แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 525-531
ตอนที่ 525 เปิดบาดแผล
มุมมองของเสี่ยวเชี่ยนเหมือนกับอวี๋หมิงหลาง เธอเชื่อในความสามารถของโลนวูล์ฟ คิดว่าไม่มีทางที่เขาจะเสียสมาธิจนทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ความสงสัยก็ยังคงอยู่ ประจวบเหมาะกับที่อยากใช้โอกาสที่จะรักษาหูเหม่ยจิ้งนี้ สืบเรื่องในตอนนั้นให้ชัดเจนในขอบเขตที่เหมาะสม ทำให้ผู้ตายไปอย่างสงบ คนอยู่ก็จะได้หมดข้อสงสัย
“หัวหน้าหน่วยกลางอวี๋หมิงหลาง คุณสามารถทำภารกิจพิเศษที่ฉันมอบหมายให้ได้ไหมคะ?”
เสี่ยวเชี่ยนคิดถึงประโยคนี้นานแล้ว รู้สึกยิ่งพูดยิ่งชอบ
เวลาว่างๆเธอชอบนึกถึงท่าทางของเสี่ยวเฉียงเวลาทำความเคารพ ชอบฟังเวลาเขาตอบรับภารกิจด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มันรู้สึกมีพลังมาก
“ถ้าเสร็จแล้วหมอเฉินมีรางวัลอะไรให้ผม?” แต่งคอสเพลย์ชุดกาวน์ก็ดีนะ
พอเจออวี๋หมิงหลางสาดมุกนี้เข้ามา เสี่ยวเชี่ยนก็ตอบปฏิเสธอย่างขึงขัง
“ทำอะไรอย่าคิดแต่จะเอาคืนคนอื่น มันเชยมาก”
“ชั่วโมงละสองหมื่น วินาทีละ 5.55?” เรื่องนี้รู้ถึงหูเขาเข้าแล้ว พ่อเขาเป็นคนบอก
“แค่กๆ ฉันจะเหมือนกับนายได้ไง? นายทำเพื่อประชาชน ฉันทำธุรกิจอย่างอิสระ”
“ได้ เพื่อจะได้ดื่มด่ำคุณในชุดกาวน์ รวมถึงบริการที่มีให้คุณอย่างเต็มที่ ผมขอรับรองว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ”
“ฉันจะรอฟังข่าว”
เสี่ยวเชี่ยนวางสายแล้วครุ่นคิด—ทำไมรู้สึกคำพูดฟังดูแปลกๆ ฟังดูเหมือนพวกตาลุงโรคจิต…
เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนที่ความรู้สึกไว การคาดเดานี้ไม่นานก็เกิดขึ้นแล้ว ความหนาของหน้าอวี๋หมิงหลางทำให้ทุกคนถึงกับต้องยอมแพ้
ในขณะที่อวี๋หมิงหลางทำการสรุปข้อมูลนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอทำการรักษาให้หูเหม่ยจิ้งอย่างถี่ถ้วน
จากที่ตอนแรกไม่เชื่อว่าโลนวูล์ฟพลีชีพในหน้าที่ไปแล้ว จนต่อมาเธอก็เสียใจเอาแต่โทษตัวเอง การเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิตใจเหล่านี้ล้วนอยู่ในการคาดคะเนของเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาสามวันในการทำการรักษาขั้นแรก ทำให้หูเหม่ยจิ้งเชื่อว่าโลนวูล์ฟไม่อยู่แล้วจริงๆ
จากแผนที่เธอวางไว้กับศาสตราจารย์หลิว การรักษาแบ่งเป็นสามขั้น ขั้นที่สองก็คือตอนที่อวี๋หมิงหลางต้องออกโรง
วันนั้นเสี่ยวเชี่ยนพาหูเหม่ยจิ้งที่อยู่ในอาการเศร้า รวมถึงศาสตราจารย์หลิวกับหัวหน้าใหญ่ขึ้นรถที่อวี๋หมิงหลางจัดมาให้เพื่อไปยังศูนย์ฝึกอันลึกลับของ011
ภายในห้องประชุม หูเหม่ยจิ้งเห็นคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในนั้น บางคนใส่ชุดทหาร บางคนใส่ชุดลำลอง แต่หลายคนเป็นคนที่เธอรู้จัก พอเห็นก็รู้สึกเหมือนบาดแผลถูกแหวกออก
คนที่นั่งอยู่ในนั้นล้วนเป็นคนของหน่วยโลนวูล์ฟในตอนนั้น ทุกคนต่างถูกย้ายไปสายงานอื่นหรือเปลี่ยนงานหมดแล้วยกเว้นอวี๋หมิงหลาง ซาลาแมนเดอร์เองก็ถูกเรียกมา เขาใส่ชุดลำลองนั่งอยู่หัวแถว
คนเหล่านี้มารวมตัวกันอีกครั้งเพราะเรื่องเสียใจในอดีตที่ถูกปิดผนึกมานาน พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนพาหูเหม่ยจิ้งเข้ามา ซาลาแมนเดอร์ก็อารมณ์ขึ้น กำหมัดแน่น แววตาฉายความโกรธ แต่ถูกอวี๋หมิงหลางส่งสายตาห้ามปรามไว้
อวี๋หมิงหลางเรียกทุกคนมาประชุมก่อนแล้ว ทุกคนในที่นี้ห้ามแสดงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น เอาแค่หูมา ปากไม่ต้องขยับ
อวี๋หมิงหลางยืนอยู่ตรงหน้าจอโปรเจคเตอร์ บนเวทีหน้าห้องประชุมมีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ ซึ่งบนนั้นมีแผนที่จำลองสถานที่ขนาดใหญ่
วันนี้เสี่ยวเชี่ยนใส่ชุดสูทรัดรูปสีดำที่ดูเป็นทางการ มีความเป็นมืออาชีพมาก ชุดทำงานสีดำตัดกับผ้าพันคอสีขาว ทำให้ดูภูมิฐานในขณะเดียวกันก็ให้เกียรติแก่ผู้ตาย เหมาะสมกับสถานที่ เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเหล่าทหารผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ไม่ได้ดูด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด
สายตาของอวี๋หมิงหลางหยุดอยู่ที่เสี่ยวเชี่ยนหลายวินาที เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้าให้เขา หลังจากที่อวี๋หมิงหลางผายมือเชิญคนที่มาใหม่ให้นั่งแล้วเขาจึงเริ่มการประชุมพิเศษในวันนี้อย่างเป็นทางการ
“ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้มีทั้งครอบครัวของวีรบุรุษหลิวส่วง ทั้งเพื่อนทหารของเขา วันนี้ที่ผมเชิญทุกคนมาก็เพื่อพิสูจน์ความจริงของเรื่องในตอนนั้น คืนความยุติธรรมให้กับครอบครัว และคืนความยุติธรรมให้กับฮีโร่ในสงครามของหน่วย011ของเราครับ ผมไม่พูดไร้สาระขอเข้าประเด็นเลยนะครับ เชิญดูที่หน้าจอครับ”
อวี๋หมิงหลางเกริ่นนำสั้นๆแล้วเข้าประเด็น
หูเหม่ยจิ้งนั่งอยู่กับเสี่ยวเชี่ยน หลังจากที่เธอเห็นคนจำนวนมากในนี้ก็เริ่มรู้สึกควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เสี่ยวเชี่ยนต้องคอยกุมมือเธอไว้ตลอดเพื่อให้กำลังใจเธอ เธอถึงไม่หมดสติไป
เสี่ยวเชี่ยนกุมมือหูเหม่ยจิ้งแน่น รู้สึกว่ามือของเธอนั้นเย็นเฉียบ
บนหน้าจอมีการจำลองแผนที่ในตอนนั้น ในบรรดาเหล่าสมาชิกเก่าที่มารวมตัวกันในตอนนี้มีบางคนได้เข้าร่วมภารกิจครั้งนั้น พอได้เห็นสถานที่นั้นอีกครั้งในใจก็รู้สึกแย่ เพราะที่แห่งนั้นพี่น้องของพวกเขาจึงต้องมาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางอย่างไม่ละสายตา นี่เป็นอีกครั้งที่เธอกับเขาได้มาเจอกันอันเนื่องมาจากหน้าที่การงาน อวี๋หมิงหลางเต็มไปด้วยความหนักแน่นอย่างทหาร เขาสรุปเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ทุกคนฟังด้วยความคล่องแคล่ว
ข้อมูลเหล่านี้ผ่านการตรวจสอบมาอย่างเข้มงวด สิ่งที่ไม่ควรพูดไม่มีเล็ดลอดออกมาแม้แต่คำเดียว แต่ก็ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงเส้นทางภารกิจ
“หลังจากที่ผมได้สืบอย่างละเอียดแล้วได้บทสรุปว่า ตอนนั้นที่หลิวส่วงตัดสินใจเลือกเปลี่ยนเส้นทางกะทันหันไม่ได้เกิดจากอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาปะปนกับเรื่องงาน แต่เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับ เชิญทุกคนดูตรงนี้ครับ”
นิ้วของอวี๋หมิงหลางชี้ไปตรงจุดหนึ่งของแผนที่ “พยากรณ์อากาศของท้องที่บอกว่าตอนนั้นเป็นฤดูฝนพอดี ทหารหลิวส่วงมีทักษะการใช้ชีวิตในป่าที่มากไปด้วยประสบการณ์ เขาวิเคราะห์แล้วว่าวันนั้นจะต้องมีฝนตกหนักอย่างแน่นอน จึงได้เลือกเปลี่ยนเส้นทางครับ”
“แต่ก่อนหน้านั้นหัวหน้าไม่มีทางตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน ภารกิจที่พวกเราเคยเข้าร่วมหลายครั้งก็เป็นหน้าฝน ปกติไม่เคยเปลี่ยนเส้นทาง แล้วทำไมวันนั้นถึงได้เปลี่ยน?” ซาลาแมนเดอร์เป็นคนแรกที่ตั้งคำถาม
อันที่จริงคำพูดเหล่านี้ทุกคนต่างเก็บไว้ในใจไม่กล้าพูด ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงคิดว่าหัวหน้าเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาปะปนกับงาน
ข้อสงสัยของซาลาแมนเดอร์ทำให้หูเหม่ยจิ้งถึงกับตัวเกร็ง มือที่เสี่ยวเชี่ยนกุมมือเธอไว้รับรู้ได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังหวาดกลัว
เสี่ยวเชี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้หูเหม่ยจิ้ง เธอเอาผ้าปิดปากพยายามอดกลั้นความรู้สึก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอสัญญากับเสี่ยวเชี่ยนมาก่อน และเสี่ยวเชี่ยนได้ให้เธอเตรียมใจมา เธอคงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปแล้ว
อวี๋หมิงหลางไม่แปลกใจกับการตั้งข้อสงสัยของซาลาแมนเดอร์ เขากวาดตามองไปรอบๆอย่างใจเย็น จากนั้นจึงเริ่มอธิบาย
“วันนั้นฝนตก ก็แสดงว่าการวิเคราะห์ของโลนวูล์ฟนั้นแม่นยำ และเส้นทางเดิมที่พวกเราไปตรวจสอบ”
อวี๋หมิงหลางชี้ไปที่แผนที่ “หากไปตามเส้นทางนี้ เมื่อปริมาณน้ำในดินมีอยู่มากทำให้ดินเริ่มเกาะตัวไม่อยู่แล้วจะเกิดอะไรขึ้นครับ? ทุกคนดูที่แบบจำลองนี่ครับ ผมได้จำลองความชื้นในดินโดยอ้างอิงจากเหตุการณ์ในวันนั้น รวมถึงได้คำนวณน้ำหนักตัวของพวกเรา สมมติว่าพวกเราไปตามเส้นทางเดิม…”
อวี๋หมิงหลางหยิบตัวหมากวางบนเส้นทางในแบบจำลอง ดินตรงนั้นเกิดการถล่มทันที
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“ทุกคนเห็นแล้วนะครับ เส้นทางนี้ไม่มีทางให้ถอยกลับ หากทุกคนเข้าไปแล้วคิดจะถอยก็คงถอยไม่ได้ ทุกคนจะตกอยู่ในอันตราย ผมทำการทดลองซ้ำไปซ้ำมาอีกทั้งยังไปปรึกษานักธรณีวิทยาถึงได้ข้อสรุปนี้ครับ เนื่องจากในตอนนั้นไม่เกิดเหตุการณ์ดินถล่มในเส้นทางเดิม เลยทำให้ทุกคนมองข้ามสาเหตุที่สำคัญนี้ไป”
ไม่เกิดอุบัติเหตุไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เป็นเพราะหัวหน้าเปลี่ยนเส้นทาง
“ผมมาอยู่ในหน่วย011ได้ไม่นานเท่าทุกๆท่าน พวกคุณรู้จักโลนวูล์ฟดีกว่าผม ฉายาของเขามาได้ยังไงครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
“เพราะเขาสามารถเข้าไปบุกรังโจรได้โดยลำพัง เขาสร้างโอกาสได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เขา…” ซาลาแมนเดอร์พูดต่อไปไม่ไหวแล้ว คำพูดมันจุกอก
ทหารคนอื่นๆต่างก็ขอบตาแดงๆ ทุกคนต่างเป็นลูกผู้ชายที่แข็งแกร่ง แต่กลับถูกทิ่มแทงจุดที่เจ็บปวดในหัวใจ
ตอนที่ 526 เจ็บปวดสุดใจ
“หัวหน้าโลนวูล์ฟได้ทำการตัดสินใจอย่างถูกต้องหลังจากที่ได้วิเคราะห์แล้ว วันนั้นสถานีสื่อสารเกิดขัดข้องเนื่องมาจากฝนตกฟ้าผ่าทำให้ไม่สามารถติดต่อกับหน่วยกลางได้ อีกทั้งโอกาสในการไล่ล่าคนร้ายกำลังจะหายไปต่อหน้า หัวหน้าโลนวูล์ฟจึงอาศัยประสบการณ์ที่มีอยู่มากตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทาง อันตรายที่เกิดขึ้นหลังจากเปลี่ยนแผนนั้นเขารู้ดีกว่าใคร ดังนั้นเดิมจากที่ควรต้องให้กลุ่มสายสืบเข้าก่อน เขากลับเลือกที่จะเข้าไปเอง ไม่ใช่เพราะเขาเอาอารมณ์ส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงาน แต่เป็นเพราะเขาระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นหัวหน้า”
นี่คือหน้าที่ของหัวหน้า นี่คือภารกิจ นี่คือหน่วยทหาร
ไม่ว่าตอนฝึกจะเข้มงวดเพียงใด พออยู่ในสนามรบทุกคนเป็นเหมือนพี่น้องกัน อุปสรรคขวากหนามที่มีร่วมกันฝ่าฟัน ช่วงเวลาที่มีร่วมกันคนนอกยากที่จะเข้าใจถึงเกียรตินี้
นี่คือความศรัทธา และเป็นจิตวิญญาณของนักรบ
โลนวูล์ฟได้ทำเรื่องที่ควรทำในฐานะที่เป็นนักรบ ยอมพลีชีพเพื่อให้เพื่อนทหารได้มีโอกาสได้รับชัยชนะ จากสงครามในครั้งนั้นฝ่ายเราสูญเสียทหารไปหนึ่งนาย ฆ่าศัตรูไปนับสิบคน ช่วยชาวบ้านบริสุทธิ์ได้เป็นจำนวนมาก
เส้นทางเดิมที่เข้าไปแล้วอาจพากันไปตาย พอเปลี่ยนเส้นทางก็อาจต้องเข้าสู่พื้นที่กับดักระเบิดของศัตรู ไม่ว่าจะไปทางไหนล้วนมีอันตราย นอกจากสองเส้นทางนี้แล้วก็คือการยอมแพ้ต่อภารกิจ ในสถานการณ์ที่ศัตรูคิดว่าทหารต้องล่าถอยอย่างแน่นอน แต่กลับคาดไม่ถึงว่าตัวเองเจอกับของแข็งเข้าแล้ว นักรบที่กล้าหาญรู้ว่ามีอันตรายแต่ก็ยังฝ่าเข้าไป
ก่อนหน้านี้ได้มีสายสืบต้องพลีชีพไปเพื่อนำข่าวนี้มารายงาน หากพลาดโอกาสนี้ปล่อยให้คนพวกนั้นหนีไปได้ก็จะมีผู้คนนับพันนับหมื่นต้องเคราะห์ร้าย โลนวูล์ฟใช้สัญชาตญาณของการเป็นนักรบยอมพลีชีพเพื่อแลกกับชัยชนะที่มีค่านี้
ศาสตราจารย์หลิวกับหัวหน้าใหญ่ต่างจับมือกันร้องไห้ พูดไม่ออก
ลูกชายเป็นวีรบุรุษที่มีเกียรติ ใช้ชีวิตที่น่าเศร้าแลกสันติสุข การที่ได้เลี้ยงวีรบุรุษแบบนี้มาทำให้พวกเขาทั้งเศร้าทั้งภูมิใจ
แม้แต่เสี่ยวเชี่ยนที่เป็นคนไม่ค่อยแสดงอารมณ์ให้คนภายนอกได้เห็นยังต้องหยิบกระดาษมาเช็ดน้ำตา
ส่วนหูเหม่ยจิ้งฟุบลงกับโต๊ะร้องไห้เสียงดัง เสียงร้องไห้ของเธอนั้นเหมือนฉีกหัวใจของทุกคน
“ผมเชื่อว่าตอนที่หัวหน้าโลนวูล์ฟตัดสินใจเขาไม่ได้เอาอารมณ์ส่วนตัวในแง่ลบมาเกี่ยวข้องครับ ถ้าตอนนั้นสภาพอารมณ์เขาไม่นิ่งคงไม่เลือกเปลี่ยนเส้นทางแต่จะไปทางเดิมต่อ ถ้าเขาไม่มีสติอยู่ตลอดเวลาไม่มีทางคาดการณ์ถึงอันตรายได้จากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆหรอกครับ อันที่จริงพวกเราตกหลุมพรางของศัตรูกันตั้งแต่แรกแล้วครับ”
คำพูดของอวี๋หมิงหลางทำให้ทุกคนเงียบ ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้
นี่คือแผนที่ศัตรูวางไว้เป็นอย่างดี จุดประสงค์ที่เลือกฤดูฝนก็เพราะต้องการให้เหล่าทหารเลือกทางตายหนึ่งในสองทาง ต้องการให้ฝ่ายเรารู้ถึงอันตรายแล้วถอยไป แต่ทหารนักรบที่กล้าหาญไม่กลัวตาย เพื่อความสงบสุขของประชาชน วินาทีที่ติดอาวุธถือปืน สิ่งที่อยู่ในใจนั้นมีแค่คำว่าเดินหน้าห้ามถอยสี่คำนี้ ประชาชนอยู่เบื้องหลัง ถอยไม่ได้แม้แต่ครึ่งก้าว
“การที่เพื่อนทหารต้องมาพลีชีพเป็นเรื่องที่พวกเราเจ็บปวดที่สุด พวกเราต้องนำพลังแห่งความโกรธนี้แปรเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันปกป้องสันติสุขที่วีรบุรุษของพวกเราใช้เลือดเนื้อแลกมา ไม่ใช่โจมตีครอบครัวของวีรบุรุษ คู่หมั้นของหัวหน้าโลนวูล์ฟเคยเป็นโรคจิตเวชอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากรับไม่ได้กับการจากไปของเขา แม่ของเขาและคู่หมั้นของผมกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยรักษาเธอ วันนี้การที่ทุกคนมาอยู่รวมกันก็เพื่อทำเรื่องนี้ให้กระจ่างครับ”
อวี๋หมิงหลางพูดจบได้เดินไปที่หูเหม่ยจิ้ง ศาสตราจารย์หลิวและหัวหน้าใหญ่แล้วพูดอย่างหนักแน่น
“พวกเราสัญญาว่าจะรักษาสันติสุขอันมีค่านี้ด้วยความพยายามทั้งหมดที่มี เพื่อให้ดวงวิญญาณของวีรบุรุษไปสู่สุขคติ รักษาสันติสุขให้คงอยู่ตลอดไปครับ”
ทุกคนยืนขึ้น แล้วทำความเคารพให้กับครอบครัวของวีรบุรุษภายใต้การนำของอวี๋หมิงหลาง เสี่ยวเชี่ยนอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาแห่งความประทับใจ เธอเองก็ยืนขึ้นมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
หนามที่ทิ่มแทงใจทุกคนถูกดึงออกมาแล้ว ปริศนาที่คลี่คลายทำให้ทุกคนเสียใจอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง
โลนวูล์ฟไม่ได้บุ่มบ่ามอันเนื่องมาจากอารมณ์ส่วนตัว เธอเองก็ไม่ได้ใจดำตัดสายสัมพันธ์ในตอนนั้น แต่โชคชะตาอันโหดร้ายกลับทำให้คู่รักที่เดิมควรได้อยู่ด้วยกันต้องอยู่กันคนละโลก
ถึงเวลานี้จะอยู่ในช่วงโศกเศร้า แต่เรื่องราวกลับได้ข้อสรุปสุดท้ายแล้ว
ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาได้จากไปอย่างมีเกียรติ ส่วนเธอกลับสูญเสียตัวตนเพราะรักเขามากเกินไป ทำให้เป็นโรคจิตเวช
เขาซื่อสัตย์ต่อภารกิจ ส่วนเธอปกป้องความรักของตัวเอง
ฝนในฤดูใบไม้ผลิมีค่าดุจน้ำมัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า หยาดฝนโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างกระทบกับกระจกเบาๆ ทำให้เกิดรอยหยดน้ำเล็กๆ
เสี่ยวเชี่ยนมองสายฝนด้านนอก ขั้นที่สองของการรักษาให้หูเหม่ยจิ้งได้สิ้นสุดแล้วตรงนี้
ถ้าโชคชะตาไม่พาคนไข้ของเธอมาอยู่ตรงทางแยกที่ต้องเลือก เธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไขปริศนานี้หรือเปล่า แต่พอเห็นเหล่าผู้ชายอกสามศอกในที่นี้พากันร้องไห้ ในที่สุดเสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนเธอ
ในฐานะที่เป็นหมอ ความรู้สึกบางอย่างสำคัญยิ่งกว่าเงินทอง เสี่ยวเชี่ยนเชื่อว่าครั้งนี้เธอตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว
ป้ายหินของหลิวส่วงตั้งตระหง่านท่ามกลางสายฝน เบื้องหน้ามีหูเหม่ยจิ้งและพ่อแม่ของหลิวส่วงทำพิธีเซ่นไหว้ที่ล่าช้าไปหลายปี
สายฝนและน้ำตาหลอมรวมกัน ที่ควรมาสุดท้ายก็ต้องมา
เวลาและความทรงจำเป็นสิ่งที่โหดร้ายและไร้ความเมตตา ในความทรงจำที่มีอยู่อย่างจำกัด ยังคงเป็นภาพที่เขาทะเลาะกับเธอแล้วจากไป ส่วนเธอยังคงรอให้เขากลับมาเพื่อบอกขอโทษ แต่เวลาได้ขโมยความทรงจำของเธอไปหลายปี พอเธอหวนกลับมานึกได้เบื้องหน้าก็เหลือเพียงป้ายวิญญาณของเขาแล้ว
หลังจากที่หูเหม่ยจิ้งได้รับการรักษาจากเสี่ยวเชี่ยน เธอก็สามารถเผชิญกับความจริงที่ว่าเขาไม่มีวันกลับมาแล้ว การรักษาในขั้นที่สองทำให้เธอได้ปลดปล่อยความรู้สึกผิดในใจ ถึงแม้ความทุกข์จากการสูญเสียเขายังคงอยู่ แต่ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ความรู้สึกผิดยังคงค้างคาอยู่ในจิตใต้สำนึกของเธอ
การเซ่นไหว้นี้ควรทำตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เพราะขาดสิ่งนี้ไปทำให้หูเหม่ยจิ้งรู้สึกยังติดค้างบางอย่าง สมาชิกคนอื่นๆของหน่วยย่อยโลนวูล์ฟต่างก็ไม่สบายใจในเรื่องนี้ ตอนที่ผู้หญิงอ่อนแอคนนี้ลูบป้ายหินอันเย็นยะเยือกด้วยหัวใจที่ปวดร้าว อวี๋หมิงหลางและคนอื่นๆที่ยืนอยู่ไม่ไกลต่างอยู่ในความรู้สึกที่สับสน
หลิวส่วงนอนหลับตลอดกาลอยู่ใต้ผืนดิน แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ หลังจากวันนี้เป็นต้นไปยังคงต้องใช้ชีวิตต่อ
หูเหม่ยจิ้งลูบรูปของหลิวส่วง ในสมองคล้ายกับมีภาพต่างๆปรากฏมากมาย เป็นช่วงเวลาดีๆของทั้งสองคนตอนอยู่ด้วยกัน เธอไม่กล้าถามว่าในช่วงหลายปีที่เธอสูญเสียความทรงจำนี้เธอทำอะไรไปบ้าง รักกับใครคนไหน แต่หลังจากที่เธอร้องไห้จนพอใจแล้ว ในใจกลับว่างเปล่า ในอนาคตเธอควรเดินไปทางไหน
เธอเป็นใครกันแน่ ตกลงเธอรักใคร ตกลงเธอเป็นของใคร…
ทันใดนั้นเบื้องหลังเธอก็มีเสียงเพลงที่คุ้นเคย
“คุณเคยพูดว่าจะรักผมตลอดไป
ผมเข้าใจคำว่าความรัก แต่ตลอดไปคืออะไร
สาวน้อยโปรดอย่าร้องไห้ เรายังอยู่ด้วยกัน
ความสุขในวันนี้กำลังจะเป็นความทรงจำอันเจ็บปวดในวันพรุ่งนี้
ลาๆๆ ลาๆๆ ลาๆๆ
ละทิ้งได้ทุกอย่าง แต่ลืมไม่ได้สักอย่าง
ตอนนี้สิ่งที่คุณพูดเป็นเพียงความกล้าหาญของคุณ
สายลมพัดผ่านในฤดูใบไม้ผลิ สายฝนในฤดูใบไม้ร่วง
ความปรารถนาต่างๆล้วนถูกพัดไปตามสายลม
ที่รัก เราสองคนจะไม่แยกจากกันตลอดกาล”
นี่คือเพลง เพลงรัก1980 ที่โลนวูล์ฟชอบมากตอนมีชีวิตอยู่ หูเหม่ยจิ้งหันไปด้วยความตกใจ พอเห็นภาพตรงหน้าน้ำตากลับไหลออกมาดั่งหยาดฝน
ตอนที่ 527 ถ้าวันหนึ่ง
ซาลาแมนเดอร์เป็นคนนำ คนอื่นๆร่วมกันร้องเพลง เพลงรัก 1980
นี่เป็นเพลงที่หลิวส่วงชอบที่สุดตอนมีชีวิตอยู่ ถ้าไม่เกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายนี้ขึ้น เพลงนี้เดิมควรจะเป็นเพลงที่อยู่ในงานแต่งของโลนวูล์ฟกับหูเหม่ยจิ้ง เพื่อเป็นของขวัญพิเศษให้กับทั้งสองคน
หูเหม่ยจิ้งพอได้ยินเพลงที่คุ้นเคย ความเจ็บปวดในใจก็ขึ้นมาถึงขีดสุด เรื่องทุกอย่างได้จบสิ้นลงแล้ว มีคำพูดที่อยากพูด แต่น้ำตากลับไหลก่อน
ท่วงทำนองเดียวกันแต่กลับปรากฏในสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วจะไม่ให้ใจสลายได้อย่างไร ถึงคำสัญญาจะอยู่ในตัวบุคคล แต่กลับอยู่กันคนละโลก ยามที่ต้องหลีกหนีความจริงตอนไร้อาการป่วย ยามที่ศัตรูรู้ความจริงปริศนาทุกอย่างกระจ่างหมด คนที่อยู่ตรงนี้ทุกคนเหลือเพียงความเสียใจที่ไม่อาจมลายหายไป
ฝนตกมาได้เวลาพอดี
สายฝนโปรยปรายได้ช่วยพรางน้ำตาแห่งความเสียใจของเหล่าทหารหาญ ความคิดถึงที่มีต่อเพื่อนผู้จากไปได้ถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลง ใครบอกว่าพวกเขามีแต่ความเข้มแข็งไร้ความอ่อนโยน เพียงแต่ความโรแมนติคที่ปรากฏในเวลานี้กลับดูโศกเศร้า
หูเหม่ยจิ้งคุกเข่าลงกับพื้น สายฝนตกใส่เธออย่างไม่หยุดหย่อน
พอเงยหน้าก็เห็นเสี่ยวเชี่ยนในชุดดำกางร่มสีขาวให้ ช่วยกันเม็ดฝนที่ตกใส่หัวเธอ มองจากล่างขึ้นบน เสี่ยวเชี่ยนก็เหมือนร่มที่คอยปกป้อง ช่วยกันฝนให้กับเธอ คุ้มกันเธอในสภาพแวดล้อมที่มีความกดดัน คล้ายกับเป็นความช่วยเหลือสุดท้าย
“หมอเฉิน ฉันจะทำไงดี…ช่วงหลายปีนี้ฉันทำอะไรลงไปบ้าง…”
ใบหน้าของหูเหม่ยจิ้งเต็มไปด้วยคราบน้ำตา
“ช่วงหลายปีนี้คุณได้ทำในสิ่งที่เขาอยากให้คุณทำ คุณทำได้ดีมาก”
หูเหม่ยจิ้งเงยหน้ามองเสี่ยวเชี่ยนด้วยดวงตาที่พร่ามัว เสี่ยวเชี่ยนเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
“เขาอยากให้คุณมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม แม่ของเขา เพื่อนๆของเขาต่างก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน ฟังเพลงนี้สิออกจะไพเราะ ละทิ้งได้ทุกอย่าง แต่ลืมไม่ได้สักอย่าง สาวน้อยโปรดอย่าร้องไห้ พวกเรายังอยู่ด้วยกัน…”
เสี่ยวเชี่ยนพูดเนื้อเพลง มองหูเหม่ยจิ้งด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ตอนที่เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ความศรัทธาในใจเป็นตัวปกป้องคนที่เขารักให้อยู่อย่างเป็นสุข ความรักของทหารยิ่งใหญ่เสมอ เขาหวังว่าตัวเองสามารถแลกมาได้ซึ่งความสงบสุขของคนเป็นจำนวนมาก แต่ฉันคิดว่าเขาอยากให้คนที่เขารักมีความสุขมากกว่า คุณใช้ชีวิตให้ดีก็คือความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดของเขาแล้วค่ะ”
ต่อให้เป็นช่วงที่หูเหม่ยจิ้งสูญเสียบุคลิกเดิมในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จิตใต้สำนึกของเธอก็ไม่เคยหยุดคิดถึงเขา ถึงขนาดที่ว่าบุคลิกที่สองของเธอนั้นยังเป็นผู้หญิงอ่อนโยนในแบบที่โลนวูล์ฟอยากให้เป็น
รูปแบบการแสดงความรักมีมากมาย แต่ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือแบบนี้ ต้องแสดงออกว่าเข้มแข็งแล้วใช้ชีวิตอยู่ต่อ เพราะเธอรู้ว่าเขาอยากให้เป็นแบบนั้น
“ฉันไม่รู้จริงๆว่าต้องทำยังไงตัวเองถึงจะมีความสุข ฉันไม่รู้เลย…”
“คุณรู้ ความผูกพันทำให้คนเราเสียใจ ช่วงเวลาดีๆในอดีตสุดท้ายมันก็จากคุณไปโดยไม่ย้อนกลับมา แต่ชีวิตคนเราต้องเดินหน้าต่อ หัวใจของคุณได้เลือกแทนคุณแล้ว กลับมาเถอะเหม่ยจิ้ง กลับมาหาฉันตรงนี้”
เสี่ยวเชี่ยนโยนร่มทิ้งแล้วยืนตรง “มาเถอะ มองมาที่ดวงตาของฉัน”
หูเหม่ยจิ้งที่ถูกความเสียใจทำให้จิตใจว่างเปล่ามองไปที่เสี่ยวเชี่ยนอย่างเหม่อลอย เวลานี้จิตใต้สำนึกของเธอกำลังรวมเป็นหนึ่งเดียว เสี่ยวเชี่ยนยื่นสองมือไปนวดเบาๆที่ขมับของหูเหม่ยจิ้ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ในใจของคุณยังมีความปรารถนาอะไรที่ยังทำไม่สำเร็จหรือเปล่า?”
“ไม่มีแล้ว” หูเหม่ยจิ้งส่ายหน้า เธอรู้สึกสมองว่างเปล่า
“มองที่ดวงตาของฉัน มองไว้ห้ามขยับ ความเสียใจของคุณ ความเศร้าของคุณจะไปตามสายตาของฉันที่ขยับ พอฉันเอามือออก คุณจะล้มเข้ามาหาฉัน”
ศาสตราจารย์หลิวยืนอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้เสี่ยวเชี่ยนที่สุดมาตลอด เธอมองท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ตกใจ
แม้แต่แบบนี้ก็เป็นเหรอ?
“มาค่ะ กลับมาสู่อ้อมกอดของฉัน” เสี่ยวเชี่ยนปล่อยมือออก หูเหม่ยจิ้งทิ้งตัวเข้าหาเสี่ยวเชี่ยนแล้วหมดสติไป
อวี๋หมิงหลางรีบเข้ามาถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย “คุณทำอะไรกับเธอน่ะ?”
นี่เก่งยิ่งกว่ายานอนหลับเสียอีก แค่ยื่นมือไปจับก็ทำคนสลบได้แล้ว?
“การสะกดจิตแบบโน้มตัว ปกติใช้ไม่ได้ผลเท่านี้ เพราะตอนนี้เดิมทีเขาก็อยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่มั่นคงอยู่แล้ว จิตใต้สำนึกของเขาตั้งใจจะหนีจากความเจ็บปวดถึงได้ให้ความร่วมมือกับฉัน พาเขากลับไป ฉันจะรักษาเขาขั้นสุดท้าย”
“ใครสอนเธอน่ะ?” ศาสตราจารย์หลิวนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะใช้วิชาการสะกดจิตหลายๆแบบคล่องขนาดนี้ ใช้ได้เกิดประโยชน์ด้วย
“อาจารย์ค่ะ”
“ในสมุดบันทึกฉันเขียนไว้ด้วยเหรอ?”
“หนูเคยซื้อหนังสือที่เกี่ยวกับการสะกดจิตของอาจารย์มาค่ะ”
ศาสตราจารย์หลิวงง ก่อนหน้านี้เธอเคยออกหนังสือแนวนี้ด้วยเหรอ? แต่ในมือมีหนังสือที่กำลังทำอยู่ ยังไม่ผ่านการตรวจครั้งที่สอง แล้วเด็กคนนี้รู้ได้ยังไง?
คนอื่นกำลังพาหูเหม่ยจิ้งขึ้นรถ เสี่ยวเชี่ยนยังคงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองป้ายหลุมศพของโลนวูล์ฟอย่างเงียบๆ
“เขาคงได้นอนหลับอย่างสบายแล้วล่ะ”
“ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกหรือเปล่า อีกเดี๋ยวฉันจะสะกดจิตให้เขาลืมตัวตนตอนรักกันกับโลนวูล์ฟอีกครั้ง พอตื่นมาเขาก็จะมีบุคลิกที่สอง จากการคาดการณ์ของฉัน บุคลิกที่หนึ่งของเขาจะหายไปอย่างสิ้นเชิง ในอนาคตจะค่อยๆหลอมรวมกับบุคลิกที่สอง ผ่านไปอีกสักสิบยี่สิบปีพอเขานึกเรื่องโลนวูล์ฟออกอีกครั้ง โลนวูล์ฟที่อยู่ในใจเขาจะไม่มีอิทธิพลเท่าตอนนี้ จิตใจของเขาก็จะไปจดจ่ออยู่ที่ครอบครัวของเขาในตอนนี้”
อวี๋หมิงหลางเงียบ
เสี่ยวเชี่ยนมองป้ายหลุมศพของโลนวูล์ฟ ผู้ชายที่อยู่ในรูปใช้สายตาที่อ่อนโยนมองโลกใบนี้ เธอคาดเดาจิตใจของผู้ที่หลับใหลตลอดกาลไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับในสิ่งที่เธอทำหรือเปล่า
หลังจากวันนี้ไป ในใจของหูเหม่ยจิ้งจะไม่มีอะไรติดค้างอีก หูเหม่ยจิ้งที่เคยเป็นของโลนวูล์ฟคนนี้จะหายไป เหมือนกับว่าคู่รักทั้งสองคนได้ถูกฝังอยู่ร่วมกันในอีกแบบหนึ่ง
“โลนวูล์ฟหวังว่าเขาจะมีความสุข คุณทำถูกแล้ว” อวี๋หมิงหลางพูด
เขาเข้าใจโลนวูล์ฟ สิ่งที่โลนวูล์ฟต้องการมากที่สุดก่อนตายก็คืออยากให้หูเหม่ยจิ้งใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เขียนในจดหมายให้แบ่งเงินชดเชยให้หูเหม่ยจิ้งครึ่งหนึ่ง แต่หูเหม่ยจิ้งไม่ใช่ผู้หญิงที่ปล่อยวางได้ง่ายๆ ถ้าให้เธออยู่กับบุคลิกที่หนึ่ง ชีวิตที่เหลืออยู่ก็คงต้องจมอยู่กับความทุกข์ไปตลอด
ดังนั้นวิธีของเสี่ยวเชี่ยนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อหูเหม่ยจิ้งและสามีของเธอในตอนนี้ และเป็นการทำตามความต้องการของโลนวูล์ฟ
“นั่นสิ คนที่มีชีวิตอยู่ต่อต้องได้รับความสุข แต่คนที่ตายไปแล้วล่ะ…” เสี่ยวเชี่ยนมองไปที่ป้ายหลุมศพ แต่ในสมองกลับคิดถึงลูกสาว
เจ็บปวดเพราะสูญเสียคนที่รักไปเหมือนกัน หูเหม่ยจิ้งใช้โรคบุคลิกสลับขั้วหลีกหนีความจริงได้ แต่ตัวเธอกลับยอมแบกรับความเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงลูกสาว
ถ้าโรคย้ำคิดย้ำทำเป็นการลงโทษในความล้มเหลวของการเป็นแม่ ถ้าอย่างนั้นเธอยอมรับการลงโทษไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้เจอลูกสาวอีกครั้ง เธอไม่มีทางลืมว่าตัวเองเคยได้ครอบครองนางฟ้าตัวน้อยๆแสนหวานคนนั้น
ทางเลือกนี้จิตใต้สำนึกของเธอเป็นตัวตัดสินใจ มาจากจิตวิญญาณอย่างที่ควบคุมไม่ได้
ทางเลือกสุดท้ายของหูเหม่ยจิ้งคือให้บุคลิกตัวตนที่หนึ่งของเธอถูกฝังไปกับโลนวูล์ฟในวันฝนตกนี้ นี่ก็เป็นความรักแบบหนึ่ง
เสี่ยวเชี่ยนใช้โรคย้ำคิดย้ำทำลงโทษตัวเองไม่ให้ลืมลูกสาว นี่ก็เป็นความรักเหมือนกัน
ไม่ต้องบอกว่าความรักแบบไหนลึกซึ้งกว่ากัน ไม่ต้องบอกว่าความรักแบบไหนมีค่ามากกว่ากัน บอกได้แค่ว่านิสัยเป็นตัวตัดสินโชคชะตา
“เสี่ยวเฉียง ถ้าวันหนึ่งให้นายเลือกระหว่าง ‘ลืมฉัน’ กับ ‘ความทุกข์’ นายจะเลือกอย่างไหน?”
“ไม่เลือกทั้งนั้น”
“หืม?” เสี่ยวเชี่ยนมองเขา
อวี๋หมิงหลางเอามือไปจับหน้าเธอพลางมองด้วยสายตาอ่อนโยน
“ผมจะให้คุณเป็นคนเลือก ถ้าคุณคิดว่าผมทุกข์แล้วคุณมีความสุขผมก็จะทุกข์ ถ้าคุณคิดว่าผมลืมคุณแล้วมันดีต่อคุณ ผมก็จะแสร้งทำเป็นลืมคุณ ขอแค่คุณมีความสุขเป็นพอ ถ้าวันหนึ่งผมเป็นเหมือนโลนวูล์ฟ—”
เสี่ยวเชี่ยนเอามือปิดปากเขา เขาเอามือเธอมาจูบเบาๆ
“ผมแค่อยากบอกว่า ถ้าเกิดมีวันนั้นขึ้นมาคุณจะต้องใช้ชีวิตต่ออย่างมีความสุขนะ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ‘ถ้า’อันน่าเศร้านี้ขึ้น ผมจะพยายามดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อผมคุณก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีเหมือนกัน หากพวกเราต้องแยกจากกันก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ แต่ในช่วงเวลาอันยาวนานของชีวิตนี้การได้อยู่ดูแลซึ่งกันและกันมันอาจทำให้การเดินทางของชีวิตสดใสยิ่งขึ้น ถ้าชีวิตมีทางเลือกที่ดีกว่าให้เรา แล้วทำไมเราถึงไม่พยายามเพื่อไปสู่ทางที่ดีล่ะ?”
ตอนที่ 528 วันเวลาที่แสนสงบ
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต่างจากชาติที่แล้วแน่นอน แต่จะเป็นตรงไหนที่แตกต่างนั้น ตัวเธอก็บอกไม่ถูก แค่รู้สึกว่าเป็นแบบนั้น
แต่ตอนที่มือของอวี๋หมิงหลางประสานเข้ากับมือเธอแน่น เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่หน้าหลุมศพของวีรบุรุษ หลังจากที่เป็นพยานให้กับคนรักสองคนที่ต้องแยกจากกัน เสี่ยวเชี่ยนก็เข้าใจแล้ว
“อันที่จริงฉันไม่มีนายก็สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้”
“อะไรนะ” ไหนล่ะคำสัญญา?
“แต่ช่วงเวลาที่มีนาย มันสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด”
มีชีวิตอยู่เหมือนกัน แต่คุณภาพการใช้ชีวิตจะเหมือนกันได้ยังไง
ชีวิตของเสี่ยวเชี่ยนถูกเรื่องราวต่างๆเข้ายึดครองพื้นที่จนเต็ม เธออยากปีนไปถึงจุดสูงสุดในหน้าที่การงาน ใช้ความพยายามของตัวเองปกป้องครอบครัว แต่ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร อยู่ในตำแหน่งไหน ในใจก็มักจะมีพื้นที่เหลือไว้ให้เขาเสมอ
ขาดไปก็จะไม่สมบูรณ์
มือใหญ่และมือเล็กกุมกันไว้ สีผิวตัดกันอย่างเห็นได้ชัด เบื้องหลังคือรูปถ่ายของโลนวูล์ฟ
ฝนหยุดแล้ว ความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ความอุ่นจากมือหนาของเขาส่งผ่านมาที่มือเล็กๆเธอ
หากในใจมีคนหรือเรื่องให้คิดถึงก็ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยแรงผลักดัน ถ้าชีวิตของคนเราได้ถูกกำหนดให้ต้องจากกัน ถ้าอย่างนั้นคนที่ชอบที่ได้เจอระหว่างทางบางทีก็อาจจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้เดินต่อไปได้อย่างมีความสุข
พ่อแม่ คนรัก ลูก คนเหล่านี้ที่ได้เดินทางร่วมกัน บางคนอาจเดินๆอยู่แล้วหายไประหว่างทาง ก็เหมือนกับโลนวูล์ฟของหูเหม่ยจิ้ง แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับหวังว่าอวี๋หมิงหลางจะสามารถเดินไปกับเธอได้จนถึงจุดหมายปลายทาง
“อวี๋หมิงหลาง”
“อืม” น้อยครั้งที่เธอจะเรียกชื่อเขาเต็มๆ
“นายต้องอยู่ไปนานๆนะ อยู่ให้นานกว่าฉันหนึ่งวันหรือหนึ่งวินาที ฉันเคยวิเคราะห์นิสัยของตัวเอง ฉันไม่มีทางเป็นบุคลิกสลับขั้ว ดังนั้นนายจึงต้องเป็นฝ่ายรอฉัน ไม่ใช่ฉันรอนาย เข้าใจไหม?”
“ได้”
สองมือประสานกันอย่างแน่นหนา เขาถอดเสื้อนอกออกมาคลุมไหล่ให้เธอ กำบังอากาศหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิให้กับเธอ เธอเอนตัวพิงกับตัวเขา เพื่อส่งผ่านความอบอุ่นไปยังเขา คนหนึ่งพันคนก็จะมีความรักหนึ่งพันแบบ สำหรับโลนวูล์ฟกับหูเหม่ยจิ้งแล้ว บทสรุปแบบนี้น่าจะเป็นตอนจบที่ดีที่สุดแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าเธอกับอวี๋หมิงหลางควรมีบทสรุปแบบไหนกันแน่ถึงจะดีที่สุด แต่เธออยากให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าวันนั้นจะมาถึง แล้วลองดูว่ามันจะใช่บทสรุปแบบที่เธอต้องการหรือเปล่า
……
เสี่ยวเชี่ยนรักษาในขั้นที่สามให้หูเหม่ยจิ้งไปก่อนหน้านี้ ทำให้ในตอนสุดท้ายใกล้จะสำเร็จเข้าไปทุกที
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกลับไปแล้วได้ปิดประตูคุยกับหูเหม่ยจิ้งตามลำพัง
ส่วนฉู่เซวียนสามีของหูเหม่ยจิ้งได้รออยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน มือของเขาประสานกันอย่างไม่รู้ตัว นี่คือช่วงที่สำคัญที่สุด
หัวหน้าใหญ่ยื่นบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวน เขารับมาด้วยมือสั่นๆแล้วจุดสูบ
อันที่จริงศาสตราจารย์หลิวก็อยากเข้าไป แต่เธอเชื่อในความสามารถของเสี่ยวเชี่ยน ไม่ว่าผลการรักษาจะเป็นไปตามความคาดหมายของทุกคนหรือไม่ เธอก็เชื่อว่าเสี่ยวเชี่ยนได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ต่อให้เปลี่ยนเป็นเธอรักษา ก็ไม่มีทางทำได้ดีกว่าเสี่ยวเชี่ยน
“เข้าไปตั้งนานแล้วทำไมยังไม่ออกมาอีก?” หัวหน้าใหญ่ถามคำถามที่อยู่ในใจฉู่เซวียน
ศาสตราจารย์หลิวส่ายหน้า “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็อยู่ที่ครั้งนี้แล้ว”
“เปอร์เซ็นต์สำเร็จสูงไหม? ทำไมผมรู้สึกว่าศาสตร์ของพวกคุณมันไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็ไม่รู้—” หัวหน้าใหญ่ยังไม่ทันพูดจบก็รู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากหญิงสูงวัยข้างๆ อยากจะหลบแต่ก็คิดได้ว่า—
ถ้าหลบจะเจ็บหนักกว่า ไม่หลบก็ถูกตบ แต่ถ้าหลบไม่แน่อีกหน่อยผู้หญิงคนนี้อาจไม่คุยกับเขาแล้ว
ดังนั้นหัวหน้าใหญ่จึงเลือกที่จะยืนตรงจนกระทั่งศาสตราจารย์หลิวฟาดฝ่ามือเข้าไปตบ เขาถึงได้โล่งใจ
ดูสิ ชีวิตคนเรามักจะมีเซอร์ไพร้ส์แบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ ไม่หลบน่ะดีแล้ว ไม่ถูกข่วน แค่ตบลงมาหนึ่งที
ศาสตราจารย์หลิวมีเหรอจะเข้าใจความคิดร้อยแปดตลบของหัวหน้าใหญ่ เธอไม่สบอารมณ์กับความสงสัยของหัวหน้าใหญ่ที่มีต่อวิชาชีพเธอเป็นอย่างมาก
“ทำไมจะไม่น่าเชื่อถือ?”
“สะกดจิตฟังๆดูเหมือนเป็นทริคที่ใช้หลอกคนยังไงก็ไม่รู้—” เตรียมยืนตรงให้พร้อม รอ ‘เซอร์ไพร้ส์’
ครั้งนี้ไม่ใช่ ‘เซอร์ไพร้ส์’ แต่ศาสตราจารย์หลิวข่วนเขา
ในใจของหัวหน้าใหญ่หวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่ก็ถอยไม่ได้ เขาก็แค่สงสัยแบบคนทั่วไป ทำไมต้องโหดขนาดนี้ด้วย
“การสะกดจิตสำหรับหลายๆคนดูเป็นเรื่องลึกลับ แต่หลังจากที่เข้าใจหลักการของมันแล้วก็จะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องมหัศจรรย์อะไร การสะกดจิตก็คือการข้ามผ่านความตระหนักรู้ไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของคน ตอนนี้เหม่ยจิ้งไม่อยากลืมเรื่องในอดีต แต่จิตใต้สำนึกของเธอกลับอยากลืม ดังนั้นตอนนี้ที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังทำก็คือเข้าไปสื่อสารกับจิตใต้สำนึกของเหม่ยจิ้ง”
“ความตระหนักรู้อะไร จิตใต้สำนึกอะไรกัน?” หัวหน้าใหญ่ถาม
“คุณเห็นข้างทางมีคนแก่ล้มอยู่จะเข้าไปพยุงไหม?” ศาสตราจารย์หลิวไม่ตอบ แต่ถามกลับ
“แน่นอน” หัวหน้าใหญ่มองภรรยาตัวเองด้วยความสงสัย
“คุณตอบออกมาได้นั่นก็คือความตระหนักรู้ มันคือกระบวนการรับรู้ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรื่องนี้ทำได้หรือไม่ได้ล้วนตัดสินมาจากความตระหนักรู้ของคุณ จิตใต้สำนึกตอบออกมาไม่ได้ แต่มันมีอิทธิพลต่อมุมมองที่เรามองคนอื่น หรือถึงขนาดที่ว่าความสามารถในการตัดสินใจกับการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายก็ล้วนมาจากจิตใต้สำนึกเป็นตัวตัดสินใจ เจ้าเล็กของพวกคุณเป็นคนที่ใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกได้เก่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา”
“ใช่ อวี๋หมิงหลางโดดเด่นมากในเรื่องนี้ เขามักจะวิเคราะห์ตัดสินใจสิ่งต่างๆได้อย่างน่าตกใจบ่อยๆ แต่เขากลับบอกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ สิ่งที่เขาคิดว่าไม่ถูก ขอแค่ทำการศึกษาให้ลึกลงไปก็จะพบว่ามันมีปัญหา จุดนี้ผมยังว่ามันน่าประหลาด ตอนซ้อมรบความสามารถของเขาโดดเด่นมาก อีกทั้งยังเกิดประโยชน์ในภารกิจสำคัญๆ”
การที่อวี๋หมิงหลางแสดงความสามารถออกมาได้อย่างโดดเด่นทั้งที่ยังหนุ่ม รวมถึงหน้าที่การงานของเขาที่โตเอาๆในชาติที่แล้ว ล้วนเกี่ยวข้องกับความสามารถพิเศษนี้ของเขา
“นี่เป็นความสามารถแฝงที่เกิดจากจิตใต้สำนึก อันที่จริงจิตใต้สำนึกของคนเราแต่ละคนถูกสะกดจิตอยู่ทุกวัน ข่าวสารด้านลบที่ได้จากเวลาคุยกับขาเม้าท์ซุบซิบล้วนถูกจิตใต้สำนึกซึมซับไว้ ซึ่งมันจะส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณในวันข้างหน้า ดังนั้นฉันถึงได้ไม่ชอบการสนทนาไร้สาระ”
“…มิน่าถึงได้ไม่ค่อยมีใครคบ”
ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่สาวๆ ถ้าใครมาคุยเรื่องที่เธอไม่อยากฟังเธอก็จะเดินหนีไปทำเรื่องของตัวเองทันทีโดยไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ดังนั้นทุกคนจึงบอกว่าเธอเป็นคนประหลาด
“คุณจะเข้าใจอะไร ดูเสี่ยวเชี่ยนศิษย์รักของฉันซิ คุณเคยเห็นเขาคุยไร้สาระกับคนอื่นหรือเปล่า? เขาไปนั่งเม้าท์ซุบซิบกับคนอื่นเมื่อไรกัน? แม้แต่ละครน้ำเน่ายังไม่ดูเลย ก็เพราะเขาไม่อยากให้สิ่งไร้สาระมาล้างสมองจิตใต้สำนึกของตัวเอง เขาถึงได้เก่งแบบนี้ไง ฉันภูมิใจในตัวเขามาก ฉันไม่เคยเจอเด็กอายุน้อยคนไหนมีความสามารถมากเท่านี้มาก่อน เดี๋ยวฉันกลับไปจะให้เพื่อนที่อยู่เมืองนอกช่วยดูพวกหนังสือมาให้เขา อีกทั้งฉันยังต้องสั่งสอนเขาด้วยตัวเอง เพื่อให้ดวงดาวได้เจิดจรัสบนท้องฟ้าต่อไป”
หัวหน้าใหญ่มองเสี่ยวเชี่ยนผ่านกระจก หูก็ฟังภรรยาของตัวเองชื่นชมลูกศิษย์ไม่หยุดหย่อน เขายืนไว้อาลัยให้เสี่ยวเชี่ยนเงียบๆ
คนที่ถูกผู้หญิงคนนี้ถูกใจน่าสงสารจริงๆ
เอ๊ะ? สถานการณ์ข้างในดูเหมือนจะเปลี่ยนไป?
ตอนที่ 529 มีตัวเองสองคน
“เสี่ยวเชี่ยนกำลังทำอะไรน่ะ?” หัวหน้าใหญ่เห็นเสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ใช้วิธีไหนทำให้หูเหม่ยจิ้งหลับไป แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ หูเหม่ยจิ้งที่กำลังหลับอยู่ยกมือขึ้นตามคำสั่งของเสี่ยวเชี่ยน
“เขากำลังพาเหม่ยจิ้งเข้าสู่ห้วงการสะกดจิตระดับลึก เด็กคนนี้เรียนด้วยตัวเองมาจนถึงขั้นนี้แล้ว…” ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกว่าฝีมือของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอที่เป็นที่ปรึกษาให้นักศึกษาปริญญาเอกเลย
มือใหม่สามารถเรียนรู้ทฤษีต่างๆได้จากตำรามากมายแต่ไม่รู้ว่าใช้อย่างไร แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับวินิจฉัยรายละเอียดในแต่ละจุดได้อย่างไร้ที่ติ คล้ายกับคนที่มีประสบการณ์แพทย์คลินิกสูง นี่เป็นสิ่งที่น่าทึ่ง
ถ้าเด็กคนนี้เรียนรู้ด้วยตัวเองจริง ถ้าอย่างนั้นพรสวรรค์กับความฉลาดก็เป็นที่น่าตกใจเหลือเกิน
“งั้นหลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้แล้วเหม่ยจิ้งจะดีขึ้นเหรอ?” หัวหน้าใหญ่ถามต่อ
“เหม่ยจิ้งต้องพึ่งตัวเองเจ็ดส่วน สามส่วนพึ่งเสี่ยวเชี่ยน”
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ? งั้นให้เสี่ยวลี่เข้าไปไหม?” เสี่ยวลี่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ศาสตราจารย์หลิวดูแล ตอนนี้ทำงานอยู่แผนกประสาทของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
“เปอร์เซ็นต์ที่เสี่ยวลี่จะทำสำเร็จยังสู้เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้เลย สามส่วนที่ว่าถือว่าสูงแล้ว เรื่องนี้ต้องพึ่งความสมัครใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เสี่ยวเชี่ยนทำจนสุดความสามารถของจิตแพทย์แล้ว จะให้ใครเข้าไปหรือแม้แต่ฉันเองก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าเขา”
“ท่าทางคุณจะพอใจในตัวนักเรียนคนนี้มากนะ” กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้ยินภรรยาเขาประเมินใครสูงขนาดนี้ นักศึกษาปริญญาเอกที่ศาสตราจารย์หลิวดูแลล้วนเป็นเด็กเก่งทั้งนั้น เสี่ยวเชี่ยนจะต้องมีความสามารถที่เหนือใครแน่นอน ศาสตราจารย์หลิวถึงได้ชื่นชมขนาดนี้
“พอใจมากกว่าตาแก่อย่างคุณเสียอีก รีบหลบไปอย่ามาบัง” ศาสตราจารย์หลิวเอามือดันหัวหน้าใหญ่ออก แล้วจับตามองท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนอย่างตั้งใจ
การรักษาของเสี่ยวเชี่ยนกับหูเหม่ยจิ้งเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุด
เมื่อหูเหม่ยจิ้งได้ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมดลงแล้ว เสี่ยวเชี่ยนลองสะกดจิตระดับลึกเข้าสู่จิตใต้สำนึกส่วนลึกของเธอ เพื่อทำให้ความทรงจำเรื่องโลนวูล์ฟเลือนลางแล้วลองปลุกบุคลิกที่สองของเธอขึ้นมา
ในระดับนานาชาติการสะกดจิตมีทั้งหมดหกระดับด้วยกัน ระดับสูงที่สุดก็คือระดับหก เสี่ยวเชี่ยนสะกดจิตให้หูเหม่ยจิ้งทีละระดับ สะกดจิตเสร็จหนึ่งครั้งก็ทดสอบหนึ่งครั้ง ถ้าสำเร็จก็จะเข้าสู่การสะกดจิตขั้นต่อไป
เมื่อเสี่ยวเชี่ยนเสร็จสิ้นจากการเข้าไปในโลกจิตใต้สำนึกของเธอแล้วปลุกเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หูเหม่ยจิ้งจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างการสะกดจิตไม่ได้
น้อยครั้งที่เสี่ยวเชี่ยนจะใช้เทคนิคการสะกดจิตระดับสูงแบบนี้เนื่องจากสภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกัน หากคิดจะสะกดจิตคนอย่างอวี๋หมิงหลางแค่ระดับหนึ่งก็ยังยาก มีเงื่อนไขสูงมากในการสะกดจิตสำหรับนักสะกดจิต ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ นักศึกษาที่เรียนด้านจิตวิทยาหลายคนแค่เคยได้ยินเรื่องนี้ แต่น้อยคนที่จะได้เห็นกับตา ดังนั้นการสะกดจิตระดับลึกแบบนี้จึงเรียกอีกอย่างว่า อาการประสาทหลอนด้านลบ
ตอนนี้แต่ละคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนล้วนต้องผ่านการคิดแล้วคิดอีก ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“เหม่ยจิ้ง ผนังที่อยู่ตรงหน้าคุณมีนาฬิกาอยู่หนึ่งเรือน พื้นหลังสีขาวเข็มสีดำ เข็มวินาทีเดินไปตามจังหวะ ตึก ตึก ฉันจะนับ 1 2 3 พอฉันนับถึง 3 คุณจะลืมตาขึ้น”
เสี่ยวเชี่ยนนับสาม อันที่จริงกำแพงเบื้องหน้าเธอขาวโพลน ไม่ได้มีนาฬิกาแขวนอยู่
นี่เป็นการทดสอบว่าหูเหม่ยจิ้งเข้าสู่ห้วงการสะกดจิตระดับไหน การที่เธอยกมือขึ้นมาได้ก็แสดงว่าได้เข้าสู่ระดับสี่แล้ว
เสี่ยวเชี่ยนนับเสร็จหูเหม่ยจิ้งก็ลืมตาขึ้น มองกำแพงที่ว่างเปล่า
“เหม่ยจิ้ง กี่โมงแล้วคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“สามโมงห้านาที”
“เห็นเข็มขยับไหม?”
“เห็นแล้ว”
ดีมาก เข้าสู่ระดับห้าแล้ว
เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นว่าสำเร็จก็ดีใจมาก ขอแค่เข้าสู่ระดับหกได้ก็เท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งทาง หลังจากผ่านระดับห้าได้ เสี่ยวเชี่ยนจึงเริ่มท้าทายเข้าสู่ระดับหก
ศาสตราจารย์หลิวที่อยู่ด้านนอกทั้งกังวลทั้งตื่นเต้น เสี่ยวเชี่ยนเหมือนขุมทรัพย์ที่ขุดเท่าไรก็ไม่หมด ในตัวเธอมีเซอร์ไพร้ส์มากเหลือเกิน
เสี่ยวเชี่ยนสะกดจิตระดับลึกให้หูเหม่ยจิ้งอย่างระมัดระวัง พอเธอเรียกหูเหม่ยจิ้งอีกครั้ง หูเหม่ยจิ้งก็เข้าสู่ระดับที่หกแล้ว
มาถึงตอนนี้สิ่งที่แสดงออกมาทั้งหมดล้วนเป็นสัญชาตญาณ ไม่มีใครควบคุมจิตใต้สำนึกกับจิตใจของตัวเองได้ เสี่ยวเชี่ยนเริ่มทำการล้างสมองหูเหม่ยจิ้งอย่างเป็นทางการ
หูเหม่ยจิ้งในตอนนี้ดูเหมือนกำลังเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับ ร่างกายของเธอผ่อนคลาย ยังคงได้ยินเสียงจากภายนอก ความตระหนักรู้ของเธอ 75%ได้เข้าสู่โลกภายในแล้ว ตอนนี้เธอไม่เห็น รับรู้เรื่องราวอื่นๆไม่ได้นอกจากเสี่ยวเชี่ยน ในสภาวะที่ถูกสะกดจิตระดับหกนี้ เธอจะยอมรับคำแนะนำและการชี้นำได้ง่าย
เสี่ยวเชี่ยนปลุกบุคลิกที่สองของเธออย่างง่ายดาย ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนเปิดเสียงสนทนาระหว่างเธอกับฉู่เซวียน หูเหม่ยจิ้งก็หลับตามีน้ำตาไหลออกมา
เสียงของฉู่เซวียนดังอยู่ภายในห้อง ตอนที่เขาพูดว่าไม่ว่าเธอจะเป็นใคร จะจำเขาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เสี่ยวเชี่ยนได้เอามือลูบท้องของเธอแล้วพูดอย่างนุ่มนวล
“ทุกอย่างในอดีตเป็นแค่ฝัน ในฝันคุณเคยรักและสูญเสีย แต่พอตื่นคุณก็ต้องเริ่มชีวิตใหม่ ผู้ชายที่ชื่อฉู่เซวียนคนนี้กำลังรอให้คุณกลับมาหาครอบครัว ในท้องของคุณมีลูกของคุณกับเขา พวกคุณรอคอยเด็กคนนี้มานานแล้ว อยากสร้างครอบครัวกับเขาไหม จะยอมกลับบ้านเพื่อไปดูผู้ชายที่กำลังรอคอยคุณอยู่หรือเปล่า?”
“ฝันของฉันมันเจ็บปวดมาก…ในฝันมีคนรอฉันอยู่…”
“เขาไม่ได้รอคุณ เป็นคุณที่ไม่ยอมปลดปล่อยตัวเอง ฟังฉัน ไม่ต้องกลัวที่จะลืมตามาดู ใครกำลังรอคุณอยู่? ตัวคุณเอง คนๆนั้นที่อยู่ในฝันหวังว่าคุณจะมีความสุข เขาอยากให้คุณเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างกล้าหาญ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแทนเขา”
“นั่นสิ เขาบอกกับฉันว่าจะทำให้ฉันมีความสุข…”
“ปล่อยวางอดีตถึงจะเดินไปสู่อนาคตได้ อดีตที่ผ่านไปไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ปล่อยให้มันอยู่กับตัวตนคุณในฝัน ตอนนี้คุณต้องไปเผชิญกับคนที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจ เหม่ยจิ้ง ไปเถอะ…”
หูเหม่ยจิ้งรู้สึกว่าตัวเองลอยไปลอยมาท่ามกลางความว่างเปล่า มีเสียงอ่อนโยนอันคุ้นเคยลอยมาจากที่ไกล
หลิวส่วงยืนอยู่ไม่ไกล น้ำเสียงของเขานุ่มนวล แต่เหม่ยจิ้งกลับเห็นสีหน้าเขาไม่ชัด ทุกอย่างเลือนลาง
“เหม่ยจิ้งกลับไปเถอะ กลับไปยังที่ที่คุณควรอยู่”
“แต่ว่า…เรื่องของพวกเราเป็นแค่ความฝันอย่างนั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงได้รู้สึกไม่อยากทิ้งมันไป ฉันอยากอยู่กับคุณตลอดไป” หูเหม่ยจิ้งยื่นมือไปอยากจะจับมือเขา
แต่กลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
“ละทิ้งได้ทุกอย่าง แต่กลับลืมไม่ได้สักอย่าง ไม่มีผมชีวิตคุณก็ยังคงต้องดำเนินต่อ” เสียงของหลิวส่วงดังก้องอยู่ข้างหู หูเหม่ยจิ้งเห็นเขาที่ยังคงอ่อนโยนดั่งวันวานแล้วส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด
“สิ่งที่ผมไม่อยากเห็นที่สุดก็คือคุณเสียใจ เหม่ยจิ้งพวกเราไม่ได้แยกจากกัน พวกเรายังคงอยู่ด้วยกัน คุณได้ทิ้งตัวคุณให้อยู่กับผมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
หูเหม่ยจิ้งลืมตาขึ้น เธอเห็นตัวเองอีกคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหลิวส่วง ตัวเธอคนนั้นกำลังยิ้มอย่างสดใส เธอมองมือของตัวเอง แล้วมองตัวเธอคนนั้นที่กำลังจูงมือหลิวส่วง แล้วก็เกิดความสงสัย
ทำไมตัวเธอมีสองคน?
ตอนที่ 530 ต้องการเจอเสี่ยวเฉียง
“พวกเราอยู่ด้วยกันมาตลอด คุณก็คือผม ผมก็คือคุณ พวกเราไม่เคยแยกจากกัน ทิ้งตัวตนนี้ไว้ให้ผม แล้วคุณก็กลับไป กลับไปอยู่เคียงข้างคนที่คุณแคร์…”
เสียงของหลิวส่วงค่อยๆห่างออกไปเรื่อยๆ หูเหม่ยจิ้งมองเขาพาตัวเธออีกคนหนึ่งไป ค่อยๆเดินหายไปท่ามกลางความมืดที่ว่างเปล่า น้ำเสียงที่นุ่มนวลของเสี่ยวเชี่ยนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆอยู่ข้างหู
อยู่ๆหูเหม่ยจิ้งก็อยากเห็นสีหน้าของหลิวส่วง เธออยากรู้ว่าใบหน้านั้นแสดงอารมณ์อย่างไรต่อเธอ จะโกรธเกลียดหรือไม่ให้อภัยหรือเปล่า?
คล้ายกับล่วงรู้ความคิดของเธอ หลิวส่วงที่พาหูเหม่ยจิ้งอีกหนึ่งตัวตนไปทันใดนั้นก็หันมา ในขณะเดียวกันบรรยากาศรอบตัวจากที่มืดมนก็ปรากฏแสงสว่าง
เหมือนกับยามบ่ายตอนเจอกันครั้งแรก เขาที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวยิ้มสดใสให้เธอ เหมือนกันทั้งน้ำเสียงและสีหน้า
“เหม่ยจิ้ง ผมหวังว่าคุณจะมีความสุข ลืมผมแล้วกลับไปยังที่ที่คุณควรอยู่ การที่คุณมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุขก็คือความสุขที่สุดแล้วของผม ลาก่อนเหม่ยจิ้ง”
เขาไม่เกลียดเธอ…น้ำตาของหูเหม่ยจิ้งไหลออกมา เธอยังอยากเหนี่ยวรั้งคนรักเก่า แต่เขากลับค่อยๆลอยขึ้นไปท่ามกลางเสียงเพลงอันแผ่วเบา พาตัวตนเดิมของเธอไป ความว่างเปล่าที่อยู่รอบตัวกลับกลายเป็นมีดอกไม้เบ่งบานประกอบเพลงที่เขาชอบ ในที่สุดจิตใต้สำนึกอันว่างเปล่าของเธอก็กลับสู่ฤดูใบไม้ผลิ
และในโลกของจิตใต้สำนึกที่เต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มนี้ เสียงของเสี่ยวเชี่ยนคล้ายกับเส้นทางกลับบ้านอันแสนอบอุ่น ค่อยๆเรียกเธอ กลับบ้านเถอะ
หูเหม่ยจิ้งลืมตา สมองของเธอว่างเปล่า
“หมอเฉิน…? มาอยู่ที่นี่ได้ไงคะ?”
“ฉันอยู่ตรงนี้มาตลอด เหม่ยจิ้ง จำได้ไหมว่าเมื่อครู่คุณทำอะไรไป?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าในโลกจิตใต้สำนึกของหูเหม่ยจิ้งเกิดอะไรขึ้น ตอนที่ถามหูเหม่ยจิ้งมือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญของการทดสอบผลลัพธ์
ล้มเหลวหรือสำเร็จก็อยู่ที่ครั้งนี้
“ฉัน…มันเหมือนกับเป็นความฝันที่ยาวนาน…” หูเหม่ยจิ้งพยายามนึก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอเจอกับอะไรบ้างในความฝัน
“มันเป็นความฝันแบบไหนพอจะบอกได้ไหมคะ?” เสี่ยวเชี่ยนแทบหยุดหายใจ
“มันเป็นฝันแบบ…เศร้าหน่อยๆ แต่กลับอบอุ่น…” หูเหม่ยจิ้งมองหยาดน้ำตาบนมือด้วยความสงสัย เธอร้องไห้เหรอ? เธอลูบใบหน้าตัวเอง ทำไมเธอถึงร้องไห้ล่ะ?
“หมอเฉิน ฉู่เซวียนไปไหนเหรอคะ? ฉันจำได้ว่า…ดูเหมือนพวกเรามาโรงพยาบาลด้วยเรื่องบางอย่าง” ตอนนี้หูเหม่ยจิ้งกำลังสับสน
ในส่วนลึกของจิตใจเธอมีความเจ็บปวดบางอย่าง แต่ก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก คล้ายกับว่าได้รับชีวิตใหม่ จิตใต้สำนึกบอกเธอว่า ต้องพยายามอยู่ต่อไป จะต้องอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข แต่ทำไมตัวเธอถึงพูดไม่ออก
“เขารอคุณอยู่ตลอด” เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินหูเหม่ยจิ้งพูดแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สำเร็จแล้ว
เธอหันไปโบกมือให้ด้านนอก ฉู่เซวียนรีบผลักประตูเข้ามาชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว เขาอยากพุ่งเข้าไปหาหูเหม่ยจิ้งแต่ใจหนึ่งก็ไม่กล้า ยืนลังเลอยู่ตรงนั้น สายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ฉู่เซวียน คุณยืนทำอะไรน่ะ เข้ามาสิ” หูเหม่ยจิ้งพูด
ประโยคนี้ทำให้น้ำตาลูกผู้ชายของฉู่เซวียนไหลออกมา เขาเข้าไปจับมือหูเหม่ยจิ้งไว้แน่น
“จิ้งจิ้ง คุณจำผมได้แล้ว”
“ไร้สาระ คุณเป็นสามีฉัน ฉันจะลืมคุณได้ไง? เอ๊ะ ทำไมฉันถึงพูดอะไรแบบนี้?” หูเหม่ยจิ้งเอามือปิดปากด้วยความสงสัย เธอควรจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไม่ใช่เหรอ?
“จะเป็นไงไม่สำคัญหรอก คุณกลับมาก็ดีแล้ว จิ้งจิ้งผมคิดถึงคุณมาก” ฉู่เซวียนกอดหูเหม่ยจิ้งร้องไห้ใหญ่
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนทำการรักษา คนที่เครียดที่สุดก็คือเขา
“จะเป็นพ่อคนอยู่แล้วอย่าบุ่มบ่ามสิคะ เดี๋ยวคนท้องตกใจจะทำไงคะ?” เสี่ยวเชี่ยนเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเป็นห่วงดี
ลืมแล้วถึงเป็นความสุข หอบเอาความรักของคนที่ตายไปแล้วมาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
“คนท้อง?” ความทรงจำบางอย่างของหูเหม่ยจิ้งยังคงเลือนราง
“คุณจะเป็นแม่คนแล้วยินดีด้วยนะคะ คลอดเมื่อไรอย่าลืมบอกฉันนะคะ ฉันจะไปกินไข่มงคล[1]ที่บ้านพวกคุณ” เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็เตรียมเดินออก
ในที่สุดก็จัดการได้ เรื่องนี้จบลงอย่างสวยงาม แต่ทำไมในใจเธอถึงได้รู้สึกเหนื่อยล้าแบบนี้ เห็นหูเหม่ยจิ้งกลับมาสู่ครอบครัวได้ แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับรู้สึกอึดอัดในใจอย่างบอกไม่ถูก
“หมอเฉิน ขอบคุณนะครับที่ดูแลเหม่ยจิ้งของผม ผมสามารถจากไปอย่างหมดห่วงได้แล้ว คุณเป็นจิตแพทย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด สู้ๆนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ—หืม?” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองฉู่เซวียนที่กำลังกอดกับหูเหม่ยจิ้งด้วยความสงสัย
เสียงของฉู่เซวียนเพราะขนาดนี้เลยเหรอ?
“เมื่อกี้คุณพูดอะไรหรือเปล่าคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถามฉู่เซวียน ฉู่เซวียนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความสุขเงยหน้าด้วยความสงสัย
“เปล่านี่ครับ มีอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนหันซ้ายหันขวา ทันใดนั้นก็นึกถึงคำพูดของหูเหม่ยจิ้ง หลิวส่วงเป็นคนที่มีเสียงไพเราะ เธอรู้สึกเสียวสันหลังทันที…
พอออกจากห้องผู้ป่วยก็เห็นสองสามีภรรยารออยู่ไม่ไกล เนื่องจากบุคลิกที่สองของหูเหม่ยจิ้งเพิ่งจะถูกปลุกขึ้นมา ศาสตราจารย์หลิวกลัวการปรากฏตัวของตัวเองไปทำให้อารมณ์ของหูเหม่ยจิ้งไม่มั่นคง จึงไม่ได้เข้าไป
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนเดินมา ศาสตราจารย์หลิวก็ตบบ่าเสี่ยวเชี่ยน
“เสี่ยวเชี่ยนเธอเก่งมาก”
เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ได้สติจากเสียงที่เพิ่งได้ยิน พอถูกอาจารย์ตีบ่าก็ได้สติทันที
“อาจารย์ว่า หลังจากที่สะกดจิตระดับหกแล้ว ตัวนักสะกดจิตจะมีอาการภาพหลอนหรือหูแว่วหรือเปล่าคะ?”
“ก็เป็นไปได้ เพราะตอนที่สะกดจิตให้คนอื่นเธอก็อาจเข้าสู่ห้วงสะกดจิตตนเองก็เป็นได้ มีอะไรเหรอเสี่ยวเชี่ยน?”
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าไม่พูดอะไร เสียงอ่อนโยนเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็นอาการหูแว่วจากการสะกดจิตของเธอหรือว่า…
เอาเป็นว่าเรื่องนี้ในที่สุดก็จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
แต่ในใจยังคงรู้สึกโหวงๆนิดหน่อย ก็เหมือนกับเมื่อชาติก่อนหลังจากที่เธอรักษาอาการที่มีความซับซ้อนเป็นพิเศษแล้วได้เกิดความกดดันอย่างรุนแรงจากคนไข้ที่ส่งมาให้เธอ…
“เสี่ยวเชี่ยน เธอไม่เป็นอะไรนะ?”
“หนูอยากได้เหล้าเหมาไถสักขวด—ไม่สิ หนูต้องการอวี๋หมิงหลางค่ะ”
“เธอต้องการ…อะไรนะ?” หัวหน้าใหญ่ได้ยินไม่ชัด
“หนูจัดการเรื่องในหน่วยของหัวหน้าใหญ่ให้แล้ว ยังไงก็ต้องเก็บค่าใช้จ่าย หนูไม่ต้องการเงิน เอาอวี๋หมิงหลางมาใช้หนี้หนึ่งวันหนึ่งคืนพอค่ะ”
“เสี่ยวเชี่ยน ล้อฉันเล่นเหรอ?” เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าใหญ่ได้ยินเอาคนใช้หนี้
“ทำตามที่เธอบอก” ศาสตราจารย์หลิวพูด
หัวหน้าใหญ่ยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นสายตาของศาสตราจารย์หลิว เป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปี เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ได้ ฉันจะตามเขามาเดี๋ยวนี้”
“ให้เขาไปหาหนูที่ร้านคาราโอเกะเย่กวง นับแต่นี้ไปเขาเป็นของหนูคนเดียว ห้ามหาข้ออ้างมาพาเขาไป เช้าวันมะรืนหนูจะปล่อยเขากลับหน่วยเองค่ะ”
“เสี่ยวเชี่ยน มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?” ศาสตราจารย์หลิวพอจะเข้าใจอาการของเสี่ยวเชี่ยนในตอนนี้แล้ว จึงถามด้วยความเป็นห่วง
เสี่ยวเชี่ยนโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ พอหนูเห็นอวี๋หมิงหลางก็ไม่เป็นไรแล้ว หนูไปก่อนนะคะอาจารย์”
เธอเดินออกโดยไม่หันกลับไปมองอีก สถานที่แห่งนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจ
หัวหน้าใหญ่โทรศัพท์พลางบ่น “นี่ผมถือเป็นการเอาเรื่องส่วนตัวมาเบียดบังงานหรือเปล่า? ถึงเช้าวันมะรืนมันหนึ่งวันหนึ่งคืนที่ไหน สองคืนหนึ่งวันต่างหาก…”
[1] ไข่มงคล ตามธรรมเนียมโบราณของจีน หากบ้านไหนคลอดลูกก็จะมีการแจกไข่มงคลให้กับคนที่มาเยี่ยม โดยคำว่าไก่พ้องเสียงกับคำว่าศิริมงคล ดังนั้นจึงใช้ไข่ไก่มาทำเป็นไข่มงคล
ตอนที่ 531 เป็นเธอเหรอเนี่ย
“คุณจะเข้าใจอะไร ที่เสี่ยวเชี่ยนขอก็เหมาะสมแล้ว คุณรู้หรือเปล่า ว่าเพื่อรักษาเหม่ยจิ้งเด็กคนนี้สะเทือนใจมาก มองไม่ออกเหรอว่าเขากำลังพยายามปรับอารมณ์น่ะ?”
“รุนแรงขนาดนั้นเลย?” มือหัวหน้าใหญ่ที่กำลังกดปุ่มหยุดชะงัก
จากนั้นก็ถูกข่วนโดยไม่เหนือความคาดหมาย…
“นี่คุณ ผมสังเกตดูนะ ตั้งแต่เหม่ยจิ้งป่วยคุณก็ชอบข่วน เกิดปีแมวเหรอ?”
อีกทั้งชอบข่วนอยู่ที่เดียว เปลี่ยนที่ข่วนบ้างไม่ได้หรือไง
“เพราะตาแก่อย่างคุณมันโง่ไง ถ้านักเรียนของฉันสมองช้าแบบคุณล่ะก็ฉันคงส่งคืนไปนานแล้ว”
“นิสัยเอะอะก็โมโหร้ายอย่างคุณถ้าเป็นทหารของผมล่ะก็ ผมถีบ—” หัวหน้าใหญ่พอเห็นศาสตราจารย์หลิวถลึงตาใส่ก็เสียวสันหลัง รีบเปลี่ยนเรื่อง “ผมชมไปนานแล้ว คุณนายเสี่ยวหลิวดูท่าทางฮึกเหิมมีพลังดีจังนะครับ”
ผู้ชายที่รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์จะไม่ถูกข่วน เยี่ยมมาก
“ฉันบอกว่าคุณสมองช้ายังไม่ยอมรับอีก คุณเป็นแบบนี้อยู่แล้ว เมื่อกี้ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจิตใต้สำนึกของคนเป็นยังไง?”
“ใช่ คุณบอกแล้ว” แต่ผมไม่เข้าใจไง
หัวหน้าใหญ่กล้าโวยวายแค่ในใจ เรื่องเกี่ยวกับวิชาชีพเฉพาะแบบนั้นเขาฟังเข้าใจก็บ้าแล้ว แต่ก็ต้องยอมเชื่อฟังให้ความร่วมมือไป
“เรื่องทุกอย่างที่ปกติพวกเราได้เจอ ได้เห็น ล้วนจะส่งผลต่อจิตใต้สำนึก ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนรักษาให้เหม่ยจิ้ง จิตใต้สำนึกของเขาก็ได้รับผลกระทบ เหม่ยจิ้งส่งผ่านอารมณ์ด้านลบให้เขา ตอนนี้เหม่ยจิ้งลืมไปแล้ว แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับนึกถึงเรื่องที่ไม่สบายใจ ไม่เห็นสีหน้าเขาเหรอว่าดูแย่แค่ไหน?”
ศาสตราจารย์หลิวมองตามหลังเสี่ยวเชี่ยนพลางพูดพึมพำด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อกี้เขาถามฉันเรื่องหูแว่วด้วย เด็กคนนี้…เก็บทุกอย่างมาใส่ใจหมด”
ถึงแม้เสี่ยวเชี่ยนจะไม่เคยยอมรับว่าตัวเองเป็นคนดี ถึงขนาดที่ว่าชอบหาว่าตัวเองเป็นคนเลวบ่อยๆ แต่ศาสตราจารย์หลิวกลับเห็นในความพยายามของเธอเป็นอย่างมากตอนรักษาคนไข้ และด้วยความที่ตั้งใจมากจนเกินไป เสี่ยวเชี่ยนจึงตกอยู่ในห้วงความเศร้าของหูเหม่ยจิ้ง ยากที่จะดึงตัวเองออกมา ความรู้สึกแบบนี้จิตแพทย์มักเจอบ่อยๆ หรือที่เรียกกันว่าเกิดความรู้สึกร่วม
“อืมๆ เสี่ยวหลิวพูดถูก” หัวหน้าใหญ่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่จริงๆแล้วเขาก็ยังคงไม่เข้าใจ
“จิตแพทย์เป็นอาชีพที่ไม่ง่าย ทุกวันต้องสัมผัสกับคนที่มีปัญหาทางจิตใจ ความรู้สึกด้านลบนี้พอส่งผ่านไปที่หมอก็จะหลงเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึก หมอที่ดีต้องเกิดความรู้สึกร่วมไปกับคนไข้ แต่ความรู้สึกแบบนี้ถ้าระบายออกไปไม่ได้ หลงเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึกมันก็จะก่อตัวเป็นขยะ สร้างความรำคาญใจให้หมอ ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ยินข่าวจิตแพทย์เป็นโรคซึมเศร้า ฉันจะรู้สึกเสียดายมาก”
“ใช่ๆ เสียดายๆ—อะไรนะ? เสี่ยวเชี่ยนจะเป็นโรคซึมเศร้าเหรอ?” ในที่สุดหัวหน้าใหญ่ก็เข้าใจสักประโยคแล้ว
ปรากฏว่าก็ยังถูกข่วนอยู่ดี
“อย่าพูดบ้าๆ เสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางเป็นโรคซึมเศร้า เพราะว่า—” ศาสตราจารย์หลิวชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของหัวหน้าใหญ่ “รีบโทรไปออกคำสั่งสิ ให้เจ้าเล็กรีบไปหาเสี่ยวเชี่ยน ลูกศิษย์ฉันต้องมาเป็นแบบนี้เพราะจัดการเรื่องให้พวกคุณไง เร็วๆ ถ้าจัดการไม่ดีล่ะก็ต่อไปคุณไม่ต้องกลับบ้านเลยนะ ฉันไม่ต้องการคุณ”
“……” พูดอย่างกับว่าตอนนี้ต้องการ ใบหย่ายังไม่ได้เปลี่ยนเป็นใบทะเบียนสมรสเลยนะ
หัวหน้าใหญ่แอบบ่นในใจแต่ก็รีบทำตามโดยดี โทรไปที่หน่วยแล้วใช้สถานะความเป็นผู้บัญชาการระดับสูงสั่งภารกิจให้อวี๋หมิงหลาง
พอวางสายในใจหัวหน้าใหญ่ยังคงคิดเรื่องที่ศาสตราจารย์หลิวพูดเมื่อครู่
“คุณบอกว่าเสี่ยวเชี่ยนไม่มีทางเป็นโรคซึมเศร้าเพราะอะไรเหรอ?”
“เพราะเขาหาวิธีระบายอารมณ์ได้แล้ว หัวใจมีที่พักพิง ก่อนหน้านี้ฉันยังรู้สึกว่าหมั้นเร็วไป ตอนนี้พอมาดูมันก็มีข้อดีเหมือนกัน บางทีคนมีพรสวรรค์แบบนี้ก็ควรมีบางอย่างมายึดเหนี่ยวไว้ให้ใจเขาไม่ลอยไปไกล เวลาเศร้าๆมีคนคอยช่วยเขาแบ่งเบาความรู้สึก”
แก่นแท้ของคำว่าครอบครัวควรเป็นแบบนั้น
อย่างอื่นฟังไม่เข้าใจ มีแค่ประโยคนี้ที่หัวหน้าใหญ่เข้าใจ เขาแกล้งไอ
“เอ่อคือ เสี่ยวหลิว วันนี้บ่ายผมยังมีเวลาสองชั่วโมง ตอนนี้คุณก็ว่างๆ คือ พวกเรา พวกเรา—”
หัวหน้าใหญ่เก็บคำพูดมานานก็ยังคงพูดไม่ออกอยู่ดี
“เหล่าหลิว พูดจาติดอ่างตั้งแต่เมื่อไร ต้องการให้ฉันรักษาไหม?”
“ผมหมายความว่า ในเมื่อพวกเราต่างว่าง ไม่สู้ไปจดทะเบียนกัน เปลี่ยนใบหย่าให้เป็นสีแดง? คุณดูสิ เด็กๆต่างมีที่พักพิงทางใจกันหมดแล้ว วันๆคุณรักษาคนตั้งเยอะ ผมก็เป็นห่วงว่าคุณจะอารมณ์ไม่ดี ผมทำเพื่อประเทศนะ เพื่อประเทศชาติ”
พอถูกศาสตราจารย์หลิวถลึงตาใส่ หัวหน้าใหญ่ก็เปิดโหมดเพ้อเจ้อออกมาทันที เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง
ศาสตราจารย์หลิวทั้งโมโหทั้งขำ “คุณนี่ชอบรนหาที่ตายทำให้ฉันโกรธ เกี่ยวอะไรกับประเทศชาติ? ทางการฝึกฝนคุณมาตั้งนาน คุณตอบแทนประเทศแบบนี้เหรอ? อีกอย่างนะฉันมีวิธีระบายอารมณ์ของฉัน คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“เอ่อ…” หัวหน้าใหญ่ชินกับลูกไม้แพรวพราวของภรรยานานแล้ว ถูกปฏิเสธควรจะรู้สึกแย่ แต่เขาไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกมีความกล้าหาญอย่างไร้ขีดจำกัด
“งั้นทำเพื่อผมได้หรือเปล่า? ให้ใจของผมได้มีที่พักพิง มีคุณกับลูกอยู่ด้วยใจผมก็มั่นคง ไปทำงานก็วางใจ เสี่ยวหลิวพวกเราแยกกันอยู่นานแล้วนะ ผมคิดได้แล้ว ต่อไปผมจะขยันซักผ้า ขยันทำอาหาร คุณหายโกรธผมเถอะนะ”
“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเสื้อผ้าเลย เป็นที่ตัวคุณเอง—” ศาสตราจารย์หลิวชะงัก ตาแก่นี่พูดมาได้ขนาดนี้คงไม่ง่ายเลยสินะ จะไปหวังให้คนอย่างเขาแก้นิสัยก็คงไม่ได้ แค่นี้ก็ทำได้เกินความคาดหมายแล้ว
หัวหน้าใหญ่มีสีหน้าผิดหวัง ไม่ได้จริงๆด้วย…
“วันนี้ไม่ได้”
“อ่อ…” กะแล้วว่าไม่ได้
“จะจดทะเบียนใหม่คุณไม่ต้องรายงานเบื้องบนเหรอ? ไปทั้งแบบนี้ได้เลยหรือไง?”
เอ๊ะ? หัวหน้าใหญ่ดีใจสุดขีด แบบนี้ก็แสดงว่ายอมแล้วใช่ไหม?
“นี่ คุณลากฉันทำไม”
“ลากไปหาผู้บังคับบัญชา ถ้าไม่ทำเรื่องให้เดี๋ยวนี้พวกเราก็อยู่กินข้าวเย็นบ้านเขาไปเลย ถือโอกาสรอเงินรับขวัญด้วย”
“ยางอายมีไหม…”
ตอนที่อวี๋หมิงหลางรับเรื่องในใจเต็มไปด้วยความสงสัย
หัวหน้าใหญ่บอกว่ามีภารกิจพิเศษมอบให้เขา สั่งให้เขาแต่งตัวธรรมดาแล้วไปที่ร้านคาราโอเกะเย่กวงให้ไวที่สุด เช้าตรู่วันมะรืนค่อยกลับหน่วย
แต่ไปถึงที่นั่นแล้วให้ทำอะไรหัวหน้าใหญ่ไม่ได้บอกรายละเอียด บอกแค่ว่าไปถึงก็รู้เอง
ตอนที่อวี๋หมิงหลางไปถึงแล้วเห็นเสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่หน้าร้านเขาก็รู้สึกตกใจ
เสี่ยวเชี่ยนเห็นเขาลงจากรถในมือถือกุญแจ สองขายาวที่อยู่ในชุดกางเกงยีนส์เดินฝ่าฝูงชนมาทางเธอ ความรู้สึกแย่ที่มีอยู่ในใจก็สลายไปมาก
คล้ายกับว่าการปรากฏตัวของเขา โลกจากที่มืดแปดด้านก็มีสีสันขึ้นมาทันที ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ขอแค่สายตาประสานกัน ความรู้สึกด้านลบในจิตใจก็หายไปไม่น้อย
“ทำไมเป็นคุณล่ะ?” ภารกิจของเขาคือลูกเชี่ยนเหรอ?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น