แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 518-524
ตอนที่ 518 คืบหน้าไปมาก
“ได้สิ ถ้าเธอรักษายายแก่คนนี้ให้เชื่อฟังได้ล่ะก็ จะเอาเท่าไรฉันจะควักกระเป๋าจ่ายเอง แต่ฉันไม่ได้มีเงินเยอะอย่างเขาหรอกนะ” อาเขยรู้สึกขำ
“ญาติกันหนูจะเก็บแพงได้ยังไงล่ะคะ เอาแบบนี้ไม่ต้องให้เงินหนูหรอกค่ะ อาหญิงมีพวกหินแพงๆตั้งเยอะแยะ เอามาให้หนูสักชิ้นสองชิ้น หนูไม่เรื่องมาก รับประกันเลยว่าอีกหน่อยอาหญิงจะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่กับบ้านไม่ออกไปก่อเรื่องข้างนอกแน่นอนค่ะ”
หิน…พ่อหลี่ฟังแค่นี้ก็เข้าใจ หมายถึงหินหยกที่วางประดับอยู่ในห้องหนังสือหลายก้อนนั่นสินะ? แม่อวี๋เองก็สนุกไปด้วย
นั่นเป็นของที่อาหญิงพยายามเอามันไปจากเธอ ล้วนเป็นของดีที่ฉีเยี่ยน้องชายเธอทำออกมา ถึงจะเป็นหินที่ยังไม่ได้ผ่านการเจียระไน แต่ได้ผ่าเปิดข้างในแล้ว มองเห็นหยกที่อยู่ในนั้น เพราะเสียดายไม่อยากเอาออกมาเลยยกให้พี่สาว อาหญิงพอมาหาแล้วเห็นเข้าก็จะเอาให้ได้
เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ แย่งไปยังไงก็ต้องเอากลับมาคืน
“ถ้าเธออยากได้ฉันก็จะให้ ขอแค่จัดการเมียฉันให้อยู่หมัดเสียที เดี๋ยวฉันแถมกาน้ำชาดินเผาให้ด้วย ของชิ้นนี้ฉันไม่ให้ใครง่ายๆหรอกนะ เป็นรุ่นลิมิเต็ดอีดิชั่นที่เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ให้มา ตอนนี้เขาอายุมาก ไม่มีแรงทำแล้ว”
“เสี่ยวเชี่ยนรีบขอบคุณอาเขยเร็ว”
เสี่ยวเชี่ยนพอเห็นท่าทางของแม่อวี๋ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นของมีค่ามาก จึงรีบขอบคุณอาเขยอย่างไม่เกรงใจ
ของมีคุณค่าทางศิลปะแบบนี้ ถึงแม้ตอนนี้จะมองราคาไม่ออก แต่กาน้ำชาดินเผาดีๆผ่านไปอีกหลายสิบปีเอาไปขายในราคาหลักแสนหรือหลักล้านก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร โดยเฉพาะกาน้ำชาที่อาเขยพูดถึงเป็นของอาจารย์คนดังที่ตอนนี้เลิกทำไปแล้ว
ดังนั้นหากผ่านไปอีกไม่กี่ปีอาจารย์คนนี้ไปอยู่บนสวรรค์ ของชิ้นนี้ก็จะราคาพุ่งสูง เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนธรรมดาไม่เข้าใจเรื่องคุณค่างานศิลปะ ชอบเอาบ้านมาเป็นตัววัดมูลค่ามากกว่า คาดว่ากาใบนี้อีกสิบปีให้หลังคงซื้อบ้านได้สองหลัง
หลักการของเสี่ยวเชี่ยนก็คือไม่ต้องสนว่าเธอจะรู้จักคุณค่าของผลงานศิลปะพวกนี้หรือไม่ เอาไปขายแล้วได้เงินล้วนเป็นของดี
“รอหนูรักษาหลี่เจิ้นเสร็จหนูจะร่างแผนการรักษาอย่างละเอียดให้นะคะ อาเขยทำตามที่หนูบอก รับรองค่ะว่าถ้าเจอความคิดแบบสังคมศักดินาเข้าไป ผู้ชายมีตัวตนในบ้านแน่นอน”
“เธอทำได้จริงๆเหรอ?” อาเขยคิดว่าเสี่ยวเชี่ยนพูดเล่น
“ผู้ป่วยที่อาการหนักขนาดหลี่เจิ้นมีไม่มาก คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบอาหญิงมากกว่าที่ไม่ถึงกับป่วย แต่ยังใช้ชีวิตแบบคิดไม่ได้ คนประเภทนี้พวกเราไม่เรียกว่าเป็นผู้ป่วย แต่เป็นผู้เข้ารับการปรึกษา ซึ่งนักให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ อย่าว่าแต่คนป่วยรอบตัวพวกเรามีเยอะแล้วเลยค่ะ อันที่จริงถ้าลองสังเกตดูดีๆทุกคนต่างต้องการเข้ารับคำปรึกษาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องความสัมพันธ์ ธุรกิจ ญาติพี่น้อง เพื่อน พวกเราให้คำปรึกษาได้ เพราะถ้านำพฤติกรรมของมนุษย์มาจัดไว้ในสาขาความรู้ของพวกเรา ทุกคนต่างถูกแบ่งแยกลงในประเภทต่างๆได้ทั้งนั้น”
ชาติที่แล้วงานของเสี่ยวเชี่ยนส่วนใหญ่จะเป็นการให้คำปรึกษาแนวๆ ชีวิตคู่ไม่มีความสุขทำอย่างไรดี สามีแอบไปรักผู้หญิงคนอื่นทำอย่างไรดี คนที่อาการหนักถึงขั้นป่วยจริงๆนั้นมีน้อย แต่ทุกคนต่างมีความกลุ้มใจในเรื่องที่แตกต่างกัน นี่ก็ถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อยสำหรับเธอเลยทีเดียว
“อาการป่วยของลูกชายฉันตกลงมันมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่?”
“โรคจิตเวชกายใจที่เกิดมาจากการถูกเพ่งเล็ง จากการรักษาเมื่อวานหนูพบว่าอาการป่วยของเขาเกี่ยวข้องกับการโดนดูถูกเรื่องรสนิยมทางเพศจากเมื่อก่อน เพราะกังวลว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจและดูถูก พอมันขยายเป็นวงกว้างหลังจากที่ร่างกายป่วย เลยทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับประสาท สาเหตุของปัญหาก็คืออาเขยค่ะ”
“ฉันเหรอ?” อาเขยพูดด้วยความตกใจ
“ใช่ค่ะ ในใจของเขาพ่อมีตัวตนที่ค่อนข้างพิเศษ แต่อาเขยไม่เข้าใจถึงปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาเลย ความกดดันในใจของเขามีมาก ดังนั้นวันนี้หนูเลยอยากให้อาเขยเข้าร่วมการรักษาด้วยค่ะ สองพ่อลูกต้องคุยเปิดอกกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ”
หลายสิ่งหลายอย่างที่มองดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ทั้งที่จริงแล้วเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
พ่อหลี่รับไม่ได้มาตลอดที่ลูกชายชอบผู้ชาย แต่ครั้งนี้หลี่เจิ้นเกือบพิการ กลับทำให้เขาปล่อยวางได้
ชอบผู้ชายแล้วยังไงล่ะ ชอบผู้หญิงแล้วยังไง ลูกมีสุขภาพแข็งแรงก็พอแล้ว เรื่องทายาทสืบสกุลอะไรพวกนั้น เขาให้ความสำคัญน้อยลงไปมาก
“ไม่ถูกสิเสี่ยวเชี่ยน หนูหมายความว่า ปัญหาของหลี่เจิ้นเกิดจากพ่อ ไม่ใช่แม่อย่างนั้นเหรอ?”
“จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องเยอะ”
“แล้วหนูยังใช้อาหญิงแบบนั้น—” พอแม่หญิงเห็นเสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตาก็หยุดพูด
“หนูเป็นจิตแพทย์ที่มีจรรยาบรรณทางวิชาชีพค่ะ เห็นอาหญิงทำตัวไม่เหมาะสมหนูก็ต้องปรับปรุงให้ นี่คือจรรยาบรรณค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนพูดพลางพยักหน้าอย่างจริงจัง
ความหมายก็คือ ก็แค่เห็นแล้วขัดหูขัดตา จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?
“เธอรักษาเขาแบบนี้ไม่คิดเงินใช่ไหม?” อาเขยแกล้งแซว
เสี่ยวเชี่ยนตอบอย่างจริงจัง “ไม่แน่นอนค่ะ”
“อ่อ งั้นก็ตามสบาย”
การรักษาคืบหน้าไปไวกว่าที่คิดไว้ เสี่ยวเชี่ยนวินิจฉัยได้ตรงจุด หลังจากที่อาเขยเข้าร่วมด้วย การรักษาก็ยิ่งราบรื่นขึ้น
ปัญหาที่ดูเหมือนหนักหนา อันที่จริงวิธีแก้ปัญหาง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย ประเด็นคือต้องดูว่าจะหากุญแจที่ไขรหัสลับในจิตใจได้หรือไม่ เสี่ยวเชี่ยนจัดการปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้าใช้วิธีผิดกับตัวบุคคล ก็อาจจะกลายเป็นยิ่งรักษายิ่งแย่ สิ่งสำคัญคือต้องใช้วิธีที่ถูกต้อง
แม่อวี๋เฝ้าอยู่ข้างนอกตลอด ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนใช้เวลาในการรักษาค่อนข้างนาน เกือบสามชั่วโมง ตอนที่พ่อหลี่ออกมาขอบตาแดงๆ คล้ายกับเพิ่งร้องไห้มา
“เป็นไงบ้าง ลูกมีความรู้สึกหรือยัง?” อาหญิงรีบเข้าไป
พ่อหลี่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ไม่อาจบรรยายความรู้สึกภายในจิตใจได้
เมื่อครู่เขากับลูกชายคุยกันอย่างเปิดอก รู้สึกว่าช่วงหลายปีมานี้ลูกชายเองก็ไม่ง่าย ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะรักษาลูก ยังได้สั่งสอนเขาด้วย เงินที่เสียไปคุ้มค่ามากจริงๆ คล้ายกับว่าได้ทำลายกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างพ่อลูกไป
“ฉันเข้าไปเจอลูกได้หรือเปล่า?” อาหญิงถามเสี่ยวเชี่ยน พอได้ยินว่าลูกชายมีความรู้สึกแล้วก็ดีใจมาก
เสี่ยวเชี่ยนหยิบกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาจิบ
“เย็นแล้ว…”
“ให้ฉันเจอลูกชายหน่อย แล้วจะเอากี่แก้วฉันจะไปซื้อให้”
“พอคุณซื้อกลับมาเขาก็คงจะตื่นพอดี ให้คุณเข้าไปเจอหลังจากเขาตื่นได้ค่ะ แต่อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูดคุณควรจะรู้ดีนะคะ”
“รู้ๆๆ” อาหญิงรีบพยักหน้ารัวๆ ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนพูดอะไรเธอก็ทำหมด ไม่กล้าลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว
“แล้วก็ ตอนเย็นหลี่เจิ้นต้องกินซุป คุณซื้อวัตถุดิบแล้วไปทำที่บ้านคุณน้าแบบเดิมได้นะคะ”
“ได้ๆ”
“วันนี้น้าแม่บ้านหยุด อาหารของคนทั้งบ้านคงต้องรบกวนคุณด้วย แล้วก็งานซักผ้าอะไรต่อมิอะไร วางใจได้ฉันจะเอาผลงานของคุณไปเล่าให้หลี่เจิ้นฟังแน่ เขาจะต้องดีใจอย่างแน่นอน เขามีความสุขไม่แน่ว่าการรักษาครั้งหน้าอาจจะดีขึ้นมาก”
อาหญิงได้ยินดังนั้นก็มีพลังฮึกเหิม “พี่สะใภ้ พวกพี่อยากกินอะไรบอกฉันมา เดี๋ยวฉันไปซื้อทีเดียว”
“ก็ง่ายๆน่ะ อย่างพระกระโดดกำแพง—”
แม่อวี๋เห็นอาหญิงทำหน้าเบ้ ในใจรู้สึกขำกลิ้ง “ของยุ่งยากแบบนั้นจะให้เธอทำได้ไงเล่า เธอทำกับข้าวง่ายๆสองสามอย่างก็พอ แต่ตอนเย็นคนอาจจะเยอะหน่อย เจ้าใหญ่จะมากันทั้งครอบครัว แล้วก็กับข้าวของพ่านพ่านต้องทำแยกต่างหาก ลูกสองคนของเจ้าใหญ่ไม่เลือกกิน แต่ชอบกินเนื้อสัตว์ ฉันกับพี่เธอชอบกินอะไรเธอน่าจะรู้—เสี่ยวเชี่ยนจ๊ะหนูจะกินด้วยกันไหม?”
“คงไม่ค่ะ หนูกลับไปกินกับแม่ ได้ยินว่าอาหญิงเคยไปเรียนทำขนมด้วย? แม่ฉันชอบกินสปันจ์เค้กมะม่วงมากค่ะ…”
ตอนที่ 519 หมดห่วง
“ฉันเอาสมุดมาจดก่อนจะได้ไม่ซื้อผิด ขนมของแม่เธอเดี๋ยวฉันให้คนเอาไปส่ง—”
อาหญิงเห็นเสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตาเลยรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่
“เดี๋ยวฉันเอาไปส่งด้วยตัวเอง”
“รบกวนด้วยนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยสักนิด”
“งั้นก็ดีค่ะ เอามาส่งก่อนสองทุ่มนะคะ ฝากซื้อเนื้อย่างเสียบไม้ให้น้องชายฉันด้วย เด็กๆกินมื้อดึกไม่ควรจะดึกเกินไป”
“ได้ๆๆ” ท่าทีของอาหญิงดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
“แล้วก็ ให้คุณน้าช่วยไม่ได้นะคะ ถ้าหลี่เจิ้นรู้เข้า—” เสี่ยวเชี่ยนทำสีหน้าแบบคุณเข้าใจดี อาหญิงรีบพยักหน้าติดกัน จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเดินออกไป
“เหมือนวันนี้น้าแม่บ้านไม่ได้หยุดนะ?” พออาหญิงไปแล้วแม่อวี๋ถึงถามเสี่ยวเชี่ยนต่อหน้าอาเขย ไม่จำเป็นต้องปิดบัง
“งั้นก็ให้หยุดตอนนี้เลยค่ะ อาหญิงมาแล้วน้าแม่บ้านก็ควรได้พักผ่อน อาเขยตอนเย็นก็ไปกินด้วยสิคะ ใครก็ห้ามช่วยอาหญิง นี่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาเขา”
“ฉันยังต้องอยู่เป็นเพื่อนหลี่เจิ้น เอาแบบนี้ ตอนที่เขาเอาของไปส่งให้เธอก็ให้เอามาให้ฉันด้วย”
อาเขยรู้สึกว่ากาน้ำชาดินเผาใบนี้ให้ไปคุ้มมาก เพิ่งจะเริ่มรักษาก็รู้สึกได้ถึงความเป็นผู้ชายสมัยสังคมศักดินาแล้ว มีคนเอาข้าวมาส่งให้ด้วย ตอนหนุ่มๆไม่เคยได้แบบนี้ เกษียณแล้วถึงได้เสวยสุข
อาหญิงถูกเสี่ยวเชี่ยนจัดการจนไม่กล้าหือ ให้ทำอะไรก็ทำ เสี่ยวเชี่ยนเองก็ได้กำชับกับแม่อวี๋แล้วว่า ต่อให้เห็นอาหญิงสภาพน่าสงสารก็ห้ามช่วย มากสุดก็แค่คอยยืนดูอยู่ข้างๆตอนอาหญิงทำอาหาร คอยชี้นั่นชี้นี่พอ
ให้นึกถึงสมัยก่อนอาหญิงเคยรังแกแม่อวี๋ยังไงก็ให้เอาคืนแบบนั้น บางคนดีกับเขามากเกินไปเขากลับไม่พอใจ ให้ลิ้มรสเสียบ้างว่าตอนนั้นตัวเองทำกับคนอื่นยังไง
อย่างไรเสียแม่อวี๋ก็เป็นคนมีการศึกษา ทำไม่ลงถึงขนาดจะให้คนอื่นมาซักกางเกงในเปื้อนประจำเดือนแบบที่อาหญิงเคยทำ มากสุดก็แค่ให้อาหญิงทำกับข้าวเก็บกวาดห้องครัว แต่แค่นี้ก็เล่นเอาอาหญิงเหนื่อยไม่น้อยแล้ว
ห่างหายจากงานบ้านมาตั้งหลายปี ทำงานทั้งวันปวดไปหมดทั้งตัว แค่ยกแขนก็ปวด
แต่พอร่างกายงานยุ่งไม่ได้หยุดสมองกลับคิดได้ไม่น้อย ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านมากมายอีกแล้ว การที่ได้มาทำงานที่บ้านพี่ชายเธอถึงได้เห็นว่าปกติพี่ชายกับพี่สะใภ้งานยุ่งแค่ไหน แถมยังต้องหาเวลาว่างไปเยี่ยมหลี่เจิ้น เพื่อให้เห็นถึงความเอาใจใส่
หลายวันต่อมาไม่จำเป็นต้องให้เสี่ยวเชี่ยนสั่งก่อน อาหญิงจัดการทำเองทุกอย่าง ก้าวหน้าขึ้นมากจริงๆ
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนรักษาให้หลี่เจิ้น บางช่วงมีพูดเตือนอาหญิงบ้าง ว่าสมัยก่อนอาหญิงก็เคยรังแกว่าที่แม่สามีเธอแบบนี้ ถึงปากอาหญิงจะไม่ยอมรับ แต่มีท่าทีเคารพยำเกรงพี่ชายกับพี่สะใภ้มากขึ้น ไม่เอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อน ดูเหมือนอาหญิงจะเข้าใจถึงความหมายของการมีครอบครัวใหญ่แล้ว
เสี่ยวเชี่ยนทำการรักษาอยู่หนึ่งสัปดาห์ ไม่เพียงแต่อาการของหลี่เจิ้นจะดีขึ้นมาก อาหญิงก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ประธานเชี่ยนทำการรักษาจนเป็นที่ยอมรับ อีกทั้งยังรักษาอาหญิงด้วย อาหญิงเห็นเธอแต่ละทียังต้องมีท่าทียำเกรง
พ่ออวี๋แม่อวี๋รู้สึกชื่นชมในตัวเสี่ยวเชี่ยนมากที่สามารถเอาคนที่มีจิตใจทารกมาตลอดชีวิตเสียจนอยู่หมัด คนอย่างอาหญิงคนในบ้านดีด้วยมากแค่ไหนไม่เคยสำนึก เสี่ยวเชี่ยนทรมานอาหญิงทุกวัน แต่อาหญิงกลับยังยิ้มแย้มให้เสมอ
เสี่ยวเชี่ยนอธิบายเรื่องนี้อย่างง่ายๆ การสั่งสอนเด็กถ้าเอาแต่ให้ขนมเด็กก็จะเสียนิสัย เวลาที่ควรเข้มงวดก็ต้องเข้มงวด เห็นได้ชัดว่าอาหญิงถูกตามใจจนเคยตัว เห็นเสี่ยวเชี่ยนทำแบบนี้ อีกหน่อยต่อให้อาหญิงอยากจะทำตัวแย่ขึ้นมาอีกก็คงไม่กล้าลงมือกับเสี่ยวเชี่ยนแล้ว
ทำไมเสี่ยวเชี่ยนถึงได้ยอมทำตัวเป็นคนเลว คนเลวดีออก ไม่มีคนกล้ารังแก คนเลวก็ต้องถูกคนเลวด้วยกันจัดการ รอให้คนดีมาหล่อหลอม จนถึงวันตายกลายเป็นผุยผงก็ใช่ว่าจะดีขึ้น ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ใช้ความสามารถเป็นตัวตัดสิน
หลังจากที่หลี่เจิ้นได้รับการรักษาจากเสี่ยวเชี่ยน ในที่สุดอาการทางจิตเวชก็หาย โรคนี้ดูเหมือนร้ายแรง แต่การรักษาไม่ซับซ้อน
ถ้าไม่ติดว่าต้องแก้ปมในใจให้สองพ่อลูกก่อน เสี่ยวเชี่ยนรักษาแค่สามครั้งก็เอาอยู่
การรักษาครั้งสุดท้าย หลี่เจิ้นไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เนื่องจากกระดูกหักทำให้เขายังต้องรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล แต่ขอแค่ดูแลตัวเองดีๆก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้ ตอนนี้สภาพจิตใจของเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
ตอนนี้เขากล้าที่จะเผชิญหน้าเรื่องรสนิยมทางเพศของตัวเองแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้ให้ความรู้กับทุกคนรอบตัว รักร่วมเพศในทางจิตวิทยาไม่ใช่อาการของโรค การรักษาจะทำแค่ที่ตัวหลี่เจิ้นไม่ได้ คนในครอบครัวไม่ดูถูกเขา เขาถึงจะกล้าใช้ชีวิต
หลี่เจิ้นได้รับความเข้าใจจากพ่อ และก็ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของแม่
ซึ่งก็สอดคล้องกับคำพูดของเสี่ยวเชี่ยน ฟ้าร้องฟ้าผ่าฝนตกล้วนเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโชคชะตา ต่อให้ตอนนั้นจะมองว่ามันน่าอดสู แต่พอผ่านไปแล้วมาคิดดูมันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ
ก่อนไปเสี่ยวเชี่ยนได้ทิ้งข้อความไว้ให้อาเขย ซึ่งเป็นแผนการรักษาอาหญิง รวมถึงขั้นตอนต่างๆ
อันที่จริงแผนการรักษาอาหญิงของเธอนั้นง่ายมาก หลังจากที่หลี่เจิ้นกลับมายืนได้แล้วให้อาเขยพาครอบครัวไปพักตากอากาศในที่ที่ธรรมชาติงดงาม ทั้งครอบครัวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน พอกลับมาให้ย้ายบ้านไปอยู่เมืองอื่น ไม่ให้อาหญิงไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงคุณหญิงคุณนายแบบเมื่อก่อนอีก ลืมเรื่องสถานะของตัวเองแล้วเริ่มต้นใหม่ เพื่อตามหาสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง
อย่าดีกับอาหญิงมากเกินไป คอยดูแวดวงเพื่อนๆของเธอ อย่าให้เธอคบกับคนที่มีจุดประสงค์แอบแฝง ถึงอาหญิงจะเอาแต่ใจ แต่สมองไม่คิดอะไรซับซ้อน ถ้าไม่จับตาดูได้ถูกคนอื่นหลอกใช้แน่ อาเขยเกษียณแล้วอยู่ว่างๆก็พาอาหญิงไปท่องเที่ยว ใช้เวลาอยู่กับเธอให้มากหน่อย จิตใจที่ผิดเพี้ยนไปของเธอก็จะกลับเข้ามาหาครอบครัวเอง
พอจัดการทุกอย่างเสร็จ เสี่ยวเชี่ยนก็หอบเอาสิ่งที่ได้ เงินก้อนใหญ่ๆกลับ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงกลับทำให้เธอต้องอยู่ต่อ
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนได้รับสายจากฉู่เซวียน เธอได้ขึ้นรถที่อาเขยจัดไว้ให้เตรียมพาไปส่งที่มหาวิทยาลัยแล้ว รถใกล้ขับออกจากเมืองQแล้ว
“เฉินเสี่ยวเชี่ยนพูดค่ะ”
“หมอเฉิน เกิด เกิดเรื่องแล้ว” น้ำเสียงของฉู่เซวียนดูลนลาน
“ใจเย็นๆนะคะค่อยๆพูด เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ฉู่เซวียนคือสามีของหูเหม่ยจิ้ง และหูเหม่ยจิ้งก็คือคู่หมั้นของโลนวูล์ฟ หลังจากโลนวูล์ฟตายเธอเป็นโรคบุคลิกสลับขั้ว ลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับโลนวูล์ฟ หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ เธอได้ลืมเรื่องราวเจ็บปวดในอดีตแล้วแต่งงานกับฉู่เซวียน เริ่มต้นชีวิตใหม่
การที่เสี่ยวเชี่ยนได้รู้จักกับฉู่เซวียนเป็นเพราะก่อนหน้านี้ฉู่เซวียนเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนที่เกิดขึ้นจากฤดู เสี่ยวเชี่ยนรักษาให้เขาจนหาย ด้วยเหตุนี้ฉู่เซวียนจึงมีเบอร์เธอ
“ภรรยาผม เขา เขาเป็นบ้าแล้ว”
น้ำเสียงลนลานเป็นอย่างมากของฉู่เซวียนลอดออกมาตามสาย เขาเคยเป็นคนไข้ของเสี่ยวเชี่ยน ดังนั้นจึงค่อนข้างให้เกียรติเสี่ยวเชี่ยน มองว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นผู้มีพระคุณ
เสี่ยวเชี่ยนพอได้ยินดังนั้นก็ใจหายวาบ หรือว่า—?
“คุณใจเย็นๆก่อนนะคะ แล้วบอกฉันว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาคุณ?”
“ช่วงหลายวันนี้เขาไม่ค่อยสบาย ผมเลยพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล ปรากฏว่าเธอท้องได้สองเดือนแล้ว พวกเราดีใจกันมาก แต่ตอนที่พวกเราเดินออกมาอยู่ๆเธอก็หมดสติ พอฟื้นขึ้นมาก็บอกว่าไม่รู้จักผม กรีดร้องเรียกหาโลนวูล์ฟ โลนวูล์ฟคือใครเหรอครับ?”
ตอนที่ 520 มองโลกตามความเป็นจริง
เรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
โรคบุคลิกสลับขั้วผู้ป่วยจะลืมเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ แล้วใช้ชีวิตด้วยตัวตนใหม่ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่าความทรงจำเก่าๆจะโผล่ออกมาตอนไหน
พอเสี่ยวเชี่ยนได้ยินฉู่เซวียนพูดแบบนั้นก็นึกได้ว่าคงมีอะไรไปกระตุ้นหูเหม่ยจิ้งเข้า ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา
“อาจารย์ล่ะคะ?”
“แม่บุญธรรมพอรู้เรื่องก็รีบมาทันที แต่พอเจอกับภรรยาผมทั้งสองคนก็ร้องไห้กันอย่างทรมาน แม่บุญธรรมโรคหัวใจกำเริบตอนนี้นอนพักอยู่ครับ ทำไงดีหมอเฉิน ตอนนี้สภาพจิตใจของภรรยาผมดูแย่มาก เธอไม่ยอมเจอผมเลย แม่บุญธรรมก็ลุกไม่ขึ้น ผมไม่รู้จะทำไงแล้ว…”
อาการของหูเหม่ยจิ้งอันตรายมาก เรื่องที่กดเอาไว้ตั้งนานอยู่ๆเธอก็มารู้เรื่องเข้า อีกทั้งยังเป็นตอนที่เธอกำลังตั้งท้องช่วงที่อ่อนแอที่สุด
อาจารย์ของเธอยังมาป่วยในเวลานี้อีก เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย
ถ้าจัดการไม่ดีอาจได้กลายเป็นเรื่องเศร้า
ตอนนี้หูเหม่ยจิ้งตั้งท้องแล้ว เธอได้ลืมเรื่องชีวิตคู่ระหว่างเธอกับฉู่เซวียน เรื่องนี้ดีไม่ดีอาจเป็นการฆ่าถึงสองชีวิต
“ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“พวกเราอยู่โรงพยาบาลทหารในเมืองQครับ ตอนนี้สภาพจิตใจภรรยาผมไม่ปกติ ถูกผมขังไว้ในห้องผู้ป่วย…แม่บุญธรรมก็อยู่ที่นี่ด้วยครับ”
“เมืองQ?” เสี่ยวเชี่ยนอึ้ง จากนั้นก็รีบบอกให้คนขับรถหยุดรถ
“ครับ หน่วยงานของพวกเราจัดกิจกรรมปีนเขาที่เมืองQ ผมเลยพาภรรยามาด้วย ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…”
โวะ จัดไปเที่ยวที่ไหนไม่ไปดันมาเมืองQ
เสี่ยวเชี่ยนพอจะเข้าใจเรื่องราวแล้ว หูเหม่ยจิ้งจะต้องเห็นบางอย่างในโรงพยาบาลเมืองQอย่างแน่นอน ถึงได้เป็นตัวกระตุ้นให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีต
ถ้าเปลี่ยนเป็นที่อื่น เป็นเมืองใกล้ๆคงไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น
“เดี๋ยวฉันไปค่ะ อยู่ห้องไหนคะ”
พอวางสายเสี่ยวเชี่ยนก็บอกที่อยู่กับคนขับรถ คิดอยู่สักพักแล้วจึงโทรไปหาอวี๋หมิงหลาง
โทรไม่ติด เขาคงฝึกอยู่
นิสัยอย่างหัวหน้าใหญ่คงไม่ให้คนสำคัญของหน่วยงานอย่างอวี๋หมิงหลางหยุดเพราะเรื่องส่วนตัว ดูท่าครั้งนี้เธอคงไม่ได้เจอเสี่ยวเฉียงแล้วแหละ…มั้ง?
ตอนเสี่ยวเชี่ยนไปถึง หัวหน้าใหญ่กับฉู่เซวียนกำลังยืนกลุ้มอยู่นอกห้องผู้ป่วย
“อาจารย์เป็นไงบ้างคะ?” เสี่ยวเชี่ยนถามหัวหน้าใหญ่ก่อน
หัวหน้าใหญ่ชี้ไปที่ห้อง เสี่ยวเชี่ยนไปเกาะกระจกดูแล้วก็พูดไม่ออก
“หัวหน้าใหญ่ ทำไมจับอาจารย์มัดไว้ล่ะคะ?”
ศาสตราจารย์หลิวที่น่าสงสารถูกมัดไว้กับเตียงด้วยสายรัดหนังสำหรับมัดคนไข้โรคประสาท อีกทั้งยังมีผ้าคาดตา ไม่รู้ว่าหลับอยู่หรือเปล่า
“ไม่มัดไม่ได้หรอก หมอบอกว่าตอนนี้เขาคิดมากเกินไปต้องให้รักษาตัวอย่างสงบ แต่เขาคิดแต่จะไปรักษาให้เหม่ยจิ้ง สภาพของเขาตอนนี้อย่าว่าแต่รักษาคนเลย ฉันยังอยากไปหาคนมารักษาเขาด้วยซ้ำ น่ากลุ้มใจจริงๆ”
“ตอนนี้อาจารย์หลับอยู่เหรอคะ?”
“อืม แต่ยาคงหมดฤทธิ์ใกล้ตื่นแล้วล่ะ” หัวหน้าใหญ่เองก็กลุ้มไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่มีวิธีรับมือกับอาการของภรรยาเลยในตอนนี้ เขารู้จักนิสัยของศาสตราจารย์หลิวดี พอเจอเรื่องแบบนี้ก็อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วย
ผู้หญิงคนนี้มีความรับผิดชอบสูง จะไปหาหูเหม่ยจิ้งให้ได้ แต่สภาพร่างกายตัวเองไม่ไหวแล้ว แล้วจะไปรักษาคนอื่นได้อย่างไร เขาเองก็จะให้ยานอนหลับกับเธอไปเรื่อยๆแบบนี้ไม่ได้
“หนูจะเข้าไปคุยกับอาจารย์ค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนหันไปถามฉู่เซวียน
“อาการเหม่ยจิ้งเป็นไงบ้างคะ?”
ฉู่เซวียนชี้ไปที่อีกห้อง เสี่ยวเชี่ยนเดินไปดู หูเหม่ยจิ้งนั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมห้องคล้ายกับตกใจกลัวอะไรบางอย่าง ประตูถูกล็อคจากข้างนอกทำให้เธอออกมาไม่ได้
“ก่อนหน้านี้เหม่ยจิ้งอาละวาดใหญ่ ผมกลัวเธอจะวิ่งออกมาแล้วทำเรื่องน่ากลัวเลยขังเธอไว้ในห้อง แต่ทางโรงพยาบาลคงไม่ยอมให้พวกเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้จะให้ฉีดยานอนหลับเข้าร่างกายเธอแบบแม่บุญธรรมก็ไม่ได้ ผมเองก็กลุ้มไม่รู้จะทำยังไง”
ฉู่เซวียนกลุ้มจะตายอยู่แล้ว ภรรยาเขาสลบไปพอฟื้นขึ้นมาก็จำเขาไม่ได้ เอาแต่ร้องไห้โวยวายจะออกไปข้างนอก
นิสัยก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนโมโหร้าย ความอ่อนโยนที่เคยมีหายไปจนหมดสิ้น
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว จึงหันไปถามหัวหน้าใหญ่อีกครั้ง
“อวี๋หมิงหลางล่ะคะ?”
“เขาจัดการเรื่องบางอย่างอยู่ที่ค่าย เขาสบายดีเธอไม่ต้องเป็นห่วง”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า แล้วผลักประตูเข้าห้องอาจารย์
อาจารย์ยังไม่ตื่น เสี่ยวเชี่ยนนั่งรออยู่ข้างเตียงอย่างอดทน หยิบผ้าคาดตาออกมาจากหน้าอาจารย์ แล้วห่มผ้าให้ดีๆ
ผ่านไปหลายนาทีอาจารย์ก็ส่งเสียงคล้ายกำลังจะตื่น พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนอยู่ข้างเตียงก็ตกใจเล็กน้อย
เสี่ยวเชี่ยนใส่แว่นให้อาจารย์ “หนูมาแล้วค่ะอาจารย์”
“ทำไมเธอ…ฉันนึกออกแล้ว ตาแก่ตายโหงนั่นจับฉันมัดไว้ เสี่ยวเชี่ยนเธอปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องรีบไปหาเหม่ยจิ้ง”
อาจารย์นึกออกแล้วว่าข้างห้องยังมีคนไข้อาการหนักอยู่
เสี่ยวเชี่ยนเอาสำลีพันปลายไม้เช็ดให้ริมฝีปากอาจารย์ชุ่มชื้นขึ้น
“อาจารย์ลุกไม่ได้นะคะ ร่างกายอาจารย์ไม่ไหว เดี๋ยวพอครั้งนี้อาจารย์หายหนูต้องเข้มงวดให้อาจารย์ออกกำลังกายแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้จักดูแลตัวเองบ้างเลย คิดมากจนเกินเหตุ ร่างกายรับไม่ไหวเลยสลบไป”
นี่แหละที่เขาเรียกว่าเป็นอะไรตอนช่วงสำคัญ
“ถ้าเธอจะมาอบรมฉันเรื่องสุขภาพก็รอฉันจัดการเรื่องนี้เสร็จก่อน รีบแก้มัดฉัน”
“ไม่ได้ค่ะ”
“เฉินเสี่ยวเชี่ยน เธอเป็นลูกศิษย์ฉันหรือเป็นลูกศิษย์ตาแก่นั่นกันแน่—”
“พวกอาจารย์เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ใช่เหรอคะ? ไม่ต้องพูดเรื่องหย่าแล้ว ปีนี้พวกอาจารย์ไม่แต่งงานกันอีกรอบปีหน้ายังไงก็ต้องแต่ง หนูเป็นลูกศิษย์อาจารย์ยังไงก็ต้องเข้าข้างอาจารย์ แต่หัวหน้าใหญ่ทำเพื่ออาจารย์นะคะ อาจารย์ไม่ต้องลุกหรอกค่ะเรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่หนูเอง”
“เธอ?” ศาสตราจารย์หลิวมองเสี่ยวเชี่ยนแล้วส่ายหน้า
“เธอจัดการไม่ได้หรอก นี่เป็นเคสที่ซับซ้อนมาก ตอนนี้เธอยังเรียนไม่ถึงขั้นนั้น”
“เรียนถึงแล้วค่ะ” ทั้งชาติที่แล้วและชาตินี้อาจารย์ได้สั่งสอนเธอวิชานี้แล้ว
เสี่ยวเชี่ยนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอจะชดเชยวิชาบุคลิกสลับขั้วที่เมื่อชาติก่อนเธอยังติดค้างมาเรียนให้เสร็จในชาตินี้
“อาจารย์คะ หนูมีแผนรักษาที่แตกต่างจากอาจารย์ หนูหวังว่าอาจารย์จะอนุญาตให้หนูรับช่วงต่อจัดการเรื่องหูเหม่ยจิ้งค่ะ”
“แผนรักษาที่แตกต่างจากฉันเหรอ?” ศาสตราจารย์หลิวมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างอึ้งๆ
“ครั้งก่อนหลังจากที่พวกเราคุยกันเรื่องนี้หนูก็คิดมาตลอดว่า ถ้าหนูเป็นอาจารย์หนูจะทำอย่างไร เรื่องมันพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอาจารย์ยังอยากไปสะกดจิตให้เขาอีกย่อมไม่ได้ผลแล้วแน่นอน”
“ฉันเองก็ปวดหัว ตอนนี้พอเขาเห็นฉันก็ร้องไห้ ฉันเห็นเขาก็รู้สึกแย่ พวกเราต่างคุมอารมณ์ไม่อยู่”
ศาสตราจารย์หลิวกลุ้มมาก
ตามกฎก็คือห้ามรักษาให้กับคนใกล้ตัว เรื่องนี้มีหลักฐานอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์
เธอกับหูเหม่ยจิ้งมีอารมณ์เศร้าร่วมกันอันเนื่องมาจากเรื่องของโลนวูล์ฟ สภาพจิตใจแบบนี้ทำให้พวกเธอสะเทือนใจได้ง่าย ศาสตราจารย์หลิวไม่สามารถรวบรวมสติให้เป็นปกติได้ จิตแพทย์หากวางตัวเป็นกลางไม่ได้ก็ยากที่จะทำการรักษา
“ดังนั้นตอนนี้อาจารย์ไม่มีทางรักษาให้เขาได้ค่ะ แล้วอาจารย์จะไปทำไมคะ? กอดคอร้องไห้ด้วยกัน? เขาร้องไห้จนแท้ง อาจารย์ร้องไห้จนโรคหัวใจกำเริบ ไม่เท่ากับยิ่งทำให้เรื่องยุ่งยากเหรอคะ?”
“เฉิน เสี่ยว เชี่ยน ฉันใจดีกับเธอมากไปใช่ไหม?”
“หนูก็แค่มองโลกตามความเป็นจริงค่ะ”
ตอนที่ 521 ยังคิดจะเก็บเงิน
“ก็ให้เธอรักษาไม่ได้อยู่ดี ปล่อยฉัน ฉันจะโทรให้รุ่นพี่เธอมาจัดการ” นี่ไม่ใช่เคสทั่วไป ต่อให้ศาสตราจารย์หลิวเข้ารักษาให้ไม่ได้ ก็ต้องให้นักศึกษาปริญญาเอกที่เธอดูแลมารักษาแทน
“กว่ารุ่นพี่จะมามันทันเหรอคะ? อาจารย์มีลูกศิษย์ในเมืองQไหมคะ? ต่อให้รุ่นพี่มาหูเหม่ยจิ้งจะเชื่อเขาเหรอคะ? นอกจากอาจารย์ หูเหม่ยจิ้งก็เจอกับหนูเยอะที่สุด ถึงเธอจะจำเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ก็ตาม แต่พวกเรารู้ว่า จิตใต้สำนึกของคนเราจะเก็บความรู้สึกดีๆต่อคนๆหนึ่งไว้ เขาไม่มีทางต่อต้านหนู”
ก่อนหน้านี้เสี่ยวเชี่ยนเคยสัมผัสกับหูเหม่ยจิ้ง ถึงตอนนี้หูเหม่ยจิ้งจะจำบุคลิกนั้นไม่ได้ แต่ไม่มีทางไม่เอาเสี่ยวเชี่ยนแน่นอน
ตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดก็จริง แต่ศาสตราจารย์หลิวยังคงไม่วางใจ ต่อให้เสี่ยวเชี่ยนจะมีพรสวรรค์มากกว่านี้แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็ก วงการนี้ถ้าไม่มีประสบการณ์แพทย์คลินิกที่มากพอก็ไม่ควรให้เด็กไปรักษาง่ายๆ
โดยเฉพาะเคสที่มีความซับซ้อนแบบนี้
แตกต่างจากปัญหาจิตเวชเล็กๆน้อยๆก่อนหน้านี้ ครั้งนี้แม้แต่ศาสตราจารย์หลิวยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“อาจารย์คะ ก่อนที่หนูจะได้ใบอนุญาตก็เอาเหมือนเดิมเถอะค่ะ หนูบอกความคิดของหนูกับแผนการรักษาให้อาจารย์ฟัง ถ้าอาจารย์คิดว่าเหมาะสมหนูค่อยไป ถ้ามีความคืบหน้าอะไรหนูก็จะมารายงานอาจารย์ มีปัญหาพวกเราหารือกันได้ตลอดเวลา ดีไหมคะ?”
“คือ…”
“อันที่จริงหนูมีอยู่เรื่องที่ไม่ได้บอกอาจารย์ว่าทำไมหนูถึงเรียกว่าอาจารย์ รู้หรือเปล่าคะ? ทำไมหนูถึงได้รู้วิธีรักษามากมายขนาดนี้ อาจารย์ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอคะ?”
“นั่นสิ ฉันก็แปลกใจ เธอเพิ่งจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เอง เรื่องพวกนี้ใครสอนเธอมา? เธอดูมีประสบการณ์แพทย์คลินิกมาก อีกทั้งยังดูเหมือนทำมาหลายปีแล้ว”
ก็สอนมาเองกับมือ ไม่เหมือนสิแปลก
เสี่ยวเชี่ยนวางแผนไว้นานแล้ว
“ก็เพราะว่าก่อนหน้านี้หนูเคยเก็บสมุดบันทึกเล่มหนึ่งได้ ในนั้นเต็มไปด้วยเคสรักษา พอหนูได้อ่านก็เหมือนได้จุดประกายความคิด นับแต่นั้นมาประตูบานใหญ่แห่งโลกลึกลับด้านจิตวิทยาก็เปิดออก และเจ้าของสมุดเล่มนั้นก็คืออาจารย์ ก็เพราะสิ่งนี้แหละค่ะหนูถึงได้มาสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้”
“ที่แท้ก็เธอเหรอที่เก็บได้?” ศาสตราจารย์หลิวมีนิสัยชอบจดบันทึกจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนเองก็มีนิสัยชอบจดบันทึก ซึ่งก็เลียนแบบมาจากอาจารย์
“ใช่ค่ะ ที่น่าเสียดายก็คือ ตอนย้ายบ้านสมุดบันทึกเล่มนั้นถูกน้องชายที่ไม่เอาไหนของหนูโยนทิ้งไปแล้ว แต่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาที่อยู่ในนั้นหนูจำได้หมด มีโรคหวาดกลัว โรคอารมณ์แปรปรวน โรคเบื่ออาหาร โรคกินจุ โรคหวาดกลัวการเข้าสังคม อะไรประมาณนี้ อาจารย์เขียนไว้ละเอียดมาก”
เสี่ยวเชี่ยนท่องได้ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ศาสตราจารย์หลิวทรมานเธอเมื่อชาติที่แล้ว
มีอยู่วันหนึ่งเธอจัดเอกสารให้อาจารย์ อยู่ๆอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่าทำสมุดบันทึกหายเมื่อประมาณช่วงปี2000 ในนั้นมีบันทึกการรักษาของโรคพวกนี้ เลยให้เสี่ยวเชี่ยนส่งเคสรักษาโรคพวกนั้นมาสัปดาห์ละครั้ง หากเขียนผิดก็จะต้องกลับไปคัดลอกเอกสารที่เกี่ยวข้อง เล่นเอาเสี่ยวเชี่ยนเกือบตาย
และก็เพราะมีอาจารย์แบบนี้ พื้นฐานความรู้ของเสี่ยวเชี่ยนถึงได้แน่นมาก
“ถึงว่าฉันไม่เคยสอนเธอ แต่เธอกลับมีร่องรอยของฉันปรากฏ แบบนี้ก็ถือว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของฉันสินะ”
ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก การที่เสี่ยวเชี่ยนเรียกเธอว่าอาจารย์นั้นก็ถูกต้องแล้ว
“ที่หนูเก่งได้ก็เพราะบันทึกของอาจารย์ ตอนนี้ให้หนูจัดการปัญหานี้ ถ้าอาจารย์คิดว่ามีตรงไหนไม่ถูกก็แก้ให้หนูได้ตลอดเลยนะคะ คิดเสียว่าหนูเป็นดวงตาให้ โอเคไหมคะ?”
ข้ออ้างที่เสี่ยวเชี่ยนคิดขึ้นมานี้สมบูรณ์แบบมาก เรียกได้ว่าไร้ข้อสงสัย
ไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอกลับชาติมาเกิด อีกทั้งสไตล์ของเธอก็คล้ายกับศาสตราจารย์หลิว ใช้ข้ออ้างนี้ถูไถไป ในอนาคตก็ไม่มีทางมีคนสงสัย จะเรียกว่าอาจารย์ก็เรียกได้สนิทใจขึ้น
“เธอลองพูดแผนรักษามาก่อน” ศาสตราจารย์หลิวเริ่มโอนอ่อน
“จากสถานการณ์ในตอนนี้หากจะใช้วิธีเดิมกดเรื่องในอดีตเอาไว้คงไม่ได้แล้ว หนูเดาว่าก่อนหน้านี้อาจารย์ใช้การสะกดจิตเพื่อกดความทรงจำของเขาไว้”
“ในสมุดฉันเขียนไว้ด้วยเหรอ?”
“ไม่มีค่ะ ในนั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้น หลังจากนั้นหนูอ่านตำราไปไม่น้อย อาจารย์ก็รู้ว่าปีหนึ่งเรียนแต่พวกทฤษฎี ของแบบนั้นไม่สู้อ่านพวกเคสรักษายังจะดีกว่า”
“ต่อสิ”
“อาจารย์คงเคยได้ยินเรื่องกุ๋นอวี่ป้องกันน้ำท่วม กุ๋นใช้วิธีสกัดกั้นน้ำแต่ก็ล้มเหลว ต้าอวี่ได้บทเรียนจากความล้มเหลวของพ่อ จึงเปลี่ยนแปลงวิธี หาทางป้องกันน้ำแนวใหม่จนประสบความสำเร็จ หนูก็เลยอยากใช้วิธีนี้มารักษาหูเหม่ยจิ้งค่ะ”
“เธอหมายความว่า…จะพูดชี้นำให้เขาปลดปล่อยอารมณ์? ไม่ ไม่ได้ เขาต้องสติแตกแน่”
ทำไมตอนนั้นหูเหม่ยจิ้งถึงเป็นบุคลิกสลับขั้ว? ก็เพราะเธอไม่ฟังคำเตือนของคนอื่นแล้วไปดูศพของโลนวูล์ฟ อีกทั้งยังฉวยโอกาสตอนคนอื่นเผลอเปิดธงทหารที่คลุมตัวโลนวูล์ฟอยู่ พอเห็นสภาพศพก็ช็อคทันที
ตอนนี้เธอตั้งครรภ์ แล้วจะรับเรื่องสะเทือนใจแบบนั้นได้ยังไง
“ถ้าไม่ปล่อยให้เธอทำเรื่องที่ยังค้างคาเมื่อก่อนให้เสร็จ ความรู้สึกก็จะอัดอั้นอยู่ในใจ เด็กยังไงก็รักษาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้เธอไม่ฟังใครทั้งนั้น นับประสาอะไรกับการสะกดจิต หลังจากที่หนูทำให้ความปรารถนาของเธอสำเร็จแล้ว หนูจะใช้การรักษาแบบประคับประคอง เพื่อค่อยๆเรียกตัวตนด้านที่อ่อนโยนของเธอออกมา”
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนพูด เธอมีความมั่นใจมากกว่าเมื่อชาติก่อน
หลังจากที่ได้คุยกับอาจารย์เมื่อครั้งก่อน เธอก็คิดมาตลอดว่าถ้าเมื่อชาติที่แล้วสืออวี้มาหาเธออีกครั้งเธอจะรักษายังไง? จะทำเหมือนที่อาจารย์รักษาหูเหม่ยจิ้งหรือเปล่า?
ก็อาจจะ แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นโรคเดียวกัน รายละเอียดการรักษาก็ย่อมมีความแตกต่าง
เสี่ยวเชี่ยนเองก็ได้คิดถึงผลลัพธ์อีกแบบหนึ่ง ถ้าอีกตัวตนของหูเหม่ยจิ้งตื่นขึ้น เธอควรจะจัดการยังไง ปรากฏว่ามันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
บุคลิกหนึ่งตื่นขึ้น อีกบุคลิกหนึ่งกลับหลับใหล
“มันดูเสี่ยงเกินไป ไม่เคยมีเคสแบบนี้มาก่อน”
“ประสบการณ์การรักษามันก็มาจากการลองผิดลองถูกไม่ใช่เหรอคะ? หน้าแรกของสมุดบันทึกอาจารย์เขียนไว้แบบนั้นนี่คะ? โรคจิตเวชใดๆก็ตาม ต่อให้เป็นโรคเดียวกัน วิธีรักษาก็อาจจะไม่เหมือนกัน เพราะยังไม่มีเคสที่ประสบความสำเร็จ เราถึงต้องลองผิดลองถูกไงคะ”
สมุดบันทึกของศาสตราจารย์หลิวทุกเล่มที่หน้าแรกจะเขียนไว้เหมือนกัน ประสบการณ์รักษามาจากการลองผิดลองถูก ชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนช่วยจัดเอกสารให้อาจารย์บ่อยๆถึงรู้เรื่องพวกนี้
เสี่ยวเชี่ยนบอกไม่ได้ว่ามั่นใจ100% แต่เธอมีความกล้าที่จะลอง
ตอนแรกศาสตราจารย์หลิวก็ลังเล แต่พอเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเสี่ยวเชี่ยน กอปรกับได้ยินเสียงร้องไห้ของหูเหม่ยจิ้งจากห้องข้างๆ หูเหม่ยจิ้งร้องไห้จนเสียงแหบหมดแล้ว
เป็นเด็กที่ชะตาน่าเศร้าจริงๆ ร้องไห้ได้ก็ร้องจนสุดเสียง ร้องไม่ออกก็นั่งน้ำตาไหลเงียบๆ ความเศร้าที่อยู่ในจิตใจไม่ยอมออกไปเสียที คนฟังก็แทบใจสลาย
“ไปเถอะ ถ้าเธอจัดการไม่ได้ก็กลับมา แล้วเรียกหัวหน้าใหญ่ของเธอเข้ามา ฉันจะให้เขาพารุ่นพี่เธอมา ถ้าเธอทำไม่ได้ค่อยเปลี่ยนเป็นรุ่นพี่เธอ”
เสี่ยวเชี่ยนถอดแว่นของศาสตราจารย์หลิวออก มือทั้งสองประคองหน้าของอาจารย์ไว้ ใช้ความอบอุ่นจากมือให้กำลังใจอาจารย์
“อาจารย์ต้องมั่นใจในตัวเองนะคะ นักเรียนที่อาจารย์สอนมาเองกับมือจะทำไม่ได้ได้ยังไง อาจารย์พักผ่อนเถอะค่ะ โรคนี้หนูจะรักษาให้เอง ไม่คิดเงินกับอาจารย์หรอกค่ะ—”
“นี่เธอยังคิดจะเก็บเงินอีกเหรอ?”
ตอนที่ 522 ล้มเลิกความคิด
“ทำธุรกิจอย่างอิสระ กำหนดราคาตามใจไงคะ…”
พอเห็นอาจารย์โมโห เสี่ยวเชี่ยนก็รีบแก้ไขสถานการณ์
“หนูก็แค่พูดไปงั้นแหละค่ะ หนูจะกล้าเก็บเงินอาจารย์ได้ไงคะ? แต่ถ้าหนูรักษาหายอาจารย์ก็ต้องมีอะไรมาแลกด้วยนะคะ”
“……” เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
“ทุกเช้าอาจารย์ต้องตื่นมาวิ่งรอบสนามกับหนู อาจารย์ขี้เกียจเกินไปแล้วรู้ตัวไหมคะ? วันๆเอาแต่ใช้สมองไม่ออกกำลังกาย ต่อไปตอนเช้าตื่นมาวิ่ง ตอนเย็นกินข้าวเสร็จออกไปเดินเล่นรอบทะเลสาบของมหาวิทยาลัย สุขภาพของอาจารย์แย่มาก มาสลบในเวลาสำคัญ ใกล้จะเป็นหลินไต้ยวี่ แล้วนะคะ—เวอร์ชั่นคนชรา”
“ออก ไป”
เสี่ยวเชี่ยนยักไหล่แล้วเดินออกไป อีกทั้งยังใส่ใจปิดประตูให้สนิทด้วย
ศาสตราจารย์หลิวอยากฟังว่าเสี่ยวเชี่ยนคุยกับหูเหม่ยจิ้งยังไง แต่แค่กำแพงกั้น เรื่องบางเรื่องก็ได้ยินไม่ชัด
เธอมองเพดานสีขาวแล้วครุ่นคิดว่า หรือเธอจะแก่แล้วจริงๆ เวทีนี้ควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนุ่มๆสาวๆ เสี่ยวเชี่ยนนับว่าชะตาต้องกันกับเธอ มิน่าเธอถึงได้รู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ เด็กคนนี้อ่านสมุดบันทึกของเธอเข้าใจ อีกทั้งยังนำไปใช้เป็นด้วย จะต้องเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ดูจากผลการเรียนและผลงานที่ผ่านมาแล้ว เด็กคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ
การกลับชาติมาเกิดเรื่องที่เหนือธรรมชาติแบบนี้ไม่มีคนเชื่อ ศาสตราจารย์หลิวเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น
เสี่ยวเชี่ยนที่เธอเห็นนั้นเป็นเด็กมีพรสวรรค์ แต่กลับไม่รู้เลยว่ากว่าจะมี ‘พรสวรรค์’ เมื่อชาติที่แล้วเสี่ยวเชี่ยนต้องแลกมาด้วยความพยายามเหน็ดเหนื่อยข้ามวันข้ามคืน ถูกลงโทษให้คัดข้อมูลไม่รู้ตั้งกี่รอบ ถูกศาสตราจารย์หลิวทั้งว่าทั้งสอนมาตั้งเท่าไร โมโหมากๆบางครั้งยังถูกเขกหัวด้วย
พอมานึกๆดูถึงวันเวลาเหล่านั้น เสี่ยวเชี่ยนก็ยังรู้สึกกดดันไม่น้อย
แต่ความพยายามทั้งหมดไม่สูญเปล่า หลังกลับชาติมาเกิดได้ใช้หมด
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนผลักประตูเข้าไปในห้องหูเหม่ยจิ้งก็ยังอดไม่ได้ที่จะแบ่งสมาธิคิดเรื่องที่ว่า ชาตินี้อาจารย์คงไม่ทรมานเธอแบบเมื่อชาติก่อนแล้วมั้ง ผลงานของเธอน่าจะสร้างความประทับใจได้บ้าง
ต่อไปอาจารย์จะต้องให้เธอคัดลอกตำราน้อยลงแน่นอน—นี่เป็นแค่จินตนาการอันสวยหรูของประธานเชี่ยน
ความจริงอันโหดร้ายก็คือ หลังจากที่ศาสตราจารย์หลิวรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนอ่านสมุดบันทึกของตัวเองแล้วถึงได้เลือกเข้าเรียนสาขานี้ จึงได้มองว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นลูกศิษย์ของตัวเองอย่างเป็นทางการ เพื่อที่จะไม่ให้เมล็ดพันธุ์ดีๆต้องมาพังด้วยน้ำมือเธอ ศาสตราจารย์หลิวจึงเปิดโหมดขุมนรก แต่นี่ก็เป็นเรื่องในภายหลัง
เสี่ยวเชี่ยนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยการวาดฝันอนาคตอันสดใสเปิดประตูเข้าห้องผู้ป่วยไป เสียงร้องไห้ข้างในได้หยุดลง
หูเหม่ยจิ้งหันหน้ามา แล้วก็เห็นสาวน้อยหน้าคุ้นๆที่มีไฝคนงามเดินเข้ามา เธอหยุดร้องแล้วมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความหวาดกลัว ร่างกายขยับเข้าหากำแพงอีกครั้ง
“รู้สึกคุ้นๆหน้าฉันใช่ไหม?”
“เธอเป็นใคร?”
“ฉันชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยน เหม่ยจิ้งเธอยังจำฉันได้ไหม?”
“ฉันจำไม่ได้ ปล่อยฉันนะ พวกเธอไม่มีสิทธิ์ขังฉันไว้ ทำแบบนี้เท่ากับจำกัดอิสระของฉัน รีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
หูเหม่ยจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก เสียงก็แหบแห้ง
นิสัยเปลี่ยนไปจริงๆ ความอ่อนโยนที่เคยมีไม่หลงเหลืออยู่เลย บุคลิกเดิมของหูเหม่ยจิ้งดูเป็นคนอารมณ์ร้อน สายตาเอาเรื่อง แตกต่างกันมาก
“ปล่อยคุณ แล้วจะทำอะไรเหรอ?”
“ปล่อยฉัน ฉันจะไป—” หูเหม่ยจิ้งนึกถึงภาพที่น่ากลัวแล้วกรีดร้องออกมา
เธอนึกถึงภาพน่ากลัวตอนที่เห็นศพโลนวูล์ฟ เสี่ยวเชี่ยนปล่อยให้เธอกรีดร้องไป พอสงบลงแล้วถึงได้พูดต่อ
“คุณไม่สบายใจอะไรบอกฉันได้นะ อยากร้องอยากกรี๊ดได้หมด พอคุณสงบสติได้แล้วฉันจะพาคุณออกไปข้างนอกก็ได้”
“ฉันจะไปดูโลนวูล์ฟ ฉันจะไปหาเขา…เขายังไม่ตายใช่ไหม คนนั้นไม่ใช่เขา”
“น่าเสียดายที่เขาตายแล้วค่ะ”
ความจริงเป็นสิ่งโหดร้าย แต่เสี่ยวเชี่ยนก็เลือกจะบอกความจริง
เบื้องหน้าหูเหม่ยจิ้งดำมืด เธอสลบไปอีกครั้ง
ฉู่เซวียนกับหัวหน้าใหญ่เข้ามา ฉู่เซวียนพอเห็นสภาพที่น่าสงสารของภรรยาตัวเองก็รีบถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความร้อนใจ
“ทำไมคุณทำเขาสลบไปอีกล่ะ?”
“ตอนนี้ฉันมีคำถามเครียดอยากจะถามคุณ คุณอยากจะปกป้องภรรยาคุณหรือปกป้องลูก”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“ฉันมีแผนการรักษาสองแผน หนึ่งคือแผนรักษาแบบประคับประคองให้อาการเธอคงที่ไปเรื่อยๆ ถ้าคุณอยากเก็บลูกไว้ก็คงต้องเอาแบบนี้ แต่แผนนี้เสี่ยงมาก ในระหว่างที่เธอตั้งครรภ์หากเธอนึกขึ้นมาได้อีก อาจรุนแรงยิ่งกว่าครั้งนี้ ถึงตอนนั้นใครก็เอาไม่อยู่ เป็นไปได้ว่าอาจสูญเสียทั้งแม่และลูก ต่อให้ตั้งท้องไปจนถึงคลอดลูกออกมาได้ แต่วันหนึ่งอาการเธอก็อาจกำเริบอีก ผลก็เหมือนกัน ถึงตอนนั้นก็คงรั้งเธอไว้ไม่ได้แล้วแน่นอน”
ฉู่เซวียนรู้สึกช็อค เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว
“ฉันยังมีอีกหนึ่งแผนการรักษา วิธีนี้ถึงแม้อาจทำให้อารมณ์เธอขึ้นๆลงๆอย่างรุนแรง เด็กอาจจะไม่รอด แต่มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ถ้าโชคดีเด็กก็ยังอยู่ คุณจะเลือกแบบไหน?”
“ผมเลือกภรรยา” ฉู่เซวียนตอบอย่างไม่ลังเล
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากดปุ่มปากกาอัดเสียง
“ทำไมล่ะคะ? คุณเป็นลูกคนเดียวอยากมีลูกมานานแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“จิ้งจิ้งมีแค่คนเดียว ผมอยากได้จิ้งจิ้ง ต่อให้ชาตินี้ไม่มีลูก แต่แค่เขายังอยู่เป็นพอ”
“คุณรักที่ตัวตนของเธอ หรือรักที่นิสัยเธอที่เป็นคนอ่อนโยนคะ? ถ้าวันหนึ่งนิสัยเธอเปลี่ยนไปไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนหวานคนเดิม คุณยังจะชอบเธอ รับในตัวตนของเธอได้หรือเปล่า?”
“มันต่างกันด้วยเหรอ? เธอก็ยังคงเป็นจิ้งจิ้ง จะเปลี่ยนไปแบบไหนก็ยังเป็นจิ้งจิ้ง ตอนที่ผมเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนเธอยังไม่ทิ้งผมไปเลย ตอนนี้เธอป่วยผมยิ่งไม่มีทางทิ้งเธอ หมอเฉิน คุณจะคิดค่ารักษาเท่าไรก็ได้ ถ้าไม่พอผมจะขายบ้าน ช่วยรักษาเธอให้หายด้วย ต่อให้…วันหนึ่งเธอจะจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“หืม?”
“อันที่จริงผมรู้ว่า…ในใจของเธอมีผู้ชายที่ลืมไม่ได้ บางครั้งเวลาเธอฝันจะเรียกชื่อคนๆนั้นออกมา ผมรู้ว่าเขาชื่อหลิวส่วง แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนๆเดียวกับโลนวูล์ฟที่จิ้งจิ้งพูดถึงหรือเปล่า …แต่นั่นไม่สำคัญ เธอยังคงเป็นจิ้งจิ้ง ผมต้องการจิ้งจิ้ง”
เขารู้? เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ถึง เกรงว่าเรื่องนี้ศาสตราจารย์หลิวก็คงไม่รู้เหมือนกัน
ศาสตราจารย์หลิวกับเสี่ยวเชี่ยนต่างคิดว่าฉู่เซวียนเป็นคนใจแคบ เป็นผู้ชายที่หัวโบราณ ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวน
ด้วยเหตุนี้ก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครบอกเขาถึงเรื่องในอดีตของหูเหม่ยจิ้ง เขาจะได้ไม่คิดมาก
แต่ไม่นึกเลยว่าฉู่เซวียนจะรู้
“เธอจะเคยชอบใครมาก่อนไม่สำคัญ ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของผม ผมอยากให้คุณช่วยรักษาเธอ อย่าให้เธอต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้ ลูกมีหรือไม่มีก็ช่าง ต่อให้เธอลืมผมไปแล้ว…ก็ไม่เป็นไร”
“ถ้าเธอลืมคุณไปแล้วจริงๆคุณจะทำไงคะ?”
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนถามคำถามนี้ หูเหม่ยจิ้งที่นอนอยู่บนเตียง ตาที่ปิดอยู่นั้นได้กระตุกเล็กน้อย
“ลืมแล้วก็ทำให้เธอนึกออก ถ้ายังนึกไม่ออกผมก็จะทำดีกับเธอไปเรื่อยๆ ให้เธอยอมรับผมใหม่อีกครั้ง”
คำตอบนี้ทำให้ประธานเชี่ยนที่อ่านใจคนมามากถึงกับเงียบไปนาน
“ได้ค่ะ ฉันทราบแล้ว พวกคุณออกไปก่อน หัวหน้าใหญ่ไปแก้มัดให้อาจารย์เถอะค่ะ มัดไว้นานๆไม่ดีต่อสุขภาพ อาจารย์ยังมีเรื่องให้หัวหน้าใหญ่ไปจัดการนะคะ”
“เขาข่วน…” หัวหน้าใหญ่พูดด้วยอาการน้อยใจ
ตอนที่ 523 สิ่งใดๆในโลกล้วนไม่แน่นอน
“ไม่เป็นไรค่ะ ทุกคนต่างมีบัตรประชาชน สภาพอารมณ์ของอาจารย์ตอนนี้คงเย็นลงแล้ว”
เสี่ยวเชี่ยนไล่คนออกไป ภายในห้องจึงเหลือแค่เธอกับหูเหม่ยจิ้งอีกครั้ง
ผ่านไปสักพักหูเหม่ยจิ้งก็ลืมตาขึ้น มองเพดานอย่างหมดหวัง แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
เธอไม่เอ่ยปาก เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่พูด นั่งเป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ผ่านไปสามชั่วโมงเต็มๆหูเหม่ยจิ้งถึงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“เขาไปทั้งแบบนี้เลยเหรอ เราตกลงกันไว้ว่าเขากลับมาจะแต่งงาน ทำไมเขาถึงได้ไปทั้งแบบนี้”
“นั่นสิ ชีวิตคนเราก็คาดเดาไม่ได้แบบนี้แหละ ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น”
“ตอนนี้ฉันเสียใจทำไมถึงไปทะเลาะกับเขา ถ้าฉันไม่ทะเลาะกับเขา เขาก็คงไม่เป็นอะไร ต้องโทษฉัน ความผิดฉันเอง ถ้าฉันเชื่อฟังเขา ควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ มีปัญหาอะไรก็อย่าไประบายอารมณ์ที่เขา แบบนั้นก็คงดี”
พอเขาไปแล้วหูเหม่ยจิ้งถึงได้เสียใจ อยากขอโทษเขา แต่กลับไม่คิดว่าเขาไปแล้วจะไปตลอดกาล
“นัดกับเขาไว้ว่าจะพาไปเที่ยว ปรากฏว่ารับงานใหญ่มาทำให้ต้องเปลี่ยนเวลา เขาโกรธฉันจนไม่ยอมพูดด้วย ไปเรียนพิเศษที่ฉันลงไว้ให้ด้วยอารมณ์โกรธแบบนั้น และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นหน้าเขา ถ้าฉันหาเวลามาอยู่กับเขาให้มากๆหน่อยก็คงดี”
“เธอหมายถึงใคร?” หูเหม่ยจิ้งมองเสี่ยวเชี่ยนอย่างงงๆ แต่กลับพบว่าเสี่ยวเชี่ยนยืนอยู่ริมหน้าต่างหันหลังให้เธอ สายตาทอดยาวไปไกล ตรงขอบหน้าต่างหินอ่อนมีน้ำตาไหลลงมาทีละหยด
“คนที่สำคัญกับฉันมาก เขามาปรากฏตัวแบบเหนือความคาดหมาย แล้วก็จากฉันไปโดยที่ฉันคาดไม่ถึง พอเขาจากไปแล้วชีวิตฉันก็สลาย ฉันพยายามมองหาคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ต่อ ฉันหาเงิน ฉันได้รับรางวัล ฉันทำเรื่องต่างๆมากมายแต่กลับพบว่าไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ทำให้เขากลับมาไม่ได้ ฉันเข้าใจความรู้สึกคุณนะ”
น้ำเสียงของเสี่ยวเชี่ยนดูแปลกไป หูเหม่ยจิ้งเดาว่าเธอคงจะร้องไห้
“นั่นสิ โลกนี้มีคนตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นเขาที่จากไปด้วย?”
“ใช่ไหมล่ะ”
“เธอเข้าใจความรู้สึกฉันเหรอ?” หูเหม่ยจิ้งถามเสี่ยวเชี่ยน
“เข้าใจสิ ความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย มันอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ ยิ่งอยากลืมก็ยิ่งชัดเจน ตอนนี้ฉันยังลืมเขาไม่ได้เลย ตอนที่เขาเพิ่งจากไป ฉันจะตื่นมากลางดึกแล้วเดินไปที่ห้องเขาโดยไม่รู้ตัว อยากดูว่าเขาเตะผ้าห่มทิ้งหรือเปล่า พอไปถึงกลับพบว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เวลาผ่านร้านอาหารฝรั่งที่เขาชอบก็จะนึกถึงเสียงหัวเราะของเขา จนถึงตอนนี้ฉันกินอาหารทะเลน้อยลงมาก เพราะว่าเขาชอบ บางครั้งเวลาไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเห็นของทะเลก็อยากซื้อ แต่พอเรียกพนักงานมาแล้วถึงได้พบว่า จะซื้อให้ใครล่ะ?”
“ที่แท้เธอก็มีประสบการณ์แบบนี้…” ดูเหมือนหูเหม่ยจิ้งจะหาทางออกของอารมณ์เจอแล้ว
“ถ้ามองในแง่ลบ ชีวิตคนเราก็คือการเดินทางที่ต้องลาจาก นับตั้งแต่เกิดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต พวกเราต่างต้องเจอกับการลาจาก ญาติพี่น้อง เพื่อนพ้อง ลูกหรือคนรัก วาสนาที่มีต่อกันล้วนต้องมีวันจบ พวกเราไม่รู้ว่าวันไหนจะต้องจากกัน”
“มันก็จริง ฉันยอมให้คนที่เขาอยากแต่งด้วยไม่ใช่ฉัน ไม่อยากให้เขาต้องมาจากไปแบบนี้ด้วย จริงๆแล้วเราสองคนก็ไม่ได้เหมาะกันมาก ฉันนิสัยไม่ค่อยดี เขายอมให้ฉันมาตลอด ฉันก็อาศัยจากการที่เขาตามใจเลยชอบเอาแต่ใจ พอฉันโมโหก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ คำพูดแรงๆพูดออกมาหมด แค่คำว่าเลิกกันก็พูดมาแล้วหลายครั้ง ทุกครั้งเขาเป็นคนง้อฉันกลับมา ตอนนี้ฉันเสียใจมาก ไม่สู้ตอนนั้นเลิกๆกันไปเลย ให้เขาไปหาผู้หญิงที่นิสัยดีๆ บางทีเขาอาจจะไม่ตายก็ได้”
หูเหม่ยจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ คำพูดบางอย่างอัดอั้นอยู่ในใจมานานเหลือเกิน
เธอไม่รู้จะให้อภัยตัวเองยังไง
“ร้องเถอะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง”
ขั้นแรกของเสี่ยวเชี่ยนก็คือทำให้หูเหม่ยจิ้งปลดปล่อยความกดดันภายในจิตใจออกมา หลังจากได้ระบายอารมณ์แล้ว ค่อยพูดสิ่งต่างๆใส่สมองเธอ ตอนที่ทำขั้นนี้เธอก็จะได้ปลดปล่อยความรู้สึกไปด้วย
“ผู้ชายคนที่ฉันรู้สึกผิดชื่อหลิวส่วง เขาเป็นทหารที่กล้าหาญ เขาชอบยิ้ม เขาดีกับฉันมาก…”
“คุณยินดีจะเล่าเรื่องระหว่างคุณกับเขาให้ฉันฟังไหม?”
“พวกเรามีคนแนะนำให้รู้จักกัน อันที่จริงตอนนั้นฉันมีความคิดไม่ค่อยดีเท่าไร ฉันยังไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง คิดแค่อยากแต่งงานกับทหาร ในอนาคตเขาสามารถเปลี่ยนสายงานได้ ถึงตอนนั้นพวกเราก็มั่นคงแล้ว แต่ครั้งแรกที่เจอเขา ฉันก็รู้สึกเหมือนกับว่าเรารู้จักกันมานาน วันนั้นเขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว จากตอนแรกที่มีจุดประสงค์อื่น ต่อมาฉันก็รักเขาเข้าแล้วจริงๆ…”
หูเหม่ยจิ้งเล่าเรื่องในอดีต เสี่ยวเชี่ยนยืนฟังอยู่ริมหน้าต่างอย่างอดทน อันที่จริงสมาธิเธอวอกแวก สมองของเธอคิดถึงแต่เรื่องในอดีตตอนที่อยู่กับลูกสาว
เรื่องบางเรื่องคิดว่าตัวเองลืมได้แล้ว แต่วันใดวันหนึ่งกลับนึกได้ขึ้นมา แผลนั้นที่ไม่เคยจางหาย พอถูกโดนก็เจ็บ ตอนที่เธอทำการรักษาให้คนอื่น ก็เป็นเวลาที่เธอได้เปิดปากแผลของตัวเองทีละครั้ง
เดินทางไปเรื่อยๆก็ค่อยๆสูญเสีย จนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายของชีวิต คนๆหนึ่งที่เกิดมาบนโลก สุดท้ายก็ต้องเหลือตัวคนเดียว
การจากไปของตัวเองทำให้คนที่แคร์เราต้องสัมผัสถึงรสชาติของการสูญเสีย วัฏจักรนี้ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ นี่แหละโชคชะตาอันโหดร้าย
แต่หลังจากร้องไห้ เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วก็ยังคงต้องเดินต่อให้จบการเดินทางที่ไม่มีทางให้หวนกลับนี้ ดังนั้นน้ำตาของประธานเชี่ยนจึงมอบแด่ตัวเอง
ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนทำการรักษาให้หูเหม่ยจิ้งอยู่นั้น ฉู่เซวียนได้ยืนมองหูเหม่ยจิ้งที่กำลังร้องไห้เสียใจผ่านกระจก สายตาของเขาโศกเศร้า เขารู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในห้องถึงจะหน้าตาเหมือนภรรยาของเขาไม่มีผิด แต่จิ้งจิ้งในเวลานี้กลับไม่ได้เป็นของเขา
นี่ก็เป็นการสูญเสียอย่างหนึ่ง
“…การรักษาครั้งแรกเป็นอย่างที่เล่ามาค่ะ หนูใช้เวลาไปหลายชั่วโมงในการทำให้เธอได้ปลดปล่อยอารมณ์ ขั้นต่อไปหนูจะทำการรักษาอย่างเป็นทางการค่ะ”
เสี่ยวเชี่ยนเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องให้ศาสตราจารย์หลิวฟัง
ศาสตราจารย์หลิวในเวลานี้ถูกแก้มัดแล้ว เธอนั่งพิงหัวเตียงให้น้ำเกลืออยู่ หัวหน้าใหญ่ยืนอยู่ข้างๆคอยส่งน้ำให้ศาสตราจารย์หลิว พลางยืนจ้องขวดน้ำเกลือไปด้วย
ลองสังเกตดูดีๆ ใบหน้าของหัวหน้าใหญ่มีรอยข่วนสองรอย พอรู้สึกได้ว่าเสี่ยวเชี่ยนจ้องรอยแผลของตัวเองอยู่ หัวหน้าใหญ่จึงถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน
ดู ฉันพูดไว้ว่าไง ยายแก่คนนี้ข่วนคน
ถูกข่วนตอนที่แก้มัดไง ข่วนที่หน้าเสียด้วย
พรุ่งนี้กลับหน่วยพอไอ้เจ้าพวกนั้นเห็นเข้ามีหรือจะไม่หัวเราะเยาะ?
หัวหน้าใหญ่จินตนาการได้เลยว่า อวี๋หมิงหลางจะต้องเป็นตัวนำหัวเราะเยาะเรื่องนี้แน่นอน
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าสายตานี้ของหัวหน้าใหญ่ดูแบ๊วดี เธอรีบปรับอารมณ์แล้วรายงานแผนการรักษาในขั้นต่อไปให้อาจารย์ฟังต่อ
“สุขภาพเขาเป็นยังไงบ้าง?” ศาสตราจารย์หลิวเป็นห่วงเด็กในท้องของหูเหม่ยจิ้ง
คนท้องไม่ควรมีเรื่องทำให้สะเทือนใจ โดยเฉพาะตั้งภรรภ์ในระยะแรก การดีใจหรือเสียใจมากเกินไปจะทำให้แท้งได้
“เมื่อครู่หมอมาตรวจบอกว่าตอนนี้สุขภาพของเธอยังไหวอยู่ ยังไม่มีวี่แววว่าจะแท้ง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆต้องไม่ไหวแน่นอน หนูเอาแม่เป็นหลัก เด็กคนนี้จะได้อยู่หรือเปล่าคงต้องแล้วแต่สวรรค์จะเมตตา”
เสี่ยวเชี่ยนมีความเด็ดขาดกับอาการแบบนี้ของผู้ป่วย เธอเป็นหมอหลักที่รักษาเคสนี้ จึงลังเลไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ขนาดคนแม่ยังไม่แน่เลยว่าจะรั้งไว้ได้หรือเปล่า จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเด็ก ความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจนี้ใช่ว่าคนทั่วไปจะมี
“ตอนนี้เขายังไม่รู้ใช่ไหมว่าตัวเองท้อง?” ศาสตราจารย์หลิวถาม
ตอนที่ 524 เขายังจำได้
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า “ก็เหมือนกับที่พวกเราวิเคราะห์กัน หลังจากบุคลิกเดิมของเธอตื่นขึ้นมา บุคลิกที่สองที่แสนอ่อนโยนก็ได้หายไป เธอจำเรื่องในช่วงหลายปีนี้ไม่ได้ แต่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะรู้จักหนูค่ะ”
“หลังจากที่ทำให้เธอได้ปลดปล่อยอารมณ์แล้วก็จะทำการรักษาอย่างเป็นทางการ พอรักษาเสร็จสิ้น พวกเราค่อยหาวิธีปลุกบุคลิกที่สองของเธอกลับมา หรือไม่ก็…ทำให้ทั้งสองบุคลิกหลอมรวมกัน นั่นเป็นบทสรุปที่ดีที่สุด” ศาสตราจารย์หลิวพูด
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า
“ไม่ต้องหลอมรวม หนูหวังว่าบุคลิกนี้ของเธอจะหายไป”
“ทำไมล่ะ? ผลสรุปที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ ถ้าเรากดความทรงจำของเธอแล้วค่อยปลุกอีกบุคลิกขึ้นมาย่อมทำไม่ได้แล้วแน่นอน ฉันจำได้ว่าเธอเห็นด้วยกับความคิดฉัน” ศาสตราจารย์หลิวถามเสี่ยวเชี่ยน
“หนูเห็นด้วยกับความคิดของอาจารย์ จุดประสงค์ของพวกเราก็คือกดบุคลิกในตอนนี้ของเธอลงไป แต่จุดเริ่มต้นของพวกเราไม่เหมือนกัน ขั้นตอนก็ต่างกัน วิธีของอาจารย์คือสะกดจิตกดบุคลิกเธอโดยตรง ของหนูคือหลังจากที่เธอได้ปลดปล่อยอารมณ์แล้ว ให้เธอได้ทำในสิ่งที่ควรทำ จากนั้นค่อยกดบุคลิกเธอ แบบนี้ในใจของเธอก็จะไม่มีอะไรติดค้างอีก ในอนาคตไม่ว่าเธอจะนึกออกหรือจำไม่ได้แล้วก็ไม่เป็นไร เพราะถ้าใช้วิธีของหนู ต่อให้สักวันหนึ่งบุคลิกทั้งสองของเธอมาหลอมรวมกัน เธอก็จะปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในตอนนี้ได้ ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญต่อไป”
“หืม? ขนาดฉันยังไม่มีความมั่นใจแบบนั้นเลย แล้วเธอเอาความมั่นใจมาจากไหน?”
“หนูเก็บชั่วโมงละห้าหมื่นไม่เสียเปล่าหรอกค่ะ ถ้าไม่มั่นใจจะกล้าพูดขนาดนี้เหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนพูดพึมพำเสียงเบา
“เธอว่าอะไรนะ?”
“หนูบอกว่า ความสามารถในการแบกรับทางจิตใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน สำหรับบางคน การลืมอาจเป็นทางหลุดพ้นเพียงทางเดียว ถ้าบุคลิกทั้งสองของเธอมาหลอมรวมกันมันก็ไม่ยุติธรรมกับสามีเธอในตอนนี้นะคะ”
“ตอนนั้นฉันก็ศึกษานิสัยของเหม่ยจิ้งก่อนแล้วถึงทำการสะกดจิตกดบุคลิก บางทีสิ่งที่เธอพูดอาจถูก ปล่อยให้เขาได้ทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วกลับเข้าสู่วิถีชีวิตตัวเองอย่างหมดห่วง แล้วต่อไปเธอวางแผนไว้ว่าไง?”
เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ตอบอาจารย์ แต่มองไปทางหัวหน้าใหญ่
“หนูจำเป็นต้องขอความร่วมมือค่ะ ถ้าสะดวก หนูขอติดต่อกับหัวหน้าคนปัจจุบันของหน่วยย่อยโลนวูล์ฟค่ะ”
“อยากเจออวี๋หมิงหลางเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนพูดอย่างจริงจัง “หนูกำลังทำงาน ไม่คุยเรื่องส่วนตัวค่ะ”
“อ่อ หัวหน้าหน่วยย่อยโลนวูล์ฟเปลี่ยนคนแล้ว ฉันจะให้คนใหม่ติดต่อเธอมาแล้วกัน”
“เดี๋ยวนะคะ อวี๋หมิงหลางล่ะคะ?”
“คำสั่งเพิ่งลงมา เขาเลื่อนเป็นหัวหน้าหน่วยกลางแล้ว”
“โอเคค่ะ ช่วยให้หัวหน้าหน่วยกลางติดต่อหนูด้วยนะคะ หนูจำเป็นต้องให้พวกเขาร่วมมือด้วย”
“……” ไหนว่าไม่คุยเรื่องส่วนตัว ยังจะบอกว่าไม่ใช่เพราะอยากเจออวี๋หมิงหลาง
แต่ก็ไม่มีใครแฉความปรารถนาเล็กๆน้อยๆของเสี่ยวเชี่ยน กว่าจะได้เจอกันไม่ง่าย สามารถมาเจอกันได้ก็ขอเจอหน่อย
“หลังจากที่อวี๋หมิงหลางเลื่อนเป็นหัวหน้าหน่วยกลางแล้ว ตารางงานจะไม่แน่นเท่าเมื่อก่อน ภารกิจสำคัญบางอย่างจะมอบให้หัวหน้าหน่วยย่อยจัดการ”
“พวกเราทำตามที่ทางหน่วยจัดมาอยู่แล้วค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนๆ
แสดงว่าอีกหน่อยเขาจะได้มีเวลาอยู่กับเธอมากขึ้น ถึงแม้เวลาที่อยู่ด้วยกันก็ยังน้อยกว่าคู่รักทั่วไปอยู่ดี แต่ก็น่าจะดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ เดี๋ยวนะ ดูเหมือนมันแปลกๆตรงไหนชอบกล?
“หัวหน้าใหญ่ เมื่อกี้ว่าอะไรนะคะ?”
“ฉันบอกว่าหมิงหลางเลื่อนเป็นหัวหน้าหน่วยกลางแล้ว คำสั่งเพิ่งจะลงมา แต่เนื่องจากหน่วยเราเพิ่งขยาย ดังนั้นครึ่งปีนี้เขาจะยังมีงานต้องทำมาก พอทุกอย่างเข้าที่แล้วเขาก็จะ—”
“ไม่ใช่ประโยคนี้ค่ะ หัวหน้าใหญ่บอกว่า ภารกิจสำคัญบางอย่างจะมอบหมายให้หัวหน้าหน่วยย่อยจัดการ? เขาไม่จำเป็นต้องไปยิงปืนในที่เกิดเหตุแล้วเหรอคะ?”
“ถูกต้อง เดิมหน้าที่ของหมิงหลางก็คือสั่งการ ตามตำแหน่งหน้าที่แล้วเขาไม่ควรต้องควบเป็นมือสไนเปอร์ เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเราขาดแคลนคนหนักมาก ตอนนี้ฝึกคนเก่งๆมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว เขาก็สามารถค่อยๆกลับสู่หน้าที่เดิมได้แล้ว”
หัวหน้าหน่วยไม่ควรต้องมาทำหน้าที่สไนเปอร์มือหนึ่ง แล้วยิ่งตอนนี้อวี๋หมิงหลางได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยกลางแล้วด้วย
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่ากลางหัว อึ้งอยู่นานไม่ขยับเขยื้อน
งั้นอวี๋หมิงหลางเมื่อชาติที่แล้วเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อชาติที่แล้วภายใต้สถานการณ์ที่เธอยังไม่รู้ว่าอวี๋หมิงหลางคือผู้มีพระคุณ เธอเจอเขาอีกครั้งตอนที่เธอถูกคนร้ายจี้เป็นตัวประกัน ตำแหน่งอวี๋หมิงหลางในตอนนั้นเกินหัวหน้าหน่วยกลางแล้วด้วยซ้ำ แล้วจะเป็นเขาที่เป็นคนยิงได้ยังไง?
เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปที่จุดเกิดเหตุ แต่เขาไป
เป็นเขาที่ช่วยเธอออกมาจากมือคนร้ายด้วยตัวเอง
การวิเคราะห์ของเสี่ยวเชี่ยนได้แผ่ขยายไปทั่วจิตใจ
ข้อสงสัยเมื่อชาติก่อนดูเหมือนจะคลี่คลายได้แล้วในชาตินี้
อวี๋หมิงหลางไม่เหมือนกับเธอ เขาเป็นผู้ชายที่ได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ มีความสามารถที่อะไรถ้าผ่านสายตาแล้วก็จะไม่ลืม แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อชาติก่อนเธอกับเขาเคยเขียนจดหมายหากัน เขาใช้นามแฝง แต่เธอกลับใช้ชื่อจริง ตอนที่เขาช่วยเธอจะต้องรู้แล้วแน่นอนว่าเธอเป็นใคร
ถึงขนาดที่ว่าเขามายังสถานที่เกิดเหตุเพื่อช่วยเธอ
พอคิดได้แบบนั้น ท่าทางที่เอาเสื้อนอกทหารมาคลุมให้ในครั้งแรกที่เจอที่ถูกเธอล้อมาตลอด คำพูดสอนที่ว่ามาผับคนเดียวไม่ปลอดภัยท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เขาจำเธอได้ เขาจำเธอได้มาตลอด บางทีอาจเป็นเพราะไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรถึงได้แสร้งทำเป็นเย็นชาใส่
ความรู้สึกนี้ทำให้หัวใจเสี่ยวเชี่ยนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
บาดแผลเรื่องลูกสาวที่เมื่อครู่ถูกสะกิดขึ้นมาตอนที่รักษาให้หูเหม่ยจิ้งดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย
บางทีคนที่ถูกกำหนดว่าต้องจากกันระหว่างทางก็ไม่ได้น่าเศร้าอย่างที่คิดเท่าไร ระหว่างทางเราก็มักจะได้เจอกับคนที่ทำให้ซาบซึ้งใจ ทำให้อบอุ่นหัวใจ คนเหล่านี้ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อ
ทันใดนั้นเสี่ยวเชี่ยนก็อยากเจออวี๋หมิงหลางมาก ไม่ใช่แค่เรื่องงาน เธออยากเจอเขาจริงๆ
“อวี๋หมิงหลางพูดครับ”
อวี๋หมิงหลางมารับโทรศัพท์หลังจากที่คนในหน่วยไปแจ้ง
แต่กลับนึกไม่ถึงว่าปลายสายจะเป็นเสียงของคนที่เขาคิดถึงมานาน
“ฉันจิตแพทย์เฉินเสี่ยวเชี่ยนค่ะ”
“ลูกเชี่ยน?”
อวี๋หมิงหลางคิดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ
“เรียกฉันว่าหมอเฉินนะคะ”
“หมอเฉิน มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?”
อวี๋หมิงหลางรู้ว่า ถ้าเสี่ยวเชี่ยนแทนตัวเองว่าหมอเฉิน ก็แสดงว่ามีเรื่องงานให้ช่วย
และที่เขามารับสายก็เพราะมีคำสั่งลงมาให้เขาให้ความร่วมมือในการรักษากับญาติคนไข้ ดูท่าเรื่องนี้ลูกเชี่ยนของเขาจะเป็นคนจัดการอีกแล้ว
สิ่งที่อวี๋หมิงหลางคิดก็คือให้ความร่วมมือกับหมอเฉิน แต่อวี๋น้อยที่เคยได้เจอกับเฉินน้อยไปแล้วกำลังส่งความปรารถนาอย่างน่าไม่อายอยู่ในสมอง สมองของอวี๋หมิงหลางนึกไปถึงภาพหมอเฉินในชุดเสื้อกาวน์ถูกจับกดเข้าที่กระจก นั่นเป็นภาพที่สวยงามในโลกมนุษย์ขนาดไหนกัน?
“ฉันต้องการให้คุณตรวจสอบเรื่องการตายของโลนวูล์ฟในตอนนั้น แน่นอนว่าส่วนที่เกี่ยวข้องกับความลับคุณสามารถจัดการแบบผ่านๆไปก็ได้ พวกเราจะทำการตัดสินอย่างยุติธรรมโดยที่ไม่แพร่งพรายความลับออกไป”
“คุณสงสัยในตัววีรบุรุษ?”
“เรื่องกรณีพิเศษจัดการแบบพิเศษ ฉันไม่ได้สงสัยในตัววีรบุรุษ แต่การเรียกร้องนี้ไม่ใช่แค่เสียงในใจของญาติผู้ตาย มันรวมถึงเสียงที่อยู่ในใจของพวกคุณด้วย หลังจากที่ได้สูญเสียเขาไปความเสียใจของทุกคนต่างไม่มีที่ระบาย บาดแผลที่อยู่ในใจต่างทำให้ทุกคนรู้สึกแย่ คุณคิดว่าคนที่ได้รับบาดแผลมีแค่หูเหม่ยจิ้งเหรอ? ผิดแล้ว สมาชิกทุกคนที่เจอกับเรื่องนี้ในตอนนั้นในใจต่างมีบาดแผล พวกเราต้องทำเรื่องนี้ให้มันชัดเจนต่อหน้าวีรบุรุษ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น