สาวน้อยปลูกผัก 532-545

 TQF:บทที่ 532 ความทรงจำถูกสะกด บรรลุปรากฏราชันย์จักพรรดิ์(1)


 


 


“ใครบอกว่าข้าจะอยู่กับเจ้า”


 


สีหน้าโม่ซวนซุนยังแย่อยู่ การบงการแบบไม่ถามความต้องการของตัวเองแบบนี้เขาเกลียดที่สุด


 


น้ำเสียงฉุนกึกทำให้คน 3 คนที่อยู่ข้างๆเปลี่ยนแปรงไปมาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าโม่ซวนซุนจะใจกล้าและไร้มารยาทได้ขนาดนี้


 


โดยเฉพาะหยินเฟิ่ง แม้แต่คนนิสัยเย็นชาอย่างนางยังมีท่าทีตระหนกตกใจ


 


ใครๆก็รู้ว่าอาจารย์ปู่ตรงหน้านี้เป็นเจ้าโถงวิหารสวรรค์ที่อายุมากที่สุด ตอนนี้ก็เปรียบเสมือนเทพคุ้มครองของวิหารสวรรค์ไปแล้ว อย่าว่าแต่เหล่าลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์ที่ไม่กล้าเสียมารยาทกับเขาเลย ในทั้งผืนดินฉางไห่นี้ ก็ไม่มีใครกล้าไม่เคารพตาแก่ซอมซ่อคนนี้


 


“หืม เจ้าหนู เจ้าว่าอะไรนะ” ตาแก่ซอมซ่อเองก็รู้สึกแปลกใจมาก


 


เขาไม่ได้โกรธ กลับมีสีหน้าสนใจและสนุก พิจารณาเจ้าหนูเย็นชาตรงหน้าก่อนจะถามขึ้น “ทำไมถึงไม่อยู่กับข้า ต้องบอกเหตุผลดีๆมานะ ไม่อย่างนันอาจารย์จะลงโทษเจ้าให้สาสม”


 


“เจ้าไม่ใช่อาจารย์ข้า ข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว ตอนนี้ข้าต้องการไปจากที่นี่ ข้าไม่อยู่ที่นี่กับพวกเจ้าหรอก”


 


ตอนนี้ในใจของโม่ซวนซุนมีแต่ร่างอันสลดใจและแววตาสิ้นหวังของนาง นึกถึงตรงนี้หัวใจเขาก็ปวดแปลบๆ “ข้าจะกลับไป ข้าต้องการพบภรรยาข้า”


 


“หืม…”


 


ตาแก่ซอมซ่อเลิกคิ้วขึ้นเบาๆเมื่อได้ฟังเหตุผลและได้เห็นแววตาเป็นห่วงและร้อนใจของเขา นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้น “เจ้าหนู แค่ผู้หญิงคนเดียวเอง ในเมื่อจากมาแล้วก็ช่างเถอะ ที่วิหารสวรรค์ของเรามีผู้หญิงสวยๆเยอะแยะ เจ้าจะมีกี่คนก็ได้ คนอื่นยังไม่ต้องพูดถึง เจ้าดูสิ ผู้หญิงคนนี้ตรงหน้านี่หน้าตาดีอยู่ใช่มั้ย ยังไงอาจารย์ยกนางให้เจ้าก่อนเป็นไง”


 


“เฮอะ นังสารเลวนี่ไม่คู่ควร…”


 


โม่ซวนซุนเหล่หยินเฟิ่งอย่างดูแคลน เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าจะยกผู้หญิงทั่วใต้หล้าให้ข้าก็เปล่าประโยชน์ ข้าต้องการแค่ภรรยาของข้า ลาก่อน…”


 


ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็คือวิหารสวรรค์เหมือนกัน ต่อให้โม่ซวนซุนจะโมโหยังไงเขาก็ลงมือไม่ได้ อีกอย่างด้วยวิทยายุทธของเขาตอนนี้ ไม่สามารถต่อกรกับใครในนี้ได้เลย


 


เรื่องแบบเอาไข่ไปโขกกับหินน่ะเขาไม่ทำหรอก


 


หยินเฟิ่งถูกคำของเขาทำร้ายศักดิ์ศรีอันสูงส่งของนางอย่างจัง ตาคู่สวยมีประกายแห่งความแค้นเคือง นางจ้องมองเขาด้วยความโกรธเคืองก่อนจะหันหลังจากไป


 


ในใจของนางยกผู้หญิงดื้อรั้นคนนั้นไปอยู่ในรายชื่อคนที่ต้องฆ่าให้ได้เรียบร้อย นางสาบานเลยว่าถ้ามีโอกาสได้เจอผู้หญิงคนนั้นอีก นางจะต้องฆ่าอีกฝ่ายให้ได้


 


“เจ้าหนู….”


 


ตาแก่ซอมซ่อจิ้มออกไปเบาๆร่างของโม่ซวนซุนแข็งทันที แต่เขายังสามารถพูดได้อยู่ โม่ซวนซุนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าจะทำอะไร”


 


“เจ้าหนู จะใจร้อนไปทำไมกัน”


 


ตาแก่ซอมซ่อดูออกว่าโม่ซวนซุนเป็นคนแน่วแน่ จึงไม่ได้หยอกล้ออะไรเขาอีก “เจ้าหนู เจ้ารู้หรือว่าจะกลับไปได้อย่างไร การทะลุมิติไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยวิทยายุทธของเจ้าต่อให้อีก 10 ปีเจ้าก็ฉีกมิติออกไปหาภรรยาเจ้าไม่ได้”


 


“ข้าย่อมต้องหาวิธีได้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้เจ้าเป็นห่วง” แม้รู้ว่าที่เขาพูดคือเรื่องจริง โม่ซวนซุนก็ยังมีท่าทีแข็งกร้าวอยู่ เพราะเขารู้สึกไม่ชอบใจกับคนของวิหารสวรรค์ที่นี่จริงๆ


 


“เจ้านี่น้า..”


 


แม้ต้องเจอกับเจ้าหนูที่ผยองถึงที่สุดอย่างเขาตาแก่ซอมซ่อก็ไม่รู้สึกโมโห ตาแก่ซอมซ่ออมยิ้มมองไปที่เขา “ในเมื่อเร็วๆนี้ยังกลับไปไม่ได้ เจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วตั้งใจฝึกฝน อีกหน่อยวิทยายุทธสูงขึ้นเจ้าจะไปหาใครที่ไหนก็ง่ายขึ้นเยอะ เจ้าออกไปข้างนอกนั่นตอนนี้โดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร หากไม่ระวังอาจถูกคนอื่นทำร้ายได้ เจ้าจะเลือกทางเลือกแบบนี้ไปทำไมกัน”


 


“…”


 


โม่ซวนซุนที่ขมวดคิ้วอยู่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาสงบลงแล้วและเข้าใจดีถึงระยะห่างของวิทยายุทธตัวเองและเหล่าผู้ฝึกวิทยายุทธของผืนดินฉางไห่ เดินออกจากที่นี่ไปต้องเจออันตรายอีกมากมายแน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหาวิธีกลับเลย


 


“จะให้ข้าอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องใช้วิธีที่จับข้ามาส่งข้ากลับไปบอกลาครอบครัวของข้าก่อน แล้วค่อยกลับมาที่นี่”


 


“เจ้าหนู แผนเจ้านี่ไม่เลวนะ” ตาแก่ซอมซ่อยิ้มตาหยี “แต่ถึงแม้ว่าการส่งเจ้ากลับไปจะไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก แต่โชคชะตาของเจ้าพวกเราไม่สามารถแทรกแซงได้ ทุกเรื่องของเจ้า เจ้าจะต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้นเจ้าน่ะทำใจให้สบายแล้วฝึกฝนอยู่ที่นี่ไปก่อน รอจนเจ้าควบคุมทุกอย่างได้แล้ว เจ้าจะทำอะไรก็ไม่มีใครมาห้ามเจ้า”


 


“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมส่งข้ากลับไปงั้นข้าก็ไม่ยอม” ใบหน้าหล่อเหลาของโม่ซวนซุนยะเยือกขึ้นไปอีก เกิดความโมโหในใจขึ้นอีกครั้ง คนตรงหน้านี่ล้อตัวเองเล่นอยู่ชัดๆ


 


“เจ้าหนูนี่ดื้อจริงๆ เจ้าเด็กรั้นที่ไม่เชื่อฟัง”


 


ตาแก่ซอมซ่อรู้ดีว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าหนู เจ้าไม่รู้จักสงบลงบ้างเลย อาจารย์ต้องลงโทษเจ้าเด็กไม่เชื่อฟังก่อน”


 


พูดจบ เขาก็ไม่ให้โอกาสโม่ซวนซุนได้พูดอะไรอีก ลงมือทันมี ทันใดนั้นก็มีหมอกอบอวลขึ้นครอบอยู่เหนือโม่ซวนซุน ราวกับกำลังดำเนินการอะไรอยู่


 


———————————–



TQF:บทที่ 533 ความทรงจำถูกสะกด บรรลุปรากฏราชันย์จักพรรดิ์(2)


 


โม่ซวนซุนที่กำลังจะตอบโต้รู้สึกเหมือนหัวระเบิด ก่อนจะมืดไปหมดและไม่รู้สึกตัวอีก


 


ผ่านไปครู่หนึ่ง ตาแก่ซอมซ่อก็หยุดลงก่อนจะตวัดมือเบาๆอุ้มโม่ซวนซุนขึ้นมา เตรียมจะจากไป


 


“อาจารย์ปู่….”


 


เจ้าโถงรีบร้องเรียกเขาไว้ เขามองไปยังโม่ซวนซุนที่สลบอยู่ “อาจารย์ปู่ อาจารย์อาเป็นอย่างไรบ้าง”


 


“วางใจเถอะเจ้าหนู อย่างไรซะเจ้าเด็กนี่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ข้าหมายตาไว้ ข้าจะทำร้ายเขารึไง เจ้าเด็กนี่ดื้อรั้นเกินไป ไม่ให้เขากลับไปคงจะต้องวุ่นวายกันอีกแน่ ให้เขากลับไปก็ไม่ได้ ลิขิตฟ้าไม่อนุญาต ต้องสะกดความทรงจำส่วนหนึ่งของเขาไว้ก่อน รอให้วิทยายุทธของเขาสูงขึ้นก็จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้เอง”


 


“งั้นก็ดีๆ” เจ้าโถงยิ้มอย่างดีใจออกมาในที่สุด “ขอแค่อาจารย์อาไม่เป็นไรก็พอ”


 


“เจ้านี่น้า…”


 


ตาแก่ซอมซ่อหัวเราะก่นด่าไปคำนึงด้วยความพอใจก่อนจะหายตัวไปในอากาศ


 


ชายวัยกลางคนข้างๆกลับยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ตอนนี้ความทรงจำของอาจารย์อาถูกสะกดไว้ เมื่อความทรงจำกลับมาเกรงว่าจะวุ่นวายมากกว่าเดิม ถึงเวลา….”


 


“เอาหน่าศิษย์น้องสอง เจ้าก็อย่ากังวลจนเกินไป อาจารย์ปู่ทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา ถ้าถึงเวลาอาจารย์อาอาละวาดขึ้นมาจริงๆอาจารย์ปู่ก็ไม่ปล่อยปละละเลยหรอก”


 


“จะว่าอย่างนั้นก็ใช่ ก็ดี อาจารย์อาจำเรื่องสมัยก่อนไม่ได้ อีกหน่อยเจอหน้าหยินเฟิ่งจะได้ไม่เอาแต่จะฆ่าจะแกงกัน จะให้ดีช่วงนี้ให้พวกเขาคุยกันบ่อยๆ พอรู้จักกันไปนานๆต่อให้ในภายภาคหน้าความทรงจำเขากลับมา ก็คงไม่เกลียดหยินเฟิ่งขนาดนี้”


 


“ก็ถูก”


 


เจ้าโถงพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ยัยหยินเฟิ่งนี่ก็ยังไงกัน เมื่อก่อนนางไม่ทำอะไรใจเร็วด่วนได้แบบนี้นะ เรื่องครั้งนี้เกรงว่าจะนำภัยมาให้เราในภายหลัง”


 


“ศิษย์พี่ คงไม่ขนาดนั้นหรอกมั้ง” ชายวัยกลางคนรู้สึกว่าพูดแบบนี้ก็เว่อเกินไป


 


“ศิษย์น้องสอง เจ้านี่น้า…”


 


เจ้าโถงส่ายหน้า “เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว กลับไม่เข้าใจนิสัยใจคอของมนุษย์เลย เรื่องนี้เจ้าไม่รู้สึกว่าหยินเฟิ่งไปแทรกกลางความสัมพันธ์ของสามีภรรยาอาจารย์อาเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะนางไปพูดจาดูถูกรุนแรงอะไรใส่ภรรยาของอาจารย์อา ต่อให้อาจารย์อาจะโกรธที่นางจับตัวเองมาก็ไม่น่าจะมากขนาดนี้”


 


“แล้วมันทำไม” ศิษย์น้องสองยังไม่เข้าใจอยู่ดี


 


“โอ๊ย เจ้านี่น้า จะด่าว่าอะไรดี” เจ้าโถงเหนื่อยใจกับความบื้อของศิษย์น้องสอง “การพัฒนาของอาจารย์อาเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นแน่ๆ อีกหน่อยภรรยาของเขาก็อาจจะมาที่ผืนดินฉางไห่ ผู้หญิงที่อาจารย์อาหมายปองไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่ ตอนนี้อาจารย์อาถูกสะกดความทรงจำไว้ แล้วยังมีหยินเฟิ่งน้อยแทรกอยู่ตรงกลาง เจ้าคิดว่าอีกหน่อยจะเป็นยังไง”


 


“ก็…” ชายวัยกลางคนหมดคำพูด ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าศิษย์พี่ตัวเองหมายความว่าอย่างไร


 


“วันหลังเจ้าก็ชี้แนะหยินเฟิ่งสักหน่อย เรื่องอื่นให้พวกคนหนุ่มสาวเขาจัดการกันเองเถอะ”


 


“ยัยหยินเฟิ่งนี่น้า ก่อเรื่องจนได้”


 


2 ศิษย์พี่น้องมองกันอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหัวเราะออกมาแบบไร้เสียง ไม่ว่าอย่างไรตามหาผู้สืบสานจิตเทพเจอในเวลาอันสั้นนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาดีใจแล้ว


 


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน


 


วันเวลาผ่านไปด้วยความสงบและยุ่งเหยิง แต่บนใบหน้าทุกคนกลับไม่มีรอยยิ้ม บรรยากาศอึมคึมปกคลุมอยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนโดยไม่รู้ตัว


 


ลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนที่รู้เรื่องนั้นมีไม่เยอะ แต่ว่าในใจของพวกเขาทุกคนต่างคาดเดากันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะเหล่าคนที่ละเอียดอ่อนรู้สึกตัวแล้วว่าในช่วงเวลานี้ 2 บุคคลสำคัญไม่ออกมาปรากฏตัวเลย


 


คุณหนูและคุณชายตระกูลเฉิงไม่ได้ออกปรากฏตัวที่ไหนเลย


 


แม้เหล่าลูกศิษย์จะรู้สึกถึงความผิดปกติแต่ก็ไม่มีใครแพร่งพรายอะไรออกไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็ยังอยู่ในความสงบ


 


ภายในมิติ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นหลิว


 


2 มือพลิกคว่ำวางไว้บนตัก ปรับกายใจให้ผ่อนคลาย สงบ และกลมกลืนไปกับธรรมชาติ รวบรวมพลังวิญญารเข้าสู่ร่าง


 


ในร่างของนางเป็นดั่งถ้ำที่ไม่มีจุดสิ้นสุด รับพลังวิญญาณเข้ามาได้เรื่อยๆไม่มีหยุด พลังวิญญาณลำเลียงไปตามเส้นชีพจรอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกสบาย


 


ทันใดนั้นก็มีพลังลมปราณสยดสยองโผล่ออกมาในมิติ หลังจากนั้นพลังวิญญาณมหาศาลมากมายในฟ้าดินพุ่งเข้าสู่ร่างเฉิงเสี่ยวเสี่ยว พลังภายในเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะกลืนกินนางเข้าไป


 


หยูเฮงที่อยู่ข้างๆไม่เป็นห่วงอะไรนัก ตอนนี้นางนั่งขัดสมาธิอยู่บนปุยเมฆก้อนหนึ่ง บางทีก็หลับตาฝึกฝน บางทีก็นั่งมองเฉิงเสี่ยวเสี่ยว คอยสังเกตการณ์คนด้านล่าง


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเฝ้าระวังจุดรวมพลังวิญญาณของตัวเอง มีพลังวิญญาณมหาศาลไหลเข้าร่าง ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ราวกับเป็นโซ่ที่ฟ้าดินล่ามตัวเองไว้ ถ้าไม่ทำลายขีดจำกัดนี้ก็ไม่สามารถบรรลุได้


 


พลังภายในเริ่มลำเลียงได้ ราวกับกำลังเผาทำลายโซ่จำกัดที่มองไม่เห็นนี้ เมื่อเวลาผ่านไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้สึกได้ว่าสิ่งกำบังนี้กำลังเบาบางลงเรื่อยๆ การบรรลุใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิตใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวสงบและกระจ่าง วิชากษัตริย์หญิงเทียนเสวียนอวี่ ลำเลียงเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ


 


ในที่สุดหยูเฮงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของนางแล้ว ใบหน้าเล็กๆมีรอยยิ้มดีใจอยู่ ตาโตๆยิ้มจนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เอ่ยอย่างดีใจ “ยอดไปเลย เวลาแค่เดือนเดียวเองคุณหนูก็จะบรรลุปรากฏราชันจักรพรรดิ์แล้ว”


 


ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเก็บตัวฝึกฝนอย่างลืมวันลืมคืน ภายใต้วิธีการต่างๆของหยูเฮง วิทยายุทธของนางเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วปานจรวด ระดับสูงขึ้นจากก่อเกิราชันย์จักพรรดิ์ตอนกลางไปจุดสูงสุดตอนปลายก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์ในเวลาแค่ 1 เดือนเท่านั้น ตอนนี้นางก็กำลังจะทำลายขีดจำกัดระดับปรากฏราชันจักรพรรดิ์อีก ขอแค่นางทำลายได้วิทยายุทธของนางก็ไปถึงจุดสูงสุดแล้ว


———————————–



TQF:บทที่ 534 ความทรงจำถูกสะกด บรรลุปรากฏราชันย์จักพรรดิ์(3)


 


ปรากฏราชันจักรพรรดิ์ในอายุ 18 ปี ถ้าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปต้องทำให้ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธของผืนดินนี้บ้าคลั่งแน่


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองได้เข้าสู่จุดพลิกผัน นาทีต่อมาพลังในร่างพลุ่งพล่านขึ้น เสื้อผ้าหน้าผมปลิดปลิวอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าที่สงบอยู่ก็เริ่มมีความดุร้ายขึ้น มองแล้วรู้สึกน่ากลัวแปลกๆ


 


หยูเฮงรู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญแล้ว จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ชั่วขณะนี้แหละ


 


ความจำกัดจากฟ้าดินยังผูกมัดอยู่ลางๆ ความจำกัดนี้ถ้าไม่ถึงระดับหนึ่งจริงๆจะไม่สามารถรู้สึกถึงมัน แต่เมื่อผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจะทำการบรรลุจะรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน


 


ก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์และปรากฏราชันจักรพรรดิ์เป็นรอยต่อจากกัน ถ้าข้ามรอยต่อนี้ไปได้ถึงจะเปลี่ยนพลังภายในเป็นพลังเซียนได้ ขอแค่มีพลังเซียนก็จะไปสู่ระดับที่สูงขึ้นกว่านี้ได้


 


ต้องเรียกว่าพลังภายในไม่ใช่สำหรับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่แท้จริง มีแต่ฝึกฝนจนได้พลังเซียนมาเท่านั้นจึงจะนับไ้ด้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่แท้จริง ตอนนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมาถึงจุดนี้แล้ว มีแต่ต้องก้าวออกไปเท่านั้นนางถึงจะมั่นใจในการตามหาสามีของตัวเอง


 


บรรลุเป็นปรากฏราชันย์จักพรรดิ์ต้องทำลายขีดจำกัดในร่างและขีดจำกัดของก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์ ทำลายความจำกัดนี้ไปพลังของนางก็จะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น ถ้าหากทำไม่ได้วิทยายุทธก็จะหยุดอยู่แค่นี้


 


พลังยิ่งเยอะ ขีดจำกัดที่อยู่บนร่างก็ยิ่งยากจะทำลาย นี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมเมื่อผู้ฝึกฝนวิทยายุทธมีระดับที่สูงขึ้นจะพัฒนาฝีมือได้ช้าลง


 


บางครั้งผู้ฝึกฝนวิทยายุทธหยุดอยู่ที่ระดับหนึ่งไว้เป็นปีเพราะพรสวรรค์จำกัด ไม่สามารถทำลายมันได้


 


นอกเสียจากจะหาโอกาสวาสนาในการบรรลุ ไม่อย่างนั้นก็จะหยุดอยูที่จุดนี้ไปตลอดชีวิต


 


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสัมผัสด้วยใจ รวมรวมพลังวิญญาณทั่วร่างปะทะกับขีดจำกัดที่ล่ามตัวเองไว้อยู่


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เกิดเสียงดังตู้มขึ้น ขีดจำกัดในร่างถูกทำลาย นางรู้สึกตัวเบาเหมือนหลุดออกจากการถูกล่าม แรงกดดันและความทรมานต่างๆหายไปจนหมด เสมือนหนีออกจากคุกที่จองจำมาได้ รู้สึกถึงอิสระไปทั้งกายใจ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกสดชื่น มีบารมีที่มองไม่เห็นกระจายออกโดยมีเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเป็นจุดศูนย์กลาง เกิดระลอกคลื่นที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า


 


หยูเฮงที่นั่งอยู่บนปุยเมฆยิ้มออกมา ใบหน้าเล็กๆประดับไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส นางรู้ว่าคุณหนูทำสำเร็จแล้ว คุณหนูได้กลายเป็นปรากฏราชันจักรพรรดิ์ที่อายุน้อยที่สุดในผืนดินนี้


 


แม้จะบรรลุสำเร็จ แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ไม่ได้ลุกทันที ระดับใหม่ที่บรรลุเสถียรอย่างรวดเร็ว นางยังลำเลียงพลังอยู่ เกิดแรงดึงดูดราวน้ำวน มีความรู้สึกแปลกๆตามเส้นชีพจร ทำให้รู้สึกสบายทั้งกายใจ เสมือนทุกรูขุมขนได้หายใจ


 


ผ่านไปสักพัก เฉิงเสี่ยวเสี่ยวค่อยๆลืมตาขึ้น ในตาคู่สวยเหมือนมีสายฟ้าฟาดผ่านไป เกิดเป็นประกายขึ้น นางนั่งคิดอะไรอยู่สักพัก


 


“คุณหนู….”


 


หยูเฮงกระโดดลงมาจากปุยเมฆ ร้องด้วยความดีใจ “คุณหนู ยินดีด้วย ในที่สุดก็บรรลุปรากฏราชันจักรพรรดิ์แล้ว”


 


“ขอบใจ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าตอบ มุมปากยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มจางๆบนหน้า


 


เป็นเรื่องที่น่าดีใจจริงๆ


 


ขณะเดียวกัน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รับรู้ได้ว่าพลังจิตของตัวเองแกร่งขึ้นกว่าก่อนมาก


 


ก้านหลิวโบกสะพัดเบาๆ ราวกับกำลังดีใจกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยวด้วย


 


1 วันให้หลัง


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหายตัวออกจากมิติ


นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกมาหลังจากเข้ามิติไป ได้กลิ่นอากาศที่คุ้นเคย หัวใจของนางเหมือนถูกฉีกออกอย่างไร้ความปราณี เจ็บจนนางต้องหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา


 


เขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ได้เห็นเขาแล้ว


 


สาวใช้ในสวนไม่กล้าเข้าใกล้ หยูเฮงที่ตามออกมาใช้มือเล็กๆอ้วนๆคอยเช็ดน้ำตาให้นาง


 


ไม่นานนัก ก็มีคนมาปรากฏตัวเรื่อยๆ


 


เพราะทุกคนในบ้านต่างเฝ้าดูพลังลมปราณในตำหนักเถาวัลย์หยกอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกมา ทุกคนจึงรู้สึกได้ทันที


 


คนแรกที่มาถึงคือผู้เฒ่าหยิง


 


“คุณหนู…..”


 


เห็นคนที่โศกเศร้าจนมีน้ำตา ผู้เฒ่าหยิงกระพริบตาถี่ๆ ที่จมูกรู้สึกตันๆ ตาแก่ที่เลือดเย็นอย่างเขารู้สึกว่าน้ำตาจะไหลเป็นครั้งแรก


 


ช่วงเวลาที่อยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มา 3 ปีกว่า จากความรู้สึกต้องยอมในตอนแรกจนถึงตอนนี้ที่รู้สึกเหมือนทุกคนเป็นครอบครัว รู้สึกถึงความอบอุ่นของบ้าน


 


แม้ว่าตระกูลเฉิงจะอยู่ในฐานะเจ้านาย แต่ไม่มีใครเห็นเขาเป็นแค่คนรับใช้ เรื่องนี้ผู้เฒ่าหยิงรู้สึกได้มานานแล้ว ในช่วงเวลา 3 ปีอันวุ่นวายนี้ ผู้เฒ่าหยิงเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเป็นเหมือนหลานสาวคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว รักใคร่เอ็นดูนางจากใจจริง


 


“ตาเฒ่า…” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ลืมตาขึ้นเหลือบไปเห็นน้ำตาที่รื้นขอบตาเขาพอดี รู้สึกอบอุ่นขึ้นที่ใจ เรียกเขาเบาๆ


 


“ขอรับ ข้าอยู่นี่” ผู้เฒ่าหยิงฉีกมุมปากออกให้เป็นรอยยิ้มอันฝืนเกร็ง


 


คนอื่นๆก็มาถึงแล้ว โดยเฉพาะเฉิงไป๋หยวนที่น้ำตาคลอเมื่อได้เจอลูกสาว ยื่นมือไปตบบ่านาง “ยัยหนู ในที่สุดเจ้าก็ออกมา”


 


“เสี่ยวเสี่ยว…” ฟางซูหยุนก็มาถึงแล้ว


 


นางเดินเข้าไปหาหลานสาวที่ผอมแห้ง ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ กอดนางเอาไว้และพูดเสียงเบา “ยัยโง่ เจ้ายังมีพวกเราอยู่นะ พวกเราทุกคนจะอยู่ข้างๆเจ้า”


——————————–



TQF:บทที่ 535 ความทรงจำถูกสะกด บรรลุปรากฏราชันย์จักพรรดิ์(4)


 


“ท่านย่า ข้ารู้ ข้ารู้…”


 


น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวฝังหัวเข้าไปในอ้อมกอดของท่านย่า ในตอนนี้ความเจ็บปวดในใจค่อยๆจางหายไป


 


เมื่อนางสงบลงแล้วเงยหน้าขึ้น จึงได้รู้ว่าทุกคนพากันมาหมด รวมถึงท่านตาท่านยายที่นางไม่ค่อยต้อนรับก็อยู่ที่นี่ด้วย


 


เมื่อทักทายกับทุกคนเสร็จ ก็นั่งน้ำตาไหลเงียบๆกับอาจารย์หญิงของนาง สำหรับพวกนางแล้วความรู้สึกนี้เหมือนกัน เจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว


 


สายตาของอาจารย์ปู่เวิหารสวรรค์อยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตลอด ราวกับจะมองนางให้ทะลุ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสบตากับเขาอย่างช่วยไม่ได้ ถามขึ้น “อาจารย์ปู่ ทำไมมองข้าแบบนี้ล่ะ หรือว่าท่านจำข้าไม่ได้ซะแล้ว”


 


“ใช่สิ ข้าแทบจะจำยัยหนูอย่างเจ้าไม่ได้แล้ว” อาจารย์ปู่เวิหารสวรรค์ยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจ “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ในเวลาแค่ 1 เดือนยัยหนูอย่างเจ้าถึงกับบรรลุจากก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์ตอนกลางไปสู่ปรากฏราชันจักรพรรดิ์แล้ว เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรดี”


 


“หาาา…”


 


“อะไรนะ…..”


 


“คุณ คุณหนูบรรลุแล้วหรือ”


 


“เสี่ยวเสี่ยวบรรลุเป็นเซียน ปรากฏราชันจักรพรรดิ์แล้วเหรอ”


 


ทุกคนในที่นี้อึ้งไปหมด สายตาไม่อยากจะเชื่อตกไปอยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว ข่าวนี้เกินกว่าที่พวกเขาคาดไว้มาก ทำให้พวกเขายากที่จะเชื่อจริงๆ


 


เห็นท่าทางของทุกคนแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ปกติแล้วเป็นคนนิ่งๆก็อดมีท่าทีอึดอัดไม่ได้ ภายใต้การจ้องมองจากทุกคน นางพยักหน้าเบาๆ


 


ซี้ดด…..


 


ได้รับการยืนยันจากนาง ทุกคนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆพร้อมกัน ปรากฏราชันจักรพรรดิ์เชียวนะ


 


จากเดิมที่ทั้งผืนดินนี้มีปรากฏราชันจักรพรรดิ์อยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ตอนนี้มีเพิ่มมาอีก 1 คน แลัวยังเป็นปรากฏราชันจักรพรรดิ์ที่อายุน้อยขนาดนี้ ช่างน่าตระหนกตกใจสำหรับพวกเขาจริงๆ


 


เทียบกับสีหน้าตกใจของพวกเขาแล้ว มีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ยังมีท่าทีเรียบเฉยอยู่ ซึ่งก็คือเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและท่านย่าฟางซูหยุน ราวกับทั้งคู่ไม่รู้สึกว่าปรากฏราชันจักรพรรดิ์จะเลิศเลออะไร


 


ที่ผืนดินฉางไห่ ปรากฏราชันจักรพรรดิ์ไม่ได้เลิศเลอจริงๆนั่นแหละ เทียบเท่ากับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ของที่นี่เท่านั้น ไม่มีอะไรให้ต้องตกใจ


 


ตาเฒ่าทั้งหลายก็คิดได้แล้ว พวกเขายิ้มออกมาเฝื่อนๆ คนกับคนเปรียบเทียบกันมีแต่จะน่าโมโหซะเปล่าจริงๆนั่นแหละ


 


“เสี่ยวเสี่ยว ความตั้งใจของเจ้าพวกเรารู้แล้ว เจ้าเตรียมจะออกเดินทางตอนไหน” ฟางซูหยุนมองหลานสาวอย่างอ่อนโยน เอ่ยถามเบาๆ


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไปนิด แต่ไม่ได้แปลกใจ “ท่านย่า น่าจะอีกสักพักนึง ตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดวันที่แน่ชัด”


 


ทุกคนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เวลาเพิ่งผ่านไปแค่ 1 เดือนเท่านั้น วิทยายุทธของนางก็เพิ่งจะสูงขึ้น คงจะออกไปทันทีเลยไม่ได้


 


ฟางซูหยุนพยักหน้าเบาๆ พูดเสียงนุ่มนวล “เสี่ยวเสี่ยว วิทยายุทธของเจ้าถือเป็นชั้นยอดของที่นี่ แต่เมื่อเจ้าไปผืนดินฉางไห่ควรจะบรรลุไปอีกระดับ อย่างน้อยเมื่อเจ้าไปผืนดินฉางไห่จะได้มีความสามารถพอจะตั้งตัว ไม่อย่างนั้นเจ้าไปถึงก็มีแต่จะเจออุปสรรค และยากที่จะตามหาข่าวคราว”


 


“ท่านย่า ข้ารู้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ในใจว่าท่านย่าวหวังดี อย่างไรซะเดิมทีท่านย่าก็เป็นคนของผืนดินฉางไห่ นางรู้จักที่นั่นดี


 


ฟางซูหยุนลูบผมนางเบาๆ “ยัยหนู ถึงเวลานั้นย่าจะไปกับเจ้าด้วย ย่าจะพาเจ้ากลับบ้าน”


 


“ท่านแม่ นี่ท่าน…” เฉิงไป๋หยวนคิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะไปด้วย รู้สึกทำใจไม่ได้ขึ้นในบัดดล


 


ฟางซูหยุนเหล่ลูกชายก่อนจะกล่าว “เจ้าเด็กโง่ เจ้าน่ะมีครอบครัวแล้วนะ แม่จะมีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก กลับเป็นเสี่ยวเสี่ยวที่ไปผืนดินอื่นคนเดียวต่างหากที่แม่เป็นห่วง ข้าตามนางไปด้วยจะได้ช่วยชี้แนะนางได้”


 


“ท่านแม่ ข้ารู้” เฉิงไป๋หยวนมองไปที่ลูกสาวที่ผอมจนเกินไปพลางพยักหน้า หาลูกเขยไม่เจอไม่มีใครสบายใจได้ ไม่มีใครจะมีความสุขได้จริงๆ


 


“คุณหนู พวกเรารวบรวมทรัพยากรไว้ไม่น้อย เตรียมจะเลื่อนขั้นให้มิติของท่าน” ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยปาก


 


หยูเฮงที่ไม่ได้พูดอะไรเลยดีใจมากเมื่อได้ฟัง ตาคู่สวยเบิกกว้าง “ตาเฒ่า เจ้าพูดจริงหรือ”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็อดมองไปที่เขาไม่ได้


 


ผู้เฒ่าหยิงพยักหน้าจริงจัง “จริงแท้แน่นอน ตอนนี้ตัวแทนจากอิทธิพลต่างๆได้มาพำนักที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนแล้ว รอให้คุณหนูออกมาทำการแลกเปลี่ยน”


 


“ว้าว มีทรัพยากร งั้นก็เยี่ยมไปเลย มิติของเราได้เลื่อนขั้นอีกแล้ว เป็นเรื่องดีกับพวกเรามากจริง”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็ยิ้มออกมาบางๆ มีท่าทีเฝ้ารออยู่นิดหน่อย


 


“คุณหนูหยูเฮง นี่เป็นเรื่องจริงนะ”


 


ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยยิ้มๆ “พวกเรารู้ว่าพวกท่านจะออกไป เพื่อรวบรวมทรัพยากรในครั้งนี้ จึงได้ประกาศกับคนจากทุกอิทธิพลว่าครั้งนี้จะเป็นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรครั้งสุดท้าย ถ้าพวกเขาไม่มาทำการแลกเปลี่ยนละก็ วันหลังจะไม่สามารถทำการซื้อขายทรัพยากรจำนวนมากที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนอีก ดังนั้นพวกเขาจึงมากันหมด เชื่อว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”


 


พูดถึงตรงนี้ เขาหันไปถามเจ้าตัวเล็ก “หยูเฮง ทรัพยากรของพวกเราไม่น้อยใช่มั้ย เพียงพอกับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้นะ”


 


“แน่นอนสิ อยากได้เท่าไหร่ก็มีเท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ”หยูเฮงรับประกัน


 


ซึ่งเป็นความจริง ตอนนี้ทรัพยากรในมิติมากมายจนน่ากลัว รับประกันได้ว่าเพียงพอสำหรับคนทั้งผืนดินในระยะเวลา 10 โดยไม่มีอะไรต้องห่วง


 


คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว คนอื่นไม่มีใครรู้ เมื่อได้ฟังคำยืนยันจากหยูเฮงจึงถอนหายใจกันอย่างโล่งอก


 


หลังจากนั้นหยูเฮงและผู้เฒ่าหยิงก็เริ่มทำการแลกเปลี่ยน


 


การแลกเปลี่ยนในจำนวนมหาศาลนี้ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายพึงพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นทรัพยากรมากมายที่อยู่ในมือตัวเองหยูเฮงดีใจสุดๆ ใบหน้าเล็กๆของนางยิ้มได้ในทุกวัน


 


ส่วนเฉิงเสี่ยวเสี่ยวนั้นว่างขึ้น อยู่กับครอบครัวในทุกๆวัน อย่างไรซะการฝึกฝนก็ต้องยืดหยุ่นบ้าง จะเก็บตัวตลอดนั้นเป็นไปไม่ได้


 


ผ่านไป 5 วัน ทรัพยากรในมิติหายไปกว่าครึ่ง สิ่งที่แลกกลับมากองกันจนเป็นภูเขาเลากาอีกครั้ง เรียกได้ว่าสมบัติสะสมของแต่ละอิทธิพลในผืนดินนี้ถูกพวกนางขุดไปจนหมด


 


สำหรับภูเขาสมบัติเหล่านี้แล้ว ความคาดหวังฉายอยู่ในแววตาเฉิงเสี่ยวเสี่ยว หวังว่าครั้งนี้มิติจะเลื่อนได้สักหลายสิบขั้น ตัวเองจะได้มีโอกาสบรรลุอีก เมื่อตัวเองได้เป็นบรรลุราชันย์จักพรรดิ์หรือก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะจะได้มีความสามารถพอที่จะรักษาชีวิตไว้ และสบายใจที่จะไปจากที่นี่


 


แน่นอนว่าบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ก็ยังเป็นแค่ความคาดหวังอยู่ ส่วนก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะนั้นไม่น่าจะเป็นจริงได้ อย่างไรซะแต่ละระดับก็ไม่ง่ายนักที่จะบรรลุ


 


“คุณหนู หลังจากที่มิติเลื่อนขั้นไปในครั้งนี้ ท่านก็สามารถสร้างภาพสมมุติเทพของตัวเองแล้วนะ”หยูเฮงบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


 


“ภาพสมมุติเทพ?” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป นึกถึงภาพสมมุติสีทองที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่โม่ซวนซุนสู้ศึกกับพวกฝ่ายมารแล้วเกิดความคาดหวังขึ้น


 


“ใช่แล้วคุณหนู วิชากษัตริย์หญิงเทียนเสวี่ยนอวี่ที่คุณหนูฝึกฝนอยู่สามารถสร้างภาพสมมุติเทพของตัวเองได้ รอให้ท่านสร้างออกมาแล้วมันยังสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับท่านได้ด้วย”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” แม้ว่จะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของภาพสมมุติเทพดี แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็พอเข้าใจแล้วบ้าง


 


“คุณหนู การสร้างสมมุติเทพไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีพลังสูงส่งอะไร เพียงแต่วิชาและคาถาการสร้างภาพสมมุติเทพสีทองนี้ไม่ได้อยู่ที่ผืนดินนี้”


 


“ข้าเชื่อว่านอกจากวิชากษัตริย์หญิงเทียนเสวี่ยนอวี่ของคุณหนูและวิชาเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวินของคุณชายสามารถสร้างภาพสมมุติเทพได้แล้ว ก็ไม่มีใครสามารถทำได้อีก”


 


หยูเฮงกล่าวต่อยิ้มๆ “แต่ว่าที่ผืนดินอื่นจะมีคนสร้างออกมาได้มั้ยนั้นตอนนี้ข้ายังไม่รู้ ข้ารู้ว่าภาพสมมุติเทพเป็นวิชาชั้นสูง และก็เป็นกลยุทธการรบที่สำคัญอย่างหนึ่ง ตำนานกล่าวว่า ภาพสมมุติเทพขยับ ฟ้าดินสะเทือน ภาพสมมุติปรากฏ ฟ้าดินสลาย”


 


“อีกอย่าง ภาพสมมุติเทพไม่ใช่แค่วิชาอิทธฤทธิ์ยิ่งใหญ่ แล้วยังมีลิขิตฟ้าแฝงไว้ด้วย เมื่อลำเลียงพลังจะดูดซับพลังวิญญาณในระยะพันลี้มาใช้ได้โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นพลังรบจะสูงกว่าตัวผู้ฝึกฝนวิทยายุทธเองอยู่มาก ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธมากมายจึงอิจฉาผู้ที่มีวิชานี้”


 


“ได้ รอให้มิติได้เลื่อนขั้นก่อน เจ้าค่อยชี้แนะข้าว่าจะสร้างภาพสมมุติเทพขึ้นได้อย่างไร มีภาพสมมุติเทพนี้ต้องเป็นผลดีกับพวกเราแน่”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว”


 


หยูเฮงพูดอย่างได้ใจ อย่างไรซะคาถาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวนางก็เป็นคนสอนเองทั้งนั้น ต้องภาคภูมิใจอยู่แล้ว


 


เห็นท่าทางของเจ้าตัวเล็กแล้วเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รู้ทันทีว่านางคิดอะไรอยู่ อดหัวเราะแกมก่นด่าออกมาไม่ได้ “พอแล้ว เลิกบ้ายอแล้วเริ่มทำงานได้แล้ว”


 


———————————



TQF:บทที่ 536 ความดีใจแห่งการวิวัฒนาการ 3 เดือนให้หลัง (1)


 


“อิอิ ทำงานก็ทำงาน” เมื่ออารมณ์ดี หยูเฮงก็กลับไปมีท่าซุกซนเหมือนเดิม


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มเล็กน้อย ยืนรออยู่ข้างๆ


 


หยูเฮงลอยอยุ่กลางอากาศ โบกแขนเล็กๆของนางพัดพาให้ภูเขาสมบัติหลากสีที่แวววับอยู่ค่อยๆกลายเป็นอักขระในอากาศ ราวกับดวงดาวที่ประดับอยู่บนท้องฟ้า ทำให้ที่นี่ทั้งดูลึกลับและศักดิ์สิทธิ์


 


ตู้มมม


 


ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้าจากการรวมตัวของอักขระที่เป็นดั่งมหาสมุทร มีคลื่นคอยพัดพา เป็นดั่งแสงเทวานภา


 


หลากหลายแสงถักเข้าด้วยกันเช่นเดียวกับกฎแห่งฟ้าดินที่สอดประสานจนกลายเป็นตาข่ายแห่งฟ้าครอบทั้งมิติเอาไว้


 


เมื่อเห็นภาพนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าใจแล้วว่ามิติของตัวเองกำลังเปลี่ยนผันกฎแห่งฟ้าดินอยู่ หลังจากการเลื่อนขั้นครั้งนี้ นางเชื่อว่าการจะให้ใครมาอาศัยอยู่ในมิติจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อย่างมากก็แค่ออกไปข้างนอกปีละครั้งก็พอ


 


หยูเฮงที่ยังอยู่กลางอากาศก็ถูกหมอกหลากสีล้อมเอาไว้เช่นกัน มองเห็นได้ลางๆว่าเจ้าตัวเล็กสวมใส่เกราะทอง ทั่วร่างเปล่งแสงออกมา ทรวดทรงสง่า ผมเงาสวยเริงระบำ สายตาคมกริบ


 


ราวกับเทพองค์น้อยๆที่ทะยานสู่ฟ้าทะลุก้อนเมฆไป ประกายในแววตาเจิดจ้าจนผู้อื่นไม่กล้ามอง


 


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหยูเฮงก็เติบโตเหมือนกัน นางเกิดมาจากมิติ ถ้ามิติแข็งแกร่งขึ้น หยูเฮงก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน


 


ตอนนี้ในมิติเกิดแสงอันเจิดจรัสแทงตาขึ้นอีก น่ากลัวเกินจะเปรียบ มีหมอกเป็นประกายอยู่บนท้องฟ้า ทำให้ทุกอย่างขมุกขมัว ลึกลับและลึกล้ำ


 


ประกายหมอกนั้นได้กลายเป็นแสงแห่งเทวาที่แผดเผาเสมือนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างระเบิดออก สวยเลิศดั่งหงส์ที่นิพพานแล้วเกิดใหม่ เลือดสาดไปยังนภา เสียงกึกก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน


 


เพียงแค่ชั่วขณะ ทุกอย่างขานขึ้นพร้อมกัน พลุ่งพล่านไปทั้งมิติ


 


เปลวเพลิงเผาไหม้ สรรพสิ่งคำราม


 


นี่เป็นทัศนียภาพที่ยากจะเกิด และเป็นภาพวาดอันยิ่งใหญ่


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองทุกอย่างตรงหน้าด้วยความหลงใหล ลืมตัวไปเลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ในชั่วขณะนั้น จิตใจของนางเหมือนกับว่าตกลงไปอยู่ในโลกอัศจรรย์นี้และกำลังสัมผัสกับบางอย่าง


 


นางไม่รู้ว่าเนื่องจากนางเป็นเจ้าของมิติ การเปลี่ยนแปลงของมิติไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อหยูเฮงเท่านั้น ที่จริงคนที่ได้ประโยชน์ที่สุดก็ควรจะเป็นนางที่เป็นเจ้าของ


 


และก็เป็นเพราะนางเป็นเจ้าของมิตินี้ ในตอนที่มิติเลื่อนขั้น และช่วงที่กฎแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนผันนางถึงได้สบายดีอยู่โดยไม่เป็นอะไร


 


ถ้าหากเป็นคนอื่นเข้ามาอยู่ในมิติละก็ ต้องถูกบดขยี้จนกลายเป็นผงแน่


 


ตู้มมม…..


 


เสียงสนั่นดังขึ้น ตามมาด้วยแสงเจิดจ้าแยงตา หมอกสีแดงท่วมท้นไปทั่วฟ้า ลายเส้นที่มีลวดลายเหมือนสายฟ้าปกคลุมอยู่หนาแน่น ตาข่ายแห่งฟ้าของสรรพสิ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งลางๆ ระยิบระยับราวกับกับอัคคีศักสิทธิ์กำลังลุกโชนอยู่ มีเสียอันดังราวน้ำป่าไหลหรากลอยเข้ามาประสานกันกลายเป็นตาข่าย


 


ทั้งมิติปกคลุมไปด้วยหมอก ราวกับกำลังโกลาหล เป็นเสมือนคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าฝั่ง พลังลมปราณแกร่งกล้าปานเจ้าโลกพร้อมไปด้วยทะเลแห่งประกายหมอกท่วมท้นไปทั่วฟ้าดิน


 


เหตุการณ์ยิ่งใหญ่เหล่านี้ยังไม่หยุดลง


 


มีแสงแพรวพราวใสสกาววนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ท่าทางน่าเกรงขาม มีแสงสีแดงบินขึ้นมาพร้อมเสียงหึ่งๆหมุนล้อมประกายหมอกระลอกใหญ่ไว้ พลังลมปราณเป็นที่น่าตกใจ มีกลิ่นไอแห่งความโบราณกาลที่ครอบงำจิตใจคนอยู่


 


ตาข่ายฟ้าดินเป็นเหมือนโซ่เทพเป็นประกายเส้นแล้วเส้นเล่าที่ประสานอยู่ด้วยกัน ครอบหยูเฮงที่อยู่กลางอากาศและเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่นิ่งเงียบอยู่ด้านล่างเอาไว้ที่ตรงกลางสุด รอบตัวพวกนางมีแสงสีแดงล้อมรอบ และยังมีลมปราณอันโกลาหลที่เกิดความผันผวนจนน่าตระหนก


 


แสงแห่งทวยเทพสาดส่องไปทั่วทุกทิศ ตาข่ายเริงร่าจนกลายเป็นคลื่นที่ส่งเสียงดังก้องราวทหารนับหมื่นกำลังเดินทัพเข้ามา เกิดเป็นคลื่นยักษ์ที่กลบไปทั้งฟ้าดิน เปรียบดั่งภูเขาไฟระเบิด ภูผาทลาย สั่นสะเทือนรุนแรง


 


ท้องฟ้าสูงขึ้น แผ่นดินกว้างขึ้น พลังวิญญาณในมิติสดชื่นขึ้น


 


พื้นพันธุ์นานาชนิดตามภูเขาส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ


 


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ค่อยๆก่อเกิดขึ้น


 


เสียงกึกก้องที่สะท้อนอยู่ในมิติค่อยๆหายไป ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง


 


ผ่านไปสักพัก ร่างเล็กดั่งเทพยดาที่ยังลอยอยู่ในอากาศเบิกตาขึ้น มีประกายพุ่งออกจากตาทั้ง 2 ข้างทะลุก้อนเมฆขึ้นไป เป็นเสมือนสายฟ้าที่ฟาดผ่านท้องฟ้า เกิดเป็นแสงสว่างที่วาดผ่านไปในนภา


 


ไม่นานนักหยูเฮงก็เก็บประกายแสงของตัวเองลง กลับมาเป็นเด็กที่น่ารักในพริบตา


 


แต่นางโตขึ้นอีกแล้ว กลายเป็นเด็กอายุอานามราว 10 ขวบ หน้าตายังดูเด็กอยู่เหมือนเดิม นอกจากตัวสูงขึ้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอีก


 


นางค่อยๆร่อนลงพื้น และสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในตัวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ทันที หยูเฮงมีสีหน้าดีใจ นางไม่ได้ไปรบกวนเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เพียงแค่รออยู่เงียบๆ


 


ขณะนี้ ในสายตาของนางมีแต่คนตรงหน้า แม้แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับมิตินางก็ขี้เกียจจะไปตรวจดู ใจทั้งใจรอแต่ให้คุณหนูฟื้นกลับมา


——————————–



TQF:บทที่ 537 ความดีใจแห่งการวิวัฒนาการ 3 เดือนให้หลัง (2)


 


ในเวลานี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยังจมอยู่ในห้วงความรู้สึกอัศจรรย์นี้


 


นางรู้สึกอุ่นไปทั้งตัว มีความรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนบ้าน ราวกับกลับไปอยู่ในตัวของแม่อีกครั้งง ทั้งเนื้อทั้งตัวเกิดความรู้สึกสบายจนถึงขีดสุด มีคลื่นอุ่นๆค่อยๆไหลเข้ามาทำให้หัวของนางไร้สิ่งรบกวน ในใจมีเพียงความสงบ มีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เข้ามาแทนที่


 


แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง หยูเฮงกลับรู้สึกได้ถึงพลังลมปราณที่เปลียนไปของนาง


 


การผันเปลี่ยนของฟ้าดินเมื่อกี้กระตุ้นวิญญาณของนาง จิตของนางแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คนทั้งคนก็กลายสภาพไปเป็นเหมือนลำธารที่ใสสะอาด นั่นหมายความว่าพลังวิญญาณกำลังแข็งแกร่งขึ้น


 


และก็หมายความว่านางกำลังวิวัฒนาการ


 


ขีดจำกัดในร่างนางแหลกสลายไปหมดแล้ว ขอบเขตได้มลายหายไปจนหมดสิ้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเป็นเหมือนผีเสื้อที่พร้อมจะโบยบิน


 


เพล้ง….


 


มีเสียงหนึ่งที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้น พลังลมปราณที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าค่อยๆแผ่ซ่านออกมา ก่อนจะหายไป


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ได้สติกลับมาลืมตาขึ้น ตาสวยราวกับวาดขึ้นมา ผิวขาวใสไร้ที่ติ ในตอนนี้ นางมีบารมีที่สามารถเข้าครอบงำผู้อื่น ผมดกดำปลิวไหว ความงามนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกต้อยต่ำ ไม่กล้าเพ่งมอง ราวกับเทพธิดาจากโบราณกาลที่ไม่ควรลบหลู่


 


“คุณหนู….” หยูเฮงมีสีหน้าดีใจ


 


“หืม…” มุมปากค่อยๆยกขึ้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มออกมาบางๆ “เป็นอย่างไรบ้าง มิติเลื่อนไปกี่ขั้น”


 


“คุณหนู ท่านต้องไม่เชื่อแน่ ครั้งนี้มิติของพวกเราเลื่อนไปถึง 126 ขั้น ตอนนี้อยู่ในขั้นที่ 370 แล้ว”


 


“126 ขั้น?”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้ดีใจเท่าไหร่ กลับมีท่าทีช่วยไม่ได้ นางจำได้อย่างชัดเจนว่ามีภูเขาสมบัตินั้นอยู่หลายลูกมาก แลกมาได้แค่ 126 ขั้นเอง


 


แต่ก็ํอย่างว่า การเลื่อนขั้นมิติต้องการของที่มากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว เลื่อนมาได้ร้อยกว่าขั้นนับว่าไม่เลวแล้ว


 


หยูเฮงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คุณหนู แม้ว่าทรัพยากรครั้งนี้จะมีไม่น้อย แต่มันธรรมดาเกินไป ถ้าหลังจากนี้พวกเราหาได้เลอค่ากว่านี้ เชื่อว่าต้องมีเรื่องให้ดีใจมากกว่านี้แน่”


 


“ก็ได้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจว่านี่คือความจริง และก็นึกไปถึงคำถามอีกข้อ “จริงสิ มิติเลื่อนไป 126 ขั้น ครั้งนี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”


 


“คุณหนู ครั้งนี้หลักๆแล้วทำให้กฎแห่งฟ้าดินของเราสมบูรณ์ขี้น แล้วก็มิติขยายใหญ่ขึ้น มีเนื้อที่เพิ่มนับแสนไร่ แน่นอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นด้วย ข้าทำให้ท่านดูดีกว่า”


 


หยูเฮงโบกมือเล็กๆของนาง มีภาพนิมิตเกิดขึ้นตรงหน้า ภูเขาเลากาขึ้นซ้อนกันมากมาย ไม้ป่าขึ้นล้อมรอบ ภูเขาแต่ละลูกไม่ได้มีความชันที่ดูเป็นอันตราย ก้อนเมฆลอยเหนืออย่างสวยงาม มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ไปทั่ว


 


แม้จะห่างกันไกลมาก แต่ก็ยังสามารถมองเห็นยาวิเศษที่ปรากฏขึ้นตามภูเขา สีเขียวอร่ามเด่นสะดุดตาจากที่ไกลๆ เกิดเป็นคลื่นลู่ไปตามลมราวกับดวงดาวสีเขียว ใบไม้ทุกใบก็มีริ้วของดวงดารา สวยงามและอบอุ่นเป็นอย่างมาก


 


แล้วยังเห็นบ่อน้ำมากมาย น้ำใสจนเห็นปลาที่กำลังว่ายวนอยู่เป็นประกายระยิบระยับ ทำให้พื้นน้ำส่องแสงเสมือนพลังชีวิต


 


พลังชีวิตเต็มเปี่ยม ประกายหมอกล้อบรอบ นี่คือโลกใบเล็กๆที่ให้กำเนิดสัตว์วิญญาณและของวิเศษต่างๆออกมา มิติใกล้จะวิวัฒนาการเป็นโลกจริงๆได้แล้ว


 


ตาคู่สวยจ้องแต่ละภาพตรงหน้าอยู่ตลอด รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกว้างขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่ว่าอย่างไรการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี


 


“พอแล้ว เก็บได้แล้ว”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะ “ผ่านมาหลายวันแล้ว เตรียมเก็บตัวได้ หยูเฮง เจ้าเองก็เหมือนกัน พยายามอีกนิด รอดูสถานการณ์หลังจากที่พวกเราออกฌาน ถึงเวลาถ้าไปได้ก็ไปจากที่นี่เลย”


 


“ไม่มีปัญหา คุณหนู ตอนนี้ข้าสามารถฉีกมิติออกได้แล้ว แต่ก็ต้องพยายามอีกหน่อย ทุกคนจะได้ไม่เป็นห่วงและไม่ให้พวกเราออกไป” หยูเฮงเม้มปาก


 


“ไม่ต้องพูดมาก เก็บตัว”


 


พูดจบ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เตรียมตัวไปนั่งสมาธิใต้ต้นหลิวหน้าวังสวรรค์


 


“คุณหนู รอแปปนึง”


 


หยูเฮงเรียกคนที่กำลังจะเดินไปไว้ พูดยิ้มๆ “คุณหนู ยังมีเจ้าตัวเล็กอีกตัวที่ท่านยังไม่ได้เจอนะ”


 


“อะไร?” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามด้วยความงุนงง


 


ทันใดนั้น ก็มีนกยูง 5 สีปรากฏขึ้นในอากาศ ร่างเล็กๆมีขนประกายวิบวับ เจิดจ้าไปทั้งร่างจนแทบจะลืมตาไม่ไหว แสงแห่งเทวาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโอบล้อมมันเอาไว้ ทำให้มันดูเจิดจรัสสะดุดตา


—————————————–



TQF:บทที่ 538 ความดีใจแห่งการวิวัฒนาการ 3 เดือนให้หลัง (3)


 


โฮ่ววว


 


เสียงคำรามปานฟ้าร้องสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน ภูเขาเลากาทั้งหลายต่างสั่นไหว เจ้านกตัวนี้มีสายเลือดของเทพจากโบราณกาล ทำให้เกิดพลังเทพที่ทั้งแข็งแกร่งและลึกลับแผ่ซ่านออกไปทั่วหล้า


 


“สวยจัง”


 


เพิ่งเคยเห็นเจ้านกตัวนี้เป็นครั้งแรก เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดถอนหายใจออกมาเบาๆไม่ได้ นางรู้ว่านกตัวนี้ไม่ธรรมดา เพียงแค่พลังลมปราณในร่างของมันก็บ่งบอกทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแล้ว


 


“คุณหนู นี่คือนกยูง 5 สี เป็นเทพนก เป็นสิ่งมีชีวิตวิเศษที่เกิดจากการเลื่อนขั้นมิติในครั้งนี้”


 


“อื้ม เข้าใจ”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยื่นมือออกไป เจ้านกน้อยแสนฉลาดบินเข้าไปที่ฝ่ามือของนาง หัวเล็กๆของมันถูกมือของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอย่างรักใคร่ ร้องเสียงใส


 


“ต่อจากนี้เจ้าชื่อเชวี่ยเอ๋อน้อยดีมั้ย”


 


จิ๊บๆๆ


 


นกยูง 5 สีร้องอย่างดีใจ ตาสีดำสดใสจ้องเฉิงเสี่ยวเสี่ยวพลางพยักหน้าไม่หยุด เห็นได้ว่ามันชอบ


 


“อิอิ เชวี่ยเอ๋อน้อย ชื่อนี้ก็เพราะดีนะ”


 


จิ๊บๆๆ


 


เกิดเสียงร้องเบาๆขึ้นอีกครั้ง เชวี่ยเอ๋อน้อยหันไปร้องอย่างดีใจกับหยูเฮง


 


ในมิติได้มีภูติ ต้นหลิวเทพ เทพนกปรากฏขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าการเลื่อนขั้นหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก


 


ด้วยการมาของเชวี่ยเอ๋อน้อย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวลืมทุกอย่างไปได้ชั่วคราว บนใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนๆประดับอยู่ตลอด


 


3 เดือนผ่านไป


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกจากมิติอีกครั้ง ตาของทุกคนเบิกกว้างด้วยความอึ้งเมื่อเจอเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ราวกับไม่รู้จักนางซะแล้ว


 


หยูเฮงเม้มปากแอบหัวเราะกับปฏิกิริยาของทุกคน ใบหน้าซ่อนสีหน้าได้ใจไว้ไม่มิด


 


3 เดือนผ่านไป เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ใช่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเมื่อ 3 เดือนก่อนอีกแล้ว หลังจากการวิวัฒนาการ แทบจะเปรียบดั่งนางฟ้าจิ่วเทียนลงจากสวรรค์มาเอง ทุกกิริยาเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ยากจะเข้าใจ


 


ในขณะนั้น แม้แต่ฟางซูหยุนที่เรียบเฉยกับทุกอย่างยังอดมีท่าทีตกใจไม่ได้ ความแปลกใจในแววตายากที่จะปิด


 


“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าบรรลุอีกแล้วหรือ”


 


ไม่ว่าอย่างไร นางก็มีความรู้สึกที่มองหลานสาวไม่ออก เหตุการณ์แบบนี้นางไม่เคยพบมาก่อน อย่างเดียวที่นางรู้สึกได้คือหลานสาวแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว


 


เมื่อได้ฟัง ทุกคนต่างมีท่าทีเฝ้ารอ มองนางอยู่อย่างนั้น มีความคิดหนึ่งอยู่ในใจของทุกคน นั่นก็คือคนตรงหน้านี้บรรลุได้ระดับที่สูงขึ้นมาอีกแล้วแน่ๆ


 


ส่วนบรรลุถึงขั้นไหนนั้น พวกเขาอยากรู้มากทีเดียว


 


“อิอิ คุณหนูก็ต้องบรรลุอยู่แล้ว ครั้งนี้คุณหนูใช้เวลา 3 เดือนบรรลุจากปรากฏราชันย์จักพรรดิ์ไปสู่ตอนกลางของบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ เก่งล่ะสิ” หยูเฮงผยองมากถึงมากที่สุด


 


“จริงเหรอ”


 


“บรรลุราชันย์จักพรรดิ์…”


 


“สวรรค์ บรรลุราชันย์จักพรรดิ์ตอนกลาง…”


 


“คุณหนูบรรลุอีกแล้ว แถมยังไม่ใช่แค่ระดับเดียวด้วย ปรากฏราชันย์จักพรรดิ์สู่บรรลุราชันย์จักพรรดิ์ตอนกลางในเวลา 3 เดือน นี่มัน นี่มัน…”


 


ทุกคนที่ตะลึงอยู่อึ้งจนคำพูดรวนไปหมด ข่าวนี้น่าตกใจขึ้นกว่าทุกครั้ง


 


เมื่อเจอกับท่าทางตะลึงจากทุกคน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ยังคงท่าทีเรียบเฉยอยู่ พยักหน้ายอมรับเบาๆ


 


การเก็บตัวถึง 3 เดือนนี้ ไม่ใช่แค่นางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะการผันเปลี่ยนของกฎแห่งฟ้าดินเท่านั้น และการบรรลุที่เป็นไปอย่างสมควรด้วย ที่สำคัญคือนางสามารถสร้างภาพสมมุติเทพขึ้นมาได้แล้ว เรียกได้ว่าวิทยายุทธกล้าแข็งขึ้นอย่างมาก


 


ในผืนดินแห่งนี้ไม่มีใครจะเอาชนะนางได้แน่


 


เนิ่นนานกว่าทุกคนจะเริ่มปรับตัวได้กับข่าวนี้ สีหน้ายังมีความตกตะลึงอยู่บ้าง แต่ในใจสงบขึ้นเยอะ


 


“เสี่ยวเสี่ยว เจ้าเตรียมตัวจะไปแล้วใช่มั้ย” แม้จะรู้อยู่แล้ว แต่เฉิงไป๋หยวนก็อดเอ่ยถามอีกครั้งไม่ได้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถอนหายใจ ไม่ว่ายังไงก็ต้องให้คำตอบกับทุกคนให้ทุกคนได้เตรียมใจ นางสบตาท่านพ่อพร้อมตอบ “ท่านพ่อ อีกสักพักค่อยว่ากัน”


 


ท่านแม่ลั่วหยูฉินจับมือลูกสาวไว้แน่น น้ำตาคลอพูดอะไรไม่ออก ภายในมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่นแต่พูดออกมาไม่ได้สักอย่าง


 


นางไม่อยากให้ลูกสาวไป ในสายตาของนางก็ได้แสดงออกมาจนหมดแล้ว แต่จะคิดถึงยังไงก็ไม่สามารถเอ่ยห้ามเฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ เพราะนางรู้ว่าเรื่องที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้


 


อีกอย่าง ลูกเขยถูกจับตัวไป เรื่องนี้ต้องจัดการ เพราะฉะนั้นเป็นอันแน่นอนแล้วว่าลูกสาวจะต้องออกไป


 


แต่การที่ลูกสาวจะออกไป และยังออกไปจากผืนดินนี้เพื่อไปยังที่ที่ไม่รู้จักอีก ที่นั่นเต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตราย คนเป็นแม่อย่างนางก็ต้องเป็นห่วงและยากจะทำใจเป็นเรื่องธรรมดา


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจความรู้สึกของท่านแม่ นางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ปลอบเสียงเบา “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร ท่านวางใจเถอะ”


 


“ข้ารู้ๆ…” น้ำตาของลั่วหยูฉินไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป นางได้แต่หันหน้าไปอีกทางแอบเช็ดน้ำตา


—————————-


TQF:บทที่ 539 ได้เวลาไป (1)


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเงียบไปกับความเป็นห่วงของท่านแม่ ในเวลาแบบนี้นางไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรดี


 


ฟางซูหยุนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เมื่อมองไปที่ 2 แม่ลูก “เด็กย่อมมีวันที่เติบโต ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องเจอเข้ากับอุปสรรคบ้าง ทุกคนมีทางของตัวเองที่ต้องเดิน เสี่ยวเสี่ยวเองก็มีทางที่นางต้องเดินด้วยตัวเองเหมือนกัน เป็นเรื่องที่นางต้องทำด้วยตัวเอง ผู้ใหญ่อย่างพวกเราต้องรู้จักปล่อยมือ”


 


“ท่านแม่ ข้า ข้าเข้าใจ…” ลั่วหยูฉินเช็ดน้ำตาพลางพยักหน้า


 


“วางใจเถอะ พวกเราเชื่อใจเสี่ยวเสี่ยว”


 


ฟางซูหยุนหันไปถามเฉิงเสี่ยวเสี่ยว “เจ้าเตรียมตัวถึงไหนแล้ว ต้องจัดการอะไรอีกมั้ย พูดออกมาพวกเราทุกคนจะได้ช่วยเจ้าเตรียม”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัว “ไม่ต้องเตรียมอะไรหรอก ข้าขอพักอีกไม่กี่วันก็ออกเดินทางได้”


 


“คุณหนู ข้าจะไปกับท่านด้วย” ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยคำขอของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงตั้งใจจริง


 


“เจ้า เจ้าจะไปกับข้า”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าอยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้วทำไมถึงอยากจะไปด้วยล่ะ หรือว่าเจ้ามีความคิดอะไร”


 


“มีสิ มีแน่นอนอยู่แล้ว คุณหนู ข้าไม่ขออะไรอย่างอื่น ขอแค่ได้ตามคุณหนูไปในทุกๆที่ ขอคุณหนูอนุญาตด้วย”


 


พูดไป ผู้เฒ่าหยิงก็ลุกขึ้นโค้งประสานมือ อธิบายความคิดและความตั้งใจของตัวเองอีกครั้ง


 


ไม่ทันที่นางจะตอบ หยูเฮงก็ถามขึ้น “ตาเฒ่า เจ้าอยู่ที่นี่ก็เป็นบุคคลชั้นยอดแล้วนะ ทำไมถึงอยากไปกับพวกเราล่ะ เจ้าไม่รู้หรือว่าการที่พวกเราไปจากที่นี่ยังไม่รู้เลยว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง เจ้าเองก็มีอายุแล้ว ทำไมไม่เห็นค่าของช่วงชีวิตตอนนี้ล่ะ จะตามพวกเราไปเที่ยวเพล่นพล่านทำไมกัน”


 


“หยูเฮงพูดถูก ตาเฒ่า เจ้าไม่จำเป็นต้องตามพวกเราไปหรอก”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดไปคิดมาก่อนจะพูดต่อ “ถ้าเจ้าอยากจะไปดูที่ผืนดินอื่นเพื่อเปิดหูเปิดตาละก็ ถ้าหากครั้งนี้พวกเรากลับมาได้ วันหลังค่อยพาเจ้าไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องตามไปตอนนี้หรอก ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นเจ้าอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นก็ได้นะ”


 


“ไม่ คุณหนู ข้าไม่สนใจ”


 


ผู้เฒ่าหยิงส่ายหัว สีหน้าตั้งใจแน่วแน่ “ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ครั้งนี้ข้าก็จะตามคุณหนูไปด้วย หวังว่าคุณหนูจะอนุญาต”


 


“นี่….”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้คิดว่าจะพาใครไปด้วย จึงไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี


 


“เสี่ยวเสี่ยว ย่าก็จะไปกับเจ้าด้วย” ฟางซูหยุนเอ่ยคำขอของตัวเองบ้าง


 


อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ที่นั่งอยู่ตรงที่เจ้าบ้านไม่ได้พูดอะไรเลย จนตอนนี้ก็ได้เอ่ยปากขึ้น “ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว ข้าก็เตรียมตัวจะไปกับพวกเจ้าด้วย รวมข้าเข้าไปด้วย”


 


“ท่านย่า อาจารย์ปู่ พวกท่านก็จะไปกับข้าด้วยหรือ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมองคนตรงหน้าอึ้งๆ


 


ทั้ง 3 ที่ขอมาไม่เหมือนพูดเล่น เห็นได้ว่าพวกเขาจริงใจและตั้งใจจะไปกับตัวเองด้วยจริงๆ


 


ฟางซูหยุนพยักหน้า นางได้บอกความต้องการออกไปอย่างชัดเจนแล้ว


 


มีประกายอยู่ในแววตาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ “ข้าน่ะบรรลุแล้ว อยากไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก ไม่ว่าอีกหน่อยจะต้องเจอกับอะไรหรือต้องพบกับจุดจบเช่นไร ข้าก็ไม่ได้สนใจ อย่างไรซะที่นี่ก็ไม่มีโอกาสวาสนาของข้า ข้าได้แต่ไปแสวงหาที่อื่น”


 


“…..”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่สามารถปฏิเสธได้ และก็ไม่รู้ว่าจะตอบอาวุโสทั้ง 3 ท่านว่าอย่างไรดี


 


แม้พวกเขาจะมีเหตุผลของตัวเองกันทั้งนั้น แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรับรู้ได้ว่าพวกเขาทำไปเพื่อไปเป็นเพื่อนตัวเอง เพื่อให้รอบข้างตัวเองมีคนคุ้นเคยเมื่อไปถึงที่ใหม่


 


คนอื่นๆจ้องมองมาที่นาง ในเวลานี้ โม่อู๋เซอและหรงจิ้งซือสบตากัน มองเห็นความแน่วแน่ในแววตาของอีกฝ่าย คนเป็นอาจารย์อย่างโม่อู๋เซอก็ได้เอ่ยขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว ข้ากับอาจารย์หญิงก็จะไปกับเจ้าด้วย เราจะไปตามหาซวนซุนด้วยกัน”


 


“อาจารย์ ท่านกับอาจารย์หญิงก็จะไปด้วยหรือ”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอึ้งไปอีกครั้ง มองพวกเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ อย่างไรซะพวกเขาก็เป็นถึงเจ้าโถงวิหารสวรรค์ที่ค่อยจัดการทุกอย่างในสำนัก จะทิ้งทุกอย่างแล้วไปด้วยกันได้อย่างไร


 


โม่อู๋เซอและหรงจิ้งซือพยักหน้าพร้อมกัน หรงจิ้งซือกล่าวขึ้น “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าวางใจเถอะ เรื่องของโถงวิหารสวรรค์ให้อาจารย์ท่านรับหน้าไปก่อน จะได้เป็นการสั่งสอนลูกศิษย์ไปด้วย ขอแค่พวกเราหาซวนซุนพบ พวกเราก็ต้องกลับมาอยู่ดี”


 


สรุปก็คือ เรื่องของโถงวิหารสวรรค์พวกเขาจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว และจะตามไปด้วย


 


เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็มีอย่างน้อย 5 คนที่จะตามนางไปด้วย


 


หยูเฮงเองก็อึ้งไป นางมองคนนี้ทีคนนั้นที การที่ทุกคนเอ่ยปากจะขอไปด้วยเกินความคาดหมายของนางมาก จึงไม่อยากจะเชื่อ


 


“พวกท่านไม่ได้ล้อเล่นใช่มั้ย”


 


แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ล้อเล่น แต่หยูเฮงก็อดถามออกไปไม่ได้ น้อยครั้งนักที่จะนางจะมีสีหน้าเอ๋อๆแบบนี้


 


ทั้ง 5 คนพยักหน้าอีกครั้ง สีหน้าจริงจัง ไม่มีทีท่าล้อเล่นแม้แต่น้อย


 


“เรื่องดีนะเนี่ย….”


 


หยูเฮงกระพริบตา จู่ๆก็ยิ้มออกมาอย่างเบิกบานก่อนจะตบมือน้อยๆด้วยความดีใจ “พวกท่านทุกคนจะไปกับพวกเราด้วย สุดยอดไปเลย อย่างงี้วันหลังตอนจะอัดคนก็มีคนช่วยแล้ว”


 


“ถูกต้องๆ ข้าอัดคนด้วย รับรองว่าเป็นมือหนึ่งแน่นอน” ผู้เฒ่าหยิงพยักหน้าไม่หยุด กล่าวยิ้มๆ


 


คนอื่นๆมีท่าทีอิจฉา โดยเฉพาะผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกเขาก็มีความคิดนี้เหมือนกัน แต่พวกเขารู้ว่ายังไงซะครั้งนี้ก็ไม่มีทางได้ไป เพราะฉะนั้นถึงแม้จะอิจฉา พวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยปากขอไปด้วย


 


พวกเขาได้แต่คาดหวังว่าในภายภาคหน้าเมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลับมาแล้วและจะไปอีกครั้ง พวกเขาจึงจะกล้าขอไปด้วย



TQF:บทที่ 540 ได้เวลาไป (2)


 


อย่างไรซะวิทยายุทธของพวกเขาก็ไม่ได้สูงนัก แค่ระดับก่อเกิดราชันย์จักพรรดิ์เท่านั้น อยากจะช่วยก็คงไม่มีอะไรให้พวกเขาทำ แต่วันหลังอาจจะมีโอกาสนี้ก็ได้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ปฏิเสธ เท่ากับว่ายอมให้พวกเขาไปด้วยโดยไม่ได้เอ่ยปาก อย่างไรซะนางก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาปฏิเสธอาวุโสตรงหน้านี้ และนางก็รู้ว่าต่อให้นางปฏิเสธ พวกเขาก็ไม่ยอม และจะใช้วิธีอื่นเพื่อให้ตัวเองตกลงให้ได้


 


วันเวลาหลังจากนั้นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็อยู่แต่กับคนในครอบครัว ขณะเดียวกันหยูเฮงก็ขนเอาทรัพยากรในมิติออกมาทั้งหมด เหลือเพียงแค่นิดหน่อยที่พวกนางเหลือไว้สำรองใช้ ที่เหลือทั้งหมดส่งมอบออกไป


 


แค่ทรัพยากรที่ให้กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนในครั้งนี้ก็พอใช้ไปอีก 50 ปี เป็นตัวเลขที่น่าตกใจทีเดียว ตอนที่ได้รับทรัพยากรเหล่านี้ ต่อให้เป็นเฉิงไป๋หยวนที่เห็นอะไรมามากก็ตะลึงจนพูดไม่ออกกับทรัพยากรเหล่านี้ ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะได้สติกลับคืนมา


 


แม้จะมีทรัพยากรเหล่านี้แต่เขาก็ดีใจไม่ออก เพราะเขารู้ว่าลูกสาวจะไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ มีทรัพยากรมากมายแล้วยังไงกัน เขาขอให้ลูกสาวไม่จากตัวเองไปจะดีกว่า


 


นี่ก็เป็นแค่ความคิดของเขาในฐานะพ่อเท่านั้น ลูกสาวจะออกไปตามหาลูกเขยก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และครั้งนี้ก็มีคนไปเป็นเพื่อนลูกสาวจำนวนไม่น้อยด้วย ทำให้เขาเบาใจลงได้บ้าง


 


ในสวนดอกไม้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยว กงซีหยวน ลั่วจุนฮ่าว จู้เซียงหยู เฉิงฮุ่ยฮุ่ย นั่งอยู่ด้วยกัน 5 คนอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีใครพูดกับใคร


 


ผ่านไปสักพัก ลั่วจุนฮ่าวเงยหน้ามามองหลานสาวด้วยสายตาที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก เรียกได้ว่าทุกอย่างที่เขามีในวันนี้ได้มาจากหลานสาวทั้งนั้น ที่ทำให้เขามีฐานะอย่างทุกวันนี้


 


แม้จะเป็นญาติของตัวเอง แต่เขาก็สำนึกบุญคุณเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความสุขสมหวังในชีวิตของตัวเองก็เกิดจากการชักนำของหลานสาว ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะไม่ได้มีความรักในครั้งนี้ก็ได้


 


“เสี่ยวเสี่ยว ไม่ว่าเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราก็จะรอให้พวกเจ้ากลับมาก่อนแล้วค่อยจัดงานแต่ง” ลั่วจุนฮ่าวเอ่ยเสียงเข้ม


 


“อะไรนะ”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนึกว่าตัวเองฟังผิด เมื่อเห็นท่านน้าพยักหน้า นางถามขึ้นอย่างสงสัย “ทำไมล่ะ ข้ายังไม่รู้เลยนะว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”


 


“เสี่ยวเสี่ยว ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ซีหยวนก็เห็นด้วย” พูดไป ลั่วจุนฮ่าวก็หันไปมองคนข้างๆอย่างอ่อนโยนพลางยิ้มออกมา


 


กงซีหยวนเม้มปากและยิ้ม หันไปพูดกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว “เสี่ยวเสี่ยว ข้ากับจุนฮ่าวคิดเหมือนกันว่าจะรอให้เจ้ากลับมาก่อน ถ้าพวกเจ้าไม่กลับมาพวกเราก็จะไม่จัดงานแต่งจนกว่าพวกเจ้าจะกลับมา พวกเรารอเจ้ากับศิษย์พี่โม่อยู่นะ เพราะฉะนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะเจอเข้ากับปัญหาอะไรก็ต้องหาทางกลับมาให้ได้ กลับมาร่วมงานแต่งของพวกเรา”


 


“…..” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวมอง 2 คนตรงหน้าเนิ่นนานโดยไม่พูดอะไรออกมา


 


จู้เซียงหยูเหล่มองทั้ง 3 ก่อนจะค่อยๆเอ่ยขึ้น “คุณหนูเฉิง พวกเรารู้จักกันมาก็หลายปีแล้ว แม้จะเจอท่านเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่ข้าพบท่านก็โดนท่านไถทุกครั้ง ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ โอกาสที่เดียวที่ข้าจะไถท่านคืนได้ก็คืองานแต่ง ดังนั้นข้าตัดสินใจแล้ว รอให้พวกท่านกลับมาก่อนแล้วข้าค่อยจัดงานแต่ง ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีโอกาสไถท่านคืนเลย เสียเปรียบแย่ เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด คำเดียวเลย ได้ไถท่านคืนข้าถึงจะสบายใจ อย่าลืมกลับมาร่วมงานแต่งของข้าด้วย”


 


“งานแต่งของเจ้า?”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหมดคำจะพูด เห็นท่าทางสมเหตุสมผลของเขาแล้วอดพูดไม่ได้ “ว่าที่ภรรยาเจ้าอยู่ที่ไหน คำขอของเจ้านี่ตลกไปรึเปล่า”


 


“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ ข้าตัดสินใจแบบนี้จริงๆ เพื่อความสุขของพวกเราแล้วเจ้าต้องรีบตามหาผู้ชายของเจ้าให้เจอแล้วพากลับมา ข้าก็รอกินเลี้ยงงานเจ้าอยู่เหมือนกัน” จู้เซียงหยูกล่าวเรียบๆ


 


“……” เฉิงเสี่ยวเสียวชำเลืองมองอีกฝ่าย ไม่มีอะไรจะโต้ตอบจริงๆ


 


“เสี่ยวเสี่ยว…”


 


คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของนางมีท่าทีเขินอายและทำตัวไม่ถูก นางเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “เสี่ยวเสี่ยว ญาติของข้ามีไม่เยอะ ข้าก็หวังว่าในวันที่ข้าแต่งงานเจ้าจะกลับมาได้ ข้าก็จะรอให้พวกเจ้ากลับมาเหมือนกัน”


 


“ท่านอาฮุ่ยฮุ่ย ท่าน…”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทั้งขบขันและซาบซึ้ง นางเข้าใจความหมายของพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาต้องการให้นางรับประกันว่าจะกลับมาแน่ๆ ทุกคนรอนางอยู่ที่นี่


 


เมื่อเจอกับสายตาที่จริงใจและคาดหวังของพวกเขา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลืนทุกคำพูดกลับเข้าไป พยักหน้าเงียบๆ


 


นอกจากรับปากแล้ว นางไม่รู้จะหาคำไหนมาบอกกับพวกเขาดี


 


เวลาไม่กี่วันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


ท่านแม่อยู่กับนางทุกวันและปล่อยให้เหล่าบริวารจัดการเรื่องในบ้านไป น้องชายน้องสาวก็ไม่ได้ไปเก็บตัวฝึกฝนวิทยายุทธ คอยอยู่รอบๆนาง ครอบครัวกินข้าวพร้อมหน้ากันทุกมื้อ ทุกคนตักอาหารให้นางไม่หยุด นางก็กินสุดชีวิตเหมือนกัน ต่อให้กินจนจุกก็จะใช้คาถาเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังเซียนและกินอาหารในจานให้หมดทุกอย่าง


 


วันที่ 6


 


หยูเฮงออกมาจากมิติและมอบแหวนมิติอีกวงให้กับเฉิงไป๋หยวน จากนั้นก็หันไปบอกกับเฉิงเสี่ยวเสี่ยว “คุณหนู พวกเราต้องไปแล้ว”


 


ใช่แล้ว ต้องไปแล้ว


 


ทุกคนมีสีหน้าไม่อยากให้ไป แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพื่อรั้งเอาไว้


 


ส่วนคนที่จะไปด้วยก็ได้มาถึงแล้ว หยูเฮงไม่พูดอะไร เก็บทั้ง 5 คนเข้ามิติหมด


 


“เสี่ยวเสี่ยว เสื้อผ้าพวกนี้แม่เตรียมให้เจ้าหมดเลย เจ้าจะได้มีเปลี่ยน เสื้อผ้าที่เก่าแล้วก็ทิ้งมันไป แม่จะคอยเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่เยอะๆเลย รอให้เจ้ากลับมาใส่นะ”


 


2 ตามีน้ำตาคลออยู่ ลั่วหยูฉินหยิบแหวนมิติออกมา 1 วงใส่ในมือของลูกสาว นี่เป็นเสื้อผ้าที่ทุกฝีเข็มนางเย็บเองหมดเพื่อลูกสาว ทุกตัวทำตามแบบที่ลูกสาวชอบ นางอยากให้ทั้งตัวของลูกสาวได้ใส่เสื้อผ้าที่นางทำเอง”


 


“ท่านแม่ ขอบคุณนะเจ้าคะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเก็บแหวน มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา นางไม่ได้ปล่อยให้มันไหลออกมา สวมกอดท่านแม่ไว้หลวมๆ “ท่านแม่ พวกเรากลับมาแน่ๆ รอพวกเรากลับบ้านนะ”


—————————————-


TQF:บทที่ 541 ได้เวลาไป (3)


 


“ดีๆๆ แม่รอพวกเจ้ากลับบ้าน เสี่ยวเสี่ยวของข้าต้องกลับบ้านแน่ๆ” ลั่วหยูฉินฝืนไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา แต่นางไม่คิดจะไปเช็ด กอดลูกสาวไว้แน่น


 


ผ่านไปพักใหญ่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถึงปล่อยมือจากท่านแม่ จากนั้นก็กอดท่านพ่ออีกครั้ง 2 พ่อลูกไม่ได้พูดอะไรกัน เฉิงไป๋หยวนตาแดงก่ำ เพียงแค่ตบบ่าลูกสาว ความเป็นห่วงและความรักของพ่อคนหนึ่งได้ถูกส่งผ่านไปหมดแล้วโดยไม่ต้องผ่านคำพูด


 


หลังจากนั้นนางก็หันไปคุยอะไรกับน้องๆอีกนิดหน่อย พยักหน้าให้กับเหล่าคนที่มาส่ง ก็หันหลังก้าวเข้าไปในมิติเคียงข้างหยูเฮง


 


ภายใต้การจ้องมองของทุกคน หยูเฮงโบกมือทั้ง 2 ข้าง เกิดริ้วคลื่นน้ำอยู่บนนภา มีทางเข้าที่ผิดไปจากปกติฉีกออกในอากาศ 1 คน 1 ภูติก้าวข้ามประตูนั้นไป


 


“เสี่ยวเสี่ยว ดูแลตัวเองด้วยนะ….” ชั่วขณะที่ลูกสาวหายไป ลั่วหยูฉินตะโกนสุดเสียงใส่อากาศ


 


แต่แผ่นหลังของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ก้าวข้ามประตูได้หายไปแล้ว และก็ไม่ได้ยินเสียงของนาง


 


ประตูได้หายไปด้วย แต่คนด้านล้างยังคงมองอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครไปที่ไหนทั้งนั้น


 


ภูเขาลูกเขียวเรียงราย มีหมอกอยู่ล้อมรอบ ข้างๆน้ำตาเป็นดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า สะท้อนให้น้ำธารฟ้าใสกลายเป็นสีแดงเพลิง


 


ข้างลำธารมีร่างคนโตกับร่างคนเล็กยืนอยู่ข้างกัน แม้จะอายุไม่มาก แต่หน้าตาสวยงามเกินกว่าใครอื่นใดจะเทียบ โชคดีที่แถวนี้ไม่มีคน ไม่อย่างนั้นต้องตกใจจนร้องออกมาแน่ๆ


 


ร่างคนโตกับร่างคนเล็กที่ยืนอยู่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงที่ฉีกมิติออกมานั่นเอง ตอนที่พวกเขาก้าวออกมาจากอากาศก็อยู่ที่นี่แล้ว


 


เนื่องจากที่นี่เป็นที่รกร้างที่ไม่มีใครอาศัยอยู่ นอกจากพลังวิญญาณที่หนาแน่นกว่าผืนดินเดิมหลายเท่าแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งอื่นที่ผิดแปลกไป


 


ที่นี่คือที่ไหน ผืนดินอะไร 1 คน 1 ภูติไม่รู้เลย


 


“คุณหนู ท่าทางพวกเราต้องออกจากที่นี่ หาที่ๆมีคนแล้วไปถามสักหน่อยว่าที่นี่ที่ไหน” หยูเฮงมองไปรอบๆ นางส่งจิตออกไปเสาะหาแต่ไม่เจอแม้คนเดียว


 


อยากจะรู้ว่าที่นี่ที่ไหนก็ได้แต่หาคนมาถามถึงจะรู้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า มองเจ้าตัวเล็กสุดน่ารักก่อนจะถามขึ้น “เจ้าจะกลับมิติหรือจะไปกับข้าด้วย”


 


“ไปด้วย ข้าไม่กลับมิติหรอก” หยูเฮงย่นจมูกน่ารักของนาง ตัดสินใจว่าจะไม่ซ่อนตัวอีกแล้ว ด้วยความสามารถของนางต่อให้มาที่ผืนดินฉางไห่ ก็เชื่อว่าไม่มีใครสามารถรังแกตัวเองได้


 


ซึ่งก็จริง หยูเฮงในตอนนี้สามารถใช้พลังระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์ได้อย่างเต็มที่ คนทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้นางแน่


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “ดี พวกเราหาสักทิศแล้วพอเจอคนค่อยว่ากัน”


 


“ได้”


 


ทั้ง 2 กระโจนหายตัวไปทางทิศตะวันออก ภูเขาด้านล่างแลดูเหมือนเคลื่อนที่ไปทางด้านหลังด้วยความเร็วปานสายฟ้า ร่างคนโตและร่างคนเล็กหายไปจากป่าเขานี้ในพริบตา


 


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ 1 คน 1 ภูติออกจากแถบเขาได้ในที่สุด ข้างหน้าปรากฏเมืองสีทองอร่าม ทั้งกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ ทั้งสถาปัตยกรรมบ้านช่องและศาลาที่ขึ้นสูงเรียงรายต่างอยู่ตรงหน้าแล้วจริงๆ


 


เมืองนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก กำแพงเมืองยาวไม่รู้กี่ร้อยลี้ มองไม่เห็นขอบเขต ภายในกำแพงเมืองมีแต่ตึกรามสูงใหญ่หรูหราปานวัง มองจากที่ไกลๆเป็นแสงหลากสีส่องประกายทองอร่ามราวกับสวรรค์บนดิน


 


ภายในเมืองมีเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนเต็มไปหมด ต่อให้ห่างกันหลายร้อยลี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ยังได้ยินเสียงเร่ขายและเสียงฝีเท้าของม้าอยู่ ภาพเมืองอันจอแจปรากฏขึ้นอยู่ในหัวของ 1 คน 1 ภูติแล้ว


 


“ว้าว สวยจังเลยคุณหนู สวยกว่าวังของพวกเราอีก” หยูเฮงพูดอย่างอดไม่ได้


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ที่นี่น่าจะไม่ใช่ตำบลเล็กๆ พวกเราไปดูสักหน่อยอาจจะได้ข่าวคราวบ้าง”


 


“คุณหนู พวกเราต้องหาข้อมูลสถานการณ์ให้ดี ท่าทางที่นี่จะไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


“ไปเถอะ พอถึงข้างหน้าอีกหน่อยพวกเราก็เดินเท้าไป เผื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น”


 


เพิ่งจะมาถึงที่ที่ไม่คุ้นเคย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคิดว่าระวังตัวหน่อยน่าจะดี การตรงดิ่งไปที่ประตูเมืองเลยอาจจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็นด้วย


 


“เชื่อคุณหนู” กับปัญหายิบย่อยพวกนี้แล้ว ปกติแล้วหยูเฮงจะทำตามที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอก อย่างไรซะนางก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่


 


ทั้ง 2 หลบฝูงคนและฝูงสัตว์อสูรอย่างระวังและหยุดอยู่ในหุบเขาที่ใกล้ประตูเมืองที่สุด


 


มองไปที่ประตูเมืองที่มีผู้คนพลุกพล่าน หยูเฮงอดอุทานไม่ได้ “สุดยอดไปเลยนะ พวกเรานี่ไม่เคยเจอโลกกว้างจริงๆนั่นแหละ ดูกำแพงเมืองนั่นสิ ใหญ่อย่างกับภูเขา สุดยอดจริงๆ”



TQF:บทที่ 542 แผ่นคริสตัลประจำตัว (1)


 


 


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพ่งมองไปยังประตูเมืองที่ครึกครื้น แอบถอนหายใจออกมา แม้จะไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน แต่ดูจากท่าทางเจริญรุ่งเรืองแบบนี้แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่อะไรที่ผืนดินตัวเองจะเทียบได้


 


“นี่ก็ดึกแล้ว พวกเราเข้าไปพักผ่อนกันเถอะ แล้วค่อยสืบข่าวกัน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวเสียงเบา


 


“ได้” หยูเฮงพยักหน้า นางหันมามองหน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอีกครั้ง อดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณหนู เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ท่านใส่หมวกปิดหน้าไว้ก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่เกิดปัญหาอะไร”


 


“เอ่อ….”


 


คำพูดของหยูเฮงทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป นางเข้าใจความหมายของหยูเฮงในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยรูปลักษณ์ของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ถ้าเข้าไปในเมืองเจริญนี้ต้องดึงดูดจิตใจอยากล่าเหยื่อของพวกคุณชายตระกูลใหญ่ได้แน่ จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่แปลก ฉากละครน้ำเน่าอาจจะมีให้เห็นได้ในทุกวัน


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่าตอนอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธ์จงหยวน ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ไม่กล้ามาแสดงตัวต่อหน้าตัวเอง เพราะรู้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ใช่คนที่ล้อเล่นด้วยได้


 


บัดนี้ในที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ โดยเฉพาะเป็นผืนดินที่แข็งแกร่งแบบนี้ เกรงว่าวิทยายุทธของตัวเองไม่แม้แต่จะกำราบเจ้าพวกคุณชายตระกูลใหญ่ได้ ถ้าเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นด้วยเหตุผลเล็กๆแค่นี้ละก็ ต่อให้ตัวเองไม่หวั่นแต่ก็เสียเวลาอยู่ดี


 


 


ข้อเสนอของหยูเฮงสมเหตุสมผล ขอแค่ปกปิดใบหน้าเอาไว้ คนอื่นไม่สามารถมองเห็นหน้าตัวเองได้ อย่างน้อยๆจะไ้ด้หลีกเลี่ยงเรื่องน้ำเน่าๆแบบนี้


 


คิดมาถึงตรงนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า โชคดีที่ในแหวนมิติมีหมวกปิดหน้าที่นางเตรียมเอาไว้ นางจะหยิบออกมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้


 


ร่างคนโตและร่างเล็กมาอยู่หน้าประตูเมืองอย่างรวดเร็ว มีเหล่าทหารยามคอยเฝ้าระวังคนที่คอยเข้าๆออกๆอยู่ แม้ 1 คน 1 ภูติจะปะปนไปกับฝูงชน แต่การปรากฏตัวของพวกเขาก็เป็นจุดสนใจของทหารยามในเวลาแปปเดียว


 


เพราะว่าหยูเฮงน่ะน่าสะดุดตาเกินไป เด็กผู้หญิงน่ารักที่สวยจนไม่น่าจะมีอยู่จริง ข้างๆตัวยังมีผู้หญิงปิดหน้าอีกคนอยู่ด้วย ต่อให้มองไม่เห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยว แต่บรรยากาศรัศมีจากอิริยาบถของนางก็ยังดูงดงามจนยากที่จะไม่สังเกตุเห็น


 


“พวกเจ้ามาจากที่ไหน….”


 


เหมือนว่าทหารยามคนหนึ่งจะรู้แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่นี่ ยื่นมือมาขวาง 1 คน 1 ภูติเอาไว้และถามอย่างเข้มงวด


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อเห็นคนเหล่านี้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่เข้าๆออกๆล้วนอยู่ในระดับบรรลุราชันย์จักพรรดิ์หรือก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะเลย แม้แต่เหล่าทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองอยู่ก็ล้วนอยู่ในระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะทั้งนั้น ส่วนตัวเองยังเป็นแค่บรรลุราชันย์จักพรรดิ์เท่านั้น มาอยู่ที่นี่ยังสู้คนเฝ้าบ้านของเขาไม่ได้เลย


ถ้าให้พวกตาเฒ่าที่บ้านเห็นภาพนี้ต้องกระอักเลือดออกมาแน่ๆ


 


ฝูงชนที่เข้าๆออกๆอยู่เห็นว่าทหามยามหาเรื่องคนอื่น แล้วยังเป็นสาวสวยด้วย ความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาถูกกระตุ้นขึ้น แต่ละคนไม่รีบที่จะไปต่อ แต่อยู่เป็นผู้ชมที่นี่


 


ภายใต้สายตาของทุกคน หยูเฮงที่ดูแล้วอายุเพียง 10 ขวบเท่านั้นไม่ได้มีท่าทางตื่นกลัว กลับกระพริบขนตายาวๆของนางและถามขึ้น “พี่ทหารยาม พี่ถามข้ากับพี่สาวข้าหรือ”


 


“ถูกต้อง พวกเจ้านั่นแหละ”


 


สีหน้าแข็งกร้าวของทหารยามอ่อนลงเมื่อเจอกับเด็กผู้หญิงน่ารักตรงหน้า เหมือนกับไม่อยากทำให้นางตกใจ


 


“พวกเราเหรอ พวกเรามาจากหุบเขาไกลๆโน้น พวกเราก็ไม่รู้ว่าคือที่ไหน พี่ทหารยาม ที่นี่คือที่ไหนเหรอ หรือว่าพวกเราเข้าไปไม่ได้ล่ะ” หยูเฮงรีบเผยไต๋ของตัวเองออกมา


 


ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าเด็กผู้หญิงน่ารักคนนี้ไม่ใช่คนที่นี่ และยังเป็นเจ้าเด็กที่เพิ่งเคยเปิดโลกกว้างด้วย แต่ละคนจึงมองสาวคนโตและสาวคนเล็กด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น


 


แม้ทหารยามจะแปลกใจแต่ก็ยังยอมรับได้ อย่างไรซะเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นคนไม่รู้เรื่องจากหุบเขาไหน แปลกจนไม่แปลกแล้ว


 


แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่กล้าดูถูกเจ้าคนต่างถิ่นพวกนี้ คนที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามก็ใช่ว่าจะเป็นพวกอ่อนด๋อยเสมอไป บางคนก็อาจเป็นเสือซ่อนลาย โดยเฉพาะ 2 คนตรงหน้าที่ท่าทางไม่ธรรมดา จะเป็นพวกกระจอกไปได้อย่างไร


 


น้ำเสียงของเขาอ่อนขึ้นอีก “ได้สิ ถ้าแม่นางทั้ง 2 ยังไม่มีแผ่นคริสตัลประจำตัว สามารถจ่ายด้วยหินพลังวิญญาณ 5 ก้อนแล้วทำที่นี่ได้เลยขอรับ”


 


“แผ่นคริสตัลประจำตัว? มันคืออะไรเหรอ” หยูเฮงถามอย่างสงสัย


 


แม้แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่นางก็คิดอยู่กลายๆว่าน่าจะเป็นของคล้ายๆกับบัตรประชาชนในศตวรรษที่ 21


 


“แม่นาง ทำไมเจ้าไม่รู้จักแผ่นคริสตัลประจำตัวล่ะ” มีป้าคนหนึ่งที่อายุค่อนข้างมากแล้วหยิบแผ่นคริสตัลประจำตัวของตัวเองออกมาพลางพูด “นี่คือแผ่นคริสตัลประจำตัว เป็นของที่สามารถยืนยันตัวตนของเจ้าได้ ต่อไปนี้ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ขอแค่อยู่ในผืนดินฉางไห่ เจ้าแค่หยินบแผ่นคริสตัลประจำตัวออกมาก็ยืนยันตัวตนได้”


 


“ถูกต้องแม่นาง พวกเจ้า 2 พี่น้องก็ทำสักแผ่น หลังจากนี้จะไปที่ไหนก็ได้ใช้”


 


“คนที่นี่น่ะมีแผ่นคริสตัลประจำตัวทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็เข้าเมืองไม่ได้”


 


“ใช่แล้วแม่นาง พวกเจ้ารีบทำเถอะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเข้าไปข้างในก็คงจะยากหน่อย”


 


เหล่าผู้ชมรอบข้างแย่งกันพูดจอแจด้วยความหวังดี เกลี้ยกล่อมเด็กผู้หญิงน่ารักตรงหน้า


 


ผืนดินฉางไห่


 


เมื่อเจอกับความหวังดีของทุกคน ทั้ง 2 ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก ในหัวของพวกนางมีเพียงเสียงเดียวเท่านั้น ผืนดินฉางไห่!


 


ที่นี่ก็คือผืนดินฉางไห่ พวกนางข้ามมิติมาที่ผืนดินฉางไห่เลย ทั้งตกใจและดีใจ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีที่น่าประหลาดใจ อย่างไรซะการมาโดยไม่มีพิกัด ไม่มีการวางวิชาส่งมอบ ไม่มีทางรู้เลยว่าไปที่ไหน การมาถึงที่นี่ได้เป็นเรื่องของดวงล้วนๆ


 

TQF:บทที่ 543 แผ่นคริสตัลประจำตัว (2)


ครั้งนี้ดวงพวกนางไม่เลวเลย มาปรากฏตัวที่ผืนดินฉางไห่แล้วจริงๆ


ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นผืนดินที่ท่านย่าถือกำเนิดขึ้นมา สำหรับท่านย่าแล้วการได้กลับมาที่นี่ก็นับเป็นเรื่องน่าดีใจอย่างหนึ่ง


เนิ่นนาน ทั้ง 2 คนสะกดความดีใจลง และเข้าใจแล้วในขณะเดียวกันว่าแผ่นคริสตัลประจำตัวคืออะไร หยูเฮงเหลือบมองคนข้างๆพลางถาม “พี่สาว พวกเราจะทำรึเปล่า”


“แม่นาง พวกเจ้า 2 พี่นางน่ะทำจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าเข้าไปแล้วแม้แต่โรงเตี๊ยมก็เข้าพักไม่ได้ เพราะต้องดูแผ่นคริสตัลประจำตัว” ผู้เฒ่าคนหนึ่งเตือนอย่างหวังดี


“แผ่นคริสตัลประจำตัวสำคัญมาก ไม่มีไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาทำการแลกเปลี่ยน แล้วยังงานแลกเปลี่ยนที่จัดโดยทางการด้วย ล้วนต้องใช้แผ่นคริสตัลประจำตัวทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็จะถูกกันไว้อยู่ข้างนอก อยากซื้อก็ซื้อไม่ได้”


“ใช่แล้วแม่นาง พวกเจ้า 2 พี่น้องไม่ต้องคิดจะประหยัดหินพลังวิญญาณไม่กี่ก้อนหรอก ทำสักอันจะสะดวกกว่า”


เหล่าคนใจดีพากันเตือนขึ้นอีกครั้ง ราวกับกลัวว่า 2 พี่น้องไม่ยอมทำ จะได้เจอปัญหาในภายหลังแล้วเสียใจ


“เชื่อทุกคนแหละ เราก็ทำสักใบเถอะ”


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า หยูเฮงอาจจะไม่รู้ว่าแผ่นคริสตัลประจำตัวสำคัญขนาดไหน แต่นางรู้ดีว่าของแบบนี้น่ะสำคัญแค่ไหน อย่างที่ทุกคนบอก ถ้าไม่มีบัตรประชาชนเรียกได้ว่าก้าวไปไหนก็ลำบาก โดยเฉพาะในยุคศตวรรษที่ 21 ไม่ว่าอะไรก็ต้องใช้บัตรประชาชนทั้งนั้น


แม้ว่าที่ผืนดินฉางไห่ไม่ได้ให้ความสำคัญแบบเดียวกับแผ่นคริสตัลประจำตัว อย่างไรนี่ก็เป็นเครื่องยืนยันตัวตนจากทางการ ก็ยังจำเป็นอยู่มาก


“ได้ งั้นพวกเราก็ทำเถอะ” แม้จะต้องใช้หินพลังวิญญาณ 5 ก้อน แต่สำหรับหยูเฮงแล้วไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจเลย


นางควักหินพลังวิญญาณออกมา 10 เม็ดแล้วโยนให้ทหารยาม “พวกเราทำด้วย พี่ทหารยามเร็วๆเข้าเถอะ”


ฝูงชนที่เข้าๆออกๆอยู่เห็นหยูเฮงอายุแค่นี้แต่กลับหยิบหินพลังวิญญาณออกมาได้โดยไม่คิดมาก ต่างส่งสายตาตกตะลึงมา


ทหารยามได้รับหินพลังวิญญาณมาแล้วก็รีบเก็บ ก่อนจะหยิบแผ่นคริสตัลสีชมพูออกมา 2 แผ่น และถามขึ้น “พวกเจ้าชื่ออะไร ที่ที่เคยอาศัยอยู่ชื่ออะไร”


“ข้าชื่อเฉิงหยูเฮงที่ที่อาศัยอยู่เมื่อก่อนชื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน นางเป็นพี่สาวของข้าชื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยว”


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน?


ชื่อนี้เพิ่งเคยเข้าสู่หูของผู้คนที่นี่ครั้งแรก แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าหลังจากนี้ ชื่อของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนที่ไม่ได้อยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้จะแพร่สะพัดออกไปจนทุกคนรู้จัก


แม้จะไม่เคยได้ยินชื่อดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน แต่ทหารยามก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาพยักหน้า ใช้พลังเซียนวาดไปทีสองทีที่แผ่นคริสตัล แล้วยื่นให้หยูเฮง “แม่นาง พวกเจ้าแค่หยดเลือดตัวเองลงไปก็ใช้ได้แล้ว หลังจากนี้ใครก็ไม่สามารถใช้แผ่นคริสตัลประจำตัวของพวกเจ้าได้”


“ได้ ขอบคุณพี่ทหารยามเจ้าค่ะ” หยูเฮงเก็บแผ่นคริสตัลประจำตัวไว้ ก่อนจะหันไปถามเขาอีกครั้ง “พวกเราเข้าไปได้หรือยัง”


“ได้ พวกเจ้าเข้าไปได้แล้ว”


ภายใต้การจ้องมองจากทุกคน ทั้ง 2 ได้ก้าวเข้าไปในประตูเมืองสักที


ถนนกว้างใหญ่เข้ามาสู่สายตา เพียงพอที่จะให้รถม้า 4 คันวิ่งขนาบข้างไปพร้อมกันได้ ขณะนี้มีผู้คนและรถรางสัญจรกันขวักไขว่บนท้องถนน เหล่าพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเร่ขายเสียงดัง เป็นภาพที่ครึกครื้นมากมาย


ข้างทาง 2 ฝั่งมีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย บนคานประตูของแต่ละร้านต่างแขวนป้ายที่สง่างามและคงกลิ่นไอโบราณเอาไว้ มีคนมากมายเข้าออกร้านต่างๆ


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจับมือของหยูเฮงไว้และค่อยๆเดินตามฝูงชน ฝีก้าวของทั้ง 2 ไม่เร็วนัก ของนานาชนิดวางขายอยู่ตามถนน เรียกได้ว่าของแปลกๆทุกอย่างที่นี่มีหมด ที่ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตกใจมากที่สุดก็คือคัมภีร์ลับยาเม็ดต่างๆที่ขายอยู่ตามพื้นถนน ของแบบนี้ถ้าอยู่ที่ผืนดินตัวเอง คนพวกนั้นคงแย่งกันหัวแทบแตก


แต่ที่นี่กลับไม่มีใครแลตามอง นี่มันเรื่องอะไรกัน ต่างกันมากเกินไปแล้ว


ยันต์วิเศษ ดาบวิเศษ ยาวิเศษ….


ของน่าสนใจอีกมากมายปรากฏสู่สายตาพวกนาง แต่กลับไม่มีใครสนใจเลย ทั้ง 2 อดถอนหายใจออกมาไม่ได้


“คุณหนู ได้ฟังไม่เท่าได้เห็น ในที่สุดข้าก็เข้าใจคำนี้แล้ว” เสียงเล็กๆของหยูเฮงพึมพำอยู่ข้างหูเฉิงเสี่ยวเสี่ยว


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหัวเราะ ในใจรู้สึกเศร้าอยู่ไม่น้อย การเปรียบเทียบนี่มันช่างน่าโมโหเสียจริง


“ที่นี่คือผืนดินฉางไห่ พวกเราต้องหาโรงเตี๊ยมเข้าพักก่อน ให้ท่านย่าออกมาสืบหาข่าวให้ ท่านย่าคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าเรา มีเรื่องอะไรที่ต้องระวังก็น่าจะรู้ พวกเราจะได้ไม่ไปสืบมั่วจนหาเรื่องเข้าตัวแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก”


“ได้ เชื่อคุณหนู” หยูเฮงพยักหน้า รู้ว่าสิ่งที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกังวลก็มีเหตุผล อย่างไรซะพวกนางก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่ และก็ไม่ทราบวัฒนธรรมที่ที่นี่ปฏิบัติกันด้วย


ร่างคนโตและร่างเล็กไม่ได้สนในของข้างถนนอีก เริ่มหาโรงเตี๊ยมที่เหมาะจะเข้าพัก



TQF:บทที่ 544 ทุกคนรวมตัว หารือวิธี (1)


 


“ท่านย่า อาจารย์ปู่ อาจารย์ อาจารย์หญิง ผู้เฒ่าหยิง….”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทักทายคนที่ปรากฏตัวออกมาตามลำดับ


 


เพิ่งจะได้ออกมา ทั้ง 5 คนก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้ทันที พลังวิญญาณที่นี่หนาแน่นเหลือเกิน


 


แค่สูดเข้าไปก็ทำให้รูขุมขนทั่วตัวเบิกกว้าง สบายไปทั้งเนื้อทั้งตัว ความหนาแน่นของพลังวิญญาณที่นี่มากกว่าผืนดินที่เคยอยู่ถึง 10 เท่า


 


“เสี่ยวเสี่ยว ที่นี่คือ….”


 


โม่อู๋เซอถามพลางสูดลมหายใจเข้าลึก


 


คนอื่นได้ยินเสียงครื้นเครงข้างนอกก็รับรู้ได้ว่ามาถึงในเมืองแล้ว แต่อยู่ที่ไหนนั้นพวกเขาก็ยังไม่รู้


 


ไม่ทันที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะตอบ หยูเฮงที่อยู่ข้างๆก็พูดขึ้นยิ้มๆ “พวกท่านลองทายสิว่าพวกเราอยู่ที่ไหน”


 


ทุกคนมองตากันโดยไม่ได้ตอบ แต่ฟางซูหยุนที่สีหน้าค่อนข้างตื่นเต้นพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ข้ารู้ ที่นี่ต้องเป็นผืนดินฉางไห่แน่ๆ”


 


“จริงเหรอ ที่นี่คือผืนดินฉางไห่?” ผู้เฒ่าหยิงถามอย่างตกตะลึง


 


“แน่นอน”


 


ฟางซูหยุนมีสีหน้ามั่นใจ นางผลักหน้าต่างออก มองลงไปยังการแต่งตัวและรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คุ้นเคย มีน้ำตาเอ่อขึ้นในตาของนาง เอ่ยเสียงเข้ม “ที่นี่คือผืนดินฉางไห่ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็ลืมไม่ลงหรอก”


 


อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์และ 2 สามีภรรยาโม่อู๋เซอมองเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เป็นการถามโดยไม่เอ่ยปาก


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า สีหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “ใช่แล้ว ครั้งนี้พวกเรามาถึงผืนดินฉางไห่แล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าถูกที่รึเปล่า”


 


ตอนนี้ สถานีแรกก็มาถึงผืนดินฉางไห่เลย นางไม่รู้ว่าโม่ซวนซุนไปไหน ต่อให้มาที่นี่ก็ไม่มีข่าวคราวที่แน่ใจได้ สำหรับนางแล้วก็ยังไม่สามารถดีใจขึ้นมาได้


 


ซู้ดด…..


 


คนอื่นๆสูดหายใจเข้าลึก ทั้งตกใจและดีใจ แม้จะไม่เคยมาผืนดินฉางไห่ แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอยู่ไม่น้อย


 


ฟางซูหยุนกลับมาสู่ผืนดินตัวเองแล้ว นางรู้สึกหลายอย่างมาก เนิ่นนานกว่าจะสงบลงได้ พึมพำกับตัวเอง “ผ่านไปเกือบ 40 ปีแล้ว ไม่รู้ว่าที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง”


 


“ท่านย่า….”


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจับมือนางไว้ พูดอย่างจริงใจ “ท่านย่า พวกเรากลับมากันหมดแล้ว กลับไปดูที่บ้านตระกูลฟางกันมั้ย ข้าก็อยากเจอท่านทวดเหมือนกัน”


 


“ได้ พวกเราจะกลับไปดูหน่อย” ฟางซูหยุนพยักหน้า หันไปมองตลาดครึกครื้นด้านนอกอีกครั้ง ถามเสียงเบา “เสี่ยวเสี่ยว เจ้ารู้มั้ยว่าที่นี่อำเภออะไร”


 


“ข้ารู้…..” หยูเฮงยกมือพร้อมกับร้องขึ้น “ข้าได้ยินพี่ทหารยามบอกว่าที่นี่คืออำเภอเฉาซาง”


 


“เมืองเฉาซาง?”


 


ฟางซูหยุนมีท่าทีสงสัย ส่ายหัวพลางเอ่ยขึ้น “ข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ท่าทางต้องออกไปหาข่าวสักหน่อย”


 


“ท่านย่า บ้านตระกูลฟางอยู่ที่ไหน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถาม


 


“บ้านตระกูลฟางอยู่ที่อำเภอชิงยาง เป็นใจกลางของผืนดินฉางไห่ 1 ในอำเภอที่ใหญ่ที่สุด แม้แต่ฮ่องเต้ก็อยู่ที่ชิงยาง จริงๆแล้วเมืองชิงยางไม่ใช่แค่เมืองๆเดียว แต่เป็นการรวมตัวของเมืองเล็กใหญ่นับพันอยู่ด้วยกัน คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้มีอยู่นับร้อยล้านคน ตระกูลน้อยใหญ่ในเมืองก็มีนับร้อย ตระกูลเก่งกาจก็มีนับสิบ ถ้ายังไม่ถึงที่นั่นจะนึกไม่ออกเลยว่าใหญ่แค่ไหน”


 


ทุกคนอึ้งกับคำบรรยายของฟางซูหยุน


 


ยากที่จะจินตนาการว่าที่นั่นเป็นอย่างไร อย่าใช้คำว่าอำเภอเมืองเลย เกรงว่าจะให้ชิงยางเป็นประเทศน่าจะเหมาะกว่า


 


ส่วนประชากรนับร้อยล้านนั้น แม้แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่มีความทรงจำจากศตวรรษที่ 21 ก็อดตกใจไม่ได้ นี่มันน่าตกใจจริงๆ


 


เห็นท่าทางอึ้งๆของทุกคน ฟางซูหยุนหัวเราะ “อย่างไรซะก็ต้องไปชิงยางอยู่ดี ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ดูให้ดีละกัน จริงๆก็แค่เมืองเยอะคนเยอะแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรวิเศษวิโสหรอก”


 


“ฮูหยินฟางพูดถูก ก็แค่คนเยอะเมืองเยอะ ไม่มีอะไรวิเศษวิโสหรอก” หยูเฮงรีบโวยวายขึ้น


 


ทุกคนเองก็ได้สติกลับมาและหัวเราะ ไม่ว่าชิงยางจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกคนมากนัก ไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดอะไรมาก”


 


“ฮูหยินฟาง ตอนนี้พวกเรามาถึงผืนดินฉางไห่แล้ว ท่านคิดว่าพวกเราจะทำอย่างไรดี จะใช้วิธีอะไรตามหาจุนเอ๋อดี” หรงจิ้งซือถามออกมา


 


เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดอะไร ประกายในตาหม่นลงไปเยอะ นางรู้ว่าวิทยายุทธตัวเองต่ำเกินไปสำหรับผืนดินนี้ ทำให้นางเสียศูนย์ไปไม่น้อย


 


ที่ผืนดินฉางไห่นี้ เชื่อคำพูดของฟางซูหยุนจะดีกว่า อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ก็เอ่ยขึ้น “ซูหยุน เจ้าคิดว่าพวกเราจะเริ่มสืบจากที่ไหนดี หรือว่าจะใช้วิธีอะไรเพื่อตามหาข่าวคราวของซวนซุนน้อย”


 


ฟางซูหยุนชะงักไปนิดหน่อย ชำเลืองไปมองหลานสาวและไตร่ตรองอย่างตั้งใจ


 


“ที่จริงมันก็มีวิธีแหละ แต่ไม่รู้ว่าจะได้ผลมั้ย” ฟางซูหยุนกล่าวขึ้นหลังจากที่เงียบไปสักครู่ “ผืนดินฉางไห่นี้กว้างใหญ่ไพศาล มีอยู่ทั้งหมด 7 เขตด้วยกัน มีราชวงศ์อยู่เล็กใหญ่อยู่นับสิบ จะหาคนๆหนึ่งที่ผืนดินอันใหญ่โตนี้น่ะยากเกินไป เว้นแต่ว่าเราจะไปให้พวกกลุ่มสั่นซิวปล่อยข่าวให้ ขอแค่มีคนให้ข่าวแล้วเราไปตรวจดูว่าใช่ซวนซุนมั้ย ไม่อย่างนั้นเราก็ได้แต่หวังพึ่งพวกอิทธิพล”


 


“ฮูหยินฟาง กลุ่มสั่นซิวคืออะไรหรือ” โม่อู๋เซอถามขึ้น สำนักสั่นซิวนี้ไม่มีใครในที่นี้รู้จัก


 


“กลุ่มสั่นซิวก็คือกลุ่มที่สร้างขึ้นจากผู้ฝึกฝนวิทยายุทธนับไม่ถ้วน จะเรียกเป็นสำนักเลยก็ได้ หรือจะเรียกเป็นกลุ่มก็ได้ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคนไหนก็สามารถเข้าร่วมได้ และก็สามารถออกได้ตลอด ไม่มีใครว่าอะไร”



TQF:บทที่ 545 ทุกคนรวมตัว หารือวิธี (2)


 


ฟางซูหยุนค่อยๆบอกเล่าเรื่องของกลุ่มสั่นซิวให้ทุกคนฟัง “แน่นอนว่าการเข้าร่วมกลุ่มสั่นซิวนั้นมีประโยชน์ เพราะในกลุ่มสั่นซิวมีของมากมายที่เอาไปขายให้ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธได้ ถ้าหากเป็นสมาชิกกลุ่มก็จะได้ในราคาถูกลง และพวกเขาก็จะมีภารกิจแปลกๆมากมายให้สมาชิกไปทำ แล้วค่อยให้ค่าตอบแทนหรือรางวัลอื่นๆ สรุปก็คือ การเป็นสมาชิกกลุ่มสั่นซิวจะได้รับภารกิจก่อน และค่าตอบแทนก็จะสูงกว่า”


 


“งั้นก็เหมือนกับหมู่ทหารรับจ้างน่ะสิ” ในหัวของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวนึกถึงคำว่าทหารรับจ้าง


 


ฟางซูหยุนมองหลานสาวอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่านางจะรู้จักทหารรับจ้าง พยักหน้าพลางพูดขึ้น “ถูกต้อง คล้ายๆกับทหารรับจ้าง แต่แข็งแกร่งกว่ามาก เพราะทหารรับจ้างของผืนดินฉางไห่รับใช้ให้กับกลุ่มสั่นซิวทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็รับภารกิจจากกลุ่มสั่นซิว”


 


“สิ่งที่แตกต่างกันมากที่สุดระหว่างกลุ่มสั่นซิวและสำนักต่างๆคือ สำนักก็อยู่แค่สำนัก แต่กลุ่มสั่นซิวกระจายไปทั่วผืนดินฉางไห่ ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มสั่นซิวในเขตไหนก็เหมือนผูกมัดเข้าไว้ด้วยกันหมด ถ้าพวกเราไปประกาศตามหาคนที่กลุ่มสั่นซิวก็จะกระจายไปทั่วผืนดินได้ในทันที วิธีนี้ง่าย แต่อาจจะไม่ได้ผล เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่จับซวนซุนไปเป็นใคร ข่าวที่คนอื่นให้มาก็ใช่ว่าจะจริง ถ้าหากในผืนดินนี้มีคนบอกเจอคนลักษณะนี้อยู่ทั่วทิศ ต่อให้เราวิ่งเต้นทุกวันก็ไม่ทัน”


 


“ฮูหยินฟางหมายความว่าการประกาศตามกลุ่มสั่นซิวแม้จะแพร่สะพัดข่าวออกไปได้ไกล แต่ข่าวคราวที่ได้มาล้นหลามเกินไป ยากจะหาข่าวคราวที่แท้จริงได้ใช่มั้ย” หยูเฮงถาม


 


ฟางซูหยุนพยักหน้า ส่งสายตาชื่นชมให้นาง “ถูกต้อง เป็นเช่นนั้นจริงๆ ต่อให้พวกเราเสียทรัพย์สินไปจนหมดก็ใช่ว่าจะเจอซวนซุน”


 


“ท่านย่า นอกจากวิธีนี้ล่ะ มีวิธีอื่นอีกมั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามด้วยท่าทีกลุ้มใจ


 


“มี ปลอดภัยและพึ่งพาได้มากกว่า แต่ได้ผลช้า”


 


“วิธีอะไรฮูหยินฟาง ไม่ว่าจะช้าแค่ไหน ขอแค่เจอจุนเอ๋อก็พอ” หรงจิ้งซือถามด้วยความร้อนใจ


 


“ไม่ตอบรีบ ตอนนี้รีบร้อนไปก็เปล่าประโยชน์” ฟางซูหยุนปลอบนาง ก่อนจะหันไปมองอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์และโม่อู๋เซอ “ข้าเชื่อว่าพวกท่านก็รู้ว่าที่นี่เองก็มีโถงวิหารสวรรค์เหมือนกัน”


 


“หา โถงวิหารสวรรค์….”


 


“ที่นี่ก็มีโถงวิหารสวรรค์หรือ”


 


“โถง โถงวิหารสวรรค์….”


 


ทั้ง 3 คนที่มาจากโถงวิหารสวรรค์อึ้งกันไปหมด ราวกับพวกเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์หายใจเร็วขึ้น “ซูหยุน เจ้าพูดเรื่องหรือ ที่นี่มีโถงวิหารสวรรค์จริงๆเหรอ”


 


“มีสิ แน่นอนว่าต้องมี ข้าจะหลอกพวกท่านหรือไง” ฟางซูหยุนหัวเราะ มีแววตาปรารถนาปรากฏขึ้น “ฐานะของโถงวิหารสวรรค์ที่นี่ก็เหมือนกันโถงวิหารสวรรค์ของพวกเจ้านั่นแหละ อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ได้รับความเคารพจากผู้ฝึกฝนวิทยายุทธในผืนดินฉางไห่ และโถงวิหารสวรรค์ของที่นี่ใหญ่กว่ามาก มีลูกศิษย์นับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าไม่มีใครกล้าเสียมารยาท และมันก็มีโถงสาขาตาม 7 เขตของผืนดินฉางไห่ด้วย เอาไว้รับลูกศิษย์ ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่มีฝีมือโดดเด่นจะถูกส่งไปฝึกอบรมที่โถงหลัก เรียกได้ว่าไม่มีโถงวิหารสวรรค์จากผืนดินไหนจะเทียบกับของที่นี่ได้”


 


“ฮูหยินฟาง ถ้าที่นี่มีโถงวิหารสวรรค์ละก็ คุณชายจะอยู่ที่โถงวิหารสวรรค์รึเปล่า” จู่ๆผู้เฒ่าหยิงก็พูดขึ้น หลังจากที่เขาพูดจบ ร่างที่นั่งอยู่ทั้งหลายก็สั่นขึ้น มีท่าทีคาดหวัง


 


“พูดยาก อาจจะอยู่แต่ก็อาจจะไม่อยู่ ยังไม่เจอก็ไม่มีใครกล้ารับประกัน”


 


ฟางซูหยุนพูดไปคิดไป “เพราะว่าโถงวิหารสวรรค์นั้นแข็งแกร่ง แต่พวกเจ้าเองก็มาจากโถงวิหารสวรรค์ คุ้นเคยกับเรื่องในโถงมากกว่า พวกเจ้าเองก็เป็นคนระดับเจ้าโถง แม้วิทยายุทธจะไม่สูงเมื่ออยู่ที่นี่ แต่ถ้าจะเข้าโถงวิหารสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”


 


“ซูหยุน เจ้าหมายความว่า?” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ถามอย่างจ้องมอง


 


“อาวุโส ข้าหมายความว่าให้พวกท่านไปโถงวิหารสวรรค์ ขอแค่พวกท่านกลายเป็นศิษย์ชั้นสูงของโถงวิหารสวรรค์หรือผู้อาวุโส หลังจากนี้ถ้าพวกท่านให้โถงสาขาตามเขตต่างๆช่วยหาซวนซุน คนพวกนั้นต้องตั้งใจหาแน่ ไม่หาใครมาสับหลอก”


 


“ท่านย่าพูดถูก” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นด้วยกับแผนนี้เป็นคนแรก พยักหน้าพร้อมเอ่ย “แต่เดิมซวนซุนก็เป็นคนของโถงวิหารสวรรค์อยู่แล้ว ถ้าหากเขาอยู่ที่ผืนดินนี้ต้องไปโถงวิหารสวรรค์แน่ ถ้าเป็นแบบนี้เราจะหาเขาก็จะง่ายขึ้น”


 


“ได้ พวกเราไปโถงวิหารสวรรค์ ด้วยการสืบสานโถงวิหารสวรรค์ของพวกเรา อย่างแย่ที่สุดก็ยังเป็นลูกศิษย์ชั้นยอด หรืออาจจะได้เป็นผู้อาวุโสก็ไม่แน่”


 


“ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่เจ้าเคยคิดมั้ยว่าถ้าซวนซุนน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกหน่อยพวกเราจะออกจากโถงวิหารสวรรค์ของที่นี่คงยาก”


 


———————————————————

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม