สาวน้อยปลูกผัก 513-531
TQF:บทที่ 513 เดินทางด้วยกัน กำจัดผู้ฝึกตนวิถีมาร (2)
“เสี่ยวเสี่ยว พวกตาแก่จากเมืองโลกทมิฬล้วนอยู่จุดสูงสุดของระดับจักพรรดิ์เทพยุทธ์ทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะกฎแห่งฟ้าดินพวกเขาคงจะบรรลุเป็นก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ไปนานแล้ว”
พลังภายในอันแกร่งกล้าที่แม้แต่คนที่อยู่ไกลๆอย่างพวกเขายังสามารถรู้สึกได้ และก็มองออกได้ถึงระดับวิทยายุทธและวิธีการของพวกเขา
ตาคู่สวยของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจ้องไปยังทิศไกลๆอย่างไม่วางตา ตอบเสียงเบา “ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้ว่าผู้อาวุโสพวกนั้นจะอยู่ระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์แล้ว แต่ภายใต้การโจมตีจากผู้ฝึกตนวิถีมารกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ได้เปรียบเท่าไหร่นัก”
“พลังภายในของผู้ฝึกตนวิถีมารกับท่าโจมตีดูพิลึกๆ เหมือนนำพาพลังอะไรสักอย่างที่กดพลังของเหล่าผู้อาวุโสลง ทำให้พวกเขาไม่สามารถสู้อย่างเต็มที่ได้ แปลกจริงๆ”
“เจ้ารู้สึกแล้วเหรอ ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน”
ในขณะที่ทั้ง 2 คุยกันอยู่ เสียงของหยูเฮงก็ปรากฏขึ้น นางมองไปยังคนที่อยู่ไกลๆก่อนจะเอ่ย “พวกเขาเก่งจริงๆนั่นแหละ”
“หืม หยูเฮง เจ้ารู้สาเหตุแล้วหรือ” โม่ซวนซุนถามอย่างแปลกใจ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ถามขึ้นเช่นกัน “หยูเฮง พลังของผู้ฝึกตนวิถีมารพวกนั้นแตกต่างยังไง ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้”
“เฮ่ะๆ คุณหนู คุณชาย จะให้พูดก็คือวิชาที่พวกเขาได้รับสืบสานมาอยู่ในขั้นที่สูงกว่า พวกท่านน่าจะรู้ว่าคาถาใจและพลังของพวกเราแบ่งตามขั้น โดยทั่วไปแล้วจะเป็น เทียน ตี้ เสวียน หวง ขั้นที่สูงที่สุดคือคาถาใจขั้นเทียน”
ไม่ทันที่ทั้ง 2 จะเอ่ยถามหยูเฮงก็เหมือนเปิดก๊อกแล้วพูดไม่หยุด บอกทุกอย่างที่ตัวเองรู้
“แล้วพวกเราถือว่าอยู่ในขั้นไหน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
อย่าว่าแต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลย แม้แต่โม่ซวนซุนก็ไม่รู้จักขั้นพวกนี้ ทั้ง 2 รอให้หยูเฮงอธิบายต่อ
หยูเฮงไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง เสียงของนางดังออกมา “คุณหนู คุณชาย คาถาใจของพวกท่านน่ะอย่างมากก็อยู่แค่ขั้นเสวียนเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆเต็มที่ก็อยู่แค่ขั้นหวง ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธในผืนดินนี้ส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่ถึงขั้นกัน ส่วนมากก็เป็นคาถาใจและพลังทั่วๆไปเท่านั้น คาถาใจของคุณหนูและคุณชายถือว่าดีที่สุดแล้ว”
“เพิ่งถึงขั้นเสวียน” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวทั้งแปลกใจและตกใจ “หยูเฮง แล้วเจ้ารู้มั้ยว่ามีคาถาใจขั้นตี้และขั้นเทียนอยู่จริงๆรึเปล่า”
“มีสิ ต้องมีแน่ๆอยู่แล้ว คุณหนู คุณชาย ข้าจะบอกให้นะ ไม่แน่ว่าผืนดินฉางไห่ที่ท่านย่าอยู่มีคาถาใจขั้นตี้ ส่วนขั้นเทียนนั้นข้าไม่กล้ารับประกัน อาจจะมี แต่ก็อาจจะไม่มี วันหลังลองถามท่านย่าก็ได้ นางอาจจะรู้แต่ก็อาจจะไม่รู้”
“ที่แท้พวกเราก็เป็นแค่กบในกะลา” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้า
ได้ยินคำใหม่อีกแล้ว หยูเฮงจึงถามด้วยความอยากรู้ “คุณหนู กบในกะลาคืออะไร”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไปแปปนึงก่อนจะเล่านิทานเรื่องนี้ให้นางฟัง หยูเฮงจึงได้เรียนรู้สำนวนใหม่อีกอัน
โม่ซวนซุนยิ้มเล็กน้อย เขาชินแล้วกับสำนวนที่มีที่มาที่ไปแบบนี้ของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เขารู้ว่าสิ่งที่อยู่ในตัวนางนั้นเกินกว่าการรับรู้ของทุกคน กับเรื่องเล็กๆแบบนี้เขาจึงไม่ได้แปลกใจนัก
แต่ว่าเรื่องของคาถาใจเขายังให้ความสนใจอยู่ “หยูเฮง คาถาใจขั้นเทียนใช่ขั้นสูงสุดที่มีรึเปล่า”
“คุณชาย เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ที่ข้ารู้ก็มีแค่เทียนตี้เสวียนหวง 4 ขั้นนี้ อาจจะมีขั้นที่สูงกว่านี้แต่แค่ข้าไม่รู้”
“ถูกต้อง เรื่องที่พวกเราไม่รู้นั้นมีเยอะมากจริงๆ อาจะมีโอกาสได้รู้ได้ภายภาคหน้า”
และตอนนี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่คอยดูการต่อสู้บนยอดเขานั้นก็เอ่ยขึ้น “เอาล่ะเลิกคุยกันได้แล้ว ข้าว่าพวกเราต้องลงมือแล้วล่ะ”
เหล่าผู้อาวุโสถูกผู้ฝึกตนวิถีมารกำราบไว้อยู่หมัดไม่สามารถต่อต้านอะไรได้อีก พวกเขาหลบไปมาอย่างน่าสังเวช
โม่ซวนซุนเองก็ดูออกแล้ว “พวกเขาได้แต่หนี ไม่อย่างนั้นชีวิตคงหาไม่”
“แย่จริงๆ วิทยายุทธระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์สู้ตาแก่แปลกๆ 6 คนไม่ได้” หยูเฮงเอ่ยอย่างดูแคลน
มองไปยังผู้อาวุโส 4 คนที่ถอยกรูดไปเรื่อยๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ในหมู่พวกเขามีก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ 2 คนก็จริง แต่ฝ่ายตรงข้ามมีถึง 6 คน แม้จะไม่ได้บรรลุเป็นก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ แต่ท่าทางคาถาใจกับพลังของพวกเขาอยู่สูงกว่าเหล่าผู้อาวุโส แน่นอนว่าต้องสู้พวกเขาไม่ได้”
“คุณหนูพูดถูก คาถาใจและพลังของพวกเขาทั้ง 3 อยู่ระดับเสวียนเหมือนกับคุณหนูและคุณชาย เพียงแค่นี้ก็สามารถกำราบตาแก่ของพวกเราได้แล้ว”
หยูเฮงเพิ่งพูดจบ โม่ซวนซุนก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปจัดการพวกเขา”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเก่ง แต่สำหรับโม่ซวนซุนแล้วไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาหรอก ไม่ทันที่พวกนางจะได้ตอบอะไรออกไป เขาก้าวไปแค่ 1 ก้าวเท่านั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่บนยอดเขา
“ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกท่านไปพักก่อน ให้ข้ามาเจอกับคนพวกนี้หน่อย” เสียงนุ่มของโม่ซวนซุนดังขึ้นเหนืออากาศ ทำให้คน 2 ฝั่งที่สู้กันอยู่ตื่นตัว
เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนรีบมาอยู่ข้างหน้าของชายชุดขาวด้วยท่าทีนอบน้อม เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “คารวะคุณชายโม่”
“ผู้อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ” โม่ซวนซุนพยักหน้า กวาดสายตาไปที่พวกเขา “ไม่ได้บาดเจ็บกันใช่มั้ย”
“คุณชายโม่ พวกเราไม่เป็นอะไร”
ผู้อาวุโสทั้ง 4 หน้าขึ้นสีด้วยความอาย วิทยายุทธระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ 2 ท่านกลับสู้ผู้ฝึกตนวิถีมาร 6 คนไม่ได้ เมื่อต้องสู้หน้ากับคนระดับเจ้านายพวกเขาอายจนแทบไม่กล้าเงยหน้า
โม่ซวนซุนยิ้ม ไม่มีทีท่าตำหนิ สายตาหันไปตกอยู่ที่ผู้ฝึกตนวิถีมารอายุ 4-50 ทั้ง 6 คน
ผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 6 เห็นคนหนุ่มที่พลังลึกล้ำยากจะหยั่งถึงต่างก็มีท่าทีหนักใจ ไม่ได้ประมาทเขาเพราะความวัยเยาว์
ตรงกันข้าม ได้ยินฝั่งตรงข้ามเรียกเขาว่าโม่ซวนซุนพวกเขานึกได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือใคร
นอกจากโม่ซวนซุนแห่งวิหารสวรรค์แล้ว ใครอีกจะมีเกียรติให้ตาแก่อายุนับร้อยปีเรียกเขาว่าคุณชายโม่
อย่าว่าแต่ที่เขาเป็นเขยของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนเลย วิทยายุทธระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ด้วยอายุแค่ 20 กว่าก็เพียงพอที่จะให้คนอื่นไม่กล้าประมาทเขา
———————————-
TQF:บทที่ 514 เดินทางด้วยกัน กำจัดผู้ฝึกตนวิถีมาร (3)
ผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 6 คนเห็นคนตรงหน้าที่มีท่าทีนุ่มนวลไม่ได้เบาใจลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น เขาแค่ลอยอยู่ในอากาศเท่านั้น แต่กลับเหมือนภูเขาที่ทับพวกเขาไว้ให้หายใจไม่ออก
ยังไม่ทันจะได้ต่อสู้กันก็เกิดอาการแบบนี้ พวกเขาเข้าใจดีว่าไม่สามารถต่อต้านคนหนุ่มตรงหน้านี้ได้
การที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้ว่าการที่พวกเขาจะชนะสงครามครั้งท่าทางจะเป็นไปไม่ได้
“พวกเจ้าจะเอายังไง จะสู้หรือจะถอย”
โม่ซวนซุนไม่ได้ลงมือในทันที แต่ถามพวกเขาด้วยท่าทีเรียบเฉยพร้อมปลดปล่อยพลังลมปราณในร่างออกมา พื้นที่ตรงนั้นเสมือนถูกดูดอากาศออกไปจนหมด สีหน้าของผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 6 เปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำด้วยแรงกดดันทันที นาทีนี้ พวกเขารู้สึกเหมือนถึงอยากจะต่อต้านแต่ก็ต่อต้านไม่ได้อยู่ดี
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมรามือไปแค่นี้แน่ 1 ในนั้นเอ่ยเสียงเย็น “ไม่ต้องพูดมาก ครั้งนี้ไม่เจ้าก็พวกข้านี่แหละที่ตาย”
พูดจบเขาก็กระโจนขึ้น พุ่งหมัดใส่โม่ซวนซุนที่ลอยอยู่กลางอากาศ
“หมัดน้ำแข็งไท่ยิน”
เมื่อหมัดถูกปล่อยออกไป ก็ปรากฏรอยหมัดมโหฬารขึ้นในอากาศ อากาศรอบรอยหมัดเปลี่ยนเป็นสีดำ ท่าทางพิลึกเป็นอย่างมาก
มีไอเย็นกระจายไปรอบทิศพร้อมๆกับหมัดที่ถูกปล่อยออกมา ราวกับอยู่ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง
แต่ใบหน้าหล่อเหลาของโม่ซวนซุนก็ยังเรียบเฉยอยู่ มองไปยังหมัดมโหฬารที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยมาโดยไม่ได้ขยับร่างกายแม้แต่น้อย เขายืนอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่เห็นภยันตรายที่คืบคลานเข้ามา
ภายใต้สายตาตื่นตระหนกของทุกคนราวกับตั้งใจจะรับหมัดของฝ่ายตรงข้ามไว้
ตู้มม…..
เกิดเสียงดังสนั่น รอยหมัดนั่นกระแทกเข้าที่หน้าอกของโม่ซวนซุน ฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีดีใจอยู่บนใบหน้า แต่วินาทีต่อมารอยยิ้มดีใจก็หายไป
ไม่ทันจะหุบรอยยิ้มลง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นตกใจ เพราะหมัดของเขาหยุดอยู่ที่หน้าอกเขา รุกไม่ได้ ถอยกลับก็ไม่ได้ ล็อคการเคลื่อนไหวของเขาไว้
ไม่ใช่แค่เขาที่ตกใจ คนอื่นๆที่ได้เห็นฉากตรงหน้าก็อึ้งกันหมด พวกเขายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่นก็ลืมโจมตี มอง 2 คนที่นิ่งไม่ไหวติงด้วยความอึ้ง
ไม่สิ โม่ซวนซุนขยับ รอยยิ้มบนใบหน้าเขายังไม่เปลี่ยนไป มือขวายกขึ้นเบาๆปล่อยพลังฝ่ามือออกไป เร็วอย่างสุดจะหาไม่ แม้แต่อากาศยังถูกทำให้เกิดร่องรอยเป็นคลื่นยาวๆแถมยังมีเสียงแหลมดังแทงหูดังขึ้นมาด้วย
อย่าว่าแต่อีกฝ่ายขยับไม่ได้เลย ต่อให้ขยับได้ด้วยความเร็วขนาดนี้อีกฝ่ายก็ไม่มีทางหลบพ้น
พลังภายในมากมายถล่มลงมา 2 ตาของอีกฝ่ายเบิกโพลงด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ผู้ฝึกตนวิถีมารอีก 5 คนที่อยู่ไม่ไกลใจสั่นราวกับถูกภูเขานับพันนับหมื่นลูกถล่มลงมา พวกเขารู้สึกได้ถึงความกดดันที่ไม่สามารถต้านทานนี้ได้
ตู้ม….
นาทีที่ฝ่ามือนั้นถูกฟาดลงไปบนตัวอีกฝ่าย ก็มีแสงสีขาวจากฝ่ามือของโม่ซวนซุนล้อมรอบอีกฝ่ายเอาไว้
“อ๊ากกก….”
เสียงร้อยโหยหวนดังสะท้อนไปทั่วฟ้า คนนอกรีตที่ถูกแสงสีขาวล้อมรู้สึกเหมือนถูกเผาด้วยไป เขาหล่นลงมาจากอากาศ กลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความทรมาน
แต่ไม่ว่าเขาจะโหยหวนยังไงแสงสีขาวที่ล้อมรอบตัวเขาก็ยิ่งหนาขึ้น พลังมารในตัวเขาก็ไม่ปรากฏออกมาเพื่อทำการต่อต้านเลย ภายใต้สายตาของทุกคน เขาถูกเผาจนมลายสิ้นไม่เหลือแม้แต่ซาก ราวกับไม่เคยอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน
เรื่องแปลกประหลาดขนาดนี้ ผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 5 คนอึ้งไปกับฉากตรงหน้า จากนั้นสายตาที่พวกเขามองโม่ซวนซุนมีแต่ความเกรงกลัว
แต่ตอนนี้ต่อให้พวกเขาอยากหนีก็ไม่กล้าหนี เพราะพวกเขาเชื่อว่าหนีออกไปไม่ได้แล้ว
หนีไม่ได้ก็ต้องสู้เท่านั้น ต้องหาทางรอด 1 ในหมื่นให้ได้
ทั้ง 5 คนมองหน้ากันก็ได้เห็นในตาของอีกฝ่ายว่าจะขอสู้โดยทุ่มทั้งหมดที่มี อย่างไรซะก็เตรียมใจที่จะสละชีวิตแล้ว พวกเขาไม่กลัวตาย แต่จะตายฟรีไม่ได้
ต่อให้ฆ่าอีกฝ่ายไม่ได้ก็ต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสก็ถือว่าพวกเขาได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแล้ว
มีประกายเลือดเย็นอยู่ในสายตาของทั้ง 5 คน ราวกับเสือร้ายที่กำลังรอฉีกเหยื่อให้เป็นชิ้นๆอยู่
เห็นปฏิกิริยาของพวกเขาแล้วโม่ซวนซุนก็ยังคงเรียบเฉย ไม่ได้เป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน เสมือนรอให้พวกเขาเริ่มลงมือ
ผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 5 คนขยับแล้ว พวกเขาแบ่งเป็นหน้า 2 หลัง 3 ท่าทางเตรียมจะล้อมโจมตี
ผู้อาวุโส 4 คนก็มองแผนของพวกเขาออก 1 ในนั้นประสานมือขึ้นพร้อมกล่าว “คุณชายโม่ จะให้พวกเรา…”
“ไม่ต้องหรอก” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ โม่ซวนซุนก็ยกมือขึ้นปฏิเสธ
ในชั่วขณะนั้นผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 5 ก็ลงมือ
โม่ซวนซุนกระตุกมุมปากเล็กน้อย มีความอำมหิตปรากฏขึ้นในนัยน์ตา สำหรับผู้ฝึกตนวิถีมารแล้วเขาจะไม่ใจอ่อน
ฟิ้วๆๆๆๆ…..
ร่างของผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 5 พุ่งชะแว้บมาด้วยความเร็วที่น่าตกใจใส่โม่ซวนซุน
ตู้มๆๆ…..
พลังภายในดั่งมังกรล้อมรอบโม่ซวนซุนไว้พร้อมโจมตี ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกเหมือนฟ้าดินถล่ม เห็นได้ว่าถ้าหากคนพวกนี้ทุ่มสุดแรงอานุภาพก็ไม่น้อย “อยากตายใช่มั้ย ข้าจะช่วยพวกเจ้าเอง”
———————————-
TQF:บทที่ 515 เดินทางด้วยกัน กำจัดผู้ฝึกตนวิถีมาร (4)
มีประกายเย็นชาอยู่ในแววตาโม่ซวนซุน แม้เสียงของเขาจะเบา แต่ก็หนาวไปยันกระดูก พลังภายในที่แทรกอยู่ในเสียงระเบิดอากาศโดยรอบออกเป็นชั้นๆ
เขายกมือขึ้นอีกครั้ง พลังภายในสะท้านฟ้าพร้อมกับแสงสีขาวระเบิดออกต่อหน้าพวกเขา
ขาวนวลราวกับพระจันทร์ผสมผสานไปด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ฟาดฟันลงมาราวกับจะทำลายล้างทั้งผืนแผ่นดิน แค่พริบตาเดียวก็ถล่มลงมาที่ตัวผู้ฝึกตนวิถีมารทั้ง 5 คน พวกเขารู้สึกว่าร่างกายตัวเองกำลังถูกแผดเผาอยู่ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงกลิ่นไออันน่าสยดสยองที่แผ่นซ่านไปทั่วฟ้า สีหน้าของพวกเขาซีดลงทันที ขาวเผือกอย่างน่าอนาถ
ในตอนที่ร่างกายของพวกเขาสัมผัสโดนประกายแสงสีขาว ความรู้สึกที่ถูกแผดเผาก็ทำให้พวกเขาทรมานซะยิ่งกว่าตาย ร้องโหยหวนขึ้นมา
“อ๊ากกกก”
“ช่วยด้วยยย”
“ฆ่าข้าเร็ว เร็ววว”
เพิ่งจะใส่ไป 1 ท่าเท่านั้น ร่างกายของพวกเขาที่สัมผัสกับแสงสีขาวเข้าก็มีสภาพเสมือนโดนฟ้าผ่า ร้องโหยหวนก่อนจะกระเด็นออกไปด้วยพลังภายในอันยิ่งใหญ่นี้ราวกับลูกระเบิด
ขณะเดียวกันแสงสีขาวก็ล้อมพวกเขาไว้ดั่งไปที่แผดเผา แม้แต่โอกาสจะดิ้นรนก็ไม่มี ไม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถดับประกายแสงสีขาวบนตัวได้
ทั้ง 5 คนถูกเผาเป็นจุล หายไปจากโลกใบนี้ภายใต้สายตาของทุกคน
หน้าของเหล่าผู้อาวุโสไม่สามารถปกปิดความตื่นตระหนกไว้ได้ เพียงแต่ไม่ทันที่พวกเขาจะพูดอะไรก็เห็นอีกร่างเข้ามา เมื่อเห็นชัดแล้วว่าคนมาเป็นใครพวกเขาก็รีบทักทาย
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นทั้งหมดตั้งแต่ต้น ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก และก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าพร้อมกล่าว “พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเจ้าไปยุ่งเรื่องของพวกเจ้าเถอะ”
“ขอรับคุณหนู” ทั้ง 4 คนจากไปทันทีด้วยความรู้สึกอย่างไรก็ไม่มีใครทราบได้
เห็นท่าทางของพวกเขาแล้วโม่ซวนซุนก็ส่ายหน้า “คนแบบนี้จะยกระดับวิทยายุทธได้จำกัด”
“เอาเถอะ เรื่องของคนอื่นเราไม่ต้องสนใจหรอก ไปเถอะ ไปดูที่อื่นกัน จะได้หาคนเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์ด้วย”
“ได้ พวกเราไปเถอะ”
ทั้ง 2 ได้ออกจากที่นี่ไปเพื่อไปต่อ
“คุณหนู คุณชายโม่…”
เจ้านิกายฉินหายตัวมาปรากฏต่อหน้าพวกเขา ประสานมือใส่ทั้งคู่
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า ตาของโม่ซวนซุนมองไปยังที่ไกลในขณะที่ถาม “เจ้านิกายฉิน 2 วันมานี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้ยังไหวอยู่”
สีหน้าของเจ้านิกายฉินเครียดขึ้นนิดหน่อย “คุณหนู คุณชายโม่ พวกเราไปนั่งคุยกันที่โรงเตี๊ยมด้านหน้าเถอะ”
“ก็ได้ เสี่ยวเสี่ยว เราไปที่โรงเตี๊ยมก่อน” โม่ซวนซุนไม่ได้ปฏิเสธ หันไปคุยกับคนข้างๆ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งใช้จิตของนางกวาดไปรอบๆ และได้เจอเข้ากับเหตุการณ์มากมาย นางไม่ได้เอ่ยถามออกมาทันที หันไปพยักหน้ากับคนทั้ง 2
เจ้านิกายฉินนำทั้ง 2 คนหายตัวไปยังตำบลหนึ่ง ตำบลนี้ไม่เล็กเท่าไหร่ เพียงแต่ดูเก่าและผุพัง ที่สำคัญคือที่นี่ไม่มีชาวบ้านแม้แต่คนเดียว ท่าทางชาวบ้านได้ออกจากที่นี่ไปเพราะสงครามครั้งนี้
เหตุการณ์แบบนี้ก็อยู่ในความคาดหมาย ไม่ว่าใครก็ต้องรักชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอตายอยู่ที่นี่หรอก
ไม่นานนักทั้ง 3 ก็เข้าไปในโรงเตี๊ยมของตำบลนี้ ทันทีที่เข้าไป เหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่เห็นการมาของพวกเขาก็ลุกขึ้นทักทายพวกเขา
โม่ซวนซุนและเฉิงเสี่ยวเสี่ยวต่างพยักหน้าให้พวกเขา ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้อาวุโสจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนทั้งนั้น
บางคนในนั้นสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ท่าทางจะได้รับบาดเจ็บ
——————————–
TQF:บทที่ 516 บางคนปรากฏตัว (1)
“คุณหนู คุณชาย พวกท่านมาแล้วเหรอ รีบเชิญนั่งเร็ว” ผู้เฒ่าหยิงโผล่มาจากชั้น 2 ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นพวกเขา
เจ้าเขาจี้ที่อยู่ข้างๆเขาประสานมือทักทาย “คุณหนู คุณชายโม่ เชิญมานั่งตรงนี้เร็ว”
ทั้ง 2 ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินยังโต๊ะที่พวกเขาชี้และนั่งลงด้วยกัน
ทุกคนในที่นี้ต่างนั่งอย่างสงบ ไม่มีใครกระซิบกระซาบ ล้วนเงี่ยหูตั้งใจรอฟัง
ชาบางๆแก้วหนึ่งถูกวางอยู่หน้าพวกเขา ทั้ง 2 คนไม่มีอารมณ์ดื่มชานัก โม่ซวนซุนเอ่ยถามทันที “ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเห็นพวกเจ้าออกรบกันหมด ไหนว่าสงครามครั้งสุดท้ายอย่างเป็นทางการ ทำไมยังสู้กันสะเปะสะปะมั่วไปหมดแบบนี้”
ในเมื่อส่งสาสน์สงครามมาก็ไม่ควรมารบกันตามอำเภอใจแบบนี้ คิดจะสู้ยังไงก็สู้ ปกติแล้วจะต้องนัดแนะและรบกันให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย
สถานการณ์ที่ทั้ง 2 เห็นกลับไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่แค่การต่อสู้ที่ไปเจอ แม้แต่ผู้อาวุโสในนี้ก็มีบาดแผลตามร่างกายกันหลายคน ถ้าไม่ได้ลงมือกันละก็ต้องไม่ใช่แบบนี้แน่
สายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวทอดไปยังตาเฒ่าทั้ง 3 สงครามครั้งนี้ให้พวกเขาคอยคุมบังเหียนไว้ ดูจากสีหน้าพวกเขาแล้วท่าทางจะเกิดบางอย่างขึ้น
เจ้านิกายฉินยิ้มเฝื่อนๆ เบือนสายตาไปที่ผู้เฒ่าหยิง “คุณหนู คุณชายโม่ ให้ผู้เฒ่าหยิงเป็นคนพูดเถอะ”
“ที่จริงพวกเราก็ประหลาดใจเหมือนกัน ไม่คิดว่าผู้ฝึกตนวิถีมารของเมืองโลกทมิฬจะมีปฏิกิริยารุนแรงขนาดนี้ พอเห็นคนของพวกเราพวกเขาก็ลงมือเลย ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆทั้งสิ้น” ผู้เฒ่าหยิงอธิบายด้วยความไม่รู้จะทำอย่างไร
ทั้ง 2 ขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง โม่ซวนซุนถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ หัวหน้าของ 10 กลุ่มใหญ่ได้ออกมาหรือยัง”
“ผู้ฝึกตนวิถีมารที่ลงมือถูกส่งมาโดยหัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 แล้วยังเป็นพวกไม่มีสำนักด้วยใช่มั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถาม
ผู้เฒ่าหยิงตอบพลางมองไปที่นาง “คุณหนู เป็นผู้ฝึกตนวิถีมารไม่มีสำนักของเมืองโลกทมิฬ”
“ถ้าอย่างงั้น ตั้งแต่พวกเจ้ามาที่นี่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ยังไม่ปรากฏตัวล่ะสิ”
ทั้งเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนต่างรู้สึกประหลาดใจ ผู้เฒ่าหยิงพยักหน้า “ใช่แล้วคุณหนู พวกเขาแค่ส่งคนมาบอกว่าคนที่จะออกคำสั่งได้จริงๆยังไม่มา เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธที่จะออกรบ”
“คนที่ออกคำสั่งได้จริงๆ?” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหล่มองไปยังตาเฒ่าตรงหน้า “พวกเขาหมายความว่าแม้แต่พวกเจ้าก็ออกคำสั่งไม่ได้รึ”
ไม่พูดถึงผู้เฒ่าหยิงที่เป็นตัวแทนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนในการออกรบครั้งนี้ แม้แต่เจ้านิกายฉินและเจ้าเขาจี้ก็เป็นคนชั้นยอดของ 4 อิทธิพลใหญ่ พวกเขายังมีเกียรติไม่พอแล้วจะให้ไปหาใครอีก
พวกเขาคุยกันอยู่ที่นี่ ในขณะเดียวกันนั้น ภายในกลุ่มเทียนยี หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 เฝ้าอยู่ที่กลุ่มเทียนยีมาหลายวันแล้ว รอให้เฒ่าผีออกอุบาย
ข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับมาทำให้สีหน้าของพวกเขาเกิดความเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด หัวหน้ากลุ่มกุ่ยเต้าที่ใจร้อนที่สุดกล่าวพลางจ้องไปยังคนที่นั่งอยู่ตรงที่ประธาน “เฒ่าผี เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนมาปรากฏตัวแล้ว ตอนนี้พวกเราไปพบพวกเขาได้แล้วใช่รึเปล่า”
“ใช่แล้วเฒ่าผี เจ้าเด็ก 2 คนนั้นปรากฏตัวแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะไปเจรจากับพวกเขาแล้วสิ” เล้งยี่เฉินกล่าวสมทบ
หัวหน้ากลุ่มที่เหลือแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่พวกเขาก็คิดเหมือนกันหมด มีสายตาที่กระหายสงครามและต้องการฆ่าฟันอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
เดิมทีเมื่อไม่กี่วันก่อนที่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาถึงพวกเขาก็อยากจะไปเจอแล้ว แต่เฒ่าผีบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ให้ทุกคนรอไปก่อน
ตอนนี้ 2 หนุ่มสาวที่ถือว่าเป็นคนระดับเจ้านายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนมาถึงแล้ว ไปทักทายพวกเขาได้สักที
เฒ่าผีค่อยๆยกสายตาขึ้นมองเหล่าคนตรงหน้า ถอนหายใจเศร้าๆ “ได้ ในเมื่อทุกคนต้องการให้เป็นแบบนั้น เที่ยงนี้เราจะไปพบพวกเขากัน ให้คนไปส่งสาสน์เถอะ”
เมื่อประโยคนี้ออกไปหัวหน้ากลุ่มทุกคนก็หายตัวออกไปทันที ไม่ได้อยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว
“ในที่สุดก็จะได้เจอหน้าพวกเขาแล้ว ไม่รู้ว่าเพื่อนเก่าทั้งหลายจะยังจำข้าได้อยู่รึเปล่า” เฒ่าผีถอนหายใจอีกครั้ง สายตาขุ่นมัวมีแววแห่งความคิดถึง
—————————-
TQF:บทที่ 517 บางคนปรากฏตัว (2)
1 เค่อต่อมา
สาสน์สงคราม! สาสน์สงครามสีดำถูกส่งเข้ามา
ทุกคนในโรงเตี๊ยมได้รับสาสน์สงครามที่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ส่งมาอีกครั้ง
ในที่สุดพวกเขาก็เตรียมพร้อมแล้ว
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อเห็นเนื้อหาในสาสน์ สายตาตกไปอยู่ที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุน 2 คน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่พูดอะไร คิ้วขมวดเหมือนกำลังใช้ความคิดอยู่
สีหน้าของโม่ซวนซุนไม่เปลี่ยนไป เอ่ยเรียบๆ “ทุกท่านเตรียมตัวให้ดี 1 ชั่วยามหลังจากนี้เตรียมรับแขกคนพิเศษ”
“เรื่องนี้ คุณชายเตรียมจะทำอย่างไร พวกเราจะวางแผนอย่างไรดี” ผู้เฒ่าหยิงเอ่ยปาก
เจ้าเขาจี้ก็เอ่ยถาม “คุณชายโม่ พวกเราควรจะเลือกสถานที่มั้ย แล้วค่อยวางแผนกัน”
“ไม่ต้องรีบ รอดูจำนวนคนที่พวกเขาเอามา ถ้าคนน้อยก็เชิญเข้ามา ถ้าคนเยอะละก็พวกเราทุกคนก็ต้องออกไปพบพวกเขาในขุนเขาข้างนอก ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรพวกเราคอยดูแล้วปรับเปลี่ยนกลยุทธตามก็พอ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”
“ขอรับ พวกเราทราบแล้ว”
ทุกคนพากันพยักหน้า ก็จริง การได้รับสาสน์สงครามครั้งนี้ไม่มีความจะเป็นอะไรที่จะต้องไปวางกับดัก วางกลอุบายเลย ถ้าพวกเขาจะมาเราก็แค่สู้ ไม่มีอะไรต้องคิดเยอะ
ในขณะนั้นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ทำการสื่อสารกับหยูเฮง หยูเฮงพูดด้วยความสมน้ำหน้า “คุณหนู ข้าไปวนรอบเมืองโลกทมิฬมาแล้ว พวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเราคิด จะสู้กับพวกเขาคงไม่ง่ายนัก”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่แปลกใจกับพฤติกรรมไปเพล่นพล่านที่อื่นของหยูเฮง ดีซะอีกจะได้รู้ข่าวคราวด้านนอกจากนางด้วย
อีกอย่างด้วยความสามารถของนาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่กลัวเลยที่นางจะถูกพบหรือเจอปัญหาอะไรเข้า เรียกได้ว่าในผืนดินนี้คนที่จะทำร้ายหยูเฮงได้มีน้อยมากจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงอะไรนาง
“เฮ่ะๆๆ” หยูเฮงหัวเราะเสียงพิลึก “คุณหนู มีเรื่องประหลาดใจสุดๆกำลังรอพวกเราอยู่ ต้องเป็นของดีแน่ๆ”
“พอแล้ว เลิกทำให้ข้าอยากรู้ได้แล้ว บอกมาเร็วๆเถอะว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่านางต้องไปรู้อะไรมา
“คุณหนู รออีกแปปท่านก็รู้แล้ว ถือว่าให้ท่านได้ประหลาดใจไง”
“ไม่ต้องมาพูดล้อเล่น ถ้ารู้ก็รีบบอกเผื่อจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น”
“ก็ได้ บอกก็บอก คุณหนู ข้าเพิ่งรู้ว่าผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบที่เมืองโลกทมิฬส่งไปก่อเรื่องปั่นป่วนในเมืองต่างๆเป็นแค่เศษเดนเท่านั้น ของดีน่ะพวกเขาเก็บไว้ทีหลัง เดี๋ยวท่านก็จะได้รู้ว่าของดีของพวกเขาน่ะเก่งขนาดไหน”
“เจ้าหมายความว่าพวกเขายังซ่อนพลังไว้อีกเยอะ” เมื่อได้ฟังข่าวนี้สีหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หน้าเล็กๆของหยูเฮงมีรอยยิ้มร้ายๆอยู่ พูดอย่างสมควรแล้ว “ยังต้องพูดอีกเหรอคุณหนู ท่านไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ พวกผีดิบที่บุกเข้าแต่ละเมืองเมื่อช่วงก่อนเป็นระดับธรรมดาทั้งนั้น คุณหนูอย่าบอกนะว่าท่านไม่รู้ว่าผีดิบแบ่งระดับ ข้าจำได้ว่าท่านรู้”
“ระดับ…”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวชะงักไป นึกย้อนกลับไปถึงข้อมูลที่ตัวเองได้รับรู้มา พยักหน้าพร้อมกล่าว “เจ้าพูดถูก ผีดิบแบ่งระดับจริงๆ เหมือนจะเป็นระดับธรรมดา ระดับเจ้าแห่งผีดิบอะไรเทือกๆนี้ใช่มั้ย ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากเหมือนกัน”
“ถูกต้องคุณหนู ท่านไม่รู้จริงๆ” หยูเฮงพูดอย่างตั้งใจ “เกิดมาจากความโกรธแค้นจากฟ้าดิน ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่ถูกทำลาย ถูกถอดทิ้งจากเส้นทางฟ้าดินมนุษย์ อยู่นอกกฏชีวีทั้ง 6 เตรดเตร่ไร้แหล่ง ถือแรงแค้นเป็นพลัง เลือดเนื้อเป็นอาหาร ใช้เลือดมนุษย์เพื่อระบายความเหงาอันไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ถูกกฎชีวีควบคุม มีวันเวลาอันยาวนานไม่มีจบ”
“ผีดิบสามารถเกิดขึ้นได้ในธรมมชาติโดยไม่ตั้งใจ พวกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี ที่เยอะที่สุดคือวิธีลับของผู้ฝึกตนวิถีมารที่เลี้ยงผีดิบขึ้นมาจากการทำให้ซากศพแข็งตัว พวกผีดิบที่ก่อเรื่องตามเมืองต่างๆเมื่อช่วงก่อนถือว่าเป็นผีดิบที่ไร้ความสามารถที่สุด กลัวแสงแดดแรงกล้า มันไม่มีความคิด ไม่มีอารมณ์ เป็นแค่ซากที่เดินได้ ทำได้แค่กระโดดไล่สิ่งมีชีวิต ดูดเลือดเพื่อมีชีวิตต่อ ไม่มีความสามารถอะไร ทำได้มากสุดก็แค่ยื่นมือไปบีบคอคนเพื่อดูดเลือด”
“ความสามารถพิเศษคือ ผีดิบเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกเหนือกฎชีวี เพราะฉะนั้นตาของพวกมันสามารถมองเห็นวิญญาณ ร่างวิญญาณ หรือแม้กระทั่งยมบาล ผีดิบทุกตัวมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกันไป ความสามารถพิเศษจะเปลี่ยนแปรงและแกร่งขึ้นเรื่อยๆตามระดับ”
“แน่นอนว่าพวกเขาจะเชื่อฟังและกลายเป็นทหารลี้ลับ ผีดิบชั้นต่ำจะมีนัยน์ตาสีดำ ที่จริงระดับของผีดิบแบ่งตามสีของนัยน์ตา สีตาเป็นสัญลักษณ์ที่เอาไว้แยกระดับของพวกผีดิบ สีที่แตกต่างกันก็คือระดับที่แตกต่างกัน แต่พวกผีดิบน่ะยิ่งรุ่นหลังก็ยิ่งอ่อนแอ”
“ผีดิบระดับต่ำสุดจะมีนัยน์ตาสีดำ แล้วยังผีดิบที่นัยน์ตาสีเทาด้วย พวกนี้จะอยู่ระดับสูงกว่าผีดิบนัยน์ตาดำ 1 ระดับ หลังจากนั้นก็เป็นผีดิบนัยน์ตาสีฟ้าหม่น ไม่กลัวแดด เหมาะจะเป็นทหารระดับล่าง ให้อยู่ใต้บัญชาของพวกผีดิบระดับสูง พลังของผีดิบพวกนี้เต็มที่ก็อยู่ในระดับนักรบหรือผู้ฝึกศิลปการต่อสู้”
“ระดับที่สูงกว่าผีดิบนัยน์ตาสีฟ้าหม่นก็คือผีดิบนัยน์ตาสีเหลือง มันสามารถรับการโจมตีจากสิ่งอื่นหรือการโจมตีเหนือธรรมชาติได้มาก พลังของพวกมันพอๆกับเทพยุทธ์ หลังจากนั้นก็คือผีดิบนัยน์ตาสีเงินและสีม่วง พลังของผีดิบ 2 ระดับนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าหากได้ดูดเลือดมนุษย์ละก็จะคลั่ง ไม่สามารถประเมินพลังได้ จะเรียกว่าร่างเล็กก็ได้ เทียบเท่ากับเทพยุทธ์และราชันย์เทพยุทธ์ของพวกเรา”
“ที่เก่งที่สุดยังมีสีแดงและสีทอง ผีดิบ 2 ระดับนี้เก่งที่สุด เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งผีดิบ สามารถรับโจมตีได้ทุกรูปแบบทั้งจากสิ่งอื่นหรือจากธรรมชาติ เป็นร่างชีวิตที่อยู่ร่วมระดับกับฟ้าดิน มีพลังทำลายล้างและความเร็วที่ไม่สามารถวัดได้ ผีดิบนัยน์ตาสีแดงทุกตัวมีพลังหยินอยู่ สามารถใช้เป็นท่าโจมตีได้ พลังของพวกมันเทียบเท่าระดับจักพรรดิ์เทพยุทธ์หรือก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์”
“ได้ข่าวว่ามีระดับกษัตริย์ผีดิบด้วย มันเป็นเหมือนเทพแห่งผีดิบ อยู่ระดับเดียวกับเทพเจ้าผู้สร้างจักรวาลนี้ขึ้น มีชีวิตที่ไม่มีวันจบ ไม่แก่ไม่ตาย คงความเยาว์วัยไว้ได้ตลอดไป แต่ว่าทุกระดับจะถูกสร้างโดยระดับที่เหนือกว่าตัวเอง ความแตกต่างระหว่างแต่ละระดับก็ราวฟ้ากับเหว ไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นการแบ่งระดับของผีดิบจึงเข้มงวดมาก และก็ไม่ง่าย ส่วนผีดิบระดับกษัตริย์แบบนี้ยากที่จะปรากฏขึ้น”
หยูเฮงบอกข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับผีดิบออกไปรวดเดียว ในที่สุดเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าใจ สุดท้ายแล้วผีดิบก็คงอยู่ตลอดกาลได้
แต่ว่าสิ่งที่นางสนใจที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่ระดับของผีดิบ จึงเปิดปากถามขึ้น “หยูเฮง เจ้าบอกความจริงมา ตอนนี้ในเมืองโลกทมิฬมีผีดิบระดับอะไรบ้าง แล้วก็พวกหุ่นเชิดด้วย”
“เอ่อ คุณหนู ร่างเดิมของผีดิบคือซากศพซึ่งก็ไม่มีอะไร หุ่นเชิดก็เหมือนกับพวกผีดิบนั่นแหละเข้าใจมั้ย”
“ก็ได้ ข้ารู้ว่าก็เป็นพวกบ้าๆที่ถูกควบคุมอยู่ทั้งนั้น ข้าไม่สนหรอกว่าจะเป็นหุ่นเชิดหรือเป็นผีดิบ เจ้าบอกเรื่องที่เจ้ารู้มาเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่เกิดอะไรที่ไม่คาดคิด”
“ได้ บอกท่านก็ได้ ข้าพบว่าผู้ฝึกตนวิถีมารที่อยู่ระดับราชันย์เทพยุทธ์จนถึงจักพรรดิ์เทพยุทธ์น่ะมีกันอย่างน้อยหลักหมื่น และพวกเขาก็เป็นตาแก่อายุหลายร้อยปีด้วย ไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆแน่ แล้วก็ผีดิบที่พูดถึงเมื่อกี้ ข้าพบว่ามีนัยน์ตาสีม่วงและสีแดงอย่างน้อย 5 หมื่นตัว ขอบ้าๆแบบนี้ยากจะสู้ด้วย ข้ากลัวว่าตาแก่ข้างนอกนั่นจะจัดการพวกนี้ไม่ได้”
“หยูเฮง ของพวกนี้เราใช้ไฟเผาได้มั้ย” แม้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะกังวลแต่ก็ไม่ถึงกับสติหลุด เรื่องพวกนี้นางก็คาดการณ์ไว้อยู่ก่อนแล้ว
หยูเฮงตอบกลับ “ได้น่ะมันก็ได้ ต้องดูว่าใช้ไฟอะไรเผา ข้าว่าอย่างน้อยๆก็ต้องใช้ไฟเจินเว่ยของระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์เท่านั้นถึงจะเผาพวกผีดิบระดับสูงนั่นได้”
“วางใจเถอะ เรามีวิชาสะกดอีก ถึงเวลาให้พวกสัตว์ศักสิทธิ์วางวิชาสะกดแล้วเราค่อยเผาพวกมัน”
“ใช่แล้วๆ…”
1 คน 1 ภูติคุยกันอยู่ โม่ซวนซุนเห็นคนข้างๆไม่ได้พูดอะไรเลยจึงถามขึ้น “เสี่ยวเสียว เป็นอะไรไป มีข้อเสนอแนะอะไรรึเปล่า”
“ข้า ไม่มี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตอบกลับเบาๆ หันไปมองทุกคน ใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อกี้หยูเฮงค้นพบปัญหาบางอย่างที่ทุกคนต้องระวังกันหน่อย ในเมืองโลกทมิฬนอกจากจะมีพวกตาแก่ไม่น้อยแล้ว ยังมีผีดิบระดับสูงด้วย สถานการณ์ก็คือ….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอกข้อมูลที่รู้มาจนหมด ให้ทุกคนพอรู้เท่าทันจะได้ไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน
เวลาเดินไปเรื่อยๆในขณะที่พวกเขาสนทนาขึ้น พริบตาเดียวก็ถึงเวลานัดหมาย
“พวกเขามาแล้ว….”
โม่ซวนซุนเลิกคิ้วเบาๆ “มากันไม่น้อยเลย ท่าทางพวกเราจะต้อนรับพวกเขาที่นี่ไม่ได้แล้ว ฉะนั้นทุกคนออกไปต้อนรับแขกพิเศษของเราข้างนอกกันเถอะ”
ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยตา คนที่อยู่ที่นี่ไม่มีใครธรรมดาทั้งนั้น ทุกคนปล่อยจิตออกไปก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ข้างนอกนั่นเป็นอย่างไร
ผู้ฝึกตนวิถีมารนับหมื่นปรากฏขึ้นเรียงราย สีดำทะมีนเป็นแถบ พลังมารคละคลุ้งไปทั่วราวกับเมฆครึ้ม ในสายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหมือนกันอีกาตัวใหญ่ ดูยังไงก็ทำให้ไม่สบายใจ
ทุกคนพยักหน้าและพากันลุกขึ้นไปด้านนอกตำบล
คนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนส่งมาในครั้งนี้มีประมาณ 1 หมื่นคนเท่านั้น และยังมีหลายสิบท่านที่บาดเจ็บด้วย จำนวนคนไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกมาหลายสิบลี้นอกตำบล ที่นี่เป็นพื้นที่ในเมืองโลกทมิฬแล้ว ทุกคนหยุดอยู่กลางอากาศ ไม่มีใครเข้าใกล้ ห่างกับฝ่ายตรงข้าม 10 กว่าเมตร
คนของทั้ง 2 ฝ่ายจึงมาเจอกันอย่างเป็นทางการที่นี่
“ทั้ง 2 ท่านคือคุณหนูตระกูลเฉิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนและคุณชายโม่แห่งวิหารสวรรค์รึเปล่า” ผู้เฒ่าคนหนึ่งมองไปยังชาย 1 หญิง 1 ที่พวกตาแก่โอบล้อมไว้อยู่ตรงกลาง
จะว่าไปไอนี่เหมือนรู้อยู่แล้วแต่แกล้งถาม แกล้งโง่ รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใครยังจะเอ่ยปากถาม
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปยังฝ่ายตรงข้าม
“ถูกต้อง พวกเราเอง อาวุโสผู้นี้คือ…”
TQF:บทที่ 518 คนชนะได้ตัดสินใจ ในที่สุดก็หาเจอ (1)
โม่ซวนซุนไม่รู้จักตาเฒ่าคนนี้จริงๆ ไม่ใช่รู้แต่แกล้งถาม
ส่วนผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่นยังพิจารณาโม่ซวนซุนและเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ยังดูหนุ่มสาวอยู่มาก ชื่อของพวกเขาเรียกได้ว่าดังก้องไปทั่วเมืองโลกทมิฬ
ตอนนี้ได้เห็นพวกเขาเป็นครั้งแรก ในสายตาพวกเขามีความตกใจ งุนงง ไม่เข้าใจ ดูถูก ดููหมิ่น ไม่ใส่ใจ อิจฉา สายตาเหล่านี้ได้เปิดโปงสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาไว้เปราะหนึ่ง
โดยเฉพาะผู้ฝึกตนวิถีมารที่ยังหนุ่มอยู่ เมื่อเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอดมีท่าทีเคลิบเคลิ้มไม่ได้ สายตาโลมเลียสอดส่องไปทั่วตัวนาง
โม่ซวนซุนรู้ตัวทันที หน้าหล่อเหลาของเขาเย็นยะเยือกลง สายตาครมกริบราวกับน้ำแข็งกวาดไปยังคนหนุ่มพวกนั้น ทำให้สีหน้าพวกเขาเปลี่ยนไปทันที รู้สึกถึงบรรยากาศดุดันที่ปะทะเข้ามา อดตัวสั่นขวัญผวาไม่ได้
คนอื่นกลับไม่ได้รู้สึกถึงเหตุการณ์นี้ เพราะว่าโม่ซวนซุนต้องการปะทะแค่ไม่กี่คนเท่านั้น เขาไม่ให้คนอื่นรู้ คนอื่นก็ย่อมไม่รู้
เฒ่าผีที่ยืนอยู่ตรงกลางหัวเราะเล็กน้อย สายตาของเขากวาดผ่านเจ้านิกายฉินและเจ้าเขาจี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จัก 2 คนนี้
เจ้านิกายฉินมองเขาตรงๆ ก่อนจะหันไปบอกคนข้างๆ “คุณชายโม่ เขาก็คือหัวหน้ากลุ่มเทียนยี กุ่ยจินไฉ คนบ้าๆที่รักเงินเท่าชีวิต”
เฒ่าผีไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจกับน้ำเสียงรังเกียจที่อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง ราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“ที่แท้ก็อาวุโสกุ่ยนี่เอง” เขาประสานมือเอ่ยเรียบๆ แม้โม่ซวนซุนจะไม่เคยพบเขามาก่อน แต่ว่าชื่อเสียงของเฒ่าผีกลุ่มเทียนยีเขาก็เคยได้ยินอยู่
เฒ่าผีไม่ได้ดูแคลนโม่ซวนซุนเพราะฐานะ ตรงกันข้าม สีหน้าเขาเหมือนคุยกับสหายตัวเอง “ในเมื่อคุณชายโม่และคุณหนูเฉิงมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไขแล้วใช่มั้ย”
“ถูกต้อง ต้องแก้ไขแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะทุกท่านส่งคนไปป่วนชีวิตของประชาชนในเมืองต่างๆ บางทีพวกเราก็คงไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องพบกัน”
โม่ซวนซุนพยักหน้าและเอ่ยต่อ “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ วันนี้มาตัดสินแพ้ชนะกันที่นี่เถอะ เฒ่าผีและหัวหน้ากลุ่มทุกท่านคิดว่าอย่างไร”
“ควรจะเป็นแบบนี้” เฒ่าผีพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่จำเป็นต้องยื้อต่อไป เชื่อว่าทุกท่านก็เข้าใจดีว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่รบราฆ่าฟันแบบนี้ ข้อเรียกร้องอย่างอื่นพวกเราจะยังไม่พูดถึง แค่อยากรุ้ว่าทุกท่านจะให้พวกเราไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน มีเงื่อนไขชีวิตอะไรบ้าง ถ้าหากพวกเราพอใจพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องมารบรากันอีกให้เป็นบาปเป็นกรรม คุณชายโม่ว่าถูกมั้ย”
ไม่รบอีก?
มันจะเป็นไปได้อย่างไร อิทธิพลของเมืองโลกทมิฬจำเป็นต้องถูกกำจัด ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้พวกเขาเข้าไปเด็ดขาด
ทุกคนต่างรู้ภารกิจตัวเองในครั้งนี้ สายตาเย็นยะเยือกทิ่มแทงไปที่อีกฝ่าย
สำหรับเรื่องนี้โม่ซวนซุนเองก็รู้ดี เขายิ้มเล็กน้อยพลางตอบ “ตอนนี้เมืองโลกทมิฬยังไม่สามารถโยกย้ายได้….”
“ถุยย….”
ชายร่างสูงใหญ่ราวเจดีย์เหล็กตะโกนลั่นขัดคำพูดของโม่ซวนซุนไว้ เขาชี้หน้าโม่ซวนซุนพลางตะโกน “ไอเด็กเวร แกตั้งใจมารนหาที่ตายใช่มั้ย ถ้าพวกเราไม่ได้ย้ายออกจากที่เฮงซวยนี้แล้วที่พวกเราสู้กันแทบตายนั่นทำไปเพื่ออะไรกัน”
ไม่ใช่แค่ชายเจดีย์เหล็กนี้ที่ไม่พอใจ ผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่นๆก็ไม่พอใจเช่นกัน มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขากลับไม่ยอมให้ตัวเองย้ายออก จะให้พวกเขายอมได้อย่างไร
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนวิถีมารด้านหลังจะไม่ยอมเลย แม้แต่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้น อย่างไรซะพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลยว่าพวกเขาจะเป็นตายร้ายดียังไง
เท่ากับว่าคนนับล้านของพวกเขาตายฟรี
“แม่มเอ๊ย พวกเขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา พวกเราไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว เอามันให้ตายเลย”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไหนว่าครั้งนี้พวกเขาจะให้ที่ใหม่เราไปอยู่ไม่ใช่หรือ”
“พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่ต่อเหรอ แล้วพี่น้องของพวกเราตายฟรีเนี่ยนะ”
“ตกลงนี่มันยังไงกันแน่ หรือว่าพวกเราถูกหลอก”
“ไหนว่าจะมาแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยของพวกเราไม่ใช่เหรอ หรือว่าไม่ใช่”
……
ผู้ฝึกตนวิถีมารระเบิดเหมือนเม็ดข้าวที่เพิ่งลงหม้อทันที พากันพูดเซ็งแซ่ สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้นี่นา
เทียบกับความแตกตื่นของพวกเขาแล้ว คนฝั่งนี้แต่ละคนอย่างกับดูละครอยู่ เห็นการแสดงของพวกเขาแล้วไม่มีท่าทีแปลกใจกันเลย
“เอาล่ะ ทุกคนเงียบหน่อย” เสียงของเฒ่าผีดังขึ้น กลบเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้ฝึกตนวิถีมารลง ทุกอย่างเงียบลงในไม่ช้า
สีหน้าเฒ่าผียังคงเย็นชา ราวกับไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดของโม่ซวนซุน สายตาของเขาจ้องอีกฝ่ายอยู่ตลอด “คุณชายโม่ สถานการณ์ของเมืองโลกทมิฬ ท่านไม่รู้รึ”
————————————-
TQF:บทที่ 519 คนชนะได้ตัดสินใจ ในที่สุดก็หาเจอ (2)
“รู้สิ รู้อยู่แล้ว” โม่ซวนซุนตอบอย่างไม่รีบร้อน
“อื้ม ในเมื่อคุณชายโม่รู้แล้ว แสดงว่าท่านจะมองดูชาวเมืองนับล้านของเราทั้งคนแก่และเด็กตายอยู่ที่นี่หรือ นี่หรือคือคนฝ่ายธรรมมะที่พวกท่านว่า ไม่สนใจกับชีวิตของพวกเราที่กำลังจะดับสลายไป”
เฒ่าผีมีสีหน้าเยาะเย้ย สายตาเบือนไปที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวผู้ยังไม่ได้เอ่ยคำใดๆออกมา “คุณหนูเฉิง ความเห็นของท่านล่ะ ได้ข่าวว่าคุณหนูเฉิงเป็นคนมีเมตตา โดยเฉพาะกับพวกชาวบ้าน หรือว่าคุณหนูเฉิงเองก็จะมองดูชาวเมืองที่นี่ดับสลายไปโดยไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
ได้ยินคำพูดคาดคั้นขนาดนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้โกรธกลับยิ้มออกมา ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มบางๆ “อาวุโสชมเกินไป ข้าน้อยไม่กล้ารับหรอก ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่าข้ามีเมตตาต่อชาวบ้านน่ะ ข้าน้อยก็แค่ทำไปด้วยความใจบุญเท่านั้นแหละ เพียงแต่คนของเมืองโลกทมิฬใน 1 ปีมานี้แฝงตัวเข้าไปในเมืองต่างๆ ฆ่าทำร้ายประชาชนไปนับบ้าน ไม่ทราบว่าอาวุโสจะว่ายังไงดี”
“ประชาชนที่ไร้ทางสู้พวกนี้ไม่ได้ไปหาเรื่องใครก่อน แต่พวกเขากลับต้องจบชีวิตลงเพราะพวกท่าน ไม่ทราบว่าทุกท่านจะว่ายังไงบ้างกับพวกเขา”
รอยยิ้มบนใบหน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ สายตามองไปที่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 อย่างทิ่มแทง หัวเราะเย็นๆ “ทำไมเหรอ พวกท่านฆ่าคนก่อคดีไปทั่ว ตอนนี้ยังจะมาเรียกร้องอะไรจากพวกเราอีก พวกเราไม่ดูแลพวกท่านเหรอ คนของพวกท่านตายฟรีเหรอ พวกท่านไม่รู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องตลกเหรอ”
เรื่องตลก!
คำๆนี้เหมือนตบหน้าพวกเขาชัดๆ
ตบจนหน้าของหัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 แดงช้ำไปหมด ยังไงพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่แลดูอ่อนเยาว์และหน้าตางดงามผู้นี้จะพูดได้ตรงและทิ่มแทงใจขนาดนี้
นางพูดไว้อย่างชัดเจน นางสามารถใจบุญกับพวกประชาชนได้ แต่กับผู้ฝึกตนวิถีมารที่รนหาที่ตายแล้วนางไม่มีความเมตตาให้แม้แต่นิด คนนับล้านไปบุกรุกบ้านเมืองคนอื่น ตายไปก็ตายฟรีน่ะแหละ ไม่มีทางได้รับการเห็นใจจากคนอื่น ได้รับแต่ความเกลียดเท่านั้นแหละ
ความผิดไม่ได้อยู่ที่พวกเขา ไม่มีเหตุผลอะไรจะมาตำหนิพวกเขา แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากพวกเขา
เปิดโปงความจริงออกมา ทำให้พวกเขาไม่มีคำใดๆจะพูด
เนิ่นนาน เฒ่าผีกระตุกมุมปาก พูดขึ้น “พูดไม่ได้หรอกว่าใครถูกใครผิด ไม่ว่ายังไงพวกเราก็แค่อยากมีชีวิตรอด สิ่งแวดล้อมของเมืองโลกทมิฬที่พวกเราอาศัยอยู่ก็แย่มากพอแล้ว แต่พวกเราก็อดทนอยู่มาหลายยุคหลายสมัย ครั้งนี้พวกเราไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ อีกไม่นานที่นี่ก็จะอยู่ไม่ได้แล้ว พวกเราก็แค่อยากหาที่ดีๆให้ย้ายออกไปก็เท่านั้น ดังนั้นพวกเราเองก็เสียไปหลายอย่างเหมือนกัน”
“เสียไปหลายอย่าง? พวกเจ้าทำตัวเองทั้งนั้น” เจ้านิกายฉินมองค้อนไปเบาๆ “กุ่ยจินไฉ อย่าคิดนะว่าพวกเราไม่รู้ พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ได้อย่างปกติสุขอย่างน้อยก็ 5 ปี ตอนนี้พวกเจ้ารีบสร้างเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่าคิดนะว่าพวกเราไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่”
“คิดอะไร พวกเราจะคิดอะไร พวกเราก็แค่อยากได้สถานที่ไว้อาศัยอยู่ ผิดตรงไหน” หัวหน้ากลุ่มกุ่ยเต้าตอบเสียงเข้ม
คำพูดของเขาทำให้ผู้เฒ่าหยิงโมโหขึ้นมาทันที เขาเบิกตาด้วยความโมโห “ข้าจะฆ่าคนชั่วๆอย่างพวกเจ้าให้หมดก็ไม่ผิดเหมือนกัน มีแต่คนชั่วๆทั้งนั้น อยู่บนโลกใบนี้ไปก็ขยะแขยงคนอื่นเปล่าๆ”
“เจ้า…”
“พอแล้ว เพื่อนเก่า…”
เฒ่าผีขมวดคิ้ว พูดกดความโกรธของหัวหน้ากลุ่มกุ่ยเต้าไว้ มองผู้เฒ่าหยิงอย่างระแวงก่อนจะหันไปคุยกับอีก 2 คนต่อ “คุณชายโม่ คุณหนูเฉิง ถ้าพวกเราไม่มีความหวัง เกรงว่าหลังจากนี้พวกเราก็จะไม่ยอมแพ้”
ไม่ยอมแพ้ก็หมายความว่าจะเข้าไปปั่นป่วนในเมืองทั้ง 4 ต่อ
เรื่องนี้ไม่ต้องพูดให้ชัดเจนคนอื่นก็เข้าใจความหมายของเขาได้
เพียงแต่คนทางนี้ที่ได้ฟังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนัก กลับทำให้เฒ่าผีรู้สึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็เริ่มคาดเดาในใจ
“ไม่ต้องพูดอะไรมาก อาวุโสกุ่ยพาคนมาถึงนี่คงไม่ได้มานั่งจิบชาคุยเล่นกับพวกเราหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้ผลลัพธ์ทำหน้าที่ของมันเองดีกว่า”
ตาที่หลุบต่ำลงของโม่ซวนซุนมีแววเยาะเย้ย ริมฝีปากได้รูปยกขึ้นนิดๆโดยไม่สนใจคำขู่ของอีกฝ่าย อยากจะรบรากันต่อให้เป็นเรื่องของวันหลัง ปัญหาตรงหน้ายังไม่ทันได้แก้จะไปสนใจเรื่องในอนาคตทำไม
สีหน้าของเฒ่าผีเริ่มแย่ในที่สุด ยังไงซะเขาก็คิดไม่ถึงว่าหนุ่มสาว 2 คนนี้จะต่อกรด้วยยากขนาดนี้ ราวกับหาจุดด้อยของอีกฝ่ายไม่ได้เลย มิน่าล่ะพวกตาแก่ถึงยอมรับ
พูดมาถึงตรงนี้ ทุกคนในที่นี้ก็รู้แล้วว่าศึกนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
ผู้ฝึกตนวิถีมารที่โอหังอยู่แล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป กู่ร้องขึ้นทันที “เฒ่าผี เราจะกลัวพวกเขาไปทำไมกัน รบก็รบ ฆ่าพวกเขาให้หมด”
“ที่นี่คือเมืองโลกทมิฬของพวกเรา ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา พวกเราไม่เห็นต้องกลัว”
“กลัวกับผีอะไร พวกเขาอยู่ที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะฆ่าพวกเขาไม่ได้”
“ฆ่าเลย ฆ่าพวกเขาให้หมด”
“นี่มันถิ่นของพวกเรา คนของพวกเขาน้อยกว่าด้วย ฆ่าพวกเขาเลย”
“คนของพวกเรามีเยอะกว่า ต้องรั้งพวกเขาไว้ที่นี่ได้แน่”
…..
เสียงกู่ร้องดังขึ้นทุกแบบ ฝ่ายตรงข้ามพร้อมจะรบทุกเมื่อ
สงคราม ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
——————————————-
TQF:บทที่ 520 คนชนะได้ตัดสินใจ ในที่สุดก็หาเจอ (3)
เห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของฝ่ายตรงข้ามเฒ่าผีก็เข้าใจได้ทันที
เขาโบกมือให้คนของตัวเองเงียบลงอีกครั้ง เขาถามขึ้น “ไม่รู้ว่าคุณชายโม่จะสู้กันแบบไหน ทุกคนเข้าสู้ด้วยกันหรือจะแบ่งให้สู้กันเป็นชุดๆไป”
“ในเมื่อจะให้คนที่ยืนอยู่เป็นผู้ตัดสินใจ งั้นตามความเห็นข้าเข้าพร้อมกันเลยทุกคนก็ได้” โม่ซวนซุนกล่าวเรียบๆ มีสีหม่นอยู่ในแววตาของเขา
ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อมากำจัดพลังที่เป็นแกนนำของผู้ฝึกตนวิถีมาร ตอนนี้ผู้ฝึกตนวิถีมารที่มาปรากฏตัวเรียกได้ว่าเป็นชุดสุดท้ายของเมืองโลกทมิฬ จะให้ปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร
คำตอบนี้เป็นไปตามความคาดหมายของหัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 และก็อยู่เหนือความคาดหมายด้วย พวกเขาปลดปล่อยพลังภายในของตัวเองทันที กลิ่นไอมุ่งร้ายทะยานสู่ฟ้า
มีแค่เฒ่าผีที่รู้สึกผิดปกติอยู่ลางๆ เขาไตร่ตรองอย่างตั้งใจก็ไม่พบอะไร
“อย่างไรซะก็ต้องรบ ถ้าอย่างนั้นเราเริ่มกันเลยตอนนี้ สาวกเอ๋ย ลงมือ…”
หัวหน้ากลุ่มเถียเสวี่ยหัวเราะเย็นๆ ดูแคลนพวกเขาอย่างแรง เขาก้าวออกมาด้วยพลังภายในที่แรงกล้า เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าดิน พุ่งตรงไปรวดเร็วปานสายฟ้า
ด้านหลังของเขาตามไปด้วยผู้ฝึกตนวิถีมารคนอื่น แต่ละคนมีความตื่นเต้นและความอาฆาตอยู่ในแววตา เห็นพวกผู้ฝึกฝนวิทยายุทธฝ่ายธรรมมะเป็นเหมือนเหยื่อให้ล่า
ฝ่ายตรงข้ามรุกมา ฝ่ายนี้ก็ไม่ยอมอยู่เฉยแน่นอน ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธนับสิบพุ่งออกไปโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่ง
ตู้มๆๆ….
รอยฝ่ามือถล่มลงมาด้วยเรี่ยวแรงสะท้านฟ้าพลิกแผ่นดิน บดบังแสงอาทิตย์ไว้อย่างน่าตกใจ และมีพลังลมปราณที่หนักหน่วงไร้ขอบเขตกระจายออกมาราวกับเขื่อนแตก ทำให้ฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่ว
ฟิ้วว…
ประกายเย็นวิบวับไปทั่ว เงาดาบเหมือนกำลังเริงระบำอยู่ ดาบต้องมนต์ปะทะเข้าด้วยกันทำให้เกิดประกายขึ้นมากมาย สภาพการรบของทั้ง 2 ฝ่ายค่อยๆรุนแรงและอันตรายขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งรุกทั้งรับ สู้กันชนิดยากจะแยกออกจากกัน ขอแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้านไว้ไม่ไหว อีกฝ่ายก็พร้อมจะสับให้เละเป็นชิ้นๆทุกเมื่อ จุดจบก็คือตัวตายวิชาหาย
ตู้มมม.. ทั้งผืนฟ้ามีพลังภายในสีขาวและสีดำอันยิ่งใหญ่ปกคลุมไปทั่ว บรรยากาศหนักหน่วงราวกับจะฉีกนภาให้ออกจากกัน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนไม่ได้ร่วมรบในทันที พวกเขายังคงสงบอยู่ ใจเย็นราวกับสงครามทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ภายในหุบเขาลึกลับในสักที่บนผืนดินฉางไห่ หญิงสาวชุดแดงคนหนึ่งเดินวนเวียนไม่หยุด คิ้วเรียวขมวดเป็นปมราวกับต้องการมั่นใจอะไรบางอย่าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดนางก็พบความผิดปกติ ใบหน้าเย็นชายิ้มออกในที่สุด กระซิบไปทางที่ๆหนึ่ง “ในที่สุดก็เจอแล้ว”
พูดจบนางก็หยิบกริชออกมาเล่มหนึ่ง เล็งเป้าแล้วตวัดไปเบาๆ อากาศมีรอยแยกเหมือนคลื่นน้ำราวกับถูกกรีดออก
นางไม่รอช้ารีบพุ่งเข้าไปทันที หายไปกลางผืนฟ้า
เมื่อนางปรากฏตัวอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ที่ผืนดินฉางไห่แล้ว นางยืนอยู่กลางอากาศ สายตาเย็นยะเยือกกวาดไปทั่วพื้นที่ ขมวดคิ้วเบาๆ “ในที่สุดก็ถึงที่นี่แล้ว แต่ที่นี่มันอะไรกัน พลังวิญญาณของที่นี่แย่ไปรึเปล่า แล้วยังกฎแห่งฟ้าดินนี่อีก แย่ถึงขั้นนี้ ใครกันที่สะกดเอาไว้ ที่แบบนี้ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธจะฝึกได้อย่างไร เกรงว่าแม้แต่จักพรรดิ์เทพยุทธ์ยังยากที่จะบรรลุเลย”
“ข้าจะสนเรื่องแบบนี้ไปทำไมกัน”
หญิงสาวชุดแดงส่ายหัวอีกครั้ง “ข้าควรจะรีบหาคนผู้นั้นให้เจอ ไม่ว่าที่นี่จะเป็นยังไง ขอแค่หาเขาให้พบก็พอแล้ว ต้องหาใครสักมาถามว่าวิหารสวรรค์อยู่ที่ไหน ถ้าเจอวิหารสวรรค์แล้ว จะหาลูกศิษย์คนนั้นก็คงง่ายขึ้นเยอะ”
เพิ่งพูดจบ หญิงสาวชุดแดงที่ต้องการถามใครสักคนก็ยกสายตาขึ้นพรวดมองไปเขตแดนไกลๆ นางสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณที่ดุเดือดก้าวร้าวพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เสียงตะโกนกู่ร้องอย่างโหดเหี้ยมน่าสยดสยองดังจนพสุธาสะเทือน
ผ่านไปสักพักสีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อยเหมือนว่าค้นพบอะไร กระโจนด้วยความเร็วราวดาวตก
ด้านนอกเมืองโลกทมิฬในขณะนี้
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ก้อนเมฆมืดมืดสนิท มีพายุที่พัดอย่างดุเดือด และพลังลมปราณที่น่าอึดอัดและสยดสยองราวกับฟ้าจะถล่มลงมา
ภายใต้ก้อนเมฆสีดำมีภูเขาทมิฬเคลื่อนไหวอยู่เนืองๆ ค่อยๆคลี่ออกบนพื้นดิน ร่างของแต่ละคนสลับกันเคลื่อนไหว สลับกันร่วงหล่น เคียงคู่กับเสียงโหยหวนจากทุกทิศ
อ๊ากก…
คอของผู้ฝึกฝนวิทยายุทธคนหนึ่งถูกผีดิบดุร้ายกัดเข้าอย่างจัง ร้องครวญครางออกมาอย่างน่าอนาถ
ทันใดนั้นเสียงก็เงียบไป ร่างของเขาถูกดูดเลือดออกจนหมดและแห้งไป หลังจากนั้นผีดิบก็หักคอเขาและถีบศพของเขาลงมากลางอากาศ
ภาพแบบนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ที่พื้นมีซากศพทุกชนิด เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนเข้าร่วมรบไปตั้งนานแล้ว เมื่อพวกเขาลงมือก็มีแสงสีเงินแผ่ออก ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบที่สัมผัสโดนต่างระเบิดตายจนไม่เหลือแม้ซาก
ฝนเลือดปลิวว่อนไปทั่วฟ้า ซากศพซากอวัยวะที่ขาดกระเด็นกระดอนไปทั่ว แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนวิถีมารหรือผีดิบก็ยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุด ต่อให้ต้องตายพวกเขาก็ไม่สนใจ
ย้ากกก….
โฮ่ววว…..
สัตว์ศักสิทธิ์นับแสนเข้าล้อมโจมตี ไม่รู้ว่าเผาทำลายผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบไปตั้งเท่าไหร่
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบก็น้อยลงเรื่อยๆ พวกเขาก็ยังไม่ได้เกรงกลัว แม้แต่หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็หายไปแล้วเกือบครึ่ง เหลือแค่ไม่กี่คนที่ยังพยายามต้านไว้อยู่
พวกเขาไม่มีกำลังเสริมอีกแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนวิถีมารไร้สำนักก็เข้าร่วมการรบหมด เรียกได้ว่าผู้ฝึกตนวิถีมารที่สู้ได้ก็ได้เข้าร่วมหมดแล้ว
แต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ศพด้านล่างเยอะขึ้นเรื่อยๆจนกองเป็นภูเขา เลือดไหลเป็นธาร
ขณะนี้ ทิศที่ไม่มีใครสนใจได้มีร่างแดงร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศ ตาคู่สวยจ้องมองไปยังสนามรบทางด้านล่าง
เมื่อสายตาของนางเบือนไปยังร่างขาว 2 ร่างก็มีแววตาตกใจ โดยเฉพาะเมื่อนางเห็นร่างสูงโปร่งงดงามและท่าทีสูงส่ง เรียบเฉยราวกับเทพเจ้าบนฟ้า และบารมีแห่งเจ้าที่คอยปกครองใต้หล้า
นางชะงักไปก่อนที่ใจของนางจะกระตุกอย่างแรง มองร่างนั้นอย่างเคลิ้มฝัน ปากแดงพึมพำขึ้น “คาถาใจอาทิตย์เลี่ยจวิน (ราชันแสงสุริยะ) นี่คือคาถาใจอาทิตน์เลี่ยจวินของวิหารสวรรค์ ใช่เขา ใช่เขาแน่ๆ ข้าจำได้ว่าสมุดของอาจารย์ปู่มีกล่าวถึงอยู่ ว่าจิตเทพสืบสานขั้นสูงสุดของวิหารสวรรค์มีคาถาใจที่ชื่อว่าอาทิตย์เลี่ยจวิน ไม่ผิด ไม่ผิดแน่ๆ…”
คนที่กำลังสู้รบกันอยู่ไม่มีใครรับรู้การมาของหญิงสาวชุดแดง
หลังจากที่ผู้ฝึกตนวิถีมารและผีดิบน้อยลงเรื่อยๆ หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ก็รู้ว่าพวกเขาแพ้แล้ว และแพ้อย่างราบคาบ ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ว่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธฝ่ายธรรมมะจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียว
มีแค่การตายเท่านั้น ถึงจะได้มาซึ่งที่อยู่อาศัยใหม่ให้ชาวเมืองโลกทมิฬ
เฒ่าผีรู้ ทุกคนก็รู้ เมื่อคนที่เหลืออยู่รอบข้างมีไม่ถึง 100 เฒ่าผีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร้องขึ้นด้วยตาแดงก่ำ “ฆ่าพวกเขา หวังว่าความทุ่มเทของพวกเราจะไม่เสียเปล่า”
ประโยคนี้เมื่อส่งไปถึงคนทั้ง 2 ฝ่ายก็สื่อความหมายออกมาได้โดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย เขาต้องการให้ผู้ฝึกตนวิถีมารเสียสละตัวเอง และก็หวังว่าคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไว้ชีวิตชาวเมืองที่อยู่ข้างหลัง
เมื่อพวกเขาเห็นสายตาจากฝ่ายตรงข้ามก็เข้าใจทันที ยังคงทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเพื่อศึกครั้งสุดท้าย “ฆ่าาา….”
TQF:บทที่ 521 ตอนจบถูกกำหนดแล้ว (1)
หากสวรรค์อยากให้ใครชีวาวาย ก็ย่อมให้เขาได้ผยองก่อน
อีกอย่างผู้ฝึกตนวิถีมารพวกนี้ตั้งใจที่จะตายอยู่แล้ว พวกเขาเข้าใจดีกว่าถ้าพวกเขายังเหลือความเป็นภัยคุกคามแม้แต่นิดเดียว คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็จะไม่ให้พวกเขาย้ายไปไหนได้โดยเด็ดขาด
ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาทำได้แค่สู้จนตัวตาย
สู่จนถึงท้ายสุด พวกตาแก่นับร้อยคนที่อยู่จุดสูงสุดของจักพรรดิ์เทพยุทธ์รวมพลังโจมตี
ตู้มมม….
พายุกระหน่ำใส่ทั่วทั้งมิติในพื้นที่นี้ ไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ตัว พลังหยวนแห่งฟ้าดินก็แปรปรวนอย่างหนัก ทุกคนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันน่าสยองขวัญ
พลังลมปราณอันแข็งแกร่งอยู่ห่างจากทุกคนไม่เกินพันเมตร ความถล่มทลายชนิดที่ไม่มีใครต้านทานได้ แม้แต่พวกผู้เฒ่ายังรู้สึกว่าอันตราย
“ทุกคนระวังตัวไว้ พวกเขาใช้วิชาลับเพิ่มพูนวิทยายุทธ สามารถเลื่อนได้หลายระดับในทันที อานุภาพของมันอย่างน้อยๆก็เทียบเท่าตอนกลางของระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ ทุกคนระวัง รีบถอยกลับมาเร็ว…”
เจ้านิกายฉินที่รู้เรื่องรีบส่งกระแสจิตบอกทุกคนและนำทุกคนถอยทัพ แม้แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและโม่ซวนซุนก็รู้สึกถึงอันตรายแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้จะอันตรายแต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมถอยกลับเข้ารับแทน ในเมื่ออีกฝ่ายยอมเอาชีวิตเข้าเดิมพัน ฝ่ายตัวเองจะถอยไม่ได้เด็ดขาด ต้องชนะให้ได้ และให้พวกเขาแพ้อย่างยอมจำนน
“คุณหนู คุณชาย….”
ผู้เฒ่าหยิงที่เดิมทีจะถอยเห็นร่างของพวกเขาที่เข้ารับตกใจจนตัวเย็น ตะโกนลั่นก่อนจะไล่ตามแผ่นหลังของทั้งคู่ไปสุดชีวิต
เห็นฉากนี้ เจ้านิกายฉินและเจ้าเขาจี้ก็ไม่ยอมถอยและไล่ตามขึ้นมา ไม่ใช่แค่พวกเขา ยังมีผู้เฒ่าคนอื่นๆอีก พวกเขาแค่ลังเลเพียงชั่วครู่เท่านั้นก็พากันตามขึ้นมา
“ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะของเฒ่าผีสะท้านไปทั่วปฐพี “ดี มาก็ดีแล้ว ทั้งชีวิตของข้ากุ่ยจินไฉฆ่าคนมานับไม่ถ้วน วันนี้จะได้พื้นที่ให้รุ่นหลังได้อยู่อาศัยกันอย่างสงบสุข ข้าก็ตายตาหลับแล้ว ฮ่าๆๆๆ….”
ตู้มมม…..
พายุโหมกระหน่ำ อากาศสั่นสะเทือนจนเหมือนจะแหลกสลาย พลังภายในอันแข็งแกร่งพัดพาเข้ามาจนผู้คนแทบจะยืนไม่อยู่
ขณะที่พุ่งไปด้วยกัน จู่ๆโม่ซวนซุนก็ชะงักและยื่นมือมากันคนข้างๆไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสี่ยวเสี่ยว เจ้าไม่ต้องลงมือหรอก ให้ข้าจัดการเอง”
“ไม่ได้” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการโจมตีนี้อันตรายและน่ากลัวขนาดไหน นางจะไม่ยอมให้เขาไปเผชิญคนเดียวเด็ดขาด
“เสี่ยวเสี่ยว…”
โม่ซวนซุนเริ่มร้อนใจ มีประกายสีขาวเปล่งออกจากตา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่สบตาเขาอยู่ไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้น ในหัวของนางก็ว่างเปล่าไม่สามารถนึกคิดหรือมีปฏิกิริยาอะไรได้อีก
วินาทีต่อมา โม่ซวนซุนสะบัดแขน และเฉิงเสี่ยวเสี่ยวถูกพลังภายในห่อหุ้มและเคลื่อนย้ายออกไปให้ไกลจากสนามรบ
ไม่มีอะไรให้ต้องพะว้าพะวงอีก แววตาของโม่ซวนซุนเป็นประกายราวกับมีดดาบ กลิ่นไออาฆาตออกจากตัวเขา ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังลั่นเสมือนฟ้าผ่าลงมา “มาจบเรื่องนี้กันเถอะ”
หลังจากนั้นก็มีพลังลมปราณแข็งแกร่งและเอาแต่ใจออกมาจากตัวเขา ราวกับดวงอาทิตย์ที่เป็นแสงสีทองสว่างไสวไร้ขอบเขต รวมกันเป็นมหาสมุทรสีทองมีคลื่นขึ้นลง ลอยอยู่เหนือสรรพสิ่ง
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า…..”
เสียงตะโกนกู่ร้องลั่นไปทั่วฟ้า ทั้ง 2 ฝ่ายทุ่มพลังภายในทั้งหมดที่มีเพื่อการโจมตีครั้งสุดท้าย
ปังปังปัง…..
นาทีนี้ท้องฟ้าทั้งผืนสั่นสะเทือน ราวกับมีภูเขายักษ์ 2 ลูกกระแทกใส่กันอย่างหนัก ฟ้าดินมลาย บรรยากาศน่าตื่นตกใจราวกับทุกอย่างพร้อมจะระเบิดออก
ด้านหลังของผู้ฝึกตนวิถีมารมีอภิมหาเทพฝ่ายมารสีดำที่เกรี้ยวกราดและพร้อมจะทำลายล้างกำลังร้องตะโกน ส่วนด้านหลังของโม่ซวนซุนเกิดร่างสมมุติมโหฬารที่ใส่องค์ทรงเครื่องกษัตริย์ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ภาพกลางอากาศนี้เหมือนภาพที่งดงามที่สุด ฝังลึกเข้าไปในหัวของทุกคน
แม้จะมองร่างสมมุตินี่ไม่ชัด แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดลางๆ โดยเฉพาะกับเทพฝ่ายมารสีดำที่ถูกสะกดพลังไว้ ไม่สามารถทำอะไรได้
เหมือนว่าร่างนี้คือผู้ตัดสินทุกอย่าง แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
ตู้มมม…..
ร่างสมมุติ 2 ร่างสู้อยู่ด้วยกันท่ามกลางก้อนเมฆสีดำและแสงไฟสีขาว ในขณะที่สู้กันอยู่ ฝนตกเป็นเลือด ร่างเลือดเนื้อและซากศพร่วงหล่นลงเหมือนหินลงไปพร้อมกัน
ฉากนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสตกใจจนตาแทบหลุดออกจากเบ้า แม้แต่หญิงสาวชุดแดงที่ไม่มีใครรับรู้ถึงการมาก็มีท่าทีตกใจ สายตาจ้องเขม็งไปที่โม่ซวนซุน
“ไม่ผิดแน่ ไม่ผิดแน่ๆ ร่างสมมุติของท่านอาทิตน์เลี่ยจวิน เขาฝึกฝนจนได้มาแล้ว”
หญิงสาวชุดแดงพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันตาคู่สวยของนางมีแววรักใคร่ปรากฏขึ้นโดยที่ตัวเองก็ไม่ทันรู้ตัว ราวกับนาทีนี้ในสายตาของนางเหลือเพียงเขาผู้เดียว
ไม่ใช่แค่นางที่เป็นแบบนี้ ในขณะเดียวกันในตาของอีกคนหนึ่งก็มองเห็นแต่ร่างที่ตัวเองคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยยังไงแล้ว ในแววตาของนางไม่มีความรักใคร่ แต่เป็นความโกรธและความเป็นห่วง คนๆนั้นก็คือเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ถูกโม่ซวนซุนกันออกมานั่นเอง
นางคิดไม่ถึงเลยว่าโม่ซวนซุนจะลงมือกับตัวเองไม่ให้นางเข้ารับการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ด้วย เขาไม่เพียงแต่ทำให้นางขยับตัวไม่ได้ แม้แต่หยูเฮงที่อยู่ในมิติก็ถูกควบคุมไว้เหมือนกัน ไม่สามารถออกมาช่วยได้
“คุณหนู คุณชายน่ะเป็นห่วงท่าน วางใจเถอะ คุณชายชนะได้แน่” หยูเฮงรู้ว่านางคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยปลอบ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอารมณ์ไม่ดี ตอบนางไปแค่ว่า “ขอให้เป็นแบบนั้น”
และในขณะนั้น เทพฝ่ายมารที่กำลังสู้อยู่ในอากาศมีท่าทีว่าพลังภายในเริ่มร่อยหรอลง แต่ร่างสมมุติของกษัตริย์ยังอยู่ในสภาพเต็มร้อย
————————————
TQF:บทที่ 522 ตอนจบถูกกำหนดแล้ว (2)
ตู้มม…
ทั้ง 2 ฝ่ายทุ่มเททั้งหมดแล้วโจมตีอีกครั้ง ผลกระทบออกไปไกลถึงหลายร้อยเมตร
หลังจากที่ท่านี้ผ่านพ้นไป เทพฝ่ายมารที่ท่าทางอ่อนแรงลงมีท่าทีคล้ายจะหล่นลงมา
“ฆ่าาา…”
เสียงเย็นยะเยือกและทรงพลังดังขึ้นอีกครั้ง โม่ซวนซุนตะโกนลั่นและโจมตีอีกครั้ง พลังภายในเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
ตู้ม….
พลังภายในกระทบกัน ไอดาบกระจายออกเป็นแผ่นใหญ่ดั่งมหาสมุทร เสียงดังสนั่นเสมือนทางช้างเผือกถล่มลงมา เทพฝ่ายมารถูกโจมตีหนักเข้าอีกครั้ง กระเด็นไป 10 กว่าเมตร ร่างเบาบางขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นพื้นดินระเบิดออก และร่างดำค่อยๆจางหายไปในปฐพี
ซากศพกองกันเป็นภูเขา ฝนตกเป็นเลือดหนักจนหมอกขึ้น ภาพนี้ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นอึ้งไป
ในนาทีนั้นโม่ซวนซุนที่เบาใจลงในที่สุดหันหลังกลับมา นัยน์ตาสีนิลของเขามีประกายอย่างอื่นอยู่ ริมฝีปากบางเกิดเส้นโค้งสวยงามเตรียมจะเดินไปหานาง
ฟิ้วว…
มีร่างสีแดงร่างหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่รู้ ไม่ทันที่โม่ซวนซุนจะทันตั้งตัว ถูกอีกฝ่ายใช้นิ้วชี้และถูกฟองอากาศห่อหุ้มไว้ด้านในทันที
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่เพิ่งได้อิสระในการขยับร่างกายขึ้นมาชะงักไป มองร่างสีแดงร่างนั้นด้วยความมึนงง
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี้ก็เอ๋อกันไปเช่นกัน มองหญิงสาวแปลกหน้าที่อยู่ๆก็มาปรากฏตัวด้วยความงุนงง
หญิงสาวผู้นี้มีคิ้วเรียวบางเหมือนใบหลิว ตาหวานดั่งดอกท้อ ผิวขาวราวหิมะ จมูกเล็กๆเชิดขึ้น ปากแดงฟันขาว เส้นผมพลิ้วไหวไปตามลมอย่างสวยงามราวกับก้านหลิว
นางเปรียบเสมือนดอกหมู่ตันที่เบานสะพรั่ง สวยงามเหนือความคาวโลกีย์ นางยืนอยู่นิ่งๆด้วยสายตาเย็นชา นัยน์ตาคู่ดำเป็นประกายราวกับบ่อน้ำที่ลึกเกินจะหยั่ง
ไม่นานกว่าทุกคนจะรู้ตัวว่าหญิงสาวคนนี้ควบคุมโม่ซวนซุนไว้
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหายตัวไปปรากฏต่อหน้านางทันที สายตามองไปยังคนที่อยู่ในฟองอากาศ เห็นสายตาร้อนรนของเขาแล้วปวดใจแปลกๆ
สะกดอารมณ์ไว้ก่อน สายตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเบือนไปทางหญิงสาวอีกครั้ง และสบเข้ากับนัยน์ตาลึกล้ำของนาง “เขาเป็นสามีของข้า ปล่อยเขาไป”
“เขาจะไม่เป็นของเจ้า เพราะเจ้าไม่คู่ควร” สายตาของนางวางท่าไว้อย่างผู้สูงส่ง เสียงอันเย็นชาสะท้อนก้องไปทั้งฟ้าดิน
“ทำไม” มีความเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในตาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว นางรู้สึกฉุนอยู่ในใจอีกครั้ง
เหล่าผู้อาวุโสก็ตามมาปรากฏตัวที่ข้างหลังนาง พวกเขาแต่ละคนมองหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ด้วยความระวังตัว แอบตั้งท่ากันเอาไว้
“พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นข้าไม่คิดมากหรอกนะที่จะฆ่าพวกเจ้าทิ้งให้หมด” หญิงสาวชุดแดงกวาดตามองพวกเขาอย่างเย็นชา เอ่ยด้วยความไม่ใส่ใจ
คนตรงหน้าพวกนี้ที่ระดับสูงที่สุดก็แค่ก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์เท่านั้น นางไม่เห็นคนต้อยต่ำเหล่านี้อยู่ในสายตาหรอก แค่นิ้วเดียวก็ถล่มพวกเขาได้แล้ว
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสเปลี่ยนแปลงไปทันที พวกเขากำลังจะพูดอะไร แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวโบกมือเบาๆเป็นอันไม่ให้พวกเขาพูดอะไร เพราะนางรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
คนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหรี่ตาลง สายตาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าพายุหิมะ ตอบกลับอย่างวางท่า “ข้าจะคู่ควรหรือไม่เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน เขาเป็นสามีของข้า ใครก็เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ไม่ได้”
“คุณหนู จะมัวมาคุยไร้สาระกับนางทำไม ช่วยคุณชายออกมาก่อน”
เสียงของหยูเฮงดังขึ้น ร่างเล็กๆของนางก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน เถาวัลย์สีเขียวฟาดลงไปที่ฟองอากาศของโม่ซวนซุน แต่กลับเจอกับการป้องกันที่มองไม่เห็น ไม่สามารถฉีกฟองอากาศออกได้ตามที่คิด
หญิงสาวชุดแดงมีแววตาประหลาดใจเมื่อเห็นหยูเฮง แต่กับการกระทำของหยูเฮงนางไม่ได้ลงมือห้าม กลับมีท่าทีเยาะเย้ย นางโบกมือเบาๆก็มีพลังเซียนทะลักพุ่งออกไปใส่หยูเฮง พลังนั้นกว้างใหญ่และถี่ยิบไม่มีช่องว่าง หยูเฮงไม่มีแม้โอกาสที่จะโต้กลับ
ขณะเดียวกัน หยูเฮงที่ผยองอยู่ตลอดอดตกใจไม่ได้ พลังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ทำให้นางไม่กล้าที่จะฝืนปะทะ ราวกับการรวมพลังของยอดฝีมือนับไม่ถ้วนแล้วกลายเป็นแรงอาฆาตที่พุ่งตรงมาที่นาง
ถ้าโดนเข้าจริงๆอย่าว่าแต่ระดับพลังของนางตอนนี้เลย ต่อให้มีพลังต่อสู้มากขึ้นกว่านี้อีกโขก็อยากจะต้านไว้ได้
“หยูเฮง…”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวตกใจมาก นางเห็นหยูเฮงกระเด็นไปกลางอากาศจึงรีบกระโดดเข้ารับนางไว้
“หยูเฮง…” อุ้มเจ้าตัวเล็กไว้ หยูเฮงตัวซีดเผือก ลมหายใจก็เบาบาง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ทั้งตกใจและโมโหรีบส่งนางเข้ามิติทันที
เมื่อกลับเข้ามิติ เดิมที่นางอยากจะเชิญอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ออกมา แต่ก็ยกเลิกความคิดนี้ไป เพราะนางรู้สึกว่าต่อให้อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ออกโรงเองก็คงไม่มีประโยชน์มากนัก
ออกโรงไม่ได้ ก็ได้แต่ขอร้องให้อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ดูแลหยูเฮงในมิติ
ส่งหยูเฮงกลับไปเสร็จ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหน้าเขียวด้วยความโกรธ ความพยาบาทเพิ่มพูนเสมือนน้ำขึ้น นางไม่พูดพร่ำทำเพลง ฟาดออกไปฝ่ามือนึงเบาๆ เกิดแสงสีเงินเป็นประกายจ้าขึ้นจนยากจะลืมตา
——————————–
TQF:บทที่ 523 ตอนจบถูกกำหนดแล้ว (3)
ตู้มม…
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกแรงเบาๆ ฝ่ามือที่สว่างวาบไปด้วยแสงสีเงินพุ่งออกไปข้างหน้า ราวกับแสงมยูขผสมผสานไปกับเพลิงไฟ สว่างและร้อนแรง บดบังข้างหน้าจนหมด
หญิงสาวชุดแดงยิ้มเย็นๆ ไม่ได้ใส่ใจกับการโจมตีของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว นางโบกมือเบากๆก็มีกำปั้นแสงสีม่วงพุ่งออกไปแสงแล้วแสงเล่า ราวกับสายฟ้าเริงระบำ แต่แฝงไว้ด้วยเจตนาฆ่า ท่วมท้นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจนมิด
“คุณหนู….”
“คุณหนู….”
“คุณหนู….”
เหล่าผู้อาวุโสตาแดงก่ำ ตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น พวกเขาลงมือพร้อมกัน พลังภายในแข็งแกร่งและหนาแน่นพุ่งไปหาหญิงสาวชุดแดง
“พวกฝูงมดไม่รู้จักประเมินตัวเอง” หญิงสาวชุดแดงลงมืออีกครั้ง ครั้งนี้เป้าหมายคือเหล่าผู้อาวุโส แสงสีทองรวมตัวกันในอากาศ เกี่ยวกันเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ราวสายฟ้าฟาดไปที่พวกเขา
“อ๊ากกก….”
เหล่าผู้อาวุโสโดนเข้า มีแววตาสิ้นหวังขึ้นในตา แต่ละคนร้องโหยหวนกระเด็นไปไกลนับ 10 เมตรอย่างกับว่าวที่ขาดออกจากด้าย
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่พร้อมจะช่วยใคร หน้าของนางซีดเผือก มีเหงื่อมากมายบนหัว นางยืนอยู่ตรงหน้าหญิงสาวชุดแดงอีกครั้ง ไม่มีความเกรงกลัวในแววตา มองอีกฝ่ายอย่างดื้อรั้น นิ่งอยู่อย่างนั้นท่ามกลางฟ้าดิน ไม่มีอะไรโยกย้ายนางได้ในตอนนี้ “คืนสามีข้ามา”
“บังอาจ….” พลังลมปราณไร้ขอบเขตของหญิงสาวชุดแดงระเบิดออกรอบตัวนาง ความกดดันยักษ์ใหญ่พุ่งใส่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอีกครั้ง
ทันใดนั้น เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกเหมือนฟ้าดินกลับตาลปัตร ความกดดันมากมายที่ไม่น่าเชื่อถล่มเข้ามาจากทุกทิศทาง ชั้นทับชั้น ไม่มีที่สิ้นสุด จนแทบจะหายใจไม่ออก และเหมือนจะกดให้ร่างแหลก
กดขี่ นี่มันการกดขี่ชัดๆ
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งจะค้นพบว่าความต่างของพลังภายในและพลังเซียนมันมากมายขนาดนั้น โดยเฉพาะพลังเซียนของอีกฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์อีกหลายเท่า เปรียบเสมือนมีภูเขายักษ์นับพันนับหมื่นลูกถล่มลงมาทำให้กระดิกตัวไม่ได้”
“เจ้า จะ เอา ยัง ไง” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวขบกรามแน่น จ้อนางเขม็ง ไม่ได้ร้องขอความเมตตาจากนาง
“เฮอะ..”
หญิงสาวสุดแดงสบถเสียงเย็น ยิ่งเห็นผู้หญิงตรงหน้านางก็ยิ่งไม่ถูกชะตา โดยเฉพาะเมื่อได้ยินนางเอ่ยคำว่าสามีออกมา ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเลยจริงๆ
เมื่อนางไม่พอใจ ก็ย่อมทำให้อีกฝ่ายอยู่ไม่เป็นสุข อยากจะถล่มนางให้ราบคาบ พลังลมปราณในร่างยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ความกดดันบนตัวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียงกระดูกสันหลังนางส่งเสียง แป๊ะๆ งอลงไปทีละข้อจนแทบจะหมอบลงที่พื้น ความรู้สึกแทบจะกระอักเลือดออกมา
เหล่าผู้อาวุโสที่บาดเจ็บเมื่อเห็นฉากนี้แต่ละคนมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
พวกเขาเข้าใจดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหญิงสาวชุดแดงคนนี้ ต่อให้รวมพลังกันโจมตีก็ไม่สามารถทำอะไรนางได้แม้แต่นิดเดียว
โม่ซวนซุนที่ถูกขังอยู่ในฟองอากาศทั้งร้อนใจทั้งโมโห โดยเฉพาะเมื่อเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวถูกพลังกดจนสั่นไปทั้งตัว แต่ฝืนกัดฟันแน่น เขาทั้งโกรธทั้งปวดใจ
“ยอมแพ้ซะ ไม่อย่างนั้น….”
เสียงเย็นยะเยือกปานน้ำแข็งลอยมา หญิงสาวชุดแดงต้องการได้ยินคำว่ายอมแพ้จากปากเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
ไม่รู้ว่าทำไม แต่นางอยากได้ยินอีกฝ่ายยอมแพ้ ส่วนจะเป็นเพราะอะไรนั้นนางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“เจ้า อย่า หวัง…..”
สายตาเฉิงเสี่ยวเสี่ยวชวนกดดันให้หนาว นัยน์ตาที่หม่นหมองในตอนแรกจู่ๆก็มีประกายทิ่มแทงขึ้นมา
หญิงสาวชุดแดงนัยน์ตายิ่งเย็นขึ้น ความกดดันที่มองไม่เห็นนั้นเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่า แทบจะทำให้วิญญาณของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวแหลกสลาย
“เจ้าไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลา ข้าจะพาเขาไป”
“เจ้าคงไม่ใช่คนของผืนดินนี้สินะ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทำไมต้องลักพาตัวสามีข้าด้วย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามหน้าตึง มองไปยังผู้หญิงสุดผยองตรงหน้า
ใบหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกระตุกด้วยความเจ็บปวด แต่แววตาของนางกลับเป็นประกายมากยิ่งขึ้น
ไม่ยอมแพ้ นางจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ผู้ชายของตัวเองก็ต้องเป็นของตัวเองตลอดไป จะยกให้ใครไม่ได้เด็ดขาด
แล้วก็ต้องแก้แค้นให้หยูเฮงด้วย
หัวของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่เหงื่อไหลเป็นทางก้มลง ข้อกระดูกถูกกดให้งอลงไปเรื่อยๆ ในใจของนางแค้นเคือง ยังไงนางก็จะไม่ยอมแพ้ ดั่งเช่นต้นสนแข็งแรงบนหินผาที่ไม่โอนอ่อนแม้ลมจะพัดแรงแค่ไหน
“อืมม…”
ไม่รู้ทำไม ยิ่งหญิงสาวชุดแดงเห็นท่าทางไม่ยอมแพ้ของนางก็ยิ่งรู้สึกเกลียด พูดเย็นๆ “ไม่รู้ตัวจริงๆ เฮอะ เห็นว่าเจ้ายังมีความสามารถอยู่บ้าง ข้าขี้เกียจจะลงมือเอง ไว้ชีวิตต่ำต้อยของเจ้าก็แล้วกัน”
พูดจบ หญิงสาวชุดแดงก็โบกมือเรียกฟองอากาศที่ห่อหุ้มโม่ซวนซุนเข้ามาและหายตัวไปพร้อมกัน โดยไม่มองใครอีก
“ปล่อยเขานะ….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวโกรธมาก พุ่งไปหาอีกฝ่ายด้วยแรงทั้งหมดที่มี
แต่ร่างของอีกฝ่ายก็หายไปกลางอากาศในพริบตาเดียวราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“ซวนซุน….”
เสียงกรีดร้องด้วยความโศกเศร้าดังสะท้อนไปทั่วฟ้า ความเจ็บปวดในใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีมากเกินจนนางกระอักเลือดออกมา หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดลง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวร่วงลงมาจากอากาศ
“คุณหนู…”
ผู้เฒ่าหยิงที่บาดเจ็บหนักกระโจนตัวขึ้นรับนางไว้โดยไม่ห่วงบาดแผลของตัวเอง
เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นก็ไม่กล้าชะล่าใจ พากันพุ่งเข้าไป พวกเขาทั้งตกใจและงุนงง เอ่ยถามกันขึ้น
“ผู้เฒ่าหยิง คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน ทำไมนางต้องจับคุณชายโม่ไปด้วย”
“คุณหนูเป็นอะไรมากรึเปล่า ผู้หญิงชุดแดงคนนั้นใช่คนของเมืองโลกทมิฬมั้ย”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
……
“พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ผู้เฒ่าหยิงจับชีพจรดู ขัดคำถามของเหล่าผู้อาวุโสลง เขาพยายามจะใจเย็นลงแม้จะเป็นห่วงและร้อนใจ “ตาเฒ่าฉิน ตาเฒ่าจี้ ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของพวกเจ้า ทุกคนอยู่ที่นี่และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าจะรีบนำคุณหนูกลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน”
“ได้ ไม่มีปัญหา”
“พวกเราจะจัดการให้เรียบร้อย”
ทั้ง 2 ผู้เฒ่าตอบพร้อมกัน พวกเขารู้ว่าเกิดเรื่องที่ไม่ธรรมดาขึ้นอีกแล้ว ปัญหานี้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องรีบกลับไปจัดการที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน
ผู้เฒ่าหยิงไม่ได้สนใจใครอีก เขาหยิบยาเม็ดออกมาใส่ในปาก แล้วจึงอุ้มเฉิงเสี่ยวเสี่ยวทะยานออกไป
เมื่อผู้เฒ่าหยิงลับตาไป เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากัน แล้วหันไปมองยังซากศพที่กองกันเหมือนทะเลภูเขา ก่อนจะมองไปยังเมืองโลกทมิฬที่อยู่ด้านหน้า แล้วหันกลับมามองกันเองอีกครั้ง
ปัญหานี้ต้องจัดการนะ
จากเมืองโลกทมิฬไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนถ้าขี้ม้าไปก็ต้องใช้เวลา 2 เดือนอย่างเร็วที่สุด ถ้าขี่สัตว์อสูรหรือสัตว์ศักสิทธิ์ก็ต้องใช้เวลาวันครึ่งหรือ 2 วัน
ส่วนจะใช้พลังภายในทะยานไปในอากาศหรือเคลื่อนย้ายด้วยความไวก็ต้องใช้เวลาครึ่งวันอย่างเร็วที่สุด
ตอนที่ผู้เฒ่าหยิงถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนก็ปาเข้าไปกว่าวันครึ่งแล้ว เมื่อเขาปรากฏตัว ทุกคนตกใจกันมาก
——————————————–
TQF:บทที่ 524 ปวดร้าวเกินทน ความหวังยังมีอยู่ (1)
“เกิดอะไรขึ้น เสี่ยวเสี่ยวเป็นอะไร”
“ผู้เฒ่าหยิง เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสี่ยวเสี่ยวเป็นแบบนี้”
“คุณหนูบาดเจ็บหนักเลยเหรอ เกิดอะไรขึ้น”
ทุกคนรุมถามคนที่เพิ่งกลับมา เฉิงไป๋หยวนที่ได้ยินข่าวพุ่งออกมาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปมากเมื่อเห็นผู้เฒ่าหยิงที่บาดเจ็บหนักและลูกสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย”
“เร็วเข้า รีบเอาเสี่ยวเสี่ยวไปตำหนักเถาวัลย์หยกเร็ว….”
เขาไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่สั่งให้ส่งลูกสาวกลับห้อง คนอื่นๆก็รีบตามมา ตอนนี้ห้องนอนของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวมีคนอยู่เต็มไปหมด
ฮูหยินเฒ่าฟางซูหยุนเฝ้าอยู่ข้างเตียงเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ขมวดคิ้วมองหลานสาวที่หน้าขาวซีดดั่งหิมะ ตั้งใจจับชีพจรเพื่อตรวจดูสภาพร่างกายของนาง
ผ่านไปพักใหญ่ ฟางซูหยุนถึงได้วางข้อมือนางลงท่ามกลางสายตาของทุกคน ลั่วหยูฉินถามอย่างร้อนรน “ท่านแม่ เสี่ยวเสี่ยวเป็นไงบ้าง นางจะไม่เป็นไรใช่มั้ย”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เป็นอะไรมาก” ฟางซูหยุนพยักหน้าเบาๆ ยังมีความกังวลอยู่ในแววตา
ลั่วหยูฉินไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติของแม่ยาย ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วๆ”
“ท่านแม่ ทำไมเสี่ยวเสี่ยวถึงไม่ฟื้นสักที” เฉิงไป๋หยวนยังกังวลอยู่
หรงจิ้งซือฮูหยินกงและกงซีหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ว่าพวกนางเองก็มีข้อสงสัยอยู่
ฟางซูหยุนลุกขึ้นมองทุกคนพลางกล่าว “พวกเราออกไปคุยกัน ให้เสี่ยวเสี่ยวได้พักผ่อนสงบๆ”
“ขอรับ ท่านแม่”
ฟางซูหยุนนำทุกคนออกมา ยกเว้นกงซีหยวนที่ขออยู่ดูแลนาง
ห้องรับแขกเล็กๆในตำหนักเถาวัลย์หยกมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด นอกจากโม่อู๋เซอ เหล่าผู้อาวุโสก็ยังอยู่เฝ้า ผู้เฒ่าหยิงก็ไม่ได้ไปพัก ท่าทางเขาอ่อนล้าและสีหน้าหม่นหมอง ท่องคาถาฟื้นฟูตัวเองอยู่เงียบๆ
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ๆ
ทุกคนหันไปมองด้วยสีหน้าหนักใจฮูหยินเฉิงพาทุกคนเข้ามาสู่สายตาของทุกคน
ฟางซูหยุนไม่ได้สนใจใคร สายตาของนางมองไปที่ผู้เฒ่าหยิง ผู้เฒ่าหยิงที่ตอนแรกหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้น มีประกายวูบวาบขึ้นในตา
ท่าทางในช่วงเวลาอันสั้นนี้เขาฟื้นฟูพลังภายในได้บ้างแล้ว
“ผู้เฒ่าหยิง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฟางซูหยุนถามเสียงนุ่ม
เฉิงไป๋หยวนเดินไปขอบคุณด้วยความตื้นตัน “ผู้เฒ่าหยิง ขอบคุณเจ้ามากนะ” ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเป็นเขาที่ช่วยลูกสาวไว้แน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่รีบพาลูกสาวกลับมาด้วยพลังทั้งหมด
ตอนที่เขามาถึงน่ะ พลังภายในถูกใช้ไปหมดแล้ว ที่จริงมันถูกใช้หมดไปนานแล้ว แต่เขาใช้ยาเม็ดฝืนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถกลับมาถึงนี่ได้
ถ้าหากใช้พลังภายในมากเกินไป แล้วยังใช้ยาเม็ดเพื่อบีบเอาพลังภายในออกมาจะทำลายรากฐานวิชา คนทั่วไปไม่ทำแบบนี้แน่
เพราะฉะนั้น เฉิงไป๋หยวนขอบคุณเขาจริงๆที่ยอมเสี่ยงชีวิตช่วยลูกสาวตัวเอง
“ท่านเจ้าบ้านฮูหยินฟาง กระดูกแก่ๆของข้ายังทนไหวอยู่ คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เฒ่าหยิงถาม
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
พยักหน้าเบาๆ ฟางซูหยุนและทุกคนนั่งลง ทุกคนที่อยู่ที่นี่คือคนที่ไม่ได้ไปเมืองโลกทมิฬ ตอนนี้ทุกคนอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ฟางซูหยุนถามทันที “ผู้เฒ่าหยิง นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ฮูหยินฟาง ท่านเจ้าบ้าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ หลังจากที่พวกเราถึงเมืองโลกทมิฬก่อน หัวหน้ากลุ่มทั้ง 10 ปฏิเสธที่จะออกรบ จนกระทั่งคุณหนูและคุณชายมาถึง…”
ผู้เฒ่าหยิงเล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนอึ้งกันไปหมด ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขี้น
โดยเฉพาะฟางซูหยุนนี่ตกอยู่ในห้วงความคิด สายตาของทุกคนต่างมองไปที่นาง
ใครๆก็รู้ว่าฮูหยินฟางไม่ได้อายุเยอะนัก แต่เรื่องที่นางรู้มีมากกว่าใครๆ ถ้าอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ไม่อยู่ ทุกคนเคยชินที่จะฟังความเห็นจากนางแทน
โดยเฉพาะคนที่รู้ว่านางเป็นคนจากผืนดินฉางไห่ ย่อมรู้ว่ามีแค่นางเท่านั้นที่เดาออกว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
และก็จริง ฟางซูหยุนเงยหน้าขึ้นมา สายตากวาดผ่านทุกคนไป “ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ ผู้หญิงที่ลักพาตัวซวนซุนไปเป็นคนจากผืนดินอื่น ส่วนจะเป็นผืนดินไหนนั้นค่อนข้างพูดยาก”
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่า?” เฉิงไป๋หยวนถามเสียงขรึม
ลั่วหยูฉินก็อดถามไม่ได้ “ท่านแม่ พวกเราจะหาซวนซุนเจอได้อย่างไร”
“ฮูหยินฟาง ท่านหมายความว่านอกจากผืนดินของพวกเราแล้ว ยังมีผืนดินอื่นอีกหรือ” โม่อู๋เซอสีหน้าเคร่งเครียด แววตาเป็นกังวลอย่างปิดไม่มิด
หรงจิ้งซือน้ำตาคลอเบ้า เสียงเริ่มสะอื้น “ฮูหยินฟาง ขอร้องล่ะ ท่านช่วยคิดหาวิธีให้หน่อยได้มั้ย ข้าต้องหาซุนเอ๋อพบให้ได้”
โม่อู๋เซอและหรงจิ้งซือไม่มีลูกชาย พวกเขาเลี้ยงโม่ซวนซุนมาตั้งแต่เด็กจนโต เห็นเขาเหมือนลูกแท้ๆ ตอนนี้โม่ซวนซุนหายตัวไป คนที่เป็นอาจารย์หญิงอย่างนางก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบจะบ้าตายเหมือนกัน
————————————
TQF:บทที่ 525 ปวดร้าวเกินทน ความหวังยังมีอยู่ (2)
“ฮูหยิน ใจเย็นก่อน” โม่อู๋เซอลูบมือนางเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่า
เห็นใบหน้าโศกเศร้าของพวกเขาสามีภรรยา คนอื่นๆก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน ฟางซูหยุนถอนหายใจ “ถ้าหากพวกเรารู้ว่าซวนซุนไปอยู่ที่ผืนดินไหน การจะพาเขากลับมายังพอมีหวัง เพียงแต่เท่าที่ข้ารู้ นอกจากผืนดินฉางไห่แล้วยังมีผืนดินเล็กๆอีก 3 ผืนดิน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ค่อนข้างยาก”
“ไม่เยอะ ไม่เยอะจริงๆ” หรงจิ้งซือเช็ดน้ำตาออก “แค่ 3-4 ผืนดินเอง ขอแค่พวกเรายอมหา จะต้องหาซวนซุนเจอแน่”
“….” ฟางซูหยุนยิ้มเฝื่อนๆ ถอนหายใจเบาๆและไม่ได้พูดอะไรต่อ
โม่อู๋เซอที่เห็นท่าทีของนางใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถามขึ้น “ฮูหยินฟาง พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะเจอผู้หญิงชุดแดงคนนั้น”
“ยาก นี่แหละคือสิ่งที่ลำบากที่สุด เจ้าต้องเข้าใจว่านางมีความสามารถในการทะลุมิติ แต่สำหรับพวกเรานั้นการทะลุมิติเป็นเรื่องที่ยากเกินไป ยากขนาดที่แทบจะเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้” หรงจิ้งซือที่เรียบร้อยสง่างามมาตลอดเกือบจะปล่อยโฮ “ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทะลุมิติได้ พวกเรากลับทำไม่ได้ หรือว่าพวกเราจะไม่มีวันเจอซวนซุนแล้ว”
ทุกคนได้ยินเสียงร้องไห้เสียใจของหรงจิ้งซือก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน ไม่มีใครมีวิธีดีๆเลย พวกเขาไม่สามารถทะลุมิติได้ ต่อให้อยากจะทำก็เถอะ เจอเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
ที่ทุกคนเป็นห่วงมากกว่าก็คืออีกคนที่ยังสลบอยู่ ทั้งห้องรับแขกตกสู่ความเงียบ
นั่งรอไปก็แก้ปัญหาไม่ได้ ผู้เฒ่าหยิงสั่งให้ผู้อาวุโสชุดหนึ่งออกไปตามหาหญิงสาวชุดแดง หวังว่านางจะยังอยู่ในผืนดินนี้
คนที่ยุ่งก็ยุ่งไป คนที่กังวลก็ยังกังวลอยู่
สถานการณ์ข้างนอกค่อยๆสงบลง คนของเมืองโลกทมิฬสามารถโยกย้ายถิ่นฐานได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า
วันเวลาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนสงบดี พวกลูกศิษย์พอจะรู้สึกถึงความผิดปกติของเหล่าผู้อาวุโสได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เรื่องที่โม่ซวนซุนหายตัวไปถูกปิดข่าวเอาไว้ คนที่รู้มีไม่เยอะ ฉะนั้นคนข้างนอกไม่รู้ถึงเรื่องนี้เลย ไม่อย่างนั้นข่าวนี้ต้องเป็นที่ฮือฮาแน่ๆ
ภายในตำหนักเถาวัลย์หยก
5 วันผ่านไป คนบางเตียงก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา ทุกคนเป็นห่วงกันมาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลายที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงทุกวัน แม้แต่ฮูหยินฟางก็เช่นกัน
วันที่ 6 ฟางซูหยุนที่เฝ้าอยู่ข้างๆพบว่าเปลือกตาของหลานสาวขยับ จ้องนางอย่างตั้งใจด้วยความดีใจ
และก็จริง คนบนเตียงขยับลูกตา ท่าทางเหมือนกำลังจะฟื้น
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกำลังพยายามพุ่งออกจากการถูกจำกัดไว้ในความมืด ไม่รู้ว่ผ่านไปนานเท่าไหร่ นางค่อยๆลืมตาขึ้น แสงแยงตานางจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง เปลือกตากระตุกไม่หยุด
ฟางซูหยุนเห็นแล้วว่านางลืมตา มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ร้องขึ้น “ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว ยังไม่ฟื้นอีกเหรอ”
“ทะ ท่านย่า”
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ปวดหัวอย่างหนักตัวกระตุกไป 1 ที เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนนางจะสลบเข้าท่วมท้นใส่นาง
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง มีน้ำตาอยู่ในดวงตาคู่งาม ไหลทะออกมาดั่งลำธาร เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ท่านย่า ผะ ผ่านไปกี่วันแล้ว เขา เขาได้กลับมามั้ย…..”
“เสี่ยวเสี่ยว…” ฟางซูหยุนยื่นมือเช็ดน้ำตาให้นาง ยิ้มขมขื่น เจ้าเด็กโง่ 6 วันแล้ว เขายังไม่กลับมา ท่าทางเจ้าจะต้องไปตามเขากลับมาแล้วล่ะ เจ้าเข้าใจมั้ย”
“มะ ไม่ได้กลับมา เขา เขาไม่ได้กลับมา….” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่สีหน้าขาวซีดขยับปากเล็กน้อย น้ำตาไหลเป็นทาง “จะ จะให้ข้าไปหาเขาเหรอ ข้า ข้ายังหาเขาเจออยู่เหรอ”
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเฉิงเสี่ยวเสี่ยวพอรู้อยู่ แม้แต่วิทยายุทธระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์อย่างนาง เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายแล้วก็เป็นเหมือนแค่มดตัวหนึ่ง ไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่นิดเดียว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นใคร อยู่ที่ไหน แล้วจะให้นางไปหาได้อย่างไร
หัวใจราวกับถูกฉีกทำลาย เจ็บปวดจนนางหายใจไม่ออก นางเสียเขาไปแล้ว
นึกถึงเรื่องราวและความทรงจำต่างๆที่เคยอยู่ด้วยกัน นางร้องไห้ออกมาแบบไม่มีเสียง
เห็นหลานสาวที่ร้องไห้จนแทบจะขาดใจ ฟางซูหยุนก็อดเช็ดน้ำตาไม่ได้ นางกุมมือของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวไว้หลวมๆ ปลอบโยนนาง “เจ้าเด็กโง่ ตอนนี้เจ้าเสียใจไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือลุกขึ้นมา ไม่ว่าซวนซุนจะอยู่ที่ไหนเจ้าก็ต้องพาเขากลับมา เข้าใจมั้ย”
“……”
“จำไว้ ขอแค่เจ้าไม่ถอดใจ เจ้าต้องหาเขาเจอได้แน่ เจ้ายังอายุน้อย ต่อให้อีก 100 ปีก็ไม่เป็นไร เสี่ยวเสียว เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเอง จำไว้ เชื่อมั่นในตัวเอง”
“…..”
“เสี่ยวเสี่ยว พาเขากลับมาให้ได้ เขาเป็นสามีของเจ้า ใครก็แย่งไปไม่ได้ ของของเจ้าก็คือของของเจ้า ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เสี่ยวเสี่ยว ข้าเชื่อว่าซวนซุนกำลังรอให้เจ้าไปหาเขาอยู่ เจ้าจะมาติดอยู่ที่นี่ จมอยู่ในความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ได้ ต้องใช้วิธีที่เร็วที่สุดเพื่อเพิ่มพลัง ออกจากผืนดินนี้เพื่อไปตามหาสามีของเจ้า ย่าเชื่อในตัวเจ้า…”
“…….”
น้ำตาไหลยังไงก็ไม่หมด ความเจ็บปวดอันมากล้นทำให้นางขาดสติไป นางไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น
—————————————————-
TQF:บทที่ 526 ปวดร้าวเกินทน ความหวังยังมีอยู่ (3)
เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆท่ามกลางน้ำตา
ผู้คนที่มาเพราะได้ข่าวเมื่อได้เห็นคนที่น้ำตาไหลไม่หยุด ต่างอดน้ำตาไหลตามไม่ได้
ผู้หญิงในบ้านสลับกันอยู่เป็นเพื่อนนาง ไม่ว่าใครจะเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนเริ่มร้อนใจขึ้นอีกครั้ง
วันที่ 10
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่นัยน์ตาว่างเปล่ามองไปด้านบนนิ่งๆ น้ำตาไหลอยู่หลายวัน ต่อให้นางอยากจะร้องไห้ก็ไม่เหลือน้ำตาแล้ว ราวกับน้ำตาทั้งหมดได้ไหลไปจนหมดในช่วงที่ผ่านมานี้แล้ว
กงซีหยวนที่อยู่ข้างๆกำลังพูดบางอย่างอยู่เบาๆ ต่อให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ตอบอะไรกลับมาทั้งนั้นนางก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
จนกระทั่ง…
“คุณหนู….”
เสียงที่อ่อนแรงจนแทบจะไม่ได้ยินดังอยู่ข้างหู สายตาว่างเปล่าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเริ่มมีจุดเป้าหมายขึ้น นางนึกขึ้นได้ถึงหยูเฮงที่บาดเจ็บสาหัส
“หยูเฮง เจ้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เสียงที่อ่อนแรงจนแทบไม่ได้ยินเหมือนกันลอยเข้ามาในมิติ หยูเฮงที่กำลังรักษาตัวอยู่ในร่างเดิมส่ายเถาวัลย์ไปมา ถามอย่างร้อนรน “คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านบาดเจ็บเหมือนกันใช่มั้ย รีบเข้ามารักษาตัวเร็ว ข้าต้องการพบท่าน….”
“…..”
“คุณหนู ท่าน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง คิดถึงคุณชายอยู่ใช่มั้ย….”
แม้หยูเฮงจะไม่รู้เรื่องหลังจากนั้น แต่ด้วยสมองอันชาญฉลาดของนางก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้แล้ว เนื่องจากนางอ่อนแอมากจนออกจากร่างเดิมไม่ได้ ไม่อย่างนั้นนางคงออกไปปรากฏตัวต่อหน้าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวแล้ว
“…..”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ด้านนอกมีความรู้สึกน้ำตาจะไหลอีกครั้ง ตาที่แห้งเหือดของนางไม่เหลือน้ำตาให้ไหลแล้ว หัวใจเจ็บจนชา ในนาทีนี้ก็มีความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนทิ่มแทงที่ใจ
“คุณหนู คุณหนู ท่านพูดสิ คุณหนู….”
“คุณหนู ทำไมท่านไม่พูดล่ะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง รีบบอกข้าเร็ว ท่านรีบเข้ามาหาข้าเร็ว คุณหนู…”
“….”
เสียงขอหยูเฮงก้องอยู่ในหัวนางตลอด เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่รู้จะตอบนางไปว่าอะไรดี
“คุณหนู ท่านอย่าเป็นแบบนี้ ไม่ต้องเสียใจหรอก ไม่เป็นอะไรสักหน่อย คุณหนู เราต้องหาคุณชายเจอแน่ คุณชายต้องกำลังรอให้พวกเราไปหาเขาแน่ๆ คุณหนู….”
“คุณหนู ท่านอย่าลืมสิ เรามีความสามารถพอนะ ต่อให้คุณชายไม่อยู่ที่ผืนดินนี้เราก็หาเขาได้ คุณหนู ท่านลืมที่ข้าเคยพูดไปแล้วหรือ ข้าสามารถฉีกมิติที่นี่ออกได้ ขอแค่พวกเราฟื้นฟูกลับมาได้เราก็ไปหาคุณชายได้แล้ว คุณหนู…”
“เจ้าว่าอะไรนะ….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสั่นเทิ้มไปทั้งตัวและเสียง ใจที่เหมือนตายไปแล้วกลับมาเต้นอีกครั้ง สั่นไปหมดทุกอย่าง
“ข้า ข้าบอกว่าหาคุณชาย…” หยูเฮงชะงักไป ไม่เข้าใจปฏิกิริยาของนาง
“ไม่ ไม่ใช่ประโยคนี้ เจ้าบอกว่า….”
นาทีนี้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าตัวเองสั่นไปถึงวิญญาณ มีความคิดหนึ่งแว้บเข้ามาในหัวเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ยังนอนอยู่บนเตียง แล้วนางก็หายเข้ามิติไปทันที
กงซีหยวนที่อยู่ด้วยชะงักเมื่อเห็นคนตรงหน้าหายไป แต่ก็รู้ได้ทันทีว่านางเข้ามิติไปแล้ว ไม่คิดว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ไม่กิน ไม่ตอบสนองอะไรมาหลายวันจะเข้ามิติไป ทั้งดีใจและสับสน
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้นางก็ตอบสนองแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องดี
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้สนใจกงซีหยวนที่อยู่ด้านนอก นางมาถึงตรงหน้าหยูเฮงที่อยู่ในร่างเดิม ต้นหยูเฮงไม่สว่างไสวเหมือนเคย สีเขียวขจีบัดนี้ดูหม่นหมอง
“คุณหนู….”
ในที่สุดก็ได้เจอนางแล้ว หยูเฮงดีใจมากๆ เห็นท่าทางเสียศูนย์ของนางแล้วก็ใช้เถาวัลย์ทั้งหมดห่อหุ้มนางเอาไว้ “คุณหนู อย่าเป็นแบบนี้สิ ถ้าคุณชายรู้เข้าจะเป็นห่วงนะ”
หยูเฮงเป็นภูติ ความรักของ 2 คนนี้เรียกได้ว่าหยูเฮงรู้ดีกว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวอีก
เห็นท่าทางหมดอาลัยตายอยากของนาง หยูเฮงรับรู้ได้ว่าเจ้านายตัวเองเจ็บไปถึงจิตใจข้างใน ถ้าไม่คลายปมในใจนางละก็ จะยิ่งทำให้นางตกอยู่ในความเจ็บปวดและความมืดมิด
“หยูเฮง เจ้า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…”
ยื่นมือออกไปลูบเถาวัลย์ที่ดูอ่อนแรง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกเจ็บปวดที่ใจอีกแล้ว แม้นางจะรักคนๆนึงมาก แต่ในใจนางหยูเฮงก็ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าโม่ซวนซุนเลย
ในใจของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว มีเพียง 1 คน 1 ภูตินี้เท่านั้นที่สำคัญที่สุด คนอื่นไม่สามารถเทียบเคียงได้
“คุณหนู อีกไม่นานข้าก็หายแล้ว ท่านวางใจเถอะ พลังวิญญาณในมิติของเราเพียงพอสุดๆ อีกไม่นานข้าก็ออกมาได้แล้ว”
“ดี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้ารับ และก็นึกถึงคำถามเมื่อกี้อีกครั้ง
ในตอนนั้นมีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ที่เก็บตัวเองรับรู้ถึงการมาของนางจึงรีบออกมา เขาขมวดคิ้วเมื่อเห็นสภาพอิดโรยของนาง รีบยืนมือถ่ายทอดพลังเซียนของตัวเองให้นาง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกำลังจะขยับปากเขารีบปรามไว้ “ไม่ต้องพูดอะไร เจ้ารีบรักษาตัวเองเถอะ”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่าปฏิเสธความหวังดีของอาจารย์ปู่ไม่ได้ พลังเซียนได้ถูกถ่ายทอดเข้ามาแล้ว นางจึงต้องท่องคาถาใจเพื่อดูดซับพลังเซียนมากมายนี้
ผ่านไปสักพัก
หน้าซีดๆของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็มีสีเลือดอีกครั้ง นางลืมตาขึ้น “อาจารย์ปู่ พอแล้ว”
เรี่ยวแรงและสติกลับมาแล้ว เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถอนหายใจเศร้าๆ จิตใจสงบลงได้ในเวลานี้
————————————-
TQF:บทที่ 527 ปวดร้าวเกินทน ความหวังยังมีอยู่ (4)
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากที่ตอนแรกหยูเฮงบาดเจ็บ แล้วยังมาเห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีก เขาอดถามไม่ได้ “ยัยเสี่ยวเสี่ยว ข้างนอกนั่นเกิดอะไรขึ้น หรือว่าคนของเมืองโลกทมิฬใช้วิธีสกปรกอะไร”
“ไม่ใช่ อาจารย์ปู่ ไม่น่าจะเกี่ยวกับคนของเมืองโลกทมิฬ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่ายหัวเบาๆ
“ข้ารู้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายัยบ้านั่นจับคุณชายไป…”
แม้หยูเฮงจะยังอ่อนแออยู่ นางก็ยังตะโกนออกมาทั้งที่อยู่ในร่างเดิม
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์อึ้งไป ถามด้วยความสงสัย “ซวนซุนน้อยถูกจับตัวไปเหรอ เกิดอะไรขึ้น” สำหรับเขาเรื่องแบบนี้มันเป็นไปไม่ได้
“ใช่แล้ว ซวนซุนถูกจับตัวไป” สีหน้าของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวหม่นหมองลงอีกครั้ง หลังจากที่ผ่านพ้นช่วยผิดหวังและเจ็บปวดเจียนตายมาได้ นางยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว
นางเล่าเรื่องของหญิงสาวชุดแดงที่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้นางจับโม่ซวนซุนไปอีกครั้ง
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์สีหน้าเคร่งขรึม มองไปที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว “เจ้ากับซวนซุนน้อยเป็นก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ทั้งคู่ แล้วซวนซุนน้องก็เป็นก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ตอนปลายด้วย เขายังไม่สามารถตอบโต้อะไรผู้หญิงชุดแดงคนนั้นได้ นี่มัน….”
แม้ว่าการจะไปจากระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ไปสู่ปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์จะยาก แต่การที่ปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์อยากจะเอาชนะก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ก็ไม่ง่ายแน่”
เขานึกปัญหาอีกอย่างได้ในไม่นาน หันไปถามหยูเฮง “เจ้าตัวเล็ก เจ้าก็สู้ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เหรอ”
“ใช่ อาจารย์ปู่ ยัยบ้านั่นเก่งมาก ต้องเป็นระดับก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะหรือจักพรรดิ์อมตะแน่ๆ ข้าไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย” หยูเฮงพูดด้วยความเคืองโกรธ
ก้าวสู่จักพรรดิ์อมตะ จักพรรดิ์อมตะ!
เป็นระดับที่จินตนาการไม่ออกเลย
ความสามารถของหยูเฮงแม้จะไม่ธรรมดา แต่อย่างไรซะอายุของนางก็ยังน้อย จะต่อกรกับคนระดับนั้นได้อย่างไร
เมื่อเห็นหยูเฮงยังไม่สามารถออกมาได้ อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์วางมือบนต้นหยูเฮง ถ่ายทอดพลังเซียนของตัวเองอีกครั้ง
“ว้าว อาจารย์ปู่ สบายจังเลย”
ได้พลังเซียนมารักษาบาดแผล หยูเฮงร้องขึ้นอย่างดีใจ แต่อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ไม่ได้พูดอะไร
ไม่นานนัก หยูเฮงก็ฟื้นฟูกลับมา
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆเห็นเขาเริ่มมีเหงื่อไหล เอ่ยขึ้น “อาจารย์ปู่ ท่านไม่ต้องถ่ายแล้ว หยูเฮงดีขึ้นมากแล้ว”
“อาจารย์ปู่ ท่านไม่ต้องถ่ายแล้ว ข้าออกมาได้แล้ว” หยูเฮงร้องอย่างดีใจ
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เห็นว่าเสียงของหยูเฮงไม่อ่อนแรงแล้วจึงหยุด เช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
เวลานี้ หยูเฮงออกมาจากเรื่องเดิม การปรากฏตัวของนางครั้งนี้กลับไปอยู่ในร่างเด็ก 5-6 ขวบอีกครั้ง หน้ากลมๆน่ารักๆของนางยังซีดอยู่นิดหน่อย ท่าทางนางยังไม่คืนพลังโดยสมบูรณ์
“อาจารย์ปู่ ขอบคุณเจ้าค่ะ” หยูเฮงขอบคุณจากใจจริง “อาจารย์ปู่ ถ้าวันนั้นไม่ได้ท่านที่ถ่ายพลังเซียนให้ข้าจนหมด ข้าคงกลับร่างเดิมไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องฟื้นพลังเลย ตอนนี้ท่านเพิ่งฟื้นพลังเสร็จก็ถ่ายพลังเซียนให้ข้าและคุณหนูอีก ลำบากท่านจริงๆ”
“อาจารย์ปู่….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเพิ่งรู้ในนาทีนี้ว่าอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ได้ช่วยชีวิตหยูเฮงไปครั้งนึงในมิติแล้ว นางมีท่าทีซาบซึ้ง
“เจ้าเด็กโง่ กับอาจารย์ปู่จะขอบคุณทำไม อาจารย์ปู่ช่วยพวกเจ้าได้ก็ดีแล้ว”
อาจารย์ปู่ตบบ่านางเบาๆ “เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ที่คุยกัน ไปคุยกันในที่พักของเจ้าเถอะ”
“เจ้าค่ะอาจารย์ปู่”
1 เฒ่า 1 สาว 1 ภูติไปปรากฏตัวในห้องรับแขกในเวลาอันรวดเร็ว
ด้วยพลังจิตของหยูเฮง บนโต๊ะปรากฏผลไม้ต่างๆ นางโยนผลไม้คริสตัลให้อีก 2 คนคนละลูก ก่อนจะหยิบมากินเองลูกนึง
หิว!
เมื่อได้รับผลไม้คริสตัล กลิ่นหอมเตะจมูกทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกว่าตัวเองหิวแล้ว
ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างกินก่อน
เมื่อกินผลไม้คริสตัลเสร็จ หยูเฮงก็กินผลอย่างอื่นต่อ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ไม่ได้กินอย่างอื่นต่อเมื่อกินเสร็จ
“ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว เจ้าก็อย่าจมอยู่แต่ในความเจ็บปวดเลย ข้าเชื่อว่าซวนซุนน้อยไม่ทรยศเจ้าหรอก แม้จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น เขาก็จะต้องหาวิธีกลับมาให้ได้ เจ้าเองก็ต้องพยายาม รอให้มีความสามารถพอแล้วค่อยไปหาเขา”
“อาจารย์ปู่ ข้ารู้”
คำปลอบโยนแบบนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังมานับไม่ถ้วนแล้วในช่วงที่ผ่านมา แต่นางไม่เคยฟังเข้าหู ตอนนี้เมื่อได้สติกลับมา นางก็เข้าใจแล้วว่านี่คือความจริง
“เจ้าอายุยังน้อย และพรสวรรค์ก็มีมาก ขอแค่เจ้ายอมเสียเวลาสักปีตั้งใจฝึกฝน ถึงเวลาเจ้าก็จะมีโอกาสออกไป เจ้าก็รู้ว่ากฎแห่งฟ้าดินข้างนอกนั่นไม่สมบูรณ์ ข้าคิดว่าแค่มีวิธีก็สามารถออกจากผืนดินนี้ได้”
“อาจารย์ปู่….”
หยูเฮงกินผลไม้เสร็จ พูดขัดขึ้น ใบหน้าเล็กๆมีสีหน้ามั่นใจ “ไม่ถึง 3 เดือน ข้าพาคุณหนูออกจากผืนดินนี้ไปหาคุณชายได้แน่”
“อะไรนะ 3 เดือน”
“หยูเฮง เจ้าหมายความว่า….”
1 เฒ่า 1 สาวมองหยูเฮงพร้อมกันและเอ่ยถาม
——————————–
TQF:บทที่ 528 ทุกคนเป็นห่วง ฐานหลักวิหารสวรรค์ (1)
“คุณหนู ท่านลืมแล้วเหรอ ข้าเคยบอกท่านว่าข้าสามารถฉีกมิติออกได้ ตอนนี้ขอแค่เราพักผ่อนให้พลังฟื้นฟู แล้วเพิ่มพูนวิทยายุทธขึ้นไป ถึงตอนนั้นเราไปหาคุณชายกัน” หยูเฮงกล่าวเรียบๆ
ฉีกมิติออก
ได้ยินความสามารถนี้อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ตะลึงไป
ฉีกมิติออกได้ ก็หมายความว่าหลังจากนี้อยากจะไปจากผืนดินนี้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องบรรลุเป็นปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ ถ้าอยากออกใครก็ห้ามไม่ได้
ต่อให้กฎแห่งฟ้าดินไม่สมบูรณ์ก็ไม่สำคัญแล้ว
ที่สำคัญคือเขาเองก็มีโอกาสไปจากผืนดินนี้
คิดมาถึงตรงนี้ ต่อให้เป็นปีศาจที่เฒ่าที่อยู่มานับร้อยปีก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ตรงกันข้าม เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวได้ฟังที่หยูเฮงพูดกลับมีท่าทีเรียบเฉย เพราะครั้งที่แล้วหยูเฮงก็เคยพูดไปแล้ว เพียงแต่นางเผลอลืมไปก็เท่านั้น
ตอนนี้สำหรับนางแล้วเป็นข่าวดีแน่ๆ
การมีความหวังนี้ทำให้ใจที่เหี่ยวเฉาของนางถูกรดน้ำวิเศษรดให้มีชีวิตอีกครั้ง เกิดพลังชีวิตขึ้นอย่างมากมาย แม้แต่สีหน้าของนางก็ดูดีขึ้นด้วย
“งั้นก็ดี” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพึมพำเบาๆ ในหัวนึกถึงแต่ภาพของเขา นึกถึงความสง่างามของเขา
ตาของหยูเฮงเป็นประกาย พูดต่อ “คุณหนู พวกเราต้องรีบเพิ่มระดับวิทยายุทธในไม่กี่เดือนนี้ให้ได้ ยิ่งสูงยิ่งดี ข้าเชื่อว่าถ้าพวกเราออกจากที่นี่ไปผืนดินอื่น วิทยายุทธของพวกเราต้องอยู่ระดับต่ำที่สุด ถึงเวลานั้นต่อให้เราอยากจะหาคุณชายก็คงต้องลำบากมากแน่ๆ”
“ถูกต้อง วิทยายุทธของเสี่ยวเสี่ยวอยู่ตอนกลางของระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ ตอนที่จะไปจากที่นี่อย่างน้อยๆก็ต้องบรรลุปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ ไม่อย่างนั้นการไปอยู่ที่อื่นมีแต่จะโดนข่มเหง”
คำพูดของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหวนนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวด ถ้าไม่ใช่เพราะระดับวิทยายุทธของนางต่ำเกินไป จะโดนนังผู้หญิงชุดแดงนั่นรังแกจนเงยหน้าไม่ไหวแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ฝึกฝน ตั้งแต่นาทีนี้ไปต้องเก็บตัวฝึกฝน
เพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง เฉิงเสี่ยวเสี่ยวให้อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ออกไปบอกญาติสหายข้างนอกหน่อย เพื่อไม่ให้ทุกคนเป็นห่วง
ส่วนนางยังไม่อยากออกไป และยิ่งไม่อยากเจอกับความเป็นห่วงจากทุกคนหรือให้ใครมาเศร้าตาม
ความคิดเดียวในตอนนี้ก็คือรีบยกระดับพลัง หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่หยูเฮงฉีกมิติออกจะออกจากนี่ได้เร็วที่สุด
ทุกคนเฝ้ารออยู่ที่ห้องรับแขกในตำหนักเถาวัลย์หยกอีกครั้ง
ทุกคนทราบกันแล้วว่าจู่ๆเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็กลับเข้าไปในมิติ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่นั้นไม่มีใครทราบได้ มิติน่ะมีแต่ให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวอนุญาตให้พวกเขาเข้าไป พวกเขาถึงจะเข้าไปได้ ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่อให้อยากเข้าก็เข้าไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อทุกคนได้รับข่าวก็รีบมาถึงที่นี่
ทุกคนรอกันครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็มีคนออกมา แต่ที่ทำให้พวกแปลกใจก็คือคนที่ออกมาไม่ใช่เฉิงเสี่ยวเสี่ยว แต่เป็นอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์
เห็นการมาของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ ทุกคนลุกขึ้นต้อนรับ
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ย่อมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ดี จึงให้ทุกคนนั่งลง
ไม่ทันที่พวกเขาจะถาม อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์เอ่ยปากก่อน “พวกเจ้าวางใจได้ ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงไม่ได้เป็นอะไร ตอนนี้พวกนางกำลังตั้งใจฝึกฝนอยู่ เตรียมตัวเพิ่มพูนพลังเพื่อไปจากที่นี่”
“อาวุโส ท่านหมายความว่าเสี่ยวเสี่ยวมีวิธีไปจากผืนดินแห่งนี้หรือ” ฟางซูหยุนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาที่ฉายแววตื่นเต้นมองไปที่เขา
ทุกคนก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน โดยเฉพาะผู้เฒ่าหยิงที่เบิกตาโพลงพลางเอ่ย “อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์ คุณหนูออกไปได้จริงหรือ”
“ข้าว่าน่าจะได้” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์พยักหน้า “จากที่หยูเฮงบอกไว้ ขอแค่นางฟื้นพลังกลับไปถึงช่วงที่ดีสุด นางก็สามารถฉีกมิติออก พายัยหนูเสี่ยวเสี่ยวออกไป ถึงเวลานั้นพวกนางจะไปตามหาซวนซุนน้อย”
“ข้าจะไปกับคุณหนู” ผู้เฒ่าหยิงตะโกนขึ้น มีประกายแห่งความดีใจอยู่ในแววตา ไม่ปิดบังสีหน้าที่เฝ้ารอแม้แต่นิด
ไม่ใช่แค่เขา คนอื่นก็เช่นกัน โดยเฉพาะหรงจิ้งซือ ไม่กี่วันมานี้นางผอมไปมาก เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็มีความหวังขึ้นในแววตา
นางยื่นมือไปดึงสามีโม่อู๋เซอที่อยู่ข้างๆ มองเขาด้วยสายตาขอร้อง สื่อความต้องการได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
โม่อู๋เซอเห็นท่าทางแบบนี้ของภรรยาก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาเข้าใจดีว่าถึงเวลานั้นนางอยากจะไปตามหาลูกศิษย์ด้วย
พูดกันตามตรง ลูกศิษย์ตัวเองถูกคนอื่นจับไปโดยไม่รู้สาเหตุ ความโกรธและความเจ็บปวดในใจเขามีมากไม่แพ้ใคร พวกเขา 2 สามีภรรยาไม่มีลูก โม่ซวนซุนก็เปรียบเสมือนเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ลูกชายหายไป คนเป็นพ่อจะไม่ร้อนใจและเป็นห่วงได้อย่างไรกัน
ถ้าจะไปจากที่นี่ เรื่องต่างๆของวิหารสวรรค์ก็ต้องฝากฝังให้ดีพวกเขาถึงจะไปได้ อย่างไรซะการจากไปของทั้งเขาและโม่ซวนซุนผู้เป็นเจ้าโถงรุ่นเยาว์วัยที่สุดจะทำให้วิหารสวรรค์เกิดภาวะขาดสืบทอด ถึงเวลานั้นยากจะจัดการ
แต่กับสิ่งที่ภรรยาอยากทำ โม่อู๋เซอไม่ใจแข็งพอที่จะปฏิเสธ อีกอย่างตัวเขาเองก็อยากจะหาลูกศิษย์ที่รักให้เจอ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้จะหลอกหลอนเขาไปทั้งชีวิต
เนิ่นนาน โม่อู๋เซอหันไปพยักหน้ากับภรรยาตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ทำให้ภรรยาตัวเองผิดหวัง ต่อให้เป็นสุดหล้าขอบฟ้าเขาก็ต้องหาลูกศิษย์ตัวเองให้เจอ
แน่นอนว่าคนที่อยากไปออกไปยังมีอีกมาก โดยเฉพาะพวกตาเฒ่าที่อยู่ที่นี่ล้วนอยากไปจากผืนดินนี้หมด พวกเขาก็อยากออกไปดูฟ้าดินข้างนอกนั่นว่าเป็นอย่างไร
—————————————–
TQF:บทที่ 529 ทุกคนเป็นห่วง ฐานหลักวิหารสวรรค์ (2)
ฟางซูหยุนไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปแต่สามารถมองความคิดของทุกคนออกได้ คิดไปคิดมา พูดขึ้น “จะออกไปไม่ใช่ง่ายๆ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง หลักๆคือต้องรอให้เสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงฟื้นฟูก่อน อีกอย่าง ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่ผืนดินอื่นเก่งกว่าที่นี่ ด้วยวิทยายุทธของทุกท่าน…”
พูดถึงตรงนี้ฟางซูหยุนหยุดลง สายตากวาดไปยังทุกคนก่อนจะพูดต่อ “ข้าไม่ได้จะพูดอะไรที่ไม่น่าฟัง วิทยายุทธระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์และปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์เป็นแค่ระดับล่างสำหรับผืนดินฉางไห่ อยากจะมีหน้ามีตาที่นั่นไม่ง่ายนัก กลับง่ายที่จะวายชนม์มากกว่า”
สั้นๆก็คือ ก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์หรือปรากฏราชันย์จักรพรรดิ์ที่ถือเป็นสุดยอดฝีมือที่นี่ เมื่อไปถึงผืนดินฉางไห่ก็เป็นแค่ผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับล่าง เรียกได้ว่าไม่มีทางได้รับการยอมรับจากคนอื่น
แม้ประโยคนี้จะไม่น่าฟัง แต่ทุกคนก็รู้ว่าคือความจริง
อย่างอื่นไม่พูดถึง แค่การที่โม่ซวนซุนผู้อยู่ตอนปลายของระดับก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์ยังถูกหญิงสาวอ่อนวัยคนหนึ่งจับไปโดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้
ถ้าตาเฒ่าตรงหน้านี่ไปปรากฏตัวที่นั่น ต้องกลายเป็นผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับล่างแน่ และเสี่ยงต่อการวายชนม์ได้ทุกเมื่อ
“ฮูหยินฟาง ปัญหาที่ท่านพูดถึงนี้ข้าเข้าใจดี แต่ว่าข้าก็ยังต้องการจะตามคุณหนูไป”
ผู้เฒ่าหยิงมีสีหน้าแน่วแน่ กล่าวด้วยความจริงจัง “มิติของคุณหนูสามารถอาศัยอยู่ได้ แม้จะไม่ได้ในระยะยาว แต่สำหรับพวกเราแล้ว อยู่ได้ทีละหลายเดือนก็ถือเป็นที่พำนักที่ดีมากแล้ว”
“ถึงจะพูดแบบนั้น เจ้าก็ไม่สามารถใช้มิติของเสี่ยวเสี่ยวเป็นที่หลบภัยไปตลอด แบบนั้น…”
“ฮูหยินฟาง ข้าเข้าใจ”
ผู้เฒ่าหยิงขัดฟางซูหยุนขึ้น พูดต่อ “ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือหาทุกวิธีช่วยให้คุณหนูสามารถเลื่อนขั้นทรัพยากรในมิติได้ ขอแค่มิติเลื่อนขั้นได้ ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อคุณหนู กับหยูเฮงก็เช่นกัน”
“ถูกต้อง เลื่อนขั้นมิติสำคัญมากสำหรับเสี่ยวเสี่ยวจริงๆ หยูเฮงก็เช่นกัน ขอแค่ให้หยูเฮงเติบโตขึ้น ก็ยิ่งช่วยเหลือเสี่ยวเสี่ยวได้มากขึ้น”
เฉิงไป๋หยวนพูดต่อ ลั่วหยูฉินข้างๆเขาก็เอ่ยปากขึ้น “พวกเราจะเลื่อนขั้นให้เสี่ยวเสี่ยว ทรัพยากรที่ต้องการไม่น้อยนะ พวกเราจะไปหาจากไหนมาให้นาง”
“ทรัพยากรเป็นปัญหาใหญ่ พวกเราทุกคนต้องช่วยกันหาวิธี เรื่องนี้สำคัญมากหวังว่าทุกคนจะคิดได้โดยเร็ว” อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์สั่ง
ทุกคนต่างเข้าใจดีถึงความสำคัญในการเลื่อนขั้นมิติ จากที่พวกเขาเข้ามิติไปครั้งแรกจนถึงตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงมีมากแค่ไหนทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้ดีอยู่แก่ใจ ตอนนี้อยากจะช่วยให้พลังของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงเพิ่มพูดขึ้นก็ต้องช่วยรวบรวมทรัพยากรให้มิติเลื่อนขั้น ให้พวกนางได้แกร่งขึ้นเก่งขึ้น
ไม่อย่างนั้นตอนที่พวกนางออกไปทุกคนก็วางใจไม่ได้ อย่างไรซะกับผืนดินที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ต้องมีภยันตรายนับไม่ถ้วนรอพวกนางอยู่แน่นอน
“ง่าย”
อาจารย์ปู่วิหารสวรรค์อีกคนพูดขึ้น “ใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้ ในมือของแต่ละอิทธิพลต้องมีทรัพยากรอยู่ไม่น้อย ตอนนี้เพิ่งผ่านความอลหม่านไป พวกเขาเองก็ต้องการทรัพยากร ข้อดีที่สุดของเราก็คือมีทรัพยากรมากมาย พวกเราช่วยๆกัน ไม่ว่าจะเป็นสำนักเล็กใหญ่ก็ไปหาให้หมด พยายามเอาทรัพยากรของเราไปแลกเพื่อให้เสี่ยวเสี่ยวเลื่อนขั้นมิติ”
“ไม่ใช่แค่พวกสำนักต่างๆ ยังมี 3 ราชวงศ์ อย่าดูถูกราชวงศ์พวกนั้นไป ทรัพยากรในมือพวกเขาไม่น้อยแน่ พวกเราต้องส่งคนไปหาพวกเขาด้วย เชื่อว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธหรอก”
“ได้ๆ เอาแบบนี้แหละ”
ผู้เฒ่าหยิงดีใจมาก ในตาฉายประกายแห่งปัญญา “พวกเรายังสามารถบอกเจ้าพวกที่มีหน้าที่ดูแลจัดการว่าถ้าพวกเขาอยากจะแลกทรัพยากรก็ให้รีบ คุณหนูของเรายังอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวน อยากได้เท่าไหร่ก็มีเท่านั้น ถ้าหากคุณหนูไปจากที่นี่แล้ว ต่อให้พวกเขาอยากได้ทรัพยากรอีกพวกเราก็ให้พวกเขาไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไป พวกเขาต้องยอมควักทรัพยากรมาแลกกับเรามากขึ้น”
ข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับจากทุกคน
ซึ่งเป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวออกไปแล้ว ทุกคนอยากได้ทรัพยากรจำนวนก็ยากแล้ว
ว่าแล้วก็เริ่มเลย เหล่าผู้อาวุโสแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนเริ่มลงมือทันที
1 เดือนให้หลัง เหล่าอิทธิพลที่ต้องการทรัพยากรต้องมาปรากฏตัวที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จงหยวนเพื่อทำการแลกเปลี่ยนทรัพยากรครั้งสุดท้าย ไม่อย่างนั้นหลายปีหรือหลายสิบปีหลังจากนี้จะไม่จำหน่ายทรัพยากรอีก
คนที่รู้ข่าวนี้มีไม่เยอะ เพียงแค่คนที่ควรรู้ก็รู้หมดแล้ว คนที่ไม่ควรรู้ก็ไม่มีใครได้รู้
ผืนดินฉางไห่
ในดินแดนลึกลับ มีเงาแดงเงาหนึ่งตัดไปในอากาศ หยินเฟิ่งผู้เพิ่งกลับมาจากข้างนอกนั่นเอง
นางกำลังจะไปหาอาจารย์ตัวเอง ยังไม่ทันจะถึงยอดเขาที่อาจารย์ตัวเองพำนักอยู่ ในหัวก็มีเสียงอันคุ้นเคยและเข้มงวดดังเข้ามา
เสียงของเจ้าวิหารสวรรค์นั่นเอง สั่งให้นางไปที่โถงหลักเดี๋ยวนี้
นางไม่กล้ารอช้า รีบหันกลับและมุ่งไปยังเขาหลักทันที
เมื่อนางก้าวเข้าไปในโถงโบราณ นอกจากเจ้าโถงอาจารย์ลุงของนางแล้ว อาจารย์ก็อยู่ที่นี่พอดี สีหน้าเย็นชาของนางมีรอยยิ้มขึ้น
“ลูกศิษย์หยินเฟิ่งคารวะอาจารย์ลุง อาจารย์” หยินเฟิ่งไม่กล้าเสียมารยาท ทำความเคารพพวกเขาอย่างนอบน้อม
ชายวัยกลางคนแปลกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นลูกศิษย์กลับมาในเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น ถามขึ้น “หยินเฟิ่งกลับมาได้ไง”
“หรือว่าเจ้าคิดถึงอาจารย์แล้ว” เจ้าโถงแซว 2 อาจารย์ศิษย์
“อาจารย์ลุง เป็นคนแก่แต่ทำตัวไม่น่าเคารพเลยนะ”
หยินเฟิ่งพึมพำเสียงเบาก่อนจะพูดต่อ “ข้ากลับมาเพราะมีเรื่องสำคัญ อาจารย์ลุง อาจารย์ คนที่พวกท่านตามหาอยู่ข้าพากลับมาแล้ว”
คนที่พวกเราตามหาอยู่
—————————————-
TQF:บทที่ 530 ทุกคนเป็นห่วง ฐานหลักวิหารสวรรค์ (3)
2 ศิษย์พี่น้องชะงักไป พวกเขาต้องการหาใครตั้งแต่เมื่อไหร่ หาใครกัน
ณ ตอนนั้น 2 ศิษย์พี่น้องคู่นี้นึกไม่ถึงเลยว่ายัยตัวเล็กตรงหน้าหาคนที่พวกเขาต้องการในใจเจอแล้ว
“อาจารย์ลุง อาจารย์ พวกท่านไม่ได้ตามหาผู้สืบสานจิตเทพของอาจารย์ปู่วิหารสวรรค์อยู่หรอกเหรอ” หยินเฟิ่งเห็นสีหน้าของ 2 อาวุโสที่เผยออกมา กระหยิ่มในใจ
“อะไรนะ”
“หยินเฟิ่ง เจ้า…”
คนที่เรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายกับอะไรมาตลอด ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่รู้สึกอะไร กับเสียอาการเมื่อได้ยินประโยคนี้ มองนางด้วยตาเบิกโพลง
“อาจารย์ลุง อาจารย์ ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ”
หยินเฟิ่งเห็นว่าอาวุโสตรงหน้าไม่เชื่อ นางรีบตวัดมือ โม่ซวนซุนที่ถูกฟองอากาศห่อหุ้มไว้ปรากฏต่อหน้าพวกเขา 3 คน
2 เฒ่าชะงักไปเมื่อเห็นโม่ซวนซุน หลังจากนั้นสายตาของพวกเขาคมกริบดั่งมีด จ้องมองคนที่อยู่ในฟองอากาศ
โม่ซวนซุนที่อยู่ในฟองอากาศไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับมาที่ไหน เขามองไปรอบตัวด้วยความระแวง โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายวัยกลางคน 2 คนตรงหน้า เขารู้สึกถึงอันตรายในใจ
แต่เมื่อสายตาของเขาหันไปเห็นหญิงสาวชุดแดงก็ฉายแววอาฆาตอย่างหนัก แม้เขาจะถูกควบคุมไว้ไม่ให้ได้ยินเสียงของคนข้างนอก แต่ผู้หญิงคนนี้ลงมือกับหยูเฮง ข่มเหงเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เขาเห็นอย่างชัดเจน
นึกถึงภาพของเฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ถูกนางรังแก ต่อให้เป็นโม่ซวนซุนที่ไม่ทำร้ายผู้หญิง นาทีก็แค้นจนอยากจะตบนางให้ตายคาฝ่ามือ
แม้จะอยู่ในฟองอากาศ ปีศาจเฒ่า 2 ตัวก็เห็นแววตาพยาบาทของโม่ซวนซุนอย่างชัดเจน เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นในใจของพวกเขา ถ้าเจ้าเด็กนี่ได้จิตเทพสืบสานไปจริงๆ งั้นการที่เขามีความอาฆาตต่อพวกเดียวกันไม่ใช่เรื่องดีแน่
ขณะเดียวกันพวกเขาก็แปลกใจว่าลูกศิษย์หยินเฟิ่งไปหาเขาเจอที่ไหน ทำไรอะไรลงไปถึงได้ทำให้เขาเกิดความอาฆาตขึ้นแบบนี้
“หยินเฟิ่ง เจ้าแน่ใจนะ” ชายวัยกลางคนผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ถามในทันที ถึงจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
หยินเฟิ่งก็ตกใจกับแววตาอาฆาตของโม่ซวนซุน นางไม่เข้าใจว่าทำไมโม่ซวนซุนถึงมองตัวเองด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ รู้สึกเสียใจแปลกๆ
ตัวเองลำบากแทบตายเพื่อพาเขากลับมา เขากลับไม่รู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย แถมยังเกลียดตัวเองจนอยากจะฆ่าจะแกง จะไม่ให้นางเสียใจได้อย่างไร
ได้ยินคำถามของอาจารย์ตัวเอง หยินเฟิ่งได้สติกลับมา หลังจากที่พยายามจะใจเย็นลง นางพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ อาจารย์ลุง อาจารย์ ข้ากลับรับประกันว่าเขาคือผู้สืบสานจิตเทพของพวกเราวิหารสวรรค์ เพราะข้าเคยเห็นกับตาว่าเขาใช้คาถาใจของเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวิน และข้าก็เห็นกับตาอีกด้วยว่าเขาสร้างภาพสมมุติของเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวินออกมาได้ ไม่ผิดคนแน่นอน”
“คาถาใจเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวิน คาถาใจเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวินจริงๆ เยี่ยมไปเลยๆ”
“นี่ นี่คือภาพสมมุติของเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวิน”
2 เฒ่ามีท่าทางตกใจ ก่อนจะตื่นเต้นจนลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ระบายอยู่ทั่วหน้าราวกับได้เก็บสมบัติล้ำค่ามา
สำหรับพวกเขาแล้วก็เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆนั่นแหละ ตรงหน้านี่คือสมบัติที่สำคัญที่สุดและที่พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอมากที่สุด
สมบัติชิ้นนี้ พวกเขารอมานับหมื่นปี ในที่สุดพวกเขาวิหารสวรรค์ก็ได้เจอแล้ว
เจ้าวิหารสวรรค์ไม่รอช้ารีบยื่นมาไปจิ้มฟองอากาศส่งผลให้ฟองอากาศสลายไปทันที โม่ซวนซุนที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้านในได้อิสระคืนมาทันที
“นังสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า….”
โม่ซวนซุนที่ได้อิสระคืนมาไม่ได้สนใจใครทั้งนั้น เขาคำรามกระหึ่มราวฟ้าผ่าระเบิดออก แสงสีทองกระจายออกเป็นแผ่น แยงจนเจ็บตา เข้ายื่นมือออกมาซึ่งมโหมารไร้ขอบเขต
ทุกคนตื่นตระหนก มีแสงสีทองล้อมรอบฝ่ามือไว้ ลึกล้ำเกินจะเปรียบ ทำให้ผู้ได้เห็นสั่นไหว
เมื่อเขาลงมือ 2 ศิษย์พี่น้องที่ยืนอยู่ข้างๆรู้ได้ทันทีว่านี่คือคาถาใจเจ้าอาทิตย์เลี่ยจวิน สีหน้าของพวกเขายิ่งส่องประกายความดีใจมากขึ้น
นาทีนี้โม่ซวนซุนแค่อยากจะฆ่าผู้หญิงคนนี้เท่านั้น เพื่อแก้แค้นให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮง
“เจ้า…”
หยินเฟิ่งตกใจอย่างมาก อย่างไรซะนางก็คิดไม่ถึงเลยว่าโม่ซวนซุนจะเคียดแค้นนางถึงเพียงนี้จริงๆ ถึงกับไม่พูดพร่ำทำเพลง ตั้งใจพุ่งมาฆ่าตัวเองเลย
ด้วยวิทยายุทธของนาง ย่อมดูออกว่าโม่ซวนซุนทุ่มแรงทั้งหมดที่มี ต้องการจะฆ่าตัวเองจริงๆ
นางทั้งตกใจทั้งโกรธ นางไม่มีทางยืนเฉยๆให้คนอื่นมาฆ่าแน่ หน้าสวยโกรธเคือง นางกระโจนขึ้นทันทีก่อนจะจู่โจมฝ่ามือออกไป
ตู้มม…..
มีแสงอันศักดิ์สิทธิ์สาดส่องลงมาชั้นแล้วชั้นเล่า พลังเซียนพลุ่งพล่านดั่งสายน้ำ สว่างจ้าอร่ามตา วนเวียนอยู่ในอากาศ สะเทือนฟ้าดิน เสียงกระหึ่มก้องไปทุกทิศ
“หยุด…”
“พอที….”
2 ศิษย์พี่น้องตื่นขึ้นจาภวังค์ความดีใจ พวกเขารีบห้ามปรามทั้ง 2 คนที่เกือบจะรื้อวิหารสวรรค์ออก
โม่ซวนซุนถูกเจ้าโถงกันไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างราวเด็กกับผู้ใหญ่ ทำให้เขาใจสั่นเล็กน้อย สะกดความโกรธในใจลง มองเขาด้วยความเย็นชา “พวกเจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ไหน”
“เจ้าหนู ไม่ต้องโมโหไป มีอะไรค่อยๆคุยกัน คนกันเองไม่จำเป็นต้องห้ำหั่นกัน” เจ้าโถงยิ้มอย่างมีเมตตา
ส่วนอีกคนที่เสียใจอยู่เต็มอกก็ถูกอาจารย์ตัวเองกันเอาไว้ เขาส่งสายตาปลอบโยนให้นางเพื่อให้นางสงบลง
หยินเฟิ่งที่ทั้งเสียใจทั้งโกรธจนกัดกรามเกือบหัก เขาจ้องผู้ชายตรงหน้าอย่างเคืองโกรธ อยากจะออกจากที่นี่แต่ก็ไม่อยากไปจากเขา จึงได้แต่ยื่นนิ่งๆไม่พูดอะไร
TQF:บทที่ 531 ทุกคนเป็นห่วง ฐานหลักวิหารสวรรค์ (4)
บรรยากาศของทั้ง 4 คนในห้องโถงแปลกๆพิกล โดยเฉพาะโม่ซวนซุนที่ยังโมโหอยู่ “คนกันเองอะไร ที่นี่มันที่บ้าอะไรเนี่ย ข้าไม่รู้จัก”
“นี่น่ะไม่ใช่ที่บ้าอะไรหรอกนะ” เจ้าโถงยิ้มเฝื่อนๆ “ที่นี่คือวิหารสวรรค์ของผืนดินฉางไห่ เจ้าหนู เจ้าก็คงเป็นคนของวิหารสวรรค์เหมือนกันใช่มั้ย”
“อะไรนะ วิหารสวรรค์….” โม่ซวนซุนตกตะลึงกับข่าวที่ได้รับ “ที่นี่คือวิหารสวรรค์จริงๆหรือ”
“ถูกต้อง ที่นี่คือวิหารสวรรค์ พวกเราไม่จำเป็นต้องหลอกเจ้า”
ชายวัยกลางคนเป็นฝ่ายพูดบ้าง เขาพิจารณาเจ้าหนูท่าทางไม่ธรรมดาตรงหน้า มีประกายแห่งความพอใจฉายอยู่ในตา “พวกเรารู้ว่าเจ้าได้สืบสานจิตเทพของท่านบรรพบุรุษ จึงให้คนไปพาเจ้ามา ที่นี่ต่างหากคือฐานหลักของวิหารสวรรค์ ด้วยวาสนาของเจ้า จำเป็นต้องมาอยู่ที่ฐานหลักนี้”
“ที่นี่คือผืนดินฉางไห่?”
โม่ซวนซุนใจสั่นเล็กน้อย เขาไม่ได้นึกถึงปัญหาอื่น ในเวลานี้เขานึกขึ้นได้ว่าท่านย่าฟางซูหยุนก็มาจากผืนดินฉางไห่และไปอยู่ที่อาณาจักรต้าเฟิงในผืนดินตัวเอง”
“ถูกต้อง ที่นี่คือผืนดินฉางไห่”
เจ้าโถงยิ้มกว้าง ถามอ่อนโยน “เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไรเหรอ มาจากผืนดินไหนล่ะ”
“ข้า ข้าชื่อโม่ซวนซุน”
เมื่อเอ่ยชื่อตัวเองออกมา โม่ซวนซุนก็นึกไปถึงช่วงเวลาก่อนตัวเองโดนจับ รู้สึกปวดใจขึ้นมา มองไปที่หญิงสาวชุดแดงด้วยความโกรธแค้นก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “นังสารเลวคนนี้ลอบโจมตีข้าอย่างไร้เหตุผล ควบคุมข้าไว้ไม่ให้ขยับตัว ใช้โอกาสนี้ทำร้ายภรรยาและน้องสาวข้า (ในใจของโม่ซวนซุนหยูเฮงก็เหมือนน้องสาวของเขา)”
2 เฒ่ามีสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อได้ฟัง สายตาก็เบือนไปที่หยินเฟิ่ง
หยินเฟิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนจากแดงไปซีดและกลับมาแดงภายใต้การจ้องมองจากทั้ง 3 คน ความเสียใจและความน้อยใจของนางมีมากขึ้นเรื่อยๆ เอ่ยด้วยความเคืองโกรธ “ข้ากลัวว่าเขาจะไม่ยอมกลับมาด้วยนี่นา อีกอย่าง ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายภูติตัวนั้นสักหน่อย นางรนหาที่ตายเอง”
“เหลวไหล….” ไฟโกรธของโม่ซวนซุนถูกจุดขึ้นอีกครั้ง “นังสารเลว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าลอบโจมตีข้า มีหรือที่หยูเฮงจะลงมือกับเจ้า อีกอย่าง เจ้าลงมือกับภรรยาข้าโดยไม่มีเหตุผล ทำให้วิญญาณนางบาดเจ็บ จะบอกให้นะ ถ้าภรรยาข้าเป็นอะไรไปแม้แต่นิดเดียวข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
“เจ้า…” คำว่านังสารเลวทิ่มแทงใจจนหยินเฟิ่งแทบจะกระอักเลือดด้วยความโกรธ นางสั่นไปทั้งตัว “ยัยบ้านั่นมีอะไรดี ระดับวิทยายุทธก็แค่ก่อเกิดราชันย์จักรพรรดิ์เท่านั้น นางไม่คู่ควรกับเจ้า ข้าหวังดีกับเจ้านะ”
ในระหว่างที่ทั้ง 2 ด่ากัน 2 ศิษย์พี่น้องเข้าใจในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น
สุดท้ายก็คือวิธีการเชิญคนมาของหยินเฟิ่งไม่ถูกต้อง ที่สำคัญนางยังทำร้ายภรรยาของโม่ซวนซุนอีก มิน่าล่ะสถานการณ์ถึงได้เป็นแบบนี้
“นังสารเลวปัญญาอ่อน…”
โม่ซวนซุนโกรธแทบแทบจะสติหลุด ตัวเขาพลุ่งพล่านไปด้วยอานุภาพที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างอีกครั้ง ความอาฆาตในแววตารุนแรงเกินจะเปรียบ
“พอแล้วๆ….”
เจ้าโถงตวัดแขนเสื้อ ลบล้างพลังของโม่ซวนซุนได้ในพริบตา เขาเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “โม่ซวนซุน เจ้าโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องนี้หยินเฟิ่งทำเกินไปจริงๆ เดี๋ยวพวกเราจะลงโทษนางเอง ลูกศิษย์ของวิหารสวรรค์ด้วยกัน อย่าห้ำหั่นกันเอง คนอื่นเขาจะหัวเราะเอา”
“….” ใบหน้าหล่อเหลาของโม่ซวนซุนเย็นยะเยือกจนน่ากลัว ไม่ได้สนใจพวกเขา
เห็นท่าทางหยิ่งผยองของเขาแล้วเจ้าโถงส่งสายตาให้คนข้างๆ ยิ้มเฝื่อนๆ “ศิษย์น้อง เจ้าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรให้เขาอยู่กับเจ้า ข้าไม่แย่งกับเจ้าก็ได้ แต่เจ้าดูเขาสิ….”
แม้เขาจะไม่ได้พูดจบ แต่ความหมายก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนแล้ว โม่ซวนซุนอยากจะฆ่าหยินเฟิ่ง ถ้าหาก 2 คนนี้อยู่ใต้อาจารย์คนเดียวกันละก็เกรงว่าจะไม่มีวันได้สงบ
ผู้ได้รับสืบสานจิตเทพของท่านบรรพบุรุษ ไม่ว่าใครได้ไปเป็นศิษย์ รับรองว่าจะได้ศิษย์อันเป็นเกียรติของสำนักแน่นอน
“ศิษย์พี่ ข้าว่า…”
ไม่ทันที่ชายวัยกลางคนจะพูดจบ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้องโถง “พวกเจ้าไม่ต้องแย่งเจ้าหนูคนนี้กันหรอก ให้เขามาอยู่กับข้าเถอะ”
เสียงมาคนก็ปรากฏตาม ตรงหน้าพวกเขามีร่างตาเฒ่าชุดเทาปรากฏขึ้น ผอมแห้งอย่างกับตาแก่ซอมซ่อที่ไหน
แม้เขาจะดูเหมือนคนไม่ได้ความ 2 ศิษย์พี่น้องและหยินเฟิ่งกลับไม่กล้าเสียมารยาท รีบประสานมือโค้งตัวคำนับ “คารวะอาจารย์ปู่”
“เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี” ตาแก่ซอมซ่อโบกมือ นัยต์ตาขุ่นมัวมองไปที่โม่ซวนซุนอย่างพิจารณา ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าหนู ไม่เลวนี่นา ต่อไปนี้มาอยู่กับข้าเถอะ อย่างไรซะก็เป็นศิษย์ของวิหารสวรรค์เหมือนกัน”
——————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น