เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี 53.2-54.4

ตอนที่ 53 - 2 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ

 

นางรู้สึกเพียงว่าอบอุ่น ดีใจ สบายใจและปลาบปลื้มจนอยากจะเงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า ร้องเพลงรักแม่งสักสามร้อยเพลง! 


 


 


แน่นอนว่านางร้องไม่ได้ นางเพียงแต่กะพริบตา ปลายนิ้ววาดลงบนฝ่ามือเขา 


 


 


เขากลับคล้ายอดรนทนไม่ไหว ฝ่ามือใช้แรงเล็กน้อยซ้ำยังลากนางออกมาหลายก้าวอย่างไร้ซึ่งอารมณ์ขนาดนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้โกรธเคือง ยิ้มแย้มก้มหน้าเล็กน้อย ก้าวออกจากรถม้า ดวงตาเผชิญกับชายผ้าสีขาวราวหิมะของเขาพอดี อยากจะนอนลงไปทั้งอย่างนั้น กอดขาอ่อนเขากลิ้งไปมาสามรอบอย่างเอาอกเอาใจ กล่าวสักคำว่ามหาเทพมหาเทพนายเย่อหยิ่งได้น่ารักตะมุตะมิจังเลย 


 


 


อารมณ์ดีเกินไป นางยิ้มพราวเงยหน้าขึ้นมา 


 


 


ทั่วลานกว้างสงบเงียบโดยพลัน 


 


 


ความเงียบในยามนี้มิใช่ความเงียบจากความอึดอัดก่อนหน้านี้อีกต่อไป ทว่าเป็นความเงียบจากความตื่นตะลึง ความเงียบจากความตะลึงพรึงเพริ้ด ความเงียบไร้ซึ่งมวลอากาศที่เกิดจากสายตาและจิตใจที่ถูกสั่นสะท้าน 


 


 


ทุกผู้คนต่างมองดูสตรีเบื้องหน้ารถม้านางนั้น 


 


 


นางสวมชุดสีดำบริสุทธิ์ทั้งร่าง ส่วนเอว คอเสื้อและแขนเสื้อประดับด้วยแร่เงินโบราณฉลุนูนรูปตราสัญลักษณ์ แร่เงินบริสุทธิ์ซึ่งเจือด้วยลมหายใจแห่งกาลเวลาผันผ่านล้วนเป็นสีสันโบราณอึมครึม คนธรรมดาสวมใส่แล้วชราลงไปหลายปีในพริบตา ทว่าสำหรับนางเพียงขับดวงพักตร์ของนางให้ยิ่งนุ่มนวลอ่อนหวาน สีผิวขาวเสียยิ่งกว่าหิมะ ริมฝีปากแดงสีดอกท้องดงาม นัยน์ตาคู่หนึ่งซึ่งแต่งแต้มสีแดงดอกท้อเพียงน้อยยังสยบกระแสคลื่นแห่งแสงนัยน์ตานั้นไว้มิได้ พาให้ผู้คนนึกถึงแสงวสันต์สายพิรุณห้วงวายุที่งดงามที่สุด แลแสงอรุโณทัยระบายเวิ้งนภาที่เฉิดฉายที่สุด 


 


 


ส่วนท่วงท่างดงามอรชรโดยกำเนิดของนาง แม้ชุดคลุมสีดำโบราณแบบดั้งเดิมตามประเพณีนี้ยังไร้หนทางบดบังไว้ ชายผ้ากว้างใหญ่ทอดขึ้นไปเบื้องบนเป็นทรงหยดน้ำกระหวัดเอวบางกลมกลึง มองถัดไปอีกกลับเป็นทรวดทรงทะลักล้นรัดตึงอีกครา แจกันกระเบื้องเคลือบที่มีเค้าร่างงามประณีตที่สุดซึ่งปรมาจารย์ผู้ชำนาญนักเป็นผู้ปั้นแต่งต่างมืดมิดอับแสงเบื้องหน้าเค้าร่างของนาง ความงามซึ่งเป็นของสตรีเพศทยอยแสดงออกมาในเค่อหนึ่งนี้ จนทำให้ความงามตะลึงพรึงเพริ้ดในครู่หนึ่งนี้ปลุกความตระหนักที่มีฝุ่นจับในเรือนร่างของสตรีเพศแห่งต้าฮวงให้ตื่นฟื้น พาให้หญิงสาวระดับผู้สูงศักดิ์ได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่าแท้จริงแล้วเครื่องประดับรูปแบบโบราณตามแบบแผนยังมิอาจบดบังความงามแท้จริงของสตรี แท้จริงแล้วนอกจากหน้าตางดงามแล้ว ความงดงามของรูปร่างขโมยสายตาของทุกผู้คนได้เช่นกัน จากนั้นจึงพลิกฟื้นความคิดควบคุมรูปร่างและการปลดปล่อยตนขึ้นมา แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงวาจาภายหลังแล้ว 


 


 


แขนเสื้อกว้างของชุดคลุมสีดำของนางสยายลงมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าริมแขนเสื้อโผล่เล็บสีแดงสดออกมาอย่างไม่เรียบร้อยอะไรขนาดนั้นเล็กน้อย สีสันสดใสแวววาวยิ่งกว่าดอกต้าลี่ โดดเด่นยิ่งนักท่ามกลางสีดำสีเงินเพียงสองสีทั่วทั้งเรือนร่าง ยามประสานกับลมหายใจเคร่งขรึมยิ่งนักผุดเผยความแพรวพราวและการยั่วเย้าเบาบางซึ่งมีเพียงสตรีผู้อ่อนวัยในชั่วครู่ สายตาของบุรุษจำนวนมากทอดลงบนสีแดงสดผืนนั้น เบนสายตาออกมาไม่ได้ครู่ใหญ่ 


 


 


ผู้คนส่วนใหญ่กลับจดจ้องรอยยิ้มของนาง รู้สึกเพียงว่าสตรีนางนี้งดงามทั่วเรือนร่าง ทุกส่วนล้วนเจือด้วยการยั่วยวนอย่างไม่สนใจใยดีและการยั่วเย้าด้วยแผนการเพียงน้อย ทว่าสิ่งที่งดงามที่สุดยังคงเป็นรอยยิ้มของนางในพริบตาหนึ่งนี้ ทั้งเป็นธรรมชาติ ลำพองใจ แจ่มชัด มาจากในจิตใจและเป็นแสงสีสาดส่องผู้คน ทำให้ผู้คนมองไปเพียงปราดเดียวย่อมรับรู้ถึงความสุขสันต์ของนางโดยไม่รู้ว่าอย่างไร ย่อมถูกความสุขสันต์ของนางแพร่กำจายโดยไม่รู้ว่าอย่างไร แม้แต่จิตใจยังเบิกบาน 


 


 


สองฝั่งเส้นทางเบียดเสียดแน่นขนัดด้วยศีรษะผู้คน มีเพียงชั่วเค่อนี้ที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงโดยสิ้นเชิง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีจดจ้องจิ่งเหิงปัว แววตาเปี่ยมด้วยสีสัน 


 


 


ผู้ชราหลายคนลูบเคราถอนหายใจว่าชั่วชีวิตของผู้ชราคำนับราชินีห้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดมีท่วงท่าสง่างามเช่นนี้! ราชินีองค์ใหม่เอ่ยแล้วรูปร่างหน้าตายังคล้ายราชินีองค์ก่อนยิ่งนัก ทว่าท่วงท่าหรูหราสง่างาม รูปโฉมสะคราญสะท้านใจคน ราชินีองค์ก่อนเทียบไม่ติดเลย! 


 


 


อาลักษณ์ผู้มีหน้าที่บันทึกแต่ละกิริยาวาจาของราชินีสะบัดพู่กันจดบันทึกว่า “รัชศกเกิงเซินวันจย่าจื่อ[1] นภามืดครึ้ม จักรพรรดินีเสด็จสู่นคร ราษฎรรับขบวนเสด็จทั่วทั้งนคร จักรพรรดิเสด็จแล้ว ทรงพระสิริโฉมงดงามเฉิดฉายประหนึ่งแสงสุริยันรุ่งโรจน์โชติช่วง ทั่วนครจดจ้องยอมสยบ” 


 


 


ท่ามกลางฝูงชน คนกลุ่มหนึ่งกำลังวิวาทโต้เถียง 


 


 


“อีชี คนนี้ภรรยาเจ้าหรือ” 


 


 


“ใช่แล้วๆ นางยังให้ยาทาเล็บขวดหนึ่งแก่ข้าเป็นของขวัญแทนใจด้วยนะ” 


 


 


“ถุ้ย สารรูปเช่นเจ้าเนี่ยนะ จะได้สมรสกับภรรยาเช่นนี้หรือ มีเพียงข้าที่เหมาะสมกับภรรยานางนี้” 


 


 


“ผิดแล้ว ข้าต่างหาก” 


 


 


“ข้า” 


 


 


“เป็นของข้าแน่แท้” 


 


 


“เหลวไหล เป็นของข้าได้เท่านั้น” 


 


 


“ไม่ใช่ข้าแล้วเป็นผู้ใด” 


 


 


“หยุดโต้เถียงเถิด ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า หมู่นี้ข้าคอยดูแผนภูมิดารายามค่ำคืน ท่องผาย่ำถ้ำ สังเกตดวงดาวเฝ้าอนุมาน ลูบกระดูกทำนายราศี ในที่สุดจึงค้นพบสิ่งใหม่…” 


 


 


“อ๊ะๆ ซานซานเจ้าพบสิ่งใดหรือ” 


 


 


“ผ่านการครุ่นคิดอนุมานสามวันสามคืน…” 


 


 


“อะไรอะไรหรือ” 


 


 


“ข้าพบว่า…” 


 


 


“รีบเอ่ยสิรีบเอ่ยเร็ว” 


 


 


“พวกเจ้าล้วนมีชะตาเดียวดาย ราชินีเป็นของข้า” 


 


 


“เหล่าพี่น้อง ยามเผชิญหน้ากับการยั่วยุที่เลวร้ายและคำสาปแช่งที่ต่ำทรามเช่นนี้ พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไร” 


 


 


“ซือซือ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เหตุใดต้องแย่งชิงสตรีเพียงนางเดียวกับเจ้าสามเช่นนี้เล่า พวกเราคือเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่รักกันฉันมิตร การวิวาทเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ข้าแนะนำให้เจ้าต่อยเขา” 


 


 


… 


 


 


เรื่องชาวโลกสับสนวุ่นวายไม่ได้อยู่ในนัยน์ตาของทั้งสองคนที่อยู่กลางฝูงชนที่สุดผู้นั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูกงอิ้นตั้งแต่ต้นจนจบ ยิ้มแย้มหอมหวานปานน้ำผึ้ง ในใจกำลังร้องเพลงหวานปานน้ำผึ้งเช่นกัน 


 


 


แน่นอนว่ากงอิ้นยังคงสวมชุดคลุมสีขาวซ่อนฝังด้ายเงินทั่วร่าง ระหว่างเยื้องกรายชุดคลุมเปล่งแสงประกายพร่างพราว ถ่อมความฟุ้งเฟ้อ ทว่าสิ่งมหัศจรรย์คือไข่มุกบนคอเสื้อรัดตึงของเขาในวันนี้ไม่ใช่สีทองอ่อนหรือสีเงินตามปกติ แต่กลับเป็นไข่มุกสีดำ 


 


 


สีดำสว่างเปล่งประกายแสงสลัวสีเขียวคล้ำ ไข่มุกสีดำที่ลึกลับสะกดผู้คนงดงามจนสดใสวูบไหวในสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะเพียงสีเดียว 


 


 


ด้วยเพราะเหตุนี้รอยยิ้มของจิ่งเหิงปัวยิ่งงดงามอ่อนหวานมากขึ้น กวาดสายตามองชุดคลุมยาวสีดำของตนเองแวบหนึ่ง…นี่นับว่าเป็นชุดคู่รักไหม 


 


 


หางตากวาดผ่านฝูงชนแล้วเหลือบมองไปทางกงอิ้น นางรู้แน่นอนว่าตนเองงดงามและไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองจะทำให้คนพวกนั้นตื่นตะลึงกับความงามของนาง ฉะนั้นสิ่งที่นางกังวลมากคือคนที่ควรถูกทำให้ตื่นตะลึงเป็นที่สุดคนนั้นไม่ได้ถูกทำให้ตื่นตะลึง 


 


 


แลดูคล้ายไม่มีความตื่นตะลึง 


 


 


เขายังคงยืนอย่างตรงแน่ว ไร้ซึ่งสีหน้า แม้แต่หางตายังคล้ายไม่ได้กวาดมาทางนาง เค้าร่างด้านข้างแจ่มชัดริมฝีปากเม้มแน่น จิตใจสูงศักดิ์ตลอดกาล 


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับกำลังยิ้มยินดี 


 


 


ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเหรอ 


 


 


ทำไมฝ่ามือชื้นขึ้นมากะทันหันล่ะ 


 


 


… 


 


 


พรมแดงเส้นทางหนึ่งเบื้องหน้าทอดยาวจากประตูนครกว้างขวางจวบจนถึงในนคร องครักษ์เกราะทองยืนเว้นระยะสามก้าวต่อกันตรงแน่วดั่งตะปูทั้งสองฝั่ง ที่ซึ่งไกลโพ้นมีเวทีสูงใหญ่สวยหรู ม่านผืนใหญ่หลากสีสันทิวแถวหนึ่งดุจเปลือกหอยที่สวยสดงดงามทอดสยายบนจัตุรัสกว้างยาวขาวบริสุทธิ์ จุดสิ้นสุดของพรมแดงสองฝั่งและม่านผืนใหญ่ตระหง่านด้วยขุนนางสวมหมวกทรงสูงเข็มขัดกว้างและราษฎรที่มีสีหน้าแพรวพราวแย่งชิงแย่งชมนับมิถ้วน มืดทะมึนดุจกระแสน้ำไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุด 


 


 


จุดสิ้นสุดของมหาสมุทรสีแดงคือเส้นทางที่นางจะต้องก้าวเดิน 


 


 


พรมแดงใหม่ขนาดนี้ สวยสดงดงามขนาดนี้ ประหนึ่งสีโลหิต 


 


 


ความคิดเชื่อมโยงในตอนนี้ไม่เป็นมงคลอยู่บ้าง นางส่ายศีรษะสะบัดมันออกไป ตอนนี้อารมณ์ดีงามแบบนี้ นี่ไม่ใช่แสงโลหิตแต่เป็นแสงสายัณห์สว่างไสวในภายภาคหน้า 


 


 


หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เขาจูงมือของนางไว้รับนางขึ้นพรม 


 


 


ผู้คนที่ถูกรูปโฉมของราชินีทำให้ตื่นตะลึง ยามนี้สังเกตเห็นกิริยาท่าทางราชครูฝ่ายขวาอีกครั้งในที่สุด อุทานอย่างตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง 


 


 


ราชินีพระองค์นี้มีสิ่งพิเศษใดหรือ เกียรติยศยิ่งใหญ่ยิ่งนัก! 


 


 


ราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายออกนอกแคว้นพันลี้ต้อนรับนางตามลำดับ หกแคว้นแปดชนเผ่าร่วมรับเสด็จร้อยลี้ ยามเข้านครราชครูฝ่ายซ้ายนำขุนนางร่วมร้อยต้อนรับเสด็จ บัดนี้ยังมีราชครูฝ่ายขวาลดตัวรับใช้ ประคองราชินีขึ้นพรมแดงด้วยตนเอง! 


 


 


การกระทำนี้สื่อนัยว่าราชครูยอมรับและปกป้องราชินีหรือ 


 


 


ต่อมาพวกเขาสูดหายใจเยือกเย็นเฮือกหนึ่งอีกครั้ง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีพลันสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง จูงมืออีกข้างหนึ่งของจิ่งเหิงปัวส่งนางขึ้นพรมแดงด้วย! 


 


 


ลมหายใจของเหล่าผู้มุงดูหยุดลงโดยพลัน 


 


 


ราชครูสองท่านก้าวย่างไปด้วยกัน พร้อมแสดงไมตรีต่อราชินีไปด้วย 


 


 


นี่ๆๆ นี่มันจังหวะอะไรอีกเล่า 


 


 


ทุกผู้คนต่างรู้ว่าเพื่อความสมดุลของสถานการณ์ในราชสำนัก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายยากจะอยู่ร่วมกันดั่งสายน้ำกับเปลวเพลิง โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เจ้ายอมรับข้าจะไม่ยอมรับ เดิมทีข้ายอมรับพอเจ้ายอมรับแล้วข้าก็ไม่ยอมรับอีก สรุปแล้วคือขัดใจกันและกัน ตามสถานการณ์ปกติแล้ว ราชินีที่กงอิ้นให้การยอมรับอย่างเป็นทางการจะได้รับการกลั่นแกล้งจากเหยียลี่ว์ฉีนับแต่นั้น ส่วนการตอบโต้และท่าทางที่กงอิ้นมีต่อเรื่องนี้จะสัมพันธ์กับความสามารถในการตัดสินและอนาคตของเขาโดยตรง 


 


 


ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ เหล่าขุนนางแห่งต้าฮวงรวมถึงหกแคว้นแปดชนเผ่าต่างไม่เข้าใจขึ้นมาเสียแล้ว 


 


 


เหล่าขุนนางต่างกำลังขมวดคิ้ว การรับขบวนเสด็จครั้งหนึ่งนี้ในวันนี้ แท้จริงแล้วมีลักษณะพิเศษคือแสดงว่าข้าราชบริพารฝ่ายการเมืองทั่วทั้งต้าฮวงไม่ต้อนรับและไม่ยอมรับราชินี 


 


 


องค์ราชินีองค์นี้อาจจะประเมินได้ว่าอนาถที่สุดในประวัติศาสตร์ ราชครูสองท่านไม่ทันได้เอ่ย เหล่าขุนนางแทบจะไม่เต็มใจให้นางขึ้นครองราชย์ ฝ่ายของราชครูเหยียลี่ว์หวังว่าจะฉวยโอกาสโค่นล้มราชินีโจมตีบารมีของราชครูกง ฝ่ายของราชครูกงกลับไม่พอใจที่มีราชินีจุติจากฟากฟ้า หวังให้ราชครูกงควบคุมรวมแคว้น สองฝักฝ่ายใหญ่รวมเอกภาพเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกเนื่องด้วยปัญหาการต้อนรับตำแหน่งราชินี จึงมีพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการครั้งนี้ 


 


 


ยามนี้นี่เอง ท่าทางของราชครูสองท่านผิดแผกจากปกติเช่นนี้ นัยน์ตาของทุกคนพัวพันเป็นก้อนไหมนับมิถ้วนในพริบตา 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] จย่าจื่อ วันแรกในแผนภูมิสวรรค์ซึ่งใช้สำหรับการนับวันและปีแบบดั้งเดิมของจีน  

 

 


ตอนที่ 53 - 3 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้คิดลึกขนาดนั้น นางรู้สึกเพียงว่าการที่เหยียลี่ว์ฉีแล่นมาตอนนี้เป็นการวาดงูเติมขา[1] รบกวนการสื่อสารลับๆ ของนางกับกงอิ้นทำให้นางไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่นางก็คิดว่าครั้งนี้เหยียลี่ว์ฉีให้เกียรตินาง แสดงไมตรีต่อนาง ใจคิดว่าจงอย่ายื่นมือตีผู้ยิ้มแย้ม ฉะนั้นจึงยังหันหน้าไปฝืนใจยิ้มแย้ม 


 


 


สีหน้าของกงอิ้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หว่างคิ้วเย็นชาลงมาโดยพลันดั่งปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเบาบางชั้นหนึ่ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกถึงฝ่ามือของเขาที่ยังชื้นจนอบอุ่นเมื่อครู่เย็นลงกะทันหันได้อย่างชัดเจน 


 


 


สัตว์เลือดเย็นหรือไง เย็นเร็วเหลือเกิน 


 


 


ถ้าไม่ใช่เพราะนางจับไว้แน่น นางคิดว่าเขาคงจะอยากสะบัดนางออกไปในทันที 


 


 


เจ้าคนนี้ทำนิสัยเอาใจยากอะไรอีกแล้ว จะโทษนางว่าไม่ได้สะบัดมือของเหยียลี่ว์ฉีออกเหรอ แต่สะบัดออกตอนนี้เลยเหรอ ต่อให้นางไม่สนใจตำแหน่งราชินีนี้ยังต้องครุ่นคิดผลลัพธ์แทนเขาหน่อยไหม 


 


 


จิ่งเหิงปัวพาลเหยียลี่ว์ฉีด้วยอารมณ์พยาบาท อาศัยคอเสื้อทรงสูงบังไว้ ถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีกลับยิ่งยิ้มแย้มเปี่ยมเสน่ห์จนผกาผลิบาน เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรกระหม่อมเช่นนี้ทุกครั้ง ทอดพระเนตรเสียจนกระหม่อมอกสั่นหวั่นไหว” 


 


 


เสียงไม่ดัง ทว่าพอให้กงอิ้นได้ยิน 


 


 


ในใจของจิ่งเหิงปัวร้องเศร้าโศกเสียงหนึ่ง 


 


 


ยามนี้ถึงบนพรมแดงแล้ว กงอิ้นปล่อยมืออย่างเป็นธรรมชาติยิ่งนักแล้วผายมือไปเบื้องหน้า เท้าถอยหลังไปครึ่งก้าวน้อยๆ สู่ข้างหลังจิ่งเหิงปัว 


 


 


ตำแหน่งการเดินนั้นของเขาชาญฉลาดยิ่งนัก แย่งชิงตำแหน่งของเหยียลี่ว์ฉีพอดี เหยียลี่ว์ฉีคงมิอาจเดินอ้อมผ่านเขาไปอีกฝั่งหนึ่ง จึงทำได้เพียงเดินตามข้างหลังเขา 


 


 


ตำแหน่งการเดินในสถานที่จัดงานขนาดใหญ่เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งเช่นเดียวกัน เหล่าขุนนางที่รอคอยหวังเดินตามต่างหยุดฝีก้าว แววตาแฝงด้วยความนัยลึกล้ำ 


 


 


ทว่าเหยียลี่ว์ฉีเพียงแต่ยิ้มครั้งหนึ่ง ถอยออกไปอย่างเด็ดขาดยิ่ง มิได้เดินขึ้นไปบนพรมแดง ทว่ายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “กระหม่อมจะน้อมต้อนรับขบวนเสด็จบนปะรำพิธี” 


 


 


ทุกคนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง 


 


 


เสมอกันอีกครั้งแล้ว หรือเอ่ยว่าราชครูเหยียลี่ว์หลีกทางให้อย่างชาญฉลาดเฉกเช่นกาลก่อน 


 


 


เช่นถึงถูกต้อง เช่นนี้ถึงคุ้นเคย ทั้งสองคนต้อนรับราชินีในขณะเดียวกันถึงทำให้คนไม่คุ้นเคย 


 


 


เรื่องราวเช่นการเมืองนี้ สิ่งที่ต้องการคือความสมดุลและมั่นคง มิต้อนรับการทำลายและล้มล้าง ด้วยเพราะการเปลี่ยนแปลงเล็กกระจ้อยทุกสิ่งต่างจะก่อเกิดการโต้ตอบซึ่งเชื่อมโยงกันนับมิถ้วนและผลลัพธ์ยากคาดการณ์ทุกรูปแบบ 


 


 


จิ่งเหิงปัวใช้แววหางตากวาดผ่านกงอิ้น มองไม่ออกว่าเขาโกรธหรือเปล่ากันแน่ 


 


 


ยามนี้เองนางไม่อาจเบนความสนใจไปคาดเดาความคิดของกงอิ้นอีกแล้ว เหล่าองครักษ์ปล่อยระยะแถวให้กว้าง ราษฎรที่ถูกความงามของราชินีพาให้ตะลึงพรึงเพริ้ดโห่ร้องยินดีพลางพุ่งเข้ามาแย่งชิงกันจดจ้องท่วงท่าสง่างามของราชินีองค์ใหม่ สายริบบิ้นหลากสีดอกไม้สดนับมิถ้วนถูกโยนขึ้นมาบนพรมแดง ทั่วท้องฟ้าโปรยปรายด้วยสายฝนมวลดอกไม้หลากหลายสีสัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่เป็นคนธรรมดาในชาติก่อนจะเคยได้เสพสุขการต้อนรับแบบนี้ตอนไหน นางมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ยิ้มแย้มกล่าวว่า “ฮัลโหล!” 


 


 


เหล่าราษฎรเงียบไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจศัพท์การทักทายแบบใหม่นี้ ทว่าราษฎรต้าฮวงมีมารยาทยิ่งนัก จากนั้นจึงระเบิดเสียงขานรับคึกคักระลอกหนึ่งว่า “ฮัลโหล!” 


 


 


คลื่นเสียงสะเทือนนภา จิ่งเหิงปัวแทบจะโซซัดโซเซ 


 


 


ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย ราษฎรต้าฮวงโคตรเป็นมิตร! 


 


 


รีบเร่งโบกมือ กล่าวเสียงดังยิ่งกว่าว่า “ฮัลโหล!” 


 


 


ราษฎรโบกมือร้องฮือฮาว่า “ฮัลโหล!” 


 


 


… 


 


 


เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา…ยามราชินีเข้านครควรมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาไม่ชำเลืองมองสองข้าง มุ่งหน้าสู่ปะรำพิธี นี่ๆๆ… 


 


 


จ้องมองกันเสร็จรีบเร่งมองราชครู ราชครูไร้ซึ่งสีหน้า! 


 


 


กงอิ้นมองดูบางคนทำตนน่ารักใคร่อย่างไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


รู้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ 


 


 


นางดุจดังเพลิงกองหนึ่ง ไปถึงที่ใดลุกไหม้ถึงที่นั่น แม้ถมด้วยหิมะหนาหนึ่งกอง หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยนางย่อมผุดเผยเปลวไฟออกมาได้ 


 


 


ไม่อยากสนใจแลไม่ยอมสนใจ วันเวลาต่อจากนี้จะมีอิสระน้อยลงไปมาก เหตุใดต้องควบคุมนางให้มากไปในยามนี้ 


 


 


จากนั้นนัยน์ตาของเขาก็หรี่ขึ้นมา 


 


 


ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวผู้ชอบโอ้อวดถูกบรรยากาศคึกคักของราษฎรแพร่เชื้อใส่ นางรีบก้าวไปยังริมพรมแดง นิ้วมือประทับลงบนริมฝีปากอย่างแผ่วเบา 


 


 


ราษฎรนิ่งเงียบ สายตาแพรวพราวเปี่ยมด้วยปรารถนา 


 


 


บุรุษผู้เคลิบเคลิ้มนับมิถ้วนใช้มือทั้งสองข้างประทับบนดวงใจ เอ่ยว่า “พระนางกำลังมองข้า! พระนางกำลังมองข้า!” 


 


 


สายตาของกงอิ้นเข้มงวดขึ้นมา 


 


 


สตรีนางนี้จะทำอะไร 


 


 


คงจะไม่… 


 


 


กำลังคิดจะห้ามปราม นิ้วมือของจิ่งเหิงปัววาดออกไปอย่างเชื่องช้าสง่างาม แตะไปทางฝูงชนอย่างแผ่วเบา 


 


 


“ฮัลโหล! ข้ารักพวกเจ้า!” 


 


 


ส่งจูบครั้งหนึ่ง 


 


 


… 


 


 


เหล่าขุนนางไร้สรรพเสียง ต่างถูกสะท้านจนอกสั่นขวัญแขวน 


 


 


ราษฎรไร้สรรพเสียง เบิกตากว้างมองดูนิ้วมือสีขาวราวหิมะนั้นวาดราบรื่นผ่านกลางอากาศอย่างเหลือเชื่อ 


 


 


จากนั้นมีเสียงดังครืนเสียงหนึ่ง ฝูงชนพลุ่งพล่านแล้ว 


 


 


เสียงร้องตะโกนที่ดุดันเสียยิ่งกว่าคลื่นสมุทรแทบจะผันพลิกถนนใหญ่ทั้งเส้นในพริบตา 


 


 


“ฮัลโหล ฝ่าบาท!” 


 


 


คลื่นเสียงทะลักล้นปกคลุมทั่วนคร 


 


 


ที่สุดแล้วคนโบราณยังไม่ค่อยปลดปล่อยตน ผู้คนส่วนใหญ่ตะโกนออกมาเพียงว่าฝ่าบาท ตะขิดตะขวงใจจะเอ่ยคำหนึ่ง “คำนั้น” ทว่ายังมีคุณชายที่เจ้าชู้เสเพลหลายใจส่วนน้อยมากกู่ก้องร้องตะโกนกลางฝูงชนว่า “ฝ่าบาท พวกเรารักท่าน! พวกเรารักท่าน!” 


 


 


อีชีใช้มือทั้งสองข้างกุมดวงใจน้ำตาคลอเบ้าท่ามกลางฝูงชน เอ่ยว่า “นางกำลังเอ่ยกับข้า นางเพียงกำลังเอ่ยกับข้า ผู้ที่นางมองมีเพียงข้า!” 


 


 


เขายอมรับความรักที่เอิกเกริกคึกคักนี้ แลยอมรับการทุบตีที่เอิกเกริกคึกคักจากเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหกคน 


 


 


… 


 


 


ดวงตาสองข้างของจิ่งเหิงปัวเป็นประกาย แก้มแดงซ่าน ใจเต้นดุจรัวกลอง 


 


 


นางรู้สึกถึงพลังเลื่อมใสของมวลชนเป็นครั้งแรก พลังนั้นเร่งเร้าปลุกใจคนให้ฮึกเหิมเช่นนี้ ทำให้คนรู้สึกคล้ายมีวงแหวนล้อมรอบร่างกาย 


 


 


ถึงว่าคนมากมายขนาดนั้นถึงอยากเป็นซูเปอร์สตาร์ 


 


 


ดวงตาสองข้างของเหล่าราษฎรเป็นประกาย แก้มแดงซ่าน ใจเต้นดุจรัวกลองเช่นกัน 


 


 


สำหรับราษฎรแล้ว เมื่อเทียบกับราชินีผู้ครองตำแหน่งในอดีตที่ซึมเศร้าเก็บตนในภาพแห่งความทรงจำ ราชินีองค์ใหม่องค์นี้หาได้ยากแปลกใหม่เป็นกันเองน่าประทับใจหาใดเปรียบ นางร่าเริงดุจน้ำพุใส เพริศแพร้วดั่งผลท้อใหม่ ทิวทัศน์สวยงามโดยกำเนิดสายหนึ่งขัดเกลาท้องนภาของนครตี้เกอที่อึมครึมเล็กน้อยมาโดยตลอดให้สว่างไสว ที่ซึ่งมีนางดำรงอยู่ แม้แต่บึงโคลนเหนียวหนับมืดมิดห่างไกลต่างคล้ายกำลังหลั่งไหลเป็นท่วงทำนองเพลง 


 


 


ดวงตาสองข้างของกงอิ้นมืดมน สีหน้าขาวราวหิมะ หน้าผากดุจประดับด้วยน้ำค้างแข็ง 


 


 


เมื่อครู่นั่นมันกิริยาท่าทางอะไร 


 


 


เมื่อครู่นั่นมันคำว่าอะไร 


 


 


รัก 


 


 


รักหรือ! 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวผู้ชอบโอ้อวดถูกเสียงร้องตะโกนซัดสาดของฝูงชนกระตุ้นจนแทบจะเป็นบ้า ปลายเท้าเขย่งขึ้น มือทั้งสองข้างประทับบนริมฝีปาก ตระเตรียมส่งจูบสายฟ้าฟาดติดต่อกันทั่วทุกสารทิศรอบทิศทางชุดหนึ่งให้ราษฎรต้าฮวงที่เป็นมิตร 


 


 


มือข้างหนึ่งคว้ามือทั้งสองข้างของนางลงมาได้ทันเวลา 


 


 


จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาอย่างไม่พอใจ ตวาดเขาว่า “ทำอะไรน่ะ มันเป็นธรรมเนียม!” 


 


 


หัวคิ้วของกงอิ้นขมวดเพียงน้อย อยากต่อว่านาง อยากเรียกให้นางมองดูสีหน้ายามนี้ของเหล่าขุนนาง ทว่ายามสายตาทอดลงบนแก้มแดงซ่านและนัยน์ตาทอประกายของนาง ในใจอ่อนลงโดยพลัน 


 


 


คล้ายตั้งแต่เริ่มรู้จักนาง นางหยอกล้อหยอกเล่น หัวเราะสนุกสนานเป็นธรรมชาติหรืออาละวาดหรือร้องไห้หรือหัวเราะหรือบ้าคลั่ง เขาเคยเห็นสีหน้ามากมายของนาง ทว่ายังไม่เคยเห็นนางตื่นเต้นดีอกดีใจจริงๆ เช่นนี้มาก่อน 


 


 


สตรีพิเศษเฉกเช่นปริศนานางนี้ หรือว่าชั่วครู่หนึ่งนี้ถึงเป็นตัวตนแท้จริงของนาง 


 


 


เขาสูดหายใจ ที่สุดแล้วไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งนั้น ส่งมือของนางกลับไปยังแขนเสื้อแล้วฉวยมือใช้แพรขาวในฝ่ามือเช็ดฝ่ามือของนางครั้งแล้วครั้งเล่า 


 


 


“ทำอะไรน่ะ” จิ่งเหิงปัวถูกเช็ดจนคันยุบยิบ หัวเราะแผ่วเบาพลางกล่าวว่า “ข้าแตะลงบนปากตนเอง เจ้าเช็ดมือข้าทำอะไร” 


 


 


แตะบนปากตนเอง ส่งให้ประชาราษฎร์ทั่วโลกหล้า! 


 


 


กงอิ้นมองนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง…ยิ้ม ยังมีหน้ามายิ้มอีก หากเขาอยากจะไปเช็ดหน้าทุกผู้คนริมทางจะทำได้หรือ 


 


 


มองดูสีหน้ายังคงไม่สะทกสะท้านของนาง เขาค่อยๆ หลุบตาลง นิ้วมือขยับครั้งหนึ่งสอดสิ่งของกลมกลึงมันขลับสิ่งหนึ่งเข้าไปในแขนเสื้อของนาง 


 


 


“สิ่งใดหรือ” นางอยากจะล้วงออกมาดู 


 


 


“ห้ามดู” เขาเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวหากเจ้าไม่มีวิธีดีๆ ใดแล้วจริงๆ จงนำมันออกมา” 


 


 


จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่แล้วเงยหน้ามองเขา กงอิ้นกลับหลบหลีกสายตาออกไปมองดูเหล่าขุนนางและฝูงชนผู้มีท่าทางเคร่งขรึมที่ห่างออกไปอย่างเฉื่อยเนือย 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] วาดงูเติมขา หมายถึง ของเดิมที่ดีอยู่แล้วถูกแต่งเติมมากจนเกินไป  

 

 


ตอนที่ 53 - 4 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ

 

จิ่งเหิงปัวใช้นิ้วมือลูบไล้ของสิ่งนั้น อบอุ่นเกลี้ยงเกลา เจือด้วยอุณหภูมิร่างกายของเขา สิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในมือเขาล่ะมั้ง นำติดตัวมาด้วยแบบนี้ ในชั่วครู่สุดท้ายยังนำออกมาให้นาง 


 


 


คือเครื่องรางที่ให้นางเหรอ? 


 


 


นางเคยโกรธที่เขาดูถูกและไม่เชื่อถือตนเอง สาบานนับไม่ถ้วนครั้งว่าจะทำให้เขาต้องมองนางกันใหม่ แต่ตอนนี้ในใจกลับเหลือเพียงความอบอุ่น 


 


 


“ขอบใจนะ” นางยิ้มแย้มเบิกบาน กล่าวว่า “ข้าจะถือว่าสิ่งนี้เป็นของขวัญแทนใจที่เจ้าให้ข้าได้หรือไม่?” 


 


 


เขาไม่ตอบรับด้วยซ้ำ เหลียวมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเรื่องอื่นว่า “ของสิ่งนี้ให้เจ้าน่าเสียดายเสียแล้ว หวังว่าเจ้าอย่าได้ใช้จะเป็นการดีที่สุด” 


 


 


“ของขวัญแทนใจของเจ้าข้าจะตัดใจใช้ได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตาไปทางเขา กล่าวว่า “เชื่อพี่นะ พี่ต้องทำให้เจ้ามองพี่ใหม่ให้ได้!” 


 


 


“เดินเส้นทางของเจ้าให้ดีเถิด” เขาประคองไหล่ของนางให้ตรง ชี้ไปยังเบื้องหน้า เอ่ยสืบต่อว่า “เบื้องหน้า” 


 


 


ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งมองเห็นบัลลังก์บนปะรำพิธีเบื้องหน้า ในใจสั่นสะท้าน ความตื่นเต้นดีใจเมื่อสักครู่นี้อ่อนลงแล้ว นางเงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย 


 


 


เหล่าราษฎรค่อยๆ เงียบสงบลงเช่นกัน หันหน้าจดจ้องบัลลังก์หลังฉากกั้นหลากสี ยามนี้พวกเขาจึงนึกถึงฉากสำคัญของพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จวันนี้ พอนึกถึงเรื่องหนึ่งนี้ ในใจของทุกคนต่างจมดิ่งลง 


 


 


ผู้ใดต่างรู้ว่า หากอยากจะแสดงความสามารถพิเศษที่ทำให้ทุกผู้คนเลื่อมใสในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 


 


 


เหล่าราษฎรเสียดายอยู่บ้าง ต่างนึกว่ายากจะได้เห็นราชินีที่เป็นกันเองอนาคตไกลขนาดนี้องค์หนึ่ง พริบตาเดียวจะสูญเสียนางไปแล้ว ให้โฉมสะคราญเช่นนี้ผู้หนึ่งปลิดชีพตนเองหรือถูกเนรเทศล้วนโหดร้ายเหลือเกิน 


 


 


กงอิ้นเอามือไพล่หลังมองดูเงาด้านหลังของจิ่งเหิงปัว เอ่ยกับเหมิงหู่อย่างเฉื่อยเนือยว่า “ตระเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?” 


 


 


“ขอรับ” สีหน้าของเหมิงหู่กลับลังเลอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ท่านจะทำจริงหรือ…” 


 


 


“ให้หลงฉีสนับสนุน คั่งหลงสกัดกั้นอยู่ด้านหลัง” กงอิ้นคล้ายไม่ได้ยินวาจาของเขา เอ่ยสืบต่อว่า “หากพบว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติ มิต้องขอคำแนะนำจากข้าอีก เปิดฉากโดยพลัน” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“อีกทั้ง” กงอิ้นจ้องมองเวทีพิธีการสูงใหญ่ที่ประดับประดางดงามนั้นพลางค่อยๆ เอ่ยว่า “เวทีสูงใหญ่ก่อสร้างเมื่อใดหรือ?” 


 


 


“ว่ากันว่าถูกตระเตรียมเสร็จแล้วเมื่อห้าวันก่อนขอรับ” 


 


 


“ใครเป็นผู้ก่อสร้างหลัก” 


 


 


“มหาปราชญ์ขอรับ เขาใสซื่อมือสะอาด ไม่เข้ากับทั้งสองฝ่าย วางใจได้เป็นที่สุดขอรับ” 


 


 


“อืม” กงอิ้นนิ่งเงียบเล็กน้อย สายตากลับไม่ได้เบนออกมา เอ่ยสืบต่อว่า “ไปสืบดูให้ดี” 


 


 


“…ขอรับ” 


 


 


ชายกระโปรงสีดำค่อยๆ ขยับเขยื้อนบนพรมสีแดง แสงเงาแน่นหนักภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนแผดเผา 


 


 


จิ่งเหิงปัวเดินอย่างยากลำบาก 


 


 


ขุนนางกองพิธีการทั้งหมดสองแถวเดินอยู่ข้างกายของนาง มองนางแบกชุดพิธีการหนาหนักเดินเหินอย่างยากลำบากไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ ยังสอดมือไว้แขนเสื้อ ชี้ข้อบกพร่องในพฤติกรรมของนางด้วยท่าทางเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง 


 


 


“ฝ่าบาท พระกฤษฎีต้องตรงแน่วมิอาจค่อมลง ไร้ซึ่งท่วงท่าแห่งกษัตริย์เกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ฝ่าบาท ทรงพระดําเนินมิอาจเร็วเกินไป ห้าสิบก้าวในเวลาหนึ่งเค่อจึงเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ…พระองค์ทรงพระดําเนินเร็วเกินไปแล้ว! ทรงหยุดยืน! หยุดสักครู่!…ยามนี้ช้าเกินไปแล้ว พระองค์จะต้องทรงพระดําเนินผ่านเร็วหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ฝีก้าวต้องเชื่องช้า ชายฉลองพระองค์มิอาจขยับเขยื้อนพ่ะย่ะค่ะ! ฉลองพระบาทมิอาจโผล่พ้นชายฉลองพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“จะต้องทรงพระดําเนินผ่านเป็นเส้นตรง พระองค์ทรงพระดําเนินเบี้ยวแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ถอยกลับไปพ่ะย่ะค่ะ! ที่แห่งนี้คือเส้นดวงใจกลางพระบรมมหาราชวัง การทรงพระดําเนินเป็นเส้นตรงของพระองค์แสดงว่าต้าฮวงของเราจะมีฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อำนาจของจักรพรรดิเป็นหนึ่งเดียว การทรงพระดําเนินเบี้ยวจะเป็นลางร้ายพ่ะย่ะค่ะ! ทรงถอยกลับไป จะต้องทรงพระดําเนินใหม่อีกรอบพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนนิ่ง หันข้างมาถลึงตามองขุนนางกองพิธีการข้างกายที่มีสีหน้าเข้มงวดคนนั้นด้วยความโกรธเคือง 


 


 


ขุนนางผู้นั้นประสานสายตากับนางด้วยท่าทางไร้ซึ่งความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ขุนนางกองพิธีการดูแลกิจธุระทุกสิ่งเกี่ยวกับพิธีการของราชสำนักรวมถึงราชสกุลและมีหน้าที่ตรวจตรามรรยาทของราชสกุล พวกเขามีอำนาจในการดำเนินการแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทุกสิ่งของราชินี ราชินีมิอาจต่อต้านทุกสิ่ง ระยะเวลาที่ผ่านมา มิใช่ไม่เคยมีราชินีที่ทนรับกฎเกณฑ์จุกจิกวุ่นวายหนักหน่วงไม่ไหว วางแผนจะต่อต้าน สีหน้าบางนางย่ำแย่ยิ่งกว่านางนี้ในยามนี้ ทว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร? เครื่องจักรตรวจตราและตำราพิธีการมั่นคงเปี่ยมอำนาจที่ยิ่งใหญ่จะทำให้สตรีที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเหล่านี้ยอมสยบในไม่ช้าก็เร็ว 


 


 


นางนี้ย่อมไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน 


 


 


จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงว่าเหงื่อทั่วร่างเพียงพอจะอาบน้ำได้แล้ว ระยะทางยาวไกล กระโปรงหนักเกินไป ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจในตอนแรกหายไปแล้ว น้ำหนักบนเรือนร่างถาโถมทับถมปานภูผาสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวล้วนเป็นภาระ ดวงอาทิตย์สูงส่งบนฟ้าสาดส่องลงมาอย่างร้อนแรงดุจเพลิง ขับหยาดเหงื่อขนาดใหญ่เท่าเม็ดถั่วออกจากหน้าผากสีขาวราวหิมะของนางทีละเม็ดละเม็ด 


 


 


ผู้ชราบางส่วนท่ามกลางฝูงชนมองดูฉากหนึ่งนี้แล้วผุดเผยแววตาสงสาร พวกเขาจำได้เลือนรางว่าปีนั้นคล้ายมีราชินีอ่อนวัยผู้หนึ่งได้รับพิธีเฉลิมฉลองเช่นนี้เช่นกัน นางตื่นเต้นดีใจจนดวงพักตร์น้อยแดงซ่านท่ามกลางฝูงชน น่าเสียดายว่านางร่างกายอ่อนแอ ยังไม่ทันได้เดินไปใต้ปะรำพิธีก็หมดแรงเป็นลมล้มลง แม้ได้รับการช่วยเหลือให้ดำเนินพิธีการต่อไป ทว่าขวัญกระเจิงแล้วจะทำเรื่องลำดับถัดมาให้ดีได้อย่างไร? นางจึงไม่ผ่านการทดสอบดังคาดการณ์ จากนั้นจึงถูกเนรเทศ ความเกริกก้องรุ่งเรืองในวันนั้น สุดท้ายแล้วกลายเป็นความฝันแสนสั้น 


 


 


ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหมวกสูงชุดหนา พรมแดงสามลี้ พิธีการยามอู่และความกดดันหนักหน่วง แท้จริงแล้วเป็นช่วงที่เปี่ยมเล่ห์กลที่สุดในการทดสอบราชินีช่วงหนึ่ง 


 


 


จิ่งเหิงปัวเช็ดเหงื่อบนหน้าผากครั้งหนึ่ง เวทีสูงใหญ่ที่มองดูคล้ายยิ่งเดินยิ่งไกล นางไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้นเหมือนที่ผู้ยืนดูอยู่ข้างๆ จินตนาการ ด้วยเพราะของสิ่งนั้นที่กงอิ้นให้นางกำจายไอเย็นอย่างเชื่องช้าปกป้องชีพจรของนางไว้โดยตลอด แม้ว่าร่างกายเหงื่อท่วมชุดหนา ทรมานอย่างมาก แต่ร่างกายไม่ได้มีเค้าที่ส่อให้เห็นถึงลมแดดแม้แต่น้อย 


 


 


เพียงแต่เหงื่อท่วมชุดหนาแบบนี้แลดูจนตรอกอย่างมากเช่นกัน จิ่งเหิงปัวรู้ถึงเจตนาของเหล่าขุนนาง ราชินีที่หายใจหอบฮืดฮาดดวงพักตร์เลอะเทอะนางหนึ่งคงแสดงท่วงท่าอย่างงามสง่าเลิศล้ำที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใสออกมาให้เห็นได้ยาก 


 


 


เฉกเช่นเบื้องหน้า ขุนนางน้อยตำแหน่งกระจ้อยคนหนึ่งยังกล้าสั่งให้นางถอยไปเริ่มใหม่ 


 


 


นางแค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง ไม่แม้แต่จะมองขุนนางกองพิธีการคนนั้น เท้าหยุดยืนนิ่งทันที 


 


 


สายตาของทุกผู้คนเบนผ่านมา ขุนนางผู้นั้นมีสีหน้าย่ำแย่ เร่งเร้าด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ฝ่าบาท อย่าได้ทรงเสียมารยาท รีบเร่งเริ่มใหม่…” 


 


 


“เจิ้นคือราชินี เจ้าแห่งต้าฮวง” จิ่งเหิงปัวกล่าวเสียงสูงว่า “เหตุใดจึงต้องเดินผ่านเส้นทางยาวไกลเช่นนี้ด้วยตนเอง? ยกเกี้ยวมา!” 


 


 


“ฝ่าบาท!” ผู้ชราหมวกสูงท่านหนึ่งเอ่ยโดยพลันว่า “กฎเกณฑ์ทุกสิ่งที่คัมภีร์พิธีการแห่งองค์ปฐมจักรพรรดิได้ทรงกำหนดไว้ต่างเป็นบรรทัดฐานที่จะต้องเสด็จผ่านตามแม้ศตวรรษต่อมา เหล่าข้ายามเข้าราชสำนักเป็นขุนนางแต่ละยุคสมัย ต่างเคยให้สัตย์สาบานใต้ประตูจิ่วเฮ่อว่าจะปกป้องคัมภีร์พิธีการแห่งราชสำนักด้วยชีวิต หากมีผู้ฝ่าฝืน สวรรค์ลงทัณฑ์ อสนีบาตสังหารผู้นั้นพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ถามองครักษ์ที่ถือขวานข้างกายคนหนึ่งว่า “เฮ้ ตาแก่นี่เอ่ยอะไรหรือ?” 


 


 


“ฝ่าบาท เสนาพิธีการหมายความว่า พระองค์จะต้องเสด็จผ่านเส้นทางสายนี้ตามกฎเกณฑ์ ผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์สวรรค์จะถูกสายฟ้าฟาดเปรี้ยงพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“รู้แต่ขู่ขวัญผู้อื่น” จิ่งเหิงปัวแบะปาก “ไม่ให้เกี้ยวข้าก็ไร้หนทางแล้วหรือ?” 


 


 


“เจิ้นคือจักรพรรดิ เจ้าแห่งชะตาสวรรค์!” นางเอ่ยอย่างน่าเกรงขามว่า “เจ้าไม่ให้เกี้ยว ข้าจะเพรียกหงส์สีรุ้งบนฟ้าพาข้าขึ้นเวที!” 


 


 


“หา!” เสียงหนึ่ง ราษฎรพลุ่งพล่านแล้ว 


 


 


“อา?” เหล่าขุนนางเงยหน้างงงัน 


 


 


เหยียลี่ว์ฉีกระแอมไอโดยพลัน มุมปากของกงอิ้นผุดเผยรอยยิ้มจาง 


 


 


“อา?” เหล่าขุนนางกองพิธีการที่กำลังคิดจะตำหนินาง ใบหน้าที่เดิมทีเคร่งขรึมต่างขมวดเป็นกลุ่มก้อน จากนั้นมีผู้เริ่มหัวเราะเย็นชา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท! ตรัสวาจาเพ้อเจ้อต่อหน้าธารกำนัล พระองค์จะต้องทรงสำนึกตน…” 


 


 


“ดูสิ!” จิ่งเหิงปัวยกแขนขึ้นสูง ชี้ไปยังท้องฟ้าพลางตะโกนว่า “หงส์สีรุ้งว่องไว พาข้าเหินนภา!” 


 


 


“แกว๊ก” เสียงหนึ่งดังขึ้นรำไร คล้ายเป็นเสียงนกร้อง ทุกผู้คนเงยหน้าโดยพร้อมเพรียง 


 


 


บนฟ้าไม่มีสิ่งใดเลย ไม่เห็นขนนกแม้เพียงอันเดียว 


 


 


ทุกคนชะงัก…ราชินีทรงโกหกต่อหน้าธารกำนัลหรือ? ทรงเสแสร้งแกล้งทำหลอกลวงอาณาประชาราษฎร์หรือ? 


 


 


นี่แย่ยิ่งกว่าไม่ผ่านการทดสอบเสียอีก! 


 


 


ทุกคนทอดสายตาลงมาอย่างผิดหวัง กำลังตระเตรียมจะจ้องราชินีบนพรมแดงด้วยแววตาโมโหปราดหนึ่ง มีผู้อุทานอย่างตกตะลึงโดยพลันว่า “ฝ่าบาททรงหายไปแล้ว!” 


 


 


จากนั้นผู้คนส่วนใหญ่ร้องตกใจขึ้นมา 


 


 


“หายไปแล้ว! ฝ่าบาททรงหายไปแล้วจริงๆ!” 


 


 


“ฝ่าบาททรงประทับหงส์สีรุ้งเหินนภาแล้วจริงด้วย!” 


 


 


“เมื่อครู่เสียงหนึ่งนั้นคือหงส์ร้องมิใช่หรือ? วิเศษยิ่งนัก!” 


 


 


เจ้าหงส์หมาโง่ยื่นท้องออกมา ร้องแกว๊กๆ แผ่วเบาสองเสียง เฟยเฟยแบกมันทะลุผ่านช่องว่างระหว่างขาของฝูงชนไปอย่างปราดเปรียว 


 


 


… 


 


 


เหล่าขุนนางจ้องมองพรมแดงว่างเปล่าผืนนั้นอย่างตื่นตะลึง ขยี้ดวงตาหลายรอบ 


 


 


เป็นไปได้อย่างไร? 


 


 


ท่ามกลางมวลชนจ้องมอง คนผู้หนึ่งทั้งคน เอ่ยว่าหายไปก็หายไปแล้วจริงหรือ? 


 


 


ขี่หงส์ลอยล่อง? เหลวไหล! หงส์อยู่ที่ใด? 


 


 


แล้วคนล่ะอยู่ที่ใด? 


 


 


คนอยู่บนเวที 


 


 


เสียงร้องตะโกนใสไพเราะระลอกหนึ่งแว่วมาจากบนเวทีสูงใหญ่ที่อยู่ห่างไกล 


 


 


“เฮ้! ข้าอยู่ตรงนี้!” 


 


 


ทุกคนหันหน้ากลับมาดังสวบ ลูกตาต่างนูนออกมาจนแทบกลิ้งกุกกักเกลื่อนกลาดออกไป 


 


 


บนเวทีสูงใหญ่ จิ่งเหิงปัวยืนอยู่อย่างสงบจิตสงบใจกำลังยื่นมือออกไปเชื่องช้า ทำท่วงท่า “ปล่อยเหิน” ท่าหนึ่งพลางกล่าวอย่างซาบซึ้งใจกับ “หงส์” บางตัวที่ไม่ได้มีอยู่ในอากาศด้วยซ้ำว่า “ขอบใจเจ้าที่มาส่งข้าตลอดเส้นทางนี้ กลับไปบอกเจ้าแม่ซีหวังหมู่[1]ว่าข้าสบายดี มีโอกาสมาเล่นด้วยบ่อยๆ นะ หากมีใครกลั่นแกล้งข้าข้าจะบอกพวกเจ้า” 


 


 


นิ้วมือนางยกขึ้นครั้งหนึ่งปล่อย “หงส์” เหินสู่นภา เจ้าหงส์หมาโง่ที่เป็นตัวแสดงสำคัญในเอ้อร์เหรินจ้วน[2] ร้อง “แกว๊ก…” เสียงหนึ่งจากซอกมุมของเวทีสูงใหญ่ได้ทันเวลา 


 


 


ทุกคนจ้องมองท้องนภาอย่างฉงนสนเท่ห์…ว่ากันว่าที่นั่นมีหงส์ 


 


 


ทว่าได้ยินเพียงเสียงแต่มิเห็นวิหคเจ้าของเสียง 


 


 


คล้ายว่าเสียงนั้นก็ไม่ค่อยเพราะเท่าไร… 


 


 


จ้องนานแล้ว ทิวเมฆเป็นกลุ่มก้อนกลางอากาศนั้น แลดูคล้ายหงส์จริงยิ่งนัก… 


 


 


“มิต้องมองแล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างสงสารบนเวทีว่า “ระดับมนุษย์ธรรมดามิอาจมองเห็นวิหคเทวะ ให้พวกเจ้าได้ฟังเสียงของมันเสียงหนึ่ง นับเป็นวาสนาของพวกเจ้า” 


 


 


ทุกคนเคร่งขรึม 


 


 


หลังจากความเงียบสงัด ราษฎรเปล่งเสียงโห่ร้องยินดีปานเสียงคลื่นโหมซัดอีกครั้ง…ราชินีครานี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา! ราชินีครานี้มีพลังมหัศจรรย์! เบื้องบนพิทักษ์! วิหคเทวะร่วมส่งเสด็จ! 


 


 


สวรรค์พิทักษ์ต้าฮวง เทพีจุติจากสวรรค์! 


 


 


ทุกคนมโนว่าองค์ราชินีผู้เลอโฉมสวมมงกุฎรุ่งโรจน์ ทรงประทับหงส์สีรุ้งเหินนภา ล่องลอยมาจุติ ณ บึงโคลนต้าฮวง ที่ซึ่งปลายพระดัชนีสัมผัส โคลนดำเหือดหาย หน่ออ่อนโผล่พ้นผืนดิน แตกกิ่งก้านผลิใบ มวลผกาแย้มบานใบไม้เขียวชอุ่ม นับแต่นี้ต้าฮวงอุดมสมบูรณ์พันลี้ ใกล้เคียงแดนสุขาวดี 


 


 


เสียงโห่ร้องยินดีในภาพมโนงดงามเช่นนี้ยิ่งดุเดือดขึ้น เป็นระลอกระลอกดั่งคลื่นกำลังจะพลิกคว่ำนครตี้เกอที่เงียบสงบนี้ ฉากกั้นหลากสีถูกคลื่นเสียงและแขนผลักดันจนพัดพลิ้วปลิวไสว ศีรษะนับมิถ้วนเบียดไปเบียดมาเบื้องหน้าฉากกั้นหลากสีดั่งคลื่นสมุทรจะพุ่งสู่สายรุ้ง 


 


 


เมื่อเทียบกับความตื่นเต้นของราษฎร เหล่าขุนนางและเหล่าผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้าร่วมพิธีเผยให้เห็นท่าทางระมัดระวัง ขุนนางกองพิธีการสีหน้าย่ำแย่ ผู้คนที่เหลือส่วนใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม มีผู้เงียบเชียบมิเอ่ยวาจากำลังคำนวณความเป็นไปได้ในการใช้วิชาตัวเบาปรากฏกายบนเวทีสูงใหญ่โดยพลันในระยะเวลาสั้นขนาดนั้น ทว่าคำนวณไปคำนวณมา ผลลัพธ์ต่างเป็นไปไม่ได้ 


 


 


ทว่าการก้าวข้ามเกือบสิบจั้งในชั่วเวลากะพริบตาเพียงครั้ง ปรากฏกายบนเวทีสูงใหญ่โดยพลัน เรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตของศิลปะการต่อสู้ มีเพียงวิชาย่นพสุธาซึ่งเป็นศาสตร์ศิลป์การต่อสู้มหัศจรรย์แห่ง “แดนสวรรค์” ในตำนานต้าฮวงพอเป็นไปได้ ทว่าหากเป็นวิชาย่นพสุธาจริง นั่นก็เกือบจะเอ่ยได้ทัดเทียมเทพแล้ว 


 


 


ไม่ว่าอย่างไรไม่อาจเชื่อถือ ลูกไม้หนึ่งนี้ของราชินีไม่ปลอมแปลงเลยแม้แต่น้อยท่ามกลางสายตามวลชนจ้องมอง คำว่า “มหัศจรรย์” สองคำนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง คนจำนวนมากสูดหายใจเฮือกหนึ่งปานปวดฟัน…ต้าฮวงดินฟ้าอากาศหลากหลาย ภูมิศาสตร์พื้นที่ซับซ้อน สัตว์ประหลาดศาสตร์อัศจรรย์มากมายเหลือคณานับ ฉะนั้นจึงเป็นแว่นแคว้นหนึ่งซึ่งตำนานเทพนิยายแพร่หลายที่สุดเช่นกัน ราษฎรเต็มใจอย่างยิ่งที่จะอธิบายเรื่องราวที่ยากจะอธิบายทั้งหมดเป็นโองการเทพ อีกทั้งกราบไหว้บูชางมงายไร้สงสัย บัดนี้ราชินีกระทำลูกไม้หนึ่งนี้ต่อหน้าธารกำนัล แสดงให้ราษฎรนับพันนับหมื่นเห็นความมหัศจรรย์งดงามดั่งจินตนาการฉากหนึ่งนี้ นึกแล้วพอจะรู้ได้ว่า ตี้เกอหลังจากวันพรุ่ง การสนับสนุนราชินีองค์ใหม่กำลังจะบรรลุถึงขั้นสูงสุดครั้งใหม่ 


 


 


จิ่งเหิงปัวพินิจสีหน้าของเหล่าขุนนางเบื้องล่าง รู้สึกแค่ว่าสบายใจสบายอารมณ์ 


 


 


นางชำเลืองตามองเหยียลี่ว์ฉีแวบหนึ่ง เจ้าคนผู้รู้ความจริงนี้คล้ายไม่ได้คิดจะเปิดโปงนาง ยิ้มอย่างลึกลับอยู่ข้างหนึ่ง 


 


 


นางยิ้มแย้มเช่นกัน สนใจเขาทำไม จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉากสำคัญของนางยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลย 


 


 


นางเชิดหน้าขึ้นหันกายครั้งหนึ่ง นั่งลงไปบนกึ่งกลางที่นั่งซึ่งประดับเพชรนิลจินดาปูด้วยฟูกแพรต่วนสีแดงแห่งนั้น 


 


 


 


 


 


 


 


 


[1] เจ้าแม่ซีหวังหมู่ พระมเหสีของเง็กเซียนฮ่องเต้ ราชินีแห่งสวรรค์ 


 


 


[2] เอ้อร์เหรินจ้วน ละครพื้นเมืองในภาคอีสานของจีน ใช้นักแสดงเพียง 2 คนเท่านั้น  

 

 


ตอนที่ 54 - 1 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

 

 


 


 


ม่านกั้นหลากสีสยายลงมาสะบั้นเสียงโห่ร้องของราษฎรจากภายนอก แสงสว่างพลันมืดมิด ด้านล่างเวทีคลาคล่ำด้วยเงาคน แต่ละคนเคร่งขรึมดุจรูปสลักหน้าสุสาน จิ่งเหิงปัวมีความรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องมืด 


 


 


สิ่งที่เรียกว่าพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จคือการดำเนินการภายใต้สภาวะแวดล้อมถูกปิดกั้นรอบด้าน มีคนนับไม่ถ้วนล้อมรอบแย่งอากาศแบบนี้เหรอ มอบความกดดันทางจิตใจให้คนได้ง่ายมากจริงแท้ แสดงความสามารถพิเศษภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ได้ดีสิถึงจะแปลก 


 


 


“บรรดาขุนนางต้าฮวง ถวายบังคมพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินีพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ก่อนอื่นเสนาพิธีการนั้นตะโกนเสียงดังเสียงหนึ่ง ขุนนางลักษณะแตกต่างกันหนึ่งแถวใหญ่เดินแถวยาวเหยียดขึ้นเวที แบ่งเป็นสองแถวแล้วโค้งคำนับให้จิ่งเหิงปัว 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าคาง ในใจคิดว่าทำไมไม่เรียกว่าฝ่าบาท เรียกพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี ความหมายใต้คำนั้นคือยังไม่ยอมรับราชินีอย่างเป็นทางการมั้ง 


 


 


แล้วพอมองสีหน้าท่าทางของคนเบื้องล่าง ในความสงบเงียบเคร่งขรึม ผู้คนจำนวนมากเผยให้เห็นความเหยียดหยามและตามใจซึ่งปิดไว้ไม่มิด 


 


 


ด้านล่างมีเก้าอี้อีกสองตัว ซ้ายตัวหนึ่งขวาตัวหนึ่ง ดำตัวหนึ่งขาวตัวหนึ่ง ผ่านไปสักครู่ กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีเลิกม่านเข้ามานั่งลงตามลำดับ ทุกคนถวายคำนับให้ทั้งสองคนอีกครั้ง ยังคงเข้าคำนับกงอิ้นก่อนเช่นเคย ดูท่าต้าฮวงคงจะยกย่องฝ่ายขวา 


 


 


กงอิ้นเพียงโบกมือ เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพยักหน้า สายตาสองคนสอดประสานกลางอากาศ เหยียลี่ว์ฉีกะพริบตา กงอิ้นเบนสายตาอย่างเฉยเมย เบนไปทางจิ่งเหิงปัวบนเวทีโดยไม่หลีกเลี่ยงการจับจ้องของเหยียลี่ว์ฉี 


 


 


สตรีบนเก้าอี้สูงดูท่าทางสุขุมยิ่งนัก มุมปากเขากระหวัดขึ้นมาเพียงน้อย…รู้อยู่แล้วว่านางใจกล้าบ้าบิ่น โฉมภายนอกตามใจภายในใจเย่อหยิ่ง 


 


 


“ฝ่าบาท” เสนาพิธีการเริ่มต้นขั้นตอนพิธีการตามระเบียบปฏิบัติ ครั้งนี้กลับเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว เพียงแต่น้ำเสียงนั้นยังคงเสียดสีอยู่บ้าง เอ่ยสืบต่อว่า “เทพธิดาจุติใหม่นับเป็นความโชคดีแห่งต้าฮวงของเรา หกแคว้นแปดชนเผ่ารับเสด็จไกลร้อยลี้ ขุนนางและราษฎรต้าฮวงปูพรมแดงสิบลี้ ธุลีเหลืองรองเส้นทาง ธารบริสุทธิ์สาดถนน สามก้าวตั้งหนึ่งโต๊ะ สิบก้าวจุดธูป ทว่าขอเพียงได้รับแสงรุ่งโรจน์แห่งขบวนเสด็จเช่นกัน…” 


 


 


เขาถือป้ายฮู่[1]ไว้ในมือ เอ่ยติดต่อกันครั้งใหญ่อย่างสุภาพเรียบร้อย จิ่งเหิงปัวไม่เข้าใจสักอักษรหนึ่ง รู้สึกแค่ว่าเหนื่อยมาก กระโปรงบนเอวหนักอึ้งคล้ายจะหลุดอีกแล้ว นางยืนขึ้นมากะทันหัน 


 


 


เสนาพิธีการหยุดเอ่ย มองนางด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ตามกฎเกณฑ์ต้าฮวง ราชินีมิอาจมีกิริยาท่าทางใดๆ ก่อนตรัสตอบเหล่าขุนนาง 


 


 


“อ๊ะ ข้ามิเป็นไร เจ้าเอ่ยของเจ้า ไม่ขัดกัน” พอจิ่งเหิงปัวกระดกก้นขึ้นมาก็มองเห็นสีหน้าท่าทางอ้าปากเอ่ยวาจาไม่ออกของกลุ่มหนึ่งเบื้องล่าง ยังนึกว่าพวกเขาอยากขึ้นมาช่วยเหลือ รีบเร่งโบกมือ กล่าวว่า “เอ่ยต่อ เจ้าเอ่ยต่อ” 


 


 


“เอ่อ…” เสนาพิธีการลืมบทพิธีการเสียแล้ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวก้มหน้าตั้งใจทำเรื่องของนาง หิ้วส่วนเอวของกระโปรงขึ้นไปก่อน 


 


 


ทุกผู้คนมองดูเอวบางของนาง… 


 


 


แล้วบิดขี้เกียจ 


 


 


ทุกผู้คนมองดูทรวดทรงรัดตึงน่าประทับใจของนาง… 


 


 


นั่งลง ปรับท่านั่งเป็นท่าที่สบายและสามารถอดทนนั่งได้ยาวนาน เช่น ยกขาไขว่ห้าง 


 


 


ทุกผู้คนมองดูขาซ้อนกันของนาง… 


 


 


หลังจากยกขาไขว่ห้าง นางไม่ชอบใจที่กระโปรงหนักเกินไป จับซ้ายครั้งหนึ่งจับขวาครั้งหนึ่ง พับกระโปรงวางไว้บนขา เช่นนี้เอง ขาท่อนล่างช่วงหนึ่งโผล่ออกมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง 


 


 


ทุกผู้คนกลอกลูกตามั่วซั่วยุ่งกับการมองดูขาท่อนล่างที่เรียวบางขาวราวหิมะ มองเสร็จแล้วพลันรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง หันกลับมามองท่านเสนาพิธีการผู้ดูแลพิธีการและมีอำนาจแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆ ของราชินีตลอดเวลาอย่างพร้อมเพรียง 


 


 


เสนาพิธีการนึกไม่ออกว่าต่อไปควรทำสิ่งใดเสียแล้ว 


 


 


เสนาพิธีการก็ไม่รู้ว่าควรจะขัดขวางราชินีเรื่องใดกันแน่แล้ว…ชั่วครู่เดียวนางฝ่าฝืนกฎเกณฑ์มากมายเหลือเกิน พฤติกรรมไม่เหมาะสมเยอะแยะเหลือเกิน… 


 


 


“เอ๊ะ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เอ่ยต่อแล้ว เอ่ยสิ” จิ่งเหิงปัวจัดระเบียบตนเองจนสบายแล้วจึงนั่งนิ่ง เพิ่งรู้สึกตัวว่าบรรยากาศผิดปกติ เงยหน้าอย่างงงงวย ลูกตาเบิกกว้างกลมโต สีหน้าท่าทางเปี่ยมด้วย “ชิบเหตุใดพวกเจ้าเชื่องช้าขนาดนี้แม่นางเช่นข้ายังรอคอยจนร้อนใจแล้ว” เต็มหน้า 


 


 


เสนาพิธีการอึดอัดเล็กน้อย ควรจะแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมของราชินีให้ถูกต้องก่อนดีเล่าหรือว่าเอ่ยต่อดีเล่า 


 


 


“ที่รัก” จิ่งเหิงปัวยกขาไขว่ห้าง ขาท่อนล่างแกว่งไกวเตะชายกระโปรงตนเองเป็นระลอก ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เข้าประเด็นหลักเถิด ร้อนยิ่งนัก” 


 


 


ลูกตาของทุกคนแกว่งไกวตรงดิ่งตามขาท่อนล่างสีขาวราวหิมะนั้นไปด้วย… 


 


 


“แค่กๆ” เสนาพิธีการกระแอมไอใช้สายตาบอกใบ้ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท พระองค์นี้…” 


 


 


“อ๊ะอันนี้หรือ” จิ่งเหิงปัวมองตามสายตาเห็นชายกระโปรงของตนเอง ขนคิ้วชี้ขึ้นทันที กล่าวด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ขาของเจิ้น เจ้ามองอะไรของเจ้า สายตาหื่นกามด้วย! เฒ่าตัณหากลับ!” 


 


 


“อึก” เสียงหนึ่ง เสนาพิธีการเฒ่าผู้สูงวัยมากบารมีเกือบจะกระอักโลหิตอึกหนึ่งออกมา… 


 


 


เสนาพิธีการเฒ่าผู้น่าสงสารถูกหามลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่เหลือเบนสายตาคืนมามองท้องนภาอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ฝ่าบาท!” ขุนนางกองพิธีการอ่อนวัยผู้หนึ่งไม่พอใจ ออกจากแถวเอ่ยเสียงสูงว่า “พระองค์ทรงทำเกินไปแล้ว! ทรงไม่เคารพขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นนี้ได้อย่างไร! เพราะพระองค์ทรงฝ่าฝืนคัมภีร์พิธีการก่อน เสนาพิธีการชี้แนะให้ท่านแก้ไขพฤติกรรมไม่เหมาะสมให้ถูกต้องตามเหตุผล เหตุใดต้องประสบพบเจอการเหยียดหยามในที่สว่างไสวใหญ่โตเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ…” 


 


 


คนผู้นี้คือคนนั้นก่อนหน้านี้ที่ให้จิ่งเหิงปัวถอยกลับไปเดินใหม่ จิ่งเหิงปัวตัดสินใจว่าจะเชือดเขาเป็นตัวอย่าง 


 


 


“กฎเกณฑ์กำหนดให้ข้าเพียงผู้เดียวหรือ” จิ่งเหิงปัวหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวต่อไปว่า “ข้าไม่อาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ได้แล้วพวกเจ้าฝ่าฝืนได้หรือ กฎเกณฑ์ไม่อนุญาตให้ข้าทำเรื่องนั้นทำเรื่องนี้แล้วกฎเกณฑ์อนุญาตพวกเจ้ามองราชินีมั่วซั่วหรือ กฎเกณฑ์ข้อใดเขียนไว้ว่าได้ เอาออกมาเปิดให้พี่ดู! ขอเพียงมี พี่จะโขกศีรษะขออภัยเจ้า!” 


 


 


“พวกเรามิได้มองมั่วซั่วนะพ่ะย่ะค่ะ…” ขุนนางอ่อนวัยคัดค้านเสียงแผ่ว 


 


 


จิ่งเหิงปัวไม่พูดไม่จา กล่าวทันทีว่า “คันจัง…” รูดกระโปรงขึ้นไปด้านบนอีกครั้งดังพึ่บพั่บจนถึงบริเวณเข่า 


 


 


ลูกตาเกลื่อนกลาดกลอกกลิ้งมั่วซั่วอีกครั้ง 


 


 


“ฝ่าบาท!” ขุนนางเอ่ยด้วยท่าทางโกรธเคืองว่า “ห้ามผุดเผยพระฉวีตามใจชอบพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


“ข้าผุดเผยผิวกายแห่งใดแล้วหรือ” 


 


 


“พระชงฆ์…” ขุนนางเอ่ยวาจาเพียงครึ่ง ตะลึงลานรู้โดยพลันว่าตกหลุมพราง สำลักขึ้นมาแล้วไออย่างรุนแรงระลอกหนึ่ง 


 


 


“อื้อหือ เจ้าไม่ได้มอง! เจ้าไม่ได้มองมั่วซั่ว!” จิ่งเหิงปัวหัวเราะก๊ากๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “เจ้าไม่ได้มองเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจิ้นโผล่ขาออกมา เจิ้นโผล่ขาออกมาหรือว่าพวกเจ้าไม่ควรถอยห่างหลบหลีกโดยพลัน ยังมีหน้ายืนตาซ้ายกลอกมาตาขวากลอกไปลวนลามเอาเปรียบไม่จบไม่สิ้นอยู่ตรงนี้ แล้วเป็นกฎเกณฑ์ข้อใดอนุญาตพวกเจ้าลวนลามเจิ้นตามใจชอบ พวกเจ้ามีฐานะเป็นขุนนางกองพิธีการ ควรจะนำพาผู้คนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทุกรูปแบบอย่างแน่วแน่ พวกเจ้ายังหน้าไม่อายมองเจิ้นมั่วซั่วทำลายกฎเกณฑ์เสียเอง มีหน้าอะไรมายืนอยู่เบื้องหน้าฝูงขุนนางเสแสร้งจะให้เจิ้นทบทวนตน ถุ้ย รีบเร่งซื้อกระจกสักบานมาส่องแล้วพุ่งชนจนสิ้นชีพไปเลย โจรคุณธรรมปัญญาชนจอมปลอมที่สารคัดหลั่งขาดดุลฝูงหนึ่ง! ไอ้เวรเสแสร้งแม่งเอ้ย!” 


 


 


“เอ่อ…” ฝูงขุนนางเลอะเลือนไประลอกหนึ่ง เหตุใดเอ่ยไปเอ่ยมาจึงเพิ่มขึ้นไปถึงโทษสถานหนักเช่นลวนลามฝ่าบาทแล้ว 


 


 


คนของกองพิธีการยิ่งสับสน แต่ก่อนพวกเขาต่างเชิดคอสั่งสอนราชินีให้ราชินีรักษากฎเกณฑ์ วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปนานจึงได้หลงลืมกฎเกณฑ์ที่ตนเองควรจะปฏิบัติตาม พวกเขาสืบค้นคัมภีร์พิธีการในสมองอย่างเพียรพยายาม อยากจะหาข้อระเบียบมาโต้แย้งราชินี ทว่าควรจะให้ขุนนางปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อนเล่าหรือว่าควรให้ราชินีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก่อนกันแน่ ประมวลกฎหมายต้าฮวงมีข้อหนึ่งว่า “ไม่อนุญาตให้ข้าราชบริพารมีเรื่องราวล่วงละเมิดใดๆ ต่อพระบรมวงศานุวงศ์” มองผิวกายราชินีนับว่าเป็นข้อหนึ่งแน่แท้ ทว่าหากมิอาจมองพฤติกรรมเช่นราชินีเป็นต้น ภายหลังนางจะวิ่งเปลือยกายจะทำอย่างไร… 


 


 


“พวกเจ้าสุภาพบุรุษจอมปลอมวางมาดภูมิฐานเหล่านี้!” จิ่งเหิงปัวสั่งสอนต่อไปว่า “ควรจะเรียนรู้จากราชครูฝ่ายขวาของพวกเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมองข้ามั่วซั่ว!” 


 


 


เขาลูบคลำโดยตรงเลย เหอะ 


 


 


กงอิ้นที่กำลังดื่มชาอยู่เกือบจะสำลักพรวดอึกหนึ่ง กลืนใบชาลงไปแล้ว… 


 


 


“พลั่ก” ขุนนางอ่อนวัยที่สืบค้นจนแทบล้มประดาตายตั้งแต่เริ่มจนจบมิอาจหากฎข้อบังคับที่โต้แย้งจิ่งเหิงปัวเจอ เขาครุ่นคิดจนหมดสติทั้งเป็นแล้ว 


 


 


… 


 


 


จิ่งเหิงปัวที่พลิกกลับมาชนะหนึ่งตาลำพองใจ พลิกมือไปข้างหลังทำสัญญาณชัยชนะให้กงอิ้น 


 


 


กงอิ้นนั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน มุมปากเชิดรัศมีโค้งแบบจำใจผืนหนึ่ง 


 


 


วาจาประโยคเดียวทำให้สองขุนนางกองพิธีการที่ถือกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่ที่สุดโกรธจนแทบสิ้นชีพ มีเพียงนางผู้ก่อความวุ่นวายนิสัยหน้าไม่อายผู้นี้สามารถทำได้ 


 


 


จิ่งเหิงปัวคว้ากระโปรงวางใหม่ให้ดีอีกครั้งแล้วเชิดคางขึ้น 


 


 


นางจงใจน่ะสิ เป็นไงล่ะ 


 


 


ประสบการณ์บนพรมแดงคือการวางอำนาจใส่นาง แล้วไหนเลยจะไม่ใช่ด่านแรกที่นางเองอยากจะท้าทาย 


 


 


รู้แต่แรกแล้วว่ากฎเกณฑ์ต้าฮวงยิ่งใหญ่ ราชินีคล้ายแม่หม้ายน้อยที่สามีตายไปแล้ว นางจะไม่เป็นราชินีนี้ ถ้าจะเป็นก็จะไม่อดทนอดกลั้นไม่มีปากมีเสียง ถูกข้อบัญญัติมากมายไม่มีเหตุผลนั้นผูกมัดไว้แน่นอน 


 


 


วันนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น โจมตีไม่กี่คนนั้นที่เรียกร้องพิธีการระดับสูงสุดจนสลบไสลไปก่อน พวกเขาจะได้ไม่กลั่นแกล้งนางในพิธีเฉลิมฉลองไปเรื่อยน่ารำคาญ หลังจากนั้น ถ้ามีพวกพลิกตำราหนังสือจนทั่วมาอีก พี่ยังรับไหว! 


 


 


  


 


 


 


 


 


[1] ป้ายฮู่ คือแผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ ขุนนางจะใช้สองมือยกป้ายฮู่ขึ้นสูงระดับหน้าตอนถวายรายงาน  

 

 


ตอนที่ 54 - 2 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

 

บนเวทีสูงเงียบสงบ เดิมทีขุนนางกองพิธีการยังต้องอธิบายประวัติศาสตร์ต้าฮวงอีกมากมายและอธิบายคุณูปการของผู้ปกครองที่ปรีชาสามารถแต่ละสมัยในอดีต ยามนี้ล้มลงไปต่อกันสองท่านจึงไม่มีผู้ใดมีกะจิตกะใจจะกล่าววาจายาวยืดแล้ว ผู้ชราหมวกสูงที่ใบหน้าเ**่ยวย่นงามสง่าผู้หนึ่งออกจากแถวโดยพลัน โค้งคำนับเล็กน้อย เอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงได้รับความเมตตาแลภารกิจยิ่งใหญ่จากเบื้องบนให้ทรงสยบทั่วสารทิศ ฝ่ายกระหม่อมขอฝ่าบาททรงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ให้ขุนนางและราษฎรต้าฮวงของเราได้อาบไล้แสงพร่างพราวแห่งคุณธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ทุกคนพอเห็นผู้ชรานั้นออกมาต่างผุดเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใส ทยอยเอ่ยว่า “มหาปราชญ์ออกหน้าทดสอบด้วยตนเอง ต้องน่าชมเป็นแน่” 


 


 


สิ่งที่เรียกว่าปราชญ์คือตำแหน่งเกียรติยศรูปแบบหนึ่งของต้าฮวง โดยทั่วไปแล้วรับตำแหน่งโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลังเกษียณที่ดูแลมหาอำนาจหลายปี ความปราดเปรื่องโดดเด่นเป็นขุนนางสุจริต เสียงสรรเสริญในหมู่ราษฎรดียิ่ง คนเหล่านี้ตำแหน่งบริสุทธิ์สูงส่ง อิทธิพลและบารมีล้ำเลิศ เทียบได้กับท่านประธานผู้มีชื่อเสียงในปัจจุบันเทือกนั้น 


 


 


จิ่งเหิงปัวฟังวาจาสุภาพเรียบร้อยประโยคหนึ่งนี้ คาดเดาต่างๆ นานาว่าคงจะให้นางแสดงความสามารถเพื่อพิสูจน์ว่า “มีคุณธรรมความสามารถสำหรับเป็นราชินีหรือเปล่า” ล่ะมั้ง 


 


 


เพียงแต่การทดสอบที่ขังอยู่ในห้องมืดแบบนี้จะมีผลลัพธ์ยุติธรรมได้จริงหรือ คนที่ไม่ชอบนางกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่านางจะทำอย่างไรล้วนตัดสินว่าคะแนนติดลบไล่ออกไป นางยังมีจุดจบที่ดีเหรอ 


 


 


“ในเมื่อเป็นการทดสอบ จะหลบๆ ซ่อนๆ ขนาดนี้ทำอะไร” นางกระหวัดนิ้วมือพลางกล่าวว่า “ไม่กลัวโกงหรือ” 


 


 


“ฝ่าบาททรงหมายถึง…” ใบหน้าของมหาปราชญ์แข็งทื่อ 


 


 


“จะทดสอบก็ทดสอบอย่างเปิดเผย! จะชมทุกคนก็ชมด้วยกัน!” จิ่งเหิงปัวสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งทันที กล่าวเสียงดังว่า “เปิด!” 


 


 


เสียงสวบเสียงหนึ่งดังขึ้น ม่านกั้นหลากสีผืนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้านางพอดีร่วงลงมาจากราวดังพึ่บพั่บ แสงอาทิตย์ผ่องอำไพกลุ่มหนึ่งสาดเข้ามา 


 


 


เสียงร้องเสียงตะโกนของราษฎรที่แออัดอยู่ด้านนอก รอคอยอยู่ตรงหน้าม่านกั้นหลากสี แทบจะพุ่งเข้ามาปานคลื่นธารโดยพลัน 


 


 


“เหล่าราษฎรของข้า!” จิ่งเหิงปัวยื่นมือทอดไปยังฝูงชนดำขลับเบื้องล่างพลางกล่าวว่า “เจิ้นไม่เพียงแต่เป็นราชินีแห่งราชสำนัก ราชินีแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่า แต่ยังเป็นราชินีของพวกเจ้า! เจิ้นจะรับผิดชอบราชสำนัก รับผิดชอบขุนนาง แต่ยังจะรับผิดชอบราษฎรต้าฮวงนับหมื่นหมื่นคน! ปลดม่านกั้นบ้าบอพวกนี้ลง เจิ้นอนุญาตให้พวกเจ้ายืนดูการทดสอบครั้งหนึ่งนี้อยู่ข้างๆ! ข้าคู่ควรจะเป็นราชินีหรือไม่ พวกเจ้า…” นางชี้ไปยังฝูงชน กล่าวต่อไปว่า “เป็นผู้ตัดสิน!” 


 


 


ราษฎรร้องเฮเสียงหนึ่งดุจถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง…ต้าฮวงสถาปนาแคว้นหลายร้อยปี มวลชนสำนึกตนว่าอยู่ในชนชั้นใต้ปกครอง อดกลั้นความไม่เสมอภาคหลากหลายรูปแบบจนเคยชิน ไม่เคยมีผู้ให้ความสำคัญกับพวกเขาเลย ไม่เคยมีผู้รับฟังความเห็นของพวกเขาเลย ไม่เคยมีผู้นำความคิดประเภท “ไพร่ฟ้าสำคัญ บ้านเมืองด้อยค่า” นั้นถ่ายทอดสู่ในใจพวกเขาเลย สิ่งที่ขวางกั้นมวลชนไม่เพียงแค่ม่านกั้นผืนหนึ่งแต่คือรั้วแห่งชนชั้นที่มิอาจสั่นคลอนในหลายร้อยปีมานี้ 


 


 


ทว่าราชินีองค์ใหม่ในวันนี้ แต่ละกิริยาวาจาเปี่ยมด้วยแสงรุ่งโรจน์แห่งอิสรเสรีและเสน่ห์โดยธรรมชาติ ดุจสายลมสดชื่นแลสว่างไสวสายหนึ่งพลันพัดผ่านในดวงใจของราษฎรต้าฮวง พัดพาความเคยชินเลวร้ายประเพณีคร่ำครึไปด้วย เปลี่ยนแปลงเป็นคลื่นความคิดปรารถนาจะตัดสินใจเองลูกใหม่ 


 


 


“ปลดพวกมันลง! ฝ่าบาทตรัสว่าปลดพวกมันลง!” แทบจะโดยพลัน ราษฎรนับมิถ้วนก็กระโดดขึ้นมา ข้ามผ่านองครักษ์ที่ขัดขวาง ปลดม่านกั้นหลากสีที่ห้อยสยายบนที่สูงเหล่านั้นลง 


 


 


ในฝูงชนกลุ่มของอีชีกระทำอย่างทุ่มเทเต็มที่…พวกเขาลอยล่องบนที่สูง ปลายเท้าเตะเพียงครั้ง ม่านกั้นหลากสีกว้างเกือบจั้งผืนหนึ่งก็ร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ 


 


 


“ภรรยาข้าเอ่ยว่าจะเก็บผ้าม่าน” อีชีเอ่ยกับองครักษ์ที่ขัดขวางอย่างจริงจัง 


 


 


“ฝนตกฟ้าร้องเก็บเสื้อผ้าด้วย!” เหล่าผู้มีฝีมือสูงตะโกนอย่างเบิกบานว่า “ผู้ใดเก็บได้ว่องไวผู้นั้นสมรสกับนาง!” 


 


 


… 


 


 


ม่านกั้นหลากสีที่ล้อมเวทีรอบด้านร่วงลงจนสิ้น แสงอาทิตย์สาดส่องแพรวพราวกว้างขวาง กำแพงไร้รูปร่างด้านหนึ่งซึ่งขวางกั้นระหว่างราษฎรและชนชั้นสูงนั้นถูกทำลายอย่างเยือกเย็นเป็นครั้งแรก 


 


 


สีหน้าของฝูงขุนนางหลากหลายยิ่งนัก…ท่าทางของจิ่งเหิงปัวเร็วเกินไป ไม่มีเวลาให้ทุกคนคัดค้านโดยสิ้นเชิง การใช้พลังเคลื่อนย้ายปลดม่านกั้นหลากสีที่นางเผยให้เห็นครั้งหนึ่งนั้นทำให้ทุกคนตื่นตะลึงเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากเริ่มครุ่นคิด ราชินีมีวรยุทธลึกล้ำหรือ 


 


 


จิ่งเหิงปัวมองดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แท้จริงแล้วหางตาเพ่งไปที่กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีตลอดเวลา 


 


 


นางพบว่ากงอิ้นไม่ค่อยใส่ใจการกระทำของนางเท่าไร ทว่าบางครั้งสายตาเฉียดผ่านหน่วยองครักษ์รอบด้านกลางฝูงชน ส่วนเหยียลี่ว์ฉีจ้องกงอิ้นเขม็งโดยตลอด ความสนใจที่มีต่อกงอิ้นคล้ายจะมากกว่าความสนใจที่มีต่อนางเสียอีก 


 


 


เหมิงหู่เดินไปข้างกายกงอิ้นอย่างเงียบเชียบ หางตาของกงอิ้นวูบไหวลอยล่องไป เหมิงหู่พยักหน้าเพียงน้อยจนแทบมองไม่ออก  


 


 


ทุกสิ่งพร้อมแล้ว รับมือสถานการณ์ตลอดเวลา  


 


 


เหยียลี่ว์ฉีดีดนิ้วแผ่วเบา องครักษ์ที่สัปหงกผู้หนึ่งข้างกายเขายื่นศีรษะเข้าไปคล้ายมิได้ตั้งใจแลคล้ายกำลังหาว ทว่ายื่นปากไปยังข้างหูเขา 


 


 


“ใต้เท้า” องครักษ์กระซิบว่า “ข้างล่างรายงานขึ้นมาแล้ว กงอิ้นมีความเคลื่อนไหวผิดปกติจริงแท้ เขาโยกย้ายหลงฉีกับคั่งหลง สายสืบจอมอุบายวันนี้ก็ทุ่มเทกำลังรุกเคลื่อนพลขอรับ” 


 


 


สายตาของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านด้วยรอยยิ้มสายหนึ่งคล้ายอยู่ในการคาดการณ์ แลคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย 


 


 


“นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำจริง…” เขาทอดถอนใจเพียงน้อย ทว่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยพลัน เอ่ยสืบต่อว่า “ในเมื่อเขาอยากจะกระทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินสักหน่อย พวกเราก็จับจ้องให้มั่นสักนิด รอจับผิดเขาก็พอ” 


 


 


“ขอรับ” 


 


 


“อีกทั้ง…” สายตาของเหยียลี่ว์ฉีเฉียดผ่านกลางฝูงชน ที่นั่นมีสายตาเยือกเย็นโกรธแค้นสายหนึ่งติดตามเขาโดยตลอด ผู้นั้นคือผู้นำของเผ่าจั๋นอวี่ บิดาของจั้นเจวี๋ยนามจั้นซิน 


 


 


“ชราแล้วไม่ยอมสิ้นชีพคือผู้ชั่วช้า…” เขาพึมพำ สายตาปะทะกับจั้นซิน ภายใต้สายตาโกรธแค้นของอีกฝ่ายจ้องเขม็ง เขาผุดเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาแลสุภาพอ่อนโยน 


 


 


“รีบเร่งถลึงตา หากไม่ถลึงตาประเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสแล้วนะ…” 


 


 


องครักษ์ที่สัปหงกอย่างเกียจคร้านพลันหดลำคอกลับไป คล้ายว่านอนหลับไปอีกครั้ง ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่ เงาร่างซบอยู่อย่างไม่สะดุดตานั้นของเขาก็หายไปจากข้างกายเหยียลี่ว์ฉี… 


 


 


ล่างเวทีสายลมสายคลื่นลอบสาดซัด บนเวทีกำลังยกตนข่มท่าน 


 


 


จิ่งเหิงปัวปลดม่านกั้นหลากสีลงโดยไม่ได้ปรึกษา ทำให้เหล่าขุนนางรับมือไม่ทัน แอบรู้สึกได้เลือนรางถึงความเผด็จการที่กระทำสิ่งใดไร้ลำดับของราชินีองค์ใหม่ จากนั้นเหล่าขุนนางจึงรู้สึกว่า ทำเช่นนี้ย่อมมีข้อดีของการทำเช่นนี้ คนเยอะความกดดันมาก ภายใต้สถานการณ์ที่มีผู้คนมากมายความพ่ายแพ้ของนางจะยิ่งอัปยศอดสูขึ้น ยิ่งมิอาจหวนคืนมากยิ่งขึ้น 


 


 


มหาปราชญ์คุกเข่านั่งฝั่งตรงข้ามของจิ่งเหิงปัว เริ่มไถ่ถามอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย 


 


 


“ทูลถามฝ่าบาททรงมีความสามารถพิเศษใดแสดงให้ประจักษ์พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จิ่งเหิงปัวเท้าแก้ม กล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่าสิ่งใดคือความสามารถพิเศษ” 


 


 


ปราชญ์ไตร่ตรองชั่วครู่ 


 


 


“ฝ่าบาททรงมีฝีมือวรยุทธหรือไม่ พลังวรยุทธที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่จะทำให้ขุนนางและราษฎรรู้สึกว่าได้รับการปกปักรักษาพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ไม่มี! สตรีนางหนึ่งรบราฆ่าฟันจะน่าชมหรือ การฝึกวรยุทธจะทำให้ผิวพรรณนุ่มนวลของข้าเสียหาย!” 


 


 


“ฝ่าบาททรงแต่งบทกลอนบทกวีเป็นหรือไม่ ความรู้ความสามารถที่ล้ำเลิศจะสามารถชี้นำขุนนางและราษฎรไปสู่ทิศทางข้างหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“โนจั้วโนดาย[1] ข้ารู้สึกว่ากลอนประโยคนี้ดียิ่งนัก ถ่ายทอดสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ เหล่าขุนนางและราษฎร โดยเฉพาะพวกเจ้าพอฟังแล้วก็จะไม่รนหาที่ตายอีกแล้ว” 


 


 


“…ฝ่าบาทวาจาลึกซึ้ง ขอทรงอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“สติปัญญาที่อยู่เหนือกาลเวลานับร้อยนับพันปีน่ะ ลิขิตของเจ้ามิอาจหวนคืน” จิ่งเหิงปัวทอดถอนใจ กล่าวว่า “ช่างเถิด เอ่ยภาษามนุษย์ ไม่เป็น! ข้อต่อไป!” 


 


 


“ฝ่าบาทเชี่ยวชาญหนังสือนโยบายหรือไม่ จักรพรรดิผู้ชำนาญเหตุการณ์ปัจจุบันสามารถมอบนโยบายบริหารปกครองแคว้นที่แจ่มแจ้งที่สุดให้แคว้นพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หนังสือนโยบายคือสิ่งใดหรือ ข้าน่ะมีคัมภีร์บ้ากามที่ยอดเยี่ยมเล่มหนึ่ง จัดแบ่งพ่อรูปงามทั่วโลกหล้าเป็นสี่ประเภทใหญ่สิบหกประเภทย่อย จัดลักษณะพิเศษที่พ่อรูปงามแต่ละสายมีเป็นข้อๆ อย่างละเอียดยิ่งนัก แลดำเนินการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์แบบจากแง่มุมราศี นักษัตรเป็นต้น…ช่างเถิดเจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ทำอะไร ไม่เชี่ยวชาญ! ข้อต่อไป!” 


 


 


“ฝ่าบาทเข้าใจตำราพิชัยสงครามหรือไม่ พลังการทหารที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่คือพื้นฐานของการสถาปนาแคว้นแคว้นหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ในสามสิบหกกลยุทธ์หนีคือสุดยอดกลยุทธ์นับหรือไม่” 


 


 


… 


 


 


 


 


 


[1] โนจั้วโนดาย NOZUONODIE มาจากประโยคว่า 不作死就不会死 หมายถึง หากไม่รนหาที่ตายย่อมอยู่รอด  

 

 


ตอนที่ 54 - 3 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

 

เหล่าขุนนางด้านล่างเวทีผุดเผยรอยยิ้มเสียดสีที่เป็นไปตามคาด


 


 


เป็นผู้ไม่เป็นโล้เป็นพายจริงแท้


 


 


ราษฎรที่ยิ่งไกลออกไปกลั้นลมหายใจตั้งใจฟัง ท่าทางเคารพเลื่อมใสโดยตลอด สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่เกี่ยวกับอำนาจของกษัตริย์ในฐานะของราษฎร ย่อมมีความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเป็นธรรมดา ยามนี้ฝูงชนที่เงียบสงบนี้ยังเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย


 


 


ไม่ได้ไม่เป็นเป็นชุดๆ วาจาพิกลพิการเป็นชุดๆ ความตื่นเต้นที่เกิดด้วยเพราะราชินีองค์ใหม่มิคล้ายผู้ใดในยามแรกค่อยๆ หายเป็นปกติ ราษฎรเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม


 


 


อย่างไรเสีย ความสดใหม่เป็นเพียงชั่วครู่ จักรพรรดิล้ำเลิศองค์หนึ่งถึงจะสอดคล้องกับการเฝ้ารอคอยราษฎรยิ่งกว่า


 


 


ความผิดหวังของราษฎรอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางเช่นกัน อดจะเผยรอยยิ้มยิ่งเบิกบานไม่ได้…นี่ถึงจะเรียกว่าราชินีองค์ใหม่รนหาที่ตายเองล่ะ! เดิมทีการทดสอบที่ปิดอยู่ในม่านมืด ผ่านหรือไม่พวกเขายังดูด้วยอารมณ์ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นราชินีหุ่นเชิดนางหนึ่ง หากนางยอมอ่อนข้อให้อย่างยิ่งใหญ่สักหน่อยก็ไม่ใช่ว่าจะให้นางขึ้นครองราชย์ไม่ได้ ทว่านางต้องการจะตีแผ่เรื่องราวกลางวันแสกๆ ไม่มีความสามารถที่แท้จริงทว่าคิดเพ้อเจ้อว่าจะได้การสนับสนุนจากราษฎร ฝันไปเถิด!


 


 


ยังมีผู้ตื่นเต้นดีใจเช่นเคย เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น


 


 


“ภรรยาข้านางพิเศษยิ่ง! ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง!” อีชีเอ่ย


 


 


มหาปราชญ์ที่ไต่ถามบนเวที สีหน้ายิ่งดำคล้ำขึ้น หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น น้ำเสียงยิ่งจำใจผิดหวังมากขึ้น


 


 


ก้นบึ้งของหัวใจปราชญ์ไร้ความเห็นแก่ตน แลไม่เป็นของพรรคพวกใด ทว่าส่วนน้อยหวังด้วยใจจริงว่าความสามารถของราชินีเทียบได้กับหนึ่งในขุนนางที่โดดเด่น


 


 


“เช่นนั้นฝ่าบาททรงงานฝีมือสตรีเย็บปักถักร้อยได้หรือไม่ นี่น่ะเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสตรีนะพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“มองนิ้วมือนี้ของข้าสิ เจ้าหักใจให้ถูกเข็มทิ่มได้หรือ” จิ่งเหิงปัวแผ่นิ้วมือสิบนิ้วขาวบริสุทธิ์ออกมา ทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยรักใคร่สงสาร


 


 


“ฝ่าบาททรงมีฝีมือทําอาหารหรือไม่ ทรงทำงานบ้านได้หรือไม่ ไม่ว่าจะอย่างไรหลังพระองค์อภิเษกสมรสย่อมต้องปฏิบัติภาระหน้าที่ภรรยาได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“สตรีผู้งดงามประณีตประหนึ่งข้าย่อมควรจะสิบนิ้วไม่เคยแตะต้องงานบ้านงานเรือน! เป้าหมายของข้าคือหาบุรุษผู้ทำอาหารเป็น” จิ่งเหิงปัวเศร้าเสียใจ กล่าวต่อไปว่า “พวกเจ้าหักใจให้ไอควันในห้องครัวรมข้าได้หรือ!”


 


 


กงอิ้นชำเลืองตามองนางปราดหนึ่ง…รอประเดี๋ยวต้องคุมตัวนางเข้าห้องครัวให้ได้ อีกทั้ง ต้องสังหารชนชั้นสูงที่ทำอาหารเป็นทิ้งจนสิ้น


 


 


เหยียลี่ว์ฉีลูบคาง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยกับองครักษ์ข้างกายว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี”


 


 


“หา”


 


 


“นางจะต้องสมรสกับข้าอย่างเป็นตายไม่ยอมเลิกราเป็นแน่”


 


 


“หา”


 


 


“ด้วยเพราะข้าทำกับข้าวเป็นไง…” เหยียลี่ว์ฉีทอดถอนใจ “มองไปรอบๆ ทั่วทั้งราชสำนักต้าฮวง บุรุษอันดับหนึ่งในโลกหล้าผู้ทำกับข้าวเป็นมีเพียงข้าผู้เดียวไง!”


 


 



 


 


ในฝูงชนอีชีเกาศีรษะแกรก เอ่ยว่า “เจ้าสี่ ที่เจ้านั้นได้ยินว่ามีตำราอาหารชาววังหรือ ประเดี๋ยวให้ข้ายืมหน่อย”


 


 



 


 


“ฝ่าบาททรงร้องรำระบำเพลงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ถามความสามารถพิเศษที่ถามได้จนสิ้น มหาปราชญ์สีหน้าอึมครึม สืบค้นแทบล้มประดาตาย ถามความสามารถพิเศษสิ่งสุดท้ายที่ไม่คิดว่าเป็นความสามารถพิเศษเช่นนั้นเลยออกมา เอ่ยสืบต่อว่า “แน่นอนว่า ระบำขยับพระวรกายไปมาใดๆ ล้วนไม่อนุญาตราชินีทรงแสดง ราชินีทรงแสดงได้เพียงระบำเทพประทานที่จริงจังเคร่งขรึม ราชินีลำดับที่สามสิบแปดทรงเคยเชี่ยวชาญระบำเซ่นไหว้ ราชครูในยามนั้นโชคดีที่ได้เชยชมท่วงท่าระบำเคร่งขรึมแลทั้งงดงามของพระนาง จึงแต่งบทกลอนบันทึกไว้เพื่อระบำนี้ นับว่าเป็นเรื่องดีงามช่วงหนึ่งที่สืบทอดมานับร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เรื่องดีงาม เรื่องดีงามน้องสาวแกสิ!


 


 


ร่ายระบำเบื้องหน้าข้าราชบริพาร ขุนนางยังเขียนบทกลอนน้ำเน่าได้ ทำไมเปี่ยมด้วยเดจาวูของเพลงบรรเลงหอคณิกา นี่มันราชินีหรือว่าโสเภณี


 


 


“ระบำรูดเสานับหรือไม่ ระบำลานกว้างนับหรือไม่ ระบำฮาวายนับหรือไม่…” จิ่งเหิงปัวมองดูใบหน้ายิ่งดำคล้ำขึ้นของอีกฝ่าย โบกมือพลางกล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่ได้ ข้อต่อไป!”


 


 


สีหน้าผิดหวังของราษฎรเบื้องล่างยิ่งรุนแรงขึ้น มีผู้เริ่มจากไปอย่างเงียบเชียบ


 


 


“อีชี เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสมรสกับภรรยาเช่นนี้”


 


 


“แน่ใจสิ ดียิ่งนัก ข้าอยากชมระบำฮาวายเหลือเกิน”


 


 



 


 


“ทูลฝ่าบาท” บนใบหน้าปราชญ์เปี่ยมด้วยสีหน้าเสียดสีรุนแรง เอ่ยว่า “ความสามารถที่ราชินีทุกพระองค์ทรงควรมี รวมทั้งความสามารถพิเศษพื้นฐานที่สตรีควรกระทำได้ กระหม่อมต่างได้ทูลถามพระองค์แล้ว ความสามารถมหัศจรรย์เฉกเช่น โยกภูผาย้ายมหาสมุทร เรียกลมเรียกฝน หนึ่งวันพันลี้ โบกมือฟาดอสนีบาตที่ยากยิ่งกว่านี้ ดูท่าพระองค์คงทรงกระทำมิได้เช่นกัน จึงมิต้องไถ่ถามแล้วพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“หลายสิ่งที่เจ้าเอ่ยภายหลังเหมือนว่าข้าจะทำได้…” จิ่งเหิงปัวถอนใจพึมพำ


 


 


ไม่มีใครสนใจนาง


 


 


มหาปราชญ์แค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง มองจิ่งเหิงปัวอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อหันกายไปอย่างรุนแรง ส่ายหน้าให้เหล่าขุนนางก่อน จากนั้นเอ่ยกับเหล่าราษฎรที่ใบหน้าผุดเผยสีหน้าผิดหวังว่า “ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว พวกเจ้าไร้อำนาจเข้าร่วมการลงโทษราชินีในลำดับถัดไป”


 


 


ราษฎรเปล่งเสียงถอนใจจ้อกแจ้กจอแจ ทว่าหยุดยั้งไม่ยอมจากไปเช่นเคย


 


 


จิ่งเหิงปัวกะพริบตา เอ๋ นี่จะคุยเรื่องลงโทษแล้วเหรอ ไม่มีความอดทนเกินไปหน่อยมั้ง


 


 


“ข้าคิดว่า” ชายชราผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวหน้าฝั่งขวาด้านล่างเวทีค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ราชินีทรงไร้ความสามารถ มวลชนต่างได้ประจักษ์ มิจำเป็นต้องปรึกษาหารืออีก ตามกฎแล้ว พระวรกายของราชินีกลับชาติมาเกิดควรสืบทอดความสามารถส่วนหนึ่งของราชินีองค์ก่อน ทว่าราชินีองค์ใหม่ชัดแจ้งว่าทรงมิได้สืบทอด ผู้ชราคิดว่าสตรีนางนี้มิใช่พระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี เสนอให้เนรเทศสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย”


 


 


เบื้องล่างเวทีมีเสียงฮือฮาเป็นแผ่นผืน ผู้คนจำนวนมากมีสีหน้าหวาดกลัว จิ่งเหิงปัวหรี่ตา…นี่มันที่ไหนกัน ฟังดูน่ากลัวจัง


 


 


นางจ้องมองชายชรานั้น รู้สึกว่าเขาคุ้นหน้าโดยตลอด แต่ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน


 


 


ฮูหยินวัยกลางคนท่าทางสุภาพเยือกเย็นนางหนึ่งตรงข้ามชายชรายิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเซวียนหยวนเมตตากรุณา ว่ากันตามจริงสตรีนางนี้แอบอ้างเป็นพระวรกายกลับชาติมาเกิดของราชินี หลอกลวงขุนนางและราษฎร ควรจะประหารชีวิตโดยพลันถึงจะถูกต้อง”


 


 


ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบปริบๆ แย่แล้ว หน่วยความจำของนางมีปัญหาแล้วหรือเปล่า ทำไมมองสตรีนางนี้แล้วรู้สึกว่าคุ้นหน้าด้วยล่ะ


 


 


“เนรเทศลุ่มน้ำเฮยสุ่ยคงจะเทียบได้กับประหารชีวิตเช่นกัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้น ขอเชิญใต้เท้าราชครูฝ่ายขวาให้คำอธิบายแก่บรรดาขุนนางสำหรับเรื่องนี้” ชายชราหันหน้าเพียงครั้งชี้ไปทางกงอิ้น


 


 


วาจาเอ่ยอย่างเกรงใจทว่าความหมายชัดแจ้งยิ่งนัก ราชินีไร้ความสามารถไม่ถูกยอมรับเป็นพระวรกายกลับชาติมาเกิด เช่นนั้นย่อมเป็นสินค้าแอบอ้าง ราชครูฝ่ายขวากงอิ้นผู้นำพาสินค้าแอบอ้างมาไกลโพ้นพันลี้ ซ้ำยังทําเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ กระทบทั่วทั้งแคว้นต้าฮวงให้ต้อนรับไกลโพ้น ย่อมยากจะพ้นคำครหาเป็นธรรมดา


 


 


ทั้งด้านบนทั้งด้านล่างเวทีค่อยๆ เงียบสงบลงมา ทุกคนมีสีหน้าหนักแน่น


 


 


ผู้ใดต่างรู้ว่าด้วยเพราะมีองค์ประกัน ณ ตี้เกอในยามนี้ แม้ว่าในใจหกแคว้นแปดชนเผ่าต่างมีความไม่พอใจทว่าท่าทางภายนอกต่างเชื่อฟังกงอิ้น ส่วนในราชสำนัก ขุนนางที่สนับสนุนกงอิ้นและสนับสนุนเหยียลี่ว์ฉีต่างแบ่งเป็นฝักฝ่าย พรรคหนุ่มสาวและพรรครากหญ้ากว่าครึ่งคือผู้ใต้บัญชาที่จงรักภักดีของกงอิ้น ส่วนตระกูลขุนนางเก่าแก่และตระกูลผู้ดีบรรดาศักดิ์ย่อมเลือกราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีผู้สืบฐานะมาจากตระกูลขุนนางนับร้อยปีเช่นเดียวกันเป็นธรรมดา


 


 


ชายชราและฮูหยิน ผู้หนึ่งคือตัวแทนของตระกูลขุนนางผู้ดีเก่าแก่ ตระกูลเซวียนหยวนที่เคยมีรองอัครมหาเสนาบดี[1]ถึงเจ็ดท่านในวงศ์ตระกูล อีกผู้หนึ่งคือผู้นำตระกูลซังซึ่งเป็นตระกูลกองเซ่นไหว้โดยเฉพาะ บุตรีคนโตแต่ละสมัยในอดีตต่างรับตำแหน่งผู้นำเซ่นไหว้แห่งวังหลวง ตำแหน่งจำกัดเฉพาะราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา หลังจากกงอิ้นกุมอำนาจได้สับเปลี่ยนโยกย้ายรองเสนาและลอยแพการเซ่นไหว้ ยามนี้สองตระกูลใหญ่ต่างออกวาจาอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่ายินยอมติดตามราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉี


 


 


สองตระกูลออกหน้าจัดพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จราชินีก่อนผู้ใด


 


 


ยามเผชิญหน้าการต่อต้าน กงอิ้นกลับยังคงไร้ซึ่งสีหน้าท่าทาง ดื่มชาในมือจนเสร็จอย่างสุขุมแล้ววางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา


 


 


ยามเขาวางถ้วยชาลง จัตุรัสที่แต่เดิมโหวกเหวกโวยวายพลันเงียบเชียบจนเข็มหล่นยังได้สดับฟัง


 


 


คำตอบของกงอิ้นยังคงอุปนิสัยตลอดมาของเขาดังคาดการณ์ เรียบง่ายจนเกือบจะเผด็จการ


 


 


“ราชินีเป็นตัวจริง” เขาเอ่ย


 


 


“เหตุใดจึงไร้ซึ่งความสามารถ” สตรีงามวัยกลางคนซักถามโดยพลัน


 


 


“ไม่แสดงความสามารถต่อผู้ต่ำต้อย” กงอิ้นไม่มองนางแม้แต่ปราดเดียว


 


 


คนฝูงหนึ่งโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ สตรีงามวัยกลางคนกลับไม่เกิดโทสะ แย้มยิ้มพริ้มพรายเอ่ยว่า “ใช่แล้ว วาจาที่ราชครูเอ่ยมามีเหตุผล ในเมื่อราชครูคิดว่าราชินีทรงไม่เต็มใจจะแสดงความปราดเปรื่องเต็มท้องของพระนางต่อฝ่ายข้าผู้ต่ำต้อย เช่นนั้นลำดับถัดไปราชครูจะเอ่ยว่าทูลเชิญราชินีเสด็จกลับวัง รอให้พระนางทรงอารมณ์ดีแล้ว อยากทรงแสดงค่อยแสดงใช่หรือไม่ เรื่องทรงอารมณ์ดีนี้ อาจจะเป็นสิบปี หรืออาจจะเป็นร้อยปีหรือ”


 


 


น้ำเสียงนางเสียดสี ดวงตาของกงอิ้นไม่กะพริบด้วยซ้ำ


 


 


“เช่นนั้นย่อมดีแน่” เขาเอ่ย


 


 


“ราชครูกำลังเข้าข้างอย่างโจ่งแจ้งหรือ” อีกฝ่ายบีบบังคับทีละก้าวละก้าว


 


 


กงอิ้นมองนางปราดหนึ่ง สายตาบริสุทธิ์แวววาวดุจสายธารในแพน้ำแข็ง


 


 


“เช่นนั้นเจ้ากำลังยั่วยุอย่างโจ่งแจ้งหรือ” เขาเอ่ย


 


 


จิ่งเหิงปัวที่ไร้ซึ่งสำนึกในความอันตราย นั่งชมเรื่องสนุกสนานอยู่ด้านหนึ่งเกือบจะตบโต๊ะร้องเยี่ยม!


 


 


ราชครูเท่ระเบิดเจิดจ้าบ้าอำนาจหยิ่งทระนง!


 


 


ผู้นำตระกูลซังถูกขัดคอจนสำลักอากาศครั้งหนึ่ง อยากจะเอ่ยว่าใช่ทว่าไม่กล้า สายตาบึ้งตึงของคนนับไม่ถ้วนบีบบังคับเข้ามาแล้ว อยากจะเอ่ยว่าไม่ใช่ทว่าไม่พอใจ สีหน้าบิดเบี้ยวจนเขียวคล้ำในฉับพลัน


 


 


เสียงหนึ่งกระแอมไอ ในที่สุดเหยียลี่ว์ฉีได้ปริปากแล้ว


 


 


“ใต้เท้าเซวียนหยวน เจ้ากองหญิงซัง” เขาเอ่ยสืบต่อว่า “วาจาที่ราชครูกงเอ่ยคล้ายจะมีเหตุผล ราชินีทรงมิอาจแสดงความสามารถก็อาจจะมีเหตุผลหลายแบบน่ะ อาจจะเพราะทรงตื่นเต้น อาจจะเพราะทรงหวาดกลัว อาจจะเพราะทรงอารมณ์ไม่ดี หรืออาจจะด้วยเพราะเมื่อคืนบรรทมไม่หลับ”


 


 


เขาเอ่ยถึงคำว่านอนหลับ พลางกะพริบตาให้จิ่งเหิงปัว


 


 


จิ่งเหิงปัวตอบกลับด้วยสายตาเหยียดหยาม…สีหน้าก่อกวน!


 


 


ทุกคนต่างประหลาดใจขึ้นมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเหยียลี่ว์ฉีจึงช่วยกงอิ้นเอ่ยวาจาแล้ว เพียงแต่กงอิ้นไม่หวั่นไหวแม้มีสิ่งใดกระทบ นิ้วมือที่พาดอยู่หลังกายงอขึ้นเพียงน้อย จากนั้นเหมิงหู่ที่อยู่ด้านล่างเวทีจึงซ่อนแฝงเข้าไปในฝูงชน


 


 


“หรือว่าอาจจะเพราะทรงหวาดกลัวกลิ่นอำนาจไอดุร้ายของราชครูกง” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฉะนั้น เปิ่นจั้ว[2]เสนอให้ชะลอการดำเนินการลงโทษเนรเทศราชินีสู่ลุ่มน้ำเฮยสุ่ย ทว่าในเมื่อพระสถานะของราชินีมีข้อสงสัยชั่วคราวย่อมมิอาจสืบราชสันตติวงศ์ อาจให้ประทับ ณ ตำหนักปีก เจ้ากองหญิงซังกับใต้เท้าเซวียนหยวนรับผิดชอบดูแลพระราชจริยวัตรของราชินีร่วมกัน ก่อนพระสถานะของราชินีจะเป็นที่ประจักษ์ ห้ามให้ทรงเข้าพบขุนนางและราษฎรอีก ว่าอย่างไร”


 


 


เขาหันกายกึ่งหนึ่งซ้ำยังยิ้มแย้มพลางเอ่ยวาจาเปี่ยมด้วยความรู้สึกเสียใจกับกงอิ้นว่า “เดิมทีควรจะเป็นราชครูกงส่งผู้ถวายงานดูแลราชินี ทว่าด้วยเพราะพระสถานะของราชินียังมีข้อสงสัย อย่างไรเสียเจ้าเป็นผู้จัดการของเรื่องนี้ เรื่องนี้…ก่อนราชินีทรงได้รับการยอมรับ คล้ายไม่ค่อยสะดวกหากเจ้ายังเป็นผู้ควบคุมเรื่องราวของราชินีอีก…”


 


 


เซวียนหยวนจิ้งกับซังต้งต่างยิ้มพรายแล้ว


 


 


ความคิดดี


 


 


เอ่ยอย่างอ้อมค้อมเกรงใจ แท้จริงแล้วไอสังหารทุกจังหวะก้าว


 


 


ไม่เนรเทศทว่ากักบริเวณ ส่งต่อมาสู่มือของพวกเขาย่อมเท่ากับควบคุมราชินีไว้แล้ว มีน้อยคนนักรู้ว่าตระกูลซังเชี่ยวชาญวิชาควบคุมจิตใจมนุษย์ พวกนางสามารถทำให้ราชินีองค์ใหม่ยอมรับว่านางแอบอ้างได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก ยอมรับว่ากงอิ้นจงใจปลอมแปลง แม้กระทั่งยอมรับว่ากงอิ้นสมคบคิดกับแคว้นอื่นยังเป็นไปได้


 


 


ข้อเสนอข้อนี้จะไม่ได้รับความไม่พอใจจากฝูงขุนนางพรรคพวกของกงอิ้นเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ต้อนรับราชินี การสังหารหรือเนรเทศราชินีจะกระทบศักดิ์ศรีของกงอิ้น การกักบริเวณฟังแล้วยอมรับได้ยิ่งนัก


 


 


 


 


 


 


 


[1] อัครมหาเสนาบดี เป็นชื่อเรียกอีกแบบหนึ่งของผู้ตรวจการแผ่นดิน


 


 


[2] สรรพนามใช้แทนตัวผู้พูด มีความหมายคล้ายคำว่า ข้าเอง 

 

 


ตอนที่ 54 - 4 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี

 

 


 


เบื้องหน้าการอ่อนข้อที่แลคล้ายอ่อนนุ่มเช่นนี้ หากกงอิ้นยังยืนหยัดปกป้องราชินีอย่างไร้เหตุผล ย่อมจะทำให้คนสงสัยเจตนารมณ์ของเขา สงสัยว่าเขามีความปรารถนาอื่นแอบแฝง


 


 


อย่างไรเสีย วงการขุนนางไร้ความจงรักภักดี ผู้คนเหล่านั้นที่จงรักภักดีต่อกงอิ้น ส่วนหนึ่งด้วยเพราะถูกเขาจับพิรุจไว้ได้ อีกส่วนหนึ่งเพราะหวาดกลัวต่อกำลังวรยุทธเกรียงไกรของเขา ผู้คนมากกว่านั้นฝากความหวังกับอำนาจและอนาคตของเขา พวกเขาหวังว่าจะสามารถติดตามกงอิ้นก่อตั้งกิจการยิ่งใหญ่ กลายเป็นขุนนางใหญ่ช่วยราชกิจแล้วค่อยไต่เต้าขึ้นไป


 


 


คนมากเพียงใดรอคอยให้กงอิ้นทุ่มเทกำลังให้ราชินี การปกป้องเข้าข้างของเขาจะต้องทำให้คนฉงนสนเท่ห์ผิดหวัง


 


 


“ประทับ ณ ตำหนักปีก ย่อมได้” กงอิ้นพยักหน้า ไม่รอให้เซวียนหยวนจิ้งกับซังต้งผุดเผยสีหน้าปรีดา เอ่ยโดยพลันว่า “อวี้จ้าวคั่งหลง!”


 


 


“ขอรับ!” มิรู้ว่ายามใดเบื้องล่างเวทีเต็มไปด้วยทหารอวี้จ้าวและคั่งหลงที่สวมเกราะเบาทั่วร่างแล้ว พวกเขาตอบรับกึกก้อง


 


 


“คุ้มกันองค์ราชินีเสด็จสู่ตำหนักปีกอวิ๋นไถโดยพลัน” กงอิ้นเอ่ยวาจารวดเร็วยิ่งนัก น้ำเสียงไร้ซึ่งข้อกังขา เซวียนหยวนกับซังต้งยังมิทันได้รู้สึกตัว ได้แต่เซ่อซ่าอยู่ตรงนั้น


 


 


“ขอรับ!” ทหารสองกองทัพพุ่งเข้ามาเบื้องหน้าด้วยฝีก้าวรวดเร็ว


 


 


“ช้าก่อน!” เหยียลี่ว์ฉีเข้าขวางโดยพลัน เอ่ยสืบต่อว่า “ขอให้ฝ่ายข้าเป็นคุ้มกันฝ่าบาทเสด็จ!”


 


 


“ไม่จำเป็น!” กงอิ้นไม่มองเขาแม้แต่น้อย


 


 


“ทหารเยียนซา!” เหยียลี่ว์ฉีมีนิสัยตัดสินใจเด็ดขาดเช่นกัน ร้องเสียงดังอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


 


“ราษฎร” กลุ่มหนึ่งซึ่งประชิดเบื้องหน้าสุดของเวทีสูงพลันถอดเสื้อนอก สะบัดอาภรณ์ไปบนพื้นแล้วพุ่งขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน


 


 


คนเหล่านี้สวมเกราะหนังครึ่งท่อน แขนสองข้างกำยำ ทหารกว่าครึ่งร่างกายสูงใหญ่ จมูกโด่งนัยน์ตาลึก รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากชาวพื้นเมืองต้าฮวง ท่าทางกล้าหาญระหว่างเคลื่อนไหว


 


 


“ทหารเยียนซา!” ราษฎรอุทานอย่างตื่นตะลึง ทยอยถอยหลัง ในสายตาเปี่ยมด้วยความรังเกียจ


 


 


เหล่าขุนนางผู้ดีแลกเปลี่ยนสายตาแฝงความหมายลึกล้ำครั้งหนึ่ง


 


 


เยียนซาคือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในนามตระกูลเหยียลี่ว์ จำนวนทหารไม่มากทว่าเลื่องชื่อด้วยกล้าหาญสันทัดในการรบ พี่น้องเหล่าทหารว่ากันว่าล้วนมาจากเผ่าประหลาดลึกลับ ณ สถานที่นามว่าเสินเฉี่ยน มีความเกี่ยวข้องที่สลับซับซ้อนกับตระกูลเหยียลี่ว์ที่มีสายเลือดเผ่าประหลาดเช่นกัน ในตำนานของต้าฮวง ผู้ที่ออกมาจากที่นั่นโหดเ**้ยมอำมหิตโดยกำเนิด ดั่งปีศาจกลับชาติมาเกิด เรือนร่างสกปรกมีราคี ฉะนั้นแต่ไหนแต่ไรมาจึงถูกมวลชนขับไล่


 


 


กองทัพกองนี้มีภาษา อักษรและวิธีการสื่อสารเป็นของตนเองโดยเฉพาะ ภักดีเพียงตระกูลเหยียลี่ว์ ไม่ได้รับผลกระทบจากอำนาจฝ่ายใด แลด้วยเพราะกองทัพกองนี้ดำรงอยู่ กงอิ้นที่กุมมหาอำนาจเพียงผู้เดียวจึงมิอาจกลืนกินควบคุมตระกูลเหยียลี่ว์ภายในระยะเวลาอันสั้น


 


 


ราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาที่ฝืนใจรักษาความสมดุลทว่าต่างโยกย้ายกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองในวันแรกที่รับขบวนเสด็จราชินี ปืนจริงดาบจริงปะทะเข้ามาแล้ว!


 


 


“ในเมื่อมอบฝ่าบาทให้ตระกูลซังดูแล ขอให้ทหารเยียนซาเป็นผู้คุ้มกันเสด็จไปยังตำหนักปีก!” ซังต้งร้องเสียงดัง


 


 


ผู้ใดต่างรู้ว่า ผู้ใดคุ้มกัน องครักษ์ตำหนักปีกในภายหลังจะมีผู้นั้นรับผิดชอบเป็นธรรมดา หากอวี้จ้าวคั่งหลงควบคุมการพิทักษ์รักษาพระราชนิเวศน์ ตระกูลซังอยากจะทำอะไรแทบจะเป็นไปไม่ได้


 


 


ซังต้งเดิมทีดีใจที่กงอิ้นตอบรับคำขอร้องของเหยียลี่ว์ฉีในคำเดียว ไม่นึกว่ากงอิ้นจะแก้ปัญหาที่ต้นตอ ลูกไม้หนึ่งนี้ร้ายกาจจริงแท้ หากไม่ใช่เพราะเหยียลี่ว์ฉีโต้ตอบรวดเร็ว พออวี้จ้าวคั่งหลงลงมือ การดีดลูกคิดรางแก้วของพวกนางก็เสียแรงเปล่าแล้ว


 


 


“เจ้าดูแล ข้าคุ้มกัน” กงอิ้นเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สถานที่สำคัญเช่นอวิ๋นไถ จะปล่อยให้อนารยชนดูหมิ่นได้อย่างไร!”


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนักโดยพลัน


 


 


เรื่องสายเลือดไม่ชัดเจนของทหารเยียนซาเป็นข้อห้ามที่มิอาจเอ่ยถึงของตระกูลเหยียลี่ว์มาโดยตลอด กงอิ้นกำลังตบหน้ากันต่อหน้าต่อตา


 


 


“อวี้จ้าวคั่งหลงเป็นสุนัขรับใช้ผู้ชั่วช้า แล้วจะปล่อยให้บันไดหยกแห่งราชสำนักด่างพร้อยได้อย่างไร!” เขาเชิดคิ้วยิ้มแย้ม ร้องเรียกทหารเยียนซาเสียงดังว่า “มาสิ ให้ทหารอวี้จ้าวผู้สูงส่งได้เห็นว่าโลหิตของพวกเขาแดงฉานเสียยิ่งกว่าอนารยชนหรือไม่!”


 


 


กึกก้องเสียงหนึ่ง ราษฎรร่นถอย ขุนนางแยกย้าย ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้าร่วมพิธีในนครรีบเร่งถอยออกจากที่นั่ง


 


 


สองทหารจะละเลงโลหิตบนปะรำพิธีแห่งนี้!


 


 


สถาปนาแคว้นต้าฮวงหลายร้อยปี ไม่เคยมีอันตรายเลวร้ายเช่นนี้!


 


 


ทหารเยียนซาแหงนหน้าคำรามเสียงยาว ช่วงไหล่สะบัดเพียงครั้ง แม้แต่เกราะหนังครึ่งท่อนยังโยนทิ้งไปเสียแล้ว ผืนอกสีน้ำตาลมันขลับรับกับปลายมีดในมือทหารอวี้จ้าวโดยตรง


 


 


อวี้จ้าวนับว่าเป็นกองทัพแห่งราชสำนัก ท่าทางโอหังอวดดีในกระดูกนั้นเป็นหนึ่งในโลกหล้า ต่างรู้สึกว่าเกียรติภูมิถูกยั่วยุ พวกเขาจับจ้องด้วยสายตาโกรธแค้น ชักดาบอย่างเปี่ยมพลังดังกังวาน!


 


 


คั่งหลงยิ่งเป็นกองทัพผ่านศึกที่โหดเ**้ยมอำมหิต ไม่หลีกถอยแม้แต่น้อย มีดเล่มใหญ่กวัดแกว่งขึ้นมาแล้ว คมมีดสว่างราวหิมะสอดประสานสลับซ้อนใต้แสงสะท้อนของพระอาทิตย์ สีขาวเข้มข้นปกคลุมบริเวณรอบนอกสามจั้งเป็นแผ่นผืน


 


 


ไอสังหารเคร่งขรึมกระทบกระแทกเ**้ยมหาญ คมมีดบาดผืนอกของทหารเยียนซาเบื้องหน้าสุดจนเป็นรอยโลหิตรอยหนึ่งแล้ว หอกยาวของทหารเยียนซาเปล่งเสียงสังหารเปี่ยมพลังดังกังวานอย่างต่อเนื่อง


 


 


ผู้คนทยอยหลบหลีก ไม่กล้าประชิดใกล้แม้สักน้อยนิด กลัวว่าพอสงครามเกิดขึ้นจะถูกคมมีดกระจัดกระจายทำให้บาดเจ็บ


 


 


ชั่วครู่ต่อมา โลหิตสาดกระเซ็นเจิ่งนอง!


 


 


เสียงสตรีเสียงหนึ่งเจือด้วยความเกียจคร้านทว่ามีความมหัศจรรย์เด็ดเดี่ยว ทลายไอสังหารเคร่งขรึมครู่หนึ่งนี้โดยพลัน


 


 


“หยุด!”


 


 


ทุกคนตกตะลึง เงยหน้าจับจ้อง


 


 


ราชินี!


 


 


องค์ราชินีผู้เป็นจุดสนใจที่ถูกแย่งชิง ผู้จุดชนวนเหตุการณ์ขึ้นมา หลังจากจุดชนวนเหตุการณ์แล้วยังถูกทุกผู้คนมองข้าม กลับกระโดดออกมาในช่วงเวลาสำคัญนี้


 


 


กระโดดออกมาแล้วจริงแท้


 


 


จิ่งเหิงปัวสะบัดองครักษ์ผู้หนึ่งซึ่งคิดจะขวางนางไว้ออกไปอย่างยากลำบากเล็กน้อย เบียดออกมาจากกลางฝูงชน


 


 


ทุกคนมองดูนางอย่างตื่นตะลึง อย่างไรย่อมคิดไม่ถึงว่าสตรีบอบบางนางหนึ่งเช่นนี้จะกล้าร้องให้หยุดยามนี้


 


 


ยามนี้บนเวทีมีมีดดาบทุกแห่งหน


 


 


ยามนี้ไอสังหารในบรรยากาศเข้มข้น ทำให้คนมิกล้าเข้าใกล้


 


 


ยามนี้ทหารเยียนซาต่างหันหน้ามองนางอย่างโหดเ**้ยมด้วยเพราะถูกรบกวน นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองด้วยความเคียดแค้น ทำให้คนรู้สึกว่าพริบตาต่อมามีดของพวกเขาคงจะฟาดฟันออกมา


 


 


จิ่งเหิงปัวกลับคล้ายว่าไม่ได้มองเห็นทั้งนั้น


 


 


“เฮ้ๆๆ หลบหน่อยสิ” นางตบบ่าขององครักษ์ข้างกาย เอียงซ้ายเอียงขวาหลบหลีกมีดดาบที่ตั้งขึ้นทุกแห่งหน เดินเอนไปเอียงมาออกมา เดินไปพลาง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างยิ้มแย้มปรีดาไปพลาง กล่าวว่า “ว้าว อวี้จ้าวหล่อที่สุดเลย! ว้าว มีดของคั่งหลงมีรอยเลือด! ว้าว เยียนซา!” นางใช้แรงตบผืนอกกำยำของทหารเยียนซาผู้หนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “กล้ามแน่น! งดงามนัก! เจ้าต้องไปเข้าร่วมแข่งขันนักเพาะกายชาย ต้องได้อันดับหนึ่งแน่!”


 


 


กรงเล็บปีศาจสืบเสาะ สายตาแพรวพราว คล้ายมีน้ำลายไหลย้อยรำไร…


 


 


ใบหน้าของกงอิ้นดำคล้ำแล้ว


 


 


ใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีเขียวคล้ำแล้ว


 


 


อีชีอยากกระอักโลหิตแล้ว


 


 


ขุนนางในราชสำนัก หกแคว้นแปดชนเผ่า ถูกทำให้สะท้านจนหลงลืมจะสนทนากฎเกณฑ์แล้ว


 


 


นางนี้ไร้ความหวาดกลัวหรือว่าเป็นยัยเซ่อซ่ากันแน่


 


 


สถานการณ์ที่ผู้มีฝีมือสูงยังมิกล้าเข้าไปพัวพันด้วย นางเดินเข้ามาเฉกเช่นบัวช้ำกลางสายลมแล้ว เรื่องอื่นมิต้องกล่าวถึง เฉพาะเพียงความกล้าหาญนี้ ทุกคนล้วนรู้สึกโดยพลันว่าก่อนหน้านี้ได้ดูแคลนราชินีองค์ใหม่องค์นี้แล้วใช่หรือไม่


 


 


จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มทะลุผ่านกำแพงแห่งมีดดาบตลอดทาง ยกดาบของคนผู้หนึ่งออก


 


 


“สุดหล่อ เก็บดาบให้ดี ปักมาเบื้องหน้ามั่วซั่วจะทำข้าเจ็บนะ”


 


 


ทหารอวี้จ้าวที่เมื่อครู่ยังถือดาบไอสังหารคละคลุ้งนั้น มองเข้าไปในดวงตาสุกสกาวเฉิดฉายของนาง ใบหน้าแดงซ่านโดยพลัน รีบเร่งเก็บดาบเข้าฝัก


 


 


จิ่งเหิงปัวหันกายอย่างเชื่องช้าสง่างามครั้งหนึ่ง นิ้วมือสีขาวราวหิมะค้ำมีดของทหารคั่งหลงขึ้นมา


 


 


“จิ๊จ๊ะเป็นมีดดีจริงแท้ เห็นได้เลยว่าคงเคยเปื้อนโลหิต! ผู้กล้าหาญ!” สองมือของนางกุมดวงใจ สายตาบริสุุทธิ์จริงใจ กล่าวว่า “เจ้าคงเป็นมหาวีรบุรุษที่เคยเข้าร่วมยุทธการมากมายยิ่งแน่แล้ว! หากมีโอกาสเล่าเรื่องราวบนสนามรบของพวกเจ้าให้ข้าฟังดีหรือไม่”


 


 


ชายชาตรีทหารคั่งหลงผู้ป่าเถื่อนหาญกล้าถูกสีหน้าเลื่อมใสของนางมองจนวุ่นวายสับสนจนทำอะไรไม่ถูก งกเงิ่นเก็บมีดเข้าฝัก ตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองเอ่ยว่าอะไร ทว่าก้นบึ้งของดวงใจพวยพุ่งด้วยความปรีดาลึกลับ


 


 


ชายกระโปรงของจิ่งเหิงปัวสะบัดเพียงครั้ง ในมือมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะเพิ่มมาหนึ่งผืนแล้ว มือเปลือยเปล่าเรียวยาวของนางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับรอยโลหิตบนหน้าอกของทหารเยียนซาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสุดอย่างแผ่วเบา


 


 


“บาดแผลของนักรบควรจะปรากฏเพียงบนสนามรบที่ต้องเข่นฆ่าโรมรันกับศัตรู” สีหน้าของนางเจือด้วยรอยยิ้ม ค่อยๆ เช็ดบาดแผลนั้น น้ำเสียงกลับซ่อนความตามใจเมื่อครู่แล้ว กล่าวว่า “มิควรเกิดขึ้นจากสหายร่วมรบของตนเองในยุคสมัยแห่งสันติ ยิ่งมิควรปรากฏกายด้วยเพราะข้า”


 


 


ทหารเยียนซาที่กำยำดุร้ายใช้ลูกตาแดงก่ำคู่หนึ่งมองดูนางอย่างแข็งทื่อ ดูท่าทางไม่ได้อ่อนลงด้วยเพราะวาจาแย้มยิ้มพริ้มพรายของนางคล้ายทหารอวี้จ้าวและคั่งหลง


 


 


ค้อนขนาดเท่ากำปั้นในมือของเขาไม่สั่นคลอนแม้เพียงน้อย ขอเพียงร่วงลงมาเพียงครั้งย่อมสามารถทุบกลางกะโหลกของจิ่งเหิงปัวจนเป็นหลุมหลุมหนึ่ง


 


 


บรรยากาศทั้งบนทั้งล่างเวทีตึงเครียดโดยพลัน


 


 


สีหน้าของเซวียนหยวนจิ้งกับซังต้ง ในความดีใจมีความไม่สบายใจ ราชินีสิ้นชีพในมือของอวี้จ้าวคั่งหลงจะดีที่สุด หากสิ้นชีพในมือของทหารเยียนซาที่กำลังพาลไม่ยอมฟังเหตุผล ถึงอย่างไรย่อมเป็นปัญหา


 


 


กงอิ้นยืนขึ้นมาแล้ว สุดท้ายแล้วสีหน้าที่สงบนิ่งสุขุมโดยตลอดจึงมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทว่ามิกล้าเปล่งเสียงหยุดยั้งรบกวน


 


 


ทหารเยียนซาเลื่องชื่อเรื่องความเ**้ยมโหดดุร้ายยากฝึกให้เชื่อง จะไม่สนใจคำตำหนิของฝ่ายศัตรูโดยสิ้นเชิง กระทั่งอาจจะลงมือด้วยเพราะอารมณ์ดุเดือดรุนแรง


 


 


เขาเกร็งร่างกายแน่น จ้องบนเวทีไว้เขม็ง ยามนี้ไม่ทันได้ตำหนิติโทษความกล้าหาญของนาง คิดเพียงหากเกิดเรื่องขึ้นจะต้องชิงนางออกมาโดยพลัน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีสูดหายใจซี้ดซ้าดคล้ายปวดฟัน…ทหารเยียนซาที่เข้าสู่สภาพการสู้รบ แม้แต่เขายังไร้หนทาง


 


 


“สตรีนางนี้…” เขาพึมพำว่า “สตรีนางนี้!”


 


 



 


 


บรรยากาศตึงเครียดดุจสายธนู จิ่งเหิงปัวกลับเงียบสงบดุจคลื่นอ่อนโยนลูกหนึ่ง


 


 


นางคล้ายมองไม่เห็นความแข็งทื่อและไอสังหารของทหารนายนั้น มือหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มหน้าลงโดยพลัน ประชิดใกล้แผ่นอกเปี่ยมด้วยกลิ่นคาวเลือดและหยาดเหงื่อของอีกฝ่าย


 


 


ทหารเยียนซาสะท้านไปทั่วร่าง มือที่กำค้อนกุมแน่น


 


 


รอบด้านมีเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง


 


 


ในเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึง จิ่งเหิงปัวเป่าบาดแผลอย่างแผ่วเบาแล้วเงยหน้ายิ้มแย้มไร้เดียงสาดุจทารก กล่าวว่า “เป่าให้เจ้าแล้ว ไม่เจ็บแล้วนะ”


 


 



 


 


ผู้คนไร้สรรพเสียง


 


 


ผู้คนมองดูทหารเยียนซารูปร่างสูงใหญ่ทว่ายังอ่อนวัยนายนั้น ร่างกายอ่อนลงทีละชุ่นละชุ่นโดยพลัน ปล่อยมือที่กำอาวุธไว้แน่นลง บนใบหน้าสีดำแดงเปี่ยมด้วยรอยแผลขีดข่วน ปรากฏสีหน้างงงวยสายหนึ่ง


 


 


เขาเบนสายตาลงมา รอยยิ้มของสตรีที่เทียบกับเขาแล้วแลดูบอบบางอย่างยิ่งปะทะเข้าไปในม่านตาของเขา


 


 


เฉิดฉาย งามเพริศแพร้ว บริสุทธิ์ เปี่ยมด้วยไมตรีจิต ไร้สิ่งใดเจือปน


 


 


ประหนึ่งธารมรกตที่สดใสบริสุทธิ์ที่สุด แลผืนนภาที่แจ่มใสกว้างไกลที่สุดในวันฤดูสารท


 


 


งดงาม สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือในดวงเนตรคู่นั้นไม่มีความหวาดกลัว ความเอือมระอา การหลบหลีกและการดูถูกเหยียดหยามใดๆ ซึ่งเขาคุ้นเคย


 


 


เขาคือทหารเยียนซา


 


 


เขาคือทหารในตำนานของต้าฮวง กำเนิดจากสถานที่ซึ่งชั่วร้าย มาจากลุ่มน้ำสูงสุด เป็นราษฎรซึ่งถูกเบื้องบนทอดทิ้ง พลังเหนือมนุษย์โดยกำเนิดโดยกล้าหาญชาญชัยกำเนิด ทว่ามิอาจอยู่ในแดนมนุษย์ ในสายตาของทุกผู้คน พวกเขาคืออาวุธเกรียงไกร คือผู้ใต้บังคับบัญชาองอาจ คือสัตว์ป่าสังหาร ทว่ามิใช่ผู้ที่เสมอภาคกับพวกเขา


 


 


ที่ซึ่งพวกเขาเยื้องกรายผ่าน ผู้อื่นหวาดกลัวหลีกลี้แล้วค่อยผุดเผยนัยน์ตารังเกียจออกมาจากมุมกำแพง ถ่มน้ำลายอย่างดูแคลน รอพวกเขาเดินผ่านไปแล้วจึงสาดน้ำชำระล้างพื้นดินที่พวกเขาได้เดินผ่าน


 


 


ความหวาดกลัวและความรังเกียจเช่นนี้ พวกเขาเคยชินเสียแล้ว คล้ายว่าในชีวิตของพวกเขามีเพียงการปฏิบัติสองแบบนี้


 


 


จนถึงวันนี้ เขามองเห็นความเสมอภาคและความห่วงใยอย่างแท้จริงในดวงเนตรเฉิดฉายคู่หนึ่งเป็นครั้งแรก


 


 


บาดแผลตรงหน้าอกเป็นเพียงรอยโลหิตรอยหนึ่ง มิได้เจ็บปวด ยามนี้ที่ซึ่งถูกนางเป่าให้กลับคล้ายมีเพลิงร้อนแรงแผดเผาวาวแวว


 


 


เขายื่นมือออกมาโดยพลัน จับมือของจิ่งเหิงปัวไว้ในครั้งเดียว


 


 


ใต้ฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ ข้อมือสีขาวราวหิมะของนางบอบบางดุจไผ่ที่ถูกหิมะทับถม


 


 


ทุกคนอุทานอย่างตื่นตะลึง


 


 


เขาคว้ามือของนางประชิดใกล้ดวงใจของตนเอง ก้มหน้าเพียงน้อย กุมกำปั้นของนางตีบนผืนอกของตนเองอย่างแผ่วเบาสามครั้ง


 


 


ทหารเยียนซาทั้งมวลหลังกายเขาระเบิดเสียงสัญญาณเรียกขานทุ้มต่ำระลอกหนึ่งออกมา


 


 


เรือนร่างรอคอยพุ่งขึ้นไปของกงอิ้นหยุดชะงักโดยพลัน


 


 


เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าตกตะลึง สั่นสะท้านปานถูกโจมตีอย่างลึกล้ำ


 


 


“โอ้สวรรค์…” เขาพึมพำว่า “พวกเขากลับ…”


 


 


ผู้คนที่เหลือไม่เข้าใจเรื่องนี้ ทว่าถูกสีหน้าเคร่งขรึมเคารพเลื่อมใสของทหารในยามนี้และพิธีการท่วงท่าที่แสดงออกมานี้ทำให้สะท้านสะเทือน


 


 


มีเพียงจิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเช่นเคย ไม่ได้คิดอะไร แม้ถูกผู้คว้าไว้ทุบตีผืนอกของเขาตามอำเภอใจยังวิจารณ์อย่างดีอกดีใจว่า “เฮ้! กล้ามอกของเจ้ากำยำเช่นกันนะ!”


 


 


ทหารเยียนซานั้นผลิแย้มรอยยิ้ม ปล่อยมือของนาง ร่นถอยสามก้าว สะบัดมือเพียงครั้งให้สหายร่วมกองทัพข้างหลังแล้วนำหน้ากระโดดลงจากเวที


 


 


ทหารเยียนซาจากไปโดยไม่รั้งรอแม้เพียงน้อย กลับทิ้งทหารอวี้จ้าวคั่งหลงไว้บนเวทีเยี่ยงนี้ เหล่าทหารมองหน้ากันไปมา


 


 


ดวงเนตรดำขลับของกงอิ้นจ้องมองจิ่งเหิงปัวเขม็ง อีกด้านโบกมือเชื่องช้า อวี้จ้าวและคั่งหลงได้รับบัญชาของเขาจึงรีบเร่งลงจากเวทีดุจได้รับอภัยโทษเช่นกัน


 


 


เรื่องราวหลั่งโลหิตฉากหนึ่งซึ่งชักดาบโก่งคันศรแล้ว พริบตาเดียวแยกย้ายกันปานละครตลกเพียงด้วยเพราะวาจายิ้มแย้มไม่กี่ประโยค ท่าทางไม่กี่ท่า หรือว่าด้วยเพียงสายตาปลอบโยนช่วงหนึ่ง


 


 


จิ่งเหิงปัวยืนอยู่บนเวที ยังยิ้มแย้มโบกมือร่วมส่งพลางกล่าวว่า “ครั้งหน้าไม่ต้องมาแล้วน้า…”


 


 


ทุกคนจ้องมองนิ้วมือสีขาวราวหิมะขึ้นลงของนางแล้วต่างงงงวยขึ้นมา ด้วยเพียงมือคู่หนึ่งนี้ที่พอมองแล้วมิเคยฝึกวรยุทธ กรีดกรายแผ่วโผยดุจดีดสายพิณ ยังขจัดการสังหารที่ไร้ผู้คนหยุดยั้งฉากหนึ่งจนสูญสลายไปได้หรือ


 


 


ผู้รอบรู้คล้ายเข้าใจขึ้นมา…หรือว่านี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนสยบเหล็กกล้า ซึ่งเป็นเสน่ห์นิสัยของสตรีผู้เลิศล้ำโดยแท้จริง


 


 


เรือนร่างเกร็งแน่นของกงอิ้นค่อยๆ ผ่อนคลาย ในที่สุดจึงนั่งลงอย่างสวัสดิภาพ ยื่นมือเพียงครั้งรับถ้วยชาที่เหมิงหู่ส่งมาให้


 


 


จิตใจสงบโดยพลัน


 


 


ด้วยเพราะรู้ว่าสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ดวงพักตร์สรวลเริงร่าเสียสติของนางคือดวงใจเกรียงไกรแลไร้ความหวาดกลัวอย่างแท้จริงดวงหนึ่ง ดวงใจนั้นทนรับลมพายุฝนฟ้าคะนองจากฟ้าดินได้ แลแบกรับความลำบากยากแค้นทรมานจากโลกมนุษย์ได้


 


 


น้ำชาสีเขียวแจ่มแจ้ง ใบชาม้วนแผ่ดุจเมฆา จิตใจยามนี้ดั่งคล้ายแช่อยู่กลางธารเขียวแจ่มแจ้งแห่งนี้ นุ่มนวลเงียบสงบ เมฆาม้วนเมฆาคลาย


 


 


สุดท้ายแล้วเขาเริ่มเกิดความประหลาดใจต่อเรื่องราวลำดับถัดไปอย่างเยือกเย็น


 


 


สตรีผู้ดุจดั่งมีผืนดินแผ่นฟ้าในดวงใจจะสาดส่องต้าฮวงในครู่หนึ่งนี้อย่างไรอีก

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม