม่ได้กำไรอะไรมากไปกว่าคนตกปลาแก่ๆ จะทำกำไรได้หรอก 


 


 


อย่างไรก็แล้วแต่ ตลาดมืดทั้งหมดนั้นมีตระกูลใหญ่ๆ เหล่านี้ควบคุมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแต่ละตระกูลจะต้องมาตกลงกันเรื่องการแข่งขันทางการตลาดให้ชัดเจน ซึ่งนี่จะข้อตกลงกันลับๆ เท่านั้น 


 


 


แต่เกาชังเองไม่คิดว่าเขาจะมาเจอกับราชันฟ้าเข้าได้ในตำแหน่งยุทธศาสตร์มากที่สุดในเมืองลั่ว! 


 


 


แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ ตระกูลเขาทำอะไรราชันฟ้าไม่ได้อยู่แล้วถึงแม้จะมีอำนาจขนาดไหนก็ตาม หลี่ว์ซู่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างไม่หลบซ่อน เขาอยากรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระกว่างหลี่อีเสี้ยวกับตระกูลนี้ 


 


 


แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตรแบบไม่คาดคิด อยู่ๆ น่าหลานเชวี่ยที่ใช้คอเสื้อนอกปกปิดหน้าของตัวเองก็เปิดหน้าออกมาแล้วพูดเสียงเย็น “จำกันได้หรือเปล่าหลี่อีเสี้ยว!” 


 


 


“เธอนี่เอง!” หลี่อีเสี้ยวหน้าซีด หลี่ว์ซู่เพิ่งจะเคยเห็นหลี่อีเสี้ยวตกใจขนาดนี้เป็นครั้งแรก เขาประหลาดใจ น่าหลานเชวี่ยทำให้หลี่อีเสี้ยวเป็นเอามากขนาดนี้ได้ยังไง 


 


 


พอน่าหลานเชวี่ยพูดเสร็จ เธอก็พุ่งเข้าปะทะหลี่อีเสี้ยวทันที แต่เธอไม่ได้เข้าทำร้ายเขา เธอแค่ปล่อยพลังจำนวนมหาศาลไปในที่แคบๆ 


 


 


“จงเปิด!” 


 


 


หลังจากที่เธอเข้าปะทะแล้ว เธอก็ใช้โอกาสนั้นตอนที่หลี่อีเสี้ยวตกตะลึงอยู่ปล่อยพลังใส่หลี่อีเสี้ยวปะทะเข้ากำแพง ถ้าใช้ส่วนเอวของเธอเป็นจุดสำคัญ แล้วเอาไหล่เข้าโจมตีหลี่อีเสี้ยวเข้าไปติดกำแพงอีกรอบ! 


 


 


ตอนแรกที่หลี่ว์ซู่ได้ยินน่าหลานเชวี่ยตะโกน เขาก็ยังสนุกอยู่ เขายังใช้เวลาเอื่อยๆ ไปกับการเช็กวัดระดับพลังน้ำ แต่ตอนนี้เขาถึงกับตาโต การต่อสู้แบบวรยุทธ์มวยจีนปาจี๋ [1] ถึงกับทำให้หลี่อีเสี้ยวกระเด็นไปติดกำแพง เกิดเป็นหลุมใหญ่ปรากฏบนกำแพงเลยทีเดียว! 


 


 


มวยจีนปาจี๋ที่น่าหลานเชวี่ยใช้ย่อมแตกต่างกับสมัยที่ยังไม่มีการปะทุพลังอยู่แล้ว เขาแอบดูอยู่ห่างๆ เหมือนตอนที่เขาฝึกดาบกับปู่เสียนอี พลังของน่าหลานเชวี่ยมหาศาลอย่างกับภูเขาหนึ่งลูก น่าหลานเชวี่ยใช้พละกำลังของเธอด้วยการใช้มวยจีนปาจี๋เข้าไปถึงพลังเต๋า! มากไปกว่านั้นพลังของเธอยังอยู่ระดับ B อีกด้วย! 


 


 


ก่อนที่เธอจะเริ่มจู่โจม หลี่ว์ซู่ไม่สามารถบอกได้ว่าเธออยู่ระดับไหน แต่พอเธอเริ่มต่อสู้เท่านั้นแหละ เขาก็รู้ทันทีว่าพลังของเธออยู่ระดับ B บางทีเธออาจจะไม่ยอมรับอภัยโทษจากเครือข่ายฟ้าดิน ไม่เหมือนหลี่อีเสี้ยว! 


 


 


น่าหลานเชวี่ยไม่ได้โจมตีรุนแรงหรือออกพลังติดต่อกัน แต่เธอกำลังใช้ความได้เปรียบของสถานการณ์อยู่ ถ้าจะให้สู้กันจริงๆ เธอยังสู้หลี่อีเสี้ยวไม่ได้ 


 


 


น่าหลานเชวี่ยดูไม่กังวลเลยว่าหลี่อีเสี้ยวจะโจมตีกลับมาหรือไม่ เธอถามเสียงกร้าว “ทำไมถึงจากกันไปโดยไม่บอกลาสักคำ!” 


 


 


หลี่ว์ซู่ได้ยินแล้วก็รู้สึกบันเทิง อย่างกับดูหนังแน่ะ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นหนังแอ็กชันที่หลี่อีเสี้ยวเป็นไอ้บ้าขี้อวด แต่พอดูๆ ต่อไปอีกสักก็กลายเป็นหนังรักเฉยเลยแฮะ! 


 


 


ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโมเมนต์ซึ้งๆ เกิดขึ้นกับหลี่อีเสี้ยว แต่ดูเหมือนสถานการณ์นี้จะต่างออกไป… เขาถอนหายใจออกมา ความจริงนี่มันเหนือความคาดหมายจริงๆ ฉยงเหยา [2] ยังไม่กล้าเขียนเรื่องแบบนี้เลยนะเนี่ย หลี่ว์ซู่สังเกตดูสีหน้าของเกาชัง เขายังตะลึงไม่หาย เขาคงไม่คิดว่าน่าหลานเชวี่ยจะมีเรื่องรักเหมือนในหนังหลังจากที่โสดมานาน 


 


 


แต่หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าหลี่อีเสี้ยวนั้นน่าทึ่งยิ่งกว่า เขามัวแต่สนใจในการทำธุรกิจจนไม่รับรู้เลยว่าตระกูลที่เกาชังทำหน้าที่เป็นหน้านายให้นั้นคือตระกูลใด… 


 


 


แต่ก็เอาเถอะ ได้เวลาปูเสื่อชมข้างสนามแล้ว หลี่ว์ซู่นั่งหลังแผงลอยขายของกับพวกผู้บำเพ็ญที่กำลังกินเมล่อนกันอยู่ เขาเฝ้าดูฉากตรงหน้าอย่างมีความสุข… 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ศิลปะการต่อสู้แบบจีนในลัทธิเต๋า ที่ใช้การระเบิดพลังในระยะสั้นๆ 


 


 


[2] นักเขียนและผู้ผลิตละครชาวไต้หวัน รู้จักกันว่าเป็นนักเขียนนวนิยายรักที่เป็นที่นิยมในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เป็นผู้เขียนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ 

 

 

 


ตอนที่ 547

 

ความสัมพันธ์ที่ไร้ความหวัง

หลี่อีเสี้ยวเอ่ยขึ้นอย่างกระวนกระวาย “นี่ไง อยากตีฉันก็ได้ตีแล้ว แล้วทีนี้จะเอาอะไรอีก”


 


 


“ฉันแค่อยากถามว่าตอนนั้นไปแล้วทำไมไม่มาบอกลากันสักคำ” น่าหลานเชวี่ยขู่ฟ่อด้วยความโกรธ เธอเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลาอย่างกับภูเขาไฟ


 


 


“ทำไมไม่ไปถามแม่เธอดูล่ะ”


 


 


“อย่ามาพูดไม่ดีเกี่ยวกับแม่ฉันนะ!” น่าหลานเชวี่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความรำคาญ


 


 


คนดูมองสลับไปมาระหว่างหลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ย เหมือนพวกเขาจะปะทะฝีปากกันแล้วแฮะ สนุกอะไรแบบนี้!


 


 


หลี่อีเสี้ยวขบฟัน “เอาล่ะทุกคน ช่วยตัดสินให้ทีนะ เมื่อก่อนน่ะ แม่เธอจะดูถูกที่ฉันจนยังไงก็ไม่เป็นไรเพราะฉันก็ยังพยายามทำงานหนักหาเงินมาได้ บางครั้งฉันก็คิดอิจฉาพวกที่แม่ยายไม่ชอบเพราะจนหรือไร้ความสามารถจริงๆ เพราะคนพวกนั้นน่ะ ถ้าได้ลองพยายามดูสักหน่อย สถานการณ์ก็ดีขึ้นมาได้แล้ว แต่แม่เธอน่ะไม่เหมือนใคร แม่เธอน่ะเอาแต่ดูดวง เอาเลขวันเดือนปีเกิด โหงวเฮ้งหน้าตา หรือลายมือ เอาไปดูว่าดวงจะสมพงษ์กันไหม แล้วจะให้ฉันเปลี่ยนได้ยังไงเล่า!”


 


 


หลี่ว์ซู่แทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว คนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน พี่ชาย! นี่น่ะไปกันใหญ่แล้ว


 


 


น่าหลานเชวี่ยใช้เวลาคิดว่าจะเถียงกลับอย่างไรอยู่นาน “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจะไปโดยไม่ต้องบอกลากันนี่นา!”


 


 


“ก็แม่เธอบอกว่าฉันจะเป็นอุปสรรคในชีวิตเธอนี่ ให้ตายเถอะ แล้วจะให้ฉันทำยังไง” หลี่อีเสี้ยวเอือมระอา “บอกมาเลยดีกว่าว่าจะเอาอะไร อยากสู้หรืออยากทะเลาะอะไรก็เอาเลย คนอย่างหลี่อีเสี้ยวไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว!”


 


 


“ได้” น่าหลานเชวี่ยหัวเราะเพื่อสะกดกลั้นโทสะ “งั้นมาสู้กัน วันนี้ไม่ฉันก็นายต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”


 


 


ผู้ชมหายใจเข้าเสียงดัง เธอเอาจริงเหรอเนี่ย


 


 


ทันใดนั้นผู้ชมบางคนก็ค่อยๆ เดินออกไปเงียบๆ แค่มวยจีนปาจี๋เมื่อกี้ก็น่ากลัวพอแล้ว ถ้าสองคนนี้สู้กันโดยใช้พลังอย่างเต็มที่จริงๆ ใครจะรู้ว่าจะเกิดพลังทำลายล้างได้แค่ไหน


 


 


อย่าว่าแต่พวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวเลย หลี่ว์ซู่เห็นเกาชังเขยิบไปทางประตูกับด้วยเหมือนกัน…


 


 


หลี่ว์ซู่เตรียมเก็บกุยช่ายและตามกลุ่มคนพวกนั้นไป แต่แล้วก็มีคนมาเหยียบกุยช่ายเขาท่ามกลางความวุ่นวาย!


 


 


เท้านั้นหยุดแน่นิ่ง หลี่ว์ซู่มองขึ้นไปก็เห็นหวังเจ๋อทำหน้ารู้สึกผิด “น้องชาย เดี๋ยวฉันจ่ายค่าผักกุยช่ายคืนให้นะ…”


 


 


“แค่นั้นเหรอ แกต้องขอโทษผักกุยช่ายของฉันด้วย!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +666!]


 


 


“น้องชาย อย่าพูดโง่ๆ สิ ก็เห็นกันอยู่นี่ว่าพวกเขาจะสู้กันตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้าระดับ B สองคนพลาดขึ้นมาแล้วเราโดนลูกหลงเข้า เราก็ไม่น่าจะรอดกันหรอกนะ” หวังเจ๋อกังวลขึ้นมา


 


 


“งั้นจะหนีไปโดยไม่ขอโทษงั้นเหรอ คิดว่าไม่เป็นไรงั้นสิ” หลี่ว์ซู่หยัน หวังเจ๋ออยากจะหนีออกไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่หลี่ว์ซู่ดึงเขาไว้ก่อน ทำเอาเขาเกือบล้มลงเพราะแรงหลี่ว์ซู่เยอะเหลือเกิน


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +999!]


 


 


หวังเจ๋อเป็นคนปรับตัวเก่ง เขารู้ว่าชีวิตของเขาสำคัญกว่าหน้านัก เขาเลยก้มหัวลงขอโทษกุยช่ายอย่างจริงใจ


 


 


“น้องกุยช่าย ขอโทษนะ”


 


 


แต่ถ้าจะหนีตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วล่ะ…


 


 


หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยเริ่มห้ำหั่นกันแล้วโดยไม่มีใครยอมใคร มวยจีนปาจี๋ดูเหมือนจะได้ผลในการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่า แต่ก็เทียบไม่ติดกับหมัดพยัคฆ์อันแข็งแกร่งของหลี่อีเสี้ยว


 


 


หลุมหลบระเบิดสั่นสะเทือนไปหมด ฝุ่นจากเพดานร่วงหลงมาจากการแรงสั่นนั้น มีรอยบุบจากหมัดของพวกเขาบนกำแพงเต็มไปหมด


 


 


หวังเจ๋อกลัวจนตัวสั่น ทั้งสองคนเข้าสู้กันรวดเร็วอย่างกับสายฟ้า!


 


 


ตราพยัคฆ์กระโจนออกมาจากหลังของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยก็ปัดป้องมันออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


ในตอนนี้เธอถอยมาตั้งหลักด้วยการป้องกันมากกว่าการรุกเข้าไป คลื่นพลังระเบิดออกมาในขณะที่พวกเขาสู้กัน ทำให้ผู้ชมเจ็บตัวไปตามๆ กัน


 


 


น่าหลานเชวี่ยตะโกนอย่างโกรธแค้น “กล้าดียังไงโจมตีฉันน่ะ”


 


 


หลี่อีเสี้ยวรู้สึกตัวขึ้นได้จึงหยุดเคลื่อนไหวทันที แต่น่าหลานเชวี่ยก็ฉวยโอกาสนั้นออกหมัดออกไป เธอขึ้นมาครองการต่อสู้อีกครั้งหนึ่ง


 


 


หวังเจ๋อรู้สึกกลัว “น้องชาย ตอนนี้ออกไปกันเถอะ เดี๋ยวออกไปไม่ทันแล้วนะ!”


 


 


หลี่อีเสี้ยวปล่อยหมัดไปยังน่าหลานเชวี่ยที่หลบพยายามหลบเลี่ยง แต่หมัดของเขานั้นหยุดไม่ทันแล้ว มันพุ่งเข้าหาหลี่ว์ซู่และหวังเจ๋ออย่างกับกระสุนปืนใหญ่ ทันใดนั้นหวังเจ๋อก็กลัวจนฉี่ราดกางเกง ส่วนหลี่ว์ซู่นั้นรีบออกแรงจากใต้เท้าแล้วกระโดดขึ้นไปซัดพลังสวนหมัดของหลี่อีเสี้ยว


 


 


เสียงระเบิดดังไปทั่วจุดนั้น ทั้งหวังเจ๋อ เกาชัง และคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังหลี่ว์ซู่ก็ตัวลอยกระเด็นไปในอากาศ


 


 


“กล้าดียังไงมาทำหลี่อีเสี้ยวน่ะ!” น่าหลานเชวี่ยระเบิดอารมณ์ออกมา


 


 


ทันใดนั้นน่าหลานเชวี่ยก็รวบรวมพลังของเธอแล้วถลาตัวมาหาหลี่ว์ซู่ แต่เขาก็ถอยหลบมาตั้งหลักได้ เขาปล่อยแสงจากพลังกระบี่ที่มีอยู่นับไม่ถ้วนออกมาจากทะเลแห่งพลังเป็นเสียงวิ้งๆ คมกระบี่พวกนั้นพุ่งหาน่าหลานเชวี่ยเหมือนน้ำสาด พลังนี้ทรงพลังอย่างกับมังกร!


 


 


น่าหลานเชวี่ยก้าวไม่ออก เธอไม่คิดว่าเด็กหนุ่มคนขายกุยช่ายที่เธอเพิ่งดูถูกจะมีความสามารถทัดเทียมพอจะสู้กับเธอหรือกระทั่งหลี่อีเสี้ยวได้ แถมหมัดของเขายังทรงพลังถึงตายอีกด้วย!


 


 


“นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า ผู้มีพลังระดับ B สามคนมารวมตัวในที่เดียวกันคืนนี้งั้นเหรอ นี่เป็นตลาดมืดของผู้บำเพ็ญลับจริงหรือเปล่าเนี่ย” หนึ่งในผู้ชมอึ้งตาแตก


 


 


“พวกเขามาจากไหนกันนะ…”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายน่าหลานเชวี่ยเลย เขาแค่ต้องการจะหยุดเธอเท่านั้น ไม่คิดว่าน่าหลานเชวี่ยจะโกรธแล้วลุกขึ้นมาซัดเขากลับซะได้ แบบนี้ก็ชัดแล้วล่ะว่าเธอยังมีใจให้หลี่อีเสี้ยวอยู่!


 


 


พลังกระบี่ที่มองไม่เห็นพุ่งผ่านน่าหลานเชวี่ยและตรงไปที่กำแพง เกิดรอยมากมายบนผนัง สำหรับกลุ่มคนดูแล้ว รอยนั้นช่างดูเหมือนจิตรกรรมฝาผนัง


 


 


“แกเป็นอะไรกับหลี่เสียนอีน่ะ!” หลี่อีเสี้ยวจำพลังกระบี่นี่ได้ เขาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ


 


 


ทักษะนี้ของหลี่ว์ซู่ถือว่าเป็นความลับและมีแต่เนี่ยถิงเท่านั้นที่รู้ เขาต้องการอยากให้ทักษะนี้เป็นไม้ตายเผื่อว่าหลี่ว์ซู่จะต้องไปทำภารกิจในต่างประเทศ


 


 


เพราะฉะนั้นหลี่อีเสี้ยวจึงก็ไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่สามารถเปิดทะเลแห่งพลังได้สำเร็จแล้ว ทว่าพลังกระบี่นั้นมีเอกลักษณ์เกินไป หลี่อีเสี้ยวจึงนึกออกได้ในทันที!


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้อยากจะอยู่ที่นี่กับหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยนานสักเท่าไหร่หรอก เพราะเขาก็ยังไม่รู้ว่าพลังกระบี่นี้จะคงอยู่ได้นานแค่ไหน เขายังไม่แข็งแกร่งมาพอที่จะรับมือผู้มีพลังระดับ B สองคนพร้อมกันไหว


 


 


แต่ก่อนที่ผู้ชมจะหายอึ้ง หลี่ว์ซู่ก็รีบใช้แรงถีบจากเท้ากระโดดหนีไปโดยทิ้งกุยช่ายไว้เบื้องหลัง


 


 


ตอนแรกเขาคิดว่าหลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยจะตามมา แต่พอเขาออกมาจากหลุมหลบภัยได้ หลี่ว์ซู่ก็เพิ่งเห็นว่าสองคนนั้นกลับไปสู้กันต่อแล้ว


 


 


“แม่ยายของหลี่อีเสี้ยวจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิดหรอก หลี่อีเสี้ยวกับน่าหลานเชวี่ยถูกสร้างให้มาเป็นอุปสรรคของกันและกันแน่ๆ!” อยู่หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกเคารพแม่ยายของหลี่อีเสี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อก่อนเขาคิดว่าการดูดวงนั้นเชื่อถือไม่ได้ แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่เสียแล้วล่ะ…



ตอนที่ 548 ผ่านความเป็นความตายกันมา


 


 


แม้หลี่ว์ซู่จะออกจากตลาดมืดนี่แล้ว แต่เรื่องของเขาก็กลายเป็นตำนานที่ผู้คนพูดถึง


 


 


ที่จริงหลี่ว์ซู่ หลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยรู้สถานการณ์ดีที่สุด หลี่ว์ซู่แสดงความเมตตาระหว่างการโจมตีด้วยกระบี่แสงของเขา แต่เขาตัวคนเดียวคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการร่วมมือโจมตีของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยได้ ถึงอย่างนั้นทั้งสองก็ต้องยอมรับว่าหลี่ว์ซู่มีความสามารถที่จะโค่นพวกเขาทั้งสองลงได้ถ้าเขาตั้งใจจริงๆ เพราะหลี่ว์ซู่มีทั้งกระบี่แสงและกระบี่บินที่ได้รับตกทอดมาจากหอเกียรติกระบี่


 


 


แต่ผู้ชมมองไม่เห็นแบบนั้น พวกเขาเห็นว่าหลี่ว์ซู่สามารถหยุดพลังหมัดของหลี่อีเสี้ยวและการโจมตีของน่าหลานเชวี่ยได้ด้วยการใช้กระบี่แสง เขาดูจะฟัดกับยอดฝีมือทั้งสองได้อย่างสบายๆ เก่งมาจากไหนเนี่ย!


 


 


เขาดูไม่ใช่คนที่มาจากเครือข่ายฟ้าดินด้วย ไม่งั้นจะไปประมือกับหลี่อีเสี้ยวทำไม แต่มีผู้บำเพ็ญลับที่หลบซ่อนตัวแล้วแข็งแกร่งขนาดนี้ด้วยเหรอ หวังเจ๋อกลัวจนตัวสั่นเมื่อคิดว่าเขาเคยปฏิบัติตัวกับหลี่ว์ซู่อย่างไร แต่หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความรู้สึกชื่นชมและศรัทธา


 


 


เขาจะต้องเป็นฮีโร่ในหมู่ผู้บำเพ็ญลับที่ยืนหยัดสู้กับราชันฟ้าได้แน่นอน เขาต้องเป็นยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ชัวร์!


 


 


ในขณะที่กำลังชื่นชมหลี่ว์ซู่อยู่นั้น ผู้ชมหลายๆ คนก็รีบหนีออกไปข้างนอก เหลือเพียงคู่ต่อสู้ที่มีชะตาต่อกันทิ้งไว้สองคนเพื่อสะสางเรื่องให้จบ


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่ใช่คนทึ่ม แม้ไม่ใช่คนอ่อนไหวกับความรักโรแมนติกและความรู้สึกต่างๆ แต่เขาก็รู้ตัวว่าเขาฆ่าน่าหลานเชวี่ยไม่ลง


 


 


เพราะฉะนั้นหนทางทีดีที่สุดที่จะหลุดพ้นจากการปะทะกันนี้ก็คือถอยหนี


 


 


ในขณะที่สู้กันอยู่ หลี่อีเสี้ยวก็เรียกตราพยัคฆ์มาเสียจนดูเหมือนว่าเขาเตรียมพร้อมจะจู่โจมน่าหลานเชวี่ยได้ทุกเมื่อ น่าหลานเชวี่ยเห็นแบบนั้นก็ตกใจแล้วเปลี่ยนการต่อสู้เป็นแบบเป็นตั้งรับเพื่อรับการโจมตี แล้วทันใดนั้นเองหลี่อีเสี้ยวก็รีบวิ่งออกไป แล้วราชันฟ้าก็สูญหายไปด้วยประการฉะนี้แหละ!


 


 


“ฉันไม่ได้กลัวเธอหรอกนะ ฉันเป็นถึงราชันฟ้า ไม่อยากเสียเวลาไปสู้กับเธอให้เปลืองแรงหรอก!” หลี่อีเสี้ยวพยายามรักษาหน้าตัวเองไว้


 


 


พอมาถึงตอนนี้ น่าหลานเชวี่ยก็เพิ่งรู้สึกตัว ที่จริงแล้วมันก็ไม่เป็นไรหรอกหากเธออยากสู้กับหลี่อีเสี้ยวให้รู้ดำรู้แดง แต่หากมีใครคิดจะใช้ประโยชน์จากการปะทะกันของคนทั้งคู่ล่ะ ผู้ใช้กระบี่คนเมื่อกี้เป็นใครกันแน่


 


 


ตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นมิตรหรือศัตรู ถึงแม้ว่าหมอนั่นจะออมมือไว้ก็เถอะ อาจเป็นกับดักลวงก็ได้


 


 


ในโลกนี้น่ะเชื่อใครจากภายนอกไม่ได้ทั้งนั้น


 


 



 


 


วันต่อมาหลี่ว์ซู่ไปโรงเรียนปกติ เขารับรู้ได้ถึงการซุบซิบที่เผ็ดร้อนทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องเรียน เป็นเรื่องเหตุการณ์ที่ตลาดมืดเมื่อวานนี่เอง


 


 


เมื่อพูดกันปากต่อปาก ใครก็เก็บความจริงไว้ไม่อยู่ เนื่องจากมีผู้บำเพ็ญลับอยู่ในเหตุการณ์กันมากมาย ทำให้ไม่สามารถเก็บเป็นความลับไว้อีกแล้ว มีคนถึงกับไปโพสต์ในบอร์ดกระทู้ของมูลนิธิด้วยซ้ำ


 


 


ด้วยเหตุนี้เรื่องจึงแพร่ออกไปว่ามีผู้บำเพ็ญระดับ B สามคนสู้กันที่หลุมหลบระเบิดในเมืองลั่ว คนแรกคือราชันฟ้าหลี่อีเสี้ยว อีกคนคือน่าหลานเชวี่ย ลูกสาวคนโตของกลุ่มน่าหลาน อายุยี่สิบเก้าปี และคนสุดท้ายยังเป็นปริศนาอยู่ ว่ากันว่าเขาต่อกรกับสองคนก่อนหน้าได้สบายๆ …


 


 


แต่ไม่มีใครพูดถึงว่าที่นั่นเป็นตลาดมืด บอกเพียงแค่ว่าเป็นหลุมหลบระเบิดเท่านั้น


 


 


ผู้เขียนยังกล่าวชื่นชมบุคคลปริศนาคนนั้นในโพสต์อีกด้วยว่าพลังกระบี่นั้นเปล่งแสงดูแวบวาบอย่างกับฉากในหนัง…


 


 


และที่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเองก็สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างราชันฟ้าหลี่กับน่าหลานเชวี่ยเป็นอย่างมาก เล่ากันว่าหลี่อีเสี้ยวไปหลอกผู้หญิงมาแล้วสุดท้ายก็ทิ้งเธอไป แต่อีกข่าวหนึ่งก็ว่าแม่ของน่าหลานเชวี่ยไปปรึกษาปรมาจารย์ที่ภูเขามังกรพยัคฆ์เพื่อดูดวงชะตาของทั้งสองคน แล้วผลดวงก็ออกมาว่าดวงจะเป็นกาลกิณีต่อกัน …


 


 


การให้ความสำคัญกับผู้บำเพ็ญในสมัยนี้ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเป็นดาราคนดัง สมัยก่อนที่ยังไม่เกิดปะทุพลังขึ้น วัยรุ่นต่างก็ซุบซิบกันเรื่องดารา


 


 


ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนมาซุบซิบกันเรื่องผู้บำเพ็ญแทน แม้แต่คนธรรมดาๆ ที่อยากเข้ามาในโลกของการฝึกฝนนี้ก็ยังซุบซิบในเรื่องนี้ด้วย


 


 


ในตอนนี้ราชันฟ้าหลี่ที่หายตัวไปนานก็กลับมาที่โรงเรียนแล้ว ตอนที่หลี่ว์ซู่เดินผ่านห้องครูใหญ่ เขาเหลือบไปเห็นหลี่อีเสี้ยวกัดปากกาตัวเองอยู่ หน้าตาดูกังวลไปหมด แต่พอหลี่อีเสี้ยวเห็นหน้าหลี่ว์ซู่ก็ทำหน้าสดใสขึ้นมา


 


 


“หลี่ว์ซู่ นายรู้วิธีเขียนจดหมายสำนึกผิดไหม”


 


 


“ผมเป็นเด็กดีมาตลอดตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยไม่เคยเขียนจดหมายสำนึกผิดครับ” หลี่ว์ซู่ทำหน้าขรึม


 


 


เขาเดินเข้าไปในห้องพักครูใหญ่แล้วเหลือบดูจดหมาย มีคำไม่กี่คำเขียนไว้ในจดหมายนั้น หัวข้อเรื่องเขียนว่า ‘จดหมายสำนึกผิด’ ส่วนข้อความต่อจากนั้นเขียนไว้ว่า ‘ราชันฟ้าเนี่ยถิงที่เคารพรัก…’


 


 


“แน่ใจเหรอว่าเขียนถึงราชันฟ้าเนี่ยถิงแบบนี้ดีแล้ว…” หลี่ว์ซู่แทบลมจับ


 


 


“ก็ในอินเทอร์เน็ตบอกไว้แบบนั้นนี่นา” หลี่อีเสี้ยวตอบ รู้สึกสับสนกว่าเก่า


 


 


“เหรอครับ… งั้นก็โชคดีนะ” หลี่ว์ซู่ตอบเสียงเรียบแล้วเตรียมตัวจะหันหลังกลับ


 


 


“คืนก่อนเป็นฝีมือนายใช่ไหม” อยู่ๆ หลี่อีเสี้ยวก็ถามไล่หลังมา


 


 


“ใช่ ผมเอง” หลี่ว์ซู่หันหลังกลับไปมองหน้าหลี่อีเสี้ยวแล้วหัวเราะใส่


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +666! ]


 


 


“สงสัยตั้งแต่เห็นว่าขายกุยช่ายแล้ว เจ้าเด็กเวรนี่! บอกมานะว่าไปฝึกจนแข็งแกร่งแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่!” หลี่อีเสี้ยวบ่นด้วยความรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม “ถ้าเป็นนายจริงๆ ทำไมไม่มาช่วยฉันสู้ยัยบ้านั่นล่ะ”


 


 


ที่หลี่ว์ซู่ตอบไปแบบนั้นก็เพราะเขาคิดว่าหลี่อีเสี้ยวฉลาดพอที่จะรู้ความจริง แต่ผู้ชายคนนี้ก็บ้าบิ่นจริงๆ เลยแฮะ


 


 


เกาเสินอิ่นไม่ใช่คนธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งก็ทำให้คนไม่เชื่อมโยงว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เสียนอี ถึงแม้หลี่อีเสี้ยวจะไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เคยฝึกกระบี่กับปู่เสียนอีมาก่อน แต่เขาก็รู้ดีว่าหลี่ว์ซู่มีหน้ากากกระดูกที่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะโยงเรื่องไปว่าเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ทั้งที่ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด


 


 


“แล้วทำไมผมต้องเข้าไปยุ่งเรื่องถ่านไฟเก่าของคุณด้วยล่ะ” หลี่ว์ซู่ตอบยิ้มๆ “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับคุณทั้งสองคนน่ะ”


 


 


“พูดถึงเรื่องนี้ เราผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาหลายรอบเลยนะ” หลี่อีเสี้ยวรำพึงด้วยความเศร้า


 


 


“งั้นก็ต้องเคยสนิทกันมากๆ เลยสิ” หลี่ว์ซู่งุนงง


 


 


“เปล่า ที่ฉันพยายามจะบอกก็คือเราต่อสู้กันมามาก แล้วแต่ละครั้งฉันกับยัยนั่นก็เกือบได้ไปปรโลก” หลี่อีเสี้ยวตอบ


 


 


“???”


 


 


งั้นหลี่อีเสี้ยวก็เข้าใจความหมายของการ ‘ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมา’ แบบผิดๆ แล้วล่ะ!


 


 


“แล้วไปเป็นองค์ท่านที่ตลาดมืดได้ยังไงเนี่ย ราชันฟ้าเนี่ยอนุญาตแล้วเหรอ” หลี่ว์ซู่เปลี่ยนเรื่อง


 


 


“ก็เขียนจดหมายสำนึกผิดอยู่นี่ไง” หลี่อีเสี้ยวถอนหายใจแบบเครียดๆ แต่สีหน้าของเขาดีขึ้นมาทันที


 


 


“คิดว่าชื่อ ‘องค์ท่าน’ เป็นยังไงบ้างน่ะ ฉันไปอ่านเจอว่าพระมหากัสสปะ ‘ยิ้ม’ ให้กับพระพุทธเจ้าที่กำลังถือดอกไม้ไว้ในมือ ฉันเลยไปหาข้อมูลเพิ่มก็เจออีกเรื่องที่ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งที่เข้าใจความสุขสงบอย่างถ่องแท้ แล้วฉันก็คิดถึงชื่อของฉันเอง พระพุทธเจ้ากับฉันต้องมีชะตาต่อกันแน่ๆ!”


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาเข้าไม่ถึงตรรกะนี้เท่าไหร่


 


 


“พระพุทธเจ้ารู้ไหมเนี่ยว่าคุณเอาชื่อมาใช้ ท่านจะยอมเหรอครับ”



ตอนที่ 549 ร่วมมือกันคุมตลาดมืด


 


 


หลี่อีเสี้ยวดูจะภูมิใจในความเป็น ‘องค์ท่าน’ มากเพราะมันเข้ากับชื่อของตัวเอง เขาวางปากกาลงแล้วถาม “หลี่ว์ซู่ นายไปที่ตลาดมืดนั่นทำไม”


 


 


“ไปขายกุยช่ายไงครับ ปลูกเองที่บ้านเลยนะ” เขาหัวเราะอย่างเริงร่า


 


 


“อย่ามาหลอกกันให้ยาก ฉันเห็นอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแล้ว” หลี่อีเสี้ยวส่งสายตาเป็นประกายทิ่มแทงมาให้ “ไปถึงตลาดมืดเพื่อไปขายกุยช่ายงั้นเหรอ แถมยังปลอมตัวเข้าไปอีก คิดว่ากำลังหลอกใครอยู่!”


 


 


หลี่ว์ซู่กัดฟัน ถ้าไม่มีใครจำเขาได้ เขาคงอธิบายได้ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ไม่น่ามีใครเชื่อแล้วว่าเขาแค่มาขายผักกุยช่ายโดยลงทุนเปลี่ยนหน้าตาของตัวเองเข้าไปในตลาดมืดแบบนี้


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่รอให้หลี่ว์ซู่ตอบ เขาหลิ่วตาให้แล้วเอ่ยถาม “หรือว่าได้อะไรดีๆ มาจากประเทศญี่ปุ่นแล้วอยากปล่อยของงั้นเหรอ”


 


 


หลี่อีเสี้ยวคิดว่าตัวตนของหลี่ว์ซู่ตอนนี้คงไม่สามารถเข้าไปซื้อสินค้าอะไรในตลาดมืดได้ ถ้าเขาอยากซื้อจริงๆ เขาควรไปอาณาจักรแห่งความมืดโดยตรงเลยดีกว่า ตลาดมืดคือที่ของพวกผู้บำเพ็ญลับที่มีสถานะต่ำต้อย


 


 


หลี่อีเสี้ยวรู้ว่าพวกเครื่องมือหรือวัตถุแฝงพลังที่สืบทอดกันมาจะตกอยู่ในมือของเครือข่ายฟ้าดินหรือพวกตระกูลใหญ่ๆ ก่อน ก็เลยเหลือตกมาไม่มากนัก พวกของแบบนี้ก็เลยหายากในตลาดมืด


 


 


หลี่ว์ซู่ก็คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เขามีศิลาวิญญาณกว่าเก้าหมื่นเม็ด ถ้าเอาไปแลกเป็นเงินได้ เขาคงได้เงินมาแบบใช้ไม่หมดชาตินี้


 


 


ก่อนที่จะเจอน่าหลานเชวี่ยและคนอื่นๆ เขาก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่พอเจอตระกูลใหญ่เช่นนี้แล้ว เขาก็คิดอะไรออก พวกตระกูลใหญ่ต่างก็อยากให้ลูกหลานในตระกูลไต่เต้าได้ยศสูงๆ ในเครือข่ายฟ้าดินกันทั้งนั้น พวกเขายอมทุ่มเงินจ่ายเพื่อสิ่งนี้ นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ตระกูลใหญ่อยากได้ศิลาวิญญาณเยอะๆ


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่เองก็มีศิลาวิญญาณไว้ครอบครอง และตระกูลหลายตระกูลก็มีเครื่องมือและวัตถุวิเศษ ขนาดกลุ่มทวยเทพเองยังมีวัตถุวิเศษย่างทรายขาวจากทะเลน้ำลึก เพระฉะนั้นเขาจึงไม่เขื่อว่าตระกูลใหญ่ในประเทศจีนที่เต็มไปด้วยทรัพยากรแบบนี้จะไม่มีสมบัติครอบครองไว้อยู่เลย


 


 


ในตอนแรกอาวุธและวัตถุวิเศษถูกเรียกรวมๆ กันว่าอาวุธ แต่หลังจากนั้นพวกสิ่งของที่เกิดใกล้ๆ กับแหล่งกำเนิดอย่างเช่นน้ำ ก็เป็นวัตถุวิเศษที่ชื่อว่าทรายขาวจากทะเลน้ำลึก เหมือนกับอาวุธที่มีวิญญาณสิงสถิตอยู่อย่างหอกมังกรทมิฬหรือซินถิงก็กลายมาเป็นวัตถุวิเศษแทน วัตถุวิเศษก็คืออาวุธวิเศษที่มีลำดับขั้นสูงกว่านั่นเอง


 


 


ส่วนข้อสงสัยที่ว่ามีอะไรที่ลำดับขั้นสูงกว่าและมีพลังมากกว่าวัตถุวิเศษไหม ตอนนี้อาณาจักรแห่งความมืดยังไม่พบเจอ แต่ใครบางคนในอาณาจักรแห่งความมืดก็พูดกันว่าค้อนกุงเนียร์ของคอรัลนั้นถือเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือว่าวัตถุในตำนานใดๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัด


 


 


มีคนพยายามจะอธิบายความหมายของวัตถุวิเศษที่อยู่เหนือวัตถุในตำนาน วัตถุศักดิ์สิทธิ์มีอยู่สองประเภท ประเภทแรกวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าของ ในอนาคตวัตถุศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้อาจเลื่อนขั้นเป็นวัตถุในตำนานแบบอื่นก็ได้ ประเภทที่สองจะเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากอดีตอันยาวนาน


 


 


ในยุคสมัยที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืนนี้ ผู้คนต่างก็ตามหาวัตถุหลายๆ อย่างโดยเริ่มต้นจากศูนย์ ดังนั้นคำจำกัดความเหล่านี้ก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มีคำนิยามที่แน่ชัดอยู่ดี


 


 


ยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยที่ดีที่สุด เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในสมัยก่อนถูกโค่นลงไป และมีสิ่งใหม่ขึ้นมาทดแทน ราวกับมวลมนุษย์ได้ค้นพบทวีปใหม่ ใครไปถึงทวีปนั้นก่อนก็จะได้มีสิทธิ์ในดารกำหนดนิยามของทวีปนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่หยุดคิดกับคำถามของหลี่อีเสี้ยวแล้วจึงตอบออกไป “ผมมีศิลาวิญญาณจะเอาไปขาย แต่กลัวว่าลูกค้าทั่วไปจะไม่มีกำลังซื้อ ก็เลยคิดอยู่ว่าไปติดต่อขายกับตระกูลใหญ่ๆ แทนดีไหม”


 


 


“มีศิลาเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ ลูกค้าทั่วไปซื้อไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ นับประสาอะไรกับศิลาตั้งหลายพันเม็ดกัน!”


 


 


“เอ่อ…” หลี่ว์ซู่คิดแล้วกระแอมออกมา “อะแฮ่ม จำนวนก็ประมาณนั้นแหละครับ” หลี่ว์ซู่ไม่กล้าพูดความจริง เขากลัวว่าจะทำให้หลี่อีเสี้ยวตกใจเกินไป อีกอย่างผู้คนสมัยนี้ก็ไม่ได้สนใจอยากปกปิดความมั่งคั่งของตัวเองอยู่แล้ว ไว้ค่อยบอกความจริงตอนติดต่อกับตระกูลใหญ่แล้วก็ยังไม่สาย


 


 


แต่ในเมื่อนี่เป็นการร่วมมือกัน และเขาทั้งสองต้องตกลงผลประโยชน์ร่วมกัน หลี่อีเสี้ยวเลยพูดไป


 


 


“ฉันจะช่วยเรื่องนี้เอง ช่วยทุกอย่างเลย รวมถึงเรื่องของเนี่ยถิงด้วย ถ้าไม่ได้มีศิลามากขนาดนั้น เนี่ยถิงคงไม่มาหาพวกเราด้วยตัวเองหรอก ไม่น่ามีปัญหาอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หลี่อีเสี้ยวคนนี้พูดคำไหนคำนั้น ฉันไม่ปากโป้งฟ้องเรื่องนายกับใครหรอก!”


 


 


ก็ดีเหมือนกันที่หลี่อีเสี้ยวตั้งใจจะช่วย แต่หลี่อีเสี้ยวเข้าใจผิดเรื่องจำนวนของศิลาที่หลี่ว์ซู่มีเสียแล้ว ถึงแม้ว่าหลี่อีเสี้ยวจะรับมือกับศิลามากขนาดนี้ได้เมื่อถึงเวลา แต่ก็ยังมีอีกปัญหาอื่นอีก…


 


 


เขารับมือกับศิลาไม่กี่พันเม็ดได้ แต่ถ้าเป็นหลายหมื่นเม็ดล่ะ…


 


 


“ได้ครับ แต่ผมขออะไรอย่าง ผมอยากให้คนซื้อเอาวัตถุวิเศษมาแลกให้มากที่สุดเท่าที่จะให้ได้” หลี่ว์ซู่หยุดคิดแล้วพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นผมกลัวว่าเขาคงหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นมาแลกไม่ไหวหรอก”


 


 


หลี่อีเสี้ยวยิ้ม “ไม่มีตระกูลไหนหอบเงินล้านมาจ่ายไม่ไหวหรอกนะ พวกเขามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


มีตระกูลใหญ่หลายตระกูลในประเทศนี้ ต่อให้ต้องจ่ายพันล้านก็ไหว กระทั่งหมื่นล้านก็ยังไหว หลี่ว์ซู่ก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาไม่เคยประเมินจำนวนเงินของคนพวกนี้ต่ำไปเลย จำนวนเงินที่พวกเขาโชว์ต่อสื่อน่ะมันแค่เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น แท้จริงแล้วเงินจำนวนเท่านี้เป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น


 


 


แต่มีอีกปัญหาหนึ่งเหมือนกันเรื่องตระกูลใหญ่พวกนี้ ที่พวกเขามีอำนาจมากขนาดนี้ก็เพราะพวกเขาเข้าใจว่าเงินต้องลงทุนต่อให้งอกเงย พวกเขาเลยเอาไปลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ได้เป็นกำไรงามๆ สำหรับคนพวกนี้แล้ว เงินมันก็แค่เงิน ในทางกลับกัน การฝากเงินเข้าธนาคารนั้นเป็นแค่ความคิดโง่ๆ พวกเขาคิดว่าดอกเบี้ยจากธนาคารน่ะไม่นับเป็นเงินหรอก


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ คงไม่มีตระกูลไหนมีเงินในมือมากพอจะกวาดศิลาวิญญาณทั้งหมดเก้าหมื่นเม็ดภายในรอบเดียวแน่ๆ


 


 


“ผมขอยืนยันเรื่องการเอาวัตถุวิเศษมาแลกนะ ถ้าไม่เอามาก็ถือว่าข้อตกลงเป็นโมฆะ” หลี่ว์ซู่คิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรถ้าจะขายศิลาเพื่อไปแลกเงิน เขาขายไม่กี่เม็ดก็ได้เงินเยอะแล้ว คงเป็นการดีกว่าที่จะเลือกเอาทรัพยากรสำหรับการฝึกแทนเงินในสถานการณ์แบบนี้


 


 


“งั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันเอาไปบอกพวกเขาเอง” หลี่อีเสี้ยวโบกมือ “แต่น้องชายเอ๋ย ยังไงเราก็ต้องมาคุยกันเรื่องเงินให้มันชัดๆ เอาส่วนแบ่งเป็นห้าต่อห้า คิดว่าไง”


 


 


หลี่อีเสี้ยวเองก็รู้สึกผิดที่พูดออกไปแบบนั้น เพราะสัดส่วนการแบ่งเท่านี้นับว่าแบ่งเยอะมาก และหน้าที่เขามีเพียงคอยเป็นธุระติดต่อพวกตระกูลใหญ่ๆ ให้หลี่ว์ซู่เท่านั้น เพราะฉะนั้น ห้าต่อห้าดูจะขอเยอะไปหน่อย


 


 


เขามองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างระมัดระวัง ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะตอบ หลี่อีเสี้ยวก็โพล่งขึ้นมา


 


 


“งั้นสี่ต่อหกเป็นไง”


 


 


“ไม่ล่ะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะแล้วมองหลี่อีเสี้ยว


 


 


“สามต่อเจ็ดแล้วกันเอ้า” หลี่อีเสี้ยวเริ่มพูดด้วยความใจกว้าง “สามต่อเจ็ด! ลงไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ฉันใจร้ายกับตัวเองมากนะ ถึงเนี่ยถิงจะไม่ปล่อยให้ฉันคุมตลาดมืดเมืองลั่ว แต่ฉันก็ต้องเจอกับแรงกดดันอื่นๆ อีกมาก”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเถียงกับหลี่อีเสี้ยว หลี่อีเสี้ยวยังไม่รู้จำนวนศิลาที่แท้จริง เขาเลยไม่มีทางประมาณค่าตามที่คิดไว้ได้ แต่หลี่ว์ซู่นั้นรู้ดีว่ามีศิลาจำนวนเท่าไหร่ในมืออย่างแน่ชัด


 


 


“ส่วนแบ่งคือเก้าจุดเก้าต่อศูนย์จุดหนึ่ง” หลี่ว์ซู่รู้ว่าถ้าเขายังไม่พูดออกไป หลี่อีเสี้ยวจะไม่มีทางยอมลดความคาดหวังลงต่ำกว่านี้แน่ๆ


 


 


หลี่อีเสี้ยวหน้าตึง “น้องชาย เกิดมาฉันก็เพิ่งเคยได้ยินว่ามีจุดทศนิยมในส่วนแบ่งเป็นครั้งแรกนี่แหละ…”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อีเสี้ยว +999!]




ตอนที่ 550 ตามหาตัวยอดฝีมือลับ


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่คิดว่าจะได้พบกับส่วนแบ่งที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้มาก่อน ส่วนใหญ่คนจะแบ่งกันสี่ต่อหก หรือแย่ที่สุดก็หนึ่งต่อเก้า นี่เขายังอุตส่าห์แบ่งเป็นจุดทศนิยมอีกได้ไงเนี่ย


 


 


“น้องชาย เข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับการตกลงแบ่งผลประโยชน์ร่วมกันหรือเปล่า” หลี่อีเสี้ยวตะลึงจนแทบบรรยายออกมาไม่ได้


 


 


ถ้าหลี่ว์ซู่จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เขาก็ต้องแบกรับความกดดันจากเนี่ยถิงอีก เขาเองก็ไม่มีเวลาไปวิ่งเต้นทำเรื่องเองด้วย ถึงแม้เขาจะอยากติดต่อกับตระกูลใหญ่เอง แต่เขาก็ไม่มีทางรู้วาบ้านของพวกเขาอยู่ไหน ถ้าไม่มีหลี่อีเสี้ยว เขาก็ทำงานนี้ให้สำเร็จไม่ได้


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ “องค์ท่านครับ มีบางอย่างที่ผมยังพูดตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมขอยืนยันว่าส่วนแบ่งของท่านจะเป็นศูนย์จุดหนึ่ง และเงินที่ท่านจะได้น่ะมากกว่าสิบล้านแน่นอน ผมไม่ให้ท่านช่วยหรอกถ้าท่านจะไม่ได้อะไรเลย”


 


 


ถ้าหลี่ว์ซู่ไปพูดแบบนี้กับคนอื่นไปคงไม่มีใครยอมแน่ นี่ก็เหมือนกับการทำสัญญาอย่างหนึ่ง แล้วกำไรจะได้มาสิบล้านตามที่พูดจริงๆ หรือเปล่า มีหลักฐานอะไรมาแสดง


 


 


แต่คนที่หลี่ว์ซู่ตกลงจับมือทำงานด้วยกันคราวนี้คือหลี่อีเสี้ยวใน เพราะฉะนั้นมันจึงต่างออกไป


 


 


แน่นอนแหละว่าหลี่ว์ซู่ก็อยากจะร่วมมือกับคนอื่น แต่เขาก็ไม่อยากทำงานกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน


 


 


ทั้งหลี่ว์ซู่และหลี่อีเสี้ยวต่างเชื่อใจกันและกัน มิตรภาพนี้ได้มาจากการร่วมต่อสู้กันที่โบราณสถานเกาะช้าง ในตอนที่หลี่อีเสี้ยวฆ่าโนกิวะ ทาเกะโนบุ หลี่อีเสี้ยวแอบหนีออกไปแล้วทิ้งหลี่ว์ซู่ไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหลี่ว์ซู่ก็ตามเถอะ แต่พอมาคิดๆ ดูแล้วเขาก็ผิดที่ทำแบบนั้น


 


 


หลี่อีเสี้ยวใคร่ครวญเสียนานก่อนยอมตกลง “ถ้าผลออกมาแล้วไม่ได้ตามที่ตกลงไว้ ฉันไม่โอเคด้วยนะ!”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ!” หลี่ว์ซู่ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ อย่างน้อยหลี่อีเสี้ยวก็ยอมช่วยเขา


 


 


เนี่ยถิงอยากให้เขาเป็นราชันฟ้าและส่งเขาไปต่างประเทศ แต่หลี่ว์ซู่ไม่ยอม


 


 


เพราะฉะนั้นเนี่ยถิงเลยอยากแกล้งให้หลี่ว์ซู่ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด เขาอยากให้หลี่ว์ซู่เข้าใจว่ามาหาผลประโยชน์อะไรในประเทศไม่ค่อยได้หรอก หลี่ว์ซู่ควรมองการณ์ไกลแล้วไปต่างประเทศซะ


 


 


แต่ในความเป็นจริง เนี่ยถิงก็ยังไม่รู้เรื่องว่าหลี่ว์ซู่ทำอะไรมาตอนอยู่ในกลุ่มทวยเทพ


 


 


หากคอรัลไม่โผล่มา เขาก็ไม่แน่ใจว่าทาคาชิมะจะสามารถขึ้นเป็นระดับ A ได้หรือเปล่า แต่ภาพลักษณ์ของหลี่ว์ซู่ถูกทำลายเพราะศิลาวิญญาณเก้าหมื่นเม็ดแน่นอน…


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยแล้ว เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อหยุดทาคาชิมะ ไม่ใช่เพื่อศิลาวิญญาณ ถึงอย่างไรเขาก็ผิดแน่ๆ!


 


 


แล้วทันใดนั้นเอง ประตูห้องของครูใหญ่ก็ถูกเปิดออก หลี่ว์ซู่หันไปมองแล้วด็ต้องตกใจสุดขีด น่าหลานเชวี่ยนี่!


 


 


แต่น่าหลานเชวี่ยจำหลี่ว์ซู่ไม่ได้เพราะหลี่ว์ซู่ปลอมเป็นเก่าเสินอิ่นเมื่อคืน


 


 


“หลี่อีเสี้ยว!” น่าหลานเชวี่ยที่ใส่เสื้อนอกตัวหนาก้าวเดินเข้ามา


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าคนจีนชอบเรียกชื่อเต็มของอีกคนตอนโกรธสุดขีดเนอะ แต่ก็คงต่างกันไปตามถิ่นที่อยู่นั่นล่ะ ในจีนชอบเรียกกันแบบนี้ แต่ในต่างประเทศอาจจะไม่


 


 


อย่างชื่อบางชื่อที่ยาวมากๆ เช่นชื่อในเผ่าต่อสู้ นั่นก็อาจมีปัญหานิดหน่อย สมมุติว่ากำลังสู้กันตัวต่อตัวแล้วเกิดอยากเรียกชื่อศัตรูขึ้นมา… ‘เฮ้ย ไอ้คาเลบโซ แทนฟอร์ทิสตา บราทอส ทัมบูทอส เจสฟอร์ด เลโต… เมื่อกี้พูดชื่อไปว่าอะไรบ้างนะ…’


 


 


กว่าจะพูดเสร็จก็คงลืมชื่อไปก่อนพอดี…


 


 


จากที่หลี่ว์ซู่ได้ยิน น่าหลานเชวี่ยดูค่อนข้างอารมณ์เสียทีเดียว เธอตบโต๊ะที่หลี่อีเสี้ยวอยู่ “นายไม่อยากสู้เหรอ เมื่อวานทำไมถึงหนีไปล่ะ คิดจริงๆ เหรอว่าฉันสู้นายไม่ได้ นายเลยหนีไปน่ะ”


 


 


หลี่อีเสี้ยวเลิ่กลั่ก “มีนักเรียนอยู่นะ ไว้หน้ากันบ้างสิ!”


 


 


น่าหลานเชวี่ยมองหน้าหลี่ว์ซู่แล้วก็กระแอมออกมา จากนั้นเธอก็เงียบไป เธอทัดผมที่ปรกอยู่บริเวณกรอบหน้ากับหู


 


 


“อะแฮ่ม นักเรียน ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปห้องเรียนเสียสิ”


 


 


“ครับ” หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วค้อมหัวให้ จากนั้นเขาก็เดินออกไป “ขอบคุณมากครับครูใหญ่”


 


 


ขณะเดินออกไปเขาก็ได้ยินน่าหลานเชวี่ยตะโกนเสียงดังราวกับฟ้าผ่า “หลี่อีเสี้ยว จะหนีไปไหนอีกล่ะคราวนี้!”


 


 


หลี่ว์ซู่ที่ยืนอยู่ที่โถงทางเดิน เขาเหลือบมองดูพวกครูที่เดินออกมาจากห้องพักครู ครูพวกนั้นมองเข้าไปในห้องพักครูใหญ่อย่างตกตะลึง


 


 


ใจจริงหลี่ว์ซู่ก็อยากช่วยหลี่อีเสี้ยวอยู่เหมือนกันละนะ แต่ว่านี่เป็นเรื่องครอบครัวของเขา ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว น่าหลานเชวี่ยไม่อยากให้เขาโจมตีหลี่อีเสี้ยว และหลี่อีเสี้ยวเองก็ไม่อยากให้เขาจู่โจมน่าหลานเชวี่ยเช่นกัน


 


 


น่าหลานเชวี่ยดูแล้วก็อยากจะช่วยรักษาหน้าตาหลี่อีเสี้ยวไว้ แต่หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกเขาไม่น่าจัดการปัญหานี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ หรอก…


 


 


แล้วอีกอย่างหลี่ว์ซู่ก็คิดว่าทั้งสองคนดูเหมาะสมกันดี…


 


 


ถ้าอยากจะรักกันและอยากจะตีกันให้ตายก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ มีคู่ไหนบ้างที่ไม่ทะเลาะกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่แค่คุยกันดีๆ ก็จบแล้ว ดูจากที่เห็นแล้วสองคนนี้คงได้ตีกันไปอีกนาน


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่เดินกลับมาที่ห้องเรียน เพื่อนร่วมห้องก็ยังซุบซิบกันเรื่องเดิม พวกเขาสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานกันจริงจังมาก ที่ว่ามียอดฝีมือลับปรากฏตัวขึ้นที่ตลาดมืดในเมืองลั่ว


 


 


ผู้เชี่ยวชาญกกระบี่มาปรากฏตัวในประเทศนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขามีความเกี่ยวข้องอะไรกับหลี่เสียนอีหรือเปล่า หลายคนรู้ว่าหลี่เสียนอีไม่มีลูกชาย แต่เขาก็เคยสอนลูกศิษย์คนหนึ่งที่ชื่อฉีอวี้ และทุกคนก็รู้ว่าฉีอวี้เป็น ‘ลูกศิษย์แบบไม่เต็มตัว’ นี่อาจเป็นเพราะฉีอวี้ไม่ชอบฝึกกระบี่แต่ชอบฝึกหมัดมวยมากกว่าก็เป็นได้


 


 


ตอนที่ทุกคนได้ยินชื่อฉีอวี้ พวกเขาต่างพากันคิดถึงชื่อของตัวละครในอนิเมะ ทั้งตัวละครฉีอวี้และฉีอวี้ตัวจริงนั้นชอบใช้หมัดในการต่อสู้ แต่ ‘ฉีอวี้’ ทั้งสองก็มีจุดแตกต่างที่ชัดเจนอยู่ นั่นคือ ‘ฉีอวี้’ ตัวจริงนั้นเป็นเพียงชื่อ ส่วนนามสกุลของเขาคือตู้ เพราะฉะนั้นชื่อเต็มๆ ก็คือตู้ฉีอวี้


 


 


ฉีอวี้เองก็เหมือนหลี่เสียนอีที่เคยเป็นหนึ่งในเก้าผู้อำนวยการใหญ่ของมูลนิธิ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ชอบงานพวกนี้ เขาชอบที่จะเดินทางไปเพื่อเสาะแสวงหาที่ฝึกฝนเหมือนดั่งพระธุดงค์


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าตู้ฉีอวี้ไปไหน และหลี่เสียนอีเองก็หาเขาไม่ค่อยเจอ


 


 


ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลี่เสียนอีถึงต้องมาดูแลมูลนิธิเอง ตู้ฉีอวี้นั้นแข็งแกร่งมาก แต่เขาจะเห็นดีเห็นงามแค่กับหลี่เสียนอีเพียงผู้เดียว หลี่เสียนอีเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน แต่ก่อนยุคสมัยที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืน ทรัพยากรของพวกเขาลดน้อยลงไปมาก พวกมูลนิธิเลยให้ความสำคัญกับหลี่เสียนอีมากเพราะตู้ฉีอวี้เคารพเขาเป็นอาจารย์คนหนึ่ง


 


 


นอกจากตู้ฉีอวี้เองแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าหลี่ว์เสียนอีสอนศาสตร์แห่งกระบี่ให้คนอื่นบ้างหรือเปล่า


 


 


ตระกูลหลายตระกูลพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับยอดฝีมือลับคนนั้น หลายคนสืบหาตัวจากบันทึกภาพกล้องวงจรปิด และมีหลายคนที่ซื้อข้อมูลจากผู้บำเพ็ญลับที่อยู่ที่ตลาดมืดเมื่อคืน


 


 


ผู้บำเพ็ญบางคนบอกว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้แนะนำตัวเองที่ตลาดมืด แต่ข้อมูลนี้ก็ไม่น่าเชื่อถือนัก มีผู้บำเพ็ญลับคนหนึ่งที่ชื่อหวังเจ๋อบอกว่ายอดฝีมือคนนั้นบอกว่าตัวเองชื่อกัสสปะ…


 


 


ตระกูลใหญ่พวกนั้นพูดไม่ออกไปเลย นี่คงจะไม่ใช่ชื่อจริงๆ ของเขาหรอกใช่ไหม


 


 


สุดท้ายก็มีคนเจอบันทึกกล้องที่ถ่ายติดยอดฝีมือคนนั้นไว้ แต่มันก็มืดและมองเห็นไม่ชัดจนไม่ได้ข้อมูลอะไร ตระกูลที่หาข้อมูลของยอดฝีมือลับคนนี้พบเป็นตระกูลแรกคือตระกูลน่าหลาน เพราะทั้งน่าหลานเชวี่ยและเกาอี้เจอหลี่ว์ซู่แบบตัวเป็นๆ พอพวกเขาเอารูปไปเทียบกับสมาชิกในตระกูลแล้ว พวกเขาก็จำได้คนคนนั้นได้ในทันที!


 


 


“เกาเสินอิ่นนั่นเอง!” เกาอี้ชี้ไปที่รูปภาพแล้วพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น


 


 


ทุกคนในตระกูลต่างมองหน้ากันอย่างว่างเปล่า “ตระกูลเตียน หนาน เกา มียอดฝีมือตั้งแต่เมื่อไหร่ แถมยังเด็กขนาดนี้อีก”


 


 


หลังจากที่ตระกูลของน่าหลานเชวี่ยได้ข้อมูลนี้มา พวกเขาก็พยายามคิดให้ออก ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเก็บข้อมูลนี้ไว้กับตัวเอง งั้นทำไมไม่ลองแลกข้อมูลสำคัญๆ นี้กับคนอื่นด้วยล่ะ


 


 


หลี่ว์ซู่ที่กำลังเข้าเรียนคาบบ่ายอยู่เขาก็ตกใจที่ได้รับแต้มอารมณ์ที่ถูกบันทึกไว้


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินอิ่น +177, +119, +213…]




ตอนที่ 551 เขาฉางไป๋


 


 


การดึงความสนใจจากตระกูลใหญ่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเพราะพวกเขาจัดการอะไรต่อมิอะไรเองได้ อีกทั้งยังมีพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ ของตัวเอง เพราะฉะนั้นพวกที่พำนักอาศัยยู่ห่างไกลจากเมืองลั่วจึงไม่กระโดดเข้ามาแก่งแย่งชิงดีด้วย


 


 


ตระกูลใหญ่เหล่านี้โดยมากมักเป็นพวกจัดการกับความเสี่ยงได้อย่างรอบคอบ พวกเขาจะชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วนก่อนเคาะออกมาเป็นข้อสรุปที่สมเหตุสมผล เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางรีบกระโดดลงไปฉกฉวยผลประโยชน์ที่จะได้ถึงแม้จะเข้าใจดีถึงความสำคัญของการฝึกฝนและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจเพื่อทรัพยากรในการฝึก


 


 


ในแต่ละตระกูลมีหัวกะทิที่ถูกฝึกมาอย่างดีอยู่ อย่างเช่นเฉินจู่อานจากตระกูลเฉิน สวีเวินซินจากตระกูลสวี และเกาเสินอิ่นจากตระกูลเกาในเตียนโจว การจะเลี้ยงดูหัวกะทิเหล่านี้นั้นจะต้องใช้ทรัพยากรในการฝึกเป็นอย่างมาก และการได้รับทรัพยากรอย่างมากนี้ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่นักเรียนธรรมดาๆ ของห้องเต้าหยวนหรือผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ จะไม่ได้ตรงนี้ไป


 


 


เพราะมีพื้นเพที่ไม่ได้ดีเด่เท่าไหร่ เนี่ยถิงจึงเชื่อในพัฒนาการที่สืบเนื่องมาจากการเข้าถึงทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นเขาจึงใช้อำนาจของเขาเพื่อกำหนดให้การจัดการมอบทรัพยากรเป็นไปอย่างเคร่งครัด จะไม่มีการยอมให้มีเส้นสายทหารหรือการรับใต้โต๊ะจากตระกูลที่มีอำนาจต่างๆ เกิดขึ้น สำหรับเนี่ยถิงแล้ว เกณฑ์ที่สำคัญเกณฑ์เดียวคือความสามารถในการฝึกฝน


 


 


เขาเล็งเห็นว่าเครือข่ายฟ้าดินจะเจริญเติบโตได้ด้วยการกำจัดการผูกขาดของตระกูลใหญ่ที่มีผลต่อการฝึกบำเพ็ญ เพราะยุคนี้เป็นยุคของความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด!


 


 


ที่จริงแล้วหลี่ว์ซู่เองก็ไม่รู้ว่าในตอนที่เขาถูกส่งไปที่ญี่ปุ่นนั้น พวกหัวกะทิที่อยู่ในระดับ A คนอื่นๆ ก็ถูกส่งไปฝึกฝนพิเศษด้วย รวมถึงเฉาชิงฉือและเฉินจู่อานเองก็ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจของตัวเองเหมือนกัน


 


 


เฉินจู่อานนั้นโชคไม่ดีเท่าไหร่ เขาคิดว่าคงจะวิเศษมากหากตัวเองถูกส่งไปฝึกฝนกับพวกหัวกะทิคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนตัวเขาจะได้รับความสนใจจากราชันฟ้าเนี่ยเป็นพิเศษ…


 


 


แท้ที่จริงแล้วเป้าหมายที่สูงสุดของการส่งคนพวกนี้ไปปฏิบัติภารกิจก็เพื่อให้มือของพวกเขาได้เปื้อนเลือดบ้าง จะได้รู้ว่าโลกแห่งความจริงในดินแดนแห่งการฝึกบำเพ็ญนั้นเป็นอย่างไร


 


 


พวกหัวกะทิระดับ A จะได้รับการประเมินว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนก็ต่อเมื่อพวกเขาเคยผ่านความยากลำบาก เจอปัญหาและได้ลิ้มรสการฆ่าคนมาก่อน


 


 


หากถามเนี่ยถิงว่าจะรู้สึกเสียใจไหมถ้าพวกหัวกะทิระดับ A นั้นถูกฆ่าตายขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ต้องตอบเลยว่าเขาเสียใจแน่ๆ


 


 


แต่การส่งพวกเขาไปนั้นเป็นสิ่งจำเป็น พวกเขาต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เช่นเดียวกับที่ตีเหล็กก็ต้องตีในความร้อน จึงจะหลอมออกมาเป็นเหล็กกล้าได้นั่นแหละ


 


 


ดังนั้นในระหว่างนี้เนี่ยถิงเองก็ต้องเคี่ยวกรำหัวกะทิคนอื่นๆ ไปด้วยเช่นกัน และในขณะเดียวกัน เฉาชิงฉือก็ได้ฝังกลบตัวเองในทรายทั้งวันทั้งคืนในการปฏิบัติภารกิจซุ่มโจมตีในทะเลทราย


 


 


เป้าหมายของเธอคือคนที่ทรยศเครือข่ายฟ้าดินและหนีจากทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนไปที่ทางตะวันตก พวกเขาล่วงรู้ข้อมูลลับของเครือข่ายฟ้าดิน ดังนั้นเฉาชิงฉือจึงต้องรับหน้าที่ซุ่มกำจัดคนพวกนั้น


 


 


เครือข่ายฟ้าดินบีบให้พวกหัวกะทิต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดันตึงเครียดเพื่อช่วยให้พวกเขาเติบโตและแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะสร้างรากฐานของตัวเองไปแข่งกับพวกตระกูลใหญ่ที่มีต้นทุนดีกว่าได้อย่างไร


 


 


ในตอนนั้นเอง หลี่อีเสี้ยวก็พยายามส่งข้อความไปหาตระกูลต่างๆ เพื่อขอความกรุณาให้พวกเขามาซื้อศิลาวิญญาณกว่าหลายพันก้อนในกระเป๋าที เขาบอกไปว่าเขาจะไม่จัดการดูแลตลาดมืดในเมืองลั่วต่อแล้วและขอให้เชื่อในคำพูดของเขาด้วย…


 


 


แต่พวกตระกูลใหญ่กลับสงสัยว่าทำไมหลี่อีเสี้ยวถึงมาพูดราวกับว่าเขาเป็นพ่อค้าขายเร่ได้ ทว่าข้อความของหลี่อีเสี้ยวส่งไปก็ค่อนข้างชัดเจน เขาสามารถควบคุมราคาศิลาวิญญาณในตลาดมืดให้อยู่ในราคาที่สมเหตุสมผลได้


 


 


เรื่องนี้เรียกความสนใจจากตระกูลใหญ่ได้ทันที ราชันฟ้าหลี่อยากวางมือจากการคุมตลาดมืดหลังจากปิดการขายครั้งนี้ได้งั้นเหรอ แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าหลี่อีเสี้ยวได้ศิลาเหล่านี้มาจากไหน เพราะใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าราชันฟ้าคนนี้ไม่ค่อยมีเงินออมในบัญชีของเขานัก


 


 


แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนี้ไปก็ไม่เสียหายอะไรถ้าจะติดต่อขอดูของก่อน เงินกว่าพันล้านหยวนนี่สามารถเอาไปลงทุนในสิ่งอื่นที่มีค่ามากกว่านี้ได้เสมอ ถึงแม้พวกเขาจะต้องการศิลาวิญญาณจำนวนมากก็ตาม แต่ถ้ามันเยอะเกินไปก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี


 


 


ในอดีตมีการคาดเดากันว่าอาจหาสกุลเงินกลางเพื่อใช้สำหรับซื้อขายศิลาวิญญาณในโลกของผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะ แต่เมื่อลองคำนึงถึงปริมาณศิลาวิญญาณที่มีเทียบกับค่าเงินแล้ว พวกเขาก็รู้ว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการกระจายตัวของศิลาวิญญาณในโลกใบนี้ก็ยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด


 


 


ด้วยเหตุนี้ การซื้อขายศิลาวิญญาณด้วยนสกุลเงินกลางจึงยังไม่เจริญเติบโตมากนัก


 


 


เพราะฉะนั้นในตอนนี้ ศิลาพวกนี้มีประโยชน์แค่เอามาเป็นทรัพยากรในการฝึกฝนเท่านั้น


 


 


พวกตระกูลใหญ่ๆ มีการเคลื่อนไหวหลังจากได้รับข้อความจากหลี่อีเสี้ยวแล้ว เนื่องจากเมืองลั่วเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของหนึ่งในเจ็ดวิทยาลัยการฝึกฝน ดังนั้นตลาดมืดในเมืองลั่วจึงถือว่าเป็นสถานที่ตั้งที่มีความสำคัญทางภูมิศาสตร์มากเลยทีเดียว!


 


 



 


 


ราชันฟ้าเนี่ยถิงที่อยู่ในเมืองหลวงห่างออกไปหลายไมล์ก็เริ่มขมวดคิ้วขณะที่กำลังอ่านรายงานในมือ


 


 


“เขาไม่ได้บทเรียนอะไรเลยใช่ไหมหลังจากที่เขียนหนังสือขอโทษไปน่ะ…”


 


 


ในรายงานเขียนไว้ว่าหลี่อีเสี้ยวติดต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในจีนไปทั้งหมดสิบเอ็ดตระกูลเพื่อกระจายข่าวเรื่องการซื้อขายศิลาวิญญาณกว่าพันก้อน มีห้าตระกูลที่ปฏิเสธไปเพราะติดปัญหาเรื่องการเดินทางไกล และพวกเขากลัวว่าตระกูลอื่นๆ จะปล้นของของพวกเขาไปได้ถ้าเกิดการกวาดล้างตลาดขึ้น


 


 


นี่ก็เหมือนการเล่นหมากรุกที่ต้องคิดให้ดีก่อนเดินหมาก ต้องพิจารณาถึงประโยชน์และสิ่งที่ต้องเสียไป


 


 


ส่วนอีกหกตระกูลที่เหลือจะส่งคนไปที่เมืองลั่ว พวกเขาสนใจอยากซื้อศิลาวิญญาณมาให้ลูกศิษย์ที่ดูแลอยู่และสนใจอยากกระโดดลงไปคุมตลาดมืดเมืองลั่วที่มีความสำคัญในเชิงกลยุทธ์แทนอีกด้วย


 


 


สือเสวจิ้นถามอย่างสงสัย “เขาต้องร่วมมือกับหลี่ว์ซู่แน่ คุณคิดอย่างนั้นไหม คนจนอย่างเขาจะไปเอาศิลามากมายขนาดนั้นมาได้จากไหน…”


 


 


“แน่นอน ถ้าสมมุติว่าการคาดเดาของเราถูกต้อง หลี่ว์ซู่จะต้องมีศิลาวิญญาณหลายพันก้อนที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพในมือแน่” เนี่ยถิงค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดลง


 


 


“คุณจะลองไปคุยกับหลี่ว์ซู่ดูไหม” สือเสวจิ้นวางหนังสือลงข้างตัว “ไม่เสียหายอะไรนี่”


 


 


คิ้วของเนี่ยถิงกระตุกเล็กน้อย “ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก มันก็แค่ศิลาไม่กี่พันก้อน ไม่ได้เป็นปัญหาขนาดนั้น ไม่แน่ว่าเหตุการณ์นี้อาจทำให้เขาเห็นว่าต่างประเทศนั้นมีทรัพยากรการฝึกในครอบครองมากมายขนาดไหน”


 


 


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เนี่ยถิงก็พูดต่อ “ปรมาจารย์หุ่นเชิดอยากสร้างชื่อตัวเองในยุโรป แต่เขาก็เอาชนะฝ่ายความศรัทธาไม่ได้ ตอนนี้เขาคงเบนความสนใจไปที่อื่นแล้วล่ะ อเมริกาเองก็มีสมาคมฟีนิกซ์และกลุ่มนักบุญ เขาคงไม่มีโอกาสมากนักหรอก ฉันเกรงว่าเขาจะไปสนใจตะวันออกกลางหรือออสเตรเลียแทน แต่ถึงยังไงฉันก็เชื่อว่าเขาจะไปที่แรกมากกว่า”


 


 


สือเสวจิ้นพิจารณาแล้วจึงถาม “ท่านคิดว่าเป็นไปได้ไหมถ้าเขาจะไปเข้ากับพวกผู้บำเพ็ญในอินเดีย”


 


 


ถึงแม้ภายนอกอินเดียจะดูเฟื่องฟู แต่ในด้านของการบำเพ็ญ อินเดียก็ค่อนข้างถดถอยไปแล้ว นักสู้ตัวอันดับต้นๆ หลายคนต่างก็ทยอยร่วงไป แต่ถ้าพินิจดูทรัพยากรการฝึกกับประชากรที่มีมากมาย ผู้บำเพ็ญหลายคนอาจจะยอมขายวิญญาณเพื่อความแข็งแกร่งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นมันก็ฟังดูเป็นไปได้ ถึงแม้คนพวกนั้นอาจจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดแท้จริงแล้วไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม


 


 


และแน่ล่ะว่าปรมาจารย์หุ่นเชิดสามารถเป็นปิศาจได้เลยทีเดียว!


 


 


“จับตาดูด้วยว่าเขาจะเดินไปทางไหนต่อ แต่ยังไงฉันก็ยังไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้น มะรืนนี้ฉันจะไปที่เขาฉางไป๋” เนี่ยถิงกล่าว


 


 


“แน่นอนครับ เรื่องนั้นสำคัญกว่าอยู่แล้ว” สือเสวจิ้นพยักหน้าแสดงความเข้าใจ


 


 


ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้บอกเพราะเหตุใดเนี่ยถิงจึงต้องมุ่งหน้าไปยังเขาฉางไป๋ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น




ตอนที่ 552 หลี่ว์เสี่ยวอวี๋โน้มน้าวสาธารณชน


 


 


“จับตาดูหลี่อีเสี้ยวด้วย เขาจะขายศิลาก็ได้ แต่อย่าให้เขาขายให้ตลาดมืดเด็ดขาด ที่นั่นอยู่ใกล้วิทยาลัยฝึกฝนทั้งเจ็ดเกินไป” เนี่ยถิงกำชับอย่างใจเย็น “ยังไงก็ยึดเอาหลักการเป็นสำคัญ”


 


 


สือเสวจิ้นเริ่มเครียดขึ้นมา ทำไมหลี่อีเสี้ยวกับหลี่ว์ซู่จะต้องก่อปัญหาเอาตอนนี้ที่เนี่ยถิงจะไม่อยู่เมืองหลวงด้วย แต่อย่างไรเขาก็เชื่อมั่นใน ‘หลักการ’ ของเนี่ยถิงเต็มร้อย


 


 


กระนั้นสือเสวจิ้นก็ไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ สองคนนั่นน่าจะรู้ขอบเขตอยู่ละนะ


 


 


ในขณะที่ตระกูลใหญ่ทั้งหลายกำลังเดินทางมาที่เมืองลั่ว เนี่ยถิงก็กำลังจะเดินทางออกไปที่เขาฉางไป๋ ส่วนหลี่ว์ซู่และหลี่อีเสี้ยวกำลังสุมหัวกันว่าจะสร้างความลำบากให้คนอื่นอย่างไร… ไม่สิพวกเขากำลังคุยกันว่าจะหาเงินจากตรงนี้ได้อย่างไรต่างหาก


 


 


และตอนนั้นเอง หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ก็เพิ่งเดินทางมาถึงค่ายฝึกที่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของเมืองอวี้โจว


 


 


ครั้งนี้มีนักเรียนห้องเต้าหยวนจากสามเมืองด้วยกัน รวมแล้วจำนวนมากกว่าหมื่นคน นี่ไม่ใช่จำนวนที่มากมายเท่าไหร่นัก แต่พอมาอยู่รวมกันแล้วถือว่าเป็นคลื่นมนุษย์ที่ใหญ่พอตัวเลย


 


 


ค่ายทหารนี้ถูกจัดเตรียมเพื่อสมาชิกใหม่ห้องเต้าหยวนในทุกๆ ปีโดยเฉพาะ ทหารที่จะใส่ชุดเครื่องแบบสำหรับการฝึก และชายหญิงจะถูกแยกกันไปประจำคนละหน่วยอย่างชัดเจน ตอนนี้มีจำนวนเด็กผู้หญิงน้อยกว่าเด็กผู้ชายอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ไม่ใช่ว่าเด็กผู้หญิงจะอ่อนแอกว่าหรอก ผลตรวจสอบระบุว่าจำนวนของผู้หญิงที่มีศักยภาพในการฝึกฝนเป็นผู้บำเพ็ญนั้นสูงกว่าผู้ชายถึงสิบเปอร์เซ็นต์ แต่สถานการณ์นี้ต่างออกไป นักเรียนสามารถเลือกที่จะไม่เข้ารับการฝึกที่ค่ายได้ และเด็กผู้หญิงจำนวนมากก็เลือกแบบนั้น


 


 


เรื่องความเท่าเทียมทางเพศเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน ถึงแม้จะมีการพูดว่าร่างกายของผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น ที่จริงแล้วเรื่องนี้ต้องโทษผู้คนที่ชอบมองแบบเหมารวมมากกว่า


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นเป็นข้อยกเว้น เธอสูงมากทีเดียว การฝึกฝนของเธอมีผลกับการเจริญวัยเป็นสาวด้วย


 


 


หลายคนเห็นความเปลี่ยนแปลงของรูปร่างหน้าตาหลังจากเริ่มฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณที่ดีขึ้นหรือส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น นักเรียนหลายคนสูงพรวดขึ้นถึงร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตรจากร้อยเจ็ดสิบภายในปีเดียวเท่านั้น นี่เป็นเพราะการฝึกฝนนี้ช่วยขับของเสียที่ไม่ดีออกจากร่างกายและช่วยชดเชยความบกพร่องของร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด พวกเขาเลยดูสวยหล่อกว่าวัยรุ่ยทั่วๆ ไป


 


 


แต่ในกรณีของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้น แทนที่จะไปปกปิดข้อบกพร่อง เธอได้รับทักษะคุยกับสัตว์ตั้งแต่อายุน้อยๆ มาแทน เธอแทบจะไม่มีข้อบกพร่องอะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้เธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าเพื่อนๆ ตอนที่เติบโตขึ้น


 


 


เรื่องนี้อาจเป็นคำอธิบายว่าทำไมเธอถึงดูสวยแบบธรรมชาติก็ได้ แต่ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังไม่แน่ชัดเหมือนกัน เพราะตอนเด็กๆ เธอก็ยังไม่ค่อยรู้ความเท่าไหร่


 


 


นักเรียนทุกคนต่างเข้ามารับชุดเครื่องแบบของตัวเองที่ถูกจัดไว้ในห้องต่างๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จัดเตียงของเธอเงียบๆ ในห้องมีนั้นมีคนกว่ายี่สิบคน และมีเตียงสองชั้นสิบเตียงในแต่ละห้อง เธอเลือกนอนเตียงล่างเพราะจะได้เข้าออกได้สะดวก


 


 


ในห้องเต็มไปด้วยคนมากมาย ตอนที่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จัดเตียงอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนขว้างหมอนและผ้าห่มมาที่เตียงของเธอ “ขึ้นไปนอนเตียงบนโน่น ยัยถั่วงอก”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เงยหน้าขึ้นแล้วก็พบกับเด็กหญิงตัวสูงหน้าตาสะสวย แต่รอบตัวเธอกลับมีบรรยากาศของความหยิ่งยโส นอกจากเด็กคนนี้แล้วยังมีเด็กผู้หญิงอีกห้าคนยืนอยู่ข้างหลังคอยหัวเราะคิกคักใส่เสี่ยวอวี๋ด้วย


 


 


ยัยถั่วงอกงั้นเหรอ เสี่ยวอวี๋เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองต่ำลงไปที่หน้าอกของเธอ


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่ปกป้องเธออยู่ ไม่มีใครกล้าเข้ามาแกล้งเธอเลย เธอไม่รู้ว่าบางครั้งหน้าสวยๆ ของเธอนั้นก็อาจจะเป็นสาเหตุให้เด็กผู้หญิงคนอื่นอิจฉาก็ได้


 


 


แต่การที่เด็กผู้หญิงรังแกกันเองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว


 


 


ปกติแล้วถ้าคนคนหนึ่งถูกยืนล้อม คนคนนั้นจะต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา แต่พวกเธอเล่นงานผิดคนแล้วล่ะ


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋จับจ้องเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างใจเย็น เธอควรจะตอบด้วยอะไรอย่าง ‘ว่าไงนะ’ ‘ต้องการอะไรน่ะ’ หรือ ‘นี่เธอเป็นใคร’ ออกไป


 


 


แต่เสี่ยวอวี๋ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ …


 


 


ก่อนที่เด็กหญิงคนนั้นจะทันได้พูดอะไรต่อ ร่างของเธอก็ถูกเตะอัดเข้ากำแพงเสียงดังเข้าเสียแล้ว


 


 


เสี่ยวอวี๋คิดว่าไหนๆ ทุกคนต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็คงไม่เป็นอะไรถ้าไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น เธอสามารถระดมยิงคนทั้งห้องด้วยกระสุนทรายขาวจากทะเลลึกได้ ถ้าเธอคิดอยากจะฆ่าคนขึ้นมาก็ไม่มีอะไรจะมาหยุดเธอได้หรอก


 


 


พวกลูกสมุนของเด็กหญิงตกตะลึง พวกเธอรอให้เสี่ยวอวี๋พูดอะไรสักอย่าง


 


 


แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นคนตรงไปตรงมา เธอไม่ได้ทำอย่างที่พวกเธอคาดเอาไว้!


 


 


“ทหารคะ! ทหาร!” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งรีบวิ่งออกไปจากห้อง “ใครก็ได้เรียกหมอมาหน่อยค่ะ มีคนเป็นลม!”


 


 


“ฉันเดาว่าเธอคิดว่าเธอคงได้ใจกันไปใช่ไหมเมื่อกี้น่ะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดกับเด็กผู้หญิงพวกนั้นอย่างเยาะเย้ย


 


 


ทันใดนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ไม่ได้เป็นเด็กเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ แต่เธอเป็นพวกชอบเยาะเย้ยคนอื่นหลังจากต่อสู้กับคนอื่นเสร็จต่างหาก อย่างไรก็ตามเธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะเป็นราชันฟ้า!


 


 


คำพูดของหลี่ว์ซู่นั้นสลักอยู่ในหัวของหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอจะต้องแข็งแกร่งและทำให้ผู้คนฟังเธอให้ได้ถ้าอยากจะเป็นราชันฟ้า!


 


 


งั้นเอาแบบนี้เป็นไง เธอจะทำให้ทุกคนเห็นพลังของเธอและยังทำให้ผู้คนก้มหัวให้เธอภายในคราวเดียวกัน ดีล่ะ!


 


 


“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ทหารหญิงสองคนเดินเข้ามาในห้องแล้วถามพวกเด็กผู้หญิงพวกนั้น


 


 


“พวกเธอจะรังแกฉันค่ะ ฉันก็เลยตีพวกเธอคืน” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ตอบอย่างใจเย็น


 


 


ตอนแรกพวกเด็กผู้หญิงพวกนั้นคาดว่าจะเสี่ยวอวี๋จะถูกลงโทษ แต่ทหารกลับอุ้มเด็กหญิงที่บาดเจ็บออกไปโดยไม่พูดอะไร


 


 


“ทหารคะ คุณจะไม่ทำอะไรกับยัยนี่หน่อยเหรอ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งฟ้อง


 


 


ทหารหญิงคนหนึ่งหันมามองตาเด็กผู้หญิงคนนั้น


 


 


“เด็กคนนี้ตัวคนเดียวแต่กลับจัดการพวกเธอได้ตั้งหลายคน ทำไมพวกเธอถึงไปแกล้งเขาก่อนล่ะ บทเรียนแรกในโลกแห่งการฝึกฝนคืออย่าตัดสินใครก็ตามด้วยรูปลักษณ์ภายนอก คนเราแข็งแกร่งหรือไม่ไม่ได้ดูที่รูปลักษณ์หรือดูว่ามีลูกสมุนคอยติดตามกี่คนหรอกนะ แต่ดูว่ามีความพยายามมากแค่ไหนต่างหากล่ะ”


 


 


หลี่ว์เสี่ยวอวี๋คิดว่าเธอไม่ได้พยายามอะไรขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป…


 


 


หลังจากเหตุการณ์นี้ เธอรู้ว่าผู้คนจะเชื่อฟังเธอแล้ว อย่างที่คาดไว้ เธอยังควบคุมทุกๆ อย่างไว้ได้อยู่


 


 


ปกติแล้วการรังแกกันในโรงเรียนมักใช้คนหมู่มากรุมรังแกคนคนเดียว แต่ในกรณีของเสี่ยวอวี๋ เธอคนเดียวกลับรังแกได้ตั้งหลายคน…


 


 


และในตอนนี้ เสี่ยวอวี๋รู้สึกได้ถึงพลังดวงดาวที่เพิ่มขึ้นในตัวเธอ แสดงว่าหลี่ว์ซู่ต้องกินผลไม้แห่งนรกเข้าไปนา


 


 


แต่อย่างไรเธอก็ยังสับสนอยู่ มันมีความเกี่ยวข้องกันระหว่างผลไม้แห่งนรกกับการรังแกคนอื่นไหมนะ ตอนกลับบ้านไป เธอต้องรู้ให้ได้เลยว่าหลี่ว์ซู่ซ่อนอะไรไว้จากเธอ!


 


 


นักเรียนจากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่วหลายคนรู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ แต่ในครั้งนี้ก็มีคนจากต่างเมืองมาฝึกด้วยเหมือนกัน นักเรียนจากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่วหลายคนเป็นกังวลใจเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากห้องของเสี่ยวอวี๋เพราะพวกเขารู้ว่ายัยนี่สร้างความเสียหายได้มากแค่ไหน!


 


 


มีนักเรียนหญิงหลายคนรอดูสถานการณ์อยู่ที่ห้องโถง เป็นไปตามคาด มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกอุ้มออกมาข้างนอก…


 


 


พวกเขาค่อยๆ มองเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง และก็เห็นว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอย่างภูมิใจอยู่กลางห้องดูแล้วเหมือนกับราชาลิงที่เพิ่งสร้างความหายนะในวังแห่งสวรรค์ไป ในขณะที่คนอื่นๆ หมอบกราบเธออย่างเชื่อฟังราวกับนกกระทา…




ตอนที่ 553 ฮีโร่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋


 


 


พวกหัวกะทิถูกเนี่ยถิงส่งออกไปปฏิบัติภารกิจกันหมด เลยไม่มีใครในค่ายฝึกทหารที่แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวอวี๋อีกแล้ว


 


 


เธอไม่ได้รุนแรงอะไรเลยด้วยซ้ำ หลี่ว์ซู่เคยพูดเรื่องนี้กับเธอแล้ว ถ้าเกิดการต่อสู้กันในระหว่างหมู่นักเรียนด้วยกันเอง เธอก็ห้ามไปทำร้ายพวกนั้นหรือฆ่าพวกนั้นทิ้ง เธอจะต้องกำหนดขีดจำกัดพลังของเธอให้ดี


 


 


เพราะฉะนั้นหลังจากที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นได้สติกัน พวกเธอจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไรกันมาก หลังจากพวกเธอกลับจากห้องพยาบาลแล้วก็พบเสี่ยวอวี๋กำลังนั่งส่งข้อความหาหลี่ว์ซู่อยู่ที่ปลายเตียง เธอหัวเราะเสียงเย็น เด็กผู้หญิงพวกนั้นได้แต่กระซิบกระซาบกันจากมุมห้อง เสี่ยวอวี๋ไม่อยากรู้หรอกว่าพวกเธอคุยเรื่องอะไรกันอยู่


 


 


“ก็ยังโน้มน้าวใจให้คนทั้งหมดเชื่อฟังไม่ได้แฮะ” เสี่ยวอวี๋ถอนหายใจออกมาขณะเหลือบมองไปที่พวกเธอ


 


 


ตอนแรกเธอคิดว่าการทำให้ทุกคนฟังเธอเป็นเรื่องง่ายๆ สงสัยจะคิดน้อยไปหน่อย แต่ถ้าทำมันไม่ได้ก็คงไม่ได้เป็นราชันฟ้าหรอก!


 


 


ในความจริงแล้ว เด็กผู้หญิงหลายๆ คนใจแคบกันมาก พวกเด็กนักเรียนหญิงห้องเต้าหยวนที่เสี่ยวอวี๋สู้ด้วยก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน


 


 


ผู้คนก็มักจะเข้าร่วมกองกำลังกันง่ายๆ ถ้าพวกเขาขยันกันพอ พวกผู้เด็กหญิงคุยกันขณะรอให้เสี่ยวอวี๋หลับ จากนั้นก็ค่อยมาทำร้ายเธออีก เสี่ยวอวี๋คอยสะกดอารมณ์ไว้ไม่ให้ระเบิดพลังจนทำให้เด็กนักเรียนหญิงพวกนี้ตายใจ ที่เด็กผู้หญิงพวกนี้นโดนเสี่ยวอวี๋เก็บทีละคนก็เพราะพวกเธออประมาทเกินไป ครั้งนี้พวกเธอจึงรอจนมืดแล้วค่อยเริ่มแผนการใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้แหละจะต้องสำเร็จแน่ๆ!


 


 


ปกติแล้วคนทั่วไปจะเป็นฝ่ายตกอยู่ในปัญหาถ้าโคจรมาเจอกับเด็กผู้หญิงอย่างพวกเธอเข้า พวกนั้นต้องนอนตาไม่หลับตอนกลางคืนกันแน่ เด็กผู้หญิงพวกนี้พร้อมที่จะตอบโต้เสมอ แล้วคนทั่วไปจะทำอะไรได้ล่ะ


 


 


แล้วคนปกติก็คงจะต้องเป็นกังวลกันแล้ว แต่เสี่ยวอวี๋ไม่ธรรมดา พอไฟปิดลง เสี่ยวอวี๋ก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเตียงของเธอ


 


 


ทั้งหอพักนั้นเงียบสนิท…


 


 


ก่อนที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นจะทันทำอะไร เสี่ยวอวี๋ก็จัดการกับนักเรียนหญิงพวกนั้นอีกรอบ เสียงโหยหวนของพวกเธอทำให้นึกว่าอยู่ในนรกยังไงอย่างงั้น


 


 


เด็กหญิงพวกนั้นพูดไม่ออกกันเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย พวกเธอยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ เสี่ยวอวี๋ก็ชิงเปิดก่อนแล้ว


 


 


ทำตามแผนหน่อยไม่ได้หรือไงยะ!


 


 


หลังเสี่ยวอวี๋พยายามโน้มน้าวใจพวกเธอ เด็กผู้หญิงทุกคนในหอพักก็ได้รับรู้ ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่พวกเธอดูถูก ที่จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก!


 


 


เสี่ยวอวี๋หงุดหงิด ทำไมถึงทำให้พวกนี้เชื่อได้ยากนักนะ!


 


 


แล้วในเวลาไม่ถึงสองวัน หลี่ว์ซู่ก็พบว่าแต้มอารมณ์ที่เสี่ยวอวี๋เก็บมาได้นั้นเพิ่มขึ้นช้าๆ เขาคาดว่าน่าจะนำไปแลกผลไม้แห่งนรกมาได้มากกว่าร้อยผล หลี่ว์ซู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขารีบส่งข้อความไปหาเสี่ยวอวี๋เพื่อถามว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เสี่ยวอวี๋ก็ตอบกลับมาว่ากำลังโน้มน้าวใจผู้คนให้เชื่อฟังอยู่


 


 


เอ่อ…


 


 


เขาคิดว่าเสี่ยวอวี๋กำลังเข้าใจเรื่องโน้มน้าวใจคนแบบผิดๆ อยู่ๆ


 


 


[แล้วโน้มน้าวใจยังไงน่ะ] หลี่ว์ซู่ถามอย่างระมัดระวัง


 


 


[ด้วยพลังของฉันไง!] เสี่ยวอวี๋ตอบไปด้วยความภาคภูมิใจ


 


 


เสี่ยวอวี๋ไม่รู้สึกว่าเธอทำอะไรผิดไปสักนิด ถ้าเธอยอมรับความอับอายและปล่อยให้คนมารังแกละก็ เธอนั่นแหละที่จะเป็นคนถูกชักจูง งั้นทำไมถึงไม่เป็นคนที่ชักจูงคนอื่นเสียเองล่ะ!


 


 


แถมพวกนั้นยังเริ่มก่อนด้วย เธอไม่ได้เป็นคนเริ่มเสียหน่อย


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกหดหู่ ทักษะเข้าใจภาษาจีนของเสี่ยวอวี๋นี่มีปัญหาไม่น้อยเลยแฮะ…


 


 


เครือข่ายฟ้าดินพบว่ามีปัญหาหนึ่งอย่างในการฝึกซ้อมนี้ เด็กหลายคนเสียสติไปเลยขณะเข้าค่ายฝึกฝน


 


 


แต่เสี่ยวอวี๋กลับฝึกฝนได้ดีมาก เพราะในอนาคตเธอจะได้เป็นถึงราชันฟ้ายังไงล่ะ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเธอควรเป็นตัวอย่างให้คนอื่น


 


 


ทว่าเด็กผู้หญิงหลายคนนั้นทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญแล้วแต่ก็ยังบอบบางและอ่อนแอกันอยู่ดี


 


 


พอตอนตีห้าก็มีสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นมาทั่วทั้งค่าย ทั้งเด็กหญิงและเด็กชายต่างตกใจกันใหญ่ ตอนมารวมกันที่จุดรวมพลแล้ว หลายๆ คนยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี ใบหน้าของทหารผู้บังคับบัญชาส่วนใหญ่ตึงเข้ม


 


 


ทหารผู้บัญชาการสูงสุดที่ยืนอยู่หน้าแท่นเสาธงกล่าวเตือนสติทุกคนอย่างน่ากลัว


 


 


“ปีนี้ผลการฝึกซ้อมของพวกเด็กผู้หญิงแย่มาก ไม่ใช่เพราะพวกเธอไม่มีความสามารถ แต่พวกเธอไม่มีใจสู้กันต่างหาก” เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติเสียแล้วในหมู่ผู้บำเพ็ญหญิง ดูอย่างไอมิเป็นต้น เธอเข้าไปเจรจาลับๆ กับสมาคมฟีนิกซ์ในโบราณสถานเกาะช้างตอนนั้น เพราะเธอไม่มีพลังใจที่จะสู้เพราะเธอไม่คิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการต่อสู้เลย


 


 


“ถ้ามีสงครามภายในของผู้บำเพ็ญขนาดใหญ่ขึ้นมา คิดเหรอว่าพวกผู้บำเพ็ญชายจะเสี่ยงชีวิตช่วยพวกเธอ ในขณะที่พวกเธอร้องเล่นเต้นรำเชียร์พวกเขาหรือไม่ก็ไปเข้าร่วมกับทีมแพทย์เสียอย่างนั้น” ผู้บังคับบัญชาสูงสุดหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “แต่นั่นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว ในตอนนี้พวกเธอทุกคนจะต้องยืนหยัดต่อสู้ในสนามรบ ไม่มีการพึ่งโชคลางใดๆ ทั้งนั้น ไม่มีความแตกต่างระหว่างหญิงหรือชายในสนามรบหรอก ที่ฉันรู้มาน่ะมีเด็กหญิงที่เก่งกาจมากคนหนึ่งมาจากห้องเต้าหยวนในเมืองลั่ว เธอแข็งแกร่งกว่าพวกเธอทุกคน เครือข่ายฟ้าดินเพิ่งรายงานเรื่องความสำเร็จทางการทหารของเธอมา ชื่อของเธอก็คือเฉาชิงฉือ”


 


 


“พวกผู้หญิงเอาแต่บ่นตลอดการฝึก แต่ในฐานะผู้บำเพ็ญแล้ว ถ้าทนยืนฟังสักชั่วโมงยังทำไม่ได้ ก็มีแต่ความตายเท่านั้นแหละที่จะรอพวกเธอในสนามรบ คิดเหรอว่าพวกศัตรูจะสงสารเพราะว่าเห็นว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงน่ะ ฮ่าๆ ฟังฉันนะ ไม่มีใครสงสารหรอก พวกเขายิ่งจะใช้วิธีการที่โหดร้ายขึ้นไปอีกเพื่อจะเอาชนะพวกเธอ”


 


 


“คิดว่าการวิ่งสิบกิโลแล้วแบกของหนักๆ ไปด้วยมันยากมากไหม พวกกองทัพธรรมดาๆ เขาวิ่งกันห้ากิโลแล้วแบกของหนักกันแบบนั้นล่ะ พวกเธอแข็งแกร่งกว่าพวกเขาด้วยซ้ำ อาจจะแค่นิดหน่อยหรือมากกว่าเป็นสิบเท่าเลยก็ได้” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดยังคงพูดสอนต่อไป “ถ้ายังเห็นว่ายังไม่เปลี่ยนความคิดอีกละก็ พวกเธอจะได้รับการฝึกที่หนักหน่วงกว่านี้แน่”


 


 


“จำเป็นด้วยเหรอ ตอนแรกฉันก็คิดว่ามาฝึกทหารเฉยๆ” มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกระซิบขึ้นมาเบาๆ


 


 


“ฝึกทหารงั้นเหรอ” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดหัวเราะอย่างน่ากลัว “คิดว่าที่พวกเราเอาพวกเธอมาที่นี่เพื่อฝึกแบบสบายๆ ปล่อยให้พวกธอพักกันทุกชั่วโมง ให้คุยโทรศัพท์กันตอนพักด้วย แบบนี้เหรอ ตื่นได้แล้ว! การฝึกซ้อมในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเธอตื่นจากฝันหวานนั่นแหละ”


 


 


หลายคนคิดว่านี่คงจะเป็นแค่การสั่งสอนแบบธรรมดาๆ ไม่มีใครคิดว่าทหารผู้บัญชาการสูงสุดจะทำตามที่พูดจริง


 


 


“ทุกคนเข้าแถวและเตรียมต่อสู้ของจริง ใครไม่ผ่านจะต้องวิ่งสิบสองชั่วโมงและแบกของหนักไปด้วย และจะไม่ได้รับอนุญาตให้กินข้าวไปทั้งวัน ถ้าใครโกงจะถูกส่งไปศาลทหาร คงไม่ต้องอธิบายสินะว่าจะเกิดอะไรตามมา อย่างพึ่งโชคให้มากล่ะ”


 


 


การต่อสู้ของจริงงั้นเหรอ


 


 


เกิดอะไรขึ้นเนี่ย เดี๋ยวนะทำไมถึงเป็นการต่อสู้แบบจริงๆ ขึ้นมาได้ล่ะ พวกเขายังไม่ได้ฝึกต่อสู้เลย แต่นี่จะให้ต่อสู้กันจริงๆ เสียแล้ว ทุกๆ คนมองหน้ากันอย่างว่างเปล่า ไม่ใช่แค่เด็กผู้หญิงที่ช็อกไป พวกเด็กผู้ชายก็ด้วยเหมือนกัน


 


 


ถ้าหลี่ว์ซู่อยู่ที่นี่ เขาก็คงทำตามไปแล้ว บางทีเนี่ยถิงคงคิดว่าในโลกของผู้บำเพ็ญนั้นไม่มีอะไรแน่นอน หรือมีพวกเผ่าพันธุ์ที่มาจากต่างถิ่นแสนไกลอย่างปรมาจารย์หุ่นเชิด พวกเขากดดันพวกมนุษย์อย่างมาก เพราะฉะนั้นเนี่ยถิงเลยต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด พวกเขายอมแพ้ที่จะฝึกฝนให้ก้าวหน้าระหว่างการฝึกซ้อมในค่ายแล้ว การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากจะทำให้นักเรียนจากห้องเต้าหยวนทุกคนเตรียมเผชิญหน้ากับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บได้


 


 


ฤดูหนาวที่ว่านี้อาจจะมาปีนี้หรือปีหน้าก็ได้ มันอาจจะมาในอนาคตต่อไป แต่เนี่ยถิงไม่อยากให้เครือข่ายฟ้าดินเต็มไปด้วยเด็กน้อยที่ไม่มีการเตรียมพร้อมก่อนเวลานั้นมาถึง



ตอนที่ 554 ไม่มีคู่ต่อสู้ที่คู่ควร


 


 


ในอนาคตเนี่ยถิงไม่อยากเห็นว่ามีคนที่ไม่มีความสามารถและขาดความแข็งแกร่งอยู่ในเครือข่ายฟ้าดินจนสุดท้ายพวกเขาเหล่านั้นต้องฝากชีวิตไว้ในมือคนอื่นตอนอยู่ในสถานการณ์คับขัน เนี่ยถิงหวังว่าคนที่เข้ามาในเครือข่ายฟ้าจะเข้ามาด้วยความเต็มใจ และพวกเขาจะพร้อมใจกันหยิบอาวุธลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตัวเองได้


 


 


รวมถึงไม่ใช่แค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น แต่ต้องกล้าปกบ้านเกิดที่อยู่ข้างหลังด้วย


 


 


นักเรียนถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม หนึ่งกลุ่มมีเก้าสิบถึงร้อยยี่สิบคน กลุ่มนี้มีหนึ่งร้อยคน นั่นก็หมายความว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงทั้งหนึ่งร้อยคนนี้จากห้องเต้าหยวนต้องสู้กันแบบจริงๆ จังๆ ใครชนะก็ได้กินข้าว ส่วนใครแพ้ก็อดข้าวไป


 


 


ทหารผู้บัญชาการเป็นคนจัดกลุ่มเด็กนักเรียนด้วยตัวเอง กลุ่มหนึ่งจะต้องยืนห่างกันห้าสิบเมตร แล้วอยู่ๆ บรรยากาศก็เริ่มกดดันขึ้นมา ทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว


 


 


ถ้าพูดกันตามจริง พวกเด็กผู้ชายจะไม่ค่อยกล้าโจมตีเด็กผู้หญิงเท่าไหร่ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ พวกเขาก็ต้องให้โอกาสพวกเด็กผู้หญิงบ้าง พวกเขาไม่ว่าอะไรหรอกถ้าจะต้องไปวิ่งหรืออดข้าววันนี้


 


 


เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็คิดกันแบบนั้น คงไม่แย่อะไรถ้าให้โอกาสพวกผู้หญิงบ้าง นี่อาจทำให้พวกเธอชอบพวกเขาขึ้นมาก็ได้นะ


 


 


แต่ก็แน่นอนล่ะ พวกเขาจะแสดงตัวว่ายอมอ่อนข้อให้แบบออกนอกหน้าไม่ได้ พอกลุ่มแรกออกมาสู้กัน พวกผู้ชายจึงทำทีว่าจะจู่โจมพวกผู้หญิงอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็แค่แสดงเท่านั้น ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ทหารผู้บัญชาการก็สั่งหยุดการต่อสู้ทันที เขาหัวเราะออกมาเสียงเย็น “ฉันจะคัดพวกเธอสองคนออกเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูในฐานะที่คิดว่าจะมีใครยอมเสียสละให้อีกฝ่ายหนึ่งจริงๆ”


 


 


เขาชี้ไปที่เด็กผู้ชายสองคนนั้น “เอาสองคนนั้นออกไป อย่าปล่อยให้พวกเขาทำตัวเองให้ดูโง่ไปหน่อยเลย พาไปรอที่ห้องแล้วล็อกห้องไว้ สองคนนี้ต้องถูกลงโทษ”


 


 


สิ้นคำทหารผู้บัญชาการ ทุกคนก็ตกอยู่ในความตะลึง เอาจริงน่ะ…


 


 


“อย่าทำอะไรที่พวกเธอจะเสียใจไปจนตาย จริงอยู่ที่พวกเธอยอมเสียสละชีวิตให้คนอื่น แต่คิดเหรอว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นกลับมาน่ะ” ทหารผู้บัญชาการเหลือบมองเด็กทุกคน


 


 


พวกผู้หญิงค่อยๆ ร้องไห้กันออกมา หลายคนรู้สึกหมดหวังกับการฝึกซ้อมครั้งนี้ไปเสียแล้ว อยู่บ้านยังไม่เคยทำงานบ้านเลย แต่พอมาค่ายฝึกฝนสามวันกลับต้องต่อสู้แล้ว


 


 


ตอนแรกก็คิดว่าพวกผู้ชายจะอ่อนข้อให้ แต่พอมาถึงการต่อสู้ของกลุ่มที่สอง พวกผู้ชายก็ปฏิบัติตามกฎกันอย่างเคร่งครัด พวกเขาต้องสู้!


 


 


พวกเด็กผู้หญิงทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนี


 


 


และในตอนนั้นเอง เสี่ยวอวี๋ก็แหวกตัวผ่านทุกคนออกไปอยู่ข้างหน้ากลุ่มนักเรียนหญิง เธอมองไปยังทุกคนแล้วพูดว่า “ตามฉันมานะ”


 


 


เพียงแค่ไม่กี่คำก็เหมือนคลื่นที่เชี่ยวกรากในทะเลลึก หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ยืนอยู่หน้าทุกคนด้วยความมั่นใจ เธอพร้อมที่จะสู้!


 


 


การต่อสู้ในครั้งนี้ก็เหมือนกับการต่อสู้ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งบนฟ้ามาให้ได้


 


 


หลายคนมองเสี่ยวอวี๋ไม่ค่อยดีนัก เธอทะเลาะต่อยตีกับคนอื่นมาทั้งวัน แล้วจะให้มองในแง่ดีได้ยังไง แถมสามวันที่ผ่านมาเสี่ยวอวี๋ก็กินข้าวและซักผ้าคนเดียวด้วย นี่เพราะเธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว


 


 


แต่ทุกคนไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น พวกเขาแค่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับเสี่ยวอวี๋


 


 


พอเธอพูดไม่กี่คำในตอนนี้ว่า ‘ตามฉันมานะ’ เท่านั้นแหละ เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก็เจอสิ่งยึดเหนี่ยวเข้าให้แล้ว


 


 


ในเวลาแบบนี้จะต้องมีใครสักคนลุกขึ้นสู้และทำอะไรสักอย่าง และเสี่ยวอวี๋คือคนคนนั้น เธอรู้ว่านักเรียนหญิงพวกนี้รู้สึกกลัวกัน แม้จะไม่มีอะไรให้กลัวแต่ทุกคนไม่คิดแบบนั้น พวกเด็กผู้หญิงตอนนี้คิดว่าหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เป็นฮีโร่ที่ออกไปต่อสู้ท่ามกลางแสงอาทิตย์ เมื่อเธอกลับมาพร้อมชัยชนะ พวกเธอก็พร้อมจะดื่มเหล้าแรงๆ เพื่อฉลองให้กับชัยชนะนั้น และพวกเธอก็จะมุ่งหน้าสู่ขอบโลกอีกครั้ง


 


 


ขนาดหลี่ว์ซู่เองก็ยังไม่คิดว่าเสี่ยวอวี๋จะนำคนและโน้มน้าวใจคนได้โดยไม่ได้ตั้งใจแบบนี้เลย…


 


 


พวกนักเรียนหญิงที่เคยมาแกล้งหลี่ว์เสี่ยวอวี๋เองก็รู้สึกว่าเธอดูตัวใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเธอผอมเสียขนาดนั้น


 


 


นาทีต่อมา เสี่ยวอวี๋ก็พุ่งตัวเข้าไปหากลุ่มเด็กผู้ชายเหมือนกับลูกศรที่ติดความเร็วแสง ทันได้นั้นเองเธอก็ทำให้พวกเด็กผู้ชายสับสนงงงวย ไม่มีใครหลบการโจมตีของเธอได้ เธอออกหมัดไปที่เด็กผู้ชายทีละคนจนหมอบลงกับพื้น


 


 


จริงอยู่ที่เด็กผู้ชายเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าเด็กผู้หญิง แต่เสี่ยวอวี๋นั้นเคยร่วมต่อสู้และฆ่าคนกับหลี่ว์ซู่มาก่อน เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาในตอนนั้นมันคนละระดับกับในตอนนี้เลย!


 


 


พวกเด็กผู้หญิงมองหน้ากันอย่างหวาดกลัว จากนั้นก็ตัดสินใจกัดฟันแล้ววิ่งเข้าสู้พร้อมกับเสี่ยวอวี๋ ตอนแรกพวกเธอก็ระมัดระวังกัน แต่พอเวลาผ่านไป พวกเด็กผู้ชายก็พบว่าพวกเด็กผู้หญิงโจมตีกันสุดแรงโดยไม่เมตตาสักนิด นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของพวกเธอ!


 


 


สุดท้ายแล้วพวกเขาก็คือผู้บำเพ็ญกันทั้งนั้น ไม่มีแบ่งเพศว่าเป็นชายหรือหญิง ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายเสมอ


 


 


“เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใครน่ะ!” ทหารผู้บัญชาการตกตะลึง


 


 


“หลี่ว์เสี่ยวอวี๋น่ะ คนที่ทำให้หลี่ว์ซู่ได้สมญานามฮีโร่แห่งชาติ” ทหารผู้บัญชาการอีกคนหนึ่งกล่าวอย่างรำคาญพร้อมกับเคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย


 


 


“น้องสาวของหลี่ว์ซู่เหรอ” ทหารผู้บัญชาการสูงสุดเลิกคิ้ว “พี่ชายป่าเถื่อน น้องสาวก็ด้วยงั้นเหรอ”


 


 


“ท่านเคยเจอหลี่ว์ซู่มาก่อนไหมครับ” ทหารผู้บัญชาการถามอย่างสงสัย


 


 


“เคยสิ…” ผู้บัญชาการสูงสุดตอบและพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “เคยไปคุยครั้งหนึ่งตอนไปเมืองหลวง…”


 


 


ทหารผู้บัญชาการพวกนี้เคยโอนย้ายมาจากเครือข่ายฟ้าดิน ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาเคยประจำก่อนจะถูกย้ายไป…


 


 


ตอนนั้นเขาเป็นนายทหารที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของห่าวจื้อเชา เขาเคยโดนหลี่ว์ซู่ตามไล่และโดนอัดมาแล้วตอนที่เขาถูกทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียว…


 


 


เขาไม่อยากจะมองย้อนไปถึงในอดีต หลี่ว์ซู่คงไม่รู้หรอกว่าคนที่เคยอัดไปเมื่อก่อนจะกลายเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในทุกวันนี้…


 


 


เสี่ยวอวี๋เข้าไปประจันหน้าต่อสู่อย่างรวดเร็วและจบการต่อสู้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน เธอมีความสามารถเหนือคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง เธอเคลื่อนที่หลบไปมาในการต่อสู้ ทำให้คู่ต่อสู้นั้นยากที่จับตัวเธอได้


 


 


นี่มันเหมือนกับการเล่นเกมแข่งห้าต่อห้า โดยที่เก้าคนนั้นเป็นมือใหม่ ส่วนคนสุดท้ายที่เหลืออีกหนึ่งคนนั้นแข็งแกร่งกว่าใครเพื่อน โดยปกติแล้วคนคนเดียวนี่แหละจะเป็นคนแบกทั้งเกมการต่อสู้


 


 


ถ้าเด็กผู้ชายพวกนี้ได้ฝึกฝนกลยุทธ์ทางทหารและได้เรียนรู้การต่อสู้ร่วมกันอีกสักหน่อย สถานการณ์ก็คงจะดีกว่านี้มาก แต่ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกเขาสู้กันโดยไม่มีทีมเวิร์ก และยังขาดความสามารถกันอีกทำได้อย่างเดียวก็คือรอให้โดนอัดไปเรื่อยๆ


 


 


พอพวกเด็กผู้ชายล้มลงไปกับพื้นกันหมด เสี่ยวอวี๋ก็ยืนอยู่ตรงกลางของสนามต่อสู้ เธอถอนใจออกมา “ไม่เห็นมีคู่ต่อสู้ที่คู่ควรสักคน ห่างไกลกับหลี่ว์ซู่อะไรอย่างนี้”


 


 


พวกเด็กผู้ชายที่กำลังเจ็บหนักก็พูดออกไปไม่ได้ แต่พวกเขามีหนึ่งคำถามอยู่ในหัว หลี่ว์ซู่นี่เป็นใครกัน


 


 


ขณะนี้ทุกคนก็คิดไปถึงการประกาศจากเครือข่ายฟ้าดินที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ที่พูดถึงคือผู้มีพลังระดับ B คนนั้นที่เหตุการณ์โบราณสถานที่เกาะช้างใช่ไหม


 


 


แล้วพวกเขาจะไปสู้ได้ไงล่ะ! นั่นมันตำนานเลยนะ!


 


 


“ก็ไม่ได้จะว่าใครเป็นพิเศษหรอก แค่อยากจะบอกว่าที่นอนกองกันอยู่เนี่ย ขยะทั้งนั้น” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋เริ่มอินหนัก…


 


 


เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอทั้งหลายกำลังมองเธอต่างออกไป


 


 


มนุษย์น่ะชอบคิดว่าความรุนแรงจากภายในไม่ใช่ความรุนแรงที่แท้จริง แต่พอเสี่ยวอวี๋พาพวกเธอชนะศึกนี้แล้ว พวกเธอก็เห็นความสามารถของเสี่ยว์อวี๋แล้ว


 


 


ในขณะเดียวกันหลี่ว์ซู่เองก็ได้รับค่าอารมณ์อย่างไม่หวาดไม่ไหว เยอะเสียจนมองไม่ทันแล้ว! ตอนแรกก็ได้มาจากชื่อของเด็กผู้หญิงหลายๆ คน แล้วคราวนี้ก็เป็นชื่อของเด็กผู้ชายหลายๆ คนเหมือนกัน


 


 


เขาลังเลอยู่นานว่าจะถามหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดีไหมว่าทุกอย่างยังเป็นปกติอยู่หรือเปล่า…



ตอนที่ 555 การรวมตัวที่เมืองลั่วเฉิง


 


 


หลี่ว์ซู่ที่อยู่ในเมืองลั่วไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งของเสี่ยวอวี๋ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถามเธอ แต่เขายังไม่เคยบอกเสี่ยวอวี๋เรื่องแต้มอารมณ์ที่เขาได้จากเธอ เขาเลยจะอ้าปากถามง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ เดี๋ยวเสี่ยวอวี๋จะรู้ว่ามีอะไรผิดปกติไป


 


 


กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลือกถามไปตรงๆ [เสี่ยวอวี๋ เข้ากับเพื่อนที่ค่ายได้หรือเปล่า]


 


 


[อ๋อ ฉันตีพวกเขาไปน่ะ จะได้ไม่มีใครเถียงได้] เสี่ยวอวี๋ตอบกลับอย่างร่าเริง


 


 


[อันนี้แค่พูดเปรียบเทียบใช่ไหม] หลี่ว์ซู่ตะลึง


 


 


[ไม่ใช่ ฉันตีพวกเขาไปจริงๆ จะได้ไม่มีใครกล้าเถียง] เสี่ยวอวี๋ตอบกลับอีกอย่างมั่นอกมั่นใจ


 


 


หลี่ว์ซู่เลยไม่กล้าถามต่อ ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กพวกนั้นไป ไม่ใช่เรื่องของเขา…


 


 


ในตอนนี้หลี่ว์ซู่ใช้เวลาทั้งวันเพื่อทบทวนเนื้อหาของเขาอย่างขะมักเขม้น พอตกกลางคืนเขาก็ปลอมตัวเปลี่ยนหน้าตาไปที่ตลาดมืดกับหลี่อีเสี้ยว


 


 


พวกตัวแทนของแต่ละตระกูลมาถึงกันแล้ว ในสมัยนี้การเดินทางนั้นสะดวกสบาย พวกเขาเดินทางมาถึงที่เมืองลั่วในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น


 


 


หลายคนมองว่าแบบนี้ไม่ดีเท่าไหร่ พวกเขายังโหยหาอดีตที่ รถยนต์ ม้า หรือการส่งไปรษณีย์ยังนั้นช้าไปหมด นี่ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าสามารถรักคนคนได้แค่คนเดียวไปตลอดชีวิต


 


 


แต่หลี่ว์ซู่กลับรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผู้คนเลิกซื่อสัตย์ต่อกันหรอก เมื่อก่อนมีคนเหลาะแหละไร้หัวใจร้ายเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์เท่านั้นเหรอ ก็ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย


 


 


ถึงรถยนต์ ม้าและการส่งไปรษณีย์จะช้า แต่คนก็เลือกที่จะไม่ซื่อสัตย์ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการส่งจดหมายทางไปรษณีย์แล้ว


 


 


หลังจากที่ตระกูลทั้งหลายมาถึงเมืองลั่วกันแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รีบมาทักทายหลี่อีเสี้ยวทันที ช่วงก่อนออกจากบ้าน พวกเขาต่างตื่นตระหนกกัน แต่พอมาถึงเมืองลั่วแล้วจึงได้ว่ากังวลไปก็เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขากลัวว่าหลี่อีเสี้ยวจะตั้งราคาสูงเกินไป หลี่อีเสี้ยวคงไปคุยกับทุกตระกูลก่อนจะตัดสินใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้หลี่อีเสี้ยวมา


 


 


พอออดเลิกเรียนดัง หลี่ว์ซู่ก็เดินออกจากโรงเรียนอย่างใจเย็น นี่เป็นเวลาที่ออดเตือนว่าถึงเวลาไปใช้ชีวิตแบบผู้บำเพ็ญแล้ว ไม่ใช่ชีวิตปกติที่ไปเรียนธรรมดาทั่วไป


 


 


พวกเด็กผู้ชายที่อยู่ม.ปลายปีสองไม่ได้วางแผนว่าจะตั้งใจเรียนอะไร พอเลิกเรียนพวกเขาก็พากันวิ่งไปร้านเกมหรือไปเล่นกันที่สนาม


 


 


มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งเริ่มเปิดยทสนทนาอย่างสนอกสนใจขณะกำลังเดินออกจากโรงเรียน “นี่ๆ ได้ยินกันมั้ย เมืองลั่วตอนนี้คึกคักเชียว มีผู้บำเพ็ญหลายคนจากตระกูลใหญ่มากันเต็มเลยล่ะ”


 


 


“ได้ยินว่าถึงขนาดมีคนพูดถึงเรื่องนี้กันในกระทู้ของมูลนิธิด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างนะ แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าคืออะไร”


 


 


“เออ คงเจ๋งมากเลยถ้าฉันปะทุพลังด้วยเหมือนกัน ใครเป็นคนจัดงานนี้ขึ้นมาล่ะ!” ในขณะที่นักเรียนสองคนคุยกันอย่างร่าเริง พวกเขาก็มองขึ้นไปเห็นหลี่ว์ซู่อยู่ข้างหน้า พวกเขาหยุดพูดทันทีแล้วเดินผ่านหลี่ว์ซู่ไป พอทิ้งระยะห่างออกไปได้แล้วก็เริ่มพูดกันใหม่ พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงอะไรเพราะพวกเขาไม่ชอบนักเรียนคนนี้เป็นอย่างมาก


 


 


หลี่ว์ซู่กลับหลังไปมองตึกเรียนที่ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามเย็น เขาหันหลังกลับแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปที่ตลาดมืด


 


 


เขาคิดถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมา เขากลับมาจากฐานของพวกทวยเทพประมาณกลางเดือนมกราคม ตรุษจีนใกล้จะมาถึงแล้ว แต่เสี่ยวอวี๋ต้องอยู่ค่ายฝึกฝนเป็นเดือนๆ งั้นแสดงว่าเขาต้องฉลองตรุษจีนคนเดียวใช่ไหม


 


 


ในขณะที่คิดเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงหน้าประตูตลาดมืดแล้ว ประตูเหล็กนี่มีสนิมเกาะอยู่


 


 


หลี่ว์ซู่เคาะประตู มีใบหน้าที่ไม่คุ้นตาโผล่มาตรงหน้าต่างเหนือประตู พอเข้าเห็นหลี่ว์ซู่ ตาของเขาก็เป็นประกายและส่งยิ้มให้อย่างประจบประแจง “ท่านที่เคารพ! มาถึงแล้วเหรอครับ!”


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังใช้รูปลักษณ์ของเกาเสินอิ่นอยู่ แต่ใช้ชื่อว่ากัสสปะ ตอนนี้ที่ตลาดมืดมีคนสำคัญสองคนด้วยกัน คนแรกก็คือ ‘องค์ท่าน’ ส่วนอีกคนชื่อ ‘กัสสปะ’ สองชื่อนี้พอเรียกรวมกันแล้วฟังดูรื่นหู


 


 


หวังเจ๋อหายตัวไปแล้ว ผู้บำเพ็ญระดับต่ำคนนั้นได้ใช้โอกาสช่วงชุลมุนขโมยศิลาวิญญาณของหลี่ว์ซู่ไปหนึ่งเม็ดและวิ่งหนีไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรหรอก แต่หลี่ว์ซู่หวังว่าหวังเจ๋อจะไม่มาให้เขาเห็นหน้าอีกเป็นครั้งที่สอง…


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วการขโมยศิลาวิญญาณแล้วหนีไปแบบนี้มันก็เหมือนการรนหาที่ให้โดนฆ่า! ศิลาสักเม็ดจะไม่ถูกใครหน้าไหนขโมยไปทั้งนั้น!


 


 


หลี่ว์ซู่เดินไปที่หลุมหลบระเบิดและเข้าไปข้างใน ผู้บำเพ็ญลับบนถนนทักทายเขาอย่างนอบน้อม มีชายวัยกลางคนตัวใหญ่คนหนึ่งเห็นหลี่ว์ซู่แล้วสีหน้าก็สดใสขึ้นมาด้วยความดีใจ “ท่านที่เคารพครับ ผมเอาเหล้าดีๆ มาด้วย ชิมสักหน่อยไหมครับ”


 


 


“ไม่เป็นไรๆ เหล้าของนายจะดีได้สักแค่ไหนเชียว” หลี่ว์ซู่หัวเราะและปฏิเสธเขาอย่างมีชั้นเชิง


 


 


[+199 แต้มอารมณ์จากจางเทียนโก่ว…]


 


 


“ท่านที่เคารพก็ชอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้ประจำแหละ…” กลุ่มชายแก่ถอนหายใจกันออกมาอย่างรำคาญตอนหลี่ว์ซู่เดินผ่านไปแล้ว


 


 


แต่พวกเขาก็ชอบคุยกับหลี่ว์ซู่เพราะเขานั้นใจดีมาก


 


 


เรื่องนี้ทำให้เพื่อนร่วมชั้นของหลี่ว์ซู่ไม่ค่อยชอบนัก แต่สำหรับพวกผู้บำเพ็ญลับแล้ว พวกเขาเอาหลี่ว์ซู่ไปเปรียบเทียบกับผู้คนที่เคยเจอมาเมื่อก่อน คนพวกนั้นน่ะหน้าด้านแถมยังใจเ**้ยม ถ้าพูดอะไรผิดก็คือตายสถานเดียว


 


 


แต่หลี่ว์ซู่นั้นให้อารมณ์ต่างออกไป พวกเขารู้สึกว่าตราบใดที่ยังจ่ายค่าดำเนินการอยู่ หลี่ว์ซู่จะไม่มาทำให้ทุกอย่างยุ่งยากสำหรับพวกเขา ทุกคนรู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นเป็นยอดฝีมือกระบี่คนเดียวกับในคืนนั้นนั่นแหละ เขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามีพลังทำลายล้างมากแค่ไหนในคืนนั้น เขาไม่ใช่คนที่พวกผู้บำเพ็ญลับจะไปต่อกรด้วยได้


 


 


แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ที่เป็นถึงพันตรีของเครือข่ายฟ้าดิน และก็ไม่รู้ด้วยว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนเจรจาตกลงกับองค์ท่านด้วยตัวเอง


 


 


พวกผู้บำเพ็ญลับยังได้ยินข่าวลือกันอีกว่าที่พวกตระกูลใหญ่มากันที่เมืองลั่วนี้ก็เพราะทำข้อตกลงไว้กับองค์ท่าน


 


 


คนสองคนจะเก็บความลับได้ก็ต่อเมื่ออีกคนตายไป หลี่ว์ซู่คิดว่าในเมื่อพวกผู้บำเพ็ญลับรู้เรื่องกันหมดแล้ว เนี่ยถิงเองก็คง… พวกเขาจะหยุดตอนนี้ไม่ได้แล้ว ยอมถอยกลับไปตอนนี้ไม่ใช่ตัวเลือกอีกแล้ว เขาคงทำได้แต่เอาใจช่วยให้หลี่อีเสี้ยวทำสำเร็จ


 


 


พอพวกผู้บำเพ็ญลับรู้ว่าพวกตระกูลใหญ่ๆ กำลังมากัน พวกเขาก็เรียกพรรคพวกให้มารวมตัว สำหรับผู้บำเพ็ญลับแล้ว ตระกูลพวกนี้ร่ำรวยมาก พวกเขาจะทำธุรกิจกันอย่างรอบคอบเพื่อต้องการเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีกว่านี้ในอนาคต ครั้งนี้ตระกูลใหญ่จากทั้งประเทศจะมารวมตัวกันที่เมืองลั่วแห่งนี้


 


 


ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง หลี่ว์ซู่ก็คงไม่เชื่อว่าจะมีผู้บำเพ็ญมากมายที่ถูกมองข้ามไปในทั่วประเทศ หลายๆ คนไม่ได้สืบทอดความสามารถมาด้วย พวกกลุ่มคนส่วนใหญ่มาเดินเส้นทางนี้ได้ก็เพราะว่ามีการปะทุพลังเกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ


 


 


ผู้บำเพ็ญลับหญิงบางคนมองว่าหลี่ว์ซู่นั้นทั้งยังหนุ่มยังแน่น แข็งแกร่ง แล้วก็หล่อด้วย หลายคนอยากเสนอตัวให้เขา ถ้าทำอย่างนั้นได้ พวกเธอก็ไม่ต้องติดอยู่ไปกับชายแก่ๆ พวกนั้นอีกต่อไป


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพวกเธอ ผู้หญิงพวกนั้นก็เลยไม่สนใจเขาแล้ว ในความคิดพวกเธอ อาจจะมีพวกผู้หญิงอีกหลายคนที่ชอบเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่าเขานั้นทั้งรวย แข็งแกร่ง และเหนือสิ่งอื่นใดก็ตาม เขายังหนุ่มแน่น…


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปจนถึงห้องทำงานของหลี่อีเสี้ยว ก่อนที่จะไปถึงประตู เขาก็ได้ยินเสียงน่าหลานเชวี่ยตะโกนใส่หลี่อีเสี้ยวอย่างโกรธเกรี้ยว “ดูสิว่าเธอทำอะไรไร้สาระลงไป!”


 


 


“แล้วทำไมไม่มองจุดดีของฉันบ้างล่ะ!” หลี่อีเสี้ยวตอบอย่างน้อยใจ


 


 


น่าหลานเชวี่ยเงียบไปราวสองวินาที “งั้นดูสิว่าเธอทำอะไรดีๆ ลงไป!”


 


 


หลี่อีเสี้ยวพูดไม่ออก…




ตอนที่ 556 ท้องไส้ไม่ค่อยดี


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าระหว่างการมารวมตัวในครั้งนี้คงมีเหตุการณ์สู้กันเกิดขึ้นบ้างล่ะ แต่พวกเขาก็ดูเข้ากันได้ดีอย่างสงบเรียบร้อย หลี่ว์ซู่เองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน


 


 


มีใครสักคนเดากว่าความสัมพันธ์ถ่านไฟเก่าของหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง หลี่ว์ซู่ไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้เลย!


 


 


เรื่องนี้ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน เพราะน่าหลานเชวี่ยมาเป็นตัวแทนของตระกูลที่พวกเขากำลังจะคุยธุรกิจด้วย หลี่อีเสี้ยวคงไม่ได้จะคุยเรื่องธุรกิจกับน่าหลานเชวี่ยกันสองต่อสองหรอกใช่ไหม


 


 


หลี่ว์ซู่เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้าไป น่าหลานเชวี่ยเหลือบมองขณะที่เขาเข้ามา ถึงแม้เธอจะรู้ว่าหลี่ว์ซู่ออมมือให้ในการต่อสู้ตอนนั้นแต่เธอก็ยังอดโมโหไม่ได้อยู่ดี


 


 


ที่โมโหไม่ใช่เพราะว่าหลี่ว์ซู่โจมตีเธอหรอกนะ แต่ก็เพราะหลี่ว์ซู่ปล่อยหมัดใส่หลี่อีเสี้ยวต่างหากล่ะ!


 


 


หลี่ว์ซู่มองไปที่โต๊ะทำงานของหลี่อีเสี้ยว มีถุงขนมใหญ่สองถุงวางอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเพิ่งมีใครซื้อขนมมาจากซูเปอร์มาเก็ต


 


 


หลี่ว์ซู่สงสัยว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นคนเอามาให้หลี่อีเสี้ยวหรือเปล่า เขารู้สึกว่าสองคนนี้จะกลับมาคบกันอีกหรือเปล่านะ…


 


 


“อะแฮ่ม…เธอออกไปก่อนดีไหม” หลี่อีเสี้ยวพูดกับน่าหลานเชวี่ยอย่างกระอักกระอ่วน น่าหลานเชวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่


 


 


เธอมองไปที่หลี่อีเสี้ยวแล้วตอบกลับ “เชิญสองคนคุยกันตามสบาย ตระกูลน่าหลานจะสู้กับตระกูลอื่นอย่างเป็นธรรมแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง”


 


 


พอพูดจบเธอก็หันหลังจากไป ครั้งนี้เธอมาเป็นตัวแทนของตระกูล และเธอเองก็ไม่ได้มาใช้เส้นสายอะไรด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับหลี่อีเสี้ยว


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นคนมีเหตุมีผล แต่เธอก็ทะเลาะขัดแย้งกับหลี่อีเสี้ยวอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะดวงทั้งสองคนไม่สมพงษ์กันจริงๆ ก็ได้


 


 


หลี่อีเสี้ยวรอจนน่าหลานเชวี่ยเดินลับออกไปก่อนถึงค่อยถาม “มีตัวแทนจากหกตระกูลมากันในครั้งนี้ แน่ใจนะว่าจะได้เงินมากขนาดนั้นน่ะ”


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้หรอกครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ


 


 


“ท้องไส้ฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ย่อยแพนเค้กก้อนใหญ่ที่นายกำลังจะหามันมาได้ไม่ไหวหรอก พอถึงเวลาก็อย่าทำให้เสียเรื่องก็แล้วกัน ฉันถึงกับโดนสือเสวจิ้นตักเตือนมาเมื่อวานเชียวนะ!”


 


 


“ท้องไส้ไม่ค่อยดีงั้นเหรอครับ” หลี่ว์ซู่งง “เป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับ B แล้วท้องไส้ยังไม่ดีได้ไงเนี่ย”


 


 


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันชอบท้องเสียมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว เมื่อก่อนน่ะฉันใช้ทิชชูเช็ดก้นไม่ค่อยทันหรอก ก็เลยใช้เครื่องรางของขลังแทน” หลี่อีเสี้ยวพูดขณะที่ล้วงเข้าไปในถุงขนมบนโต๊ะ


 


 


เขาหยิบถุงบิสกิตแครนเบอร์รี่ขึ้นมาแล้วส่งให้หลี่ว์ซู่ “เอ้า กินเสียหน่อยสิ ยัยผู้หญิงบ้านั่นเอามาให้”


 


 


หลี่ว์ซู่เปิดถุงขนมและกินบิสกิตหนึ่งอันเข้าไป อืม…ก็ไม่เลวนะ แล้วเขาก็มองหลี่อีเสี้ยวขณะที่กำลังเปิดถุงขนมห่อหนึ่งแล้วหยิบถุงกันชื้นอันเล็กๆ ในถุงออกมา หลี่อีเสี้ยวโรยสารกันชื้นที่อยู่ในถุงลงบนบิสกิตแล้วก็มองหลี่ว์ซู่ด้วยความสงสัยว่าทำไมไม่ทำแบบนั้นเหมือนกัน “อ้าว ไม่ชอบโรยผงบนขนมก่อนกินเหรอ”


 


 


“…มะ ไม่เป็นไรครับ ผมชอบกินแบบนี้” หลี่ว์ซู่เงียบไปก่อนจะตอบ


 


 


เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าบะหมี่สำเร็จรูปแบบไม่ลวกด้วย แล้วก็ใส่ผงปรุงรสด้วยเหรอ ไม่คิดเหรอว่านั่นจะออกมารสชาติแปลกประหลาดน่ะ


 


 


ดีนะที่เจ้าหมอนี่เป็นผู้บำเพ็ญที่มีร่างกายแข็งแรงไม่เหมือนคนอื่น เลยจบแค่ท้องเสีย ถ้าคนอื่นกินคงไม่มีชีวิตรอดไปแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าทำไมท้องไส้ของหลี่อีเสี้ยวไม่ค่อยดี เพราะไม่มีใครบอกน่ะสิว่าอันนั้นมันกินไม่ได้ หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกแปลกๆ น่าหลานเชวี่ยเองก็อยู่กับหลี่อีเสี้ยวตั้งแต่เช้าจนค่ำแล้วทำไมเธอถึงจะไม่รู้เรื่องนี้ เธอก็ไม่ได้เตือนหลี่อีเสี้ยวเหมือนกันเหรอ


 


 


หลี่ว์ซู่มองเขาไปในถุงขนมอีกทีแล้วก็พบว่าทั้งถุงนั้นเต็มไปด้วยสารกันชื้น…


 


 


น่าหลานเชวี่ยไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาใจหรือมาส่งขนมให้ เห็นได้ชัดเลยว่าเธอยังแค้นหลี่อีเสี้ยวอยู่ แล้วเธอเองก็รู้นิสัยของเขาดีด้วย เธอเลยเอาขนมนี่มาให้เพื่อวางยาหลี่อีเสี้ยว! การกระทำเช่นนี้ราวกับเธอต้องการบอกว่า ถ้าเธอทำร้ายฉันก็เอาเลย ฉันก็จะทำร้ายเธอคืนเหมือนกัน!


 


 


หลี่ว์ซู่ตัวสั่น ผู้หญิงนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวมาก!


 


 


“ถึงแม้ว่ายัยบ้านั่นจะโมโหร้ายไปหน่อย แต่เธอก็ทำกับฉันดีนะ เธอเอาขนมมาให้ถึงที่นี่แม้ว่าเธอจะรู้ว่าฉันอยู่ที่ตลาดมืด” หลี่อีเสี้ยวหัวเราะออกมาแล้วก็ชื่นชมน่าหลานเชวี่ยไปด้วย


 


 


“เอาที่สบายใจเลยครับ…” หลี่ว์ซู่ค่อยๆ วางบิสกิตกลับเข้าไปในถุง


 


 


หลี่ว์ซู่ล่ะอยากเจอคุณยายของน่าหลานเชวี่ยเสียจริงๆ เขาอยากจะรู้ว่าเธอจะมีพฤติกรรมเจ้ายศเจ้าอย่างขนาดไหน แล้วก็ เขายังอยากถามเรื่องคำแนะนำในการดูดวงอีกด้วย…


 


 


หลี่อีเสี้ยววิ่งเข้าห้องน้ำทันทีในอีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง เขาบ่นพึมพำด้วยความสงสัย


 


 


“แปลกมากเลย ช่วงนี้ฉันก็คิดว่าดูแลสุขภาพกระเพาะตัวเองดีเป็นพิเศษแล้วนะ”


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในห้องทำงานนั้นคนเดียวและคิด ในครั้งนี้มีตระกูลตั้งหกตระกูลที่มา หลี่อีเสี้ยวบอกว่าจะให้ศิลาวิญญาณไปตระกูลละไม่กี่พันเม็ดก็ได้อยู่ ถึงแม้ว่าราคาของศิลานี้จะสูงเกินจริง แต่พวกตระกูลใหญ่ยอมจ่ายแน่นอนเพื่อควบคุมตลาดมืดแห่งนี้


 


 


แต่ปัญหาก็คือเขาไปขายศิลาวิญญาณให้ทีละตระกูลไม่ได้ เขาจะต้องประกาศขายพร้อมกันไปเลยทีเดียว!


 


 


ตระกูลพวกนี้ต้องนัดแนะพูดคุยกันเองมาก่อนแล้วแน่ๆ ถ้าตระกูลที่ซื้อศิลาวิญญาณไปตระกูลแรกปล่อยให้ข้อมูลรั่วไปยังตระกูลอื่นๆ แน่นอนว่าหลี่ว์ซู่จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องชะลอการขายศิลาที่เหลืออยู่ออกไป


 


 


หลี่อีเสี้ยวย้ำกับตระกูลใหญ่เหล่านี้หลายต่อหลายครั้งแล้วว่าพวกเขาสามารถเอาของวิเศษหรือทรัพยากรสำหรับฝึกฝนเพื่อมาแลกกับศิลาวิญญาณได้ หลี่ว์ซู่อยากเพิ่มระดับของตัวเองและหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจริงๆ


 


 


หลี่ว์ซู่คิดว่าพวกตระกูลใหญ่ก็ไม่น่าจะเสียอะไรมาก ถ้าเขาไม่ประกาศขายศิลาวิญญาณแล้วละก็ พวกตระกูลใหญ่ก็คงไม่มีทางหาศิลามากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าตระกูลเหล่านี้คงจะไม่ชอบใจกับกระบวนการและผลลัพธ์เท่าไหร่นัก


 


 


แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญ หลี่ว์ซู่รู้ว่าเดี๋ยวพวกเขาก็จะเข้าใจถึงความคิดของเขาในครั้งนี้เอง


 


 


การเจรจาจะเริ่มเมื่อไหร่ยังไม่ได้ตกลงกัน ตระกูลเหล่านั้นเลยเฝ้ารอหลี่อีเสี้ยวกับหลี่ว์ซู่ให้เป็นฝ่ายติดต่อมา ในขณะเดียวกัน หลี่ว์ซู่ก็อยากจะเห็นว่าพวกเขารอได้นานแค่ไหน


 


 


พอมีผู้บำเพ็ญมาที่เมืองลั่วมากขึ้นเข้า คนเข้าออกในตลาดมืดเองก็เยอะขึ้นไปด้วย เพื่อรองรับความต้องการซื้อที่มากขนาดนี้ หลี่อีเสี้ยวเลยจ้างให้ผู้บำเพ็ญลับขุดหลุมหลบระเบิดให้เยอะขึ้นไปอีก


 


 


หลุมหลบระเบิดแห่งนี้เต็มไปด้วยอุปกรณ์การก่อสร้างที่ถูกทิ้งไว้มากมาย เนื่องจากไม่มีใครอยากจะเก็บกวาด หลี่อีเสี้ยวเลยจัดการมันเองเสียเลย…


 


 


ในการเจรจาขายครั้งนี้ หลี่ว์ซู่จะได้ส่วนแบ่งเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์โดยที่หลี่อีเสี้ยวได้ไปเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ในส่วนของตลาดมืดแล้วจะกลับกัน หลี่ว์ซู่ได้ส่วนแบ่งจากกำไรในตลาดมืดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนหลี่อีเสี้ยวจะได้ไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์


 


 


หลี่อีเสี้ยวเป็นคนคุมตลาดมืด แต่ถ้าไม่มีศิลาวิญญาณจากหลี่ว์ซู่แล้ว คนก็คงไม่มาตลาดมืดเยอะขนาดนี้


 


 


ก่อนการเจรจาจะเริ่มขึ้น ตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็ได้ส่งคนมาดูลาดเลาในตลาดมืดนี่เรียบร้อยแล้ว ส่วนหลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวนั้นไม่ค่อยสนใจในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ คนจากตระกูลใหญ่ส่งคนมาเพื่อดูว่าตลาดมืดนี่จะรองรับคนได้กี่คน และมาสำรวจดูด้วยว่าของหายากจะโผล่มาลงที่ตลาดมืดบ่อยแค่ไหนเพื่อจะได้เอาไปพิจารณาว่าพวกเขาควรลงทุนที่นี่หรือไม่


 


 


ซึ่งผลออกมาก็คือคุ้มค่ามาก!


 


 


พวกตระกูลใหญ่รู้ว่าผู้บำเพ็ญลับทั้งหลายมาที่นี่ก็เพราะตระกูลใหญ่ๆ มารวมตัวกัน แต่สภาพการไหลเวียนของพลังจิตวิญญาณในเมืองลั่วนั้นเหมาะกับพวกเขา ถึงพวกเขาจะออกไปจากที่นี่แล้ว วิทยาลัยลั่วเฉิงก็ยังคงจะตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ต่อไป



ตอนที่ 557 ผิดบท


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่คุยตกลงรายละเอียดเรื่องการนัดพบตระกูลใหญ่กับหลี่อีเสี้ยวเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกไป เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนัดแนะว่ามีอะไรที่ต้องเน้นเป็นพิเศษบ้าง อย่างแรกคือต้องปล่อยให้พวกตระกูลใหญ่จัดการคุยกันเองระหว่างตระกูลก่อน หลังจากที่พวกเขาคุยเสร็จแล้วถึงค่อยยื่นข้อเสนอให้ อย่างที่สอง พวกเขาจะเดินทิ้งตลาดมืดนี่ไม่ได้ พวกเขาต้องรอจนกว่าการเจรจาจะจบลง จากนั้นค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดว่าจะดำเนินการธุรกิจตลาดมืดนี่ต่อไปอย่างไร


 


 


สำหรับหลี่ว์ซู่แล้ว ตลาดมืดที่นี่ถือเป็นธุรกิจที่ใช้ได้เลย ก่อนหน้าที่เขาเปิดร้านขายเต้าหู้เหม็นข้างถนนหรือกุยช่ายนั้นไม่นับว่าเป็นธุรกิจแบบจริงจัง ถ้าหลี่อีเสี้ยวทำธุรกิจตลาดมืดนี่ต่อไป หลี่ว์ซู่ก็มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากกำไรทั้งหมด ตลาดมืดแห่งนี้จะกลายเป็นธุรกิจแห่งแรกที่หลี่ว์ซู่สามารถหวังผลรายได้ที่แน่นอนได้


 


 


ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่าหลี่อีเสี้ยวจะบอกกับทุกคนว่าพวกเขาจะขายศิลาวิญญาณกันและเด้งตัวออกจากตลาดมืดแห่งนี้ไป แล้วพอขายได้ค่อยกลับมาคุมตลาดมืดอีกครั้ง เรื่องแบบนี้ไม่ทำให้หลี่อีเสี้ยวยุ่งยากใจขึ้นหรอกเหรอ


 


 


แต่พอได้คุยกันแล้ว หลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าเขาดูถูกศีลธรรมของหลี่อีเสี้ยวไปหน่อย หลี่อีเสี้ยวไม่มีทางจะปล่อยให้ตลาดมืดนี้ตกไปอยู่ในมือของใครตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาคือองค์ท่านที่ควบคุมพื้นที่แห่งนี้นี่นะ!


 


 


หลักการของหลี่อีเสี้ยวคือการไม่มีหลักการตายตัวนี่แหละ


 


 


เขาทั้งสองคนเข้าขากันดีมาก หลี่อีเสี้ยวคิดเรื่องนี้และพูดออกมาว่าเขาไม่รู้ว่าจะไปตกลงกับพวกตระกูลใหญ่ๆ อย่างไรหลังจากการเจรจายุติแล้ว แต่หลี่ว์ซู่เองกลับไม่คิดอย่างนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกจากห้องทำงานของหลี่อีเสี้ยวและเตรียมตัวกลับบ้าน เขายังต้องตื่นแต่เช้ามาฝึกกระบี่ อีกอย่าง เขาสะสมแต้มอารมณ์มากพอจะจุดประกายกลุ่มดาวที่สามได้แล้วด้วย เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอาแต้มไปหมุนวงล้อ เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงการซื้อผลชี่ไห่


 


 


ถ้าเขาอยากสร้างภูเขาหิมะขึ้นมา เขาต้องพึ่งตัวเองและฝึกฝนให้หนักแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าหลี่เสียนอีนั้นเปิดทะเลแห่งพลังได้ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักด้วยตัวเอง มีแต่หลี่ว์ซู่เท่านั้นที่ใช้ทางลัด


 


 


การใช้ทางลัดนั้นก็มีข้อดีของมันเหมือนกัน แต่เขาจะพลาดอะไรไปหลายอย่าง เช่นรายละเอียดต่างๆ และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการฝึกฝน หลี่ว์ซู่ตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างภูเขาหิมะขึ้นมาใหม่จากการฝึกอย่างหนักเพื่อเป็นการชดเชยให้กับสิ่งที่เขาพลาดไปหลังจากเลือกใช้ทางลัดแบบนี้


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจสุดขีด เกาเสินอิ่นเองก็ตกใจเช่นกัน…


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินอิ่น +666!]


 


 


หลี่ว์ซู่ที่กำลังตกตะลึงนั้นไม่เข้าใจ ทำไมเกาเสินอิ่นถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ!


 


 


เกาเสินอิ่นนั้นตกใจยิ่งกว่า เขาไปทำภารกิจที่ชายแดนของเตียนนานในตอนที่มีผู้เฒ่าในตระกูลบอกว่ามีคนหน้าเหมือนเขาเป๊ะๆ ปรากฏตัวขึ้นมา และต้องประหลาดใจยื่งขึ้นไปอีกตอนได้ยินว่าคนหน้าเหมือนเขาคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญกระบี่ ชื่อเสียงของยอดฝีมือคนนี้แพร่ไปไกลมากในโลกของผู้บำเพ็ญ


 


 


เกาเสินอิ่นต้องรีบกลับบ้านไปคุยกับพ่อแม่ หลี่อีเสี้ยวได้ติดต่อมาที่ตระกูลเกาด้วยเหมือนกัน ตระกูลเกาก็เลยรีบบึ่งกันมา!


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่รู้ว่าหลี่อีเสี้ยวติดต่อตระกูลเกาไปด้วย หลี่อีเสี้ยวไม่ได้พูดเรื่องตลาดมืดกับน่าหลานเชวี่ย และน่าหลานเชวี่ยเองก็ไม่ได้คาบเอารายละเอียดที่ได้มาจากหลี่อีเสี้ยวไปบอกกับใคร เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ในตอนนี้จึงกระอักกระอ่วนมากทีเดียว


 


 


หลี่ว์ซู่เริ่มรู้สึกแล้วว่าการทำงานกับหลี่อีเสี้ยวนั้นเหมือนการเปิดตำราที่เต็มไปด้วยตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายต่อกันและกัน…


 


 


พอตอนนี้คนคนนั้นก็มาปรากฏตัวต่อหน้าแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ พวกผู้บำเพ็ญลับที่เดินผ่านไปมาก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเพิ่งเห็นว่าท่านที่เคารพนั้นเข้าไปในห้องของหลี่อีเสี้ยว แล้วอยู่ๆ ท่านที่เคารพอีกคนก็เดินตามหลังมาติดๆ ฮ่าๆๆ เชื่อด้วยเหรอว่านี่เป็นเรื่องจริงน่ะ


 


 


แต่พวกผู้บำเพ็ญลับพวกนี้เคยพูดกับหลี่ว์ซู่มาก่อนแล้วช่วงก่อนหน้านี้ไม่กี่วันแล้ว หลี่ว์ซู่นั้นมักจะพูดจาด้วยคำพูดใจร้าย ทิ้งให้พวกเขารู้สึกอะไรบางอย่างไปนาน นิสัยนี้น่ะเด่นชัดเหมือนกับตะเกียงที่ส่องสว่างในคืนที่มืดมนเลยล่ะ


 


 


เพราะฉะนั้นพวกผู้บำเพ็ญลับจึงรู้ว่าชายคนแรกนั้นคือท่านที่เคารพตัวจริง ส่วนชายคนที่เดินตามหลังไปน่ะแค่คนที่หน้าเหมือนกันเท่านั้น แต่ไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะเกาเสินอิ่นไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ


 


 


“นาย…” หลี่ว์ซู่คิดไตร่ตรองปฏิกิริยาของเขาอย่างรวดเร็ว


 


 


“พี่ชาย!” ก่อนที่หลี่ว์ซู่จะทันได้ทำอะไร เกาเสินอิ่นก็พูดออกมา หลี่ว์ซู่อึ้งไปเลย


 


 


บทนี้มัน…ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่นะ!?


 


 


เกาเสินอิ่นว่าต่อ “พี่ชาย! ปีสองปีนี้ไปทำอะไรมาน่ะ รู้ไหมว่าพ่อกับแม่ก็มาด้วย แต่พวกเขากลัวว่าพี่ไม่อยากจะไปเจอพ่อกับแม่ พวกเขาก็เลยส่งผมมา กลับบ้านกันเถอะนะ”


 


 


“…นี่นายมีพี่ชายฝาแฝดด้วยเหรอ” หลี่ว์ซู่ถาม


 


 


“พี่ชาย หยุดพูดอย่างนั้นเถอะ อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย” เกาเสินอิ่นพูดตอบ


 


 


เอิ่ม…


 


 


หลี่ว์ซู่ไปต่อไม่เป็นเลย


 


 


ก่อนหน้านี้ที่เขาบังเอิญเจอคิตามุระ ฮิโรโนะเข้า เขาก็บอกไปว่าเขาเป็นน้องชายฝาแฝดของฮิโรโนะ พอมาตอนนี้เขาปลอมตัวเป็นเกาเสินอิ่น ทำไมเกาเสินอิ่นตัวจริงถึงบอกว่าเขามีพี่ชายฝาแฝดขึ้นมา!


 


 


“ฉันไม่ใช่พี่ชายนาย ทักผิดคนแล้วล่ะ ไปก่อนนะ” หลี่ว์ซู่ตอบขณะเดินหนี เขาต้องหลบไปคิดก่อนว่าเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาแล้วค่อยทำงานต่อกับหลี่อีเสี้ยวดีหรือไม่


 


 


แต่ทันใดนั้นเกาเสินอิ่นก็ดึงแขนหลี่ว์ซู่ไว้ “พ่อกับแม่น่ะคิดผิดที่ไม่ยอมเคารพความต้องการของพี่ แต่เรื่องมันก็ผ่านไปหลายปีแล้วนะ ให้อภัยพวกเขาเถอะ พี่ไม่ได้อยากปกปิดหน้าตาตัวเองแล้วก็หนีไปเหรอ ทำไมตอนนี้พี่ถึงไปฝึกกระบี่แล้วล่ะ”


 


 


หลี่ว์ซู่จะเป็นบ้าตาย นี่มันเรื่องดราม่าอะไรกันเนี่ย เขาไม่อยากเล่นตามน้ำต่อไปแล้วนะ!


 


 


เขาตบบ่าเกาเสินอิ่น “ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมาคุยด้วยใหม่นะ”


 


 


หลี่ว์ซู่รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ในหลุมหลบระเบิด เขารีบเปลี่ยนชุดและหน้าตาก่อนออกไป ตอนที่เขาเดินผ่านเกาเสินอิ่น เขาก็ยังเห็นเกาเสินอิ่นรออย่างมีความหวังอยู่หน้าห้องน้ำ…


 


 


ขอโทษด้วยนะที่ทำนายผิดหวังน่ะไอ้น้องชาย…


 


 


คืนต่อมาก็มีข่าวแพร่ไปในหมู่ผู้บำเพ็ญ เล่ากันว่ายอดฝีมือที่ปรากฏตัวในเมืองลั่วนั้นจริงๆ แล้วเป็นหัวกะทิจากตระกูลเกาที่หนีออกจากบ้านไป เขาคนนั้นเป็นพี่ชายฝาแฝดของเกาเสินอิ่น


 


 


แต่เนื่องจากเรื่องนี้ผ่านมานานแล้ว และคนรุ่นใหม่อย่างเกาเสินอิ่นก็ไม่ได้รับความสนใจนักในยุคที่พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอย ก็เลยไม่มีใครใส่ใจกับข่าวนี้มากนัก


 


 


แต่พวกตระกูลใหญ่ทั้งหลายกลับตกใจ พวกเขาไม่คิดว่าตระกูลเกานั้นจะผลิตยอดฝีมือระดับ B ออกมาได้!


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งอยู่บนเตียง เขาร้องเพลงดาวดวงน้อยไปพลาง คิดถึงเรื่องยุ่งเหยิงเมื่อสักครู่ไปพลาง แล้วเขาก็คิดอะไรออก ไม่นานหลังจากนั้นหลี่ว์ซู่ก็เห็นแต้มอารมณ์ในระบบเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินไจ้ +199, +201…]


 


 


ไม่มีใครจะโง่ยอมให้แต้มอารมณ์จากพี่น้องสองคนนี้หลุดมือไปหรอก


 


 


ขณะที่หลี่ว์ซู่เริ่มคิดว่าจะใช้หน้าตาแบบไหนต่อไปดี พวกตระกูลใหญ่ก็เริ่มคิดกันว่า พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเกาเสินไจ้แล้ว และที่ยิ่งไปกว่านั้น เกาเสินไจ้เองก็มาที่เมืองลั่วนี้อย่างรวดเร็วและถึงขนาดกล้าปะทะกับราชันฟ้าเลยทีเดียว นี่หมายความว่าพวกตระกูลเกาหมายตาตลาดมืดเมืองลั่วนี่มานานแล้วใช่ไหม


 


 


ดูเหมือนว่าตลาดมืดบริเวณวิทยาลัยผู้บำเพ็ญนี่จะต้องตาของใครหลายคนเลยนะ ตระกูลเตียน น่าน เกานี่เตรียมตัวกันมานานแล้วจริงๆ!


 


 


ในความคิดของพวกเขา เกาเสินไจ้ที่มาปรากฏตัวไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ไม่มีตระกูลไหนหรอกที่ไม่มีเด็กที่หนีออกจากบ้านไป แต่นี่กลับมาเร็วขนาดนี้เชียว ยังไงท้ายที่สุดแล้วเลือดก็ข้นกว่าน้ำ เกลียดกันในตระกูลจริงๆ ไม่ลงหรอก


 


 


เกาเสินไจ้นี่แหละที่เป็นอาวุธลับของตระกูลเกาที่แท้จริง!


 


 


ในคืนนั้น แต่ละตระกูลที่มาถึงเมืองลั่วแต่ยังไม่ได้ระดมพลกันมาก็รีบติดต่อไปที่หลี่อีเสี้ยวทีละคน พวกเขาคิดว่านี่อาจช้าเกินไปหน่อยแล้ว และพวกเขาก็รออีกต่อไม่ได้แล้ว!



ตอนที่ 558 เริ่มการเจรจา


 


 


หลังกลุ่มทวยเทพที่เคยอยู่จุดสูงสุดของบรรดาองค์กรของผู้บำเพ็ญล่มสลายไป เทศกาลปีใหม่นี้ดูจะสงบสุขอย่างที่หาได้ยากยิ่งในโลกของการบำเพ็ญ


 


 


ตรุษจีนใกล้มาถึงแล้ว พวกผู้บำเพ็ญข้างนอกสังเกตว่าเครือข่ายฟ้าดินนั้นดูเงียบผิดปกติ แต่คนที่เข้าใจเครือข่ายฟ้าดินดีจะรู้ว่าพวกเขากำลังเตรียมเชือดหมูเชือดแกะเพื่อเตรียมพร้อมเข้าตรุษจีนกันอยู่


 


 


ในนาทีนี้พวกผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่อยู่ในเมืองลั่วตื่นเต้นกันมาก หกตระกูลใหญ่ที่มีพลังอำนาจพยายามต่อสู้เพื่อแย่งสถานที่แห่งนี้กัน ใครจะเป็นผู้ชนะในครั้งนี้นะ


 


 


ขณะนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ตามปกติแล้วนักเรียนม.ปลายปีสองควรจะไปโรงเรียนเพื่อเรียนเพิ่ม แต่หลี่ว์ซู่กลับไม่ได้ไป


 


 


เสี่ยวอวี๋เองก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกัน หลี่ว์ซู่เองร้องเพลงดาวดวงน้อยไปทั้งคืนแล้ว จากนั้นตอนตีสามเขาก็เริ่มฝึกกระบี่ เขาควบคุมกระบี่ดีขึ้นทุกครั้งที่เหวี่ยงออกไปแต่ละครั้ง หลี่ว์ซู่ออกไปตลาดมืดด้วยรูปลักษณ์ปกติของเขาเพื่อไปหาอาวุธที่ใช้การไม่ได้แล้วจากพวกผู้บำเพ็ญลับอย่างเอาจริงเอาจัง


 


 


จนถึงตอนนี้ เพื่อเพิ่มพลังให้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ การซื้อซากอาวุธดูจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งยองๆ ลงที่หน้าร้านขายของแผงลอยของผู้บำเพ็ญลับเพื่อดูซากอาวุธพังๆ แล้วให้ชัด “ซื้ออาวุธห้าชิ้นนี้ขายเท่าไหร่”


 


 


ผู้บำเพ็ญลับมองหน้าหลี่ว์ซู่แล้วก็รู้สึกไม่คุ้นตา เลยกะจะเล่นใหญ่เพื่ออัพราคาสินค้าสักหน่อย “ตำนานเล่าไว้ว่าอาวุธที่ฉันเจอชิ้นนี้สามารถเคลื่อนภูเขาและเติมน้ำในทะเลในสมัยเมื่อก่อนได้ด้วยนะ แต่ตอนนี้เจ้านี่กำลังรอเจอกับเจ้าของที่ถูกเลือกอยู่ ราคาอยู่ที่แสนหยวน หรือจะจ่ายเป็นศิลาวิญญาณก็ได้นะ”


 


 


แต่หลี่ว์ซู่ลุกยืนขึ้นแล้วเดินจากไป ผู้บำเพ็ญคนนั้นจึงตะโกนไล่หลังหลี่ว์ซู่ไป “พ่อหนุ่มอาจจะเป็นเจ้าของผู้ถูกเลือกของมันก็ได้นะ! กลับมาก่อนพ่อหนุ่ม กลับมาซื้อหน่อยสักชิ้น!”


 


 


“ไม่เป็นไร ผมล่ะสงสัยว่าคุณมีของวิเศษที่ตื่นตากว่านี้บ้างไหม”


 


 


ผู้บำเพ็ญลับคนนั้นอึ้งพูดไม่ออก


 


 


[แต้มอารมณ์จากหวังจื้อกั๋ว +199…]


 


 


ท่านที่เคารพ นั่นท่านรึเปล่า…


 


 


ผู้บำเพ็ญลับคนนั้นรู้ว่าเขาไม่ใช่ท่านที่เคารพแน่นอน เพราะหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ดูจากกระบี่ที่ถือมาแล้ว เขาคิดว่าเขาน่าจะเคยพบคนคนนี้มาก่อน…


 


 


ในขณะที่หลี่ว์ซู่เดินเล่นทอดน่องอยู่นั้น หลี่อีเสี้ยวก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการตลาดมืดในหลุมหลบระเบิดให้พร้อม พอตกดึก ประตูหน้าที่ขึ้นสนิมนั่นก็เปิดออกกว้าง หลี่อีเสี้ยวไปต้อนรับแขกที่เข้ามาด้วยตนเอง “ขอบคุณมากครับที่มาไกลขนาดนี้ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ออกไปเจอทุกคน ผมเองก็ไม่มีชามาเสิร์ฟให้ทุกคนเสียด้วย เราเข้าเรื่องกันเลยไหมครับ”


 


 


พวกตัวแทนของแต่ตระกูลต่างพากันเงียบ หลี่อีเสี้ยวใช้น้ำเสียงอย่างตรงไปตรงมาเพื่อเข้าประเด็นหลัก เขาอยู่ในตำแหน่งที่จะมาคุยกันเรื่องนี้ก่อนจะเสนอชาให้ดื่มด้วยเหรอ


 


 


ขณะที่ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ หลี่อีเสี้ยวก็หันกลับไปพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังด้วยเสียงเบา “เมื่อกี้ที่พูดไปโอเคไหมน่ะ ฉันไม่ได้เตรียมบทมาพูดเสียด้วยสิ!”


 


 


เขาทำเสียงเบาก็จริง แต่คนที่มาตระกูลใหญ่พวกนั้นได้ยินกันหมด…


 


 


บรรยากาศที่ดูจริงจังเมื่อครู่สลายหายไปหมดแล้ว ตระกูลใหญ่พวกนั้นมองชายหนุ่มที่อยู่หลังหลี่อีเสี้ยวด้วยความประหลาดใจ พวกเขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเขาคนนี้เป็นใคร


 


 


พวกเขาอยากจะส่งคนไปตรวจสอบดูเสียเหลือเกิน แต่ในเมื่อพวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดมันก็เลยสายไปแล้ว


 


 


แต่ละตระกูลส่งตัวแทนมากันแค่ตระกูลละสองถึงสามคนเท่านั้น พวกเขามองไปรอบๆ เพื่อหาเกาเสินไจ้จากตระกูลเกาที่ตอนนี้กลายเป็นคนดังในตลาดนี้ไปแล้ว เขาไปไหนกันนะ


 


 


ส่วนเกาเสินอิ่นเองก็จำหลี่ว์ซู่ได้ทันทีแต่ก็ไม่สนใจจะเข้าไปคุยด้วย ตอนนี้ตระกูลของเขาหาเกาเสินไจ้กันอยู่


 


 


ส่วนตระกูลอื่นก็หัวเราะเยาะใส่พวกเขาอย่างเหน็บแนม ทำไมพวกเขาถึงทำให้เรื่องยุ่งยากแบบนี้นะ ทำไมถึงไม่รู้ว่าคนในตระกูลตัวเองหายไปไหน


 


 


หลี่อีเสี้ยวไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระ เขาพาหกตระกูลใหญ่นี้มาได้และเขาก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วว่าจะเริ่มการเจรจาอย่างไร


 


 


พวกหกตระกูลใหญ่ต่างเหลือบมองกันราวกับว่าพวกเขามีข้อตกลงลับๆ ระหว่างกันอยู่ ตระกูลเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่เคยเจรจากันภายในมาก่อนอยู่แล้ว กลับกัน พวกเขาเคยร่วมมือกันในขอบเขตงานส่วนอื่นมาหลายครั้งแล้ว


 


 


ตอนที่พวกเขามาถึงหลุมหลบระเบิดแห่งนี้ ตัวแทนจากตระกูลใหญ่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะติดต่อกับอีกตระกูล คนนอกที่มองเข้ามาก็คิดว่าพวกเขาอาจจะไม่ลงรอยกัน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นพันธมิตรกันภายในต่างหาก หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาละก็ สองตระกูลก็คงยอมร่วมมือกันเพื่อคุมตลาดมืด พวกเขายอมรับได้อยู่แล้ว!


 


 


มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อมีห้องนอนหนึ่งห้องที่มีผู้หญิงเป็นเจ้าของห้องอยู่หกคน ในท้ายที่สุดแล้วจะมีสถานที่เจ็ดแห่งถูกสร้างขึ้น ซึ่งตระกูลใหญ่เหล่านี้เริ่มคิดแล้วว่าจะทำกำไรได้อย่างไร พวกเขาจะต้องเอาจริงเอาจังเป็นร้อยเท่าในเรื่องนี้ยิ่งกว่าห้องนอนของหญิงสาวเสียอีก


 


 


ในสถานการณ์แบบนี้ การหาพันธมิตรเป็นแค่ตัวเลือกหนึ่งเท่านั้น และการหักหลังพันธมิตรก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทำได้


 


 


“สัญญาณโทรศัพท์ในหลุมระเบิดนี้ค่อนข้างอ่อนหน่อยนะครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างร่าเริง


 


 


สมาชิกจากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งมองดูโทรศัพท์ของตัวเองและพบว่ามันไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว! พวกเขาดูหัวเสียมาก “ตลาดมืดของเธอนี่ไม่ค่อยได้เรื่องจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานหยาบเลยนะ! ถึงแม้จะอยู่ใต้ดินก็เถอะ แต่คงจะไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกมั้งถ้าจะซื้ออุปกรณ์อะไรมาติดตั้งเสียหน่อย”


 


 


“อ้อ เรื่องนั้นเราก็ซื้ออุปกรณ์มาแล้วนะครับ” หลี่ว์ซู่ได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าเศร้าตามไปด้วย


 


 


“งั้นถ้าซื้อมาแล้วทำไมถึงยังไม่มีสัญญาณอีกล่ะ”


 


 


“เราซื้ออุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์มาน่ะ!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +666…]


 


 


[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นมู่ +666…]


 


 


หลี่ว์ซู่หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเดินออกจากห้องไป เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการให้ตระกูลพวกนี้ติดต่อสื่อสารกันได้ ดังนั้นก็เลยต้องเตรียมการไว้เสียหน่อย เพราะถ้าเกิดมีตระกูลใดเอาข่าวไปปล่อยละก็คงรับมือยากแน่ๆ


 


 


เด็กคนหนึ่งในบรรดาตระกูลใหญ่อยากเดินออกจากห้องไปเพื่อแสดงความโกรธ แต่หลี่อีเสี้ยวก็รีบเข้ามาทำหน้าที่คนดีแล้วบอกว่า “ทุกคนอย่าโมโหกันไปเลยครับ เรื่องการเจรจาขายครั้งนี้นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราต้องทำให้แน่ใจว่าทุกๆ คนจะเจรจากันได้อย่างเป็นธรรม หากพวกคุณเดินออกจากห้องไป ผลประโยชน์ก็อาจตกเป็นของตระกูลอื่นได้นะครับ”


 


 


เด็กคนนั้นหยุดขาที่กำลังจะก้าวออกไปแล้วพลิกตัวเดินวกกลับมาในห้อง ตอนนี้ก็อยู่กันพร้อมแล้วทั้งหมดหกตระกูล จะมีใครเดินออกไปตอนนี้ก็ได้ แต่คำถามคือถ้าเดินออกไปแล้วตระกูลอื่นๆ จะเดินออกไปตามพวกเขาด้วยหรือไม่


 


 


หลี่อีเสี้ยวเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูแล้วเฝ้าทางเข้าออกไว้ เจากนั้นก็ปล่อยให้หลี่ว์ซู่เป็นผู้เจรจากับแต่ละตระกูลเอง


 


 


หลังจากปรึกษากับหลี่อีเสี้ยวกันสองคนแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เดินเข้าไปในห้องแรก เขามองหลี่อวิ๋นฉู่และทุกคนในห้องก่อนเปิดปากพูด “ผมเชื่อว่าท่านราชันฟ้าหลี่ได้อธิบายเงื่อนไขให้กับทุกคนแล้วนะครับ ผมเข้าใจถูกไหม พวกเรามีศิลาวิญญาณที่อยากนำมาขายให้ทุกคนก่อนที่เราจะออกไปจากตลาดมืดนี้อย่างปลอดภัย และราชันฟ้าหลี่ได้บอกให้ทุกๆ คนเอาอาวุธมาด้วยใช่ไหมครับ”


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่ตอนนี้สงบลงแล้ว เรื่องท่าทีโกรธเคืองนั่นเป็นแค่การแสดงเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องกำไรแล้วเขายอมมองข้ามอารมณ์ของตัวเอง หลี่อวิ๋นฉู่ตอนนี้กำลังดูว่าการทิศทางการคุยกันตอนนี้จะไปทางไหน ตระกูลใหญ่ทั้งหลายเองก็เพิ่งเริ่มต้นพร้อมๆ กัน แต่ตระกูลของพวกเขาเสียเปรียบเพราะเริ่มเป็นตระกูลแรก


 


 


ยกตัวอย่าง หากคนพวกนี้เสนอราคามาสามแสนห้าต่อศิลาวิญญาณหนึ่งเม็ดแล้ว หลี่ว์ซู่ก็คงไปบอกอีกตระกูลหนึ่งว่า ‘ตระกูลหลี่ให้ราคามาสี่แสนต่อหนึ่งเม็ด มีตระกูลไหนไหมที่จะให้มากกว่านี้’


 


 


ตระกูลหลี่เองเองนั่นแหละที่จะโดนแกง!


 


 


แต่หลี่อวิ๋นฉู่ไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าเรื่องนี้มันง่ายขนาดนั้น ทำไมไม่จัดการประมูลขึ้นมาเลยล่ะ ทำไมจะต้องมายุ่งยากทำเรื่องแบบนี้ด้วย สงสัยว่าจะมีความลับอยู่เบื้องหลังเสียแล้ว แต่หลี่อวิ๋นฉู่เองไม่ยอมให้ตระกูลตัวเองเสียเปรียบในการแข่งขันกับอีกห้าตระกูลที่เหลือแน่



ตอนที่ 559 ตกลงซื้อขาย


 


 


“อาวุธที่พวกเราเอามาน่ะดีกว่าของใครๆ แถมเราก็ยังจริงใจกับราชันฟ้าหลี่และเธอด้วย” หลี่อวิ๋นฉู่พูด


 


 


“ผมไม่สนเรื่องจริงใจไม่จริงใจหรอกครับ ผมขอดูของแล้วตัดสินใจเองดีกว่า” หลี่ว์ซู่พูดแล้วยิ้ม “วิทยาลัยลั่วเฉิงเพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ พอโฆษณาเรื่องการตกลงซื้อขายนี้แพร่ออกไปก็เรียกพวกผู้บำเพ็ญให้มากันได้ตั้งเยอะ ผลประกอบการของตลาดมืดในลั่วเฉิงนี้ก็ถือว่าอยู่สูงสุดในประเทศเลยมั้ง ไม่ได้อยากจะพูดให้เกินจริงแต่ธุรกิจขนาดนี้ไม่ใช่เล็กๆ นะครับ”


 


 


“แต่เธอก็ต้องเข้าใจหน่อย” หลี่อวิ๋นฉู่สพูดอย่างใจเย็น “ว่าตระกูลแต่ละตระกูลแข่งขันกันอย่างจริงจังมาก ฉันไม่คิดหรอกนะว่าเงินหมุนเวียนที่นายมี…”


 


 


คนคนนี้เตรียมพร้อมจะสู้กลับแล้วสินะ หลี่ว์ซู่หัวเราะออกมา “ผมเองก็รู้สึกได้ว่าตระกูลอื่นก็คงคิดเหมือนคุณนะ ผมขอถามให้แน่ใจหน่อย คุณตั้งใจจะปะทะกับพวกเรางั้นเหรอครับ”


 


 


“…ไม่ เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ”


 


 


[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +299!]


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่เพิ่งเข้าใจผลประโยชน์ของการแยกแต่ละตระกูลออกจากกันดังที่หลี่อีเสี้ยวและหลี่ว์ซู่ทำ เพราะพวกเขาไม่มีทางสื่อสารกันได้ พวกเขาจึงไม่มีทางหารือกันจนได้ความเห็นออกมาเป็นเอกฉันท์


 


 


ไม่มีใครรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ในการแข่งขันกันครั้งนี้ ตระกูลใหญ่ทั้งหมดถือว่าเสียเปรียบเป็นอย่างมาก


 


 


หลี่ว์ซู่มีแผนสำรองเพราะเขายังมีโอกาสได้ไปคุยกับตระกูลอื่นๆ แต่หลี่อวิ๋นฉู่นั้นไม่มีแผนสำรองอะไรทั้งนั้น


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งประจันหน้ากับหลี่อวิ๋นฉู่ คิดว่าจะพูดอะไรต่อไป “เรื่องราคาของศิลาวิญญาณนั้นเอาไว้เป็นเรื่องรอง เรื่องหลักๆ ที่เราจะคุยกันคือทุกคนเอาวุธและทรัพยากรสำหรับการฝึกมามากขนาดไหน ศิลาวิญญาณนั้นราคาสูงอยู่แล้ว เราไม่เสียเงินอะไรทั้งนั้นหากขายให้กับพวกคุณ แต่ถ้าพวกเราวางมือจากตลาดมืดนี่ไปทั้งอย่างนั้น มันก็คงเสียหายมหาศาลเลยใช่ไหมครับ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเงื่อนไขของเราก็คือเมื่อทุกคนซื้อศิลาวิญญาณไปแล้ว ทุกคนก็ต้องเอาอาวุธที่เตรียมกันมาแลกเอาศิลาวิญญาณไป”


 


 


“เดี๋ยวนะ นี่แปลว่าให้เอาอาวุธมาแลกศิลาใช่มั้ย ก็แปลว่าเราต้องยกอาวุธให้พวกเธอแบบฟรีๆ งั้นสิ” หลี่อวิ๋นฉู่ขมวดคิ้ว “อาวุธพวกนี้ไม่ใช่ถูกๆ เลยนะ!”


 


 


“อาวุธมีทั้งถูกทั้งแพงทั้งนั่นแหละครับในอาณาจักรแห่งความมืดนี่ แต่ตามปกติแล้วก็จะประมาณร้อยล้านหยวนต่อชิ้นได้ ผมว่าคุ้มออกนะที่จะเอาอาวุธพวกนั้นมาแลกกับตลาดมืดทั้งตลาด” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่เพิ่งเข้าใจว่าหลี่ว์ซู่นั้นไม่ได้สนใจเรื่องศิลาวิญญาณเลย การแลกเปลี่ยนเงินกับศิลาวิญญาณดูเหมือนจะยุติธรรมดีนะ แต่มันจะคุ้มจริงเหรอถ้าเอาอาวุธหนึ่งชิ้นมาแลกกับตลาดมืดทั้งตลาดแบบนี้


 


 


งั้นมันก็แปลว่าพวกเขากำลังซื้อศิลาวิญญาณที่มีราคาสูงกว่าในตลาดทั่วไปหลายเท่าตัว!


 


 


“งั้นขอดูอาวุธที่คุณเอามาหน่อยได้ไหม ใครจะรู้ อาวุธของคุณอาจจะแข็งแกร่งกว่าของตระกูลอื่นก็ได้ นี่ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดผลการเจรจาได้นะ”


 


 


เจตนาที่แท้จริงของหลี่ว์ซู่ดูจะเผยออกมาแล้ว ความตั้งใจแรกของหลี่ว์ซู่คือการเอาอาวุธมาให้ได้ และเอาวุธพวกนี้แหละคือความตั้งใจจริงของการซื้อขายนี้


 


 


พวกตระกูลใหญ่ไม่คิดว่าหลี่ว์ซู่จะเป็นขี้เหนียวขนาดนี้ เขาแยกตระกูลทุกตระกูลออกจากกันแล้วตั้งตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ตอนนี้ก็สายไปแล้วที่พวกเขาจะเดินออกไป ถึงแม้อยากออกใจแทบขาดก็เถอะ


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่คิดอย่างหนัก ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือหลี่ว์ซู่ขอมากเกินไปแล้ว แต่พอมาคิดดีๆ แล้ว ตระกูลของตนก็น่าจะยังพอรับได้อยู่ นี่หลี่ว์ซู่คิดอยากจะเอาอาวุธของพวกเขาไปตั้งแต่ต้นเลยเหรอ


 


 


จนถึงตอนนี้หลี่อวิ๋นฉู่ก็ยังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่เป็นใครกันแน่ เขาประหลาดใจมาก ทำไมคนที่จัดการการเจรจาครั้งนี้ถึงไม่ใช่หลี่อีเสี้ยวแต่เป็นหลี่ว์ซู่ กลับกันแล้วหลี่อีเสี้ยวนั้นดูราวกับเป็นอันธพาลที่ถูกจ้างมาเฝ้าหากมีใครในตระกูลใหญ่ทำตัวไม่ดี


 


 


ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย เป็นยอดผู้เจรจาตัวเอ้ของหลี่อีเสี้ยวเหรอ แต่เขาก็ไม่ได้ดูเป็นแบบนั้น เขาใส่ใจในพฤติกรรมที่แสดงออกมามาก ทั้งคำพูดและความคิดก็ห่างชั้นจากการเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเจรจาโดยสิ้นเชิง


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่มองไปที่ลูกพี่ลูกน้องที่มาด้วยกันข้างๆ หลี่อวิ๋นมู่หยิบจี้หยกสีม่วงออกมาจากกระเป๋าของเขา แล้วหลี่อวิ๋นฉู่ก็พูดว่า “หยกชิ้นนี้ถูกส่งผ่านกันมาในตระกูลฉันกว่าหลายรุ่น ใส่แล้วจะทำให้เพ่งสมาธิได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องระบบไหลเวียนเลือดและช่วยชะลอความแก่ อีกอย่าง จี้นี่ยังช่วยให้เธอไม่หมกมุ่นกับการฝึกฝนมาเกินไปอีกด้วย”


 


 


หลี่ว์ซู่หยิบหยกมาดูแล้วเก็บใส่กระเป๋า “มีอย่างอื่นอีกไหม”


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่อึ้ง


 


 


เอาใส่เข้ากระเป๋าแบบนั้นน่ะ ยังไม่ทันตกลงเจรจากันเลย! แล้วอยากจะได้เยอะขนาดไหนเนี่ยน้องชาย!


 


 


[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +666!]


 


 


“คิดเหรอว่าหยกชิ้นเดียวจะพอ ถึงหยกชิ้นนี้จะช่วยให้ร่างกายไม่หมกมุ่นกับการฝึกมากเกินไปแต่ว่าประสิทธิภาพอื่นๆ นี่ธรรมดามากเลยนะ คุณคิดว่าผมไม่รู้อะไรเลยเหรอ” หลี่ว์ซู่ว่า


 


 


ในความเป็นจริงแล้วหยกนี้ถือว่าแพงมากในตลาด ทั้งยังเหมาะจะให้ผู้หญิงมากกว่าที่จะเอามาให้ผู้บำเพ็ญ มีคนดังคนหนึ่งเคยจ่ายเงินหนึ่งร้อยยี่สิบล้านหยวนเพื่อซื้อหยกชิ้นหนึ่ง ราคานี้ถือว่าถูกกว่าการไปฉีดหน้าหรือไปทำศัลยกรรมอีกนะ ก็โฆษณามาว่าดูแลสุขภาพได้และทำให้ความสาวคงทนได้ขนาดนี้!


 


 


แต่สำหรับหลี่ว์ซู่แล้วมันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมาก ตระกูลหลี่พูดอย่างชัดเจนเลยว่าหยกชิ้นนี้จะต้องถูกแลกเปลี่ยนเป็นเงินเท่านั้น แต่ไม่ใช่สำหรับในจำนวนเงินที่เท่ากัน นี่เป็นเพราะพวกผู้บำเพ็ญผู้หญิงไม่ต้องใส่หยกชิ้นนี้ก็ได้ ในขณะที่ผู้บำเพ็ญผู้ชายเองจะเน้นฝึกในเรื่องความแข็งแกร่งมากกว่า หยกชิ้นนี้เลยมีค่าน้อยมาก แต่ถ้าเอาไปขายในตลาดปกติธรรมดาก็คงขายดี แต่ในโลกของผู้บำเพ็ญแล้วมันไม่ค่อยมีค่ามากเท่าไหร่


 


 


ถึงแม้ว่าตอนนี้หลี่อวิ๋นฉู่จะอยู่ในสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่เขาก็ยังไม่ยอมให้ใครมาควบคุมได้ “งั้นถ้าไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ การตกลงก็ยุติเท่านี้แหละ”


 


 


หลี่ว์ซู่ยังอยากเจรจาต่อ ทั้งสองฝ่ายเองก็ก็ไม่อยากจะทำให้มันยืดเยื้อไปนาน หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าตระกูลพวกนี้น่ะดื้อด้านขนาดไหนถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาวุธที่มีในครอบครอง พวกเด็กๆ ในตระกูลเองก็ไม่ได้โง่ ถึงอาวุธจะมีค่ามากขนาดไหน พวกเขาก็ยังหาตลาดขายมันไม่ได้


 


 


ก็คงจะไม่มีใครโง่พอที่จะเอามาวางขายอย่างไม่ระมัดระวังหรอก


 


 


“ผมขอถือหยกไว้ก่อนแล้วกัน หวังว่าทุกคนคงไม่กลัวกันว่าผมจะขโมยหยกนี่หนีไปหรอกใช่ไหมครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ


 


 


“จิตวิญญาณของพวกเรายังอยู่ที่นี่ไง” หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะออกมาอย่างไม่แยแส


 


 


ถึงเขาจะพูดออกไปแบบนั้นแต่เขาก็กังวลใจอยู่ดี เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่ากำลังต่อรองอยู่กับใครกันแน่


 


 


“งั้นผมก็พอใจกับหยกนี่แล้วล่ะครับ มาคุยกันเรื่องราคาศิลาวิญญาณกันดีกว่า” หลี่ว์ซู่พูดพลางหัวเราะ หลี่อวิ๋นฉู่มองหน้าหลี่ว์ซู่ เมื่อกี้ยังบอกไม่ชอบอยู่เลยไม่ใช่เหรอ


 


 


“งั้นราคาเท่าไหร่ล่ะ” หลี่อวิ๋นฉู่ถาม


 


 


“ราคาน่ะไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเราหรอกครับ” หลี่ว์ซู่นั่งลงบนเก้าอี้อย่างใจเย็น “ผมรู้ว่าพวกคุณเตรียมใจกันมาแล้ว ใครเสนอเยอะที่สุดก็ได้ศิลาไปไงครับ”


 


 


สิ่งที่หลี่อวิ๋นฉู่กลัวได้เกิดขึ้นแล้ว เขากลัวว่าหลี่ว์ซู่จะเอาราคาของตระกูลเขาไปต่อรองกับตระกูลอื่นๆ หากเป็นแบบนั้น ที่ตระกูลหลี่มาวันนี้ก็จะไม่ได้อะไรกลับไปเลย


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่เริ่มตบฝ่ามือตัวเองบนพนักเก้าอี้อย่างไม่รู้ตัว นี่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างหนัก ตอนนี้อะไรตัวเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขากันนะ


 


 


เขาคิดหนักแล้วก็ตัดสินใจบอกราคาที่สูงออกไปเพื่อให้หลี่ว์ซู่สับสน เขาเสนอราคาออกไปด้วยความมั่นใจ “เพื่อให้เห็นว่าตระกูลเราจริงใจจริงๆ เรายอมจ่ายสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ด!”


 


 


“ตกลงตามนั้นเลยครับ” หลี่ว์ซู่ตอบ


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่อึ้งจนพูดไม่ออก


 


 


[แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +999!]



ตอนที่ 560 ขอโทษทีนะ


 


 


“เธอมีศิลาวิญญาณอยู่กี่เม็ดกัน” หลี่อวิ๋นฉู่ถามอย่างไม่แน่ใจ หลี่ว์ซู่ตั้งใจจะแบ่งศิลาวิญญาณจำนวนแค่ไม่กี่พันเม็ดให้แต่ละตระกูลงั้นเหรอ


 


 


“หมื่นเม็ด” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ


 


 


เขามีศิลาวิญญาณอยู่กับตัวมูลค่าทั้งหมดสี่พันล้านหยวน หลี่อวิ๋นฉู่มีปัญหาเข้าให้แล้ว… เขายังคงคิดไม่ออกว่าทำไมเขายังงงอยู่ทั้งๆ ที่คิดไปหัวแทบแตกแล้ว


 


 


แต่เดี๋ยวก่อนนะ! หลี่อวิ๋นฉู่มองไปยังหลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา หลี่ว์ซู่ดูสงบใจเย็นมาก เขารู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไอ้หมอนี่อยากจะทำให้ตระกูลใหญ่เหล่านี้ตกอยู่ในความลำบาก ถ้าราคาศิลาพุ่งสูงเกินไปจ่ายกันสู้ไม่ไหว หลี่ว์ซู่ก็จะนั่งลงแล้วเริ่มการเจรจาใหม่อีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ตระกูลหลี่ก็คงจะไม่ใช่ตระกูลแรกที่ถูกทำให้อยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีกแล้ว


 


 


ราคานี้เขาจ่ายได้อยู่แล้ว แต่เหตุผลที่เขาเสนอราคาไปขนาดนี้ก็เพราะอยากจะทำให้ตระกูลอื่นๆ ตกอยู่ในความลำบากเหมือนกัน เพราะถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้วหลี่ว์ซู่ก็คงจะไปคุยเบื้องต้นกับตระกูลอื่นๆ ด้วย แต่ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงตกลงรับข้อเสนอราคาภายในครั้งเดียวแบบนี้กันล่ะ!


 


 


เจ้านี่ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่คิดว่าหลี่ว์ซู่คงจะมีเหตุผลอื่นๆ แอบแฝง แต่จำนวนของศิลานั้นมีจำนวนจำกัดอยู่ที่หมื่นเม็ดเท่านั้น และเครือข่ายฟ้าดินเองก็ไม่น่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย


 


 


พวกตระกูลใหญ่รู้ดีว่าเนี่ยถิงมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องทรัพยากรการฝึกอย่างไร และรู้ด้วยว่าเนี่ยถิงนั้นต้องการข่มอำนาจของตระกูลใหญ่เอาไว้ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เพราะฉะนั้นทำไมเจ้าหมอนี่ถึงเอาศิลาวิญญาณมาได้เยอะขนาดนี้และเอามาแลกเป็นเงินแบบนี้ล่ะ


 


 


หากลองคำนวณการผลิตและการขุดเหมืองของเครือข่ายฟ้าดินแล้ว เครือข่ายฟ้าดินนั้นไม่มีศิลาวิญญาณเหลืออยู่ในคลังมากนัก และพวกเขาก็ไม่ได้เก็บศิลาวิญญาณไว้สำหรับใช้ในอนาคตเลยด้วย พวกเขาเลือกที่จะแจกจ่ายศิลาให้กับสมาชิกเพื่อให้ช่วยเลื่อนระดับพลังเพื่อเตรียมตัวกับอนาคตที่ไม่แน่นอนในโลกของผู้บำเพ็ญ


 


 


ตัวเลขพวกนี้น่ะปกปิดไม่ได้หรอก แต่ที่สุดแล้วหลี่อวิ๋นฉู่ก็ไม่คิดต่อแล้ว


 


 


พวกเขาลองประเมินดูแล้วว่าหลี่อีเสี้ยวมีศิลาวิญญาณอยู่ครอบครองกี่เม็ด เขาคงไม่ได้ไปกว้านซื้อมาจากตลาดมืดแค่แหล่งเดียวแน่ๆ ดูเหมือนว่าหลี่อีเสี้ยวคงจะได้มาจากการทุจริตขณะเข้าไปในโบราณสถานเกาะช้างครั้งนั้นสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นค่อยฟังดูมีเหตุผลขึ้นมาหน่อย


 


 


แต่ถ้าเอาศิลามาได้ทั้งหมดแสนเม็ดคงเป็นจำนวนที่เอามาได้มากที่สุดแล้ว และพวกเขาก็คงจะขายศิลานี้ให้ตระกูลอื่นไม่ได้แน่


 


 


“งั้นหวังว่าจะได้ร่วมงานกันนะ ขอบคุณมากที่จัดการดูแลตลาดมืดนี่อย่างดี ตระกูลหลี่ของเราจะไม่กลับหลังแน่นอน” หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะ


 


 


หลี่ว์ซู่เดินออกจากห้องแล้วเอาศิลาวิญญาณสิบกล่องออกมาจากตราแผ่นดิน เขาได้จัดแจงแบ่งศิลาไว้ในปริมาณน้อยๆ ก่อนหน้านี้เรียบร้อย ซึ่งในแต่ละกล่องจะมีศิลาทั้งหมดพันเม็ด


 


 


หลี่อีเสี้ยวตกใจเมื่อเห็หลี่ว์ซู่ทำแบบนั้น “นี่นายเจรจาตกลงกับตระกูลแรกเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ”


 


 


“ใช่”


 


 


หลี่อีเสี้ยวตะลึงจนพูดไม่ออก ทำไมหลี่ว์ซู่ถึงได้ไวขนาดนี้เนี่ย ไหนบอกว่ามีศิลาอยู่แค่ไม่กี่พันเม็ดไง ทำไมถึงเอาศิลาออกมามากขนาดนี้ภายในครั้งเดียวได้ล่ะ


 


 


แล้วหลี่ว์ซู่มีเวลาไปนั่งแพ็คศิลาลงกล่องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่นำศิลาออกมาทั้งหมดหมื่นเม็ด เขาก็ขนพวกมันไปอีกห้องหนึ่งและเปิดกล่องต่อหน้าหลี่อวิ๋นฉู่ “นับดูก่อนนะครับ”


 


 


“ได้สิ ขอเวลาสักครู่นะ เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เราเลยจะต้องระมัดระวังสักหน่อย” หลี่อวิ๋นฉู่พาหลี่อวิ๋นมู่กับคนอีกสองคนเข้ามานับศิลาวิญญาณ


 


 


เมื่อเห็นว่ามีภาษาญี่ปุ่นสลักอยู่บนศิลาแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ศิลาพวกนี้ไม่ได้มาจากเครือข่ายฟ้าดินแน่ๆ และหลี่อีเสี้ยวก็ได้ศิลาพวกนี้มาจากช่องทางอื่น


 


 


หรือว่าศิลานี้จะได้มาจากโนกิวะ ทาเกะโนบุที่ตายไปที่โบราณสถานเกาะช้างกันนะ หลี่อวิ๋นฉู่เริ่มเดาไปเรื่อย แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว พวกเขาได้ศิลาวิญญาณตามที่หลี่อีเสี้ยวได้สัญญาไว้ว่าจะให้เรียบร้อย ตลาดมืดนี่ตกเป็นของตระกูลหลี่ในที่สุด!


 


 


หลี่ว์ซู่หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กขึ้นมา เขาเอาสายอินเทอร์เน็ตมาด้วย แต่ก็ยังไม่ได้ปิดเครื่องตัดสัญญาณโทรศัพท์ หลังจากที่หลี่อวิ๋นฉู่โอนเงินมาให้เรียบร้อยแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ยิ้มออกมา “ตระกูลหลี่นี่ใจกว้างมากเลยนะครับ!”


 


 


“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอกลับก่อนล่ะ เดี๋ยวจะส่งคนมาจัดการรับตลาดมืดนี่วันหลังนะ” หลี่อวิ๋นฉู่พูด


 


 


“อย่ารีบร้อนไปเลยครับ” หลี่ว์ซู่พูดพลางยิ้ม “พักผ่อนให้สบายที่นี่ก่อนเถอะครับ”


 


 


พูดเสร็จหลี่ว์ซู่ก็เดินออกจากห้องไป หลี่อวิ๋นฉู่อยากถามต่อว่าทำไมถึงไม่ยอมให้พวกเขากลับ แต่หลี่อีเสี้ยวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูเพื่อกันไม่ให้พวกเขาออกไปได้


 


 


แล้วอยู่ๆ หลี่อวิ๋นฉู่ก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ แต่คงไม่หรอกน่า!


 


 


พูดกันตามตรงแล้ว หลี่อีเสี้ยวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ขายศิลาวิญญาณไปหมดแล้วเหรอ ทำไมถึงยังต้องไปคุยกับตระกูลอื่นๆ อีก


 


 


แต่อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงให้หลัง หลี่ว์ซู่ก็เดินออกมานำศิลาวิญญาณสิบกล่องจากตราแผ่นดินกลับเข้าไปในห้องอีกเหมือนเดิม


 


 


หลี่อีเสี้ยวพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตะลึงอยู่อย่างนั้น…


 


 


พวกตระกูลเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่หลี่อีเสี้ยวเห็นกับตาตัวเองว่าหลี่ว์ซู่เป็นคนเอากล่องศิลากว่าสองหมื่นเม็ดออกมา หลังจากนั้นก็เป็นสามหมื่น… แล้วก็สี่หมื่น…


 


 


ขนาดหลี่อีเสี้ยวเองยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าว่าแต่ตระกูลอื่นๆ เลย! แต่ละตระกูลคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นมีศิลาวิญญาณอยู่ในมือเยอะก็จริง แต่มีเพียงพอจะขายให้แค่ตระกูลเดียวเท่านั้น


 


 


เนี่ยถิงก็คิดว่าหลี่ว์ซู่มีศิลาอยู่ในมือไม่กี่พันเม็ด แต่เขาก็ยังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่


 


 


หลี่อีเสี้ยวก็คิดว่าหลี่ว์ซู่มีไม่กี่พันเม็ดเช่นกัน และส่วนแบ่งที่ได้ศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์นั้นก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน


 


 


แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ ทุกคนคิดกันไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่คาดคิดว่าหลี่ว์ซู่จะมีศิลามากถึงเพียงนี้


 


 


ถ้าเทียบกับการเล่นเกมก็เหมือนกับว่าทุกคนในที่นี้ล้วนคิดว่าตัวเองเป็นผู้เล่นเกมที่เก่งมากแล้ว ฮ่าๆ ต่อให้โจมตีไปมั่วๆ ก็ยังยืนหนึ่งไปจนจบแมตช์ ทว่าในตอนสุดท้าย ภาพผู้เล่นที่ยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายกลับเป็นไอ้ขี้โกงคนหนึ่ง!


 


 


เจอแบบนี้ช็อกไหมล่ะ ตาแตกกันเลยไหม


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซูเจรจากับตระกูลที่ห้า เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปตอนเห็นอาวุธที่พวกเขาเอามาแสดง ตอนที่พวกเขาหยิบอาวุธออกมานั้น เปลวเพลิงสีขาวที่อยู่ในอกเขาก็ลุกโหมขึ้นมา นี่เหมือนกับตอนที่เขาเจอปรมาจารย์หุ่นเชิดเป็นครั้งแรกเลย นี่มันอะไรกันเนี่ย


 


 


แต่เขาก็ควบคุมเสียงไม่ให้สั่นและคุยกับตระกูลต่อไป เมื่อจังหวะเหมาะๆ มาถึง เขาก็เล่นกลยุทธ์เดิมกับตระกูลนั้นและเก็บอาวุธที่ได้มาเข้ากระเป๋า


 


 


หลังจากที่หลี่ว์ซู่เจรจากับตระกูลที่หกเสร็จสิ้น เขาก็ลากหลี่อีเสี้ยวออกไป “รีบออกไปกันเถอะ ถ้าออกกันช้ากว่านี้เรามีปัญหากันแน่…”


 


 


ตระกูลเหล่านั้นนั่งรอกันได้ แต่เมื่อผ่านไปชั่วโมงให้หลังแล้วพวกเขาก็รู้ว่านี่ไม่ถูกต้อง มีคนลองเปิดประตูออกมาแล้วมองดูข้างใน แล้วก็พบว่าหลี่ว์ซู่และหลี่อีเสี้ยวนั้นหายตัวไปกันแล้ว!


 


 


“หลี่อีเสี้ยว หายไปไหนน่ะ!” น่าหลานเชวี่ยตะโกนถาม


 


 


แต่น่าหลานเชวี่ยก็ยังมีความสุขที่หลี่ว์ซู่ตรงเข้าประเด็นเลยในการตกลงซื้อขายเพราะหลี่อีเสี้ยวคุยมาก่อนไว้แล้ว ให้ตายเถอะ! อีตาตุ้ยนุ้ยนี่ก็ไม่เคยบอกเธอเลยสักนิดว่าเขาหลงเธอจนหัวปักหัวปำขนาดนี้


 


 


ตระกูลอื่นๆ เริ่มเดินออกมาจากห้องรับรองกันแล้ว น่าหลานเชวี่ยก็เลยยิ้มออกไปแล้วพูดว่า


 


 


“ขอโทษทีนะคะทุกคน…”


 


 


“ขอโทษทีนะครับ…”


 


 


“ขอโทษ…”


 


 


ทุกคนก็ต่างแย่งกันพูดคำนี้ แต่แล้วพวกเขาก็คิดได้ว่าทำไมจะต้องมาขอโทษด้วย มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลยนี่นา มันเป็นความผิดของไอ้พวกนั้นต่างหาก!


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเกาเสินอิ่น +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่…]


 


 


แล้วคืนนั้นก็เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในโลกของผู้บำเพ็ญที่เมืองลั่ว!



ตอนที่ 561 ไข่มุกสีดำ


 


 


ผู้บำเพ็ญลับหลายคนมารวมตัวกันที่เมืองลั่วเพราะพวกเขาได้ยินว่ามีการแข่งขันแย่งชิงตลาดมืดกันระหว่างหกตระกูลใหญ่เกิดขึ้น พวกเขาก็เลยมาดูกันเพื่อความสนุก


 


 


แต่การแข่งขันระหว่างตระกูลที่เหล่าผู้บำเพ็ญลับคาดการณ์ไว้กลับไม่ใช่แบบที่คิด


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่และตระกูลขนศิลาวิญญาณกลับไปด้วยสีหน้าเศร้าหมอง พวกเขาต้องกลับไปพิจารณากลยุทธ์ใหม่ พวกเขาสูญเสียไปมากในการเจรจาครั้งนี้ และเขาต้องหาทางเรียกคืนสิ่งที่เสียไป


 


 


แต่เขาจะหาทางเรียกคืนความสูญเสียยังไงล่ะ เขาไม่เคยประสบปัญหาเช่นนี้มาก่อน


 


 


ผู้บำเพ็ญลับมารวมตัวกันที่เมืองเหวินหวาน หลังจากรอคอยอย่างยาวนาน องค์ท่านก็จากไป แล้วหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ตระกูลทั้งหกก็ออกมาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม พวกเขามองหน้ากันและกันอย่างว่างเปล่าและสิ้นหวัง องค์ท่านกล่าวอะไรกับคนพวกนั้นกันแน่นะ


 


 


ว่ากันว่าตระกูลเหล่านั้นเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขามารวมตัวกันที่นี่เพื่อสิ่งใด พวกเขาไม่ยอมเผยข้อมูลสักนิด


 


 


ในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน เมืองลั่วก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของกลุ่มผู้บำเพ็ญไปในทันที


 


 


กล่าวกันว่าไม่มีศัตรูที่แท้จริงในโลกหรอก มีแต่ผลประโยชน์เท่านั้นเป็นสิ่งที่แท้จริง ทุกตระกูลซื้อศิลาจากหลี่อีเสี้ยวไปตระกูลละหมื่นเม็ด แล้วใครกันล่ะที่ได้ตลาดมืดไปครอบครอง


 


 


อยู่ๆ พวกเขาก็คิดไปถึงสิ่งที่หลี่อีเสี้ยวเคยพูดไว้ตอนที่ชวนพวกตระกูลเหล่านี้มา ‘ผมมีศิลาวิญญาณอยู่ในมือ และผมก็เตรียมจะออกไปจากตลาดมืดนี่แล้ว ก็เลยจะขายศิลาทิ้ง’


 


 


ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่านี่เป็นการบอกนัยๆ ว่าจะมีการขายศิลาและขายตลาดออกไปด้วยพร้อมกันในครั้งเดียว…


 


 


“ตระกูลหลี่ของเราจ่ายไปสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ด เราเอาหยกประจำตระกูลที่ทำให้ความหนุ่มสาวยั่งยืนไปให้เขาอีกด้วย ราคานี้น่ะสูงกว่าการซื้อตลาดมืดสักแห่งเสียอีก เพราะฉะนั้นตลาดมืดนี่ต้องเป็นของตระกูลเรา”


 


 


“มีตระกูลไหนไม่ได้จ่ายสี่แสนต่อศิลาหนึ่งเม็ดบ้าง แถมถ้าจะมีดาราสักคนซื้อหยกไปก็ไม่ได้มีความหมายเท่าไหร่นี่ เราไม่ได้มาเล่นขายของกันนะ ตระกูลน่าหลานของเราเอาวัชระ [1] ให้เลยด้วยซ้ำ!” น่าหลานเชวี่ยกล่าวอย่างดูถูก


 


 


“ตระกูลเกาของเรายกระฆังแห่งการปลอบโยนให้!”


 


 


“ตระกูลหวังของเราเองก็…”


 


 


ทุกตระกูลต่างพยายามพูดชูหางตนเองว่าพวกเขาเสียอะไรไปบ้าง แต่มีอยู่ตระกูลหนึ่งที่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป นี่ก็เหมือนกับการเล่นเกมส่งดอกไม้ตอนกลองดัง [2] กลองยังไม่หยุดตี แต่ดอกไม้ที่ส่งต่อกันนั้นได้บุบสลายไปแล้ว…


 


 


“แล้วตระกูลของเธอให้อะไรไปล่ะ” น่าหลานเชวี่ยเหลือบมองไปที่ตระกูลหลิว


 


 


“เราให้ไข่มุกเขาไป ในโลกยุคหลังพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนแบบนี้ เราบอกได้ว่าไข่มุกนั่นเป็นของวิเศษที่ทำอะไรไม่ได้เลย พวกเราตระกูลหลิวไม่ได้ใจกว้างอย่างพวกคุณนี่นะ ก็เลยไม่เข้าเนื้อมากเท่าไหร่” ลูกชายของตระกูลหลิวหัวเราะออกมา


 


 


“…โธ่เอ๊ย” น่าหลานเชวี่ยพูดเสียงเบาด้วยความเจ็บใจ


 


 


ตอนนี้ที่ทุกคนก็พยายามอวดกันว่าตระกูลไหนรวยที่สุด แต่พอพูดไปพูดมาแล้ว นี่เหมือนพวกเขากำลังแข่งกันโต้มากกว่าว่าใครเสียอะไรไปมากที่สุด…์


 


 


หลี่ว์ซู่อยู่บ้านเพื่อตรวจดูอาวุธที่ได้มาด้วยการลองหยดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงบนอาวุธเหล่านั้นดู อย่างน้อยๆ มีอาวุธสักชิ้นที่ใช้การได้ก็พอแล้ว เพราะเวลาที่พวกผู้บำเพ็ญปะทะกัน พวกเขาไม่ได้มีเวลาเปลี่ยนอาวุธหลายชิ้นอยู่แล้ว ฉะนั้นมีเพียงชิ้นเดียวที่เอาอยู่ โจมตีศัตรูได้ก็พอแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่เองเห็นด้วยที่หลี่เสียนอีพูด การใช้กระบี่นั้นเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุดแล้วในการกำจัดศัตรูทีละมากๆ ภายในครั้งเดียว หลี่ว์ซู่เองก็เชื่อใจธารน้ำศักด์สิทธิ์และกระบี่ของเขา อาวุธอย่างวัชระหรือระฆังแห่งการปลอบโยนนั้นธรรมดาเกินไป


 


 


จากความคิดของหลี่ว์ซู่ อาวุธที่พวกตระกูลให้มานั้นไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ พลังจิตวิญาณในอาวุธแต่ละชิ้นนั้นมีพอๆ กับกระจกแห่งอาทิตย์จันทรา เขาลองทดสอบอาวุธแล้วก็พบว่าระฆังแห่งการปลอบโยนนั้นไม่แม้แต่กระทบกระเทือนเจ้ากระรอกเลยสักนิด แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรกับหลี่ว์ซู่ล่ะ


 


 


แต่ว่างูสีทองของเขาชอบใจมาก มันกลืนอาวุธลงท้องภายในคราวเดียว ส่วนธารน้ำศักดิ์สิทธิ์เองก็ขยายพลังขึ้นเหมือนกัน


 


 


ตามปกติแล้วพวกผู้มีพลังสายธาตุน้ำนั้น พลังมักจะไม่ค่อยมีประโยชน์บนพื้นดินเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่สามารถดึงพลังนั้นมาจากอากาศได้ แต่ตอนนี้ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หลี่ว์ซู่มีนั้นสามารถเติมน้ำทั้งสระว่ายน้ำให้เต็มได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้อยู่บนบกก็สบายมาก ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย


 


 


ถ้าเขาฝึกพลังนี้ไปจนถึงระดับที่เขาสร้างทะเลสาบจากธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็คงไม่มีกลุ่มหรือองค์กรหน้าไหนมาทำอะไรเขาได้อีกต่อไป


 


 


หลี่ว์ซู่กำลังฝึกฝนทักษะของเขาอยู่ ธารน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้สามารถใช้โจมตีกลุ่มศัตรู ป้องกัน หรือทำลายอาวุธของอีกฝ่ายได้ และหน้ากากนี้ก็เอาไว้เพื่อปลอมตัวเป็นคนอื่น อาวุธสองอย่างที่เขามีนั้นค่อนข้างจะใช้ประโยชน์ได้มากทีเดียว กระบี่บินและพลังดาบรัศมีที่เขามีนั้นก็เน้นทำลายล้างอย่างเดียว ส่วนกระจกแสงสุริยันและน้ำเต้าม่วงทอง… มันมีเอาไว้แกล้งคนเล่นเท่านั้นแหละ


 


 


แต่ในบรรดาอาวุธทั้งหมดที่ได้มา มีอาวุธชิ้นหนึ่งที่หลี่ว์ซู่ยังไม่ได้หยดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงไป เขาหยิบไข่มุกสีดำออกมาจากกระเป๋าแล้วค่อยๆ มองพินิจดูมันอย่างระมัดระวัง ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนลูกปัดแก้วสีดำธรรมดาๆ แต่ถ้าดูใกล้ๆ แล้วมันมีหมอกจางๆ หมุนวนปรากฏขึ้นในไข่มุก


 


 


“ทำไมเจ้านี่ทำให้ไฟในอกเกิดปฏิกิริยาด้วยนะ” หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจตรงนี้เลย เขาสงสัยว่าไข่มุกนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์หุ่นเชิด อาจจะเกี่ยวข้องกับหน้ากากของเขาก็ได้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้เลย เขามีความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้แค่กับหน้ากากกับไข่มุกอันนี้เท่านั้น


 


 


อีกอย่างหนึ่ง คนอื่นเองก็ไม่สามารถใช้หน้ากากได้ เขาเองก็สามารถใช้หน้ากากได้หลังจากที่ดับไฟของเขาลงแล้ว


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามใช้สัญชาตญาณจิตหยั่งรู้ของเขาค้นหาไข่มุก แต่ก็ไม่ป็นผล ซึ่งในตอนนี้ไฟในใจของเขาก็โชติช่วงอีกครั้ง แล้วอาการต่อต้านที่เขาสัมผัสได้จากไข่มุกก็หายไปทันที


 


 


จิตสำนึกในใจของหลี่ว์ซู่ก็ตกอยู่ในหมอกสีดำ แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากไกลๆ “…ฉันสัมผัสถึงสายเลือดที่คุ้นเคยนี้ได้ เจ้าเป็นใคร”


 


 


เสียงก้องนี้ดังมาจากไกลๆ เสียงของมันไม่เหมือนกับเสียงพูดของมนุษย์ แต่ราวกับเป็นเสียงของวิญญาณมากกว่า


 


 


หลี่ว์ซู่ตกใจเพราะเขาเองก็รู้สึกว่าไข่มุกนี้แปลกมาก คงไม่ดีถ้าเขาปล่อยจิตสำนึกให้อยู่ในนั้นต่อไป


 


 


พอเขาดึงตัวเองออกมาได้แล้ว หมอกหนาที่หมุนวนอยู่ในไข่มุกก็ค่อยๆ หยุดหมุน


 


 


เกือบไปแล้วไหมล่ะ! เขาไม่ควรไปแตะไข่มุกนั่นอีก น่ากลัวชะมัดเลย!


 


 



 


 


การประชุมกันของพวกตระกูลยังคงดำเนินต่อไปในห้องประชุมของโรงแรม แล้วลูกชายของตระกูลหลิวก็พูดขึ้นมา


 


 


“ทุกคนรู้ดีว่านี่ไม่ใช่งานที่ใครคนเดียวจะทำสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องร่วมมือกัน เราต้องควบคุมตลาดมืดเมืองลั่วนี่ให้ได้ เป็นทางเดียวเท่านั้นที่เราจะพลิกวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้”


 


 


ทั้งหกตระกูลควบคุมตลาดมืดร่วมกันเนี่ยนะ กำไรคงจะละลายหายไปกับน้ำแน่ๆ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นหรอก ใครอยากจะทำให้มันเกิดขึ้นถ้ายังมีทางเลือกอื่นๆ อีก


 


 


พวกเขาเชื่อว่าเนี่ยถิงคงได้รับข่าวนี้เรียบร้อยแล้ว หลี่อีเสี้ยวคงไม่กระทำการเช่นนี้โดยที่เนี่ยถิงไม่รู้ใช่ไหม แต่พวกเขาก็ไม่เห็นเนี่ยถิงหยุดหลี่อีเสี้ยวเหมือนกัน พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่าเนี่ยถิงจะไม่สนใจศิลาวิญญาณจำนวนมากกว่าหมื่นเม็ด


 


 


 


 


——


 


 


[1] วัชระ เป็นอาวุธประจำกายของพระอินทร์ วัชระ แปลว่า สายฟ้า และมีอีกความหมายหนึ่งแปลว่า เพชร


 


 


[2] เป็นการละเล่นของจีน ซึ่งจะเล่นโดยนั่งเป็นวงกลมและส่งต่อดอกไม้ไปเรื่อยๆ ขณะมีเสียงตีกลองถ้าดอกไม้ไปหยุดอยู่ที่ใคร คนนั้นจะต้องร้องเพลง ตอบคำถาม หรือดื่มหนึ่งแก้ว


ตอนที่ 562 พวกเราถูกหลอก


 


 


การที่ตระกูลใหญ่จะร่วมมือกันในผลประโยชน์อันมหาศาลแบบนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก พวกเขาโต้เถียงกันไปมา ใครยอมแพ้ก่อนถือว่าเป็นคนโง่เง่า


 


 


แต่ในขณะเดียวกันพวกตระกูลทั้งหกเองก็สืบเรื่องของหลี่อีเสี้ยวและหลี่ว์ซู่ไว้ด้วยเหมือนกัน ที่สุดแล้วหลี่ว์ซู่นั้นไม่ใช่เป็นคนธรรมดา พวกเขาหาข้อมูลของเขาได้ไม่ยากเท่าไหร่


 


 


แต่ข้อมูลที่ได้มาเนี่ยสิที่ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจ ทางหลี่อีเสี้ยวนั้นไม่ได้ผิดปกติอะไรหลังจากกลับมาจากโบราณสถานเกาะช้าง เขายังยากจนและขี้บ่นในเรื่องเดิมๆ น่าหลานเชวี่ยรู้สึกปวดหัวมากทุกครั้งที่เธอได้ยินคำว่า ‘หลี่อีเสี้ยว’ …


 


 


“หืม เขาจนนี่ ทำไมเขาไปเซ็นสัญญากับโรงงานเล็กๆ ใกล้ๆ หมู่บ้านของตระกูลหลิวล่ะ เขาถึงกับซื้อบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเองด้วย!” หลี่อวิ๋นฉู่ประหลาดใจและไม่เข้าใจมาก “เมื่อสองวันที่แล้วนี่เอง!”


 


 


เรื่องการซื้อบ้านซื้อที่ดินนั้นไม่ได้มีอะไรน่าประหลาดใจหรอก มีเด็กคนไหนในตระกูลที่ไม่มีบ้านเป็นของตัวเองบ้างล่ะ แต่เขาเป็นถึงราชันฟ้าหลี่อีเสี้ยว อยู่ๆ ก็ไปซื้อบ้านในหมู่บ้านนั้นแบบนี้เนี่ยนะ เขาถึงกับเซ็นสัญญาซื้อโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งโรงงานนี้เป็นของลูกชายคนดูแลหมู่บ้าน เมื่อก่อนมันเป็นธุรกิจที่รายได้ดีมาก แต่เกิดปัญหาที่คนแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคารเพราะกลัวว่าธนาคารจะล้ม โรงงานก็เลยหยุดทำการไป


 


 


โรงงานไม่ได้มีประสิทธิภาพอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ว่ามันกินพื้นที่กว้างและอยู่ใกล้ถนนหมายเลข 301


 


 


เรื่องนี้ดูจะไม่เกี่ยวกับการตกลงซื้อขายตลาดมืดเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือเรื่องพวกนี้มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนเท่านั้น! มันก็เลยเป็นปัญหาใหญ่ยังไงล่ะ!


 


 


ก่อนที่ตระกูลใหญ่พวกนี้จะได้ไปตรวจสอบที่โรงงาน พวกเขาก็ได้รับสายเรียกเข้าสายหนึ่งเสียก่อน


 


 


“เกิดเรื่องใหญ่ที่ตลาดมืดแล้วครับ รีบมาด่วนเลยนะครับ”


 


 


พวกตระกูลใหญ่ต่างมองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี พอพวกเขาไปถึงที่หน้าประตูก็แทบต้องกระอักเลือด เพราะมีตัวหนังสือสีแดงที่เพิ่งถูกเขียนสดๆ ใหม่ๆ อยู่บนประตูเหล็กว่า ‘ที่นี่เปลี่ยนเจ้าของแล้ว เราย้ายไปที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในหมู่บ้านหลิวใกล้ถนนหมายเลข 301 ลูกค้าทุกคนจะได้รับกุยช่ายฟรี แผงขายของจะขายผักกุยช่ายในราคาขายส่งแบบถูกๆ’


 


 


นี่มันชักจะมากเกินไปแล้ว ตลาดมืดที่นี่ก็กลายเป็นตลาดร้าง หลี่อีเสี้ยวเอาคนและของย้ายไปกับด้วยทั้งหมด!


 


 


ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าถึงจะเสียอะไรไปบ้างแต่พวกเขาก็ยังมีตลาดมืดเป็นของปลอบใจอยู่ พวกเขาจะได้เม็ดเงินกว่าร้อยๆ ล้านที่เสียไปคืน แต่แล้วทุกคนก็หนีหายไปจากตลาดมืด


 


 


ถ้าตลาดมืดไม่มีผู้บำเพ็ญลับแล้วจะเรียกว่าตลาดมืดอยู่ได้ยังไง พวกเขาใช้ประโยชน์อะไรจากหลุมหลบระเบิดไม่ได้หรอก!


 


 


“หลี่อีเสี้ยว… หลี่ว์ซู่… หลี่อีเสี้ยวไม่น่าคิดแผนการอะไรแบบนี้ออกหรอก ตัวการต้องเป็นหลี่ว์ซู่แน่ๆ!” น่าหลานเชวี่ยกัดฟันพูด


 


 


“พังประตูออกให้หมดแล้วเอาไปทิ้ง” หลี่อวิ๋นฉู่สั่งลูกน้องอย่างใจเย็น


 


 


เขาหันไปคุยกับคนตระกูลอื่น “ทุกคนครับ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งลังเล ผมขอแนะนำว่าให้ทุกหกตระกูลแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน เราต้องเร่งมือแล้ว ต้องพยายามดึงผู้บำเพ็ญลับกลับมาให้ได้ ถ้าไม่สำเร็จละก็ ที่เราทำไปทั้งหมดจะสูญเปล่า”


 


 


พวกตระกูลใหญ่อาจทะเลาะกันเรื่องผลประโยชน์ก็จริง แต่พวกเขาก็รวมเป็นหนึ่งได้ด้วยผลประโยชน์เหมือนกัน


 


 


“พวกมันจะหนีไปยังไงก็ได้ แต่พวกเราจะต้องดึงพวกมันกลับมาให้หมด” ตระกูลหวังหัวเราะอย่างน่ากลัว “บางทีหลี่อีเสี้ยวอาจลืมไปแล้วว่าสินค้าที่มีค่าที่สุดในตลาดมืดก็คือศิลาวิญญาณ ถึงแม้ตอนนี้ศิลาจะยังไม่ใช่สกุลเงินแลกเปลี่ยนก็เถอะ แต่ใครจะรู้ว่าในอนาคตจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นพวกเราจะเป็นคนขายศิลาที่มีของมากที่สุด!”


 


 


“แต่ราคาของศิลาพวกนี้น่ะสูงกว่าราคาในตลาดทั่วไป เราจะขายในราคาถูกๆ ไม่ได้ใช่ไหม”


 


 


ตระกูลหวังส่ายหัวตอบ “เราจะไม่ลดราคาขายถูกๆ หรอก เราจะขายเม็ดละสี่แสน และเราจะต้องดึงพวกผู้บำเพ็ญลับกลับมาให้ได้”


 


 


“แต่ราคาเราเป็นรองนะ จะดึงพวกนั้นกลับมาได้ยังไงล่ะ”


 


 


“ศิลาวิญญาณเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้บำเพ็ญหลายคนต้องใช้ศิลานั้นหลังจากตั้งใจหามาได้ แต่อย่างไรก็ตามจำนวนศิลาในประเทศนี้กำลังจะหมดลง มันคงมีสักวันแหละที่พวกผู้บำเพ็ญใช้ศิลากันจนหมด ทีนี้แหละเราจะได้ช่องทางการส่งขายศิลาวิญญาณกันขึ้นมา ว่าแต่ทุกคนรู้กันหรือเปล่าวันศิลาวิญญาณมาจากที่ไหน” คนจากตระกูลหวังเอ่ย


 


 


“จะมาจากไหนได้อีกล่ะ ก็นำเข้ามาจากต่างประเทศไง”


 


 


“ถูกต้อง แต่ฉันเชื่อว่าเราทุกคนจะควบคุมทุกตลาดมืดในประเทศได้ และเราก็ดึงพวกผู้บำเพ็ญกลับมาได้ด้วย จะดีแค่ไหนล่ะถ้าเราร่วมมือกันห้ามไม่ให้พวกนักเดินทางเอาศิลามาขายแข่งกับพวกเรา”


 


 


ทุกคนตาเป็นประกายขึ้นทันที ถ้าพวกเขาห้ามพวกนักเดินทางพเนจรที่ขนเอาศิลาเข้าประเทศมาขายพวกนั้นได้ การขายศิลาในประเทศก็จะถูกผูกขาดอยู่ที่พวกเขา!


 


 


ซึ่งตามความสามารถที่ตระกูลพวกนี้มีแล้ว ผลประโยชน์จะไม่ถูกจำกัดจากการขายศิลาอย่างเดียวแน่นอน


 


 


“ตระกูลน่าหลานจะเอาศิลาวิญญาณมาทอดขายห้าพันเม็ด!” น่าหลานเชวี่ยพูดอย่างเย็นชา


 


 


“ตระกูลหลี่ก็จะขายห้าพันเม็ดเช่นกัน” หลี่หยุ่นฉู่หัวเราะ


 


 


คืนนั้น ผู้บำเพ็ญลับกว่าสิบคนแวะเวียนมาที่เขตแดนของตระกูล พวกเขาโดนตระกูลเหล่านี้ไล่ล่าหลังก้าวเข้ามาในพื้นที่ของตระกูล พวกเขาไม่ได้ฆ่าผู้บำเพ็ญพวกนี้ทิ้งเพราะหากฆ่าทิ้งไป เครือข่ายฟ้าดินก็จะเข้ามายุ่งด้วยแน่ๆ พวกเขาก็แค่อยากซื้อศิลาวิญญาณในราคานำเข้าเท่านั้น และได้ออกปากเตือนพวกผู้บำเพ็ญลับว่าอย่าทำแบบนี้อีกถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ


 


 


แน่นอนล่ะว่าตระกูลเหล่านี้จะเลือกใช้วิธีการคุยดีๆ ก่อนที่จะใช้ไม้แข็ง แต่ถ้าเจอใครไม่ทำตามที่สั่งแล้วละก็ พวกเขาก็จะลงมือ คนพวกนี้มีจำนวนน้อยและเครือข่ายฟ้าดินก็จะไม่ได้สนใจอะไร


 


 


ในตอนนี้พวกเขาไม่มีศิลาวิญญาณที่นำเข้ามาจากต่างประเทศล็อตใหม่ๆ เลย มีแต่ใช้ของเดิมเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกวัน! ยิ่งไปกว่านั้นพวกตระกูลใหญ่หกตระกูลก็อยากเหมาซื้อศิลาวิญญาณจากตลาดมืดอื่นๆ ให้หมดด้วย ถึงแม้จะต้องใช้เงินมากหน่อยแต่ว่าชิ้นหนึ่งก็คงไม่เกินสี่แสนหรอก…


 


 


แล้วในชั่วข้ามคืน เหล่าผู้บำเพ็ญก็พบว่าศิลาวิญญาณในตลาดมืดได้หายไปหมดเกลี้ยงเพราะพวกหกตระกูลใหญ่กว้านซื้อไปหมด


 


 


นี่แหละคือพลังที่แท้จริงของตระกูลใหญ่!


 


 


พอตกเย็น หลี่อวิ๋นฉู่ก็นั่งอยู่ในห้องประชุม เขานวดขมับตัวเองแล้วยิ้มออกมา “พวกเรากำจัดปัญหาออกไปได้หมดแล้ว ฉันขออวยพรว่าให้พวกเราทำงานกันอย่างราบรื่นและมีกำไรไหลมาเทมา!”


 


 


“สั่งสอนหลี่อีเสี้ยวหน่อยว่าพวกเรามีอำนาจกันแค่ไหนกัน” ตระกูลอื่นๆ ยืนขึ้นสนับสนุน


 


 


แต่อยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องประชุม “โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าที่ถนนหมายเลข 301 เริ่มเปิดทำการแล้วครับ พวกเขาแจกกระเทียมต้นวิเศษแถมยังประกาศไปในหมู่ผู้บำเพ็ญด้วยว่าพวกเขาจะได้ซื้อศิลาวิญญาณกันได้แบบไม่จำกัดในราคาสามแสนเก้าหมื่นหยวนต่อเม็ดเท่านั้น!”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย +999!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จาก…]


 


 


ตั้งราคาอะไรแบบนี้เนี่ย นี่มันถูกกว่าที่พวกเขาขายไปกว่าหมื่นหยวนเลยนะ ถ้าตระกูลใหญ่ยังมุ่งมั่นจะขายสู้กับพวกเขาก็ต้องเสียเงินเข้าเนื้อกันไปอีกเหรอ!


 


 


“มันทำกันได้ลง…” หลี่อวิ๋นฉู่กัดฟันโกรธจนแทบจะทำฟันตัวเองแตก


 


 


ตั้งแต่ทีหลี่อีเสี้ยวชวนพวกเขามาที่นี่ พวกเขาก็ถูกหลอกกันเสียสนิท พวกตระกูลใหญ่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้ศิลาวิญญาณกันมาแทนแค่เพื่อต้องการควบคุมตลาดมืดมากเสียขนาดนั้น


 


 


ถ้าพวกนั้นทำตามที่พูดว่าจะจัดหาศิลาจำนวนไม่จำกัดมาขาย แสดงว่าพวกนั้นมีศิลาวิญญาณมากกว่าหมื่นเม็ดอยู่ในมือ หลี่อวิ๋นฉู่และทุกคนไม่คิดว่าสองคนนั้นจะทำได้ถึงขนาดนี้เพื่อจะรักษาธุรกิจตลาดมืดไว้ และไม่ลังเลกันแม้แต่น้อยที่จะนำศิลาวิญญาณมาวางขาย!


 


 


ถ้าจะถามว่าราคาสามแสนเก้าหมื่นหยวนนั้นถูกหรือเปล่า ขอตอบเลยว่าไม่! มันแพงกว่าที่ขายในตลาดทั่วไปเสียอีก แค่ลดราคาศิลาลงมาโดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาก็จะได้ส่วนแบ่งการตลาดไปมากขึ้นได้! พวกนี้จะไม่เสียอะไรเลยกันสักนิดเดียว!



ตอนที่ 563 หลี่ว์ซู่คนชั้นต่ำ


 


 


“สงครามการหั่นราคางั้นเหรอ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครในประเทศนี้อยากกระโดดลงมาร่วมสงครามนี้กับเราหรอกนะ! ถ้าพวกเขาขายเม็ดละสามแสนเก้า งั้นเราก็ขายเม็ดละสามแสนแปด! พวกเราจะไม่เสียอะไรหรอก เมื่อคืนเรายังซื้อศิลาวิญญาณในตลาดมืดกันมาเม็ดละสามแสนสองเท่านั้น อยากรู้นักว่าฝ่ายนั้นจะยอมเสียเงินเข้าเนื้อกันไหม!” หลี่อวิ๋นฉู่พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ทุกคนก็รู้ประโยชน์ของการผูกขาดในตลาดแล้วนี่ คิดว่าไงกัน เริ่มกันเลยไหม!”


 


 


“ฉันเห็นด้วยนะ” น่าหลานเชวี่ยพูดเสียงเย็น เธออยากอัดหลี่อีเสี้ยวจริงๆ แต่ก่อนทำอย่างนั้นเธอต้องหาโรงงานนั่นให้เจอก่อน ไม่อย่างนั้นเธอจะเผชิญหน้ากับหลี่อีเสี้ยวได้อย่างไร


 


 


จำนวนศิลาวิญญาณในตลาดเริ่มลดน้อยลงแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นตลาดเงียบไปมาก การที่จะกระตุ้นให้กลับมาคึกคักขึ้นคงต้องใช้เวลาเสียหน่อย


 


 


แต่หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ศิลาวิญญาณก็ไม่หลงเหลืออยู่ในตลาดอีกเลย พวกผู้บำเพ็ญงุนงงกันใหญ่ ประเทศนี้ไม่มีศิลาวิญญาณเหลืออยู่แล้วงั้นเหรอ


 


 


มีหลายตระกูลที่เป็นเหมือนหลิวลี่ พวกเขาต้องการศิลาวิญญาณกันไปทำไมนะ พอมีคนต้องการซื้อศิลาวิญญาณ ศิลาวิญญาณก็ไม่มีให้ซื้อ!


 


 


มีใครบางคนปล่อยข่าวว่า “ถนนหมายเลข 301 ในเมืองลั่วมีศิลาวิญญาณขาย ซื้อได้ไม่จำกัด ราคาเม็ดละสามแสนเจ็ดหมื่นหยวนเท่านั้น!”


 


 


“ตลาดมืดในเมืองลั่วตรงเหวินหวานขายศิลาไม่จำกัดจำนวน ราคาเม็ดละสามแสนหกหมื่นหยวน!”


 


 


“ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 ลดราคาศิลาเหลือสามแสนห้า!”


 


 


โลกนี้วุ่นอยู่กับการหากำไร!


 


 


ในเมืองลั่วมีผู้บำเพ็ญลับอยู่มาก เมื่อเกิเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ผู้บำเพ็ญลับทั้งหมดในประเทศที่ซื้อขายของกันในตลาดมืดจึงมารวมตัวกันที่นี่


 


 


มาทำไมน่ะเหรอ ก็มาเพื่อเติมสต็อกของให้เต็มน่ะสิ!


 


 


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป พวกเขาขายศิลาวิญญาณกันได้ไม่มากนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กลับมาที่ตลาดมืด พวกผู้บำเพ็ญรู้ว่าถ้าตลาดที่เหวินหวานลดราคา ตลาดอีกที่ตรงถนนหมายเลข 301 ก็จะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน พวกผู้บำเพ็ญก็เลยเหนื่อยจะกลับมาที่ตลาดเหวินหวาน พวกเขารอตลาดมืดตรงถนนหมายเลข 301 ลดราคาเอาก็ได้ ถ้าพวกเขาขาดทุนกับการซื้อศิลาที่เมืองเหวินหวานจะทำอย่างไรล่ะ


 


 


หลายๆ คนหยุดซื้อศิลาวิญญาณไปแล้วขอดูสถานการณ์ห่างๆ แทน พวกเขากลัวว่าราคาจะตกไปจนถึงราคาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาคงขาดทุนในการซื้อศิลาครั้งนี้กันมาก


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่ต้องเรียกประชุมภายในคืนนั้น ราคาศิลาเม็ดละสามแสนห้านี่ชักจะใกล้เคียงกับราคาตอนที่พวกเขาซื้อมากันครั้งแรกแล้วนะ ขายราคาสามแสนเก้าหมื่นหยวนนี่ก็เสียกำไรไปมากแล้ว หากลดราคาขายเหลือสามแสนห้าหมื่นหยวนไม่ยิ่งเสียยิ่งกว่าเดิมเหรอ!


 


 


“เราจะทำไงกันดี” ตระกูลหวังถาม


 


 


“ถึงราคานี้จะไม่ใช่ราคาทั่วไปแล้ว แต่ถ้าเราหยุดลดราคา เราก็แพ้ ไม่มีวิธีแก้เกมแล้ว” หลี่อวิ๋นฉู่ตอบ “ทุกคนยังใจสู้กันอยู่ใช่ไหม”


 


 


พวกเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องสงครามหั่นราคาเพื่อตัดขาคู่แข่งในธุรกิจกันมาแล้ว ถ้าพวกเขายังคิดจะทำธุรกิจที่เสียไปสามร้อยล้านหยวนต่อวันแล้วยังจะมีอะไรที่พวกเขายังไม่กล้าทำอยู่อีกล่ะ


 


 


“หลี่อีเสี้ยวกล้ามากนะ หมอนั่นอยากผูกขาดตลาดมืดไว้คนเดียวงั้นเหรอ” มีใครคนหนึ่งหัวเราะอย่างเย็นชา “ถ้างั้นเราก็จะเอาให้ถึงที่สุด ตระกูลหลิวจะขายศิลาทั้งหมดหมื่นเม็ดเลย!”


 


 


“ตระกูลหวังก็จะเอาด้วย!”


 


 


ในขณะที่ผู้บำเพ็ญลับกำลังเดินทางไปที่เมืองลั่ว จู่ๆ ราคาศิลก็เกิดผันผวนขึ้นใหม่ “ตลาดมืดเหวินหวานขายศิลาไม่จำกัดอยู่ที่สามแสนสี่หมื่นต่อเม็ดแล้ว!”


 


 


วันต่อมา สมาชิกตระกูลใหญ่สังเกตตลาดมืดกันอย่างสนใจใคร่รู้ แล้วพวกเขาก็โล่งใจเมื่อเห็นพวกผู้บำเพ็ญลับกลับมาต่อแถวกันตั้งแต่คืนก่อนเพื่อรอตลาดมืดเปิด


 


 


แม้แต่เครือข่ายฟ้าดินเองก็จับตามองพวกเขาอย่างใกล้ชิด หนึ่งในสามของผู้บำเพ็ญลับอาจทำตามเป้าไม่สำเร็จเสียแล้วเพราะเครือข่ายฟ้าดินได้เปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่


 


 


เป็นที่ประจักษ์กับตระกูลใหญ่แล้วว่าผู้บำเพ็ญลับจากทั่วประเทศกำลังมารวมตัวกันที่นี่ พวกเขาได้ข้อมูลมาจากตระกูลเหล่านี้ โดยตระกูลใญ่แจ้งกับพวกผู้บำเพ็ญลับว่าจะมีกลุ่มคนจำนวนมากมุ่งหน้ามาที่นี่และมีผู้บำเพ็ญลับจำนวนหนึ่งก็อยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน


 


 


ซึ่งก็มีคนเป็นร้อยๆ กำลังต่อแถวเพื่อจะได้มาซื้อให้ได้เร็วที่สุด


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ถึงเราจะเสียกำไรกันไปบ้างแต่ก็พอประมาณการได้แล้วว่าธุรกิจจะไปได้สวย หลังจากวันนี้เป็นต้นไป เราส่งคนไปเอาศิลาจากต่างประเทศและส่งกลับมาที่ประเทศเราได้แล้ว ตลาดนี้จะถูกผูกขาดเป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว”


 


 


ถึงพวกเขาจะสูญเสียไปบ้างแต่ก็เอาตัวรอดกันมาได้ พวกเขาจะเก็บศิลาล็อตนี้ไว้เพื่อสร้างฐานตลาด แล้วในอนาคตพวกเขาค่อยให้คนนำเข้าศิลาเข้ามาจากต่างประเทศ


 


 


ถึงตอนนั้นพวกเขาค่อยขึ้นราคาศิลาทีหลัง แล้วเขาจะขายให้ได้กำไรมากกว่านี้เลยคอยดู!


 


 


“แล้วจะป้องกันไม่ให้ตระกูลอื่นขโมยเอาธุรกิจไปเองได้ยังไงล่ะ…” มีใครบางคนพยายามเตือนขึ้นมา


 


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คนที่ได้ก่อนก็คือคนที่จะได้กำไรสูงสุด” หลี่อวิ๋นฉู่ไม่สนใจคนคนนั้น เขาหันไปถามคนที่อยู่ข้างๆ “ธุรกิจของฝ่ายนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ”


 


 


ใครสักคนที่ยืนอยู่ข้างหลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะ “ลูกค้าส่วนใหญ่เทกันมาที่ตลาดของเรา พวกนั้นไม่กล้าลดราคาแข่ง ก็เลยไม่มีใครไปที่ตลาดพวกนั้นเลย”


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะ “ฮ่าๆๆ พวกนั้นคงคิดว่าตัวเองเก่งนักน่ะสิ “หลี่อวิ๋นฉู่หัวเราะ


 


 


พวกเขาขายศิลากันออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีคนหลั่งไหลมาตลาดมืดเหวินหวานเยอะขนาดนี้เลย พอตระกูลใหญ่เห็นคนเยอะขนาดนี้แล้วก็อดยิ้มกันไม่ได้ ชัยชนะนี่ช่างหอมหวานจริงๆ


 


 


แต่แล้วก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทุกคนมองหน้ากันและเริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา…


 


 


หลี่อวิ๋นฉู่สูดหายใจเข้าลึกและกดรับโทรศัพท์ จากนั้นผู้ที่โทรมาก็พูดขึ้น [ตลาดมืดที่ถนนหมายเลข 301 เสนอซื้อศิลาวิญญาณกันในราคาสามแสนห้าหมื่นหยวนต่อเม็ดคืน พวกพ่อค้าแม่ค้าก็เลยไปขายศิลากัน มีบางคนบอกว่าพวกเขาจะมาซื้อศิลาที่นี่เพิ่มเพื่อเอาไปขายต่อด้วยนะครับ ดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นจะจัดแจงคนมาเพื่อซื้อศิลาจากเราไป แถมยังซื้อไปหลายร้อยเม็ดในทีเดียวเลยล่ะครับ!]


 


 


แล้วหลี่อวิ๋นฉู่ก็นึกออกว่ามีคนที่ซื้อไปหลายร้อยเม็ดอยู่เหมือนกัน เขาคิดว่าไปเจอพวกตระกูลรวยๆ เข้า เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าจะมีปัญหาตามมาไหม แต่พอเช็กประวัติแล้วก็พบว่าพวกคนซื้อพวกนี้มาจากหลายๆ แห่ง แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นพวกผู้บำเพ็ญลับกันหมด พวกเขาก็เลยตัดสินใจขายศิลากันอย่างสงบ


 


 


จริงๆ แล้วหลี่อีเสี้ยวส่งคนพวกนี้มางั้นเหรอ ชั้นต่ำเอ๊ย


 


 


เดี๋ยวนะ นี่มันแผนของหลี่อีเสี้ยวหรือแผนของหลี่ว์ซู่กัน


 


 


“หยุด!” อยู่ๆ หลี่อวิ๋นฉู่ก็ตะโกนใส่ผู้คนในตลาดมืด “หยุดซื้อขายกันเดี๋ยวนี้!”


 


 


แต่ว่านั่นก็สายไปแล้ว เพราะพวกเขาขายศิลาออกไปทั้งหมดสี่หมื่นเจ็ดพันเม็ดในวันเดียวเป็นที่เรียบร้อย!


 


 



 


 


“ไม่คิดเลยนะครับว่าคุณจะหาคนช่วยมาเพิ่ม ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวคืนนี้มาดื่มฉลองกัน!” หลี่อีเสี้ยวที่ยืนอยู่ในตลาดมืดพูดกับชายแก่คนหนึ่ง


 


 


ชายแก่ค้อมหัวให้ “ก็ตอนแรกคุณก็มาช่วยเราโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเลยนี่นะ เราก็เลยช่วยซื้อของมานิดหน่อยระหว่างทาง”


 


 


“ฮ่าๆ ครั้งนี้เราเล่นพวกตระกูลใหญ่เสียพินาศเลยนะครับ มาๆ มาดื่มกัน” หลี่อีเสี้ยวหันไปมองข้างหลังและเห็นหลี่ว์ซู่ เขากระแอม “ดูแลที่นี่ด้วยนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อน”


 


 


“ได้ครับ เดี๋ยวผมคำนวณกำไรให้คุณพรุ่งนี้” หลี่ว์ซู่ยิ้มตอบ


 


 


ดูจากรายรับแล้วพวกเขาทำรายได้ไปถึงสองหมื่นสี่พันล้านหยวนจากศิลาวิญญาณหกหมื่นเม็ดเท่านั้น หลี่ว์ซู่บอกว่าจะแบ่งให้หลี่อีเสี้ยวศูนย์จุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าหลี่อีเสี้ยวจะได้เงินไปสองร้อยสี่สิบล้านหยวน หลี่ว์ซู่เองก็ไม่ได้บอกจำนวนเงินที่แน่นอนกับหลี่อีเสี้ยวไป เขาแค่บอกไปว่าเขาจะแบ่งให้หลี่อีเสี้ยวมากกว่าสิบล้านแน่ๆ


 


 


เมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บศิลาไว้ในมืออีกครั้ง เขาเลยไม่อยากจะหยุดอยู่ที่สองหมื่นสี่พันล้านหยวน แตศิลานั้นมีราคาต่างกัน ทั้งสี่แสนหยวนต่อเม็ด และสามแสนห้าหมื่นหยวนต่อเม็ด เขาไม่สามารถซื้อศิลาวิญญาณทุกเม็ดกลับมาได้หรอก


 


 


เขาซื้อศิลากลับมาได้สองหมื่นเจ็ดพันเม็ดเท่านั้นในวันนี้ เพื่อนที่หลี่อีเสี้ยวเรียกมาช่วยนั้นช่วยได้มากจริงๆ


 


 


ตอนนี้ในมือหลี่ว์ซู่มีศิลาอยู่ห้าหมื่นห้าพันเม็ด เขาอยากเก็บศิลาพวกนี้ไว้เพื่อแลกเปลี่ยนในอาณาจักรแห่งความมืดในอนาคต


 


 


แม้จะเป็นไปได้ยากมากที่จะโอนทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าร้อยล้านหยวนแบบลับๆ แต่พอมีศิลาวิญญาณนี้แล้วทุกอย่างก็ต่างไป หลี่ว์ซู่ไม่สนใจอาวุธที่พวกตระกูลใหญ่เอามาให้ด้วยซ้ำ มีแค่หยกชิ้นเดียวเท่านั้นที่ควรค่าพอจะทิ้งไว้ได้ ไข่มุกนั่นก็ด้วยเหมือนกัน เอาไว้ทำให้คนกลัวเล่น


 


 


อย่างไรก็ตามหลี่ว์ซู่อยากจะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาและของเสี่ยวอวี๋ เขาคงต้องไปกว้านหาในอาณาจักรแห่งความมืดและจ่ายเงินซื้ออาวุธมาจริงๆ


 


 


หลี่ว์ซู่ตัดสินใจแล้วว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะใช้ USB ของแอนโธนี่ไว้เพื่อเข้าไปดูอาณาจักรแห่งความมืด


 


 


คิดอย่างนั้นแล้วเขาก็มีความสุขขึ้นมา และบันทึกในระบบของหลี่ว์ซู่ก็มีแต้มอารมณ์เด้งขึ้นมา


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่อวิ๋นฉู่ +999…]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากน่าหลานเชวี่ย…]


 


 


ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายหมายความว่าไงน่ะเหรอ ก็หมายความว่าหลี่ว์ซู่จะได้ทั้งเงินได้ทั้งแต้มอารมณ์ในคราวเดียวยังไงล่ะ

 

 

 


ตอนที่ 564 โจมตีกลับ

 

ไม่มีใครคาดคิดว่าสงครามการหั่นราคาจะจบด้วยความปั่นป่วนขนาดนี้ แต่ในสายตาของผู้บำเพ็ญลับแล้ว ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 ชนะไป พอจบเรื่อง พวกเขาก็หยุดการขายศิลาวิญญาณโดยไม่ทราบสาเหตุ


 


 


พอคิดๆ ไปแล้วทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้นมา องค์ท่านซื้อศิลาวิญญาณมาก็เพื่อจะตบตาพวกตระกูลใหญ่เท่านั้น


 


 


หลังจากที่การประชุมสิ้นสุดลง หลี่ว์ซู่ที่นั่งอยู่ในตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่แล้วจู่ๆ น่าหลานเชวี่ยเปิดประตูพุ่งเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว


 


 


“หลี่อีเสี้ยวอยู่ไหน” น่าหลานเชวี่ยถามด้วยความเกรี้ยวกราด


 


 


“ออกไปดื่มกับลุงเกาน่ะครับ” หลี่ว์ซู่หัวเราะ


 


 


แล้วผู้บำเพ็ญลับที่อยู่ข้างนอกก็มองเข้ามาด้วยความสงสัย น่าหลานเชวี่ยปิดประตูเสียงดังปัง และในตอนที่เธอกำลังปิดประตูนั้น เธอก็ส่งยิ้มมาให้ “เป็นไง เมื่อกี้ฉันแสดงดีไหม ทีนี้ใครๆ ก็คิดแล้วว่าเรามีปัญหากัน งั้นก็เอาหยกจากตระกูลหลี่มาให้ฉันตามที่ตกลงกันไว้ ฉันจะเอาวัชระแลกให้นายไป แล้วนายก็ช่วยจ่ายราคาส่วนต่างของศิลาจากสี่แสนหยวนที่ตกเป็นสามแสนสี่หมื่นหยวนด้วยนะ ฉันว่านายจ่ายเป็นศิลาวิญญาณมาทดแทนจะดีกว่า”


 


 


หลี่ว์ซู่โยนหยกให้น่าหลานเชวี่ย เขาไม่ได้หยดธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ลงบนหยกชิ้นนี้เพราะน่าหลานเชวี่ยบอกว่าจะให้วัชระเป็นการตอบแทนที่เอามาแลกกับหยก แต่เธอขออย่างเดียวว่าให้เธอร่วมมือกับหลี่ว์ซู่และหลี่อีเสี้ยวโดยทำเป็นแสดงต่อหน้าพวกตระกูลอื่นๆ


 


 


หลี่ว์ซู่เห็นว่าน่าหลานเชวี่ยมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งแค่ไหนต่อหลี่อีเสี้ยวก็จริง แต่เขาก็สงสัยอยู่อย่างหนึ่ง “หยกนี่มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”


 


 


“นายจะไปรู้อะไรล่ะ” น่าหลานเชวี่ยมองหน้าหลี่ว์ซู่และใส่จี้หยกรอบคอของเธอ เธอค่อยๆ ปรับมันจนจี้แตะสัมผัสบนร่างกายของเธอ


 


 


ถ้าตระกูลหลี่เห็นแบบนี้แล้ว พวกเขาก็จะเข้าใจทันทีว่าน่าหลานเชวี่ยอยู่ฝ่ายไหนในการตกลงซื้อขายครั้งนี้ เธอเป็นคนแรกที่แนะนำให้พวกตระกูลเอาศิลาวิญญาณมารวมกันเพื่อนำไปขาย และเธอก็เป็นคนเดียวที่สนับสนุนทุกคนอยู่ข้างหลัง เมื่อตระกูลน่าหลานเสนอให้นำศิลามารวมกันแล้ว ตระกูลอื่นๆ ก็ต้องทำตามนั้น


 


 


จริงๆ แล้วในตระกูลเองก็มีพันธมิตรลับๆ อยู่ ซึ่งกรณีของน่าหลานเชวี่ยนั้นคือเธอเป็นพันธมิตรกับหลี่อีเสี้ยว ทั้งสองก็ยังมีใจให้กันอยู่


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกว่าเขาไม่ควรดูถูกผู้หญิงที่อยากสวยเลย เพราะผู้หญิงร่างใหญ่อย่างน่าหลานเชวี่ยเองก็ต้องการจี้หยกนั้นไปเพื่อรักษาความสาว…


 


 


“ก็ได้ๆ” น่าหลานเชวี่ยโบกมือ “ฉันไปก็ได้ บอกหลี่อีเสี้ยวด้วยว่าอย่ากล้าดีไปแตะตัวผู้หญิงคนไหนล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาจบเห่แน่”


 


 


พอพูดจบเธอก็กลับมาเกรี้ยวกราดและปิดประตูเสียงดังใส่ ทั้งหมดที่ทำไปก็แค่แสดงเท่านั้นแหละ


 


 


หลังจากหลี่ว์ซู่จัดการเรื่องทุกอย่างจบแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่เขาคิดสักอย่างตั้งแต่เขากลับมา ตอนแรกก็ต้องคิดว่าจะรับตำแหน่งราชันฟ้าดีหรือเปล่า พอปฏิเสธเนี่ยถิงไป เนี่ยถิงก็แกล้งทำให้ทุกอย่างยากไปหมดสำหรับหลี่ว์ซู่ เนี่ยถิงไม่ยอมให้เขาไปเข้าเรียนวิทยาลัยด้วยซ้ำ…


 


 


ถ้าถามว่าเขาขายศิลาวิญญาณไปนั้นเพราะอยากได้เงินหรือเปล่า… มันก็ใช่อยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลัก ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่เองไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่เขาเองก็ไม่ได้อาวุธวิเศษดีๆ จากพวกตระกูลใหญ่มาอย่างที่ตั้งใจ การซื้อขายครั้งนี้เลยไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เขานัก


 


 


เหตุผลจากใจจริงคือเขาอยากทำให้เนี่ยถิงขายหน้าครั้งใหญ่ แค่นั้นเลย


 


 


หลี่ว์ซู่โกรธเนี่ยถิงเพราะเนี่ยถิงทำให้เขาพลาดการสอบเข้าวิทยาลัย แถมยังไม่ยอมรับสายเขาอีกด้วย ถึงแม้เนี่ยถิงจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในฝ่ายตะวันออก แต่หลี่ว์ซู่ก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องขายหน้าที่เนี่ยถิงทำให้เขารู้สึกได้หรอก


 


 


หลี่ว์ซู่ลงแรงไปตั้งเยอะตอนไปญี่ปุ่น เขาได้เลื่อนขั้นเป็นร้อยเอกและยังทำประโยชน์ให้อีกมหาศาล เนี่ยถิงยากให้เขารับผิดชอบดูแลเรื่องต่างประเทศไม่ได้แปลว่าเขาจะทำให้หลี่ว์ซู่อับอายชาวบ้านแบบนี้ได้เสียหน่อย


 


 


เนี่ยถิงทำไปเพื่ออะไรกันแน่


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่สนหรอกถ้าเข้าจะต้องไปเผชิญอันตราย เขารู้ว่าถ้าไปอยู่ต่างประเทศแล้วคงได้อะไรกลับมาเยอะ แต่เขาไม่อยากแบกความรับผิดชอบชีวิตของคนที่จะเป็นเหมือนกับหลิวซิวและอีกหลายๆ คนไว้บนบ่าตอนที่เขากำลังทำงานในส่วนของเขาอยู่ เขาไม่สามารถให้อภัยได้หรอก!


 


 


แล้วทั้งหมดนี่มันเพื่ออะไรกันล่ะ!


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในห้องทำงานนานมากและจมกับความคิดลงไปเรื่อยๆ เขารอที่จะได้รับแต้มอารมณ์จากเนี่ยถิงอยู่!


 


 


การที่เขายังไม่ได้รับแต้มอารมณ์จากเนี่ยถิงในตอนนี้ทำให้เขาไม่พอใจมาก ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองหลวงมา เขาได้คิดเรื่องนี้มาก่อนแล้ว เขาไม่ยอมจบง่ายๆ หรอก หลี่ว์ซู่จะอยู่ตรงข้ามเนี่ยถิงไปจนถึงที่สุดเลย อยากรู้ว่าจะทนไปได้สักกี่น้ำ…


 


 


เป็นคนอื่นก็คงหงอไปแล้วถ้าโดนหัวหน้าราชันฟ้าแห่งเครือข่ายฟ้าดุใส่เพียงครั้งเดียว แต่หลี่ว์ซู่จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด!


 


 


หลี่ว์ซู่รู้ว่าถึงเขาได้เงินมามากมาย แต่เนี่ยถิงก็ระงับบัญชีไม่ให้เขาใช้ได้แค่ในพริบตาเดียว กระนั้นหลี่ว์ซู่ก็รู้ว่าเนี่ยถิงและสือเสวจิ้นเป็นคนอย่างไร เพราะรู้จักทั้งสองคนมานาน ถึงจะโดนบีบให้เงินในบัญชีไม่ได้ก็เถอะ หลี่ว์ซู่ก็จะหาทางพูดจนได้


 


 


เนี่ยถิงควบคุมหลี่ว์ซู่ได้ก็เพราะรู้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ใช่คนไม่ดี ท้ายที่สุดแล้วเขาก็คงไม่หักหลังเครือข่ายฟ้าดินและก็คงไม่ไปทำอะไรที่ผิดกฎหมายร้ายแรง


 


 


ความกล้าที่หลี่ว์ซู่มีตอนนี้ก็มาจากการที่เนี่ยถิงไปจัดการเรื่องต่างๆ อย่างจริงจัง ปัญหาเดียวในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเป็นราชันฟ้า แต่ปัญหาคือเนี่ยถิงจะให้เขาเป็นให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม


 


 


คนอื่นอาจจะคิดว่าหลี่ว์ซู่บ้าไปแล้วที่ไม่ยอมเป็นราชันฟ้าเพราะใครๆ ต่างก็บอกว่านั่นเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น ทำไมเขายังทำตัวมีปัญหาหลังจากที่เขาได้รับอะไรดีๆ ไปแบบนี้นะ แต่หลี่ว์ซู่ไม่คิดแบบนั้น เขาแค่ไม่อยากโดนบังคับให้เป็นนั่นเป็นนี่ตามใจคนอื่น


 


 


และทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของหลี่ว์ซู่ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองมันและเห็นว่าสือเสวจิ้นเป็นคนโทรมา ฮ่าๆๆ เขาไม่จะไม่รับหรอก


 


 


ตอนที่หลี่ว์ซู่โทรหาคราวก่อน สือเสวจิ้นไปไหนเสียล่ะ พอมาตอนนี้คิดอยากโทรหาเขาขึ้นมางั้นเหรอ


 


 


หลี่ว์ซู่เมินสายของสือเสวจิ้น แล้วจากนั้นเขาก็ได้รับข้อความจากสือเสวจิ้นทันที


 


 


[ทำอะไรอยู่!!! รับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้นะ!!!]


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


หลี่ว์ซู่แทบจะเป็นลมตายด้วยความดีใจ เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นสือเสวจิ้นเสียอาการขนาดนี้ เขาได้รับแต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้นแล้ว แต่ทำไมยังไม่ได้จากเนี่ยถิงกันนะ


 


 


และแล้วก็มีสายเรียกเข้าอีกสายดังขึ้น เขารอประมาณสิบวินาทีก่อนกดรับโทรศัพท์


 


 


“ฮัลโหล ราชันฟ้าสือเหรอครับ ครั้งที่แล้วผมโทรไปแต่ไม่มีคนรับสาย ก็เป็นห่วงอยู่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณรึเปล่า”


 


 


[แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!]


 


 


[ฉันสบายดี ขอถามหน่อยว่าตอนนี้มีศิลาวิญญาณอยู่กับตัวทั้งหมดกี่เม็ด] สือเสวจิ้นตกตะลึง


 


 


“คืองี้นะครับ ราชันฟ้าหลี่เป็นคนขาย ไม่เกี่ยวอะไรกับผม” หลี่ว์ซู่หัวเราะ


 


 


[หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว อยากได้อะไรล่ะ หนังสือตอบรับเข้าวิทยาลัยเหรอ] สือเสวจิ้นเริ่มรู้สึกรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ … เนี่ยถิงไปภูเขาฉางไป๋ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสียแล้ว สือเสวจิ้นไม่รู้ว่าจะบอกเนี่ยถิงอย่างไรเลยตอนเขากลับมา


 


 


“หนังสือตอบรับเข้าวิทยาลัยเหรอครับ มันคืออะไรน่ะ” หลี่ว์ซู่ทำเป็นประหลาดใจ “ผมพลาดการสอบไปแล้วไม่ใช่เหรอ ผมคิดว่ากฎก็คือกฎเสียอีก เครือข่ายฟ้าดินเข้าไปยุ่งอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้…”


 


 


[นายนี่มัน…] สือเสวจิ้นต้องหยุดตัวเองไม่ให้พูดคำหยาบ


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +1000!]


 


 


“เอาเรื่องโรงเรียนไว้ก่อนนะครับ คือว่าผมทำของหายไปอย่างหนึ่ง คุณช่วยผมหาหน่อยได้ไหมครับ” หลี่ว์ซู่ถามสบายๆ


 


 


สือเสวจิ้นพูดไม่ออก นี่มันบีบบังคับกันชัดๆ!



ตอนที่ 565 แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง 


 


 


แล้วอยู่ๆ สือเสวจิ้นก็สงบสติอารมณ์ได้ ตราบใดที่หลี่ว์ซู่ยอมบอกเงื่อนไขของเขามาแล้ว เขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลอะไร อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าหลี่ว์ซู่นั้นต้องการอะไร 


 


 


เขากลัวว่าหลี่ว์ซู่จะไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากงัดข้อกับเนี่ยถิงไปถึงที่สุด สำหรับคนฉลาดอย่างสือเสวจิ้นแล้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหลี่ว์ซู่อยากทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่ความโลภ และเมืองลั่วก็กลายเป็นที่รวมตัวก็ของผู้บำเพ็ญลับที่ใหญ่ที่สุดแล้ว 


 


 


แต่สือเสวจิ้นรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าหลี่ว์ซู่นั้นใจเย็นลงและมีเหตุผลขึ้นแล้ว หลี่ว์ซู่คงรู้ว่าสือเสวจิ้นพยายามจะทำอะไรอยู่ 


 


 


[ทำอะไรหายไปล่ะ] สือเสวจิ้นถาม 


 


 


“กระบี่มั้งครับ ผมจำไม่ได้…” หลี่ว์ซู่มีความหวังขึ้นมาทันที 


 


 


สือเสวจิ้นเงียบไป จะจำไม่ได้ได้ยังไง บอกมาให้ชัดๆ เลยได้ไหมว่าอยากได้อะไร นี่ต้องคิดแทนให้ด้วยรึเปล่าเนี่ย 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากสือเสวจิ้น +999!] 


 


 


สือเสวจิ้นคิดอะไรออกและทำตาเป็นประกาย แต่เขายังคงทำเสียงราบเรียบ [ฉันหาคนเดียวไม่เจอหรอกนะ เดี๋ยวโทรกลับไปอีกทีได้ไหม เตรียมใจเผื่อไว้ด้วยนะ] 


 


 


จากนั้นสือเสวจิ้นก็วางหูไป หลี่ว์ซู่ตบปากตัวเองเสียงดัง เขาว่าบัญชีธนาคารของเขาคงจะโดนอายัดแล้วล่ะ… 


 


 


มีเพียงพวกตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยเท่านั้นถึงจะโอนเงินทีละมากๆ ได้ภายในครั้งเดียว แต่เขาทำไม่ได้ เขาสามารถโอนเงินเข้าไปที่บัญชีของเสี่ยวอวี๋ได้แค่ห้าแสนหยวนต่อวันเท่านั้น แล้วจะต้องใช้เวลามากขนาดไหนล่ะ เงินเยอะเสียขนาดนี้… 


 


 


อย่างไรก็ตาม ตามที่หลี่ว์ซู่เข้าใจสือเสวจิ้นและเนี่ยถิงแล้ว เขาอยากรู้ว่าเขาจะแลกซื้ออาวุธวิเศษอะไรบ้างจากเงินที่เขามีตอนนี้ เขายอมได้หรอกถ้าไม่ได้อาวุธวิเศษมาเลย ถึงแม้มันจะมีค่ามากแต่ก็ไม่มีตลาดไหนวางขาย จู่ๆ เกิดอยากได้ขึ้นมาแล้วไปซื้อเลยน่ะทำไม่ได้หรอก มันก็คงจะมีเงื่อนไขแปลกๆ ในการแลกซื้ออาวุธวิเศษในอาณาจักรแห่งความมืดนั่น ในอาณาจักรแห่งความมืดนั้น ศิลาวิญญาณเอาไปแลกอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ทว่าอาวุธวิเศษนั้นเป็นข้อยกเว้น 


 


 


อย่างทรายขาวทะเลลึกของแอนโธนี่เองก็ต้องแลกมาด้วยชีวิตของราชันฟ้าคนหนึ่งเลย แล้วชีวิตของราชันฟ้าคนหนึ่งจะมีค่าเท่าไหร่กันล่ะ คงไม่มีใครรู้ได้หรอก 


 


 


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมศิลาวิญญาณยังไม่ถูกยอมรับเป็นสกุลเงินแลกเปลี่ยน และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือศิลาวิญญาณมีค่าแตกต่างกันตามแหล่งกำเนิด บางเม็ดมีพลังจิตวิญญาณมากกว่า บางเม็ดมีน้อยกว่า สำหรับยอดฝีมือแล้วอย่างเนี่ยถิงหรือฮาเวิร์ด ศิลาวิญญาณไม่ค่อยสำคัญสำหรับพวกเขาเท่าไหร่แล้ว พวกเขาเลยไม่ได้สนใจอะไรกับมันมาก 


 


 


นี่ไม่เหมือนกับนิยายเทพเซียนที่ศิลาวิญญาณจากทั่วทุกมุมโลกจะเหมือนกันหมดนะ ศิลาเองก็มีเกรดของมันอยู่ พวกศิลาระดับต่ำจะเป็นเกรด a1 ส่วนระดับกลางๆ คือ a10 และระดับสูงจะเป็น a100 โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก… 


 


 


ศิลาวิญญาณนั้นก็เหมือนกับแร่ชนิดหนึ่ง เราสามารถพูดได้ว่ามีมันมีค่ามาก แต่ก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่เพราะขึ้นอยู่กับสภาพของมันด้วย เพราะฉะนั้นศิลาวิญญาณจึงไม่เหมือนกับทอง เนื่องจากทองสามารถถูกทำให้บริสุทธิ์มากขึ้นได้ 


 


 


ศิลาวิญญาณจากเครือข่ายฟ้าดินนั้นก็มีคุณภาพเหมือนๆ กัน แต่เรื่องนั้นไม่สามารถเอาไปเทียบได้กับศิลาวิญญาณที่ได้มาจากต่างประเทศ 


 


 


ผู้บำเพ็ญบางคนก็ตั้งใจซื้อศิลาระดับดาดๆ มาจากต่างประเทศและเอามาหลอกขายคนโง่ๆ ในประเทศ เพราะมีหลายคนที่ไม่สามารถบอกได้ว่าศิลานั้นมีความเข้มข้นมาแค่ไหน ศิลาระดับดาดๆ จึงจะมีราคาต่ำหน่อยในต่างประเทศ 


 


 


หลี่ว์ซู่เก็บศิลาไว้ด้วยสองเหตุผล เหตุผลแรกคือเขาสามารถพกมันไปต่างประเทศเผื่อว่ามีเหตุการณ์ต้องเจรจาต่อรองอะไรที่น่นด้วยได้ เหตุผลที่สอง ถ้าเขาเอาศิลาใส่ไว้ในตราแผ่นดินแล้ว เนี่ยถิงก็ไม่สามารถมาทำอะไรได้ 


 


 


เนี่ยถิงสามารถบีบให้เขายอมทิ้งศิลาได้เหรอ ฮ่าๆ เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก เงินเอาไปแลกซื้ออาวุธวิเศษได้ก็จริง แต่ศิลานั้นเอาไปแลกไม่ได้หรอก ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เขาจะเก็บข้าวของหนีไปเลย 


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งรอในห้องทำงานที่ตลาดมืดทั้งวัน แล้วอยู่ๆ ก็เกิดเรื่องน่าดีใจสุดกู่ 


 


 


[แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +1000!] 


 


 


ในที่สุดก็มา! 


 


 


สิบนาทีที่แล้วมีเส้นสีดำๆ ลากผ่านบนฟ้าไป เสียงสั่นของชุดเกราะของเนี่ยถิงที่กระทบอากาศดังจนเหมือนเสียงคำราม ราวกับเครื่องบินเพิ่งบินผ่านไป 


 


 


หลังจากที่เขาทะยานเข้าสู้น่านฟ้าบนถนนหลิวไห่ เส้นดำๆ นั้นก็ลดต่ำลงมาทันที สือเสวจิ้นที่กำลังอ่านหนังสือที่ระเบียงมองขึ้นไปและเห็นว่าเป็นเนี่ยถิง 


 


 


“เกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาฉางไป๋น่ะ” 


 


 


เนี่ยถิงส่ายหัวไม่อยากพูดต่อ เขาถาม “สองสามวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” 


 


 


ท่าทีของสือเสวจิ้นเริ่มติดขัด “เกิดอะไรขึ้นที่ภูเขาฉางไป๋ครับ…” 


 


 


เนี่ยถิงมองสือเสวจิ้นด้วยความประหลาดใจ “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมันก็เกิดไปแล้ว อย่าเปลี่ยนเรื่อง” 


 


 


สือเสวจิ้นถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้ที่หลี่ว์ซู่กับหลีอีเสี้ยวขายศิลากัน จำได้ไหม” 


 


 


“จำได้” เนี่ยถิงพยักหน้า “แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ เขาขายมันให้กับตระกูลไหน ผลออกมาว่าใครเป็นคนคุมตลาดมืด” 


 


 


“ท่านอย่าตกใจ…” สือเสวจิ้นกลืนน้ำลาย “เหตุการณ์มันซับซ้อนนิดหน่อย…” 


 


 


เนี่ยถิงเริ่มเห็นลางไม่ดี แล้วสือเสวจิ้นก็พูดต่อ “หลี่ว์ซู่น่ะไม่ได้มีศิลาแค่ไม่กี่พันเม็ด เขาเรียกหกตระกูลใหญ่มาแล้วขายให้แต่ละตระกูลไปตระกูลละหมื่นเม็ด…” 


 


 


[แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +1000!] 


 


 


ตระกูลละหมื่นเม็ดเนี่ยนะ แสดงว่าเขาขายไปทั้งหมดหกหมื่นเม็ดเลยน่ะสิ จากนั้นสือเสวจิ้นก็พูดต่อ “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ หลังจากที่ขายศิลาไปหกหมื่นเม็ด เขาก็ยังเหลือศิลาอีกเยอะในมือ ถ้าให้เดาแล้วก็คงประมาณสองหมื่นเม็ด” 


 


 


เนี่ยถิงเงียบไป “งั้นก็หมายความว่าพวกตระกูลพวกนั้นได้กันไปทั้งหมดหกหมื่นเม็ดเลยสินะ” 


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +1000!] 


 


 


เขาพยายามแทบตายไม่ให้ทรัพยากรสำหรับฝึกฝนมีล้นมือ ศิลาน่ะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก แต่เขาไม่อยากให้พวกตระกูลใหญ่นำคนอื่นโด่งไปมากกว่านี้ 


 


 


ผู้บำเพ็ญจะมาหวังพึ่งศิลาอย่างเดียวเพื่อการเลื่อนระดับจากระดับ C เป็น B ไม่ได้ และหลังจากอยู่ระดับ B แล้วจะต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่าการใช้ศิลา หากเขายอมให้ตระกูลเหล่านี้มีผู้บำเพ็ญระดับ C มากเกินไปและขยายอำนาจครองตำแหน่งในเครือข่ายฟ้าดินหลายตำแหน่ง เครือข่ายฟ้าดินคงจะปวดหัวน่าดู 


 


 


ในตอนนี้แต่ละตระกูลก็มีกันตระกูลละหมื่นเม็ดแล้ว นั่นก็เพียงพอที่จะผลิตผู้บำเพ็ญระดับ C ออกมาแล้วล่ะ 


 


 


ความรู้จากหยินหยางและความเกี่ยวข้องของสามองค์ประกอบบอกไว้ว่า การเป็นระดับ F นั้นจะต้องฝึกฝนพลังให้ครบรอบเล็กแปดสิบเอ็ดรอบ และการที่จะไต่ระดับจาก F เป็น E เป็น D เป็น C นั้น ในแต่ละรอบจะต้องฝึกฝนทั้งหมดเก้ารอบใหญ่ และถ้าตระกูลใหญ่อยากจะเลื่อนระดับเป็นระดับ C ก็คงต้องใช้ศิลามากกว่าหกพันเม็ด 


 


 


หลังจากที่เลื่อนเป็นระดับ C แล้ว จากหยินหยางและความเกี่ยวข้องของสามองค์ประกอบจะต้องการให้คนระดับ C ไปบำเพ็ญเพียรมาเพิ่มเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไประหว่างการเลื่อนระดับ ถ้าอยากจะใช้ศิลาเพื่อบีบให้ขึ้นเป็นระดับสูงสุดของระดับ C จริงๆ ก็ต้องใช้ทั้งหมดหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเม็ด 


 


 


นี่ก็เลยทำให้ศิลาวิญญาณเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในหมู่ผู้บำเพ็ญลับ แต่พวกยอดฝีมือไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ยอดฝีมือจะไม่ยอมเอาอาวุธวิเศษไปแลกกับศิลาวิญญาณหรอก เพราะศิลาพวกนี้ไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาน่ะสิ 


 


 


ตอนแรกเนี่ยถิงจะให้สือเสวจิ้นใช้ศิลาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่พอเขาเลื่อนขึ้นมาอยู่ระดับสูงสุดของระดับ C แล้ว ก็เลยมีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เลื่อนขั้นเป็นระดับ B ได้ ก็คือการใช้ความแข็งแกร่งจากทั้งประเทศมาเลื่อนระดับ สุดท้ายสือเสวจิ้นก็ยอมแพ้ไปก่อน 


 


 


เนี่ยถิงจะต้องให้ความสนใจกับศิลาวิญญาณมากๆ แล้วถ้าเขาต้องการจะมองภาพรวมของสถานการณ์ 


 


 


“ไม่หรอกครับ หลี่ว์ซู่ซื้อศิลาคืนมาจากพวกเขาได้สำเร็จด้วยราคาที่ต่ำกว่าที่ขายไปด้วย ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเขาซื้อกลับมาได้แล้วกี่เม็ด” สือเสวจิ้นพูด “ตอนนี้แต่ละตระกูลเหลือศิลาอยู่กันโดยประมาณสามพันเม็ดเท่านั้น” 

 

 

 


ตอนที่ 566 งานใหญ่จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ยอมเสี่ยงดู

 

สือเสวจิ้นเล่าให้เนี่ยถิงฟังว่าหลี่ว์ซู่ใช้วิธีไหนตบตาหลอกพวกตระกูลใหญ่ เขารู้กระทั่งว่าน่าหลานเชวี่ยเป็นหนอนบ่อนไส้ของบรรดาตระกูลใหญ่ในการร่วมมือในครั้งนี้และถึงกับไปสืบหาข้อมูลมาด้วยว่าแต่ละตระกูลให้ของวิเศษอะไรกับหลี่ว์ซู่ไป


 


 


“พูดอีกอย่างก็คือการที่ฉันไม่อยู่เจ็ดวันนี่ เมืองลั่วได้กลายเป็นศูนย์กลางตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไปแล้วสินะ” เนี่ยถิงพูด


 


 


“ฮ่าๆ … ก็ประมาณนั้นแหละครับ” สือเสวจิ้นรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +1000!]


 


 


ถึงเครือข่ายฟ้าดินจะไม่ได้ปราบปรามพวกตลาดมืดให้สิ้นซากและไม่ได้ทำตัวเ**้ยมเกรียมกับพวกผู้บำเพ็ญลับที่พยายามนำศิลามาจากต่างประเทศมาขายก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะทนอับอายขายขี้หน้าจากวีรกรรมล่าสุดของหลี่ว์ซู่!


 


 


สรุปแล้วนี่เป็นตลาดมืดหรือตลาดเกษตรกรกันแน่ ทำไมไม่ตั้งชื่อว่าตลาดขายส่งทรัพยากรฝึกบำเพ็ญไปเลยล่ะ


 


 


ขณะที่บรรยากาศอึมครึมขึ้นเรื่อยๆ สือเสวจิ้นก็คิดอะไรออก เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมไม่ลองปล่อยให้เขาเข้าวิทยาลัยดูล่ะครับ เขาสร้างปัญหามาเยอะมากแล้ว”


 


 


“เขาคิดอะไรของเขากัน” เนี่ยถิงที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินในสวนได้แต่นวดขมับตัวเอง


 


 


“ไม่เข้าใจเหรอครับ” สือเสวจิ้นจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับเนี่ยถิง “เขาไม่พอใจในการตัดสินใจของคุณ เขาแค่ไม่อยากโดนควบคุมชีวิต ดูตอนนั้นที่เขาอยากออกเดินทางทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าร่วมกับเราได้ไม่นาน! ตอนนี้เขาก็อยู่ในองค์กรเราแล้ว และคุณก็โยนความรับผิดชอบใหญ่ไปให้เขา ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะแข็งข้อต่อต้าน”


 


 


“ระงับบัญชีธนาคารของเขาไว้ก่อน ไว้เราค่อยไปถามว่าเขาต้องการอะไรกันแน่” เนี่ยถิงเริ่มใจเย็นลง


 


 


“เขาอยากได้กระบี่” สือเสวจิ้นเอ่ยขึ้นทันที


 


 


เนี่ยถิงมองสือเสวจิ้นอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “เพราะเขาหาอาวุธที่ถูกใจจากต่างประเทศไม่ได้เหรอ ก็เลยวางแผนจะมารีดไถเอาจากฉันแทนงั้นสิ”


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง +999!]


 


 


“ผมว่าเราหากระบี่ให้เขาได้” ดวงตาสือเสวจิ้นส่องประกาย “แล้วมันก็น่าจะเหมาะกับเขาด้วย”


 


 


เมื่อได้ยินสือเสวจิ้นพูดแบบนั้น เนี่ยถิงก็เรียกคืนสมองส่วนการใช้เหตุผลกลับมาได้ “ไม่ได้”


 


 


“ทำไมล่ะครับ”


 


 


“กระบี่เล่มนั้นสำคัญมากเกินไป”


 


 


“แต่คุณอยากให้กระบี่นั่นกับหลี่เสียนอีนี่ ไม่ใช่หรือ” สือเสวจิ้นพูด “หลี่ว์ซู่ยังเด็ก วันหนึ่งฝีมือของเขาอาจนำหน้าหลี่เสียนอีก็ได้นะ”


 


 


“ที่เราตกลงว่าจะมอบกระบี่ให้กับหลี่เสียนอีนั่นก็เพราะต้องการให้รับตำแหน่งราชันฟ้า” เนี่ยถิงส่ายหัว


 


 


“แต่เราคงทำงานใหญ่ให้สำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ยอมเสี่ยงบ้างนะครับ!” สือเสวจิ้นพูด


 


 


“ขอคิดก่อนแล้วกัน” เนี่ยถิงตอบ “เอาอย่างนั้นแหละ ระงับบัญชีธนาคารของหลี่อีเสี้ยวด้วย ไม่ต้องไปฟังที่เขาอธิบาย จากนั้นก็ให้จงอวี้ถังส่งคนไปซื้อตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 มา ยื่นข้อเสนอให้หลี่ว์ซู่กับหลี่อีเสี้ยวได้รับส่วนแบ่งคนละสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี”


 


 


เรื่องนี้เนี่ยถิงมีเหตุผล หลี่อีเสี้ยวทำเกินกว่าหน้าที่ เขาจะฝ่าฝืนกฎหมายทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนรักษากฎหมายไม่ได้ แต่เรื่องที่หลี่อีเสี้ยวลงทุนลงแรงกับตลาดมืดไปก็ไม่ใช่เรื่องที่เนี่ยถิงมองไม่เห็น เขาไม่ปล่อยให้หลี่อีเสี้ยวทำงานไปโดยไม่ได้รับอะไรหรอก


 


 


ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่หลี่ว์ซู่กล้าต่อกรกับเนี่ยถิง


 


 


แล้วพวกเขาจะต่อกรกับหลี่ว์ซู่อย่างไรดีล่ะ จะทำให้เขากลายเป็นราชันฟ้าคนที่เก้าได้อย่างไร คิดแล้วเนี่ยถิงก็ปวดหัว


 


 


หากเนี่ยถิงเอ่ยขอให้คนจากตระกูลใหญ่มาเป็นราชันฟ้า พวกนั้นต้องตื่นเต้นตาลุกวาวแน่ๆ แต่ทำไมพอเป็นหลี่ว์ซู่แล้วทุกอย่างถึงยากไปหมด


 


 


ตอนแรกเนี่ยถิงก็คิดว่าเขาคงทำสำเร็จแล้วแน่ๆ แต่กลับกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องให้ปวดหัวกว่าเดิม…


 


 


ถึงอย่างนั้นเนี่ยถิงไม่ยอมรับการตอบโต้กลับของหลี่ว์ซู่หรอก เรื่องระหว่างเขาสองคนมันยังไม่จบง่ายๆ!


 


 


สือเสวจิ้นนั่งอยู่ข้างๆ เนี่ยถิงและอ่านหนังสือไปพลางๆ พอเนี่ยถิงกลับมา เขาก็ขี้เกียจที่จะไปจัดการเรื่องของหลี่ว์ซู่ด้วยตัวเองแล้ว สือเสวจิ้นเปลี่ยนเสียงรอสายเป็น ‘ขอโทษค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’ ซึ่งเป็นวิธีที่จงอวี้ถังเคยสอนเขาไว้ และมันก็ได้ผลดีเสียด้วย มีความแต่ความเงียบสงบ


 


 


เนี่ยถิงไม่อยากสนใจหลี่ว์ซู่ไปสักพัก หลี่ว์ซู่ก็เลยโอนเงินห้าแสนหยวนเข้าบัญชีเสี่ยวอวี๋ เจ็ดวันหลังจากที่หลี่ว์ซู่ได้รับแต้มอารมณ์จากเนี่ยถิง ทันใดนั้นเขาก็ได้รับแจ้งเตือนจากธนาคารว่าบัญชีของเขาถูกระงับแล้ว


 


 


ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร โยวหมิงอวี่ก็พาคนเข้ามาที่ตลาดมืดบนถนนหมายเลข 301 หลี่ว์ซู่ถามด้วยความสงสัย


 


 


“พวกคุณจะเข้ามาควบคุมตลาดมืดกันเหรอครับ”


 


 


“หืม?” โยวหมิงอวี่เองก็สงสัย ฟังจากน้ำเสียงของหลี่ว์ซู่ ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่าเครือข่ายฟ้าดินจะลงมาคุมตลาดมืดแห่งนี้


 


 


หลี่ว์ซู่เตรียมตัวมาแล้ว เครือข่ายฟ้าดินคงจะไม่ให้คนนอกเข้ามาบริหารตลาดมืดในเมืองลั่วที่อยู่ใกล้สถานที่ฝึกบำเพ็ญอันศักดิ์สิทธ์แบบนี้อยู่แล้ว


 


 


แล้วจู่ๆ เสียงตะโกนของหลี่อีเสี้ยวก็ดังออกมาจากห้องข้างๆ “เนี่ยถิง! เราต้องได้เห็นดีกัน!”


 


 


ฮ่าๆ หลี่ว์ซู่พอใจมาก เขารู้ว่าเนี่ยถิงไม่ยอมปล่อยหลี่อีเสี้ยวไปง่ายๆ หรอก


 


 


“ส่งมาให้ผมสิครับ” หลี่ว์ซู่ยื่นมือออกไป


 


 


“ส่งอะไร” โยวหมิงอวี่งง


 


 


“อาวุธที่ราชันฟ้าเนี่ยเอามาให้ผมไง” หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ


 


 


เนี่ยถิงระงับบัญชีธนาคารของหลี่ว์ซู่ช้าไปเจ็ดวันแล้ว นั่นก็แปลว่าในช่วงนั้นเนี่ยถิงยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้หลี่ว์ซู่ดี แต่วันนี้บัญชีธนาคารของเขาถูกระงับไปแล้ว แสดงว่าเนี่ยถิงต้องเอาของบางอย่างที่มีมูลค่าที่เท่ากันมาแลก


 


 


โยวหมิงอวี่โบกไม้โบกมือให้คนที่อยู่ข้างหลังเขา จากนั้นสมาชิกเครือข่ายฟ้าดินคนหนึ่งก็เอากล่องไม้ยาวๆ เข้ามา เขายื่นมันให้หลี่ว์ซู่ เด็กหนุ่มเปิดมันออกแล้วก็ต้องตกใจ


 


 


“นี่พวกคุณไม่ได้ล้อเล่นกันใช่ไหม”


 


 


“ทำไมเราต้องล้อเล่นกับนายด้วยล่ะ” โยวหมิงอวี่อารมณ์เสีย


 


 


“ก็ในกล่องนี้มันไม่มีอะไรเลยไงล่ะ” ตอนแรกหลี่ว์ซู่ก็คิดว่ากล่องมันหนักๆ แต่พอเปิดออกมาก็พบว่าในกล่องนั้นว่างเปล่า


 


 


“ไม่สิ” หลี่ว์ซู่พบว่าจริงๆ แล้วมันมีบางอย่างอยู่ในกล่องนั่นแหละ แต่ของนั่นล่องหนอยู่!


 


 


“ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่ากระบี่นี้มีชื่อว่าเฉิงอิ่ง มันถูกส่งต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลและจดจำเจ้าของจากเลือด เก็บมันไว้ดีๆ ล่ะ” โยวหมิงอวี่กล่าว


 


 


“กระบี่เฉิงอิ่งที่เป็นหนึ่งในสิบกระบี่ในตำนานน่ะนะ ไม่ใช่ว่ามันสูญหายไปในยุคชุนชิว [1] หรอกเหรอ” หลี่ว์ซู่ยังอึ้งไม่หาย


 


 


เขารู้เรื่องสิบกระบี่ในตำนานของจีน ต้นกำเนิดของกระบี่เฉิงอิ่งนั้นยังคงเป็นปริศนาและไม่มีใครทราบ ซางเทียนจื่อและข่งโจ้วเคยใช้กระบี่เล่มนี้มาก่อนในยุคชุนชิว กล่าวกันว่าตัวกระบี่จะเผยให้เห็นแค่เพียงระยะเวลาสั้นๆ ช่วงที่กลางวันกำลังจะเปลี่ยนเป็นกลางคืนเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็จะไปล่องหนดังเดิม


 


 


ไม่ใช่ว่าหลี่ว์ซู่ไม่เห็นกระบี่เฉิงอิ่งในกล่องไม้นี่เลย เมื่อมองดูใกล้ๆ เขาก็พอจะเห็นรูปร่างของกระบี่แบบรางๆ


 


 


“ราชันฟ้าเนี่ยบอกว่ากระบี่นี่ไม่ได้มีสาระสลักสำคัญอะไร นายแค่ต้องใจเย็นให้มากๆ ในการฝึกกระบี่นี้” โยวหมิงอวี่พูดเสร็จเขาก็นึกอะไรออก “เราจะแบ่งส่วนแบ่งของตลาดให้นายกับราชันฟ้าหลี่ด้วย แต่ขอให้นายวางมือจากการจัดการตลาดมืดแห่งนี้”


 


 


จากนั้นโยวหมิงอวี่ก็ผายมือไปที่ประตู หลี่ว์ซู่ปิดปากไม่พูดอะไรอีก เขาถือกล่องและเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยกังวลขึ้นมาว่าหลี่อีเสี้ยวจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้อย่างไร ถ้าเขาก่อปัญหาขึ้นมา เดี๋ยวจะซวยติดร่างแหไปด้วย…


 


 


เขาทิ้งให้โยวหมิงอวี่รับหน้าที่เป็นกระสอบทรายรับโทสะหลี่อีเสี้ยวไปแล้วกัน เขาอาจจะสนุกก็ได้


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้กระบี่เฉิงอิ่งในตำนานนี้มาทดแทนสิ่งที่เขาเสียไป เขารู้ดีว่าการได้อาวุธที่จะมาปกป้องชีวิตของเขานั้นดีกว่าการได้เงินมามากๆ เป็นไหนๆ ยิ่งกระบี่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ พลังของกระบี่ก็ยิ่งสูงตามไปด้วยใช่ไหมล่ะ


 


 


 


 


——


 


 


[1] ยุคชุนชิว (春秋) หรือยุควสันตสารท เป็นชื่อเรียกยุคสมัยหนึ่งของจีนโบราณ โดยเริ่มตั้งแต่ 770 ปีก่อนคริสตกาล ถึง 453 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งตรงกับรัชสมัยของราชวงศ์โจว 

 

 


ตอนที่ 567 วิญญาณกระบี่เฉิงอิ่ง

 

มีบันทึกของกระบี่เฉิงอิ่งในประวัติศาสตร์ กล่าวว่ากระบี่นี้ถูกค้นพบในช่วงสมัยราชวงศ์ซางและต่อมาได้ถูกเก็บรักษาไว้โดยข่งโจ้ว แล้วจากนั้นก็มีคนธรรมดาๆ พบกระบี่เฉิงอิ่งนี้โดยบังเอิญที่ลำต้นของต้นไม้ต้นหนึ่ง โดยต้นไม้นี้ไม่ได้มีอะไรที่แปลกประหลาดหรือผิดปกติแต่อย่างใด ทว่าพอคนคนนั้นเดินผ่านต้นไม้นั้นออกไปไกล อยู่ๆ ต้นไม้นั้นก็โค่นล้มลงมาเสียงดัง


 


 


ถึงหลี่ว์ซู่จะได้ยินตำนานหลายๆ อย่างนี้มาผ่านการเล่าปากต่อปาก แต่เขาก็ยังอยากค้นหาความจริงด้วยตัวเองอยู่


 


 


เขาจำคำโยวหมิงอวี่ได้ว่ากระบี่จะจดจำเจ้าของของมันโดยเลือด และตอนที่หลี่ว์ซู่ออกมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาจะทำแบบนั้นได้ในช่วงที่กลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนเช่นเดียวกับตอนที่กลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวันเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่าเขามีโอกาสเพียงสองครั้งในหนึ่งวัน เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เขาทำเมื่อถึงบ้านก็คือการสำรวจกระบี่นี้


 


 


หลี่ว์ซู่นั่งอยู่ในสวนหลังบ้านของอพาร์ตเมนต์ของเขา กระบี่เฉิงอิ่งนอนนิ่งอยู่ในกล่องไม้ หลี่ว์ซู่รอจนกระทั่งกลางคืนเข้ามาถึง เขาไม่กลัวหรอกว่าจะพลาดโอกาสไป ที่กล่าวกันก็คือกระบี่เฉิงอิ่งจะปรากฏตัวจริงออกมาให้เห็นตอนกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืนและตอนที่กลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวัน


 


 


แสงพระอาทิตย์ตกส่องสว่างมาราวกับว่าเป็นอัญมณีที่งดงาม ในตอนที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้านั้นเอง กระบี่เรียวยาวที่ตอนแรกล่องหนก็ปรากฏต่อหน้าหลี่ว์ซู่ กระบี่นั้นกึ่งล่องหนกึ่งชัดเจนเหมือนกับถูกเคลือบเอาไว้ โครงร่างของกระบี่ช่างสวยงามนัก หลี่ว์ซู่อยากสัมผัสกระบี่มาก


 


 


กระทั่งคมกระบี่เฉิงอิ่งเองก็ถูกยึดติดกับส่วนอื่นๆ ของกระบี่ พอมองภายนอกของกระบี่แล้วหลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเงินที่เนี่ยถิงยึดไปนั้นช่างคุ้มค่ากับการได้กระบี่นี้มาแทนนัก เครือข่ายฟ้าดินเองก็สมเหตุสมผลดีนะเนี่ย!


 


 


หลี่ว์ซู่วางนิ้วชี้ลงบนส่วนคมของกระบี่ ถึงแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญระดับ B แต่กระบี่ก็ยังบาดนิ้วของเขาได้


 


 


เลือดของเขาไหลลงไปในกระบี่ล่องหนเฉิงอิ่งที่มีพลังแห่งดวงดาวอันยิ่งใหญ่ เหมือนกับว่าเลือดไหลหยดลงไปในน้ำอย่างไรอย่างนั้น เสียงหยดติ๋งๆ ดังขึ้นก่อนควันจะพวยพุ่งออกมา


 


 


หลี่ว์ซู่รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับกระบี่เฉิงอิ่งในทันที และพอยามโพล้เพล้นั้นผ่านพ้นไป กระบี่เฉิงอิ่งก็กลับไปสภาพล่องหนดังเดิม ทว่าหลี่ว์ซู่ก็ยังรู้สึกถึงตัวตนของกระบี่นั้นอย่างชัดเจน


 


 


ก่อนหน้านี้หลี่ว์ซู่กังวลว่ากระบี่ของเขาจะโปร่งใสไปหรือเปล่า ถ้าเขาเกิดเอาไปวางไว้ผิดที่ขึ้นมาล่ะ เขารู้ว่ากระบี่นี้หายไปในสมัยชุนชิวเพราะมีคนเอาไปวางผิดที่ผิดทาง แล้วก็หากระบี่ไม่เจออีกเลย…


 


 


ตอนนี้หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าพิธีกรรมหยดเลือดลงบนกระบี่นั้นก็เพื่อให้กระบี่จดจำเจ้าของ และเจ้าของจะได้รู้สึกที่การมีตัวตนของกระบี่


 


 


เขาไม่กังวลใจเลยด้วยซ้ำที่ทำตัวเองเจ็บแบบนั้น เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ตัวเองกังวลสุดๆ ไปแบบนี้ต่างหาก


 


 


เลือดของเขานั้นไหลเวียนอยู่ในกระบี่เฉิงอิ่งเหมือนกับสายน้ำทะเลที่ไหลวน พอเลือดกระจายไปจนทั่วทุกส่วนของกระบี่แล้ว อยู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างแปลกๆ เกิดขึ้น มีร่างร่างหนึ่งในชุดสีขาวลอยออกมาจากกระบี่เฉิงอิ่ง


 


 


จิตวิญญาณแห่งกระบี่นั่นเอง! หลี่ว์ซู่รู้สึกประหลาดใจอย่างยินดี กระบี่นี้เป็นอาวุธวิเศษในตำนานที่มีวิญญาณแห่งกระบี่ปกปักรักษาอยู่


 


 


เขามั่นใจแล้วจริงๆ ว่ากระบี่นี้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป แต่เขายังไม่รู้ว่ากระบี่นี้สามารถทำอะไรได้บ้าง


 


 


หลี่ว์ซู่พยายามเพ่งมองวิญญาณแห่งกระบี่นี้ให้ชัดๆ วิญญาณตนนี้เป็นผู้ชายและเสื้อผ้าที่เขาใส่ก็ดูไม่เหมือนกับคนในยุคสมัยนี้เลย สิ่งที่ทำให้หลี่ว์ซู่ประหลาดใจมากคือวิญญาณกระบี่นี้ออกมาในร่างของมนุษย์เต็มตัว ก่อนหน้านี้เขาเจอมังกรดำในหอกมังกรทมิฬไปจนถึงงูสีทอง แต่คราวนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเจอวิญญาณกระบี่ในร่างมนุษย์นอกเสียจากจิตวิญญาณกระบี่จากภูเขาหิมะจุดชี่ไห่


 


 


วิญญาณตนนี้ดูหล่อเหลาและอิ่มเอมความสุข มีดอกบัวสีม่วงอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา เขาดูสง่างามมาก


 


 


“ในที่สุดฉันก็ได้เจอแสงแรกแห่งวัน” ชายคนนั้นพูดและมองดูโลกเบื้องหน้าเขา


 


 


“คุณพูดได้ด้วยเหรอ คุณชื่ออะไร” หลี่ว์ซู่ถามออกไปในทันที


 


 


เขาเคยเห็นวิญญาณกระบี่ในรูปร่างมนุษย์แล้ว แต่มีแค่วิญญาณตรงหน้านี้เท่านั้นที่พูดได้ กระบี่นี่เจ๋งชะมัด หลี่ว์ซู่ดีใจจนตัวลอย!


 


 


วิญญาณหล่อๆ ตนนั้นมองกลับมาที่หลี่ว์ซู่แล้วพูดอย่างใจเย็น “เรียกข้าว่าไห่กงจื่อ”


 


 


ไห่กงจื่องั้นเหรอ ชื่อแปลกดีจัง หลี่ว์ซู่ถามต่อ “คุณทำอะไรได้บ้างครับ”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังใดๆ จากตัวไห่กงจื่อ แต่เขารู้ว่าไห่กงจื่อคงใช้วิธีป้องกันการจับคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาได้เหมือนกับน่าหลานเชวี่ย


 


 


“ตอนนี้เจ้าเป็นเจ้าของคนปัจจุบันของกระบี่เฉิงอิ่งงั้นหรือ” ไห่กงจื่อเลิกคิ้วถาม


 


 


“ใช่ๆๆ ผมเอง!” หลี่ว์ซู่รีบพยักหน้าตอบ


 


 


“เจ้าไม่คู่ควร” พอไห่กงจื่อพูดเสร็จเขาก็คืนกลับเข้าสู่กระบี่ไปราวกับหมอกควัน


 


 


หลี่ว์ซู่ “???”


 


 


อะไรเนี่ย!


 


 


วิญญาณกระบี่อะไรงี่เง่าชะมัด แสดงกิริยาแบบนี้กับเจ้าของได้ไง!


 


 


“ออกมานะ” หลี่ว์ซู่ร้องแทบบ้า “ได้ยินรึเปล่า ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”


 


 


เสียงของหลี่ว์ซู่ดังจนทำเพื่อนบ้านตกใจออกมาดู พอเพื่อนบ้านออกมา หลี่ว์ซู่ก็หันหน้าไปบอกปัด “ไม่ใช่นาย กลับไปซะ!”


 


 


เพื่อนบ้านคนนั้นงงไปเลย


 


 


[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเสี่ยว +199…]


 


 


หลี่ว์ซู่หันกลับไปมองกระบี่เฉิงอิ่งอีกครั้ง ความเชื่อมต่อกันระหว่างเขาและกระบี่ยังไม่ถูกทำลายไปเพราะไห่กงจื่อไม่ชอบหน้าเขาหรอก หลี่ว์ซู่แน่ใจว่าเขาเป็นเจ้าของกระบี่เล่มนี้แล้วจริงๆ กระบี่เฉิงอิ่งเป็นของเขาแล้ว


 


 


งั้นก็หมายความว่าไม่มีผลกระทบอะไรกับความสามารถอื่นๆ ของกระบี่ มีแค่วิญญาณกระบี่เท่านั้นที่ทำตัวมีปัญหา


 


 


ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก อย่างมากวิญญาณกระบี่ก็คงไม่ฟังคำสั่งเขา แต่หลี่ว์ซู่ทนอับอายขายหน้าแบบนี้ไม่ได้หรอก แกไม่ชอบหน้าใครนะเจ้าวิญญาณกระบี่


 


 


ตอนแรกเขาก็อุตส่าห์คิดวว่าเนี่ยถิงใจดีจังที่ให้อาวุธวิเศษในตำนานกับเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะหลงกลเนี่ยถิงเข้าให้แล้ว ฮ่าๆ


 


 


ถึงว่าล่ะเนี่ยถิงถึงบอกให้โยวหมิงอวี่กำชับเขาให้ดีว่าให้ใจเย็นมากๆ ขณะฝึกกระบี่ แต่ทำไมเขาต้องโน้มน้าวไห่กงจื่อให้เชื่อฟังเขาอย่างใจเย็นด้วยล่ะ


 


 


ฝันไปเถอะ!


 


 


หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นานแล้วก็ตัดสินหยดเลือดอีกหยดลงไป ไห่กงจื่อปรากฎตัวขึ้นมาอีกรอบตามคาด เขาส่งสายตาเคร่งขรึมและเข้มงวดมาให้ “ต่อไปอย่าเรียกข้าออกมาโดยไม่มีเหตุผลอีก”


 


 


หลี่ว์ซู่ไม่ทันได้ตะโกนใส่ไห่กงจื่อด้วยซ้ำ เจ้าวิญญาณนี่หายกลับเข้ากระบี่ไปเสียก่อน


 


 


ฮ่าๆ…


 


 


หลี่ว์ซู่หยดเลือดลงไปอีกรอบและไห่กงจื่อก็ปรากฏตัวอีกรอบ รอบนี้เขาแสดงท่าทีโมโหอย่างชัดเจน แต่หลี่ว์ซู่เองก็ไม่สบอารมณ์เช่นกัน “คิดว่ากำลังล้อเล่นอยู่กับใครฮะ ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นเจ้าของกระบี่เฉิงอิ่งแล้ว เป็นวิญญาณกระบี่นี่ รู้เรื่องนี้หรือเปล่า”


 


 


“ข้าไม่ได้อยากจะทะเลาะกับเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ควรมาพูดแหย่ข้า เราควรอยู่ด้วยกันอย่างสงบนะ เจ้าเองยังแข็งแกร่งไม่พอที่จะมาเป็นเจ้าของกระบี่เฉิงอิ่งเล่มนี้” ไห่กงจื่อตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด


 


 


แล้วจากนั้นเขาก็เตรียมตัวที่จะกลับเข้าไปในกระบี่อีกครั้ง แต่หลี่ว์ซู่ก็บีบเลือดลงไปในกระบี่อีก ทำให้ไห่กงจื่อต้องออกมาปรากฏตัวทั้งๆ ที่เพิ่งกลับเข้าไป!


 


 


ไห่กงจื่อสับสนมาก


 


 


“ช่วยไม่ได้นะ” หลี่ว์ซู่หัวเราะเสียงเย็น


 


 


ไม่อยากจะทะเลาะด้วยงั้นเหรอ เป็นแค่วิญญาณกระบี่แต่คิดสู้กับเจ้าของ


 


 


ไห่กงจื่อรู้ได้โดยทันทีว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปต่อกรหลี่ว์ซู่ เขาไม่พอใจกับเจ้าของที่อยู่ตรงหน้าเอามากๆ และก็เป็นอย่างที่หลี่ว์ซู่คิดไว้ ไห่กงจื่อไม่สามารถจู่โจมเจ้าของของกระบี่ได้ และนี่ก็เป็นข้อจำกัดของวิญญาณแห่งกระบี่เอง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม