สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด 52-58

 บทที่ 52 ผู้แก้แค้นที่แท้จริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ฉัน…ไม่เคยคิดจะฆ่าเขาเลย…”


แอนนาใช้สองมือปิดหน้าของตัวเองไว้ เสียงที่ดังลอดมาจากระหว่างนิ้วของเธอจึงไม่ค่อยชัดเท่าไร “แต่ฉัน แต่ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้…เขาไม่ควรขู่เยฟิม…ในเมื่อเขาหนีลอดออกมาแล้ว ทำไมยังจะกลับมาอีก”


เธอต้องพูดเรื่องพวกนี้ออกมา


เธอเก็บซ่อนมันเอาไว้จนอึดอัดทนไม่ไหวอีกแล้ว


“โชคดีที่เขาบอกว่าอยากเจอฉัน…” แอนนาปล่อยมือ สูดลมหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ใช่ ถูกต้อง ฉันยิงปืนใส่เขาจริงๆ แต่ฉันไม่เคยคิดจะฆ่าเขาเลย บางทีเขาอาจจะบาดเจ็บสาหัส แต่อย่างน้อยเขาก็ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย…เยฟิมไม่ปล่อยคนที่ขู่เขารอดไปโดยเด็ดขาด ยูริไม่น่ากลับมาเลยจริงๆ”


ลั่วชิวกำลังมองแอนนา แล้วพูดอย่างไร้ความรู้สึกว่า “แต่คุณแอนนายิงปืนใส่เขาไปจริงๆ ไม่ใช่หรือครับ? ไม่ว่าจะเอาเหตุผลแบบไหนมาอ้าง วินาทีที่คุณยิงปืนนั้น ก็ได้ทำให้คุณยูริเจ็บปวดมากที่สุดแล้ว…หรือจะบอกว่า หลังจากนี้คุณคิดจะสารภาพกับเขา เพื่อให้เขายอมยกโทษให้คุณ?”


แอนนากลับส่ายหน้าเล็กน้อย


เธอสูดลมหายใจลึกๆ อีกครั้ง “ฉันจะไม่ทำแบบนั้น เขาแค่ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลสักพักก็พอแล้ว ฉันไม่คิดจะมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีก ถึงแม้ชีวิตนี้เขาจะไม่อภัยให้ฉัน ฉันก็ไม่ว่าอะไร แม้ว่าสุดท้ายเขาจะหลอกฉันให้กลับมาหาเยฟิมโดยไม่บอกว่าขายภาพให้เยฟิมไปแล้วเพื่อให้ฉันตาย ฉันก็ไม่โทษเขา”


เธอหัวเราะคล้ายเยาะเย้ยตัวเอง “แต่ฉันคิดไม่ถึง เกรงว่าเขาก็คงคิดไม่ถึง…ว่าพวกเราจะได้เจอพวกคุณ”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่ไม่ว่าจะเป็นคุณแอนนา หรือคุณยูริ พวกคุณต่างก็มีความปรารถนารุนแรงมาก”


ในฐานะที่เป็นเจ้าของสมาคม ลั่วชิวไม่คิดอธิบายกับลูกค้า…เพราะความปรารถนาของพวกเขารุนแรงพอจะล่อหมาป่าที่หิวโหยตัวหนึ่งมาได้


ตอนที่การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้น เจ้าของสมาคมที่มีอำนาจไร้ขีดจำกัดก็ต้องแบกรับภารกิจของลูกค้าที่มาอยู่ตรงหน้านี้


“จริงเหรอ” แอนนาหัวเราะฝืนๆ


ตอนที่เยฟิมบีบคอเธอ เธอรู้ดีว่าความแค้นและความโกรธในใจเธอรวมถึงความไม่พอใจนั้นเป็นอย่างไร


“ฉันใช้เวลาสามปีเต็มๆ ใช้ทุกวิถีทาง สุดท้ายก็ได้เข้าใกล้ข้างกายเยฟิม และเริ่มได้รับความไว้วางใจจากเขา!” แอนนาพูดเสียงทุ้มต่ำ “ฉันยังไม่ได้เอาไอ้มารชั่วนี่ลงนรกด้วยมือตัวเองเลย ก่อนให้เขาได้รับกรรมชั่วทั้งหมด ฉันจะตายไปได้ยังไงล่ะ! ฉันจะยอมให้ตัวเองตายไม่ได้ ถึงแม้ต้องตาย ฉันก็จะลากเขาไปลงนรกด้วยกัน!”


“ฉันต้องให้ตัวเองมีชีวิตอยู่…มีชีวิตอยู่จนกว่าจะได้เห็นเขาทุกข์ทรมานเจ็บปวด หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง และตายทั้งเป็น!”แอนนากัดฟัน ดวงตาของเธอมีความอาฆาตที่ไม่จางหายไป “ไม่ว่าจะใช้วิธีแบบไหนก็ตาม”


“ดังนั้นตอนที่คุณเจอคุณยูริ ก็เลยคิดจะใช้ประโยชน์จากเขาใช่ไหมครับ” ลั่วชิวพูดอย่างแปลกใจ


แอนนาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง เธอฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันทำได้แค่ฝืนยิ้มอยู่ข้างกาย เยฟิมทุกวันๆ เขาไม่เคยเชื่อใจฉันจริงๆ หรอก ฉันจึงจำเป็นต้องทำอะไรสักหน่อย…ฉันต้องล่อให้เขาทำผิดพลาด ตอนที่ฉันเจอยูริที่แกลเลอรีนั้น ฉันก็รู้ว่าโอกาสของฉันมาถึงแล้ว”


“ฉันรู้ว่าเยฟิมเป็นคนไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ฉันเลยบอกแผนของฉันกับเขา แล้วเขาก็เห็นด้วยทันที” แอนนาก้มหน้าพูดเสียงเบาๆ ว่า “ฉันเริ่มรู้จักกับเขาตั้งแต่วันนั้นแล้ว สวรรค์มอบพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้กับเขา แต่เขากลับไม่ได้รับโอกาสใช้พรสวรรค์นี้เลย…เขามีความฝันของตัวเอง เขาฝันว่าอยากเป็นนักวาดรูปมืออาชีพให้ได้ เขาหวังว่าผลงานของเขาจะได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และหวังว่าจะสร้างโลกที่เป็นของตัวเองได้”


“แต่สุดท้ายฉันก็ยังใช้ประโยชน์จากความฝันของเขา” แอนนาพูดเบาๆ “ฉันบอกเขาว่ามีโอกาสให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริง ตอนแรกเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้ เลยลอกเลียนภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ อย่างตั้งใจเต็มที่ เพียงเพราะฉันบอกเขาว่าทำแบบนี้แล้วถึงจะแสดงความสามารถของเขาให้ลูกค้าคนหนึ่งดูได้…แต่สุดท้ายเขาก็ยังจับสังเกตได้”


แอนนาส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่โอกาสสร้างชื่ออะไรเลยสักนิด เขาเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่เยฟิมใช้มาหาเงินเท่านั้น…เขาไม่สามารถทำให้ภาพของตัวเองเป็นที่รู้จักในโลกได้โดยแท้จริง ไม่มีแม้แต่โอกาสวาดสิ่งที่ตัวเองอยากวาดจริงๆ ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงแค่ภาพวาดของคนอื่น แต่สุดท้ายเขาก็ยังวาดภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพแรกได้สำเร็จ“


“ผมคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะคุณแอนนา”


แอนนายักไหล่เล็กน้อย แล้วพูดเสียงเศร้าว่า “ฉันรู้…ฉันรู้หมดนั่นแหละ ฉันเข้าใจความรู้สึกที่เขามีให้ฉันดี…แต่ฉันไม่รับรัก และก็ไม่สามารถรับรักเขาได้ เพราะฉันเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าลืมเป้าหมายสำคัญ! ฉันจะต้องให้เยฟิมรับโทษที่เขาสมควรได้รับ เพียงเพราะแบบนี้ เพียงเพราะแบบนี้…เพียงเพราะแบบนี้…มีแค่แบบนี้เท่านั้นถึงทำให้ผู้คนที่ประสบเคราะห์ร้ายเพราะปีศาจเยฟิมตัวนี้ตายตาหลับเสียที”


“เหมืองถ่านหินรัสปาสกาย่าเหรอ?” ลั่วชิวพูดขึ้นทันที


“คุณรู้เรื่องนี้?” แอนนาเงยหน้าขึ้นมาทันที


เจ้าของร้านลั่วพูดอย่างเฉยเมยว่า “เปล่า แต่ก่อนหน้านี้เจอผู้ชายคนหนึ่ง เขาก็เป็นคนที่ออกมาจากเหมืองแห่งนี้เหมือนกัน”


“จริงเหรอ”


แอนนาไม่ได้ซักถามว่าคนคนนี้คือใครกันแน่ เธอแค่ถอนหายใจอย่างแรง “เหมืองรัสปาสกาย่า…นั่นเป็นที่ที่ฉันโตมา แต่มันถูกคนควบคุมอยู่ตลอด นายทุนขูดรีดพวกเราไม่หยุด พอมาถึงมือของเยฟิม ยิ่งหนักกว่าเดิม ตอนที่ฉันเป็นเด็ก เคยมีฮีโร่คนหนึ่งปรากฏตัวที่เหมืองของพวกเรา ตอนนั้นฉันคิดว่าชีวิตของพวกเราจะต้องดีกว่าเดิม แต่เสียดายที่ต่อมา…”


แอนนาพูดอย่างเจ็บปวด “ไม่มีฮีโร่อีกแล้ว บ้านของฉัน ครอบครัวของฉันก็ไม่มีแล้ว”


เธอพูดอย่างโกรธแค้น “ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้ปีศาจเยฟิมปกครองเหมืองต่อไปแบบนี้เด็ดขาด!! ฉันจะต้องจบทุกอย่างนี้ด้วยมือตัวเอง!”


เธอพูดด้วยท่าทางเศร้าๆ ว่า “ไม่ว่าจะต้องเสียสละอะไร ไม่ว่ายูริจะเกลียดฉันมากขนาดไหน…ไม่ว่าเขาจะเกลียด…เกลียด…ฉันมากขนาดไหน”


ดวงตาทั้งสองมีน้ำตาคลอเบ้า


เมื่อเห็นเช่นนี้ ลั่วชิวเลยหันหลังให้แอนนาช้าๆ พร้อมค่อยๆ พูดว่า “คุณแอนนาสำนึกได้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ดีจริงๆ ครับ แต่ถ้ายอมพูดออกมาตั้งแต่แรกจะไม่ดีกว่าเหรอครับ”


เธอซ่อนความแค้นสิบกว่าปีไว้ในใจคนเดียว ไม่ยอมบอกใคร และก็ยากที่จะพูดออกไป


มันหนักหนาเกินไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ


แอนนาร้องไห้เสียงหลงราวกับใจแตกสลาย


ไม่มีใครได้เห็นหน้าเปื้อนน้ำตาของเธอ…แต่กลับได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกอย่างชัดเจน แล้วก็ค่อยๆ เบาลง



จนกระทั่งน้ำตานั้นเหือดหายไป อารมณ์ก็กลับคืนสู่สภาวะสงบ ลั่วชิวถึงได้หันตัวกลับมา


เขายื่นมือมารอผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งจากคุณสาวใช้ที่ส่งมาให้เขาเงียบๆ แล้วเดินไปตรงหน้า แอนนา ก่อนส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอ พร้อมพูดเสียงเบาๆ ว่า “รู้สึกดีขึ้นบ้างไหมครับ”


แอนนาชะงักไป


เธอมองผ้าเช็ดหน้าที่ยื่นมาให้โดยอัตโนมัติ ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังอยากร้องไห้อีกครั้ง…แต่เธอกลับโล่งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เธอสูดลมหายใจ มองดูรถตำรวจคันนั้นที่กำลังแล่นเข้ามา…ในเมื่อเรื่องนี้ยังมีโบโลดอฟอยู่เบื้องหลังด้วย อย่างนั้นเยฟิมคงได้แต่รับกรรมเท่านั้น


“ตอนนี้…ตอนนี้ฉันยังแลกเปลี่ยนได้อีกไหมคะ?”


“แน่นอน ยินดีเสมอครับ” ลั่วชิวยิ้มพร้อมพยักหน้าเล็กน้อย


“ฉันว่า…”


ปัง!!


ทันใดนั้นเอง เสียงกึกก้องสั่นสะเทือนก็ดังส่งมา!


ตอนที่หันกลับมาก็เห็นรถ SUV คันหนึ่งชนเข้ากับรถตำรวจที่คุมตัวเยฟิมไว้! จากนั้นผู้ชายใส่ผ้าคลุมหัวสีดำคนหนึ่งก็พุ่งตัวออกมาจากรถ SUV


เขาถือปืนไรเฟิลออโตเมติกกระบอกหนึ่ง แล้วก็เริ่มยิงกราด


นี่ทำให้ตำรวจส่วนหนึ่งกลัวจนพากันหนีกระเจิงไปหลบหลังรถตำรวจ! ตอนนี้เองเยฟิมก็ปีนออกมาจากรถตำรวจที่ถูกชนอย่างตื่นตระหนก! เขาซึ่งถูกล็อกกุญแจมือเอาไว้กำลังร้องด่าเสียงแทบแตก


ชายคนนั้นใช้ปืนไรเฟิลออโตเมติกในมือยิงไปบริเวณเท้าของเยฟิมเช่นกัน จากนั้นจึงชี้นิ้วไปที่ SUV คันนั้น


เยฟิมหน้าถอดสีทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถ SUV ไป ชายที่ใส่ผ้าคลุมสีดำยิงปืนไปพร้อมๆ กับก้าวถอยหลัง สุดท้ายก็กลับไปขึ้นรถ…และจากไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


บทที่ 53 บริการสมาชิก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มผ้าคลุมหัวสีดำบนรถใช้คีมตัดเหล็กตัดกุญแจมือบนข้อมือทั้งสองข้างของเยฟิมออกอย่างบุ่มบ่าม


แต่เยฟิมกลับด่าสวนใส่หน้าพวกนั้นเต็มๆ “พวกแกคุ้มครองความปลอดภัยของลูกค้าแบบนี้เหรอ?พวกแกรู้หรือเปล่าเมื่อกี้แค่ชนเอียงๆ อีกหน่อยก็จะชนฉันตายแล้ว?”


“แล้วคุณตายไหมล่ะ?” ผู้ชายอีกคนที่กำลังขับรถอยู่พูดอย่างเฉยชา


เยฟิมพูดด่าว่า “นี่เป็นทัศนคติการให้บริการของสมาคมไมเคิลเหรอ?ทุกปีฉันจ่ายเงินค่าสมาชิกไปตั้งหลายล้านเพื่อซื้อบริการแบบนี้เหรอ? บอกชื่อพวกแกมา! ฉันจะต้องร้องเรียนคุณซุนเรื่องพวกแกแน่นอน!”


“ก่อนอื่น” ผู้ชายคนที่ขับรถคนนั้นพูดอย่างเฉยชาโดยไม่ปรายตามอง “คุณไม่ได้บอกพวกเราล่วงหน้าว่าทางคุณเกิดเรื่องร้ายแรง ตอนที่พวกเรามาถึงคุณก็อยู่บนรถตำรวจแล้ว พวกเราก็ไม่อยากจะบุกเข้าไปในสถานีตำรวจเพื่อช่วยคุณออกมาหรอกนะ แล้วก็ชื่อของผมคือเทียนจุ้ย ข้างๆ ชื่อเทียนไป้…เชิญฟ้องได้เลย”


เยฟิมสบถออกมา


เขาก็แค่อยากระบายความโกรธ เพราะต้องถูกจับเข้าคุก แล้วยังถูกลูกน้องคนสนิททรยศอีก


ก่อนที่เขาจะถูกตำรวจพาตัวออกไป ตำรวจก็งัดห้องนิรภัยเขาออกแล้ว…ของที่ซ่อนอยู่ข้างในเพียงพอให้เขาไม่สามารถอยู่ในประเทศนี้ได้อีกด้วยเหตุผลนานัปการ


“ตอนนี้พวกเราจะไปไหนกัน?”เยฟิมรีบถามหลังสงบใจได้แล้ว


“ส่งคุณไปริมแม่น้ำ จากสถานการณ์ของคุณตอนนี้ เกรงว่าจะขึ้นเครื่องลำบาก ไปทางแม่น้ำแล้วกัน ” เทียนจุ้ยพูดอย่างเฉยเมยว่า “วางใจได้ คุณเป็นสมาชิกของสมาคม ผมจะไม่ทำให้ค่าสมาคมที่คุณจ่ายนั้นเสียเปล่าหรอก พวกเราจะส่งคุณไปอย่างปลอดภัย อืม…ตามข้อมูลที่คุณกรอกไว้ก่อนหน้านี้ สถานที่แรกที่คุณอยากให้พวกเราส่งไปเวลาเจออันตรายก็คือ…อิตาลี”


เยฟิมกำหมัดแน่น เรื่องในคืนนี้ผ่านไปเร็วเหลือเกิน ถ้าจากที่นี่ไป เขาจะสูญเสียทรัพย์สินไปเกือบครึ่งหนึ่ง!


“เดี๋ยวก่อน ฉันไปแบบนี้ไม่ได้!” เยฟิมกัดฟันพูด “อย่างน้อยก่อนที่ฉันจะไป มีคนคนหนึ่งที่ฉันอยากให้เขาต้องทุกข์ทรมานเหมือนฉัน!”


“คุณเยฟิม พวกเราไม่แนะนำให้คุณหาปัญหาใส่ตัวอีก” ตอนนี้เทียนไป้ที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างเฉยชา “โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่คุณจำเป็นต้องหนีไปแบบนี้ ความคิดอยากแก้แค้นที่เกิดขึ้นเพราะความโกรธ นั่นเป็นเรื่องที่คนโง่และปัญญาอ่อนเขาทำกัน”


เยฟิมกลับพูดอย่างเย็นชาว่า “สมาคมไมเคิลอะไรกัน?ตอนที่ฉันเพิ่งเข้าสมาคม พวกแกก็พูดน่าฟังเชียวนะ! ตอนนี้แค่เรื่องนิดเดียวก็ทำไม่ได้เหรอ…เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะคุยกับหัวหน้าพวกแกหน่อย!”


เทียนจุ้ยมองเทียนไป้ราวกับคิดเหมือนกัน เขายักไหล่ แล้วเทียนไป้ก็ให้โทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งกับเยฟิม


“เทียนไป้เหรอ? มีเรื่องอะไร?”


“ผมเยฟิม!”


“อ๋อ…ที่แท้ก็คุณเยฟิม” ปลายสายพูดแบบติดตลกเบาๆ “แบบนี้ก็แสดงว่าเทียนจุ้ยกับเทียนไป้คงจะพาตัวคุณออกมาได้สำเร็จแล้วสินะครับ คุณเยฟิมวางใจได้ พวกเราจะส่งคุณไป…อืม ใช่แล้ว อิตาลีตามคำขอของคุณอย่างปลอดภัย”


“ไม่! ก่อนหน้านั้นผมยังมีคำขออีกอย่าง!” เยฟิมสบถ เขากำลังดูเทียนจุ้ยและเทียนไป้ที่อยู่ในรถ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “แต่ดูเหมือนว่าทัศนคติการให้บริการลูกค้าของลูกน้องคุณไม่ค่อยดีเท่าไรนะครับ!”


“ฮ่าๆ…อย่างนี้ครับคุณเยฟิม เทียนจุ้ยกับเทียนไป้รับผิดชอบแค่เรื่อง ‘การส่งตัว’ ถ้าเป็นคำขออื่นที่นอกเหนือจากหน้าที่ ‘ส่งตัว’ ของพวกเขาแล้ว ผมคงต้องขออภัยด้วย พวกเขาจะไม่ตกลงครับ”


“ผมไม่สนเรื่องพวกนี้!ก่อนไปจากที่นี่ ผมอยากให้พวกคุณช่วยจัดการคนคนหนึ่งให้ผม! ผมไม่ชอบที่ยังต้องค่อยๆ แย่งผลประโยชน์กับคู่แค้นของตัวเองอย่างใจเย็นหลังจากผมไปอิตาลีแล้ว!ผมชอบจบการแข่งแบบเร็วๆ!” เยฟิมพูดเสียงทุ้มต่ำ “ผมไม่สนว่าสองคนนี้รับผิดชอบเรื่องอะไรกันแน่ แต่ผมเชื่อว่า บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เงินซื้อไม่ได้! ช่วยผมกำจัดเจ้านั่น แล้วอยากได้เงินเท่าไรผมก็ยอมจ่าย”


หลังจากปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงของ ‘คุณซุน’ ดังขึ้นมา “คุณเยฟิมเอาโทรศัพท์ให้เทียนไป้สิครับ”


โทรศัพท์ถูกส่งไปอยู่ในมือเทียนไป้อย่างรวดเร็ว


ตอนนี้เทียนไป้กำลังตั้งใจฟัง


“ฟังนะ ช่วงนี้บอสบอกให้พวกเราอยู่เงียบๆ เจียมเนื้อเจียมตัวเข้าไว้…แต่ในเมื่อเยฟิมโกรธมาก และยอมจ่ายหนักขนาดนี้ พวกเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำขอของ ‘สมาชิก’ที่เคารพของพวกเรา…จำไว้นะ ลงมือให้ว่องไวหน่อย ยังไงซะมอสโกก็ยังเป็นเขตอิทธิพลของออโธดอกซ์* อย่าหาเรื่องลำบากใส่ตัวโดยไม่จำเป็น”


เทียนไป้พยักหน้า แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ผมเข้าใจแล้ว”


เขาปิดโทรศัพท์ แล้วมองเยฟิม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “อย่างนั้นคุณเยฟิมช่วยบอกที่อยู่ของศัตรูคุณมา ยังไงพวกผมก็ต้องพาคุณไปขึ้นเรือให้ได้ก่อนฟ้าสว่าง”


ตอนนี้เยฟิมถึงได้ส่งเสียงสบถ เขาหรี่ตาลงพร้อมกับบอกที่อยู่หนึ่งออกไปช้าๆ




ฟิ้ว…บรื๊นๆ


นั่นเป็นเสียงเครื่องจักรที่หยุดทำงาน สุดท้ายรถมอเตอร์ไซค์ดอจ โทมาฮอก ที่จอดอยู่ในตอนนี้ก็ปิดไฟหน้า เวร่าที่อยู่บนรถก็ถอดหมวกกันน็อกออก สะบัดผมแล้วถึงลงมาจากรถ


หลังได้ยินเสียง วิคก้าที่อยู่ในห้องก็รีบเดินออกมา เขาอ้าแขนออก เผยให้เห็นท่าทางดีใจ “FC ที่เคารพ ยินดีด้วยที่คุณทำการบ้านครั้งแรกสำเร็จ!”


“ภาพล่ะ?” เวร่ายิ้มเฉยชา “หวังว่าตอนที่ฉันแกะมันออกมาจากกรอบรูปจะไม่เผลอทำมันพัง”


“อ้อ ไม่แน่นอนครับ!” วิคก้ายิ้มแล้วพูดว่า “ผมดูแล้ว ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย! หรือจะพูดว่า ผมไม่เคยเห็นอะไรที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้มาก่อน!”


เวร่าไม่อยากคุยไร้สาระกับวิคก้าที่นี่ จึงโยนกุญแจรถใส่มือวิคก้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน


กระบอกใส่ภาพวาดวางอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก เวร่ากระโดดข้ามมานั่งจากด้านหลังโซฟา แล้วเปิดกระบอกใส่ภาพ เธอหยิบภาพ ’สุภาพสตรีนิรนาม’ ที่ซ่อนอยู่ข้างในออกมา


เธอแย้มยิ้มอย่างมีความสุข การชื่นชมของที่ยึดได้จากข้าศึกหลังจากเหนื่อยมาทั้งวันก็นับเป็นการปลอบขวัญตัวเองที่ดีมากวิธีหนึ่ง


ตอนนี้วิคก้าที่จูงมอเตอร์ไซค์ดอจ โทมาฮอกไปเก็บในโรงเก็บรถแล้วก็เดินเข้ามา เขาผิวปากพลางพูดว่า “ความรู้สึกที่ถือสมบัติของชาติอยู่ในมือมันเป็นยังไงบ้าง?”


คาดไม่ถึงว่าเวร่ากลับขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างคาดไม่ถึงว่า “ซวยสุดๆ เลย!”


“ซวย?” วิคก้าอึ้งไป


ก่อนเห็นเวร่าฉีกภาพในมือออกเป็นสองส่วนกับตาตัวเอง แล้วเธอก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ภาพนี้เป็นของปลอม”


วิคก้ารีบเก็บกระดาษภาพที่ถูกฉีกออกขึ้นมา พลางพูดอย่างตกใจว่า “นี่เป็นของปลอมเหรอ? แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคุณได้มาจากเยฟิมนี่…แล้วตอนที่ผมไปเอากลับมาก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่?”


เวร่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “นายลองดูตรงมุมขวาด้านล่างของภาพสิ”


วิคก้าพลิกภาพโดยอัตโนมัติ เขากำลังดูตรงที่เวร่าบอก ก่อนอ้าปากค้างและประหลาดใจมาก เพียงเพราะตรงนี้มีตัวอักษรที่พิมพ์เอาไว้บรรทัดหนึ่งว่า…


‘Made-in-china’


“นี่…เกิดอะไรขึ้น?”


วิคก้าจับผมของตัวเอง พูดแบบคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า “เดี๋ยวก่อน ผมลองคิดดูแล้ว ภาพนี้เป็นภาพที่เยฟิมประมูลกลับมา จากนั้นคุณก็ไปเอามาจากเขาอีกที แล้วนี่ดันเป็นของปลอม…ก็หมายความว่าภาพในงานประมูลที่คฤหาสน์ก็เป็นของปลอม…ไม่ใช่สิ ตอนที่ประมูลในคฤหาสน์ นักสะสมเยอะขนาดนั้น จะดูไม่ออกว่าเป็นของปลอมได้ยังไง?”


เวร่าพิงโซฟา พร้อมขมวดคิ้วพูดว่า “ตอนนั้นเยฟิมกำลังปรึกษากับตำรวจคนหนึ่งว่าจะใช้ภาพนี้มาให้ร้ายเจ้าของคฤหาสน์…อืม แต่เขาก็ไม่น่าใช้ของปลอมที่เห็นเด่นชัดแบบนี้ได้ แต่…”


“ถ้าภาพที่เขาเอามาเป็นของจริงล่ะก็…แล้วทำไมภาพที่คุณเอาออกมาถึงเป็นของปลอม?” วิคก้าไม่เข้าใจจริงๆ เขาพูดอย่างงุนงงว่า “ถ้างั้น…ภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?”


“อาจมีบางคนที่รู้…” เวร่าพูดขึ้นทันที


เวร่ามองวิคก้า วิคก้าก็มองเวร่า ทั้งสองคนแทบพูดพร้อมกันว่า “เจ้าของคฤหาน์!”


ติ๊งต่อง


ตอนนี้จู่ๆ โน้ตบุ๊กที่วิคก้าวางไว้ในห้องรับแขกก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้น วิคก้าเปิดดูโดยอัตโนมัติ…พออ่านไปแล้ว ก็พูดแหกปากว่า “เยฟิมถูกพาตัวออกไป…จากบนรถตำรวจแล้ว!”




ได้ยินเอดการ์บอกว่า เป็นเหล้าชนิดที่หาได้ยาก


แต่ยูริกลับชิมอย่างไม่รู้รส เขาไม่รู้ว่ามันแตกต่างกับเหล้าวอดก้าคุณภาพต่ำที่เขาดื่มจนชินตรงไหน


กลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลดีคาปี้แล้วอย่างไร?


เงินทองขับเคลื่อนทุกอย่าง เรียกสาวงามมาได้แล้วอย่างไร…ในสถานะแบบนี้ เขายังคงเป็นยูริ ผู้ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้รับการศึกษามากมายจนขนาดดื่มด่ำกับของพวกนี้อย่างพวกผู้ดีได้…ทายาทตัวจริงของตระกูลดีคาปี้คนนั้นคงจะชิมรสชาติอันมีเสน่ห์ของมันได้สินะ


เมื่อกี้นี้เอดการ์บอกว่า ตำรวจจับตัวเยฟิมอย่างเป็นทางการแล้ว


ด้วยการร่วมมือกันระหว่างตระกูลดีคาปี้และโบโลดอฟที่มีมานาน ครั้งนี้เยฟิมไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้แน่นอน


เหมือนว่าสำหรับจระเข้ตัวใหญ่อย่างเยฟิมคนนี้ การทำให้เขาสูญเสียทุกอย่าง และทำได้แค่ใช้ชีวิตอยู่ในคุก มันเจ็บปวดยิ่งกว่าให้เขาจากโลกนี้ไปเฉยๆ เสียอีก


น่าจะฉลองให้เต็มที่สักหน่อยสินะ?


ยูริคิดแบบนี้…แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาถึงคิดว่าเหล้ารสเลิศราคาแพงแบบนี้ช่างไร้รสชาติเหลือเกิน


“ไม่อร่อยเลยจริงๆ”


เขาส่ายหน้า และหัวเราะเยาะตัวเอง…โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะตัวเองเรื่องอะไร


ชีวิตคนนี้มันน่าตลกเหรอ?


นี่เป็นทรัพย์สมบัติที่แท้จริงและก็เป็นภาพลวงตาใช่ไหม?


หรือเป็นชีวิตที่สั้น?


การแก้แค้น…แก้แค้นเกือบจะสำเร็จแล้ว แต่เหมือนไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย


ใช่แล้ว เขาไม่ได้รู้สึกดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง หรือหัวเราะดังๆ ออกมาได้แบบนั้น


ยูริหยิบพู่กันที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา จากนั้นก็ผสมสีตามอำเภอใจ เขายืนตรงหน้ากระดานวาดภาพอยู่นานเท่านาน แต่กลับไม่ได้ลงพู่กันเลย


จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่รู้ว่า…ตัวเขาควรจะวาดรูปอะไร


สุดท้าย ยูริก็สะบัดมือทันที พู่กันแต้มสีอยู่บนกระดาษวาดรูป วาดเส้นตรงหนึ่งเส้นออกมาซ้ำๆ เหมือนเป็นการวาดที่จะทำให้กระดาษวาดภาพนี้แยกออกจากกัน


เขาทิ้งพู่กันลงบนพื้นอย่างแรง


“อ๊า!!!!!”


เขาเริ่มเขวี้ยงกระดานวาดภาพตรงหน้าทิ้ง


เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น พร้อมกุมหัวของตัวเอง แล้วก้มลงไปติดพื้น


“อ๊า!! อ๊า!!!! อ๊า!!!! อ๊า!!!”


เขากำลังร้องไห้



จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นั่นเป็นเสียงของเอดการ์ “ท่านครับ ท่านยังโอเคใช่ไหมครับ?”


หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เอดการ์ก็รายงานผ่านประตูกั้นเข้ามา


“ท่านครับ ผมต้องบอกท่านว่า เมื่อครู่มีข่าวแจ้งมา เหมือนเยฟิมจะถูกใครบางคนช่วยไปแล้วครับ”


เสียงของเอดการ์ไวอยู่บ้าง “ถึงผมจะคิดว่า ทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดของเยฟิมคือหลบหนีให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาแก้แค้นด้วยไฟโกรธที่คุกรุ่นอยู่ก็ได้ครับ …อืม พวกเรายังไม่รู้ว่าคนที่ช่วยเขาไปมีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความสามารถขนาดไหนกันแน่”


ฉับพลันนั้นก็มีเสียงปืนเสียงหนึ่งดังขึ้นในคฤหาสน์…


_______________________________________________________________________________________


*ออโธดอกซ์ นิกายหนึ่งของคริสตจักร


บทที่ 54 เรื่องที่เจ้าของร้านไม่แนะนำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตั้งแต่ที่คุณวิคเตอร์หนีไปแล้ว เยียร์เกอร์พบว่าตัวเขาได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นไม่น้อยเลย


แม้ว่าเขาจะถูกโซ่เหล็กล่ามเอาไว้กับกำแพง แต่ความยาวของโซ่เหล็กก็เพียงพอให้เขาไปถึงโต๊ะที่ตั้งอยู่ในห้องใต้ดินได้


อ้อ ใช่แล้ว เขายังหยิบอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะได้อีกด้วย


นอกจากถูกควบคุมตัว…อืม อย่างน้อยก็ยังมีให้กินให้ดื่ม นี่ถือว่าดีมากแล้วล่ะนะ!


เยียร์เกอร์จำต้องปลอบใจตัวเองแบบนี้ เขาซักไซ้คนที่คุมตัวเขาไม่หยุดว่าคุณวิคเตอร์ไปไหนกันแน่ หรือเขาถูกทำร้ายหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้คำตอบเลย


เยียร์เกอร์คิดเสมอว่าตัวเองเป็นคนมองโลกในแง่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่ว่าเขาจะมองโลกในแง่ดีขนาดไหน จะปลอบใจตัวเองยังไง ก็ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น


โดยเฉพาะเมื่อกี้นี้ ข้างนอกมีเสียงปืนดังขึ้น หลังจากคนที่คุมตัวเขารีบวิ่งไปแล้ว ความไม่สบายใจนี้ก็แทบจะหายไปทันที


เพราะตั้งแต่เสียงปืนนัดแรกดังขึ้น เสียงปืนนัดที่สองนัดที่สามก็ดังขึ้นตามมา


เหมือนมีใครใช้อาวุธสู้กันอยู่ข้างนอก!


“มีคนอยู่ไหม? ปล่อยผมออกไปที! ข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เยียร์เกอร์อดร้องตะโกนเสียงดังไม่ได้


ปังๆ ปังๆ!


“มีใครอยู่ไหม?”


เยียร์เกอร์ออกแรงลากโซ่เหล็กที่พันธนาการตัวเองไว้ แต่ด้วยมันถูกตอกตะปูไว้กับกำแพงแน่นหนามาก เขาจึงออกไปไม่ได้


เยียร์เกอร์เผยให้เห็นสีหน้าลังเล…แต่สุดท้ายเหมือนเขาจะตัดสินใจได้แล้ว เขาสูดลมหายใจเข้าไปครั้งหนึ่ง แล้วใช้สองมือจับโซ่เหล็กขึ้นมาพร้อมกับออกแรงลากดึง


เขากัดฟันอย่างแรง…จนแขนของเขามีกล้ามเนื้อปูดขึ้นมา


จู่ๆ ฟันของเขาก็คมขึ้นเล็กน้อย ลูกตาทั้งสองเกิดการเปลี่ยนแปลง หูก็แหลมยาวเหมือนถูกอะไรดึงไว้ อีกทั้งเล็บมือก็ค่อยๆ แหลมคมด้วยเช่นกัน…ราวกับเป็นกรงเล็บสัตว์


“อ๊า!”


เยียร์เกอร์คำรามเสียงต่ำ แล้วโซ่เหล็กก็ขาดสะบั้นไปตามเสียง


จากนั้นสภาพร่างกายผิดปกติของเขาก็หายไปทันที เยียร์เกอร์หายใจเข้าลึกๆ เร็วๆ อยู่หลายครั้ง หลังจากปรับอัตราการเต้นหัวใจของตัวเองแล้ว ถึงเดินมาตรงประตูทางเข้าห้องใต้ดิน เขาเปิดประตู ชะโงกหน้าออกไปดูรอบหนึ่ง แล้วถึงได้ออกไป


ความจริงเขากำลังดีใจ ยังไงตอนนี้ก็ไม่มีคนคุมแล้ว




“เพราะอะไรเยฟิมถึงยังมีคนพาหนีไปได้?!”


น้ำเสียงเหมือนถามเพื่อตำหนิ


ลั่วชิวมองแอนนาที่กำลังถามเชิงตำหนิตัวเขาเอง เขาไม่ตอบแต่กลับย้อนถามว่า “เพราะอะไร เยฟิมจะให้คนช่วยหนีไปไม่ได้ล่ะครับ?”


แอนนากำลังมองดูสถานการณ์ที่วุ่นวายนั้น พอรถ SUV จากไปแล้ว ตำรวจพวกนั้นก็ยังไม่กล้าเดินออกมาจากตรงที่ซ่อนตัว


เธอกัดฟันพูดว่า “พวกคุณไม่ได้มาเพื่อจัดการเยฟิมเหรอ? แต่คุณกลับมองเขาหนีไปโดยไม่ทำอะไรเลย?”


“คุณแอนนา” ลั่วชิวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมว่าคุณเข้าใจตรงไหนผิดไปหรือเปล่าครับ?พวกเราไม่เคยพูดว่าจะจัดการเยฟิม ก่อนหน้านี้ไม่มี…ต่อไปถ้าไม่มีเหตุผลอะไรก็ไม่มีทางทำแบบนั้นครับ”


“แต่นี่เป็นการแก้แค้นที่ยูริต้องการ!”


“พวกเรามอบพลังอำนาจในการแก้แค้นให้เขาแล้ว” ลั่วชิวส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ นั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงระหว่างเราครับ”


แอนนามองอย่างเกลียดชังแวบหนึ่ง แล้วเบือนสายตาหนีไป


เธอรู้ว่าทุกคำที่คนคนนี้พูดนั้นเป็นความจริง…พวกเขาแค่ช่วยให้ความปรารถนาเป็นจริง แต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงเรื่องอื่นหลังจากนั้น


เขายอมจ่ายไปแล้ว…แต่กลับไม่อาจได้รับผลลัพธ์อย่างที่คาดหวัง


ทั้งๆ ที่พยายามแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่อาจไปถึงผลลัพธ์ที่คาดการณ์เอาไว้ เหมือนโชคชะตาเล่นตลก


แอนนากัดฟันพูดขึ้นทันที “ยูริหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว…ฉันไม่ยอมให้เขาแลกทุกอย่างแล้วได้ผลลัพธ์แบบนี้แน่นอน…คุณบอกฉันมา ว่าเยฟิมจะหนีรอดได้ไหม!”


หลังลั่วชิวเงียบไปสักพัก ก็เอ่ยถามทันที “ความหมายของคุณแอนนาคืออยากรู้อนาคต ใช่ไหมครับ?”


“หมายความว่าอะไร?” แอนนาขมวดคิ้ว


ลั่วชิวตอบว่า “ที่คุณแอนนาอยากรู้คือเยฟิมจะหนีไปได้หรือไม่สินะครับ แต่ผมรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของคุณคือ เยฟิมจะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปในที่ที่อยู่นอกกฎหมายโดยปลอดภัยได้หรือไม่…ใช่ไหมครับ? โปรดให้อภัยที่ผมพูดมาก เพราะว่าผมจำเป็นต้องเข้าใจคำขอของลูกค้าให้แน่ชัด”


แอนนาพยักหน้าหงึกๆ


แอนนามีเวลาเถียงเรื่องอนาคตหรือไม่ใช่อนาคตกับลั่วชิวที่ไหนกัน เธอจึงถามอย่างร้อนใจว่า “ฉันไม่สนว่าจะใช่อนาคตหรือไม่ ฉันต้องการรู้ผลลัพธ์!”


“ขอโทษครับ” ลั่วชิวส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากขายให้คุณ…แต่เกรงว่าคุณแอนนาจะไม่สามารถจ่ายค่าตอบแทนทั้งหมดได้ แม้ว่าคุณจะทุ่มปริมาณการแลกเปลี่ยนของคุณด้วยวิญญาณที่มีทั้งหมด อีกทั้งผมจำเป็นต้องบอกคุณว่า ถึงแม้จะหยั่งรู้อนาคต แต่อนาคตก็อาจเปลี่ยนแปลงไปตาการกระทำของผู้หยั่งรู้ได้ ดังนั้นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการหยั่งรู้อนาคต…ตัวผมไม่แนะนำเลย”


อย่าว่าแต่แอนนา…ขนาดลั่วชิวเองก็ยังอยากซื้อข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตเลย


เพียงแต่…แม้แต่เจ้าของร้านอย่างเขาก็จ่ายค่าแลกเปลี่ยนไม่ไหว


นับประสาอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง


“ไม่ต้องพูดแล้ว! พูดจนจบนี่ก็เป็นแค่ข้ออ้างที่คุณไม่ยอมลงมือทำ! ที่บอกว่าขายให้ได้ทุกอย่าง ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องลวงโลก!”


แอนนาไม่รู้เลยว่าในคำพูดนี้แฝงส่วนที่น่ากลัวเอาไว้ และยิ่งไม่รู้ว่าการหยั่งรู้อนาคตนั้น เบื้องหลังไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดกันแน่


เธอเป็นแค่หญิงสาวธรรมดามากๆ คนหนึ่ง ผู้ซึ่งละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่างไปเพื่อการแก้แค้น เธอคิดแค่ว่าอีกฝ่ายใช้นี่เป็นข้ออ้างไม่ยอมช่วย


ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เธอก็ตั้งคำนิยามให้เจ้าของสมาคมประหลาดผู้นี้ว่าปีศาจที่ละโมบทุกสิ่งทุกอย่างของมนุษย์


ปีศาจ…ไม่ต้องลงแรงก็ได้มาง่ายๆ จ่ายน้อยแต่ได้กำไรมหาศาล ใช้วิธีนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


“หากคุณแอนนาคิดแบบนี้จากใจจริง พวกเราก็ไม่คิดโต้แย้ง เพราะพวกเราเข้าใจความร้อนใจของลูกค้าดี” ลั่วชิวส่ายหน้าไม่อยากพูดเรื่องนี้ให้มากความ จึงพูดเสียงเบาๆ ว่า “แต่ผมบอกคุณได้ว่า ที่เยฟิมอยากไปตอนนี้คือที่ไหน อืม วางใจได้ ส่วนนี้ไม่คิดค่าตอบแทนครับ คุณจะมองว่าเป็นของแถมก็ได้นะครับ”


“ไปที่ไหน?” แอนนารีบถาม


“คฤหาสน์ครับ”




เสียงปืน เสียงร้องโหยหวนดังมาไม่ขาดสาย


ภายในตัวคฤหาสน์ ลูกน้องดีคาปี้ในชุดสูทสีขาวหลายคนกรูกันตามยูริและพ่อบ้านเอดการ์วิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว


หนึ่งในนั้นกำลังตั้งใจฟังสถานการณ์จากวิทยุสื่อสารอย่างต่อเนื่อง


“สมควรตาย! พวกแกหยุดคนที่บุกเข้ามาคนเดียวก็ไม่ได้!พละกำลังของพวกแกถูกผู้หญิงที่นี่รีดออกไปหมดแล้วเหรอ?!!”


“เจ้าสองคนนี้ไม่ใช่คนครับ!คล่องแคล่วจนเหมือนหมาล่าเนื้อ! แถมการยิงปืนยังแม่นยำมาก!คนของพวกเราแทบจะตายในนัดเดียว!”


“พยายามยื้อไว้! พวกเราต้องส่งตัวนายท่านออกไปให้ได้ก่อน แม้พวกแกต้องตายก็ต้องยื้อคนเอาไว้ให้ได้!”


“อ๊า!”


แกร็ก!!


เสียงกระแสไฟฟ้าดังเสียดหูมาจากวิทยุสื่อสาร เสียงการติดต่อของอีกฝ่ายขาดหายไปแล้ว!


“เอเคอร์! เอเคอร์! ตอบด้วย! เอเคอร์!”


ชายชรามองวิทยุสื่อสารในมือของตัวเองด้วยสีหน้าย่ำแย่ เขารู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


“รีบไปเถอะ” เอดการ์พลันพูดเสียงขรึม “อย่าให้การเสียสละต้องสูญเปล่า”


แต่พ่อบ้านก็กังวลบางอย่าง แม้คฤหาสน์นี้จะไม่เหมือนกับกองบัญชาการใหญ่ที่ตระกูลดีคาปี้ดูแลอยู่ที่โมรอคโค แต่อย่างน้อยการ์ดที่นี่ก็มีไม่น้อยเลย


แค่ผู้ที่บุกรุกเข้ามาคนเดียว ไม่ถึงขนาดต้องส่งเจ้านายหนีไปเลย ก่อนหน้านี้เอดการ์คิดแบบนี้


แต่เหมือนผู้บุกรุกเข้ามาในบริเวณที่ไม่มีคน ฆ่าคนมาตลอดทาง ทำลายแนวป้องกันของคฤหาสน์ด้วยระยะเวลาสั้นๆ สิ่งนี้เลยทำให้เอดการ์ต้องคิดถึงปัญหาด้านความปลอดภัยของยูริเอาไว้เป็นพิเศษ


“ท่านครับ ทำไมท่านยังไม่ใส่เสื้อกันกระสุนอีก?” เอดการ์มองยูริแวบหนึ่ง


หลังจากลากตัวยูริออกมาจากห้องหนังสือแล้ว เขาก็พบว่ายูริไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ พ่อบ้านวัยชรารู้สึกถึงความประหลาดจากเขา


นี่หมายความว่ายูริไม่ได้กำลังกลัว…ถึงขนาดบอกได้ว่าไม่มีความรู้สึกแบบนั้นเลย


บางทีเขาคงไม่สนใจอันตรายที่คืบคลานเข้ามา


แล้วยูริก็พูดช้าๆ ว่า “ไม่ต้องหรอก เรื่องหนีก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว…แต่ตอนนี้ผมอยากรู้ว่าใครมันกล้าบุกเข้ามากันแน่”


ปัง!


ประตูถูกเตะเปิดออกทันที


บทที่ 55 มนุษย์หมาป่าที่โผล่มาเองตรงหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้ชายคนที่พังประตูเข้ามาแบกปืนเบเนลลี M1 ไว้บนบ่า พร้อมกับมองพวกยูริที่กำลังรีบลงบันไดมา


“หาเจ้าของตัวจริงเจอจนได้” เทียนไป้หัวเราะเยาะ “คฤหาสน์นี้ใหญ่มากจริงๆ”


ตอนที่พูดนั้น เทียนไป้ก็เบี่ยงตัวหลบทันที แล้ววินาทีนั้น กระสุนปืนนัดหนึ่งก็แฉลบผ่านหน้าเขาไปโดนบานประตูที่อยู่ด้านหลังพอดี


เทียนไป้เหวี่ยงปืนเบเนลลี M1 ที่อยู่ในมือขึ้นทันที ก่อนลั่นไกปืนอย่างรวดเร็วโดยไม่มองดูเป้าหมาย หลังจากลั่นไกปืนออกไป เขาก็เห็นร่างคนคนหนึ่งนอนจมกองเลือดไหล ทั้งร่างถูกยิงพรุนจนเหมือนรังต่อ


ปืนเบเนลลี M1…อานุภาพของปืนสั้นน่ากลัวมากจริงๆ


“คุณเอดการ์ รีบพานายท่านออกไปเถอะครับ!”


หัวหน้าบอดี้การ์ดตระกูลดีคาปี้รีบตะเบ็งเสียงพูด แล้วนำเพื่อนร่วมทีมหลายคนพุ่งไปหาผู้ชายคนนี้อย่างบ้าคลั่ง โดยที่เทียนไป้คอยยิงกระสุนสกัดเอาไว้!


“ตายซะเถอะ!” บอดี้การ์ดตระกูลดีคาปี้คนหนึ่งพลันก็ดึงสลักของระเบิดมือ แล้วออกแรงขว้างไปหาเทียนไป้


เทียนไป้มีสายตาแน่วแน่ เขาไม่ได้ถอยหนีไปเลย กลับใช้ปืนเบเนลลี M1ในมือเป็นเสมือนไม้เบสบอลตีลูกระเบิดมือที่ลอยมาลูกนี้อย่างแม่นยำ


ทันทีที่ตีโดน ระเบิดมือก็ลอยกลับมา!


บึ้ม!!


พลังระเบิดทำให้บันไดพังกระจุย!


ตอนที่ระเบิดนั้นคุณพ่อบ้านรีบกดตัวยูริก้มลงบนพื้นอย่างหูตาไว แต่แรงดันของระเบิดและเสียงดังแสบหูก็ส่งให้เขาหน้ามืดไป


ยูริยันตัวขึ้นมาจากพื้น เขาส่ายหน้าด้วยมึนจนเห็นดาว อาการหูอื้อยังทำให้เขาเห็นภาพตรงหน้าโคลงเคลงไปหมด…แต่กลับเห็นได้ชัดเจนว่าบอดี้การ์ดพวกนั้นล้มลงไปทีละคนๆ จนกลายเป็นศพเนื้อเละจมกองเลือด


เขามองเห็นเอดการ์นอนกองอยู่บนพื้น ชายสูงวัยผู้นี้ผลักเขา แล้วยังช่วยเอาตัวบังแรงระเบิดให้ ตอนนี้แน่นิ่งไปก็ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย


“คุณเป็นใคร?” ยูริสูดลมหายใจเข้าลึกๆ


กลัวเหรอ? ตัวเขาเองก็ไม่รู้…แต่เพราะสัญชาตญาณพื้นฐานของพวกมนุษย์ จึงทำให้เสียงของเขาดูตื่นตระหนก


แต่เทียนไป้ไม่สนใจจะพูดอะไรอีก เขายกปืนเบเนลลี M1ในมือขึ้นมาเล็งไปที่ยูริโดยตรง


ยูริทำได้แค่ถอยหนีอย่างลนลาน จนตัวไปชิดกับกำแพง และพบว่าตัวเองไม่มีทางหนีแล้ว เหงื่อเย็นพลันไหลท่วมตัว


“เดี๋ยวก่อน!”


ฉับพลันนั้นเอง ก็มีเสียงคนดังมาจากอีกทาง


เขามองไปตามเสียง ก็เห็นเงาของร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เดินเข้ามาจากประตูที่ถูกเทียนไป้ทำพังไป


ยูริเห็นลักษณะของคนคนนี้ได้ชัดเจนทันที เขาเบิกตากว้างพร้อมกับกัดฟันพูดว่า “เยฟิม!”


ตอนเห็นยูริครั้งแรก เยฟิมก็ขมวดคิ้วแล้วมองไปรอบๆ ก่อนพูดสบถว่า “แกจริงๆ ด้วย!ฉันรู้ว่านังกะหรี่โสโครกนั่นหลอกฉัน! มันไม่ได้คิดจะฆ่าแกตั้งแต่แรก! ชิ!นึกไม่ถึงว่าคนไร้บ้านไส้แห้งอย่างแกจะกลายเป็นทายาทตระกูลดีคาปี้ได้ แกใช้วิธีไหนกันแน่! แต่…”


เยฟิมหัวเราะเยาะ “ไม่ว่าแกจะอยู่ในสถานะอะไร ฉันก็จะฆ่าแกอยู่ดี…ตอนนี้เลย!”


ยูริอึ้งไป


แต่กลับฉุกคิดขึ้นมาอย่างฉับไว


“เดี๋ยวก่อน! ผมไม่ใช่ทายาทของตระกูลดีคาปี้!”เขาตอบอย่างรวดเร็ว “ผมเป็นเพียงตัวแทนของหมอนั่น! เขาต่างหากที่อยากจัดการคุณ!”


“ตัวแทน?” เยฟิมขมวดคิ้ว “ทายาทตัวจริงนั่นอยู่ที่ไหน?”


ในขณะที่กำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เยฟิมก็รับปืนสั้นมาจากมือของเทียนไป้ด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด “ถ้าแกกล้าพูดว่าไม่รู้ งั้นแกก็ไปตายซะเถอะ! ฉันจะส่งแกไปเจอยัยนั่นในนรก!”


“เดี๋ยวก่อน!” ยูริกลืนน้ำลายแล้วรีบพูดว่า “ผมพาคุณไปหาเขาได้!ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน! แต่คุณต้องปล่อยผมไป! จริงๆ นะ!ไม่อย่างนั้นเขาจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ทันที!”


เยฟิมหรี่ตาลงทันที


แต่เทียนไป้ที่อยู่ข้างๆ เขากลับพูดขึ้นทันที “คุณเยฟิม ผมไม่อยากเสียเวลา ถ้าคนที่คุณต้องการกำจัดหนีไปแล้ว พวกเราจะไม่ช่วยคุณหาตัวคนอีก คุณต้องออกจากมอสโกก่อนฟ้าสาง”


“ยูริ ฉันหวังว่าแกจะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง” เยฟิมหรี่ตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้นฉันจะจัดการแกก่อนที่ฉันจะหนีไป”


ยูริสูดลมหายใจลึกๆ พลางพยักหน้าเล็กน้อย


เทียนไป้กลับโบกมือแล้วพูดว่า “แกเดินไปข้างหน้า อย่าเล่นตุกติกอะไร”


ยูริทำได้แค่หันตัวไป…เพราะปืนสั้นเบเนลลี M1 กระบอกนั้นกำลังจ่อหลังเขาอยู่


“ตะ ตามผมมาสิ”




เยียร์เกอร์มองเห็นคนคนหนึ่งล้มอยู่บนพื้น


เกรงว่านี่จะเป็นคนของคฤหาสน์นี้!


เขาเห็นรูเลือดบนหน้าผากของชายคนนี้ เลยนึกถึงคำคำหนึ่งได้โดยอัตโนมัติ ‘เฮดช็อต’ !


“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” เยียร์เกอร์ขมวดคิ้วแน่น แล้วยื่นมือไปพลิกร่างของชายคนนี้อย่างรวดเร็ว


แล้วเยียร์เกอร์ก็เก็บของชิ้นหนึ่งจากทางเดินได้อย่างง่ายดาย นั่นก็คือ ‘ปืนสั้น’


เขาไม่รู้สถานการณ์ของคฤหาสน์นี้ แต่ก็หาทางปกป้องตัวเองไว้ก่อน “วิคเตอร์…คุณวิคเตอร์!”


เขานึกได้ว่าหลังจากวิคเตอร์ถูกพาตัวไปก็ไร้วี่แวว จึงเป็นห่วงว่าเขาอาจจะถูกขังไว้ที่ไหนสักที่ในคฤหาสน์นี้ เขาจึงกัดฟันเดินตามศพเพื่อตามร่องรอยไปตลอดทาง!


ทันใดนั้นเอง เยียร์เกอร์ก็ได้ยินเสียงดังกังวาน…เป็นเสียงระเบิด น่ากลัวว่าจะเป็นอาวุธอานุภาพร้ายแรง บางทีอาจเป็นพวกระเบิดมือ


“ตระกูลนี้บ้าไปแล้วเหรอ? ตรวจเช็กความปลอดภัยกันยังไง ไม่นึกเลยว่าจะให้คนเอาของอันตรายขนาดนี้ผ่านเข้ามาได้?”


เยียร์เกอร์พูดแขวะอยู่ในใจ เขารีบเดินไปทางที่มีเสียงระเบิด แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะได้เห็นภาพชวนตกตะลึง!


ภาพที่เขาเห็นคือผู้ชายสวมผ้าคลุมหัวสีดำกำลังบีบคอของผู้ชายในชุดสูทสีขาว โดยยกร่างของอีกฝ่ายลอยขึ้นมาสบายๆ


ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ชายที่ใส่ผ้าคลุมหัวสีดำคนนี้ ก็เล็งปืนไรเฟิลออโตเมติกไปที่หน้าอกของชายชุดสูทสีขาว ก่อนเกิดเสียงปังๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง


หลังจากบอดี้การ์ดตระกูลดีคาปี้ในชุดสูทสีขาวส่งเสียงร้องโอดครวญแล้ว ร่างก็ถูกเขวี้ยงลงพื้นไปทันที


คนที่ใส่ผ้าคลุมหัวสีดำคนนี้หันหน้าขวับมาตรงระเบียงทางเดินที่เยียร์เกอร์ยืนอยู่ ฉับพลันเยียร์เกอร์ก็เผยสีหน้าตื่นตระหนก เขาเอียงคอยืดเส้นแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “ยังเหลืออยู่อีกเหรอ? พอดีเลย ไม่ต้องให้ฉันหา”


เยียร์เกอร์รีบยกปืนสั้นในมือขึ้นมาชี้ไปที่อีกฝ่าย แล้วพูดเสียงหนักแน่นว่า “วางอาวุธลง!ผมเป็นหน่วยสืบสวนของโรงพักที่สาม! ตอนนี้ขอสั่งให้คุณวางอาวุธลง!!”


“หน่วยสืบสวน?” เทียนจุ้ยทำเสียงสงสัย แต่กลับส่ายหน้าพลางพูดว่า “ไม่ว่าจะเป็นใคร ควรกำจัดก็ต้องกำจัด”


เขาเดินไปทางเยียร์เกอร์อย่างใจเย็น แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า “มือของแกกำลังสั่นอยู่ แกบอกว่าแกเป็นหน่วยสืบสวน แกเคยยิงคนหรือยัง?”


“หยุด! วางอาวุธลงซะ! ฉันจะยิงแล้วนะ! อ๊า!!” ฉับพลันนั้นตำรวจสืบสวนหนุ่มก็กัดฟันลั่นไกปืนทันที


ปังๆๆ!


กระสุนปืนสามนัดยิงไปที่พื้นตรงหน้าเทียนจุ้ย ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว แต่ไม่ได้ทำให้เทียนจุ้ยบาดเจ็บแม้แต่น้อย


“เป็นมือใหม่จริงๆ ด้วย…” เทียนจุ้ยส่ายหน้า ก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว!


เทียนจุ้ยชกตรงท้องของเยียร์เกอร์ไปครั้งหนึ่งอย่างสบายๆ การโจมตีที่หนักหน่วงทำให้เยียร์เกอร์เข่าทรุดลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดทันที เทียนจุ้ยก่นด่าแล้วกำผมของเยียร์เกอร์ขึ้นมา ก่อนใช้ปืนไรเฟิลออโตเมติกในมือจ่อไปที่หน้าผากของเยียร์เกอร์ทันที


คาดไม่ถึงว่าเยียร์เกอร์กลับใช้สองมือจับลำกล้องของปืนไรเฟิลออโตเมติกไว้ แล้วออกแรงดันออกจากตัวเอง


“หืม?”


เทียนจุ้ยสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลจากตัวเยียร์เกอร์…ปากกระบอกปืนเบนออกจากตัวเจ้านี่แล้ว แต่สำหรับเทียนจุ้ยแล้ว การฆ่าคนไม่จำเป็นต้องใช้กระสุนปืนเสมอไป!


เขาร้องตะโกน ก่อนกระทุ้งเข่าไปที่ท้องของเยียร์เกอร์อีกครั้ง เพียงไม่นานก็หันตัวอ้อมไปด้านหลังของเยียร์เกอร์ แล้วใช้แขนข้างที่ถือปืนไรเฟิลรัดคอของเยียร์เกอร์จนแน่น!


ตอนที่รัดคอเอาไว้ เขายังลากตัวเยียร์เกอร์ไถกับพื้นไปยังอีกด้านหนึ่ง


เยียร์เกอร์ทำได้แค่ถีบไปมั่วซั่ว พยายามดื้นรนอย่างทรมาน แต่สุดท้ายกลับดันกระบอกปืนที่คอออกไปไม่ได้ ด้วยกลัวว่าคอใกล้จะหัก เขาจึงเบิกกว้างและหยุดขัดขืนทันที


สุดท้าย ภัยคุกคามที่มาจากความตาย ก็ทำให้เขาโยนความพะว้าพะวังทิ้งไป เขาไม่ดิ้นรนอีก แต่จับแขนทั้งสองของเทียนจุ้ยที่โอบล้อมรอบตัวเขาเองอยู่


แล้วเยียร์เกอร์ก็คำรามเสียงดัง!


เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาฉีกขาดทันที!


ก่อนคว้าคนสวมผ้าคลุมหัวสีดำคนนี้ทุ่มลงไปตรงหน้าตัวเองแรงๆ!


“ย๊าก!!!”


เยียร์เกอร์ยังแถมหมัดหนักๆ น่ากลัวไปที่ด้านหลังของเขาอย่างแรง…จนรับรู้ได้ว่ากระดูกหลังของอีกฝ่ายแตกแล้ว!


สุดท้ายเยียร์เกอร์ก็เห็นเจ้านี่ล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้น เขาถึงได้หอบหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วล้มลง


ใต้แสงไฟตรงระเบียงทางเดิน ส่วนแขน บริเวณด้านหลัง และหน้าอกที่โผล่พ้นเสื้อที่ฉีกขาดของเยียร์เกอร์ เริ่มมีขนปุกปุยงอกออกมาชั้นหนึ่ง


เยียร์เกอร์เงยหน้าขึ้นมา แล้วทำให้ตัวเองสงบลง ตอนนี้เขารู้สึกว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่ากำลังลุกลามไปทั่วร่างอย่างบ้าคลั่ง จนเขาเริ่มเจ็บปวดเป็นที่สุด


เขาจับแขนทั้งสองข้างของตัวเองไว้แน่น ก่อนเปล่งเสียงเจ็บปวดสุดขีด…เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้เทียนจุ้ยที่ล้มอยู่บนพื้นเริ่มขยับตัวได้นิดหน่อยแล้ว


เขายันตัวขึ้นมาจากพื้น!


เสียงของเทียนจุ้ยทุ้มต่ำเล็กน้อยอีกทั้งยังแผ่วเบา “คิดไม่ถึงว่าจะมีเชื้อสายหมาป่า? มิน่าล่ะ พลังถึงได้มากมายขนาดนี้…แต่ดูแล้วเหมือนจะยังควบคุมตัวเองได้ไม่ค่อยดีนะ”


เยียร์เกอร์เงยหน้าขึ้นมา อ้าปากกว้าง พร้อมพุ่งไปทางหมอนั่นราวกับสัตว์ป่า เผยเขี้ยวอันแหลมคมออกมา แล้วแสดงอาการเหมือนหมาป่าหิวโหยได้รับบาดเจ็บ


ตอนนี้เอง เทียนจุ้ยก็ล้วงกล่องเหล็กเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากเสื้อแล้วเปิดออกทันที…ก่อนหยิบเข็มฉีดยาเล็กๆ ออกมาฉีด แล้วพูดช้าๆ ว่า “ในเมื่อมีเชื้อสายหมาป่าก็ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากใช้ของแบบนี้นักหรอก ยังไงซะ…”


เทียนจุ้ยจิ้มเข็มเข้าไปตรงคอตัวเอง…แล้วฉีดของเหลวบางอย่างเข้าไป!


ของเหลวสีฟ้าอ่อนในเข็มถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายของเทียนจุ้ยทันที! เพียงไม่นาน เทียนจุ้ยก็กลอกตากลับไปกลับมาทันที เส้นเลือดบนใบหน้าจำนวนมากเริ่มปูดออกมาราวกับจะระเบิด!


เขาได้สัมผัสกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง จนต้องร้องคำรามเสียงดังลั่น จากนั้นกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาก็เริ่มบวมขึ้นทันที!


“ยังไงก็ตาม ความรู้สึกที่เกิดจากพลังนี้ก็ช่างวิเศษจริงๆ…”


ร่างกายของเทียนจุ้ยค่อยๆ ใหญ่ขึ้นอีกเท่าหนึ่ง!


เขากระโดดมาอยู่ตรงหน้าเยียร์เกอร์ แล้วทุบไปที่หัวของเยียร์เกอร์ทันที!


ป้าบ!!



ร่างหนึ่งลอยกระเด็นหัวทิ่มลงมาจากระเบียง จากนั้นอีกร่างหนึ่งก็พุ่งออกไปจากระเบียง ทั้งสองคนต่อสู้กันนัวเนีย!


อืม ยาตัวนี้เป็นของที่สมาชิกสมาคมไมเคิลพกติดตัวสินะ?


เจ้าของร้านลั่วมองดูทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน แต่นี่ไม่เหมือนการต่อสู้กันของมนุษย์ ทว่าเหมือนสัตว์สู้กันมากกว่า


แต่สนุกก็ส่วนสนุก แม้ว่าเขาจะสนใจการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ยากับมนุษย์หมาป่าคนนี้อย่างไร แต่เจ้าของสมาคมก็ยังคงเดินลึกเข้าไปด้านในคฤหาสน์


ความจริงลั่วชิวแค่คิดว่า…สองคนนี้คงยังไม่จบในอีกชั่วโมงครึ่ง


แต่หลังจากแอนนามองดูครู่หนึ่งแล้ว เธอก็รีบเดินตามหลังลั่วชิวและโยวเย่ไป จะรู้สึกกลัวภาพที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ทันแล้ว


เธอไม่อยากตายโดยเสียเปล่า


แต่เมื่อเธอเริ่มเข้าใจเรื่องราวผ่านทางการเป็นผู้ชมแล้ว เธอก็รู้ว่า…ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว


“ยูริ ฉันจะไม่ยอมให้คุณ…”


……………….


บทที่ 56 ความสมดุล (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่…นี่มีผู้ก่อการร้ายชาวเชชเนีย*บุกมางั้นเหรอ?”


เพิ่งเข้าไปในคฤหาสน์นี้ได้เพียงไม่กี่นาที วิคก้าพลันก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า


ระหว่างทางเห็นศพคนตายน่าสยดสยอง แล้วเวร่ากลัวไหม?


แต่เห็นได้ชัดว่าเวร่าไม่กลัวเลยสักนิด…แม้จะรู้ว่าหญิงสาวคนนี้มีบางส่วนที่เป็นอมนุษย์อยู่บ้าง แต่วิคก้าก็อดพูดโน้มน้าวไม่ได้ว่า “คุณเวร่า! คุณก็เห็นสถานการณ์ที่นี่แล้ว พวกเราถอนตัวกันเถอะ!”


คาดไม่ถึงว่าเวร่ากลับขมวดคิ้ว


จมูกของเธอได้กลิ่นเหม็นเน่าในอากาศ “ฉันได้กลิ่นน่าขยะแขยง”


วิคก้ามองศพที่อยู่บนพื้นนี้ ก่อนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงผมก็เกลียดกลิ่นคาวเลือดมากเหมือนกัน…เดี๋ยวก่อน นี่คุณจะไปไหน?”


ทว่าเวร่ากลับตอบเนิบๆ เพียงประโยคเดียวว่า“ที่ฉันพูดหมายถึงกลิ่นหมาป่าต่างหาก”


“หมาป่า?” วิคก้าอึ้งไป แล้วเหมือนจะคิดอะไรออก สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันทีพร้อมพูดว่า “คุณพูดถึงหมาป่า แบบหมาป่าที่เป็นสัตว์น่ะเหรอ?”


แต่เขาก็ไม่ต้องการคำตอบจากเวร่าอีกแล้ว เพราะวินาทีต่อมาก็มีเงาหนึ่งปะทะเข้ากับกำแพงอย่างจัง แล้วก็กลิ้งอยู่บนพื้น ตรงหน้าเวร่าและวิคก้า!


ร่างที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขน สองมือสองเท้าหมอบอยู่บนพื้น มันเงยหน้าขึ้นแยกเขี้ยว เหมือนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ…นั่นคือมนุษย์หมาป่า!


“นี่…นี่มันอะไรกัน!”


แล้วเวลานี้เงามหึมาอีกเงาหนึ่ง ก็เดินออกมาจากกำแพงช้าๆ เช่นกัน มันทำให้วิคก้าเผลอนึกถึง ‘ยักษ์ตัวเขียว!’ เวอร์ชันย่อส่วน


“ยังมีคนขวางอยู่เหรอ!”


ฉับพลันนั้น ‘ยักษ์’ แข็งแกร่งตนนี้ก็เปิดปากพูด…เสียงดังคำรามเหมือนนักโทษขังคุกที่กำลังโกรธจัด


และแล้ว…’ยักษ์’ ตนนี้ก็เห็นวิคก้ากับเวร่า


“วิคก้า นายหลบไปก่อนเถอะ”


เวลานี้เวร่าพูดอย่างใจเย็น แล้วดวงตาของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีไป




“คุณจะพาพวกผมไปที่ไหนกันแน่?”


ยูริไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง เยฟิมเริ่มหมดความอดทน “หนึ่งนาที! ถ้าอีกหนึ่งนาทีคุณยังไม่พาผมไปหาทายาทตัวจริงล่ะก็ คุณได้ลงนรกแน่!”


“ถึงแล้ว”


ยูริที่เหงื่อท่วมหัวค่อยๆ หันมาทางเยฟิมและชายหนุ่มกำยำอีกคนที่ด้านหลัง “ห้องข้างหน้านี้แหละ คฤหาสน์นี้มีทางลับสำหรับหลบหนี”


เทียนไป้พยักหน้าเล็กน้อยแล้วออกคำสั่งทันทีว่า “เปิดประตูห้อง”


ยูริพยักหน้า แล้วค่อยๆ เปิดประตูห้อง ห้องที่ว่านี้คือห้องหนังสือ


“ทางหนีอยู่ที่ไหน?” เยฟิมพลันขมวดคิ้วถาม


ยูริชี้ไปที่โต๊ะหนังสือในห้องแล้วพูดว่า “กลไกอยู่บนโต๊ะ…เห็นโคมไฟนั่นไหม? เลื่อนโคมไฟออกก็จะเห็นปุ่มเปิด ทางลับอยู่หลังชั้นวางหนังสือ”


เยฟิมเหล่ตามอง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “ดีมาก คุณไปเลื่อนโคมไฟออกเดี๋ยวนี้!”


เยฟิมเห็นท่าทางลังเลของยูริ จึงจ่อปืนไปที่หัวของเขาแล้วพูดเสียงขรึมว่า “เดินไป!”


ยูริทำได้เพียงยกมือทั้งสองขึ้นสูง แล้วเดินทีละก้าวไปยังโต๊ะหนังสือช้าๆ พอเขามาถึงโต๊ะหนังสือ ยูริก็หันกลับมามองเยฟิมและเทียนไป้ หยดเหงื่อจากจอนผมไหลลงไปที่ลำคอ


เขากลืนน้ำลายไปอึกหนึ่ง


“เร็วๆ สิ!” เทียนไป้สบถเสียงเย็นชา พร้อมกับยกเบนเนลี่ M1 ที่อยู่ในมือขึ้นมา เสียงบรรจุกระสุนดังมากเป็นพิเศษ


เวลานี้แหละ!


ยูริย่อตัวลงอย่างว่องไวไปหลบอยู่ใต้โต๊ะหนังสือ พร้อมกับดึงลิ้นชักโต๊ะออกมา ตรงนี้มีปืนพกซ่อนอยู่


ความจริงแล้ว คฤหาสน์แห่งนี้มีมุมลับที่ซ่อนอาวุธอยู่ไม่น้อย แต่ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง ทายาทสวมรอยอย่างเขาไม่มีทางรู้ได้ทั้งหมดหรอก


แต่เขาเคยเห็นปืนในห้องหนังสือนี้แล้ว!


ยูริถือปืน หอบหายใจยกใหญ่ เขาใช้พลังที่มีทั้งหมดเพื่อทำให้ตัวเองสงบลง


“แกเล่นตุกติก!”


เสียงฝีเท้า ใกล้เขาเข้ามาทีละก้าว ทีละก้าว!


“อ๊า!!!!”


ยูริตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด สักพักก็พุ่งตัวออกมาจากข้างโต๊ะหนังสือ พร้อมลั่นไกปืน!


ปังๆ…ปังๆๆ!




แอนนาพุ่งตัววิ่งผ่านลั่วชิวและโยวเย่ไปอย่างเผลอไผล แต่ก็หยุดฝีเท้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน


เพราะเธอเพิ่งตระหนักได้ว่าเธอวิ่งนำหน้าเจ้าของสมาคมและคุณสาวใช้ไปแล้ว…แม้ว่าเธอไม่เต็มใจนัก แต่จำต้องยอมรับ


“นี่คุณ…เดินให้ไวหน่อยไม่ได้เหรอ?”


“คุณแอนนาครับ” ลั่วชิวพูดเสียงเรียบเฉย “คุณแน่ใจว่าต้องการแบบนี้ใช่ไหม? คุณยูริเป็นคนที่มีอายุขัยไม่ถึงหนึ่งเดือน…คุณยังยืนยันที่จะมอบจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของตัวเองเป็นค่าธรรมเนียมให้เขาผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปเหรอครับ?”


แอนนาแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันขอแลกเปลี่ยนเรื่อยๆ ไม่หยุด แบบนี้พวกคุณก็จะได้รับจิตวิญญาณของฉันเร็วขึ้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกคุณต้องการมากที่สุดหรอกเหรอ?”


ลั่วชิวส่ายหน้าเล็กน้อย: “ไม่ใช่ครับ ผมหมายความว่า คุณแอนนาสามารถใช้ค่าธรรมเนียมที่เหลือทั้งหมดแลกซื้อสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวคุณเองได้ อย่างเช่น อายุขัย”


ลั่วชิวมองหน้าแอนนา แล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า“คุณแอนนาต้องรู้นะครับ เดิมทีคุณควรตายไปแล้ว แต่ที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ก็เพราะใช้จิตวิญญาณทุกวินาทีเป็นค่าธรรมเนียม…ผมหมายความว่า ทุกวินาทีที่คุณใช้ไป ก็เท่ากับว่าอายุขัยที่คุณสามารถแลกได้ก็จะลดลง แน่นอนว่าสำหรับคนที่ควรตายไปแล้ว ต่อให้ใช้จิตวิญญาณไปแค่ไหน อายุขัยที่ได้รับก็ไม่มากนัก แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง จิตวิญญาณจึงล้ำค่ามากครับ”


ลั่วชิวเห็นแอนนาไม่พูดไม่จา จึงพูดช้าๆ ว่า “ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณยังสามารถซื้ออายุขัยได้อีกสามปี แต่เมื่อใช้แลกกับเรื่องอื่นไปแล้ว ก็จะเหลือที่แลกอายุขัยได้เพียงสองปี…แน่นอนว่าผมแค่ยกตัวอย่าง”


“ใช่! ยืนยัน! ตกลงแล้ว! คุณทำได้ไหม?!”


“ผมเข้าใจแล้ว” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย “เราจะทำตามความปรารถนาของคุณ”


ลั่วชิวเดินผ่านแอนนาไป แต่ไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องที่ปิดประตูอยู่นี้แม้แต่ก้าวเดียว เวลานี้เขาเพียงแค่ยกมือขึ้น


แล้วเปลี่ยนแปลงเรื่องราวในประตูบานนั้นไปอย่างช้าๆ


ปังๆๆ…ปังๆ!!!


เสียงกระสุนปืนห้านัดดังขึ้นในห้องนั้น


วินาทีที่เสียงปืนดังขึ้น แอนนาก็มองไปทางประตูห้องอย่างรวดเร็ว


พอเสียงปืนเงียบไปหมดแล้ว แอนนาก็บีบมือทั้งสองของตัวเองไว้แน่น ก่อนยกขึ้นมาปิดปากของตนเอาไว้


เงียบมาก เงียบมาก…เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว


เธอไม่กล้าที่จะก้าวเดินแม้เพียงก้าวเดียว และยิ่งไม่กล้าที่จะไปเปิดประตูตรงหน้า เธอเพียงแค่…มองมันอยู่อย่างนั้น


เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ?


เสียงประตูห้องดังแกร็ก เป็นเสียงเปิดประตูห้องที่ล็อกอยู่ จากนั้นเงาหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น


นั่นคือยูริ


หน้าของเขาชุ่มไปด้วยเลือด หยดติ๋งๆ ราวกับสีหมึกที่สาดออกมาจากพู่กัน ดวงตาของเขาว่างเปล่า เขาถือปืนในมือ โดยที่ปากกระบอกปืนชี้ลงพื้น


เขาเดินไปทีละก้าว ทีละก้าว เหมือนกำลังลากร่างไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเดินออกมา


เขาเห็นว่าตรงระเบียงนี้ยังมีเงาคนอยู่อีกสามคน ไม่ว่าจะเป็นลั่วชิว คุณสาวใช้ หรือแม้แต่แอนนา แต่เขากลับไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา


เขายังคงเดินทีละก้าวทีละก้าว อยู่อย่างนี้


เขาเดินผ่านร่างของแอนนาไป โดยไม่รู้ว่ามีคนกำลังมองเขาอยู่ตรงนี้ เธอรู้ว่าเขามองไม่เห็นตัวเธอ เธอจึงยื่นมือออกไป อยากจะปัดผมที่ปรกใบหน้าเขาเบาๆ หรือเช็ดรอยเลือดบนใบหน้าของเขาออกไป


แต่เธอไม่กล้า นิ้วมือของเธอชะงักกลางคัน


เธอให้เขาจากเธอไป เดินผ่านไปแบบนี้…เหมือนศพเดินได้ ในที่สุดเขาก็หายไปจากระเบียงนี้


ในที่สุดก็ผ่านอันตรายครั้งนี้ไปแล้ว


เธอใช้สองมือปิดปากตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แล้วพิงผนังอย่างหมดเรี่ยวแรง


จนกระทั่งเธอมองเห็นลั่วชิว เธอพูดด้วยความโศกเศร้า“ฉันอยากบอกเขาเหลือเกิน ว่าฉันไม่เคยคิดฆ่าเขา ไม่ว่าฉันจะอยากบอกเขามากแค่ไหน…อยากจะบอกเขา…”


“แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ฉันให้เขารู้ไม่ได้…”


“ฉันให้เขารู้ไม่ได้…ว่าการแก้แค้นของเขาไร้ความหมาย”


“เพราะฉันรู้ว่า ตั้งแต่วินาทีที่ฉันตัดสินใจยิง ตั้งแต่วินาทีที่เจอเขาหน้าประตูแกลเลอรีตอนนั้น…”


“ฉันไม่คู่ควรที่จะถูกรัก”


*เชชเนีย หรือสาธารณรัฐเชเชนเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสาธารณรัฐของประเทศรัสเซีย หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย แบ่งออกเป็นสองสาธารณรัฐ คือ สาธารณรัฐอินกูเชเตียและสาธารณรัฐเชเชน สาธารณรัฐเชเชนได้รับการประกาศเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน ซึ่งแสวงเอกราช หลังสงครามเชเชนครั้งที่หนึ่งกับประเทศรัสเซีย เชชเนียได้รับเอกราชโดยพฤตินัยเป็นสาธารณรัฐอินกูเชเตียเชเชน


บทที่ 57 ความสมดุล (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมือนจะจบแล้วใช่ไหม?


หรือว่ายังไม่จบ?


ยูริเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาเพียงแต่เดินไปในห้องที่มีภาพ ‘สุภาพสตรีนิรนาม’ ภาพที่สองวางไว้


ความจริงแล้ว ก่อนที่งานประมูลครั้งที่สองจะเริ่มขึ้น เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่เยอะที่สุด


ยูริหยิบเหล้าที่เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อขึ้นมาขวดหนึ่ง กัดจุกไม้โอ๊คเปิดออก ก่อนดื่มอย่างรีบร้อนและดุเดือด


ประมาณสามสิบหรือสี่สิบนาทีก่อน เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ ก่อนจะถูกเอดการ์พาตัวออกไปจากที่นี่


แต่ตอนนี้เยฟิมตายแล้ว ส่วนอีกคนที่เขาไม่รู้ชื่อก็ตายไปแล้ว…ในคฤหาสน์แห่งนี้ มีคนตายไปไม่น้อย


ยูริหลับตาลงช้าๆ ภาพลั่นไกสังหารคนแต่ละฉากๆ เมื่อหลายนาทีก่อนยังลอยวนอยู่ในหัวเขาตลอด




“แกกล้าตุกติก!”


เยฟิมสบถ เขาคิดว่าเจ้านี่จะต้องมีเล่ห์เหลี่ยมแน่ แต่เขาก็อยากเจอหน้าทายาทตระกูลดีคาปี้ที่ทำให้เขาตกต่ำขนาดนี้ จึงยอมให้ยูรินำทางเขาไปหา


“แกตายแน่” เยฟิมคำรามเสียงเย็นชา


แต่เทียนจุ้ยกลับไม่มีอะไรจะพูด เทียบกับเยฟิมแล้ว เขายอมเก็บกวาดสิ่งกีดขวางให้เรียบ แล้วส่งเยฟิมที่เหมือนหมูป่าหนีออกไปภายในเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อทำภารกิจให้เสร็จสิ้นดีกว่า


เขาเล็งปืนเบนเนลี่ M1 ที่บรรจุกระสุนเต็มแม็กไปที่โต๊ะหนังสือตัวนั้น กระสุนที่พุ่งออกมาก็เพียงพอที่จะยิงคนให้พรุนไปพร้อมๆ กับโต๊ะหนังสือได้


ฆ่าคน สำหรับเขาแล้วก็เหมือนกิจวัตรประจำวัน ท้องร้องก็ต้องกิน อยากฆ่าคน…ก็ฆ่าสิ


จังหวะที่เขาเหนี่ยวไกปืน ยูริก็ร้องตะโกนและพุ่งตัวออกมาจากหลังโต๊ะหนังสือทันที


ช่างกล้าหาญเหลือเกิน


เทียนจุ้ยแอบคิดในใจ…แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนแปลงจุดจบของหมอนี่ไม่ได้หรอก


เฮ้อ ภารกิจ ‘ส่งตัว’ ครั้งนี้…น่าเบื่อจริงๆ


เทียนจุ้ยพลันนึกถึงเรื่องราวมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็สั่นกลัวไปทั้งตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกหวาดกลัวนี้มาจากไหน…


สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือ ขณะที่นิ้วมือของเขากำลังเหนี่ยวไกอยู่นั้น มันก็เกิดอาการแข็งทื่อ


ร่างกายแข็งทื่อ!


สมองของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว


แต่ว่า!


ร่างกายของเขายังขยับไม่ได้ ในเวลาต่อมาเขาก็เห็นกระสุนนัดนั้นถูกยิงออกมาจากปืนในมือของยูริ เขาเห็นมันชัดเจนมาก จนกระทั่งมันพุ่งมาฝังในระหว่างตาทั้งสองของเขาอย่างแม่นยำ


เขารู้สึกถึงความเจ็บปวด..เป็นประสบการณ์ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน ตอนนี้ลูกกระสุนถูกยิงเข้าศีรษะเขาไปแล้ว


สุดท้าย เขาก็นึกถึงแก่นแท้ของ ‘โคมตะเกียง*’ ได้


ทุกๆ การเคลื่อนไหวราวกับภาพถ่ายสโลว์โมชั่น เทียนจุ้ยหงายหลังล้มตึง จังหวะที่ร่วงลงพื้น ความยืดหยุ่นของผิวกายก็ทำให้ร่างของเขาเด้งขึ้นมาเล็กน้อย


จนฝุ่นที่อยู่ในพรมห้องหนังสือนี้ลอยขึ้นมา


ปังๆๆ…ปัง!


เสียงปืนสามหรือสี่นัด นี่เป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในโลกใบนี้


ทำไมถึงขยับไม่ได้? เขาไม่รู้ เขารู้เพียงแต่ว่า โคมไฟประดับเพดานห้องหนังสือดูสวยงามมากทีเดียว


เทียนจุ้ย…ตายแล้ว


เยฟิมล่ะ?


ตอนนี้เยฟิมเบิกตาโพลง มือทั้งสองกุมท้องตัวเองไว้อัตโนมัติ แต่ไม่ว่าเขาจะกุมท้องแรงแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดของเหลวสีแดงสดที่ไหลออกมาจากตัวเขาได้


แล้วร่างของเขาก็เริ่มชักเกร็งทันที เขายื่นมือออกไป เหมือนจะหาอะไรมายันตัวเองไว้ แต่เขาก็หาไม่เจอ ใช่แล้ว เขาหาไม่เจอแล้วก็ล้มลงไปบนพื้น


กระสุนนัดหนึ่งทะลุหน้าอกเขาไป


เยฟิมจ้องมองเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย…นั่นเป็นแววตาสุดสยองขวัญก่อนตาย


ความจริงแล้ว…เขามองไม่เห็นอะไรเลย ข้างหน้ามืดสนิท แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ยูริอยู่ข้างตัวเขา


เยฟิมยื่นมือเปื้อนเลือดของตนออกไปข้างหน้า ทำได้เพียงคว้าเสื้อของยูริเอาไว้เท่านั้น!


ทั้งสองถลึงตาจ้องกัน ลมหายใจหนักหน่วงเป็นเหมือนดินปืนที่ระเบิดได้ตลอดเวลา ต่างฝ่ายต่างร้ายกาจใส่กัน


“แก…แกไม่มีทางอยู่อย่างสบาย…จุดจบของฉัน…” เยฟิมพ่นเลือดออกมา ก่อนพูดต่อ “ก็คือจุดจบของแก…ฉันจะสาปแช่งแก!”




“ฉันจะสาปแช่งแก”


ยูริเบิกตาโพลงทันที เยฟิมตายแล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นเหมือนจ้องเขม็งมาทางเขาที่ห่างออกไปสิบเซนติเมตร


“ตายหมดแล้วล่ะ…”


เขากุมขมับ แล้วหัวเราะเสียงขรึมทันที เขาหัวเราะอยู่อย่างนั้น จนเกือบจะกลายเป็นเสียงร้องไห้


‘จุดจบของฉัน ก็คือจุดจบของแก’


ประโยคนี้ ที่จริงก็เป็นแบบนั้น…ยูริรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานตัวเองก็จะหลับไปตลอดกาล


ฉับพลันเขาก็นึกถึงวันที่ตนเองมาถึงเมืองนี้ นับจากวันนั้นผ่านไปวันแล้ววันเล่า ถ้าจะบอกว่าตัวเองมีพรสวรรค์จริงๆ ล่ะก็…บางทีผลงานทั้งหมดนี้ อาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้


ความสำเร็จไม่มีทางลัดให้เดินเหรอ…แอนนาน่ารังเกียจไหม?…บางทีถ้าช่วงปีกว่าที่มาเมืองนี้ เขายังคงใช้ชีวิตเรียบง่าย และไม่รีบร้อนอยากได้โอกาส ก็คงจะไม่ตกลงทำของปลอมง่ายๆ แบบนี้เหมือนกัน


โทษตัวเอง?


ตัวเองผิดเหรอ? ถ้าเป็นจิตรกรข้างทาง แล้วสุดท้ายเขาประสบความสำเร็จได้เหรอ?


ตอนนี้ศัตรูตายหมดแล้ว…ชีวิตเขาก็เหลืออีกไม่นาน เวลาที่เหลือจะทำอะไรได้? เสวยสุขให้สุดเหวี่ยง ก่อนความตายจะมาเยือน เสพสุขกับชีวิตเศรษฐีให้ถึงที่สุด? แล้วก่อนที่ความตายจะมาเยือน จะเจ็บปวดแค่ไหนกัน? เวลาที่เหลืออยู่วันแล้ววันเล่า…จะเจ็บปวดแค่ไหนกัน?


ทันใดนั้น


ยูริเริ่มหมดอาลัยตายอยาก ก่อนค่อยๆ ยกปืนในมือขึ้น


เขารู้ว่ายังมีกระสุนอีกหนึ่งนัด


สายตาของเขาดูล่องลอย เหมือนกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์


ยูริอ้าปากช้าๆ แล้วค่อยๆ จ่อปากกระบอกปืนไปที่ขมับตัวเอง


เขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็ขยับนิ้วพร้อมเหนี่ยวไก…เขานับถอยหลังเวลามีชีวิตอยู่ ก่อนเลือกจบชีวิตตัวเอง


ปัง!


จบสิ้นแล้ว



จบสิ้นแล้ว


แต่เขายังลืมตาได้โดยไร้ความเจ็บปวด…และเห็นทั้งหมดรอบๆ นี้อย่างชัดเจน


ยูริหันหัวไปมองโดยอัตโนมัติ เขาไม่รู้ว่ามีฝ่ามือหนึ่งมาอยู่บนหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไร และเจ้าของฝ่ามือก็คือ…เจ้าของสมาคม


“ปืนพกขนาดหกนัดนี้อานุภาพไม่เลวเลยจริงๆ นะครับ”


กระสุนนัดหนึ่งร่วงจากฝ่ามือเจ้าของร้านลั่ว แล้วตกลงพื้นอย่างช้าๆ ยูริมองดูกระสุนนัดที่ร่วงลงบนพื้นนี้ ก็โมโหขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


“ทำไมต้องขวางผมด้วย? ไม่ต้องรอให้หมดเวลา คุณก็เอาวิญญาณผมไปได้เลย คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ?”


“พวกเราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร…” ลั่วชิวพูดเสียงเบาๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างเช่น…การซื้อขายที่ครอบคลุม”


“อะไรนะ?”


ยูริเผยสีหน้างงงวย


แต่ตอนนี้ลั่วชิวกลับดีดนิ้วเบาๆ แล้วยูริก็สลบล้มลงไปบนพื้นทันที…


และตอนนี้ แอนนาก็ค่อยๆ เดินออกมาจากข้างหลังลั่วชิว


เธอคุกเข่าลง ยื่นมือไปลูบหน้ายูริ


“ท่าทางคุณแอนนาจะรักยูริมากจริงๆ ถึงได้ขอไปแบบนี้” ลั่วชิวพูดเสียงเบา


แอนนาเงยหน้าขึ้น พลางส่ายหน้า “คุณเข้าใจ…ว่ารักคืออะไรไหม?”


ลั่วชิวอึ้งไป ตั้งแต่จำความได้ นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามนี้กับเขา


เขาส่ายหน้า


“งั้นเหรอ” แอนนาหัวเราะช้าๆ “แต่ฉันว่า ฉันไม่ควรรักผู้ชายคนนี้…แต่ไม่ว่ายังไง ฉันก็รู้สึกติดค้างเขา”


แอนนาสูดหายใจเข้าลึกๆ “น่าขำสินะ? ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น ฉันรู้ว่าเขารักฉันมากแค่ไหน ฉันคิดว่า…ฉันจะเปิดใจรักเขาได้สักวัน อย่างน้อยก็ถือเป็นการชดเชย? หรือเป็นเพียงแค่การตอบแทน แต่ต่อมาฉันก็เข้าใจแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความรักเลย ฉันเป็นคนที่ไม่ควรถูกรัก…ฉันก็แค่ละอายใจเท่านั้นแหละ”


เธอลุกยืนขึ้น “ฉันคิดจะทำอะไรสักอย่างที่ชดเชยเขาได้จริงๆ ในเมื่อฉันควรตายไปแล้ว และสุดท้ายเยฟิม…ก็ตายด้วยน้ำมือของยูริเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าวิธีการจะต่างกับที่ฉันหวังไว้ก็ตาม”


แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อย “รู้ไหม? ที่จริงฉันมีโอกาสฆ่าเยฟิมตั้งหลายครั้ง”


เธอเผยยิ้มเย้ยหยัน “เท่าที่ฉันดู หมอนี่หลงใหลเรือนร่างของฉันมาก…แต่การฆ่าเขาให้ตายไปเลยไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ เขาตายแล้วก็แค่มีเจ้าของเหมืองคนใหม่มาแทน ถ้าไม่สามารถขุดคุ้ยความเกี่ยวข้องระหว่างผู้มีอำนาจและเหมืองได้ และปล่อยให้คำวิพากษ์วิจารณ์จากมวลชนของประเทศนี้มาโจมตีความโสมมของพวกมันล่ะก็ เยฟิมตายไปคนหนึ่งแล้ว ก็จะมีคนต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในเมื่อเยฟิมตายไปแล้ว ฉันก็สมควรตายเหมือนกัน…ถ้างั้นก็มาจบเรื่องนี้กันเถอะ เขา…”


แอนนามองยูริที่อยู่บนพื้น พูดเสียงเบาๆ ว่า “เป็นเพียงคนน่าสงสารคนหนึ่งที่ดันเข้ามาเกี่ยวข้องกับฉัน ที่จริงแล้วเขาสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ฉันเชื่อว่า แค่ให้เวลาเขามากพอ เขาจะต้องเฉิดฉายเป็นจิตรกรที่เยี่ยมคนหนึ่งได้แน่”


“คุณเลือกที่จะทำเป้าหมายเดิมให้สำเร็จได้นะครับ” เจ้าของร้านลั่วพูดขึ้นทันที


แอนนาหัวเราะเบาๆ เธอคิดว่ามันตลก “คุณนี่ประหลาดจริงเชียว เสนอตัวเลือกให้ฉันหลายต่อหลายครั้ง ล้วนเป็นตัวเลือกที่เกิดประโยชน์ต่อตัวฉันเองจนปฏิเสธไม่ได้เลย ดูเหมือนคุณยินดีเห็นฉันเลือกตัวเลือกที่เป็นประโยชน์กับตัวเองนะ”


ลั่วชิวพูดอย่างเฉยเมยว่า “เพราะพวกผมยืนอยู่ข้างลูกค้าครับ”


“งั้นเจ้าของอย่างคุณก็คงล้มเหลวมามากแล้ว” แอนนาส่ายหน้าเล็กน้อย พลางพูดว่า “มีบางเรื่อง…ที่คนเรายอมทำร้ายตัวเองเพื่อคนอื่น”


“ผมเข้าใจแล้วครับ” ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย เขาแบมือทั้งสองข้างยื่นมาข้างหน้าเล็กน้อย จากนั้นบันทึกหนังแกะเก่าๆ ม้วนหนึ่งก็โผล่ออกมากลางอากาศ ก่อนไปอยู่ตรงหน้าแอนนาช้าๆ แล้วกางออก


“ข้อตกลงในสัญญา ถ้าคุณแอนนาไม่มีปัญหา ก็เซ็นชื่อได้เลยครับ”


แอนนากดฝ่ามือลงบนสัญญาเบาๆ



“นายท่าน เสียใจเหรอคะ?”


คุณสาวใช้มองออกว่าตอนนี้นายท่านของตนเงียบขรึมไปเล็กน้อย…เธอยืนเป็นเพื่อนลั่วชิวอยู่ที่จุดที่สูงที่สุดของคฤหาสน์แห่งนี้ มองดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างล่าง ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาหลายนาทีแล้ว


แต่เจ้าของร้านลั่วกลับไม่พูดอะไรสักคำ สาวใช้ที่กำลังครุ่นคิดอยู่ก็นึกขึ้นได้ทันที ว่าก่อนหน้านั้นเขามักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เรื่องราวเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เข้าไปยุ่งมากนัก


“เสียใจ?” ลั่วชิวหันหน้ามามองโยวเย่อย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”


คุณสาวใช้พูดเสียงเบาๆ ว่า “เพราะคุณภาพวิญญาณของคุณแอนนาไม่ได้เพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่ที่เธอได้รับการช่วยเหลือตอนนั้น ถ้าให้พูดอย่างจริงจัง ยัง…”


“ยังลดลงไปนิดหน่อยใช่ไหม?” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “เธอก็รู้ว่าแค่ได้ยินเรื่องแย่ฉันก็ไม่ด่าเธอหรอก ยังไงพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาระยะหนึ่งแล้ว”


“ค่ะ ความใจกว้างของนายท่าน ทำให้ฉันมีความสุขจริงๆ ค่ะ” โยวเย่ตอบเสียงเบาๆ จากนั้นก็พูดอย่างลังเลว่า “แต่ว่า สัญญาฉบับนี้ของคุณแอนนา…”


“แน่นอนว่าทำตามความต้องการของลูกค้า” ลั่วชิวตอบช้าๆ “อันดับแรก จัดการเรื่องราวในคฤหาสน์แห่งนี้”


ราวกับเรียกความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้ในทันที เจ้าของร้านลั่วหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนแรกฉันคิดว่ามนุษย์หมาป่ากับมนุษย์ยาคงจะสู้กันอีกนาน ไม่ใช่เหรอ? แถมยังเพิ่มตัวละครใหม่เข้ามาอีก”


โยวเย่มองเทียนไป้ เยียร์เกอร์ และเวร่าที่อยู่บนพื้นโดยอัตโนมัติ…เธอไม่ได้รู้สึกว่าพลังต่อสู้ที่น่าขำนี้จะน่าสนุกตรงไหน


แต่ในเมื่อนายท่านของเธอแสดงท่าทางสนอกสนใจ ในฐานะที่เป็นสาวใช้ที่ดีคนหนึ่ง เธอควรอยู่เป็นเพื่อนเขา ดีใจไปกับเขา กระทั่งช่วยสร้างบรรยากาศให้เขาสนุกยิ่งขึ้น


“นายท่าน ดูสิคะ ท่าทางคุณเวร่าจะเรียน BJJ* มา ท่านี้ก็คือ…”



เจอคนไม่ปกติแบบนี้ สำหรับเวร่าแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ความสนใจเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่ยังมีอีกคนหนึ่ง


อืม…เกรงว่าจะไม่ใช่คนที่ควบคุมชีพจรหมาป่าในตัวได้ดีนัก ตอนนี้คงขาดสติไปแล้วสินะ?


เวร่าสังเกตเยียร์เกอร์ที่อยู่ในสภาพสัตว์ร้ายอย่างสมบูรณ์แวบหนึ่ง แล้วก็มองไปที่ ‘ยักษ์’ ที่อยู่ข้างหน้าตนนี้


“น่าตื่นเต้นจริงๆ”


เวร่าหายตัวไปในคฤหาสน์แห่งนี้อย่างรวดเร็ว เธอจำโครงสร้างของที่นี่ได้ตั้งแต่ครั้งก่อนแล้ว


เห็นได้ชัดมากว่า ครั้งนี้เธอไม่หลงทางเลย ที่โชคร้ายกว่าหลงทางก็คือ เธอหลุดเข้าไปในการต่อสู้ประหลาดพร้อมกับ ‘ยักษ์’ ตนนี้ แล้วไหนจะ ‘หมาป่า’ ที่ขาดสติตัวนี้อีก


เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอมนุษย์เช่น ‘ยักษ์’ ไปจนถึง ‘หมาป่า’ ขาดสติ เธอที่ไม่คิดจะใช้พลังสกปรกก็จำต้องยอมเปลี่ยนความคิด ไม่อย่างนั้นเธอก็จะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด


“ถ้าไม่ใช่เพราะนายเองก็เป็น ‘หมาป่า’ ฉันจะไม่สนใจเรื่องนี้เลย!” เวร่ามองหมอนี่ที่พุ่งเข้ากัด ‘ยักษ์’ อย่างบ้าคลั่ง ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด


อืม…ว่าแต่นี่ที่ไหนกัน?


ห้องภาพเหรอ?


ที่แท้ช่วงที่กำลังต่อสู้ไล่ล่าและหลบหนี ทั้งสามคนก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องวาดภาพแห่งนี้แล้ว


*โคมตะเกียง คนจีนเปรียบเทียบแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์เหมือนแสงไฟโคมตะเกียงเกิดแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิดไม่มีหยุดนิ่ง


**BJJ บราซิลเลียนยิวยิตสู (อังกฤษ: Brazillian Jiu-jitsu) เรียกสั้นๆว่า BJJ เป็นศิลปะการต่อสู้สมัยใหม่ซึ่งมีลักษณะเด่นในการต่อสู้จับล็อกบนพื้น แต่ก็มีจุดเด่นทั้งการทุ่มและการควบคุมคู่ต่อสู้จากทางด้านบน จินตนาการง่ายๆคือคล้ายกับการเอากีฬายูโดมาผสมกับมวยปล้ำแล้วมีการฝึกท่าจับล็อกบนเพิ่มเข้าไป


บทที่ 58 Scar

โดย

Ink Stone_Fantasy

สถานีตำรวจ


ชายหนุ่มนั่งก้มหน้าอยู่บนเตียงแข็งกระด้างภายในห้องขัง หลายวันมานี้เป็นฝันร้ายสำหรับเขา เขาผู้เป็นทายาทแห่งตระกูลดีคาปี้ถูกจับมาขังไว้ที่นี่ หลังจากเรื่องแดงออกไปแล้วคงกลายเป็นเรื่องสนุกปากเป็นแน่


ทันใดนั้น ประตูห้องขังก็เปิดออก ชายหนุ่มมองตำรวจที่เดินเข้ามา จำไม่ได้ว่าหลายวันมานี้เขาตะโกนร้องไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ตอนนี้จึงมองอีกฝ่ายเงียบๆ ด้วยคร้านจะสนใจ


“แกไปได้แล้ว” ตำรวจพูดเสียงเรียบเฉย


ชายหนุ่มอึ้งไป เขาลุกจากที่นอนทันที พลางพูดอย่างแปลกใจว่า “ผมไปได้แล้ว? มีคนมารับผมแล้วเหรอ?”


“รับแก? จะมีใครมารับคนอย่างแก?” ตำรวจยักไหล่แล้วพูดว่า “ก็แค่หัวขโมยที่ถูกจับได้ เอาล่ะ อย่าเพ้อเจ้อ รีบเดินไป! อย่ามายืนตรงนี้ เกะกะพื้นที่พวกฉัน”


ชายหนุ่มพูดอย่างโมโหทันที “พวกคุณจับผิดคนแล้วยังจะกล้าอีก!”


แต่เขากลับต้องหยุดชะงัก เพราะตำรวจนายนี้ใช้กระบองเคาะไปที่ประตูอย่างแรง “ถ้าแกยังอยากอยู่ต่อล่ะก็ ฉันก็ยินดีปิดประตูบานนี้อีกครั้ง”


“เดี๋ยว! ผม ผมไปเดี๋ยวนี้แหละ”


ฉันจะจำตำรวจคนนี้เอาไว้!


ชายหนุ่มก้มหน้า แล้วรีบเดินลงบันไดหน้าสถานีตำรวจ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมาก ไม่เพียงแต่กระเป๋าเงิน บัตรประจำตัว โทรศัพท์และของอื่นๆ ที่หายไปเท่านั้น แถมยังต้องมาถูกจับขังคุกนานขนาดนี้อีก!


“เอดการ์ทำอะไรอยู่กันแน่! ฉันหายไปนานขนาดนี้ ยังไม่ออกตามหาอีก? เชอะ!”


เขาหาแท็กซี่ได้คันหนึ่ง พอขึ้นไปนั่ง ก็บอกที่อยู่หนึ่งไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก



สำหรับเวร่าแล้ว ดูเหมือนว่าการชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจะถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม เธอจำได้แม่นว่า ตอนเด็กๆ คนในครอบครัวพากันวิจารณ์ย่าของเธอว่า ยัยแก่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน สมควรตาย!


ครั้งนี้ ดูเหมือนเธอต้องชดใช้กรรมที่ไปสอดรู้สอดเห็นแล้วสินะ…นี่เป็นเรื่องแย่มากจริงๆ


ห้องวาดภาพที่ดูเหมือนเพิ่งตกแต่งไปได้ไม่นาน ตอนนี้มีสภาพราวกับถูกพายุไต้ฝุ่นถล่มไปอย่างนั้น เจ้าสองคนที่ร่างกายเหนือคนธรรมดาต่อสู้กันอยู่ที่นี่ และยังมีเธอที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอยู่ตรงกลาง…เวร่าแอบคิดในใจว่า เจ้าของคฤหาสน์คงไม่เก็บค่าเสียหายจากเธอหรอกนะ


ปัง!


บ้าเอ๊ย!


เธอไขว้แขนทั้งสองไว้ข้างหน้าเพื่อสกัดกั้นหมัดของ ‘ยักษ์’ ตนนี้ไว้ เพียงแต่แรงปะทะมหาศาล ก็ทำให้เธอกระเด็นไปติดกำแพงทันที!


หากร่างกายไม่ได้รับเลือดสกปรกของครอบครัว และโครงสร้างร่างกายแตกต่างจากคนธรรมดามาก พอถูกหมัดนี้อัดเข้า กระดูกมือทั้งสองข้างก็คงหักทันที แต่ตอนนี้ก็เหมือนว่าจะสูญเสียการรับรู้ไปแล้ว ด้วยเพราะชาไปตั้งแต่ข้อมือจนถึงหัวไหล่


ป้าบ! ตุบ!


ร่างของเธอกระแทกไปบนตู้ที่ตั้งอยู่ชิดผนังอย่างจังจนตู้พังยับเยิน ดูเหมือนว่าตู้นี้จะเป็นที่เก็บอุปกรณ์วาดภาพ


พู่กันที่หัก สีที่กระจุกอยู่ และขวดต่างๆ ร่วงกระจายลงบนพื้นทันที ความรู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าทำให้เวร่ารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง


เธอมองเงาสะท้อนตัวเองบนกระจกที่แตกอยู่แวบหนึ่ง…เพราะใบหน้าในตอนนี้เปื้อนสีขาวข้น


บนจมูก ใบหน้าข้างซ้าย บนหน้าผากก็มี แม้กระทั่งตาขวา…ใช่แล้ว มุมปากก็ยัง…


“!!”


แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะไปคิดหยุมหยิมหรือจัดการสิ่งเหล่านี้ ลองคิดดูก่อนว่าควรจัดการ ‘ยักษ์’ ตนนี้ และ ‘หมาป่า’ ตัวนี้อย่างไรถึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า


“ฉันไม่น่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเลย” เวร่าลุกขึ้นยืนทันที เธอพูดกับตัวเองแบบไม่พอใจมาก…จากนั้น รูม่านตาของเธอก็เริ่มหดเล็กลงอย่างรวดเร็วด้วยการแปลงร่างอันน่าอัศจรรย์


รูปร่างตาดำของเธอแตกกระจายแล้วกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง กลายเป็นดวงตารูปประหลาด โครงสร้างคล้ายรูปร่มที่งดงามโดดเด่น แม้กระทั่งแก้ม ก็ยังมีขนสีเงินเส้นเล็กๆ ผุดขึ้นมา


ใบหูของเธอยาวขึ้นเล็กน้อย และเส้นผมก็ยาวเกือบถึงเอว


“แกก็เป็นหมาป่าเหรอ!!” น้ำเสียงเทียนไป้แหบพร่า ราวกับเส้นเสียงถูกเผาไหม้จนถึงขั้นระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมา


เขาไม่สามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงนี้ได้เลย เขาต้องสูญเสียหลายสิ่งเพื่อให้ได้ร่างกายที่แข็งแกร่งนี้มา แล้วจิตสังหารโหดเหี้ยมก็ได้ปะทุขึ้นมาจากจิตใจเขา


เขาต้องทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดตรงหน้า ถึงจะสะกดความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านในร่างกายอย่างไม่ขาดสายได้


เวลานี้


ในชั่วพริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเวร่า เยียร์เกอร์ที่สูญสิ้นสติไปกลับหยุดชะงักทันที ดูเหมือนว่าเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่อันตรายกว่าเดิม ทั้งตัวเขาโก่งงอ สองมือสองเท้าเกาะพื้นไว้แน่น แยกเขี้ยวขู่ ราวกับศัตรูตัวฉกาจใกล้เข้ามา…หรือจะบอกว่า หวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


“สิบวินาที” เวร่าเสียงเข้มขึ้นมาทันที วินาทีที่เธอหรี่ตาลง เธอก็ตรงดิ่งพุ่งชนเทียนไป้ตรงๆ ราวกับลูกกระสุนปืน


เทียนไป้คำรามเสียงดัง พอเขาจับทิศทางการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายไว้ได้แล้ว ก็แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนออกมา นั่นก็คือการปล่อยหมัดทำลายล้าง!


หมัดนี้มีพลังทลายกำแพงได้จริงๆ!


แต่ว่าในตอนนี้เอง ดูเหมือนการกระทำทั้งหมดจะช้าลง! เวร่าไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี แต่รีบยื่นมือไปคว้าข้อมือหนาใหญ่ของเทียนไป้อย่างว่องไว แล้วบิดมันกลางอากาศ ก่อนกางขาทั้งสองข้างออกพร้อมกัน แล้วรัดบีบเข้าหากันแน่นทันที!


น่องซ้ายและต้นขาขวากลายเป็นคีมด้ามยาว รัดคอเทียนไป้ไว้!


เธอส่งเสียงคำรามเบาๆ แล้วก็ทุ่มเทียนไป้ลงบนพื้นอย่างแรง ส่วนหัวของเทียนไป้ก็กระแทกเข้ากับพื้นอย่างจัง!


ถึงแม้จะเป็นการโจมตีที่น่ากลัว และก็ไม่พอที่จะทำให้เทียนไป้หัวแตก แต่ก็พอทำให้มึนงงได้บ้าง!


แต่เวร่ายังไม่ยอมวางมือ เวลานี้เธอกระชับขาทั้งสองข้างของตัวเองให้แน่นขึ้น ขณะเดียวกันก็ใช้มือคว้าเทียนไป้ไว้ แล้วหักออกไปในทิศทางตรงข้ามอย่างแรง!


กร๊อบ!


ข้อต่อบิดเบี้ยวไปด้วยเหตุนี้!


เทียนไป้เริ่มรู้สึกหายใจลำบาก สภาพเขาตอนนี้ ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดจะลดลงถึงระดับที่แทบจะไม่มีแล้ว แต่ก็ยังคงต้องการออกซิเจนมาเลี้ยงร่างกายไว้


คนธรรมดาไม่มีทางบีบคั้นเขามาถึงระดับนี้ได้…แต่เห็นได้ชัดว่าเวร่าไม่ใช่คนธรรมดา


ฆ่ารัดคอ!


เป็นกระบวนท่าที่ร้ายกาจของ BBJ!


เวลา…เก้าวินาที!


เวร่าคลายขาทั้งสองข้างแล้วลุกขึ้นจากพื้น ก่อนคำรามเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย แล้วยกขาขึ้นเตะเทียนไป้ให้พลิกตัวมา พอเห็นว่าเขาตาเหลือกไปแล้ว ถึงได้หันไปมองเยียร์เกอร์


เขายังคงใช้วิธีป้องกันตัวด้วยการโก่งตัวเกร็ง เวร่าเดินไปทางเยียร์เกอร์ทีละก้าว การกลายร่างอย่างประหลาดบนตัวเธอก็ชัดขึ้นเรื่อยๆ


เยียร์เกอร์ถอยหนีตามสัญชาตญาณ จนกระทั่งไม่อาจถอยหนีได้อีก ความโหดเหี้ยมที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย ทำให้เขาคำรามออกมาในที่สุด ทันใดนั้นก็ลงมือกับเวร่า!


“คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังนี้ควรใช้ยังไง!” น้ำเสียงเวร่าแหลมกว่าเดิม


สองมือเธอประสานกัน หลบการปะทะของเยียร์เกอร์ได้สบายๆ เธอหมุนตัวไปข้างหลังเขา แล้วใช้กำปั้นกระแทกเข้ากับหลังของเยียร์เกอร์อย่างแรง ชกจนเขาลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว!


เวร่าสบถเสียงเย็นชา คุกเข่ากดลงไปบนหลังเยียร์เกอร์ จากนั้นก็ยื่นมือไปกดหัวเขาลงติดกับพื้น!


“วิคก้า! ออกมา! ออกมา!”


เวลานี้วิคก้าที่หลบอยู่ พร้อมๆ กับไล่ตามจนมาถึงที่นี่ ได้โผล่หน้าออกมาจากตรงหน้าต่างห้องวาดภาพ ตอนที่เขาเห็นเวร่าก็ตกใจจนหน้าถอดสีทันที เขาค้นกระเป๋าตัวเองอย่างลนลาน ในที่สุดก็หาขวดใบหนึ่งเจอ จึงรีบโยนออกไป!


เวร่ายื่นมือไปรับขวด กัดจุกขวดเปิดออก เทยาเม็ดเล็กจำนวนหนึ่งยัดเข้าไปในปากเยียร์เกอร์ แล้วก็ออกแรงอุดปากเขาไว้


เยียร์เกอร์ยังคงขัดขืนสุดชีวิต


“ฟังนะ ความโกรธไม่อาจเปลี่ยนเป็นพลังได้ แต่จะทำให้คุณตายซะเอง! ฉันไม่รู้ว่าเลือดในตัวคุณได้มายังไงกันแน่ แต่คุณต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมสิ่งน่ารังเกียจในตัวคุณ! คุณเป็นมนุษย์! ไม่ใช่สัตว์ป่า!”


“ฮือ…อ๊า!! กรรจ์!”


พอเยียร์เกอร์ค่อยๆ แน่นิ่ง การกลายร่างอันน่าอัศจรรย์ก็เริ่มหายไปช้าๆ สุดท้ายก็หลับตาลง เวร่าจึงปล่อยให้เขาอยู่บนพื้นเพียงลำพัง


ทันใดนั้น ใบหน้าเธอก็เผยให้เห็นความเจ็บปวด ไม่นานริมฝีปากก็เริ่มขาวซีด เธอกรอกยาในมือที่เหลือเข้าไปอย่างรวดเร็ว


จากนั้นไม่นาน เธอก็กลับสู่สภาพเดิม แต่ดูเหมือนจะใช้พลังเกินขีดจำกัด เธอจึงล้มตัวลงบนพื้น


วิคก้าเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็รีบปีนข้ามหน้าต่างมา เขาเดินเข้ามาหาแล้วรีบพูดว่า “ระหว่างทางที่เพิ่งมาผมเห็นว่ามีคนตายไปมาก…ไม่เห็นคนรอดเลย! นี่…เกิดอะไรขึ้นกับหมอนี่น่ะ?”


สักพักแววตาของเขาก็หันไปมองเทียนไป้ เห็นเพียงร่างกายของเขาเริ่มแฟบลง ตรงข้ามกับร่างกายกำยำของเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันกลับไปสู่ขนาดปกติแล้ว


เพียงแต่ผิวพรรณของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างน่าประหลาด และยังมีของเหลวสีดำไหลออกมาจากปากของเขา…เกรงว่าจะเป็นเลือด?


“ฉันก็ไม่รู้ แต่ว่า…” เวร่าขมวดคิ้ว เธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “เหมือนฉันจะเจอพวกเดียวกันแล้ว”


“หา?”


“ประมาณสองปีก่อน มีพวกลึกลับเข้ามาที่บ้าน พ่อให้การต้อนรับพวกเขา ดูเหมือนกำลังคุยธุรกิจอะไรกันอยู่…” เวร่าส่ายหน้า “ผ่านไปไม่นาน ฉันก็บังเอิญพบว่า ในบ้านเริ่มจัดการศพจำนวนหนึ่งอย่างลับๆ ลักษณะ…”


เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงพูดช้าๆ ว่า “ประมาณนั้น”


“นี่…” วิคก้าขมวดคิ้ว แล้วพูดสวนขึ้นมา “ยังไม่ต้องสนใจพวกนี้ ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่ก่อน…ถ้ายังมีพวกเดียวกันอยู่ ผมรับมือไม่ได้แน่ๆ”


เวร่าพยักหน้าเล็กน้อย เธอรู้จักจัดลำดับความสำคัญ “เดี๋ยวก่อน เอาหมอนี่ไปด้วย ฉันมีเรื่องจะถามเขาหน่อย”


เวร่าพูดพลางชี้ไปที่เยียร์เกอร์


“คุณผู้หญิง! คุณคิดว่าผมประคองคุณ แล้วยังจะมีแรงยกหมอนี่อีกเหรอ?” วิคก้าพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “คุณช่วยเขามาขนาดนี้แล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตาเขาเถอะ! ถ้าเขาเป็นคนของคฤหาสน์นี้ ยังไงก็ไม่ตายหรอก!”


“ก็ได้…” เวร่าทำได้แค่พยักหน้านิดหน่อย



“เพราะเป็นสายเลือดรุ่นเก่าแก่ที่ตกทอดมา ดังนั้นพลังถึงแข็งแกร่งกว่างั้นเหรอ?”


ในห้องวาดภาพที่ระเกะระกะ ได้ต้อนรับการมาของเจ้าของร้านลั่วและคุณสาวใช้ ลั่วชิวคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อพลิกร่างเยียร์เกอร์ เขามองดูแล้วเอ่ยถามขึ้น


“ในเผ่าพันธุ์หมาป่า มีวิธีการแยกด้วย ‘รุ่น’ อยู่ด้วยค่ะ” โยวเย่พูดในสิ่งที่ตัวเองรู้ “ยกตัวอย่างเช่น แรกเริ่มเลยคือบรรพบุรุษ ซึ่งบรรพบุรุษที่แพร่เชื้อก็คือรุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่หนึ่งแพร่เชื้อจนเป็นรุ่นที่สอง โดยธรรมชาติจะมีความรู้สึกกดดันระหว่างรุ่นก่อนและรุ่นหลัง อืม…เหมือนเผ่าโลหิต ลักษณะคล้ายๆ กันค่ะ”


ลั่วชิวเดินไปหน้าศพเทียนไป้อีก แล้วยื่นนิ้วไปปาดกองเลือดสีดำบนพื้นแล้วขยี้เบาๆ จากนั้นก็พูดขึ้นทันที “จริงสิ ครั้งก่อนเธอบอกว่า ของสิ่งนี้ประกอบด้วยเลือดของเผ่าโลหิตและไขกระดูกสมองหมาป่าใช่ไหม?”


“ใช่ค่ะ”


ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย คิดโยงไปถึงคำพูดบางอย่างเมื่อครู่นี้ของเวร่า ดูเหมือนจะตั้งเป็นสมมติฐานอย่างหนึ่งได้


เขาหัวเราะ แล้วลุกขึ้นยืน “ถึงตาพวกเราเคลียร์สถานที่แล้ว พวกเราควรขอบคุณคุณเวร่าสักหน่อย เพราะเธอช่วยพวกเราลดงานไปได้เยอะ”


นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วชิวเห็นศพมากขนาดนี้…หรือพูดได้ว่า ยืนอยู่ในที่ที่มีคนตายมากมาย


หากเป็นเมื่อก่อน แม้เขาจะไม่ตกใจทันที แต่ก็ดูผวาอยู่บ้าง


แต่ตอนนี้…สิ่งเหล่านี้กลับดูตื่นเต้นราวกับอุปกรณ์ประกอบฉาก ความหวาดหวั่นในใจจึงไม่ก่อตัวมากสักเท่าไร


เจ้าของร้านลั่วอดเยาะเย้ยตัวเองไม่ได้ ‘ดูท่าเขาจะผ่านขั้นตอนทำตัวให้ชินกับเรื่องแบบนี้ไปแล้ว’


“ค่ะ” โยวเย่หัวเราะเล็กน้อย


แต่ก่อนการเคลียร์สถานที่ คุณสาวใช้ก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าออกไปเช็ดเลือดสีดำบนนิ้วมือเจ้าของร้านลั่วจนสะอาด



เวลานี้ รถแท็กซี่คันหนึ่งก็ค่อยๆ ขับมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์


ชายหนุ่มปิดประตูรถด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขาหันไปทางคนขับรถแล้วพูดว่า “คุณรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะมีคนเอาเงินมาจ่ายคุณเอง!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม