แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย 511-517

ตอนที่ 511 กำหนดราคาตามท้องตลาด

 

 


 


“ความคิดที่ตัดเรื่องศีลธรรมกับนิสัยส่วนตัวทิ้ง พูดถึงแค่ท่าทีของคนๆนี้ที่มีต่อความโชคร้ายที่มาอย่างกะทันหัน เขามีวันนี้ได้ก็เพราะการใช้ประโยชน์จากความสงสารของคน นี่คือตัวอย่างของคนที่ทำเรื่องร้ายให้เป็นความได้เปรียบ ส่วนผู้หญิงที่เสียใจที่แฟนไม่ทำตามที่เขาต้องการคนนั้นก็เอาแต่ดื้อไม่ยอมแฟน จนสุดท้ายเป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็ตายไป ดังนั้นความเศร้าเสียใจมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ถ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องมันก็เป็นเรื่อง ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องมันก็ไม่ใช่เรื่อง”


 


 


มีใครบ้างที่จะไม่เจอเรื่องร้ายเลยตลอดชีวิต? ไม่มีหรอก เพียงแต่ท่าทีหลังจากเจอเรื่องจะเป็นตัวตัดสินโชคชะตาของสภาพจิตใจเรา


 


 


เมื่อกลับถึงบ้านแม่อวี๋ก็นั่งที่โซฟา ยิ่งนึกถึงคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล


 


 


“เฮ้อ คนบางคนก็ชอบที่จะดื้อรั้น ยกตัวอย่างเช่นคนๆนั้น” แม่อวี๋รู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ ลากเข้าบทของอาหญิงทันที


 


 


“นี่คือจิตใจของเด็กทารก แต่เขาจะเป็นไงก็ไม่เกี่ยวกับหนู หนูรักษาให้หลี่เจิ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด คุณลุงคุณน้าคะหนูมีเรื่องจะขอร้องสองข้อ หวังว่าคุณลุงคุณน้าจะรับปาก”


 


 


“อะไรเหรอ?” พ่ออวี๋ถาม


 


 


“ทำธุรกิจอย่างอิสระ กำหนดราคาตามใจ”


 


 


พ่ออวี๋ใช้สมองนิดหน่อยก็เข้าใจ


 


 


จากความหมายของเสี่ยวเชี่ยน เธอไม่รักษาให้ฟรี ควรจ่ายเท่าไรก็เท่านั้น ไม่ต้องการให้พ่ออวี๋เข้ามายุ่ง


 


 


“ได้”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนคล้ายกับได้เห็นภูเขาทองมาอยู่ในมือ เสี่ยวเฉียงบอกว่าอาหญิงมีเงินเก็บไม่น้อย คาดว่าคงมีบางส่วนที่รีดไถจากแม่อวี๋ไป อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่เรื่องที่น้องชายแม่อวี๋ทำธุรกิจอัญมณี คนอย่างอาหญิงที่ขูดรีดพี่ชายกับพี่สะใภ้ได้อย่างไม่กระพริบตาแบบนั้นย่อมไปไถจากแม่อวี๋มาไม่น้อยแน่ เอาไปแล้วก็ใช่ว่าจะคิดว่าเป็นบุญคุณอะไร


 


 


เสี่ยวเชี่ยนชอบเอาเปรียบคนแบบนี้ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรอีกฝ่ายยังพูดขอบคุณด้วย


 


 


“แล้วอีกข้อคืออะไรเหรอ?”


 


 


“หนูไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่หนูรักษาให้หลี่เจิ้นค่ะ พูดตามตรงก็คือตอนนี้บ้านเรายังไม่มีใครที่รักษาโรคนี้ได้จริงๆ หนูเองก็ทำได้เพราะอาจารย์—คนนอกรู้เข้าคงไม่ดี รวมถึงอาจารย์หนูด้วยค่ะ อีกหน่อยก็ไม่ต้องบอกเขานะคะว่าหนูเป็นคนรักษา”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนพูดจามีศิลปะ และมีระดับมาก


 


 


พ่ออวี๋แม่อวี๋เป็นคนที่เข้าใจง่าย เรื่องจึงจบง่าย


 


 


เธอพูดแบบนี้พ่ออวี๋แม่อวี๋ก็เข้าใจ ทฤษฎีต่างๆที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไปเป็นหัวข้อที่ศาสตราจารย์หลิวกำลังวิจัยอยู่ ยังไม่ได้ประกาศให้คนภายนอกรู้ และตัวศาสตราจารย์หลิวเองก็เป็นคนที่เข้มงวด เรื่องไหนที่ยังไม่มั่นใจไม่มีทางเผยแพร่ออกไปแน่นอน


 


 


 เสี่ยวเชี่ยนก็ได้แนวคิดมาจากศาสตราจารย์หลิว เธอจึงพอเข้าใจอยู่บ้าง อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับตระกูลอวี๋ เดิมเสี่ยวเชี่ยนจะไม่ออกโรงก็ได้ แต่เพื่อครอบครัวแล้วเธอออกตัวช่วยจะดีกว่า


 


 


ครั้นแล้วพฤติกรรมเจ้าเล่ห์ของเธอก็ได้ทำให้พ่ออวี๋แม่อวี๋ชอบเธอมากกว่าเดิม รู้สึกว่าเด็กคนนี้พึ่งพาได้ มีใจที่เห็นแก่ครอบครัว


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนก็แค่เห็นแก่เงินทองระยิบระยับที่อาหญิงมี การแก้แค้นคนๆหนึ่งอย่างมีชั้นเชิงที่สุดก็คือไม่ควรเอาถึงตาย แต่ต้องขูดรีดเงินออกมาให้ได้มากๆแล้วทำให้คุกเข่าขอร้องเธอให้ได้ ขอร้องเสร็จแล้วยังต้องพูดขอบคุณทั้งน้ำตาอีกด้วย


 


 


“แต่เธอมีความมั่นใจเหรอ?” พ่ออวี๋ถามเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“ยังไงซะสภาพหลี่เจิ้นในตอนนี้ก็เป็นแบบนี้ หนูรักษาไปก่อน หนูไม่ได้สั่งยา ผลอย่างแย่ที่สุดก็คือไม่หาย ไม่มีทางแย่ไปกว่านี้หรอกค่ะ”


 


 


ก็จริง ยังจะมีอะไรให้แย่ไปกว่านี้อีก? พ่ออวี๋เห็นด้วยกับคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนอย่างเงียบๆ


 


 


“ถ้าหนูรักษาหลี่เจิ้นหาย ต่อไปมีเคสแบบนี้อีกก็ไม่ต้องมาหาหนู แล้วก็ไม่ต้องพูดด้วยว่าหนูเป็นคนรักษาหลี่เจิ้น เพราะนี่เป็นผลงานการวิจัยของอาจารย์ หนูเองก็ทำเพื่อ…คุณลุงคุณน้าเข้าใจนะคะ”


 


 


พ่ออวี๋แม่อวี๋พยักหน้า เป็นเด็กดีจริงๆ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้ม เธอต้องการเงิน


 


 


“ปัญหาคือ อาหญิงจะให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาเหรอ?”


 


 


แม่อวี๋รู้จักนิสัยของอาหญิงดี ใช้คำพูดของพ่ออวี๋ก็คือ เนื้อเน่าไปที่ไหนก็เหม็นโฉ่


 


 


ถ้าอาหญิงเกลียดเสี่ยวเชี่ยน ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดง่ายๆแน่


 


 


“ไม่เกินสามวันเขาต้องมาขอร้องหนูถึงที่แน่ค่ะ”


 


 


เนื่องจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เสี่ยวเชี่ยนจึงไม่กลับมหาวิทยาลัยชั่วคราว แม่อวี๋ให้เสี่ยวเชี่ยนอยู่กินข้าว เดิมเสี่ยวเชี่ยนอยากจะแสดงความเป็นแม่ศรีเรือนของตัวเอง คิดจะเข้าครัวไปช่วยแต่ถูกแม่อวี๋ดันออกมา


 


 


พ่ออวี๋กลับที่ทำงานไปแล้ว เสี่ยวเชี่ยนอยู่คนเดียวก็เบื่อ เธอนั่งอยู่ที่โซฟาดูใบปลิวโฆษณาที่พี่ใหญ่ส่งมา เป็นใบปลิวคอนโดใหม่ที่พี่ใหญ่เพิ่งสร้าง


 


 


ถ้าขูดรีดแกะตัวอ้วนอย่างอาหญิงเสร็จเงินก็คงพอซื้อสักห้องที่อยู่สูงๆแหละมั้ง? ขอพี่ใหญ่ซื้อราคาคนในสักห้อง ยังไงซะบ้านมีเท่าไรก็ไม่ถือว่าเยอะ


 


 


ถ้าไม่ฉวยโอกาสซื้อตอนถูกๆอย่างในตอนนี้แล้วจะซื้อเมื่อไร?


 


 


ไม่รู้ว่าในกรุสมบัติของอาหญิงมีอยู่เท่าไร เสี่ยวเชี่ยนลองคำนวณดูซื้อห้องเล็กๆก็คงพอ แต่ถ้าจะซื้อตึกแถวในเมืองก็อาจจะขาดอยู่หน่อย ไม่งั้นก็เพิ่มเงินไปหน่อยแล้วซื้อตึกแถวในเมืองเลย จะได้รอนั่งนับค่าเช่าด้วย


 


 


ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังคิดอยู่นั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนไปเปิดประตูหน่อยสิจ๊ะ—ใครมาน่ะ?”


 


 


“บ้านในเมือง”


 


 


“ใครนะ?” แม่อวี๋โผล่หน้าออกมา เธอกับน้าแม่บ้านกำลังยุ่งอยู่ในครัว


 


 


“เปล่าค่ะ หนูว่าน่าจะเป็นอาเขยนะคะ”


 


 


พอเปิดประตู อาหญิงกับอาเขยก็เดินเข้ามา


 


 


อาหญิงพอเข้ามาแล้วก็ยืนตรงหน้าเสี่ยวเชี่ยน ไม่พูดอะไร


 


 


แม่อวี๋เช็ดมือที่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกมาจากครัว พอเห็นสองสามีภรรยาก็ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ทักทายตามปกติ


 


 


“มาได้พอดีเลย อยู่กินข้าวด้วยกันสิ”


 


 


รู้กันอยู่แล้วว่าอาหญิงกับอาเขยมาทำไม แต่แม่อวี๋ไม่เริ่มก่อน เห็นน้องสามีทำหน้าลำบากใจแบบนั้นแล้วสะใจดี


 


 


ถูกน้องสามีกลั่นแกล้งมาตั้งหลายปี ในที่สุดก็มีวันที่ได้เห็นมาขอร้องคนอื่น


 


 


พ่อหลี่ดันตัวอาหญิง ก่อนมาทั้งสองคนตกลงกันไว้แล้ว เรื่องที่อาหญิงก่อไว้ก็ต้องมาจัดการจบด้วยตัวเอง


 


 


อาหญิงเห็นเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ยังคงรู้สึกขัดหูขัดตา แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ วันนี้เธอถามทุกคนมาหมดแล้ว ก็เหมือนกับที่เสี่ยวเชี่ยนบอก ไม่มีใครรู้จักโรคนี้ แล้วก็ไม่มีใครรับปากว่าจะรักษาได้


 


 


ตอนนี้เพื่อลูกชาย เธอทำได้แค่ก้มหัวให้กับเฉินเสี่ยวเชี่ยนคนที่เธอไม่ชอบ


 


 


“ช่วยรักษาลูกชายให้ฉันด้วย ขอ…ร้อง”


 


 


ก่อนมาอาหญิงได้ถูกสามีเตือนไว้ ถ้าขอร้องให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว จัดการหย่าแล้วเขาจะพาหลี่เจิ้นไปรักษาที่ต่างประเทศ


 


 


“ฉันไม่มีใบอนุญาตค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม


 


 


อาเขยเดินเข้ามาโค้งตัวให้เสี่ยวเชี่ยน “ช่วยลูกชายของฉันด้วยเถอะนะ”


 


 


“เฉินเสี่ยวเชี่ยน แกอย่ามาทำเป็นเล่นตัว ฉันสำนึกผิดแล้วแกยังจะเอายังไงอีก” นิสัยอย่างอาหญิง พูดออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนยังทำเล่นตัวก็อดไม่ได้ที่จะโมโห


 


 


“ฉันไม่ได้จะเอาไงหรอกค่ะ ฉันไม่อยากรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาต” เสี่ยวเชี่ยนนั่งไขว่ห้างอย่างสง่าแล้วมองเหยียดอาหญิง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


 


“ถ้าตอนนี้ฉันออกหน้า สักพักก็จะมีคนวิ่งโร่ไปฟ้องอธิการบดีหาว่าฉันรักษาคนโดยไม่มีใบอนุญาต ความผิดนี้มันใหญ่เหลือเกิน ฉันแบกรับไม่ไหว อาเขยไปหาคนอื่นเถอะค่ะ ลองดูว่าพวกเขาจะรักษาได้ไหม”


 


 


ถ้าคนอื่นมีทางรักษาก็คงไม่มาหาเสี่ยวเชี่ยน 

 

 


ตอนที่ 512 ฆ่าแกะอ้วน

 

ถึงจะไม่ใช่โรคที่ซับซ้อนมาก แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีเคสที่สำเร็จในประเทศ เสี่ยวเชี่ยนจึงกลายเป็นทางรอดสุดท้ายของครอบครัวอาหญิง


 


 


“ถ้าหลังจากนั้นมีเรื่องคนไปร้องเรียนเกิดขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง” อาเขยถลึงตาใส่อาหญิง อาหญิงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากจะยอมก้มหัวให้เสี่ยวเชี่ยนแต่โดยดี


 


 


เสี่ยวเชี่ยนไม่ยื่นบันไดให้อาหญิงก้าวลงแม้แต่ขั้นเดียว เธอเก็บความสงสารเอาไว้ทั้งหมด เธอใจแข็งกับเรื่องนี้มาก


 


 


อาหญิงจำเป็นต้องสัญญามาอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ก่อความวุ่นวายอีกตลอดไป สำหรับคนแบบนี้ไม่มีอะไรให้ต้องเจรจา ถ้ายอมให้หน่อยก็จะได้ใจ คนที่น่าขยะแขยงทำเป็นอยู่อย่างเดียว รังแกคนดีกลัวคนที่แข็งกว่า


 


 


“นี่น่ะเหรอลูกสะใภ้ที่แสนดี ลูกชายคนดีที่เธอเลี้ยงมากับมือ” อาหญิงทำอะไรเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ จึงเอาความโกรธไปลงที่แม่อวี๋ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้แม่อวี๋ไม่ได้เป็นทำนิสัยดีเหมือนในอดีตแล้ว เธอวางตัวเหมือนเสี่ยวเชี่ยน ทำตัวแข็งข้อ


 


 


“ลูกสะใภ้ฉันทำอะไรผิด? ลูกชายฉันทำผิดอะไร? พวกเราไม่ได้ทำให้ขาหลี่เจิ้นเป็นแบบนั้นเสียหน่อย ถ้าเสี่ยวเชี่ยนของพวกเรายอมรักษานั่นก็เพราะเขาเป็นคนจิตใจดี ถ้าเขาไม่ยอมนั่นก็เรื่องของเขา เธอจะมาโวยวายกับฉันทำไม อยากอยู่ก็อยู่ ไม่อยากอยู่ก็ออกไป”


 


 


คล้ายกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน อยู่ๆจากคนที่มีแต่คนเอาใจกลายเป็นคนที่ใครก็ไม่เอา ภายในใจของอาหญิงรู้สึกรับไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้


 


 


เฉินเสี่ยวเชี่ยนมีความสามารถเฉพาะตัว อีกทั้งยังมีวิธีที่จะทำให้ลูกชายเธอกลับมายืนได้อีกครั้ง จะทำตัวแข็งข้อแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไร


 


 


แต่ทำไมพี่สะใภ้ที่ดีกับเธอมาตลอดถึงทำกับเธอแบบนี้ด้วย?


 


 


“ฉันกับเว่ยกั๋วคิดทบทวนดูแล้ว การที่เธอเป็นคนแบบในตอนนี้พวกเราก็มีส่วนผิด พี่คนโตดุจพ่อพี่สะใภ้ดุจแม่ ถ้าในอนาคตอาเขยไม่เอาเธอแล้วพวกเราก็จะส่งเธอกลับบ้านแม่ ให้เธอไปเลี้ยงนกปลูกผักอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ ทำงานเสียบ้างจะได้คิดได้ เว่ยกั๋วโทรไปบอกพ่อกับแม่แล้ว พวกเขาก็เห็นด้วยกับวิธีของพวกเรา”


 


 


“แม้แต่พ่อกับแม่ก็รู้เหรอ?” อาหญิงไม่นึกว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้


 


 


“พ่อโมโหจนโรคหัวใจเกือบกำเริบ เขารู้สึกผิดที่เมื่อก่อนไม่สั่งสอนเธอให้ดี ตอนนี้ทางออกเดียวของเธอก็คือสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปทั้งหมดซะ ไม่อย่างนั้นเทพองค์ไหนก็ช่วยเธอไม่ได้ จนถึงตอนนี้ยังคิดไม่ได้อีกเหรอ?”


 


 


เดิมอาหญิงคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ไม่รู้ทำไมเรื่องถึงพัฒนาไปถึงขั้นที่คุมสถานการณ์ไม่ได้ เฉินเสี่ยวเชี่ยนเด็กผู้หญิงธรรมดาทำให้คนอื่นยอมรับในตัวได้มากขนาดนี้ แม้แต่พ่อแม่เธอก็รู้แล้ว


 


 


“งั้นจะพูดให้เข้าใจมากขึ้นอีกหน่อยนะคะ อาการของหลี่เจิ้น80-90%มีคุณเป็นสาเหตุ เดิมเขาไม่ควรมีปัญหาจิตเวชแบบนี้ แต่เพราะมีแม่ที่คิดไม่ได้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบคุณ เพราะคุณเอาเขามาเป็นข้ออ้างในการทำเรื่องแย่ๆที่ยากเกินกว่าจิตใจส่วนดีของเขาจะรับได้ หลี่เจิ้นถึงได้เป็นแบบนี้ ถ้าคุณยังสำนึกผิดไม่ได้จริงๆเขาก็ไม่มีทางดีขึ้นได้หรอก”


 


 


คำพูดของเสี่ยวเชี่ยนทำให้อาหญิงสะเทือนใจเป็นอย่างมาก


 


 


“แกมันเพ้อเจ้อ ฉันเป็นห่วงลูกชายมาก แต่เล็กจนโตพยายามทำเพื่อเขาทุกอย่าง แล้วเขาจะไม่เข้าใจฉันได้ยังไง…”


 


 


“ดูท่าคุณก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวไปเสียทั้งหมด โลกนี้ยังมีคนที่คุณแคร์อยู่ แต่คุณกลับใช้วิธีเข้าข้างตัวเองทำร้ายคนที่คุณแคร์ การกระทำที่หลี่เจิ้นไม่อาจให้อภัยคุณได้ ไม่อย่างนั้นพอฟื้นขึ้นมาทำไมเขาถึงอยากเจอฉันล่ะ?”


 


 


พ่อแม่แบบนี้มีเยอะมากจริงๆ บอกว่าตัวเองทำเพื่อลูก ทำเรื่องแบบนั้นแบบนี้ แต่ตัวลูกกลับไม่โอเค


 


 


“ไม่มีทาง ไม่มีทาง…”


 


 


อาหญิงไร้ซึ่งคำตอบโต้ หมดคำจะเถียง ทันใดนั้นโทรศัพท์ของอาเขยก็ดังขึ้นพอดี


 


 


“อะไรนะ? อาการแย่ลง?”


 


 


อาหญิงได้ยินดังนั้นก็เครียดทันที อยากจะดึงโทรศัพท์มาคุยแต่ถูกอาเขยผลักออก


 


 


“ออกไป บ้านนี้ไม่ต้องการคนแบบคุณแล้ว ดูตัวเองซะ ทำลูกจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว”


 


 


อาเขยดวงตาเริ่มแดง ส่วนอาหญิงพอได้ยินว่าลูกชายอาการแย่ลงก็ตกใจจนหน้าซีด เอามือปิดปากร้องไห้ออกมา


 


 


“ครอบครัวปกติเวลาที่เกิดมีคนในบ้านสุขภาพจิตไม่แข็งแรง สมาชิกคนอื่นๆก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยในระดับที่ต่างกัน พฤติกรรมของคุณส่งผลต่อลูกชายคุณมาตลอด พ่อแม่คือครูที่ดีที่สุดของลูก แต่ก็อาจเป็นครูที่แย่ที่สุดได้ด้วย”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยืนขึ้น แล้วเดินไปหาอาหญิงที่กำลังร้องไห้อยู่ “คุณคิดว่าการที่ฉันอยากให้คุณมาขอร้องฉัน เป็นเพราะฉันแค้นคุณ เพราะฉันใจแคบอย่างนั้นเหรอคะ?”


 


 


“แล้วไม่ใช่เหรอ?” ตอนนี้อาหญิงไม่รู้แล้วว่าตัวเองพูดอะไร ในสมองมีแต่ลูกชาย


 


 


“ฉันยอมรับว่าความแค้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ฉันเป็นจิตแพทย์ที่มีจรรยาบรรณ ฉันยังไม่ถึงกับจะปล่อยโอกาสทำเงินไปเพียงเพราะความแค้นที่มีกับคุณหรอก เพราะเงินมันไม่ผิดอะไร”


 


 


“แกจะเอาเท่าไร เท่าไรก็บอกมา” อาหญิงถามเสี่ยวเชี่ยน


 


 


“เงินน่ะฉันเอาแน่ ตอนนี้ในสายตาของฉันคุณก็แค่ญาติผู้ป่วยคนหนึ่งเท่านั้น แต่คุณจำเป็นต้องรู้ว่าความผิดของตัวเองคืออะไรอย่างถ่องแท้ เพราะอาการของลูกชายคุณจะดีขึ้นได้แค่ไหนก็อยู่บนพื้นฐานการสำนึกผิดของคุณ ถ้าคุณยังคงไม่ปรับปรุงตัว ลูกชายคุณก็อาจยืนไม่ได้อีกแล้ว ไม่เชื่อก็ลองดู”


 


 


สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนพูดไม่ถึงกับเป็นการขู่อาหญิงทั้งหมด


 


 


ถ้าอาหญิงยังเป็นแบบนี้ต่อไป หลี่เจิ้นอยากหายก็คงไม่ง่าย


 


 


จิตใจเด็กทารกของอาหญิงยังไม่ถึงกับเกินเยียวยา เธอนอกจากจะรักตัวเองแล้ว ยังรักลูกชายตัวเองอีก อาหญิงที่ถูกความรักที่มีต่อลูกชายเป็นตัวขับเคลื่อนในที่สุดก็เข่าอ่อนยอมคุกเข่าด้วยความร้อนใจหันไปหาเสี่ยวเชี่ยน


 


 


เสี่ยวเชี่ยนรีบหันตัวไปหลบอยู่หลังแม่อวี๋ การคารวะนี้เธอรับไว้ไม่ได้


 


 


“ฉันขอร้องล่ะ ช่วยลูกชายฉันด้วย ต่อให้ฉันจะผิดมากแค่ไหนแต่เขาไม่รู้เรื่องด้วย ช่วยเขาด้วยเถอะนะ ถ้าเธอจะให้ฉันตายต่อหน้า ให้ฉันชดเชยความผิดด้วยชีวิตฉันก็ยอม”


 


 


อาหญิงร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


 


ขณะร้อง นอกจากเสี่ยวเชี่ยนแล้วอีกสองคนก็ไม่สบายใจ


 


 


แม่อวี๋เข้าไปพยุงอาหญิงขึ้นมา “ดูทำเข้า มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา คุกเข่าทำไมกัน”


 


 


“ถ้าเขาไม่รับปากฉันก็ไม่ลุกขึ้น” ตอนนี้อาหญิงกลัวขึ้นมาจริงๆแล้ว


 


 


“ลุกขึ้นมาก่อนแล้วฉันจะคุยเรื่องต่อจากนี้” เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าเอาเรื่องจนพอประมาณแล้ว เธอควรพอ


 


 


อาหญิงได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น มองเสี่ยวเชี่ยนด้วยดวงตาพร่ามัว


 


 


“จะให้ฉันรักษามีสองเงื่อนไข หนึ่งคือห้ามบอกคนนอกว่าฉันเป็นคนรักษา หลังจากที่หลี่เจิ้นหายแล้วความลับนี้ก็ต้องเป็นความลับตลอดไป ฉันทำให้เขายืนได้ก็สะกดจิตทำให้เขาพิการได้เช่นกัน จะหาเรื่องใครก็อย่าหาเรื่องจิตแพทย์เข้าใจไหม?”


 


 


อันที่จริงนี่ก็แค่เป็นการขู่ เรื่องไร้เหตุผลไร้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รับรองเอามาใช้กับอาหญิงก็ยังคงได้ผลดี เธอรีบพยักหน้าใหญ่ คิดแค่ว่าอยากให้ลูกตัวเองหายไวๆ


 


 


“ข้อสอง ฉันจะแบ่งการรักษาออกเป็นหลายขั้นตอน ราคาต่อชั่วโมงคือสองหมื่น เอาเงินส่วนตัวของคุณมาจ่าย ห้ามใช้เงินจากรายได้ของอาเขย”


 


 


“เท่าไรนะ?”

 

 

 


ตอนที่ 513 ได้ประโยชน์ทั้งสองด้าน

 

“เท่าไรนะ?”


 


 


“ชั่วโมงละสองหมื่น ก็ตกวินาทีละ5.55หยวน”


 


 


“ไม่ไปปล้นธนาคารเลยล่ะ?”


 


 


“ปล้นก็ผิดกฎหมายสิคะ แต่รักษาโรคไม่ผิดกฎหมาย ตลาดทำการค้าอย่างอิสระ ไม่มีใครเอามีดจี้ให้คุณมาหาฉันเสียหน่อย ราคานี้นี่แหละ คุณจะโอเคหรือไม่ก็เรื่องของคุณ ชีวิตลูกชายคุณที่เหลืออยู่ สู้กระเป๋าราคาแพงๆไม่ได้เลยเหรอคะ?”


 


 


ครั้งนี้ไม่มีทางเลือก อาหญิงไม่รู้จะไปหาใครแล้ว


 


 


ถ้าศาสตราจารย์หลิวรู้ว่าเสี่ยวเชี่ยนกล้าเรียกราคานี้มีหวังได้โมโหตาย หมอทั่วไปรักษาหนึ่งชั่วโมงเพิ่งจะไม่กี่สิบหรืออาจถูกกว่านั้น ที่เลี่ยวฟู่กุ้ยชี้หน้าหาว่าเธอทำราคาตลาดรวนใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล


 


 


แต่ใครใช้ให้อาหญิงต้องมาเดือดร้อนพอดีล่ะ นอกจากเสี่ยวเชี่ยนแล้วก็ไม่มีใครรักษาได้อีก ราคาที่จิตแพทย์กำหนดกับราคาที่โรงพยาบาลกำหนดนั้นไม่เหมือนกัน ตลาดยังขาดหน่วยงานที่ควบคุมราคา ต่อให้ถูกเรียกสูงก็ไม่รู้จะไปฟ้องใคร


 


 


คนที่มาหาเสี่ยวเชี่ยนให้ช่วยรักษาล้วนเป็นคนร่ำรวย อีกทั้งยังไม่แคร์ว่าเธอจะเรียกเงินเท่าไร โดยเฉพาะหลังจากรักษาแล้วรู้สึกว่าคุ้มราคามาก บวกกับจิตแพทย์ต้องมาล่วงรู้ความลับสุดยอดของพวกเขา ไม่มีใครกล้าฟ้องหรอก


 


 


ภายใต้ความกดดันสูงนี้ อาหญิงโกรธจนกัดฟัน แต่ก็ไม่กล้าเถียงเสี่ยวเชี่ยน ถึงแม้แม่อวี๋จะรู้สึกว่าราคาสูงไป แต่พอนึกถึงเรื่องต่างที่อาหญิงเคยทำ ก็ไม่ได้มีท่าทีจะห้ามแต่อย่างใด


 


 


อาเขยไม่ได้แคร์เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ขอแค่ลูกหายป่วยเท่าไรเขาก็ยอมจ่าย


 


 


“ฉันให้เอง” อาเขยพูดกับเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้าพลางชี้ไปที่อาหญิง


 


 


“ฉันเป็นคนแปลกค่ะ กฎที่ฉันตั้งขึ้นมาก็คือถ้าฉันให้ใครจ่ายก็ต้องเป็นคนนั้น ถ้าเขาไม่ออกเงินฉันก็ไม่รักษา”


 


 


“ฉัน…จ่ายเอง” อาหญิงพูดด้วยความเจ็บใจ


 


 


เธอมีทั้งเงินทองทั้งบ้านที่เป็นชื่อเธอ เมื่อต้องแลกกับสุขภาพเงินดูไม่สำคัญเท่าไร เพื่อลูกชายแล้วทำได้แค่อดทน


 


 


“ถ้าระหว่างการรักษาต้องขอความร่วมมือจากคุณ คุณก็ต้องทำตามอย่างไร้เงื่อนไข เข้าใจไหมคะ?” เรื่องเงินบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังจะทำก็คือทำให้อาหญิงยอมจำนนแล้วกุมอำนาจมาไว้ในมือ ถ้าทำออกมาเป็นกิจจะลักษณะแล้วล่ะก็ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าอาหญิงจะไม่เชื่อฟัง


 


 


 “…ก็ได้ ตอนนี้เธอไปรักษาหลี่เจิ้นได้ไหม ดูเหมือนเขาจะเป็นหนักอีกแล้ว…”


 


 


“ไม่รีบค่ะ ไปค่ะ เข้าไปเป็นลูกมือคุณน้าช่วยกันทำกับข้าว”


 


 


“หลี่เจิ้นอาการแย่แล้วยังจะให้ฉันไปทำกับข้าวอีก?” อาหญิงไม่ได้เข้าครัวมาหลายปีแล้ว


 


 


ตอนที่เป็นคุณหนูอยู่ที่บ้านสมัยก่อนก็ไม่เคยช่วยทำงานบ้าน ต่อมาย้ายมาอยู่บ้านพ่ออวี๋ก็ไม่ต้องทำอะไร กินข้าวเสร็จก็วางจานชามทิ้งไว้แบบนั้น พอแต่งงานออกไปยิ่งใช้ชีวิตแบบคุณนายเข้าไปใหญ่ จ้างแม่บ้านมาสองคน ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรทั้งนั้น


 


 


“นี่เป็นส่วนหนึ่งของการรักษา คุณจะทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้แล้วแต่คุณนะคะ”


 


 


อาหญิงพอได้ยินว่าเป็นการรักษา ก็ไม่รีบรอช้าเดินเข้าครัวทันที แม่อวี๋แอบอึ้งเบาๆ


 


 


“ดวงอาทิตย์ขึ้นผิดทางหรือเปล่าเนี่ย ฉันต้องเข้าไปดูหน่อยแล้ว อย่ามาทำครัวฉันไหม้นะ…”


 


 


ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนหอบหิ้วอาหารไปเยี่ยมหลี่เจิ้นก็เป็นเวลาหลังจากนั้นสามชั่วโมงแล้ว คนอื่นๆห้ามเข้าไปในห้องผู้ป่วย มีแค่เสี่ยวเชี่ยนกับหลี่เจิ้นอยู่กับตามลำพัง


 


 


“รู้สึกเป็นไงบ้าง?” เสี่ยวเชี่ยนถามหลี่เจิ้นพลางเอาอาหารวางหัวเตียง


 


 


“ก็ดี…พ่อแม่ผมเป็นห่วงมากใช่หรือเปล่า? เมื่อกี้ที่ผมแกล้งทำดูเกินไปไหม?”


 


 


ก่อนเสี่ยวเชี่ยนไปได้เข้ามาในห้องนี้กับอวี๋หมิงหลางแล้วเสนอเงื่อนไขกับหลี่เจิ้น


 


 


ถ้าพ่อแม่เขาไปหาเสี่ยวเชี่ยนก็ให้เขาหาเวลาแกล้งป่วย ทำเป็นร้องเจ็บปวดยังไงก็ได้ โดยมีจุดประสงค์เดียว


 


 


ทำให้หมอที่เดิมก็ไม่รู้จะทำไงเชื่อว่าอาการเขาแย่ลงไปอีก ซึ่งก็คือตอนที่อาหญิงรับโทรศัพท์แล้วลงไปคุกเข่ากับพื้น อันที่จริงตอนนั้นหลี่เจิ้นแกล้งป่วย


 


 


“การโกหกโดยมีเจตนาดีในเวลาที่เหมาะสมเป็นการช่วยเหลือครอบครัวนายนะ มา ลองชิมนี่ดูสิ แม่นายกับว่าที่แม่สามีฉันช่วยกันลงมือทำ”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเปิดกล่องอาหาร แล้วหยิบซุปออกมา พอเงยหน้าก็เห็นหลี่เจิ้นตาแดงๆ


 


 


“นี่ คงไม่ใช่จะร้องไห้แล้วนะ? เก็บอาการหน่อย ลูกผู้ชายเขาไม่เสียน้ำตาง่ายๆหรอกนะ”


 


 


“แม่ไม่ได้เข้าครัวนานแล้ว คงไม่น่าอร่อยหรอก”


 


 


หลี่เจิ้นซาบซึ้งใจจริงๆ แม่เขาเป็นคนอย่างไรเขารู้ดีแก่ใจ การที่แม่เข้าครัวได้อีกทั้งยังทำอาหารกับป้าสะใภ้ได้นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ


 


 


“เดี๋ยวฉันปักหลอดให้ดื่ม นับแต่นี้ไปฉันเป็นจิตแพทย์ของนาย นายต้องเชื่อฟังฉัน ร่างกายกับจิตใจสัมพันธ์กัน การที่จะรักษาจิตใจได้ร่างกายนายต้องแข็งแรงก่อน กินซุปบำรุงร่างกายซะ แล้วฉันจะได้เริ่มรักษา”


 


 


“ผมไม่ค่อยอยากเท่าไร”


 


 


“อ่อ ไม่เป็นไร ไม่กินก็ได้ ฉันลืมบอกนายไปว่าการรักษาของฉันคิดเงินเป็นรายชั่วโมง เริ่มนับตั้งแต่ฉันเดินเข้ามา ชั่วโมงละสองหมื่น นาทีละ333 วินาทีละ 5.55 ตอนนี้นายเสียเวลาไปเปล่าๆเป็นสิบนาทีแล้วนะ แน่นอนว่านายจะไม่กินซุปก็ได้ ฉันไม่รีบ ฉันก็แค่รอจนนายกินเสร็จแล้วค่อยเริ่ม เงินนี่ก็เอามาจากกรุสมบัติของแม่นาย ไม่รู้นะว่าเงินเขาจะพอหรือเปล่า ไม่พอก็คงต้องขายบ้าน ถ้านายไม่ให้ความร่วมมือกับฉันไปเรื่อยๆ ฉันก็จะพาเขาไปขายไตมาใช้หนี้—นี่ ช้าๆหน่อย เดี๋ยวก็สำลักหรอก”


 


 


ภายในห้องวงจรปิด แม่อวี๋กับอาหญิงพอเห็นหลี่เจิ้นกินอาหารก็ดีใจจนเอามือมาจับกัน เสี่ยวเชี่ยนนี่เหนือชั้นจริงๆ


 


 


แต่สักพักทั้งสองคนก็รู้สึกแปลกๆ แล้วก็ปล่อยมือกัน จากนั้นก็เบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง


 


 


“ลูกสะใภ้เธอนี่ทำธุรกิจเก่งจริงนะ รักษาโรคยังคิดเงินเป็นวินาที…” ตอนที่อาหญิงขอร้องคิดแต่ว่าขอแค่ลูกชายหายป่วยเป็นพอ พอตอนนี้มีสติมาคิดดูดีๆ เงินที่ต้องเสียไปก็น่าปวดใจไม่น้อย


 


 


ชั่วโมงนึงนี่ได้กระเป๋าแบรนด์เนมเลยนะ


 


 


“เธอยังคุกเข่าไม่หนำใจใช่ไหม?” แม่อวี๋เหล่มอง อาหญิงไม่กล้าพูดอะไรอีก


 


 


ครั้งนี้รู้จักทำตัวดีขึ้นมาจริงๆแล้ว เสี่ยวเชี่ยนได้เปรียบทุกอย่าง ข้างกายอาหญิงไม่มีใครเข้าข้างเธอเลยสักคน อาหญิงเองก็ไม่กล้าทำอวดดีอีกต่อไป จ่ายเงินไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินเสี่ยวเชี่ยนอีก อีกทั้งตอนนี้เธอหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เห็นเสี่ยวเชี่ยนรักษาหลี่เจิ้น


 


 


หลี่เจิ้นกินซุปไปหลายอึกจนกินต่อไปไม่ไหวแล้ว


 


 


“เฉินหน้าเลือด จะเริ่มได้หรือยัง ผมกินต่อไปไม่ไหวแล้ว…”


 


 


“เรียกฉันว่าหมอเฉิน”


 


 


เฉินหน้าเลือดอะไรของเอ็งวะ


 


 


“รักษาโรคคิดเงินเป็นวินาทีอย่างกับผีดูดเลือด…แม่ผมมีเงินอยู่ไม่เท่าไร ทำไมคุณถึงได้คิดแพงแบบนั้นล่ะ—จะว่าไปคุณคงไม่คิดจะรักษาผมเป็นสิบๆชั่วโมงหรอกนะ? แบบนั้นผมตายดีกว่า”


 


 


“ถ้านายยังกล้าสงสัยในฝีมือการรักาของฉันล่ะก็ ฉันจะเพิ่มเงินเข้าไปอีก เรื่องนี้คนอย่างฉันทำได้นะ”


 


 


ไม่ใช่แค่ทำได้ธรรมดานะ ทำได้คล่องเลยล่ะ


 


 


“…นี่คุณเป็นนางฟ้าหรือนางมารกันแน่” หลี่เจิ้นไม่รู้จะประเมินเสี่ยวเชี่ยนออกมาเป็นแบบไหนดี


 


 


ตอนนั้นเรื่องที่เธอทำเพื่อล้างแค้นหนีเจ้ยนเหริน ทั้งถ่ายรูป ทั้งส่งอาหาร ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่น่าหวาดกลัว แล้วนี่ยังจะรักษาคนด้วยราคาแพงๆอีก


 


 


แต่จะบอกว่าเธอมีภาพลักษณ์เป็นคนเลวก็ไม่ใช่ เธอยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือเขา ฉุดเขาขึ้นมาจากเงื้อมมือของยมทูต


 


 


“ฉันเป็นคนที่รักตัวเอง อาจารย์บอกเสมอว่าห้ามทำเรื่องที่ผิดจรรยาบรรณ เจอคนป่วยก็ต้องรักษา แต่ด้วยความที่ฉันเป็นคนรักตัวเองไง กับบางคนที่ฉันเกลียดมากๆอย่างเช่นแม่นาย การรับมือกับคนแบบนี้ ฉันจะทำผิดต่ออาจารย์ไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากทำผิดต่อตัวเองเช่นกัน ก็เลยต้องเอาแบบนี้ไงจ๊ะ~”


 


 


“โห” 

 

 


ตอนที่ 514 ใช้ไม้เด็ด

 

“ดูสิ พูดความจริงคนก็ไม่ชอบ การรับมือกับแม่นายคนที่ฉันเกลียดก็ต้องเก็บเงินให้มากๆหน่อย เรื่องใจกับเงินมันต้องไปด้วยกัน ฉันจะผิดคำสัญญาที่มีต่ออาจารย์ไม่ได้ แต่ก็ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขไม่ได้เหมือนกัน”


 


 


คนไหนที่ไม่ขัดหูขัดตาเธอก็จะเก็บเงินน้อยหน่อยหรืออาจรักษาฟรีไปเลย แต่กับคนอย่างอาหญิง เอามีดแทงไปหนึ่งทียังไม่รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ อยากรักษาก็มา ไม่อยากก็ไป ไม่ได้บังคับ


 


 


ไม่ว่าเสี่ยวเชี่ยนจะเรียกเงินสูงแค่ไหน คนพวกนั้นก็ยังคงร้องไห้อ้อนวอนให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาอยู่ดี ฝีมือเธอเป็นที่การันตี ยิ่งคนมีเงินก็ยิ่งเสียดายชีวิต บอกให้คนพวกนั้นไปหาหมอถูกๆรักษาคงไม่กล้าด้วยซ้ำ ดังนั้นเสี่ยวเชี่ยนทำงานไม่ต้องกังวลเรื่องเงินเลยสักนิด


 


 


“คุณจะเก็บอาการไม่ชอบแม่ผมเลยไม่ได้เหรอ?” หลี่เจิ้นไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


 


“แล้วเขาทำเรื่องอะไรที่ทำให้ฉันชอบขึ้นมาหรือยังล่ะ? ชีวิตคนเราจะว่ายาวก็ยาวจะว่าสั้นก็สั้น ไม่รู้ว่าวันไหนจะจากโลกนี้ไป แล้วทำไมพวกเราถึงไม่หาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขล่ะ? ต่อให้ไม่ทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นก็อย่าเก็บความไม่พอใจที่เกลียดใครเอาไว้ อย่างเช่นในส่วนลึกของจิตใจนายย่อมต้องมีสิ่งที่เกลียดหรือสิ่งที่ชอบมากๆที่นายกดมันเอาไว้”


 


 


“เกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศของผมหรือเปล่า? อันที่จริงผมมีคำถามที่อยากถามคุณมานานแล้ว เฉินเสี่ยวเชี่ยน คุณเกลียดพวกรักร่วมเพศมากเลยเหรอ?”


 


 


“อาจเกี่ยวกับเรื่องรสนิยมทางเพศของนายและก็อาจไม่เกี่ยว เดี๋ยวฉันจะทำให้นายผ่อนคลายแล้วเข้าสู่จิตใต้สำนึกตามหาต้นเหตุที่ทำให้นายป่วย ส่วนเรื่องรักร่วมเพศ ฉันขอตอบนายเลยว่า ฉันไม่ได้เกลียดแล้วก็ไม่ได้ดูถูก ไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่คัดค้าน ฉันมีเพื่อนที่มีความบกพร่องในการรับรู้สภาวะเพศเหมือนกัน เขาชอบแต่ผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในความรู้สึกชื่นชมที่ฉันมีในตัวเขา แต่ผู้ชายไร้ยางอายอย่างหนีเจี้ยนเหริน กลายเป็นเถ้าถ่านแล้วฉันยังอยากถ่มน้ำลายใส่”


 


 


เพื่อนที่มีความบกพร่องในการรับรู้สภาวะเพศที่เสี่ยวเชี่ยนพูดถึงก็คือฉิวฉิว


 


 


ห้องพักตายยกรังของพวกเธอคนที่ยอมรับฉิวฉิวได้ก่อนก็คือเสี่ยวเชี่ยน เธอไม่เคยปิดบังความชื่นชมที่มีในตัวฉิวฉิว บุคลิกเป็นกันเองชอบช่วยเหลือเพื่อน คนแบบนี้มีแรงดึงดูดให้ไม่ว่าจะเพื่อนต่างเพศหรือเพศเดียวกันอยากจะเป็นเพื่อนด้วย สืออวี้กับต้าอีหลังจากที่สนิทกับฉิวฉิวแล้วก็ชอบเขาเป็นอย่างมาก


 


 


“งั้นก็หมายความว่า คุณไม่ได้รังเกียจรักร่วมเพศ เมื่อก่อนผมเข้าใจคุณผิดไปจริงๆ…ผมนึกออกแล้ว เมื่อก่อนตอนที่พวกเราเจอกันคุณเคยเตือนผม แล้วเมื่อกี้คุณยังบอกว่าผมเป็นลูกผู้ชาย”


 


 


หลี่เจิ้นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เสี่ยวเชี่ยนไม่เคยดูถูกเขาเลย ถึงขนาดที่มองรสนิยมทางเพศของเขาเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ เธอไม่ได้คิดว่ารักร่วมเพศต้องเป็นกะเทยเสมอไป เธอเพียงแต่เกลียดที่หนีเจี้ยนเหรินไปหลอกเธอแต่งงาน พอคิดได้แบบนั้นก็โล่งใจขึ้นเยอะ


 


 


“เพิ่งจะรู้เหรอ? อันที่จริงความกดดันของคนเราหลายครั้งที่มาจากตัวเอง นายแคร์กับสายตาที่คนอื่นไม่เข้าใจนายมากเกินไป คิดว่าทุกคนเขาดูถูก ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น” เสี่ยวเชี่ยนค่อยๆโยงเรื่องสนทนาเข้าสู่การรักษา


 


 


“จริงสิ ช่วงที่ผมชมคุณหลายวินาทีนี่อย่าคิดเงินได้ไหม มันแพงเกินไป…”


 


 


“ไม่ได้หรอก อ่อ ประโยคนี้ก็ต้องคิดเงินด้วย”


 


 


เป็นหมอที่หน้าเลือดจริงๆ แต่หลี่เจิ้นรู้สึกว่าตอนนี้เขาเริ่มชื่นชมในตัวเสี่ยวเชี่ยนหน่อยๆแล้ว


 


 


หลังจากที่ได้รับความไว้วางใจจากหลี่เจิ้นแล้ว เสี่ยวเชี่ยนก็เริ่มรักษา ใช้ความสามารถของเธอพิสูจน์ว่าค่ารักษาชั่วโมงละสองหมื่นนั้นคุ้มค่าแก่การจ่าย


 


 


อวี๋หมิงหลางไม่อยู่ไม่มีใครอ่านภาษารูปปากได้ ไม่มีใครรู้ว่าเธอพูดอะไรกับหลี่เจิ้นบ้างในห้องผู้ป่วย


 


 


แต่หลังจากที่เธอทำการรักษาครั้งแรกไปสองชั่วโมงสิบนาที ขาของหลี่เจิ้นมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งที่มีความรู้สึก ทำให้ทุกคนต่างตื่นเต้น


 


 


นี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าที่เสี่ยวเชี่ยนบอกว่าขาของเขามีสาเหตุมาจากสภาพจิตใจนั้นเป็นเรื่องจริง หาทิศทางในการรักษาได้ก็แสดงว่ามีทางหาย


 


 


ถึงค่ารักษาจะแพง แต่อาหญิงกับอาเขยต่างรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว


 


 


โดยเฉพาะอาหญิง ไม่กล้าดูถูกเสี่ยวเชี่ยนอีกต่อไปแล้ว วินาทีที่แม่อวี๋เคาะขาหลี่เจิ้นแล้วหลี่เจิ้นบอกเจ็บ อาหญิงถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเองก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป หลังจากที่พิสูจน์ความสามารถในการรักษาของตัวเองแล้ว เธอก็รีบสั่งให้อาหญิงทำนั่นทำนี่อย่างสบายใจ


 


 


เดี๋ยวก็ให้อาหญิงไปซื้อน้ำ เดี๋ยวก็บอกว่าน้ำที่ซื้อมาไม่พอกิน ใช้อาหญิงไปแบบนี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่กล้ามีปากเสียงอะไร


 


 


ตอนเย็นพ่ออวี๋กลับมา แม่อวี๋ก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง พ่ออวี๋รู้สึกสนุกขึ้นมาทันที


 


 


น้องสาวที่ไม่เอาไหนของเขามีคนมารักษาแล้ว


 


 


ตอนนี้ต่อให้เสี่ยวเชี่ยนให้อาหญิงเอาผ้าขี้ริ้วมาทำความสะอาดบ้านพ่ออวี๋ตั้งแต่ชั้นบนลงมาชั้นล่างรวมถึงห้องน้ำ อาหญิงก็ไม่กล้าปริปากบ่น หลังจากที่ได้เห็นเสี่ยวเชี่ยนรักษาหลี่เจิ้นจนดีขึ้นมากในครั้งแรก เธอก็รีบโอนเงินให้หนึ่งแสน นี่เป็นแค่เงินก้อนแรก


 


 


วันต่อมาเสี่ยวเชี่ยนนัดหลี่เจิ้นช่วงบ่าย ตอนเช้าเจี่ยซิ่วฟางจะให้เธอไปช่วยเก็บเงิน แต่เธอปฏิเสธ


 


 


เจี่ยซิ่วฟางแอบน้อยใจอยู่ลึกๆ ลูกสาวนานๆจะกลับมาอยู่หลายวันแต่กลับไม่ไปไหนเป็นเพื่อนเธอ เจี่ยซิ่วฟางที่หิ้วของพะรุงพะรังกลับมาในตอนเที่ยงเจอกับพ่อเลี่ยวตรงทางเดิน


 


 


“ทำไมซื้อของมาเยอะแยะแบบนี้ล่ะ? เต็มไม้เต็มมือเลยนะ มีทั้งไก่ทั้งปลา”


 


 


“ก็เสี่ยวเชี่ยนกลับมานี่ไงคะ ก็เลยอยากซื้อของมาบำรุงแกหน่อย อยู่ข้างนอกกินแต่อะไรไม่รู้ ผอมเป็นไม้เสียบผี”


 


 


อันที่จริงเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ผอมลงเลยสักนิด แต่คนเป็นแม่มักจะคิดว่าลูกตัวเองผอมลงเสมอ กลับมาครั้งหนึ่งก็ต้องบำรุงกันหน่อย


 


 


“ฮ่าๆ น้องนี่รักลูกจริงๆเลยนะ” พ่อเลี่ยวชม


 


 


“จะไม่รักได้ไงคะ ฉันคลอดออกมาเองเลยนะ แต่เด็กคนนี้นี่พอโตก็ไม่เอาฉันแล้ว บอกให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป วันๆเอาแต่ไปข้างนอก”


 


 


เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกโกรธอยู่ในใจหน่อยๆที่เสี่ยวเชี่ยนไม่ออกไปเป็นเพื่อน ตอนบ่ายยังจะไปหาครอบครัวอวี๋อีก เธอจึงต้องระบายให้คนนอกฟัง แต่ก็ไม่ได้โกรธลูกสาวจริงๆหรอก ก็แค่ชอบบ่นตามความเคยชิน


 


 


“ลูกๆพอมีครอบครัวก็จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง พี่ก็เป็นห่วงลูกพี่เหมือนกัน แม่เขาจากไปตั้งนานแล้ว วันๆเขาก็ไม่เอาใคร ไม่มีใครคอยอยู่ข้างกายด้วย พี่เองก็กลุ้ม”


 


 


“ใช่ไหมล่ะคะ ฉันก็เป็นห่วงลูกคนเล็กเหมือนกัน…”


 


 


คนเป็นพ่อเป็นแม่พอเจอกันก็มีเรื่องลูกให้คุยไม่รู้จักจบจักสิ้น เสี่ยวเชี่ยนอยู่ในบ้านได้ยินหมด


 


 


เดิมเธอคิดจะเปิดประตูให้แม่ แต่พอได้ยินคุณนายร่างอ้วนเม้าท์ตัวเอง เธอจึงเดินถือกล่องกลับไป หึ ไม่เปิดให้แล้ว หยิบกุญแจไขเองแล้วกันนะแม่จ๋า~


 


 


เธอยืนอยู่ริมหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง เลี่ยวฟู่กุ้ยขับรถซานตาน่าเก่าๆกลับมาแล้ว อยู่ห่างขนาดนี้เธอยังได้ยินเสียงรถ อย่างกับว่าซื้อรถมือสองมาใช้


 


 


เป็นถึงรองหัวหน้า แต่กลับใช้ชีวิตแบบนี้ เสี่ยวเชี่ยนล่ะนับถือเลยจริงๆ เสี่ยวเชี่ยนเอากล่องใบยาวในมือมาชันคางแล้วมองลงไป


 


 


เฉินจื่อหลงเลิกเรียนกลับมาแล้ว เขาทักทายเลี่ยวฟู่กุ้ย เสี่ยวเชี่ยนไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่เห็นเลี่ยวฟู่กุ้ยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้เฉินจื่อหลง


 


 


จึ๊ๆ ตาคนช่างจับผิดนี่ก็มีมุมอ่อนโยนกับเขาด้วย หรือคิดจะมาหลอกอะไรน้องชายจอมโง่ของเธอ? ดูท่าถึงเวลาต้องเตือนต้าหลงแล้วว่าต้องใช้ไม้เด็ดแล้ว 

 

 


ตอนที่ 515 สังหารห้าครั้งติด

 

ต้าหลงบอกว่าดูเหมือนพ่อของเลี่ยวฟู่กุ้ยจะดูมีใจให้เจี่ยซิ่วฟาง เสี่ยวเชี่ยนได้ยินสองคนนี้ยืนคุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้นอยู่หน้าบ้านก็คิดว่าไม่แน่คงเป็นแบบนั้นจริงๆ งั้นเลี่ยวฟู่กุ้ยคิดจะเอาใจต้าหลงล่วงหน้าอยากจะมาเป็นพี่ชายให้เธองั้นสิ?


 


 


ฐานะของสองครอบครัวในสายตาของเสี่ยวเชี่ยนบอกไม่ถูกว่าใครจะเกาะใคร ต่างเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง พ่อเลี่ยวมีอำนาจ เจี่ยซิ่วฟางมีเงิน ถ้าพ่อเลี่ยวนิสัยไม่ต่างกับเลี่ยวฟู่กุ้ยล่ะก็ งั้นก็คงไม่อะไรกับแม่เธอเท่าไรหรอก


 


 


สำหรับการแต่งงานครั้งใหม่ของแม่ เสี่ยวเชี่ยนไม่มีความเห็นอะไรเป็นพิเศษ ขอแค่เจี่ยซิ่วฟางมีความสุขก็พอ อย่างไรเสียมีเธออยู่ก็ไม่มีใครกล้ามาหลอกแม่เธออย่างแน่นอน — คนอย่างสองพ่อลูกตระกูลเลี่ยวนั่น ไม่ถูกพวกเธอหลอกก็บุญแล้ว


 


 


แต่เสี่ยวเชี่ยนก็มีเรื่องกังวล


 


 


อาชีพของสองพ่อลูกนั่นไม่ธรรมดา นิสัยก็หัวรั้นจนเกินไป เป็นประเภทที่ยอมหักไม่ยอมงอ ถ้าเจี่ยซิ่วฟางแต่งกับพ่อเลี่ยวจริงๆ ไม่แน่อาจต้องมาเหนื่อยไปด้วย คนที่มาขอร้องถ้าไม่สำเร็จก็ชอบใช้กำลังล้างแค้น เจี่ยซิ่วฟางไปใช้ชีวิตด้วยก็อาจจะอยู่อย่างไม่เป็นสุข


 


 


สองพ่อลูกตระกูลเลี่ยว คนหนึ่งเป็นผู้พิพากษาใหญ่ อีกคนเป็นนักนิติจิตวิทยา เรื่องแบบเมื่อวันก่อนที่มีคนตามมาหาถึงบ้านคงมีไม่น้อย เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากให้แม่ตัวเองต้องใช้ชีวิตแบบนั้น คนแก่ดีๆมีถมเถไป ทำไมจะต้องมาเลือกคนที่มีแต่เรื่องยุ่งยากด้วย นับประสาอะไรกับพ่อเลี่ยวที่ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง แถมพี่ชายหัวโบราณที่มีงานอดิเรกท่องคำสอนของผู้นำมาให้เธอ…


 


 


พอนึกได้ถึงตรงนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ตัดสินใจจะไม่ยืนดูอยู่เฉยๆแล้ว พอเห็นเฉินจื่อหลงน้องชายไร้อนาคตยืนคุยกับเลี่ยวฟู่กุ้ยอย่างสนุกสนานเสี่ยวเชี่ยนก็เปิดหน้าต่างแล้วตะโกนลงไปข้างล่าง


 


 


“ต้าหลง กลับบ้าน”


 


 


เฉินจื่อหลงกลัวเสี่ยวเชี่ยนมาก พอได้ยินเสียงเสี่ยวเชี่ยนก็เสียวสันหลังวาบ เงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นแสงที่สะท้อนบนแว่นของพี่สาว เขานึกเรื่องที่เมื่อวันก่อนพี่สาวกระซิบบอกออกทันที


 


 


ไอ๊หยา ลืมที่พี่บอกไปเลย ห้ามอยู่ใกล้พี่หยุนฉาง


 


 


“นายดูสนิทกับพี่สาวดีนะ” เลี่ยวฟู่กุ้ยเงยหน้ายิ้มให้เสี่ยวเชี่ยน แต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนปิดหน้าต่างใส่ ไม่ให้โอกาสเขาได้ทักทายเลยด้วยซ้ำ


 


 


“เอ่อ ก็ดีฮะ…” ขอโทษนะพี่หยุนฉาง ใครใช้ให้เขาเป็นพี่สาวผมล่ะ


 


 


“พี่นาย…มีแฟนหรือเปล่า?” เลี่ยวฟู่กุ้ยถาม


 


 


“ไม่มีแฟนฮะ”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยดีใจ แต่กลับได้ยินเฉินจื่อหลงพูดต่อ


 


 


“แต่มีคู่หมั้น”


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยรู้สึกเหมือนหัวใจจะสลาย


 


 


“พี่ฟู่กุ้ย พี่ถามทำไมฮะ”


 


 


“เปล่าหรอก ก็แค่ถามดู—เมื่อกี้นายเรียกพี่ว่าอะไรนะ?”


 


 


หัวใจชายหนุ่มของเลี่ยวฟู่กุ้ยเมื่อครู่เพิ่งจะมีประกายแห่งความหวัง ไม่เพียงแต่จะถูกทำให้สลาย ดูเหมือนจะยังได้ยินอะไรชวนโมโหด้วย?


 


 


“ฟู่กุ้ยไงฮะ พี่ฟู่กุ้ย ปกติพี่ทำงานไหมฮะ พี่ฟู่กุ้ย ที่ทำงานพี่อยู่ไม่ห่างจากที่นี่หรือเปล่า? พี่ฟู่กุ้ย ทำไมตอนเที่ยงพี่ไม่กินข้าวที่โรงอาหารล่ะฮะ? พี่ฟู่กุ้ย ทรงผมพี่เท่ห์จัง…”


 


 


เฉินจื่อหลงพูดมาแต่ละประโยค ก็เห็นเลี่ยวฟู่กุ้ยหน้าบึ้งขึ้นเรื่อยๆ


 


 


ในใจของเด็กน้อยต้าหลงก็อยากจะบ้าเหมือนกัน ใช่ว่าเขาอยากจะหาเรื่อง แต่เป็นเพราะพี่สาวสั่งไว้ ถ้าเห็นพี่หยุนฉางกล้าเข้ามาตีสนิทล่ะก็ให้เรียกฟู่กุ้ยติดกันห้าครั้ง


 


 


เลี่ยวฟู่กุ้ยที่น่าสงสาร ยังไม่ทันจะหายช็อคเรื่องที่สาวงามมีเจ้าของแล้ว ยังถูกเสี่ยวเชี่ยนสั่งให้ต้าหลงเล่นแผน ‘สังหารฟู่กุ้ยห้าครั้งติด’ เล่นเอานิ่งไม่ขยับเขยื้อน


 


 


ชีวิตคนเราทำไมช่างโหดร้ายแบบนี้


 


 


หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนเล่นงานเลี่ยวฟู่กุ้ยแบบอ้อมๆแล้วในใจก็สดชื่นขึ้นเยอะ


 


 


แบบนี้ตาเลี่ยวฟู่กุ้ยคนใจแคบนั่น คงจะต้องไปบ่นกับพ่อว่าทางที่ดีไปหาป้าคนอื่นดีกว่า เขาจะได้ไม่ถูกล้อชื่อนี้ทุกวัน


 


 


เฉินจื่อหลงถูกเจี่ยซิ่วฟางบอกให้เข้าบ้านไปก่อน หัวข้อสนทนาระหว่างเจี่ยซิ่วฟางกับพ่อเลี่ยวเริ่มตั่งแต่ควบคุมลูกๆยากไปจนถึงหมูน้ำแดงทำอย่างไรให้อร่อย ดูเหมือนทั้งสองคนจะพูดคุยภาษาเดียวกัน


 


 


สามารถคุยกับแม่วัยทองของเขารู้เรื่องได้ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าพ่อเลี่ยวนิสัยใช้ได้เลยทีเดียว


 


 


ถ้าพ่อเลี่ยวทำอาชีพทีปลอดภัยกว่านี้หน่อย ไม่แน่เสี่ยวเชี่ยนก็คงจะยอมเออออไปกับคู่นี้ด้วย


 


 


“พี่ ทำไมต้องให้ผมเรียกพี่หยุนฉางแบบนั้นด้วย ผมเห็นเขายิ้มแบบหน้าเสียไปเลย” ต้าหลงพอเข้าบ้านมาก็ประท้วงใหญ่


 


 


“แกจะเข้าใจอะไร นี่เป็นแผนการรบ”


 


 


“พี่คงไม่คิดว่าพอเราเรียกฉายาเขาแล้ว เขาจะไม่ให้พ่อมายุ่งกับแม่หรอกนะ?” แม้แต่เฉินจื่อหลงยังสังเกตเห็นว่าพ่อเลี่ยวกับแม่เขาดูแปลกๆ


 


 


ปกติแม่เขาเป็นคนพูดมาก พอเห็นเพื่อนบ้านก็ต้องชวนคุย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เฉินจื่อหลงยังสังเกตเห็นแม่อ่านข่าว เพื่อที่ว่าเวลาเจอพ่อเลี่ยวจะได้ชวนคุยเรื่องข่าวสารทันเหตุการณ์


 


 


จริงๆแล้วยังมีสิ่งที่เฉินจื่อหลงไม่รู้นั่นก็คือ พ่อเลี่ยวยังได้ซื้อตำราอาหารมาอ่านด้วย แบบนี้ไม่เรียกว่าต่างฝ่ายต่างมีใจหรอกหรือ


 


 


“คนใจเท่ารูเข็มแบบเขามีเหรอจะทนเรื่องแบบนี้ได้? เวลาแกเจอเขาก็เรียกแบบนั้นไปติดกันห้าครั้ง ถ้าเขากล้าโมโหไม่ให้นายเรียกก็ไปฟ้องแม่เลย บอกว่าเขารังแก เข้าใจไหม?”


 


 


“…พี่ ผมว่าวิธีพี่มันดูไร้เดียงสา”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนเขกหัวน้องชาย “แกก็เห็นแต่ฉันไร้เดียงสา ทำไมไม่เห็นตอนเขารังแกฉันบ้างล่ะ?”


 


 


“เขากล้ารังแกพี่เหรอ? เดี๋ยวผมจะไปลุย” เฉินจื่อหลงถกแขนเสื้อขึ้นแล้วจะเดินออก แต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนลากกลับมา


 


 


“แกอย่าไปหาเรื่อง ฉันหมายความถึง…ในฝัน”


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยอมรับว่าการที่เธอเอาความแค้นเมื่อชาติที่แล้วมาลงกับชาตินี้ดูจะทำตัวเด็กไปหน่อย แต่ใครใช้ให้พ่อเขามาชอบแม่เธอล่ะ ชอบน่ะยังไม่เท่าไร แต่ใครใช้ให้อาชีพของพ่อเลี่ยวต้องเสี่ยงอันตรายแบบนั้นด้วย?


 


 


เรื่องที่ผู้พิพากษาใหญ่ถูกนักโทษล้างแค้นนั้นมีไม่เยอะ แต่หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวันก่อนมาเสี่ยวเชี่ยนก็ไม่สบายใจเท่าไร กลัวว่าชีวิตแม่เธอจะต้องมาซวยไปด้วย


 


 


“เรื่องในฝันแต่พี่เอามาแก้แค้นในชีวิตจริง นิสัยนี้พี่เขยทนได้ไงเนี่ย?”


 


 


“แกจะเข้าใจอะไร อย่างเขาเรียกทนที่ไหน? เขาเรียกดื่มด่ำ อย่ามาทำเปลี่ยนเรื่อง แกเจอเขาก็ต้องเรียกฟู่กุ้ยเข้าใจไหม?”


 


 


“รู้แล้ว แต่ถ้าผมเรียกแล้วเขาไม่แคร์ล่ะ?”


 


 


“เหอๆ…คนใจแคบแบบเขาถ้าไม่แคร์ งั้นอีกหน่อยถ้าแม่เราแต่งกับพ่อเขาจริงๆฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”


 


 


ภาพความทรงจำของเลี่ยวฟู่กุ้ยยังติดตาเธออยู่ที่เมื่อชาติก่อนเขาชี้หน้าเถียงเธอ วาจาต่างๆที่เอาแต่ว่าเธอ สำหรับเสี่ยวเชี่ยนแล้วนั่นคือผู้ชายที่ใจแคบที่สุดในโลก แต่เธอกลับไม่รู้ว่าทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิมแล้ว จุดเริ่มต้นต่างกัน ผลก็อาจไม่เหมือนกัน


 


 


ในที่สุดเจี่ยซิ่วฟางก็คุยเสร็จเข้าบ้านมา เสี่ยวเชี่ยนกับเฉินจื่อหลงส่งสายตากันแล้วเงียบ


 


 


“ลูกใจดำ บอกให้ไปด้วยกันก็ไม่ไป ฉันหิ้วของมาเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” เจี่ยซิ่วฟางบ่นสองทีแล้วเดินเข้าไปทำอาหาร เสี่ยวเชี่ยน หึ ออกมา พอเห็นแม่เข้าครัวไปแล้วเธอจึงแอบเข้าไปในห้องนอนแม่ เอากล่องยัดใส่หมอนแล้วออกไปช่วยเด็ดผัก


 


 


ครอบครัวกินข้าวกลางวันกันพร้อมหน้า ช่วงนี้เจี่ยซิ่วฟางกลายเป็นคนติดนอนกลางวัน พอเอนลงไปก็เจ็บตรงคอ เปิดหมอนดูก็เห็นกล่อง จึงหยิบออกมาเปิดดู


 


 


“หา”

 

 

 


ตอนที่ 516 ของขวัญชิ้นใหญ่จากประธานเช...

 

“เกิดอะไรขึ้นแม่ มีหนูเหรอ” เฉินจื่อหลงเดินถือรองเท้าเข้ามา เห็นแม่นั่งถือกล่องอยู่ 


 


 


“ใครเอามาวางนี่— เชี่ยนเอ๋อ” 


 


 


หลังจากหายตกใจแล้วเจี่ยซิ่วฟางก็เรียกลูกสาว เสี่ยวเชี่ยนเดินมายืนพิงประตู 


 


 


“ลองใส่ดูสิแม่ ดูว่าคออ้วนๆของแม่ใส่ได้หรือเปล่า” 


 


 


“เพ้อเจ้อ แม่แกเพิ่งจะเจ็ดสิบโล จะอ้วนได้ยังไง แล้วนี่เอามาจากไหน?” 


 


 


ในกล่องมีสร้อยทอง คาดว่าอย่างน้อยๆก็บาทกว่า 


 


 


“อันที่จริงหนูอยากซื้อเพชรให้มากกว่า แต่ก็นึกถึงรสนิยมเชยๆของแม่รวมถึงงานรับซื้อของเก่าที่เพิ่งทำให้รวยขึ้นมา ใส่แค่นี้ดีกว่าคนเขาจะได้ไม่หาว่าเว่อร์” 


 


 


“แกเอาเงินมาจากไหน? ของแพงแบบนี้ทำไมไม่มาปรึกษาฉันก่อน เด็กคนนี้นี่จริงๆเลย…” 


 


 


“หนูหาได้เองไง ได้เงินมาไม่ซื้อของให้คนในบ้านแล้วจะให้ใคร? มาเดี๋ยวหนูใส่ให้ ดูซิว่าแม่ตัวอ้วนแต่ยังสวยของหนูจะใส่ได้หรือเปล่า ดูแม่ซิช่วงนี้ออกจะมีเงินทำไมไม่หาเครื่องประดับมาใส่ให้ตัวเองบ้าง?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนใส่สร้อยให้แม่ เจี่ยซิ่วฟางส่องกระจกพลางจับสร้อย ในใจก็ยังหวั่นๆ 


 


 


“แกเอาเงินมาจากไหน? คงไม่ใช่หมิงหลางให้มาหรอกนะ? แกอย่าเอาเงินคนอื่นมาซื้อของให้ฉัน เท่าไรว่ามาเดี๋ยวฉันจ่ายเอง” 


 


 


“อะไรกัน หนูจะหาเงินเองไม่ได้เลยหรือไง? ยังใส่ได้อยู่ แม่ยังไม่อ้วนจนเกินไป แต่แม่อ้วนขนาดนี้มันอันตรายนะ อันนี้ให้แม่ เวลาว่างๆก็ไปออกกำลังกายนะ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนล้วงบัตรฟิตเนสออกมา ซึ่งเธอไปทำมาตอนเช้า ที่ไม่พาแม่ไปด้วยเพราะกลัวโดนบ่น 


 


 


“แกเอาเงินไปทำไอ้นี่มาทำไม ฉันไม่มีเวลา…เอาไปคืนได้หรือเปล่า?” ตอนนี้เจี่ยซิ่วฟางได้พบเจอผู้คนมากขึ้น พอจะเข้าใจสถานที่ราคาแพงๆของในเมืองนี้ บัตรฟิตเนสที่เสี่ยวเชี่ยนทำให้ราคาไม่ใช่ถูกๆ ได้ยินว่าต้อนรับแต่พวกคุณหญิงคุณนาย 


 


 


“ทำแล้วคืนไม่ได้ หนูทำให้แม่ปีนึง ว่างๆแม่ก็ไปเต้นแอโรบิค เล่นโยคะ แบ่งเวลาจากละครน้ำเน่ามาหน่อย จะได้มีเพื่อนเยอะขึ้น อย่าเอาแต่อยู่บ้าน ครั้งหน้าเดี๋ยวหนูเลือกคลินิกเสริมความงามให้ ฐานะแม่ดีขึ้นขนาดนี้แต่ระดับการใช้ชีวิตไม่ขึ้นตามด้วยไม่ไหวนะ” 


 


 


เงินที่ได้จากฆ่าแกะเสี่ยวเชี่ยนเตรียมแบ่งส่วนหนึ่งไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ อีกส่วนนำไปใช้กับคนรอบตัว 


 


 


“ฉันก็ทำเพื่อแกกับน้องแกไง น้องแกยังไม่มีเมีย อีกหน่อย—” 


 


 


“อีกหน่อยก็ให้พึ่งตัวเอง เฉินจื่อหลงแกจำไว้นะ เงินที่แม่หามาคือเงินของแม่ ไม่เกี่ยวกับพวกเราสักแดงเดียว แกอย่าได้มีความคิดไม่ทำอะไรแล้วรอรับเงิน ไม่ตั้งใจเรียนก็ไร้อนาคต ถึงตอนนั้นแกมาขอเงินฉันก็จะไม่ให้แม่ให้สักบาทเดียว” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนตัดบทเจี่ยซิ่วฟาง แล้วหันไปพูดอย่างจริงจังกับน้องชาย 


 


 


“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะพี่ พี่ซื้อสร้อยให้แม่แล้วซื้ออะไรให้ผมอะ?” ตอนนี้เฉินจื่อหลงยังเด็ก ไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น เสี่ยวเชี่ยนก็แค่พูดดักไว้ก่อน กลัวน้องชายจะเป็นเหมือนชาติที่แล้วที่เอาแต่เกาะครอบครัวกิน 


 


 


“ฉันก็ซื้อของขวัญให้นายนะ อยู่ตรงหัวเตียงในห้องนอนนู่น ไปดูสิ” 


 


 


“ผมรักพี่ที่สุดเลย” เฉินจื่อหลงกระโดดโลดเต้นเข้าห้องตัวเอง 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางลูบสร้อยที่ลูกสาวซื้อให้ เธอดีใจมากแต่ก็ยังแอบเสียดายเงินแทนลูกสาว ของแพงขนาดนี้ ลูกเธอเป็นแค่นักเรียนมีเงินซื้อได้ยังไง? 


 


 


“อย่าคิดมากเลยน่า แม่เหนื่อยมาครึ่งชีวิตแล้วถึงเวลาที่ต้องหาความสุขใส่ตัวแล้ว เงินน่ะหามาก็เพื่อทำให้ชีวิตดีขึ้น หนูกับต้าหลงมีชีวิตของตัวเอง แม่ไม่ต้องประหยัดเพื่อพวกเราหรอก แม่ของหนูไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด อะไรที่ควรจ่ายก็จ่ายไป” 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที ลูกสาวเธอช่างเอาใจใส่จริงๆ เสี่ยวเชี่ยนเป็นเด็กดี 


 


 


“หา” เสียงร้องของเฉินจื่อหลงดังมาจากห้องเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


พอได้ยินเสียงลูกชายร้อง เจี่ยซิ่วฟางก็ถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ แกคงไม่ได้ซื้อสร้อยให้น้องด้วยนะ? น้องแกจะรู้เรื่องอะไร” 


 


 


“ของที่หนูซื้อให้ดีกว่าสร้อยเยอะ” 


 


 


“อย่าใช้เงินส่งเดช แกหาเงินมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ—เชี่ยนเอ๋อ ตกลงแกซื้ออะไรให้น้อง?” 


 


 


คำถามของเจี่ยซิ่วฟางได้คำตอบอย่างรวดเร็ว เฉินจื่อหลงหอบตำราเรียนหลายเล่มเข้ามาโยนบนพื้น แล้วทำหน้าร้องไห้แต่ไร้น้ำตา 


 


 


“พี่ ทำอะไรเนี่ย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนล้วงกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วกางต่อหน้าเฉินจื่อหลง 


 


 


“ฉันวางแผนการเรียนให้นาย ทุกวันให้นายทำแบบฝึกหัดตามตารางนี่อย่างเคร่งครัด แล้วฉันจะกลับมาตรวจ อย่าคิดจะหาคนมาทำแทนให้ ฉันจะนั่งตรวจลายมือทีละบรรทัด ถ้าพบว่ามีคนเขียนแทนล่ะก็—” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนดันแว่นตา เฉินจื่อหลงขนลุก 


 


 


“พี่ เยอะขนาดนี้ผมจะทำได้ได้ไง อีกอย่างผมก็ทำไม่เป็น…” 


 


 


“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ฉันมีเงิน ฉันจะหาครูมาสอนให้วันละสองชั่วโมง ฉันเห็นว่าชีวิตนายว่างเหลือเกิน เห็นมีเวลาไปเล่นตู้เกมตั้งหลายชั่วโมง หึหึ” 


 


 


“พี่ไม่ใช่พี่ผม” 


 


 


เฉินจื่อหลงเซ็งสุดขีด 


 


 


ครั้งนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่ต้องลงมือเอง เจี่ยซิ่วฟางตบกบาลลูกชายไปหนึ่งที 


 


 


“ถ้าไม่ใช่พี่แกแล้วเขาจะใส่ใจแกแบบนี้เหรอ? เขาทำเพื่อใครล่ะ แกคิดว่าตำราแต่ละเล่มนี่มันเลือกง่ายงั้นเหรอ? อีกทั้งยังทำแผนการเรียนให้แกด้วย แกนี่มันไม่รู้จักคิด ยังไม่ขอบคุณพี่สาวแกอีก” 


 


 


“ขอบคุณนะพี่ แต่พี่ช่วยเอาตำราพวกนี้คืนไปได้ไหม แล้วเอาช่วงวัยเด็กอันสดใสคืนผมมา?” 


 


 


“วัยเด็กของแกยาวนานเกินไป ฉันเพิ่งเจอคนที่มีจิตใจทารกมาถึงได้คิดได้ การรับมือกับคนที่มีปัญหาแบบนี้ควรจะแก้จากพฤติกรรมตั้งแต่อายุน้อยๆ ตอนนี้ถ้าฉันใจอ่อนก็เท่ากับไม่รับผิดชอบอนาคตของแก” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มอย่างนุ่มนวล “ทำไม่หมดก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ตีแกหรอก” 


 


 


“อ่อ งั้นผมก็สบายใจ” 


 


 


“ฉันจะโทรสั่งพี่หลางของแก เขาอยู่เมืองนี้ ถึงงานเขาจะยุ่ง แต่ถ้าเจียดเวลาก็พอมีอยู่ ได้ยินว่าเขาใช้มือเปล่าฟันอิฐได้ตั้งหลายก้อน ไม่รู้ว่าหมัดเขานี่จะพลังรุนแรงแค่ไหนกันนะ? แม่ ถ้าหมิงหลางลงมือกับต้าหลงเกินไปแม่จะโกรธไหม?” 


 


 


“โกรธอะไรกันเล่า เด็กเกเรแบบนี้ควรจะเอาจริงตั้งนานแล้ว เลิกเรียนไม่กลับบ้านเที่ยวเตร่ไปทั่ว ต้าหลงถ้าแกยังไม่เชื่อฟังอีกก็ให้พี่หลางจัดการ” 


 


 


เจี่ยซิ่วฟางสนับสนุนเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


เฉินจื่อหลงอยากจะร้องไห้ 


 


 


รู้สึกว่าชีวิตของเขานั้นช่างมืดมน 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปที่กองตำรา “แผนการเรียนฉันวางไว้ที่แม่ ถึงแม่จะไม่เข้าใจวิชาวัฒนธรรม แต่ฉันก็จะให้แม่ตรวจดูทุกวันว่าแกทำเสร็จหรือเปล่า ฉันจะโทรมาเช็ควันละครั้ง หายไปหนึ่งวันฉันก็จะให้พี่หลางชกแกหนึ่งที ร่างเล็กๆบอบบางอย่างแก—” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนมองน้องชายตั้งแต่บนลงล่างแล้วส่ายหน้า “ถ้าแกแอบอู้สักอาทิตย์แม่ก็คงเตรียมรถเข็นคนพิการกับผ้าอ้อมผู้ใหญ่ให้ได้เลย ชีวิตที่เหลือของแกคงได้เป็นอัมพาตแน่ๆ” 


 


 


ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เฉินจื่อหลงรู้สึกว่าชีวิตช่างน่าหดหู่เสียจริง ตอนที่พี่เพิ่งกลับมายังไม่เห็นเป็นแบบนี้ ทำไมออกไปข้างนอกแค่วันเดียวถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?  

 

 


ตอนที่ 517 จัดหนักน้องชาย

 

“พี่ ขอผมตายแบบเข้าใจอะไรหน่อยนะ ทำไมอยู่ๆพี่เป็นแบบนี้? วันที่พี่กลับมาพี่บอกว่านอนคืนเดียวก็จะกลับมหาลัย แต่นี่พี่ไม่กลับแล้ว ยังมาทรมานผมด้วย…” 


 


 


นี่เขาไปทำอะไรให้ 


 


 


“เพราะว่าฉันเพิ่งรับคนไข้ที่พิเศษมา สร้อยที่ซื้อให้แม่ก็ใช้เงินที่รักษานั่นแหละซื้อ ฉันรู้สึกว่าแม่ที่ยิ่งใหญ่ทุกคนควรได้รับการตอบแทนบุญคุณจากลูก” 


 


 


ถึงแม้อาหญิงจะเป็นคนที่นิสัยแย่ แต่ความรักที่มีให้หลี่เจิ้นนั้นเป็นเรื่องจริง ความรักของแม่ที่ใช้ผิดที่ผิดทางก็เป็นความรักเหมือนกัน 


 


 


“ต่อไปไม่ต้องซื้อของแพงแบบนี้แล้ว จริงๆเลย” เจี่ยซิ่วฟางยังบ่นไม่เลิก แต่ยิ้มงี้หวานกว่าใคร 


 


 


ลูกสาวเธอรู้จักซื้อของมาแสดงความกตัญญูให้แม่แล้ว เพียงพอที่จะเอาไปอวดพวกเพื่อนๆ 


 


 


“แม่เป็นแม่แท้ๆของพวกเรา ผมก็เป็นน้องแท้ๆของพี่นะ ทำไมพี่ไม่ซื้อของดีๆให้ผมบ้างล่ะ?” เฉินจื่อหลงน้อยใจ 


 


 


“เพราะแม่ของผู้ป่วยรายนี้เป็นคนที่มีจิตใจทารก หรือที่เรียกกันว่าคนไม่รู้จักโต ฉันไม่อยากให้แกโตไปเป็นแบบนั้น เฉินจื่อหลงตอนนี้แกมีฉันกับแม่คอยดูแล พอโตแล้วใครจะดูแลแก? ถ้าแกอยากให้คนทั้งโลกยอมให้แก แกก็ต้องมีความสามารถ เรียนหนังสือยังไม่ได้ดีแล้วจะทำอะไรได้?” 


 


 


“ใช่ พี่แกพูดถูก” 


 


 


“ฆ่าผมเถอะ อ๊าก~” 


 


 


เฉินจื่อหลงอยากบ้า 


 


 


“อืม ถ้าแกอยากตายก็ไม่ยาก เจ็ดวันทำการบ้านไม่เสร็จพี่หลางได้ส่งแกขึ้นรถเข็น สิบวันไม่เขียนการบ้านพี่หลางก็จะมอบตั๋วเครื่องบินขึ้นสวรรค์ไปแล้วไม่กลับ หนึ่งเดือนไม่เขียนการบ้าน พี่หลาง—” 


 


 


พอแล้ว ผมทำ ผมทำพอใจยัง” เฉินจื่อหลงรีบเก็บของอย่างรวดเร็ว ปากก็ยังบ่นต่อ “พี่หลางถูกพี่รังแกจะตายอยู่แล้ว อย่างน้อยๆเขาก็เป็นถึงทหารหน่วยรบพิเศษนะ พี่เล่นเอาเขามาใช้งานแบบนี้พี่หลางน่าสงสารแย่” 


 


 


“แกไม่ใช่ปลาจะรู้จักความสุขของปลาเหรอ? ไหนลองอธิบายความหมายกับที่มาของสำนวนนี้ซิ” 


 


 


เด็กเนิร์ดปล่อยหมัดเด็ดอีกแล้ว เด็กหลังห้องอย่างเฉินจื่อหลงรีบหนีทันที แต่ก็ยังไม่วายบ่นพึมพำ 


 


 


“ผมล่ะเกลียดญาติคนไข้ของพี่จริงๆ ทำให้พี่เกิดความคิดบ้าๆแบบนี้ พี่น่ะเกิดประกายความคิด แต่ผมเป็นผู้รับกรรม…” 


 


 


“ทำแบบฝึกหัดหมดมีรางวัลให้ ปิดเทอมหน้าร้อนเดี๋ยวจะพาแกกับแม่ไปเที่ยว” 


 


 


“จริงเหรอ?” เฉินจื่อหลงตื่นเต้นขึ้นมาทันที 


 


 


“ฉันไม่เคยพูดจาโกหก ขยันๆเข้านะเด็กน้อย” 


 


 


พอต้าหลงไปแล้วเจี่ยซิ่วฟางถึงได้ถาม “เชี่ยนเอ๋อ จะพาน้องไปจริงๆเหรอ?” 


 


 


“อืม เที่ยวภูเขาในเมืองนี้สักสองวัน ถึงตอนนั้นถ้าหมิงหลางว่างก็ไปด้วยกัน เขาจะได้สอนต้าหลงด้วย” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนยิ้มเจ้าเล่ห์ 


 


 


อยู่ๆเจี่ยซิ่วฟางก็รู้สึกสงสารลูกชายขึ้นมา 


 


 


ถูกพี่สาวจัดหนักอีกแล้ว… 


 


 


“เชี่ยนเอ๋อ แกรักษาให้ใครรักษาโรคอะไร ทำไมค่ารักษาแพงขนาดนี้ จะมีปัญหาตามมาหรือเปล่า?” 


 


 


“ข้อมูลของคนไข้เป็นความลับ แต่หนูบอกได้ว่าไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้ามีปัญหานั่นมันก็เรื่องของคนอื่น” 


 


 


“เด็กคนนี้นี่ทำไมพูดจาครึ่งๆกลางๆ ฉันก็ยังไม่วางใจ ไม่งั้นแกเอาสร้อยไปคืนเถอะ?” ลูกมีใจที่คิดทำแบบนี้เธอก็พอใจแล้ว กลัวลูกจะไม่ปลอดภัย 


 


 


“ทองคำของมีค่าไม่มีการรับคืน อีกอย่างเรื่องนี้พ่อแม่ของอวี๋หมิงหลางก็ยอมรับแล้วด้วย” 


 


 


“อ่อ งั้นก็โอเค —จริงสิเชี่ยนเอ๋อ แกซื้ออะไรให้พ่อแม่อวี๋หมิงหลางหรือเปล่า?” 


 


 


“อืม ซื้อเสื้อสองตัวราคาไม่แพง แค่แสดงน้ำใจ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนทำอะไรไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่แอบกังวลเรื่องเสี่ยวเฉียงเล็กน้อย 


 


 


เธอดูแลคนรอบตัวหมดแล้ว แต่ไม่รู้จะให้อะไรเสี่ยวเฉียงดี 


 


 


สายตาอาลัยอาวรณ์ตอนที่แยกกับเขายังติดตาเธออยู่ ไม่รู้ว่ากลับไปเขาจะเลือดกำเดาไหลหรือเปล่า 


 


 


จริงๆแล้วสิ่งที่เขาอยากได้ที่สุดก็คือเธอ แต่ตอนนี้สิ่งที่ทั้งสองคนขาดก็คือเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน 


 


 


ตอนบ่ายเสี่ยวเชี่ยนไปโรงพยาบาลที่หลี่เจิ้นพักรักษาตัว ก่อนจะเริ่มรักษาอย่างเป็นทางการ เธอได้เจอกับพ่อแม่หลี่เจิ้นรวมถึงแม่อวี๋เพื่อสรุปผลการรักษาให้ฟัง 


 


 


“วันนี้ตอนเช้าเขาบอกว่าปวดเอว แต่สักพักก็หาย มันเรื่องอะไรกันเหรอ?” 


 


 


ตอนนี้เวลาอาหญิงพูดกับเสี่ยวเชี่ยนออกจะดูหวั่นเกรงๆนิดหน่อย 


 


 


ก็คล้ายกับอารมณ์เวลาที่คนไข้ทั่วไปเจอกับหมอเก่งๆ 


 


 


“จากผลการรักษาเมื่อวาน ฉันกลับไปสรุปผลมา ขาของหลี่เจิ้นจัดอยู่ในประเภทโรคจิตเวชด้านกายและใจจริงๆ การที่เขามีปฏิกิริยาหลังการรักษาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดี แบบนั้นแล้วการรักษาในขั้นต่อไปฉันคิดว่า—อาหญิงขับรถเป็นหรือเปล่าคะ?” 


 


 


ทุกคนต่างรอฟังสรุป แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับถามกลับ 


 


 


“เป็นสิ เธอยังไม่บอกเลยนะว่าจะทำไงต่อ?” อาหญิงกำลังรอฟังคำพูดสำคัญ แต่เสี่ยวเชี่ยนกลับหยุดพูด 


 


 


“รู้สึกคอไม่ค่อยโอเคเลยค่ะ อยากดื่มCon Panna ของร้านกาแฟในตัวเมืองจังเลยค่ะ ไม่มีกาแฟช่วยกระตุ้น บ่ายๆฉันจะทำงานได้ไม่ค่อยดี ยังไงซะคนไม่มีใบอนุญาตอย่างฉัน แรงก็มีบ้างไม่มีบ้าง…” 


 


 


“เดี๋ยวฉันให้คนขับรถไปซื้อ” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า “ฉันคิดว่าถ้าหลี่เจิ้นรู้ว่าแม่เขาถึงกับลงทุนไปซื้อเครื่องดื่มด้วยตัวเองเพื่อให้เขาหายไวๆ เขาจะต้องประทับใจแน่นอนค่ะ อาการก็จะดีขึ้นเร็ว คุณน้าดื่มอะไรดีคะ?” 


 


 


เสี่ยวเชี่ยนถามแม่อวี๋ ถ้าเป็นปกติแม่อวี๋คงทำตัวเกรงใจ แต่ครั้งนี้ไม่ เห็นอาหญิงไม่กล้าหือกับคำพูดเสี่ยวเชี่ยน แม่อวี๋ก็รู้สึกสะใจสุดๆ 


 


 


“งั้นฉันเอาด้วยหนึ่งแก้ว” 


 


 


“ผมไม่ถนัดดื่มกาแฟ ขอน้ำผลไม้แก้วนึงแล้วกัน” 


 


 


แม้แต่อาเขยก็ร่วมแทงอาหญิงด้วยหนึ่งที 


 


 


เห็นได้ชัดว่าปกติอาหญิงได้ล่วงเกินคนรอบตัวไปมากแค่ไหนโดยที่ไม่รู้ตัว 


 


 


“เหลาหลี่ ทำไมคุณก็เอากับเขาด้วย?” สองวันมานี้อาหญิงถูกเอาคืนเป็นอย่างมาก 


 


 


“ถ้าหลี่เจิ้นรู้ว่าคุณทำเพื่อเขา—” ลูกไม้ของเสี่ยวเชี่ยนมีไม่เยอะ แต่ได้ผลหมด 


 


 


อาหญิงรีบเดินออกไปด้วยสีหน้าอดทนเต็มที่ 


 


 


แม่อวี๋รู้สึกสนุก ลูกสะใภ้คนเล็กของเธอนี่สุดยอดจริงๆ ตอนนี้เวลามาโรงพยาบาลมีแต่เรื่องดีๆ ทั้งเรื่องอาการหลี่เจิ้นที่ดีขึ้น ทั้งเรื่องที่เสี่ยวเชี่ยนเล่นงานอาหญิงสารพัด เห็นแล้วก็มีความสุขเหมือนกัน 


 


 


“เสี่ยวเชี่ยนเธอนี่เก่งจริงๆ ฉันไม่เคยใช้เมียฉันเลย แต่เขาเชื่อฟังเธอ” อาเขยรู้สึกนับถือเสี่ยวเชี่ยน 


 


 


“อาเขยคะ หนูจะขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะคะ หนูเป็นจิตแพทย์ชื่อเฉินเสี่ยวเชี่ยน หนูถนัดในการรักษาโรคจิตเวชที่มีความซับซ้อน ไม่ใช่แค่รักษาโรคจิตเวชเท่านั้นนะคะ หนูยังถนัดให้คำปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของสามีภรรยาด้วยค่ะ แบบที่ว่าต่อให้ไม่เป็นอะไรก็มาปรึกษาหนูได้ ป่วยก็รักษา ไม่ป่วยก็จะยิ่งทำให้มีความสุข” 


 


 


อาเขยงง นี่หมายความว่าอะไร? 


 


 


แม่อวี๋พอจะเข้าใจเสี่ยวเชี่ยนบ้างแล้ว ถ้าเสี่ยวเชี่ยนแนะนำตัวอย่างเป็นทางการว่าตัวเองเป็นจิตแพทย์ ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ— 


 


 


“เขาหมายความว่า เขาช่วยอาเขยแก้ปัญหาเรื่องชีวิตคู่ได้ เพียงแต่เรื่องราคา…ทำธุรกิจอย่างอิสระ กำหนดราคาตามใจ” แม่อวี๋นึกคำพูดของเสี่ยวเชี่ยนเมื่อวาน ดูเหมือนเสี่ยวเชี่ยนจะพูดไว้แบบนั้น 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม