ยอดเซลล์แมนทะลุมิติ 537-550

 537

รักษา

 


 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะแปลกประหลาด แววตาต่ำช้าทั้งสกปรกโสมม หลินหว่านหรงหันหน้าไปมองก็เห็นว่าที่ตัวเองถืออยู่ในมือก็คือผ้าไหมสีแดงสดอ่อนนุ่ม ขอบลายดอกกลมๆ เมื่อพับแล้วก็มีขนาดเท่าฝ่ามือ ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ ผืนหนึ่ง นุ่มนิ่มเรียบลื่นดั่งสายน้ำ งดงามเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิง เฉกเช่นดวงหน้าสีแดงร้อนลวกของอวี้เจียสาวน้อยทูเจวี๋คนนี้ กระทั่งยังสัมผัสถึงความอบอุ่นเล็กน้อยได้อีกด้วย 


 


 


มองดูตู้โตวสีสันสดใสที่อยู่ในมือจอมทัพของพวกตน เหล่า ‘โจร’ ต้าหัวก็อดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้ พยายามสะกดกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ สีหน้าคลุมเครือมากเท่าใดก็คลุมเครือมากเท่านั้น เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็ยิ่งหน้าแดงก่ำ กำสองหมัดแน่น กัดฟันกรอดจงส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ดวงตาแวววาวพ่นไฟออกมาหลายจั้ง จ้องมองเขาเขม็ง 


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าเป็นปกติ หัวเราะฮ่าๆ กล่าววาจาโดยไร้ความละอาย “เอ๊ะ ผ้าเช็ดหน้าสีแดงผืนใหญ่จังเลยนะ มือสองข้างของข้ายังกุมไม่หมดเลย! กำลังขาดผ้าซับหน้าหลังล้างหน้าอยู่พอดี ผ้าเช็ดหน้านี้เป็นของข้าแล้ว…” 


 


 


“ซู่มั่วหนูซีซ่า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงด่าทอไฟแลบ ดวงตามีน้ำตาเอ่อ กระชากตู้โตวในมือเขามาอย่างแรง จนฉีกขาดเป็นสองส่วนเสียงดังแคว่กแล้วโยนลงบนพื้น ยกรองเท้าขี่ม้าขึ้นแล้วเหยียบย่ำลงไปอ่างหนักหน่วง ปากยังพร่ำบ่นอะไรออกมาอีกด้วย 


 


 


หลินหว่านหรงกะพริบตา ถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ “พี่หู นังหนูนี่พูดอะไรหรือ เหตุใดต้องแย่งผ้าเช็ดหน้าข้าไปด้วย?!” 


 


 


นอกจากความนับถือหนังหน้าของแม่ทัพหลินแล้วก็มีแต่ความนับถือ หูปู้กุยหัวเราะแล้พูดว่า “ไม่มีอะไรขอรับ สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้นิสัยรุนแรง นางบอกว่าท่านลูบคลำของของนางก็เหมือนกับสุนัขบ้าที่กัดดอกไม้บนทุ่งหญ้า นางสาปแช่งให้ท่านตายไวๆ ขอรับ” 


 


 


เหล่าหูแม้จะแปลแบบปิดบังแล้ว แต่หลินหว่านหรงเป็นคนชนชั้นใด แค่กะพริบตาก็รู้ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็บอกให้ข้าไปตายล่ะสิ เขาหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย “ไม่เป็นไรๆ ตีคือสนิท ด่าคือรัก รักจนถึงขีดสุดก็ใช้เท้าเตะถีบ ข้าไม่เคยกลัวสาวน้อยด่ามาก่อน นางยิ่งด่าข้าก็ยิ่งมีความสุข…แค่กๆ เมื่อผ่านการทดสอบอันเข้มงวดจากข้า แม่นางอวี้เจียก็รู้จักยาพวกนี้จริงๆ น่าจะรักษาคนไข้ได้ไม่ผิดแน่ พี่หู ท่านบอกนางเถิด ตอนนี้มีคนดีมากน้ำใจและเที่ยงธรรมอันดับหนึ่งแห่งต้าหัวต้องการทำการค้าที่บริสุทธิ์ยุติธรรมกับนาง” 


 


 


หูปู้กุยแปลโดยละเนื้อหาที่อยู่ในคำพูดเขาบางอย่างไปอย่างระมัดระวัง หลังจากแปลแล้วเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็แค่นเสียงเย็นชาคราหนึ่ง พูดโดยไม่แยแสว่า “ทุ่งหญ้ามีคำพูดว่าเอาไว้ จันทร์กระจ่างจะไม่มีวันส่องฝูงหมาป่าโลภมากชั่วนิรันดร์ ข้าอวี้เจียไม่มีวันทำการค้ากับคนต่ำช้าไร้ยางอายสกปรกโสมมเช่นเจ้านี้แน่!” 


 


 


“ฉับ!” นางพูดยังไม่ทันจบก็เห็นหัวหน้าโจรคนนั้นชักดาบแล้วฟันไปที่ม้าของขบวนพ่อค้า ระหว่างที่โลหิตสาดออกไปไกลนั้น ม้าก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาออกมาคราหนึ่ง แล้วค่อยๆ จมกองเลือดลงไป 


 


 


หัวหน้าโจรที่เพิ่งพูดจาสรวลเสเฮฮาเมื่อครู่ ยามนี้หน้าดำดั่งน้ำหมึก ดาบยาวนำมาชิดริมฝีปาก เป่าอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ บนคมดาบมีเลือดหยดติ๋งๆ ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยนในบัดดล มองดูคนในเผ่า ‘ผู้อ่อนแอ’ ข้างหลัง น้ำตาคลอเบ้า ในที่สุดก็ผงกศีรษะ “เจ้าจะทำการค้าอะไร?!” 


 


 


“สาวน้อยผู้ฉลาดหลักแหลม!” หลินหว่านหรงเปลี่ยนเป็นสีหน้ายิ้มแย้ม หัวเราะฮิฮะ “เจ้าวางใจเถิด ข้าคนนี้ยุติธรรมมาก ต่อให้เจ้าจะจับจ้องความงามของข้า ต้องการทำการค้าสัมพันธ์ชายหญิงกับข้านั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ความบริสุทธิ์ของข้าเป็นของเมียข้าเท่านั้น เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ขอเพียงเจ้ารักษาพี่น้องของข้าหาย ข้าจะให้หนึ่งชีวิตแลกหนึ่งชีวิต ปล่อยคนในเผ่าเจ้าไปคนหนึ่ง เจ้าว่าอย่างไร?” 


 


 


คนผู้นี้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง อวี้เจียฟังแล้วก็เดือดดาล “เจ้าชาวต้าหัวที่ไร้ยางอายคนนี้ นึกว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร ข้าช่วยคนบาดเจ็บชาวต้าหัวของเจ้าคนหนึ่ง เจ้าถึงปล่อยคนในเผ่าข้าคนหนึ่ง เห็นข้าหลอกง่ายนักหรือ เจ้าพ่อค้าชั่วที่ไร้มโนธรรม!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้กลับรู้สมญานามของข้าด้วย? หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่ต้องร้อนใจไป ในเมื่อเป็นการค้า เช่นนั้นก็ต้องมีการต่อรอง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน เจ้าว่ามาเถิดว่าต้องการรปล่อยกี่คนเจ้าถึงจะช่วยรักษาคน?” 


 


 


จมูกน้อยของเยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงออกมาคราหนึ่ง “นอกเสียจากเจ้าจะปล่อยคนในเผ่าข้าไปทั้งหมด มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีวันช่วยเจ้าช่วยเหลือคนแน่” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา จ้องมองนางเขม็ง “น้องสาว เป็นคนก็ต้องมีความจริงใจบ้าง อย่านึกว่าผู้อื่นเป็นไอ้โง่ จะปล่อยให้เจ้ารังแกได้! ข้าขอให้เจ้าช่วยคนเดียว กลับจะให้ข้าปล่อยคนมากขนาดนี้ ที่แท้ใครที่เป็นพ่อค้าชั่วกันแน่ เชื่อว่าในใจทุกคนต่างรู้ดี ต่อครั้งเดียว ข้าปล่อยสิบคน เจ้าช่วยหนึ่งคน!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอดส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ มองเขาอย่างดูแคลน ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


“เช่นนั้นข้าจะใช้ท่าไม้ตายแล้ว” หลินหว่านหรงแค่นเสียงออกจมูกคราหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมรับดีๆ เช่นนั้นพวกเราทำตรงข้ามก็ได้ พี่เกา ลับมีดฆ่าคน! ข้าอยากจะลองดูสิวาต้องฆ่าสักกี่คน นังหนูนี่ถึงจะยอมจำนน” 


 


 


เกาฉิวรับคำ เอาดาบใหญ่พาดบ่า เดินไปทางพ่อค้าทูเจวี๋ยทีละก้าวๆ งานที่เขาทำอยู่ในวังหลวงก็คือขู่ให้คนกลัวโดยเฉพาะ รูปร่างหน้าตาท่าทางกอปรด้วยความน่าเกรงขามยิ่งนัก บวกกับศึกใหญ่ที่สู้กับเฮ่อหลี่เย่เมื่อครู่ก็ได้เปรียบ เจ้าคนเป่าเคราถลึงตาโพลงคนนี้ พ่อค้าทูเจวี๋ยเหล่านี้ไม่มีผู้ใดกล้ากระตุกหนวดเสือ ถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว 


 


 


ดูจากท่าทีของโจรหน้าดำตัวดำคนนี้แล้ว ช่างทำเรื่องอะไรออกมาก็ได้จริงๆ สาวน้อยทูเจวี๋ยที่ชื่ออวี้เจียถูกเขาบีบจนหมดหนทางถอย อดตวาดด้วยโทสะออกมาไม่ได้ “หากเจ้าฆ่าคนในเผ่าของข้า ข้าอวี้เจียขอสาบานต่อเทพแห่งทุ่งหญ้า จะไม่รักษาให้เจ้าสักคนแน่” 


 


 


“เป็นการขู่ที่ร้ายกาจเสียเหลือเกินนะ! ข้ากลัวจังเลย!” หลินหว่านหรงหัวเราะเย้ยหยันอย่างดูแคลน “คิดว่าข้าจะตกใจยกใหญ่จริงๆ หรือ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุยเงื่อนไข…พี่เกา ยังจะรออะไรอีก ลงมือ!” 


 


 


เกาฉิวส่งเสียงด้วยโทสะ ชูดาบใหญ่แล้วฟันไปยังศีรษะของชาวทูเจวี๋ย 


 


 


อวี้เจียปาดสองตาเล็กน้อย น้ำตาสองสายไหลรินอย่างเงียบงัน กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “เอาเถิด เจ้าชนะแล้ว ขอเพียงเจ้าปล่อยคนในเผ่าข้าครึ่งหนึ่ง ข้าจะรักษาคนป่วยคนนั้นของเจ้า” 


 


 


ดาบสังหารของเหล่าเกาหยุดอยู่เหนือศีรษะของชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น แอบหัวเราะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง 


 


 


“ครึ่งหนึ่ง? มากขนาดนั้นเชียว?!” หลินหว่านหรงขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจมาก 


 


 


นัยน์ตาสีฟ้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยพ่นเพลิงโทสะออกมาอย่างเร็วรี่ โบกแกว่งกำปั้นพร้อมตวาดเสียงเจื้อยแจ้วอย่างมีน้ำโห “ชาวต้าหัวผู้ชั่วช้า เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? หากแม้แต่คนในเผ่าเพียงครึ่งเดียวก็ไม่อาจรักษาไว้ได้ ข้าก็ยอมตายภายใต้ดาบโจรของพวกเจ้านี้ไปพร้อมกับพวกเขา!” 


 


 


“เอาเถอะ!” หลินหว่านหรงถอนหายใจด้วยความลำบากใจ “ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง เฮ้อ ไม่เคยเห็นโจรที่มีเมตตาอย่างข้าขนาดนี้มาก่อนเลย! แต่ว่านะ ข้าก็ขอบอกเอาไว้ก่อน พี่น้องของข้าได้รับบาดเจ็บจากธนู ยังสลบไสลอยู่…” ดวงตาเขาสาดประกายอำมหิต กล่าวด้วยท่าทางดุร้ายป่าเถื่อน “หากเจ้าช่วยพี่น้องข้าไม่ได้ ข้าก็ไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์หรือเยวี่ยวานเอ๋อร์อะไรนั่น เจ้าอย่าโทษว่าข้าฝีมือโหดเ**้ยมไร้น้ำใจ ข้าจะให้ชนเผ่านอกด่านเช่นพวกเจ้าฝังเป็นเพื่อนเขาทั้งหมด!” 


 


 


ไอสังหารของเขาแผ่กระจาย สีหน้าดุร้าย ประกายดุร้ายภายในดวงตาประหนึ่งหมาป่าร้ายบนทุ่งหญ้า แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยรูปร่างสูงใหญ่ดุร้ายเช่นนี้ก็ยังต้องรู้สึกกลัวอยู่บ้าง 


 


 


อวี้เจียกลับไม่กลัวหมาป่าตัวนี้ เหลือบมองเขาอย่างดูแคลนหลายครั้ง กล่าวด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น “ขอเพียงคนยังไม่ตาย ข้าก็มีความมั่นใจเจ็ดส่วนที่จะช่วยเขาให้รอดชีวิต! หวังว่าเจ้าจะรักษาคำสัญญา ปล่อยคนในเผ่าของข้าโดยเร็ว” 


 


 


นังหนูนี่ฝีปากกลับไม่เบาเลยนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แม่นางเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าจงวางใจเถอะ ต้องรู้ว่าสมญานามบุรุษผู้มีความเที่ยงธรรมคุณธรรมน้ำใจเป็นอันดับหนึ่งของต้าหัวของข้าไม่ได้มีอย่างเสียเปล่า เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เพื่อแสดงความจริงใจของข้า ข้าจะปล่อยคนในเผ่าของเจ้าคนหนึ่งก่อน…นั่นน่ะ ที่ขาขาดน่ะ มองอะไร พูดถึงเจ้านั่นละ ก็เจ้านั่นละ! เจ้าไปได้แล้ว! พี่เกา ส่งไม้ค้ำให้มันสักอันหนึ่งเถอะ! ทุกคนออกมาหากิน ไม่ง่ายดายเลยนะ!” 


 


 


พ่อค้าทูเจวี๋ยผู้นี้ระหว่างที่ปะทะกันเมื่อครู่ก็ถูกนายทหารต้าหัวฟันจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขาดทั้งสองข้าง เมื่อได้ยินหัวหน้าโจรเจาะจงว่าจะปล่อยตนเองไปก่อนก็พลันบังเกิดโทสะโจมตีจิตใจ ถ้าเขาเดินได้มารดามันจริงๆ ก่อนอื่นจะฟันเจ้าหน้าดำเช่นเจ้าก่อน ชาวทูเจวี๋ยผู้นั้นด้วยความโมโหร่างจึงหงายหลัง สลบล้มไปทันที 


 


 


“เอ๊ะ ตื่นเต้นจนเป็นลมไปแล้วหรือ?! เจ้านี่ก็ช่างไร้ศักดิ์ศรีแห่งชนเผ่าเสียจริง” หลินหว่านหรงมองมันด้วยสีหน้าดูถูก เปลี่ยนมาจ้องมองอวี้เจียพร้อมกล่าวยิ้มประจบ “เมื่อเทียบกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ของข้าก็ช่างต่างกันเสียเหลือเกิน…เอ๊ะ ซ้ายหนึ่ง ขวาหนึ่ง ช่างใหญ่สมดุลยิ่งนัก! น้องสาวอวี้เจีย ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว รูปร่างดีขนาดนี้เป็นเพราะดื่มนมวัวเป็นประจำใช่หรือไม่?! วัวนมนั่นบ้านของพวกเจ้าเลี้ยงเองอย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากเลี้ยงบ้างน้า…” 


 


 


… 


 


 


เกาฉิวขนลุกอยู่ด้านข้าง ฟังคำพูดของน้องหลิน เขาถึงรู้จักหลักการที่ว่าห้วงมหรรณพแห่งความรู้ไร้ประมาณ ห้วงมหรรณพแห่งความลามกไร้ประมาณแล้ว 


 


 


ฟังเขาพูดจาไร้สาระ ดวงหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยแดงระเรื่อ กัดฟัดกรอด กระโดดขึ้นรถม้าแล้วสะบัดผ้าม่านที่ห้อยลงมากระแทกใส่จมูกแม่ทัพหลิน 


 


 


ยังรุนแรงยิ่งกว่าข้าเสียอีกนะ! หลินหว่านหรงลูบดั้งจมูกพร้อมส่ายหน้า เกาฉิวประชิดข้างใบหูเขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะอย่างชั่วช้าและประจบสอพลอ “น้องหลินความคิดสูงส่ง สตรีทูเจวี๋ยเลี้ยงวัวนม นั่นมันช่างล้ำเลิศจริงๆ เลยนะ!” 


 


 


เจ้าคนถ่อยคนนี้นี่! หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความไม่พอใจคราหนึ่ง กล่าวตักเตือนเขาอย่างรุนแรง “พี่เกา ท่านต้องเลียนแบบข้านะ เป็นคนจะต้องเที่ยงธรรม ต้องมีอุดมคติ อย่าจมดิ่งลงสู่ห้วงแห่งความต่ำช้า! คำชาวบ้านกล่าวได้ดี ยอดเขามีความลามกเป็นหนทาง บนทะเลไร้ประมาณมีการล่อลวงเป็นเรือ หลักการอันล้ำลึกเช่นนี้ ท่านต้องเข้าใจให้ถ่องแท้!” 


 


 


เกาฉิวร้องอ้อยาวๆ คราหนึ่ง บังเกิดปัญญาขึ้นมาทันที 


 


 


ชนเผ่านอกด่านนับร้อยคนนี้ถูกมัดจนหมดสิ้น แม้แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ปราศจากข้อยกเว้น ทีแรกชนเผ่านอกด่านที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่คนนั้นยังคิดขัดขืน ต่อมาไม่รู้ว่าอวี้เจียไปพูดอะไรกับมัน มันถึงเชื่อฟังได้ 


 


 


ไพร่พลห้าพันนาย พาชนเผ่านอกด่านนับร้อยคนซึ่งจับได้กลางทางเดินทางมุ่งหน้าไปทางใต้อย่างรีบร้อน ตลอดทางหลินหว่านหรงระมัดระวังเป็นพิเศษ เมื่อเดินทางได้หลายชั่วยาม กลับไม่พบแม้แต่เงาของทหารม้าทูเจวี๋ยแม้แต่คนเดียว บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างฟ้าดินเงียบสงัด คล้ายเหลือเพียงกองโจรทหารอันเดียวดายชาวต้าหัวกลุ่มนี้เท่านั้น 


 


 


เมื่อคำนวณตามเวลาแล้ว ต่อให้ทหารม้าทูเจวี๋ยเป็นหอยทากก็น่าจะรู้ข่าวของปาเยี่ยนเฮ่าเท่อแล้ว แต่พวกมันกลับปราศจากความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย สถานการณ์อันน่าแปลกประหลาดนี้ทำให้ทุกคนกังวลขึ้นมาทันที 


 


 


“ท่านแม่ทัพ พวกเราจะตัดผ่านอู่หยวนกลับไปยังเฮ่อหลานซานจริงหรือขอรับ?” หูปู้กุยตบก้นม้าศึกหนักๆ หลายครั้ง เดินไล่ตามหลินหว่านหรง เช็ดเหงื่อบนหน้าพร้อมเอ่ยถาม 


 


 


ชนเผ่านอกด่านจำนวนสามแสนโอบล้อมเฮ่อหลานซาน ผืนดินหลายร้อยลี้เลียบอู่หยวน ตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าทหารอาชาเหล็กชาวทูเจวี๋ยตั้งแต่แรก หากตัดฝ่าวงล้อมชนเผ่านอกด่านสามหมื่นคนกลับไปยังเฮ่อหลานซาน นั่นคือคนบ้ากล่าวเรื่องเพ้อเจ้อ 


 


 


“มิเช่นนั้นท่านว่าจะทำเช่นไร?” หลินหว่านหรงไม่ตอบเขา ย้อนถามด้วยท่าทีอันหนักอึ้ง “หรือว่าจะเลียบเทือกเขาขามาแล้วค่อยปีนกลับไป?” 


 


 


เฮ่อหลานซานตะวันออกสูงตะวันตกต่ำ ตอนขามาพวกเขาข้ามตัดผ่านตะวันออกมาตะวันตก เดินลงต่ำมาตลอดทาง ผ่านยอดเขามาจำนวนนับไม่ถ้วน สูญเสียนักรบจำนวนมากถึงจะมาถึงทุ่งหญ้าได้ การเดินทางย้อนกลับทางเดิมนั้นทำไม่ได้ ยอดเขาสูงเสียดฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นลาดชัน ประหนึ่งดาบที่ตั้งตรง ลงได้แต่ขึ้นไม่ได้ หากมิใช่ปราการทางธรรมชาตินี้ ชนเผ่านอกด่านคงข้ามเฮ่อหลานซานมาโจมตีเมืองซิงชิ่งตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


หูปู้กุยรู้เช่นกันว่าเดินกลับทางเดิมไม่ได้ แต่หากต้องการใช้ทหารห้าพันบุกฝ่าเข้าไปในกระบวนทัพศัตรูจำนวนสามแสน ต่อให้มีแม่ทัพหลินผู้วางแผนไม่เคยผิดพลาดนำทัพ นั่นก็ถือเป็นเส้นทางแห่งความตายอยู่ดี 


 


 


ครุ่นคิดอยากลำบากก็ไร้ผลลัพธ์ ดังนั้นหูปู้กุยจึงไม่คิดให้มากความอีก อย่างมากก็ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ รบจนตัวตายบนทุ่งหญ้าอันกว้างขวางได้ นั่นถือเป็นเกียรติยศอันไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าของทหารต้าหัวแล้ว 


 


 


“ท่านแม่ทัพ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยต้องการเตือนสักหน่อยขอรับ” หูปู้กุยมองไปบนรถม้าหลายครั้ง พูดกดเสียงต่ำว่า “สถานะของอวี้เจียคนนี้เกรงว่าคงไม่ธรรมดา” 


 


 


“อ้อ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเอ่ยถาม “ไม่ธรรมดาอย่างไร?” 


 


 


หูปู้กุยสีหน้าหนักอึ้ง “ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องชาวทูเจวี๋ยที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่ที่อยู่ข้างกายนางคนนั้น มีกำลังวังชามหาศาล มีแค่เหล่าเกาซึ่งต้องใช้พละกำลังทั้งหมดถึงจะสยบมันได้ แม้ข้าจะไม่รู้จักชื่อเฮ่อหลี่เย่นี้ แต่มีผู้กล้าทูเจวี๋ยผู้ดุดันเ**้ยมหาญติดตามเช่นนี้ สถานะของอวี้เจียจะธรรมดาได้อย่างไรกันล่ะขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะลามก “หรือว่าจะเป็นองค์หญิงทูเจวี๋ย?! หากเป็นจริง เช่นนั้นพวกเราก็รวยแล้ว ต่อให้เป็นราชบุตรเขยดาบทองไม่ได้ ข้าก็ต้องเป็นดาบทองตกเขียว ฮิๆ!” 


 


 


“จับตัวองค์หญิงทูเจวี๋ยง่ายขนาดนี้เชียว?” เมื่อเผชิญกับความคิดลามกอันแกร่งกล้าของแม่ทัพหลิน เหล่าหูก็นิ่งอึ้งไป “อีกอย่าง องค์หญิงทูเจวี๋ยจะมาขลุกอยู่กับขบวนพ่อค้าได้อย่างไรกัน? นี่ไม่ใช่มาแสดงเป็นผู้กล้าในนิยายเสียหน่อยนะขอรับ” 


 


 


เหล่าหูพูดมีเหตุผล หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ยิ่งอยากรู้สถานะของอวี้เจียสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


“พี่หูท่านพูดได้ดี” เขาตบบ่าเหล่าหูสองครั้ง แค่นเสียงออกมาหนักๆ “ดูท่าว่าคงต้องใช้เสน่ห์อันไร้เทียมทานหมื่นคนลุ่มหลงของข้าไปไต่สวนสักรอบแล้ว พี่หู เตรียมกระบองเขี้ยวหมาป่าเอาไว้ พาเยวี่ยหยาเอ๋อร์มา หึๆ มีข้าคนแซ่หลินออกโรง ข้าจะดูสิว่านางจะถอดหรือไม่ถอด…” 


 


 


หูปู้กุยมองเขาทันที แม่ทัพหลินเลิกตาโพลงพร้อมพูดว่า “…พี่หู ท่านถลึงตามองข้าทำไมกัน! เฮ้อ ต้องเป็นเพราะท่านฟังผิดแน่ ข้าพูดว่าจะดูสิว่านางจะรับสารภาพหรือไม่! แบบนี้ก็ฟังผิดด้วย? เกิดเป็นคนความคิดต้องบริสุทธิ์!” 


 


 


“ขอรับ ขอรับ” เหล่าหูเช็ดเหงื่อเย็นบนใบหน้า ชี้ไปยังรถม้าคันหนึ่งที่อยู่ไกลๆ “ในรถของอวี้เจีย เมื่อครู่เหล่าเกาเพิ่งให้คนหามเสี่ยวหลี่จื่อเข้าไปในรถม้า ได้ยินว่านางกำลังลงมือรักษาอยู่ขอรับ” 


 


 


อ้อ? หลินหว่านหรงสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก รีบควบม้าเข้าไปหา เพิ่งเลิกผ้าม่านขึ้นก็มองเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยถือมีดคมเล่มหนึ่งกำลังแทงไปที่หน้าอกหลี่อู่หลิง

 

 

 


ตอนที่ 538.1

 

 หมอหญิงเทวดา

 


 


 


 


“เจ้า นังผู้หญิงโหดเ**้ยมคนนี้!” หูปู้กุยซึ่งติดตามอยู่ข้างหลังหลินหว่านหรงเพิ่งจะมุดเข้าไปในรถม้าก็มองเห็นภาพอันน่าตื่นตระหนก ขวัญกระเจิงขึ้นมาทันที เขาตวาดด้วยโทสะอย่างร้อนใจ ยื่นมือไปจับข้อมืออวี้เจีย กำลังจะจับกุมนาง 


 


 


“พี่หู ช้าก่อน!” มีมือใหญ่ยื่นแฉลบมาข้างหนึ่ง คว้าเขาไว้อย่างมั่นคงและทรงพลัง เสียงหนักแน่นของหลินหว่านหรงดังข้างใบหูเขา “…อย่าขยับ นางกำลังช่วยคน” 


 


 


ช่วยคน? หูปู้กุยตกใจอย่างยิ่ง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าสตรีทูเจวี๋ยผู้นี้เอามีดไปจิ้มหน้าอกเสี่ยวหลี่จื่อ หรือว่าการแทงมีดลงไปก็ช่วยคนได้? เพียงแต่แม่ทัพหลินมีสีหน้าปกติมาก ไม่เหมือนกำลังล้อเล่น เขาจึงทำได้เพียงสะกดกลั้นความสงสัยที่มีอยู่ภายในใจ มองอวี้เจียสาวน้อยทูเจวี๋ยว่าจะช่วยคนเช่นไร 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าจริงจัง มีดพกอันคมกริบในมือค่อยๆ แนบหน้าอกหลี่อู่หลิงอย่างแช่มช้า กรีดผิวหนังบริเวณหน้าอกเขาเบาๆ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาอย่างแช่มช้า ทำให้คนตื่นตระหนก หลี่อู่หลิงหน้าซีด นอนอยู่ในรถไม่ไหวติง ปราศจากความรู้สึกต่อความเจ็บปวดแม้แต่น้อย 


 


 


มือซ้ายของอวี้เจียหยิบสมุนไพรที่บดแล้วมาขยี้ เล็งไปยังปากแผลที่มีดพกกรดเอาไว้ แปะสมุนไพรลงไปเบาๆ จะว่าไปก็แปลก สมุนไพรนี้เพิ่งแปะได้เพียงครู่เดียว โลหิตสดๆ บนหน้าอกของหลี่อู่หลิงก็หยุดไหล 


 


 


อัศจรรย์! หลินหว่านหรงมองจนตาโตอ้าปากค้าง สมุนไพรหลายชนิดที่อยู่ในมือเยวี่ยหยาเอ๋อร์ล้วนเป็นสมุนไพรที่เอามาจากในรถของนาง หลินหว่านหรงไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงแต่ประสิทธิภาพในการห้ามเลือดนี้กลับอัศจรรย์ล้ำเลิศ 


 


 


แม้จะกรีดเป็นบาดแผลขนาดเล็กเท่านั้น แต่แรงและขอบเขตของการลงมีดนี้ยากจะควบคุมยิ่ง ถือว่าเปลืองแรงและเปลืองเวลา หน้าผากขาวกระจ่างใสประดุจหยกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีเหงื่อซึมออกมาเป็นชั้นๆ กระจ่างสุกใสแวววาว 


 


 


นางหยุดพักครู่หนึ่ง มีดพกอันคมกริบนั้นก็เข้าใกล้บาดแผลธนูบริเวณหน้าอกหลี่อู่หลิง จากนั้นจึงกรีดเป็นแผลขนาดเล็กอีกแผลหนึ่ง ขณะกำลังจะใช้ยาห้ามเลือด หลินหว่านหรงก็รีบประชิดเข้าไปแล้วพูดว่า “ข้าทำเองๆ เจ้าตั้งใจผ่าตัดไปก็พอแล้ว” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาหลายครั้ง แค่นเสียงคราหนึ่ง ไม่รู้ว่าฟังเขาเข้าใจหรือไม่ 


 


 


ครั้นเห็นเหมือนเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีท่าทีไม่ค่อยเชื่อใจตนเองสักเท่าไหร่นัก หลินหว่านหรงก็รู้สึกร้อนใจยิ่ง ทำมือไม้อย่างต่อนเองพร้อมเอ่ยว่า “ข้า ห้ามเลือด ผ่าตัด พวกเจ้า ร่วมมือ ทำงานสอดประสาน โยชิ!” 


 


 


หูปู้กุย่อมฟัง ‘ภาษาทูเจวี๋ย’ ของใต้เท้าหลินออก จึงรีบแปลกลับไป อวี้เจียครุ่นคิดเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนำสมุนไพรที่อยู่ในมือส่งให้เขา 


 


 


นิ้วมือของนางเรียวยาวขาวกระจ่างใสดั่งต้นหอม แม้จะมีเสี่ยวหลี่จื่อซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างหน้า แต่หลินหว่านหรงกลับอดบังเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นภายในใจไม่ได้ อาศัยโอกาสช่วงที่รับยาเสียดสีมือน้อยของนางเบาๆ หลายครั้ง ความรู้สึกอันเรียบลื่นดั่งสายน้ำยามวสันต์ทำให้คนไม่อยากจะละมือจากไป 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยคล้ายสัมผัสได้ถึงการกระทำอันชั่วช้าของเขา ดังนั้นจึงแค่นเสียงด้วยโทสะ ถลึงตามองเขาอย่างเดือดดาลหลายครั้ง หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีปกติ “เอ๊ะ สมุนไพรนี้ลื่นจังเลย เกือบจับไม่อยู่ น้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ รอให้เสร็จแล้วข้าจะถอดเสื้อผ้าจนเกลี้ยงให้เจ้าดูจนพอ ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งมองข้า ผ่าตัดก่อนก็แล้วกัน” 


 


 


เหล่าหูหนังหน้าสู้ใต้เท้าหลินม่ได้ ไหนเลยจะกล้าแปลคำพูดนี้เป็นภาษาทูเจวี๋ย ดังนั้นจึงทำได้เพียงหัวเราะฮ่าๆ สองครั้ง ถือว่ากลบเกลื่อนไป 


 


 


เมื่อเห็นหลินหว่านหรงใช้สมุนไพรห้ามเลือดที่บาดแผลหลี่อู่หลิง ทันใดนั้นเกาฉิวซึ่งชมดูอย่างเงียบงันไม่เอ่ยวาจาอยู่ด้านข้างก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมา ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเหล่าเกาเป็นหมอมานานหลายปีขนาดนี้ จนถึงวันนี้ถึงได้เปิดหูเปิดตา คิดไม่ถึงว่าของหลายอย่างพอมาผสมกันแล้วกลับเป็นยาห้ามเลือดชั้นดีเช่นนี้ได้” 


 


 


คนอย่างเจ้าก็มีหน้ามาพูดว่าเป็นหมอมานานหลายปี? ข้าว่าเจ้าเป็นหมอที่แปดหูถ้งใหญ่กระมัง หลินหว่านหรงหัวเราะอย่างดูแคลน “พี่เกา เจ้าของพวกนี้คือสมุนไพรอะไรหรือ เหตุใดเยวี่ยหยาเอ๋อร์ของข้าพอใช้ขึ้นมาแล้วถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้?” 


 


 


พอพูดถึงสมุนไพรเกาฉิวก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ส่ายหัวโยกคลอนพูดอวดภูมิออกมา “น้องหลิน เจ้าอย่าดูแคลนยาห้ามเลือดนี้นะ ในนั้นอย่างน้อยก็ต้องผสมตัวยาถึงห้าชนิด ฝักของบัว ขนลิงทองคำ รากหนิงหมา[1] จวี๋ซานชี ต้าจี้[2]มีมากในต้าหัวเรา ข้าเหล่าเกาศึกษาตำราแพทย์อย่างยากลำบากมาหลายปี เหตุใดจะไม่รู้ว่าเมื่อเอาห้าอย่างนี้มาผสมกันแล้วห้ามเลือดได้นะ? น่าละอายๆ” 


 


 


ระหว่างสนทนา มีดพกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็เข้าไปใกล้ตำแหน่งแผลซึ่งเกิดจากธนูบริเวณหน้าอกแล้ว นางมีสีหน้าจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ การจรดมีดแต่ละครั้งล้วนแผ่วเบา เหงื่อกระจ่างใสซึมผ้าโปร่งบนใบหน้า 


 


 


ในเมื่อเป็นพยาบาลรับเชิญก็ต้องรู้จักหน้าที่ของตัวเองดี หลินหว่านหรงยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดใบหน้าขาวกระจ่างใสของสาวน้อยที่มีสีหน้าเคร่งเครียด “อย่าขยับ อย่าขยับเด็ดขาด ข้าช่วยเจ้าเช็ดเหงื่อ จะได้ไม่ทำให้เหงื่อตกลงบนบาดแผลจนติดเชื้อ” 


 


 


มีดเล็กของเยวี่ยหยาเอ๋อร์สัมผัสบนบาดแผล กำลังอยู่ในช่วงสำคัญพอดี เมื่อเห็นแขนเสื้อสกปรกของเขาเข้ามาเช็ดก็เบิกตาโพลงในบัดดล สีหน้าตื่นตระหนกและเดือดดาล ถึงกระนั้นกลับไม่อาจเคลื่อนไหวผิดปกติได้ 


 


 


หูปู้กุยกับเกาฉิวสองคนเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉายิ่งนัก อะไรที่เรียกว่าผู้มีความสามารถสูงมีขวัญกล้า มองดูใต้เท้าหลินก็รู้แล้ว เลือกโอกาสเอาเปรียบได้เหมาะเหม็งขนาดนี้ เหมือนเอาลูกคิดมาคำนวณเยี่ยงนั้น นับถือ นับถือยิ่งนัก 


 


 


‘โจร’ หน้าดำเช็ดใบหน้าและหน้าผากสาวน้อยทูเจวี๋ยอย่างตั้งใจ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ถูกเขาเอาเปรียบเบิกตาโพลง น้ำตาคลอหน่วย ใกล้จะหยดลงมาแล้ว 


 


 


“เอ๊ะ ทำไมเจ้าถึงร้องไห้?” หลินหว่านหรงตกใจยิ่งนัก “เฮ้อ ต่อให้ซาบซึ้งก็ไม่ต้องร้องไห้ก็ได้นี่นา คราวนี้ดีเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าเช็ดน้ำตา พี่เกา บนม้าที่ข้าขี่มีถุงสัมภาระอยู่ถุงหนึ่ง ในนั้นมีกางเกงชั้นในที่มีลวดลายอยู่ เป็นหนิงเอ๋อร์ที่ทำให้ข้าโดยเฉพาะ ข้าใส่แค่สองครั้ง ยังไม่ทันสกปรก ในกางเกงชั้นในห่อผ้าเช็ดหน้ายวนยางอันงดงามไว้ผืนหนึ่ง ซักสะอาดมาก ท่านรีบไปเอามาเถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะเช็ดน้ำตาให้อวี้เจีย เฮ้อ ทั้งสองอย่างเป็นของล้ำค่าประจำตัวข้าเลยนะ” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ มือน้อยอดสั่นเทาไม่ได้ น้ำตาไม่กล้าไหลออกมาแล้ว 


 


 


… 


 


 


เกาฉิวกลั้นหัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “น้องหลิน ในเมื่อเป็นชุดที่ฮูหยินหนิงเอ๋อร์ทำให้เจ้า นั่นย่อมล้ำค่ามากเป็นธรรมดา เหตุใดเจ้าถึงหักใจทิ้งของล้ำค่าโดยไม่สนใจเช่นนี้ได้ ไม่สิ้นเปลืองเกินไปหรอกหรือ?” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจแล้วตอบว่า “ช่วยไม่ได้ ช่วงนี้อากาศร้อนเกินไป ข้าจึงทำได้แค่ถอดกางเกงชั้นในออก จะได้ไม่ต้องกระทบการเจริญเติบโตของข้า เฮ้อ ดูจากขนาดนี้แล้ว วันหลังคงต้องใช้กระสอบขนาดใหญ่มาทำกางเกงชั้นในแล้ว เมื่อก่อนมีเพลงเพลงหนึ่งที่ร้องไว้ว่า…ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยากโต…ช่างเหมาะกับสภาพจิตใจของข้าในตอนนี้เสียจริง” 


 


 


แม่ทัพหลินร้องเพลงนี้ได้เหลือเกินจริงๆ! พวกเหล่าเกาสองคนเจ้ามองข้าข้ามองเจ้า ด้วยความตื่นตระหนก ฟันแทบจะร่วงลงมา 


 


 


พวกเขาสนทนาหัวเราะชั่วช้าลามกไม่หยุด สาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียก็ก้มหน้าลงงุด สายตาจดจ้องบาดแผลของหลี่อู่หลิง ใบหูจนถึงซอกคอซับสีแดงระเรื่อ 


 


 


หน้าอกหลี่อู่หลิงเป็นแผนกากบาทขนาดเล็กหลายแห่ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์เล็งตำแหน่งบาดแผลธนูนั้นอย่างแม่นยำ คมมีดจมลงไปเล็กน้อย บนดวงหน้างามปรากฏความตึงเครียด โจรผู้ ‘รู้ความ’ รีบเช็ดเหงื่อให้นาง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดฟันกรอด ส่งเสียงออกมาเบาๆ มีดพกจมลงไปอีกนิด หน้าอกหลี่อู่หลิงพลันมีเลือดไหลทะลัก กลับเป็นสีดำสนิท หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็นิ่งอึ้งไป นี่มันฝีมืออะไรกัน ลงมีดลงไปแค่นี้ เลือดคั่งที่บาดแผลก็ถูกเค้นออกมา 


 


 


“อวี๋หลี่มั่วฮาฮู่ซี…” เสียงเจื้อยแจ้วของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ทำให้หลินหว่านหรงที่กำลังเหม่อลอยตกใจจนได้สติ เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียขนคิ้วตั้งชัน จ้องมองตนเองอย่างมีน้ำโห สีหน้าทั้งโมโหทั้งร้อนใจ เสียงตวาดเมื่อครู่เปล่งใส่เขา ถึงกระนั้นกลับฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร 


 


 


“นางบอกว่าท่านหน้าโง่ ห้ามเลือด รีบห้ามเลือดเร็วเข้า!” ช่วงร้อนรน เหล่าหูจึงลืมละคำสำคัญไป แปลอย่างรีบร้อน 


 


 


เขาก้มหน้าลงมอง เห็นเลือดที่คั่งอยู่ตรงหน้าอกหลี่อู่หลิงถูกขับออกมาแล้ว เลือดกลายเป็นสีแดงสด มิน่าเล่าอวี้เจียถึงร้องให้ห้ามเลือด หลินหว่านหรงรีบนำสมุนไพรโปะลงบนบาดแผลของเสี่ยวหลี่จื่อ ช่วงที่กำลังเร่งรีบ มือไม้สะเปะสะปะ สภาพดูไม่จืดยิ่งนัก 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง เหลือบมองเขาหลายครา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน 


 


 


เมื่อถอนมีดพกนั้นออกไปโลหิตก็หยุดลง สาวน้อยทูเจวี๋ยพ่นลมหายใจออกมายาวๆ นั่งลงบนพื้นภายในตัวรถอย่างแช่มช้า หน้าผากเรียบลื่นกระจ่างใสเต็มไปด้วยเหงื่อแวววับ แม้แต่ผ้าโปร่งก็ชุ่มโชก 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] หนิงหมา หรือป่านรามีเป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออก เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี 


 


 


[2] ฝักของบัว ขนลิงทองคำ รากหนิงหมา จวี๋ซานชี ต้าจี้ (หมายเหตุผู้เขียน: สมุนไพรห้าชนิดนี้เป็นตัวยาห้ามเลือดในตำรับยาแพทย์แผนจีน) 

 

 

 


ตอนที่ 538.2

 

หมอหญิงเทวดา

 


 


 


 


หน้าอกของหลี่อู่หลิงมีแผลเต็มไปหมด หน้าซีดเผือด หูปู้กุยแตะหน้าผากเขา รู้สึกร้อนลวกจนน่าตกใจ ส่วนเกาฉิวกลับยินดีเป็นล้นพ้น “ร่างกายร้อน แม้จะร้อนเกินไป แต่กลไกทางร่างกายเริ่มแสดงอาการของโรคแล้ว น้องหลิน เสี่ยวหลี่จื่อยังมีชีวิตอยู่จริงๆ เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แม่นางน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน” 


 


 


เหล่าเกาพูดไม่ผิด แม้หลี่อู่หลิงจะเป็นไข้สูง ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าการไร้ปฏิกิริยาเช่นก่อนหน้านี้มากนัก หลินหว่านหรงประสานมือคารวะอวี้เจีย หัวเราะยิ้มระรื่นพร้อมพูดว่า “ขอบคุณหมอหญิงเทวดาทูเจวี๋ย ด้วยการร่วมมือกันระหว่างเจ้ากับข้า ในที่สุดพวกเราก็สร้างปาฏิหาริย์ได้” 


 


 


ระหว่างนี้ย่อมมีหูปู้กุยแปล เมื่อยินเขาคุยโวโอ้อวด เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นสียงอย่างดูแคลน “ข้าไม่ใช่หมอหญิงเทวดา ไม่ต้องให้เจ้ามาชมเชย หวังแค่ว่าเจ้าจะรักษาคำพูด ปล่อยคนในเผ่าของข้า” 


 


 


“นั่นมันแน่นอน ความจริงใจและดีงามของข้ารู้กันทั้งต้าหัว” หลินหว่านหรงหน้าชื่นตาบาน ผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง  “พี่เกา ปล่อยคนในเผ่าของหมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์อีกคนหนึ่ง อ้อ ข้าจำได้ว่าในนั้นมีคนตาบอดอยู่คนหนึ่ง ก็ปล่อยมันก่อนก็แล้วกัน ต่อให้พวกเราเลวแค่ไหนก็ไม่อาจทารุณกรรมคนพิการได้นะ ขออวยพรให้พี่ชายทูเจวี๋ยผู้นี้สุดท้ายแล้วสามารถใช้จิตใจตามหาโคมประทีปกลางทุ่งหญ้าได้ก็แล้วกัน!” 


 


 


ครั้นได้ยินโจรต้าหัวคนนี้พูด คนก็ต้องสำลักตายเพราะมัน! เยวี่ยหยาเอ๋อร์เดือดดาล ขณะกำลังจะด่าทอว่าเขาพูดจาไร้ความน่าเชื่อถือ โจรหน้าดำก็โบกมือพลางหัวเราะอย่างไม่แยแส “หมอหญิงเทวดาอย่าร้อนใจไป คำพูดที่ข้าเคยพูดไว้จะต้องทำได้แน่นอน รอให้น้องชายคนนี้ของข้าฟื้นและหายดีแล้ว ข้าย่อมปล่อยคนในเผ่าของเจ้าแน่นอน ตอนนี้ก็แค่แสดงความจริงใจเล็กน้อยเท่านั้น ใช่แล้วล่ะ จะขอให้หมอเทวดาเปิดเผยสักหน่อยได้หรือไม่ว่าน้องชายของข้าคนนี้จะฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไหร่” 


 


 


คนอยู่ใต้ชายคาไหนเลยจะไม่ก้มศีรษะ สาวน้อยทูเจวี๋ยทำได้เพียงกล้ำกลืนโทสะ แค่นเสียงแล้วตอบว่า “ข้าไม่รู้! เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากธนู เลือดคั่งไม่ได้เอาออกทันท่วงที กดทับหน้าอก ทำให้เขาไม่ได้สติ ข้าก็แค่เอาเลือดคั่งออกเท่านั้น ส่วนเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มีแต่เทพแห่งทุ่งหญ้าที่รู้แล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง ที่แท้นางก็แค่ใช้มีดพกกรีดรอบบาดแผล เค้นให้เลือดที่คั่งอยู่ภายในหน้าอกเสี่ยวหลี่จื่อไหลออกมาเท่านั้น ไม่ได้ผ่าตัดอะไรเลยนี่นา ความกล้านี้ ความหนักแน่นกับสายตากลับไม่ธรรมดาเลย หลินหว่านหรงผงกศีรษะอย่างแรง “เข้าใจ เข้าใจมาก หมอเทวดา ขอบังอาจถามอีกสักประโยค การผ่าตัดแบบนี้เจ้าทำมากี่ครั้งแล้ว” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียง “เจ้าอยากฟังความจริงหรือคำโกหก?” 


 


 


เอ๊ะ นังหนูคนนี้ก็รู้จักเลียนแบบวิธีของข้าด้วย? หรือว่านางต้องการจะแหย่ข้า? หลินหว่านหรงกะพริบตา “ข้าคนนี้นี่นะ สิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือสาวน้อยแสดงความจริงใจต่อข้า พวกนางหลายคนไม่ได้ตัวข้าก็จะใช้วิธีการรุนแรง ดังนั้น เจ้าพูดโกหกก่อนดีกว่า” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กล่าวพลางหัวเราะเย็นชา “ข้ารักษาเช่นนี้มาหลายร้อยหลายพันครั้งแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?” 


 


 


“พูดแบบนี้ แสดงว่าเจ้าเคยผ่าตัดแบบนี้แค่ไม่กี่สิบครั้ง?” หลินหว่านหรงมองนางด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่ายหน้า เหยียดนิ้วเรียวยาวออกมานิ้วหนึ่ง โบกอยู่ตรงหน้าเขา 


 


 


“สิบคน?” หลินหว่านหรงหน้าซีด 


 


 


“เจ้าไม่รู้จักตัวเลขหรือ?” สาวน้อยทูเจวี๋ยหงุดหงิดโมโหบ้างแล้ว กล่าวด้วยท่าทีดุดัน “คนแรก!” 


 


 


ตึง หลินหว่านหรงล้มลงนั่งก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นรถ หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดตลอดเวลา ที่แท้หลี่อู่หลิงกลับกลายเป็นหนูทดลองของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นังหนูคนนี้กลับหนักแน่นจนปราศจากพิรุธแม้แต่น้อย แม่เอ๊ย! ที่แท้ก็เป็นหมอเทวดาจอมปลอม 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาอย่างดูแคลน “ทำไม เจ้ากลัวแล้วหรือ?!” 


 


 


“ข้าไม่กลัวทั้งนั้น ข้ากลัวอะไร?!…พี่เกา พวกเราหลงกลแล้ว รีบหามเสี่ยวหลี่จื่อขึ้นไปที่รถคันนั้น ทำเป็นห้องดูแลฉุกเฉิน เฝ้าทั้งวันทั้งคืน ห้ามปราศจากคนตลอดเวลา สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้คืออันตรายที่พวกเราไม่เคยพบมาก่อน! เร็วเข้า!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยหัวเราะเสียงดังสดใสมาเป็นชุด หางตาอันงดงามหยักโค้งเล็กน้อย ประหนึ่งจันทร์เสี้ยวอันน่าลุ่มหลง ท่าทางได้ใจของนาง แม้แต่ความอัดอั้นที่มีก่อนหน้านี้ก็ปลาสนาการไปสิ้น กลายเป็นเด็กสาวชาวทูเจวี๋ยผู้สดใสร่าเริง 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลายวันนี้ก็ต้องลำบากหมอเทวดาแล้ว น้องชายข้าไม่ฟื้นหนึ่งวัน เจ้าก็อย่าหวังว่าข้าจะปล่อยคนในเผ่าของเจ้า แน่นอนว่าเจ้ามีความจำเป็นอะไรก็จงเสนอออกมาให้หมด แม้จะเกินเลย ข้าก็ยอมรับ พี่หู ท่านไปเตรียมรถม้าที่กว้างขวางมากที่สุดให้หมอเทวดาคันหนึ่ง เตรียมพร้อมเพื่อความจำเป็นพิเศษของนาง” 


 


 


หมอเทวดาจะมีความจำเป็นอะไรได้? หูปู้กุยไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นท่านแม่ทัพสั่งการมาก็น่าจะไม่ผิด ดังนั้นจึงกล่าวลาออกไปทันที 


 


 


เมื่อทุกคนหามหลี่อู่หลิงออกไปอย่างระมัดระวังแล้ว หลินหว่านหรงก็ก้าวลงจากรถ ทันใดนั้นก็เลิกผ้าม่านขึ้นอีกครา มองเข้าไปข้างในคราหนึ่ง กล่าวอย่างมีเลศนัย “หมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ได้ยินว่าเจ้าฟังภาษาต้าหัวของพวกเราไม่เข้าใจ ใช่หรือไม่?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียมองเขาด้วยความงุนงง ดวงตาโตอันงดงามกะพริบเร็วรี่ นัยน์ตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเลสาบอันกระจ่างใสที่อยู่ในส่วนลึกของทุ่งหญ้า กลับฟังคำพูดเขาไม่เข้าใจจริงๆ  


 


 


“เช่นนั้นก็ดี” หลินหว่านหรงตบอก หายใจกระชั้นถี่หลายครั้งแล้วพูดว่า “ฉวยโอกาสที่ตอนนี้ปลอดคน ข้ามีคำพูดที่จะพูดกับเจ้า คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเป็นหนึ่งในสาวงามจำนวนแปดหมื่นคนที่งดงามมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา แน่นอนว่าที่อยู่ลำดับข้างหน้าล้วนเป็นบรรดาภรรยาของข้า พวกนางเรียงลำดับตามขีดอักษรของชื่อแซ่ ลำดับไม่แยกก่อนหลัง เจ้าสวยมากเช่นกัน แต่ก็อยู่ในระดับหนึ่งในแปดหมื่น สูสีกับสาวใช้ที่บ้านเรา แต่วันนี้ไม่ใช่มาชื่นชมความงามของเจ้า แต่ต้องการพูดถึงส่วนที่น่าเกลียดบนตัวเจ้า” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก สายตาเรียบเฉย คล้ายฟังไม่ออกว่าเขากำลังพูดอะไร 


 


 


“ที่จริงตลอดทั้งตัวเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่เลวอยู่ จมูกเป็นจมูก ตาเป็นตา แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งที่น่าเกลียดเหลือเกินจริงๆ นะ ข้าไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดขนาดนี้มาก่อนเลย หากสนใจ เจ้าลองทายดูก็ได้ว่าส่วนไหนที่น่าเกลียดที่สุดกันแน่?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยกัดริมฝีปากแดงไม่เปล่งวาจา กำมือน้อยแน่น ซอกคอที่ขาวกระจ่างใสราวกับห่านฟ้ามีเส้นเอ็นสีเขียว เส้นเลือดเล็กๆ ปูดโปนให้เห็นอยู่รางๆ  


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองอกอันอวบอิ่มของนาง กลืนน้ำลายอย่างแรง ผงกศีรษะแล้วพูดว่า “เชื่อว่าเจ้าคงเดาออกแล้ว ไม่ผิด ก็คืออาหารแห้งที่เจ้าพกติดตัวมา เจ้ารู้ไหม หมั่นโถวมันทำลวกๆ ไม่ได้ นั่นต้องมีมาตรฐาน เอาอย่างที่บ้านข้ามาพูดก็แล้วกัน หมั่นโถวจะต้องทำเป็นทรงยาวสี่เหลี่ยม ความสูงและความยาวของรูปร่างต่างกำหนดไว้อย่างเข้มงวด นี่คือมาตรฐานของตระกูลหลิน ไม่อาจแก้ไขตามอำเภอใจ หากเปลี่ยนนั่นก็ไม่ใช่หมั่นโถวแล้ว เจ้าลองมองเจ้าดูอีกที หมั่นโถวทั้งสองลูกทั้งกลมทั้งใหญ่ ไม่ได้มาตรฐานเลยสักนิด น่าเกลียดที่สุดเลยนะ!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียหน้าแดงก่ำ กำหมัดทั้งสองแน่น เส้นเลือดที่อยู่บนซอกคอขาวสะอาดพลันบวมเป่ง 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “สร้างหมั่นโถวทรงกลมโดยพลการ ทั้งยังสร้างจนกลมขนาดนี้ใหญ่ขนาดนี้ ข้าขอบอกเจ้า เจ้าทำผิดมาตรฐานแล้ว ปัญหานี้หนักหนามาก สร้างความกระทบกระเทือนต่อประสาทสัมผัสทางตาและจิตวิญญาณของข้ามาก ทำให้ยากคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นได้…เจ้าจะต้องแก้ไข แก้ไขอย่างแรง แก้เป็นสี่เหลี่ยม!” 


 


 


“เมียเจ้าน่ะสิถึงจะสี่เหลี่ยม! เจ้ามารร้ายบนทุ่งหญ้า!” ในที่สุดสาวน้อยทูเจวี๋ยก็ไม่อาจทนได้อีก ใบหน้าลำคอแดงก่ำ ตวาดด่าทอคราหนึ่ง หยิบมีดพกที่ใช้ช่วยคนเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาแล้วโผเข้าหาเขา 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังคว้าจับมือนางไว้ ทำให้นางไม่อาจขยับเขยื้อน “ของเมียข้าย่อมทรงกลม แถมยังใหญ่กว่าของเจ้า กลมกว่าของเจ้าด้วย อย่างที่ว่ากันว่า น้ำแข็งแข็งสามฉื่อไม่ใช่เรื่องภายในวันเดียว นั่นเป็นผลจากความวิริยะอุตสาหะ ลูบๆ คลำๆ ของข้าทั้งนั้น ส่วนเจ้าน่ะ ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วเหตุใดถึงทั้งใหญ่ทั้งกลมขนาดนี้? ผิดมาตรฐานหมั่นโถวอย่างรุนแรง ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว…อ๊ะ ทำไมข้าถึงฟังเจ้าพูดเข้าใจ?!”

 

 

 


ตอนที่ 539.1

 

เหนือความคาดหมาย

 


 


 


 


“เจ้าปล่อยข้า!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตวาดด้วยโทสะ น้ำเสียงชัดเจน ที่พูดออกมาก็คือภาษาต้าหัว แม้จะเทียบกับหลินหว่านหรงซึ่งใช้ฝีปากทำมาหากิน แต่ก็คล่องมาก 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวพลางหัวเราะเสียงดังสดใส “ที่แท้เจ้าก็พูดภาษาต้าหัวของพวกเราได้?! หมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าหน้าตาสะสวยขนาดนี้ เหตุใดถึงชอบหลอกคนนะ ความเคยชินแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะ เจ้าดูสิ ข้าไม่เคยหลอกคนเลย” 


 


 


คำพูดไหนของเจ้าที่ไม่หลอกคน? สาวน้อยทูเจวี๋ยปราศจากความรู้สึกดีต่อโจรต้าหัวคนนี้แม้แต่น้อย แค่นเสียงออกมาอย่างเดือดดาล “ขอพูดอีกรอบ ข้าไม่ได้ชื่อเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ชื่อของข้าคืออวี้เจีย หากเจ้ากล้ารังแกข้า เทพแห่งทุ่งหญ้าต้องไม่ละเว้นเจ้าแน่” 


 


 


นังหนูนี่ยังกล้ามาขู่ข้าอีกนะ? หลินหว่านหรงกล่าวไม่เร็วไม่ช้า “อวี้เจียกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์เดิมทีก็ความหมายเดียวกัน ก็แค่ชื่อหนึ่งเป็นภาษาทูเจวี๋ย อีกชื่อหนึ่งเป็นภาษาต้าหัวเท่านั้น เพียงแต่ข้าเป็นคนให้เกียรติมาตลอด ในเมื่อเจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกเจ้าว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เช่นนั้นวันหลังข้าเรียกเจ้าว่าอวี้เจียก็ได้ เจ้าเห็นว่าอย่างไร น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์?” 


 


 


กับคนแบบนี้ก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ อวี้เจียแค่นเสียงอย่างมีโทสะ เบือนหน้าไปแล้วไม่สนใจเขาอีก 


 


 


เมื่อเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้ดวงหน้างามพิลาส นิสัยดิบเถื่อนออกมาให้เห็นเต็มที่ ลักษณะของชนต่างเผ่าแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงจึงอดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วชื่อก็เป็นแค่สัญลักษณ์ เรียกอะไรก็ช่างมันเถิด ยกตัวอย่างเช่นข้าก็แล้วกัน ตอนอยู่ต้าหัว ชื่ออันต่ำต้อยของข้าคือหลินซาน แต่พอมาอยู่ทูเจวี๋ยข้าก็มีชื่อภาษาทูเจวี๋ยที่มีความหมาย ทุกคนต่างชื่นชอบมาก” 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียงออกจมูก กล่าวอย่างดูแคลน “อย่างเจ้าคนนี้ หมาป่าบนทุ่งหญ้ายังสูงส่งกว่าเจ้าเสียอีก ยังจะมีชื่อภาษาทูเจวี๋ยน่าฟังอะไรได้” 


 


 


ภาษาต้าหัวของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้แม้จะไม่ถึงขั้นถูกต้องแม่นยำสำเนียงถูกต้องมากนัก มีเสียงของบางคำแข็งกระด้างเล็กน้อย แต่ท่ามกลางชาวทูเจวี๋ยกลับถือว่าคล่องแคล่วเป็นหนึ่งไม่มีสอง เมื่อเทียบกับลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ยแล้วยังดีกว่ามากนัก 


 


 


ฟังสาวน้อยทูเจวี๋ยพูดภาษาต้าหัวก็ช่างเป็นเรื่องน่าเสพสุขเสียจริงนะ! หลินหว่านหรงควักดินสอกระดาษออกมาจากอก เขียนตัวอักษรขวับๆ ลงไปหลายตัว หัวเราะพร้อมพูดว่า “ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้าดีหรือไม่ เจ้าดูก็รู้แล้ว ขอถามสักหน่อย หมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้ารู้ตัวอักษรพวกเราต้าหัวหรือไม่? อย่าทำให้ข้าเขียนเสียเที่ยวเปล่าล่ะ” 


 


 


เจ้าโจรต้าหัวคนนี้เหมือนจะจำไม่ได้เลยว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยชื่ออวี้เจีย เรียกปาวๆ ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม้อวี้เจียจะเดือดดาล ถึงกระนั้นก็อับจนปัญญา ทำได้แค่ปล่อยเขาไป 


 


 


หลินหว่านหรงส่งกระดาษให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์ อวี้เจียเหลือบมองลวกๆ คราหนึ่ง แค่นเสียงพร้อมกล่าวอย่างดูแคลน “ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง[1] นี่มันชื่ออะไรกัน น่าเกลียดยิ่งนัก” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ชื่อใหม่อย่างไรเล่า อ่านครั้งแรกก็ไม่คล่องปากอยู่บ้าง เจ้าท่องสักหลายครั้งก็จะชินเอง วันหลังก็ใช้ชื่อนี้เรียกข้าก็แล้วกัน ข้าชอบฟัง” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชาหลายครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน  


 


 


นังหนูคนนี้กลับดิบเถื่อนมากนัก หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เล็กน้อย ลูบคลำมือน้อยนางสองคราด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ จากนั้นถึงปล่อยนางไป 


 


 


อวี้เจียหดมือกลับ เห็นว่าบนข้อมือขาวกระจ่างใสประดุจหยกของนางมีรอยแดงลึกสองรอยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เจ้าโจรคนนี้ลงมือโหดเ**้ยม นางแค่นเสียงด้วยความโมโห ดวงตาทั้งสองข้างพ่นไฟมองหลินหว่านหรง ความเคียดแค้นชิงชังที่มีต่อเขาฝังลึกลงถึงกระดูก 


 


 


“จริงสิ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” โจรเดินไปหลายก้าว จู่ๆ ก็หันหน้ากลับมา ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์ถึงจะบอกสถานะที่แท้จริงของเจ้ากับข้า ข้ามุ่งหวังมากเลยนะ” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยความเดือดดาล “เจ้าคนนี้พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ข้ามีทุ่งหญ้าเป็นบ้าน เป็นสตรีแห่งทุ่งหญ้า ไหนเลยจะมีสถานะอันแท้จริง?” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน “รถม้าวิจิตรงดงาม น้ำหอมตระกูลเซียวที่ดีที่สุดในต้าหัว มีนักรบผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งทุ่งหญ้าคุ้มกัน อีกทั้งยังเชี่ยวชาญอักษรและการแพทย์ต้าหัว แม้แต่ผ้าไหมของตู้โตวก็ยังเป็นผ้าไหมซูโจวชั้นดีอีก ที่แท้ทุ่งหญ้ากลับหรูหราฟุ้งเฟ้อถึงขนาดนี้ แม้แต่สตรีแห่งทุ่งหญ้าธรรมดาๆ ก็ใช้ของหรูหราเหล่านี้ได้ เฮ้อ ช่างทำให้คนรู้สึกอิจฉาเสียจริง ดูท่าวันหลังข้าต้องย้ายมาอยู่ทุ่งหญ้า เป็นลูกเขยแห่งทุ่งหญ้าบ้างแล้ว” 


 


 


“เจ้า…” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตกใจจนหน้าถอดสี คล้ายคาดไม่ถึงว่าโจรต้าหัวที่บุกรุกทุ่งหญ้าคนนี้กลับมีสายตาเยี่ยงนี้ 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยท่าทีเสแสร้งแกล้งดัด “สตรีแห่งทุ่งหญ้า? อืม นิทานเรื่องนี้จะต้องซาบซึ้งใจคนมากแน่ หวังว่าหมอเทวดาเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะเล่าเรื่องที่สนุกที่สุดให้พวกเราฟัง” 


 


 


ระหว่างที่หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังนั้นก็ชักเท้าจะจากไป อวี้เจียสีหน้าร้อนรน กัดฟันกรอดพร้อมพูดออกมาเบาๆ “ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง ขอให้เจ้ารอเดี๋ยว” 


 


 


โจรหยุดยั้งฝีเท้า กล่าวพร้อมหัวเราะหน้าชื่นตาบาน “ดีๆ เรียกดีมาก หมอหญิงเทวดา เจ้าเรียกข้าทำไมหรือ?” 


 


 


อวี้เจียลังเลอยู่นาน จากนั้นจึงก้มหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ขอให้เจ้าจงทำตามคำสัญญา ปล่อยคนในเผ่าของข้าตรงเวลา” 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อออกมาเรียบๆ คราหนึ่ง หัวเราะพร้อมโบกไม้โบกมือ หมุนกายแล้วเดินเข้าไปในขบวนม้า 


 


 


อวี้เจียเงยหน้าขึ้นมา มองเงาร่างของเขาที่เดินจากไป ดวงตาผุดรอยยิ้มเย็นชามีเลศนัย มุมปากอันน่าดูชมหยักยกขึ้นเล็กน้อย ประหนึ่งจันทร์เสี้ยวที่งดงามมากที่สุดบนขอบฟ้า 


 


 


… 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ถามอะไรได้หรือไม่ขอรับ?” เมื่อเห็นแม่ทัพหลินขี่ม้าห้อตะบึง เงียบงันตลอดทาง หูปู้กุยจึงเข้าไปใกล้อย่างระแวดระวัง แอบถามขึ้นเสียงเบา 


 


 


หลินหว่านหรงดึงบังเ**ยนม้าอย่างแช่มช้า ความเร็วผ่อนลงเล็กน้อย หน้าตาหนักอึ้งพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย “นางไม่ยอมจำนนต่อกระบองหมาป่าของข้า เสน่ห์อันล้ำเลิศภพจบแดนของข้าไม่อาจใช้กับนางได้ เป็นไปได้มากว่าแม่หนูคนนี้จะมีบางอย่างที่ค่อนข้างเย็นชา น่าเสียดาย น่าเสียดาย” 


 


 


น่าเสียดายต่อเนื่องสองครั้งทำให้หูปู้กุยขนลุกชันขึ้นมา  


 


 


“เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ลึกลับเกินไปแล้ว” เกาฉิวซึ่งติดตามอยู่ข้างกายเขาสองคนแค่นเสียงทุ้มหนัก “ตามความเห็นของข้า ทำให้มันจบๆ ไป ฆ่าคนในเผ่าของนางทิ้งให้หมด เหลือแค่นางเพื่อรักษาเสี่ยวหลี่จื่อก็พอ ดูสิว่านางจะก่อเรื่องราวใหญ่โตอะไรได้” 


 


 


“นี่ไม่ได้” หูปู้กุยรีบส่ายหน้า “น้องเกา เจ้าไม่เข้าใจชนเผ่านอกด่าน แนวคิดทางวงศ์ตระกูลของพวกมันรุนแรงยิ่งนัก หากฆ่าคนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม่นางน้อยคนนี้จะต้องตายตามไปด้วยแน่ ถึงเวลาเสี่ยวหลี่จื่อจะทำเช่นไร?!” 


 


 


เกาฉิวเงียบงัน หลินหว่านหรงถอนหายใจยาว ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่เกา พี่หู ข้ามักรู้สึกว่าเหมือนพวกเรามองเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ธรรมดาเกินไป ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่สตรีผู้งดงามเช่นนี้กล้าเดินทางไปมาภายในและภายนอกชายแดนเมืองซิงชิ่งเพียงลำพัง เมื่อตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเราก็ไม่ประหวั่นลนลาน อยู่ในสถานการณ์ที่ปราศจากความมั่นใจ แต่ก็กล้าลงมือผ่าตัดให้เสี่ยวหลี่จื่อ ความกล้านี้จะมีสตรีบนโลกนี้สักกี่คนที่ทำได้?!” 


 


 


เหล่าหูเหล่าเกาสองคนอดที่จะผงกศีรษะไม่ได้ เป็นอย่างที่หลินหว่านหรงว่าไว้จริงๆ สตรีที่มีความกล้าหาญเช่นนี้ บนโลกนี้เท่ากับขนหงส์เขากิเลน หูปู้กุยเงียบงันครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ดูจากเยวี่ยหยาเอ๋อร์บุคลิกและบารมีของนางนี้ต้องมิใช่สตรีธรรมดาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยกลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ สมัยก่อนทูเจวี๋ยโจมตีเข่นฆ่าเถี่ยเล่อ รวบรวมทุ่งหญ้าให้เป็นหนึ่งเดียว เชื้อพระวงศ์แคว้นข่านเถี่ยเล่อถูกกำจัดจนหมดสิ้น ตำนานเล่าว่ามีต๋าต๋า[2]ที่ยังแบเบาะอยู่คนหนึ่ง ถูกคนในเผ่าผู้จงรักภักดีช่วยเหลือไป นับแต่นั้นก็ร่อนเร่อยู่บนท่งหญ้าทะเลทราย ร่องรอยไม่แน่ชัด ท่านว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้จะเป็นต่าต๋าที่หายสาบสูญของเถี่ยเล่อคนนี้หรือไม่?!” 


 


 


“พี่หู นี่ท่านอ่านนิยายมากเกินไปกระมัง” หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “องค์หญิงที่ถูกคนในเผ่าช่วยเหลือไปอะไรนี่ ส่วนใหญ่เรื่องพวกนี้ก็แต่งมั่วซั่วเพื่อดึงดูดคนก็เท่านั้น หากเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นต๋าต๋าของเถี่ยเล่ออะไรนั่นจริง นางกับชาวทูเจวี๋ยต้องมีความแค้นที่ทำให้ชาติล่มจม แต่ท่านลองคิดให้ถ้วนถี่ นางมีท่าทางเหมือนเกลียดแค้นชิงชังชาวทูเจวี๋ยหรือไม่? อีกอย่าง ต๋าต๋าเถี่ยเล่อที่งดงามขนาดนี้เดินทางเร่ร่อนไปทั่วทุ่งหญ้า กลัวแค่ว่าคนจะมองไม่เห็น ท่านว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์โง่ หรือว่าทูเจวี๋ยโง่กันแน่?” 


 


 


“ไม่ใช่ต๋าต๋าของเถี่ยเล่อ หรือว่านางจะเป็นองค์หญิงทูเจวี๋ย?!” เกาฉิวพูดพร้อมเบกตาโพลง “เช่นนั้นคราวนี้พวกเราก็โชคดีแล้ว จับนางกลับไปอุ่นเตียงให้น้องหลิน พวกเราจะกลายเป็นวีรบุรุษของทั้งต้าหัวแล้ว” 


 


 


เจ้าเหล่าเกาคนนี้เอาแต่คิดเรื่องอุ่นเตียงไม่ยอมลืม ทุกคนฟังแล้วก็อดหัวเราะพรวดออกมาไม่ได้ 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ซานเกอซื่อ อัวเหล่ากง เป็นคำพ้องเสียง หมายความว่า พี่ซานคือสามีของข้า 


 


 


[2] ต๋าต๋า เป็นคำที่เถี่ยเล่อใช้เรียกองค์หญิง 

 

 

 


ตอนที่ 539.2

 

เหนือความคาดหมาย

 


 


 


 


 “พี่เกา เรื่องนี้วันหลังอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย หากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องได้ยินจะนึกว่าข้าแย่งชิงสตรี ที่ผ่านมาข้าแค่ใช้ปาก ไม่ใช้มือ ทุกคนต่างก็รู้” 


 


 


น้องหลินช่างเป็นคนดีจริงๆ! เกาฉิวส่งเสียงชมเชยด้วยความรู้สึกทอดถอนใจและนับถือ 


 


 


สามคนไปเยี่ยมหลี่อู่หลิงพร้อมกันอีกครั้ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไม่รู้ว่าใช้ยาอะไรบ้าง แม้หน้าผากของหลี่อู่หลิงจะยังร้อนลวก ถึงกระนั้นกลับไม่รู้สึกเหมือนถูกไฟสุมเช่นก่อนหน้านี้ เมื่อแตะดูลมหายใจ กลับมีลมหายใจแผ่วเบาและแช่มช้าอย่างยิ่งออกมาให้สัมผัสเล็กน้อย 


 


 


การค้นพบนี้ทำให้ทุกคนน้ำตาร้อนคลอเบ้า ท่าทีที่มีต่อสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้พลันเปลี่ยนไปมาก แม้แต่หลินหว่านหรงก็ยังรู้สึกอาย รู้สึกกระดากที่จะไปกระเซ้าเย้าแหย่หมอหญิงเทวดาอีก 


 


 


ขณะที่พบทหารม้าทูเจวี๋ยก็ใกล้ยามสนธยาแล้ว หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้ากลับมารายงานว่าทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยราวสองหมื่นนายกำลังวิ่งห้อตะบึงพุ่งตรงไปยังปาเยี่ยนเฮาเท่อ เห็นชัดว่าได้ข่าวเรื่องป้อมปราการถูกโจมตีแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงผ่อนลมหายใจโล่งอกยาวๆ ออกจากปาเยี่ยนเฮาเท่อมาหกชั่วยามแล้ว ตามหลักการข่าวต้องไปถึงหูชนเผ่านอกด่านเสียนานแล้ว ทว่าชาวทูเจวี๋ยกลับปราศจากความเคลื่อนไหว นี่ทำให้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบมาก ตอนนี้ทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยสองหมื่นคนแม้จะมาช้า แต่ก็ทำให้เขาจิตใจสงบลงไปมาก 


 


 


“พี่หู ท่านมั่นใจว่าชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นคนนี้มาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า?” เขาจ้องมองแผนที่ที่อยู่ตรงหน้า หลินหว่านหรงแค่นเสียง  


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าน้อยคิดไม่ถึงเช่นกัน ที่มาช่วยปาเยี่ยนเฮาเท่อไม่ใช่กองทัพจำนวนสามแสนที่ปาเต๋อหลู่เป็นผู้นำซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ แต่กลับเป็นทหารอาชาเหล็กชนเผ่านอกด่านที่มาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า ทิ้งใกล้มาช่วยไกล ในนี้จะต้องมีอะไรแอบแฝงอย่างยิ่งแน่” 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองแผนที่ ไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ทัพอันโดดเดี่ยวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าออกห่างจากปาเยี่ยนเฮาเท่อแล้ว มุ่งลงใต้มาเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ ห่างจากพื้นที่รอยต่อระหว่างทุ่งหญ้าและทะเลทรายไม่ถึงห้าร้อยลี้ เมื่อข้ามผ่านเขตรอยต่อนี้ก็จะการเปิดศึกโจมตีอู่หยวนครั้งแรกแล้ว 


 


 


พื้นที่สามร้อยลี้จากอู่หยวนไปหุบเขาเฮ่อหลานซาน ตอนนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือชนเผ่านอกด่านจนหมดสิ้นแล้ว และหมายความว่าหากต้องการกลับไปหุบเขาเฮ่อหลานซานและไปรวมตัวกับสวีจื่อฉิงยังมีระยะทางอีกเกือบพันลี้ อีกทั้งยังมีทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยอีกสามแสนนายที่รอคอยพวกเขาอยู่ทุกเมื่อ ต่อให้ทลายวงล้อมอันหนาแน่นออกไปได้จริง ทหารห้าพันนายนี้จะเหลืออีกสักกี่คนกัน? 


 


 


เขาถอนหายใจออกมาหนักๆ ความร่าเริงที่มีอยู่ก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น สิ่งที่มาแทนที่ก็คือความรู้สึกอันหนักอึ้ง “พี่หู ลองพูดความเห็นของท่านดู ชนเผ่านอกด่านถึงสละใกล้มาช่วยไกล?” 


 


 


“ทิ้งทัพใหญ่สามแสนของปาเต๋อหลู่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมไม่ใช้งาน ตามความเห็นของข้าน้อย มีความเป็นไปได้แค่สองอย่างเท่านั้น ประการแรกทัพใหญ่ต้าหัวเราต่อต้านอย่างแรงกล้า ศึกที่หุบเขาเฮ่อหลานซานกินแรง ปาเต๋อหลู่กับลู่ตงจ้านต่อให้คิดช่วยปาเยี่ยนเฮาเท่อก็ปราศจากกำลังพลให้เคลื่อนย้าย” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าตัดบททันที “นี่เป็นไปไม่ได้ ด้วยสติปัญญาของลู่ตงจ้านราชครูทูเจวี๋ย มันไม่มีทางเทหมดหน้าตักในการโจมตีครั้งเดียวแน่ ยิ่งไปกว่านั้นอำนาจในการเป็นฝ่ายเริ่มบุกยึดหุบเขาเฮ่อหลานซานอยู่ในมือพวกมัน แค่ที่อู่หยวนพวกมันก็รักษากำลังพลสี่หมื่นเป็นอย่างน้อยแล้ว ไม่มีทางอยู่ในสภาพปราศจากกำลังพลให้เคลื่อนย้ายแน่” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ท่านแม่ทัพกล่าววาจามีเหตุผล หากไม่ใช่ปราศจากไพร่พลให้โยกย้าย เช่นนั้นก็เหลือแค่สถานการณ์อย่างที่สองแล้ว” 


 


 


เขาหยุดชะงักไม่เอ่ยวาจา เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างจึงไต่ถามว่า “เหล่าหู สถานการณ์อย่างที่สองคืออะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจเล็กน้อย “ความหมายของพี่หูก็คือในนี้มีแผนลวง” 


 


 


“แผนลวง? แผนลวงอะไร?” เหล่าเกาไม่เข้าใจอย่างยิ่ง 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย “พี่เกา หากท่านเป็นลู่ตงจ้าน ท่านจะเดาเส้นทางถอยของพวกเราออกหรือไม่?” 


 


 


เกาฉิวครุ่นคิด ผงกศีรษะแล้วตอบว่า “พวกเราโจมตีปาเยี่ยนเฮาเท่อ มันย่อมคิดไม่ถึง แต่พวกเราต้องไปรวมตัวกับกุนซือสวี อีกทั้งปราการธรรมชาติของเฮ่อหลานซานลงได้ขึ้นไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาว่าจะเหลือแค่ทางอู่หยวนที่เดินทางได้เพียงทางเดียว” 


 


 


“ไม่ผิด ทัพเดี่ยวล่วงลึกเข้ามา รอนแรมไกลบุกโจมตี สูงส่งก็สูงส่งที่คำว่าพิสดาร แต่เรื่องหลังจากนั้นทัพพิสดารก็จะสูญเสียการเร้นกาย อันตรายเพิ่มพูนขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้การเลือกถอยหลังกลับไปรวมกับทัพใหญ่ นี่คือสัญชาตญาณของคน ลู่ตงจ้านต้องคิดได้ พี่เกาท่านดู…” 


 


 


หลินหว่านหรงหยิบแผ่นกระดาษออกมาขยำเป็นสองก้อนเล็ก โยนแบ่งเป็นสองด้าน “ตรงนี้คืออู่หยวน อีกด้านคือปาเยี่ยนเฮาเท่อ ส่วนที่พวกเราอยู่ตอนนี้ก็คือกึ่งกลางทั้งสองด้าน พอทหารอาชาเหล็กของชนเผ่านอกด่านจำนวนสองหมื่นไปถึงปาเยี่ยนเฮาเท่อแล้ว…” 


 


 


เขาหยุดพูด ใช้สองมือจับก้อนกระดาษทั้งสองก้อน ขยับเบียดมากึ่งกลางอย่างแรง 


 


 


เกาฉิวพลันยินดีอย่างยิ่ง “เอ๊ะ วิธีนี้เมื่อก่อนข้าเคยใช้กับร่างกายของบรรดาสาวๆ ที่แปดหูถ้งใหญ่ เสียวซ่านมาก คิดไม่ถึงว่าน้องหลินกลับก็เชี่ยวชาญทางนี้ด้วย” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ” หลินหว่านหรงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “ของพวกนี้ข้าศึกษาอย่างยากลำบากจากวิชาสามสิบหกฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าพี่เกาจะเป็นอัจฉริยะที่เรียนรู้ด้วยตนเอง” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะจนเกือบหายใจไม่ออก ยากเย็นนักกว่าจะสงบลมหายใจได้ “น้องเกา ตอนนี้พวกเรากำลังถกเรื่องทหารอยู่ เรื่องอื่นรอให้วันหลังกลับบ้านแล้วค่อยแลกเปลี่ยนกัน” 


 


 


เหล่าเกาถือว่าเกิดปัญญาเสียที “น้องหลิน เจ้าหมายความว่าชนเผ่านอกด่านจะกระหนาบโจมตีพวกเราจากอู่หยวนกับปาเยี่ยนเฮาเท่อสองด้าน?” 


 


 


ความตื่นตระหนกภายในดวงตาเขาปรากฏให้เห็นชัดเจน ชนเผ่านอกด่านสี่หมื่นที่เฝ้าอู่หยวน ทหารอาชาเหล็กสองหมื่นของปาเยี่ยนเฮาเท่อ รวมแล้วเป็นชาวทูเจวี๋ยจำนวนหกหมื่นคน ล้อมกระหนาบโจมตีทัพอันโดดเดี่ยวของต้าหัวจากทั้งสองด้าน ศึกนี้ยังจะต้องสู้อีกหรือ? 


 


 


“เมื่อดูจากสภาพในตอนนี้แล้ว ลู่ตงจ้านน่าจะคิดเป็นแฮมเบอร์เกอร์แล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


มารดามัน! เจ้าคนแซ่ลู่นี่เสียสติหรือไม่ แฮมเบอร์เกอร์ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูจากความหมายของน้องหลินก็เข้าใจ เหล่าเกาแค่นเสียงด้วยความเดือดดาล “ก็แค่เผาหญ้าเสบียงมันไปไม่กี่จินเองนี่นา จะต้องเอาคนหกหมื่นมาจัดการพวกเราห้าพันคนด้วยหรือ? ไร้หลักการ ไร้คุณธรรมในการรบเกินไปแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยส่ายหน้า “น้องเกา เจ้าผิดแล้ว ทัพโดดเดี่ยวห้าพันคนเช่นพวกเรา ในสายตาชาวทูเจวี๋ยต้องไม่เห็นอยู่ในสายตาแน่ ไพร่พลหกหมื่นของมันวิ่งวุ่นไปๆ มาๆ ก็เพื่อคนเพียงผู้เดียว” 


 


 


สายตาของเหล่าเกาไปอยู่บนร่างหลินหว่านหรง เกาฉิวตกใจอย่างยิ่ง “ท่านหมายความว่าลู่ตงจ้านคิดจับตัวน้องหลินของเรา?!” 


 


 


“ไม่ผิด” หูปู้กุยหัวเราะพลางผงกศีรษะ “ได้ยินว่าเจ้าลู่ตงจ้านนั่นตอนที่มาสู่ขอองค์หญิงหนีฉางที่ต้าหัวเรา ถูกแม่ทัพหลินโจมตีพ่ายแพ้กลับไป ทั้งยังเสียเปรียบภายใต้การลอบลงมือของผู้ใต้บังคับบัญชาของน้องหลินอีก หากมิใช่ฝ่าบาททรงมีพระกรรณเบา ตอนนี้มันก็คงยังอยู่ในคุกหลวงของต้าหัว ความแค้นส่วนตัวนี้ไม่พูดถึงชั่วคราวก่อน ด้วยสถานะราชบุตรเขยคู่ต้าหัวและแม่ทัพขวาต้านชนเผ่านอกด่านของแม่ทัพหลิน หากลู่ตงจ้านจับตัวแม่ทัพหลินได้จริง ต่อให้ที่หุบเขาเฮ่อหลานซานจะถูกตีให้ถอยร่นกลับไป นั่นก็ยังถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของทูเจวี๋ยเช่นกัน” 


 


 


หูปู้กุยพูดตรงประเด็น แม้แต่หลินหว่านหรงก็ยังคิดไม่ถึงขั้นนี้ ตอนนี้เขาเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสองพระองค์ของต้าหัว ซ้ายมีสวีเว่ย ขวามีหลี่ไท่ ข้างหลังมีฮ่องเต้ต้าหัวปกป้อง สถานะไม่เหมือนเดิม เพียงแต่ตัวเขาคร้านที่จะรู้สึกตัวก็เท่านั้นเอง แต่ด้วยความสามารถของลู่ตงจ้าน ก็ไม่มีวันปล่อยปลาตัวใหญ่ตัวนี้ไปแน่นอน 


 


 


“พูดเช่นนี้ กลับเป็นข้าที่สร้างความลำบากให้เหล่าพี่น้องแล้ว” หลินหว่านหรงส่ายหน้าส่งเสียงเฮ้อถอนหายใจออกมา “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านต่างก็รู้ว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์นะ แต่ไหนแต่ไรมาการเกาะชายกระโปรงผู้หญิงเป็นสิ่งที่ข้าเกลียดแค้นมากที่สุด แล้วเหตุใดแม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็จะมีรสนิยมพื้นๆ ด้วยนะ?” 


 


 


คำพูดประโยคนี้ทำให้พวกเขาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แม้แต่ความกลัดกลุ้มนั้นก็ผ่อนคลายลงไปมาก 


 


 


“พี่หู ท่านว่าตอนนี้พวกเราควรเดินทางอย่างไรดี?!” หัวเราะหลายครั้ง หลินหว่านหรงตาหยี เอ่ยถามหูปู้กุย 


 


 


เหล่าหูหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง “สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือสิ่งที่ลู่ตงจ้านคิดไม่ถึง ท่านแม่ทัพมีแผนการอันล้ำเลิศอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว ยังจะมาให้ผู้น้อยแสดงความโง่เขลาอีก?” 


 


 


หลินหว่านหรงชูนิ้วโป้งกล่าวชมเชย “พี่หูพูดได้ดี สิ่งที่ลู่ตงจ้านคิดไม่ถึงก็คือสิ่งที่พวกเราต้องทำ มีแค่เหนือความคาดหมายเท่านั้นถึงจะวิเคราะห์ศัตรูจนเอาชนะได้ ชาวทูเจวี๋ยทุ่มเทแรงกายแรงใจต้องการบีบพวกเราให้อยู่ระหว่างปาเยี่ยนเฮาเท่อกับอู่หยวน เช่นนั้นพวกเราก็จะย้อนศร…” เขาชี้ลงบนแผนที่อย่างแรง “พวกเราไปทางนี้” 


 


 


เกาฉิวมองคราหนึ่ง พลันตกใจยกใหญ่ “น้องหลิน พวกเราบุกเข้าไปในทุ่งหญ้า?!” 


 


 


“ทำไมหรือ น้องเกา เจ้ากลัวหรือ?” เหล่าหูหัวเราะพลางมองเขา 


 


 


“ข้ากลัวอะไรกันเล่า ที่จริงแล้วข้าเป็นห่วงเหล่าสตรีทูเจวี๋ย…” เหล่าเกาชี้ไปที่หลินหว่านหรง กล่าวระคนหัวเราะอย่างลามก “ก็อย่างที่ว่ากันไว้ พอน้องหลินออกโรงผู้ใดจะได้เปรียบอีก?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดูพี่เกาพูดเข้าสิ ข้าไม่ใช่ชั้นต่ำขนาดนั้น” 


 


 


“ดี” หูปู้กุยหัวเราะเสียงดังพร้อมยื่นมือมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จงแทงมีดเข้าหัวใจของชนเผ่านอกด่านสักหลายครั้ง ต่อให้ตายก็ต้องตายให้สาแก่ใจมารดามัน” 


 


 


“ตายให้สาแก่ใจ!” สามคนหกมือกุมกันแน่น เสียงหัวเราะอันเ**้ยมหาญลอยล่องไปไกล

 

 

 


ตอนที่ 540.1

 

ตกหลุมพราง

 


 


 


 


เมื่อตัดสินใจเส้นทางการเดินทัพได้แล้วก็ให้หูปู้กุยถ่ายทอดคำสั่งลงไป นายทหารคุ้นชินกับการเดินทัพพิสดารของแม่ทัพหลินมาตั้งแต่แรก การย้อนกลับหุบเขาเฮ่อหลานซานต้องตัดผ่านการปิดผนึกของชาวทูเจวี๋ยจำนวนสามแสน การเดินทัพเข้าทุ่งหญ้าก็ต้องเผชิญกับการโอบล้อมของชนเผ่านอกด่านเช่นกัน ความเสี่ยงเท่าเทียมกัน ถึงอย่างไรจะไปทางไหนก็ตายเหมือนกัน หากต้องถูกชาวทูเจวี๋ยหกหมื่นล้อมกระหนาบกำจัดโดยไร้ความหมาย ก็ไม่สู้เข้าสู่ทุ่งหญ้าแล้วสู้กันอย่างอึกทึกครึกโครมกันสักตั้งจะดีกว่า 


 


 


ไพร่พลห้าพันเปลี่ยนทิศทางอย่างเงียบงัน เลือกเส้นทางซึ่งตรงข้ามกับเส้นทางขามาโดยสิ้นเชิง เดินทางย้อนศร ท่ามกลางราตรีอันเวิ้งว้าง เดินทางข้ามส่วนลึกของทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขต 


 


 


หลินหว่านหรงพลันหันกลับไปมอง ม่านราตรีมืดมิดไปหมด มองไม่เห็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างทุ่งหญ้ากับทะเลทราย และยิ่งมองไม่เห็นหุบเขาเฮ่อหลานซานที่คำนึงหา 


 


 


การไปครั้งนี้ห่างจากบ้านเกิดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ชิงเสวียน เฉี่ยวเฉี่ยว คุณหนูใหญ่ หนิงเอ๋อร์ นางเซียน จิ้งจอกอัน… ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปหาพวกนางได้หรือไม่ ใจเขาพลันรู้สึกชอกช้ำ ดวงตารื้นขึ้นเล็กน้อย 


 


 


เกาฉิวติดตามอยู่ข้างกายเขา เมื่อเห็นสีหน้าของเขาก็รู้ความคิด อดพูดกล่าวปลอบใจออกมาไม่ได้ “น้องหลิน เจ้าวางใจ พวกเราต้องกลับไปได้แน่ ต่อให้ข้าเหล่าเกาต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องคุ้มครองเจ้าให้จงได้” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะผงกศีรษะ ไม่เอ่ยวาจา เขาเหลือบมองแวบหนึ่ง เห็นรถม้าอันหรูหราซึ่งอยู่ท่ามกลางหมู่คณะคันนั้น เงียบงันอยู่นานจากนั้นถึงพูดขึ้นมาว่า “พี่เกา เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้จะต้องจับตามองให้ดี นางย่อมไม่ใช่หญิงธรรมดาอะไรแน่ ข้ามีลางสังหรณ์อย่างน่าประหลาด การเดินทางของเรานี้เกี่ยวข้องกับนางแล้ว” 


 


 


เกาฉิวอืมคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “ต่อให้นางจะร้ายกาจอีกสักเท่าใด นั่นก็เป็นสตรีอยู่ดีนี่นา ด้วยฝีมือในการจัดการสตรีของน้องหลิน เกรงว่าถึงเวลาจะร้องไห้ร่ำร้องขอให้เจ้ามีสัมพันธ์กับนาง เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เช่นกัน ยังจะต้องกลัวนางอีกหรือ?” 


 


 


สามประโยคของเหล่าเกานี้ไม่ทิ้งสันดานเดิมเลยนะ หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา ท่านผิดแล้ว ความคิดของสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ท่านคิดเช่นนี้แน่ ท่านจำเหตุการณ์ที่ช่วยรักษาเสี่ยวหลี่จื่อบนรถม้าได้หรือไม่?” 


 


 


เหตุการณ์บนรถม้าเหล่าเกาจำได้อย่างแม่นยำ ฝีมืออันล้ำเลิศของน้องหลินทำให้คนต้องทอดถอนหายใจ เหล่าเกาอดหัวเราะลามกหลายครั้งไม่ได้ “จำได้ๆ สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นั้นถูกเจ้ากระเซ้าเย้าแหย่ เกือบจะหลบหนีไปด้วยความลนลาน น้องชายช่างฝีมือดีจริงๆ เลยนะ” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ “พี่เกา ท่านผิดอีกแล้ว หากข้าบอกว่าไม่ใช่ข้าที่กระเซ้านาง แต่เป็นนางที่กระเซ้าข้า ท่านเชื่อหรือไม่?” 


 


 


“นางกระเซ้าเจ้า?!” เหล่าเกาได้ยินแล้วก็ตาค้าง บนโลกนี้ยังมีสตรีที่กล้ากระเซ้าน้องหลินอีกหรือ? เช่นนั้นการบำเพ็ญเพียรของนางต้องสูงส่งจนถึงขั้นไหนกันนะ 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ สีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “พี่เกา ท่านลองคิดดู พวกเราพูดกระเซ้าขนาดนั้นบนรถม้า เปลือกนอกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ดูเหมือนจะตื่นตระหนกโมโหเดือดดาล แต่สายตากลับกระจ่างใส ปราศจากความตื่นตระหนกใด คำพูดและการกระทำสงบเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ภายใต้สภาวะอารมณ์ไม่มั่นคงอย่างรุนแรงเช่นนี้ยังสงบจิตใจและอารมณ์รักษาอาการบาดเจ็บให้เสี่ยวหลี่จื่อ ปราศจากความผิดพลาดใดๆ นี่เป็นสภาวะจิตใจเช่นไรกัน? อย่าว่าแต่สตรีเลย ต่อให้เป็นเหล่าบุรุษเองจะหาคนที่หนักแน่นเช่นนี้ได้สักกี่คน แต่พวกเราดันไม่รู้ตัว นึกเอาเองว่ากระเซ้าเย้าแหย่อย่าสนุกสนานยิ่งนัก โดยที่ไม่รู้ตัวว่าด้านจิตใจแล้ว พวกเราต่างเป็นฝ่ายถูกเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้กระเซ้าต่างหาก!” 


 


 


การวิเคราะห์นี้เกาฉิวฟังแล้วก็บังเกิดปัญญาขึ้นมาทันที “น้องหลิน เจ้าไม่พูดข้าก็นึกไม่ออกจริงๆ แม่สาวคนนี้หนักแน่นเกินไปจริงๆ ด้วย…อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว บนรถม้าน้องหลินกระเซ้าเย้าแหย่เช่นนั้นเป็นการจงใจทดสอบแม่หนูคนนี้?! นับถือๆ ความล้ำเลิศในการแสดงของน้องชาย แม้แต่ข้าเหล่าเกาพ่ายแพ้” 


 


 


“ไม่ต้องพูดก็ได้” หลินหว่านหรงโบกมือถอนหายใจ “คนบนโลกต่างมองแค่เปลือกนอกที่ยโสโอหังไม่อยู่ในกรอบของข้า ไหนเลยจะเข้าใจจิตใจภายในอันร้อนแรงและจริงใจของข้าได้? ความสัปดนอย่างมีคุณธรรมเช่นนี้กลับถูกคนคิดว่าเป็นความอนาจาร…เฮ้อ ถูกคนเข้าใจผิดมามาก ข้าก็ชินมาตั้งนานแล้ว ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด” 


 


 


สัปดนอย่างมีคุณธรรมที่แสนดีเหลือเกิน! เกาฉิวผงกศีรษะเห็นใจอย่างยิ่ง น้องหลินไม่ใช่คนทำอะไรตามอำเภอใจจริงๆ ต้องรับเสียงก่นด่าไปกระเซ้าเย้าแหย่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ ทนรับความอยุติธรรมชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงกระนั้นกลับยังปลงได้ขนาดนี้ ช่างทำให้คนนับถือยิ่งนัก 


 


 


หูปู้กุยรับบัญชาจากหลินหว่านหรง ให้หน่วยลาดตระเวนออกไปไกลๆ เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนทิศในการเดินทางเป็นต้นมา ทัพอันโดดเดี่ยวจำนวนห้าพันนายนี้ก็เล่นเกมแมวจับหนูกับชนเผ่านอกด่านแล้ว ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันเวิ้งว้าง สำหรับทุกคนแล้วถือเป็นการเดินทางอันแสนจะรางเลือนไม่รู้อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าข้างหน้าจะมีสิ่งใดรอคอยพวกเขาอยู่กันแน่  


 


 


เดินทางอย่างรวดเร็วเข้าไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าอีกหนึ่งชั่วยามกว่าถึงจะตั้งค่าย เมื่อจัดการกับหน่วยลาดตระเวน เวรยามทั้งในที่ลับที่แจ้งทุกหน่วยพระจันทร์ก็ลอยประดับท้องฟ้าแล้ว หูปู้กุยชี้ไปยังแผนที่แล้วพูดว่า “ทหารทูเจวี๋ยสองหมื่นนายยามนี้อยู่ห่างจากพวกเราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราวสามร้อยลี้ ด้วยความเร็วในการเดินทางของพวกมัน คาดว่าพรุ่งนี้เช้าก็จะถึงปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ข้าน้อยคิดว่าจะมีทหารจำนวนหนึ่งรั้งอยู่ที่นี่เพื่อซ่อมแซมเมือง ส่วนคนที่เหลือก็จะสะกดรอยตามต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายในการโอบล้อมพวกเราขอรับ” 


 


 


“ไม่เลว ความเร็วของชนเผ่านอกด่านไม่ถือว่าช้า” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พูดเช่นนี้ พรุ่งนี้เช้าคนขาด้วนกับคนตาบอดที่พวกเราปล่อยไปนั่นก็จะรายงานร่องรอยของพวกเราแก่ชาวทูเจวี๋ย ‘อย่างแม่นยำ’ แล้ว” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ “ถึงตอนนี้ข้าน้อยถึงเพิ่งเข้าใจ ที่แท้การที่ท่านแม่ทัพปล่อยคนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ก็ยังมีความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้นอีก คราวนี้ชาวทูเจวี๋ยจะต้องมีความมั่นใจต่อการโอบล้อมพวกเรามากยิ่งขึ้นแล้ว แม่นางน้อยผู้นั้นเกรงว่าแม้แต่ฝันก็ยังคิดไม่ถึงว่าคนในเผ่าของนางจะเป็นผู้ช่วยพวกเรา” 


 


 


“ไม่แน่” หลินหว่านหรงส่ายหน้าด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “ด้วยความเจ้าเล่ห์ของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ นางไม่มีทางคิดไม่ถึงเรื่องนี้แน่ เพียงแต่พวกเราแยกนางจากคนในเผ่าของนาง นางถึงไม่อาจใช้แผนการได้” 


 


 


หูปู้กุยรู้ความร้ายกาจของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จากปากเกาฉิวตั้งแต่แรก ครั้นได้ยินจึงแค่นเสียงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ตามความเห็นของข้าน้อย ไม่ว่าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้จะมีสถานะอะไร แต่นางต้องเป็นคนที่จัดการได้ยากอย่างไม่ต้องสงสัย เพื่อขจัดเภทภัยในภายหลัง ไม่สู้รอให้นางรักษาเสี่ยวหลี่จื่อหายแล้ว…” เขาหยุดพูด เอามือมาวางไว้ที่คอ ทำท่ากรีดอย่างโหดเ**้ยมคราหนึ่ง 


 


 


เกาฉิวใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย “เหล่าหู แม่นางน้อยผู้สะสวยถึงเพียงนี้ ท่ามกลางชาวทูเจวี๋ยหลายร้อยปีถึงจะมีสักคนหนึ่ง ฆ่าไปก็เสียดายยิ่งนัก ไม่สู้ให้ข้าวางยาทำให้นางสติเลอะเลือน ให้นางจดจำน้องหลินเพียงคนเดียวไปทั้งชาติ นั่นจะไม่ใช่ความน่ายินดีอันยิ่งใหญ่อีกหรือ?!” 


 


 


หูปู้กุยกล่าวด้วยคาวมประหลาดใจ “พี่เกา มียาเช่นนี้จริงๆ หรือ? นั่นช่างดีเหลือเกิน” 


 


 


เกาฉิวผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “อืม รอให้สู้กับชนเผ่านอกด่านเสร็จและกลับไปแล้วข้าจะศึกษาให้ดี พยายามผสมตัวยาชนิดนี้ออกมาโดยเร็ววัน เหล่าหู ท่านจงรอคอยด้วยความอดทน” 


 


 


พูดกับเจ้าคนนี้เท่ากับเสียเที่ยวเปล่า หูปู้กุยสถบมาคำหนึ่ง คร้านที่จะสนใจเขา 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจ ยิ้มขื่นพร้อมพูดว่า “พี่หู ท่านมีความคิดเช่นนี้ เกรงว่าเสี่ยวหลี่จื่อคงไม่ฟื้นตลอดกาลแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยฉลาดเป็นกรดเช่นกัน พอได้ยินก็ตกใจทันที “ท่านแม่ทัพ ความหมายของท่านก็คือ เยวี่ยหยาเอ๋อร์จงใจทำให้เสี่ยวหลี่จื่อฟื้นไม่ได้?” 


 


 


เกาฉิวเข้าใจประเด็นสำคัญนี้เช่นกัน สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ขึ้นมาทันที หากเป็นเช่นนี้ นั่นมันก็น่ากลัวเกินไปแล้ว 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวแช่มช้า “สตรีชาวทูเจวี๋ยที่งดงามเช่นนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเรา ด้วยสติปัญญาและความฉลาดหลักแหลมของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จะต้องทิ้งอะไรไว้เพื่อปกป้องตัวเองแน่ พวกเราไม่อาจยืนยันได้ว่านางทำอะไรกับเสี่ยวหลี่จื่อหรือไม่ แต่สิ่งที่พวกเรายืนยันได้ก็คือนางมีความสามารถและวิธีการที่จะทำให้หลี่อู่หลิงฟื้นไม่ได้ตลอดกาลแน่นอน” 


 


 


ประโยคสุดท้ายนี้เหมือนค้อนหนักที่กระแทกลงบนจิตใจของเหล่าเกาเหล่าหู แม่ทัพหลินพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ขอให้สตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้มารักษาหลี่อู่หลิง เดิมทีก็เป็นเรื่องที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงร่วมกันอยู่แล้ว พวกเขาอาศัยคนในเผ่าของอวี้เจียมาข่มขู่อวี้เจียได้ แต่อวี้เจียจะไม่อาศัยหลี่อู่หลิงมาข่มขู่พวกเขาได้หรือ? หรือว่าจะไม่ต้องสนใจความปลอดภัยของเสี่ยวหลี่จื่อ ฆ่าคนในเผ่าของอวี้เจียจนหมดสิ้น? คำพูดนี้ทำได้แค่ขู่คนเท่านั้น พวกเขากับอวี้เจียโดยพื้นฐานแล้วมีความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างควบคุมและถูกควบคุม ต้องดูว่าใครร้ายกาจกว่ากันเท่านั้นเอง

 

 

 


ตอนที่ 540.2

 

ตกหลุมพราง

 


 


 


 


หูปู้กุยกับเกาฉิวฟังแล้วก็หัวสมองพองโต ทางแจ้งเป็นพวกเขาที่ควบคุมอวี้เจีย แต่ทางลับอวี้เจียไม่ได้ควบคุมพวกเขาอยู่หรอกหรือ? ที่แท้เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดพออยู่บนทุ่งหญ้าก็ต้องเจอแม่นางน้อยที่ร้ายกาจมากขนาดนี้ คนที่ทั้งมีความกล้าหาญ ทั้งมีสติปัญญาเช่นนี้ ยังปล่อยไว้ได้อีกหรือ 


 


 


“น้องหลิน ข้ารู้สึกว่าพวกเราเหมือนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว” เกาฉิวเงียบอยู่นาน จากนั้นถึงแค่นเสียงพร้อมกล่าวประโยคนี้ออกมา เหล่าหูผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างยิ่ง คล้ายมีปัญหาด้วยเช่นกัน 


 


 


ครั้นเห็นพี่ชายทั้งสองรู้สึกเสียกำลังใจอยู่บ้าง หลินหว่านหรงก็หัวเราะฮ่าๆ พร้อมเอ่ยว่า “จะตกหลุมพรางอะไรได้? อย่างมากก็แผนหญิงงาม พี่ชายทั้งสองอย่าลืมสิว่าต่อให้เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้จะร้ายกาจอีกสักเพียงใด แต่นางก็เป็นสตรีอยู่ในกำมือพวกเรา ข้าขอพูดอย่างถ่อมตัว สัตว์เพศเมียสองขาบนโลกนี้ไม่มีที่ข้าจัดการไม่ได้” 


 


 


นี่คือถ่อมตน? เหล่าหูเหล่าเกาสองคนต่างมองหน้ากัน เจ้าขี้โม้ล่ะสิ…เช่นนั้นลิงตัวเมียกับลิงซิงซิง[1] ตัวเมียเจ้าก็จัดการได้ด้วยหรือ? ข้าว่าเจ้าจะถูกจัดการมากกว่า 


 


 


แม้จะบอกว่าเกาฉิวยกย่องชมเชยน้องหลินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ยามนี้ก็ยังอดหวั่นใจไม่ได้ “น้องชาย เจ้ามั่นใจเช่นนี้จริงหรือ เจ้าอย่าลืมนะว่าฮูหยินทุกคนของเจ้าต่างเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ของตัวหัวเรา สิ่งที่ชื่นชอบล้วนเป็นกลอนเป็นฉือเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรพวกนั้น บวกกับเจ้าหล่อเหลาสง่างาม สำรวยกรุ้มกริ่ม ถึงได้ชนะไร้พ่าย โจมตีไร้ล้มเหลว แต่สตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกนางล้วนเป็นม้าป่าบนทุ่งหญ้า สิ่งที่บูชาคือความสามารถในการต่อสู้ สิ่งที่เคารพเทิดทูนก็คือวีรบุรุษ บุรุษที่ชอบมากที่สุดคือหน้าตาหยาบกระด้างดุร้ายกับแก้มที่มีหนวดเครา เรื่องพวกนี้ไม่ใช่จุดแข็งของเจ้า หากต้องการขี่ม้าป่าเช่นนี้…ข้าว่าอย่าพูดเรื่องความรักเลย ใช้ยายังจะเหมาะกว่าอีก” 


 


 


“ใช่แล้วขอรับ ใช้ยายังจะดีกว่า…” หูปู้กุยหลุดปากพูดออกมา จากนั้นก็ส่ายหน้าในบัดดล “ไม่ได้ๆ ตัวของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้เป็นหมอ คุ้นเคยกับฤทธิ์ยามากกว่าผู้ใด ใช้ยาเกรงว่าจะไม่สำเร็จ ตามความเห็นของข้าใช้กำลังยังจะดีกว่า เช่นนี้นางก็หมดหนทางขัดขืนแล้ว ร้องห่มร้องไห้สักหลายวันก็ผ่านไป ผู้หญิงนี่น้า เป็นแบบนี้ทั้งนั้น อย่างที่ว่ากันไว้ ความรักเป็นส่วนเสริม ใช้กำลังเป็นเรื่องหลัก!” 


 


 


พอสนทนาถึงเรื่องสัปดน ความกังวลที่มีอยู่ก่อนหน้าของเจ้าสองคนนี้ก็ล้วนหายเกลี้ยง หน้าชื่นตาบาน ความคิดชั่วร้ายออกมาไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก ตอนศึกษายุทธพิชัยสงครามเหตุใดไม่เห็นพวกเจ้าคึกคักขนาดนี้? กลับเป็นประโยคที่ว่า ‘ตกหลุมพราง’ ก่อนหน้านี้ของเหล่าเกาที่ทำให้เขารู้สึกรางๆ เหมือนกัน แต่เมื่อครุ่นคิดให้ละเอียดอีกครั้งก็ไม่รู้สึกแล้ว 


 


 


เหล่าเกาเหล่าหูสองคนปรึกษากันถึงกลางดึก เกิดความคิดนับไม่ถ้วน ถึงกระนั้นก็ยังหาวิธีการที่จะสยบเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้สักอย่างเดียว ทั้งสองถึงเข้าใจความยิ่งใหญ่ของแม่ทัพหลิน อย่างที่ว่ากันไว้ บนเวทีหนึ่งนาที ด้านล่างเวทีใช้เวลาสิบปี เมื่อหวนนึกถึงการพูดคุยอย่างสำราญบานใจเพื่อได้ใจคุณหนูทุกท่านของแม่ทัพหลิน ดูเหมือนง่ายดายราวหยิบของออกมาจากถุง ทว่าเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่นี้กลับแฝงด้วยหยาดเหงื่อแห่งความยากลำบากมากมาย น่านับถือน่าทอดถอนใจเสียจริง 


 


 


ให้เจ้าสองคนนี้คิดสกปรกไปก็แล้วกัน หลินหว่านหรงคร้านจะพูดมากกับพวกเขาแล้ว เดินสาวเท้ามุ่งตรงไปยังกระโจมที่จัดให้หลี่อู่หลิง 


 


 


ตอนนี้ความปลอดภัยของเสี่ยวหลี่จื่อสำคัญยิ่งกว่าอื่นใด กระโจมนั้นตั้งอยู่กึ่งกลางค่าย อยู่ติดกับกระโจมใหญ่ของหลินหว่านหรง รอบด้านของทางเข้ามีเวรยามเฝ้าอยู่สิบกว่านาย เฝ้าระวังเข้มงวดเป็นพิเศษ 


 


 


“ท่านแม่ทัพ!” เมื่อเห็นเขาค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา ทหารยามทั้งหลายก็ต่างตื่นตัว รีบแสดงการคารวะทันที 


 


 


“พี่น้องทุกคนลำบากแล้ว” หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย เพิ่งเลิกผ้าม่านเข้าไปก็เห็นเงาสีขาวขยับวูบอยู่ตรงหน้า สายลมสดชื่นเบาบางผ่านร่าง ประหนึ่งหงส์บินโฉบไป 


 


 


“ใคร?!” ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง หลินหว่านหรงเคลื่อนไหวเร็วรี่ ชักดาบยาวออกจากฝักดังขวับ ฟันออกไปทันที การเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเป็นชุดของเขานี้เกิดจากการฝึกฝนบนสนามรบ ทั้งแม่นยำทั้งรุนแรง แม้แต่ชาวทูเจวี๋ยก็ยังสู้ไม่ได้ ถือว่ารวดเร็วและรุนแรงยิ่งนัก 


 


 


ดาบนี้พอฟันลงไปก็บังเกิดเสียงลมดังหวีดหวิว พละกำลังเต็มที่ แม่นยำเหลือล้น เพียงแต่ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล คมดาบมิได้หยุดยั้ง ฟันลงไปตรงๆ ทว่ากลับฟันโดนอากาศ เมื่อมองข้างหน้าอีกคราก็เวิ้งว้างว่างเปล่า อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่เงาของแมลงวันสักตัวก็ไม่มี 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ?” ทหารยามที่อยู่ข้างนอกส่งเสียงตวาดดังลั่น รีบบุกเข้ามา เห็นเพียงแม่ทัพหลินใช้สองมือกุมดาบ ใบหน้าตื่นตระหนก สีหน้าตื่นตะลึงอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


หลินหว่านหรงหอบหายใจยาวๆ “พวกเจ้าเฝ้าอยู่นอกกระโจมเห็นใครบุกเข้ามาหรือไม่?!” 


 


 


ทหารยามทั้งหลายต่างรีบส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ คืนนี้ตั้งแต่ตั้งค่าย นอกจากท่านกับแม่ทัพเกาแม่ทัพหูที่มาเยี่ยมก่อนหน้านี้แล้ว ก็ปราศจากผู้ใดเข้าใกล้กระโจมหลังนี้อีก” 


 


 


หลินหว่านหรงมองประเมินกระโจมอย่างละเอียด หลี่อู่หลิงนอนอยู่บนเตียงทหารด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าขาวซีด ทว่ากลับปราศจากความผิดปกติ เพียงแต่ผ้าพันแผลที่ห่อหุ้มร่างเมื่อเห็นแล้วก็ทำให้ตกใจ นี่เป็นบาดแผลที่หลินหว่านหรงเปลี่ยนยาพันผ้าให้เสี่ยวหลี่จื่อด้วยตนเองตอนตั้งค่ายในคืนนี้ เขาย่อมจำได้อย่างชัดเจน 


 


 


ข้างหน้ายังวางชามยาอยู่ชามหนึ่ง ภายในกระโจมอบอวลด้วยกลิ่นยาเข้มข้น นอกจากนี้ก็ไม่เห็นสิ่งใดเป็นพิเศษอีก! 


 


 


หรือว่าข้าจะตาฝาด? หลินหว่านหรงเต็มไปด้วยความสงสัย เก็บดาบอย่างแช่มช้า เดินอย่างเร็วรี่ไปยังหน้าที่นอนของเสี่ยวหลี่จื่อ 


 


 


หลี่อู่หลิงสองตาปิดสนิท ใบหน้ายามหลับสงบสุข ใบหน้าที่ยังอ่อนวัยเล็กน้อยกับริมฝีปากแห้งแตกเล็กน้อยเพราะขาดน้ำ เมื่อเอามือแตะหน้าผากเขา แม้จะร้อนอยู่บ้าง แต่ก็ค่อยๆ ทุเลาลงไปแล้ว 


 


 


ปราศจากความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น หรือว่าจะเดินทัพจนเหน็ดเหนื่อยเกินไปจนตาฝาด? หลินหว่านหรงอดจะขยี้ตาไม่ได้ ทหารยามทั้งหลายพอเห็นแม่ทัพหลินทั้งลูบทั้งดมตากลอกไปมาก็คิดไม่ออกว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ 


 


 


ค้นหาอย่างละเอียดอยู่นานก็ปราศจากร่องรอยผิดปกติโดยสิ้นเชิง หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้น หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรๆ ข้าแค่ทดสอบความตื่นตัวของพี่น้องทุกคนเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่าพี่น้องทั้งหลายปราศจากความหวาดกลัว ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ข้าก็รู้สึกยินดียิ่ง” 


 


 


เมื่อเดินออกมาจากกระโจมของหลี่อู่หลิง เขาก็เหลียวมองโดยรอบด้วยความตื่นตัว เงียบสงัดไปหมด นอกจากเสียงฟืดฟาดของม้าศึกที่ลอยเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก 


 


 


เพื่อดูแลชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่อีกหลายสิบคนอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงถูกแบ่งกระจายกันไป กลายเป็นกลุ่มย่อยสิบกลุ่มแย่งกันควบคุมดูแล ชายฉกรรจ์ชาวทูเจวี๋ยที่ชื่อเฮ่อหลี่เย่ยิ่งถูกมัดอย่างแน่นหนา มีผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงของหูปู้กุยเฝ้าด้วยตนเอง มีเพียงเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่อยู่ภายในกระโจมอย่างโดดเดี่ยว อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อีกทั้งสี่ด้านมีเวรยามเฝ้าจำนวนมาก ไม่ให้นางเล่นลูกไม้อะไรออกมาได้ 


 


 


ต่อให้กำจัดปัจจัยที่คาดคิดได้จนหมดสิ้น ก็ไม่อาจคิดผลที่จะตามมาได้อยู่ดี ดังนั้นจึงคร้านที่จะเปลืองความคิด หากเป็นเรื่องดีก็ไม่ใช่เรื่องร้าย หากเป็นเรื่องร้ายก็หลบไม่พ้น กลับบ้านนอนให้เร็วสักหน่อยยังจะดีกว่า 


 


 


เขาเพิ่งสาวเท้าออกไปก็ได้ยินเสียงขลุ่ยหยกแผ่วเบาหลายครั้งลอยเข้ามาจากที่ไกลๆ ท่วงทำนองนั้นสงบสุขแผ่วเบา คล้ายมาจากฟากฟ้า ท่ามกลางเสียงแผ่วเบาแฝงความเศร้าสร้อยอยู่บ้าง คล้ายหยาดน้ำค้างยามวสันต์ หยดเปาะแปะ ตกกระทบผลผีผาเบาๆ  


 


 


เดินไปได้หลายก้าวก็เห็นร่างอันสงบนิ่งร่างหนึ่งกำลังหันหลังให้ตนเองอยู่บนทุ่งหญ้าไกลๆ เมื่อถอดหมดไหมทองลง เรือนผมงามอันเรียบลื่นประดุจเมฆาก็สยายลงมาตามธรรมชาติ ราวกับฝูงดาวตกที่ร่วงหล่นลงจากทางช้างเผือก ชุดกระโปรงยาวชนเผ่านอกด่านพื้นดำขลิบทองแผ่สยายอยู่บนทุ่งหญ้า เงาร่างอันงดงามล้ำเลิศนั้นเหมือนดั่งบุปผาทองคำที่อยู่บนทุ่งหญ้า เบ่งบานเต็มที่ภายใต้แสงจันทร์อันขาวบริสุทธิ์ 


 


 


ขลุ่ยของชนเผ่านอกด่านเลาหนึ่งแตะที่ริมฝีปากนาง เสียงดนตรีกระจ่างใสกระโดดออกมาจากเครื่องเป่า บางครั้งก็รวดเร็วมีความสุขสนุกสนาน บางครั้งก็หนักอึ้งแช่มช้า ราวกับสายลมในทะเลทรายที่พัดผ่านใบหน้านาง 


 


 


คิดจะยั่วยวนข้า? ไม่มีทาง! มองดูเงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นนั้น หลินหว่านหรงกลืนน้ำลายอย่างแรง! 


 


 


 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ลิงซิงซิง หมายถึงลิงอุรังอุตัง 

 

 

 


ตอนที่ 540.3

 

ตกหลุมพราง

 


 


 


 


 “คนหนุ่มใจต้องตั้งมั่นในปณิธาน ผู้ใดใคร่นั่งทอดถอนอย่างเดียวดาย…” เขาหัวเราะร่าย่ำหนักๆ ไปสองก้าว เหยียบหญ้าสีเขียวนั้นจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ “ค่ำคืนอันแสนจะยาวนาน ผู้ใดเล่าจะร่วมนอนเคียงคู่ข้า…เอ๊ะ นี่ไม่ใช่แม่นางอวี้เจียหรอกหรือ? เจ้าก็นอนไม่หลับหรือไง?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยค่อยๆ หันร่างกลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์อ่อนๆ ดวงตาทั้งคู่ของนางล้ำลึกดั่งสายน้ำ ถึงกระนั้นกลับแฝงด้วยความดื้อด้านยากจะสยบลงได้อย่างหนึ่งอีกด้วย คราบน้ำตากระจ่างใสสองสายมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดวงหน้าขาวบริสุทธิ์ประดุจหยกงดงามน่าลุ่มหลงดั่งจันทราบนท้องฟ้า 


 


 


โอ๊ยๆ หลินหว่านหรงอดมีอารมณ์ตึงเครียดไม่ได้ ใครบอกว่าทูเจวี๋ยไร้หญิงงาม? เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้ก็ช่างให้ความรู้สึกแปลกใหม่เสียจริง 


 


 


“เจ้ามาทำอะไร?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยมองเขาคราหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ 


 


 


“ผิดแล้วๆ ประโยคนี้น่าจะเป็นข้าที่พูดกับเจ้าถึงจะถูก” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “แสงจันทร์ในคืนนี้งดงามถึงเพียงนี้ สาดส่องจนข้านอนไม่หลับ พอดีนิสัยสัตว์ป่าของข้ากำเริบต้องการร่ายโคลงกลอนสักหลายบท…อา ทะเลทรายแลทุ่งหญ้าแจ่มจำรัส แม่นางอวี้เจียผิวขลุ่ย ชื่นชอบบุปผาส่องผิวน้ำยามวสันต์ ยามแย้มสรวลดั่งจันทร์สาดส่องทะเลทรายขาวเจิดจ้า…อา กลอนดีๆ หรือว่าแม่นางอวี้เจียจะถูกกลอนของข้าดึงดูดใจเข้าเสียแล้ว หากพูดตามภาษาของต้าหัวเราะ นั่นคือบุพเพสันนิวาส ขี้บุพเพสันนิวาสที่ร่วงหล่นจากฟ้า” 


 


 


“บุพเพสันนิวาสอะไรกัน?!” อวี้เจียหัวเราะอย่างเย็นชา “พวกเราทูเจวี๋ยกับพวกเจ้าชาวต้าหัวเดิมทีก็เป็นศัตรูคู่แค้นกันอยู่แล้ว เจ้าจับคนในเผ่าของข้า บีบบังคับให้ข้ารักษาคนต้าหัว วิธีการอันต่ำช้าเช่นนี้ก็ช่างหมิ่นเกียรติของชาวต้าหัวอันยิ่งใหญ่ของเจ้าเสียจริง” 


 


 


หลินหว่านหรงโบกไม้โบกมืออย่างไม่แยแส เดินเข้าไปใกล้นางแล้วนั่งกระแทกก้นลงกับพื้น “ต่ำช้าไม่ต่ำช้าไม่ใช่แม่นางอวี้เจียพูดแล้วก็ตัดสินได้ จะว่าไป เจ้าก็ไม่ได้แอบทำอะไรกับร่างพี่น้องของข้าเช่นกันหรอกหรือ?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ขยับร่างให้ออกห่างจากเขา แค่นเสียงเย็นชาออกมาคราหนึ่ง ในส่วนลึกของดวงตากลับมีประกายเย็นเยียบออกมาให้เห็นรางๆ 


 


 


หลินหว่านหรงหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดว่า “ไม่ต้องให้เจ้ายอมรับทุกคนก็รู้แก่ใจดี อย่างเช่นเหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาโผล่อยู่ตรงหน้าข้า ไม่ต้องถามขั้นตอน แค่มองผลลัพธ์ก็ได้แล้ว” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เล่นขลุ่ยหยกที่อยู่ในมือ แค่นเสียงออกมาอย่างดูแคลน “อย่านึกว่าตัวเจ้าฉลาดมากมายขนาดนั้น ฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าไม่มีวันสู้นายพรานผู้ชาญฉลาดได้ตลอดกาล” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ? นี่เป็นสำนวนของทูเจวี๋ยด้วยหรือ?” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดี เกี่ยวกับหมาป่า ต้าหัวเราก็มีสำนวนอันโด่งดังอยู่ประโยคหนึ่งเช่นกัน เรียกว่าหมาป่าเจ็ดครั้ง ความหมายก็คือบุรุษต้าหัวเราในคืนหนึ่งกลายร่างเป็นหมาป่าดุร้ายได้ถึงเจ็ดตัว ทุ่งหญ้าของเจ้ามีนายพรานที่ร้ายกาจขนาดนี้หรือไม่?” 


 


 


“หน้าไม่อาย!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงตำหนิด่าทอด้วยโทสะหลายครั้ง ใบหูเป็นสีชมพูอย่างชัดเจน เห็นชัดว่าฟังสำนวนอัน ‘โด่งดัง’ นี้ออก  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาสองครา สีหน้ากลายเป็นเย็นชาในบัดดล “บอกมาตามตรงเถอะ คุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ข้าไม่สนชาติกำเนิดของเจ้า ที่มาของเจ้าได้ ข้าปล่อยคนในเผ่าของเจ้าได้ ข้าหวังเพียงว่าเจ้าจะไม่เล่นลูกไม้กับร่างพี่น้องของข้า ข้าหวังให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพวกเรา” 


 


 


นี่ก็ถือว่าเขาแบไต๋เล็กน้อยแล้ว เมื่อเผชิญกับสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้ฉลาดเฉลียวเช่นเยวี่ยหยาเอ๋อร์นี้ หากต้องปิดบังก็ไม่สู้ใช้การรุกแทนการรับ ดูไพ่ของนาง 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง จ้องมองเขาอย่างเย็นชา “อย่าเหมาว่าทุกคนจะต่ำช้าเยี่ยงโจรเช่นพวกเจ้า จิตใจของพวกเราชาวทูเจวี๋ยกว้างขวางเกินกว่าที่พวกเจ้าจะคิดจินตนาการได้” 


 


 


“ใช่ๆ กว้างขวางจริงๆ” โจรต่ำช้าจ้องมองหน้าอกอัน ‘กว้างขวาง’ ของนางอย่างมีโทสะ น้ำลายหยดติ๋งๆ ดวงตาสาดประกาย 


 


 


อวี้เจียใบหน้าเย็นชา นัยน์ตาสีฟ้าแฝงแววเย็นชา “คนในเผ่าสองคนของข้าที่เจ้าปล่อยไปก่อนหน้านี้ ทำเพื่อเจตนาใดเชื่อว่าเจ้ารู้ดียิ่งกว่าข้า เป็นผู้ใดที่ใช้ลูกไม้ ชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าคนที่เจ้าเล่ห์ต่ำช้าไร้ยางอายเช่นเจ้านี้เป็นหัวหน้าของชาวต้าหัวได้อย่างไร” 


 


 


ความดูถูกและดูแคลนที่มีต่อเขาของสาวน้อยทูเจวี๋ยปรากฏให้เห็นชัดเจน สิ่งนี้ย่อมมาจากอคติที่มีมาตั้งแต่เกิดต่อต้าหัว ไม่เกี่ยวกับเปลือกนอกอันต่ำช้าเช่นโจรนี้แม้แต่น้อย  


 


 


ถือว่าเจ้าชมข้าแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ อารยธรรมต้าหัวเรายอดเยี่ยมยิ่งใหญ่หลากหลาย ดูท่าว่าเจ้าคงไม่ได้รับรู้อย่างลึกซึ้ง แต่ก็นะช่วยไม่ได้ เจ้าพูดภาษาต้าหัวอย่างคล่องแคล่วได้ไม่กี่ประโยคก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมมากแล้ว ใช่แล้วล่ะ ดูจากวิชาแพทย์และภาษาต้าหัวของเจ้าล้วนเชี่ยวชาญเช่นนี้ เจ้าเคยไปศึกษาที่ต้าหัวเราหรือไม่? แต่ไม่รู้ว่าสถานศึกษาใดที่ได้รับเกียรติ อาจารย์คือผู้ใด? สวีเว่ยเจ้ารู้จักหรือไม่? เหมยก้วนชิวล่ะ…อีกทั้งยังมีกู้ซุ่นจางอีก…” 


 


 


เขาถามชื่อคนต่อเนื่องหลายคน ท่าทางสนอกสนใจยิ่งนัก เยวี่ยหยาเอ๋อร์ไหนเลยจะดูความคิดเขาไม่ออก ทั้งไม่ส่ายหน้าและไม่ผงกศีรษะ ยิ้มเย็นชาไม่เอ่ยวาจา 


 


 


ใช้เรี่ยวแรงไต่ถามจนหมดสิ้นแล้ว นังหนูนี่กลับทำตัวเป็นแผ่นเหล็ก ไม่หลุดออกมาสักคำเดียว หลินหว่านหรงแอบเดือดดาล พูดพลางหัวเราะฮิฮะ “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าต้องนัดแนะกับพ่อรูปหล่อชาวต้าหัวที่เป็นคนรักของเจ้าแน่ เจ้าเตรียมที่จะหนีตามเขาไป ถึงได้พากเพียรเรียนการแพทย์และภาษาต้าหัวของพวกเรา ไม่เลวๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง!” 


 


 


ฟังเขากล่าววาจาเหลวไหล อวี้เจียผู้นั้นก็อดจะโมโหไม่ได้แล้ว “ใครหนีตามชาวต้าหัวของเจ้ากัน? สตรีแห่งทุ่งหญ้าเช่นพวกเราถวิลหาคือผู้กล้าไร้เทียมทาน บุรุษต้าหัวเช่นพวกเจ้าขี้ขลาดขวัญอ่อน เฉกเช่นดอกฝ้ายป่าในทุ่งหญ้า แค่เหยียบย่ำลงไปก็อ่อนยวบแล้ว ใจไม่สู้!” 


 


 


“เอ่อ แม่นางอวี้เจียกล่าวผิดมหันต์แล้ว” หลินหว่านหรงกล่าวออกมาอย่างเดือดดาล “เหตุใดเจ้าถึงใช้ต้นไม้เล็กอันแห้งเ**่ยวต้นหนึ่งไปทำให้ป่าอันรักชัฏต่ำต้อยลงไปด้วยเล่า ไม่พูดถึงอื่นไกล เจ้าดูข้าสิ ข้าอ่อนหรือว่าแข็ง? ข้าไม่สู้หรือไม่?” 


 


 


“เจ้า?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูก? “ใจสู้กลับมีอยู่บ้าง ถึงกระนั้นกลับเอาไปใช้กับเบื้องล่างจนหมด” 


 


 


การวิจารณ์เช่นนี้กลับสลักฝังแน่นถึงใจแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังโดยไม่รู้สึกรู้สา “แม่นางอวี้เจียมีสายตาดี มองทะลุถึงกระดูกคนจริงๆ หากมิใช่พวกเราสองคนเจอกันครั้งแรก ข้าต้องนึกว่าเจ้าเคยพบข้ามาก่อนแน่ จะว่าไปคุณหนูอวี้เจีย ก่อนหน้านี้เจ้าเคยได้ยินชื่อของข้าหรือไม่?” 


 


 


“ซานเกาซื่อ…อัวเหล่ากง” อวี้เจียตอบอย่างดูแคลน “ชื่อน่าเกลียดขนาดนี้ ข้าอยากได้ยินมันไปทำไม?” 


 


 


หลินหว่านหรงพูดพร้อมกลั้นหัวเราะ “เรียกนานเข้าก็ไม่น่าเกลียดแล้ว พูดเช่นนี้ก่อนหน้านี้แม่นางอวี้เจียก็ไม่เคยได้ยินชื่อข้ามาก่อน น่าเสียดายๆ ดูเจ้าเข้าอกเข้าใจข้ามากขนาดนี้ ข้ายังนึกว่าเจ้าศึกษาตัวข้าอย่างยากลำบากมาก่อนนะนี่” 


 


 


คำพูดของเขานี้คล้ายตั้งใจทั้งคล้ายไม่ตั้งใจ พูดออกมาอย่างนั้น ทำให้อวี้เจียผู้นั้นอดนิ่งอึ้งไปไม่ได้ นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึกประดุจสายน้ำ 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องมองดวงตาคู่นั้นของนาง กล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ที่จริงแล้ว ที่ทูเจวี๋ยข้ามีสหายที่ไม่ถึงขั้นเป็นสหายผู้หนึ่ง เขาชื่อลู่ตงจ้าน เป็นคนที่ฉลาดมาก แต่ว่าแม่นางอวี้เจียเจ้ายังลาดกว่าเขาเสียอีก น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้ารู้จักลู่ตงจ้านหรือไม่?” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน กล่าวออกมาอย่างแช่มช้าว่า “ใต้เท้าลู่ตงจ้าน ราชครูผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุ่งหญ้า ต่อให้เป็นชาวบ้านทูเจวี๋ยจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไรกันเล่า?” 


 


 


“ที่แท้เจ้าก็รู้จักเขา” หลินหว่านหรงหัวเราะแฝงความนัยลึกซึ้ง “ก็ดี มีเวลาว่างเมื่อไหร่รบกวนเจ้าบอกเขาแทนข้าด้วย บอกว่าข้ายินดีต้อนรับให้เขาเป็นแขกที่ต้าหัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ข้าจะไม่แย่งหญ้าแสบจมูกจากเขาอีกแล้ว ใช่แล้วล่ะ สถานที่เพาะปลูกหญ้าแสบจมูกนั่นชื่ออะไรนะ อาเอ่อร์ไท่ซาน เคอปู้ตัว สถานที่ดี สถานที่ดี!” 


 


 


เขาจ้องมองเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดราวกับหมาป่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง 


 


 


มือน้อยของอวี้เจียสั่นระริก ความเย็นวาบเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจ นางพลันคลี่ยิ้มออกมา ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ชาวต้าหัวที่คิดว่าตัวเองฉลาด ที่แท้เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ลู่ตงจ้านส่งมา” 


 


 


คิดไม่ถึงว่ากลับถูกแม่หนูคนนี้เป็นฝ่ายเปิดโปงก่อน หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะเย็นชา “หรือว่าไม่ใช่?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะกระจ่างใสออกมาเป็นชุด กรีดผ่านความเงียบสงัดยามราตรี ลอยล่องไปยังกระโจมทั้งไกลทั้งใกล้ ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทำให้ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนหันมามองทางนี้ 


 


 


เหล่าเกากับเหล่าหูยื่นศีรษะออกมาจากกระโจมของตัวเองจากที่ไกลๆ มองมาทางนี้หลายครั้ง เมื่อเห็นเงาร่างของหลินหว่านหรงชิดข้างกายเยวี่ยหยาเอ๋อร์ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย ชี้นิ้วโป้งขวับๆ พร้อมกัน หัวเราะอย่างต่ำช้าและคลุมเครืออย่างเหลือล้น มีเพียงผีสางถึงรู้ว่าเจ้าคนลามกสองคนนี้คิดไปถึงที่ใดแล้ว  


 


 


แม่เอ๊ย! ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ใส่ความข้านะ! เมื่อเห็นท่าทางได้ใจของสาวน้อยทูเจวี๋ยแล้ว หลินหว่านหรงจึงอดถามไม่ได้ “เจ้าหัวเราะอะไร? ทำลายการนอนของผู้อื่น สร้างการคาดเดาไม่มีที่สิ้นสุด ปัญหานี้หนักหนามากนะ เจ้ารู้หรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียหยุดเสียงหัวเราะ มองเขาคราหนึ่ง “ชาวต้าหัวที่คิดว่าตัวเองฉลาดเอ๋ย อย่าใช้ความคิดอันคับแคบของเจ้ามาประเมินผู้อื่น ข้าขอสาบานด้วยนามของเทพแห่งทุ่งหญ้า ราชครูลู่ตงจ้านไม่ได้ส่งข้ามาแน่นอน” 


 


 


เทพแห่งทุ่งหญ้าภายในจิตใจชาวทูเจวี๋ยมีสถานะเหนือใดเปรียบ เยวี่ยหยาเอ๋อร์สาบานเช่นนี้ หรือว่านางจะไม่ได้ถูกลู่ตงจ้านส่งมาจริง? ถูกอวี้เจียก่อกวน หลินหว่านหรงงุนงงขึ้นมาทันที แม้เขาจะมีประสบการณ์จีบสาวมานับไม่ถ้วน แต่เมื่ออยู่หน้าสาวน้อยทูเจวี๋ยอวี้เจียผู้นี้แล้วกลับรู้สึกเหมือนใช้ดาบใหญ่ฟันปุยฝ้าย ใช้ไปก็เสียแรงเปล่า 


 


 


ความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรงเอ่อท้นขึ้นมาภายในจิตใจ หลินหว่านหรงผุดลุกขึ้นทันที กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “คุณหนูหมอเทวดา เจ้าช่วยเสี่ยวหลี่จื่อให้ฟื้น ข้าจะปล่อยเจ้ากับคนในเผ่าของเจ้าไป…ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ทันที!” 


 


 


อวี้เจียก็ลุกขึ้นเช่นกัน จ้องตาเขาโดยปราศจากความกริ่งเกรง “ให้พี่น้องเจ้าฟื้นตอนนี้? ขอโทษด้วย ด้วยวิชาแพทย์ของอวี้เจีย ข้าทำไม่ได้ แน่นอนว่าเจ้ายังเลือกที่จะปล่อยข้ากับคนในเผ่าข้าตอนนี้ได้ หากเป็นเช่นนี้จริง อวี้เจียจะซาบซึ้งเป็นล้นพ้น” 


 


 


นางค้อมกายลงไป ปัดฝุ่นดินและเศษหญ้าที่ติดอยู่บนกระโปรงยาวออกเบาๆ เรือนร่างอรชรงามยวนเย้าเหนือธรรมดา  


 


 


แม่เอ๊ย! นี่มันเรื่องอะไรกัน? นังหนูนี่เกาะแน่นแล้ว จะไล่หรือไม่ไล่นางไปดี? มองดูเงาร่างอันอรชรอ้อนแอ้นอขงอวี้เจียจากไป หลินหว่านหรงก็กำหมัดแน่น เพลิงโทสะอัดแน่นอยู่เต็มอก 


 


 


‘ข้ารู้สึกว่าพวกเราเหมือนตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว’ คำพูดของเหล่าเกาก้องอยู่ในหูครั้งแล้วครั้งเล่า หลินหว่านหรงหน้าซีด อับจนถ้อยคำอยู่นาน 

 

 

 


ตอนที่ 541

 

 เดินทางร่วมกับเสือ

 


 


 


 


เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นถอนค่ายแล้วออกเดินทาง ครั้นเห็นหลินหว่านหรงขี่ม้าอยู่ข้างหน้าสุดคนเดียว ท่าทางหดหู่ สีหน้าละห้อย เหมือนขอบตาดำเพิ่มขึ้นมากภายในช่วงคืนเดียว หูปู้กุยอดดึงเกาฉิวที่อยู่ข้างกาย ทำปากบุ้ยใบ้ใส่เงาหลังอันไร้ชีวิตชีวาของแม่ทัพหลินไม่ได้ “น้องเกา เจ้าดูสิ นี่ท่านแม่ทัพเป็นอะไรไป? เมื่อคืนวานยังดีๆ อยู่เลยนี่นา?!” 


 


 


เหล่าเกากะพริบตาปริบๆ สีหน้าฉายความสงสัยเช่นกัน “เอ๊ะ? คงไม่ใช่ว่าเมื่อคืนพลาดหรอกนะ ไม่ใช่สิ เมื่อคืนเขากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์หัวเราะกันอย่างมีความสุขมากขนาดนั้น เป็นช่วงเวลาที่ความรักกำลังร้อนแรงพอดี พวกเราต่างได้ยินกับหู แล้วจะพลาดได้อย่างไร…น่าจะพลาดเสียตัวถึงจะถูกสิ! 


 


 


เมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เหล่าหูก็อดมองไปที่รถม้าอันประณีตงดงามที่อยู่กึ่งกลางไม่ได้ ผ้าม่านรถเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยเงาร่างของสาวน้อยทูเจวี๋ยให้เห็น เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ดวงหน้างดงาม นัยน์ตาสีฟ้าล้ำลึก มุมปากยังประดับรอยยิ้มบาง สงบนิ่งประดุจสายน้ำ หนักแน่นมั่นคง 


 


 


สาวน้อยอวี้เจียกำลังถือดาบโค้งขนาดกะทัดรัดอันประณีตงดงามเล่มหนึ่ง แกะสลักตัวเลาของขลุ่ยหยกที่อยู่ในมืออย่างระมัดระวัง อีกทั้งยังนำขลุ่ยหยกไปแตะที่ริมฝีปากเป่าเป็นเสียงท่วงทำนองอันสนุกสนานออกมาหลายเสียง ภายใต้คิ้วโก่งงอนของนาง ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อยเป็นระยะ ภายในดวงตาแฝงรอยยิ้มบาง อ่อนหวานงดงามเป็นพิเศษ  


 


 


เมื่อมองถึงตรงนี้หูปู้กุยก็อดที่จะรู้สึกสงสัยไม่ได้ นี่ยังเรียกว่าเชลยได้อีกหรือ? เหตุใดนางถึงยังดูสบายอารมณ์ยิ่งกว่าดื่มชาที่โรงน้ำชาเสียอีก 


 


 


เปรียบเทียบสีหน้าท่าทางของหลินหว่านหรงกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์แล้ว คนหนึ่งดูอัดอั้นดั่งต้นไม้ที่เ**่ยวแห้ง ส่วนอีกคนหนึ่งเริงร่ามีความสุขดั่งบุปผายามวสันต์อันงดงาม กลับเหมือนทิ้งความสัมพันธ์ไปโดยสิ้นเชิง แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


เกาฉิวมองอยู่นาน ทันใดนั้นก็ปรบมือทันที “แย่แล้ว เหล่าหู เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยถามด้วยความตกใจ “เรื่องใหญ่อะไร?” 


 


 


เกาฉิวเหลียวซ้ายแลขวาอย่างมีเลศนัยหลายครั้ง ถอนหายใจเสียงดังเฮ้อออกมา “คำพูดที่น้องหลินพูดกับพวกเราเมื่อวาน ดูจากสภาพในตอนนี้เกรงว่าคงไม่ใช่เขาจัดการสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นั้น แต่เป็นสตรีชาวทูเจวี๋ยที่จัดการเขาเสียแล้ว” 


 


 


เหล่าเกาติดตามหลินหว่านหรงมานาน เรียนรู้คำพูดคำจาของเขามาได้เจ็ดแปดส่วน คำว่า ‘จัดการ’ นี้จดจำแจ่มชัด พูดติดปาก ดังนั้นเขาจึงนำมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว 


 


 


“เป็นไปไม่ได้กระมัง” หูปู้กุยได้ยินก็ตกใจยิ่ง “แม่ทัพหลินเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์มากที่สุดในต้าหัวเราแล้ว เคยบุกตะลุยฝ่าฟัน ประสบพบเจอสตรีมานับไม่ถ้วน ถือว่าน้ำไฟทำร้ายร่างกายไม่ได้ แล้วเหตุใดถึงถูกสตรีชนเผ่านอกด่านคนหนึ่งทำให้พ่ายแพ้ได้เล่า?! นี่มันก็ช่างเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” 


 


 


เหล่าเกาถอนหายใจยาว “นี่จะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้? อย่างที่ว่ากันไว้ สุดท้ายปูก็ต้องกลับไปตายในน้ำ ท่านแม่ทัพยากจะเลี่ยงความผิดพลาดได้ น้องหลินลำบากตรากตรำมาตลอดชีวิต เด็ดบุปผามานับไม่ถ้วน ต่อให้สุดท้ายจะต้องพ่ายแพ้ท่ามกลางมวลบุปผา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไร “ 


 


 


เขาสองคนคาดเดาอยู่นาน ถึงกระนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งกลัว หากแม่ทัพหลินไม่อาจควบคุมตัวเอง แต่งเข้าทุ่งหญ้าจริง นั่นอย่าว่าแต่ทัพอันโดดเดี่ยวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้านี้เลย แม้แต่องค์หญิงทั้งสอง คุณหนูสวี กระทั่งว่าทั่วทั้งต้าหัวก็ต้องจบสิ้นกันแล้ว 


 


 


สองคนสบตากัน เห็นความหวาดกลัวและความประหวั่นลนลานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จากดวงตาของอีกฝ่าย ก็รู้สึกเหมือนวันสิ้นโลกมาถึงแล้วเยี่ยงนั้น…สุดท้ายก็ทนไม่ได้ เหล่าเกาเหล่าหูก็ตวาดยาวๆ ออกมาพร้อมกัน ใช้แส้หวดก้นม้า อาชาวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว ไล่ตามด้านหลังแม่ทัพหลิน 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยที่มือกำลังเล่นขลุ่ยหยกอย่างสบายอารมณ์ช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อย มองอาชาสามตัวค่อยๆ รวมตัวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งตรงหน้า มุมปากอดยกยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ ภายในดวงตาผุดรอยยิ้มเย็นชา 


 


 


เดินทางยางใกล้รุ่ง ทุ่งหญ้าทางตะวันออกปรากฏแสงเรืองรองขึ้นมาเล็กน้อย ท้องฟ้าอันเวิ้งว้างยังคงมืดมิด หลินหว่านหรงเพิ่งจะหาวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังยาวๆ อยู่ข้างหลัง หูปู้กุยกับเกาฉิวรีบตามมาด้วยสีหน้ารีบร้อน เดินทางเคียงคู่กับเขา ล้อมซ้ายขวาให้เขาอยู่กึ่งกลาง 


 


 


“เอ๊ะ พี่ชายทั้งสอง ช่างคึกคักเสียจริงนะ เช้าขนาดนี้ก็ลุกขึ้นมาแข่งม้าแล้ว?!” หลินหว่านหรงโบกมือพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ 


 


 


เหล่าเกาส่งสายตาให้หูปู้กุย เหล่าหูกัดฟันกรอด ฝืนหน้าด้านพูดถามขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ เกี่ยวกับอวี้เจีย…” 


 


 


“อวี้เจีย?!” หลินหว่านหรงสีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วแปรเปลี่ยนอีก สีหน้ากระอักกระอ่วน “อยู่ดีไม่ว่าดี พี่หูมาพูดเรื่องนางทำไมกัน?” 


 


 


หูปู้กุยประเมินสีหน้าท่านแม่ทัพไปพลาง พูดพร้อมครุ่นคิดไปพลาง “ไม่ทราบว่าเมื่อคืนท่านแม่ทัพกับนางพูดคุยกันได้ผลเช่นไร จะแต่งเข้า…แค่กๆ ความหมายของข้าน้อยก็คือ สร้างความกระทบกระเทือนขั้นลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้นกับนางหรือไม่ขอรับ?!” 


 


 


ความกระทบกระเทือนขั้นลึกซึ้ง?! หรือว่าตอนนี้ข้ายังลึกไม่พออีก? หลินหว่านหรงถอนหายใจเฮ้อออกมาคราหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “พี่หู พี่เกา พวกท่านมาพอดีเลย เกี่ยวกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นี้ ข้ามีแค่ประโยคเดียว…” 


 


 


ประโยคเดียว?! เหล่าหูกับเหล่าเกามองหน้ากัน น้องหลินคงไม่ได้ถูกสตรีชาวทูเจวี๋ยจัดการเข้าแล้วจริงๆ หรอกนะ ยังเป็นเกาฉิวที่มีปฏิกิริยารวดเร็วเสียหน่อย รีบพูดขึ้นว่า “น้องหลิน ประโยคอะไร เจ้าจงรีบพูดมาเร็วเข้า เจ้าวางใจเถิด พวกเราเตรียมใจไว้แล้ว รับไหว “ 


 


 


หลินหว่านหรงแอบมองไปทางรถม้าที่อยู่กลางขบวน ก้มหน้าลง กัดฟันกรอดพร้อมพูดออกมาทีละคำ “จง…รัก…ชี…วิต…อยู่…ห่าง…อวี้…เฉีย” 


 


 


พอเขาพูดหลายคำนี้จบก็พ่นลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนอารมณ์ผ่อนคลายลงไปมาก พวกของหูปู้กุยสองคนได้ยินก็นิ่งอึ้ง มากขนาดนี้เลยหรือ? ก็แค่แม่นางน้อยทูเจวี๋ยคนหนึ่งเองนี่นา เหตุใดในสายตาแม่ทัพหลินกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ 


 


 


“ไม่เชื่อล่ะสิท่า?! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องไม่เชื่อ!” หลินหว่านหรงยิ้มขื่นส่ายหน้า “หากเป็นเมื่อวาน ข้าก็คงไม่เชื่อ แต่ความจริงก็โหดร้ายเช่นนี้ พวกท่านลองคิดดูเถิด แม่นางที่งดงามขนาดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือพวกเรา แล้วพวกเราทำอะไรนางได้บ้าง? เสี่ยวหลี่จื่อไม่ฟื้นหนึ่งวัน พวกเราไม่อาจทุบตี ไม่อาจด่าทอ ไม่อาจฆ่านางได้ ต้องประคบประหงมนางให้กินดีอยู่ดี แม้แต่จะไล่นางไป นั่นก็เป็นเรื่องเพ้อฝันเช่นกัน หากพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย นางก็คิดลอบกัดพวกเรา นั่นเป็นไปได้เต็มร้อย พวกเราคิดจะลอบกัดนางกลับไร้หนทางโดยสิ้นเชิง” 


 


 


หลินหว่านหรงหดหู่ใจยิ่งนัก เดือดดาลเป็นล้นพ้น อะไรที่เรียกว่าเชิญเทพเซียนมาง่ายส่งเทพเซียนกลับยาก เขาไม่เคยเข้าใจอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อนเลย  


 


 


“อ้อ ที่แท้ก็เช่นนี้นี่เอง” เหล่าเกาเหล่าหูร้องอ้อออกมายาวๆ ถึงกระนั้นกลับหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ปราศจากความกังวลแม้แต่น้อย เยวี่ยหยาเอ๋อร์จะดูแลง่ายหรือไม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วง ขอเพียงน้องหลินไม่ได้ถูกสตรีชาวทูเจวี๋ยจัดการ เช่นนั้นก็ถือเป็นบุญหนักหนาแล้ว ส่วนจะต่อกรกับเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไร ด้วยฝีมือของน้องหลิน ผู้ใดจะเชื่อว่าเขาไม่มีหนทาง? นี่เขากำลังถ่อมตัวอยู่ 


 


 


“นี่ พี่ชายทั้งสอง ที่แท้พวกท่านสองคนฟังข้าพูดอยู่หรือเปล่า?! พวกท่านรู้ความร้ายกาจของเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้หรือไม่?!” เมื่อเห็นรอยยิ้มลามกของคนทั้งสอง ไม่ได้เป็นห่วงต่อโชคชะตาในอนาคต สมอย่างที่ว่ากันว่าเศร้าเสียใจเพราะความย่ำแย่ โมโหเดือดดาลเพราะความไม่เอาถ่าน แม่ทัพหลินก็อดตวาดเสียงดังออกมาไม่ได้  


 


 


เกาฉิวรีบผงกศีรษะ “น้องหลิน ที่จริงแล้วพวกเราคิดเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของเสี่ยวหลี่จื่อ ตอนนี้ไม่อาจออกห่างจากเยวี่ยหยาเอ๋อร์จริงๆ มันช่วยไม่ได้ แค่มัดให้นางเดินทางไปพร้อมพวกเราก็ได้แล้ว นังหนูนี่หรือ แม้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่ก็แค่อย่างที่เจ้าพูดเมื่อวาน ไม่ว่านางจะร้ายกาจมากเพียงใด แต่ก็อยู่ในเงื้อมมือพวกเรา แย่ที่สุดก็แค่วางยาใช้กำลัง เพื่อรับประกันว่าเจ้าไม่เสียเปรียบก็พอแล้ว” 


 


 


“ใช่แล้วๆ” เหล่าหูพูดต่อ “ยังมีเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งขอรับ ข้ากับน้องเกาต่างรู้สึกว่าอวี้เจียคนนี้ต้องมีสถานะไม่ต่ำต้อยในหมู่ชาวทูเจวี๋ยแน่นอน พานางไปด้วย พอถึงช่วงคับขันก็ไม่แน่ว่าอาจใช้ประโยชน์ครั้งใหญ่ได้ นี่เป็นการคิดอ่านเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องด้วยเช่นกัน” 


 


 


พวกเราสองคคนรับกันเป็นลูกคู่ แม้ไม่ได้เจาะจงว่าให้เก็บเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไว้ แต่ความหมายนั้นก็ชัดเจนมาก อวี้เจียตอนนี้เป็นผู้ช่วยชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ ต้องการไล่นางไปก็เป็นไปไม่ได้ หากคิดหาหนทางไล่นางไป กลับไม่สู้คิดว่าจะสยบนางเช่นไรจะดีกว่า นั่นถึงจะเป็นแผนชั้นยอด 


 


 


ในสามคนผู้ที่อยู่กับอวี้เจียมากที่สุดก็คือหลินหว่านหรง และผู้ที่เข้าใจความร้ายกาจของสาวน้อยทูเจวี๋ยมากที่สุดก็คือเขาเช่นกัน 


 


 


สถานการณ์ตอนนี้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์ลึกลับราวกับดวงจันทร์บนท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ความเป็นมาของนาง แต่ด้วยความรู้เรื่องตัวอักษรและการแพทย์ต้าหัวของนาง จะบอกว่านางไม่เคยได้ยินชื่อหลินหว่านหรงย่อมไม่มีใครเชื่อ การสนทนาเมื่อคืน สาวน้อยทูเจวี๋ยปฏิภาณไหวพริบเฉียบไว ไม่พูดก็พอทำเนา พอเอ่ยปากก็มุ่งตรงจุดสำคัญ คล้ายเล็งจุดตายหลินหว่านหรงเอาไว้ ทั้งแม่นยำทั้งโหดเ**้ยม 


 


 


คนหนึ่งที่ลับ คนหนึ่งที่แจ้ง ข้ายังไม่ทันลงมือก็แพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วศึกนี้จะสู้อย่างไร?! หลินหว่านหรงเงียบงันอยู่นาน ยิ้มขื่นพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา พี่หู พาอวี้เจียผู้นี้ร่วมเดินทางไปด้วย นั่นไม่ต่างกับการขอหนังจากเสือนะ!” 


 


 


เกาฉิวอืมคราหนึ่ง หัวเราะพร้อมพูดว่า “กลัวอะไรกัน ต่อให้เสือตัวนี้ร้ายกาจอีกสักเพียงใดก็เป็นแค่หนอนใหญ่ตัวเมียเท่านั้น ข้ากับเหล่าหูมีความมั่นใจต่อน้องชายเช่นเจ้า เจ้าจงลงมือทำเต็มที่เถอะ “ 


 


 


ดูท่าคงไม่มีทางถอยแล้วจริงๆ หลินหว่านหรงชูคอมองไปทางรถม้าคันนั้น ผ้าม่านม้วนขึ้นมา สาวน้อยทูเจวี๋ยนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นรถม้า หยิบสมุนไพรอย่างตั้งใจ ปากส่งเสียงฮัมบทเพลงพื้นบ้านแห่งทุ่งหญ้าที่หลินหว่านหรงฟังไม่เข้าใจ ใบหน้าซึ่งปิดบังด้วยผ้าโปร่งบางเผยรอยยิ้มที่งดงามดั่งบุปผายามวสันต์เป็นระยะ งามพิลาสยิ่งนัก 


 


 


เมื่อถึงช่วงสนุกสนาน นางคว้าตัวยาขึ้นมาหลายกำ จากนั้นจึงโปรยใส่พื้นของตัวรถเบาๆ กองเป็นตัวอักษรเสี่ยวข่ายภาษาต้าหัวสองพยางค์ กลับเป็นชื่อของนาง… ‘อวี้เจีย’ สาวน้อยทูเจวี๋ยผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ ไม่รู้ว่าไปควักดาบโค้งสีทองขนาดกะทัดรัดออกมาจากที่ใด ปลอกดาบส่องสะท้อนผนังรถจนสาดประกายสีทองวิบวับ ล้ำค่าเหลือคนา อวี้เจียวางดบโค้งสีทองใต้ชื่อตัวเอง ใบหน้าปรากฏสีแดงซ่าน จากนั้นก็อดกัดริมฝีปากเบาๆ แย้มยิ้มออกมาไม่ได้ 


 


 


มองดูทุกอิริยาบถของนาง ดูคล้ายสายลมโชยอ่อนที่พัดผ่านบนทุ่งหญ้า สะอาดสดชื่นเป็นธรรมชาติ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยามนี้เหมือนสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสามากที่สุดคนหนึ่ง ไม่มีใครนำนางไปเชื่อมโยงกับแม่นางอวี้เจียผู้ร้ายกาจหาใดเปรียบคนเมื่อคืนนั้นได้ หูปู้กุยพูดพึมพำ “บนทุ่งหญ้ากลับมีสตรีที่น่ารักบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้ด้วย?! ข้าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ” 


 


 


น่ารัก? หวนนึกถึงการกระทำของอวี้เจียเมื่อคืนแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหลินหว่านหรงก็ไม่อาจเขียนเครื่องหมายเท่ากับระว่างสาวน้อยทูเจวี๋ยกับคำว่าน่ารักคำนี้ได้ ไม่บอกว่านางน่าแค้นใจนักก็ถือว่ายกย่องนางแล้ว 


 


 


อวี้เจียเหมือนรู้สึกตัวว่ามีคนกำลังมองนางอยู่ ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า ยิ้มเจิดจ้าดอกไม้ไฟ ดวงตาล้ำลึกประดุจวารี 


 


 


มารดามัน! เหล่าเกาจับแขนหูปู้กุยโดยไม่รู้ตัว กล่าวด้วยท่าทีดุดันออกมาว่า “ล่มเมือง งามล่มเมือง! น้องหลิน ข้าเป็นตัวแทนราษฎรต้าหัว ขอร้องเจ้าอย่างยิ่งให้สยบหญิงงามล่มเมืองคนนี้ สร้างความเกรียงไกรให้ต้าหัวเรา” 


 


 


มองดูดวงตาอันชุ่มชื้นดั่งสายน้ำของสาวน้อยทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงก็ใจเต้นเร็วรี่หลายครั้ง ทว่าภายในห้วงสมองกลับผุดประโยคหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…เดินทางร่วมกับเสือ! 


 


 


“รายงาน! ข่าวด่วน!” ไกลๆ ออกไปนั้น อาชาพ่วงพีตัวหนึ่งวิ่งห้อตะบึงเข้ามาราวลูกธนู เสียงตะโกนของทหารลาดตระเวนดังไปทั่วทุ่งหญ้า อาชาทูเจวี๋ยตัวนั้นตัวเปียกชุ่มไปทั้งร่าง ทหารม้าซึ่งอยู่บนหลังม้าใบหน้าเต็มไปด้วยดินทราย เหงื่อไหลพรากดั่งสายฝน พุ่งตรงเข้ามากลางทัพ 


 


 


เกาฉิวก้าวเข้าไปหาอย่างเร็วรี่ คว้าจับม้าทูเจวี๋ยซึ่งวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็วไว้ อาชาพ่วงพีตัวนั้นแหงนหน้าส่งเสียงกู่ร้องยาว ๆ ออกมา จากนั้นก็ยืนอย่างสงบนิ่งมั่นคง ทหารลาดตระเวนที่อยู่บนหลังม้าก้าวลงจากอานม้า ทว่าสองขากลับอ่อนระทวย ล้มตรงไปข้างหน้าด้วยความเหนื่อยล้า  


 


 


หูปู้กุยรีบตวาดส่งเสียงคราหนึ่ง เข้าไปประคองเขาให้อยู่นิ่ง “อย่าได้ลนลานไป แม่ทัพหลินอยู่นี่ มีข่าวสารกองทัพอันใดเจ้าจงรายงานมาเร็ว” 


 


 


ทหารลาดตระเวนกล่าวพลางหอบหายใจแฮ่กๆ “เรียนท่านแม่ทัพ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ชาวทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นซึ่งเดิมทีมุ่งหน้าไปทางปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ จู่ๆ เช้าตรู่วันนี้ก็เปลี่ยนเส้นทาง วกมาทางตะวันตกเฉียงใต้หาทัพเรา ตอนนี้ทัพหน้าของมันอยู่ห่างจากทัพเราสองร้อยห้าสิบลี้ขอรับ “ 


 


 


“อะไรนะ? นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?!” หูปู้กุยกับเกาฉิวตกใจสะดุ้งโหยงพร้อมกัน “เหตุใดชนเผ่านอกด่านถึงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่ได้? เจ้ารายงานผิดหรือไม่?!” 


 


 


“เรียนท่านแม่ทัพ จริงแท้แน่นอนขอรับ!” ทหารลาดตระเวนผู้นั้นตอบด้วยความร้อนรน “ข้างหน้ามีพี่น้องสามหน่วยซ่อนตัวอยู่ ครึ่งชั่วยามหลังจากนี้จะมีข่าวมารายงานอีกขอรับ” 


 


 


ดูท่าว่าคงไม่ผิดแล้ว เหล่าหูสีหน้าตื่นตระหนก หันไปพูดกับหลินหว่านหรง “ท่านแม่ทัพ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?! เหตุใดจู่ๆ ชนเผ่านอกด่านถึงเปลี่ยนทิศทางได้ขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงแววตากระจ่างวูบ มองไปทางรถม้าของอวี้เจียทันที ผ้าม่านนั้นทิ้งตัวลงมาอย่างเงียบงันแล้ว เงาร่างเยวี่ยหยาเอ๋อร์โผล่ให้เห็นรำไร บัดเดี๋ยวผลุบบัดเดี๋ยวโผล่ ภายในตัวรถเงียบสงัดจนน่าประหลาดอยู่บ้าง 


 


 


“รอข้า!” หลินหว่านหรงตวาดอย่างรุนแรงคราหนึ่ง ใช้ฝ่ามือฟาดก้นม้า ม้าทูเจวี๋ยวิ่งห้อตะบึงออกไป พุ่งตรงไปที่รถม้าอันประณีตวิจิตรคันนั้น  


 


 


“อ๊าย…เจ้าทำอะไร?!” อวี้เจียร้องด้วยความตกใจ ผ้าม่านรถถูกหลินหว่านหรงกระชากออกดังแควก เขากระโดดเข้าไป ใช้ดาบฟันลงบนศีรษะเยวี่ยหยาเอ๋อร์ 

 

 

 


ตอนที่ 542

 

ร่ายรำบนคมดาบ

 


 


 


 


ดาบนี้ทั้งเร็วและแรง ประกายแสงที่ปรากฏขึ้นรำไรดุจดาวตกที่วิ่งผ่านเข้ามา ฟันตรงลงไปที่ใบหน้าอวี้เจีย 


 


 


ด้วยความตกใจร้อนรน สาวน้อยทูเจวี๋ยร้องอ๊าด้วยโทสะคราหนึ่ง ถึงกระนั้นกลับปราศจากความกริ่งเกรง ดาบโค้งสีทองที่อยู่ในมือรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แทงไปที่ท้องน้อยของหลินหว่านหรง 


 


 


ทั้งสองต่างไม่พูดไม่จา มาถึงก็ลงมือเ**้ยมโหด พื้นที่ภายในตัวรถนี้เล็กยิ่งนัก ขยับไม่สะดวก หลินหว่านหรงฟันดาบลงไปก็จะสังหารอวี้เจียได้ แต่ตนเองก็ยากจะเลี่ยงถูกนางแทงด้วยเช่นกัน 


 


 


ดาบเหล็กแวววาวพาดอยู่บนลำคอขาวนุ่มนิ่มของสาวน้อยทูเจวี๋ย อวี้เจียผู้นี้แม้จะเป็นสตรี แต่ความแข็งกร้าวกลับเหนือล้ำบุรุษ เนตรงามเบิกโพลงจนกลม ดาบทองในมืออยู่ห่างจากท้องน้อยของหลินหว่านหรงแค่คืบ ขอเพียงเขาลงมือ สองคนก็จะสู้จนตายตกไปตามกัน ภายในตัวรถเงียบสงบในบัดดล อวี้เจียกัดริมฝีปากแน่น มองเขาอย่างดุดัน เนตรงามเย็นชา 


 


 


หลินหว่านหรงทอดสายตามองไป เห็นเพียงริมฝีปากน้อยสีแดงสดของสาวน้อยทูเจวี๋ยพ่นลมหายใจหอบหนักๆ ไม่หยุด ใบหน้าแดงซ่านไปหมด แถบผ้าของชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านหลุดเผยให้เห็นหน้าอกอันอ่อนนุ่มนิ่มของนาง ขาวกระจ่างใสดั่งหยกขาวอันงดงาม ข้างกายยังมีชุดกระโปรงดิ้นทองตัวใหม่เอี่ยมตัวหนึ่งวางอยู่ด้วย 


 


 


สาวน้อยมือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งกลับกำสายรัดเอวแน่น ในสายตาอันเต็มไปด้วยโทสะกลับแฝงความอายอยู่หลายส่วน 


 


 


“จะ…เจ้าจะทำอะไร?!” อวี้เจียหงุดหงิดโมโห มือจับแถบผ้าบนตัวแน่น แม้แต่ดาบเหล็กที่กำลังพาดคออยู่ก็ไม่สนใจ ลำคอระหงยืดมาข้างหน้าเล็กน้อย ทว่าดาบเหล็กนั้นกลับปราศจากความคิดที่จะรั้งกลับ ซอกคอขาวละเอียดนุ่มนิ่มพลันถูกกดจนเกิดเป็นเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง คราบเลือดปรากฏให้เห็นรำไร 


 


 


ที่แท้นังหนูนี่กำลังเปลี่ยนชุด หลินหว่านหรงหัวเราะพรวดออกมา เขาเหลือบมองหน้าอกอวี้เจียหลายครั้ง ทว่าสีหน้ากลับดุร้ายเหลือคนา “ทำอะไรหรือ? เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร…” เขาแกว่งดาบเหล็กในมืออย่างดุดัน “…ข้าต้องการฆ่าคน!” 


 


 


“หมาป่ากางกรงเล็บอันแหลมคม นั่นเพราะเป็นอาวุธสุดท้ายของมัน เจ้าจะฆ่าก็ฆ่า หากข้าขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อย ข้าก็ไม่ใช่อวี้เจียสตรีแห่งทุ่งหญ้าแล้ว” สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูกคราหนึ่ง มองเขาอย่างดูแคลนหลายครั้ง หลับตาลงอย่างแช่มช้า สีหน้าสงบนิ่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ 


 


 


ทุกสำนวนทูเจวี๋ยที่อวี้เจียใช้ต่างเกี่ยวข้องกับหมาป่า หลินหว่านหรงฟังแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาส่ายหน้าพร้อมหล่าวระคนหัวเราะ “เจ้าก็รู้ว่าข้าคนนี้ใจอ่อน ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นหมาป่า เทียบกับแม่นางอวี้เจียเช่นเจ้าไม่ได้ พอตวาดออกมายังร้ายกาจกว่าหมาป่าตัวเมียที่ติดสัดบนทุ่งหญ้าเป็นร้อยเท่า ข้าว่าให้เจ้าเป็นจ่าฝูงหมาป่า ยังพอฝืนให้เหมาะสมกับสถานะของเจ้าได้” 


 


 


นัยน์ตาสีฟ้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยล้ำลึกดั่งวารี นางมองเขาหลายครั้ง กล่าวออกมาอย่างแช่มช้า “ฝูงหมาป่าบนทุ่งหญ้าไม่มีวันรู้ว่าจ่าฝูงของพวกมันอยู่ที่ใด นั่นเพราะพอเจ้ารู้ เจ้าก็ฝังร่างไปแล้ว” 


 


 


นังหนูนี่ช่างเข้าใจนิสัยของหมาป่าดีเสียจริง หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้านอกจากศึกษาเรื่องหมาป่าบ้ากามแล้ว เรื่องอื่นก็งั้นๆ เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ากลับอยากจะรู้จริงๆ…น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เจ้าชี้นำทหารม้าทูเจวี๋ยพวกนั้นมาได้อย่างไร?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ตระหนักขึ้นมาทันที นางพลันหัวเราะคิกคัก ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งรุนแรง ร่างที่ประคองหน้าต่างรถสั่นอยู่ตลอดเวลา จนสุดท้ายแม้แต่ดาบทองที่อยู่ในมือก็ถือไม่มั่น ค้อมเอวลงหัวเราะร่าทันที ใบหน้าแดงก่ำ อกงามอ่อนนุ่มนิ่มขยับขึ้นลง เสียงดั่งกังสดาลเงินนั้นลอยออกไปไกลลิบ 


 


 


นังหนูนี่คงไม่ได้กินยา ‘อมยิ้มครึ่งก้าวล้ม’[1] ลงไปหรอกนะ?! หลินหว่านหรงถูกนางหัวเราะจนขนหัวลุก รีบชูดาบยาวในมือ “ห้ามหัวเราะ ถ้าหัวเราะอีกข้าจะฆ่าคนแล้วนะ” 


 


 


“เจ้าฆ่าคนข้าก็จะหวัเราะ…” สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้เหมือนได้พบกับเรื่องที่น่าสนุกที่สุดบนโลกนี้ ไม่แยแสการขู่จากเขาแม้แต่น้อย เสียงหัวเราะกระจ่างสดใสดังไปทั่วทุ่งหญ้า 


 


 


“แย่แล้ว!” เหล่าเกากับเหล่าหูสบตากัน เห็นความประหวั่นพรั่นพรึงภายในดวงตาของอีกฝ่าย ขอเพียงเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้หัวเราะ แม่ทัพหลินจะต้องได้รับความกระทบกระเทือนแน่นอน นี่แทบจะวนกลับแบบเดิมเลย 


 


 


ยากเย็นนักกว่าที่อวี้เจียจะหยุดหัวเราะได้ ทว่าใบหน้ายังคงแดงไปหมด “ใต้เท้าหลิน แม่ทัพหลิน อ้อ เกือบลืมไป ชื่อทูเจวี๋ยของเจ้าคือซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ารู้หรือไม่ พอเจ้าโง่ขึ้นมายังน่าดูกว่าท่าทางตอนที่เจ้าคิดว่าตัวเองฉลาดเป็นร้อยเท่าพันเท่า คิกๆ…” 


 


 


 ‘ใต้เท้าอัวเหล่ากง’ ที่แสนดีนัก หลินหว่านหรงหัวเราะร้องไห้ไม่ออก “อย่างนั้นหรือ? ข้านึกว่าท่าทางก่อนหน้านี้ของข้าก็หล่อที่สุดแล้วนะ คิดไม่ถึงว่าจะหล่อกว่านี้ได้อีก…ขอบคุณการเตือนสติของแม่นาง” 


 


 


ไม่เคยเห็นคนหน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน อวี้เจียแค่นเสียงเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าพูดว่าข้าชักนำคนในเผ่าของข้ามา เช่นนั้นข้ากลับใคร่เรียนถามใต้เท้าท่านแม่ทัพสักคำ อวี้เจียถูกเจ้ากักตัวอยู่บนรถเพียงลำพัง ทุกคำพูดและการกระทำต่างอยู่ในสายตาของพวกเจ้า แล้วข้าจะส่งสารให้คนในเผ่าของข้าเช่นไร?” 


 


 


ที่หลินหว่านหรงสงสัยก็คือปัญหานี้ โปรยตัวยา? รอบด้านต่างมีนายทหารจับตาดูนาง อย่าว่าแต่โปรยยาเลย แม้แต่ทิ้งเข็มปักผ้าสักเข็มก็มีคนเห็น เป่าอวี้เจียส่งข่าว? อย่าล้อเล่นน่า ถ้าชนเผ่านอกด่านอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงเป่าของนาง ข้าคงตายไปหลายร้อยครั้งมารดามันแล้ว เขาส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะ กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าเดาไม่ออก…เช่นนั้นเจ้าว่ามาสิ เจ้าทำได้อย่างไร?!” 


 


 


“ข้า…ถุย…เจ้าถึงส่งข่าวน่ะสิ!” ไม่ทันระวัง สาวน้อยทูเจวี๋ยเกือบหลงกลเขาแล้ว อดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ ตำหนิเขาด้วยโทสะหลายครั้ง 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “ที่จริงเจ้าจะส่งหรือไม่ส่งข่าวก็ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ากล้ามุ่งหน้าเข้าไปในทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกคนพบเข้าสักวันอยู่ดี แค่ช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเอง ไม่ว่าเจ้าจะมีสองหมื่นหรือว่าสองแสน สำหรับข้าแล้วก็เหมือนกันทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนในเผ่าของเจ้าตอนนี้ยังอยู่ห่างจากพวกเราอีกสองร้อยกว่าลี้ ข้ามีเวลาเพียงพอที่จะปรับกระบวน ข้าอยากสู้ก็สู้ อยากไปก็ไป ต้องให้พวกมันไม่ได้อะไรกลับไปแน่นอน” 


 


 


คำพูดนี้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย หากต้องการเล่นสงครามกองโจรบนทุ่งหญ้า การใช้การรบเพื่อเลี้ยงการรบถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด หากไม่อยากถูกชนเผ่านอกด่านพบเห็น นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง “ใช้รุกเพื่อถอย เจ้ากลับเจ้าเล่ห์นัก เพียงแต่ก็อย่างที่เจ้าว่ามา เจ้าเข้าสู่ทุ่งหญ้า ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกพบเห็น แล้วเหตุใดข้าต้องเอาชีวิตของคนในเผ่าจำนวนหลายร้อยคนของข้ากับข้าเป็นค่าตอบแทน สิ้นเปลืองเรี่ยวแรง ที่เสียเปรียบเพื่อส่งข่าวด้วย?! เจ้านึกว่าอวี้เจียจะโง่เหมือนเจ้าหรือ?!” 


 


 


“พูดเหมือนมีเหตุผลอยู่บ้าง” หลินหว่านหรงหัวเราะผงกศีรษะ “พูดเช่นนี้ก็ไม่ใช่เจ้าที่ส่งข่าวจริงๆ? เช่นนั้นเป็นใครล่ะ?” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าเย็นชา “ต้องให้ข้าพูดอีกรอบหรือ? อวี้เจียไม่ได้ต่ำช้าเช่นเจ้า เทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยานให้ข้าได้ เจ้าอย่าประเมินตัวเองสูงไป ในเผ่าข้ามีผู้กล้าผู้มีความสามารถถือกำเนิดมากมาย หากต้องการมองแผนการกระจอกของเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งนั่นง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ! ยังต้องมีคนส่งข่าวอีกหรือ?” 


 


 


อวี้เจียยกเทพแห่งทุ่งหญ้าออกมา ดูท่าคงดูถูกแผนการชั่วช้าเช่นนี้จริงๆ หลินหว่านหรงหัวสมองกระจ่างวูบ กล่าวด้วยความเข้าใจทันที “อ้อ ข้ารู้แล้ว ที่แท้พวกมันไม่ได้พบพวกเราจริงๆ” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาฉายแววประหลายใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?” 


 


 


“ง่ายดายมาก” หลินหว่านหรงหัวเราะ “คนในเผ่าสองคนของเจ้าที่ข้าปล่อยไปจงใจปล่อยข่าวปลอม ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนั่นพอรู้ข่าวนี้ หากฉลาดสักหน่อยก็จะนึกถึงความเป็นไปได้เรื่องส่งเสียงตะวันออกโจมตีตะวันตก ถึงอย่างไรอู่หยวนที่อยู่ข้างหน้าก็ยังมีไพร่พลจำนวนสี่หมื่นรอคอยอยู่ ไม่ห่วงว่าพวกเราจะบินหนีหายไป ดังนั้นไพร่พลสองหมื่นนี้จึงวางใจเดินทัพย้อนศรเพื่อสืบหาตำแหน่งที่แท้จริงของเราได้ ไม่จำเป็นต้องมีคนส่งข่าวเลย นี่คือการสับขาหลอกนี่นา ข้าชอบดูการละเล่นนี้มากที่สุด ยังต้องขอบคุณแม่นางอวี้เจียที่เตือนสติข้า คิดไม่ถึงว่าในชาวทูเจวี๋ยก็มีผู้มีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย” 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียง “เป็นการคาดเดาของเจ้าทั้งนั้น ได้ใจอะไรกัน? หากมีความสามารถเจ้าก็หยุดตรงนี้ไม่ไปไหน ดูสิว่าใครจะเป็นผู้กล้าที่แท้จริงกันแน่!” 


 


 


หลินหว่านหรงโบกมือ กล่าวระคนหัวเราะ “เมื่อเข้าทุ่งหญ้าแล้วก็ถือว่าร่ายรำอยู่บนปลายดาบ ผู้กล้าเช่นข้านี้เต้นรูดเสาจะดีกว่า หากมีชาวทูเจวี๋ยคนไหนชื่นชอบและชื่นชม ข้าก็ไม่สนใจ ส่วนเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่ไม่ใช่คาดเดา แม่นางอวี้เจียรู้อยู่แก่ใจดี ที่จริงแล้วข้าอยากบอกเจ้ามากว่าตรงนี้ยังมีข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่อยู่จุดหนึ่ง เพียงแต่ตัวของแม่นางอวี้เจียเจ้าไม่รู้สึกตัวก็เท่านั้นเอง” 


 


 


เต้นรูดเสาอะไร ฟังเขาพูดศัพท์แปลกประหลาด สาวน้อยทูเจวี๋ยหน้าแดง เพียงแต่เมื่อเห็นเขาโม้จนสั่นสะเทือนถึงสวรรค์ ความมั่นใจนั้นกลับเปี่ยมล้น นางก็อดประหลาดใจไม่ได้ “ข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่? ข้อบกพร่องอะไร?!” 


 


 


“ข้อบกพร่องอันยิ่งใหญ่นี้น่ะหรือก็คือตัวเจ้าเอง” หลินหว่านหรงหรี่ตาเป็นเส้นตรง รอยยิ้มลามก 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงเฉยชา “เจ้าพูดเหลวไหล ข้ามีข้อบกพร่องอะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ หัวเราะแล้วตอบว่า “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ามีที่มาที่ไปอันใดกันแน่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ คนฉลาดหลักแหลมงดงามเช่นเจ้า สถานะในทูเจวี๋ยจะต้องไม่ต่ำต้อย ข้าพูดถูกหรือไม่?!” 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียงออกจมูกคราหนึ่ง ทั้งไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ 


 


 


“ข้าจับตัวคนที่ยอดเยี่ยมและสูงศักดิ์เช่นนี้ อีกทั้งยังจงใจปล่อยคนในเผ่าของเจ้าไปสองคนเพื่อส่งข่าว ทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นนี้แม้จะสงสัยทิศทางที่แท้จริงของพวกเรา แต่มันก็ไม่มีทางกล้าไม่สนใจชีวิตเจ้า แย่ที่สุด มันจะแยกกำลังเป็นสองสาย ทางหนึ่งไล่ตามไปทางอู่หยวน ปกป้องคุณหนูอวี้เจียผู้สูงศักดิ์มากที่สุด อีกทางหนึ่งกลับสืบหาทิศทางที่พวกมันสงสัย ต่อให้มอบขวัญให้มันสิบขวัญ มันก็ไม่อาจรวบรวมกำลังทั้งหมดแล้วพุ่งไปยังทิศทางที่ไม่แน่ใจได้…เจ้าดูสิ ข้อบกพร่อง! นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่องหรอกหรือ? ข้ากล้าพนันกับเจ้าว่าหากพวกมันออกมาเป็นร้อยลี้แล้วหาร่องรอยพวกเราไม่เจอ การสืบหานี้ก็จะสิ้นสุด กองกำลังช่วยเหลือสองสายของพวกมันก็จะตามไปที่อู่หยวนแต่โดยดี ว่าอย่างไร คุณหนูอวี้เจีย เจ้ากล้าพนันกับข้าสักตาหรือไม่?” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยดวงตาสาดประกายคมกริบเร็วรี่ ความประหลาดใจไม่อาจกลบเกลื่อน ถึงกระนั้นกลับแค่นเสียงด้วยความดึงดัน “เจ้าจะพนันอะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงตรวจดูสีหน้า ความมั่นใจยิ่งเพิ่มพูน หัวเราะฮิฮะแล้วตอบว่า “พนันอะไรน่ะหรือ ง่ายดายมาก ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะปล่อยคนในเผ่าเจ้าสิบคนทันที” 


 


 


อวี้เจียมองเขาอย่างระแวดระวัง แค่นสียงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะใช้คนในเผ่าข้ามาเล่นละครให้เจ้าอีกแล้ว?! เช่นนั้นหากข้าแพ้ล่ะ…” 


 


 


“เจ้าแพ้หรือ…” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ดวงตามองวนร่างกายนางอย่างเปล่งประกาย ปล่อยแสงวาวโรจน์อยู่ตลอดเวลา อวี้เจียรีบยกชุดขึ้นมาปิดหน้าอก ดาบทองกันอยู่ตรงหน้าอกแนบแน่น ตวาดด้วยโทสะออกมา “หมาป่าชั่วช้า อย่าคิดลบหลู่ความบริสุทธิ์ของสตรีแห่งทุ่งหญ้าเป็นอันขาด” 


 


 


“เอ๊ะ ดาบเล็กนี้ไม่เลว ทองเหลืองอร่าม” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “หากเจ้าแพ้ก็มอบดาบน้อยเล่มนี้ให้ข้าก็ได้ ยามข้าว่างจะได้ปอกผลไม้ ตัดแต่งเล็บ…” 


 


 


“ฝันกลางวัน” ไม่รอให้เขาพูดจบอวี้เจียก็ตัดบทเขา กล่าวดูแคลนว่า “ผู้ที่ได้รับดาบทองเล่มนี้จากข้ายังไม่ถือกำเนิดบนโลก” 


 


 


หลินหว่านหรงแค่นเสียงด้วยความหงุดหงดโมโห “ก็แค่ดาบสับปะรังเคเล่มหนึ่งเองนี่นา? อย่าว่าแต่ทองเลย ต่อให้เอาไข่มุกโมรามากองข้าก็ไม่สน เช่นนั้นก็ดี เปลี่ยนเงื่อนไข หากเจ้าแพ้ ต้องเรียกชื่อทูเจวี๋ยของข้าต่อหน้าทุกคนสิบรอบ ไม่ ร้อยรอบ! เจ้าตกลงหรือไม่ตกลง…หากไม่ตกลงข้าจะฆ่าคน!” 


 


 


ชื่อทูเจวี๋ยของมัน?! เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด จากนั้นจึงผงกศีรษะแล้วตอบว่า “ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง นี่มันชื่อบ้าบออะไรกัน เรียกก็เรียกสิ ข้ายังกลัวเจ้าอีกหรือ?” 


 


 


“ดี เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมเก็บดาบยาวเข้าฝัก “รบกวนโดยพลการ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ น้องสาว เจ้าสวมเสื้อผ้าต่อไปเถอะนะ” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา มุมปากยิ้มเย็นชา “เหตุใดเล่า เจ้าไม่ฆ่าข้าแล้วหรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวอย่างมีเลศนัย “นั่นจะทำลงได้อย่างไร? ตอนนี้เจ้าเป็นสมบัติล้ำค่าของข้า เกี้ยวแปดคนหามก็ยังเชิญมาไม่ได้ พี่น้องห้าพันของข้านี้ยังหวังให้เจ้าช่วยชีวิตอยู่” 


 


 


อวี้เจียดวงตาปรากฏแววเย็นเหยียบกระจ่างวูบ เมื่อสงบจิตใจครุ่นคิด การประมือในวันนี้ต่างกับเมื่อคืนโดยสิ้นเชิง กลับเป็นเจ้าโจรคนนี้ที่แอบได้เปรียบ ควบคุมการกระทำ 


 


 


สำรวจอกอวบอิ่มของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อีกหลายครั้ง ขณะกำลังจะกระโดดลงจากรถไป อวี้เจียที่เงียบงันอยู่พลันเอ่ยปากพูดพร้อมหัวเราะ ความงามยวนเย้าพลันบังเกิด “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ลืมบอกเจ้าไป ข้าชอบร่ายรำบนคมดาบเช่นกัน” 


 


 


“อ้อ เต้นรูดเสาหรือเปล่า?!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะโดยไม่หันหน้ากลับ “เช่นนั้นพวกเราเต้นด้วยกันได้ ยังมีเสาเหล็กอีก…” 


 


 


พูดยังไม่ทันจบอวี้เจียที่อยู่ข้างหลังก็เดือดดาลยกใหญ่ ปาสมุนไพรแห้งใส่หลังเขาอย่างหนักหน่วงหลายชิ้น “ชาวต้าหัวต่ำช้า ไสหัวไป…” 


 


 


หลินหว่านหรงกระโดดลงจากรถม้า แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อมาตั้งแต่แรก เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หวนนึกถึงการปะทะกันที่ผ่านมากับสาวน้อยทูเจวี๋ย ถือได้ว่าสุ่มเสี่ยงทุกย่างก้าว ความคิดอันละเอียดรอบคอบ การตัดสินอย่างแม่นยำ การรู้ถึงจิตใจคนของอวี้เจียคนนี้ต่างเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ยินไม่ได้เห็นมาก่อน ยังดีที่คราวนี้ถูกเขาลดทอนความแหลมคมลงไปบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่านางจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก 


 


 


“แม่ทัพหลิน เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร สืบได้อะไรบ้างหรือไม่ขอรับ?” หูปู้กุยกับเกาฉิวรีบควบม้าห้อตะบึงมาข้างหน้าเขา เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เมื่อดูจากท่าทางของแม่ทัพหลินตอนนี้ หน้าชื่นตาบาน อิ่มเอิบซาบซ่าน ท่าทางไม่เหมือนพ่ายแพ้ต่อหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หรือว่าแม่ทัพหลินจะสยบอวี้เจียได้แล้ว? เหล่าเกาเหล่าหูสองคนต่างงุนงงสงสัย 


 


 


“สืบได้ครึ่งหนึ่ง” หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมเล่าเรื่องราวส่วนใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ให้ฟังรอบหนึ่ง เกาฉิวเอ่ยด้วยความตกใจเบาๆ ว่า “เอ๊ะ หากพูดเช่นนี้ ไม่ใช่นางส่งข่าวจริงๆ หรือ?” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ “ในใจชาวทูเจวี๋ย เทพแห่งทุ่งหญ้ามีสถานะสูงส่งที่สุด สตรีชนเผ่านอกด่านผู้นี้จิตใจเย่อหยิ่ง ไม่มีทางโกหกต่อเทพแห่งทุ่งหญ้าแน่ ดูท่าท่ามกลางทหารม้าทูเจวี๋ยนั่นจะต้องมีคนที่สูงส่ง ท่านแม่ทัพ ท่านคิดว่าเจ้าชนเผ่านอกด่านพวกนี้ไม่พบพวกเรา ตอนนี้พวกมันก็แค่ลองสืบมาทางนี้เท่านั้นจริงหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “หากไม่ใช่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ส่งข่าว ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นก็ไม่มีวันพบร่องรอยของพวกเราแน่ อย่างมากก็แค่สงสัย มิหนำซ้ำเมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว สถานะของอวี้เจียในหมู่ชาวทูเจวี๋ยน่าจะสำคัญยิ่ง ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางกล้าละเลยแน่ ก่อนจะยืนยันทิศทางที่แท้จริงของพวกเราได้ พวกมันจำเป็นต้องไปอู่หยวน กลับเป็นเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้สิ ฮิฮิ พี่เกา ที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลยสักนิด นี่คือปลาใหญ่นะ” 


 


 


เกาฉิวเอ่ยถามตาปริบๆ “แต่นี่จะเป็นปลาเช่นใดกันเล่า? น้องหลิน เจ้าพอคลำทางได้หรือไม่?” 


 


 


“ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในช่วงคลำหา” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเคร่งขรึม “แต่ท่านวางใจเถิด อย่างที่ว่ากันไว้ ขอเพียงลงแรงให้มาก กระบองเหล็กต้องกลายเป็นเข็ม ต้องมีวันที่น้ำลดตอผุดอย่างแน่นอน เชื่อข้า” 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะลามกหน้าตาระรื่น หูปู้กุยค่อนข้างซื่ออยู่บ้าง ฟังรหัสลับของพวกเขาสองคนไม่ออก ส่งเสียงอืมหลายครั้งพร้อมพูดว่า “เช่นนั้นตอนนี้ทัพเราควรเคลื่อนไหวเช่นไรดี? ต้องหยุดหรือไม่ขอรับ?” 


 


 


“อย่านะ หยุดทำไมเล่า” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างต่อเนื่อง “ต่อให้พวกท่านเชื่อใจข้า แต่ก็ไม่อาจเชื่อใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนั้นนะ สาวน้อยคนนี้แผนการยังมากยิ่งกว่าข้าเสียอีก หากนางแอบใช้วิธีการอะไรเพื่อส่งข่าว พวกเราจะไม่รอรับการทุบตีอยู่ตรงนี้หรือ? เพื่อความปลอดภัย พวกเรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป ทะลุเข้ากลางรังของชนเผ่านอกด่าน  อึกทึกครึกโครมเช่นไรก็สู้เช่นนั้น ต้องทำให้ชาวทูเจวี๋ยตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อให้จงได้ นอกจากนี้ทหารม้าทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้หากพี่หูท่านส่งพี่น้องออกไปสืบต่อไป จะต้องได้เจอกับพวกมันอย่างแน่นอน” 


 


 


หูปู้กุยกับเกาฉิวสองคนรับคำพร้อมกัน จากนั้นจึงไปจัดการ ขบวนทัพใหญ่เพิ่มความเร็วมุ่งหน้าไปทิศตะวันตก ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็ว ราวกับทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นนั้นไล่ตามอยู่ด้านหลังก้น 


 


 


อวี้เจียเลิกผ้าม่านมองทัพต้าหัวผู้ชั่วร้ายที่วิ่งกระเจิดกระเจิงเหล่านี้ เจ้าหัวหน้าโจรหน้าดำคนนั้นขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุด หวดแส้ตวาดเสียงดังวิ่งห้อตะบึงตลอดทาง 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงออกทางจมูกคราหนึ่ง “โจรขวัญอ่อน เจ้ากล้าร่ายรำบนคมดาบด้วยหรือ?” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] อมยิ้มครึ่งก้าวล้ม มาจากภาพยนตร์ของโจวซิงฉือ เป็นตัวยาที่เมื่อกินเข้าไปแล้วหากยิ้มแย้ม หรือเดินแค่ครึ่งก้าวก็จะตาย 

 

 

 


ตอนที่ 543

 

ความลับขั้นสุดยอด

 


 


 


 


ทอดสายตามองออกไป ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันเวิ้งว้างดอกไม้ป่าแกว่งไกว สีเขียวมรกตไร้ประมาณ ท้องฟ้าสีฟ้าสีน้ำเงินเข้มกระจ่างสดใสราวกับผ่านการชำระล้างด้วยน้ำ สายลมโชยเอื่อยเบาๆ พัดผ่านใบหน้า ส่งกลิ่นหอมของหญ้าป่า ทัพห้าพันของต้าหัวเดินทางอยู่บนทุ่งหญ้าอย่างกว้างใหญ่ รวดเร็วยิ่งนัก ค่อยๆ กลืนหายเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า 


 


 


ทุ่งหญ้าอาลาซ่านแทบจะไม่มีคน เดินทางมานานขนาดนี้กลับไม่เห็นเงาของชนเผ่านอกด่าน หลังจากทูเจวี๋ยสร้างแคว้นก็รวบรวมตระกูลย่อยเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกัน แบ่งพื้นที่ตามจำนวนคน แต่ละพื้นที่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เมื่อฤดูแล้งหรือฤดูหนาวมาถึง แต่ละตระกูลก็จะใช้ชีวิตเลี้ยงสัตว์อยู่ในพื้นที่ของตัวเอง เมื่อฤดูใบไม้ผลิอบอุ่นบุปผาเบ่งบาน น้ำและหญ้าอุดมสมบูรณ์ ทุกตระกูลก็จะออกเลี้ยงสัตว์ ภาพอันยิ่งใหญ่ตระการตานั้นราวกับสายรุ้งที่เคลื่อนไหวอยู่บนทุ่งหญ้า 


 


 


ระบบการอยู่รวมกันเช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนหยิบยืมมาจากต้าหัว เพียงแต่ทำตามสถานการณ์บนทุ่งหญ้า ปรับปรุงเล็กน้อยเท่านั้นเอง อาจเรียกได้ว่าเป็นการอยู่กับที่กึ่งหนึ่ง ด้วยการชักนำของนโยบายการปกครองแบบอยู่กับที่กึ่งหนึ่ง ทุ่งหญ้าอาลาซ่านจึงค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่ที่อาศัยอยู่ร่วมกันของกลุ่มชาวทูเจวี๋ยที่มีจำนวนมากน้อยแตกต่างกัน จำนวนน้อยก็หลายพันคน จำนวนมากก็มีถึงหมื่นคน 


 


 


เพื่อรับประกันว่าแต่ละหน่วยจะมีสถานที่เลี้ยงสัตว์เพียงพอ ระหว่างพื้นที่อยู่อาศัยของชาวทูเจวี๋อย่างน้อยต้องรักษาระยะห่างหลายร้อยลี้ และด้วยระยะห่างนี้เองถึงทำให้ทหารม้าต้าหัวมีพื้นที่ว่างในการเคลื่อนไหว ตอนนี้ทหารม้าชั้นยอดของทูเจวี๋ยจำนวนสามแสนกว่านายกำลังโอบล้อมช่องเขาเฮ่อหลานซานอยู่ ชายฉกรรจ์ของแต่ละหน่วยต่างถูกนำไปจนเกลี้ยง และนี่จึงเพิ่มพูนความมั่นใจในการล่วงเข้าสู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้าแก่ทัพอันโดดเดี่ยวของหลินหว่านหรง 


 


 


ก่อนออกเดินทางสวีจื่อฉิงเคยมอบแผนที่ทุ่งหญ้าอาลาซ่าน จุดบ่งชี้ล้วนเรียบง่าย แต่เส้นทางนั้นกลับชัดเจนยิ่งนัก ช่วยทัพอันโดดเดี่ยวนี้ได้มาก บวกกับหูปู้กุยซึ่งมีประสบการณ์มากมายคอยช่วยเสริม ไพร่พลห้าพันนายนี้อย่างน้อยก็ไม่ต้องหลงทางอยู่บนทุ่งหญ้า 


 


 


หลังจากบุกยึดปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ ทัพใหญ่ได้เสบียงเสริมกลับมาได้ถึงหกเจ็ดวัน ต่อให้ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าแล้วหาเสบียงไม่พบ พวกเขาก็ยืนหยัดไปได้อีกเจ็ดวัน 


 


 


ต่อให้เป็นเช่นนี้หลินหว่านหรงก็ยังไม่วางใจอยู่ดี ควบม้าตรวจสอบกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ เมื่อเห็นม้าทูเจวี๋ยของนายทหารแต่ละคนต่างแขวนเนื้อตากแห้งและอาหารแห้งเต็มไปหมดเขาถึงผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ 


 


 


“น้องหลิน ข่าวดี ข่าวดี” เกาฉิวร้องเรียกมาตลอดทางวิ่งห้อตะบึงมาพร้อมหูปู้กุยจากด้านหลังของขบวน 


 


 


“ข่าวดีอะไร?” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองสองคนมาถึงเบื้องหน้า เขากระโดดลงจากม้า “หรือว่ากุนซือสวีทำให้ชาวทูเจวี๋ยสามแสนอัปราชัยครั้งใหญ่ได้แล้ว?!” 


 


 


พวกเขาขาดการติดต่อกับสวีจื่อฉิงมาได้เจ็ดแปดวันแล้ว ตอนนี้ยังเป็นกองทัพอันโดดเดี่ยวล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้า เดินทางตรงข้ามกับช่องเขาเฮ่อหลานซาน ยิ่งเดินทางก็ยิ่งห่างไกล ใต้เฮ่อหลานซานมีสถานการณ์เช่นไรกันแน่ พวกเขาก็ไม่รู้แม้แต่น้อย 


 


 


เกาฉิวส่ายหน้าแล้วตอบว่า “น้องชายเจ้าคงไม่ได้ล้อเล่นหรอกนะ? ข้าเหล่าเกาไม่ใช่เทพเซียนเสียหน่อย แล้วจะไปมีข่าวของคุณหนูสวีได้อย่างไรกัน? ที่ข้าพูดหมายถึงชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนั่น เป็นอย่างที่เจ้าคาดไว้จริงๆ พวกมันกำลังลองตามหาพวกเราอยู่ ชนเผ่านอกด่านสองหมื่นนี้เดินทางไม่ถึงร้อยลี้พอไม่ได้อะไรก็วกไปทางตะวันออกทันที ไล่ตามไปที่อู่หยวนแล้ว” 


 


 


หลินหว่านหรงร้องอ้อ ไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดี ชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้พอพบว่าหลงกลก็ต้องเปลี่ยนทิศทาง การพบเจอพวกเขาก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น อวี้เจียผู้นั้นกลับซื่อสัตย์อยู่บ้าง ไม่ได้พูดเท็จ ถึงอย่างนั้นด้วยสติปัญญาและไหวพริบของแม่หนูคนนี้ยังน่ากลัวกว่าชาวทูเจวี๋ยแสนคนเสียด้วยซ้ำ  


 


 


“เมื่อเอ่ยถึงกุนซือสวี ข้าเหล่าเกากลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” เกาฉิวพูดเสียงเบา “พวกเราเปลี่ยนแผนกะทันหัน ไม่ย้อนกลับอู่หยวน แต่กลับมุ่งหน้าเข้าสู่ทุ่งหญ้าต่อไป เรื่องนี้ควรให้กุนซือสวีทราบหรือไม่? นางจะได้วางกลยุทธ์ของทัพใหญ่ให้สอดรับกับพวกเรา ไม่แน่ว่าจะทำให้งานของพวกเราลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง”  


 


 


“พูดมีเหตุผล” หลินหว่านหรงมองเขาด้วยความประหลาดใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “พี่เกา ตอนนี้ท่านช่ำชองการทหารมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ ใกล้เท่าน้องชายเช่นข้าแล้ว นับถือๆ” 


 


 


หูปู้กุยฟังพวกเขาสองคนสนทนาอยู่ด้านข้าง แล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง “น้องเกา ต้องการแจ้งข่าวแก่กุนซือสวีไหนเลยจะง่ายดายเช่นเจ้าพูด ชนเผ่านอกด่านสามแสนตั้งอยู่ที่อู่หยวน แม้แต่แมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้ แล้วจะแจ้งนางอย่างไร?!” 


 


 


เกาฉิวส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “ต้องการแจ้งข่าวคุณหนูสวีไม่ใช่เรื่องลำบากเช่นกัน ไม่แน่ว่าตอนนี้ชนเผ่านอกด่านพวกนั้นกำลังแจ้งข่าวให้พวกเราโดยไม่ต้องเสียเงินก็ได้นะ” 


 


 


แจ้งข่าวโดยไม่ต้องเสียเงิน? เหล่าหูเหล่าเกาสองคนนิ่งอึ้งพร้อมกัน ยังเป็นหูปู้กุยที่เอ่ยปากถาม “แม่ทัพหลิน แจ้งข่าวโดยไม่ต้องเสียเงินอะไรกันหรือขอรับ? เหตุใดพวกเราถึงไม่รู้?!” 


 


 


“เฮ้อ ก็เพราะเรื่องนี้ข้าถึงต้องทนรับเสียงก่นด่าไม่น้อย ว่าไปแล้วก็ถูกใส่ความยิ่งนัก” หลินหว่านหรงถอนหายใจ กล่าวอย่ามีเลศนัย “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านรู้ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้าหรือไม่?!” 


 


 


ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของแม่ทัพหลิน? เหล่าเการีบผงกศีรษะหัวเราะลามก “รู้ๆ ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง ข้าได้ยินแม่นางน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์เรียกอยู่หลายครั้ง จึ๊ๆ ชื่อนี้ตั้งได้ดีมากเลยนะ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพื่อเอารัดเอาเปรียบโดยเฉพาะ น้องหลิน ข้าเหล่าเกายอมเจ้าแล้ว!” 


 


 


เหล่าเกาชูนิ้วโป้งแกว่งไปมาต่อเนื่อง กล่าวทอดถอนชมเชยไม่หยุด หูปู้กุยมีปฏิกิริยาช้าไปสักหน่อยถามด้วยความสงสัยออกมาว่า “น้องเกา เจ้าชื่อนี้เอารัดเอาเปรียบเช่นไร เจ้าลองบอกข้ามา” 


 


 


“นี่ท่านไม่รู้หรือ? ซานเกอซื่อ…หว่อเหล่ากง! เหล่ากง (สามี) หากพูดภาษาบ้านๆ สักหน่อยก็คือผัว ท่านพี่ ชื่อนี้ตั้งให้แม่นางน้อยเยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดโดยเฉพาะ ท่านเข้าใจหรือไม่?” เกาฉิวสอนหูปู้กุยด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง 


 


 


หูปู้กุยบังเกิดปัญญาขึ้นมาโดยพลัน หัวเราะฮ่าๆ ออกมาทันที เต็มไปด้วยความนับถือต่อฝีมือของแม่ทัพหลิน 


 


 


เจ้าคนลามกเหล่าเกาคนนี้! หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวพร้อมถอนหายใจยาว “ชื่ออย่างเดียวกัน ในสายตาคนแต่ละคนความนัยย่อมต่างกันโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ท่านมองเห็นเป็นสิ่งสะท้อนความจริงที่ท่านคิดอยู่ภายในใจ เฮ้อ ความห่างชั้นระหว่างคนกกับคนทำไมถึงได้มากขนาดนี้นะ?” 


 


 


“มะ…หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าชื่อภาษาทูเจวี๋ยของน้องหลินไม่ได้พูดเช่นนี้?” เกาฉิวตะกุกตะกัก 


 


 


“แน่นอนว่าไม่ได้พูดเช่นนี้” หลินหว่านหรงแค่นเสียงจมูกคราหนึ่ง “ผู้อื่นเห็นชื่อนี้ของข้าต่างนึกว่าข้าน้ำกามขึ้นสมอง ต่ำช้าไร้ยางอาย ไม่เลือกใช้วิธีการในการกระเซ้าเย้าแหย่ดรุณีน้อย ที่จริงแล้วข้าว่าพวกที่ทายความนัยของชื่อข้าผิด ทั้งยังตำหนิกล่าวโทษข้าพวกนั้นถึงจะเป็นพวกน้ำกามขึ้นสมองอย่างแท้จริง พี่หู ความคิดของท่านค่อนข้างเที่ยงตรง ท่านลองท่องชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้ากลับหลัง ดูสิว่ามันคืออะไรกันแน่?!” 


 


 


หูปู้กุยอ้อคราหนึ่ง ครุ่นคิดอย่างถ้วนถี่ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “กงเหล่าอัว…ซื่อเกอซาน! ท่องเช่นนี้ใช่หรือไม่ขอรับ แม่ทัพหลิน?!” 


 


 


“ไม่เลว! ท่องกลับหลังก็คือกงเหล่าอัว ซื่อเกอซาน…กงเหล่าอัว ซื่อเกอซาน (บุกรัง คือเราสามคน)!” หลินหว่านหรงพูดแค่นเสียงฮึ่มๆ “นี่คือวิธีการท่องชื่อของข้าอย่างถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว และเป็นความลับที่ข้าต้องการบอกคุณหนูสวีอีกด้วย พี่เกา ท่านดูสิ ท่านคิดอะไรไป? น้ำกามขึ้นสมองแล้วกระมัง!” 


 


 


ที่แท้ก็มีความหมายแฝงเช่นนี้! เหล่าเกาเหงื่อเย็นเยียบโชกชุ่ม มิน่าเล่าน้องหลินถึงได้โมโหเดือดดาล เห็นๆ อยู่ว่าเป็นชื่อที่สูงส่ง มีความหมายแฝงยิ่งนัก แต่กลับถูกคนมากมายอ่านผิดอย่างต่ำช้า ดูท่าว่าก่อนหน้านี้เป็นข้าที่เข้าใจเขาผิดแล้ว น่าละอายๆ 


 


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” หูปู้กุยปรบมือพูดขึ้นมา “แม่ทัพหลินมีฐานะเป็นมันสมองของทัพเราในการเข้าสู่ทุ่งหญ้า ลักพาตัวอวี้เจีย ชื่อนี้จะต้องแพร่สะพัดไปทั่วทุ่งหญ้าและทะเลทรายแน่นอน ด้วยความฉลาดหลักแหลมและสติปัญญาของคุณหนูสวี ขอเพียงได้ยินชื่อภาษาทูเจวี๋ยของแม่ทัพหลิน นางก็จะเข้าใจเจตนาของพวกเรา ท่านแม่ทัพ ท่านลำบากแล้ว ข้าน้อยไม่เคยนับถือท่านเช่นนี้มาก่อนเลย” 


 


 


แม่ทัพหลินส่ายหน้า ถอนหายใจลึกเปี่ยมล้นด้วยความเศร้าโศก “ผู้อื่นหัวเราะเยาะว่าข้าเสียสติบ้าบอ ข้าหัวเราะเยาะผู้อื่นว่ามองไม่ทะลุปรุโปร่ง…คนอย่างข้านี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องโดดเดี่ยว เฮ้อ เคยชินเสียแล้วๆ” 


 


 


คิดไม่ถึงจริงๆ เลยว่าที่แท้แม่ทัพหลินจะเป็นคนที่ล้ำลึกเยี่ยงนี้ เหล่าหูส่ายหน้าทอดถอนใจ ดูท่าว่าวันหน้าคงมองแค่เปลือกนอกอันสกปรกของเขาเพียงอย่างเดียวไม่ได้เสียแล้ว ต้องมองไปถึงจิตใจอันโดดเดี่ยวน่าสงสารของเขาให้มากกว่านี้ 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะฮิฮะสองคราด้วยความกระดากใจ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “น้องหลิน ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าต้องเลียนแบบเจ้า เป็นคนที่เปลือกนอกหลงระเริงโลกีย์ ทว่าในใจกลับสูงส่ง ตอนนี้ข้ามีจุดเริ่มต้นเช่นนี้แล้ว” 


 


 


จุดเริ่มต้นผายลมน่ะสิ เจ้าน่ะเปลือกนอกหลงระเริงโลกีย์ ในใจหลงระเริงโลกีย์ยิ่งกว่า! เมื่อได้ยินเหล่าเกาแสดงความในใจอย่างเสแสร้งออกมา แม้แต่หูปู้กุยก็ยังหัวเราะอย่างดูแคลน 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “พี่ชายทั้งสอง ข้าขอพูดอย่างไม่เกรงใจ ความหมายแฝงของชื่อข้าถือเป็นความลับสุดยอดในกองทัพเรา ตอนนี้พวกท่านรู้ความลับนี้แล้ว คงจะรู้แล้วว่าเป้าหมายสุดท้ายในการบุกเข้าทุ่งหญ้าของพวกเราคือที่ใดแล้วกระมัง?” 


 


 


“รู้สิ เหล่าอัว (รัง) อย่างไร…” เกาฉิวหัวเราะอย่างไม่แยแส รับไปส่งเดชอย่างนั้น ผ่านไปไม่นานสีหน้าก็แปรเปลี่ยน “รัง?! น้องหลิน เจ้า…เจ้าจะบุกไปที่ราชธานีของชาวทูเจวี๋ย?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะพลางแย้มยิ้ม “มิเช่นนั้นจะเรียกว่าความลับขั้นสุดยอดหรือ?! ทำไมเล่า พี่เกา ท่านกลัวแล้ว?!” 


 


 


เหล่าเกาส่งเสียงหึ กล่าวอย่างดูแคลน “ข้ากลัวกับผีน่ะสิ วันนั้นพูดเล่นอยู่ที่ค่าย เห็นน้องหลินไม่ส่งเสียงสักแอะ ข้าก็รู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบสิ้น จริงดังคาด พวกเราอ้อมครั้งใหญ่ สุดท้ายก็ยังต้องไปที่รังของชนเผ่านอกด่านอยู่ดี ฮ่าๆ สะใจ สะใจ ติดตามน้องหลิน สิ่งที่ทำล้วนแต่เป็นเรื่องสาแก่ใจที่ข้าเหล่าเกาไม่เคยประสบมาก่อนในชาตินี้” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวกับหูปู้กุยว่า “พี่หู ท่านล่ะ ไปหรือไม่?!” 


 


 


เดิมทีการเข้าสู่ทุ่งหญ้าก็เพื่อใช้การศึกหล่อเลี้ยงการศึก ฉวยโอกาสกวาดล้างกลุ่มของชนเผ่านอกด่านสักหลายกลุ่มก็ถือเป็นผลสำเร็จอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าความคิดของแม่ทัพหลินกลับซุกซ่อนแผนการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ด้วย หูปู้กุยตื่นเต้นเสียจนเลือดลมพลุ่งพล่านมาตั้งแต่แรก ร้องออกมาว่า “ไป! หากข้าไม่ไป ขอให้ข้านั่งยองฉี่!” 


 


 


เกาฉิวถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหล่าหู คำสาบานของท่านนี้กลับน่าสนุกนัก…นั่งยองฉี่คืออะไร?” 


 


 


หลินหว่านหรงมองเขาแฝงความหมายลึกซึ้ง ผงกศีรษะแล้วตอบว่า “พี่เกา ท่านกลายเป็นคนใสซื่อไปแล้วจริงๆ ข้าชื่นชมมาก!” 


 


 


เหล่าเกาที่เปลี่ยนเป็นใสซื่อไปไม่ต้องเอ่ยถึง ในเมื่อบอกแผนการนี้กับคนทั้งสองแล้ว หลินหว่านหรงก็ไม่ปิดบังอันใดอีก หยิบแผนที่ที่สวีจื่อฉิงวาดลวกๆ ออกมา นำแผนการที่ครุ่นคิดมานานบอกกล่าวทั้งหมด “พี่หู ท่านดู เมื่อวิเคราะห์จากแผนที่ของกุนซือสวี สถานที่ที่พวกเราอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นส่วนปลายสุดของทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทุ่งหญ้าอาลาซ่าน ส่วนเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ยอยู่ทางเหนือสุดของทุ่งหญ้า หากพวกเราเดินทางเลียบทุ่งหญ้าขึ้นเหนือย่อมไปถึงเค่อจือเอ่ร์แน่นอน แต่ระหว่างนี้มีกลุ่มของชนเผ่านอกด่านจำนวนนับไม่ถ้วนขวางอยู่ ต่อให้พวกเราโจมตีทำให้กลุ่มของชาวทูเจวี๋ยพ่ายแพ้จนหมดสิ้น รอให้พวกเราไปโจมตีเค่อจือเอ่อร์ก็เป็นเรื่องของหลายเดือนหลังจากนี้แล้ว ถึงเวลาสิ่งที่รอคอยพวกเราอยู่ที่ราชธานีของชนเผ่านอกด่านก็คือทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยหนึ่งแสน เช่นนั้นก็ไม่ต้องสู้กันแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยประเมินแผนที่อย่างละเอียด ผงกศีรษะ “ท่านแม่ทัพกล่าวถูกต้องที่สุด หากบุกตรงไปทางเหนือตลอดทาง ไม่ใช่แค่จะเปิดเผยเป้าหมายของเราเท่านั้น แต่จะยิ่งเป็นการรนหาที่ตายอีกด้วย ไม่คุ้มที่จะทำ หากต้องการโจมตีไปถึงเค่อจือเอ่อร์ จะต้องโจมตีพิสดารเช่นปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ เดินทางไปตามเส้นทางที่ชนเผ่านอกด่านไม่รู้ตัว” 


 


 


หลินหว่านหรงขยับนิ้วไปข้างหน้า ชี้ไปยังจุดหนึ่งบนแผนที่ หัวเราะแล้วพูดว่า “ที่นี่เรียกว่าอี้อู๋ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีเส้นทางสายไหมอันพิสดารอยู่เส้นหนึ่ง ตัดผ่านภูเขาหิมะและทะเลทราย ผ่านอี้อู๋ หนานไถ ข้ามผ่านทะเลสาบอูหลุนกู่ ไปถึงภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ ฝั่งตรงข้ามก็คือเคอปู้ตัวซึ่งปลูกหญ้าแสบจมูก เมื่อตัดผ่านเคอปู้ตัวก็คือเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของทูเจวี๋ยแล้ว” 


 


 


เส้นทางที่หลินหว่านหรงชี้เริ่มจากอี้อู๋ ออกจากทุ่งหญ้าอาลาซ่าน อ้อมเป็นวงโค้งเล็กๆ แล้วข้ามผ่านภูเขาอาเอ่อร์ไท่ จากนั้นก็เข้าสู่ทุ่งหญ้าอีกครั้งหนึ่ง สิ่งที่พบก็จะเป็นเคอปู้ตัวสถานที่ปลุกหญ้าแสบจมูกอันล้ำค่ากับเค่อจือเอ่อร์ราชธานีของชนเผ่านอกด่านแล้ว 


 


 


หูปู้กุยมองแล้วก็ตื่นเต้นยินดียิ่งนัก “ท่านแม่ทัพ มีเส้นทางเยี่ยงนี้อยู่จริงหรือขอรับ? หากเป็นความจริง ขอเพียงพวกเราไปถึงอี้อู๋ก็จะอ้อมการปิดผนึกขัดขวางของชาวทูเจวี๋ยได้แล้ว” 


 


 


“น่าจะมีกระมัง” หลินหว่านหรงหัวเราะคราหนึ่ง “แต่ก็ไม่แน่ใจ ไม่แน่ว่าหลังจากพวกเราเดินทางผ่านไปแล้วถึงจะมีเส้นทางสายนี้ก็เป็นได้” 


 


 


หูปู้กุยไม่สนใจเรื่องพวกนี้ โจมตีปาเยี่ยนเฮ่าเท่ออย่างพิสดารก็พิสูจน์ความสามารถในการเลือกเส้นทางของหลินหว่านหรงได้แล้ว ในเมื่อแม่ทัพหลินพูดว่าไปถึงราชธานีของชนเผ่านอกด่านได้ เช่นนั้นก็ต้องได้ 


 


 


เกาฉิวฟังพวกเขาสองคนสนทนา มองตรวจสอบแผนที่อย่างละเอียด ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อน้องหลินบอกว่าได้ เช่นนั้นก็ต้องเดินทางได้ เพียงแต่ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ พวกเราจะไปถึงอี้อู๋ได้อย่างไร? ระหว่างนี้ยังขวางด้วยกลุ่มของชาวทูเจวี๋ยอีกหลายกลุ่มเชียวนะ!” 


 


 


แผนที่ของสวีจื่อฉิง สัญลักษณ์ในแถบนี้พร่าเลือนยิ่งนัก เพียงหมายเหตุไว้ว่ามีกลุ่มของชาวทูเจวี๋ยอยู่หลายกลุ่ม ถึงกระนั้นกลับไม่ได้พูดถึงตำแหน่งอย่างชัดเจน  


 


 


“ง่ายมาก สู้ไปก็ได้แล้ว!” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “การไปถึงแถบอี้อู๋นี้พวกเราต้องอาศัยกำลังของตัวเองเพื่อสร้างหนทาง พวกเราไม่ใช่แค่ต้องใช้เลือดของชนเผ่านอกด่าน ส่งข่าวให้คุณหนูสวี สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือมีแค่การสู้รบเท่านั้น พวกเราถึงได้เสบียงเลี้ยงดู” 


 


 


“แต่ แม้แต่ตำแหน่งของกลุ่มเหล่านี้พวกเราก็ยังไม่รู้เลยนะขอรับ!” หูปู้กุยกล่าวด้วยความสงสัย 


 


 


“ท่านไม่รู้ แต่มีคนรู้นี่นา!” หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านลืมแล้วหรือ? เยวี่ยหยาเอ๋อร์ยังมีคนในเผ่าอีกตั้งหลายสิบคน ข้าลำบากลำบนพาพวกมันมาทำอะไร? นี่ คือคนนำทางที่ดีที่สุด!”


 

 

 


ตอนที่ 544

 

ตาต่อตาฟันต่อฟัน

 


 


 


 


ตามเครื่องหมายบนแผนที่ของแผนที่ของสวีจื่อฉิง ตอนนี้ดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่พวกเขาอยู่ใกล้มากที่สุดชื่อว่าต๋าหลานจา ต๋าหลานจาในภาษาทูเจวี๋ยหมายถึงไข่มุกแห่งทุ่งหญ้า ตามการคาดการณ์ของหลินหว่านหรง ในเมื่อไข่มุกแห่งทุ่งหญ้านี้ใกล้แค่ตรงหน้า เช่นนั้นศึกแรกในการล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของทหารม้าต้าหัวก็ควรปักธงเซ่นสังเวยที่ต๋าหลานจา 


 


 


สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแผนที่ของคุณหนูสวีชี้ตำแหน่งของแต่ละกลุ่มบนทุ่งหญ้าอาลาซ่านอย่างหยาบๆ ยิ่งนัก จำนวนประชากรก็ยิ่งอธิบายไม่ละเอียด หน่วยลาดตระเวนจำนวนสามหน่วยที่หูปู้กุยส่งออกไปค้นหาเป็นระยะทางหลายสิบลี้ แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของต๋าหลานจา 


 


 


เหล่าเกากล่าวอย่างไม่อาจสะกดกลั้น “กุนซือสวีเข้าใจผิดหรือไม่? ภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบพวกเรานี้มีไข่มุกที่ไหนกัน?” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะพร้อมเอ่ยว่า “น้องเกาอย่าร้อนใจไป นี่เป็นสิ่งที่แม่ทัพหลินสั่งการเอาไว้ ศึกแรกในการล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าของพวกเราจะต้องสู้ให้ดัง สู้ให้โหด สู้ให้ชนะ ก่อนสืบทราบสถานการณ์ของต๋าหลานจาอย่างชัดเจน ยิ่งไม่อาจให้ชาวทูเจวี๋ยค้นพบร่องรอยของพวกเราโดยง่าย ด้วยเหตุนี้พี่น้องทั้งหลายที่สืบร่องรอยของศัตรูนี้จึงเลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง ส่วนเรื่องตำแหน่งของต๋าหลานจาน่ะหรือ ข้าว่า แม่ทัพหลินคงมีอะไรไว้ในใจแล้ว…เอ๊ะ แม่ทัพหลินล่ะ?!” 


 


 


เขามองข้างกาย หลินหว่านหรงซึ่งเมื่อครู่ยังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ด้านข้างกลับหายไร้ร่องรอยไปแล้ว 


 


 


เกาฉิวบุ้ยปากไปไกลๆ หัวเราะพร้อมพูดว่า “นั่นไม่ใช่หรืออย่างไร?! เขากำลังสืบหาตำแหน่งของไข่มุกแห่งทุ่งหญ้าจากแม่นางอวี้เจียอยู่!” 


 


 


หูปู้กุยทอดสายตามองออกไปไกล พลันหัวเราะพรวดออกมาทันที หลินหว่านหรงไม่รู้ว่าไปโผล่อยู่ข้างรถม้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังเลิกผ้าม่านขึ้น มองเข้าไปข้างในด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ  


 


 


เพิ่งยื่นหน้าเข้าไปก็รู้สึกถึงสายลมเย็นหอบหนึ่งวูบผ่านใบหน้าอย่างรวดเร็ว เสียงตวาดเจื้อยแจ้วด้วยโทสะของอวี้เจียดังขึ้นมาพร้อมกัน “ชาวต้าหัวผู้ไร้ยางอาย เจ้ามาทำอะไรอีก?!” 


 


 


“ข้าจะทำอะไรได้!” หลินหว่านหรงยึดมือทั้งคู่ของนางอย่างแน่นหนา แอบออกแรง ปลายดาบสีทองที่อยู่ในมืออวี้เจียห่างจากหน้าเขาแค่ไม่กี่นิ้ว ถึงกระนั้นกลับไม่อาจรุกคืบเข้ามาได้แม้แต่น้อย สาวน้อยทูเจวี๋ยแค่นเสียงหลายครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ สองมือสองเท้าดิ้นรนอย่างดื้อดึง 


 


 


มองดูเรือนร่างอันงดงามอรชรของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ขยับบิดไปมาไม่หยุดราวกับงูตัวน้อย ก้นงามงอนอกกระเพื่อม งามพิลาสเหลือคนา หลินหว่านหรงอดมองเพิ่มอีกหลายครั้งไม่ได้ ฉวยโอกาสลูบคลำมืออันอ่อนนุ่มนิ่มของนางไปหลายครั้ง หัวเราะฮิฮะพร้อมพูดว่า “แม่นางอวี้เจีย ที่แท้เจ้าคิดจะฆ่าข้า หรือว่าโถมตัวเข้าสู่อ้อมอกกันแน่?! เฮ้อ ตัวข้าเองก็ไม่ใจแล้ว” 


 


 


“หน้าไม่อาย…” สาวน้อยทูเจวี๋ยรีบส่งเสียงด่าทอ ใช้เท้าถีบร่างเขาอย่างหนักหน่วง  


 


 


หลินหว่านหรงสีหน้าเย็นชาทันที มือใหญ่คลายออกในบัดดล สาวน้อยทูเจวี๋ยที่กำลังดิ้นรนอย่างเต็มที่ร่างล้มลงบนพื้นรถอย่างแรงราวกับต้นหลิวที่เอนลู่ลงไป ครั้งนี้แอบใช้แรงไปไม่น้อย ดังนั้นเมื่อร่างของเยวี่ยหยาเอ๋อร์กระแทกพื้นจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ แค่นเสียงออกมา แสดงว่าล้มแรงยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงไม่แม้แต่จะมองนาง กล่าวพลางหัวเราะเย็นชาออกมาว่า “ข้าหน้าไม่อายหรือไม่ ยังไม่ถึงตาชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้ามาวิพากษ์วิจารณ์ คุณหนูหมอเทวดา ข้ามาเตือนเจ้า ตอนนี้เป็นเวลาที่ต้องใช้ยา เจ้าต้องไปดูอาการให้พี่น้องข้าแล้ว!” 


 


 


“ไม่ดู!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอด เพิ่งแค่นเสียงออกมาก็ได้ยินเสียงร้องอ๊าอย่างน่าอนาถดังมาแต่ไกล จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตวาดด่าทอเป็นภาษาทูเจวี๋ย เหมือนเป็นเสียงของเฮ่อหลี่เย่ 


 


 


อวี้เจียรีบเลิกผ้าม่านขึ้น เห็นว่าท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ไม่ไกล ชาวทูเจวี๋ยผู้หนึ่งหัวแยกออกจากร่าง โลหิตไหลสาดกระจายเต็มทุ่งหญ้า เฮ่อหลี่เย่สองมือสองเท้าถูกมัดเป็นบ๊ะจ่าง ตะโกนเสียงอย่างเดือดดาลด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว โจรที่ชื่อหูปู้กุยคนนั้นมุมปากยิ้มบิดเบี้ยว เป่าคราเลือดที่อยู่บนดาบใหญ่เบาๆ อย่างไม่แยแส สีหน้าผ่อนคลาย ทว่าภายในดวงตากลับปรากฏไอสังหารคมกริบ 


 


 


“เจ้า…เจ้าทำอะไร?!” ด้วยความตกใจอย่างยิ่ง เยวี่ยหยาเอ๋อร์สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ชูกำปั้นน้อยใส่หลินหว่านหรงอย่างหนักหน่วง โมโหเดือดดาลราวกับหมาป่าตัวเมียน้อยที่อยู่บนทุ่งหญ้า “เจ้าฆ่าคนในเผ่าของข้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงแบมือทั้งสองข้างออก กล่าวด้วยสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว! ผู้ที่ฆ่าคนคือพี่หูของข้า ไม่ใช่ข้า ข้ารักษาสิทธิ์ที่เจ้าจะพูดว่าไม่ แน่นอนว่าข้าก็รักษาสิทธิ์ในการฆ่าคนของพี่หูด้วยเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเลือกส่ายหน้าต่อไปได้ ความอดทนของข้าดีมาก” 


 


 


“ต่ำช้า!” ดวงตาของอวี้เจียฉายเปลวเพลิงอันร้อนแรง “ใช้การเข่นฆ่าคนในเผ่าข้ามาข่มขู่ข้า ข้าไม่ละเว้นเจ้าไปแน่!” 


 


 


หลินหว่านหรงสายตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งอันเย็นเยียบเดือนสิบสอง “ไม่ละเว้นข้า?! คุณหนูอวี้เจีย เจ้าล้อเล่นกระมัง! ทหารม้าอาชาเหล็กทูเจวี๋ยสามแสนเหยียบย่ำชายแดนต้าหัวเรา เผาฆ่าปล้นชิงทำแต่เรื่องชั่วช้า สหายร่วมอุทรจำนวนนับไม่ถ้วนของข้าถูกพวกเจ้าย่ำยี ตายอย่างน่าอนาถใต้ดาบสังหารของชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้า แต่คุณหนูอวี้เจียผู้งดงามกลับใช้ถ้อยคำอันเปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมมาชี้โทษกล่าวหาว่าข้าฆ่าคน ตำหนิว่าข้าหน้าไม่อาย…ได้ ข้าจะฆ่า ข้าจะหน้าไม่อายแล้ว เจ้าจะทำอะไรข้าได้!” 


 


 


เขาหน้าตาถมึงทึง จ้องมองอวี้เจียอย่างดูแคลน สายตาประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีที่ไม่มีวันละลาย ปราศจากความรู้สึก เยวี่ยหยาเอ๋อร์ตะลึงงัน ลางสังหรณ์บอกว่าเจ้าโจรคนนี้เปลี่ยนเป็นคนละคน จากต่ำช้าไร้ยางอายกลายเป็นเย็นชาไร้ไมตรี เปลี่ยนสีหน้าราวกับเปลี่ยนเสื้อผ้า 


 


 


สายตาดูแคลนของเจ้าโจรคนนี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอยากขัดขืนอย่างหนึ่ง เพียงแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับไม่อาจต้านทานสายตาเขาได้ ดังนั้นจึงทำได้แค่กำหมัดพร้อมแค่นเสียงออกจมูก ก้มหน้าลงไปน้อยๆ เท่านั้น 


 


 


“คุณหนูหมอเทวดา ถึงเวลาดูอาการแล้ว” หูปู้กุยที่อยู่ไกลๆ ค่อยๆ เช็ดคราบเลือดที่อยู่บนดาบใหญ่ เล็งไปที่ชาวทูเจวี๋ยพร้อมกวัดแกว่งอย่างสบายอารมณ์หลายครั้งเป็นระยะ ดูท่าทางสบายอารมณ์ยิ่งนัก เสียงไม่เร็วไม่ข้าของเจ้าโจรหน้าดำดังข้างใบหูอวี้เจีย มีความสงบเยือกเย็นและเย็นชาอย่างบอกไม่ถูก มุมปากเขาประดับรอยยิ้มดูแคลน แค่มองก็เห็นจนหมดสิ้น 


 


 


หากบอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าโจรหน้าดำเอาชนะอย่างหวุดหวิด อวี้เจียในตอนนี้กลับรู้สึกอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจะบรรยายออกมาได้ หัวหน้าโจรผู้นี้แค่เปลี่ยนสีหน้าก็สร้างแรงกดดันรุนแรงแก่นางได้แล้ว กระทั่งว่ายังทำให้นางบังเกิดความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นในใจ 


 


 


มองดูคนในเผ่าที่ล้มจมกองเลือดคนนั้น นางไม่อาจรวบรวมความกล้าปฏิเสธได้อีก ดังนั้นจึงแค่นเสียงด้วยความเดือดดาล หยิบตัวยาไม่กี่อย่างขึ้นมา จากนั้นจึงกระโดดลงจากรถ 


 


 


รถม้าที่บรรทุกเสี่ยวหลี่จื่ออยู่กึ่งกลางขบวน เมื่อทั้งสองขึ้นรถมาหลี่อู่หลิงยังคงหลับลึกอยู่ สีหน้าสงบนิ่ง การหายใจก็สะดวกขึ้นมาก มีเค้าลางของการหายดีให้เห็นอยู่รางๆ  


 


 


หลินหว่านหรงยินดียิ่งนัก อยากจะกอดเยวี่ยหยาเอ๋อร์พร้อมจูบสักหลายทีให้มันรู้แล้วรู้รอด ละทิ้งความขัดแย้งระหว่างชนชาติไม่ต้องเอ่ยถึง วิชาแพทย์ของสตรีชาวทูเจวี๋ยผู้นี้ช่างทำให้คนนับถือเสียจริง 


 


 


“กระหยิ่มยิ้มย่องอะไรกัน เขายังห่างไกลจากการหายดีมากนัก!” อวี้เจียเห็นสีหน้าตื่นเต้นยินดีของเขา ใจก็รู้สึกหงุดหงิดโมโหมาก คิดสร้างความกระทบกระเทือนใจให้เขาสุดกำลัง 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า กล่าวโดยไม่แยแส “ไม่กลัว ไม่กลัว สิ่งที่ข้ามีก็คือเวลาที่รอได้ ต่อให้ตัดหัวของข้า ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งพี่น้องที่เปรียบเสมือนแขนขาของข้าไป หมอเทวดาอวี้เจีย ขอบใจเจ้า” 


 


 


เจ้าโจรคนนี้มีความจริงใจจริงๆ ดวงตาเปล่งประกาย สาวน้อยทูเจวี๋ยก้มหน้าลง กล่าวพร้อมแค่นเสียงอย่างดูแคลน “บุรุษต้าหัวเช่นพวกเจ้าต่างก็ชอบร้องไห้เช่นนี้หรือ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “หลายวันนี้ลมทรายรุนแรง ตอนข้าล้างหน้าต้องใช้น้ำให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ไม่ทันเช็ดให้สะอาด เป็นที่น่าหัวร่อของหมอเทวดาแล้ว” 


 


 


ชาวต้าหัวที่ชอบโกหก! อวี้เจียคร้านจะสนใจเขา เมื่อมีชีวิตของคนในเผ่ามาขู่เข็ญ นางไม่กล้าชักช้าเช่นกัน ตรวจสอบอาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิงอย่างละเอียด จากนั้นจึงตรวจชีพจรเขา ยุ่งวุ่นวายไปชั่วขณะ 


 


 


หลินหว่านหรงมองประเมินการเคลื่อนไหวของสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้อย่างละเอียด วิธีการในการรักษาคนไข้ของนางหลากหลายนัก นอกจากวิธีการวินิจฉัยตามแบบฉบับการแพทย์แผนจีนหลายอย่างแล้ว นางยังเชี่ยวชาญเรื่องบาดแผลภายนอกมากยิ่งนัก อย่างเช่นวิธีการรีดเลือดออกจากหน้าอกเสี่ยวหลี่จื่อเมื่อวาน แพทย์แผนจีนทั่วไปไม่อาจทำได้ เห็นชัดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากประสบการณ์จริง 


 


 


“มองอะไร?!” ครั้นเห็นสายตาของเจ้าโจรคนนี้มองประเมินร่างตนเองไม่หยุด เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็คล้ายหงุดหงิดโมโหอยู่บ้าง ปาตัวยาหลายอย่างกระแทกใส่ร่างเขาอย่าแรง “บดยาให้ข้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะหลายครั้ง รับสมุนไพรที่นางโยนมา “ดอกสายน้ำผึ้ง เถียนชี โสมหิมะ หลายอย่างนี้ใช้ขจัดอักเสบลดบวม ทำให้จิตใจกระปรี้กระเปร่าลดความร้อน เกล็ดปลาจิ่นหลี่ ตังกุย บำรุงโลหิต อืม ไม่เลวๆ ตำรับยาของหมอเทวดาไม่เลวจริงๆ ตรงกับอาการมาก” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยหลายครั้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงแค่นเสียงออกมา “ที่แท้เจ้าก็มีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง เช่นนั้นยังต้องให้ข้ามาทำอะไร” 


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้าพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “หมอเทวดาเข้าใจผิดแล้ว ข้าขึ้นชื่อมาสายตาสูงส่งฝีมือต่ำต้อย เรียกชื่อยาออกมาได้แต่เลือกตัวยาไม่ได้ ว่าไปแล้วก็น่าละอาย ในหมู่ศาสตร์ทั้งหลาย การแพทย์เป็นสิ่งที่ข้าอ่อนมากที่สุด” 


 


 


อวี้เจียมองเขาคราหนึ่ง กล่าวลอยๆ ออกมา “เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าถนัดมากที่สุดคือศาสตร์ใด?!” 


 


 


“ศาสตร์ในห้อง!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์นิ่งอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงหน้าแดงเล็กน้อย ตวาดด้วยโทสะออกมา “ชาวต้าหัวที่ไร้ยางอาย!” 


 


 


แม้แต่เรื่องนี้ก็รู้ด้วย?! แม่หนูคนนี้ช่างเข้าใจอารยะรรมต้าหัวเราอย่างกว้างขวางล้ำลึกเสียจริง หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง กระหยิ่มยิ้มย่องยิ่งนัก  


 


 


บดตัวยาเหล่านั้นเรียบร้อย ครึ่งหนึ่งใช้กิน ครึ่งหนึ่งใช้ภายนอก เรื่องเปลี่ยนยาให้หลี่อู่หลิงนี้อวี้เจียไม่มีทางทำแน่ ดังนั้นจึงกระทำโดยหลินหว่านหรงกับเกาฉิวมาตลอด 


 


 


มองดูเขาทาก้อนยานั้นลงบนหน้าอกหลี่อู่หลิง อวี้เจียเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า “แม่ทัพหลิน ขอเจ้าอย่าฆ่าคนในเผ่าของข้าอีกได้หรือไม่?” 


 


 


หลินหว่านหรงตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง นับตั้งแต่สัมผัสกับอวี้เจีย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางใช้ท่าทีอ่อนโยนเช่นนี้สนทนา หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูอวี้เจีย คำกล่าวนี้ถามได้ดี เช่นนั้นข้าขอคำชี้แนะจากเจ้าสักประโยคหนึ่ง ชาวทูเจวี๋ยสามแสนคนของพวกเจ้าสามารถถอนตัวกลับไปทุ่งหญ้า สาบานว่านับแต่บัดนี้จะไม่รุกรานต้าหัวเราได้หรือไม่?” 


 


 


อวี้เจียเงียบงันครู่หนึ่ง คล้ายไม่ยินยอมตอบคำถามนี้ หลินหว่านหรงมองความคิดนางออก ยิ้มเรียบๆ ออกมา “คิดแต่จะได้ แต่ไม่คิดจะเสียออกไป? เช่นนั้นก็ไม่ต้องหารือกันแล้ว! ความอัปยศที่ชาวทูเจวี๋ยนำมาให้ต้าหัวเรา มีแค่โลหิตเท่านั้นถึงจะชำระล้างได้” 


 


 


อวี้เจียได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างดื้อดึง “เรื่องจริงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกพิสูจน์มาตั้งนานแล้ว ต้าหัวของพวกเจ้าไม่มีวันเป็นคู่ต่อสู้ของทูเจวี๋ยเราไปตลอดกาล การต่อต้านก็นำมาเพียงการนองเลือดที่ใหญ่ยิ่งขึ้นเท่านั้น ข้าขอโน้มน้าวให้พวกเจ้าล้มเลิกโดยเร็วจะดีกว่า ขอเพียงพวกเจ้ายอมวางอาวุธ ทูเจวี๋ยเราจะไม่เข่นฆ่าราษฎรต้าหัวแม้แต่คนเดียว” 


 


 


นังหนูนี่เห็นข้าเป็นโจรขายชาติเสียแล้ว! หลินหว่านหรงระเบิดหัวเราะเสียงดัง “คุณหนูเยวี่ยหยาเอ๋อร์ ความมั่นใจของเจ้ากลับเต็มเปี่ยมนัก เพียงแต่น่าเสียดายที่เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือข้า” 


 


 


ดวงตาอวี้เจียสาดประกายบางๆ “ตกอยู่ในเงื้อมมือเจ้าไม่ได้หมายความว่าข้าจะแพ้ ข้าอวี้เจียกล่าวด้วยความมั่นใจได้ว่าเจ้าต้องพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือข้า ข้าจะทำให้เจ้ายินยอมพร้อมใจ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ต้องเอาเรื่องที่เกิดขึ้นจริงมาพูดกันแล้วล่ะ พวกเรา ตั้งตารออยู่!” 


 


 


ภายในรถม้าเงียบสงัดครู่หนึ่ง นอกจากเสียงลมหายใจของหลี่อู่หลิงแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เขาสองคนสายตาคมกริบ จ้องมองซึ่งกันและกัน กลับตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่มีใครยอมก้มหัวให้ใคร 


 


 


มองดูดวงตาที่เหมือนดั่งสายน้ำ ดวงหน้างามประพิมพ์ประพายแดงระเรื่อของสาวน้อยทูเจวี๋ย หลินหว่านหรงยิ้มออกมาทันที คลำหาของอย่างหนึ่งออกมาจากอก “หมอเทวดา นี่ให้เจ้า” 


 


 


อวี้เจียเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเขาชัดเจน นิ่งอึ้งทันที “เจ้า เหตุใดเจ้าถึงมีขลุ่ยหยกของข้าได้?!” 


 


 


“ข้าเก็บได้ตอนอยู่เมืองซิงชิ่ง” หลินหว่านหรงยัดขลุ่ยหยกขนาดเล็กกะทัดรัดเลานั้นใส่มือนาง กล่าวเรียบๆ ว่า “คืนนั้นข้ายังเกือบถูกหน้าไม้ทูเจวี๋ยยิงสังหารด้วย” 


 


 


อวี้เจียกัดฟันกรอด รับขลุ่ยหยกเลานั้นกลับมาโดยไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว ลูบไล้อย่างระแวดระวังหลายครา ทันใดนั้นนางก็คลี่ยิ้ม ส่งขลุ่ยหยกเลานั้นคืนสู่มือเขา “ในเมื่อเจ้าเก็บได้ เช่นนั้นก็มอบให้เจ้า ขลุ่ยหยกเช่นนี้ข้ามีถมไป” 


 


 


“อย่างนั้นหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” เขากำขลุ่ยหยกขนาดกะทัดรัดนั้นอยู่ในมือ ถอนหายใจเล็กน้อย กล่าวพึมพำกับตนเองว่า “ขลุ่ยหยกที่ล้ำค่าเช่นนี้ ข้าก็มีอยู่เลาหนึ่ง” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยทอดสายตามองเขา ส่วนลึกของนัยน์ตาสีฟ้ามีประกายแสงกระจ่างวูบขึ้นมารางๆ หลินหว่านหรงใบหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำ หรี่ตาลงเล็กน้อย 


 


 


ไม่รู้ว่าเงียบงันไปนานเท่าใด สาวน้อยทูเจวี๋ยพลันลุกยืนขึ้น เอ่ยเสียงเบาออกมา “วันนี้ก็เท่านี้ก็แล้วกัน อาการบาดเจ็บของสหายเจ้าอยู่ในขั้นทรงตัวแล้ว พอพรุ่งนี้ข้าจะมาตรวจอีกครั้ง” 


 


 


“ขอบคุณหมอเทวดา” หลินหว่านหรงเลิกผ้าม่าน ใช้สายตาส่งอวี้เจียกระโดดลงจากรถไป เมื่อนางเดินไปได้หลายก้าว จู่ๆ เขาก็เอ่ยปากหัวเราะขึ้นมา “ใช่แล้วล่ะ น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ มีเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกเจ้า…” 


 


 


อวี้เจียหันหน้ากลับมา มองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมชี้ไปไกลๆ “เพื่อเป็นการขอบคุณหมอเทวดาที่ช่วยรักษาอย่างเต็มที่ ข้าจะมอบของขวัญเล็กๆ ให้เจ้าอย่างหนึ่ง…คนในเผ่าครึ่งหนึ่งของเจ้าจะถูกปล่อยตัวไป!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์เงยหน้ามองหูปู้กุยที่อยู่ไกลๆ พาทหารหลายสิบนายกำลังปลดเชือกที่มัดชาวทูเจวี๋ยออก ชาวทูเจวี๋ยเหล่านี้ทีแรกไม่กล้าเชื่อ แต่เมื่อลองเดินไปหลายก้าว เห็นว่าทหารต้าหัวปราศจากปฏิกิริยา ถึงยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง ชักเท้าวิ่งห้อตะบึงจากไป 


 


 


ทีแรกเห็นเขาฆ่าคน ต่อมาเห็นเขาปล่อยคน ต่อให้เป็นสาวน้อยทูเจวี๋ยผู้ฉลาดล้ำเลิศก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าในน้ำเต้าเขาขายยาอะไร จิตใจพลันสับสนขึ้นมาบ้าง  


 


 


“แม่นางอวี้เจีย เจ้าต้องเชื่อนะว่าข้ามีความจริงใจมาก!” หลินหว่านหรงใบหน้าผุดรอยยิ้มราวกับหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ “หนี้เลือด มีเพียงล้างด้วยเลือดเท่านั้น!” 

 

 

 


ตอนที่ 545.1

 

 ให้ชนเผ่านอกด่านจดจำความเจ็บปวด

 


 


 


 


อวี้เจียครุ่นคิด ทันใดนั้นก็รู้สึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ทันที พยายามโผออกไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ตวาดเสียงดังไปทางคนในเผ่าที่วิ่งห้อตะบึงไปไกล “ยาหมาหู (กลับมา) สั่วหลี่ยาหมาหู (พวกเจ้ากลับมาเร็ว)!” 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่ถูกปล่อยตัวฝีเท้าราวกับโผบิน ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็วิ่งออกไปได้หนึ่งลี้ ไหนเลยจะยังได้ยินเสียงร้องตะโกนของนางอีก ด้วยความร้อนใจเยวี่ยหยาเอ๋อร์ขยับร่างจะพุ่งไปข้างหน้า ทว่ากลับถูกแขนอันกำยำทรงพลังคู่หนึ่งขวางเอาไว้ 


 


 


หลินหว่านหรงยืนอยู่ข้างหน้านาง ใบหน้าอมยิ้ม กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “เจ้าเรียกไปก็ไร้ประโยชน์ พวกมันไม่ได้ยินหรอก! เจ้าดูสิ ท่าทางการวิ่งของพวกมันงามสง่ามากขนาดนั้น เฮ้อ ชีวิต สำหรับทุกคนก็ล้ำค่าทั้งนั้น!” 


 


 


“ปีศาจ!” ด้วยความเดือดดาล อวี้เจียใช้ศีรษะกระแทกหน้าอกเขา กอดมือใหญ่ที่โบกสะบัดเปะปะวุ่นวายของเขา จากนั้นก็กัดอย่างหนักหน่วง 


 


 


กัดอีกแล้ว?! ความเจ็บปวดที่ชำแรกเข้าสู่จิตใจส่งผ่านเข้ามา หลินหว่านหรงแยกเขี้ยว ตวาดด้วยโทสะพร้อมเหวี่ยงร่างนางออกไป อวี้เจียส่งเสีงร้องคราหนึ่งแล้วล้มลงบนทุ่งหญ้า เมื่อก้มหน้าลงไปก็เห็นว่าหลังมือมีรอยฟันทรงจันทร์เสี้ยวกระจ่างชัดเพิ่มขึ้นมาอีกรอยหนึ่ง โลหิตค่อยๆ ซึมออกมา หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาคู่กับรอยกัดเมื่อคราวก่อน ค่อนข้างเด่นชัดสะดุดตา 


 


 


ถูกอวี้เจียทิ้งรอยอยู่บนมือสองครั้งต่อเนื่อง หลินหว่านหรงจึงหงุดหงิดโมโหยิ่งนัก “น้องสาว นอกจากกัดคนแล้ว เปลี่ยนไปปทำอย่างอื่นสักหน่อยได้ไหม?!” 


 


 


อวี้เจียจ้องมองเขา ฟันขาวสะอาดขบริมฝีปากสีแดงสดแน่น กล่าวอย่างเย็นชาออกมาว่า “เจ้าต้องการลอบโจมตีต๋าหลานจา?!” 


 


 


แม้จะเห็นความฉลาดหลักแหลมของนางมาจนชินแล้ว แต่พอได้ยินเยวี่ยหยาเอ๋อร์พูดประโยคเดียวก็บอกเป้าหมายของตนอย่างชัดเจน หลินหว่านหรงก็ยังอดที่จะตกใจไม่ได้ สาวน้อยทูเจวี๋ยผู้นี้รวบรวมความงดงามและสติปัญญาไว้ในตัวคนเดียว ช่างเป็นบุคคลอันร้ายกาจอย่างยิ่งยวดคนหนึ่งเสียจริง มีนางหนึ่งคนก็เพียงพอที่จะต้านทานทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยได้เป็นแสน ที่โชคดีก็คือนางอยู่ในกำมือเรา ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์คงย่ำแย่เกิดจินตนาการ 


 


 


“ต๋าหลานจา? เป็นดินแดนทูเจวี๋ยของพวกเจ้ากระมัง?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะสองครา ดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ “คุณหนูอวี้เจียวางใจ หากมีเวลาว่าง ข้าจะไปเยี่ยมเยียน” 


 


 


อวี้เจียได้ฟังคำพูดก็รู้ความหมาย มองทะลุความคิดเขาออกตั้งแต่แรก กำหมัดแน่นทันที ดวงตาทั้งคู่สาดประกายร้อนแรงไม่ยอมอ่อนข้อ “ชาวต้าหัวไร้ยางอายและต่ำช้า เจ้าต้องการยกดาบสังหารคนในเผ่าข้าที่ต๋าหลานจา?! ข้าแค้นเจ้า! อวี้เจียแค้นเจ้า!” 


 


 


“แค้นข้า?!” หลินหว่านหรงยิ้มอย่างเย็นชา “เช่นนั้นก็แค้นไปเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่เคยหวังให้เจ้ามารักข้าอยู่แล้ว” 


 


 


“จะ…เจ้าหมาป่าต่ำช้าไร้ยางอาย!” หากเอ่ยถึงการประชันฝีปาก ใต้หล้ายังมีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้หลินหว่านหรงอีก? สาวน้อยทูเจวี๋ยโกรธจนหน้าซีด สั่นเทาไปทั้งร่าง ค้นหาคลังคำศัพท์ภาษาต้าหัวไปทั่วก็หาคำมาบรรยายโจรต้าหัวผู้นี้ไม่ได้ 


 


 


หลินหว่านหรงกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย “บอกว่าข้าเป็นหมาป่า นั่นคุณหนูอวี้เจียก็ยกย่องข้าแล้ว ข้ายังห่างจากสันดานหมาป่าไกลลิบลับ ต้าหัวเรามีคำพูดโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่าอย่าเอาเรื่องที่ตนเองไม่ยินดีไปให้ผู้อื่น คุณหนูอวี้เจียเจ้าเห็นอกเห็นใจคนในเผ่าเจ้า เห็นพวกเขาหลั่งเลือดได้รับบาดเจ็บเจ้าก็เจ็บปวดไม่อยากอยู่ ใจดั่งมีดกรีด เช่นนี้ก็ดีมาก มีความเป็นคนมาก แต่ตอนที่คนในเผ่าเจ้าเข่นฆ่าสหายร่วมชาติชาวต้าหัวของข้า คุณหนูอวี้เจียเจ้าเคยเห็นใจสหายร่วมชาติของข้าบ้างหรือไม่? ร้องไห้เจ็บปวดเสียใจให้พวกเขาทุกคนเช่นเดียวกันหรือไม่? ความเห็นอกเห็นใจอันถั่งท้นของเจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว? ไม่ผิด ข้าฆ่าคนในเผ่าเจ้า ข้าต่ำช้ามาก แต่พวกเจ้าชาวทูเจวี๋ยก็เข่นฆ่าสหายร่วมชาติชาวต้าหัวเราจำนวนนับไม่ถ้วน หรือว่านี่คือความสูงส่ง? พูดกันตรงๆ ทูเจวี๋ยก็เป็นเพียงหมาป่าที่ปราศจากความเป็นคนเท่านั้นเอง ส่วนคุณหนูอวี้เจียผู้งดงาม มาตรฐานด้านคุณธรรมของเจ้าล้วนพุ่งเป้าไปที่ผู้อื่น แต่ไม่พุ่งเป้ามาที่ตัวเองเท่านั้น แต่เจ้าดันยังพูดจามีหลักการเหตุผล นึกว่าตัวเองสูงส่งกว่าผู้อื่นขั้นหนึ่ง น่าขำ ช่างน่าขำยิ่งนัก!” 


 


 


น้ำเสียงของเขาเย็นชาแดกดัน แววตาร้อนแรง สายตาที่มองเยวี่ยหยาเอ๋อร์เต็มไปด้วยความเวทนาและดูแคลน ประหนึ่งช่วงเวลานี้เขาถึงเป็นผู้ปกครองชาวทูเจวี๋ย 


 


 


หากพูดเรื่องนี้กับเซิ่งตันและลาปู้หลี่ นั่นก็ไม่ต่างกับการสีซอให้ควายฟัง กลายเป็นที่น่าหัวร่อ แต่อวี้เจียคนนี้คุ้นเคยกับวัฒนธรรมต้าหัว สติปัญญาเหนือผู้คน คำพูดเหล่านี้เมื่อนางได้ยินก็บังเกิดความรู้สึกที่ต่างออกไปทันที 


 


 


อวี้เจียกัดฟันกรอด พยายามให้ตนเองเงยหน้าขึ้นมา ไม่ให้เจ้าโจรต้าหัวคนนี้ดูถูกตนเองได้ เพียงแต่ทุกครั้งที่สบกับแววตาอันคมกริบของเขา นางก็อดยอมแพ้ไปไม่ได้ 


 


 


ลองอยู่หลายครั้งต่างได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกัน แววตาของนางวาววับ ก้มหน้าลงพลางถอนหายใจด้วยความรู้สึกจนใจ “ถ้าหากมีคนยินยอม พิจารณาข้อเสนอของเจ้าอย่างจริงจัง เจ้าจะละเว้นต๋าหลานจาหรือไม่?!” 


 


 


“ละเว้น?! นั่นเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้” หลินหว่านหรงส่ายหน้ายืนกราน “ตอนที่พวกเจ้ารุกรานต้าหัว เข่นฆ่าสังหารสหายร่วมชาติของข้า พวกเจ้าเคยคิดละเว้นสหายร่วมชาติของข้าบ้างหรือไม่? การสู้รบไม่ใช่การละเล่นของเด็ก ในเมื่อทูเจวี๋ยเปิดศึก เช่นนั้นก็ต้องมีคนจ่ายค่าตอบแทน มีแค่เจ้าหลั่งเลือด เจ้าถึงจะเข้าใจว่าอะไรคือความเจ็บปวด ซากศพตายเกลื่อน บ้านแตกสาแหรกขาด ภรรยาจากบุตรพลัดพราก หากไม่ให้พวกเจ้าได้รับรู้ถึงความรู้สึกอันแสนจะเจ็บปวดนี่อย่างล้ำลึก ชาวทูเจวี๋ยก็จะไม่มีวันรู้ว่าต้าหัวต้องเจอกับอะไรบ้างไปตลอดกาล!” 


 


 


คำพูดหลายประโยคนี้แสดงการตัดสินใจเขาอย่างชัดเจนแล้ว ชาวทูเจวี๋ยต้องจ่ายโลหิตเป็นค่าตอบแทน นี่ไม่ใช่เรื่องของการต่อราคา ความแข็งกร้าวของเขากระตุ้นโทสะอวี้เจีย สาวน้อยทูเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงมีโทสะออกมา “โลหิตของคนในเผ่าข้าไม่มีวันไหลรินโดยเสียเปล่าแน่ เจ้าต้องจ่ายค่าตอบแทน!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเสียงดัง ส่ายหน้าพร้อมมองนางหลายครั้ง “คุณหนูอวี้เจีย เจ้าเรียนรู้ได้แค่อักษรและศาสตร์การแพทย์ของต้าหัวเท่านั้น ถึงกระนั้นก็ไม่มีวันเข้าใจนิสัยใจคอชาวต้าหัวเราไปตลอดกาล ในเมื่อข้ากับพี่น้องของข้ากล้ามาแล้วก็ไม่เคยคิดที่จะมีชีวิตรอดกลับไป เอาเรื่องพวกนี้มาข่มขู่ข้า นั่นคือการหาเรื่องใส่ตัว” 


 


 


อวี้เจียอึ้ง มองรอยยิ้มดูแคลนของเจ้าโจร ในใจนางพลันรู้สึกแปลกประหลาด เห็นๆ อยู่ว่าเดิมทีทุ่งหญ้าเป็นพื้นที่ของนางกับคนในเผ่าของนาง แต่เมื่ออยู่หน้าโจรต้าหัวคนนี้กลับรู้สึกว่าโชคชะตากำลังถูกผู้อื่นควบคุม สติปัญญาและไหวพริบทุกอย่างของตนทั้งหมดไม่อาจใช้งานได้เมื่ออยู่ต่อหน้าชาวต้าหัวผู้ไม่เกรงกลัวความตายคนนี้ 


 


 


นางกัดฟันกรอด ใบหน้าเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ กวัดแกว่งกำปั้นน้อยใส่หลินหว่านหรงอย่างรุนแรง ความหมายก็คือข้าอวี้เจียไม่มีวันละเว้นเจ้า สีหน้าท่าทางอันยากจะได้พบเห็นของสาวน้อยผู้นั้นกลับทำให้หลินหว่านหรงตะลึงงันอยู่นาน ยิ้มแย้มอยู่ในใจ  


 


 


“อ้อ ใช่แล้วล่ะ” เพิ่งเดินไปหลายก้าว เจ้าโจรคนนั้นพลันหันหน้ากลับมาอีก ยิ้มแปลกประหลาดให้อวี้เจีย “มัวแต่ดีอกดีใจ ยังมีเรื่องที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกน้องสาวเยวี่ยหยาเอ๋อร์ไป” 


 


 


เรื่องสำคัญ? ทุกครั้งที่เจ้าโจรคนนี้พ่นหลายคำนี้ออกมาจากปาก สำหรับนางแล้วล้วนไม่ใช่ข่าวดีอะไร อวี้เจียฟังจนขนหัวลุกชันชาวาบ ต่อให้เป็นคนฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในแผ่นดินก็ไม่อาจทนรับการทรมานที่บัดเดี๋ยวแรงบัดเดี๋ยวเบาของเจ้าโจรหน้าดำคนนี้ได้ นางกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เจ้ามีเรื่องอะไร พูดให้จบเพียงครั้งเดียวได้หรือไม่?” 


 


 


เอ๊ะ? รู้จักไล่บี้แล้ว? ไม่เลวๆ! หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ “ทัพของข้ากำลังจะเข้าสู่การรบบนทุ่งหญ้าอย่างรุนแรง เคลื่อนไหวอย่างเร็วรี่ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ เมื่อผ่านการถกกันอย่างเคร่งเครียดของพวกเราสามคนแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะคุ้มกันคุณหนูอวี้เจียเข้มงวดมากยิ่งขึ้น…กิน อยู่ ทำงานพร้อมกับข้า!” 


 


 


อวี้เจียหน้าซีด รีบพูดด้วยน้ำเสียงมีโทสะ “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ!” 


 


 


“ขอร้องเจ้าล่ะ คุณหนูอวี้เจีย ใช้สายตาที่มันบริสุทธิ์เสียหน่อยนะ” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยความหงุดหงิดโมโห “ข้าไม่ใช่คนใจง่ายขนาดนั้น…ต่อให้เจ้ายินดี เมียข้าก็ไม่เห็นด้วย! อยู่ร่วมกระโจมกันเท่านั้น ไม่ได้นอนเตียงเดียวกันเสียหน่อย ตรงกลางยังกั้นผ้าม่านได้ด้วย ใช่แล้วล่ะ ชาวทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าไม่ได้มีกฎระเบียบเรื่องบุรุษสตรีไม่อาจแตะเนื้อต้องตัวผายลมสุนัขอะไรนั่นกระมัง…เอ๊ะ เจ้าจะฆ่าตัวตายหรือ!” 


 


 


 ดาบโค้งสีทองของอวี้เจียพาดอยู่ที่คอ น้ำตาคลอเบ้า “อวี้เจียไม่มีวันให้หมาป่าชั่วช้าลบหลู่ความบริสุทธิ์ของข้า…” 


 


 


“ข้าไม่มีวันให้หมาป่าตัวเมียบนทุ่งหญ้ามาทำลายร่างกายของข้าเช่นกัน” หลินหว่านหรงแค่นเสียง “เดิมทีคิดจะให้โอกาสเจ้าแทงสังหารข้าครั้งหนึ่ง แต่ในเมื่อเจ้าไม่ยินดี เอาเถิด เจ้าฆ่าตัวตายเถอะ อาการบาดเจ็บของเสี่ยวหลี่จื่อน่าจะไม่หนักหนาแล้วกระมัง!” 

 

 

 


ตอนที่ 545.2

 

 ให้ชนเผ่านอกด่านจดจำความเจ็บปวด

 


 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้ง ด้วยความโมโหและเสียใจ มือน้อยกำลังจะลงมือ จู่ๆ ก็ได้ยินเจ้าโจรคนนั้นพูดพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “…พอเจ้าฆ่าตัวตายเสร็จ ข้าจะแก้ผ้าเจ้าล่อนจ้อน ส่งไปที่ต๋าหลานจา ดูสิว่าจะมีคนรู้จักเจ้าหรือไม่…เฮ้อ รอให้ช่วงเวลานั้นมาถึงจริงๆ เลยนะ!” 


 


 


คำพูดประโยคนี้ทำให้อวี้เจียหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องไห้ทันที ครั้นเห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเจ้าโจรคนนั้น ดวงตานางก็ฉายแววเสียใจออกมาอย่างรุนแรง 


 


 


“อย่ามองตนเองสูงส่งเกินไป หากข้าต้องการเอารัดเอาเปรียบเจ้าคงลงมือไปตั้งนานแล้ว เหตุใดจะต้องรอมาจนถึงตอนนี้ด้วย” หลินหว่านหรงกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ…เชื่อว่าเจ้าก็รู้ พวกเราชาวต้าหัวมีวิญญูชนที่แม้จะล้มลงบนอ้อมอกสตรีก็ไม่ทำเรื่องวุ่นวาย ชื่อว่าหลิวเซี่ยฮุ่ย ที่จริงแล้วข้าไม่เคยบอกเจ้า ข้าเป็นเปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ย…หากเจ้าไม่เชื่อ รอให้พวกเรานอนด้วยกันสักหลายคืน เจ้าก็จะเข้าใจ” 


 


 


เขาทิ้งคำพูดหลายประโยค จากนั้นก็ไม่เหลือบแลความรู้สึกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ จากไป 


 


 


อวี้เจียดวงตาวูบวาบอยู่นาน ผ่านไปเนิ่นนานถึงกัดฟันกรอดแค่นเสียงออกมา กล่าวพึมพำว่า “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย ข้าต้องรบชนะเจ้าแน่ ทำให้เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าข้า” 


 


 


เกาฉิวเงี่ยหูแอบฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหลินหว่านหรงเดินมาอย่างรีบร้อนจึงรีบดึงแขนเสื้อเขา กล่าวด้วยความจริงใจ “น้องหลิน มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ขอคำชี้แนะ…เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ยคือผู้ใด เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?!” 


 


 


“นี่ท่านไม่รู้หรือ? พี่เกากลายเป็นคนซื่อแล้วจริงๆ ด้วย!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางมองเขา “เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ยฮุ่ย ก็ฮุ่ยเซี่ยหลิวไง!” 


 


 


เหล่าเกาอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็ได้สติกลับมา อดหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังไม่ได้ น้องหลินช่างมีความสามารถเสียจริง เปี่ยวเกอของหลิวเซี่ฮุ่ย ก็คือ ‘ฮุ่ยเซี่ยหลิว’ (ทำต่ำช้า)! 


 


 


เจ้าลามกคนนี้คิดบ้าบออีกแล้ว เห็นท่าทางลามกของเหล่าเกา หลินหว่านหรงก็อดส่ายหน้าพร้อมถอนใจไม่ได้ ข้าถูกคนเข้าใจผิดง่ายมากขนาดนั้นเลยหรือ?! 


 


 


พระอาทิตย์ทางตะวันตกค่อยๆ ลาลับไป เผยดวงหน้าออกมาแค่เกือบครึ่งหนึ่ง ลำแสงสีทองที่เหลือสาดส่องไปทั่วทุ่งหญ้า ส่องกระทบต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ไกลๆ แสงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ เลือนหาย สายลมยามวสันต์อันเย็นเยียบเล็กน้อยพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าเบาๆ เกิดประระลอกคลื่นบางๆ  


 


 


ใต้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ กระโจมขนาดมหึมาจำนวนนับไม่ถ้วนประหนึ่งดอกไม้สีขาวไร้ขอบเขตที่กำลังแกว่งไกว มองไปไม่เห็นขอบฝั่ง ฝูงวัวฝูงแกะซึ่งเดินเอื่อยเฉื่อยอยู่บนพื้นหญ้าค่อยๆ เข้าไปใกล้กระโจม เสียงเพลงสดใสซึ่งดังขึ้นมาเป็นบางครั้งลอยเข้ามา เสียงและท่วงทำนองอันมีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวทูเจวี๋ยตัดผ่านทุ่งหญ้า อาณาเขตของชนเผ่านอกด่านขนาดยักษ์นี้ดูสงบสุขเป้นพิเศษใต้แสงอาทิตย์อัสดง 


 


 


“พี่หู เป็นอย่างไรบ้าง?!” เงาร่างของคนผู้หนึ่งมุดเข้าไปในพุ่มหญ้าที่หูปู้กุยซุ่มตัวอยู่ หมอบอยู่ข้างกายเขาพร้อมถามเสียงเบา  


 


 


หูปู้กุยหันกลับมา ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหนวดเคราของหลินหว่านหรงปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ทุกคนต่างไม่สนใจการแต่งองค์ทรงเครื่อง ดินทรายเต็มใบหน้า ผมเผ้าหนวดเครายาวเฟื้อย ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่รูปโฉมของหลินหว่านหรงก็ดูไม่ค่อยออกอยู่บ้าง มีแค่ผิวสุขภาพดีสีน้ำตาลอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเท่านั้น เมื่อมีเหงื่อบางเกาะอยู่ก็ส่องประกายสีทองระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์ยามสนธยา 


 


 


“ท่านแม่ทัพช่างคาดคำนวณแม่นยำดั่งเทพเซียนเสียจริง ข้างหน้าก็คือต๋าหลานจาแล้ว ท่านดู!” มือใหญ่ของหูปู้กุยชี้ออกไป ประกายตื่นเต้นฉายวาบบนใบหน้า เขานำหน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยรีบรุดมาถึงที่นี่ ซุ่มมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพหลินกลับมาสืบข้าศึกด้วยตัวเอง ดินแดนของชาวทูเจวี๋ยที่อยู่ในระยะการมองใกล้ขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของต้าหัว เมื่อนึกถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หูปู้กุยก็รู้สึกตื่นเต้นเป็นล้นพ้นขึ้นมาทันที 


 


 


หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง ทอดสายตามองไปข้างหน้า ภายใต้ท้องฟ้าที่ไกลห่างออกไป กระโจมสีขาวเชื่อมต่อไปเรื่อยๆ จวบจนจมหายไปกับขอบฟ้า ควันในการประกอบอาหารลอยเอื่อยขึ้นมา อาชาพ่วงพีที่กลับมาจากการปล่อยออกไปหากิน เสียงฝีเท้าดังกุบกับเหยียบย่ำทุ่งหญ้าเบาๆ บทเพลงของคนเลี้ยงสัตว์อันไพเราะน่าฟังของชาวทูเจวี๋ยลอยมาตามสายลม คงอยู่เนิ่นนานไม่จางหาย 


 


 


ต๋าหลานจาดินแดนของทูเจวี๋ยคล้ายกับหมู่บ้านอันเงียบสงบจำนวนนับไม่ถ้วนของต้าหัว อาบไล้อยู่ใต้แสงตะวันยามเย็นอันเจิดจ้า เงียบสงบและสงบสุข 


 


 


“ข้าน้อยคำนวณคร่าวๆ ต๋าหลานจานี้มีชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดแปดพันกว่าคน นอกจากชายฉกรรจ์หนึ่งพันห้าร้อยคนแล้ว ที่เหลือก็มีสตรีสองพันคน เด็กน้อยอีกสองพันคน ที่เหลือคือคนชราคนป่วยคนพิการขอรับ” หูปู้กุยถูฝ่ามือไปมา กล่าวด้วยความตื่นเต้น ดินแดนทูเจวี๋ยที่มีคนเกือบหมื่นคนเช่นนี้ ยามรุ่งโรจน์ต้องมีชายฉกรรจ์อย่างน้อยห้าหกพันคน เพียงแต่ตอนนี้ทูเจวี๋ยมีศึกครั้งใหญ่กับต้าหัว ชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ในดินแดนถูกสูบไปแนวหน้า ดินแดนที่เหลือชนเผ่านอกด่านซึ่งแทบจะป้องกันตัวเองไม่ได้เช่นนี้ สำหรับหูปู้กุยกับนายทหารต้าหัวห้าพันใต้บังคับบัญชาเขา นี่คือเนื้ออ้วนที่เกือบจะส่งเข้าปากก้อนหนึ่ง  


 


 


หลินหว่านหรงอืมคราหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าไม่ใช่กระโจมสีขาว แกะที่มีราวกับก้อนเมฆนั่น ข้ายังนึกว่ากลับมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบของต้าหัวเราแล้ว” 


 


 


“ใครว่าไม่ใช่ล่ะขอรับ” หูปู้กุยรู้สึกอย่างยิ่งเช่นกัน “ดินแดนของชนเผ่านอกด่านนี้แทบไม่ต่างจากหมู่บ้านของต้าหัวเรา หากไม่ใช่เห็นพวกมันรุกรานต้าหัว เข่าฆ่าสังหารญาติของพวกเรากับตา ข้าก็แทบไม่กล้าจินตนาการว่าดินแดนทูเจวี๋ยอันเงียบสงบที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่กินคนไม่แม้แต่จะคายกระดูกออกมาภายในชั่วพริบตานั้นได้” 


 


 


คนเราก็น่าจะมีสองด้านกระมัง ภายใต้เงื่อนไขอันสุดโต่ง ใครๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นหมาป่าชั่วร้าย หลินหว่านหรงถอนหายใจบาง “พี่หู คนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่ปล่อยตัวไปพวกนั้นล่ะ ท่านจัดการเช่นไร?!” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะด้วยความละอาย “พวกเราลอบติดตามพวกมัน พออยู่ห่างจากต๋าหลานจาไม่ไกล เพื่อไม่ให้พวกมันส่งข่าว ดังนั้นจึงไม่อาจ…” เขาทำท่าปาดคออย่างโหดเ**้ยมคราหนึ่ง ความหมายชัดเจนโดยไม่ต้องพูด  


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ “นี่ก็ ไม่ค่อยดีกระมัง ข้ารับปากเยวี่ยหยาเอ๋อร์ว่าจะปล่อยพวกมันนะ” 


 


 


“ท่านแม่ทัพ ท่านปล่อยพวกมันไปแล้วจริงๆ นี่นา” หูปู้กุยตอบพร้อมหัวเราะแปลกประหลาด “เพียงแต่พวกมันโชคไม่ค่อยดี เจอพวกเราอีกครั้งก็เท่านั้นเอง คุณหนูอวี้เจียจะโทษท่านไม่ได้ ถ้าจะโทษ ก็ได้แต่โทษคนในเผ่าของนางที่ไม่เอาไหน ตอนหลบหนีไม่ยอมใช้สมอง” 


 


 


เหล่าหูเลียนแบบความสามารถของเกาฉิวคนนั้นแล้วเช่นกัน หนังหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง ไม่เอ่ยวาจา 


 


 


หลังจากชาวทูเจวี๋ยรวบรวมทุ่งหญ้าเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ชนเผ่าอื่นที่ยอมสวามิภักดิ์ก็สวามิภักดิ์ไป ที่ไม่ยอมก็เข่นฆ่า ทั่วทั้งทุ่งหญ้าไม่มีผู้ใดสร้างการข่มขวัญแก่ชาวทูเจวี๋ยได้ ที่นี่คือแผ่นดินของพวกมันทั้งหมด ดินแดนของชนเผ่านอกด่านที่ต๋าหลานจาน่าจะกระทำการฮึกเหิมมาจนเคยชิน ไม่คิดคิดมาก่อนว่าชาวต้าหัวกลับกล้าเดินทัพเดี่ยวล่วงลึกมุ่งตรงมายังส่วนลึกในทุ่งหญ้าได้ ป้อมยามของพวกมันแค่ตั้งห่างออกไปแค่สองลี้ รูปแบบหลวมๆ การป้องกันอันหละหลวมเช่นนี้ สำหรับหลินหว่านหรงแล้วก็ช่างเหมือนสวรรค์ช่วยเสียจริง 


 


 


เมื่อเห็นว่าฟ้าค่อยๆ มืดลงไปเรื่อยๆ ไพร่พลที่ตามหลังมาก็ตามทันแล้ว เขาสวมที่คาดปากม้าทูเจวี๋ย ทหารห้าพันนายผ่อนความเร็ว มุ่งหน้าอย่างไร้เสียง 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์กับคนในเผ่าที่เหลืออีกสิบกว่าคนของนางถูกหลินหว่านหรงจงใจเอาไว้ด้านท้ายสุดโดยเฉพาะ ทุกคนถูกมัดอย่างแน่นหนา ปากยัดเศษผ้าเอาไว้ ไม่อาจดิ้นรนขัดขืน และยิ่งไม่อาจร้องตะโกน แม้แต่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผู้นั้นก็ปราศจากข้อยกเว้น 


 


 


แม้จะบอกว่าตอนที่ควบคุมแม่หมาป่าน้อยตัวนี้จะกินแรงไปบ้าง ใบหน้าถูกข่วนจนเป็นแผล ร่างกายก็ถูกนางทุบตีไปหลายครั้ง ถึงกระนั้นแม่ทัพหลินย่อมมีหนทางเอาความลำบากที่เคยได้รับแอบชดเชยกลับไปแน่นอน 


 


 


ในเมื่อกินอยู่ทำงานร่วมกัน หลินหว่านหรงย่อมมุดเข้าไปในรถม้าอันหอมกรุ่นของเยวี่ยหยาเอ๋อร์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ทั้งยังเหมือนแสดงอำนาจ พยายามสูดลมอากาศบริสุทธิ์เข้าไปอย่างเต็มที่ อวี้เจียถูกมัดจนกลายเป็นบ๊ะจ่าง ปากตะโกนอะไรงึมงำไม่รู้ ใบหน้าอันงดงามแดงก่ำ ดวงตาพ่นเพลิงโทสะอันร้อนแรง คล้ายต้องการแผดเผาเจ้าโจรหน้าดำคนนี้ให้กลายเป็นธุลี 


 


 


“คุณหนูอวี้เจีย ขอบอกข่าวดีกับเจ้า ถึงต๋าหลานจาแล้ว!” หลินหว่านหรงหัวเราะ เสียงดังขึ้นอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ ร่างของอวี้เจียชะงักงันทันที ขยับบิดเร่าอย่างบ้าคลั่ง สองขาเตะเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาส่องประกายความเจ็บปวดอย่างรุนแรง 


 


 


โจรไม่แยแสร่างกายอันน่าลุ่มหลงซึ่งกำลังบิดเราราวกับงูของนาง ตบไหล่งามอันนุ่มนิ่มของนางเบาๆ พูดโดยยิ้มแต่เปลือกนอกออกมาว่า “ครั้งแรกล่ะนะ จะเจ็บก็เลี่ยงไม่ได้ ทำช้าๆ เดี๋ยวก็ชินแล้ว” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยตวาดด้วยโทสะดังอึ๊อ๊ะ ถึงกระนั้นกลับพูดอะไรออกมาไม่ได้ 


 


 


เดินก้าวลงจากรถ ดาบศึกในมือหลินหว่านหรงชูขึ้นสูงออกจากฝัก คำรามด้วยเสียงเดือดดาลดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า “พี่น้องทั้งหลาย ให้ชนเผ่านอกด่านจดจำความเจ็บปวดนี้ไปตลอดกาล ฆ่า!”

 

 

 


ตอนที่ 546.1

 

 โชคชะตาที่สวรรค์กำหนด

 


 


 


 


“ฆ่า!” หลังเสียงกู่ร้องยาวของเขา ทหารห้าพันนายเป็นดั่งพยัคฆ์ร้ายที่หลุดออกจากคอกกั้น ควบม้าห้อตะบึงอย่างบ้าคลั่ง ร้องคำรามพุ่งไปยังต๋าหลานจา ดาบศึกส่องประกายวูบไหว เปล่งประกายเย็นเยียบท่ามกลางแสงอาทิตย์ตกดิน 


 


 


แผดเผาไฟสงครามบนทุ่งหญ้าของชาวทูเจวี๋ยได้ นี่คือความใฝ่ฝันที่มีนับร้อยปีของทหารต้าหัว และเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะล้างอัปยศด้วยเช่นกัน ภายในดวงตาของทุกคนเปล่งประกายเพลิงร้อนแรง ใบหน้าแดงก่ำ สายตาอันตื่นเต้นแสดงออกมาโดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำบรรยาย ฝีเท้าม้าทำให้ฝุ่นดินคละคลุ้ง ปกคลุมไปครึ่งท้องฟ้า 


 


 


เสียงฝีเท้าม้าอันสะเทือนเลื่อนลั่นทำให้ชาวทูเจวี๋ยที่ปล่อยสัตว์ออกไปกินหญ้าซึ่งกำลังกลับมาตกใจ พวกมันยืนอยู่ริมกระโจม มือป้องดวงตาทั้งสองข้างทอดสายตามองไปไกล ขบวนม้าที่วิ่งห้อตะบึงอย่างเร็วรี่ สวมชุดขาดวิ่น สีหน้าดุร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ บุรุษสตรีและเด็กๆ ชาวทูเจวี๋ยแห่งต๋าหลานจาพลันส่งเสียงร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นยินดี แย่งกันกรูเข้าหาขบวนม้า เสียงกู่ร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้นยินดีดังก้องไปทั่วทุ่งหญ้า 


 


 


เห็นชัดว่าชาวทูเจวี๋ยที่ไม่เคยถูกปล้นสะดมเห็นโจรต้าหัวที่เข้าสู่ทุ่งหญ้านี้เป็นผู้กล้าแห่งดินแดนที่กลับมาจากได้ชัย ในความทรงจำของพวกมัน ชาวต้าหัวไม่มีทางเหยียบย่ำทุ่งหญ้าได้แม้แต่ครึ่งก้าว ไอสังหารอันดุดันเ**้ยมหาญเช่นนี้ไม่มีทางเป็นของชาวต้าหัวผู้อ่อนแอแน่  


 


 


เมื่อเดินทางเข้าไปอีกหลายลี้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองฝ่ายห่างกันแค่หลายร้อยจั้ง เวรยามชาวทูเจวี๋ยเป็นผู้พบเห็นความผิดปกติก่อน ขบวนม้าอันดุร้ายป่าเถื่อนนี้มาอย่างดุดัน ดาบศึกวาววับที่อยู่ในมือประหนึ่งประกายแสงอันเย็นเยียบที่กรีดผ่านท้องฟ้า มาพร้อมกับไอสังหารอันเย็นเยียบ ทหารม้าที่อยู่บนม้านั้นผิวเหลืองผมดำ สายตาเย็นชา เย็นชาไร้น้ำใจประหนึ่งน้ำแข็งยามเหมันต์ 


 


 


“แย่แล้ว ชาวต้าหัว! อ๊า!” ทหารยามของต๋าหลานจาตกตะลึงพรึงเพริด เสียงร้องเตือนยังไม่ทันได้เปล่งออกมาก็มีอาชาพ่วงพีกระโดดข้ามเข้ามานำหน้า คมดาบอันเร็วรี่กระจ่างวูบเข้าหาราวกับแสงสาดกะพริบของหิมะสีขาว ท่ามกลางเลือดที่สาดกระจาย ร่างของชาวทูเจวี๋ยขาดกลางเป็นสองท่อน ร่วงลงจากหลังม้าเสียงดังโครม ดวงตาจมลึกทั้งสองข้างถลนออกข้างนอกด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ความหวาดกลัวภายในดวงตาปรากฏมาให้เห็น เห็นชัดว่าแม้แต่ตายไปแล้วมันก็ยังนึกถึงว่ากลับต้องฝังร่างใต้คมดาบชาวต้าหัวที่หน้าประตูบ้าน 


 


 


เกาฉิวใบหน้าส่องประกายดุร้าย ถ่มน้ำลายใส่ศพชาวทูเจวี๋ยอย่างรุนแรง สะบัดดาบใหญ่ในมือ สลัดคราบเลือดที่อยู่บนคมดาบออกไปไกลลิบ เขาตวาดเสียงดังด้วยท่าทางดุร้าย “ไม่ผิด ข้าก็คือท่านปู่เกาที่มาจากต้าหัวของเจ้า ผู้รุกรานต้าหัวเรา แม้อยู่ไกลก็ต้องฆ่า!” 


 


 


“ผู้รุกรานต้าหัวเรา แม้อยู่ไกลก็ต้องฆ่า!” หูปู้กุยกับทหารห้าพันนายส่งเสียงคำรามดังลั่นพร้อมเพรียงกัน ขยับร่างรวดเร็วดั่งดาวตก มุ่งตรงไปยังกระโจมที่เชื้อมต่อกันนั่น ณ ต๋าหลานจา 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่กระโดดโลดเต้น กำลังกรูเข้าหาเหล่า ‘ผู้กล้า’ ที่กลับมาด้วยความยินดี เมื่อประกายดาบของเกาฉิวส่องประกาย ฟันสังหารทหารเวรยาม เลือดสาดกระจายเต็มทุ่งหญ้า พวกมันก็อดตะลึงงันไม่ได้ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวด็เห็นรูปโฉมของเหล่า ‘ผู้กล้า’ อย่างชัดเจน ผิวเหลืองตาดำ รูปร่างหน้าตาต่างจากชาวทูเจวี๋ยโดยสิ้นเชิง 


 


 


“อ๊ะ! ชาวต้าหัว!” ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนนำขึ้นมาก่อน ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนรีบรั้งฝีเท้าทันที มองดูคมดาบที่มีเลือดหยดของโจรต้าหัว พวกมันคล้ายตกใจจนเป็นบื้อใบ้ ปรากฏความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนภายในชั่วพริบตา ไม่มีใครคาดคิดว่าชาวต้าหัวที่ป่าเถื่อนเหล่านี้กลับบุกเข่นฆ่าเข้าสู่ทุ่งหญ้า ทำตัวเฉกเช่นสิ่งที่ชาวทูเจวี๋ยทำอยู่เป็นประจำ จุดไฟสงครามอยู่ส่วนหลังของด้านหลังทุ่งหญ้าที่ชาวทูเจวี๋ยทึกทักเอาเองว่าแข็งแกร่งไม่อาจบุกทะลวงได้ 


 


 


สถานการณ์ตรงข้ามอย่างรุนแรงทำให้ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดนิ่งอึ้งไป แม้แต่หลบหนีก็ลืมเลือนไปด้วย 


 


 


“ฆ่า!” หูปู้กุยสองตาแดงก่ำ ดุร้ายป่าเถื่อนดั่งหมาป่าบนทุ่งหญ้า ขี่ม้าเคียงคู่กับเกาฉิว บุกอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน เขายกดาบฟันฉับคราหนึ่ง เสาโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า หัวชาวทูเจวี๋ยที่ถักเปียเต็มไปหมดปลิวสูง จากนั้นจึงหล่นตุบลงพื้นหญ้า สองตาของชาวทูเจวี๋ยนี้เบิกโพลง ตายแล้วก็ยังไม่เชื่อว่าชาวต้าหัวจะบุกเข่นฆ่าเข้ามาจริงๆ 


 


 


ท่ามกลางประกายโลหิตปกคลุมท้องฟ้า ชาวทูเจวี๋ยถึงได้สติกลับมา “รีบหนีเร็ว!” ด้วยความหวาดกลัวและตกใจ ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ชักเท้าแล้ววิ่งห้อตะบึงกลับไป เมื่อทอดสายตามองไกลๆ ก็เหมือนเกี๊ยวที่เดือดพล่านอยู่ในกระทะ  


 


 


ชาวทูเจวี๋ยที่ทำอะไรไม่ถูกและหมดหนทางช่วยเหลือกลายเป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารม้าต้าหัวภายในชั่วพริบตา เมื่อหวนนึกถึงสหายร่วมชาติที่ต้องตายอย่างน่าอนาถใต้กีบเท้าอาชาเหล็กของชาวทูเจวี๋ย ผู้เฒ่าผู้แก่ สตรีผู้อ่อนแอ เด็กน้อยผู้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ละคนต่างล้มจมกองเลือด สายตาสิ้นหวังและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ผุดขึ้นตรงหน้าทุกคน 


 


 


ทหารต้าหัวห้าพันนายสองตาแดงก่ำในบัดดล นิสัยหมาป่าอันดุร้ายป่าเถื่อนปลุกเร้าอยู่ในกายพวกเขา พวกเขาอารมณ์เย็นชา น้าวคันธนูอย่างแช่มช้า มองดูหัวธนูที่หมุนวนนั้นยิงออกไปอย่างเร่งเร้า ทะลุหน้าอกชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ย ฟังเสียงกระดูกหน้าอกแหลกละเอียดของพวกมัน ท่ามกลางโลหิตชุ่มโชก ประหนึ่งความเศร้าโศกของทุกคนถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น  


 


 


“กุบ! กับ!” ชาวทูเจวี๋ยที่ได้สติกลับมา ในที่สุดก็เริ่มดิ้นรนขัดขืน ชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยหลายพันคนที่ยังอยู่ในกระโจมขึ้นคร่อมหลังม้าราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน กู่ร้องเสียงหมาป่าพร้อมพุ่งเข้าหาทหารม้าต้าหัว เพียงแต่พวกมันรีบร้อน ปราศจากการเตรียมพร้อม แม้แต่คันธนูก็ยังไม่ทันนำมาด้วย เงื้อดาบใหญ่แล้วบุกเข้ามา ถึงกระนั้นจะเป็นคู่ต่อสู้ของทหารม้า ต้าหัวซึ่งเตรียมการมาตั้งแต่แรกได้อย่างไร 


 


 


ทหารม้าต้าหัวจำนวนหลายพันบุกย่างเบื้องหน้า อยู่ห่างจากกระโจมที่เชื่อมต่อกันของต๋าหลานจาแค่ไม่กี่ร้อยลี้ บุกเข้าหาชนเผ่านอกด่านนับพันที่แต่งกายไม่เรียบร้อยซึ่งกำลังบุกเข้ามาหาด้วยสายตาอันเย็นชา เมื่อพวกมันอยู่ใกล้พอแล้ว มุมปากของเกาฉิวก็ประดับรอยยิ้มเย็นชาอันเ**้ยมโหด โบกมือใหญ่แล้วพูดว่า “หน้าไม้ยิงต่อเนื่อง ยิง!” 


 


 


เหล่าทหารม้าต้าหัวที่อยู่บนม้ายิงหน้าไม้ที่อยู่ในมือออกไปโดยพร้อมเพรียงกัน ห่าธนูอันแน่นขนัดประหนึ่งเข็มผึ้งอันไร้ขอบเขต ปิดผนึกทุ่งหญ้าที่อยู่ตรงหน้าจนกลายเป็นนรกอันโหดร้ายทารุณ ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนร้องโอดโอยพลางร่วงหล่นลงจากหลังม้า จากนั้นก็ถูกสหายที่อยู่ข้างหลังเหยียบย่ำจนกลายเป็นขนมเปี๊ยะเนื้อภายในชั่วพริบตา 


 


 


หลังจากห่าธนูผ่านไปสามรอบ ชาวทูเจวี๋ยนับพันคนเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ชาวทูเจวี๋ยห้าหกร้อยคนล้มอยู่บนทุ่งหญ้าตรงหน้า ส่วนใหญ่วิญญาณออกจากร่างภายใต้ห่าธนู ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่มีอยู่จำนวนน้อยก็มีลูกศรปักอยู่เต็มร่าง ลมหายใจรวยริน 


 


 


โลหิตของสหายย้อมดวงตาทั้งสองข้างของชนเผ่านอกด่านจนเป็นสีแดงฉาน นิสัยดุร้ายของชาวทูเจวี๋ยปรากฏออกมาให้เห็นในช่วงเวลานี้ พวกมันส่งเสียงขู่แฮ่ๆ จัดกระบวนบุกขึ้นมาอีกครั้ง เหยียบย่ำซากศพของสหายอย่างไม่ย่อท้อ กระทั่งว่ายังเหยียบย่ำหน้าอกสหายซึ่งยังคงร้องครวญครางอยู่อีกด้วย บุกเข้าหาราวกับลมสลาตัน 


 


 


ชาวทูเจวี๋ยกับชาวต้าหัวช่างมีความแตกต่างกันอย่างยิ่งเสียจริง หลินหว่านหรงเห็นแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจ เหยียบย่ำสหายที่บาดเจ็บล้มตาย เรื่องทำร้ายสหายเช่นนี้ ไม่ว่านายทหารต้าหัวที่มีเลือดเนื้อคนใดก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพียงเท่านี้ สำหรับทหารต้าหัวแล้ว การเก็บรักษาร่างของสหายร่วมรบสำคัญเท่ากับการรักษาชีวิตตนเอง แต่ความเชื่อของชาวทูเจวี๋ยกลับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง พวกมันนับถือผู้แข็งแกร่งเท่านั้น เพื่อที่จะได้ชัยชนะ ไม่ว่าชีวิตของผู้ใดก็สามารถสละได้ แม้จะเป็นสหายร่วมรบที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก็ตาม นิสัยของคนกับนิสัยของหมาป่าปรากฏให้เห็นตอนนี้อย่างชัดเจน  


 


 


มองดูชาวทูเจวี๋ยที่เหลืออยู่ห้าร้อยซึ่งกำลังกรูเข้ามา ดาบศึกซึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงฉานในมือหูปู้กุยชี้ไปข้างหน้า โลหิตของชนเผ่านอกด่านหยดลงตามปลายคมดาบ เขาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังพร้อมพูดว่า “มาได้ดี! ทหารทั้งหลาย ให้ชาวทูเจวี๋ยได้ลิ้มรสความเจ็บปวดนั้นเหมือนกันเถอะ ฆ่าไปกับข้า!” 


 


 


เขากับเกาฉิวสองคนบุกกันอยู่หน้าสุด ทหารม้าชั้นยอดห้าพันนายตามติดอยู่ข้างหลัง พร้อมตวาดเสียงดังด้วยโทสะออกมาว่า “ฆ่า ให้ชาวทูเจวี๋ยลิ้มรสความเจ็บปวด!” 


 


 


เสียงฝีเท้าม้าอันสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้ยามนี้ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ดังอึกทึกครึกโครม ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง ไพร่พลที่เคลื่อนที่อย่างเร็วรี่สีดำทะมึนสองกลุ่มสู้ตะลุมบอนอยู่บนทุ่งหญ้า ส่งเสียงร้องโอดโอยน่าอนาถเป็นระยะ กรีดผ่านไปทั่วทุ่งหญ้าลอยล่องไปไกล คราบเลือดสีแดงฉานย้อมดอกไม้ใบหญ้าไปทั่ว  


 


 


ใช้ห้าพันสู้กับหลายร้อย นี่เป็นการเข่นฆ่าสังหารที่ไม่เท่าเทียมกันแม้แต่น้อย ชาวทูเจวี๋ยแม้แต่ฝันก็คงยังคิดไม่ถึงว่าวิธีการที่พวกมันถนัดมากที่สุดกลับถูกชาวต้าหัวย้อนคืนกลับมาให้พวกมัน ถึงแม้ชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ห้าร้อยคนนี้จะเป็นผู้กล้าที่เชี่ยวชาญศึกและกล้าหาญมากที่สุดแห่งทุ่งหญ้า แต่ก็ไม่อาจสู้ทหารชั้นยอดของต้าหัวที่เป็นเหมือนดั่งพยัคฆ์และหมาป่านี้ได้ 


 


 


สังหารชาวทูเจวี๋ยบนทุ่งหญ้า โอกาสอันดีที่ยากจะได้พานพบเช่นนี้ทำให้ใจของทุกคนบังเกิดความสะใจอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้ วันคืนที่ชาวทูเจวี๋ยรังแกต้าหัวตามอำเภอใจผ่านไปไม่อาจหวนคืนแล้ว 


 


 


ทหารห้าพันนายเปลี่ยนความทุกข์ยากและความเคียดแค้นชิงชังที่มีทั้งหมดให้เป็นเพลงดาบอันร้ายกาจ มอบการสังหารแก่ชาวทูเจวี๋ยซึ่งถูกโอบล้อมอย่างแน่นหนาตรงหน้านี้ ยามนี้ชนเผ่านอกด่านห้าร้อยคนนี้เป็นเป้าที่มีชีวิตของทหารต้าหัว แต่ละดาบที่พวกเขาฟันลงไปล้วนบังเกิดเสียงร้องโหยหวน 


 


 


ดาบของชาวทูเจวี๋ยถือว่าเ**้ยมหาญดุดัน รู้ทั้งรู้ว่าถูกโอบล้อม ปราศจากทางรอด แต่พวกมันก็ยังดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ดี ใบหน้าที่มีโลหิตย้อมเต็มไปหมดนั้น คล้ายภูตผีปีศาจที่หลุดรอดออกมาจานรก “ฆ่า!” ทหารต้าหัวหลายสิบนายส่งเสียงคำรามด้วยโทสะออกมาพร้อมกัน ปลายทวนยาวเข้ามาจากทุกทิศทาง เสียบเข้าไปในร่างของชนเผ่านอกคนหนึ่ง โลหิตสดๆ จำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกมา ชนเผ่านอกด่านผู้นั้นถูกเสียบจนกลายเป็นเม่น ดิ้นรนอย่างไร้เรี่ยวแรงหลายครั้ง จากนั้นก็ส่ายโอนเอน สุดท้ายก็ล้มลงไป 


 


 


เมื่อเห็นว่าชนเผ่านอกด่านที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็หมดแรงดั่งน้าวคันศรจนสุดสาย ใกล้จะหมดสภาพ ปล่อยให้เกาฉิวนำกำลังโอบล้อมเข่นฆ่าต่อไป หูปู้กุยโบกมือคราหนึ่ง ทหารหลายพันนายถอนตัวออกจากขบวน ตามติดอยู่ข้างหลังเขา มุ่งไปยังกระโจมสีขาวที่เชื่อมต่อกันของต๋าหลานจา 


 


 


แม้จะพบการต่อต้านตลอดเส้นทาง ถึงกระนั้นต่างเป็นคนแก่คนป่วยและคนพิการที่เหลืออยู่ในเขตแดน กำลังรบห่างไกลลิบลับ ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของหูปู้กุยและพี่น้องใต้บังคับบัญชาได้ คนแก่คนป่วยและคนพิการเหล่านี้เป็นกำลังต่อต้านสุดท้ายของต๋าหลานจา นอกจากคนชราที่มีส่วนใหญ่แล้ว ที่เหลือก็คือชาวทูเจวี๋ยซึ่งได้รับบาดเจ็บจนทุพพลภาพที่ถอนตัวออกมาจากสนามรบ แทบจะปราศจากกำลังรบ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากำลังรบห่างไกลกันลิบลับ แต่พวกเขาก็ยังต้านทานการรุกคืบเข้ามาของทหารม้าต้าหัวอย่างห้าวหาญไม่กริ่งเกรงความตาย ท่ามกลางเลือดไหลทะลัก กลายเป็นภาพอันยิ่งใหญ่  


 


 


เข่นฆ่าสังหารมาตลอดทาง สุดท้ายก็เข้าใกล้กระโจมจำนวนนับไม่ถ้วน สุดลูกหูลูกตาของต๋าหลานจา นี่คือกระโจมที่ใช้พักอาศัยภายในเขตแดนของชนเผ่านอกด่าน ต่างจากกระโจมที่ใช้เดินทัพ ไม่ใช่แค่แข็งแรงทนทาน มิหนำซ้ำพื้นที่ก็ใหญ่กว่า หนึ่งครอยครัวอาศัยอยู่ในนั้นได้เหลือเฟือ 


 


 


กระโจมก็คือบ้านของชาวทูเจวี๋ย หูปู้กุยซึ่งนั่งคร่อมอยู่บนหลังม้าดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ เขาใช้มือขวาฟันชนเผ่านอกด่านที่ลอบโจมตีจากด้านข้างจนพลิกล้มลงไป มือซ้ายชูคบเพลิงซึ่งแผดเผาร้อนแรงขึ้นสูง เสียงเพียะๆ ที่ดังขึ้นมาเบาๆ กลบเสียงตะโกนร่ำไห้ที่ดังสลับกันไปมาของชาวทูเจวี๋ยจนหมดสิ้น 


 


 


เกาฉิวที่อยู่ทางนั้นจัดการชาวทูเจวี๋ยคนสุดท้าย โบกสะบัดดาบที่มีโลหิตหยาดหยดในมือ กล่าวระคนหัวเราะเสียงดังด้วยไอสังหารอันพลุ่งพล่าน “ฆ่าคนแล้วทำไมไม่วางเพลิง? เหล่าหู ยังรออะไรอยู่อีก?!” 


 


 


“ฆ่าคนวางเพลิงที่ดียิ่งนัก ข้าจะให้ชาวทูเจวี๋ยได้ลองลิ้มรสความเจ็บปวดเสียบ้าง” เหล่าหูหัวเราะยาวๆ เสียงดัง กวาดสายตามองไปยังกระโจมสุดลูกหูลูกตานั้นหลายครา ประกายโลหิตภายในดวงตาเขาเบ่งบาน เสียงดังปังคราหนึ่ง เขาโยนคบเพลิงไปที่กระโจมซึ่งอยู่ใกล้มากที่สุด 


 


 


คบเพลิงซึ่งแฝงน้ำมันตะเกียงตกลงบนกระโจม เสียงดังพรึบเบาๆ คราหนึ่ง กำลังเพลิงจากเล็กน้อยกลายเป็นรุนแรง จากใกล้เป็นไกล กระโจมขนาดมหึมาและกว้างขวางค่อยๆ ลุกไหม้ ประหนึ่งดาราเพลิงซึ่งแผดเผาอยู่บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้าง  ไม่นานนักกระโจมนี้ก็ถูกเปลวไฟขนาดใหญ่กลืนกินจนหมดสิ้น เปลวไฟอันร้อนแรงโบกพลิ้วไปตามแรงลม ทั้งเผาไหม้กระโจมที่อยู่ติดกัน กระโจมจำนวนนับไม่ถ้วนประหนึ่งท่อนฟืนที่ตั้งอยู่ติดกัน ถูกเผาไหม้ทีละกระโจม 


 


 


หนึ่งหลัง สิบหลัง ร้อยหลัง เปลวเพลิงขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ยามที่กระโจมหลายพันหลังแห่งต๋าหลานจากำลังลุกไหม้ใต้ท้องฟ้า เหมือนดั่งดอกไม้ไฟที่เบ่งบานอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีทีละดวง แสงอันร้อนแรงนั้นประหนึ่งบุปผาโลหิตที่เบ่งบานบนทุ่งหญ้า สะท้อนขอบ้าอันเวิ้งว้างจนแดงฉาน 


 


 


ศึกครั้งนี้ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย การโจมตีครั้งนี้น่าจะเป็นศึกที่ชนเผ่านอกด่านคาดไม่ถึงมากที่สุด และทำให้เหล่านายทหารต้าหัวสาแก่ใจมากที่สุดท่ามกลางห้วงแห่งบุญคุณความแค้นหลายร้อยปีระหว่างต้าหัวกับทูเจวี๋ย การล้อมสังหารชาวทูเจวี๋ยบนทุ่งหญ้า คิดๆ แล้วก็ทำให้คนเลือดลมพลุ่งพล่าน ราวกับความฝัน แต่ทุกสิ่งนี้กลับเกิดขึ้นตรงหน้าอย่างจริงแท้แน่นอน  


 


 


ขณะที่กระโจมทยอยลุกไหม้ทีละหลัง เปลวเพลิงพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าส่องเจิดจ้า ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนหลังม้า ชูดาบขึ้นสูง วิ่งห้อตะบึงกู่ร้องยินดีด้วยความตื่นเต้นวนกลับไปมา ความตื่นเต้นอันเปี่ยมล้นปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าและน้ำเสียงอันหนุ่มแน่นของพวกเขา  


 


 


ศึกครั้งนี้หลินหว่านหรงจงใจรั้งอยู่ท้ายสุด แม้จะมาถึงโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้ไม่ถึงหนึ่งปี แต่เมื่อเห็นเหล่าเกากับเหล่าหูนำพาทหารห้าพันนายเข่นฆ่าสังหารราวกับหมาป่า เบื้องหลังสองตาแดงก่ำนั้นกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นนั้นซ่อนความเศร้าโศกและความหนักอึ้งมากมายเหลือเกิน หลินหว่านหรงเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง การศึกครั้งนี้ควรเป็นของพวกเขา ควรเป็นของสหายร่วมชาติที่ต้องทนทุกข์ทรมานและตายจากไปทุกคน 


 


 


เขาถอนหายใจ ก้าวขึ้นรถไป ถึงกระนั้นกลับเห็นสาวน้อยทูเจวี๋ยสองตาแดงฉาน น้ำตาไหลริน เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังอันล้ำลึกและความเศร้าเสียใจที่ไม่อาจช่วยเหลือได้ 


 


 


“เจ็บปวดมาก ใช่หรือไม่?!” เขาหยิบเศษผ้าที่อุดปากอวี้เฉียออกมา หลินหว่านหรงไม่ได้ช้อนดวงตาขึ้นมา กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย  


 


 


อวี้เฉียกัดจนปากแตก โลหิตซึมออกมา คำรามด้วยโทสะราวกับหมาป่าตัวเมีย “คนโฉดชั่วต้าหัว เจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ!” 

 

 

 


ตอนที่ 546.2

 

โชคชะตาที่สวรรค์กำหนด

 


 


 


 


“ฆ่าเจ้า?! ไม่จำเป็น เหตุผลไม่ต้องบอกเจ้าเป็นรอบที่สองเช่นกัน” หลินหว่านหรงโบกมืออย่างไม่แยแส กล่าวด้วยท่าทางสบายๆ “ลองคิดถึงตอนที่ชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้ายกดาบสังหารสหายร่วมชาติของข้าก็แล้วกัน…ขอแต่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็จะได้รับรู้ความเจ็บปวดที่จารึกฝังลงไปในจิตใจ คุณหนูอวี้เจีย ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจเหตุผลนี้อย่างช้าๆ” 


 


 


อวี้เจียค่อยๆ หลับตา น้ำตากระจ่างใสสองหยดคลออ้อยอิ่งอยู่ที่หางตาอันงดงามเป็นเวลานาน สุดท้ายก็หยดลงมาเบาๆ  


 


 


“ที่นองอยู่เต็มพื้นคือโลหิตของเพื่อนร่วมชาติของข้า เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?!” นางพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย แฝงความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างยากจะบรรยายได้ 


 


 


“เจ้าคงเห็นโลหิตของสหายร่วมชาติชาวต้าหัวของข้าจนชินล่ะสิ” หลินหว่านหรงหัวเราะเย้ยหยัน “หากต้องการเข้าใจปัญหานี้อย่างแจ่มชัด ง่ายดายมาก ลองไปถามข่านผีเจียผู้สูงส่งของเจ้าสิ นับตั้งแต่เขาเริ่มสงคราม เขาก็ถูกกำหนดให้เป็นมือประหารแล้ว ช่วงเวลานี้ก็คือสิ่งที่ชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้าสมควรได้รับ” 


 


 


อวี้เจียสายตาเย็นชา “ความคิดของท่านข่านผีเจีย ชาวต้าหัวที่อยู่ในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์เช่นพวกเจ้าไม่มีวันเข้าใจไปตลอดกาล พวกเราชาวทูเจี๋ยร่อนเร่เลี้ยงสัตว์อยู่บนทุ่งหญ้าและทะเลทรายอันแร้นแค้นมาทุกยุคทุกสมัย ชีวิตอันลำบากยากเข็ญนั้นหากไม่พบเจอกับตัว เจ้าจะรับรู้ได้อย่างไร? อวี้เจียไม่เข้าใจ เหตุใดดินแดนสวรรค์อันแสนจะอุดมสมบูรณ์ถึงมีแค่ชาวต้าหัวที่ละโมบโลภมากรักสบาย ไม่รู้จักพัฒนาตัวเองเช่นพวกเจ้าถึงเสพสุขได้แต่เพียงผู้เดียว? เหตุใดชนเผ่าที่ขยันขันแข็งกล้าหาญชาญชัยของข้าถึงได้แต่อาศัยอยู่ในกระโจม ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้าด้วย?! ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้าได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมากที่สุดในต้าหัว อวี้เจียใคร่ถามแค่ประโยคเดียว สวรรค์จัดการเช่นนี้ ยุติธรรมแล้วหรือ?! ท่านข่านทูเจวี๋ยคิดจะนำพาคนในชนเผ่าตามหาชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขมากกว่านี้ หรือว่านี่ก็ผิดหรือ?!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยคำพูดคำจาเฉียบคม ดวงตามีน้ำตาร้อนเอ่อคลอ ถึงกระนั้นกลับฝืนสบตาเขา คล้ายต้องการหาคำตอบ 


 


 


เมื่อยืนอยู่ในจุดยืนของยุคสมัยนี้ ความคิดของอวี้เจียก็ต่างจากคนอื่นจริงๆ นางยอมรับความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ของต้าหัว ทั้งยังใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งชาวทูเจี๋ยจะมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์และสงบสุขเช่นนี้ สิ่งนี้เดิมทีนั้นไม่ผิด เพียงแต่ยิ่งเป็นคนฉลาดมากเท่าใดก็ยิ่งทำเรื่องไม่คุ้มค่ามากขึ้นเท่านั้น จากตัวของสาวน้อยทูเจวี๋ยก็มองเห็นได้รางๆ แล้ว  


 


 


หลินหว่านหรงส่ายหน้า หัวเราะพร้อมพูดว่า “บนโลกนี้ไม่เคยมีความยุติธรรมมาก่อน สวรรค์ประทานข้อดีให้เจ้าก็ต้องประทานข้อเสียให้เจ้าเช่นกัน อย่างเช่นชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้ารูปร่างสูงใหญ่ กำลังวังชาไร้สิ้นสุด ส่วนร่างกายของราษฎรต้าหัวเช่นพวกเรากลับอ่อนแอกว่ามาก พอสู้รบกันพวกเจ้าก็มีข้อได้เปรียบตามธรรมชาติก่อนแล้ว คุณหนูอวี้เจีย เจ้าว่านี่ยุติธรรมหรือไม่?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ครุ่นคิด ไม่ได้ตอบคำถามเขา 


 


 


“ดินแดนของทูเจวี๋ยเช่นพวกเจ้าแร้นแค้น ร่างกายคนในเผ่าเจ้าแข็งแรงกำยำ ไม่ถูกคนอื่นรังแก สวรรค์ประทานให้เจ้ามีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่เจ้ากลับชอบเอาข้อเสียของตัวเองไปเปรียบเทียบกับกับข้อดีของผู้อื่น ไม่พูดถึงข้อได้เปรียบที่ตัวเองมีแม้แต่น้อย คุณหนูอวี้เจีย บนโลกนี้มีเรื่องดีๆ ที่ได้เปรียบทั้งสองทางเช่นนี้ด้วยหรือ?” ดวงตาของหลินหว่านหรงร้อนแรง จ้องใบหน้านางเขม็ง 


 


 


อวี้เจียนิ่งอึ้ง ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “หากเป็นที่เจ้าว่านี้ คนในเผ่าข้าเกิดมาก็สมควรถูกกักอยู่นทุ่งหญ้า ทนรับลมฝนอันเหน็บหนาว ทนรับความทรมานและโรคภัยไข้เจ็บเช่นนี้น่ะหรือ?” 


 


 


“นั่นเป็นโลกทัศน์อันคับแคบของเจ้า” หลินหว่านหรงกล่าวด้วยโทสะ “เจ้านึกว่าทุ่งหญ้านี้แห้งแล้งกันดารหรือ? ผิดแล้ว ผิดอย่างยิ่ง ผิดอย่างมหันต์ ทุ่งหญ้าอาลาซ่านอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ซุกซ่อนสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน พันปีหลังจากนี้มันจะกายเป็นขุมทองขุมสมบัติที่ผู้คนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนต่างแก่งแย่งกัน ทางเหนือของทุ่งหญ้าอาลาซ่านยังจะมีประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งก่อตั้งขึ้นมา มันใหญ่โตจนเจ้ายากจะจินตนาการได้…” 


 


 


“ประเทศอะไร? เหตุใดเจ้าถึงรู้?!” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขา เต็มไปด้วยความสงสัย 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง กล่าวด้วยโทสะ “ข้าพูดเอง เจ้าห้ามคิดเหลวไหล…ข้าฉลาด ข้าใช้สมองคาดเดา ได้หรือเปล่า?!” 


 


 


อวี้เจียมองเขาพร้อเบะปาก เบือนหน้าหนีไป ลอบแค่นเสียงออกจมูก 


 


 


“ไม่ผิด ต้าหัวเราอุดมสมบูรณ์ แต่มีบางเรื่องที่ไม่ใช่ความอุดมสมบูรณ์จะแก้ไขได้ อย่างเช่นภาษา การแพทย์ ศิลปวิทยาต้าหัวที่เจ้าเรียนรู้มา นี่เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์หรือ? นี่คือการสั่งสมมานับพันปีของชนชาติหนึ่ง เป็นการตกผลึกทางสติปัญญาของชนชาติ ไม่เกี่ยวกับว่าใช้ชีวิตอยู่ที่ใด หากต้องการให้ชนเผ่าเจ้ามีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำให้เป็นจริงด้วยการรุกราน ครอบครองแหล่งทรัพยากรของผู้อื่น นั่นต้องสร้างขึ้นมาโดยการใช้ความพากเพียรพยายามและสติปัญญาจากสองมือของพวกเจ้าเอง เจ้าเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการติดต่อสื่อสาร ทำการค้าและวิวาห์กับแคว้นเพื่อนบ้านได้ เรียนรู้ศาสตร์ความรู้ สิ่งทอ การหลอมโลหะ การปศุสัตว์ การทำเหมืองแร่ การท่องเที่ยวจากแคว้นเพื่อนบ้านได้ พวกเจ้ามีเงื่อนไขทางธรรมชาติ มีวิธีการตั้งมากมายที่จะทำให้แคว้นเจริญก้าวหน้าและมั่งคั่ง แล้วทำไมต้องบีบเอาสถานที่อยู่อาศัยของชนชาติอื่นถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ด้วย ข้าขอบอกเจ้า ไม่ว่าชนชาติใดที่อาศัยการรุกรานผู้อื่นเพื่อขยับขยายบ้านเมืองล้วนไม่มีวันอยู่ยาวนาน…ข้าพูดเรื่องพวกนี้เจ้าเข้าใจหรือไม่?” 


 


 


เขาพูดจาเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ความรู้สึก ราวกับกำลังพูดสุนทรพจน์อย่างนั้น น้ำลายพ่นเต็มพื้น ปากก็ยังกระตุกอีกด้วย 


 


 


อวี้เจียฟังแล้วครุ่นคิดอย่างเงียบงันอยู่นาน จากนั้นถึงเอ่ยออกมาว่า “เจ้าพูดจาน่าฟัง สิ่งทอ การหลอมโลหะ เป็นสมบัติล้ำค่าของพวกเจ้าต้าหัว เจ้าจะถ่ายทอดให้พวกเราโดยปราศจากความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนได้หรือ? น่าขัน” 


 


 


เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของนางนี้ หลินหว่านหรงจึงพูดด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้าไม่เคยลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้? ขอเพียงเจ้ายอมจ่ายค่าตอบแทนที่แน่นอน บนโลกนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้” 


 


 


อวี้เจียเข้าใจเจตนาของเขาผิดอย่างชัดเจน เช่นนั้นก็อดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ กล่าวด้วยโทสะออกมา “เจ้าฝันไปเถอะ หมาป่าชั่วช้าผู้โหดเ**้ยมไม่มีทางได้หมิ่นเกียรติสตรีแห่งทุ่งหญ้า!” 


 


 


“เอาล่ะๆ อย่าพูดคำสาปแช่งภาษาทูเจวี๋ยของเจ้าเลย” หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็ขนลุกชัน รีบโบกไม้โบกมือ “เจ้าไม่ใช่ข่านทูเจวี๋ยเสียหน่อย ข้าจะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าทำไมกัน?! สีซอให้ควายฟัง!” 


 


 


อวี้เจียโมโหจนหน้าซีด กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ใช่ ควายสีซอ!” 


 


 


น่าอัศจรรย์เหลือเกิน! นังหนูนี่กลับพลิกแพลงการใช้สำนวนได้ด้วย หลินหว่านหรงเบิกบานใจจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง 


 


 


ดวงหน้าน้อยของอวี้เจียแดงเล็กน้อย มองเขาด้วยความเดือดดาล “คนฆ่าสัตว์ชาวต้าหัวหน้าไม่อาย มือเจ้าเปื้อนเลือดคนในเผ่าของข้า ตอนนี้มาพูดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไร?!” 


 


 


ใช่แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่นางพูดขึ้นมาข้าก็เกือบลืมไปแล้ว ตอนนี้กำลังรบกันอยู่ ข้าจะมาพูดเรื่องบ้าบอพวกนี้กับนางผายลมอะไรกัน ช่างผิดกับพวกพี่น้องจริงๆ เลยนะ หลินหว่านหรงลอบละอายใจ 


 


 


เสียงของหูปู้กุยดังขึ้นจากนอกรถ “เรียนท่านแม่ทัพ การศึกสิ้นสุดลงแล้วขอรับ ทัพเราสูญเสียไปสิบแปดคน บาดเจ็บสามสิบคน บุรุษวัยผู้ใหญ่ชาวทูเจวี๋ยแห่งต๋าหลานจาถูกสังหารจนหมดสิ้น เหลือแค่สตรีและเด็กสามพันกว่าคน…จะจัดการเช่นไร ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการด้วยขอรับ” 


 


 


เมื่อได้ยินรายงานของหูปู้กุย อวี้เจียก็หน้าซีดเผือดทันที มองหลินหว่านหรงอย่างร้อนรน คิดจะพูดอะไรบางอย่าง ขมุบขมิบอยู่นาน ทว่ากลับคล้ายไม่อาจเอ่ยปากออกมาได้ 


 


 


หลินหว่านหรงตอบรับเสียงอืมคราหนึ่ง ขณะกำลังจะลงจากรถเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็พลันเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ใต้เท้าอัวเหล่ากง…” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมองนาง อวี้เจียหน้าซีด กล่าวอย่างอ่อนแรง “คนเหล่านั้นต่างเป็นสตรีและเด็ก เจ้าจะ…” 


 


 


หลินหว่านหรงขนคิ้วตั้ง แค่นเสียงอย่างเย็นชา อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ ร่างกายสั่นระริกเล็กน้อย น้ำตาคลอเบ้า กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “พวกเราชาวทูเจี๋ยไม่มีวันก้มหัวอันสูงส่งลงเด็ดขาด ต้องมีสักวัน เจ้าทำอะไรไว้ข้าจะคืนกลับไปเป็นร้อยเท่า…นี่…” 


 


 


ความโกรธเกรี้ยวของนางยังระบายออกมาไม่หมด โจรหน้าดำกลับกระโดดลงจากรถไปนานแล้ว เหลือเพียงผ้าม่านที่แกว่งไกวไปมาเท่านั้น เสียงกระจ่างใสดังก้องอยู่ในตัวรถไม่หยุด 


 


 


เมื่อคิดถึงฝีมือของเจ้าโจรคนนี้ อวี้เจียก็อดตัวสั่นไม่ได้ ใบหน้าของสตรีและเด็กจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นตรงหน้านาง นางเหมือนมองเห็นคมดาบนั้นอยู่ตรงหน้า เลือดนองเป็นท้องธาร…… 


 


 


“พี่เกา พี่หู ทำได้ดี” เมื่อกระโดดลงจากรถก็เห็นหูปู้กุยกับเกาฉิวยืนรออยู่ด้านข้าง ดาบที่ออกจากฝักยังคงมีโลหิตหยาดหยด หลินหว่านหรงอดตบบ่าคนทั้งสองเบาๆ หลายทีไม่ได้ เพื่อแสดงการชมเชย 


 


 


ด้วยการบาดเจ็บล้มตายจำนวนน้อยเช่นนี้ การกวาดล้างดินแดนหนึ่งของชนเผ่านอกด่านได้ นี่ไม่อาจไม่พูดได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง 


 


 


“สู้นี้สู้อย่างสบายมาก วันหน้าหากทุกวันเป็นเช่นครั้งนี้ นั่นก็สาแก่ใจแล้ว” เหล่าเกาหัวเราะร่า พูดกดเสียงต่ำ ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ “อันที่จริงชายฉกรรจ์ทูเจวี๋ยพวกนั้นยังจับเป็นไว้จำนวนหนึ่ง เพียงแต่พวกมัน ‘บังเอิญ’ สบโอกาสหลบหนี แต่ก็โชคไม่ดีอีก ต้องมาเจอกับหน้าไม้ยิงต่อเนื่องขอพวกเรา ฮิๆ…” 


 


 


ลูกไม้ตุกติกที่เหล่าเกาละเล่นพวกนี้ หลินหว่านหรงคร้านที่จะสนใจ แค่หัวเราะให้มันผ่านไป 


 


 


กระโจมหลายพันลุกไหม้รุนแรง ควันสีดำขนาดใหญ่อบอวลไปทั่วท้องฟ้า ทหารม้าห้าพันนายขี่อยู่บนหลังม้า ชูคบเพลิงขึ้นสูง ส่องต๋าหลานจาสว่างราวกับกลางวัน ความน่ายำเกรงนั้นกลับเหมือนโจรที่บุกปล้นสะดมบนทุ่งหญ้าจริงๆ พวกเขาล้อมเป็นวงกลม สายตาสาดประกายเย็นเยียบ จ้องมองฝูงชนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง  


 


 


ฝูงชนที่ถูกล้อมดำทะมึนไปหมด มีมากถึงสามสี่พันคน ล้วนเป็นสตรีและเด็กชาวทูเจวี๋ย ที่โตที่สุดก็ไม่เกินสิบขวบ ที่เล็กที่สุดยังอยู่ในผ้าอ้อม เหล่าเด็กน้อยอิงแอบแนบชิดข้างกายมารดา ดวงตาสาดประกายอันสลับซับซ้อนหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ทั้งเคียดแค้นชิงชัง กระทั่งว่ามีหลายคนที่มือถือดาบโค้งขนาดเล็ก แม้จะปราศจากพลังในการเข่นฆ่าทำร้าย ทว่าคมโค้งนั้นกลับเล็งตรงมาที่ทหารม้าต้าหัว ส่วนสตรีชาวทูเจวี๋ยที่ถูกจับตัวกลับกอดลูกเอาไว้ในอ้อมอกแน่น มองดาบทวนในมือทหารต้าหัวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเย็นชา ดวงตาสาดประกายโศกเศร้าและสิ้นหวัง 


 


 


หลินหว่านหรงเดินมาตลอดทาง ทอดสายตามองร่างกายอันวัยเยาว์และแววตาเคียดแค้นที่แผ่พุ่งออกมาจากนัยน์ตาสีฟ้า เขาขนลุกชาวาบเป็นระยะ คนจำนวนมากขนาดนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสตรีและเด็ก จะจัดการอย่างไรดี?! เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านเห็นว่าควรจัดการเช่นไรดี?!” 


 


 


เกาฉิวกัดฟันกรอด ทำท่าสัญญาณมืออย่างโหดเ**้ยม “ชาวทูเจี๋ยบุกยึดเมืองของต้าหัว ไม่เคยไว้ไมตรีต่อบุรุษสตรีคนแก่และเด็กร่วมชาติของเรา ต้องล้างเมืองเช่นกัน! อย่างที่ว่าไว้ ใช้วิธีการของผู้นั้น ย้อนคืนให้ผู้นั้น พวกมันทำกับพวกเราเช่นไร พวกเราก็ทำกับพวกมันเช่นนั้น!” 


 


 


หูปู้กุยลังเลอย่างเห็นได้ชัด ประสานมือแล้วพูดเสียงเบา “ทุกอย่างขอมอบให้ท่านแม่ทัพจัดการขอรับ” 


 


 


เผือกร้อนเช่นนี้เป็นความยุ่งยากที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ควรจัดการเช่นไร ทำให้หลินหว่านหรงเลือกลำบากเสียจริง  


 


 


ทอดสายตามองคบเพลิงที่ลุกไหม้ร้อนแรงตรงหน้า สายตาเคียดแค้นชิงชังของเด็กและสตรีทูเจวี๋ย สายตามุ่งหวังของทหารต้าหัว เขาย่ำเท้าอย่างแช่มช้า เหงื่อเย็นชุ่มโชกแผ่นหลัง เกาฉิวกับหูปู้กุยเข้าใจความลำบากของเขาเช่นกัน มองดูเขาขมวดคิ้วมุ่น ต่างไม่ส่งเสียงสักแอะเดียว 


 


 


เวลาผ่านไปทีละเสี้ยววินาที เปลวเพลิงอันร้อนแรงซึ่งกำลังลุกไหม้กระโจมนั้นแผดเผาจนใบหน้าทุกคนแดงก่ำ เด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วนมองดูชาวต้าหัวหน้าดำซึ่งกุมชะตาชีวิตของพวกเขา เงียบงันไม่เอ่ยวาจา 


 


 


หลินหว่านหรงหยุดฝีเท้าในบัดดล ถอนหายใจยาวๆ มองเกาหูสองคนหลายครั้ง 


 


 


หูปู้กุยถามด้วยความตกใจขึ้นมาทันที “ท่านแม่ทัพ ท่านตัดสินใจแล้วหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงไม่ได้ตอบเขา ก้าวขึ้นที่สูงทันที หน้าดำประดุจถ่าน คำรามเสียงดังด้วยท่าทีดุร้าย “ชาวทูเจี๋ยทั้งหมด พวกเจ้าจงดูใบหน้าของข้านี้…” 


 


 


หูปู้กุยรีบแปลคำพูดเขากลับไป จริงดังคาด สายตาของเด็กและสตรีจำนวนสามพันกว่าคนพุ่งตรงมาที่ใบหน้าเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน  


 


 


“เป็นข้าที่ฆ่าสามีของพวกเจ้า บิดาของพวกเจ้า! นั่นเพราะพวกเจ้าฆ่าญาติของข้า สหายร่วมชาติของข้า ในนั้นมีเด็กและสตรีจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเจ้า! พวกเจ้าจะไม่เชื่อก็ได้ เพราะท่านข่านของพวกเจ้าจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แต่…แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยสาบานกับเทพแห่งทุ่งหญ้ามาก่อน คำพูดนี้ข้าจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น วันหน้าไม่มีวันกล่าวซ้ำอีก! ชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ซานเกอซื่อ…อัวเหล่ากง…พวกเจ้าจงจำใบหน้าของข้าเอาไว้ มีความแค้นจงมาหาข้า หากข้ากลัวพวกเจ้า ข้าก็จะเป็นท่านปู่ของพวกเจ้า!” เขาคำรามก้องดังหมาป่า ท่าทางอันดุร้ายนั้น แม้แต่เด็กทารกซึ่งร้องไห้กระจองอแงอยู่ในอ้อมอกมารดาก็ยังตกใจจนหยุดร้อง สายของชาวทูเจี๋ยทั้งหมดรวมอยู่ที่ร่างเขา มีความหวาดกลัว แต่สิ่งที่มากกว่าก็คือความเคียดแค้นชิงชัง 


 


 


เขาเสียงทุ้มต่ำ ท่าทีสงบนิ่ง กวาดสายตามองชาวทูเจี๋ยทั้งหมด มือใหญ่สอดเข้าไปในอก ควักของสิ่งหนึ่งออกมาอย่างแช่มช้า เปล่งประกายอยู่หน้าชาวทูเจี๋ย “จากการกระทำทั้งหมดของชาวทูเจี๋ยเช่นพวกเจ้า ตามหลักการและเหตุผลแล้ว ข้ากับบรรดาพี่น้องของข้าจะไม่มีวันละเว้นพวกเจ้า เพียงแต่พวกเราชาวต้าหัวมีคำโบราณอยู่ประโยคหนึ่ง สวรรค์รักใคร่ชีวิต ในเมื่อคำโบราณกล่าวเช่นนี้ ข้าจะมอบโอกาสให้พวกเจ้าครั้งหนึ่ง ให้สวรรค์ตัดสินชะตาของพวกเจ้า…” 


 


 


ชาวทูเจี๋ยเงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพสำเนียง ทหารต้าหัวก็จ้องจอมทัพของเข่าเช่นกัน ไม่รู้ว่าเขาจะตัดสินชะตาของชนเผ่านอกด่านเช่นไร 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะคราหนึ่ง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “การประชันที่ยุติธรรมมากที่สุดนับตั้งแต่ต้าหัวเรามีประวัติศาสตร์เป็นต้นมา นั่นก็คือการโยนเหรียญ! ช่วงเวลาที่เหรียญทองแดงในมือข้าหล่นลงพื้น ออกหัว หมายความว่าพวกเจ้าจากไปได้อย่างปลอดภัย หากออกก้อย เช่นนั้นพวกเจ้าก็จงทิ้งชีวิตไว้ ชดใช้ให้สหายร่วมชาติของข้า! ขอพระโพธิสัตว์กวนอิมและเทพแห่งทุ่งหญ้าโปรดมาเป็นสักขีพยานให้พวกเรา เริ่ม!” 


 


 


เขากัดฟันกรอดทันที เหรียญทองแดงในมือลอยขึ้นท้องฟ้า พลิกหมุนจำนวนนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นลงบนทุ่งหญ้าอย่างเงียบงัน…… 

 

 

 


ตอนที่ 547.1

 

ตอบแทน

 


 


 


 


คบเพลิงที่กำลังลุกไหม้แผดเผาอย่างรุนแรงส่งเสียงเพียะๆ เบาๆ อยู่เป็นระยะ สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่เหรียญทองแดงเล็กๆ เหรียญนั้น ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่เงียบสงัดไร้ซึ่งสรรพสำเนียง เสียงหัวใจเต้นดังตึกตักของเด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่ทหารม้าต้าหัวซึ่งมือถือคบเพลิงก็ยังอดกลั้นหายใจไม่ได้ จดจ้องเหรียญทองแดงที่กำลังหมุนเบาๆ นั้นไม่ได้ 


 


 


เหรียญทองแดงเล็กๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้าอันแสนจะอุดมสมบูรณ์ กระเด้งหลายครั้งแล้วกลิ้งไปข้างหน้า ตั้งตรงอย่างเงียบงัน หยุดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล้มลงไปอย่างแช่มช้า 


 


 


เมื่อเห็นเหรียญทองแดงนั้นหยุดนิ่งลง หูปู้กุยจ้องเขม็ง ไม่กล้ากะพริบตา เขานิ่งอึ้งอยู่นาน จากนั้นถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ออกหัว! นี่ หรือว่าจะเป็นมติฟ้า?” สีหน้าเขาสลับซับซ้อน ระหว่างที่ถอนหายใจยาวๆ คล้ายรู้สึกไม่ยินยอมอยู่บ้าง ทว่ากลับแฝงความรู้สึกโล่งอกอยู่บ้างเช่นกัน 


 


 


เหล่าเด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยยินดีเป็นบ้าเป็นหลัง ตระกองกอดซึ่งกันและกัน เต้นแร้งเต้นกากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาไหลนองใบหน้า เด็กน้อยที่พวกนางกอดอยู่ในอ้อมอก แม้จะไม่เข้าใจความหมายของการกู่ร้องด้วยความยินดีปรีดามารดาของพวกเขา ถึงกระนั้นกลับเหมือนถูกความรู้สึกนี้ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมด้วย ยิ้มหน้าบาน ยื่นมือน้อยที่มีขนาดเล็กกระจิ๋วนุ่มนิ่มออกมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้ามารดา 


 


 


หลินหว่านหรงหลุบตาลง สงบนิ่งเงียบงันประดุจสายน้ำ หันหลังยืนนิ่งอยู่นาน ไม่เปล่งวาจา ปราศจากความเสียใจและปราศจากความยินดี ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ มีเพียงฝ่ามือที่กำจนแน่นนั้นเท่านั้นที่แสดงความรู้สึกภายในใจของเขาออกมาให้รู้บ้าง 


 


 


สตรีชาวทูเจวี๋ยยินดีเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ครู่หนึ่ง เสียงกู่ร้องยินดีค่อยๆ หายไป สมองค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาเช่นกัน พวกนางถึงรับรู้ได้ว่าโจรหน้าดำที่มีสิทธิ์ชี้ความเป็นความตายของพวกนางยังคงเงียบงันอยู่ สองมือที่เขากำแน่นอยู่นั้นมีเส้นเอ็นปูดโปนออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เห็นการต่อสู้ทางความคิดอย่างรุนแรงภายในใจเขาได้ 


 


 


โยนเหรียญทองแดงชนะแล้วจะทำไม? ขอเพียงเจ้าคนต้าหัวคนนี้ส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย เด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยสามพันกว่าคนก็ยังหนีไม่พ้นชะตาที่จะถูกเข่นฆ่าอยู่ดี ชาวทูเจวี๋ยจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งสตรี ทั้งเด็ก นัยน์ตาสีฟ้า สายตาที่มีทั้งความคาดหวังและความโกรธแค้นต่างจ้องมองร่างที่ยืนนิ่งนั้นเขม็ง รอคอยการตัดสินสุดท้ายของเขา 


 


 


“ไม่อย่างนั้นก็โยนอีกครั้งหนึ่ง สามชนะสอง?!” เกาฉิวประชิดข้างกายหลินหว่านหรง ใช้เสียงที่พวกตนสามคนจะได้ยินเท่านั้นเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา  


 


 


ข้อเสนอหน้าไม่อายเช่นนี้น่าจะมีแค่เหล่าเกาอย่างเจ้าที่คิดออกมาได้ หูปู้กุยถลึงตามองเขาคราหนึ่ง กระทั่งยังดูแคลนเสียด้วยซ้ำ  


 


 


หลินหว่านหรงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น กวาดสายตามองหูปู้กุยน้อยๆ หลายครั้ง กล่าวเอื่อยเฉื่อยออกมาว่า “พี่หู ถ้าหากข้าเอาภาระนี้มอบให้ท่าน ท่านจะลงมือได้หรือไม่?!” 


 


 


ทอดสายตามองเด็กและสตรีสามพันกว่าคนที่อยู่ตรงหน้า สตรีผู้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เด็กแบเบาะซึ่งกำลังร้องไห้กระจองอแงเพราะต้องการอาหาร สีหน้าหูปู้กุยบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวซีด กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอย่างรุนแรง เขากัดฟันกรอดชูดาบเหล็กขึ้นมา ทว่าสองมือซึ่งสังหารคนมานับไม่ถ้วนกลับสั่นเทาเล็กน้อย ละล้าละลังอยู่นาน ในที่สุดเขาก็แหงนหน้ากู่ร้องด้วยโทสะคราหนึ่ง ดาบใหญ่ในมือห้อยลงมาอย่างหมดแรง เหล่าหูสีหน้าประหนึ่งเถ้าถ่าน ส่ายหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าน้อยยากจะลงมือขอรับ!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจอย่างเงียบงัน หันไปถามเกาฉิวว่า “ในเมื่อพี่หูลงมือไม่ได้ พี่เกา เช่นนั้นท่านก็ทำเถอะ!” 


 


 


“ข้า?!” เหล่าเกาอึ้ง เขาหันหน้ากลับไปมองเด็กและสตรีสามพันกว่าคนที่มือปราศจากอาวุธ ปากขมุบขมิบอยู่นาน หน้าซีดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ยิ้มขื่นพร้อมส่ายหน้า “น้องชาย หากสังหารบุรุษทูเจวี๋ยสามพันคน ข้าเหล่าเกาจะไม่กะพริบตาเลย แต่เด็กและสตรีเหล่านี้…” เขาถอนหายใจดังเฮ้อ ส่ายหน้าอย่างหมดแรง 


 


 


หลินหว่านหรงย่างก้าวอย่างแช่มช้า เดินไปเบื้องหน้าเหรียญทองแดงที่ร่วงหล่นสงบนิ่งอยู่บนพื้น คุกเข่าแล้วหยิบขึ้นมา เป่าดินทรายที่ติดอยู่บนเหรียญทองแดงออกเบาๆ ใช้มือถูอย่างละเอียด เขาเงียบงันอยู่นาน จากนั้นจึงเก็บเหรียญทองแดงนั้นกลับเข้าไปในอก 


 


 


หูปู้กุยจ้องใบหน้าเขาเขม็ง กล่าวพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ท่านแม่ทัพ ท่านตัดสินใจจริงๆ แล้วหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงไม่ตอบ แววตาเขาประดุจสายฟ้า กวาดมองเด็กน้อยทูเจวี๋ยซึ่งดวงตาแฝงด้วยความหวาดกลัวและความเคียดแค้นชิงชังเหล่านั้นทีละคน ผ่านไปนานถึงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “พี่หู ท่านลองดูสายตาเคียดแค้นของเด็กพวกนี้สิ เมื่อพวกเขาเติบโต มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นมิตรกับต้าหัวเราหรือไม่?!” 


 


 


หูปู้กุยเบิกตาโพลง ใช้สายตามีโทสะมองไปยังชาวทูเจวี๋ยหลายครั้ง เด็กน้อยเหล่านั้นตกใจจนเบือนหน้าไปทันที เหล่าหูหัวเราะฮ่าๆ หลายครั้ง กล่าวด้วยท่าทีเ**้ยมหาญ “ไม่เป็นมิตรแล้วจะทำไม?! วันนี้พวกเราฆ่าบิดาของพวกมันได้ วันหน้าลูกหลานของเราก็เข่นฆ่าพวกมันได้เหมือนกัน คนหนุ่มต้าหัวเราไม่มีวันขี้ขลาดตาขาว ยังจะกลัวมันทำไม?!” 


 


 


เมื่อเห็นหูปู้กุยมีความเ**้ยมหาญเปี่ยมล้น เกาฉิวกลับรู้สึกกังวลยิ่งนัก “เหล่าหู ที่ท่านพูดย่อมไม่ผิด แต่วันนี้สถานการณ์พิเศษ หากปล่อยเด็กและสตรีเหล่านี้ไป เกรงว่าน้องหลินจะต้องแบกรับเสียงก่นด่าไม่รู้จักจบสิ้น ต้าหัวเราจะต้องมีพวกผู้มีความรู้ตำหนิด่าทอเขาว่าสายตาตื้นเขิน มีความเมตตาเยี่ยงสตรี…ชนเผ่านอกด่านฆ่าล้างเมืองได้ เหตุใดพวกเราถึงล้างเมืองไม่ได้…เมตตาธรรมที่มีต่อศัตรูก็คือความโหดร้ายทารุณต่อตนเอง…เฮ้อ หากต้องถูกน้ำลายของเจ้าคนพวกนี้ท่วมจนตาย ไม่สู้ฆ่าเด็กและสตรีเหล่านี้เสียให้มันจบสิ้นกันไปจะดีกว่า” 


 


 


คำพูดของเหล่าเกานี้กลับรู้แจ้งเห็นจริงถึงแก่นแท้ ฆ่าเด็กและสตรีเหล่านี้ แม้ราษฎรต้าหัวจะรู้สึกว่าโหดร้ายทารุณ แต่ก็ไม่มีผู้ใดตำหนิ ตรงกันข้ามหากปล่อยพวกนางไป เมื่อกลับต้าหัวแม่ทัพหลินก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับบริภาษตำหนิติเตียนมากเท่าใด หูปู้กุยมองหลินหว่านหรงครั้งแล้วครั้งเล่า ก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาทันที 


 


 


หลายคนต่างเงียบงันอยู่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของหลินหว่านหรงดังเอื่อยเฉื่อยขึ้นมา “พี่เกา พี่หู ข้าขอคำชี้แนะจากท่านเรื่องหนึ่ง หัวเซี่ยเราอยู่มานับพันปี เจริญรุ่งเรืองไม่เสื่อมถอย ขุนพลนายทหารชั้นยอดและมีชื่อเสียงมากมายดุจดวงดาราบนท้องนภา มากมายนับไม่ถ้วน พวกท่านปกป้องหัวเซี่ย สร้างบารมีเกริกไกร ผลการศึกยิ่งใหญ่ ให้พวกชนเผ่านอกด่านพอได้ยินนามต่างขวัญผวา มองเห็นก็ต้องหลบหนี เรื่องราวอันเปี่ยมล้นด้วยความสามารถของบรรพชนเหล่านี้เล่าขานไปทั่วทุกสารทิศ แต่พวกท่านทั้งหลายมีกี่ท่านที่ใช่การฆ่าล้างเมืองเพื่อได้รับชัย ทั้งมีกี่ท่านที่อาศัยการฆ่าล้างเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงอันยั้งยืนยง?!” 


 


 


คำถามนี้ทำให้หูปู้กุยกับเกาฉิวนิ่งอึ้งทันที ไม่เคยพิจารณาปัญหานี้อย่างถ้วนถี่มาก่อน พอมาคิดดูตอนนี้ก็เป็นเช่นหลินหว่านหรงว่าไว้จริง หัวเซี่ยสืบทอดมานับพันปี ชนะศึกมากจนนับไม่ถ้วน รบพุ่งกับชนกลุ่มน้อยชายแดนไม่ใช่เพียงครั้งนี้เท่านั้น เหล่าบรรพชนปกบ้านป้องเมืองสู้รบกับชนเผ่านอกด่านและคนเถื่อน ไม่เคยได้ยินว่าท่านใดที่อาศัยการฆ่าล้างเมืองเพื่อให้ได้ชัย เมื่อทอดสายตามองคนรุ่นก่อนผู้มีความสามารถ หากต้องการหาขุนพลผู้มีชื่อเสียงซึ่งฆ่าล้างเมืองก็ยากยิ่งนัก 


 


 


เกาฉิวส่งเสียงจึ๊จ๊ะด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ?! เป็นเช่นนี้จริงด้วย น้องหลิน ที่เจ้าพูดเรื่องนี้เพื่ออะไรกันแน่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงถอนหายใจแผ่วเบา ทอดสายตามองเด็กและสตรีที่มีอยู่เต็มพื้นที่นี้ สายตาหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ กัดฟันกรอดพร้อมพูดออกมาเบาๆ “เพราะ…พวกเราคือคน ไม่ใช่หมาป่า!” 


 


 


พวกเราคือคน ไม่ใช่หมาป่า! หูปู้กุยกับเหล่าเกาพ่นลมหายใจออกมาพร้อมกัน พลันรู้สึกว่าประโยคนี้ของหลินหว่านหรงพูดออกมาจากความคิดภายในก้นบึ้งจิตใจของพวกเขา 


 


 


“คนย่อมมีสัญชาตญาณแห่งความเป็นคน ชาวต้าหัวเราจิตใจดีเมตตา นี่เป็นสิ่งที่ฝังลึก มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดกาล ชนเผ่านอกด่านป่าเถื่อนดุร้าย แม้แต่ร่างของคนในเผ่าตนก็ยังเหยียบย่ำได้ เรื่องนี้หากเปลี่ยนเป็นต้าหัวเราก็ไม่มีวันเกิดเรื่องเช่นนี้เป็นแน่ ถ้าหากพวกเราเลียนแบบชาวทูเจวี๋ย ฆ่าเพื่อฆ่าเพียงอย่างเดียว นั่นถือเป็นการทำลายสัญชาตญาณแห่งความเป็นคนของพวกเรา ช่วงที่สัญชาตญาณแห่งความเป็นคนถูกขจัดไป ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดเสียใจของพวกเราแต่ละคน แต่ยิ่งเป็นความเจ็บปวดเสียใจของชนชาติเราทั้งชนชาติ นับจากนั้นพวกเราจะกลายเป็นหมาป่าชั่วร้ายที่กลืนกินพวกเดียวกันเฉกเช่นชาวทูเจวี๋ยนั่น! พี่เกา พี่หู พวกท่านยอมเห็นการมาถึงของช่วงเวลานี้หรือ?!” 


 


 


กลายเป็นหมาป่าทูเจวี๋ยที่ชั่วร้าย? หูปู้กุยและเกาฉิวสองคนตัวสั่นด้วยความหนาวเหน็บพร้อมกัน รีบส่ายหน้าทันที 


 


 


“ก็ตามนี้ล่ะ” หลินหว่านหรงกล่าวเรียบๆ “โลกนี้ใหญ่มากและสลับซับซ้อนมาก เกรงกลัวความเคียดแค้นชิงชังของผู้อื่นนั่นเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด แต่หากอาศัยการเข่นฆ่าเด็กและสตรีเพื่อเพิ่มขวัญกล้า ไม่สู้สร้างตนเองให้แข็งแกร่ง ให้คนที่เคียดแค้นชิงชังไม่กล้าเคียดแค้นชิงชังจะดีกว่า…” เขาหยุดครู่หนึ่ง โบกมือเบา ๆ “…ตัดเสบียง ไล่เด็กและสตรีเหล่านี้เข้าไปในทุ่งหญ้า ให้พวกนางอยู่และแตกดับด้วยตัวเองก็แล้วกัน!” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ หันกลับไปโบกมืออย่างเร็วรี่ ทหารม้าต้าหัวเปิดทางให้อย่างพร้อมเพรียงกัน 


 


 


เหล่าสตรีชาวทูเจวี๋ยแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง ชาวต้าหัวปล่อยพวกนางจริงหรือ? 


 


 


ความตกใจระคนหวาดกลัว ความลังเลสงสัย ความมุ่งหวังรอคอย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีสตรีชนเผ่านอกด่านที่มีความกล้าหลายคนเคลื่อนฝีเท้าอย่างแช่มช้า ทดสอบปฏิกิริยาของทหารม้าต้าหัว เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ บรรดาสตรีชาวทูเจวี๋ยจึงรีบกู่ร้อง จูงลูกเด็กเล็กแดงวิ่งห้อตะบึง ภาพเช่นนั้นประหนึ่งเกี๊ยวที่เดือดพล่านอยู่ในกระทะ เสียงกรีดร้องของสตรี เสียงร่ำไห้ของเด็กน้อยดังสลับกันไปมา สะท้อนก้องไปทั่วทุ่งหญ้า 


 

 

 


ตอนที่ 547.2

 

ตอบแทน

 


 


 


 


“ชีวิต สุดท้ายแล้วก็ล้ำค่า เมื่อสูญเสียไปก็ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก” หลินหว่านหรงพึมพำกับตนเอง “สุดท้ายแล้วข้าก็เป็นคนธรรมดานี่นะ บางที สนามรบอันโหดร้ายทารุณนี้คงไม่เหมาะกับข้าจริงๆ” 


 


 


เกาฉิวถอนหายใจ “น้องหลิน เพราะเหตุใดกันเล่า นี่เจ้าเอาคำด่าทอมาแบกไว้กับตัวเองนะ!” 


 


 


“การเข่นฆ่าล้างบางไม่ใช่ความสุข! ผู้ที่ไม่เคยประสบกับการจากเป็นจากตายไม่มีวันรู้รสชาติที่แฝงอยู่ในนี้…คนไหนมีแรงคนนั้นก็ด่าไปเถอะ ถ้าข้ากลัวคนด่าข้าก็ไม่ใช่หลินซานแล้ว” หลินหว่านหรงโบกมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน 


 


 


เด็กและสตรีชาวทูเจวี๋ยวิ่งห้อตะบึงไปทางทุ่งหญ้า มุ่งไปยังปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทิศทางการมุ่งหน้าของทหารม้าต้าหัวพอดี เมื่อสะสางสนามรบ เติมเสบียงเรียบร้อย ทัพใหญ่ห้าพันก็เคลื่อนที่ข้ามคืนภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันหรุบหรู่ รุกคืบไปยังอี้อู๋ วิธีเข้าเร็วออกเร็ว ใช้การศึกหล่อเลี้ยงการศึกเช่นนี้ ทำให้ชาวทูเจวี๋ยหมดหนทางป้องกันล่วงหน้า ทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างมีดินแดนของชนเผ่ามากมาย ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเป้าหมายต่อไปของทหารม้าต้าหัวคือที่ใด 


 


 


คืนนี้เห็นๆ อยู่ว่าไม่ได้ลงสนามรบ แต่หลินหว่านหรงกลับมีสีหน้าเหนื่อยล้า โดยเฉพาะพวกของเกาฉิว เนื่องจากกำลังใจถดถอย ดังนั้นจึงมอบงานทั้งหมดให้หูปู้กุยจัดการ ก้าวขึ้นรถม้าแล้วม่อยหลับไป 


 


 


ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นก็พลันรู้สึกว่ามีวัตถุนุ่มนิ่มอะไรบางอย่างกวาดผ่านใบหูของตน แฝงกลิ่นหอมสะอาดจางๆ  


 


 


“ใครน่ะ ทำอะไร?!” เขาคว้าวัตถุนุ่มนิ่มนั้นไว้แล้วดึงมาตามแรงมือ ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังอ๊ะออกมาคราหนึ่ง เสียงของอวี้เจียดังอยู่ข้างใบหู “ชาวต้าหัวไร้ยางอาย เจ้าปล่อยข้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงตกใจอย่างยิ่ง รีบลืมตาขึ้นมา ถึงกระนั้นกลับเห็นว่าสิ่งที่มือตนเองคว้าจับเอาไว้นั้นที่แท้แล้วคือเส้นผมดำขลับปอยหนึ่ง อ่อนนุ่มเรียบลื่น ทั้งยังแฝงกลิ่นกายตามธรรมชาติอีกด้วย สองมือสองเท้าของอวี้เจียถูกมัดจนหมดสิ้น ใบหน้าสีแดงสดของนางแนบชิดข้างใบหูหลินหว่านหรง สิ่งที่เขาคว้าอยู่ในมือก็คือเส้นผมของสาวน้อยทูเจวี๋ยนั่นเอง 


 


 


“เอ๊ะ เจ้าคิดจะเอารัดเอาเปรียบข้า!” หลินหว่านหรงท่าทางตื่นตระหนกยิ่งนัก รีบลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นเสื้อผ้าของตนเป็นระเบียบเรียบร้อย เห็นชัดว่าไม่ได้ถูกล่วงเกิน เขาถึงรู้สึกวางใจลงได้ 


 


 


เมื่อเห็นท่าทางของเขา อวี้เจียทั้งอายทั้งเดือดดาลจนอยากจะตาย กล่าวด้วยโทสะออกมา “หน้าไม่อาย ผู้ใดเอารัดเอาเปรียบเจ้ากัน หลับอย่างกับหมูตาย ตะโกนเป็นร้อยรอบเจ้าก็ไม่ตื่น!” 


 


 


หลินหว่านหรงจำได้อย่างเลือนราง ตอนที่เขาขึ้นรถนั้นอวี้เจียถูกมัดอย่างแน่นหนาโยนทิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของรถ พอตื่นขึ้นมาเหตุใดนางถึงเข้ามาใกล้ขนาดนี้ สายตาไปอยู่ที่ขาของนาง เห็นว่ากระโปรงบริเวณด้านข้างหัวเข่านางมีร่องรอยจากการเสียดสี เห็นผิวละเอียดนุ่มนิ่มสีแดงรางๆ เขาร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง เดาว่าสาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้คงมาหาเขาเพราะมีเรื่องอะไรบางอย่างจะคุยด้วย แต่พอเขาขึ้นรถก็ดันหลับสนิท อวี้เจียกลับต้องไถกับตัวรถทั้งๆ ที่สองมือสองเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนาถึงจะเข้าใกล้ตัวเขาได้ ความมุ่งมั่นนี้ทำให้คนนับถือยิ่งนัก 


 


 


“กินด้วยกันอยู่ด้วยกันนอนด้วยกัน…เฮ้อ ข้าเกือบลืมไปแล้ว ต้องขอบคุณแม่นางอวี้เจียที่เตือนสติ มาเถอะ เป็นเจ้ากอดข้าหรือข้าโอบเจ้า” เขาหัวเราะพลางอ้าแขน กำลังจะโอบร่างอรชรของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ 


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ “อย่าเข้ามา อ๊า!” 


 


 


“ร้องอะไรกัน!” หลินหว่านหรงตวาดเสียงดังด้วยความโมโห “เห็นๆ อยู่ว่าเจ้ามาหาข้า ไอ้…อย่าเข้ามา…ประโยคนี้ควรเป็นข้าพูดถึงจะถูกสิ?!” 


 


 


อวี้เจียช้อนสายตามอง เห็นเพียงเจ้าโจรหน้าดำขดตัวอยู่ที่มุมรถ แม้จะแยกเขี้ยวยิงฟัน หน้าตาดุร้าย แต่ความง่วงงุนเหนื่อยล้าภายในดวงตานั้นกลับปรากฏออกมาให้เห็นจนหมดสิ้น  


 


 


คิดๆ ดูแล้วที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง อวี้เจียก้มหน้าลงไป เสียงเบาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว “กว่าข้าจะเรียกเจ้าให้ตื่นได้…ขอเจ้าอย่าเพิ่งหลับก่อน อวี้เจียมีเรื่องจะถามเจ้า” 


 


 


หลินหว่านหรงหาวออกมา แล้วกล่าวอย่างรำคาญ “เจ้านึกว่าข้าเป็นเจ้าว่างไฉที่บ้านเจ้าหรืออย่างไร เจ้าให้ข้านอนข้าก็นอน ให้ข้าไม่ต้องนอนข้าก็ไม่ต้องนอน?! ตอนนี้เจ้าจงอยู่อย่างว่าง่าย รอให้ข้าตื่นแล้ว อารมณ์ของนายท่านดีแล้วก็จะเอ็นดูจ้าเอง…แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีก็จะถูกเจ้าเอ็นดู!” 


 


 


“พูดเหลวไหล” ภายในดวงตาอวี้เจียเปล่งประกายบางๆ “หากเจ้าต้องการนอนข้าจะไม่ขวางเจ้า เพียงแต่เจ้าอย่าพูดละเมออีกได้หรือไม่ พี่สาวนางเซียนที่ใหญ่ทั้งกลม น้องหนิงเอ๋อร์สุขสมแข่งกับเทพเซียนอะไรนั่น…หากความลับต้าหัวของพวกเจ้าถูกข้าแอบฟังไป นั่นจะมาโทษข้าไม่ได้นะ” 


 


 


เป็นไปไม่ได้น่า หลินหว่านหรงได้ยินแล้วก็หลั่งเหงื่อเย็นเยียบ โคลงกลอนที่แฝงความหมายล้ำลึกแบบนี้ อวี้เจียไม่มีทางแต่งขึ้นมามั่วซั่วแน่ คิดว่าในฝันข้าบังเกิดความสุนทรีย์ทางโคลงกลอนอย่างยิ่ง กระทำเรื่องอันพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกับฮูหยินแต่ละคน แบบนั้นภาพที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กก็จะไม่ถูกอวี้เจียเห็นเข้าแล้วหรือ?! น่าละอายๆ 


 


 


“ทำไม เจ้ายังไม่เชื่อ?” เห็นสีหน้าเขากระจ่างวูบ อวี้เจียจึงอดประชดไม่ได้ “แล้วนางจิ้งจอกอันนั้นคือใคร? ในฝันเจ้าเรียกชื่อนางตั้งสิบกว่ารอบแหนะ! เจ้ามีคนรักกี่คนกันแน่?!” 


 


 


หลินหว่านหรงปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก หัวเราะฮิฮะแล้วพูดว่า “ข้ารักเดียวใจเดียว ฮูหยินทั้งหมดรวมกันก็แค่สิบกว่าคน เจ้าคิดว่าข้าเป็นม้าพ่อพันธุ์จริงๆ หรือ?!” 


 


 


อวี้เจียฟังแล้วก็ส่ายหน้า กล่าวเย้ยหยันออกมา “อย่างเจ้าไม่อาจนับได้ว่าเป็นม้าพ่อพันธุ์…หมูพ่อพันธุ์แค่นั้นล่ะ! หมูพ่อพันธุ์ที่หลับเป็นตาย!” 


 


 


นังหนูนี่พอด่าคนขึ้นมากลับมีฝีไม้ลายมือมาก เกือบได้หนึ่งในร้อยของข้าแล้ว หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ความง่วงนั้นพลันลดทอนลงไปมาก เขาเลิกผ้าม่านขึ้นมอง เห็นว่าท้องฟ้ายามราตรีบนทุ่งหญ้าเวิ้งว้างกว้างใหญ่ ที่อยู่ไกลๆ นั้นเปลวเพลิงแห่งต๋าหลานจายังคงลุกโชติช่วง ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่แล้ว 


 


 


เขาอดหาวออกมาไม่ได้ กล่าวอย่างงัวเงียว่า “เจ้าต้องการพูดอะไร ฉวยโอกาสช่วงที่อารมณ์ข้ายังไม่ได้ย่ำแย่ขนาดนั้น รีบว่ามาเถิด หากชักช้า ข้าจะเข้านอนแล้วนะ” 


 


 


อวี้เจียแค่นเสียงคราหนึ่ง ละล้าละลังอยู่นาน จากนั้นจึงกัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เอาเหรียญทองแดงของเจ้าออกมา!” 


 


 


“ทำอะไร ปล้นเหรอ?!” หลินหว่านหรงเอามือทั้งสองป้องกันหน้าอกทันที เบิกตาโพลงกล่าวด้วยโทสะ “ต้องการเงินน่ะไม่มี ต้องการชีวิตน่ะไม่ให้ เจ้าคิดหาหนทางเอาเองก็แล้วกัน” 


 


 


กับคนที่ชอบพูดจาเหลวไหลให้คนฟังแยกแยะไม่ออกพรรค์นี้ อวี้เจียไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี นางถอนหายใจคราหนึ่ง มองเขาด้วยสายตาสงบนิ่ง “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ขอร้องท่านเอาเหรียญทองแดงเหรียญนั้นมาให้ข้าดูได้หรือไม่ อวี้เจียอยากดูมาก” 


 


 


สีหน้าของสาวน้อยทูเจวี๋ยอ่อนโยนลงไปเล็กน้อย เขากลับรู้สึกปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง หัวเราะฮิฮะแห้งๆ สองคราแล้วตอบว่า “อยากดูก็ไม่ได้ ขอให้เป็นคนที่เคยได้ยินชื่อข้าก็จะรู้ หากต้องการเอาเงินจากพี่หลินซาน ไม่มีวัน!” 


 


 


อวี้เจียสีหน้าหนักอึ้ง ดวงตาสาดประกายอย่างยากจะสัมผัสได้วูบหนึ่ง ผงกศีรษะแล้วถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยินดีให้ อวี้เจียยังจะทำอะไรได้! เจ้าฆ่าล้างบางชายฉกรรจ์ในเผ่าข้า นี่คือความแค้นที่ฝังลึกถึงกระดูกระหว่างต้าหัวของเจ้ากับทูเจวี๋ยของข้า บางที่อาจไม่มีวันสลายไปตลอดกาล แต่เจ้าปล่อยเด็กและสตรีในเผ่าข้า อวี้เจียซาบซึ้งใจต่อเจ้า” 


 


 


“มาไม้นี้ให้น้อยหน่อยเถอะ” หลินหว่านหรงกล่าวเย้ยหยัน “ข้าไม่ได้ปล่อยพวกนาง เพียงแต่ดวงของคนในเผ่าเจ้าดีก็เท่านั้นเอง คราวหน้าไม่แน่ว่าจะโชคดีขนาดนี้แล้ว” 


 


 


อวี้เจียกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่ว่าพวกนางจะโชคดีหรือไม่ สรุปแล้วข้าซาบซึ้งใจเจ้า แม้เจ้าจะเป็นชาวต้าหัวที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย หน้าตาน่าเกลียด ความคิดก็เลวร้าย ยามนอนหลับยังพูดละเมออีก แต่การกระทำบางครั้งของเจ้ากลับไม่สูญเสียการเป็นชายชาตรีผู้ผ่าเผยคนหนึ่ง” 


 


 


หลินหว่านหรงอดไอแห้งๆ ออกมาหลายครั้งไม่ได้ กล่าวอย่างมีน้ำโหออกมาว่า “คุณหนูอวี้เจีย ขอเจ้าอย่าได้ชอบพูดตรงกันข้ามได้ไหม? ข้อดีของข้าก็มีอยู่แค่ไม่กี่อย่างนี้แล้ว!” 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยกวาดตามองเขาด้วยท่าทีจริงจัง กล่าวเรียบๆ ว่า “หนึ่งเรื่องต่อหนึ่งเรื่อง บุญคุณความแค้นระหว่างต้าหัวของพวกเจ้ากับทูเจวี๋ยของข้า นั่นต้องให้เหล่าผู้กล้าไปพบกันท่ามกลางโลหิตและกองเพลิง ไม่ตายไม่หวนคืน แต่ค่ำคืนนี้เจ้าอาจทำบุญโดยไม่ได้เจตนา แลกการตอบแทนกลับมา อวี้เจียของสาบานด้วยเกียรติของเทพแห่งทุ่งหญ้า หลังจากทูเจวี๋ยเรารุกรานดินแดนต้าหัวของพวกเจ้า จะแค่ขับไล่เท่านั้น ปราศจากการฆ่าล้างบางเด็กและสตรีต้าหัวอีกต่อไป นี่คือการตอบแทนที่มีให้เจ้า” 


 


 


ร่างอันงดงามชดช้อยของนางถูกมัดอย่างแน่นหนา ขดตัวอยู่บนพื้น ทว่าสีหน้ากลับแน่วแน่มุ่งมั่น นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนอันล้ำลึกทั้งคู่สาดประกายบางๆ คิ้วโก่งอันน่าดูชมหยักโค้งเล็กน้อย กรีดเป็นเส้นโค้งอันทรงอำนาจ ดวงหน้าอันงามเฉิดฉันคล้ายเปล่งประกายเรืองรองทำให้คนลุ่มหลง เยวี่ยหยาเอ๋อร์ในยามนี้หนักแน่นและสูงสง่า มีความน่าเกรงขามโดยมิต้องแสดงโทสะ ชุดกระโปรงชนเผ่านอกด่านที่ทอทับอยู่บนร่างคล้ายเปล่งประกายสีทองเจิดจรัสออกมาเช่นกัน… 

 

 

 


ตอนที่ 548

 

อยุติธรรม

 


 


 


 


หลินหว่านหรงนิ่งอึ้ง จากนั้นจึงส่ายหน้าพร้อมยิ้มหยันทันที “หากเป็นข่านทูเจวี๋ยพูดกับข้า ข้ายังจะเชื่ออยู่บ้าง แต่คุณหนูอวี้เจียเจ้าน่ะ…ขออภัยที่ข้าพูดตามตรง เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นหรือ?” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์มองเขาอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า “เจ้าไม่ต้องหลอกถามข้า พูดโน้มน้าวท่านข่านได้อย่างไรนั่นเป็นเรื่องของข้า แต่คำพูดที่อวี้เจียพูดไปแล้วจะต้องทำให้จงได้ ข้าขอรับประกันกับเจ้า นับจากนี้เป็นต้นไป ทุกแห่งที่ทหารอาชาเหล็กทูเจวี๋ยไปถึง จะไม่ฆ่าล้างบางเด็กและสตรีชาวต้าหัวเด็ดขาด อวี้เจียขอเทพแห่งทุ่งหญ้าเป็นพยาน” 


 


 


นางมีสีหน้าหนักแน่นแน่วแน่ น้ำเสียงฉะฉาน ยามเอ่ยถึงเทพแห่งทุ่งหญ้าก็ยิ่งจริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ ภายในดวงตาเปล่งประกายบางๆ ใช้เทพแห่งทุ่งหญ้าสาบานได้ น่าจะไม่ได้โกหก หลินหว่านหรงอึ้งเล็กน้อย ความสามารถของอวี้เจียคนนี้ อยู่เหนือจากที่เขาคิดไว้มากมายนัก ที่แท้นางมีสถานะอะไรกันแน่? เหมือนนับวันจะยิ่งประหลาดมหัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ  


 


 


ทั้งสองคนต่างไม่พูดไม่จา ภายในตัวรถพลันเงียบสงัดลงไป เสียงเพลารถขยับหมุนดังเอี๊ยดอ๊าดๆ ได้ยินอย่างชัดเจน อวี้เจียพูดจบก็หลับนัยน์ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย ขนตายาวกระเพื่อมเบาๆ ไปตามตัวรถ เหมือนจะหลับไปแล้ว 


 


 


ถูกการรบกวนของนางครั้งนี้ ความง่วงเหงาหาวนอนของหลินหว่านหรงสูญสลายไปจนหมดสิ้นไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงเลิกผ้าม่านแล้วลงจากรถทันที เดินไปทางพวกของเกาฉิวสองคน 


 


 


ทุ่งหญ้ายามราตรีเงียบสงัดสงบสุข ท้องนภาอยู่ใกล้ทุ่งหญ้ามากขนาดนี้ ราวกับท้องฟ้าจะร่วงหล่นใส่ยอดศีรษะคน หมู่ดาวอันเจิดจรัสระยิบระยับวับวาว เดินทอดน่องใต้ท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่ไพศาล แสงไฟอันเบาบางตกกระทบต้องใบหน้าเหล่านายทหาร คบเพลิงอยู่ห่างกระจัดกระจาย ทัพใหญ่ห้าพันนายเดินรุกคืบไปข้างหน้าต่อเนื่องทั้งคืน 


 


 


เกาฉิวมือชูเทียนขึ้นสูง ส่องแผนที่ที่อยู่ในมือหูปู้กุย “พื้นที่ระหว่างเขตแดนของชาวทูเจวี๋ยห่างไกลกันมาก บวกกับชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ถูกดึงตัวไปแนวหน้าแล้ว ด้วยเหตุนี้ต่อให้ข่าวเรื่องต๋าหลานจาถูกโจมตีจะแพร่ถึงหูชาวทูเจวี๋ยตั้งแต่แรก พวกมันคิดจะโยกย้ายกำลังพลให้เพียงพอเพื่อช่วยเหลือต๋าหลานจา นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายดายเช่นกัน ตามการคาดการณ์ของข้า อย่างเร็วที่สุดชาวทูเจวี๋ยก็ต้องใช้เวลาวันสองวันถึงจะรีบรุดมาถึงต๋าหลานจา และหากต้องการรู้สถานการณ์ให้แน่ชัด เวลาที่ใช้ก็ต้องนานมากยิ่งขึ้น มีเวลามากเพียงพอเช่นนี้ ทั้งยังอยู่บนทุ่งหญ้าอันไร้ขอบเขตแบบนี้อีก ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยมีความสามารถอันยิ่งใหญ่ก็ไม่มีทางกระทำการอย่างง่ายดายแน่ ฮิฮิ เหล่าเกา คราวนี้มีให้สู้แล้ว!” 


 


 


การศึกในคืนนี้ นอกจากเด็กและสตรี ชาวทูเจวี๋ยที่ถูกกำจัดมีถึงสี่พันกว่าคน ส่วนฝั่งเขากลับสูญเสียเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนี่เป็นศึกครั้งแรกของทหารม้าต้าหัวที่ล่วงลึกเข้าสู่ทุ่งหญ้าอันแสนจะลือลั่น เขี้ยวเล็บปรากฏเป็นครั้งแรก สะเทือนเลื่อนลั่นเป็นหนักหนา ทำให้เหล่านายทหารพึงพอใจ คึกคักอักโข แค้นใจที่ไม่อาจก่อกวนค่ายของชนเผ่านอกด่านอีกสักสิบที่ภายในอึดใจเดียว 


 


 


เหล่าเกาหัวเราะด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องหลายครั้ง “มารดามัน ชนเผ่านอกด่านพวกนี้ ดูตัวคนรูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับสู้ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนะ คืนนี้ข้าเพิ่งฟันไปได้สามสิบกว่าคนก็หมดแล้ว! พอมองดูบรรดาสตรีและเด็กน้อยเหล่านั้น ข้าก็ลงมือไม่ลงมารดามันจริงๆ ดูท่าว่าชาติหน้าไปเป็นเดรัจฉานจะดีกว่า” 


 


 


เจ้าคนนี้เป็นพวกที่เอารัดเอาเปรียบได้แล้วยังแกล้งทำเป็นไขสือของแท้เลยทีเดียว หูปู้กุยหัวเราะฮ่าๆ สองครั้ง ขณะที่หันหน้าไปก็เห็นหลินหว่านหรงกำลังเดินหาวมาทางนี้พอดี 


 


 


“เอ๊ะ น้องหลิน หลับนอนแล้วหรือ?!” เกาฉิวหน้าตาระรื่น ยิ้มอย่างมีเลศนัยและต่ำช้า พูดด้วยความหมายแฝงสองทาง  


 


 


เมื่อเห็นเจ้าคนลามกเช่นเหล่าเกาคนนี้ ความหงุดหงิดใจพลันลดลงไปมาก หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วตอบว่า “นอนอะไรกัน ข้าเป็นคนต่ำขนาดนั้นเลยหรือ?! พี่เกา นี่ท่านเพิ่งจะใสซื่อไปไม่กี่ชั่วยาว เหตุใดโรคเก่าถึงกำเริบอีกแล้วล่ะ?…พี่หู พวกท่านกำลังดูอะไรอยู่?!” 


 


 


หูปู้กุยผงกศีรษะ ชี้แผนที่พร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ข้าน้อยกำลังตรวจสอบแผนที่กับน้องเกาอยู่ขอรับ ตามการคาดการณ์ของข้า พวกที่ได้ข่าวแล้วมาช่วยเหลือก่อนน่าจะเป็นสองเขตแดนที่อยู่ใกล้อี้อู๋ ดูสิขอรับ ก็คือตรงนี้ ที่หนึ่งคือฮาเอ่อร์ เหอหลิน อีกที่คือเอ๋อจี้หนา กุนซือสวีต่างลงเครื่องหมายบนแผนที่แล้ว” 


 


 


อี้อู๋ตั้งอยู่ตีนเขาสือหลัวม่าน อยู่ติดกับทะเลแห่งความตายหลัวปู้ปั๋ว เป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางธรรมชาติระหว่างทุ่งหญ้าอาลาซ่านกับทะเลแห่งความตาย ส่วนสองดินแดนที่หูปู้กุยพูดมา จากเหนือจรดใต้ อยู่เป็นแนวเส้นตรงกับอี้อู๋พอดี ฮาเอ่อร์เหอหลินยังอยู่ห่างค่อนข้างไกล ส่วนเอ๋อจี้หนากลับตั้งอยู่ละแวกใกล้เคียงกับอี้อู๋ สองดินแดนนี้ตั้งเป็นสามเหลี่ยมกับต๋าหลานจา ต่างฝ่ายต่างคุมเชิงซึ่งกันและกัน 


 


 


แผนที่นี้ไม่รู้ว่าศึกษามากี่รอบแล้ว หลินหว่านหรงย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี หลับตาก็ยังวาดตำแหน่งของเขตแดนแต่ละแห่งได้ ดังนั้นจึงผงกศีรษะเล็กน้อย 


 


 


หูปู้กุยกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เมื่อคาดเดาจากสภาพของต๋าหลานจาคืนนี้ ฮาเอ่อร์เหอหลินกับอ๋อจี้หนาต้องเป็นเขตแดนขนาดใหญ่สองแห่งด้วยเช่นกัน จำนวนคนต้องไม่น้อยแน่นอน รบกันขึ้นมาก็ยิ่งเมามัน ท่านแม่ทัพ เป้าหมายต่อไปของพวกเราเลือกที่ใดดีขอรับ?” 


 


 


เกาฉิวมองเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังเช่นกัน รีบพูดขึ้นมาว่า “ใช่แล้วล่ะ น้องหลิน เจ้ารีบบอกมาเร็ว ก้าวต่อไปของพวกเราควรสู้ที่ไหนดี?!” 


 


 


นับตั้งแต่หูปู้กุยติดตามหลินหว่านหรง เข่นฆ่าชนเผ่านอกด่านราวกับหั่นผัก นี่ทำให้เขาเกิดความเชื่อถือและเทิดทูนหลินหว่านหรงโดยสมบูรณ์ คล้ายว่าหากมีแม่ทัพหลินออกโรง ความยากลำบากทุกสิ่งก็จะหายไป รู้ทั้งรู้ว่าดินแดนสองแห่งที่อยู่ใกล้อี้อู๋ต่างมีกำลังไม่เบา แต่เขากลับยังมั่นใจเปี่ยมล้น 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มขื่นแล้วตอบว่า “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านนึกว่าข้าเป็นเทพเซียนหรือ ชี้ไปที่ไหนก็สู้ที่นั่นได้?!” 


 


 


“น้องหลิน เจ้าไม่ใช่เทพเซียน…” เกาฉิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “…เทพเซียนองค์ไหนจะไปสู้เจ้าได้เล่า?!” 


 


 


ความสามารถในการเลียของเหล่าเการุดหน้าขึ้นไม่น้อยเลยนะ! หลินหว่านหรงส่ายหน้าพลางหัวเราะ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อันที่จริงไม่ขอปิดบังพี่ชายทั้งสอง ดินแดนทั้งหลายเหล่านี้จะเลือกยึดที่ใดก่อน ข้ายังไม่ได้คิดให้เรียบร้อยเลยจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตอนนี้แม้แต่ขนาดกับตำแหน่งของพวกมันก็ยังไม่แน่ชัด ข้าอยากจะลงมือก็ทำไม่ได้นา” 


 


 


นี่กลับเป็นความจริง ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ไม่อาจรบโดยปราศจากการเตรียมตัวได้ ก่อนจะรู้สภาพการณ์แน่ชัดก็มาให้แม่ทัพหลินตัดสินแผนการแล้ว นั่นออกจะปราศจากเหตุผลบ้างจริงๆ หูปู้กุยหัวเราะฮิฮะด้วยความกระดากใจ สีหน้าละอาย เหล่าเกาไร้ยางอายจนชินแล้ว หนังหน้าไม่แดงเลยสักนิด 


 


 


“เพียงแต่…เมื่อครู่พี่หูกล่าวถูกต้องมาก” หลินหว่านหรงหยุดชะงัก ผงกศีรษะแล้วพูดต่อไป “หากต้องการช่วยต๋าหลานจา ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือพื้นที่เหล่านี้ อันที่จริงก็เลือกไม่ยาก ใครยกทัพมาต๋าหลานจา ข้าก็รบกับผู้นั้น!” 


 


 


เกาฉิวบังเกิดปัญญาขึ้นมาโดยพลัน “ใช่ๆ ฉวยโอกาสช่วงที่รังของมันว่างเปล่า พวกเราลอบโจมตีมัน” 


 


 


“แต่เป้าหมายของพวกเราคืออี้อู๋…” หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามเบาๆ  


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ผิด เป้าหมายสุดท้ายของเราก็คืออี้อู๋ แต่ความลับนี้มีแค่พวกเราสามคนที่รู้ ชนเผ่านอกด่านไม่มีทางรู้ตัว ในสายตาของพวกมัน พวกเราคือทัพอันโดดเดี่ยวที่รุกล้ำทุ่งหญ้า ใช้การศึกเลี้ยงการศึก สู้เสร็จก็หนี เป้าหมายก็เพื่อสร้างความกระทบกระเทือนต่อขวัญกำลังใจของชาวทูเจวี๋ย หากพวกเรามาถึงก็เล็งไปที่อี้อู๋ กลับจะชักนำความสงสัยให้พวกมัน สร้างความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ก่อนพวกเราเข้าสู่อี้อู๋ให้สู้อย่างงดงามอีกสักหลาย ๆ ครั้งก่อน อย่างไรเสียจะได้คลายความสงสัยของพวกมันไปได้ จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ จูงจมูกชาวทูเจวี๋ยให้เดินไป ให้พวกมันเต้นเร่าด้วยความโกรธ…นอกจากพวกเรากันเองแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเราจะทำอะไร” 


 


 


“หากกล่าวเช่นนี้แสดงว่ายังมีศึกอีกหลายครั้งที่ต้องสู้?!” เกาฉิวถามด้วยความคึกคักอักโข 


 


 


“โดยพื้นฐานแล้วก็ใช่กระมัง” หลินหว่านหรงดวงตาสาดประกายดุร้าย สะบัดมือในบัดดล กล่าวหัวเราะฮิฮะว่า “ถ้าเป็นไปได้ ข้ากลับอยากขุดรากถอนโคนดินแดนสักหลายแห่ง ดูสิว่าชาวทูเจวี๋ยมันจะทำอะไรข้าได้” 


 


 


พูดแบบนี้ใจของแต่ละคนพลันเบิกบาน เมื่อเห็นแม่ทัพหลินมีปณิธานเช่นนี้ หูปู้กุยจึงผงกศีรษะด้วยความตื่นเต้นตลอดเวลา “ดี ควรเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยขอสาบานว่าจะติดตามจนวันตายขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงตบบ่าเขาพร้อมหัวเราะ ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “ที่จริงสิ่งที่ข้ากังวลมากที่สุดตอนนี้ไม่ใช่ดินแดนหลายแห่งในละแวกใกล้เคียงอี้อู๋ แต่เป็นทหารม้าทูเจวี๋ยจำนวนสองหมื่นที่พวกเราหลอกให้ไปอู่หยวนนั่นต่างหาก” 


 


 


หูปู้กุยตกใจในบัดดล หากไม่ใช่หลินหว่านหรงเอ่ยขึ้นมา เขาแทบจะลืมเรื่องนี้ไปสนิท “ท่านแม่ทัพ ท่านกังวลว่าหลังจากพวกมันดูแผนการของพวกเราออกแล้วจะย้อนกลับมาไล่ตามพวกเราหรือขอรับ?!” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “พวกมันมาเพราะข้า กาย้อนกลับมานั้นแน่นอน เพียงแต่เป็นเรื่องของเวลาไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น โชคยังดีที่ข้ายังชิงลงมือก่อน!” 


 


 


เห็นเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หูปู้กุยจึงอดถามไม่ได้ “ลงมือก่อนอะไรหรือขอรับ?!” 


 


 


“พี่หูลืมแล้วหรือ?!” หลินหว่านหรงกะพริบตา “คืนนี้พวกเราปล่อยเด็กและสตรีไปสามพัน พวกนางไปที่ปาเยี่ยนเฮ่าเท่อ…” 


 


 


เกาฉิวที่อยู่ด้านข้างกะพริบตา กล่าวด้วยความตกใจขึ้นมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว ชาวทูเจวี๋ยสองหมื่นนี้เดินทางรอนแรมทั้งวัน หิวเหนื่อยอิดโรย น้องหลินเจ้าใช้เด็กและสตรีจำนวนสามพันที่หิวโหยนี้ดึงลากพวกมันไว้ ให้พวกมันจะสลัดก็สลัดไม่หลุด จะเดินทางก็เดินทางไม่ได้ ทั้งยังทำให้ชื่อเสียงของเจ้าแพร่ออกไปอีก…สูงส่ง ช่างสูงส่งเสียจริงนะ!” 


 


 


หลินหว่านหรงยกมือขึ้นพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “ในทหารม้าสองแสนนี้มีผู้สูงส่งอยู่ หลายวันก่อนเกือบจะจับผิดแผนการของพวกเราได้ ไม่แน่ว่าคราวนี้มันก็ต้องสงสัยเป้าหมายในการปล่อยคนของข้าเช่นกัน และต้องคิดสะเปะสะปะอะไรไปด้วย ยืดเวลาไปได้ไม่กี่วันก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยกระมัง” 


 


 


คนทั้งหลายหัวเราะกันครู่หนึ่ง ตัดสินใจเป็นแม่นมั่นแล้ว ออกเดินทางร้อยกว่าลี้ภายในชั่วอึดใจเดียว จากนั้นถึงปักหลักตั้งค่ายก็เป็นเวลาเกือบถึงยามสองแล้ว  


 


 


หลินหว่านหรงสัมผัสได้ว่าสถานะของอวี้เจียนั้นไม่ธรรมดายิ่ง ดังนั้นจึงเฝ้าคุมนางด้วยความเข้มงวดกวดขันเป็นพิเศษ เมื่อตั้งกระโจมเรียบร้อยก็ลากนางเข้ากระโจมตนเองโดยปราศจากความลังเล  


 


 


อวี้เจียสีหน้าแปรเปลี่ยนเร็วรี่ กล่าวด่าทอด้วยโทสะ “เจ้าทำอะไร?! ห้ามแตะต้องข้า” 


 


 


“ถ้าข้าอยากแตะต้องเจ้าจริง เจ้าจะทำอะไรได้?!” หลินหว่านหรงมองประเมินนางตั้งแต่หัวจรดเท้า หัวเราะร่วนพร้อมพูดว่า “กัดลิ้น? ผูกคอตาย? หรือว่าแทงท้อง?!” 


 


 


เมื่อนึกถึงเรื่องที่เจ้าโจรผู้นี้เคยข่มขู่ ต่อให้ตัวเองตายก็ไม่มีวันจากไปอย่างสงบ อวี้เจียกัดฟันกรอดหน้าขาวซีด ผ่านไปเนิ่นนานก็ไม่ส่งเสียงออกมาสักแอะเดียว 


 


 


หลินหว่านหรงยกมืออย่างดูแคลน “หรือว่าคนในสายตาเจ้าล้วนเป็นเดรัจฉาน? ขี้เกียจจะพูดกับเจ้าแล้ว! ตอนนี้มีเตียงทหารอยู่หลังหนึ่ง ยังมีพื้นหญ้าอันกว้างขวาง เจ้าต้องการนอนที่ใด?!” 


 


 


“ข้าไม่นอนที่ไหนทั้งนั้น ข้ามีรถม้าของตัวเอง…” อวี้เจียตอบอย่างเดือดดาล 


 


 


“รถม้า?!” หลินหว่านหรงแค่นเสียง ควักดาบโค้งสีทองออกมาจากอก กลับชิงมาจากมืออวี้เจียตอนที่มัดนาง เขานำคมดาบของดาบทองซึ่งเปล่งประกายวิบวับนั้นกรีดผ่านใบหน้าสาวน้อยทูเจวี๋ยเบาๆ สองครั้ง พูดอย่างเย็นชาว่า “ลืมบอกเจ้าไปคุณหนูอวี้เจีย รถม้าของเจ้าถูกพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บของข้าใช้งานไปแล้ว” 


 


 


เห็นเขาเอาดาบทองมาทำท่ากรีดไปมาอยู่ตรงหน้าตน หัวเราะอย่างต่ำช้ายิ่งนัก อวี้เจียโกรธจนหน้าซีด “เอาดาบทองคืนมาให้ข้า เจ้า…เจ้าชาวต้าหัวป่าเถื่อน!” 


 


 


“ป่าเถื่อน?! ข้ายังป่าเถื่อนกว่าชาวทูเจวี๋ยอีกหรือ?!” หลินหว่านหรงหัวเราะร่วน ยกดาบทองเสียงดังขวับ คมดาบอันคมกริบนั้นตัดปอยผมงามข้างใบหูอวี้เจียปอยหนึ่ง ดุร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้ “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังอารมณ์ดีของถามอีกรอบ คุณหนูอวี้เจีย เจ้าจะนอนบนพื้นหญ้าหรือว่านอนเตียง?! ถ้าเจ้าไม่ตอบ คืนนี้เจ้าก็นอนบนหลังม้า!” 


 


 


“เจ้านึกว่าอวี้เจียจะกลัวเจ้าหรือ?!” สาวน้อยทูเจวี๋ยถลึงตามองเขา กัดฟันกรอดพร้อมเอ่ยว่า “ข้านอนเตียง!” 


 


 


“เอ๊ะ สายตาไม่เลวเลยนี่นา รู้ว่าเตียงหลังนี้ข้าเคยนอนมาก่อน! เช่นนั้นก็ดี นอนด้วยกัน นอนด้วยกัน!” โจรยังพูดไม่ทันจบ สาวน้อยทูเจวี๋ยก็ตกใจยกใหญ่ “ข้าไม่นอนเตียงของบุรุษ ข้า…ข้านอนพื้นหญ้า!” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ยากนักที่เจ้าจะเอาใจใส่เช่นนี้ ยังรู้ตัวว่าเป็นเชลยอยู่บ้าง เอาเถอะ พื้นหญ้านี้เป็นของเจ้า จริงๆ เลยนะ ไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงเป็นฝ่ายเริ่มขอนอนบนพื้นหญ้ามาก่อน คิดจะไม่รับปากก็คงยาก!” 


 


 


เจ้าคนนี้ที่แท้เป็นวีรบุรุษต้าหัวหรืออันธพาลต้าหัวกันแน่?! ถูกเขาบีบจนไม่อาจทนได้อีก อวี้เจียพลันรู้สึกงุนงง นับตั้งแต่แต่สัมผัสและปะทะกันในช่วงหลายวันมานี้ แรกสุดนางเป็นฝ่ายได้เปรียบแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาสองฝ่ายเสมอกัน จากนั้นกลับเป็นโจรต้าหัวที่ครอบครองการเป็นฝ่ายกระทำ เจ้าโจรหน้าดำคนนี้คล้ายเจอคนอ่อนแอไม่อ่อนแอ เจอคนแข็งแกร่งกลับยิ่งแข็งแกร่ง ทำให้คนยากจะคาดเดา 


 


 


หลินหว่านหรงบิดขี้เกียจ หาวต่อเนื่องออกมาหลายครั้ง ล้มตึงนอนหงายอยู่บนเตียงทหาร พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาอย่างสบายอารมณ์ ไม่ไต่ถามสตรีทูเจวี๋ยที่อยู่ข้างกาย เหมือนนางเป็นอากาศธาตุ 


 


 


กระโจมทหารก็แค่ใช่บังลมกันฝนเท่านั้น พื้นยังคงเป็นพื้นหญ้าโล่งๆ อวี้เจียกัดฟันกรอดแล้วนอนลงบนพื้นหญ้า รู้สึกหนาวเย็นเสียดแทงกระดูก น้ำค้างซึมผ่านชุดกระโปรงอันเบาบางไปถึงกายเนื้อ ทำให้นางอดตัวสั่นไม่ได้ เริ่มหนาวเย็นไปทั้งร่าง การนอนอยู่บนพื้นหญ้าเช่นนี้ทั้งคืน ต่อให้เป็นคนที่ห้าวหาญอีกสักเพียงใดก็ทนไม่ไหวเช่นกัน 


 


 


นางอดมองหลินหว่านหรงคราหนึ่งไม่ได้ เห็นเพียงเจ้าโจรนั่นนอนอยู่บนเตียง ในมือยังกุมดาบทองซึ่งเดิมทีเป็นของตนไว้อีกด้วย สองตาหลับสนิท หายใจสม่ำเสมอ กลับค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา 


 


 


ขอเพียงเจ้าโจรนี่ไม่ทำเรื่องเลวร้ายอื่นใดอีก นั่นถือว่าเทพแห่งทุ่งหญ้าคุ้มครองแล้ว ยังจะอ้อนวอนอะไรได้อีก? สาวน้อยทูเจวี๋ยสองตาเปียกชื้น ฝืนสะกดกลั้นความรู้สึกอยุติธรรมภายในใจ กำมือแน่น กัดฟันกรอดอย่างดื้อดึง ค่อยๆ หลับตาลง…… 

 

 

 


ตอนที่ 549

 

 เจ้าทำอะไรกับข้า

 


 


 


 


“ท้องฟ้าสีคราม เมฆขาวลอยล่อง ใต้เมฆขาวม้าวิ่งห้อตะบึง โบกสะบัดแส้ดังไปทั่วทิศ เหล่าสกุณาสยายปีกบินพร้อมเพรียงกัน” 


 


 


เสียงเพลงดังฟังชัดกระจ่างใสกรีดผ่านความเงียบสงบบนทุ่งหญ้ายามเช้าตรู่ เสียงนั้นกับคำว่าไพเราะสองพยางค์อยู่กันคนละฟากฝั่งโดยสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่พอจะพูดได้ก็คือยังถือว่าห้าวหาญอยู่บ้าง 


 


 


คล้ายถูกเสียงเพลงนี้ดึงดูด ไม่รู้ว่ามีนกจาบฝนแห่งทุ่งหญ้าหลายตัวบินมาจากที่ใด บินวนส่งเสียงจิ๊บๆ เหนือขบวน โบยบินเริงร่า ดวงตะวันแรกอรุณสาดทอลำแสงสีแดงไปทั่ว ส่องใบหน้าอันวัยเยาว์ของเหล่านายทหาร น้ำค้างใสบริสุทธิ์เกาะอยู่บนเส้นผม ใบหน้า กระจ่างสุกใสเป็นพิเศษ 


 


 


หลินหว่านหรงขี่อยู่บนหลังม้า ร้องเพลงเสียงดังมาตลอดทาง ที่ร้องคือเพลงประหลาดที่คนอื่นฟังไม่เข้าใจหลายเพลง ทว่ากลับติดปาก ฟังแล้วก็ร้องได้ ทหารห้าพันเดินทางอย่างแช่มช้าตลอดทาง มองดูท่าทางสบายอารมณ์ของเขา ฟังเสียงดังเป็นพิเศษของเขา เพลงเสียงเพี้ยนของเขา ต่างอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้…เสียงฆ้องแตกแบบนี้ก็กล้ามาแสดงด้วย?! แต่เขาก็ยังร้องไม่หยุดอยู่ดี ทุกคนสนุกสนานจนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกเขาแพร่เชื้อด้วย หลุดพ้นออกมาจากเรื่องการทำศึกโดยไม่รู้ตัว กลับคืนสู่ห้วงอารมณ์แห่งความสุข สภาพจิตใจของทุกคนผ่อนคลายลง ความรู้สึกรื่นเริงยินดีแพร่ไปสู่ทุกคน ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่นี้คล้ายกลายเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของพวกเขา 


 


 


“น้องหลิน เหมือนว่าวันนี้จะอารมณ์ดีไม่เลวเลยนะ หรือว่าเมื่อคืนได้แล้ว?!” เหล่าเกานั่งคร่อมอยู่บนม้า ฟังน้องหลินฮึมฮัมเพลงเพี้ยน จึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้ 


 


 


หูปู้กุยมองเขาอย่างระแวดระวังคราหนึ่ง พูดกดเสียงต่ำว่า “ได้ไม่ได้ข้าไม่รู้ แต่ระดับในการร้องเพลงของท่านแม่ทัพ…เอ่อ ต้องพัฒนาขึ้นจริงๆ เหล่าเกา เจ้าขวัญกล้า จะขอให้เจ้าไปพูดกับเขาได้หรือไม่ เหล่าพี่น้องใกล้จะตั้งค่ายก่อไฟกินข้าวแล้ว…เช่นนั้น จะขอให้ท่านแม่ทัพหยุดชั่วคราวได้หรือไม่?!” 


 


 


“ท่านกล้ารังเกียจน้องหลิน?!” เหล่าเกากล่าวระคนหัวเราะ “เขาร้องเพลง แสดงว่าเขามีความมั่นใจว่าจะทำงานใหญ่ได้ แบบนี้พวกเราถึงวางใจนะ…จะว่าไป ความสามารถในการร้องเพลงของน้องหลินนี้มันช่างไม่ได้ความเสียจริง ห่างไกลจากคณิกาที่แปดหูถ้งใหญ่ไกลลิบ เพียงแต่ก็ควรรู้จักพอแล้ว ฟังคณิการ้องเพลงต้องจ่ายเงิน แต่ฟังน้องหลินร้องเพลง ไม่แน่ว่าเขากลับหาเงินได้ด้วย ฮ่าๆ!” 


 


 


ทั้งสองหัวเราะกันอย่างสกปรกต่ำช้าหลายครา ถือเป็นการหาความสุขให้ตัวเอง รู้สึกมีความสุขไปชั่วขณะเช่นกัน  


 


 


มีทหารม้านายหนึ่งขี่ห้อตะบึงมาแต่ไกล รีบหยุดอยู่ตรงหน้าหลินหว่านหรง เป็นหน่วยลาดตระเวนที่ส่งออกไปเมื่อคืนนั่นเอง เพื่อความปลอดภัย เมื่อคืนก่อนโจมตีต๋าหลานจา เขาหารือกับหูปู้กุย ส่งไพร่พลจำนวนหนึ่งออกไปสืบข่าวข้างหน้า คิดไม่ถึงว่าจะมีข่าวกลับมาเร็วขนาดนี้ 


 


 


ทหารนายนั้นเช็ดเหงื่อชุ่มโชกบนหน้าผาก รีบพูดขึ้นมาว่า “เรียนแม่ทัพ ข้างหน้าออกไปสามสิบลี้พบทหารม้าของชนเผ่านอกด่านขอรับ” 


 


 


“อ้อ?!” หลินหว่านหรงดวงตากระจ่างวูบ “มาจากที่ใด? มีกี่คน?!” 


 


 


หูปู้กุยกับเกาฉิวเมื่อได้ยินว่าพบร่องรอยของชนเผ่านอกด่านก็กรูเข้ามาตั้งแต่แรก ได้ยินหน่วยลาดตระเวนนายนั้นกล่าวรายงานว่า “ท่าทางว่ามีถึงสองพันกว่าคน แต่ไม่ถึงสามพันคนขอรับ ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าชนเผ่านอกด่านพวกนี้มาจากที่ใด แต่ตามการคาดเดาของข้าน้อย เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นไพร่พลซึ่งส่งมาจากฮาเอ่อร์เหอหลินหรือไม่ก็เอ๋อจี้น่าที่อยู่ข้างหน้าขอรับ” 


 


 


“ฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า?” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืม ผงกศีรษะแล้วเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้ พวกเจ้าหาตำแหน่งของดินแดนทั้งสองได้หรือไม่?” 


 


 


ทหารนายนั้นส่ายหน้าด้วยสีหน้าละอายใจ “เนื่องจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของทหารม้าทูเจวี๋ยกลุ่มนี้ พวกของข้าน้อยจึงไม่กล้าเดินหน้าอย่างบุ่มบ่าม ตอนนี้ยังไม่อาจยืนยันตำแหน่งที่แน่ชัดของสองดินแดนนี้ได้ขอรับ” 


 


 


กลุ่มย่อยของหน่วยลาดตระเวนมีแค่สิบกว่าคน เมื่อเผชิญกับทหารม้าฝ่ายศัตรูกลุ่มใหญ่ซึ่งโผล่มากะทันหันแบบนี้จึงทำได้แค่หลบหลีก นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ หลินหว่านหรงมองหูปู้กุยแล้วถามว่า “พี่หู ท่านรู้สึกว่าสองพันกว่าคนนี้มาจากที่ใด?” 


 


 


เหล่าหูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผงกศีรษะแล้วตอบว่า “เมื่อทอดสายตามองไปรอบต๋าหลานจา ทั้งต้องทิ้งไพร่พลจำนวนมากไว้เพื่อเฝ้าดินแดน ทั้งยังออกมาช่วยเหลือดินแดนใกล้เคียงได้ด้วย ก็มีแค่ฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่าถึงมีอำนาจทำเช่นนี้ ข้าน้อยคิดว่าไพร่พลที่ไม่ถึงสามพันนี้ บนทุ่งหญ้าไม่ถือว่ามาก แต่ก็ไม่น้อยแน่นอน ต้องเป็นเพราะสองดินแดนนี้ได้รับข่าวการโจมตีต๋าหลานจาถึงส่งไพร่พลออกมา พี่น้องที่อยู่ข้างหน้าบังเอิญพบทหารม้าของชนเผ่านอกด่าน เมื่อมองจากจุดนี้ หน่วยลาดตระเวนของเราอาจไปถึงเขตแดนรอบนอกของสองดินแดนนี้ก็เป็นได้ ตอนนี้ทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาต้องทำอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวทูเจวี๋ยรู้สึกตัวขอรับ” 


 


 


การวิเคราะห์ของหูปู้กุยสมเหตุและผล หลินหว่านหรงผงกศีรษะเห็นด้วย “พี่หู เช่นนั้นตามการวิเคราะห์ของท่านแล้ว หากพวกเราไม่เปลี่ยนทิศทาง เดินตรงไปเช่นนี้เรื่อยๆ ชนเผ่านอกด่านสองพันกว่าคนนี้จะเจอพวกเราเมื่อไหร่?!” 


 


 


เหล่าหูยกนิ้วนับอยู่นาน จากนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “นี่ก็พูดยาก เพราะชาวทูเจวี๋ยไม่รู้สถานการณ์ของต๋าหลานจากับพวกเราแม้แต่น้อย มันไม่น่าจะบุ่มบ่ามเข้ามา ถ้าสองทัพบังเอิญเจอกัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องยามสนธยาของวันนี้ ตอนพระอาทิตย์ตกดินขอรับ” 


 


 


“เช่นนั้นก็ไม่กี่ชั่วยามแล้วสิ” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ “ชาวทูเจวี๋ยพวกนี้ช่างมารวดเร็วนัก ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน ไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะถึงต๋าหลานจาแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยโบกมือ หัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนนั้นเป็นไปไม่ได้ขอรับ ต่อให้ชนเผ่านอกด่านทนได้ แต่ม้าศึกก็ทนไม่ได้ ชนเผ่านอกด่านมีความเคยชินกับการเดินทางกลางวันพักผ่อนกลางคืน นั่นเพราะต่อให้ม้าทูเจวี๋ยวิ่งเดินทางรวดเร็ว วันหนึ่งเดินทางได้เป็นพันลี้ แต่การเคลื่อนที่อย่างรุนแรงเช่นนี้จะทำให้มันสูญเสียกำลังกายไปมาก แค่อาศัยหญ้าป่าบนทุ่งหญ้าอาลาซ่านแห่งนี้ นั่นไม่พอเลยสักนิด ทุกคืนจะต้องป้อนหญ้าเสบียงและน้ำดื่มให้กับม้าศึกขอรับ” 


 


 


หลินหว่านหรงอ้อเบาๆ สองตาอดหรี่ลงไม่ได้ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่  


 


 


เกาฉิวฟังพวกเขาสองคนสนทนากันอยู่ด้านข้างมานาน จึงอดหัวเราะแล้วพูดขึ้นมาไม่ได้ “ส่งคนมาเกือบสามพันคนภายในชั่วประเดี๋ยวเดียวได้ นี่เป็นดินแดนไหนที่มีทุนรอนมากขนาดนี้? ข้าเดาว่าที่ค่ายใหญ่ของพวกมันจะต้องว่างเปล่า พวกเราไปวางเพลิงปล้นค่ายได้พอดี!” 


 


 


เจ้าเหล่าเกาติดตามข้าก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว แล้วเหตุใดปัญญาถึงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยสักนิดเลยนะ?! หลินหว่านหรงหัวเราะพร้อมส่ายหน้า “พี่เกา หากท่านคิดเช่นนี้ เช่นนั้นเกรงว่าคงหลงกลเข้าแล้วล่ะ” 


 


 


“หลงกล?!” เกาฉิวเบิกตาโพลงทันที “เพราะเหตุใด?!” 


 


 


เจ้าคนนี้เวลาว่างก็ชอบศึกษาตำราภาพชุนกง ไม่ยอมเสียเวลาศึกษาตำราพิชัยสงครามให้มาก หลินหว่านหรงใบหน้าเต็มไปด้วยความอับจนปัญญา กลับเป็นหูปู้กุยที่พูดต่อ “น้องเกา เจ้าดูถูกชนเผ่านอกด่านเกินไปแล้ว ถ้าพวกเราคาดไม่ผิด เกือบสามพันนี้น่าจะเป็นทัพผสมระหว่างฮาเอ่อร์เหอหลินกับเอ๋อจี้น่า” 


 


 


“ทัพผสม?!” 


 


 


“ไม่ผิด!” หูปู้กุยผงกศีรษะด้วยสีหนาจริงจัง “น้องเกา ลองคิดดู หากเจ้าเป็นหัวหน้าของชนเผ่านอกด่าน แบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการปกป้องดินแดน แต่กลับยังต้องออกมาช่วยคนอีก…เจ้าจะส่งไพร่พลออกมากี่ส่วน?” 


 


 


“อย่างมากก็แค่สามส่วน!” เกาฉิวกล่าวหนักแน่น 


 


 


“นี่ก็ถูกแล้ว เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน ไม่ว่าดินแดนใดหากส่งไพร่พลประมาณสามพันเพื่อมาช่วยต๋าหลานจา มันต้องมีชายฉกรรจ์จำนวนแปดพันถึงหนึ่งหมื่นคนเป็นหน่วยระวังหลัง ในช่วงที่ชนเผ่านอกด่านโจมตีช่องเขาเฮ่อหลานซานอย่างเต็มกำลัง มีดินแดนไหนบ้างที่จะยังรักษาชายฉกรรจ์จำนวนมหาศาลราวหมื่นคนได้?! นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้คนสองพันกว่าคนนี้จะต้องเป็นทัพผสมระหว่างสองดินแดน และตามการคาดการณ์ของข้า ที่เอ๋อจี้น่ากับฮาเอ่อร์เหอหลิน ภายในค่ายใหญ่ของแต่ละแห่งยังมีทหารม้าชนเผ่านอกด่านอีกราวสี่พันกว่านาย หากคิดลอบโจมตีอย่างง่ายดายเช่นต๋าหลานจานั้น เกรงว่าคงไม่สำเร็จแล้ว” เหล่าหูถอนหายใจ รู้สึกอับจนปัญญาอยู่บ้าง 


 


 


เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้เหล่าเกาจึงเข้าใจจนหมดสิ้น เป็นเช่นที่หูปู้กุยว่าไว้จริง ชนเผ่านอกด่านนั่นไม่ใช่ไอ้โง่เสียหน่อย แล้วความผิดพลาดเช่นต๋าหลานจาจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองได้อย่างไร 


 


 


“เช่นนั้นตอนนี้จะทำอย่างไร? จะสู้หรือไม่สู้กันแน่?!” เกาฉิวใบหน้าเต็มไปด้วยความเดือดดาล กล่าวด้วยความรู้สึกลังเลอยู่บ้าง หูปู้กุยใช้สายตาคาดหวังมองแม่ทัพหลินเช่นเดียวกัน รอคอยให้เขาออกความเห็น 


 


 


หลินหว่านหรงหลับตาลงเล็กน้อย ตั้งสติขบคิด จากการวิเคราะห์ของหูปู้กุยก็มองออก ไม่ว่าจะเป็นเอ๋อจี้น่าหรือว่าฮาเอ่อร์เหอหลิน ขนาดและจำนวนคนต่างมากกว่าต๋าหลานจาหลายเท่า หากต้องการโจมตีอย่างรุนแรง ด้วยไพร่พลห้าพันนี้ไม่อาจครองความได้เปรียบโดยสมบูรณ์ได้ แม้จะทลายดินแดนของชนเผ่านอกด่านได้ ทว่าฝ่ายตนเองก็ต้องสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน และในสถานการณ์ที่ปราศจากกำลังเสริมนี้ ทหารห้าพันนี้คือสมบัติที่ล้ำค่ามากที่สุด ยังมีเรื่องที่ใหญ่กว่านี้รอคอยให้พวกเขาไปทำอยู่ ไม่ควรเสียสละโดยไร้ค่าเด็ดขาด เพียงแต่หากต้องเดินทางอ้อมเพื่อมุ่งตรงไปยังราชธานีของชนเผ่านอกด่าน อี้อู๋นี้เป็นทางที่ต้องผ่าน ต่อให้ไม่กำจัดฮาเอ่อร์เหอหลิน ก็ต้องยึดเอ๋อจี้น่าที่อยู่ติดอี้อู๋อยู่ดี 


 


 


เขาครุ่นคิดอยู่นาน ทันใดนั้นก็เลิกหัวคิ้วขึ้น ดวงตาสาดประกายคมปลาบ โบกมืออย่างดุดัน “สู้ ต้องสู้แน่! พี่หูสั่งการให้พี่น้องที่อยู่ข้างหน้าเพิ่มการระวังป้องกัน รายงานร่องรอยของชนเผ่านอกด่านที่มาช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ” 


 


 


“น้องหลิน ความหมายของเจ้าคงไม่ใช่ว่าจะจัดการสองพันกว่าคนนี้ก่อนนะ?” เกาฉิวถามด้วยความตื่นเต้นยินดี 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึม หูปู้กุยขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยว่า “หากต้องการจัดการพวกมัน เกรงว่าคงไม่ง่ายดาย สาเหตุที่เมื่อคืนพวกเราลอบโจมตีต๋าหลานจาสำเร็จเป็นเพราะชนเผ่านอกด่านไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย บวกกับพวกมันมีเด็กและสตรีเป็นภาระ ดังนั้นถึงถูกพวกเรากำจัดอย่างสบาย แต่ชนเผ่านอกด่านสองพันกว่าคนนี้เคลื่อนไหวคล่องตัว หากคิดจะโอบล้อมพวกมันโดยไม้ให้รู้ตัวโดยสิ้นเชิงนั้นยากยิ่งนัก หากพวกเราเผยพิรุธเพียงเล็กน้อยก็จะถูกพวกมันพบเห็น พวกมันอาจเปลี่ยนทิศทางแล้วจากไปได้ บนทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ หากชนเผ่านอกด่านคิดหลบหนี ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่ ผู้นำของสองดินแดนนี้ถึงได้กล้าส่งพวกมันมาช่วยต๋าหลานจาอย่างวางใจ” 


 


 


ความคิดของเหล่าหูไม่ใช่จะไร้เหตุผล หลินหว่านหรงหัวเราะแล้วพูดว่า “พี่หูพูดถูกมาก หากชาวทูเจวี๋ยคิดหลบหนี ไม่ว่าใครก็ขวางไม่อยู่แน่นอน แต่ว่านะ ถ้าชาวทูเจวี๋ยปราศจากม้า ท่านว่าพวกมันจะยังหนีได้หรือไม่?” 


 


 


“ชาวทูเจวี๋ยปราศจากม้า นั่นเท่ากับเสือที่ถูกถอดเขี้ยว หนีไม่ได้แน่นอน! แต่ชาวทูเจวี๋ยจะปราศจากม้าได้อย่างไรกันล่ะขอรับ?!” หูปู้กุยถามอย่างไม่เข้าใจ 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่หู ท่านเคยพูดแล้ว ม้าทูเจวี๋ยเดินทางวันหนึ่งได้เป็นพันลี้ แต่ก็ต้องรับประกันเรื่องหญ้าเสบียงและน้ำด้วย!” 


 


 


“เป็นเช่นนี้ขอรับ” เหล่าหูรีบผงกศีรษะ 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะอย่างเจ้าเล่ห์พลางตบบ่าเกาฉิว “ดีมาก ดีมาก! ถึงเวลาพี่เกาวีรบุรุษผู้กล้าไร้เทียมทานของพวกเราออกโรงแล้ว!” 


 


 


เมื่อสั่งการเรื่องที่ควรสั่งชัดเจนเรียบร้อยถึงมีเวลาไปเยี่ยมหลี่อู่หลิง อวี้เจียถูกเขามัดนั่งอยู่บนเพลารถ เป็นสารถีชั่วคราว ในใจรู้สึกตัดพ้อและเคียดแค้นระคนกัน เมื่อเห็นเขาจึงทำเพียงแค่นเสียงเย็นชาแล้วเบือนหน้าไป 


 


 


“ถึงเวลารักษาช่วยคนแล้ว หมอเทวดาเชิญตามข้ามาเถอะ!” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางปลดเชือกที่มัดมือนางออก นำเข้าไปในรถม้า เห็นชัดว่าสีหน้าของหลี่อู่หลิงดีขึ้น ลมหายใจค่อยๆ สงบแช่มช้า บาดแผลภายนอกบริเวณหน้าอกเริ่มสมานตัว ตัวยาที่เยวี่ยหยาเอ๋อร์ใช้ออกฤทธิ์อัศจรรย์ไม่ธรรมดาจริงดังคาด 


 


 


อวี้เจียเข้ามาในรถม้า บนมือน้อยขาวสะอาดมีรอยช้ำสองสายปรากฏให้เห็นเด่นชัด หลินหว่านหรงจ้องมือนางแล้วพูดว่า “เอ๊ะ ได้รับบาดเจ็บนี่ หมอเทวดา ขาทางยากให้เจ้าบ้างก็แล้วกันนะ” 


 


 


“ไม่รบกวนการดูแลจากใต้เท้าอัวเหล่ากง” สาวน้อยทูเจวี๋ยใบหน้าเย็นชา ถึงกระนั้นกลับเริ่มตรวจอาการบาดเจ็บของหลี่อู่หลิง เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตเสี่ยวหลี่จื่อ หลินหว่านหรงไม่กล้าชะล่าใจเช่นกัน จ้องสีหน้าเยวี่ยหยาเอ๋อร์เขม็ง ตรวจสอบปฏิกิริยาของนาง 


 


 


ฟังชีพจรของหลี่อู่หลิง พลิกดูเปลือกตาของเขา จากนั้นก็ตรวจดูรอบบาดแผลอย่างละเอียด อวี้เจียยกมือขึ้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่เป็นไร!” 


 


 


สามพยางค์แค่นี้? น้อยเกินไปหรือเปล่า! หลินหว่านหรงร้อนใจกำลังจะเอ่ยถาม สาวน้อยทูเจวี๋ยก็พูดเรียบๆ ออกมาว่า “…เจ้าไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว ข้าบอกได้แค่ว่าอาการของเขากำลังดีขึ้นทีละน้อย ส่วนจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าไม่รู้เช่นกัน” 


 


 


นางถูกจับตัว แต่ก็เป็นหมอด้วย หลินหว่านหรงร้อนใจไปก็ช่วยไม่ได้ โชคยังดีที่แม้หลี่อู่หลิงจะไม่ฟื้นขึ้นมาชั่วคราว แต่การดีขึ้นของอาการบาดเจ็บนั้นทุกคนกลับมองเห็นได้ ต้องมีสักวันที่เขาก็กระโดดโลดเต้นปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคน หลินหว่านหรงเชื่อมั่นเรื่องนี้ 


 


 


พาอวี้เจียออกมา ขณะกำลังจะกระโดดลงจากรถม้า เยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่บนรถพลันเอ่ยปากขึ้นมา “เจ้าโจร ข้าขถามเจ้าเรื่องหนึ่ง” 


 


 


“อย่ามาตั้งชื่อเล่นให้ข้าตามใจชอบได้หรือไม่?” หลินหว่านหรงหันหน้ากลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิดโมโห “เจ้าเรียกชื่อภาษาทูเจวี๋ยของข้า ไม่ใช่ดีมากแล้วหรือ?” 


 


 


อวี้เจียจ้องตาเขา กัดฟันกรอดแล้วพูดว่า “เมื่อคืนเห็นๆ อยู่ว่าข้านอนอยู่นพื้นหญ้า แล้วทำไมเช้านี้พอตื่นขึ้นมากลับนอนอยู่บนเตียงเจ้า เจ้า…” 


 


 


นางหน้าแดงเล็กน้อย คำพูดด้านหลังยังพูดไม่จบ ภายในดวงตาก็รากฎเพลิงโทสะแล้ว “เจ้า…เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่?” 

 

 

 


ตอนที่ 550

 

 ชนเผ่านอกด่านที่หลบหนี

 


 


 


 


หลินหว่านหรงถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนูอวี้เจียเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่น่ะ? คลุมเครือจริง ข้าฟังไม่ค่อยเข้าใจ พอจะอธิบายให้มันละเอียดสักหน่อยได้หรือไม่?!” 


 


 


โจรถ่อยหน้าตาเต็มไปด้วยความเที่ยงตรง กะพริบตาปริบๆ เหมือนจำไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง เยวี่ยหยาเอ๋อร์อายและหงุดหงิดยากจะทานทน น้ำตากระจ่างใสคลอเบ้า กล่าวด้วยความเดือดดาล “จะ…เจ้ายังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก? เหตุใดเช้าวันนี้พอข้าตื่นขึ้นมาก็นอนอยู่บนเตียงเจ้า? เจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่?!” 


 


 


“ใช่แล้วล่ะ เหตุใดเจ้าถึงนอนบนเตียงของข้า?” หลินหว่านหรงเบิกตาโพลง “คุณหนูอวี้เจีย ต่อให้มีเรื่องเช่นนี้ แต่คนที่ต้องอธิบายก็ควรเป็นเจ้ากระมัง เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าปีนขึ้นเตียงข้า แล้วเหตุใดถึงโยนมาที่ข้าได้…” 


 


 


“เจ้าพูดจาเหลวไหล ข้า ข้าจะไปขึ้น ขึ้น…” เมื่อเห็นเขาพูดจาพูดจาพลิกลิ้น เยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็โมโหจนหน้าแดง ท่าทางหงุดหงิดโมโหช่างงดงามยิ่งนัก 


 


 


สาวน้อยทูเจวี๋ยคนนี้บางครั้งก็ฉลาด บางครั้งก็สูงส่ง บางครั้งก็อ่อนแอ เปลี่ยนสีหน้าสารพันได้เพียงชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือนางตัวจริงกันแน่ หลินหว่านหรงมองจนใจเต้นโครมคราม หัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่มีทางขึ้นเตียงข้า? เช่นนั้นก็แปลกแล้ว เช้าวันนี้ตอนที่ข้ากลับมาจากการเดินตรวจตราค่าย คนที่นอนอยู่บนเตียงข้าคือใครกันนะ?” 


 


 


“ข้า ข้าไม่รู้” อวี้เจียก้มหน้า กล่าวเสียงแผ่วเบาเลื่อนลอย “ตอนเช้าพอข้าตื่นมาก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว ทว่ารอบด้านกลับไม่เห็นเงาของเจ้า” 


 


 


หลินหว่านหรงผงกศีรษะ ร้องอ้อออกมาคราหนึ่ง กล่าวอย่างแช่มช้าสบายอารมณ์ “เช่นนั้นเทพแห่งทุ่งหญ้าคงช่วยกระมัง…เฮ้อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่สืบสาวราวเรื่องแล้ว ถึงเตียงของข้าจะถูกทำลายอย่างน่าประหลาด แต่ข้าคนนี้ก็เป็นคนสบายๆ มาตลอด ก็ให้มันผ่านไปทั้งอย่างนี้ก็แล้วกัน ผ้าปูเตียงก็ไม่ต้องให้เจ้าซัก…” 


 


 


อวี้เจียทั้งอายทั้งโมโห กล่าวด้วยความหงุดหงิด “เหลวไหล เตียงของเจ้าสกปรกราวกับรังสุนัข ไหนเลยจะมีผ้าปูเตียผ้านวมอะไรได้?!” 


 


 


“อ้อ อย่างนั้นหรือ? ข้าลืมไปชั่วขณะ กลับเป็นน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ที่จำได้แม่นยำนะ!” หลินหว่านหรงกล่าวระคนหัวเราะ “เตียงทหารนี่นา จะโกโรโกโสไปบ้างก็ยากจะหลีกเลี่ยง นอนให้มากหน่อยเดี๋ยวก็ชิน ไม่แน่ว่าเจ้ายังจะชอบรสชาติเช่นนี้ด้วยซ้ำ” 


 


 


“ข้าไม่มีทางชอบความรู้สึกเช่นนี้หรอก” เยวี่ยหยาเอ๋อร์กัดฟันกรอดพลางถลึงตามองเขา คล้ายอายแต่ก็โมโห ใบหน้าดั่งแต่งแต้มชาด ท่ามกลางความขาวสะอาดแฝงสีแดงสดใสบางๆ ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นล้ำลึกดุจสายน้ำ สุกใสราวกับจะดึงดูดจิตวิญญาณคนเข้าไปได้ 


 


 


นางมีเรือนร่างอรชร อกอวบอิ่ม บั้นท้ายกลมมนโก่งนูน ภายใต้ชุดกระโปรงของชนเนอกด่านอันเบาบางห่อหุ้มสองขาอันเรียวยาวเต่งตึงทรงพลัง เต็มไปด้วยแรงดีดสะท้อน เมื่อมองไกลๆ ก็เหมือนแม่เสือดาวน้อยที่ระเบิดอารมณ์ได้ทุกเมื่อ เปี่ยมล้นด้วยกำลังวังชา กอปรด้วยความงดงามยิ่งนัก ระหว่างที่ตำหนิด่าทอด้วยโทสะ ความรู้สึกของต่างแดนอันล้ำลึกปะทะเข้ามา น่าลุ่มหลง 


 


 


โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว นี่ไม่ใช่กำลังยั่วยวนให้ข้าทำผิดอยู่หรือ?! หลินหว่านหรงใจเต้นรัวดังตึกตัก อดกลืนน้ำลายอย่างแรงไม่ได้ เยวี่ยหยาเอ๋อร์คนนี้แปลงร่างได้อย่างไร ใสซื่อบริสุทธิ์ ฉลาดหลักแหลม สูงส่ง ยั่วยวนต่างมีหมด ที่ล้ำเลิศไปกว่านั้นก็คือนิสัยสัตว์ป่าที่ไม่ยอมพ่ายแพ้บนตัวนาง เป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตเพศผู้ต่างอยากจะสยบ 


 


 


ครั้นเห็นเจ้าโจรถ่อยอ้าปากกว้าง น้ำลายเกือบจะไหลออกมาแล้ว สายตาก็ยิ่งจ้องมองร่างกายตนอย่างลึกซึ้ง ไม่แม้แต่จะกะพริบตา แววตาอวี้เจียก็สาดประกายบางๆ ใบหน้าแดงด้วยความอายมากยิ่งขึ้น กล่าวด้วยความหงุดหงิดออกมาว่า “โจรไร้ยางอาย เจ้ามองอะไร?!” 


 


 


“มองลูก…อ๊ะ ไม่ใช่ ข้ากำลังใช้สายตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยปัญญาและลึกซึ้งของข้าค้นหาหลักเกณฑ์ในการขยายเติบโตของสรรพสิ่งอยู่” หลินหว่านหรงเช็ดน้ำลายที่มุมปาก จ้องมองหน้าอกของนาง กล่าวโดยตาไม่กะพริบ “น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์ รอให้รบเสร็จแล้วเจ้าจะพาข้าไปบ้านเจ้าได้หรือไม่? ข้าอยากดูเสียหน่อยว่าข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์อันใดที่เลี้ยงดูเจ้าให้…ใหญ่ขนาดนี้!” ตาของเขาเบิกกว้าง สองมือทำท่ากำเป็นวงกลม ทำท่าทางออกมาเป็นลูกบอลด้วยท่าทางเกินจริง 


 


 


“หากเจ้าต้องการไปข้าจะให้โอกาสเจ้า” เยวี่ยหยาเอ๋อร์มุมปากผุดรอยยิ้มหวาน หน้ายวนเย้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ ในน้ำเสียงแฝงความอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก “ใต้เท้าอัวเหล่ากง ขั้นต่อไปพวกเจ้าจะโจมตีที่ใด?!” 


 


 


โจรหน้าดำดวงตาสาดประกายสัตว์ป่า น้ำลายไหลพราก กล่าวด้วยท่าทางงงงวยเหมือนไม่รู้สึกตัว “ขั้นต่อไปน่ะหรือ ข้าเตรียมจะโจมตี…” 


 


 


ดวงตาของอวี้เจียฉายแววปีติยินดี ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่ง ส่งเสียงอืมเบาๆ คราหนึ่ง ฟังเขาพูดต่อไป 


 


 


“…โจมตีตรงนี้!” น้ำลายของเจ้าโจรยังไม่ทันได้เช็ด มือใหญ่ก็ชี้มาที่หน้าอกนาง หัวเราะทั้งลามกทั้งต่ำช้า 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์อึ้งไปเล็กน้อย หน้าแดงร้อนทันที ลอบแค่นเสียงอยู่ในใจ นางเงยหน้ามองหลินหว่านหรง เห็นว่าเจ้าโจรนั่นดวงตาสาดประกายสัตว์ป่า น้ำลายไหล ถูกความงามของตนดึงดูดใจไปโดยสิ้นเชิง ท่าทางไม่เหมือนล้อเล่น 


 


 


หรือว่านี่จะเป็นคำพูดจากใจจริงของเขา? สาวน้อยทูเจวี๋ยถุยคราหนึ่ง ใบหน้าร้อน ชาวต้าหัวที่ไร้ยางอาย! 


 


 


ดวงตานางสาดประกาย คิ้วงามกลับขมวดเล็กน้อย สีหน้าเย็นชาโดยไม่รู้ตัว กล่าวลอยๆ ออกมา “ใต้เท้าอัวเหล่ากง หวังว่าเจ้าจะให้เกียรติความเป็นคนของอวี้เจีย อย่าพูดจาต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้อีกเลย! สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราไม่ใช่ผู้ใดก็จะรังแกได้” 


 


 


เอ๊ะ นังหนูนี่เมื่อกี้ยังยั่วยวนพราวเสน่ห์ราวกับนางจิ้งจอกอยู่เลย แล้วทำไมชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็นก้อนน้ำแข็งเสียแล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ดันยั่วยวนมากที่สุด ในใจคันยุบยิบราวกับแมวข่วน หลินหว่านหรงยิ้มลามก กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าให้เกียรติความเป็นคนของเจ้าก็ได้ แต่หวังเช่นกันว่าคุณหนูอวี้เจียจะให้เกียรติความเป็นสัตว์ป่าของข้า…จากคนกลายเป็นสัตว์ป่าข้าก็ไม่ง่ายเช่นกันนะ!” 


 


 


อวี้เจียหัวเราะพรวดเบาๆ กล่าวด้วยท่าทีงามยวนเย้ามีเสน่ห์ “ไม่เคยได้ยินว่าคนถูกหาว่าเป็นสัตว์ป่าแล้วยังกระหยิ่มยิ้มย่องได้ใจได้อีก ใต้เท้าอัวเหล่ากง เจ้ากลับน่าสนใจยิ่งนัก หนังหน้าของชาวต้าหัวเช่นพวกเจ้าล้วนหนาเท่ากำแพงเมืองเช่นเจ้านี้หมดเลยหรือไม่?!” 


 


 


“เรื่องของหนังหน้านี้ไม่ได้เอามากินแทนข้าวได้เสียหน่อย แล้วจะเอามาทำไม?” หลินหว่านหรงจ้องใบหน้าอันงดงามพราวเสน่ห์ของนางพร้อมหัวเราะฮิฮะ “กลับเป็นชาวทูเจวี๋ยอย่างพวกเจ้า สตรีที่งดงามเช่นน้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์มีอีกเท่าไหร่นะ? ตั้งหน้าตั้งตารอจริงๆ เลย!” 


 


 


เยวี่ยหยาเอ๋อร์ผงกศีรษะเบาๆ แววเย็นชาภายในดวงตาปรากฏเล็กน้อยจนไม่อาจสัมผัสได้ “สตรีทูเจวี๋ยเช่นพวกเราขยันขันแข็งจริงใจ ปรับตัวง่ายมีสติปัญญา งดงามและมุ่งมั่น ทั้งขึ้นม้าสังหารศัตรู ทั้งยังเร้นกายอยู่เบื้องหลังได้อีกด้วย เฉกเช่นไข่มุกบนทุ่งหญ้า เจิดจ้าสะดุดตา ผู้โดดเด่นมีความสามารถมีจำนวนนับไม่ถ้วน ความยิ่งใหญ่ของเผ่าเรา ผลงานของสตรีย่อมไม่ด้อยกว่าบุรุษ” 


 


 


นังหนูนี่ยังเป็นพวกลัทธิสตรีนิยมด้วยนะ! หลินหว่านหรงร้องอ้อ กล่าวระคนหัวเราะ “นั่นก็ใช่ๆ สตรีค้ำฟ้าได้ครึ่งหนึ่งนี่นา! เพียงแต่เมื่อมองจากที่น้องเยวี่ยหยาเอ๋อร์สาธยายมา สถานะของสตรีทูเจวี๋ยยังสูงกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากเลยนะ” 


 


 


“สตรีค้ำฟ้าได้ครึ่งหนึ่ง?!” อวี้เจียยิ้มงดงาม สีหน้าท่าทางยวนเย้าอย่างหาที่เปรียบมิได้ “การเปรียบเทียบของเจ้านี้น่าสนใจมาก ใต้เท้าอัวเหล่ากง นับตั้งแต่ได้เจอเจ้า ก็มีประโยคนี่ล่ะที่อวี้เจียฟังแล้วรื่นหู คิกๆ…” 


 


 


นางหัวเราะเบาๆ ใบหน้าสั่นสะเทือน งดงามยวนเสน่ห์แฝงความเอียงอาย อกอันชูชันก็เป็นระลอกคลื่น ประหนึ่งแอปเปิ้ลผลสีแดงที่เต็มไปด้วยความยั่วยวน  


 


 


บางครั้งก็สูงส่ง บางครั้งก็เย็นชา บางครั้งก็ยั่วยวน การเปลี่ยนแปลงสารพัดสารพันเช่นนี้ทำให้หลินหว่านหรงใจคันยุบยิบยากจะทานทน อดหัวเราะแห้งๆ สองคราไม่ได้ “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกเราไม่ใช่ว่าคุยภาษาเดียวกันได้แล้วหรือ?!” 


 


 


อวี้เจียส่ายหน้าอ่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ใช่เสียทั้งหมด ใต้เท้าอัวเหล่ากง ข้ากับเจ้าต่างกันราวกับคนและสัตว์ ไหนเลยจะมีภาเดียวกันได้?” นางยิ้มพลางมองเขา สีหน้าเอียงอายอยู่บ้าง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มบาง ขนตายาวกระเพื่อมไหวเล็กน้อย ในความน่ารักคล้ายแฝงด้วยความยั่วยวนอยู่หลายส่วน ช่างน่าลุ่มหลงยิ่งนัก 


 


 


หลินหว่านหรงจ้องใบหน้านางราวกับลุ่มหลง ผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจังยิ่งนัก “อืม เช่นนั้นก็ดี คืนนี้จะเป็นสัตว์ป่าสักครั้ง!” 


 


 


“เหอะ หน้าไม่อาย!” อวี้เจียส่งเสียงด่าเบาๆ สองแก้มแดงระเรื่อ ดั่งผลไม้แดงอันหอมหวานยวนใจ มองจนใจคนเต้นรัวดังตึกตัก ใต้เท้า ‘อัวเหล่ากง’ จ้องมองนางอย่างเหม่อลอย น้ำลายหยดแหมะๆ 


 


 


มองดูสีหน้าลุ่มหลงงมงายของเจ้าโจรนั่น ดวงตาอันล้ำลึกของเยวี่ยหยาเอ๋อร์ก็ผุดรอยยิ้มหยันกระหยิ่มยิ้มย่องออกมาให้เห็นรำไร 


 


 


… 


 


 


“คลำครั้งที่หนึ่ง คลำถึงข้างเรือนผมของพี่สาว คลำครั้งที่สอง คลำถึงดวงหน้าน้อยของพี่สาว…” หลินหว่านหรงขี่ม้า โยกซ้ายป่ายขวา ฮัมเพลงด้วยท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง  


 


 


หูปู้กุยเกาฉิวสองคนมองหน้ากัน จ้องมองตากัน เช้านี้เพลงที่เขาร้องยังสูงส่งขนาดนั้นอยู่เลย เหตุใดเพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็ลามกแล้วล่ะ? 


 


 


เกาฉิวอือคราหนึ่ง หัวเราะแล้วพูดว่า “เอ๊ะ นี่เป็นเพลงที่น้องหลินแต่งขึ้นใหม่หรือ?! ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ! น่าละอายๆ” 


 


 


ตอแหล! เจ้าตอแหลน่ะสิ! เหล่าเกามองเขาอย่างดูแคลน ตอนที่เจ้าเหล่าเการ้องสิบแปดลูบคลำ เกรงว่าแม่ทัพหลินยังเล่นดินเล่นฉี่อยู่เลย! 


 


 


“น้องชาย” เกาฉิวตามเข้าไป ตบบ่าหลินหว่านหรง ประชิดข้างใบหูเขาพร้อมหัวเราะลามก “เจ้ากับเยวี่ยหยาเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นเห็นพวกเจ้าบุรุษรักใคร่สตรีมีใจ จีบกันไปมา ฮิฮิ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน คิดว่าเมื่อคืนเรื่องดีๆ นั่นคงสำเร็จแล้วล่ะสิท่า” 


 


 


หลินหว่านหรงหรี่สองตาพร้อมกล่าวระคนหัวเราะ “อย่าเห็นข้าเป็นคนใจง่ายขนาดนั้นสิ สิ่งที่ข้าคุยกับนางคือหัวข้อจริงจังบางอย่าง ฟ้าและดิน หยินและหยาง มนุษย์และสัตว์อะไรต่อมิอะไร” 


 


 


ฟ้าดินหยินหยาง บุรุษสตรีมนุษย์สัตว์? ล้ำลึกจริงๆ ด้วย เหล่าเกาลอบอ้าปากค้าง หัวเราะต่ำช้าลามกไม่หยุด ประสานกำปั้นพร้อมเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าขอแสดงความยินดีกับน้องชายก่อน ในที่สุดการอุ่นเตียงนี้ก็เกิดขึ้นแล้ว” 


 


 


“อุ่นเตียง?!” หลินหว่านหรงหัวเราะฮิฮะ กล่าวไม่เร็วไม่ช้า “พี่เกาเข้าใจผิดแล้ว ข้าเดาว่านังหนูคนนี้คิดจะให้ข้าอุ่นเตียงให้นางมากกว่า!” 


 


 


เกาฉิวเลิกตาโพลงกล่าวด้วยความตกใจทันที “เป็นไปไม่ได้น่า นางกล้าให้เจ้าอุ่นเตียง? เตียงนั่นจะเอาอยู่หรือ นี่จะได้อย่างไร?!” 


 


 


“เรื่องโกหกหลอกลวง ไม่เหมาะสมกับเด็กพวกนี้อาจทำร้ายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของพี่เกา ให้น้องชายจัดการจะดีกว่า” หลินหว่านหรงหัวเราะพลางตบบ่าเขา “ตอนนี้ภารกิจที่สำคัญที่สุดของท่านก็คือจัดการเรื่องเมื่อคืนให้หมดจด” 


 


 


เกาฉิวตบอกที่หนั่นแน่น กล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “มีข้าเหล่าเกาอยู่ น้องหลินเจ้าจงวางใจได้ ทำงานแบบนี้ข้าถนัดที่สุด” 


 


 


หลินหว่านหรงหัวเราะพลางผงกศีรษะ หูปู้กุยที่อยู่ทางนั้นประชิดเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ จากรายงานของหน่วยลาดตระเวน ทหารม้าเกือบสามพันของชนเผ่านอกด่านเดินทางมุ่งตรงไปยังต๋าหลานจา ตอนนี้อยู่ห่างจากพวกเราแค่หนึ่งร้อยห้าสิบลี้” 


 


 


หลินหว่านหรงเงยหน้าขึ้นมอง ดวงอาทิตย์สีแดงร้อนแรงกำลังดำดิ่งลงสู่ทิศประจิมอย่างแช่มช้า แสงตะวันค่อยๆ ทาบทอใกล้พื้นดิน เขาส่งเสียงอืมออกมาคราหนึ่ง กล่าวอย่าแช่มช้าว่า “พี่หู ตามความเห็นของท่าน อีกนานเท่าไหร่ชนเผ่านอกด่านถึงจะตั้งค่าย?!” 


 


 


หูปู้กุยเงียบงันอยู่นาน ผงกศีรษะด้วยท่าทีจริงจัง “ชนเผ่านอกด่านเกือบสามพันคนนี้เดินทางไม่หยุดพักตั้งแต่เมื่อคืน ระหว่างทางพักเพียงสองป้านน้ำชาเท่านั้น การเดินทางรีบร้อนรุนแรงเช่นนี้ ต่อให้ชาวทูเจวี๋ยจะทนได้ แต่ม้าศึกนั่นก็ต้องเหนื่อยล้าแสนสาหัส การตั้งค่ายป้อนหญ้าเป็นเรื่องจำเป็น เดินทางไปไม่ถึงร้อยลี้ ม้าศึกนั่นก็ต้องเหนื่อยตายแล้ว ตามรายงานของหน่วยลาดตระเวน ข้างหน้าพบม้าเร็วที่ชนเผ่านอกด่านส่งออกมา ดูท่าว่าพวกมันเล็งว่าจะฉวยตั้งค่ายช่วงสนธยา เมื่อป้อนน้ำป้อนหญ้าให้ม้าศึกแล้ว พักผ่อนเล็กน้อยอีกหนึ่งชั่วยามกำลังกายก็จะกลับคืนมาแปดส่วน ครึ่งคืนหลังพวกมันก็เดินทางมุ่งหน้าต่อไปได้แล้วขอรับ” 


 


 


หูปู้กุยเข้าใจชาวทูเจวี๋ยอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงม้าศึกอีก เขาวิเคราะห์อย่างถูกต้องแม่นยำ สอดรับกับข่าวสารที่แจ้งกลับมาของหน่วยลาดตระเวนแนวหน้าพอดี 


 


 


“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ม้าศึกของชนเผ่านอกด่านต้องป้อนหญ้าในคืนนี้เป็นสิ่งที่ต้องกระทำ” หลินหว่านหรงส่งเสียงอืมคราหนึ่ง เยื้องย่างอย่างแช่มช้า “ขอเพียงพวกมันตั้งค่าย ต่อให้ชนเผ่านอกด่านพักผ่อนแค่ครึ่งชั่วยาม ช่วงเวลานี้ก็เพียงพอให้พี่เกาทำงานแล้ว” 


 


 


หูปู้กุยหัวเราะ “เวลาทำงานนั้นเพียงพอ ปัญหาสำคัญคือน้องเกาต้องปรากฏตัวตรงหน้าชาวทูเจวี๋ยได้ประจวบเหมาะพอดี ทั้งยังต้องปะปนเข้าไปในค่ายของชนเผ่านอกด่านโดยไม่ให้รู้ตัว เรื่องนี้มีความยากอยู่นะขอรับ” 


 


 


“ความยากน่ะมี เพียงแต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้” หลินหว่านหรงผงกศีรษะ พูดเสียงดัง “สั่งการให้หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ข้างหน้าจับตาดูร่องรอยของชนเผ่านอกด่าน รายงานได้ทุกเมื่อ” 


 


 


หูปู้กุยเหลียวมองรอบด้านหลายครา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตกใจขึ้นมา “เอ๊ะ น้องเกาไปที่ใดแล้ว?!” 


 


 


หลินหว่านหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “รอก่อน อีกเดี๋ยวก็จะออกมาแล้ว!” 


 


 


เขาเพิ่งพูดออกมาก็ได้ยินนายทหารที่อยู่ในขบวนด้านหลังตะโกนเสียงดังด้วยความร้อนใจ “แย่แล้ว ชนเผ่านอกด่านหนีไปแล้ว” 


 


 


สองคนรีบหันหน้ากลับไป เห็นว่าคนในเผ่าของเยวี่ยหยาเอ๋อร์จำนวนสี่สิบกว่าคนซึ่งเดิมทีถูกมัดรวมกันนั้นไม่รู้ว่าถูกคนปลดเชือกมัดตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันขู่ฟ่อฟ่อแย่งชิงม้าศึกที่อยู่ข้างตัว ขึ้นคร่อมดังขวับแล้วควบห้อตะบึงมั่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว 


 


 


“อย่าปล่อยพวกมันไป ฆ่า!” เสียงขู่คำรามด้วยความเดือดดาลของหลินหว่านหรงแพร่ออกไปไกล ทหารหลายร้อยนายไล่ตามชาวทูเจวี๋ยที่หลบหนีไปอย่างสุดกำลัง ห่าธนูยิงออกไปอย่างเร็วรี่เสียงดังขวับๆ ชาวทูเจวี๋ยที่อยู่หน้าสุดสามคนแรกร้องโอดโอยหลายครั้ง ถูกธนูจนตกจากหลังม้า 


 


 


ท่ามกลางชนเผ่านอกด่านที่หลบหนีมีคนหนึ่งที่ดึงหมวกลงต่ำ หนวดเคราเต็มใบหน้า รูปโฉมนั้นดูไม่ชัดเจน เจ้าคนนี้ระหว่างที่ขี่ม้ายังหันหน้ากลับมาเป็นระยะอีกด้วย ขู่คำรามดุดันดังอ๊าๆ ใส่ทหารต้าหัวหลายครั้ง ท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก 


 


 


ชนเผ่านอกด่านที่ทำตัวโดดเด่นนั้นเงาหลังดูคุ้นๆ มาก หูปู้กุยอึ้งอยู่นาน จากนั้นก็ปรบมือหัวเราะในบัดดล “เหล่าเกาตัวดี แม้แต่ข้าก็ถูกหลอกได้!” 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม