แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 536-541

ตอนที่ 536 ขัดกับภาพลักษณ์

 

อวี๋หมิงหลางที่ดื่มเข้าไปเยอะได้แสดงให้เห็นว่าแรงดีไม่มีตก ไร้ความปราณี ไร้ซึ่งความอาย นับตั้งแต่เข้าประตูเขาก็ไม่ได้หยุดนิ่ง


 


 


ใช้ไปกี่ท่วงท่า เปลี่ยนไปกี่จุด เสี่ยวเชี่ยนจำไม่ได้


 


 


เสื้อผ้าของพวกเขาถอดเรี่ยราดมาตามทางนับตั้งแต่เข้าบ้านมาไล่ไปจนถึงชั้นบน กระดาษทิชชู่ใช้ไปจำนวนหนึ่ง ถุงยางใช้ไปสองกล่อง—แน่นอนว่าอวี๋หมิงหลางไม่ยอมรับว่าใช้ไปสองกล่อง เขาพูดอย่างหน้าไม่อายว่ามีครึ่งกล่องที่เหลือจากคราวที่แล้ว ดังนั้นจะนับเต็มไม่ได้ อีกทั้งกล่องที่ซื้อมาใหม่ก็เป็นแบบที่มีไม่กี่อัน เน้นคุณภาพมากกว่า


 


 


เหตุผลนี้แถสุดๆ


 


 


เล่นเอาเสี่ยวเชี่ยนตื่นขึ้นมารู้สึกเหมือนเพิ่งถูกรถบรรทุกทับร่าง


 


 


ห้องถูกเก็บกวาดสะอาดแล้ว สนามรบที่เละเทะเป็นระเบียบเรียบร้อย อวี๋หมิงหลางกำลังนั่งเช็ดกระจกที่ระเบียง บนกระจกมีนิ้วมือที่เธอทิ้งไว้เมื่อคืน ถูกแทนที่ด้วยรอยน้ำจากผ้าขี้ริ้ว เช็ดรอยที่กระจกทิ้งไปแต่รอยในใจนั้นยังคงอยู่


 


 


เสี่ยวเชี่ยนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยที่กระจก และก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นรอยข่วนที่หลังเปลือยๆของเขา


 


 


ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เมื่อคืนเธอดื่มเยอะเกินไป


 


 


ใช่ นี่เป็นข้ออ้างที่สมบูรณ์แบบมาก เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเอาแบบนี้แหละ ดูมีเหตุผลและแนบเนียนสุดๆ


 


 


แต่พอมาคิดดูจะทำยังไงให้แนบเนียน อันที่จริงมันก็คือการแถ ก็แค่ประธานเชี่ยนไม่อยากยอมรับก็แค่นั้น


 


 


คล้ายกับอวี๋หมิงหลางรู้สึกได้ถึงสายตาเธอจึงหันไปมอง แล้วยิ้มแฉ่งให้เธอดุจดอกไม้บาน


 


 


หลังจากผ่านศึกอย่างหนักหน่วงเมื่อคืน เสี่ยวเชี่ยนจะไม่ถูกภาพลักษณ์หมาฮัสกี้จอมทึ่มของตานี่ลวงตาอีกต่อไป ต่อให้เขายิ้มแฉ่งเหมือนดอกลำโพง เธอก็รู้ได้ทันทีว่าดอกไม้นี้กินคน กินจริงๆ ไม่มีตรงไหนไม่กิน…


 


 


“ลูกเชี่ยน ตื่นแล้วเหรอ~” เขาเดินไปหาเธอ อ่อนโยนดูเป็นผู้ชายที่เอาใจใส่สุดๆ แต่สายตาเสี่ยวเชี่ยนมองไปที่อื่น เอาผ้าห่มห่อตัวอย่างระแวงแล้วรีบซุกตัวเข้าหากำแพง แค่ขยับก็ร้าวไปทั้งตัว


 


 


“หยุดอยู่ตรงหน้าห้ามขยับ” เธอไม่อยากทำแล้ว อย่างน้อยก็ต้องให้เธอพักบ้างสิ เล่นวัดกำลังกับทหารหน่วยรบพิเศษแบบนี้ นี่มันเหมือนเอารถมาทับกันชัดๆ


 


 


แต่เขาแรงดีมากจริงๆ อุ้มเธอเดินได้ตั้งไกล…แค่กๆ ห้ามคิดฟุ้งซ่าน จริงจังหน่อย นี่สร่างเมาแล้วนะ


 


 


“คือว่าผม—” อันที่จริงอวี๋หมิงหลางก็อยากแสดงออกถึงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่น้องชายของเขากลับไม่รู้จักพอ ขายเขาซะงั้น


 


 


เขามองอย่างอายๆ จากนั้นก็คิดเหตุผลที่หน้าไม่อายขึ้นมาได้


 


 


“ผมยังไม่สร่างเมาเลย ใช่ นี่มันเป็นอาการหลังเมา”


 


 


เขาทำหน้ารู้สึกผิด “เหล้าเป็นตัวทำลายมนุษย์ ผมจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้แล้ว อาการในตอนนี้เป็นความผิดของฤทธิ์แอลกอฮอล์ทั้งนั้น คนโบราณยังพลาดพลั้งเพราะเหล้า ทุกอย่างเป็นความผิดของเหล้า”


 


 


พูดไปก็จ้องขาขาวๆของเสี่ยวเชี่ยนที่โผล่ออกมา จ้องแล้วจ้องอีก มือก็พุ่งไปทางที่สายตามองอย่างควบคุมไม่ได้ ไปที่ไหนต้องยึดครองที่นั่น ถูกต้องแล้ว—อวี๋หมิงหลางคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะยังไม่สร่างเมา


 


 


เดิมเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้อยากแฉข้ออ้างหน้าด้านๆของเขาหรอก แต่มือของเขาซุกซนเหลือเกิน จนเธอทนไม่ไหว


 


 


“คนที่ดื่มจนเมาจริงๆเขามีอาการแบบนายเมื่อคืนเหรอ?”


 


 


ตอนนี้เธอสงสัยอย่างรุนแรงว่าอวี๋หมิงหลางในชาติที่แล้วหลอกให้เธอหลงกลหรือเปล่า จริงๆเขาไม่ได้คออ่อนขนาดนั้น


 


 


ดูจากท่าทางของเขาเมื่อคืน ระหว่างเธอกับเขาใครคอแข็งกว่ากันบอกได้ยากมาก เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าจะให้เขาดื่มต่อก็ไม่มีปัญหา


 


 


มือของอวี๋หมิงหลางไม่ได้ล่าถอยเลยแม้แต่น้อย เธอตีมือก็แล้วเขาก็ยังคงลูบต่อ อันนี้โทษเขาไม่ได้ ใครใช้ให้ผิวเธอนุ่มลื่นดึงดูดได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะผิวขาวๆที่ถูกเขาแต่งแต้มสีสันเข้าไปเป็นจุดๆ นายเสี่ยวเฉียงรู้สึกว่าเรื่องนี้ตำหนิเขาไม่ได้ ต้องโทษที่เธอมีเสน่ห์มากเกินไป


 


 


“ก็ผมเมา ตอนนี้ก็ยังเมา—” ถูกดวงตาสุกใสของเธอจ้องมองจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง “ไม่ใช่เพราะเหล้า เพราะคุณทำให้ผมลุ่มหลง”


 


 


“…ดังนั้น มือนาย?” เธอตีมือเขาอย่างหมดคำจะพูด เขาเอามือออกจากขาเธออย่างเสียดายแล้วย้ายไปด้านบน


 


 


“นี่เป็นอาการปกติหลังดื่มเหล้าที่ควบคุมไม่ได้ เบบี๋คุณเหนื่อยหรือเปล่า อืม คุณไม่เหนื่อย ดังนั้นพวกเราเอาอีกรอบดีไหม…”


 


 


“……” ไอ้คนหน้าด้าน เอาปากหื่นกระหายของนายออกจากปากฉันเดี๋ยวนี้ เก่งจริงก็ให้ฉันพูดก่อนเซ่


 


 


แต่ไม่ว่าเสี่ยวเชี่ยนจะร่ำร้องอยู่ในใจดังแค่ไหนก็เอาชนะจิตใจแน่วแน่ของคนบางคนไม่ได้


 


 


นายเสี่ยวเฉียงเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อร่างกายของตัวเอง แต่ก็เป็นคนรู้จักดื่มดำกับความงาม ไม่ว่าเสี่ยวเฉียงน้อยจะร่ำร้องอยากเจอเสียวเหม่ยน้อยมากแค่ไหน เขาก็ยังต้องแสร้งทำตัวเป็นคนมีลวดลายก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติอย่างเป็นทางการ ใช้ข้ออ้างในการนวดให้ตัวเองได้ระลึกถึงท่วงท่าลีลาแต่ละจุดเมื่อคืน—เมื่อคืนเสี่ยวเชี่ยนเหนื่อยเสียจนตะโกนว่าเขาว่าเป็นสัตว์


 


 


เสี่ยวเฉียงที่เป็นสัตว์ร้ายในคราบสุภาพบุรุษย้ายจากช่วงล่างขึ้นมาช่วงบน เขานั่งคุกเข่าบนขาเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนสุดๆ สองมือนวดให้เธอด้วยแรงที่กำลังพอเหมาะ


 


 


เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา เธอหลับตาด้วยความรู้สึกสบาย เอาหน้าซุกกับหมอนของเขา


 


 


เห็นแก่ที่ยังมีความเห็นใจกันอยู่บ้าง รู้จักดูแลรักษาหลังจากที่ใช้งานหนักจนเกินไป เขานวดเก่งจริงๆ รู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงไปไม่น้อย


 


 


ภายในห้องไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศ อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับรู้สึกเหมือนเป็นปลาที่ถูกวางในกระทะ ร่างกายมีไฟอุ่นๆโอบล้อม พยายามทำให้เธอกรอบนอกนุ่มใน และมือใหญ่ๆของตาบ้านี่ก็กำลังจับเธอพลิกไปพลิกมา ตอนแรกก็ตั้งใจนวดอยู่หรอก แต่สักพักไม่รู้นวดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว


 


 


เอาจมูกเข้ามาแถวหน้าบ่อยๆ เพียรถามความรู้สึกอยู่ตลอด


 


 


“เบบี๋แบบนี้โอเคไหม?”


 


 


“อืม…”


 


 


“แล้วแบบนี้ล่ะ?”


 


 


“อืม ได้อยู่ หนุ่มน้อยทำดีมาก เดี๋ยวเจ๊ให้ทิปห้าเหมา”


 


 


อวี๋หมิงหลางเลิ่กคิ้ว คิดว่าให้ห้าเหมาก็ไล่เขาไปได้?


 


 


เสี่ยวเชี่ยนลืมตา เหล่มองเขา “น้อยไปเหรองั้นเอาไปอีกห้าเหมา”


 


 


เธอน่ะพยายามแสดงออกด้วยสายตาดูถูกกับการฉวยโอกาสของเขา แต่สายตานั้นอวี๋หมิงหลางกลับมองว่ามันคือการยั่วยวน เป็นสัญญาณปลุกเสี่ยวเฉียงน้อยให้คืนชีพ


 


 


เกิดเป็นชายจะทำให้เมียร้องเรียกโดยเสียเปล่าไม่ได้


 


 


“เดินหน้าไม่ถอย เข้าไปอย่างกล้าหาญ” แหม่ ยังจะมีตะโกนคำขวัญปลุกใจ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ทันจะได้คิดอะไรก็รู้สึกว่าผ้าห่มที่อยู่บนตัวถูกกระชากออก จากนั้น—


 


 


เธอถลึงตามอง เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์


 


 


“เบบี๋ ผมจะบริการประชาชนแล้วนะ วางใจได้ ผมจะไม่ปริปากบ่นแม้แต่น้อย เงินก็ไม่เอา แถมบริการเสริมอีกเพียบ..ฮี่ๆๆ”


 


 


“ออกไป๊” 

 

 


ตอนที่ 537 วางแผนเจ้าเล่ห์

 

วันที่ฟ้าหม่น ไร้ซึ่งแสงแดด ลมพัดแรง ความหนาวเย็นจากด้านนอกไม่ได้ส่งผลต่อคนที่อยู่ในบ้าน เพราะการออกกำลังอย่างเข้ากันได้สร้างพลังงานเป็นอย่างมาก นิ้วเรียวสวยขยำผ้าปูที่นอน เม็ดเหงื่อหยดลงดั่งไข่มุกวาวใส แยกไม่ออกว่าเป็นของเขาหรือของเธอ 


 


 


เมื่อลมข้างนอกสงบลง ท่วงทำนองในบ้านก็ผ่อนเบาลง 


 


 


อวี๋หมิงหลางลุกขึ้นแล้วจูบลงบนเปลือกตาของเธออย่างเสียดาย แต่กลับถูกเธอตบเข้าให้ 


 


 


“ออกไป…ฉันง่วง” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเบ้ปาก “ผมเพิ่งพบว่าผู้หญิงนี่ใจดำจริงๆ ใช้เสร็จก็ทิ้ง” 


 


 


 แบบไหนที่เรียกว่าหน้ามือเป็นหลังมือ พอดึงออกก็ไร้เยื่อใย ดูท่าทางของเธอตอนนี้ก็รู้ 


 


 


เมื่อกี้ยังนัวเนียไม่อยากให้เขาหยุดอยู่เลย เขาอุตส่าห์พยายามปรนนิบัติเธอเต็มที่ แล้วดูสิ เปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วอะไรขนาดนี้ 


 


 


“ถ้ายังไม่เลิกบ่นต่อไปจะไม่ใช้แล้ว…” เธอหลับตาพูดอย่างรำคาญ ไม่รู้ว่าตัวเองละเมอหรือเปล่าด้วยซ้ำ 


 


 


อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าพวกนิทานหลอกกันชัดๆ 


 


 


จากข้อมูลที่เขาไปสืบค้นมาก็เขียนไว้อย่างชัดเจน หลังจากเสร็จกิจแล้วต้องลูบอย่างทะนุถนอม อีกทั้งยังต้องปลอบประโลมด้วยคำพูด ปรากฏว่าเธอดึงผ้าห่มมาคลุมแล้วนอนทันที อีกทั้งยังหันหลังให้เขาอย่างไม่ใยดี 


 


 


แทบไม่อยากพูดกับเขาสักประโยคเลยด้วยซ้ำ นี่ถ้าเป็นสมัยโบราณ เขาคงเป็นสนมที่ปรนนิบัติในห้องบรรทม ส่วนเธอเป็นฮ่องเต้ที่แสนใจดำ เสร็จธุระก็เตะออกจากห้อง… 


 


 


“ลูกเชี่ยน กินซาลาเปาหรือข้าวดี? ให้ผมซื้ออะไรกลับมาให้กิน?” 


 


 


“มือน่ะมีไว้ใช้กับเรื่องอย่างว่าแค่นั้นเหรอไง? ทำเองไม่เป็นเหรอ…” 


 


 


ขนาดหลับตายังสั่งคนอื่นได้คล่องขนาดนี้ อวี๋หมิงหลางมองเธอนอนสั่งอย่างขี้เกียจ ในใจทั้งโมโหทั้งรู้สึกว่าน่ารัก รู้สึกว่าเบบี๋ของเขาให้มองยังไงก็ไม่พอ หลับตาก็ยังน่ารัก อยากจะเอามือไปลูบอีกจัง 


 


 


“ถ้านายยังกล้าเอาสัตว์เข้ามาสิงร่าง คืนนี้ฉันจะลงโทษให้นอนที่พื้น ไปเลย รีบออกไป” 


 


 


อวี๋หมิงหลางรีบเบรกมือ ชักมือกลับอย่างเคืองๆ 


 


 


ถ้าลูบแล้วต้องถูกลงโทษนอนที่พื้นแบบนั้นไม่คุ้มเลย ช่างเถอะเป็นลูกผู้ชายอดทนก็ได้ อย่างไรเสียพอถึงตอนค่ำ…คิคิคิ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนขนาดหลับตายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลามก เธอลืมตาขึ้นครึ่งหนึ่งมองเขา อวี๋หมิงหลางรีบหยุดความคิดฟุ้งซ่านแล้วยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนสุดๆ 


 


 


“พะย่ะค่ะ เชิญฝ่าบาทบรรทมต่อ หม่อมฉันทำเครื่องเสวยพระกระยาหารเย็นเสร็จแล้วจะมาเรียก หลังเสวยเสร็จก็จะมาปรนนิบัติในห้องบรรทมต่อ—” อวี๋หมิงหลางหลบหมอนที่เสี่ยวเชี่ยนปามา แล้วเดินฮัมเพลงออกไป 


 


 


รถยังจอดอยู่ที่ร้านเจิ้งซวี่ ไปเอารถกลับมา จากนั้นก็ไปจ่ายตลาดมาทำกับข้าว ปรนนิบัติฮองเฮาของเขา 


 


 


ก่อนหลับเสี่ยวเชี่ยนยังไม่วายจะบ่นเขาก่อน “ฮองเฮาบ้าบออะไร ทำอย่างกับฉันเป็นบูเช็กเทียน…” 


 


 


ต่อให้เธอเป็นฮ่องเต้หญิงจริงๆก็ไม่มีทางเลี้ยงต้อยแบบนี้หรอก นี่ไม่รู้ใครปรนนิบัติใครกันแน่ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนนอนหลับสบาย แล้วตื่นตอนที่มีกลิ่นหอมๆโชยมา 


 


 


เธอหาวแล้วเดินตามกลิ่นลงมาจากชั้นบน อวี๋หมิงหลางกำลังทำแกงเผ็ดปลา ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของพริก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าไปโอบเอวเขาเหมือนเป็นฝาแฝดตัวติดกัน 


 


 


“หอมจัง~” 


 


 


มือของเขาข้างหนึ่งช้อนเนื้อปลาขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างโอบเสี่ยวเชี่ยน พอเห็นเธอสวมเสื้อเชิ้ตของเขาสายตาก็เปลี่ยนไปทันที 


 


 


ในห้องครัวก็น่าลองนะ~ 


 


 


“ถ้านายกล้ายุ่งกับฉันก่อนที่ฉันจะกินอิ่มนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอล่ะก็ คืนนี้นอนที่พื้นได้เลย” 


 


 


ก็ได้ ห้องครัวรวมถึงห้องอื่นๆไว้คราวหน้าก็ได้ อวี๋หมิงหลางเองก็รู้ว่าตัวเองใช้งานเธอโหดเกินไป เล่นเอาเธอกลัว 


 


 


“รอคืนนี้ค่อยคิดบัญชีทีเดียว” เขาจูบหน้าผากเธอด้วยความรัก แล้วตั้งใจทำกับข้าวต่อ 


 


 


ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นล้วนเป็นดั่งเทพบุตร นับตั้งแต่อวี๋หมิงหลางรู้ว่าตัวเองได้มือทำลายล้างห้องครัวมาเป็นแฟน ฝีมือทำอาหารของเขาจากที่ทำเป็นแต่ง่ายๆก็พัฒนาทำอาหารยากๆได้ 


 


 


เขาใช้มือข้างเดียวจับกระทะแล้วเอาเม็ดพริกหมาล่ากับพริกสดโยนลงไปในกระทะที่น้ำมันร้อนๆ มีเสียงซู่ซ่าตามมาด้วยกลิ่นหอม แต่งตัวธรรมดาๆยืนทำอาหารด้วยกัน นี่แหละความรู้สึกของครอบครัว 


 


 


อาจเป็นเพราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังมีน้อยมาก ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ด้วยกันจึงรู้สึกดีสุดๆ เสี่ยวเชี่ยนกินได้เยอะกว่าตอนปกติ — แน่นอนว่าก็อาจเป็นเพราะใช้พลังไปเยอะเลยรู้สึกหิว 


 


 


อวี๋หมิงหลางนั่งเท้าคางมองดูเธอกิน “ผมว่าถ้าผมอยู่บ้านบ่อยๆไม่แน่คุณอาจอ้วนเหมือนคุณนน้าก็ได้นะ” 


 


 


มือของเสี่ยวเชี่ยนที่จับตะเกียบอยู่หยุดชะงัก อวี๋หมิงหลางยังไม่รู้สึกว่าตัวเองๆได้แหย่รังแตนเข้าแล้ว ยังคงชมเจี่ยซิ่วฟางไม่หยุด 


 


 


“พออายุเยอะขึ้นมีเนื้อหน่อยๆกำลังดี ผมว่าคุณน้าดูมีสง่าราศีมากกว่าแม่ผมอีก พอคุณอายุเท่านั้นผมจะขุนคุณให้อ้วน สัมผัสคงกำลังดี” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกินไม่ลงอีกต่อไป 


 


 


เธอวางชามลงแล้วมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พอคิดได้ว่าโกรธผู้ชายที่ยังไม่รู้ตัวว่าผิดแบบนี้ไปก็เปลืองพลังชีวิต เธอจึงลองจินตนาการว่าอีกหลายสิบปีให้หลังอวี๋หมิงหลางหัวล้านมีพุงพลุ้ยๆแล้วก็รู้สึกเจริญอาหารขึ้นเยอะ 


 


 


“ต่อไปนายทำอาหารสองชุด ตัวนายกินข้าวหมูทอด ส่วนฉันกินพวกธัญพืช จากนั้นนายก็กินพวกอาหารที่มีฮอร์โมนเพศชายเยอะๆหน่อย” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเบ่งกล้ามด้วยความสงสัย กล้ามของเขาขึ้นเป็นมัดๆ 


 


 


“คุณอยากขุนให้ผมมีพลังเยอะๆเหรอ?” เขารู้สึกว่าตัวเองพละกำลังดีอยู่แล้ว อุ้มเธอเดินไปทั่วเลยยังได้ 


 


 


“ไม่ใช่ ฉันคิดว่าแบบนั้นจะทำให้นายหัวล้านพุงยื่นได้ สัมผัสคงกำลังดี” เธอทำท่าเหมือนกำลังตีหัวเขา เมื่อชาติที่แล้วตอนเจอกันเขาก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากตอนนี้เท่าไร 


 


 


ดังนั้นความคิดชั่วร้ายแบบนี้เธอก็ได้แค่คิดเท่านั้น ตอนแก่เขาก็คงเป็นเหมือนพลตรีอวี๋ที่ดูไม่แก่เท่าไร 


 


 


“…คุณนี่โหดร้ายจริง” 


 


 


“งั้นนายอยากให้ฉันอ้วนเจ็ดสิบโลไม่โหดร้ายเหรอ?” 


 


 


“ก็ได้ๆ อ้วนนิดหน่อยก็พอแล้ว มาๆๆ กินเนื้อหน่อยนะ” 


 


 


เขาคีบเนื้อให้เสี่ยวเชี่ยนด้วยท่าทางเอาใจสุดๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถึงได้กินต่ออย่างพอใจ 


 


 


“เดี๋ยวคืนนี้พี่จะป้อนเนื้อชิ้นใหญ่ๆให้เลยนะ~ ปากน้อยๆของเธอรับรองกินได้เต็มคำ” 


 


 


“แค่กๆ” เสี่ยวเชี่ยนสำลัก 


 


 


“ผมหมายถึงคืนนี้ไปกินแพะย่างกัน คุณคิดไปถึงไหนเนี่ย? ไอ๊หยา ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะเมียจ๋า?” 


 


 


“ออกไป” 


 


 


ยุคสมัยนี้เป็นผู้ชายดีๆทำไมถึงได้ยากนัก? อวี๋หมิงหลางถูกลงโทษให้ล้างชาม แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตกลงเขาผิดตรงไหน? 


 


 


กินข้าวเสร็จเสี่ยวเชี่ยนก็ขี้เกียจขยับตัว ประเด็นคือขยับนิดหน่อยก็ปวด ปวดไปทั้งตัว จะให้ออกไปเดินเล่นก็ไม่มีแรง เลยนั่งเล่นหมากรุกกับอวี๋หมิงหลางอยู่ในบ้าน 


 


 


อันที่จริงอวี๋หมิงหลางไม่ได้อยากเล่น เขาอยากไปขึ้นเตียงสำรวจชีวิตมากกว่า—สำรวจว่ามนุษย์เกิดมาได้ยังไง 


 


 


แต่เสียวเหม่ยมีอำนาจในบ้านมาก ความคิดสกปรกแบบนี้จึงทำได้แค่คิด แต่ไม่นานเขาก็มีไอเดียดีๆ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนวางตัวหมากเรียบร้อย แต่กลับเห็นอวี๋หมิงหลางยังเอาแต่นั่งนิ่ง 


 


 


“มีอะไรเหรอ?”  

 

 


ตอนที่ 538 ไร้เหตุผลสิ้นดี

 

“ผมคิดว่าพวกเราแค่เล่นกันเฉยๆมันไม่สนุก พวกเราเพิ่มสีสันหน่อยดีไหม?” อวี๋หมิงหลางพูดจริงจัง 


 


 


“นายน่ะนอกจากอสังหาริมทรัพย์กับเงินค่าขนมเล็กๆน้อยๆแล้วที่เหลือก็อยู่ที่ฉันหมด ยังคิดจะพนันเงินอีกเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้คิดจะดูถูกผู้ชายที่อยู่บ้านใส่แต่กางเกงขาสั้นตัวเดียวคนนี้ นับตั้งแต่ที่พวกเธอหมั้นกัน อวี๋หมิงหลางจากที่เป็นผู้ชายติดดินธรรมดาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 


 


 


“แบบนั้นมันเชยไป พวกเราแพ้ถอดเสื้อเป็นไง? คุณแพ้ก็ถอดหนึ่งชิ้น ผมแพ้ก็ถอดหนึ่งชิ้น” 


 


 


ถอดหมดยังต้องกลัวว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้นอีกเหรอ? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนได้ยินดังนั้นก็เข้าใจแผนชั่วของเขาทันที คิดหาวิธีจะจัดกับเธออีกรอบ 


 


 


การทำเรื่องอย่างว่าระหว่างคู่รักเป็นเรื่องปกติ เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้เกลียดการมีอะไรกันกับเขา แต่อวี๋หมิงหลางพอเจอเธอก็เกิดอาการไอคิวติดลบ เขาคงลืมไปแล้วว่าเธอไม่ชอบแพ้ใคร 


 


 


ดังนั้นจากเดิมที่ควรจะเล่นหมากรุกแค่แปปเดียว มือใหญ่มือเล็กลูบกันไปลูบกันมาก็ไปกลิ้งกันบนเตียง พอถูกอวี๋หมิงหลางออกไอเดียเจ้าเล่ห์แบบนี้ก็กลายเป็นว่าต้องตัดสินแพ้ชนะ 


 


 


“ถ้าเล่นหมากล้อมโอกาสชนะของฉันไม่เยอะ พวกเราเล่นหมากรุกสองตา หมากล้อมหนึ่งตา แล้วก็เปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ ไม่เอาถอดเสื้อผ้า เปลี่ยนเป็นให้อีกฝ่ายทำอะไรก็ได้ ชนะสองในสามเป็นไง?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางแอบเซ็งที่หลอกเธอไม่สำเร็จ คู่หมั้นเขาฉลาดเกินไป 


 


 


ถอดเสื้อผ้าไม่ต้องสนว่าใครถอดเขาก็ชนะอยู่ดี ถ้าเขาแพ้ทั้งตัวก็มีแค่กางเกงขาสั้นกับกางเกงใน แพ้สองตาก็หมดตัวแล้ว อยู่กับผู้ชายร่างเปลือยหุ่นดีอย่างเขา เขาไม่เชื่อว่าเธอจะเล่นต่อได้ 


 


 


“ทำไมต้องเอาหมากรุกด้วย?” 


 


 


“หมากรุกคือผืนดิน หมากล้อมคือใต้หล้า ฉันเล่นหมากล้อมกับนายชนะยากเลยต้องเอาให้ยุติธรรมหน่อย” 


 


 


ทั้งสองคนต่างเป็นคนสมองดี เพียงแต่มีความถนัดต่างกัน อวี๋หมิงหลางเก่งหมากล้อมมาก ได้ยินว่าสมัยเป็นนักเรียนเคยได้รางวัลแข่งขันระดับประเทศ สมองของเขาคำนวณเรื่องพวกนี้ไว 


 


 


“…เพิ่มสิ่งที่คุณถนัดเป็นสองตา อีกทั้งยังต้องชนะสองในสาม คุณยังจะกล้าพูดว่ายุติธรรมอีกนะ” อวี๋หมิงหลางเองก็ไม่ได้โง่ นี่คู่หมั้นเขารังแกกันชัดๆ แบบนี้เธอก็ชนะเขาสิ 


 


 


“จะเล่นไม่เล่น?” เธอเชิ่ดหน้าขึ้นอย่างหาเรื่อง รังแกแล้วจะทำไมล่ะ 


 


 


“เล่นๆๆ เมียผมอยากเล่นผมก็จะเล่น—แต่นิดนึงนะ ตอนนี้คุณให้ผมทำอะไรก็ได้ แต่เรื่องคืนนี้ห้ามยกเลิกนะ” 


 


 


ปีนึงทำได้แค่กี่ครั้งเอง กว่าจะได้อยู่ด้วยกันแต่ละครั้งไม่ง่าย ถ้ามายกเลิกอีกเหมือนถูกแย่งเอาความสุขสุดท้ายของชีวิตไป 


 


 


“วางใจได้ไม่ยกเลิกหรอก มากสุดก็แค่—” เสี่ยวเชี่ยนส่งสายตาให้เขา “นายชอบเล่นคอสเพลย์ไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


เอ๋? เมียเราดีขนาดนั้นเลย? อวี๋หมิงหลางมองเสี่ยวเชี่ยนที่ยิ้มเหมือนนางจิ้งจอก มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นว่าเมียตัวเองจะเป็นผู้หญิงที่ยอมให้ผู้ชายบงการได้ง่ายๆ แล้วนี่ทำไมอยู่ๆยื่นข้อเสนอดีๆให้? 


 


 


“เมียจ๋า คุณหมายความว่าถ้าผมชนะ…คุณจะเล่นคอสเพลย์กับผมเหรอ?” 


 


 


“อืม ถ้านายชนะขอได้แน่นอน แต่ถ้านายแพ้—” เธอยื่นมือไปลูบซิกแพคหน้าท้องแน่นๆของเขา “นายก็ต้องแต่งคอสเพลย์ในแบบของฉัน 


 


 


“ชุดทหาร?” 


 


 


“กระโปรงสั้นจู๋—ฉันแต่งหน้าให้นายด้วยก็ได้นะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางถึงกับเครียด แทบหยุดหายใจ 


 


 


“ลูกเชี่ยน ทำไมรสนิยมหนักแบบนี้?” 


 


 


“กล้าไหมล่ะ? ไม่กล้างั้นก็ช่าง ฉันเป็นพวกประชาธิปไตย ไม่ฝืนใจนายหรอก—เพียงแต่ถ้านายถอยโดยที่ยังไม่สู้ ต่อไปภาพลักษณ์ของนายในใจฉันก็จะไม่ใช่คนกล้าหาญอีกต่อไป เอ๊ะ ถ้าผู้ชายดูไม่แมนในสายตาของผู้หญิงตัวเองอีกแล้วแบบนั้นมันไม่เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดในชีวิตเหรอ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นท่าทางเจ้าเล่ห์ของเธอแล้วก็หมั่นเขี้ยว 


 


 


“คิดจะยั่วโมโหผมเหรอ?” 


 


 


“แล้วมันได้ผลกับพี่ไหมล่ะจ๊ะ?” เสี่ยวเชี่ยนขยิบตาแสร้งทำเป็นถามไร้เดียงสา 


 


 


“ขอแค่เป็นคุณ อะไรก็ได้ผลทั้งนั้น มาเลย” 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่มั่นใจเลยจริงๆ แต่ด้วยเงื่อนไขที่ให้เธอแต่งคอสเพลย์มาล่ออยู่ตรงหน้า เขาจึงมีจิตใจแน่วแน่ที่จะสู้ไม่ยอมถอย 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้พูดส่งเดช เมื่อชาติก่อนเธอกับเขาก็เล่นกันแบบนี้บ่อย หมากล้อมเธอแพ้ แต่ถ้าหมากรุกเธอชนะมากกว่าแพ้ อวี๋หมิงหลางในเวลานี้ไม่เหมือนกับเมื่อชาติก่อน เขาไม่รู้แผนเล่นหมากรุกของเธอ แต่เธอกลับจำวิธีการเล่นของเขาได้ ข้อได้เปรียบนี้ถ้าไม่ใช้แล้วยังจะมีความหมายอะไร? 


 


 


ตอนนี้เธอมองอวี๋หมิงหลางด้วยสายตาแวววาว คล้ายกับได้เห็นผู้ชายที่สวมกางเกงขาสั้นคนนี้เปลี่ยนไปใส่กระโปรงสั้นแล้วทำท่าทางอย่างที่เธอต้องการ 


 


 


“คิดอะไรอยู่น่ะ? ยิ้มชั่วร้ายเชียว” 


 


 


“เปล่า มาๆๆ มัวแต่พูดเสียเวลา” เสี่ยวเชี่ยนทำท่าเชิญเล่น ยิ้มได้ใจเหมือนแมวได้ปลา 


 


 


แค้นที่เมื่อคืนถูกจับกดตรงชั้นวางรองเท้าได้เวลาเอาคืนแล้ว 


 


 


แค้นที่ถูกจับกดกับกระจกก็ได้เวลาชำระเช่นกัน 


 


 


แล้วยังจะถูกจับกด…ที่อื่นๆอีก หึหึ 


 


 


สงครามระหว่างคนหัวกะทิได้เริ่มขึ้นแล้ว 


 


 


เธอได้เปรียบอยู่เห็นๆ ส่วนเขากำลังหัวร้อน ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใครต้องคอสเพลย์แล้ว เพื่อศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย เขาต้องสู้ 


 


 


เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนคาดไว้ เธอเล่นหมากล้อมสู้อวี๋หมิงหลางไม่ได้ แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย 


 


 


ต่อมาเป็นศึกหมากรุกที่จะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะใส่กระโปรงสั้นแล้ว นี่ไม่ใช่การแข่งขันที่ยุติธรรมเท่าไร เสี่ยวเชี่ยนอาศัยความทรงจำจากเมื่อชาติก่อน เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย 


 


 


แต่ต่อมาเขาเริ่มเข้าใจแผนการเล่นของเธอ บวกกับความอยากดูเธอแต่งคอสเพลย์เป็นตัวผลักดัน เสี่ยวเชี่ยนอยากจะชนะไม่ง่ายขนาดนั้น 


 


 


ทั้งสองคนตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างมาก หากไม่ระวังก็จะต้องไปใส่กระโปรงสั้นจู๋ เสี่ยวเชี่ยนพลาดเดินผิดไปหนึ่งก้าว 


 


 


พอเดินหมากไปแล้วเธอก็รู้สึกคิดผิด เธอจะเอามือไปจับตัวหมากอีกครั้งแต่ถูกอวี๋หมิงหลางจับมือไปถูหนวดที่เพิ่งขึ้นบนคางของเขา 


 


 


“ลูกเชี่ยน บัณฑิตย่อมไม่คดโกง” 


 


 


“พี่จ๋า เมตตาธรรมค้ำจุนครอบครัว น้องแค่พลั้งพลาด” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเคลิ้มกับคำเรียกของเธอ เสี่ยวเชี่ยนฉวยโอกาสดึงตัวหมากกลับไป 


 


 


ถึงตาอวี๋หมิงหลางแล้ว เขาหยิบตัวหมากขึ้นมากำลังจะวางก็ถูกเสี่ยวเชี่ยนเตะขา พอเสียสมาธิมือก็พลาดวางหมากผิดตำแหน่ง พอจะดึงกลับมือเล็กๆของเธอก็ตีมือเขา แล้วพูดอย่างได้ใจ 


 


 


“บัณฑิตย่อมไม่คดโกง” 


 


 


“น้องสาว เมตตาธรรมค้ำจุนครอบครัว พี่แค่พลั้งพลาด” อวี๋หมิงหลางลองใช้คำพูดเธอตอบโต้บ้าง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเถียงกลับทันที “ผิดแล้ว ประโยคนี้ไม่ได้พูดแบบนี้ บัณฑิตไม่คดโกง ถ้าโกงไอ้จ้อนหาย” 


 


 


เจอคนแบบนี้ก็เล่นต่อไปไม่ได้แล้ว อวี๋หมิงหลางทั้งโมโหทั้งขำ 


 


 


“คุณโกงก็มาบอกตัวเองพลาด คุณทำให้ผมเสียสมาธิจนวางหมากผิด แล้วยังจะมาแช่งน้องชายผมอีก?” 


 


 


แบบนี้มันไร้เหตุผลสิ้นดี เธอไม่ให้เขาเดินใหม่ อวี๋หมิงหลางแพ้แล้วจริงๆ ถ้าต้องมาใส่กระโปรงเพราะแบบนี้มันอัดอั้นตันใจเกินไป ครั้นแล้วพี่หลางจึงต้องใช้ท่าไม้ตายแพ้แล้วก็ล้มกระดานซะ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอ่อน “ใครกล้าล้มกระดานคืนนี้นอนพื้น” 


 


 


ทำทุกวิถีทางรังแกกันได้ขนาดนี้ อวี๋หมิงหลาง หึ ออกมา 


 


 


“ผมเข้าใจละ คุณอยากจะดูผมใส่กระโปรงให้ได้ใช่ไหมล่ะ?” 


 


 


“ใช่” เธอตอบเสียงดังฟังชัด มาเถอะ ยอมจำนนซะดีๆ 

 

 

 


ตอนที่ 539 แตะถูกฟางเส้นสุดท้าย

 

“ลูกเชี่ยน ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่คุณชนะอย่างไม่โปร่งใส เอาแค่คุณอยากดูผมแต่งหญิงผมก็ไม่ได้คัดค้านอะไร แต่คุณดูสิบ้านเราไม่มีกระโปรง เอางี้เดี๋ยวพี่ให้รางวัลเป็นอย่างอื่น วิดพื้นสองร้อยทีให้ดูเลยเป็นไง?” 


 


 


“วิดพื้นน่ะต้องทำอยู่แล้ว—แต่ว่ากระโปรงก็ต้องใส่ นายเป็นทหารหน่วยรบพิเศษไม่ใช่เหรอ? ถนัดที่สุดเรื่องไม่มีก็ทำให้มีได้ไม่ใช่เหรอ? ขอหาดูก่อนนะ—ผ้าม่านไง ผ้าปูที่นอนอีก มีอยู่ไม่ใช่เหรอ? เอามาดัดแปลงนิดหน่อยก็กลายเป็นกระโปรงได้แล้ว ในกระเป๋าฉันมีลิปสติก เดี๋ยวฉันทาสีแดงสุดร้อนแรงให้เป็นไง?” 


 


 


“ฆ่าผมเถอะ…” อวี๋หมิงหลางล้มลงบนโซฟาแกล้งตายเป็นศพ 


 


 


“ฆ่านายแล้วใครจะแต่งคอสเพลย์ให้ฉันดูล่ะ มาเถอะพี่จ๋า ลุกขึ้นมานะ~ แพ้ก็ต้องยอมรับ” 


 


 


“คุณชนะแบบไม่โปร่งใส” 


 


 


“เป็นทหารอย่าสับปลับ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่คนดีอะไร วันแรกที่นายรู้จักฉันก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” 


 


 


“เฉินเสียวเหม่ย ผมว่าตอนนี้คุณละทิ้งขอบเขตความเป็นมนุษย์ไปแล้ว” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำสีหน้าได้ใจ “ฉันต้องมีขอบเขตกับนายด้วยเหรอ? ขอบเขตของฉันที่มีต่อนายก็คือไม่มีขอบเขต นี่คือความรักอย่างเต็มเปี่ยมที่ฉันมีให้นายเลยนะ” 


 


 


“งั้นคุณก็เกลียดผมเถอะ” ทำไมเขาถึงได้หาเมียจอมแถแบบนี้มาได้นะ? 


 


 


“ไม่ ฉันรักนายไม่มีวันหมดสิ้น—พี่จ๋า กล้องพี่อยู่ไหนเหรอจ๊ะ?” 


 


 


อยู่ไม่ได้แล้วชีวิต เธอไม่ได้แค่อยากเล่นพิเรนทร์ ยังคิดจะถ่ายรูปด้วย? 


 


 


รูปแบบนี้ถ้าถ่ายออกมา ต่อไปอวี๋หมิงหลางอย่าได้มีชีวิตอยู่อีกเลย 


 


 


“วางใจเถอะ ฉันจะล้างรูปออกมา แต่ไม่มีทางเอารูปไปแพร่งพรายแน่” ทักษะนี้ได้ใช้งานจริงๆ 


 


 


“จริงสิลูกเชี่ยน ทำไมคุณรู้อะไรเยอะแบบนี้ ผมว่าคุณเป็นหลายอย่างเลยนะ ครั้งแรกที่เจอคุณถ่ายรูปพวกหลี่เจิ้น ตอนนั้นคุณก็ล้างรูปเองเหรอ?” 


 


 


“ฉันเป็นหลายอย่าง อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เร็วๆ แพ้แล้วต้องทำ” 


 


 


เห็นทีจะทำเฉไฉไม่ได้แล้วในขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังจนมุม โทรศัพท์ของเสี่ยวเชี่ยนก็ดังขึ้น 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่งสายตา ‘รอก่อนเถอะเดี๋ยวจะคิดบัญชี’ ให้เขา แล้วไปรับโทรศัพท์ 


 


 


“แม่มีอะไรเหรอ?” ที่บ้านโทรมา 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ…แกช่วยติดต่อทางบ้านหมิงหลางได้ไหม? ฉันโทรหาพี่ชายเขาไม่ติด…” น้ำเสียงของเจี่ยซิ่วฟางดูร้อนรน 


 


 


“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? แม่ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด” เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“พ่อเฮงซวยของแกไม่รู้ไปก่อเรื่องอะไรไว้ข้างนอก มีกลุ่มคนมาล้อมหน้าบ้านเราบอกต้องชดใช้หนี้ คนพวกนั้นบอกว่าถ้าไม่ใช้หนี้ก็จะกินนอนที่บ้านเรา แกอย่ากลับมาให้หมิงหลางช่วย—ว้าย” 


 


 


“แม่?” เสี่ยวเชี่ยนได้ยินเสียงแม่ร้องก็รีบนั่งตัวตรงทันที ส่วนอวี๋หมิงหลางพอได้ยินว่าเกิดเรื่องก็รีบไปหาเสื้อผ้ามาใส่ 


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน พ่อแกติดเงินพวกเราไว้ รีบเอาเงินมาคืนพวกเราเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น…หึหึ ฉันไม่รู้นะว่าพี่น้องฉันจะทำอะไรลงไปบ้าง” 


 


 


เสียงผู้ชายลอยมาตามสาย 


 


 


“อยากได้เท่าไรมาคุยกัน ห้ามทำร้ายแม่ฉัน เดี๋ยวฉันไป” เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางที่แต่งตัวเสร็จอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังหยิบเสื้อผ้าเธอมาให้ด้วย เธอให้เขาใส่กางเกงให้ แล้วก็พบว่าตรงเอวอวี๋หมิงหลางมีอาวุธคล้ายกระบองติดอยู่ 


 


 


“สองแสน ห้ามขาดแม้แต่แดงเดียว” 


 


 


“ขอทราบชื่อ” 


 


 


“ฉันชื่อเสียวจิ่ว—ฉันคือพี่จิ่ว จำไว้ห้ามแจ้งตำรวจ พ่อแกยังอยู่ในกำมือพวกฉัน ถ้าแกแจ้งตำรวจฉันจะเอาพ่อแกไปโยนทะเล” 


 


 


“เดี๋ยวฉันไป จำไว้ห้ามแตะต้องแม่กับน้องชายฉัน ไม่อย่างนั้นแกจะไม่ได้เงินสักแดงเดียว” เสี่ยวเชี่ยนตัดสายทิ้ง ระหว่างคุยอวี๋หมิงหลางได้แต่งตัวให้เธอเสร็จแล้ว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเกือบลืมไปแล้วว่าเธอมีพ่อ หายไปนานโผล่มาทีก็สร้างเรื่องใหญ่ขนาดนี้ 


 


 


เธอก้มหน้าค้นหาเบอร์เจิ้งซวี่ พอกำลังจะกดโทรก็รู้สึกแปลกๆ 


 


 


เงยหน้าขึ้นเห็นอวี๋หมิงหลางกำลังจับจ้อง ถ้าเธอกล้านึกถึงผู้ชายอื่นก่อนเป็นคนแรก ว่าที่สามีอย่างเขาก็จะรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจ เขาต้องตามคิดบัญชีกับเธอแน่ 


 


 


ยังดีที่เสี่ยวเชี่ยนคิดได้ทัน รีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า 


 


 


“เสี่ยวเฉียงนายจัดการ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางจูงมือเธอข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกดโทรหาพี่ใหญ่ 


 


 


“พี่ใหญ่ พี่จัดการเรื่องยังไงเนี่ย? ทำไมมีคนไปหาเรื่องแม่ยายผม พี่ทำพลาดเหรอ นี่เมืองQยังมีคนกล้าปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยโหดให้อดีตพ่อตาผมด้วยเหรอ ตอนนั้นผมบอกพี่ไว้ว่าไง?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเฉินหลินติดพนัน ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงได้บอกอวี๋หมิงลี่เรื่องนี้ไว้ ว่าห้ามให้ใครหน้าไหนปล่อยเงินกู้ให้เฉินหลิน บ่อนใหญ่หน่อยก็ห้ามเฉินหลินเข้า 


 


 


อวี๋หมิงลี่พอได้ยินข่าวนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน “เป็นไปไม่ได้ ฉันบอกลูกน้องเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ใครมันกล้าปล่อยเงินให้เขา? คนมาทวงหนี้ชื่ออะไร?” 


 


 


“มันเรียกตัวเองว่าพี่จิ่ว แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงไม่ได้ใหญ่มาจากไหนหรอก” 


 


 


“เดี๋ยวฉันโทรกลับ ทางคุณน้าไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า เดี๋ยวฉันส่งคนไป” 


 


 


“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมไปเอง พี่ไปจัดการเรื่องให้มันชัดเจนเป็นพอ” 


 


 


ระหว่างทางพี่ใหญ่ได้โทรกลับมา อวี๋หมิงหลางให้เสี่ยวเชี่ยนรับ 


 


 


“สืบไม่เจอคนปล่อยเงินกู้ชื่อนี้นะ คงไม่ได้อยู่เมืองนี้ เพราะคนปล่อยเงินกูเมืองนี้ไม่มีใครชื่อพี่จิ่ว เดี๋ยวพี่จะลองสืบเมืองข้างๆดูว่ามาจากเมืองอื่นหรือเปล่า” 


 


 


“ไม่ต้องแล้วค่ะพี่ใหญ่ ช่วยหนูสืบหาที่อยู่พ่อก็พอค่ะ” 


 


 


อวี๋หมิงหลางเห็นเสี่ยวเชี่ยนพอวางสายก็หน้าบึ้ง จึงเอามือไปจับมือเธอไว้ 


 


 


“ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มีผมอยู่ทั้งคน” 


 


 


“ฉันเมตตาเขามากเกินไป ถ้าตอนนั้นฉันโหดขึ้นอีกนิดเขาคงไม่มีแรงมานั่งคิดใช้วิธีไร้สมองแบบนี้” พอนึกถึงแม่ตัวเองที่ต้องมาตกใจกับเรื่องนี้ สีหน้าเสี่ยวเชี่ยนก็แย่ลงมาก 


 


 


“คุณก็คิด…เหมือนที่ผมคิดเหรอ?” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพอได้ยินพี่ใหญ่บอกว่าไม่ใช่คนเมืองนี้ที่ปล่อยเงินกู้ก็นึกออกทันทีว่าความจริงอาจจะเป็นแบบนั้น พอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดเขาก็รู้เลยว่า เธอกับเขาคิดเหมือนกัน 


 


 


“เรื่องดีๆไม่คิด เรื่องเลวๆล่ะคิดไว ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่เขาขี้ขลาดรักตัวกลัวตายไม่กล้ากู้เงินดอกเบี้ยโหดหรอก เอาแค่คนปล่อยเงินเขาก็ไม่ได้โง่เสียหน่อย อยากกู้ก็ต้องมีหลักประกัน ตอนนี้แม่ฉันมีเงิน แต่เขาหย่ากับแม่ฉันแล้ว คนปล่อยเงินกู้ไม่มีทางให้คนเหลือแต่ตัวแบบเขากู้เงินหรอก” 


 


 


ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนโมโหมาก ครั้งนี้เฉินหลินได้แตะถูกฟางเส้นสุดท้ายแล้ว 


 


 


“จัดการไปตามสถานการณ์ เรื่องแค่นี้โมโหไปไม่คุ้มหรอก ลูกเชี่ยน คุณหาเบอร์คนชื่อเสียวอู่แล้วโทรไปที” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำตามที่เขาบอก 


 


 


“เสียวอู่ นี่หัวหน้านะ สืบหาคนชื่อเฉินหลินให้ที สูง174 ติดพนัน พูดจาสำเนียงคนชานเมืองQ เลขบัตรประชาชน…”  

 

 


ตอนที่ 540 พี่หลางไม่สบอารมณ์

 

ผู้ชายคนหนึ่งมีใจให้ผู้หญิงคนหนึ่งหรือเปล่าให้ดูว่าเขาทำตัวอย่างไรต่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอก็จะรู้ เสี่ยวเชี่ยนให้อวี๋หมิงหลางไปสืบเรื่องพ่อเมื่อนานมาแล้ว แต่เขากลับจดจำรายละเอียดจนขึ้นใจ 


 


 


“ไปสืบร่องรอยของคนๆนี้ให้ผมที ใช้วิธีไหนก็ได้ตามตัวให้เจอแล้วจับไว้ อย่าให้เขาหนีไปได้” 


 


 


อวี๋หมิงหลางขับรถอย่างรวดเร็ว บ้านของเจี่ยซิ่วฟางอยู่ห่างจากบ้านของเขาไม่ไกล ไม่กี่นาทีก็ถึง 


 


 


เมื่อเข้าไปถึงทางเดินในตึกก็ได้กลิ่นบุหรี่โชยมา ประตูบ้านถูกเปิดทิ้งไว้ คนท่าทางนักเลงหลายคนอยู่แถวนั้น บ้างก็ยืนพิงกำแพง บ้างก็นั่งอยู่ตรงบันได บนพื้นมีแต่ขี้บุหรี่ 


 


 


พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมาแล้ว มีคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงของเขากำลังรายงานข่าว 


 


 


“พี่จิ่ว ลูกสาวเฉินหลินกลับมาแล้ว” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมองหน้ากัน เธอยังไม่ได้พูดอะไรคนพวกนี้กลับจำเธอได้ ก็แสดงว่ามีการทำการบ้านมาไม่น้อย ดูท่าการคาดคะเนของเสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางจะถูก 80-90% 


 


 


ไม่นานผู้ชายท่าทางนักเลงคนหนึ่งก็เดินออกมา ซึ่งก็คือคนที่บอกว่าตัวเองชื่อพี่จิ่วทางโทรศัพท์ 


 


 


พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนแววตาก็เป็นประกาย เด็กคนนี้สวยกว่าในรูปอีก 


 


 


หลังจากที่อวี๋หมิงหลางรู้สึกได้ถึงความคิดลามกชนิดที่ปิดไม่มิดของคนๆนี้ รังสีอำมหิตก็แผ่ซ่านทันที ถึงเสียวจิ่วจะไม่รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร แต่สัตว์ต่างมีสัญชาตญาณ เขาเห็นอวี๋หมิงหลางก็เหมือนหนูเห็นแมว บุคลิกทหารนักรบที่อยู่บนตัวใช่ว่านักเลงกระจอกทั่วไปจะมาเล่นด้วยได้ 


 


 


“บอกไม่ให้แจ้งตำรวจไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่ใคร?” เสียวจิ่วละสายตาจากอวี๋หมิงหลาง ไม่กล้ามองสายตาเอาเรื่องของเขา 


 


 


ตัวเตี้ยกว่าอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงที่พูดกับเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้ดูข่มแต่อย่างใด คนเยอะกว่าแท้ๆแต่กลับไม่ดูได้เปรียบ 


 


 


“เขาเป็นแฟนฉัน แม่ฉันล่ะ?” 


 


 


“อยู่ในบ้าน—เงินล่ะ?” ในที่สุดเสียวจิ่วก็นึกจุดประสงค์ที่มาออก ลูกน้องที่อยู่ข้างๆต่างพากันส่งเสียงตามลูกพี่ อวี๋หมิงหลางกวาดตามอง คนพวกนั้นต่างพากันหลบตาไม่กล้าพูดอะไรอีก 


 


 


“แม่แกอยู่ในบ้าน” เสียวจิ่วเองก็เริ่มเครียด เขากลัวอวี๋หมิงหลางมาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้หวาดกลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ได้เห็นนักเลงกระจอกพวกนี้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เธอเดินเข้าไปในบ้าน อวี๋หมิงหลางตามติดทันที 


 


 


หลังจากที่ทั้งสองคนเข้าไปแล้ว เสียวจิ่วที่ยืนอยู่หน้าบ้านอยู่ๆก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก 


 


 


“พี่จิ่ว คงไม่มีอะไรใช่ไหม ผมว่าผู้ชายคนนี้มันไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนนี้คงไม่ได้แจ้งตำรวจหรอกนะ?” 


 


 


ลูกน้องคนหนึ่งถามแทนทุกคน 


 


 


เสียวจิ่วเองก็ไม่มั่นใจ ทุกคนต่างดูออกว่าอวี๋หมิงหลางไม่ธรรมดา คนพวกนี้ปกติลักเล็กขโมยน้อยเข้าคุกเป็นว่าเล่น รู้สึกได้ว่าลักษณะของอวี๋หมิงหลางไม่เหมือนกับตำรวจ ถึงพวกเขาจะหวาดกลัวคนในเครื่องแบบเป็นทุนเดิม แต่รังสีอำมหิตจากตัวอวี๋หมิงหลาง ต่อให้เป็นตำรวจทั่วไปก็ไม่น่าจะเป็นแบบนี้ 


 


 


นี่เป็นลักษณะท่าทางที่คนเป็นทหารผ่านสงครามมาถึงจะมี พวกเขาจะเคยเห็นได้อย่างไร 


 


 


“ช่างเถอะ ทำตามแผนเดิมที่วางไว้ พวกเราคนเยอะกว่ายังจะกลัวไม่สำเร็จ? ต่อให้เก่งกว่านี้ก็เอาชนะพวกเราไม่ได้หรอก ไป เข้าบ้าน” 


 


 


เสียวจิ่วอาศัยที่พรรคพวกตัวเองเยอะกว่าพูดเรียกความมั่นใจอย่างฝืนๆ 


 


 


ภาพที่เสี่ยวเชี่ยนเข้าไปเห็นในบ้านทำให้เธอโมโหมาก 


 


 


แม่ของเธอถูกคนจับตามองจนไม่กล้าขยับตัว ส่วนน้องชายกับพ่อเลี่ยวถูกผู้ชายสองคนต้อนเข้ามุมกำแพง ดูก็รู้ว่าต้าหลงถูกซ้อม พ่อเลี่ยวก็เหมือนกัน แว่นตาแตก พวกเขาถูกผู้ชายร่างกำยำสองคนจับมัดไว้ 


 


 


พ่อเลี่ยวมาพลอยซวยไปด้วยของแท้ พอเลิกงานกลับมาเขาเห็นประตูบ้านของเจี่ยซิ่วฟางปิดสนิท มีเสียงพูดคุยดังมากลอดออกมา เขารู้สึกแปลกๆจึงมาเคาะดูว่าเกิดอะไรขึ้น 


 


 


ปรากฏว่าเห็นคนกำลังขู่เจี่ยซิ่วฟาง พ่อเลี่ยวก็รีบส่งเสียงห้ามหวังจะเป็นฮีโร่ช่วยสาวงาม แต่กลับถูกต่อยแว่นตาแตก คิดจะโทรแจ้งตำรวจก็ถูกพังโทรศัพท์ พอบอกว่าตัวเองเป็นประธานในศาลคนพวกนี้ก็หัวเราะเยาะใหญ่ แล้วก็จับเขามัดไว้ 


 


 


ประธานในศาลก็ผู้พิพากษาไม่ใช่เหรอ ผู้พิพากษาบ้านไหนมาอยู่ในตึกซอมซ่อแบบนี้ แต่งตัวก็เหมือนคนทั่วไป จะโกหกทั้งทีไม่รู้จักดูสารรูปของตัวเอง อัดแม่ง 


 


 


ดังนั้นพ่อเลี่ยวนอกจากจะเป็นฮีโร่ไม่ได้แล้วยังถูกจับมัดด้วย 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ” เจี่ยซิ่วฟางพอเห็นหน้าลูกสาวน้ำตาก็ไหลออกมา 


 


 


เมื่อครู่ตอนเธอโทรไปเรื่องยังไม่ร้ายแรงขนาดนี้ พอเธอคุยกับลูกสาวได้ครึ่งทาง เฉินจื่อหลงก็กลับบ้านมา เฉินจื่อหลงเห็นหน้าบ้านมีคนเยอะแยะ มีคนรุมล้อมแม่ของเขาอยู่ ฮอร์โมนเลือดร้อนของเด็กวัยรุ่นก็ปะทุทันที เข้าไปกระชากคนพวกนั้น แล้วเขาก็ถูกจับมัด 


 


 


ต่อมาพ่อเลี่ยวพยายามเข้าช่วยแต่ไม่สำเร็จ จะโทรแจ้งตำรวจก็ถูกพังโทรศัพท์ ทั้งสองคนต่างเลือดร้อนอยากเข้าช่วย แต่ก็สู้จำนวนคนที่เยอะกว่าไม่ได้ เลยถูกอัดหน้าช้ำเลือดไหล ถูกจับมัดไว้ ปากก็ถูกอุด 


 


 


 พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนเข้ามาเฉินจื่อหลงก็ส่งเสียงอืออา พี่สาวของเขาสวยขนาดนี้จะปล่อยให้ถูกรังแกไม่ได้ ทันใดนั้นก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ในหนังฮีโร่ พี่ ทิ้งผมไว้แล้วรีบหนีไป  


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเห็นน้องชายตัวเองถูกรังแก เพื่อบ้านยังมาซวยไปด้วยก็ระงับไฟโกรธไว้ไม่อยู่ 


 


 


เธอเข้าไปดูเจี่ยซิ่วฟาง ยังดีที่แม่ไม่ได้รับบาดเจ็บ คนพวกนั้นไม่ได้ลงไม้ลงมือกับเจี่ยซิ่วฟาง แต่ก็ดูเธอตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะพอเห็นเสี่ยวเชี่ยนกลับมาน้ำตาก็ไหลทันที 


 


 


“แกกลับมาทำไม…” น้ำเสียงของเจี่ยซิ่วฟางสั่นเครือ 


 


 


เมื่อวานลูกสาวบอกว่าจะกลับมหาวิทยาลัยเลย—แน่นอนเสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางบอกแม่ว่าตัวเองไปเล่นผีผ้าห่มกับผู้ชายมาทั้งคืน ดังนั้นเจี่ยซิ่วฟางจึงคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้อยู่เมืองQแล้ว ตอนโทรไปหาเธอแค่อยากลองถามดูว่าเสี่ยวเชี่ยนพอจะให้ทางครอบครัวอวี๋ช่วยได้หรือเปล่า 


 


 


นึกไม่ถึงว่าลูกสาวจะกลับมา 


 


 


หมาป่าเต็มบ้านแบบนี้เจี่ยซิ่วฟางกลัวจะเกิดเรื่องขึ้นกับลูกสาว ถึงว่าที่ลูกเขยจะมาด้วย แต่ก็ไม่วางใจ ต่อให้อวี๋หมิงหลางเก่งแค่ไหน จะเอาชนะคนเยอะขนาดนี้ได้เหรอ? 


 


 


“พวกมันทำแม่หรือเปล่า?” เสี่ยวเชี่ยนถาม 


 


 


“เปล่า แต่ทำน้องแก อาเลี่ยวก็โดนด้วย…” เจี่ยซิ่วฟางพอมองไปทางลูกชายน้ำตาก็ไหลหนักกว่าเดิม ลูกชายเธอถูกซ้อมต่อหน้าต่อตา ส่วนเพื่อนบ้านน้ำใจดีก็มาเจ็บตัวไปด้วย 


 


 


ไม่ว่าเธอจะขอร้องคนพวกนี้ยังไงก็ไม่ได้ผล เรื่องนี้ทำให้เจี่ยซิ่วฟางขวัญเสีย 


 


 


“เสียวเหม่ย พาแม่คุณเข้าไปในห้องนอนเถอะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ผม” 


 


 


อวี๋หมิงหลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม นับตั้งแต่วินาทีที่เขาเห็นว่าที่น้องเมียถูกซ้อมถูกมัดไว้แบบนั้น พี่หลางก็แทบควบคุมเซลล์อยากใช้กำลังในร่างกายไม่อยู่ 


 


 


“ระวังตัวด้วยนะ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพยุงแม่ยืนขึ้น ลูกน้องคนหนึ่งคิดจะเข้าไปห้ามเสี่ยวเชี่ยน แต่ถูกอวี๋หมิงหลางจ้องจนไม่กล้าขยับ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพาเจี่ยซิ่วฟางเข้าห้องนอนอย่างไม่แคร์ 


 


 


ปิดประตู เจี่ยซิ่วฟางพูดด้วยอาการหวาดกลัว “เชี่ยนเอ๋อ…หมิงหลางอยู่ข้างนอกคนเดียวไม่เป็นไรเหรอ?” 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอก เขารู้ตัวเองดี” 


 


 


พอเสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากด้านนอก  

 

 


ตอนที่ 542 ความรักที่แท้จริง

 

 


 


 


จริงๆแล้วนักเลงพวกนั้นจะลุกขึ้นมานั่งก็ได้ แต่กลัวโดนอัดซ้ำ ไม่สู้แกล้งนอนเจ็บยังจะสบายกว่า 


 


 


“ไอ้คนหน้าด้าน…” เจี่ยซิ่วฟางโมโหจะยืนขึ้น แต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนกดให้นั่งลง 


 


 


“เสียวเหม่ยโทรแจ้งตำรวจ” อวี๋หมิงหลางพูดกับเสี่ยวเชี่ยน เขาแก้มัดให้ต้าหลงกับพ่อเลี่ยว 


 


 


หลังจากโทรแจ้งตำรวจแล้วเสี่ยวเชี่ยนก็เดินไปหาน้องชาย มองใบหน้าของต้าหลงที่เขียวช้ำด้วยความเป็นห่วง 


 


 


เด็กคนนี้ถูกต่อยตาเขียว ใบหน้าของพ่อเลี่ยวก็ไม่ต่างกัน ยังดีที่อาการไม่ได้รุนแรงเท่าที่เห็น ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก 


 


 


“ต้าหลงตอนนี้รู้สึกเป็นไงบ้าง รู้สึกแย่ตรงไหนหรือเปล่า หรือรู้สึกหวาดกลัวไหม?” เสี่ยวเชี่ยนสงสารน้องชาย เวลาเธอรังแกน้องก็แค่การหยอกล้อระหว่างพี่สาวกับน้องชาย แต่พอเห็นน้องถูกทำร้ายขนาดนี้เธอก็รู้สึกโกรธมาก 


 


 


น้องเธอเพิ่งจะอายุเท่าไร ถ้าเกิดตกใจกลัวจนเกิดบาดแผลในใจขึ้นมาจะทำยังไง 


 


 


“ไม่เป็นไร…” เฉินจื่อหลงมองอวี๋หมิงหลาง 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นสายตาของน้องชายก็คิดในใจ แย่แล้ว 


 


 


นี่น้องเธอเอ๋อไปแล้วเหรอ? ทำไมตาดูลอยๆแบบนั้น? 


 


 


ปรากฏว่าต้าหลงกลับพูดกับอวี๋หมิงหลางด้วยน้ำเสียงชื่นชม “พี่หลาง ไม่สิ พี่เขย พี่เป็นพี่เขยของผม พี่ต้องถ่ายทอดวิชาให้ผมนะ อาจารย์ได้โปรดรับข้าน้อยเป็นศิษย์” 


 


 


ถ้าเป็นวิชาพวกนี้อีกหน่อยยังจะต้องกลัวแพ้อีกเหรอ? 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองบน ดูท่าน้องเธอจะไม่เป็นไรจริงๆ 


 


 


เธอถึงได้ละสายตาไปหาพ่อเลี่ยว 


 


 


“คุณอาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?” 


 


 


“ไม่—” 


 


 


เพล้ง เลนส์แว่นหลุดออกมาข้างหนึ่ง พ่อเลี่ยวที่เหลือเลนส์แว่นอยู่ข้างเดียวมองเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางอยู่ในอาการขวัญเสียเล็กน้อย เฉินจื่อหลงกับพ่อเลี่ยวได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย อวี๋หมิงหลางจัดการกับพวกนักเลงจนกลายเป็นไอดอลของเฉินจื่อหลง ส่วนนักเลงกระจอกพวกนี้ไม่ได้อะไรเลย 


 


 


พวกเขาสู้อวี๋หมิงหลางไม่ได้ แต่กลับต้องมารับผลจากการกระทำของตัวเอง 


 


 


บุกรุกที่อยู่อาศัย ทำร้ายคนโดยเจตนา ทำลายทรัพย์สิน—เฟอร์นิเจอร์ที่อวี๋หมิงหลางทำพังก็โบ้ยให้เป็นความผิดของคนพวกนั้น ต้องจัดการไปตามโทษทำร้ายคนโดยเจตนา อีกทั้งยังต้องชดใช้ในทางแพ่ง คนพวกนี้เจอของแข็งเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเสี่ยวเชี่ยนได้โอกาสเปลี่ยนใหม่พอดี ส่วนค่ารักษาของต้าหลงกับพ่อเลี่ยวคนพวกนั้นก็ต้องรับผิดชอบ 


 


 


ส่งคนพวกนั้นเข้าตาราง ส่งพ่อเลี่ยวไปโรงพยาบาล ถึงแม้พ่อเลี่ยวจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ด้วยความที่อายุมากแล้วตรวจอย่างละเอียดไปเลยดีกว่า เผื่อสมองกระทบกระเทือน พอเสร็จเรื่องพวกนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ได้เอ่ยชมเฉินจื่อหลง 


 


 


เฉินจื่อหลงสุดภูมิใจ ความกล้าหาญที่เขาปกป้องครอบครัวไม่เพียงแต่จะได้รับคำชมเป็นอย่างมากจากพี่สาวกับว่าที่พี่เขย อีกทั้งพี่สาวยังบอกว่าจะซื้อจักรยานเสือภูเขาไจแอ้นท์รุ่นล่าสุดให้ พี่เขยก็รับปากจะแอบซื้อเครื่องเกมรุ่นใหม่ให้ 


 


 


พี่เขยยังรับปากอีกว่าพอปิดเทอมจะถ่ายทอดวิชาให้ และที่เจ๋งที่สุดก็คือเขายังต้องนอนพักรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์ ไม่ต้องไปโรงเรียน ไม่มีอะไรเจ๋งไปกว่านี้อีกแล้ว 


 


 


สำหรับเด็ก การที่ไม่ต้องไปโรงเรียนอีกทั้งยังได้ของขวัญนับเป็นเรื่องที่มีความสุขสุดๆ เฉินจื่อหลงนึกอะไรที่ซับซ้อนไม่เป็น แต่เสี่ยวเชี่ยนนึกได้ 


 


 


สภาพจิตใจของเจี่ยซิ่วฟางยังไม่มั่นคง พาไปเจอเฉินหลินไม่ได้แน่นอน หลังจากที่ให้ปากคำที่โรงพักเสร็จ เสี่ยวเชี่ยนก็ให้น้องชายที่อยู่ในสภาพถูกพันด้วยผ้าพันแผลพาเจี่ยซิ่วฟางกลับบ้านไปก่อน ส่วนเธอกับอวี๋หมิงหลางจะไปคิดบัญชีกับตัวต้นเรื่อง 


 


 


คนพวกนั้นบอกที่หลบซ่อนตัวของเฉินหลิน ในฐานะที่เป็นตัวบงการ หากเสี่ยวเชี่ยนจะฟ้องเขา เขาก็ไม่มีทางหนีพ้น  


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเอาแต่ทำหน้าตึงไม่พูดไม่จา อวี๋หมิงหลางเองก็ขับรถไปเงียบๆ 


 


 


เฉินหลินเช่าห้องเล็กๆอยู่ ตึกนั้นมีกันอยู่หลายครอบครัว ด้านนอกมีคนยืนเรียงแถวกัน ตอนนี้เหลือแค่เฉินหลินกับคนที่ยืนคุม คนพวกนี้เป็นคนที่อวี๋หมิงหลางส่งมา ส่วนพวกชาวบ้านถูกไล่ให้ออกไปจากแถวนั้นหมดแล้ว 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอยากลงจากรถ แต่อวี๋หมิงหลางจับข้อมือเธอไว้ 


 


 


เธอมองหน้าเขา อวี๋หมิงหลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง 


 


 


“เสียวเหม่ย คุณไม่รู้สึกเหรอว่าหลังจากที่เราคบกัน คุณไม่ค่อยคิดอะไรฟุ้งซ่านแล้ว? โรคย้ำคิดย้ำทำของคุณก็เบาลงไปมาก” 


 


 


“อืม เป็นเพราะนาย แม้แต่การที่โลกสงบสุขก็เป็นเพราะนาย ฉันก็แค่ผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำจะสู้ยอดคนอย่างนายได้ยังไง” เสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าความใจเย็นของเขามีส่วนช่วยเรื่องอาการป่วยของเธอจริงๆ แต่ก็อยากประชดด้วยความเคยชิน ก็ผู้หญิงนี่นะ 


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่ได้ถือสากับคำพูดของเธอ เขาต้องการพูดเรื่องสำคัญ 


 


 


“ผมไม่ได้จะมาขอคำชม แค่อยากบอกคุณว่า อาการคุณตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ผมไม่อยากให้เรื่องที่ไม่คุ้มกันมาทำให้คุณไม่มีความสุข” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจแล้ว พูดจาอ้อมโลกขนาดนี้ก็เพราะอยากให้เธอใจเย็น 


 


 


“อวี๋หมิงหลาง นายรู้ใช่ไหมว่าผู้ชายเฮงซวยคนนั้นทำอะไรกับแม่ฉันบ้าง? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรารีบกลับไป แม่กับน้องชายฉันจะเป็นยังไง? ตอนนี้ถ้าใครมาบอกให้ฉันใจเย็นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับฉัน ฉันจะทำลายล้างให้หมด” 


 


 


“ผมไม่ได้มาขอร้องคุณแทนเขา ผมแค่ไม่อยากให้คุณต้องมามีภาระทางความคิดเพราะคนแบบนั้น ถ้าลงมือโหดเ**้ยมคนที่รู้สึกแย่จริงๆก็จะเป็นตัวเอง ผมไม่อยากเห็นคุณทำหน้ากลุ้มไปตลอดชีวิต” 


 


 


ปกติเขาจะยอมให้เธอ แต่ในเวลาแบบนี้จะให้เขาปล่อยเธอลงไปคิดบัญชีไม่ได้ หมัดพอถูกปล่อยออกไปแล้วรู้สึกสบายก็จริง เธอมีความสามารถทำให้พ่อไม่เอาไหนคนนั้นลุกขึ้นมาไม่ได้อีก แล้วหลังจากนั้นล่ะ? 


 


 


เวลาความเงียบสงบยามค่ำคืนมาเยือน เธอจะเป็นเหมือนตอนที่เพิ่งรู้จักกันหรือเปล่าที่ชอบพูดว่าตัวเองเป็นคนเลว? โรคย้ำคิดย้ำทำเดิมก็มีจุดเด่นอยู่ที่การกระทำสวนทางกับความตระหนักรู้ อวี๋หมิงหลางไม่อยากเห็นเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก สายเลือดใช่ว่าอยากจะตัดขาดก็ตัดได้ มันมีสัญชาตญาณของความเป็นคนคอยรบกวนอยู่ 


 


 


“ความโกรธนี้ฉันกลืนมันไม่ลง ถ้าไม่จัดการให้เด็ดขาด แม่กับน้องชายฉันจะไม่ถูกรังแกไปตลอดเหรอ? การใจอ่อนกับคนแบบนี้ก็เท่ากับฉันไม่รับผิดชอบต่อคนที่ฉันอยากปกป้อง ถ้านายลังเลก็ให้เจิ้งซวี่มาจัดการ นายจะได้ไม่ต้องคิดมากเพราะสถานะของตัวเอง” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนอดทนกับพ่อเฮงซวยมานานแล้ว ครั้งนี้เธอหมดความอดทนเข้าแล้วจริงๆ 


 


 


“ก็เพราะเจิ้งซวี่ตามใจคุณมาตลอด เขาถึงเป็นกับคุณได้แค่เพื่อน คนที่ไปก่อเรื่องเป็นเพื่อนคุณได้ตลอดแบบนั้นเรียกว่าเพื่อน แต่คนที่เป็นห่วง คิดแทนคุณทุกอย่างแบบนั้นถึงเรียกว่าคนรัก เข้าใจไหม?” 


 


 


“นายคิดจะมาหึงเอาตอนนี้เหรอ? ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทะเลาะกับนาย” 


 


 


“ผมไม่ได้หึง ผมแค่อยากช่วยให้คุณได้สติ” 


 


 


“ฉันไม่ต้องการ ฉันเข้าใจทุกอย่างดีกว่านาย ผู้ชายคนนั้นไม่เคยนึกถึงความเป็นสายเลือด รังแกแม่กับน้องชายฉัน ถ้าฉันยอมเรื่องนี้ก็อย่ามาเรียกว่าเฉินเสี่ยวเชี่ยน เรียกฉันว่าเฉินไร้ค่าไปเลย” 


 


 


“ได้ งั้นผมไม่วิเคราะห์แล้ว เรามาคุยเรื่องแผนแก้ปัญหากัน” 


 


 


“นี่เป็นเรื่องของฉัน ฉันจัดการเอง นายไม่ต้องมาพูดเรื่องสายใยพ่อลูกกับฉัน ฉันกับเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก สิ่งที่มีต่อกันก็คือความเป็นศัตรู” 


 


 


 “พวกเราไม่คุยกันเรื่องสายใยพ่อลูก ผมจะคุยกับคุณเรื่องความเป็นสามีภรรยา คุณเป็นแก้วตาดวงใจของผม ผมทนเห็นคุณเสียใจไม่ได้ ผมไม่แคร์ว่าเขาจะอยู่หรือตาย แต่ผมไม่อยากเห็นคนที่ผมรักเสียใจ คุณเสียใจผมเองก็ไม่ต่างกัน” 


 


 


“ดังนั้นนายคิดจะเอาไงกับฉัน? ให้ฉันทน?” 


 


 


“ไม่ คุณไม่ต้องทน ผมต้องหาทางให้คุณได้ระบายอารมณ์แน่ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องไปเองนี่นา ลูกเชี่ยนคุณเข้าใจผมไหม?”  

 

 


ตอนนี้ 541 นี่มันโคตรเท่ห์เลย

 

 


 


 


หลังจากเสียงร้องโอดโอยแล้ว ตามมาด้วยเสียงเยือกเย็นแสดงความไม่พอใจของอวี๋หมิงหลาง 


 


 


“บุกรุกที่อยู่อาศัย จับคนเป็นตัวประกัน ข่มขู่โดยผิดกฎหมาย เจตนาทำร้าย และที่ไม่อาจอภัยให้ได้ที่สุดก็คือ ใช้สายตาลามกมองผู้หญิงของฉัน” 


 


 


แต่ละประโยคที่เขาพูดจะตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอย ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรไปด้วย 


 


 


ประโยคสุดท้ายที่อวี๋หมิงหลางพูด คนที่ถูกอัดร้องได้น่าเวทนาที่สุด เสี่ยวเชี่ยนฟังออก คนสุดท้ายที่อวี๋หมิงหลางอัดคือผู้ชายที่ชื่อเสียวจิ่ว 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางตกใจจนลืมเรื่องร้องไห้ เธออ้าปากค้างมองประตูที่ปิดสนิท ไม่รู้ว่าอวี๋หมิงหลางที่อยู่ด้านนอกทำอะไรลงไปบ้าง 


 


 


ทำได้แค่วิเคราะห์จากเสียงร้อง อวี๋หมิงหลางจะต้องเป็นฝ่ายกระทำคนเลวพวกนั้นอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน 


 


 


ตอนแรกยังกลัวว่าอวี๋หมิงหลางจะเสียเปรียบ ตอนนี้กลับกลายเป็นกลัวอวี๋หมิงหลางจะทำคนพวกนั้นพิการ 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ…แกไม่ออกไปดูหน่อยเหรอ หมิงหลางคงไม่ทำถึงขั้นพิการหรอกนะ? อย่าทำให้เขาซวยเพราะเรื่องนี้ไปด้วยนะ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนหน้านิ่ง “ไม่ต้องหรอก เขารู้ดีว่าต้องทำขนาดไหน” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากให้เขาต้องคอยระแวงเลยเข้าห้องมา สงครามด้านนอกจบไวกว่าที่เธอคิด อวี๋หมิงหลางจัดการนักเลงพวกนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับเจี่ยซิ่วฟางที่อยู่ในห้องไม่รู้เหตุการณ์ด้านนอก แต่เฉินจื่อหลงเห็นทุกอย่างแบบเรียลไทม์ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีอะไรอุดปากอยู่ เขาคงได้ตกใจอ้าปากค้างจนหุบไม่ลง 


 


 


นี่มัน…คะ คะ คะ โคตรเท่ห์เลย 


 


 


เฉินจื่อหลงไม่มีทางลืมว่าอวี๋หมิงหลางจัดการคนพวกนี้ได้อย่างไรภายในหนึ่งนาที 


 


 


หนึ่งต่อแปด ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เหตุการณ์แบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อนเฉินจื่อหลงคิดว่ามีแค่ในหนังฮ่องกง 


 


 


แต่ว่าที่พี่เขยใช้วิธีขั้นสุดยอดเปลี่ยนความคิดของเขาโดยสิ้นเชิง 


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกับเจี่ยซิ่วฟางเข้าห้องไปแล้ว อวี๋หมิงหลางก็หยิบไม้กระบองออกมาจากเอว ไม้กระบองนั้นเหมือนได้กลายร่างเป็นสายฟ้าฟาดเข้าไปที่เหล่านักเลงแต่ละคนภายในหนึ่งนาที ภาพเหตุการณ์สุดเท่ห์จึงได้บังเกิดขึ้น อวี๋หมิงหลางไล่เรียงโทษของผู้บุกรุกออกมาพลางจัดการล้มทุกคนอย่างรวดเร็ว 


 


 


เขาพูดโทษออกมาหนึ่งกระทงก็ล้มได้หนึ่งคน สุดท้ายขี้เกียจใช้ไม้กระบองอีกต่อไป ใช้หมัดสดๆ คนที่โดนหมัดหรือขาของเขาหวดเข้าไปต่างล้มจนลุกไม่ขึ้น 


 


 


นี่คือเขาออมแรงให้แล้ว ปกติเวลาอยู่ที่ค่ายอวี๋หมิงหลางชอบเอาอิฐมาฟันเล่น พวกเขาเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง สำหรับทหารหน่วยรบพิเศษแล้ว ถ้าจัดการศัตรูไม่ได้ในสามกระบวนท่าก็คือแพ้ หากเป็นในสนามรบถ้าในสามท่าล้มข้าศึกไม่ได้ก็หมดทางจะเอาชนะอีกฝ่าย อาจต้องส่งมอบชีวิตแทน 


 


 


ส่วนนักเลงพวกนี้ปกติฝีมือก็แค่เหมือนเด็กทะเลาะกัน ไม่ได้มีศิลปะต่อสู้เลยสักนิด แล้วจะต่อยชนะอวี๋หมิงหลางได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นต่างคนต่างพุ่งเข้ามา ไม่ได้มีความสามัคคีกันเลยแม้แต่น้อย พอเห็นอวี๋หมิงหลางล้มได้คนหนึ่งคนที่เหลือก็พากันเลิ่กลั่ก 


 


 


วงแตกอย่างรวดเร็ว ง่ายเสียจนอวี๋หมิงหลางคิดว่าใช้กระบองมาตียังเป็นการดูถูกกระบองเลยด้วยซ้ำ 


 


 


และที่ดูเหนือความคาดหมายก็คือเสียวจิ่วที่เป็นหัวหน้า พอเห็นอวี๋หมิงหลางจัดการคนของตัวเองได้ เขาเองก็หนีไปไหนไม่รอด—ตรงจุดที่อวี๋หมิงหลางยืนอยู่ใกล้ประตู อยากออกก็ต้องผ่านเขาไปก่อน 


 


 


ครั้นแล้วเสียวจิ่วจึงใช้สมอง จากนั้นก็ลงไปนอนกับพื้น 


 


 


ไม่ต้องรอให้แกมาอัดจนล้มหรอก แกล้งตายในสงครามใช้ได้ผลมาตั้งแต่สมัยอดีตแล้ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางจัดการจนราบคาบ กวาดตามองแล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป จากนั้นก็เหลือบไปเห็นเสียวจิ่วที่อยู่บนพื้นกำลังหรี่ตา 


 


 


เมื่อกี้ไอ้บ้านี้มันมองเสี่ยวเชี่ยนยังไงเขายังไม่ลืม จึงเดินเข้าไปเตะยังบริเวณที่ไม่อาจบรรยาย จะว่าไปนี่ก็ปราณีมากแล้ว 


 


 


เมื่อเทียบกับที่เขาอัดพวกลูกน้องเสียวจิ่ว ลูกถีบนี้ประหนึ่งสวรรค์เมตตา อวี๋หมิงหลางจะเอาถึงขั้นทำให้เป็นหมันเลยก็ได้ แต่เขายังพอดึงสติได้อยู่ แค่นี้ก็เพียงพอให้ไอ้บ้านี่เจ็บเจียนตายแล้ว ไม่ถึงกับต้องเอาให้สูญพันธุ์ 


 


 


ตำแหน่งที่ถีบต่างกัน ดังนั้นเสียงร้องของเสียวจิ่วจึงน่าเวทนาที่สุด 


 


 


เฉินจื่อหลงเห็นแบบนั้นแล้วก็มองตาค้าง นี่มันฮีโร่ 


 


 


ว่าที่พี่เขยของเขาจัดการได้ไวขั้นเทพ 


 


 


จะว่าไปคนพวกนี้ก็สมองเพี้ยนนะ มิน่าพี่ใหญ่ถึงบอกว่าคนพวกนี้ไม่มีชื่อเรียกในวงการ ก็แค่นักเลงกระจอกหลอกแดกไปวันๆ ถ้าคนมีสมองหน่อยใครจะกล้ามายุ่งกับครอบครัวเสี่ยวเชี่ยน? 


 


 


สถานะตัวตนของอวี๋หมิงหลางเป็นความลับ แต่ในแวดวงธุรกิจรับซื้อวัสดุก่อสร้างที่เจี่ยซิ่วฟางอยู่ บางคนจะรู้ว่าครอบครัวนี้มีคนใหญ่คอยหนุนหลัง มีบารมีอวี๋หมิงลี่คอยคุ้มครองใครจะกล้ามาหาเรื่อง? 


 


 


ก็คงมีแค่นักเลงกระจอกที่ไร้ประวัติ สายตาฝ้าฟางพวกนี้ที่มาตามกลิ่นเงิน กลับไม่นึกว่าจะได้มาเจอกับหัวหน้าหน่วยกลางของทหารหน่วยรบพิเศษ อวี๋หมิงหลางจัดการได้ง่ายดายเหมือนเอานิ้วบี้มด 


 


 


เขากระชากหัวเสียวจิ่วขึ้นมาจากพื้น เสียวจิ่วอยู่ในท่าที่น่าขำ ใบหน้าบูดเบี้ยว ขาหุบสนิท อันที่จริงเขาอยากเอามือไปนวดตรงจุดนั้นดูว่าบุบสลายหรือเปล่า แต่มือกลับถูกอวี๋หมิงหลางกดไว้ เลยทำได้แค่ร้องขอชีวิต 


 


 


“พี่ชาย พี่มากไปด้วยบารมี เมตตาผมเถอะนะ” 


 


 


“เมตตา? แล้วตอนที่พวกแกขู่แม่ยายฉัน ทำร้ายน้องเมียฉัน เคยคิดจะเมตตาไหม? พูด ใครส่งพวกแกมา” 


 


 


อวี๋หมิงหลางตะคอกใส่ 


 


 


“ไม่มี…อ๊าก พี่ชายเบาๆหน่อย ถ้าผมตายพี่จะเป็นนักโทษเอานะ” 


 


 


สามารถทำให้นักเลงถึงกับต้องยกกฎหมายมาอ้างเพื่อปกป้องตัวเอง เห็นได้ชัดเลยว่าดัชนีความรุนแรงของอวี๋หมิงหลางทะลุปรอทแตกไปแล้ว 


 


 


อวี๋หมิงหลางยิ้มอย่างเย็นชา “ฉันเรียนกฎหมายมาแกคิดจะคุยเรื่องกฎหมายกับฉันเหรอ? รู้ไหมแบบไหนที่เรียกว่าใช้กฎหมาย? ความผิดแรกของพวกแกคือข่มขู่แม่ยายฉัน ต่อมาก็รุมทำร้ายน้องเมียฉัน อีกทั้งยังลากคนอื่นมาเกี่ยวข้อง เอาแค่นี้พวกแกก็ไม่รอดแล้ว พูด ใครส่งพวกแกมา” 


 


 


ตอนสอบสวนน้ำเสียงของเขาจะไม่เหมือนเดิม ฟังดูเหมือนข่มขู่ นักเลงพวกนี้เข้าออกโรงพักบ่อยกลัวเสียงแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พออวี๋หมิงหลางขึ้นเสียงก็พากันผวา 


 


 


“ครับ เถ้าแก่เฉินส่งพวกเรามาครับ” 


 


 


“เถ้าแก่เฉิน?” 


 


 


“เขาเปิดร้านขายผลไม้อยู่แถวเดียวกับพวกเรา ปกติพวกเราเล่นไพ่ด้วยกันบ่อย เขาบอกว่าเมียเก่ารวย เลยให้พวกเรามาข่มขู่เอาเงิน—พวกเราไม่ได้คิดจะทำเป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ มากันตั้งหลายคนพวกเราคิดค่าแรงแค่สองพันเอง พี่ชายเห็นแก่พวกเราที่ค่าจ้างน้อยปล่อยพวกเราเถอะนะ” 


 


 


เสียวจิ่วคนนี้ก็เป็นแค่นักเลงกระจอก พอเจอของแข็งก็หงอสุดตัว 


 


 


ไม่เหลือท่าทางอวดดีเหมือนตอนที่เพิ่งมาถึงเลยสักนิด คนเลวก็แบบนี้ รังแกคนดีกลัวคนที่เก่งกว่า พอเจอคนจริงก็หงอ 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนกับเจี่ยซิ่วฟางเดินออกมา เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินว่าพ่อเฮงซวยเป็นคนวางแผนก็ไม่ได้มีสีหน้าตกใจเท่าไร ระหว่างทางที่มาเธอก็เดากับอวี๋หมิงหลางไว้อยู่แล้ว ว่ามันจะอาจเป็นละครน้ำเน่าที่พ่อเฮงซวยกำกับ 


 


 


ตอนนี้ก็แค่รอคำยืนยัน 


 


 


คนที่โมโหสุดก็คือเจี่ยซิ่วฟาง 


 


 


“เฉินหลินส่งพวกแกมาเหรอ? ไอ้แก่หน้าไม่อาย ฉันไปทำอะไรผิดต่อมันไว้ที่ไหนกัน มันถึงได้มาทำกับฉันแบบนี้ แล้วยังทำร้ายลูกชายฉันด้วย” เจี่ยซิ่วฟางโกรธจนตัวสั่น เสี่ยวเชี่ยนกลัวความดันแม่จะขึ้นเลยรีบพยุงให้นั่งลง ภายในบ้านที่พื้นที่ไม่มาก มีคนล้มนอนอยู่กับพื้นหลายคน 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม