แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 542-549

 ตอนที่ 542 ความรักที่แท้จริง

 

 



จริงๆแล้วนักเลงพวกนั้นจะลุกขึ้นมานั่งก็ได้ แต่กลัวโดนอัดซ้ำ ไม่สู้แกล้งนอนเจ็บยังจะสบายกว่า 


 


 


“ไอ้คนหน้าด้าน…” เจี่ยซิ่วฟางโมโหจะยืนขึ้น แต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนกดให้นั่งลง 


 


 


“เสียวเหม่ยโทรแจ้งตำรวจ” อวี๋หมิงหลางพูดกับเสี่ยวเชี่ยน เขาแก้มัดให้ต้าหลงกับพ่อเลี่ยว 


 


 


หลังจากโทรแจ้งตำรวจแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็เดินไปหาน้องชาย มองใบหน้าของต้าหลงที่เขียวช้ำด้วยความเป็นห่วง 


 


 


เด็กคนนี้ถูกต่อยตาเขียว ใบหน้าของพ่อเลี่ยวก็ไม่ต่างกัน ยังดีที่อาการไม่ได้รุนแรงเท่าที่เห็น ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก 


 


 


“ต้าหลงตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง รู้สึกแย่ตรงไหนหรือเปล่า หรือรู้สึกหวาดกลัวไหม?” เสี่ยวเชี่ยนสงสารน้องชาย เวลาเธอรังแกน้องก็แค่การหยอกล้อระหว่างพี่สาวกับน้องชาย แต่พอเห็นน้องถูกทำร้ายขนาดนี้เธอก็รู้สึกโกรธมาก 


 


 


น้องเธอเพิ่งจะอายุเท่าไร ถ้าเกิดตกใจกลัวจนเกิดบาดแผลในใจขึ้นมาจะทำยังไง 


 


 


“ไม่เป็นไร…” เฉินจื่อหลงมองอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นสายตาของน้องชายก็คิดในใจ แย่แล้ว 


 


 


นี่น้องเธอเอ๋อไปแล้วเหรอ? ทำไมตาดูลอยๆแบบนั้น? 


 


 


ปรากฏว่าต้าหลงกลับพูดกับอวี๋หมิงหลางด้วยน้ำเสียงชื่นชม “พี่หลาง ไม่สิ พี่เขย พี่เป็นพี่เขยของผม พี่ต้องถ่ายทอดวิชาให้ผมนะ อาจารย์ได้โปรดรับข้าน้อยเป็นศิษย์” 


 


 


ถ้าเป็นวิชาพวกนี้อีกหน่อยยังจะต้องกลัวแพ้อีกเหรอ? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน ดูท่าน้องเธอจะไม่เป็นไรจริงๆ 


 


 


เธอถึงได้ละสายตาไปหาพ่อเลี่ยว 


 


 


“คุณอาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” 


 


 


“ไม่—” 


 


 


เพล้ง เลนส์แว่นหลุดออกมาข้างหนึ่ง พ่อเลี่ยวที่เหลือเลนส์แว่นอยู่ข้างเดียวมองเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางอยู่ในอาการขวัญเสียเล็กน้อย เฉินจื่อหลงกับพ่อเลี่ยวได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย อวี๋หมิงหลางจัดการกับพวกนักเลงจนกลายเป็นไอดอลของเฉินจื่อหลง ส่วนนักเลงกระจอกพวกนี้ไม่ได้อะไรเลย 


 


 


พวกเขาสู้อวี๋หมิงหลางไม่ได้ แต่กลับต้องมารับผลจากการกระทำของตัวเอง 


 


 


บุกรุกที่อยู่อาศัย ทำร้ายคนโดยเจตนา ทำลายทรัพย์สิน—เฟอร์นิเจอร์ที่อวี๋หมิงหลางทำพังก็โบ้ยให้เป็นความผิดของคนพวกนั้น ต้องจัดการไปตามโทษทำร้ายคนโดยเจตนา อีกทั้งยังต้องชดใช้ในทางแพ่ง คนพวกนี้เจอของแข็งเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเสี่ยวเชี่ยนได้โอกาสเปลี่ยนใหม่พอดี ส่วนค่ารักษาของต้าหลงกับพ่อเลี่ยวคนพวกนั้นก็ต้องรับผิดชอบ 


 


 


ส่งคนพวกนั้นเข้าตาราง ส่งพ่อเลี่ยวไปโรงพยาบาล ถึงแม้พ่อเลี่ยวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ด้วยความที่อายุมากแล้วตรวจอย่างละเอียดไปเลยดีกว่า เผื่อสมองกระทบกระเทือน พอเสร็จเรื่องพวกนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ได้เอ่ยชมเฉินจื่อหลง 


 


 


เฉินจื่อหลงสุดภูมิใจ ความกล้าหาญที่เขาปกป้องครอบครัวไม่เพียงแต่จะได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากพี่สาวกับว่าที่พี่เขย อีกทั้งพี่สาวยังบอกว่าจะซื้อจักรยานเสือภูเขาไจแอ้นท์รุ่นล่าสุดให้ พี่เขยก็รับปากจะแอบซื้อเครื่องเกมรุ่นใหม่ให้ 


 


 


พี่เขยยังรับปากอีกว่าพอปิดเทอมจะถ่ายทอดวิชาให้ และที่เจ๋งที่สุดก็คือเขายังต้องนอนพักรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์ ไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่มีอะไรเจ๋งไปกว่านี้อีกแล้ว 


 


 


สำหรับเด็ก การที่ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกทั้งยังได้ของขวัญนับเป็นเรื่องที่มีความสุขสุดๆ เฉินจื่อหลงนึกอะไรที่ซับซ้อนไม่เป็น แต่เสี่ยวเชี่ยนนึกได้ 


 


 


สภาพจิตใจของเจี่ยซิ่วฟางยังไม่มั่นคง พาไปเจอเฉินหลินไม่ได้แน่นอน หลังจากที่ให้ปากคำที่โรงพักเสร็จ เสี่ยวเชี่ยนก็ให้น้องชายที่อยู่ในสภาพถูกพันด้วยผ้าพันแผลพาเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้านไปก่อน ส่วนเธอกับอวี๋หมิงหลางจะไปคิดบัญชีกับตัวต้นเรื่อง 


 


 


คนพวกนั้นบอกที่หลบซ่อนตัวของเฉินหลิน ในฐานะที่เป็นตัวบงการ หากเสี่ยวเชี่ยนจะฟ้องเขา เขาก็ไม่มีทางหนีพ้น  


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอาแต่ทำหน้าตึงไม่พูดไม่จา อวี๋หมิงหลางเองก็ขับรถไปเงียบๆ 


 


 


เฉินหลินเช่าห้องเล็กๆอยู่ ตึกนั้นมีกันอยู่หลายครอบครัว ด้านนอกมีคนยืนเรียงแถวกัน ตอนนี้เหลือแค่เฉินหลินกับคนที่ยืนคุม คนพวกนี้เป็นคนที่อวี๋หมิงหลางส่งมา ส่วนพวกชาวบ้านถูกไล่ให้ออกไปจากแถวนั้นหมดแล้ว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากลงจากรถ แต่อวี๋หมิงหลางจับข้อมือเธอไว้ 


 


 


เธอมองหน้าเขา อวี๋หมิงหลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณไม่รู้สึกเหรอว่าหลังจากที่เราคบกัน คุณไม่ค่อยคิดอะไรฟุ้งซ่านแล้ว? โรคย้ำคิดย้ำทำของคุณก็เบาลงไปมาก” 


 


 


“อืม เป็นเพราะนาย แม้แต่การที่โลกสงบสุขก็เป็นเพราะนาย ฉันก็แค่ผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำจะสู้ยอดคนอย่างนายได้ยังไง” เสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าความใจเย็นของเขามีส่วนช่วยเรื่องอาการป่วยของเธอจริงๆ แต่ก็อยากประชดด้วยความเคยชิน ก็ผู้หญิงนี่นะ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้ถือสากับคำพูดของเธอ เขาต้องการพูดเรื่องสำคัญ 


 


 


“ผมไม่ได้จะมาขอคำชม แค่อยากบอกคุณว่า อาการคุณตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องที่ไม่คุ้มกันมาทำให้คุณไม่มีความสุข” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว พูดจาอ้อมโลกขนาดนี้ก็เพราะอยากให้เธอใจเย็น 


 


 


“อวี๋หมิงหลาง นายรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นทำอะไรกับแม่ฉันบ้าง? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรารีบกลับไป แม่กับน้องชายฉันจะเป็นยังไง? ตอนนี้ถ้าใครมาบอกให้ฉันใจเย็นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับฉัน ฉันจะทำลายล้างให้หมด” 


 


 


“ผมไม่ได้มาขอร้องคุณแทนเขา ผมแค่ไม่อยากให้คุณต้องมามีภาระทางความคิดเพราะคนแบบนั้น ถ้าลงมือโหดเ**้ยมคนที่รู้สึกแย่จริงๆก็จะเป็นตัวเอง ผมไม่อยากเห็นคุณทำหน้ากลุ้มไปตลอดชีวิต” 


 


 


ปกติเขาจะยอมให้เธอ แต่ในเวลาแบบนี้จะให้เขาปล่อยเธอลงไปคิดบัญชีไม่ได้ หมัดพอถูกปล่อยออกไปแล้วรู้สึกสบายก็จริง เธอมีความสามารถทำให้พ่อไม่เอาไหนคนนั้นลุกขึ้นมาไม่ได้อีก แล้วหลังจากนั้นล่ะ? 


 


 


เวลาความเงียบสงบยามค่ำคืนมาเยือน เธอจะเป็นเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักกันหรือเปล่าที่ชอบพูดว่าตัวเองเป็นคนเลว? โรคย้ำคิดย้ำทำเดิมก็มีจุดเด่นอยู่ที่การกระทำสวนทางกับความตระหนักรู้ อวี๋หมิงหลางไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก สายเลือดใช่ว่าอยากจะตัดขาดก็ตัดได้ มันมีสัญชาตญาณของความเป็นคนคอยรบกวนอยู่ 


 


 


“ความโกรธนี้ฉันกลืนมันไม่ลง ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาด แม่กับน้องชายฉันจะไม่ถูกรังแกไปตลอดเหรอ? การใจอ่อนกับคนแบบนี้ก็เท่ากับฉันไม่รับผิดชอบต่อคนที่ฉันอยากปกป้อง ถ้านายลังเลก็ให้เจิ้งซวี่มาจัดการ นายจะได้ไม่ต้องคิดมากเพราะสถานะของตัวเอง” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอดทนกับพ่อเฮงซวยมานานแล้ว ครั้งนี้เธอหมดความอดทนเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


“ก็เพราะเจิ้งซวี่ตามใจคุณมาตลอด เขาถึงเป็นกับคุณได้แค่เพื่อน คนที่ไปก่อเรื่องเป็นเพื่อนคุณได้ตลอดแบบนั้นเรียกว่าเพื่อน แต่คนที่เป็นห่วง คิดแทนคุณทุกอย่างแบบนั้นถึงเรียกว่าคนรัก เข้าใจไหม?” 


 


 


“นายคิดจะมาหึงเอาตอนนี้เหรอ? ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทะเลาะกับนาย” 


 


 


“ผมไม่ได้หึง ผมแค่อยากช่วยให้คุณได้สติ” 


 


 


“ฉันไม่ต้องการ ฉันเข้าใจทุกอย่างดีกว่านาย ผู้ชายคนนั้นไม่เคยนึกถึงความเป็นสายเลือด รังแกแม่กับน้องชายฉัน ถ้าฉันยอมเรื่องนี้ก็อย่ามาเรียกว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยน เรียกฉันว่าเฉินไร้ค่าไปเลย” 


 


 


“ได้ งั้นผมไม่วิเคราะห์แล้ว เรามาคุยเรื่องแผนแก้ปัญหากัน” 


 


 


“นี่เป็นเรื่องของฉัน ฉันจัดการเอง นายไม่ต้องมาพูดเรื่องสายใยพ่อลูกกับฉัน ฉันกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก สิ่งที่มีต่อกันก็คือความเป็นศัตรู” 


 


 


 “พวกเราไม่คุยกันเรื่องสายใยพ่อลูก ผมจะคุยกับคุณเรื่องความเป็นสามีภรรยา คุณเป็นแก้วตาดวงใจของผม ผมทนเห็นคุณเสียใจไม่ได้ ผมไม่แคร์ว่าเขาจะอยู่หรือตาย แต่ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักเสียใจ คุณเสียใจผมเองก็ไม่ต่างกัน” 


 


 


“ดังนั้นนายคิดจะเอาไงกับฉัน? ให้ฉันทน?” 


 


 


“ไม่ คุณไม่ต้องทน ผมต้องหาทางให้คุณได้ระบายอารมณ์แน่ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องไปเองนี่นา ลูกเชี่ยนคุณเข้าใจผมไหม?” 



ตอนที่ 543 ปลอมทั้งนั้น

 

 


 


 


เมื่อกี้เสี่ยวเชี่ยนยังโกรธที่เขากล้าขอร้องแทนพ่อเฮงซวยของเธอ ตอนนี้เขากลับทำให้รู้สึกขนลุก 


 


 


“อย่ามาทำขนลุก มีอะไรก็พูดมา นายพูดซะฉันขนลุกไปทั้งตัวแล้ว” เขามาทำขนลุกในเวลาแบบนี้ รู้สึกความโกรธที่สะสมมาหายไปครึ่งหนึ่ง 


 


 


“ผมพูดมาจากใจ คุณอย่าหงุดหงิดกับเรื่องนี้เลย ถ้าคุณไม่สบายใจ อาการอย่างน้อยคือทำผมปวดใจ อย่างมากคือทำให้จิตใจของทหารหวั่นไหว” 


 


 


“ถ้านายไม่อยากให้ฉันหงุดหงิดก็ปล่อยฉันลงจากรถ” 


 


 


“ผมไม่อยากให้คุณหงุดหงิดถึงไม่ให้ลงจากรถ คุณลืมผมแล้วเหรอ?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองเขาอย่างสงสัย เขาจัดผมให้เธอแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ตอนนี้พวกเราเป็นคู่หมั้นกัน ครอบครัวคุณก็คือครอบครัวผม คนที่คุณอยากปกป้องก็คือคนที่ผมอยากปกป้องเหมือนกัน ในเมื่อคุณต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ งั้นก็ปล่อยให้ผมจัดการเถอะ คุณอยู่เฉยๆ” 


 


 


“ฉันจัดการเองก็ได้” 


 


 


“ผมรู้ว่าคุณจัดการได้ แต่ต่อให้คุณพูดเป็นหมื่นครั้งว่าคุณไม่แคร์ ผมเชื่อว่าจิตใต้สำนึกของคุณแคร์ ดังนั้นให้ผมจัดการเถอะ เชื่อผม นั่งอยู่บนรถอย่าลงไป แล้วก็อย่าคิดว่าการปล่อยเรื่องนี้ให้ผมทำเป็นการปฏิเสธความสามารถของคุณ—ลูกเชี่ยนเคยได้ยินสำนวนกินลูกประทังชีวิตไหม?” 


 


 


ในฐานะที่เป็นเด็กเนิร์ดเธอถึงกับต้องเตือนเขา “สำนวนนี้มันหมายถึงชีวิตที่แร้นแค้นของชาวบ้าน ไม่ใช่อย่างที่นายคิด” 


 


 


“แต่เดิมความหมายของมันคือผู้คนอดอยากขั้นหนักเลยต้องแลกลูกเพื่อเป็นอาหาร เพราะทนกินลูกตัวเองไม่ได้ ที่ผมอยากบอกก็คือ เรื่องของครอบครัวคุณมอบให้เป็นหน้าที่ผม ถ้าครอบครัวผมเกิดปัญหา เกิดมีคนทำไม่ดีผมก็จะให้คุณจัดการ พวกเราก็เหมือนสำนวนนี้…” 


 


 


“นายจะมาเปลืองแรงทำไม?” 


 


 


เขาลูบใบหน้าเธอ แล้วมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น “เพราะทนเห็นคุณถูกทรมานด้วยเรื่องที่ไม่คุ้มกันไม่ได้ เด็กดี รอผมอยู่บนรถนะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางลงจากรถ คนพวกนั้นพอเห็นเขามาแล้วก็ทักทายด้วยความเคารพ อวี๋หมิงหลางพยักหน้าเป็นการทักทาย แล้วเดินเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน เตรียมจัดการพ่อเฮงซวยคนนั้น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ค่อยมีของอะไรที่ทำให้เธอติด เธอเชื่อว่าทุกอย่างต่างมีโทษ 


 


 


ของจำพวกเหล้าบุหรี่ล้วนเป็นสิ่งที่ควรถูกคนใช้ปลดปล่อยอารมณ์อย่างมีขอบเขต ไม่ใช่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ครอบงำความคิดของคน 


 


 


เธอสามารถเลือกที่จะใช้ของพวกนี้ตามสถานการณ์เพื่อช่วยให้เธอได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ 


 


 


แต่พออวี๋หมิงหลางเข้าไปแล้ว เธออยู่บนรถตามลำพังกลับรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


พอได้สติกลับมาเธอก็ยืนอยู่ตรงร้านค้าเล็กๆแถวนั้นแล้ว ในมือถือซองบุหรี่หงถ่าซาน 


 


 


เธอกลับไปที่รถจุดบุหรี่สูบ อวี๋หมิงหลางยังไม่ออกมา คนที่เขาส่งมาต่างถอยกันไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นบ้าง 


 


 


ควันบุหรี่คละคลุ้งภายในรถ สูบเข้าไปหนึ่งทีก็รู้ว่าบุหรี่นี่เป็นของปลอม ร้านค้าเล็กๆพวกนี้ชอบขายของปลอม สูบแล้วไม่ตายแต่มันก็ไม่ดี 


 


 


บุหรี่น่ะปลอม แต่พ่อเฮงซวยน่ะของจริง 


 


 


ปัญหานี้เสี่ยวเชี่ยนคิดตั้งแต่ชาติที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ 95%ของพ่อบนโลกนี้ล้วนรักลูกตัวเอง แล้วทำไมพ่อเธอถึงเป็น5%ที่เหลือ 


 


 


บางครั้งเธอก็อยากถามเจี่ยซิ่วฟาง ตอนสาวๆไปแอบขโมยลูกใครมาหรือเปล่า จริงๆแล้วเธอไม่ใช่ลูกสาวเขา ไม่อย่างนั้นจะมีพ่อที่ไม่เห็นแก่สายเลือดแบบนี้ได้ยังไง 


 


 


เธอไม่รู้จริงๆว่าตัวเองทำอะไร แค่เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่เล็กจนโตเลยถูกพ่อมองเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ถึงขนาดที่บางครั้งเธอยังรู้สึกว่าพ่อมีความแค้นกับเธอ ทำไมนะ? 


 


 


ถึงแม้ก่อนหน้านี้เจี่ยซิ่วฟางจะพูดกับเสี่ยวเชี่ยนบ่อยๆว่าเธอเป็นผู้หญิงควรจะอย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเชี่ยนก็รู้สึกว่าแม่เหมือนกับพ่อ รักลูกชายมากกว่า ไม่ชอบเธอ แต่พอได้กลับมาเกิดใหม่ดูเหมือนเธอจะเข้าใจแล้ว 


 


 


โดยแก่นแท้คนเป็นแม่แตกต่างกับคนเป็นพ่อ 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางบอกว่าเธอสอนโดยใช้ประสบการณ์ของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน ถึงเสี่ยวเชี่ยนจะมองว่าประสบการณ์ของเจี่ยซิ่วฟางไม่เหมาะกับเธอ โบราณเกินไป ไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เน้นย้ำให้ผู้หญิงเสียสละและเป็นฝ่ายยอมเสมอ แต่แม่ก็พยายามเต็มที่เพื่ออยากให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดีในอนาคต แม่คนบ้านนอกที่ไร้การศึกษาและอ่อนต่อโลกก็คงทำได้แค่นี้ 


 


 


หลังจากหย่ากับเฉินหลินแล้วเจี่ยซิ่วฟางก็ยิ่งให้ความสำคัญกับลูกสาวอย่างเห็นได้ชัด ตอนเสี่ยวเชี่ยนหมั้นได้ยกบ้านที่อยู่ในเมืองให้เป็นของขวัญ นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าเมื่อชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนมองแม่ตัวเองผิดไป 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าหลังหย่าที่แม่มีท่าทีระมัดระวังเป็นเพราะกลัวเธอ ตอนนี้มาคิดดู อาจเป็นเพราะแม่รู้สึกว่าลูกสาวอยู่ข้างนอกทำงานลำบาก ต้องมาแบกรับเรื่องใหญ่ๆอีกทั้งแม่ก็กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลยรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลเสี่ยวเชี่ยนให้ดี ดังนั้นจะทำอะไรถึงได้เกรงใจเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางในตอนนั้นไม่เหมือนกับชาตินี้ ตอนนั้นเธอไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน แม้แต่เวลาดูแลตัวเองก็ไม่มี ที่ให้ลูกสาวได้ก็มีแค่รอยยิ้ม อยากให้ลูกสบายใจเวลากลับมาบ้าน แต่กลับถูกเสี่ยวเชี่ยนมองว่าแม่ทำไปเพราะอยากได้เงินจากตัวเอง 


 


 


พอนึกได้ถึงตรงนี้เสี่ยวเชี่ยนก็อัดบุหรี่เข้าปอดฟอดใหญ่ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นของปลอมก็ยังอยากสูบ 


 


 


อยากให้พ่อคนนี้เป็นของปลอมมั่งจัง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดลิ้นชักหน้ารถแล้วยัดบุหรี่คุณภาพแย่เข้าไป ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงพ่อกับลูกสาวเดินผ่านมา 


 


 


เด็กผู้หญิงอายุไม่กี่ขวบมัดผมเปียเล็กๆสองข้าง แผดเสียงร้องไห้จ้า พ่อของเธออุ้มเธอขึ้นมา คุณแม่วัยสาวเดินอยู่ด้านหลังมองด้วยความเป็นห่วง 


 


 


“ป่าป๊าไม่ดี ไม่ซื้อตุ๊กตางั้นหนูจะไม่กลับบ้าน ฮือๆๆ” เด็กน้อยร้องไห้เสียใจ ปรากฏว่าถูกพ่อตีก้น 


 


 


“ป่าป๊าไม่เชื่อว่าจะดัดนิสัยหนูไม่ได้ เงียบ ห้ามร้อง กลับบ้านเจอดีแน่” หลังจากที่คุณพ่อวัยหนุ่มขู่ลูกสาวแล้วก็รีบเดินกลับบ้าน ดูเหมือนเด็กน้อยจะถูกตามใจจนเคยตัว พอไม่ได้ของเล่นที่อยากได้ก็ไม่ยอม ดิ้นไปดิ้นมาอยู่ตรงบ่าพ่อ 


 


 


คนเป็นพ่อรีบระงับอาการของลูกสาว แต่กลับมองไม่เห็นว่าข้างหน้ามีก้อนหิน จึงสะดุดลำตัวโน้มไปข้างหน้า เขารีบกอดลูกสาวแน่นตามสัญชาตญาณของคนเป็นพ่อ พอยืนได้มั่นคงแล้วก็รีบสำรวจเนื้อตัวของลูกสาวว่าบาดเจ็บหรือเปล่า จากนั้นจึงยกมือขึ้นแสร้งทำเป็นโกรธ 


 


 


“ไม่ตีก็ไม่รู้จักจำ กลับบ้านโดนแน่ ซี้ด เจ็บจัง นิ้วโป้งเท้าจะหักแล้ว…ตัวแสบ ยังจะหัวเราะ เพราะเรานั่นแหละ” 


 


 


คนเป็นพ่อหยิกจมูกลูกสาวที่เต็มไปด้วยน้ำมูก เด็กน้อยสนุกสนานกับท่าทางของพ่อที่แยกเขี้ยวยิงฟัน หัวเราะคิกๆคักๆ ฝ่ายพ่อจากที่กำลังเจ็บพอเห็นลูกสาวหัวเราะทั้งคราบน้ำตาก็รู้สึกตลก 


 


 


“ดูหน้าตาซิอย่างกับผี สภาพดูไม่ได้เลย กลับไปล้างหน้าเสร็จต้องโดนลงโทษให้ยืนสักพัก สำนึกผิดได้เมื่อไรค่อยพอ เข้าใจไหม?” 


 


 


“หนูก็ยังอยากได้ตุ๊กตาโดราเอม่อนอยู่ดี…” 


 


 


“ยังจะเอา จะบอกให้นะ ป่าป๊าจะสั่งสอนหนู พอไม่ได้ของเล่นก็ลงไปดิ้นกับพื้น เล่นใหญ่เป็นที่หนึ่ง ต้องสั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง ชักจะเอาใหญ่ขึ้นทุกวัน” 


 


 


บทสนทนาของสองพ่อลูกลอยออกไปไกลเรื่อยๆ เสี่ยวเชี่ยนเหม่อมอง 


 


 


แบบนี้สิถึงเรียกว่าพ่อใช่ไหมนะ? เวลาที่ควรเข้มงวดก็เอาจริง เวลาถึงช่วงสำคัญก็ปกป้องลูกอย่างเต็มที่ 


 


 


ความผูกพันแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างเธอกับพ่อ บางทีเธออาจมีพ่อตัวปลอม  

 

 


ตอนที่ 544 ทนไม่ได้เด็ดขาด

 

เฉินหลินยังไม่ทันจะได้เงินกลับเจอยมทูตตัวเป็นๆเสียก่อน 


 


 


เขาได้ข่าวจากพี่ชายคนรองว่าเจี่ยซิ่วฟางรวยแล้ว ส่วนรายละเอียดที่ว่าเพราะไปรู้จักกับใครนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้ยินมาว่าตอนนี้ชีวิตดีสุดๆ ทำธุรกิจรับซื้อเศษวัสดุก่อสร้างแบบกินรวบ ทำกำไรได้ไม่น้อย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ยอมให้เจี่ยซิ่วฟางไปใกล้ชิดกับอดีตญาติอีก นอกจากบ้านอาสี่ที่ยังมีติดต่อกันบ้าง คนอื่นๆก็ไม่ไปมาหาสู่กันแล้ว ดังนั้นลุงรองจึงไม่รู้ว่าเจี่ยซิ่วฟางไปรู้จักกับใคร รู้แค่ว่ารวยแล้ว 


 


 


นับตั้งแต่หย่ากันไปเฉินหลินก็มีชีวิตลุ่มๆดอนๆ เมียน้อยหนีหาย บ้านถูกเสี่ยวเชี่ยนจัดการยึดมาเป็นของเจี่ยซิ่วฟาง ชีวิตสบายมาตลอดอยู่ๆก็สิ้นเนื้อประดาตัวหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง และก็ยังไม่ยอมหางานเป็นหลักเป็นแหล่งทำเลี้ยงตัวเอง 


 


 


เมื่อก่อนเจี่ยซิ่วฟางดีกับเขาเกินไป ตอนเปิดร้านซักแห้งไม่เคยให้เขาต้องมานั่งปวดหัว ไม่ว่าจะกิจการในร้านหรืองานบ้านเจี่ยซิ่วฟางเป็นคนทำหมด เขามีหน้าที่แค่นับเงิน เลี้ยงเมียน้อย ทำตัวเป็นเถ้าแก่ 


 


 


พอตกสวรรค์ลงมา ยังไม่ทันได้สติจากที่อยู่ๆต้องหมดตัว เขาก็ได้ยินว่าเมียเก่ารวยแล้ว 


 


 


แบบนี้มันยากเกินกว่าจิตใจจะรับได้ บ้านเก่าถูกรื้อก็สะเทือนใจเฉินหลินมากแล้ว เพราะเขาอยู่มาตั้งนาน มีข่าวว่าจะรื้อหลายรอบก็ยังไม่รื้อ แต่พอหย่าปุ๊บก็ถูกเวนคืนทันที เขาไม่ได้เงินส่วนแบ่งเลยสักบาท 


 


 


วันๆอยู่อย่างยากลำบาก ไม่มีรายได้ บ้านเก่าที่บ้านนอกขายทิ้งไปแล้ว แต่เงินแค่นั้นใช้ไม่นานก็หมด เปิดร้านไพ่ก็ไม่รู้ว่าใครไปแจ้งตำรวจเลยต้องหยุดทำ ต่อมาไปเปิดร้านขายผลไม้ต้องตื่นเช้าเลิกดึก ทำได้สองวันหยุดสามวันบ่อยๆ ผลไม้ไม่สดลูกค้าก็น้อยลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ทำไม่ไหว 


 


 


ผู้ชายที่มีเงินใช้ไม่เคยขาดก็มักจะติดสบาย ไม่ยอมไปเป็นลูกน้องทำตามใจคนอื่น อยากแต่จะเป็นเถ้าแก่ เปิดร้านขายของเหนื่อยเกินไปเลยคิดจะหวังรวยทางลัดด้วยการเล่นพนัน บ่อนใหญ่หน่อยอวี๋หมิงลี่ก็ได้ไปบอกกล่าวล่วงหน้าไว้แล้วเลยไม่มีใครให้เฉินหลินเข้าไปเล่น ดังนั้นจึงไปเข้าวงไพ่นกกระจอกเล็กๆไม่ได้ขาด แต่เงินที่ได้จากวงพวกนั้นก็ไม่เท่าไร ไม่พอใช้ชีวิตอย่างมีหน้ามีตา อีกอย่างวงไพ่เล็กๆมีเหรอที่จะชนะได้บ่อยๆ แพ้เยอะชนะน้อยชีวิตลำบากขึ้นเรื่อยๆ 


 


 


เฉินหลินพอไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็ไปพึ่งบรรดาพี่ชายขอยืมเงินซื้อข้าว ขอทีครั้งละสองร้อยสามร้อย ถ้าไม่ให้ก็จะอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ได้เงินมาก็รีบเอาไปเล่นพนัน ชีวิตไม่เป็นชิ้นเป็นอัน 


 


 


บรรดาพี่น้องของเขาต่างก็เกษียณหมดแล้วมีเงินมีทองใช้ แต่ใครล่ะจะทนคนแบบนี้ได้ นอกจากน้องสี่ที่ยังพอเห็นแก่ความเป็นพี่น้องอยู่บ้าง คนอื่นๆก็ไม่มีใครสนใจแล้ว 


 


 


เฉินหลินยังไม่กล้าไปหาน้องสี่ ถึงน้องสี่จะยังติดต่อเสี่ยวเชี่ยนกับเจี่ยซิ่วฟางอยู่บ้าง แต่บ้านน้องชายดูแลแม่อยู่ แม่เป็นโรคหัวใจ ถ้าเห็นเฉินหลินในสภาพซอมซ่อได้โมโหตายแน่ เลยไปหาพี่น้องคนอื่นๆ รบกวนอยู่ไม่กี่ครั้งคนอื่นๆก็ทนไม่ไหว 


 


 


เมียของพี่คนรองเอาเรื่องที่เจี่ยซิ่วฟางร่ำรวยมาพูดประชดเฉินหลิน แต่กลับจงใจปิดบังความจริงที่ว่าเบื้องหลังของเจี่ยซิ่วฟางมีคนคอยหนุนอยู่ 


 


 


เฉินหลินพอรู้เรื่องก็นอนไม่หลับไปหลายวัน แค่หลับตาก็เห็นเจี่ยซิ่วฟางมีทุกอย่าง ส่วนเขาอดมื้อกินมื้อ ความโกรธนี้สุมอยู่ในอก 


 


 


เขาเริ่มอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง เขารับไม่ได้ที่เมียเก่าที่เคยถูกเขาทุบตีอยู่ๆก็ร่ำรวยขึ้นมา 


 


 


หลังจากอิจฉาจนได้ที่แล้ว สิ่งที่เหลือก็คือความไม่ยอมจำนนกับจิตใจโหดร้าย คิดอยู่นานในที่สุดก็หาวิธีที่แนบเนียนไร้ที่ติได้ 


 


 


เมื่อก่อนเคยได้ยินคนพูดว่า พวกเจ้าหนี้นอกระบบเวลาทวงนี้โหดร้ายมาก ตัดแขนตัดขา ถ่ายรูปโหดร้ายสารพัน หรือถึงขนาดที่…แบบนั้น 


 


 


เฉินหลินคิดว่าเจี่ยซิ่วฟางยังเป็นคนเดียวกับสมัยก่อนที่แค่ให้มะเขือเทศก็ดีใจไปทั้งวัน ในใจยังคงคิดว่าเขาเป็นเหมือนท้องฟ้าของเธอ จึงคิดจะฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้ไปข่มขู่ ให้เธอควักเงินออกมา ยิ่งถ้าผ่านเรื่องนี้แล้วทำให้กลับมาคืนดีกันได้จะดีมาก 


 


 


อย่างไรเสียก็มีลูกด้วยกันแล้วสองคน เขาไม่เชื่อว่าเจี่ยซิ่วฟางขาดเขาแล้วจะอยู่ได้ ถึงตอนนั้นแค่เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วบอกว่าตัวเองน่างสาร ยังจะกลัวว่าเอาเจี่ยซิ่วฟางไม่อยู่หมัด? 


 


 


ตอนที่เฉินหลินทำเรื่องนี้ ในใจรู้สึกหวาดกลัวอยู่คนเดียวไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือเฉินเสี่ยวเชี่ยน ลูกสาวที่อยู่ๆนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก 


 


 


นิสัยของเสี่ยวเชี่ยนคล้ายกับเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน ทำให้คนอื่นเดาทางเธอไม่ถูก รู้สึกเหมือนเธอจะเป็นคนควบคุมทุกอย่าง เฉินหลินกลัวมาก 


 


 


แต่ครั้งนี้เฉินหลินก็ยังแอบหวังว่าโชคจะเข้าข้าง เขาคิดว่าต่อให้ตัวเขาจะเป็นอย่างไรก็ยังเป็นพ่อของเฉินเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนเรียกเขาว่าพ่อมาตั้งหลายปี แล้วจะมีเหรอที่จะไม่คิดถึงสายใยความเป็นพ่อลูก? 


 


 


หากถึงเวลาเสี่ยวเชี่ยนไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อลูกจริงๆ เขาไม่ได้ผลประโยชน์ก็จะเอาเธอไปพูดให้ร้าย บอกว่าเด็กคนนี้ใจดำไม่สนใจใยดีพ่อตัวเอง ถ้ายังไม่ได้จริงๆก็จะให้แม่ออกหน้า ถ้าเสี่ยวเชี่ยนทำแม่เขาเป็นอะไรไป ก็จะเอาเรื่องนี้เล่นงานเรื่องศีลธรรม จะปล่อยให้เด็กคนนี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้ 


 


 


แต่เฉินหลินไม่มีทางนึกได้เลยว่า ลูกน้องที่เขาส่งไปจัดการ ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มีคนมาหาเขาแล้ว 


 


 


ไม่ได้เอาเงินมาให้ แต่มาพร้อมความน่าสะพรึง 


 


 


เฉินหลินอยู่บ้านเพิ่งซื้อซาลาเปามาสองลูก ยังไม่ทันจะได้กัดก็ได้ยินเสียงหนวกหูจากด้านนอก เขานึกว่าพวกนักเลงที่เขาส่งไปกลับมาแล้ว จึงยืนขึ้นด้วยความดีใจ แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง 


 


 


คนพวกนี้พอเข้ามาก็ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป บรรดาคนที่อาศัยอยู่ในตึกนั้นต่างพากันหวาดกลัว คนพวกนี้ดูมีมาดน่าเกรงขาม เหมือนไม่ได้มาดี 


 


 


เฉินหลินเองก็อยากตามออกไปด้วย แต่คนที่นำมากลับกวาดตามองแล้วลากเขากลับมา หิ้วคอเสื้อโยนเข้าไปในห้อง ด้านนอกมีคนเฝ้าไม่ให้เขาออกไป 


 


 


เฉินหลินกล้าถามอีกฝ่ายว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ถูกตอบกลับมาด้วยประโยคเดียวอย่างเย็นชาว่า เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้ ไม่ต้องถามมาก 


 


 


คนพวกนี้ไม่ทำร้าย ไม่ด่า ไม่ทำลายข้าวของ แค่ไม่ให้เฉินหลินหนีออกไป แต่ระหว่างที่รออยู่นั้นทรมานมาก เฉินหลินกลัวเสียจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง 


 


 


ถ้าคนพวกนี้บอกวัตถุประสงค์ที่มา บางทีเขาอาจไม่รู้สึกกลัวขนาดนี้ แต่คนพวกนี้ไม่พูด ไม่ทำร้าย ไม่มีข้าวของเสียหาย ถามอะไรไปก็ไม่ตอบ ถามมากก็ส่งสายตาโหดเ**้ยมใส่ แบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเข้ามาแล้วแนะนำตัวเสียอีก 


 


 


ในขณะที่เฉินหลินกำลังจะถูกความคิดของตัวเองทรมานตายอยู่นั้น ประตูก็เปิดออก 


 


 


“หัวหน้า” 


 


 


คนที่นำมาพอเห็นอวี๋หมิงหลางเดินเข้ามาก็รีบทักทายด้วยความเคารพ สีหน้าแสดงความนับถือ 


 


 


อวี๋หมิงหลางถาม “เสียวอู่ ขาเป็นไงบ้าง?” 


 


 


“ขอบคุณหัวหน้าที่เป็นห่วงครับ เวลาวันฟ้าครึ้มจะปวดอยู่บ้าง แต่ไม่ส่งผลต่อการทำงานครับ วันนี้ที่หัวหน้าโทรหา ผมดีใจมากจริงๆครับ” 


 


 


“ตั้งใจทำงาน ทหารที่ผมเคยดูแลเก่งขนาดนี้ผมก็ได้หน้าไปด้วย” 


 


 


อวี๋หมิงหลางตบบ่าเขา ได้รับคำชมจากอวี๋หมิงหลาง เสียวอู่มีความสุขมาก 


 


 


“หัวหน้าต้องการให้ช่วยอะไรอีกไหมครับ?” 


 


 


“ไม่ต้องแล้วล่ะ เลิกงานได้ ผมอยู่คนเดียวก็พอแล้ว” 


 


 


อวี๋หมิงหลางไล่คนออกไปหมด จากนั้นสีหน้าก็เย็นชาลง เขาผลักประตูเข้าไปหาเฉินหลิน 


 


 


จะได้ไปเจอพ่อเฮงซวยคนนี้อีกแล้ว ดูซิว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ทิ่มแทงใจแก้วตาดวงใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


ทำเสี่ยวเชี่ยนก็เท่ากับทำเขา ความแค้นนี้ต้องสะสาง 

 

 

 


ตอนที่ 545 เล่นงานกลับ

 

“แกเองเหรอ?” 


 


 


เฉินหลินที่จิตใจกำลังระสำระส่ายเห็นคนเดินเข้ามา สายตาจ้องไปที่อวี๋หมิงหลาง 


 


 


เด็กหนุ่มบุคลิกรูปร่างหน้าตาดีคนนี้เฉินหลินจำได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ค่อยกล้าไปยุ่งกับเจี่ยซิ่วฟางก็เพราะอวี๋หมิงหลางส่วนหนึ่ง 


 


 


หลังจากที่กระบวนการหย่าของเจี่ยซิ่วฟางกับเฉินหลินเสร็จสิ้น อวี๋หมิงหลางก็มาปรากฏตัวที่หน้าศาล ใช้มือเปล่าฟันอิฐจนหัก ข่มขู่เฉินหลินสำเร็จ 


 


 


เฉินหลินรู้แค่ว่าเสี่ยวเชี่ยนมีแฟนที่เก่งกาจ แต่กลับไม่รู้ประวัติของอวี๋หมิงหลาง วินาทีที่เห็นอวี๋หมิงหลางเข้ามาในใจของเขาก็เสียววาบ 


 


 


อวี๋หมิงหลางเดินเข้ามาอย่างองอาจ เขาลากเก้าอี้มานั่งประจัญหน้าเฉินหลิน แค่กวาดสายตามองไปเฉินหลินก็หวาดกลัวหัวใจเต้นแรง 


 


 


ครั้งก่อนที่เจอกันอวี๋หมิงหลางไม่ได้วางมาดน่าเกรงขามขนาดนี้ คราวนี้มาเจอกันในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ในใจของเฉินหลินมีแต่ความหวั่นใจ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่พูดจา แค่มองเฉินหลินด้วยสายตาเอาเรื่อง เล่นเอาเฉินหลินเหงื่อซึม 


 


 


“ซิ่วฟางล่ะ? ฉันจะเจอซิ่วฟาง ไม่งั้น…เรียกเสี่ยวเชี่ยนมาก็ได้” เฉินหลินถูกอวี๋หมิงหลางจ้องจนกลัวมาก รู้สึกว่าถ้าเขาไม่พูดข่มออกไปบ้างตัวเองจะต้องตายแน่ จึงใช้โอกาสตอนที่ยังพูดได้รีบเสนอสิ่งที่ต้องการ 


 


 


เขายอมเจอเจี่ยซิ่วฟางหรือไม่ก็เสี่ยวเชี่ยน ดีกว่าต้องมาเจออวี๋หมิงหลางยมทูตตัวเป็นๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองตายไปหลายครั้งแล้วในสายตาอันดุดันของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“เสี่ยวเชี่ยน? เสี่ยวเชี่ยนคือใครกัน?” อวี๋หมิงหลางนั่งไขว่ห้างอย่างสบายๆ ท่าทางไม่รีบร้อนแต่กลับสร้างแรงกดดัน บุคลิกของเขาสร้างรังสีอำมหิตบางอย่าง โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินพ่อเฮงซวยเรียกชื่อคนรักของเขา ความเย็นชาได้แผ่ซ่านมากกว่าเดิม 


 


 


“เขาเป็นลูกสาวของฉัน…เขาเป็น…” เฉินหลินพูดไม่ออก เพราะอวี๋หมิงหลางที่เมื่อครู่สีหน้าเรียบเฉยอยู่ๆก็ยิ้มออกมา 


 


 


แต่รอยยิ้มนี้กลับเย็นชาและน่ากลัวกว่าตอนที่เขาไม่ยิ้ม 


 


 


“ลูกสาวเหรอ?” อวี๋หมิงหลางถามประชด “ในใจของแกเคยมองว่าเขาเป็นลูกสาวด้วยเหรอ? แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของพ่อเคยให้เขาหรือเปล่า?” 


 


 


เฉินหลินตกใจจนไม่กล้าพูด ท่าทางอวี๋หมิงหลางตอนเอามือฟันอิฐเมื่อคราวก่อนยังตราตรึงอยู่ในใจเขา กลัวว่าเกิดพูดอะไรผิดไปอวี๋หมิงหลางจะเอามือฟันเขาหัวแบะ 


 


 


“ถึงแม้คนที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวจะมีไม่น้อย แต่เรื่องต่างๆที่แกทำกับเขามันไม่ใช่แค่ความลำเอียงในการรักลูกธรรมดาๆแล้ว ฉันสงสัยจริงๆนะว่าแกเป็นพ่อเขาจริงๆหรือเปล่า เพราะจะหาพ่อที่เฮงซวยขนาดนี้ได้ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ สัตว์มันยังรู้จักเอ็นดูลูก แล้วแกล่ะมีไหม?” 


 


 


“ฉัน ฉันเป็นพ่อแท้ๆของเขา” เฉินหลินหลบตาไม่กล้าเผชิญหน้าตอนตอบ เขากลัวว่าถ้าตัวเองไม่เน้นย้ำเรื่องนี้อวี๋หมิงหลางจะเอาเขาถึงตาย 


 


 


“หึหึ ดูไม่ออกเลยจริงๆ ฉันเจอนักโทษมาก็เยอะ คนที่เลวสุดขั้วก็มีบ้าง แต่ท่าทีที่คนพวกนั้นมีต่อครอบครัวโดยเฉพาะกับลูก ยังมีความสำนึกผิดอยู่บ้าง แต่พ่ออย่างแกที่เอาใบตอบรับเข้ามหาวิทยาลัยของลูกไปซ่อน คิดจะให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายแย่ๆ ตอนนี้ยังจะมาทำเรื่องแบบนี้อีก เป็นครั้งแรกที่ฉันเจอเลยจริงๆ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่มีความเกรงใจกับเฉินหลิน เขาเป็นคนง่ายๆกับคนที่อยู่รอบตัวเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


ใครดีกับผู้หญิงของเขา เขาก็ดีด้วย แต่ถ้าใครรังแกก็อย่าหวังจะได้อยู่ดี พ่อแท้ๆก็ไม่ได้ 


 


 


“ฉันผิดไปแล้ว ไว้ชีวิตฉันเถอะนะ ฉันขอร้องล่ะ” 


 


 


พออยู่ต่อหน้าอวี๋หมิงหลางที่มีความน่ากลัวขนาดนี้ เฉินหลินก็ไม่เหลือแรงสู้อีกต่อไป สองขากำลังจะคุกเข่าอ้อนวอน แต่อวี๋หมิงหลางยื่นไปขวางไม่ให้เขาคุกเข่าได้ 


 


 


“พูดจาซะน่าสงสาร แต่เรื่องที่แกทำไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิด ว่ามาสิจะเอายังไง?” 


 


 


“เอายังไง…” เฉินหลินอึ้ง อวี๋หมิงหลางหยิบกระบองออกมาจากเอว กวัดแกว่งไปมาคล้ายกับทำไปโดยธรรมชาติ แสดงให้เฉินหลินเห็นว่าศิลปะการใช้กระบองของทหารหน่วยรบพิเศษเป็นแบบไหน 


 


 


นี่ก็เป็นหนึ่งในวิชาที่ต้องฝึก อวี๋หมิงหลางสะบัดอย่างคล่องแคล่ว พอได้ยินเสียงกระบองหวดในอากาศเฉินหลินก็แทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้ามันฟาดลงมาที่ตัวเขาจะรู้สึกยังไง เขาตกใจจนกัดฟันแน่น 


 


 


“แกจะเอาไง ฉัน ต่อไปฉันจะไม่ไปวุ่นวายกับสองแม่ลูกนั่นอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ เห็นแก่เสี่ยวเชี่ยน ฉันก็ยังรักลูกสาวอยู่นะ” 


 


 


“หืม? พ่อลูกผูกพัน?” อวี๋หมิงหลางหยุดหวดกระบอง แล้วเหวี่ยงไปวางบนไหล่เฉินหลิน เขาไม่ได้ออกแรงแต่กลับทำให้เฉินหลินรู้สึกได้ถึงความน่ากลัว 


 


 


“ใช่ๆๆ ฉันกับเขาผูกพันกัน ก็เขาเป็นลูกสาวฉันนี่ ฉันแคร์เขามาก เห็นแก่หน้าเขาอย่าทำอะไรฉันเลยนะ” 


 


 


“ในเมื่อผูกพัน งั้นเขาติดหนี้ฉันสามหมื่นแกชดใช้ไหม?” อวี๋หมิงหลางจงใจถาม 


 


 


“…เงิน? พวกแกเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ?” เฉินหลินไม่เข้าใจสิ่งที่อวี๋หมิงหลางพูด 


 


 


“เมื่อก่อนน่ะเป็นแฟน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เขาไปเรียนเอาเงินฉันไปสามหมื่น ในเมื่อแกบอกว่าเป็นพ่อเขางั้นก็ชดใช้แทนเขาสิ” 


 


 


“แต่ฉันไม่มีเงิน…” 


 


 


“พี่ชายฉันทำธุรกิจ แกไปทำงานให้เขาฟรีๆสองปีก็จะใช้หนี้ได้หมด พวกเรามีให้กินมีที่พัก แต่ไม่มีเงินให้ เป็นไง?” 


 


 


“คือ…” 


 


 


เฉินหลินลังเล 


 


 


ถึงว่าทำไมมีคนมาเยอะแยะ ที่แท้ก็ไม่ได้มาเพราะเอาคืนให้เจี่ยซิ่วฟาง แต่ลูกสาวทุเรศไปก่อเรื่องเอาไว้ ผู้ชายคนนี้ถึงได้มาคิดบัญชีกับเขา 


 


 


เฉินหลินคิดจะเล่นงานเสี่ยวเชี่ยน อวี๋หมิงหลางจึงเล่นงานกลับ 


 


 


“คิดดีๆนะ ทำงานฟรีสองปี ฉันจะไม่เอาเรื่องเขาและก็ไม่เอาเรื่องแก ไม่อย่างนั้น…” 


 


 


เฉินหลินไม่อยากไปทำงานฟรีสองปีตามที่อวี๋หมิงหลางว่า ถึงจะกินฟรีอยู่ฟรีก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับไปติดคุกเหรอ? ไม่ให้เงินด้วย 


 


 


อีกอย่าง ทำไมเขาต้องทำเพื่อเด็กไม่เอาไหนอย่างเฉินเสี่ยวเชี่ยนขนาดนั้นด้วย? 


 


 


อวี๋หมิงหลางกำลังรอคำตอบจากเฉินหลิน คำตอบนี้เกี่ยวพันกับชะตาชีวิตของเฉินหลินนับจากนี้ ซึ่งก็เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะมีให้ 


 


 


แต่เฉินหลินไม่ได้คว้าโอกาสไว้ เขายิ้มแย้มทำท่าเหมือนประจบอวี๋หมิงหลางพลางพูด 


 


 


“ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น รับรองแกได้เงินไม่ต้องรอถึงสองปี” 


 


 


“หืม?” อวี๋หมิงหลางหรี่ตา 


 


 


“ฉันมีเพื่อนเป็นหัวหน้าอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ไนท์ พาเด็กคนนั้นไป หน้าตามันดีแกก็รู้ ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็ปลดหนี้หมด” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเดือดจัดขนาดฆ่าคนได้ เฉินหลินไม่เห็นสีหน้าของอวี๋หมิงหลางกับมือของเขาที่กำหมัด ปากยังคงพูดถึงแผนแก้ปัญหาที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด 


 


 


“พวกเราเอาแบบนี้ เอาเฉินเสี่ยวเชี่ยนไปส่งก่อนแล้วให้แม่มันเอาเงินมาให้ ตอนนี้แม่มันรวย ต้องยอมควักเงินเพื่อช่วยลูกสาวแน่ แต่ถึงจะไม่ยอมควักเงินก็ไม่เป็นไร เด็กคนนี้หน้าตามันสวย มีพวกเสี่ยอยากเลี้ยงดูอยู่แล้ว เงินสามหมื่นไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้แล้ว พวกผับมันมีอ่างอบนวดด้วย ถึงตอนนั้น—” 


 


 


“เพล้ง” 


 


 


เฉินหลินพูดต่อไม่ได้แล้ว อวี๋หมิงหลางหวดกระบองไปฟาดกระจกแตกละเอียด 


 


 


“แกมันไม่คู่ควรเป็นพ่อของเขา” อวี๋หมิงหลางทั้งโกรธทั้งรู้สึกว่าโชคดี 


 


 


โชคดีที่เขาเลือกถูกที่ไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนเข้ามา สีหน้ากับคำพูดทุเรศของเฉินหลินไม่ควรให้คนรักของเขามาเห็น ไม่อย่างนั้นหัวใจของเธอจะยิ่งเจ็บหนักกว่าเดิม 


 


 


คนเลวๆแบบนี้ ให้เขาจัดการน่ะดีแล้ว  

 

 


ตอนที่ 546 หาคนช่วยดูแล

 

เฉินหลินไม่เข้าใจทำไมอยู่ๆอวี๋หมิงหลางก็ลงมือ เขามองอวี๋หมิงหลางด้วยความหวาดหวั่น 


 


 


อวี๋หมิงหลางเหยียบเศษกระจกเดินไปหาเฉินหลิน แล้วใช้กระบองในมือเชยคางเฉินหลินขึ้นมา 


 


 


“คนแบบแก จะเหมาะเป็นพ่อเขาได้ยังไง?” 


 


 


“ฉัน…มันติดเงินแกไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“ฉันโกหก” 


 


 


เฉินหลินงง 


 


 


“ตอนนี้เฉินเสี่ยวเชี่ยนไม่ใช่แฟนฉันแต่เป็นคู่หมั้นที่ฉันรักที่สุด แกจะเอาผู้หญิงที่ฉันแคร์ที่สุดไปให้พวกเสือมันขย้ำแกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปเหรอ? ถ้าแกยังกล้าหาเรื่องเสี่ยวเชี่ยนกับแม่อีกล่ะก็ ฉันจะให้แกเป็นเหมือนกระจกบานนี้” 


 


 


เฉินหลินมองเศษกระจกบนพื้นด้วยความหวาดกลัว อวี๋หมิงหลางเก็บกระบองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา 


 


 


“ฉันจะทำให้แกแตกเป็นเสี่ยงๆอย่างทรมาน” 


 


 


ตอนที่เดินผ่านเฉินหลินอวี๋หมิงหลางได้หยุดเท้าแล้วพูดเสริม 


 


 


“ถ้าในใจแกยังมีเขาคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ‘ขอบคุณ’ความไร้เยื่อใยของแกที่ทำให้ฉันลงมือได้โดยไม่ลังเล ฉันไม่อยากให้มือของเสี่ยวเชี่ยนต้องมาแปดเปื้อน แต่ฉันลงมือแทนเขาได้ แกฆ่าจิตใจส่วนดีของเขา ฉันเลยต้องปกป้องโลกอันบริสุทธิ์ให้เขา” 


 


 


เฉินหลินยังไม่เข้าใจถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของอวี๋หมิงหลางเท่าไร เขามองอวี๋หมิงหลางอย่างงงๆ 


 


 


ตอนที่อวี๋หมิงหลางเดินเข้ามากระซิบข้างหูได้ทำให้จิตใจของเขาพังทลาย เฉินหลินเข่าทรุดลงกับพื้น อวี๋หมิงหลางเดินออกจากห้องไป 


 


 


อันที่จริงอวี๋หมิงหลางก็ไม่ได้พูดจาโหดเ**้ยมอะไร ปกติเขาไม่ชอบพูดชอบทำมากกว่า 


 


 


“มาจับคนหน่อยครับ ต้องตัดสินยังไงก็ว่าไปตามนั้น นับแต่นี้ไปคนๆนี้ไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวผมอีกแล้ว ว่าไปตามกฎหมายครับ” 


 


 


หลังจากที่อวี๋หมิงหลางวางสาย วินาทีที่เดินออกจากตึกเขาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ความเคร่งขรึมได้สลายไป 


 


 


สีหน้ายามที่เจอกับพ่อเฮงซวยก็แบบหนึ่ง ตอนอยู่กับลูกเชี่ยนของเขาก็อีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าข้างนอกพายุฝนจะหนักแค่ไหน แต่เขาก็จะปกป้องเธอ เหลือเพียงแต่แสงแดดอันอบอุ่นส่องไปที่เธอ 


 


 


ส่วนเฉินหลินที่คุกเข่าอยู่กับพื้นกำลังตกใจเหงื่อแตกไปทั้งตัว ที่ข้างหูของเขาคล้ายกับยังมีคำพูดสุดท้ายของอวี๋หมิงหลางวนเวียนอยู่ 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดว่า ถ้าเขาเลือกทำงานฟรีสองปีไม่ใช่เอาเสี่ยวเชี่ยนไปขาย เขาก็จะให้พี่ชายหางานที่พอจะทำตลอดช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ได้ และก็รับประกันได้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่นคง 


 


 


แต่น่าเสียดายที่มีทางเลือกเยอะแยะแต่เฉินหลินไม่เลือก กลับเลือกที่จะยั่วโมโหอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยังคงถือบุหรี่มองสองพ่อลูกเดินไปไกล เธอกำลังค้นหาความทรงจำที่อยู่ไกลแสนไกลของตัวเองว่ามีช่วงเวลาดีๆกับพ่ออยู่บ้างหรือเปล่า 


 


 


ไม่มี สักนิดก็ไม่มี 


 


 


อวี๋หมิงหลางเข้าไปแล้วจะทำอะไรบ้างเธอพอจะเดาได้ แต่กลับไม่คิดจะเข้าไปห้ามแม้แต่นิดเดียว 


 


 


เสี่ยวเฉียงเป็นคนแบบไหนเสี่ยวเชี่ยนรู้ดีแก่ใจ เขาเอาอกเอาใจเธอเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนขี้ใจอ่อน ตอนเรื่องอาหญิงเขายังไม่เข้าข้างเลยสักนิด แล้วนับประสาอะไรกับพ่อเฮงซวยของเธอ 


 


 


แต่ทำไมจิตใจของเธอถึงไม่หวั่นไหวเลยสักนิด เธอไม่รู้สึกสงสารพ่อเฮงซวยเลยแม้แต่น้อย แต่กลับสงสารตัวเอง 


 


 


“คิดอะไรอยู่น่ะ?” 


 


 


“อยากกลับไปตอนเด็ก กลับไปกอดเด็กน้อยจิตใจบอบช้ำคนนั้นที่ไม่ว่าจะพยายามสักแค่ไหนก็ไม่ได้รับความรักจากพ่อ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย 


 


 


มือที่เขี่ยบุหรี่อยู่นอกหน้าต่างรถถูกสัมผัส เสี่ยวเชี่ยนถึงได้สติ เห็นอวี๋หมิงหลางเลิ่กคิ้วมองเธออยู่ ในมือถือบุหรี่ที่แย่งจากมือเธอไป 


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนน้อยไม่จำเป็นต้องให้คุณกอดเองหรอก งานแบบนี้ต้องยกให้ผม เมียจ๋า อยากกอดแบบไหนก็ได้เลย~” 


 


 


“แล้วนี่แอบสูบบุหรี่เหรอ?” เขาเอาบุหรี่ที่เหลือไปสูบต่อ จากนั้นก็พ่นออกมาเหมือนอยากอ้วก 


 


 


“ของปลอมนี่ ไปซื้อมาจากไหน ไปเอาเงินคืนเลย” 


 


 


“เรียบร้อยแล้วเหรอ?” 


 


 


“อืม คุณไม่ต้องกังวล ต่อไปเขาไม่กล้าแล้วล่ะ” 


 


 


“ทำหน้าแบบต่อให้ตายก็ไม่แก้สันดานเดิมหรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนรู้ทั้งรู้ว่าพ่อเฮงซวยจะมีท่าทางแบบไหน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถาม 


 


 


“อืม…คุณเดาถูก ผมกะให้เขาเข้าตารางไปสำนึกผิดหน่อย สิ่งที่เขาทำเพียงพอที่จะเข้าไปอยู่ได้หลายวัน” 


 


 


ตอนอวี๋หมิงหลางเข้าไปก็ได้ตัดสินใจแล้ว ถ้าเฉินหลินยังมีความสำนึกผิดต่อเสี่ยวเชี่ยนอยู่บ้าง เขาก็จะไม่เอาเรื่องจนถึงที่สุด 


 


 


แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เฉินหลินยังคงสันดานเดิม ที่เขาขอร้องอวี๋หมิงหลางไม่ใช่เพราะสำนึกผิด แต่เป็นเพราะกลัวอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังอวี๋หมิงหลาง 


 


 


ยิ่งไปกว่านั้นเฉินหลินยังคิดจะเอาเสี่ยวเชี่ยนไปขายให้ที่แบบนั้น แค่นี้ก็เพียงพอที่จะให้อวี๋หมิงหลางเอาเขาถึงตาย 


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกโชคดีที่ไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนเข้าไป ทำให้เธอไม่ต้องไปเห็นด้านทุเรศของสันดานคน คนอย่างเฉินหลินอวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าไม่เหมาะจะเป็นพ่อของเสี่ยวเชี่ยนเลยจริงๆ 


 


 


“ลงโทษเบาไป” เสี่ยวเชี่ยนเกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก แต่ไม่ใช่สงสาร ถ้าจะสงสารเธอคงสงสารตัวเอง 


 


 


สงสารตัวเองที่เมื่อชาติที่แล้วใช้เวลาถึงสิบแปดปีก็ยังไม่ได้ความรักความอบอุ่นจากเฉินหลิน ในเวลาแบบนี้เธออยากเดินเข้าไปถามมากว่า ทำไมต้องทำกับเธอแบบนั้น เธอผิดตรงไหนกันแน่ 


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนใช้ความรู้ของจิตแพทย์ปลอบตัวเอง บนโลกนี้คนบางคนก็เลวร้ายเกินไป ถ้าไปถามว่าทำไมเขาก็คงตอบไม่ได้ เพราะในใจของเขานอกจากตัวเองแล้วก็ไม่รักใครอีก โกรธคนแบบนี้ไปก็เปลืองพลังชีวิต 


 


 


“ผมจะให้คน ‘ดูแล’ เขาตอนอยู่ในคุก ออกมาได้ก็คงไม่กล้าก่อเรื่องแล้ว คิดว่าเขาตายไปแล้วเถอะลูกเชี่ยน คุณจะได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย” 


 


 


รับมือกับคนแบบนี้ก็ต้องตัดเส้นทางรอดทั้งหมดไม่ให้เหลือ พ่อที่พูดออกมาได้ว่าจะส่งลูกสาวไปเป็นเหยื่อแบบนี้ คิดว่าตายไปแล้วยังจะดีกว่า 


 


 


อันที่จริงในใจของอวี๋หมิงหลางก็เกิดความสงสัย เขาเจอคนแย่ๆมาก็เยอะแต่ไม่เคยเจอพ่อเฮงซวยแบบนี้ ถ้าเฉินหลินทำตัวเลวกับลูกทั้งสองคนก็ว่าไปอย่าง แต่ดูเหมือนจะทำไม่ดีแค่กับเสี่ยวเชี่ยน ดูเหมือนจะยังมีเยื่อใยกับเฉินจื่อหลง นี่แค่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวจริงๆเหรอ? 


 


 


“ตามสบาย ขังไปตลอดชีวิตก็ไม่เกี่ยวกับฉัน” เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างเย็นชา 


 


 


น้ำเสียงเย็นชาของเธอยามพูดถึงพ่อขัดกับสายตาที่เธอมองครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกตรงนั้น อวี๋หมิงหลางเห็นแบบนั้นหัวใจก็เหมือนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เด็กสาวที่น่าสงสารคนนี้คงสะเทือนใจมาก 


 


 


คนอื่นเห็นแต่ด้านที่เข้มแข็งของเธอ แต่เขากลับได้เห็นด้านที่คิดไม่ตกของเธอตอนแก้ไขปัญหา เธอพูดเสมอว่าตัวเองไม่ใช่คนดี แต่ลูกเชี่ยนที่น่าสงสารของเขากลับไม่รู้เลยว่า เธอยังห่างไกลกับคำว่าคนเลวนัก เพราะคนเลวจริงๆนั้นไร้หัวใจ 


 


 


แต่เธอมี 


 


 


ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่อวี๋หมิงหลางอยากปกป้องด้วยชีวิต สิ่งที่ทั้งเข้มแข็งและอ่อนแอ สิ่งที่เดินหน้าไปด้วยความกล้าหาญแต่กลับทำร้ายตัวเธอเองโดยไม่รู้ตัว อวี๋หมิงหลางตั้งชื่อให้สิ่งนี้ว่า จิตใจส่วนดีที่จำเป็นต้องเลว 


 


 


ฟังดูเหมือนขัดแย้งแต่อันที่จริงไม่ขัดแย้ง เธออยากปกป้องในสิ่งที่เธอต้องการก็ต้องโหดบ้างในบางมุม แต่ในขณะที่เธอโหดร้ายกลับทำร้ายตัวเองไปด้วย ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นเธอคิดไม่ตกแบบนี้ อวี๋หมิงหลางแทบอยากจะเสกให้เธอตัวเล็กแล้วยัดเข้าไปในใจเขา จากนั้นก็ทำลายคนที่ทำร้ายเธอซะ 


 


 


“ไปเถอะลูกเชี่ยน พี่จะพาไปที่หนึ่ง” 

 

 

 


ตอนที่ 547 มองเธอทะลุปรุโปร่ง

 

 


 


 


พอไปถึงที่ เสี่ยวเชี่ยนเงยหน้ามองแล้วก็พูดไม่ออก มองป้ายที่โชว์หราแล้วก็เกิดความรู้สึกเหมือนมาผิดที่ 


 


 


“นายคิดจะพาฉันมาที่นี่เนี่ยนะ?” 


 


 


เธอก็คิดว่าเขาจะพาไปที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะพามาที่ประหลาดขนาดนี้ 


 


 


“อืม อาคารมีพื้นที่ 2,783ตารางเมตร สนามมีพื้นที่ 1,000ตารางเมตร ถึงจะสร้างมายี่สิบปีแล้ว แต่ก็นับว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในมณฑล อุปกรณ์ที่อยู่ข้างในก็เปลี่ยนใหม่แล้วด้วย” 


 


 


ตอนที่เขาบอกจะพาเธอไปที่แห่งหนึ่ง เสี่ยวเชี่ยนยังคิดอยู่เลยว่าในที่สุดตานี่ก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว รู้จักใช้เสน่ห์ของผู้ชายปลอบแฟนตัวเอง แต่ที่ไหนได้พามาโรงยิม? 


 


 


แล้วสีหน้าภาคภูมิใจนี่มันอะไรกัน? เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางที่อธิบายประวัติของโรงยิมอย่างภูมิใจ นี่เธอเกือบคิดไปแล้วว่าจ้างชาวบ้านมาเป็นไกด์ในราคาสิบหยวนเพื่อมานำชมบ้านเกิดที่แสนภูมิใจ—แถมยังเป็นไกด์เถื่อน 


 


 


“นายพาฉันมาที่นี่ทำไม?” เธอต้องขอตัดบทการแนะนำอย่างภาคภูมิใจนี้ 


 


 


“คุณอารมณ์ไม่ดีไม่ใช่เหรอ ผมพาคุณมาผ่อนคลาย” 


 


 


แฟนที่ดีต้องช่างสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของแฟนสาว พร้อมทั้งยังต้องช่วยปรับสภาพอารมณ์ของเธอให้ดีขึ้น เขาใส่ใจขนาดนี้เสียวเหม่ยต้องยิ่งชอบเขามากขึ้นแน่ๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากอัดเขาจริงๆ 


 


 


เมื่อคืนเขาใช้ถุงยางถึงสองกล่อง เล่นเอาเธอแค่เดินยังเจ็บ ร่างกายไม่มีจุดไหนไม่ปวด แล้วนี่ยังจะพาเธอมาโรงยิม? กลัวเธอยังเจ็บไม่พอหรือไง 


 


 


ถ้าอวี๋หมิงหลางสังเกตสีหน้าเธอสักนิดก็จะรู้ว่าเวลานี้เสี่ยวเชี่ยนอารมณ์ไม่ดีสุดขีดแล้ว แต่เขากลับไม่เห็น อีกทั้งยังมีสีหน้าภูมิใจ 


 


 


“เวลาที่อารมณ์ไม่ดีก็มาตีเทนนิส มาวิ่งสักหน่อย ความหงุดหงิดในใจก็จะหายไป~ 


 


 


“นายยังคิดจะตีเทนนิส?” เสี่ยวเชี่ยนขึ้นเสียงอย่างลืมตัว รู้สึกว่าความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของเธอพังทลายลงตั้งแต่มาเจอตาทึ่มนี่ 


 


 


“ผมเห็นร่างกายคุณอ่อนแอ กีฬาอย่างเทนนิสไม่ได้หนักมาก เหมาะกับคุณสุดๆ” เพื่อแสดงถึงความทุ่มเทเอาใจใส่แฟนสาว อวี๋หมิงหลางยังพูดเสริมด้วยความภูมิใจ 


 


 


“อีกทั้งการตีเทนนิสยังช่วยขับพิษออกจากร่างกายด้วย ผู้หญิงตีเทนนิสอาทิตย์ละสองครั้งจะดีมาก” 


 


 


นี่เป็นข้อสรุปจากการที่ได้ค้นคว้าตำรามามากมายเลยนะ~ อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าหลังจากกลับหน่วยไปแล้ว เขาจะเปิดคอร์สแชร์ประสบการณ์ให้กับเหล่าทหารที่ยังเป็นโสดกันอยู่ 


 


 


ผู้ชายถ้าอยากมีแฟนมันก็เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ไม่มีประสบการณ์ไม่เป็นไร เรียนรู้ได้ ยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ห้องสมุดมีหนังสือให้ยืมมากมาย อวี๋หมิงหลางอ่านไปเยอะมากเพื่อเสี่ยวเชี่ยน ตั้งแต่เรื่องกับข้าวยันออกกำลังกาย อ่านมันหมดทุกแนว 


 


 


ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสได้ใช้ เขารู้สึกว่าความรู้ทั้งหมดคือพลัง 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิด เขาคิดว่าตัวเองทำดีสุดๆ แต่เสี่ยวเชี่ยนอยากจะเด็ดหัวเขา 


 


 


เดิมอารมณ์เธอก็ไม่ดีอยู่แล้ว เขายังจะพามาที่นี่อีก 


 


 


ผู้หญิงตีเทนนิสเป็นเรื่องที่ดี—แล้วผู้หญิงพวกนั้นที่บ้านมีสัตว์ใหญ่ที่กลางคืนใช้ถุงยางไปถึงสองกล่องแบบเธอไหมล่ะ? 


 


 


ให้ผู้หญิงที่เหนื่อยจากเรื่องบนเตียงอีกทั้งยังไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอมาตีเทนนิส นี่ก็เหมือนกับกลุ่มคนนั่งกินข้าวดื่มเหล้าอยู่ด้วยกัน ใครเอาเนื้อยัดได้เต็มปากก็ยืนขึ้นมาชนเหล้า สภาพโหดร้ายไม่ต่างกัน 


 


 


ถ้าไม่ติดว่ารู้จักอวี๋หมิงหลางดี รู้ว่าตานี่ศึกษาหาความรู้มาเยอะเกินไปจนเพี้ยน เธอคงคิดว่าเขาตั้งใจแกล้งเธอ 


 


 


“ห้องฟิตเนสที่ค่ายไม่เปิดให้คนในครอบครัวทหารเข้าใช้ ดังนั้นตอนผมเรียนเลยมาเล่นที่นี่ โดนเฉพาะตอนอยู่มอหก มาตีเทนนิสบ่อยๆ” พาแฟนมารำลึกความหลัง ทำให้เธอได้รู้จักมุมที่สดใสในวัยเยาว์ของเขา นี่ก็เป็นขั้นหนึ่งที่สำคัญมากของการคบกัน 


 


 


“…มอหกแค่เรียนก็เหนื่อยมากแล้วยังจะมาตีเทนนิสอีกเหรอ? นายเอาเวลามาจากไหน อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ว่าเหรอ?” 


 


 


“ตอนแรกก็ว่า ต่อมาเขาก็ตั้งเงื่อนไขกับผมน้อยลงจนถึงขนาดที่ผมไม่ต้องอยู่เรียนด้วยตัวเองต่อตอนเย็นอีกสามคาบ แต่ต้องรักษาผลการเรียนให้ดี แล้วก็ห้ามผมพาเพื่อนโดดเรียน ผมจะโดดก็ได้ แต่ห้ามพาคนอื่นไป” 


 


 


“งั้นก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้นายไม่ได้เกเรคนเดียว ยังพาเพื่อนทั้งห้องโดดเรียนด้วย?” เสี่ยวเชี่ยนถนัดมากเรื่องจับประเด็น เธอเข้าใจเรื่องราวแล้ว 


 


 


เขาไม่ใช่เด็กดีตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อก่อนเขาเป็นเด็กเกเรที่เรียนดี แต่สมองเต็มไปด้วยความคิดของเด็กแสบ 


 


 


“ประเด็นสำคัญไม่ใช่ตรงนี้ แต่อยู่ที่ผมอยากให้คุณอารมณ์ดีขึ้น” 


 


 


“ไม่เลยอะ” เธอไม่ใช่พวกที่เจ็บปวดแล้วจะอารมณ์ดีเสียหน่อย 


 


 


“เล่นดูเดี๋ยวก็สนุก ลูกเชี่ยน ถ้าเขาทำลายสายใยพ่อลูกเส้นสุดท้ายไปแล้ว งั้นผมก็หวังว่าตัวผมจะสามารถให้ความอบอุ่นกับคุณได้เพิ่มมากขึ้น เขาเป็นแค่อดีตของคุณ ผมสิเป็นอนาคต คุณจะมาเสียใจกับอดีตจนส่งผลต่ออนาคตไม่ได้นะ ต่อไปถ้าพวกเรามีลูกทุกอาทิตย์ผมจะหาเวลาพาเขามาเล่น แต่ก่อนมีลูกผมก็จะยกคุณเป็นลูกสาว มีเวลาก็จะพาคุณมา” 


 


 


พูดอ้อมตั้งไกล ในที่สุดก็เข้าประเด็น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจความหมายของเขาแล้ว ความหงุดหงิดเมื่อครู่ถูกความประทับใจเข้าแทนที่ 


 


 


พ่อที่ทำผิดต่อเธอคนนั้นไม่ควรจะยึดพื้นที่ในใจเธอให้มากมายจนเกินไป 


 


 


ผู้ชายคนนั้นไร้เยื่อใยต่อเสี่ยวเชี่ยน อวี๋หมิงหลางจึงไม่อยากให้เสี่ยวเชี่ยนต้องไปเปลืองแรงเปลืองใจกับคนแบบนี้ 


 


 


ความโกรธที่ลูกเชี่ยนมีเมื่อครู่ อวี๋หมิงหลางไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำลายความหวังต่ออนาคตอันสวยงามของเธอ อนาคตยังมีความสุขและความอบอุ่นอีกมาก ใช่ว่าทุกคนจะทำให้เธอเสียใจเหมือนอย่างพ่อเฮงซวย 


 


 


“บางครั้งฉันคิดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าตกลงนายเข้าใจหรือไม่เข้าใจฉันกันแน่” 


 


 


เมื่อกี้ยังทำเรื่องที่ไม่ได้เรื่องอยู่ พาตัวเธอที่ปวดร้าวไปทั้งตัวมาตีเทนนิส มาตอนนี้กลับทำให้เธออบอุ่นหัวใจ หรือนี่จะเป็นคนฉลาดแกล้งโง่อย่างที่เขาว่ากัน? 


 


 


“เรื่องในอดีตผมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คุณไปเกิดที่บ้านไหนก็ไม่ใช่เรื่องที่ผมตัดสินใจ แต่ผมสามารถทำให้ในอนาคตคุณมีความสุขทุกวัน คุณเป็นคนรักของผม คุณมีความรักที่ผมให้ก็พอแล้ว เขาจะรู้สึกอะไรกับคุณหรือไม่ก็ช่างเขา” 


 


 


“อันที่จริงฉันไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้มากระทบจิตใจ เพียงแต่…” 


 


 


“เพียงแต่คุณรู้สึกขัดแย้ง สติบอกคุณว่าไม่ต้องการความผูกพันอะไรทั้งนั้น แต่ความรู้สึกกลับบอกคุณว่าอดไม่ได้ที่จะผิดหวัง คุณคิดว่าการรู้สึกผิดหวังในตัวพ่อเฮงซวยเป็นอะไรที่ไม่คุ้มกันเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดที่ควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้ ในสายตาของคุณอารมณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเรื่องที่ไม่คุ้มค่า มันไร้สาระทั้งนั้นแต่คุณก็เอาชนะมันไม่ได้” 


 


 


สุดยอดไปเลยพี่ เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางอย่างอึ้งๆ 


 


 


เขามองเธอออกหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง นี่มันวิญญาณจิตแพทย์เข้าสิงชัดๆ 


 


 


“ทำไมนายรู้ความคิดของฉัน?” 


 


 


“เพราะความอ่อนแอที่คุณเกลียดเป็นสิ่งที่ผมอยากปกป้องพอดี ลูกเชี่ยน บางครั้งการยอมรับว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี ใช่ว่าจะเจ็บปวดไม่ได้ แบบนั้นจะยิ่งทำให้คุณเหมือนคนที่มีชีวิตมากกว่านะ แต่ความเจ็บปวดนี้ไม่ควรอยู่กับคุณนานจนเกินไป ไม่กี่วินาทีก็พอแล้ว อนาคตของคุณควรจะมีความสุขทุกวันนะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดจบก็จูงมือเธอเพื่อจะพาไปซื้อตั๋ว แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ 


 


 


“ลูกเชี่ยน?” 


 


 


“นายอยากให้ฉันมีความสุข?” 


 


 


“อืม” 


 


 


“อยู่ที่นี่ฉันไม่มีความสุข” 


 


 


“แล้วคุณอยากไปที่ไหน?” 


 


 


“กลับบ้าน กลับไปที่เตียงนาย” 

 

 

 


ตอนที่ 548 ชนะอย่างง่ายดาย

 

ถ้าให้อวี๋หมิงหลางบรรยายความรู้สึกถึงสงครามอันเร่าร้อนที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาจะขอพูดถึงตัวเองแบบนี้ โลกนี้ย่อมมีความยุติธรรม ทำอะไรไปย่อมได้ผลตอบแทน พูดได้ไม่สู้ทำให้ได้ ถ้าจะทำก็ทำให้ดีที่สุด มีความสุขจังโว้ย 


 


 


ไม่รู้ว่าราชินีของเขาทำไมอยู่ๆก็เมตตาประทานพรแบบนี้ เขาอ้อนวอนมาตั้งแต่เช้าถูกเธอด่าไปไม่รู้กี่รอบจนมาตอนนี้ที่เธอพุ่งเข้ามากอดเองแล้วก็ขึ้นสวรรค์ไปด้วยกัน ระหว่างนั้นฮอร์โมนในร่างกายทำอะไรไปบ้างเขาไม่รู้ แต่เขารู้แค่ว่าราชินีต้องการเขา เขาก็จะรับใช้ให้ถึงที่สุด 


 


 


ถ้าไม่ติดว่าต้องเลี้ยงข้าวตอนเย็นเขาก็ไม่อยากจะลุกขึ้น จะใช้โอกาสที่ลูกเชี่ยนกำลังอารมณ์ดีได้ที่จัดหนักจนถึงเช้าไปเลย 


 


 


ตอนเย็นเสี่ยวเชี่ยนอยากเลี้ยงข้าวสองพ่อลูกตระกูลเลี่ยว ถึงแม้พ่อเลี่ยวจะบาดเจ็บแค่เล็กน้อย แต่เขาก็เสนอตัวเข้าช่วยในตอนที่เจี่ยซิ่วฟางกำลังต้องการความช่วยเหลือที่สุด ถึงจะไม่ได้เป็นฮีโร่ช่วยจนสำเร็จ แต่น้ำใจที่หาได้ยากแบบนี้ก็ควรจะขอบคุณ เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเจี่ยซิ่วฟางยังคงหวาดกลัว เลยจะถือโอกาสนี้เลี้ยงปลอบขวัญแม่ไปด้วย 


 


 


สถานที่กินเลือกเป็นที่โรงแรมของพี่ชายอวี๋หมิงหลาง สองพ่อลูกมากันแล้ว 


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเลิกงานแล้วถึงได้รู้ว่าพ่อถูกทำร้าย เดิมพ่อเลี่ยวไม่อยากมาเพราะเขาช่วยไม่สำเร็จก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว แล้วจะมีหน้ามาให้เสี่ยวเชี่ยนเลี้ยงข้าวได้อย่างไร แต่ความรู้สึกลึกๆก็อยากใช้โอกาสนี้ใกล้ชิดเจี่ยซิ่วฟาง ดังนั้นจึงพาลูกชายมาด้วย 


 


 


เลี้ยงเสี่ยวเฉียงน้อยให้อิ่มแล้วนั้นก็มีข้อดีอยู่ เพราะตอนเย็นอวี๋หมิงหลางไว้หน้าเสี่ยวเชี่ยนมากๆ 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางสังเกตเห็นว่างานเลี้ยงปลอบขวัญนี้ว่าที่ลูกเขยทำได้ดีมาก คอยดูแลแขกทั้งสองคนแทนพวกเธอตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะกับพ่อเลี่ยวที่พอจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานให้คุยอยู่บ้าง บรรยากาศจึงดูไม่อึดอัด 


 


 


ปริญญาโทใบที่สองของอวี๋หมิงหลางเป็นด้านกฎหมาย จึงพูดคุยภาษาเดียวกันกับพ่อเลี่ยว เป็นครั้งแรกที่เจี่ยซิ่วฟางได้รู้ว่าคนทำงานในศาลก็แบ่งเป็นหลายขั้น ที่แท้เพื่อนบ้านที่เคยถกกับเธอเรื่องซื้อหัวไชเท้าที่ไหนถูกกว่าเป็นคนที่เก่งมาก 


 


 


ในทางกลับกันเจ้าภาพเฉินเสี่ยวเชี่ยนที่ควรจะพูดคุยกับแขกกลับนิ่งเงียบตลอดงาน นั่งหาวไปหลายรอบ คนอื่นพูดกันเรื่องประเด็นร้อนอะไรก็ถามคำตอบคำ คล้ายกับคนยังไม่ตื่นดี 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางไม่แน่ใจว่าลูกสาวไม่พอใจในตัวพ่อเลี่ยวหรือว่าไม่สบายกันแน่ จึงฉวยโอกาสตอนที่อวี๋หมิงหลางออกไปเข้าห้องน้ำกับพ่อเลี่ยวถามเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อเป็นอะไรไป?” 


 


 


ยังจะเป็นอะไรได้ ก็ถูกอวี๋หมิงหลางสูบพลังไปหมดน่ะสิ ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนอยากหาร้านนวด บรรเทาอาการเจ็บปวด 


 


 


แต่พอนึกได้ว่าบนตัวเธอมีแต่รอยจูบของหมาทหารก็เลยต้องล้มเลิกความคิดไป 


 


 


“เปล่า ไม่สบายนิดหน่อย” 


 


 


“น้องเสี่ยวเชี่ยน เดี๋ยวพี่ขอน้ำอุ่นให้ ไม่สบายก็อย่าดื่มน้ำผลไม้เย็นๆเลย” เลี่ยวฟู่กุ้ยพูดอย่างใส่ใจ 


 


 


“ขอบคุณแต่ไม่ต้องหรอกค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างมีมารยาท ตอนนี้เธอไม่ได้อคติกับเลี่ยวฟู่กุ้ยเท่าไรแล้ว 


 


 


พ่อของเขาต้องมาซวยไปด้วยเพราะช่วยแม่เธอ ยังคิดว่าเขาจะดึงความคิดของท่านผู้นำมาแสดงความเห็นเสียอีก แต่ปรากฏว่าเขากลับแสดงความเป็นห่วงต้าหลงกับแม่เธอว่าขวัญเสียหรือเปล่า ตอนที่เธอกับอวี๋หมิงหลางไปถึงเห็นเขากำลังเล่นเกมกระบะทรายกับน้องชายเธออยู่ 


 


 


คะแนนความดีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว 


 


 


มองดูผิวเผินเหมือนเล่นเกมธรรมดา แต่เสี่ยวเชี่ยนเป็นจิตแพทย์ เกมแบบนี้ใช้ในงานรักษาสภาพจิตใจที่มีความผิดปกติ สามารถรักษาและวินิจฉัยโรคทางจิตเวชได้หลายโรค เลี่ยวฟู่กุ้ยกำลังใช้วิธีพิเศษวินิจฉัยว่าเจี่ยซิ่วฟางกับต้าหลงขวัญเสียหรือเปล่า  


 


 


อาจเพราะคำนึงถึงว่าต้าหลงเป็นเด็ก ค่อนข้างเห็นแก่หน้าตัวเอง ถ้าถามว่าตกใจหรือเปล่าจะต้องตอบว่าไม่อย่างแน่นอน การใช้กระบะทรายทดสอบเหมาะสมที่สุด คำนึงถึงสภาพจิตใจของเด็กวัยรุ่น และก็สามารถเข้าใจได้ว่ามีบาดแผลหลงเหลือในจิตใจของเขาหรือเปล่า 


 


 


พอเสี่ยวเชี่ยนเห็นแบบนั้นความโกรธเกลียดที่มีต่อเลี่ยวฟู่กุ้ยเมื่อชาติก่อนก็หายไปเกินครึ่ง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะอารมณ์ดีหลังจากได้ผ่านศึกบนเตียง เธอพบว่าในหลายชั่วโมงหลังจากที่ได้ออกศึกกับอวี๋หมิงหลางเธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เป็นการยืนยันทางอ้อมเกี่ยวกับเรื่องบนเตียง ใช่ว่าจะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ 


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยถูกเสี่ยวเชี่ยนปฏิเสธก็รู้สึกอาย เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาทำหน้าเครียดจึงยิ้มออกมา 


 


 


“ฉันดื่มน้ำเย็นเพราะคอไม่ค่อยโอเคเท่าไร ไม่ใช่เพราะไม่อยากรับน้ำใจ อย่าเครียดไปเลยนะคะ” 


 


 


เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้เลี่ยวฟู่กุ้ย พอยิ้มไปแบบนั้นเลี่ยวฟู่กุ้ยก็หน้าร้อนผ่าว ใบหน้าออกอาการแดงเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ 


 


 


อวี๋หมิงหลางยกจานผลไม้เข้ามาพอเห็นภาพนั้นเซ้นส์ของมือสไนเปอร์ก็ทำงานทันที เขาเอาจานผลไม้ที่ตั้งใจเตรียมมาให้เสี่ยวเชี่ยนดันไปที่ข้างหน้าเธอ แล้วคุยเล่นกับเลี่ยวฟู่กุ้ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 


 


 


แตงโมเย็นฉ่ำพอกินลงไปแล้วก็ช่วยให้คอที่ระคายเล็กน้อยอาการดีขึ้นมาก เสี่ยวเชี่ยนกินแตงโมพลางมองอวี๋หมิงหลางกับเลี่ยวฟู่กุ้ยคุยกัน เธอพบว่าอีคิวของตาทหารทึ่มของเธอจะเปลี่ยนไปแค่กับเฉพาะบุคคล 


 


 


อย่างน้อยพออยู่กับคนนอกก็อีคิวสูง คุยเก่ง 


 


 


“พอเสร็จเรื่องเสียวเหม่ยก็เหนื่อยมากกลับไปนอนได้สักพักเพิ่งตื่นมา ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยประหลาดนิดหน่อยชอบกินของเย็นตอนเพิ่งตื่น เมื่อก่อนชอบตื่นมากลางดึกแอบไปกินน้ำเย็นในตู้เย็น ผมเคยถามแม่ดู แม่บอกว่ากินได้ไม่เป็นไรแต่อย่าให้เย็นมาก ไม่อย่างนั้นไม่ดีต่อร่างกาย” 


 


 


คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร ดูใส่ใจ แต่รายละเอียดน่ากลัวมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มแหยๆพลางมองเขาที่แสร้งทำเป็นคนดี นี่คิดจะแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของต่อหน้าเลี่ยวฟู่กุ้ยสินะ? 


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยเองก็เป็นถึงดอกเตอร์ ไอคิวย่อมไม่ต่ำ ฟังออกในความหมายลึกๆที่แฝงอยู่ในคำพูดของอวี๋หมิงหลาง พวกเขาเป็นคู่หมั้นกันพูดแบบนี้ก็แสดงว่าอยู่ด้วยกันนานแล้ว เขาจึงก้มหน้าดื่มชาเพื่อปกปิดความตื่นตระหนกที่ถูกอวี๋หมิงหลางมองออก 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางไม่ได้คิดลึกอะไร เธอกำลังนั่งนึกอยู่ว่าลูกสาวมีนิสัยประหลาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดถูกครึ่งไม่ถูกครึ่ง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมีนิสัยชอบกินน้ำเย็นของเย็นก็จริง แต่ไม่ใช่ตื่นนอนมากลางดึกแล้วกิน หลังเสร็จกิจต่างหาก 


 


 


ก่อนหน้านี้อวี๋หมิงหลางไม่เคยสังเกต แต่ครั้งนี้ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้อยู่ด้วยกันข้ามคืน ครั้งแรกเสี่ยวเชี่ยนเอาผ้าปูที่นอนห่อตัวแล้วลงไปหาน้ำดื่มในตู้เย็นที่อวี๋หมิงหลางแช่ไว้นานมากแล้ว อวี๋หมิงหลางยังคิดว่าเป็นแค่เรื่องบังเอิญ 


 


 


แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เธอถีบเขาลงจากเตียงให้ไปหยิบน้ำเย็นมา แต่ในบ้านไม่มีน้ำแล้วเขาจึงใส่เสื้อผ้าออกไปซื้อน้ำเย็นให้เธอ พอดื่มเสร็จเธอก็นอนหลับสบาย เขาคิดว่าในที่สุดตัวเองก็ค้นพบนิสัยประหลาดของเธอแล้ว หลังจากเสร็จกิจเธอชอบที่จะดื่มน้ำเย็นหรือกินแตงโมเย็นๆ—เรื่องแตงโมนี่เขาใช้ความเป็นชายคิดเอาเอง 


 


 


“พี่หลาง ทำไมพี่เรียกพี่ผมว่าเสียวเหม่ยล่ะ?” เฉินจื่อหลงถามในสิ่งที่เขาอยากถามมานานแล้ว เลี่ยวฟู่กุ้ยมองน้องต้าหลงอย่างขอบคุณ น้องคนนี้นี่ดีจริงๆ ช่วยชีวิตได้ทัน เขากำลังอายอยู่พอดี 


 


 


“ชื่อเล่นแบบเฉพาะไง ก็เหมือนกับที่พี่หยุนฉางมีชื่อว่าฟู่กุ้ย ใช่ไหมพี่ฟู่กุ้ย?” 


 


 


ฟู่กุ้ยหัวใจสลาย ฮือๆ ทำไมแม้แต่อวี๋หมิงหลางก็เป็นท่าไม้ตายฟู่กุ้ยห้าครั้งติดล่ะ? 


 


 


อวี๋หมิงหลางยังไม่ทันจะได้เอาจริงก็ชนะศัตรูหัวใจอย่างง่ายดาย เขายิ้มอย่างมีชัยจนในที่สุดก็ปล่อยฟู่กุ้ยที่น่าสงสารไปแล้วตั้งใจดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขก เรื่องบางเรื่องยังไม่ทันเริ่มก็สิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งมันก็เป็นบทสรุปที่ดีที่สุด 

 

 

 


ตอนที่ 549 ต้องพูดให้ชัดเจน

 

 


 


หลังกินกันเสร็จพ่อเลี่ยวก็ไปขับรถ พวกเจี่ยซิ่วฟางยืนกันอยู่ข้างทาง


 


 


“รถของอาเลี่ยวไม่รู้จะเบียดกันหมดหรือเปล่า ทำไมหมิงหลางไม่ขับรถมาล่ะ?” เจี่ยซิ่วฟางถามอวี๋หมิงหลาง


 


 


“ดื่มเหล้าไม่ขับรถ” เสี่ยวเชี่ยนตอบแทนอวี๋หมิงหลาง


 


 


“ก็จริง งั้นพวกเราเบียดๆเอา หมิงหลางกลับแท็กซี่เหรอ?”


 


 


อวี๋หมิงหลางแกล้งไอ ฉวยโอกาสตอนเจี่ยซิ่วฟางไม่สนใจส่งซิกให้เสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นอวี๋หมิงหลางร้อนใจแต่ยังต้องแสร้งทำใจเย็นก็แอบขำในใจ อยากจะแกล้งแต่ก็แอบสงสาร


 


 


“หนูจะให้หมิงหลางไปส่งหนูกลับมหาลัย”


 


 


“เฉิน เสี่ยว เชี่ยน” เจี่ยซิ่วฟางกัดฟันพูด อย่าคิดว่าเธอดูไม่ออก เด็กคนนี้คิดจะไปนอนกับอวี๋หมิงหลาง


 


 


เมื่อวานลูกสาวเธอบอกว่าจะกลับมหาวิทยาลัย แต่ปรากฏว่าวันนี้โทรไปไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง แสดงว่าเมื่อคืนไปนอนกับอวี๋หมิงหลางมาแน่ๆ


 


 


ยังไม่แต่งงานทำแบบนี้ไม่ดี เจี่ยซิ่วฟางรู้นานแล้วว่าลูกสาวกับอวี๋หมิงหลางคงทำกันไปแล้ว แต่นี่ต่อหน้าคนอื่นไม่ไว้หน้าแม่ จะมาบอกว่าไม่กลับบ้านก็ดูเกินไป


 


 


“แม่ หนูรู้ว่าตัวเองทำอะไร แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกดูแลตัวเองก็พอแล้ว”


 


 


อวี๋หมิงหลางยิ้มตาหยีพลางพูด “คุณน้าวางใจเถอะครับ ผมไปส่งเสี่ยวเชี่ยนกลับมหาลัยอย่างปลอดภัยแน่นอน”


 


 


เรื่องไปส่งน่ะเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้


 


 


บอกไว้แล้วว่าสองคืนหนึ่งวัน ขาดไปไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่ได้ นี่คือหลักการ


 


 


“ดึกป่านนี้แล้วไปนอนบ้านสักคืนไม่ได้เหรอ?” เจี่ยซิ่วฟางพยายามส่งซิกให้เสี่ยวเชี่ยน


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเสียวเหม่ยของเขาจะติดปีกบินหนีไปแล้ว ว่าที่แม่ยายดูเหมือนจะพาเธอกลับให้ได้


 


 


เสี่ยวเชี่ยนโบกมือให้เขาเป็นสัญญาณว่าให้พาเฉินจื่อหลงออกไป เธอต้องการคุยกับเจี่ยซิ่วฟางตามลำพัง


 


 


“แม่ แม่รู้หรือเปล่าว่าอาเลี่ยวทำงานอะไร?”


 


 


“พูดเรื่องของแกสิ จะลากเขามาเกี่ยวทำไม?” เจี่ยซิ่วฟางไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆลูกสาวก็พูดเรื่องนี้


 


 


“ตั้งแต่อายุสิบแปด ทุกเรื่องที่หนูทำหนูรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่แม่แม้แต่คนรอบตัวทำงานอะไรยังไม่รู้เลย เอาแค่อาเลี่ยวละกัน เขาทำงานอะไรแม่รู้หรือเปล่า?”


 


 


“ก็ทำงานที่ศาลไง ทำไมฉันจะไม่รู้”


 


 


“แล้วเขาอยู่ขั้นไหนแม่รู้ไหม?”


 


 


“ทำงานก็คือทำงาน ยังจะมีขั้นเขิ้นอะไร…ฉันเห็นหน่วยงานเขาสวัสดิการใช้ได้ เทศกาลทีก็แจกผลไม้ ตอนนี้ยังกินไม่หมดเลย”


 


 


ถึงเจี่ยซิ่วฟางจะร่ำรวยขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เป็นเหมือนกระดาษขาว เธอรู้แค่ว่าหน่วยงานที่แจกผลไม้ก็แสดงว่าสวัสดิการผลตอบแทนดี


 


 


“หนูพูดเรื่องตำแหน่งในศาลให้ฟังแม่อาจไม่เข้าใจ งั้นเอาตรงๆก็ประมาณรองหัวหน้าศาล รายได้ถ้าลองคำนวณดูก็ประมาณกึ่งๆระดับผู้ว่าเมือง ถ้าจะอธิบายตามความเข้าใจของแม่ก็อารมณ์ผู้ว่าราชการจังหวัดแบบในละครที่แม่ดู ผู้ว่าจังหวัดนะแม่ ไม่ใช่นายอำเภอ เข้าใจหรือยัง?”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางอึ้ง


 


 


“แกหมายความว่า ข้างบ้านเรามีคนระดับเปาบุ้นจิ้นที่ซื้อผักกาดขาวยังต่อราคาอาศัยอยู่เหรอ?”


 


 


“เรื่องตำแหน่งอย่างละเอียดดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้ แต่เรื่องค่าตอบแทนที่ได้ก็ราวๆนี้แหละ หนูก็แค่ลองเทียบให้แม่ดู”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนใช้วิธีอธิบายให้เจี่ยซิ่วฟางเข้าใจง่ายๆ ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่แบบนั้น ตำแหน่งแต่ละขั้นยึดหลักตามสมัยราชวงศ์ชิง ระดับนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณระหว่างขุนนางขั้นสี่กับขั้นห้า ค่อนข้างใหญ่พอตัว


 


 


“คุณพระช่วยอกอีแป้นจะแตก ทำไมท่านเปามาอยู่บ้านเก่าๆที่มีแค่สองห้องนอนได้ล่ะ? อีกทั้งยังซื้อผักกาดขาว…รถที่ลูกชายเขาขับยังสู้ลูกเขยฉันไม่ได้เลยนะ”


 


 


ในสายตาของเจี่ยซิ่วฟางคนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลที่ลึกลับซับซ้อนขั้นสุด


 


 


“ขุนนางก็แบ่งชั้นดีชั้นเลว คนที่ซื้อผักกาดขาวยังต่อราคาคนนั้นน่ะเห็นได้ชัดว่าเป็นขุนนางชั้นดี รายได้ใช่ว่าจะหาได้เยอะกว่าแม่ เขาเป็นคนใสสะอาดถ่อมตัวนั่นก็เพราะศีลธรรมสูงส่ง แต่เขาก็ยังแตกต่างจากพวกเราเยอะ”


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ ตกลงแกอยากพูดอะไรกันแน่?”


 


 


“หนูไม่คัดค้านถ้าแม่จะหาพ่อเลี้ยงให้ แต่มันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสุขในการอยู่ร่วมกันที่จะต้องพูดคุยภาษาเดียวกันด้วย หนูไม่อยากให้แม่แต่งงานครั้งที่สองแล้วก็ยังไม่มีความสุข ถ้าไม่มีภูมิหลังที่เหมือนกัน อย่างน้อยๆก็ต้องเหมือนหนูกับอวี๋หมิงหลางที่พูดจาภาษาเดียวกัน ซึ่งแม่กับอาเลี่ยวไม่มี วันนี้ที่หนูเชิญสองพ่อลูกมากินข้าวก็เพราะไม่อยากติดหนี้บุญคุณ แม่เข้าใจหนูใช่ไหม?”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางถลึงตามอง รู้สึกเหมือนลูกสาวได้พูดอะไรที่ยอดเยี่ยมออกมา อยากจะคัดค้านว่าอย่าพูดไร้สาระ แต่ก็เหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่คอ พูดไม่ออก


 


 


บางทีเสี่ยวเชี่ยนก็แค่เจาะม่านกระดาษบางๆที่กั้นอยู่ในใจเธอให้ทะลุ


 


 


“หนูก็ยังคงพูดเหมือนเดิม หนูรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร หวังว่าแม่ก็คงจะรู้เหมือนกัน คนเราถ้าไม่มองให้ไกลก็จะเสียใจภายหลังได้”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้พูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของแม่เพียงเพราะอยากจะไปนอนกับอวี๋หมิงหลาง คำพูดนี้พูดออกมาในเวลานี้เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่เจอเรื่องพ่อเฮงซวยเล่นงาน เสี่ยวเชี่ยนอยากให้แม่ที่ไม่ประสีประสาได้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที


 


 


พอพูดออกไปแล้วเห็นแม่ดูหน้าเสียมาก เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ร้ายมาก


 


 


แต่ถ้าไม่ร้ายตอนนี้ จะต้องรอจนแม่เสียใจอีกรอบก่อนค่อยร้ายเหรอ?


 


 


“คนเรามีทางให้เลือกเดินเยอะ ตอนอายุน้อยถ้าผิดพลาดไปยังแก้ได้ แต่พอถึงวัยเท่าแม่แล้วก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเริ่มสร้างความรู้สึกกับใครใหม่ได้แล้วนะ หนูอยากให้อนาคตของแม่ทุกอย่างก้าวเดินไปอย่างถูกต้อง”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางฟังลูกสาวพูดแล้วก็ขอบตาแดงๆ อยากพูดบางอย่างแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้แค่เงยหน้าไม่ให้น้ำตาไหลออกมา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองดราม่ามาก เป็นเพราะอวี๋หมิงหลางคนเดียวเลย


 


 


พ่อเลี่ยวขับรถมาแล้วเรียกให้เจี่ยซิ่วฟางขึ้นรถ


 


 


“ไม่รบกวนดีกว่าเดี๋ยวฉันกับลูกจะเรียกรถกลับเอง…” เจี่ยซิ่วฟางหันหน้าหนีไม่อยากให้สองพ่อลูกเห็นว่าเธอสีหน้าไม่ดี เธอจะร้องไห้แล้ว


 


 


“ทางเดียวกันจะเป็นการรบกวนได้ยังไง” พ่อเลี่ยวยังมองไม่ออกว่าเจี่ยซิ่วฟางดูแปลกๆไป


 


 


“ขอบคุณค่ะอาเลี่ยว ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ก่อนหน้านี้แม่หนูไปรบกวนให้อาดูแลบ่อยรู้สึกขอบคุณมาก เป็นความบกพร่องของหนูเองที่ไม่ดูแลแม่ให้ดีค่ะ”


 


 


คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนฟังดูเหมือนขอบคุณ แต่แฝงความนัย


 


 


พ่อเลี่ยวเป็นคนเข้าใจง่าย เขาลงจากรถเดินตรงมาหาเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เสี่ยวเชี่ยน ทำไมพูดจาเกรงใจแบบนั้นล่ะ?”


 


 


“ไม่ได้เกรงใจนะคะ หนูจริงจังค่ะ ว่ากันว่าญาติที่อยู่ไกลหรือจะสู้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่พวกเราไม่ได้เป็นทั้งญาติทั้งเพื่อน จะรบกวนคุณอาบ่อยๆก็เกรงใจ คู่หมั้นหนูจะช่วยเลือกที่ที่เหมาะสมให้แม่หนู สภาพแวดล้อมจะช่วยให้แม่กับน้องชายหนูโอเคขึ้นเองค่ะ”


 


 


“ฉันเข้าใจแล้ว…” พ่อเลี่ยวเข้าใจความหมายของเสี่ยวเชี่ยน เขานิ่งอยู่สักพัก มองเจี่ยซิ่วฟางที่หันหลังให้ เอ่ยคำลาแล้วเดินขึ้นรถไป


 


 


พอรถไปไกลแล้วเจี่ยซิ่วฟางถึงหันกลับมา เสี่ยวเชี่ยนมองสายตาของแม่ที่ดูเศร้าสร้อย ในใจเหมือนมีฝูงแกะนับหมื่นตัวกำลังวิ่งพล่าน


 


 


ทำไมเธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าแม่ซีหวังหมู่ที่หยิบปิ่นปักผมออกมาวาดทางช้างเผือก? สายตาของแม่ทำไมช่างเหมือนกับสาวทอผ้า ส่วนหนุ่มเลี้ยงวัวก็ขับรถพาลูกชายไปทางเหนือแล้ว สาวทอผ้าได้แต่มองตาละห้อยทั้งน้ำตา


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำตัวเป็นคนเลวอีกแล้ว อยากจะได้รับการปลอบใจจากอวี๋หมิงหลางหน่อย แต่พอกวาดตาไปมองเขาก็โมโหควันแทบออกจากจมูก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม