ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง 51-70
SB:ตอนที่ 51 กำลังใจจากพี่น้อง
“พี่หยาง ท่านจะพาข้าไปหาพวกอสูรคลั่งเหล่านั้นหรือ!?” หลี่เตี๋ยซู่ตกตะลึงอย่างมากกับอสูรตรงหน้า พวกมันสูงและแข็งแรง ซึ่งพวกมันเหล่านี้ยากที่จะพบเจอ แต่บัดนี้พวกมันถูกนำมาอยู่ต่อหน้าเขา
ลู่หยางพยักหน้า และกล่าว “ในพื้นที่แห่งนี้ พวกมันเป็นเพียงอสูรชั้นต้น ไปเลือกพวกมันมา ดูว่าเจ้าชอบตัวไหน ตราบเท่าทีเจ้าชอบมัน มันก็จะเป็นของเจ้า”
ที่นี่มีอสูรหลากหลายมาก พวกมันอยู่ระดับต้นทั้งหมดและสายเลือดธรรมดา ด้วยวิชาควบคุมอสูรแปดดาวของหลี่เตี๋ยซู่ เขาสามารถควบคุมมันได้แน่ ดังนั้นลู่หยางสบายใจได้ และอีกอย่างอสูรชั้นต้นนั้นไม่แพงมาก เพียงหนึ่งหรือสองร้อยผลึก เงินจำนวนเท่านี้นั้นถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขา ยิ่งกว่านั้น เมื่อเตี๋ยซู่เป็นผู้ฝึกอสูร เขาจะช่วยลู่หยางได้มากแน่นอน
เตี๋ยซู่ไม่เคยเข้าใกล้กับอสูรดุร้ายขนาดนี้มาก่อน เมื่อก่อนที่เขาได้ยินเกี่ยวกับอสูรร้ายคลั่งในหุบเขา เขาจะหลบซ่อนและหวาดกลัว ใครจะกล้าไปพบพวกมัน?
เมื่อเขาคิดว่าในอีกไม่นานเขาจะได้เป็นเจ้านายของพวกอสูรคลั่งพวกนี้แล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นในใจ เขาได้แต่ถามลู่หยาง
“พี่หยาง ท่านมีประสบการณ์มากกว่านี้ ทำไมไม่ช่วยข้าเลือกอสูรที่เหมาะสมกับข้าหล่ะ?”
ลู่หยางตื่นตากับอสูรหลากหลายตรงหน้าเขา แต่เมื่อเขาคิดดูอีกที มันก็เป็นเพียงอสูรชั้นต้นและสำหรับใช้ชั่วคราวเท่านั้นดังเช่นเม็ดยานำจิตวิญญาณ อีกไม่นานเขาก็ต้องหาอสูรที่ดีกว่านี้ให้เตี๋ยซู่ เมื่อเขาลองคิดดู เตี๋ยซู่เป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรง
คนทั่วไปจะคิดว่าอสูรร้ายพื้นฐานที่ดีที่สุดคือ สุนัขป่าจันทราเงินดังเช่นหลี่ยี่ เพราะสุนัขป่าจันทราเงินนี่ถือว่าแข็งแกร่งมากสำหรับอสูรชั้นต้น มันแข็งแกร่งกว่าสุนัขพันธ์ยักษ์แน่นอนและบางตัวสามารถเอาชนะสุนัขยักษ์สองตัวได้ เพียงแต่ว่าสุนัขป่าจันทราเงินเหมือนจะไม่เข้ากับเตี๋ยซู่ ในความคิดลู่หยางเตี๋ยซู่จะเข้ากับหมียักษ์มากกว่า
ดังนั้นสายตาเขาจับจ้องไปที่หมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ – หมีพลังเดรัจฉาน
ในหมู่อสูรชั้นต้น มันถือว่ามีความแข็งแกร่งที่ดีเลย แม้มันจะไม่ว่องไวเท่าสุนัขป่าจันทราเงิน แต่มันแกร่งกว่า เพียงแค่หลังจากอสูรดุร้ายเช่นนี้ผสานกับเตี๋ยซู่มันจะเข้ากับภาพลักษณ์ของเตี๋ยซู่ที่ตัวใหญ่โตหรือไม่เท่านั้นเอง
เขาชี้ไปที่หมีนั่นและกล่าว “ทำไมเจ้าไม่เอาเจ้านั่นมาเป็นสัตว์เลี้ยงอสูรหล่ะ?”
“ดีเหมือนกัน!” เมื่อพี่หยางพูดขึ้นมา ข้าเลือกหมีนั่น “ทว่า…”เสียงของเตี๋ยซู่เบาลงเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเขากล่าวอย่างกระดากอายว่า”พี่หยาง ข้าเกรงว่าคงต้องให้ท่านช่วยเหลือ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่มีเงินเลย”
“เจ้าน้องโง่!” ลู่หยางตบไปที่บ่าหนาของเตี๋ยซู่ และกล่าวด้วยเสียงเข้ม “ข้าให้เจ้ามานี่เพื่อจะช่วยเจ้าเป็นผู้ฝึกอสูร และมันเป็นสิ่งที่ข้าสัญญากับเจ้า เรื่องเงินน่ะ เจ้าไม่ต้องห่วง แม้ข้าจะไม่ใช่คนรวยตอนนี้ แต่จำนวนค่าใช้จ่ายแค่นี้ไม่ถือว่าเยอะสำหรับข้าหรอก
“มันช่าง… ข้าขอบคุณพี่หยางมาก ถ้าพ่อและแม่ข้ารู้ว่าข้าเป็นผู้ฝึกอสูรละก็ พวกท่านจะมีความสุขขนาดไหนกัน”
“เจ้าน้องโง่ อย่าพึ่งดีใจเร็วไป ข้ายังหวังพึ่งเจ้ามาช่วยข้าล้างแค้นเจ้าหลี่ซิ่วอยู่นะ สำหรับพ่อและแม่เจ้า เมื่อเจ้ามีเวลา กลับบ้านและบอกลุงหลี่เรื่องของเจ้า เมื่อเจ้ามีเวลา ซื้อบ้านสักหลังในแคว้นนี้ซะ
เมื่อได้ยินว่าลู่หยางอยากให้เขานำพ่อแม่เขามาอยู่ในแคว้น เตี๋ยซู่ร้องไห้อีกครา ในสายตาของบ้านนอกอย่างเขา ความฝันสูงสุดคือการย้ายมาอยู่ในแคว้นใหญ่ และในการที่จะย้ายมานั้นอย่างน้อยมันต้องเป็นผู้ฝึกอสูร นี่เป็นเรื่องที่เตี๋ยซู่ไม่กล้าคิดเลยในอดีต แต่บัดนี้ความฝันนั้นใกล้ความจริงแล้ว
“พี่ชาย!”
“ไม่ต้องพูดอะไรอีก รีบใช้วิชาควบคุมอสูรของเจ้าเร็ว” ลู่หยางตบบ่าเตี๋ยซู่และกล่าวอย่างจริงใจ
วิชาควบคุมอสูรแปดดาวกับอสูรชั้นต้นเช่นนี้เรียกได้ว่ากำราบมันได้ในคราเดียวเลย เมื่อแสงสว่างวาบขึ้นมา ไม่มีการต่อต้านแม้แต่น้อยกรงเหล็กรอบตัวหมีนั่นสลายหายไป เตี๋ยซู่ทำตามคำแนะนำในวิชาควบคุมอสูรและออกคำสั่งแรก หมีใหญ่กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าไปในร่างกายเขา กลายเป็นสัตว์เลี้ยงอสูรตัวแรกของเขา
“ยินดีด้วยสำหรับท่านทั้งสอง ท่านได้รับหมีใหญ่อย่างเป็นทางการ!” ข้ารับใช้ปรากฏตัวด้านหลังทั้งสองและกล่าวอย่างสุภาพ
แต่ลู่หยางรู้ทันทีว่าเขาแค่ต้องการมาเพื่อเก็บเงิน เพราะนี่คืองานของพวกเขา ทุกครั้งที่พวกเขาขายอสูรได้ พวกเขาต้องการเงินตอบแทน
หมีใหญ่พลังเดรัจฉานนั้นไม่ใช่ถูกๆ มันแพงกว่าสุนัขป่าจันทราเงิน เพราะว่ามันแข็งแกร่งกว่ามาก
ลู่หยางนำบัตรทองคำออกมาจากอกเสื้อและกล่าวต่อข้ารับใช้ “บอกราคาข้ามา!”
ข้ารับใช้ดวงตาลุกวาวเมื่อเห็นบัตรทองคำ ในสายตาพวกเขาสิ่งนี้เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะ ทุกคนที่มีบัตรทองคำมีทั้งพลังและอิทธิพล ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “พี่ชาย นี่มันบัตรอภิสิทธิ์ทองของตำหนักเมฆาม่วงเรา แม้ท่านซื้อของที่นี่ ท่านก็จะได้ส่วนลด หลังจากส่วนลดแล้วท่านแค่ต้องจ่ายเพียงสามร้อยผลึก”
ลู่หยางถอนหายใจเบา สายตาเขาไม่เลวเลย แม้จะหักส่วนลดแล้ว ราคาของหมีนี่ก็ไม่ถูกเลยเมื่อเทียบกับสุนัขป่าจันทราเงิน นี่แสดงให้เห็นว่าหมีนี่แข็งแกร่งกว่ามันมาก สิ่งสำคัญก็คือเมื่ออสูรเช่นนี้ถูกปราบ มันจะมีประโยชน์มากกว่าเดิมอีก
ลู่หยางและเตี๋ยซู่ออกจากตำหนักเมฆาม่วงอย่างยินดีหลังจากจ่ายผลึกแล้ว
ลู่หยางกล่าว “ทีนี้เจ้าก็เป็นผู้ฝึกอสูรเต็มตัวแล้วนะ และเจ้าสามารถอาศัยอยู่แคว้นเซียงหยางต่อไปได้อีก เมื่อถึงเวลาข้าจะซื้อบ้านให้เจ้า”
“พี่หยาง ข้าว่าพี่ควรหางานให้ข้าในแคว้นนะ เมื่อข้ามีรายได้ในอนาคตข้าจะได้ไม่ต้องรบกวนท่านไง” เตี๋ยซู่กล่าว
เพียงแค่ว่าลู่หยางก็ไม่ได้คุ้นเคยกับแคว้นเซียงหยางมากเช่นกัน เขาพึ่งพาตำหนักเมฆาม่วงอย่างมากเขาถึงอยู่ได้ หากเขาต้องการช่วยเตี๋ยซู่หางานในแคว้นละก็ เขาคงหางานที่เหมาะกับเตี๋ยซู่ไม่ได้ง่ายๆ หากเขาต้องการอาศัยที่นี่เขาต้องมีงาน แม้ลู่หยางจะช่วยเขาได้ แต่มันไม่ใช่ทางออกระยะยาว
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขา เขานึกถึงคนคนหนึ่งทันที และกล่าวต่อเตี๋ยซู่
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาคนบางคน เมื่อเจ้าเจอเขา เจ้าจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยในแคว้นเซียงหยางแห่งนี้!”
ลู่หยางไม่ได้มีสหายมากมายทีนี่ สหายคนเดียวที่เขาเชื่อใจได้คือซุนวู
ซุนวูเป็นสหายที่ดีและตรงไปตรงมา เขาเป็นถึงนายน้อยเมืองชิงหยาง หากเขารู้ว่าผู้ฝึกอสูรคนใหม่ปรากฏขึ้นจากเมือง เขาต้องดีใจมากเป็นแน่ ดังเช่นตอนที่เขารู้ว่าลู่หยางได้เป็นผู้ฝึกอสูร
ยิ่งกว่านั้น ด้วยสถานะของซุนวูในเซียงหยาง มันง่ายมากไม่ใช่หรอที่จะช่วยใครสักคนหางาน เมื่อลู่หยางมาถึงนี่ใหม่ๆ เขาจะหางานให้ลู่หยาง เพียงแต่หลังจากเขารู้ว่าลู่หยางเข้าร่วมตำหนักเมฆาม่วง เขาไม่พูดถึงมันอีกเลย หากเขาขอความช่วยเหลือซุนวูตอนนี้ เขาต้องช่วยได้แน่
ตำหนักกลิ่นสุรา เราควรไปพบเขาที่นั่นดีกว่าลู่หยางจะได้เลี้ยงมื้อใหญ่ให้เตี๋ยซู่กินอิ่มท้อง
“น้องชาย เจ้านี่นับวันจะใจป้ำขึ้นเรื่อยๆนะเนี่ย เจ้าถึงกับเลี้ยงข้ามื้อใหญ่ที่ร้านหรูหราเช่นนี้ ปกติข้าไม่ค่อยมาดื่มกินที่นี่นะเนี่ย!”
ก่อนที่เขาจะไปถึง เสียงดังของซุนวูดังขึ้นกังวานทั้งตำหนัก ทุกๆคนต่างรู้ว่าซุนวูมาที่นี่เมื่อได้ยินเสียงเขา
ลู่หยางกล่าว “เขาอยู่นี่แล้ว เตี๋ยซู่มาเร็วไปพบเขากัน!”
เตี๋ยซู่เช็ดมือที่เปื้อนน่องไก่ เขาไม่มีเวลาแม้จะเช็ดมุมปากที่เปื้อน เขาวิ่งตามลู่หยางไปพร้อมกล่าวถาม “พี่หยาง ทำไมเสียงนี้คุ้นๆจัง ข้าเคยพบคนนี้มาก่อนนี่นา เคยเห็นเขาด้วย!”
“เจ้าจะรู้ในไม่ช้า!”
ขณะที่เขาทั้งสองกำลังลงบันไดไป พวกเขาพบชายร่างกำยำ เขาคือซุนวู พวกมันทั้งสามมองดูกันและกัน
“น้องชาย นี่คือ”ซุนวูถาม
ลู่หยางกล่าวถาม “พี่ใหญ่ซุนวู นี่น้องข้ามาจากเมืองชิงหยางของเรา! เขาเป็นน้องที่เติบโตกันมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เขาพึ่งเป็นผู้ฝึกอสูรและมาที่เซียงหยางแห่งนี้ ข้าถึงรีบพาเขา
“ดี ดีมาก เอาล่ะ!” ซุนวูกล่าวสามคำติดต่อกัน หลังจากได้ข่าวดี หน้าเขาแดงอย่างยินดีเขากล่าวต่อ “เมืองชิงหยางของข้าเต็มไปด้วยยอดฝีมือมากพรสวรรค์จริงๆ”
เขาดึงมือลู่หยางและเตี๋ยซู่ทันทีและพาขึ้นไปชั้นบน ไปยังห้องที่จองไว้ เขาเรียกข้ารับใช้มาทันทีและสั่งไวน์ชั้นดีสามขวด และกล่าวว่าเขาต้องการดื่มกินกับพี่น้องสองคนนี้
หลังจากดื่มไวน์ ซุนวูตื่นเต้นยิ่งขึ้นและกล่าว “หากสมาชิกในเมืองเราสามารถเป็นเช่นพวกเจ้าได้ก็จะดีสิ ในอนาคตจำนวนสมาชิกในเมืองเราจะสูงขึ้น ถึงตอนนั้น ใครจะกล้าดูถูกเมืองชิงหยางของเรา
จากคำกล่าวของซุนวู ลู่หยางมองบางอย่างออก แต่มันไม่เหมาะที่จะถามไปโดยตรง เขาพูดเพียงว่า “พี่ใหญ่ซุนวูไม่ต้องห่วง ในอนาคต พวกเราจะมีพี่น้องเพิ่มขึ้นแน่นอน!”
ซุนวูยิ้มกว้างและกล่าว “หากพ่อข้ารู้ว่าคนรุ่นใหม่ในเมืองเก่งกาจเช่นพวกเจ้า เขาต้องยินดีเป็นแน่ ข้าจะพาเจ้าไปพบเขาวันนึง!”
“ตกลง!” ลู่หยางยกไวน์ดื่ม
“เอ้อ จริงสิ ข้ายังไม่รู้เลยจะเรียกน้องชายนี่ว่าอะไรดี”
เมื่อพวกเขาดื่มกิน พวกเขาลืมทุกสิ่งยิ่งกว่านั้น เตี๋ยซู่ไม่เก่งเรื่องพูดจาเขาเลยเคี้ยวน่องไก่ และยกแก้วขึ้นชน ซุนวูจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาดีใจเกินไปและลืมคนสำคัญของวันนี้
ลู่หยางเกาหัวอย่างอายและกล่าวแนะนำ “นี่คือน้องชายของข้าเอง เขาชื่อหลี่เตี๋ยซู่ เขาเป็นบุตรของลุงหลี่ เมื่อเราเป็นเด็กข้าชอบเรียกเขาเอ้อโกวจื่อ”
“เอ้อโกวจื่อ!”
“ข้าว่าเอ้อโกวจื่อน่ะดีแล้วนะ!” เตี๋ยซู่เคี้ยวน่องไก่และหัวเราะ
ซุนวูเกือบจะสำลักไวน์ในปาก กลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว เพียงแค่เขาพูดไม่กี่คำ ซุนวูก็รู้บุคลิกของเขาแล้ว ซุนวูเองก็ยอมรับในตัวเขาและตัดสินใจที่จะนับเขาเป็นน้องอีกคน
เขาหัวเราะอย่างชื่นใจและกล่าว “ต่อไปนี้ พวกเราสามคนจะอยู่ด้วยกันที่เซียงหยางแห่งนี้!”
ลู่หยางยกไวน์ขึ้นและกล่าว “มาเถอะ ชนแก้วกันและพวกเราจะเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันนับแต่นี้ไป!”
SB:ตอนที่52 ยกระดับต้าเฮ่ย
“ที่จริงแล้ว เหตุผลที่ข้ามาหาท่านพี่ซุนวูก็คือข้าอยากให้ท่านช่วยอะไรบางอย่างหน่อย”
หลังจากดื่มไวน์กันไปสองถึงสามแก้ว ลู่หยางเริ่มคุยธุระวันนี้กับซุนวู
เตี่ยซู่ ก็ดื่มไปค่อนข้างมาก เขาพูดว่า “ใช่แล้วท่านพี่ซุนวู พี่หยางพูดถึงท่านให้ข้าฟังอยู่เสมอๆ เมื่อข้ามาถึงที่นี่ เขารีบพาข้ามาตามหาท่านเพื่อให้ท่านช่วยหางานให้ข้าหน่อย”
“อ้อ เท่านั้นเองรึ ง่ายนิดเดียว มาบ้านข้าพรุ่งนี้สิ ข้าจะช่วยเจ้าหางานที่เจ้าชอบแน่นอน!”
“ดี!” “ในภายหน้า น้องของข้าคนนี้จะได้พึ่งพาท่านพี่ซุนวู!”
ซุนวูมีสถานะสูงกว่าลู่หยางมากจริงๆ หลังจากที่ลู่หยางถอดคราบความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักเมฆาม่วงและผู้จารึกออกแล้ว ลู่หยางไม่มีพื้นเพใดใดเลย แต่สำหรับซุนวูนั้น เขาอยู่ในเมืองเซียงหยางมาหลายปีแล้ว อีกทั้งบิดาของเขายังเป็นผู้กล้าที่แท้จริงอีกด้วย ดังนั้น เขาพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้างในเมืองเซียงหยาง
เมื่อได้มอบเตี่ยซู่ไว้กับมือของซุนวูแล้ว ลู่หยางรู้สึกสบายใจขึ้นมาก แม้ว่าเตี่ยซู่ได้เป็นผู้คุมอสูรแล้ว แต่เขายังไม่มีเงินมากนัก เขายังไม่สามารถซื้อบ้านในเซียงหยางได้ เขาจึงต้องอาศัยอยู่กับลู่หยางทุกวัน ตอนนี้มีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว ซุนวูก็เลยมีเวลามาบ้านลู่หยางมากขึ้น
คืนนั้น ทั้งสามคนอยู่คุยกัน ลู่หยางไม่ได้กะจะให้ซุนวูรู้ถึงความแค้นใจระหว่างเขากับหลี่ซิ่ว แต่เตี่ยซู่กลับเผลอพูดออกมาถึงการกระทำของหลี่ซิ่ว และสถานการณ์ที่บ้านเกิดของเขาตอนนี้
“หลี่ซิ่วคนนี้! ในฐานะที่เป็นผู้ครองเมืองฉิงเหอ เขากล้าไปทำตัวชั่วร้ายที่เมืองชิงหยางของเรา!”
“ใช่แล้ว ไม่เพียงแต่กระทำการชั่วร้ายต่อครอบครัวพี่หยางแล้ว มันยังฆ่าคนบริสุทธิ์ด้วย ทำให้ทุกคนที่นั่นหวาดกลัวและทุกข์ใจ”
“ไอ้คนเลว! ข้าต้องรายงานเรื่องนี้ให้พ่อของข้ารู้ ให้พ่อข้าถามหลี่ซิ่วเอาคำอธิบายของมันมา!” ซุนวูพูดอย่างโกรธ เขาเอาฝ่ามือตบโต๊ะตรงหน้าแตกเป็นชิ้นๆ เศษไม้เกลื่อนกระจายเต็มพื้น
“อย่าโมโหไปเลยท่านพี่ซุนวู นี่เป็นความแค้นระหว่างหลี่ซิ่วกับข้า เมื่อเวลามาถึง ข้าจะตามหาหลี่ซิ่วมาคิดบัญชีกับมัน!”
“ตอนนี้ มันไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าเท่านั้น เราเป็นพี่น้องกัน ศัตรูของเจ้าก็คือศัตรูของข้า!”
ลู่หยางสัญญากับซุนวู แต่ในใจเขานั้นยังวางแผนแก้แค้นของเขาเอง ตอนนี้ เขาแข็งแรงมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ลู่หยางเข้ามาร่วมกับตำหนักเมฆาม่วงแล้ว ผลึกในกระเป๋าของเขามีมากขึ้นๆ เขาจะทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ ก่อนหน้านี้ เขาได้ยกระดับพยัคฆ์เพลิงสีชาดขึ้นเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามระดับกลางแล้ว และตอนนี้ เขาได้ยกระดับราชสีห์คลั่งขนทองเป็นอสูรดุร้ายชั้นกลางกลายเป็นราชาราชสีห์คลั่งขนทอง
เมื่อคุณลักษณะของสัตว์เลี้ยงสงครามเพิ่มขึ้น กำลังของลู่หยางก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วย
ลู่หยางเรียกระบบออกมาเงียบๆ ตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันของเขาแล้วเขาก็ต้องตกใจ
“เจ้าของ : ลู่หยาง (ผู้คุมอสูรชั้นต้น)”
“วิชาฝึกอสูร : เริ่มต้น (สิบดาว)”
“สมรรถนะทางกาย : 24,000 จิน”
“อายุขัย : 16/100”
“สัตว์เลี้ยงสงคราม : ราชาราชสีห์คลั่งขนทอง(1) อสูรดุร้ายชั้นกลาง สุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจี (1) สุนัขราชสีห์แผดเผา (10) ราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด (1)”
“ทักษะ : การผสานร่าง (ระดับ1:ระดับ8 ระดับ2 : ระดับ3 ระดับ3 : ระดับ1)”
“ความสามารถเฉพาะตัว : ระฆังทองคำอมตะ(ระดับเจ้าโลก) การกลืนกินมืดมิด ทุ่งหญ้าเพลิงดารา เพลิงสีชาด”
“กระเป๋าสัตว์เลี้ยง : 15 ช่อง”
“กระเป๋าสวรรค์และปฐพี : คุณภาพต่ำ (11 ลูกบาศ์กเมตร ต่อพื้นที่)”
“เตาหลอมหมื่นอสูร : ชั้นยอด (ทำสายเลือดสัตว์เลี้ยงให้บริสุทธิ์สู่ชั้นยอด)”
“อาภรณ์เทวะควบคุมอสูร : ไม่ทำงาน”
พละกำลังของเขาขึ้นมากกว่า 20,000 แล้ว ดังนั้นกำลังของลู่หยางอยู่ที่ระดับค่อนข้างสูงในบรรดาผู้คุมอสูรชั้นกลาง แต่จะจัดการกับไอ้เฒ่าหลี่ซิ่ว ลู่หยางรู้สึกว่ามันยังไม่พอ
“ได้เวลาแล้ว” ลู่หยางกระซิบ หลังจากที่ส่งซุนวูและเตี่ยซู่ไปแล้ว ลู่หยางก็ปิดประตูและขังตัวเองอยู่ในห้องฝึกฝน
ลู่หยางเรียกต้าเฮ่ยออกมา เขาลูบหัวมันเบาๆแล้วพูดว่า “ต้าเฮ่ย เจ้าโตมาพร้อมกับข้า ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าจะพัฒนาไปด้วย”
ลู่หยางเตรียมการสำหรับวันนี้มานานแล้ว เขาแลกศิลาผลึกมาจำนวนหนึ่งจากฟางตง
เขาเอาศิลาผลึกชั้นกลางออกมาหนึ่งร้อยอันจากกระเป๋าสวรรค์และปฐพี เขาเรียกระบบช้าๆ
“สัตว์เลี้ยงสงคราม : สุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจี”
“ธาตุ : ความมืด”
“ระดับ: อสูรชั้นต้น”
“สายเลือด: ชั้นยอด”
“ความสามารถเฉพาะตัว : การกลีนกินมืดมิด(พลังของความมืดสามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในเป้าหมายและขณะเดียวกันทำให้ผู้ใช้แข็งแรงขึ้น)”
“แต้มเติบโต: 22/100”
ต้าเฮ่ยยังคงเป็นอสูรชั้นต้นอยู่ เขาต้องรีบเลื่อนระดับต้าเฮ่ยไปเป็นอสูรชั้นกลาง
สุนัขราชสีห์แผดเผาทั้งสิบตัวถูกเตรียมไว้แล้ว ตราบใดที่เขาสามารถยกระดับเตาหลอมหมื่นอสูร มันก็จะเพียงพอที่จะยกระดับสายเลือดของต้าเฮ่ยขึ้นไปชั้นจักรพรรดิได้
“ระบบ ช่วยข้ายกระดับเตาหลอมหมื่นอสูรไปที่คุณภาพสุงสุด”
เสียงระบบตอบเย็นชา” ติ้ง !” “ ยกระดับเตาหลอมหมื่นอสูรไปที่คุณภาพสุงสุดใช้แก่นผลึกชั้นกลางหนึ่งร้อยแก่น ท่านต้องการที่จะยกระดับเตาหลอมหมื่นอสูรไปที่คุณภาพสุงสุดทันทีมั้ย”
ลู่หยางตอบแน่วแน่ “ข้าจะยกระดับแน่นอน!”
แสงสีทองสว่างวาบผ่านเข้าไปในใจของลู่หยาง เขาเห็นเตาหลอมหมื่นอสูรขยายใหญ่ขึ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ พร้อมกับมีแถบแสงสีทองเป็นชั้นๆบนตัวเตาหลอม ใจของเขารับรู้ได้ว่าระบบได้ทำการยกระดับให้แล้ว
“ยินดีด้วย คุณภาพของเตาหลอมหมี่นอสูรเพิ่มขึ้นแล้ว ยกระดับไปที่คุณภาพสูงสุดสำเร็จและขีดจำกัดที่สูงขึ้นของสายเลือดได้รับการยกขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิ์”
ลู่ยางเรียกสุนัขราชสีห์แผดเผาออกมาทีละตัวและเริ่มยกระดับสายเลือดต้าเฮ่ย
“ติ้ง!” “ สัตว์เลี้ยงสงครามสุนัขแผดเผาเหนึ่งตัว แก่นผลึกชั้นกลางสิบแก่น อัตราการผสานร่าง 10%”
“ติ้ง!” “ สัตว์เลี้ยงสงครามสุนัขแผดเผาเหนึ่งตัว แก่นผลึกชั้นกลางสิบแก่น อัตราการผสานร่าง 20%”
“……”
“ติ้ง !” “สัตว์เลี้ยงสงครามสุนัขแผดเผาเหนึ่งตัว แก่นผลึกชั้นกลางสิบแก่น อัตราการผสานร่าง 100%”
“ติ้ง!” “ สายเลือดของสัตว์เลี้ยงสงครามเลื่อนขึ้นสู่ชั้นจักรพรรดิ”
ตอนนี้ ข้อมูลของต้าเฮ่ยเป็นดังนี้
“สัตว์เลี้ยงสงคราม: ราชาสุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจี”
“ธาตุ: ความมืด”
“ระดับ: อสูรชั้นต้น”
“สายเลือด: ชั้นจักรพรรดิ”
“ความสามารถเฉพาะตัว: ประตูอเวจี (รูปแบบที่ปรับเพิ่มของการกลืนกินมืดมิด)เรียกประตูจากเขตอเวจีและใช้พลังความมืดกลืนกินเป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้า ขณะเดียวกันทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาก เป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ระดับเจ้าโลก”
“แต้มเติบโต: 22/1000”
ลู่หยางมองคุณสมบัติที่ก้าวหน้าของตาเฮ่ยด้วยความพอใจ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงสงครามตัวอื่น หลังจากที่เป็นอสูรสายเลือดชั้นจักรพรรดิ ชื่อของต้าเฮ่ยเปลี่ยนเป็นราชาสุนัขอเวจี
การกลืนกินมืดมิดเปลี่ยนเป็นประตูอเวจี พลังของมันรุนแรงขึ้น อีกทั้งร่างกายของผู้ใช้ก็แข็งแกร่งมากขึ้น
ลู่หยางยิ้มพอใจ เขาต้องการยกระดับต้าเฮ่ยอีก
การที่ต้าเฮ่ยกลายเป็นอสูรชั้นยอดนั้นนำแต้มพลังมาให้ลู่หยางมากกว่าสองสามพันแต้ม เมื่อต้าเฮ่ยพัฒนาขึ้นเป็นอสูรชั้นกลาง มันจะนำผลประโยชน์มาให้ลู่หยางอีกมาก เขารอไม่ไหวแล้ว ปัจจุบันแต้มเติบโตของต้าเฮ่ยอยู่ที่ยี่สิบสองแต้ม ลู่หยางหยิบเอาผลึกชั้นต้นออกมาเก้าร้อยอัน ให้ต้าเฮ่ยเติบโตเต็มกำลังของมัน เสียงระบบดังขึ้นอีกครั้ง
ติ้ง สัตว์เลี้ยงสงครามราชาสุนัขอเวจีสามารถยกระดับเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามชั้นกลาง ท่านต้องการที่จะยกระดับมั้ย
ครั้งนี้ ไม่มีการแจ้งเตือน พละกำลังของลู่หยางขึ้นถึงระดับผู้คุมอสูรชั้นกลางแล้ว และเขาสามารถควบคุมอสูรชั้นกลางได้โดยสมบูรณ์ เขาไม่ลังเลเลย เขาเลือกฝึกฝนให้ก้าวหน้าขึ้นทันที แสงสีขาวจับมาที่ลำตัวของต้าเฮ่ยเป็นการเตือนว่าเขาแข็งแรงเพียงพอ ต้าเฮ่ยก็สูงขึ้นด้วย อีกทั้งยังนำผลประโยชน์มากมายมาสู่ลู่หยาง กำลังของลู่หยางเพิ่มขึ้นเป็นพัน ตอนนี้ ลู่หยางรู้สึกว่าภายในตัวของเขาเต็มไปด้วยพลังงานที่บ้าระห่ำ เขาสามารถล้มอสูรชั้นยอดระดับต่ำได้ด้วยหมัดเดียว
“เจ้าของ : ลู่หยาง (ผู้คุมอสูรชั้นต้น)”
“วิชาฝึกอสูร : เริ่มต้น (สิบดาว)”
“สมรรถนะทางกาย : 32,000 จิน”
“อายุขัย : 16/100”
“สัตว์เลี้ยงสงคราม : ราชาราชสีห์คลั่งขนทอง(1) ราชาสุนัขล่าเนื้อแห่งอเวจี (1) พยัคฆ์เพลิงสีชาด (1)”
“ทักษะ : การผสานร่าง (ระดับ1 ระดับ8 ระดับ2 ระดับ3 ระดับ3 ระดับ2)”
“ความสามารถเฉพาะตัว : ระฆังทองคำอมตะ(ระดับเจ้าโลก) ประตูอเวจี (ระดับเจ้าโลก) เพลิงสีชาด
“กระเป๋าสัตว์เลี้ยง : 15 ช่อง”
“กระเป๋าสวรรค์และปฐพี : คุณภาพต่ำ (11 ลูกบาศ์กเมตร ต่อพื้นที่)”
“เตาหลอมหมื่นอสูร : ชั้นยอด (ทำสายเลือดสัตว์เลี้ยงให้บริสุทธิ์สู่ชั้นยอด)”
“อาภรณ์เทวะควบคุมอสูร : ไม่ทำงาน”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ลู่หยางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยคือหลังจากที่สุนัขราชสีห์แผดเผาทั้งสิบตัวหายไปจากกระเป๋าสัตว์เลี้ยงของเขา ลู่หยางรู้สึกสูญเสียพลังงานไปเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ความสามารถเฉพาะตัวที่ดึงมาจากสัตว์ลี้ยงสงครามที่หายไปได้หายไปด้วย ที่หลังมือข้างซ้ายของเขาไม่มีรอยประทับของเพลิงดาราอีกแล้ว เขาอดที่จะรู้สึกสูญเสียไม่ได้เพราะเพลิงดาราเป็นทักษะสู้รบที่ดีที่สุดของเขาตอนนี้ มันคงจะน่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกผิดหวังกับเรื่องนี้
สำหรับความสามารถเฉพาะตัวของต้าเฮ่ย เป็นเพราะต้าเฮ่ยได้รับการเลื่อนขั้น ความสามารถเฉพาะตัวก็แข็งแรงขึ้นด้วย แต่ทว่าความสามารถเฉพาะตัวที่ลู่หยางดึงออกมาคือการกลืนกินมืดมิดซึ่งซึ่งไร้ประสิทธิภาพไปตั้งแต่แรกหลังจากที่ต้าเฮ่ยเลื่อนระดับขึ้นมาแล้ว แต่กระนั้นลู่หยางใช้ศิลาผลึกชั้นต้นหนึงพันอันซื้อความสามารถเฉพาะตัวของต้าเฮ่ยอีกครั้ง รอยประทับบนหน้าผากของเขาได้เปลี่ยนจากรูปดวงตาแนวตั้งมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำ ราวกับประตูอเวจีที่ยังไม่ถูกเปิดออก
“เฮ้อ! นี่เป็นทางเดียวเท่านั้น เมื่อข้ามีสัตว์เลี้ยงสงครามที่ดีกว่านี้ ข้าก็จะมีความสามารถเฉพาะตัวที่แข็งแรงกว่านี้” ลู่หยางพูดปลอบตัวเอง
SB:ตอนที่ 53 รังสีอำมหิต
การเลื่อนระดับของต้าเฮ่ยสองครั้งต่อเนื่องกันทำให้ร่างกายของลู่หยางแข็งแกร่งขึ้นแปดพันจิน พละกำลังสูงสุดของผู้คุมอสูรชั้นกลางอยู่ที่ห้าหมื่นจิน ตอนนี้ ลู่หยางไปไกลมากกว่าครึ่งทางแล้ว เมื่อเขามีพละกำลังขึ้นถึงสี่หมื่นกิโลกรัม เขาจะนับว่าอยู่ในกลุ่มผู้คุมอสูรชั้นกลางที่แข็งแกร่งที่สุด หลี่ซิ่วก็อยู่ในระดับนี้ด้วย
ลู่หยางอยู่ไม่ไกลเกินไปที่จะถึงจุดนั้น เขามีอสูรสายเลือดชั้นจักรพรรดิสองตัวอยู่กับเขา เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครทั่วทั่วเซียงหยางจะทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งการที่ต้าเฮ่ยเลื่อนระดับขึ้น การผสานร่างก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เขาสามารถรวมร่างกับอสูรชั้นจักรพรรดิ์สองตัวในเวลาเดียวกัน กับข้อได้เปรียบเช่นนี้ เขาสามารถสู้กับหลี่ซิ่วได้แน่นอน
“หลี่ซิ่ว เวลาของเจ้าใกล้จะหมดแล้ว รีบตักตวงความสุขในช่วงสุดท้ายของเจ้าซะ” ลู่หยางปลดปล่อยอารมณ์ความอาฆาตแค้นของเขาออกมา
เมื่อเตี่ยซู่เสร็จจากงานแล้ว ลู่หยางพาเขามากินอาหารที่ตำหนักสราญรมย์ ลู่หยางบอกเขาว่า “พรุ่งนี้เราจะไม่ทำงานกัน เรามีบางอย่างยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำ!”
เตี่ยซู่ตื่นเต้นขึ้นทันทีรีบถามว่า “พี่ชายหยาง ท่านกำลังเตรียมจะทำอะไร?” ตั้งแต่ที่เตี่ยซู่อยู่กับลู่หยางมา เขาไม่เคยเห็นลู่หยางจริงจังเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรก หลังจากที่เตี่ยซู่ได้เป็นผู้คุมอสูร เขาสามารถควบคุมหมีพลังเดรัจฉานได้อย่างชำนาญแล้ว แต่เขายังไม่ได้ใช้พลังของเขาเลย หลังจากเลิกงาน เขาก็ฝึกฝน เขายังไม่มีโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนทักษะกับผู้อื่นเลย
เมื่อได้ยินลู่หยางว่าจะทำงานใหญ่บางอย่าง กำปั้นของเตี่ยซู่เริ่มคันขึ้นมา เขาลูบกำปั้นแล้วบอกลู่หยางว่า “พี่ชายหยาง ถ้ามีอะไรให้ข้าช่วย บอกมาเลยนะ แม้ว่าข้า เตี่ยซู่ยังไม่แข็งแรงมาก ยังไงข้าก็จะอยู่ข้างหน้าพี่ชายหยางในเวลาคับขันแน่นอน!”
ลู่หยางหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยกำลังของเขาตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนบังลูกกระสุนให้ เขาบอกกลับไปว่า “ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก พรุ่งนี้ ข้ากะจะไปชำระหนี้แค้นกับหลี่ซิ่ว ข้าจัดการกับหลี่ซิ่วได้ แต่เขาเป็นถึงผู้ครองเมือง เขาย่อมต้องมีผู้กล้ามากมายอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา” “ดังนั้น ข้าอยากพาเจ้ามาด้วยให้ช่วยกันพวกที่น่ารำคาญพวกนี้ออกไปในเวลาที่คับขัน”
“ได้เลย!” เตี่ยซู่หัวเราะอารมณ์ดี เขาพูดว่า “ในที่สุด พี่ชายหยางก็ได้ตัดสินใจลงมือกับไอ้เฒ่าเลวหลี่ซิ่ว ข้ารอวันนี้มานานแล้ว และตอนนี้ข้าก็คุ้นเคยกับยุทธวิธีของผู้คุมอสูร ข้าจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน แก้แค้นมัน!”
ลู่หยางตบไหล่เตี่ยซู่ แล้วพูดยิ้มๆ “ตามข้ามา ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดหรอก!”
ทั้งสองคนกินและดื่มกันอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืนก่อนจะทำสงคราม หลังจากนั้น พวกเขากลับไปนอนหลับที่บ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาออกไปแกะรอยตามหาหลี่ซิ่ว เขาเป็นผู้ครองเมืองชิงเหอ เข่นเดียวกับครอบครัวของซุนวู เขาย้ายมาตั้งหลักที่นี่มานานกว่าสิบปีแล้ว ช่วงนี้ หลี่ซิ่วจะกลับไปตรวจตราดูที่เมืองชิงเหอเป็นครั้งคราว
ลู่หยางเคยถามถึงที่อยู่ของหลี่ซิ่ว แต่ก็ได้รับคำตอบว่าหลี่ซิ่วได้กลับไปที่ชิงเหอสองวันแล้ว อาจจะยังไม่กลับมา หลังจากที่รู้ข่าวนี้ เขารีบพาเตี่ยซู่ตรงไปยังทิศทางของเมืองชิงเหอทันที
เขาบอกว่า “แบบนี้ดีกว่า ฆ่าคนในเมืองเซียงหยางจะไม่เป็นผลดีกับเรา และยังอาจไปกระตุ้นคนของทางการ ให้เมืองชิงเหอเป็นที่ฝังศพมันละกัน!”
ในเวลาเดียวกันนี้ ในทิศทางที่ไปเมืองชิงหยาง ม้าเร็วกลุ่มหนึ่งห้อผ่านด้านข้างของเมืองชิงหยางไป เมื่อลุงสงเห็นม้าพลังมหาศาลกลุ่มนี้ เขารู้สึกว่ามันดูคุ้นๆอยู่
คนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบคน ทุกคนขี่ม้าลักษณะดีเช่นเดียวกัน ม้าเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะสูงเป็นพิเศษแล้ว พวกมันยังปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆเป็นชั้นๆ การจะมีม้าเช่นนั้นได้ คนเหล่านี้ต้องมีสถานะที่สูงส่ง และพวกเขาก็เป็นบรรดาลูกของขุนนางจากเมืองเซียงหยาง
ลุงสงเคยเห็นม้ากลุ่มนี้ด้วยตนเองตอนพวกมันเข้าไปที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นเมื่อไม่นานมานี้ และตอนนี้ เขาเห็นพวกมันออกจากแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขารู้เลยว่าพวกมันต้องทำอะไรซักอย่างสำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับนักล่าในบริเวณรอบๆนี้ พวกมันรีบเตรียมทางให้ม้ากลุ่มนี้ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
“แม่นางอู๋ซวง ท่านรีบร้อนกลับนักล่ะ” “ข้าเกรงว่านายท่านหลอจะมีเรื่องด่วนจะหารือกับเรา” ชายหนุ่มคนหนึ่งบนหลังม้ากล่าวกับผู้นำสาว แม่นางอู๋ซวง
เขาออกมาทำภารกิจชิ้นหนึ่ง แต่แล้วหายเงียบไป ไม่มีข่าวคราวของเขามาเป็นเวลานานยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกเรียกตัวกลับด่วน ดังนั้นแม่นางอู๋ซวงจึงไม่มีอารมณ์จะเจรจากับเขา และเมื่อได้ยินเขากล้าถามเช่นนั้น แม่นางอู๋ซวงเลยโมโหขึ้นมา
นางบอกว่า “หุบปากได้มั้ย? หายไปตั้งหลายวันไม่ส่งข่าวคราวมาซักนิด ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเศษสวะที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง และมีอำนาจ!”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น แม่นางอู๋ซวง ข้ารู้สึกว่าพวกเราเข้ามาแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นครั้งนี้ ถึงแม้ข้าจะไม่พบอะไร แต่ข้าก็รู้สีกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อสูรบ้าคลั่งที่นี่ดูแตกต่างจากเมื่อก่อน!”
แม่นางอู๋ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “นั่นเป็นการอารัมภบทถึงการปะทุขึ้นของกระแสอสูรงั้นสิ!”
อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ภายใต้สภาวะปกติ กระแสอสูรหรืออสูรบุกเมืองจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งทุกสิบปี และนี่ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่กระแสอสูรจะเกิดขึ้น แต่จากที่หลออู๋ซวงสังเกตเห็นในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมานี้ กระแสอสูรดูเหมือนจวนจะระเบิดขึ้นแล้ว
มันดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ราวกับว่ามีผู้บงการคอยควบคุมฝูงอสูรอยู่เบื้องหลัง ทำให้ฝูงอสูรนี้ปะทุขึ้นก่อนเวลา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของหลออู๋ซวงจับจ้องอยู๋ที่นักล่าอสูรข้างหน้าเขา นางถามว่า “ข้าไม่รู้ว่าทำไมกระแสอสูรถึงจะเกิดเร็วขึ้นครั้งนี้ ท่านไปแจ้งพวกชาวบ้านที่นี่ให้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา และให้อพยพเข้าไปในเมืองเซียงหยาง”
“นี่ เอ่อ….” สีหน้าชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนไม่เต็มใจ เขาพูดค่อยๆว่า “แม่นางอู๋ซวง พวกนั้นก็แค่คนสามัญชนธรรมดาๆ ไม่จำเป็นต้องไปเตือนพวกเขาหรอก ถูกมั้ย?”
หลออู๋ซวงจ้องเขม็งไปที่ชายคนนั้น แล้วตำหนิว่า “พวกเจ้าทั้งหมดมันไม่เอาไหน พวกเจ้ามีตั้งมากมาย แต่หลายวันมานี้จะหาเบาะแสซักอย่างยังไม่ได้ ข้าคิดว่าเมื่อกระแสอสูรออกมาแล้ว ข้าควรจะโยนพวกเจ้าให้เป็นอาหารของมันดีมั้ย?”
“แม่นางอู๋ซวงพูดถูกแล้ว! ข้าจะรีบไปแจ้งพวกชาวบ้านเดี๋ยวนี้!”
เขากลัวคำพูดของหลออู๋ซวงจนแทบจะฉี่ราด เขารีบควบม้าตรงไปยังทิศทางของเมืองชิงหยาง
“พวกเรากลับกันเถอะ!” “ รีบไปรายงานท่านพ่อข้าถึงสถานการณ์ที่นี่กัน”
ร่างของหลออู๋ซวงพลิ้วไหวราวกับสายลมสีขาวบริสุทธิ์ขณะที่นางควบม้าคู่ใจเจ้าอาชาศึกเขาเดียวไปตามถนน ทิ้งให้ชายผู้สูงศักดิ์อยู่ข้างหลัง
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะการแจ้งเตือนของหลออู๋ซวงแล้ว พวกชาวบ้านก็ยังไม่รู้ว่ากระแสอสูรกำลังจะเกิดขึ้น หลังจากที่รู้ข่าวนี้ พวกพรานที่ยังล่าสัตว์อยู่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นต่างพากันกลับมาที่บ้านในเมืองเพื่อเตรียมเก็บข้าวของเพื่ออพยพเข้าเมืองเซียงหยางกันกับครอบครัว
เป็นเวลาห้าวันแล้วที่หลอหยุนชานส่งข้อความไปถึงหลออู๋ซวง ในห้าวันนี้ หลอหยุนชานได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งออกตามหาหลออู๋ซวง และในที่สุดพวกเขาก็พบนางแล้ว ทั้งหมดรีบเร่งเดินทางหลับเมืองเซียงหยาง
ในใจของหลอหยุนชานนั้นยังกังวลถึงเรื่องสารลับที่อยู่กับลู่หยาง เขารีบส่งคนไปเชิญลู่หยางให้มาที่ตำหนักหลอฟู่ แต่ตอนนี้ ลู่หยางอยู่ที่เมืองชิงเหอแล้ว
หลอหยุนชานจำต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนรอลู่หยางกลับมา เมื่อเขารู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นแล้ว ผู้มากประสบการณ์อย่างหลอหยุนชานยังถึงกับตกใจ
เขารู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น และนั่นทำให้เขาไม่สบายใจมาก
“เจ้าหมายถึง ครั้งนี้มีคนตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ?”หลอหยุนชานถามหลออู๋ซวง
หลออู๋ซวงพยักหน้าและพูดแน่วแน่ว่า “อสูรเหล่านี้ดุร้ายขึ้นมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่มีใครควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลัง สถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”
หลอหยุนชานคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่ออสูรดุร้ายเหล่านี้เกิดบ้าระห่ำขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง กระแสอสูรก็จะระเบิดขึ้น ถ้ามีใครอยู่เบื้องหลังพวกมันจริงๆ มันต้องเป็นพลังอะไรซักอย่างที่พวกเราไม่รู้จัก ถึงตอนนั้น พลังที่ว่านี้ต้องปรากฏออกมาแน่นอน”
เมื่อกำลังพูดถึงพลังที่ไม่รู้จักกันอยู่นั้น จู่จู่ก็มีแสงเทวะปรากฏขึ้นบนหน้าผากเหี่ยวๆของหลอหยุนชาน เขาตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “หรือทั้งหมดนี้จะเกี่ยวกับปีศาจอเวจี!?”
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของตระกูลปีศาจอเวจี และความวุ่นวายที่คาดไม่ถึงของเหล่าอสูรร้ายที่หุบเขา ถ้าใครจะบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญ ตัวหลอหยุนชานเองไม่กล้าคิดเช่นนั้น แต่เขากลับคิดถึงแผนการยิ่งใหญ่ของใครบางคนแทน
เมืองชิงเหอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่หยางมาที่เมืองชิงเหอ และมาพร้อมกับความความโกรธเกลียดอาฆาตอยู่เต็มอก ลู่หยางเข้าไปตีสนิทกับนายพรานเฒ่าผู้หนึ่งเพื่อหวังจะถามถึงบ้านของหลี่ซิ่ว และก็เป็นไปตามที่ลู่หยางนึกภาพไว้ คนสถานะอย่างหลี่ซิ่วต้องพักอยู่ในใจกลางเมืองและต้องเป็นบ้านที่หรูหราที่สุด
ขณะนี้ใกล้จะค่ำแล้ว บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเขามีไฟเปิดอยู่ หลี่ซิ่วอยู่ข้างในนั้นจริงๆ ลู่หยางเงยหน้ามองท้องฟ้าและพูดว่า “แสงจันทร์คืนนี้ช่างงามจริงๆ แต่น่าเสียดาย เป็นคืนพระจันทร์สีเลือด!”
“ใช่แล้ว! เจ้าหมอนี่ให้อภัยไม่ได้ มันเป็นคนเลว เราให้เจ้าหมีหมิงอวี่เป็นพยานได้ ข้าจะอยู่กับพี่ชายหยาง ลงโทษคนชั่วและไม่มีคุณธรรม ลบล้างชื่อมันออกจากแผ่นดิน!”
“ไอ้เฒ่าสารเลวหลี่ซิ่ว! ออกมานี่!”
ลู่หยางรวบรวมกำลังระเบิดเสียงออกมา เสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งชิงเหอ
หลี่ซิ่วกำลังจะกินอาหารเย็นจู่จู่ก็ได้ยินเสียงท้าทายเขามาจากนอกบ้าน รอยยิ้มโหดร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาหันไปบอกชายรูปร่างกำยำหลายคนข้างหลังเขาว่า “ไอ้เด็กระยำ! มันมาหาข้าเร็วนัก พวกเจ้าออกไปหามัน แก้แค้นให้ลูกชายข้า!”
ชายประมาณแปดคนรีบแจ้นออกไป ภายใต้แสงจันท์สลัวๆ พวกมันยืนเผชิญหน้ากับลู่หยางที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลี่
“ไอ้เด็กระยำ! ข้าไว้ชีวิตเจ้าครั้งที่แล้วให้เจ้าได้อยู่กับความเจ็บปวดที่สุดในโลกนี้ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทนไม่ได้แล้ว จึงต้องรีบมาหาที่ตายตามไป” หลี่ซิ่วพูดฉุนเฉียว
สีหน้าลู่หยางสลดลง ความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าคนที่เป็นที่รักต้องมาถูกฆ่าตายนั้นกลับมาอีกครั้ง ลู่หยางจ้องหน้าหลี่ซิ่ว เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “สุนัขเฒ่า! วันนี้ข้าจะมาสะสางความแค้น ข้าจะเอาชีวิตถ่อยๆของแกล้างแค้นให้แม่ของข้า
อยากจะฆ่าข้านักรึ มาดูซิว่าเจ้าจะทำได้มั้ย!?”
หลี่ซิ่วร่ายแขนไปมาในอากาศ ฉับพลันนั้น ปรากฏอสูรร้ายรูปร่างสูงสามตัวอยู่ข้างหน้าลู่หยาง และขณะนี้ ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลหลี่ปกคลุมไปด้วยรังสีอำมหิตทันที
“พลังของไอ้สุนัขเฒ่านั่นไม่ธรรมดาจริงๆ อสูรร้ายทั้งสามตัวเป็นอสูรชั้นกลางมีสายเลือดชั้นยอด ถึงกระนั้นก็ตาม ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว พวกมันไม่ธรรมดาเลย”
“ดูเหมือนจะเป็นการสู้รบที่ดุเดือดนะวันนี้ “ลู่หยางกวาดสายตามองพวกมัน และเขาก็รู้ทันทีว่าชายเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังหลี่ซิ่วเป็นผู้คุมอสูรทั้งหมด
“ได้สู้เคียงข้างพี่ชายหยาง ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!” เตี่ยซู่ตะโกนออกมา
SB:ตอนที่ 54 ชำระหนี้แค้น
“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! ช่างเป็นลูกวัวอ่อนไม่รู้จักพยัคฆ์ซะแล้ว! ใครก็ได้ ฆ่ามัน!”
หลี่ซิ่วคำรามขึ้น ชายร่างกำยำแข็งแรงทั้งเจ็ดต่างก็เรียกอสูรของมันออกมาทันที เตรียมอัดลู่หยางและเตี่ยซู่ตลอดเวลา
“พี่ชายหยาง ไม่ต้องกลัว” “ข้าจะช่วยท่าน!” เตี่ยซู่ตะโกน
หมีพลังเดรัจฉานปรกฏตัวขึ้นทันทีตรงหน้าเตี่ยซู่ อสูรดุร้ายตัวใหญ่โตยืนขวางชายแข็งแรงทั้งเจ็ดคนไว้ทำเอาพวกมันสะดุ้งตกใจ หลังจากที่สำรวจดูใกล้ๆแล้ว พวกมันตระหนักว่าเป็นเพียงอสูรชั้นต้นตัวหนึ่งเท่านั้น
พวกมันหัวเราะเยาะ “ข้าก็ว่างั้น! มันก็แค่หมีพลังเดรัจฉาน!”
“อสูรชั้นต้นแค่นี้ ให้อสรพิษของข้าจัดการก็ได้!”
พอพูดจบ ชายกำยำก็โบกแขนของมัน ฉับพลันนั้น โครงร่างใหญ่มหึมากระโดดสูงขึ้นไปในอากาศจากข้างหลังเขา มันพุ่งกระโจนเข้าใส่หมีป่าเถื่อนพร้อมขู่คำราม อสูรอีกหกตัวร้องคำรามต่อกันไปทีละตัวแล้วบุกเข้าใส่ลู่หยาง
ลู่หยางยิ้มพร้อมกับพูดว่า “พวกเจ้าดูถูกหมีพลังเดรัจฉานของข้ารึ งั้นข้าจะให้ลองชิมของมีระดับกันบ้าง”
ลู่หยางโบกมือ ลูกบอลเพลิงระเบิดออกจากฝ่ามือลู่หยางทันที แรงระเบิดปะทะเข้าอย่างจังกับเจ้าอสรพิษที่อยู่ด้านหน้า นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัวของอสูรชั้นยอด พลังของมันมหาศาลซึ่งเป็นอะไรที่อสูรชั้นต้นไม่อาจต้านทานได้
แรงระเบิดฉีกร่างสูงของเจ้าอสรพิษออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นหนังและเนื้อ ลงมือเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะกระแทกอสูรชั้นต้นให้ลงไปกองกับพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง
“ถอยไป ไอ้เวรนี่ให้ข้าเอง!”
หลี่ซิ่วโพล่งออกมาอย่างโมโห มันย่างเท้าเข้ามาหาลู่หยาง อสูรชั้นกลางสามตัวตามหลี่ซิ่วมาติดๆ อสูรร้ายก้าวแต่ละครั้งทำเอาพื้นดินสั่นสะเทือนไปด้วย
“หลี่ซิ่ว เจ้าต้องการใช้อสูรสู้กับข้างั้นรึ? ข้าจะสงเคราะห์ให้เจ้าเอง”
ในหนึ่งอึดใจ ลู่หยางเรียกอสูรออกมาสามตัว ราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด อยู่ข้างหน้าต้าเฮ่ย และ ราชาราชสีห์คลั่งขนทองซึ่งกลายเป็นตัวเล็กที่สุดในบรรดาสามตัว
เขาให้ต้าเฮ่ยและราชาราชสีห์คลั่งขนทองสู้กับอสูรร้ายทั้งสามตัวของหลี่ซิ่ว ส่วนราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาดให้กระโจนเข้าใส่อสูรชั้นต้นตัวอื่นๆ
ราวกับพยัคฆ์วิ่งเข้าสู่ฝูงแกะ ในบรรดาอสูรชั้นต้นเหล่านี้ ไม่มีแม้สักตัวเดียวที่จะมีสายเลือดชั้นยอด ราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาดกระโจนฝ่าคู่ต่อสู้ราวกับมันกำลังบดขยี้พงหญ้าและขอนไม้ผุๆ
หลี่ซิ่วจ้องลู่หยางอย่างเย็นชา เขาโบกมือแล้วสั่งสัตว์เลี้ยงสงครามของตัวเอง “ฉีกอสูรพวกนี้ให้หมด!”
“(เสียงคำราม)!” อสูรร้ายสามตัวร้องขึ้นพร้อมกัน พร้อมกับเขย่าร่างอันใหญ่โตมหึมาของมันแล้วพุ่งไปข้างหน้า
เมื่อเห็นอสูรสามตัวกำลังตรงเข้ามา เขาพูดแผ่วเบาว่า “ต้าเฮ่ย ให้พวกมันเห็นความสามารถเฉพาะตัวของเจ้าหน่อยซิ”
ต้าเฮ่ยอ้าปากกระหายเลือดของมัน แต่สิ่งที่ออกมาไม่ใช่กระแสน้ำวนดำอีกแล้วแต่เป็นประตูสีดำ นี่เป็นหน้าตาที่แท้จริงของประตูอเวจี
ตามตำนานมีอยู่ว่า ที่หน้าประตูอเวจีจะมีสุนัขศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจีเฝ้าอยู่ โดยธรรมชาติแล้ว ต้าเฮ่ยซึ่งมีสายเลือดของสุนัขศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจีอยู่ด้วยจะมีความชำนาญในยุทธวิธีของประตูอเวจี ด้วยการใช้พลังความมืดของมัน ผลักประตูสีดำให้เปิดออกแล้วปล่อยแรงดึงดูดที่น่ากลัวให้ระเบิดออกมาจากห้วงลึกของประตูอเวจี
ก่อนที่อสูรร่างยักษ์ทั้งสามตัวจะพุ่งเข้าใส่ลู่หยางนั้น อสูรตัวแรกได้ตกลงไปในวังวนของประตูอเวจีแล้ว เป็นการยากที่จะป้องกันได้ทัน และทุกย่างก้าวในนั้นต้องออกแรงมากมายมหาศาล
ลู่หยางมองไปที่ราชาราชสีห์คลั่งขนทองแล้วมันก็เข้าใจในทันที มันแบกระฆังทองคำอันใหญ๋โตไว้บนหลังแล้วทะยานเข้าไปในวังวนแห่งประตูอเวจี ด้วยการป้องกันของระฆังทองคำอมตะและด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่ระดับเจ้าโลก ประตูอเวจีไม่สามารถทำอันตรายราชาราชสีห์คลั่งขนทองได้ง่าย ราชาราชสีห์คลั่งขนทองอ้าปากกระหายเลือดแล้วกัดเข้าที่อสูรร้ายโดยที่มันไม่มีพลังที่จะตอบโต้เลย
มันกัดเข้าที่คอของอสูรร้ายจนหัวมันแทบหลุดออก ร่างของมันจมหายลงไปในประตูอเวจี ประตูอเวจีส่ายไปส่ายมา ราวกับว่ามันกำลังเคี้ยวอยู่แล้วย่อยสลายร่างของอสูรร้ายอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด มันส่งลำแสงสีแดงเลือดเข้าไปในต้วต้าเฮ่ยดูราวกับว่าต้าเฮ่ยกำลังสวมชุดเกราะสีเลือดอยู่
“รสชาติของอสูรชั้นยอดระดับกลางคงจะอร่อยดีนะ มันทำให้อัตราเติบโตของต้าเฮ่ยเพิ่มขึ้นสิบสามแต้ม”
สิบแต้มที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากแก่นผลึกชั้นกลาง อีกสามแต้มมาจากพลังงานเลือดของอสูรร้าย ความสามารถเฉพาะตัวของต้าเฮ่ยนี้ลึกล้ำพิสดารมาก ไม่เพียงแต่มันจะสามารถกลืนกินอสูรที่ระดับเดียวกันแบบเป็นๆได้ มันยังสามารถเปลี่ยนซากศพของอสูรเหล่านี้ไปเป็นคุณค่าการเติบโตของมันได้ด้วยอีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังของมันได้ชั่วคราว
เมื่อพลังงานเลือดของอสูรระดับกลางเข้าสู่ร่างของต้าเฮ่ย พละกำลังของต้าเฮ่ยก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยการคุ้มภัยของเสื้อเกราะแดงเลือด กำลังป้องกันของต้าเฮ่ยขึ้นสูงไปอีกระดับเลย
หลี่ซิ่วไม่เคยคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นนี้ อสูรร้ายที่เขาเฝ้าฝึกฝนมาด้วยความเพียรพยายามจะถูกกระชากหัวออกมาในพริบตาเดียว
“ทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถเทวะเฉพาะตัว เร็วเข้า ใช้ความสามารถเทวะเฉพาะตัวของพวกเจ้า!”
ในบรรดาอสูรที่เหลือสองตัว หนึ่งในนั้นคืออสรพิษสีเหลือง เมื่อได้ยินคำสั่งของหลี่ซิ่ว มันรีบใช้พลังพรสวรรค์เหนือธรรมชาติของมัน ด้วยการเปลี่ยนพลังงานธาตุดินทั่วร่างของมันเป็นเขาแหลมยื่นตรงออกมาที่หัวของอสรพิษ ด้วยแรงปะทะที่มหาศาลของอสรพิษที่พุ่งเข้าใส่ประตูอเวจี ระฆังทองคำอมตะถึงกับสั่นสะเทือนเป็นผลให้แรงดึงดูดของอสูรทั้งสองตัวลดลงมาก
อสูรร้ายที่เหลืออีกหนึ่งตัวปกคลุมไปด้วยหนามแหลมเต็มไปหมด ทันทีที่ความสามารถเทวะเฉพาะตัวถูกปลดปล่อย เดือยแหลมที่อาบไว้ด้วยแสงเขียวถูกยิงออกมาราวกับขีปนาวุธ
“อย่างนี้ไม่ดีแน่!” ลู่หยางร้องออกมา เขารู้ว่าสถานการณ์กำลังแย่ลง
เขาเรียกระฆังทองคำอมตะของเขาทันที เป็นการเพิ่มปราการคุ้มกันอีกชั้นหนึ่ง วินาทีที่ลู่หยางกำลังทำสิ่งเหล่านี้อยู่ หนามสีเขียวได้เจาะทะลุผ่านประตูอเวจีและจะเข้าถึงตัวลู่หยาง ระฆังทองคำอมตะปรากฏขึ้นทันเวลาพอดี มันล้อมลู่หยางไว้ข้างในได้ทันก่อนที่หนามสีเขียวจะถึงตัวลู่หยาง หนามแหลมยังคงยิงมาไม่หยุด มันตกกระทบผิวระฆังทองคำอมะ แต่ไม่สามารถฝ่าทะลุเข้ามาได้ แค่ทำให้เกิดรอยเป็นระลอกๆ
“นี่ไม่ใช่อสูรธรรมดาๆ! ทั้งสองตัวนี้เป็นอสูรชั้นจักรพรรดิ์!” หลี่ซิ่วร้องแปลกๆออกมา
เขาเลือกสัตว์เลี้ยงสงครามทั้งสามตัวของเขามาด้วยความพิถีพิถัน ใช้เวลามากกว่าสิบปีในการเลือกหนึ่งตัวจากอสูรบ้าบิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน เขาคิดมาเสมอว่ายากที่จะหาคู่ต่อสู้ชั้นยอดมาสู้กับอสูรทั้งสาม แต่การสู้รบครั้งนี้ ลู่หยางฆ่าพวกมัน เขาคิดว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัวของมัน
และตอนนี้ลู่หยางเองก็ได้ปล่อยความสามารถเฉพาะตัวของเขาเองออกมา ประตูอเวจียังไม่ถูกทำลาย ระฆังทองคำอมตะก็ยังอยู่ในสภาพดี ถ้าไม่เป็นเพราะความสามารถเฉพาะตัวที่เหนือกว่า หลี่ซิ่วจะไม่ยอมเชื่อว่าอสูรร้ายของเขาจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
อสูรร้ายของชายร่างกำยำทั้งเจ็ดคนถูกราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาดฆ่าตายหมด และหลังจากที่อสูรของเขาถูกต้าเฮ่ยและระฆังทองคำอมตะฆ่าตายแล้ว หลี่ซิ่วก็สูญเสียตัวตนของตัวเองแล้ว เขาจ้องลู่หยางราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพูดว่า “ทำไม ทำไมเด็กสารเลวจนๆคนหนึ่งเช่นเจ้าจะมีอสูรชั้นจักรพรรดิได้!?”
หลังจากที่ลู่หยางจัดการกับอสูรทั้งสองตัวของมันแล้ว เขาได้ควักเอาแก่นผลึกของมันออกมาด้วยต่อหน้าหลี่ซิ่ว
“ไอ้หนู เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!”
ลู่หยางยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ถ้าข้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น ข้าจะมาตามล้างแค้นกับเจ้ารึ?”
“เจ้าคิดว่าเจ้าจะฆ่าข้าได้รึ? เจ้ายังไร้เดียงสาเกินไป!” หลี่ซิ่วโกรธจนหัวเราะออกมาแทน เสียงหัวเราะของมันสั่นสะเทือนท้องฟ้าและทำให้ลู่หยางหน้าชาไป
ลู่หยางตอนนี้ไม่หลงเหลือความดีใจอยู่ แต่กลับรู้สึกว่าเขาถูกข่มขู่อยู่จากเสียงหัวเราะของหลี่ซิ่ว
“ไอ้เฒ่าสารเลว! เจ้ากำลังคิดทำอะไร!”
หลี่ซิ่วยังคงหัวเราะต่อ มันไม่ได้ตอบคำถามลู่หยาง หากแต่ย่างเท้าเข้าหาเขาทีละก้าว ทีละก้าว
น้ำเสียงของหลี่ซิ่วมีทั้งสิ้นหวังเดียวดายปนอาฆาตแค้น “ไอ้หนู เจ้าช่างมีพรสวรรค์ในการฝึกอสูรซะจ่ริง แต่เจ้าอาจไม่รู้เหตุผลว่าทำไมผู้คุมอสูรถึงได้แข็งแกร่งนัก นั่นไม่ใช่เพราะสัตว์เลี้ยงสงครามหรอกนะ ถึงแม้ไม่มีสัตว์เลี้ยงสงคราม อำนาจที่แท้จริงของผู้คุมอสูรก็ยังจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อยู่!”
และด้วยการกระทืบเท้าที่หนักหน่วง ร่างของหลี่วิ่วก็พุ่งออกไปเหมือนกับลูกธนูพุ่งออกจากคันธนู มันพุ่งเลียดมากับพื้นตรงมาหาลู่หยาง
“พี่ชายหยาง ระวัง!” เตี่ยซู่ร้องตะโกน
แน่นอนว่าลู่หยางเองก็รู้สึกผิดปกติ แต่หลี่ซิ่วพุ่งมาเร็วมาก เขาจะเรียกสัตว์เลี้ยงสงครามมาก็ไม่ทัน ในเวลาจวนเจียนนั้นเอง เขาทำได้แค่โบกแขนแล้วถือลูกบอลเพลิงไว้ แล้วขว้างใส่หลี่ซิ่วอย่างเร็ว
จังหวะที่กำปั้นทั้งสองของหลี่ซิ่วปะทะกัน ลู่หยางตาเบิกโพลง ไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น
หลี่ซิ่วกลายเป็นอสูรกาย แขนของเขาหนาใหญ่ขึ้น และมีชั้นของหินแข็งอยู่บนสุดของแขน ยิ่งไปกว่านั้น พละกำลังที่ออกมาจากแขนของหลี่ซิ่วนั้นไม่ใช่แค่สี่หมื่นจิน แต่มากกว่าห้าหมื่นจินแน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลู่หยางต้องถูกอัดลอยกระเด็นไปแล้วกระอักเลือดออกมา ในที่สุดลู่หยางได้ตระหนักว่า นอกจากอสูรร้ายทั้งสามตัวของหลี่ซิ่วก่อนหน้านี้ ยังมีอสูรตัวอื่นๆที่ยังไม่ถูกเรียกออกมา ตอนนี้เขาไม่ได้สู้เพียงลำพัง เขาเลือกที่จะรวมร่างกับสัตว์เลี้ยงสงครามแล้วลงมืออย่างโหดเหี้ยมที่สุด กำลังของลู่หยางตอนนี้เกือบจะเท่าๆกับหลี่ซิ่ว แต่หลังจากที่หลี่ซิ่วรวมร่างกับสัตว์เลี้ยงสงครามแล้ว ลู่หยางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแล้ว หมัดเดียวของหลี่ซิ่วทำร้ายเขาสาหัสมาก แต่ว่าหลี่ซิ่วเองก็ได้รับบาดเจ็บจากลูกบอลเพลิง ถ้าไม่มีหินพวกนั้นป้องกันไว้ แขนของหลี่ซิ่วก็อาจต้องพิกลพิการไปเลย แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ถูกเผาไหม้ไปทั้งตัว แม้ไม่ตาย ก็บาดเจ็บสาหัสมาก หลังจากที่กลิ้งไปกับพื้นได้ครู่หนึ่ง หลี่ซิ่วเช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วจ้องมองลู่หยางอย่างโกรธแค้น เขาพูดว่า “ไอ้เด็กระยำ! เจ้านี่มีลูกเล่นมากนักนะ หมัดเดียวของข้าไม่สามารถฆ่าเจ้าได้!”
หลังจากครั้งนั้นแล้ว หลี่ซิ่วไม่มีโอกาสอีก เพราะต้าเฮ่ย และราชาราชสีห์คลั่งขนทองเมื่อเห็นลู่หยางได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกมันรีบพุ่งมาอยู่ข้างๆคอยคุ้มครองลู่หยาง แม้หลี่ซิ่วจะมีลูกเล่นอีก มันก็จะทำร้ายลู่หยางไม่ได้อีก
ลู่หยางอดทนต่อความเจ็บปวด เขากัดฟันลุกขึ้นยืนเขาบอกต้าเฮ่ยและราชาราชสีห์คลั่งขนทองว่า “ต้าเฮ่ย ราชาราชสีห์ เร็วเข้า รีบลงมือ อย่าปล่อยให้มันหนีไป!”
“เฮ้ เฮ้! อยากฆ่าข้านักรึ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก!”
หลี่ซิ่วหัวเราะ และทันใดนั้นมันก็แยกตัวเป็นอิสระจากสภาพร่างกายของมัน เหลือเพียงแค่สัตว์เลี้ยงสงครามอยู่ที่เท้าของหลี่ซิ่ว มันป็นตัวนิ่มตัวเล็กๆแต่พลังวิญญาณที่มันปล่อยออกมาไม่น้อยเลย มันไม่รอให้ต้าเฮ่ยและราชาราชสีห์คลั่งขนทองเล่นงานมันก่อน มันชิงมุดลงดินไปก่อน หลุมที่มุดลงไปนั้นไม่ได้สัดส่วนกับขนาดตัวของมันเพราะทันใดนั้นก็ปรากฏเท้าของหลี่ซิ่วขึ้นมา
“ลาก่อน ไอ้หนู!”
หลี่ซิ่วไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง มันคลานไปเกาะหลังตัวนิ่มแล้วพากันกระโดดลงไปในหลุมหนีหายไปในพริบตาเดียว
SB:ตอนที่ 55 ภารกิจสำเร็จ
“ระยำเอ้ย! มันหนีไปได้!” ลู่หยางโกรธจัด
หลังจากที่ใช้พละกำลังไปมากและดูเหมือนเขาจะจัดการไอ้เฒ่าหลี่ซิ่วได้แล้ว แต่ในที่สุดเขาประมาท และปล่อยให้หลี่ซิ่วมีโอกาสหนีรอดไปได้ เขาได้แต่เสียดายที่ยังไม่ได้สะสางความแค้นที่ยิ่งใหญ่นี้
เตี่ยซู่ปลอบใจลู่หยาง “พี่ชายหยาง! อย่าได้เสียใจไปเลย ครั้งนี้ไอ้เฒ่านั่นก็สูญเสียไปมากเหมือนกัน ถึงแม้เราได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงสงคราม แต่เราไม่ทำอะไรชั่วร้ายในภายหน้าแน่นอน”
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดของเตี่ยซู๋จะจริงแท้เช่นนี้หรือไม่?
ตราบเท่าที่หลี่ซิ่วยังมีชีวิตอยู่ เขาใช้เวลาไม่นานหรอกก่อนที่จะลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง
สำหรับลู่หยาง การที่เขาก่อเรื่องขึ้นครั้งนี้ และแก้แค้น ถ้าเขาหนีไปจากเมืองเซียงหยาง แล้วถ้าครั้งหน้า หลี่ซิ่วเตรียมตัวมา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะราบรื่นเช่นครั้งนี้
ลู่หยางถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เขาก็ได้รับผลประโยชน์บางอย่าง เพราะหลังจากครั้งนี้ เขาเข้าใจไพ่ตายของหลี่ซิ่ว หากครั้งหน้าเขาสู้กับหลี่ซิ่วอีก เขาจะไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นวันนี้แน่
“ครั้งหน้า บางทีเจ้าอาจเป็นแค่มดตัวนึงต่อหน้าข้า!” ลู่หยางพูดในใจด้วยรอยยิ้มอำมหิต
ด้วยระบบฝึกอสูรในมือ พละกำลังของลู่หยางเพิ่มขึ้นอย่างง่ายดาย ง่ายพอๆกับการกินและการดื่ม แต่พละกำลังของหลี่ซิ่วไม่ได้เพิ่มขึ้นง่ายดายเข่นนั้น ครั้งหน้าถ้าพวกเขาปะทะกัน ช่องว่างระหว่างพวกเขาจะยิ่งกว้างขึ้น ไม่เพียงแต่ในแง่ของพละกำลัง แม้ตัวหลี่ซิ่วเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หยาง
คืนนั้น ทั้งลู่หยางและเตี่ยซู่ขออาศัยพักอยู่ที่บ้านนายพรานผู้หนึ่งในชิงเหอ ลู่หยางสังเกตเห็นว่าตามร่างกายของนายพรานผู้นี้มีบาดแผลเต็มไปหมด เขารู้สึกแปลกใจจึงเข้าไปคุยกับนายพรานที่ห้องของเขา
“ท่านลุงไปเจออสูรร้ายมาบ้างหรือไม่?” “ในอดีต พี่ชายหยางกับข้ามักออกไปล่าสัตว์ในหุบเขาลึกๆเสมอๆ แต่พวกเรามีฝีมือค่อนข้างดีก็เลยไม่ค่อยได้รับบาดเจ็บกัน” เตี่ยซู่พูดไม่ยั้งคิด
ลู่หยางถลึงตาใส่เขา ภรรยานายพรานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “จริงๆแล้ว ตาเฒ่าของข้านี่เป็นนายพรานที่เก่งคนหนึ่งในเมืองนี้ แต่ช่วงเวลานี้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น อสูรดุร้ายบางตัวออกมาปรากฏตัวที่แถบนอกสุดของหุบเขา”
“อสูรร้ายปรากฏตัวรึ?” “ท่านช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อยจะได้มั้ย?” ลู่หยางรีบถาม
“ข้าไม่รู้ถึงสถานการณ์ตรงนั้นหรอก แต่ในเมื่อพวกเจ้าอยากรู้ ให้ตาเฒ่าเป็นคนเล่าละกัน สรุปคือ เมื่อไม่นานมานี้ แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นเกิดการผันผวนมาก ผู้คนในเมืองล้มตายลง”
แต่ทว่าแม้ว่าเขาโชคดี เขายังคงได้รับบาดเจ็บ ขณะที่นางพูด น้ำตาของนางเอ่อล้นขึ้นมา
นายพรานเฒ่านอนอยู่บนเตียงและพยายามจะลุกขึ้น ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เขาเล่าให้ลู่หยางฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
วันนั้น นายพรานเฒ่าและเพื่อนอีกสองสามคนกำลังล่าสัตว์อยู่บริเวณขอบของแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาวางกับดักไว้ล่าสัตว์ตัวใหญ่ ตกกลางคืน พวกเขาได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอยู่ในกับดัก และเสียงนั้นดูเหมือนจะไม่เล็กเลย
ดังนั้น พวกนายพรานจึงรีบวิ่งไปดู เมื่อพวกเขาเห็นแล้ว ต่างก็ตกตะลึงกัน เพราะทีแรกพวกเขาตั้งใจล่าสัตว์ป่าเช่นเสือ สิงโต แต่ไม่คิดเลยว่าในกับดักจะเป็นอสูรดุร้าย
อสูรร้ายเริ่มบ้าคลั่งทันที มันดิ้นหลุดเป็นอิสระจากกับดัก เป็นเพราะโชคช่วย นายพรานเฒ่าหลบหลีกกรงเล็บของอสูรร้ายได้ แต่นายพรานคนอื่นๆนั้นตายหมด
“แทบจะไม่ค่อยพบอสูรดุร้ายที่บริเวณขอบของแนวหุบเขา” ลู่หยางพูดพร้อมกับคิดไปด้วย
นายพรานเฒ่าไม่ได้พูดอะไรนอกจากหัวเราะขมขื่น แล้วเขาก็เล่าต่อ “จริงๆแล้วก็แทบจะไม่พบ ยกเว้นครั้งนี้ ที่พวกเราโชคไม่ดี”
“เป็นไปได้มั้ยว่ามันมีมากกว่าหนึ่งครั้ง?” เตี่ยซู่ถามแปลกใจ
นายพรานเฒ่าส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “นอกจากครั้งที่พวกเราเจออสูรร้าย พวกพรานในเมืองก็เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในห้าวันที่ผ่านมานี้”
“และนี่ทำให้ทุกๆคนในเมืองชิงเหอวิตกกังวล พรานผู้มีประสบการณ์บางคนถึงกับไม่กล้าขึ้นไปล่าสัตว์ในหุบเขา หลังจากที่ประสบกับอสูรร้ายตลอดหลายครั้งนี้ จำนวนพรานที่เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นๆ สองวันนี้ไม่มีใครกล้าออกไปที่นั่นเลย!”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด ลู่หยางรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เขาบอกไม่ได้ว่าคืออะไร รู้เพียงว่า เขาไม่สบายใจ
เขากล่าวกับนายพรานเฒ่า “ท่านลุง ขอบคุณในความมีน้ำใจของท่าน” “พวกเราเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานสำคัญด้องทำ พวกเราไม่รบกวนท่านแล้ว พวกเราจะกลับไปในเมืองคืนนี้”
เตี่ยซู่ยุ่งมาตลอดทั้งวันและยังไม่ได้กินอาหารดีๆเลย เมื่อได้ยินลู่หยางว่าจะออกเดินทาง เขาตกใจทันที
“อย่าเพิ่งสิ พี่ชายหยาง ดูสิท่านลุงกับท่านป้าดีกับเราแค่ไหน แค่พักอยู่ที่นี่ซักคืนเถอะนะ”
“เอ้อโกวจื่อ!” ลู่หยางเผลอตะโกนชื่อนั้นออกไป
แล้วเขาก็พูดต่อ “เชื่อฟังพี่ชายหยางของเจ้า พวกเราจะกลับเข้าเมืองเซียงหยางเดี๋ยวนี้ !”
เมื่อเห็นว่าลู่หยางกำลังจะโกรธ เตึ่ยซู่ได้แต่เดินตามหลังลู่หยางเงียบๆด้วยใบหน้าละห้อย
ทั้งสองคนรีบเร่งเดินทางตลอดทั้งคืน ถ้าไม่เป็นเพราะได้พบนายพรานเฒ่า และบาดแผลของเขาซึ่งดูแปลกจนนำไปสู่การเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ลู่หยางก็คงจะลืมเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งไปแล้ว เขายังมีข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ได้ส่งออกไป เมื่อนับเวลาดูแล้วนี่ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว หลออู๋ซวงอาจจะกลับมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพวกปีศาจอยากได้สารฉบับนี้มากนัก มันอาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลลับของพวกปีศาจ สัญชาตญาณของลู่หยางบอกเขาว่าเป็นไปได้ที่เรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับอสูรร้ายที่อยู่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น
“ข้าหวังว่ามันจะไม่สายเกินไป” ลู่หยางปลอบใจตัวเอง
ทั้งสองคนเดินย่ำไปบนพื้นดินที่อาบไปด้วยแสงดาว พวกเขารีบเดินทางกลับไปเมืองเซียงหยางซึ่งนับระยะทางแล้วหลายร้อยกิโลเมตร
ที่คฤหาสน์
ยามรักษาการที่หลอหยุนชานให้ไปส่งสารนั้นกลับมามือเปล่า หลอหยุนชานวิตกกังวลมากจนเหงื่อแตกทั่วใบหน้า
ในคฤหาสน์ หลอหยุนชานตะโกนอย่างอารมณ์เสีย “ไอ้เลวนี่ ข้าไม่ได้บอกมันหรือว่าให้รออยู่ที่บ้านเพื่อรอฟังข่าวจากข้า ทำไมในเวลาสำคัญเช่นนี้ ไม่มีใครอยู่เลย!”
“ท่านพ่อ ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้ ข้ายังทำงานของข้าไม่เสร็จเลย ท่านก็เรียกตัวข้ากลับมาแล้ว!”
หลอหยุนชานจ้องอย่างโมโห แล้วตำหนิว่า” มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าทั้งหมดงั้น ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าไป แต่เจ้าไม่ฟัง เจ้ารู้มั้ยปีศาจอเวจีปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เจ้าไป หลออู๋ซวงรู้เกี่ยวกับตำนานของปีศาจอเวจี แต่เมื่อรู้ข่าวเกี่ยวกับปีศาจ นางก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้ นางกล่าวว่า “ปีศาจอเวจีรึ? มันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเหรอ!?”
“มันอยากขโมยของบางอย่างมันก็เลยบุกเข้ามาในเมืองเซียงหยาง ลูกสาวข้า เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมั้ยสำหรับปีศาจอเวจีที่จะต้องเสี่ยงมาเข้าเมืองเพื่อมาขโมยของบางอย่าง?”
“นั่นก็จริง” หลออู๋ซวงพูด แล้วรีบมองหลอหยุนชานอย่างสงสัย นางถามว่า “แต่ท่านพ่อ แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้ารึ?”
หลอหยุนชานจ้องพร้อมกับพูดว่า “เจ้าเด็กนั่น ให้ข้าดูสิ่งนั้น มันเป็นสารฉบับหนึ่ง แต่เนื้อหาของมัน เขาต้องพบเจ้าก่อนถึงจะให้ข้าดูได้ เจ้าคิดว่ามันน่าโมโหมั้ยล่ะ!?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาดูหมิ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลออู๋ซวง นางกล่าวว่า “อีกหนึ่งคน ท่านคิดว่าสารฉบับนึงจะทำให้ข้ามองเขาแปลกไปงั้นเหรอ?”
“ลูกสาวข้า สหายน้อยคนนี้แตกต่างจากพวกที่วิ่งตามตื้อเจ้า อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปไปสิ”
“สำหรับบางคนที่ไม่รักษาสัญญา ท่านยังจะให้ข้ากลับไปรอเขาเป็นนานสองนาน”
ก่อนที่พ่อกับลูกจะถกเถียงกันเสร็จนั้น คนรับใช้ก็เข้ามารายงานว่า
“นายท่าน! มีคนมารอพบท่านอยู่ข้างนอก ขอรับ!”
“เป็นใครกัน!” หลอหยุนชานถามขึ้นทันที
“ชายหนุ่มสองคน ขอรับ”
“หรือจะเป็น ลู่หยาง?” หลอหยุนชานตื่นเต้นขึ้นทันที เขารีบเรียกหลออู๋ซวง “ไปกันเถอะ ลูกสาวข้า! มากับข้า มาพบพ่อหนุ่มคนนี้ เจ้าอาจเปลี่ยนใจก็ได้”
หลอหยุนชานให้คนบรรยายรูปพรรณสัณฐานของคนที่จะขอเข้าพบเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นลู่หยาง
หลออู๋ซวงเมื่อรู้ว่าบิดาหมายถึงอะไรก็โกรธมาก นางเดินย่ำเท้าปึงปังไปที่ประตู
“เชอะ ข้าอยากรู้นักเจ้าคนนี้เป็นคนมีพื้นเพเป็นมายังไง!”
“ข้าขอถามหน่อยว่าแม่นางอู๋ซวงกลับมาแล้วยัง?” ลู่หยางคอยยู่นอกประตู เขาถามคนรับใช้ของบ้านสกุลหลอ
หลังจากที่รู้สถานการณ์ที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น ลู่หยางรอต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เขาหวังว่าเขาจะสามารถส่งสารฉบับนั้นได้ทันเวลาซึ่งจะเป็นการดีสำหรับตัวเขาเองด้วยเพราะเขามีบางอย่างค้างอยู่ในใจ
หลออู๋ซวงมาถึงประตูแล้วและได้ยินที่ลู่หยางถามเกี่ยวกับนาง นางขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามว่า “ท่านอยากพบข้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“เป็นท่าน!” ลู่หยางหันหน้ามา และอุทานด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางดูคุ้นตายิ่งนัก ลู่หยางจำอัศวินสาวที่เขาเคยพบเห็นเมื่อไม่นานนักได้ ตอนนั้น เขาตกตะลึงกับความงามของนาง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาประทับใจม้ายูนิคอร์นที่นางขี่ เวลานี้ที่เขาพบหลออู๋ซวง เขากลับไปคิดถึงตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกทันที “ท่านคือแม่นางอู๋ซวง?”
“ช่างงามเหลือเกิน!” เตี่ยซู่เพ้อ
“ท่านไม่รู้จักข้ารึ?” หลออู๋ซวงถามสงสัย “ถ้าอย่างนั้น ใครที่ยืนกรานให้เจ้ามอบสารฉบับนั้นให้ข้า ทำไมแม้แต่พ่อข้าท่านก็ให้ดูไม่ได้”
“นั่นเป็นความตั้งใจของเจ้าของสารฉบับนั้น ข้าเป็นเพียงผู้ส่งสาร ดังนั้น ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้น”
“อ้อ…” “ ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ เจ้าก็พบข้าแล้ว เจ้าจะมอบสารฉบับนั้นให้ข้าได้แล้วยัง?”
ลู่หยางไม่ได้โง่ เขาเข้าใจทุกคำพูดของหลออู๋ซวง แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อส่งมอบสารลับ และเมื่อมาถึงที่หน้าประตูบ้าน ยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะกลืนน้ำลายซักอึกเดียว อีกฝ่ายหนึ่งก็กะจะไล่ให้เขาไปเสีย
“เอ่อ…..” ลู่หยางใบ้ไปชั่วขณะหนึ่ง เขาทำได้เพียงเอาสารฉบับนั้นออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้หลออู๋ซวง
ภายใต้สายตาที่จับจ้องอยู่เขาเห็นแขนเนียนใสบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวยื่นออกมาจากเสื้อคลุมสีเขียวหยิบเอาซองไปจากมือของเขา แล้วหดกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จ้องดูใบหน้าเย็นชาของหลออู๋ซวงแล้ว ลู่หยางรีบถอนสายตาออกมา เขาบอกเตี่ยซู่ว่า “ไปกันเถอะเตี่ยซู่ พวกเขาไม่ต้อนรับเรา ไปเถอะ!”
รอเดี๋ยว ขณะที่ลู่หยางและเตี่ยซู่เกือบจะหันหลังเดินจากไป เสียงก้องกังวานดังออกมาจากด้านในคฤหาสน์ตระกูลหลอ
SB:ตอนที่ 56 ก่อนวันอสูรบุก
“โอ้?” ลู่หยางหันไปเห็นหน้าของหลอหยุนชาน เขาถาม “ท่านผู้อาวุโส ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ข้าคงไม่กวนท่านดีกว่า หากข้ามีเวลาพวกข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่”
เขากล่าว “ลาก่อน!”
เขาพาเตี๋ยซู่จากไปโดยไม่หันมอง
“พี่หยาง ทำไมท่านรีบออกมาเช่นนี้ล่ะ ท่านไม่คิดหรอสตรีนางนั้นงดงามมากนะ?” เตี๋ยซู่กล่าวถาม
ลู่หยางกรอกตามองมันและกล่าว “เจ้าไม่รู้สึกหรอว่าพวกเขาไม่ชอบพวกเรา?”
“และเจ้ารู้ไหมนางเป็นใคร?”
“อย่างเก่งนางก็เป็นเพียงสตรีงามแค่นั้น มีอะไรน่าภูมิใจ?” เตี๋ยซู่ยิ้มและกล่าว แต่ในใจเขาต้องยอมรับว่าเขาไม่เคยเห็นสตรีไหนสวยเท่านี้มาก่อน
ทว่า เขารู้สึกว่าตัวเขานั้นไม่มีหวัง ในความคิดเขา ลู่หยางนั้นมีโอกสชนะใจสตรีนางนี้ได้ ขนาดหลี่ซิ่วเขาก็เอาชนะมาแล้ว
ลู่หยางส่ายหัวกล่าว “น้องข้า เจ้าพึ่งมาที่นี่ แน่นอนว่าเจ้าไม่รู้จักนาง นางคือสตรีอันดับหนึ่งในซียงหยาง และผู้ฝึกอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้
“ทีนี้บอกข้าสิ เหตุใดพวกเขาจะต้องชอบบ้านนอกอย่างเราด้วย?”
“จริงรึ?” แต่พี่หยาง ท่านกระทั่งเอาชนะหลี่ซิ่วมาแล้วนะ ท่านจะสู้นางไม่ได้เชียวหรือ?”
“ในสายตานาง หลี่ซิ่วก็แค่มดปลวก ด้วยสถานะของเขา เขาไม่กล้าเทียบกับนางหรอก!” ลู่หยางกล่าว
ด้วยฐานะของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ หลอหยุนชานถือเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเซียงหยาง ด้วยตัวมันดูแลตระกูล ตระกูลหลอย่อมเป็นตระกูลที่แกร่งที่สุดในสามตระกูลใหญ่ แม้ผู้ครองแคว้นยังต้องไว้หน้าตระกูลหลอ ไม่ต้องพูดถึงคนด้อยค่าเช่นหลี่ซิ่ว บัดนี้พายุกำลังมา ปีศาจอเวจีปรากฏตัวขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้ยังมีอสูรคลั่งจากหุบเขาเทวะร่วงหล่น ลู่หยางเริ่มมองเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างในหุบเขาเทวะร่วงหล่น
หากมันเป็นอสูรอเวจีนั่นเป็นต้นเหตุ ข้าเกรงว่าทั้งแคว้นเซียงหยางจะลุกเป็นไฟ ณ ตอนนั้น ไม่มีใครช่วยใครได้ แต่ละคนต้องดูแลตัวเองเท่านั้น
ในบ้านตระกูลหลอ
หลออู๋ฮวงนำสารลับจากลู่หยางมาอ่าน เมื่อนางเห็นข้อความ แม้คนเช่นหลอหยุนชานยังตกตะลึง
“ผนึกเริ่มอ่อนกำลัง ปีศาจอเวจีเริ่มปรากฏขึ้นในแผ่นดินมนุษย์ พวกมันพยายามที่จะปฏิวัติและครอบครองแคว้นเซียงหยาง และคลายผนึกอเวจี!” เพียงประโยคสั้นๆ แต่ลายมือในสารลับนั้นทำให้หลอหยุนชานไม่อาจปฏิเสธได้
“นี่มันลายมือ หลิวกงหมิง!” เมื่อเห็นชื่อ หลอหยุนชานตกตะลึง
หลออู๋ฮวงย้อนคิดในอดีต และนึกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับคนผู้นี้ นางถึงเข้าใจเหตุใดบิดานางถึงตกตะลึง
หลิวกงหมิงเป็นผู้อาวุโสจากหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ ตระกูลหลิว เขาเข้าไปในหุบเขาเทวะร่วงหล่นเพื่อตามหาที่อยู่ของปีศาจอเวจี แต่เขาไม่ได้กลับออกมาอีกเลย
พูดถึงความแข็งแกร่งของหลิวกงหมิง เล่ากันว่าเขาเป็นผู้ฝึกอสูรชั้นสูง บัดนี้เขาส่งข่าวเกี่ยวกับปีศาจอเวจีออกมา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นข่าวปลอม
หลังจากอ่านสารลับ หลอหยุนชานคิดหนัก หลออู๋ฮวงกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ใจกลางแคว้นเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของแคว้นเซียงหยาง ไม่เพียงแต่พวกเรา ตระกูลอื่นๆจะช่วยปกป้องด้วย มันไม่ง่ายนักหรอกที่จะชิงไป”
“อู๋ฮวง” หลอหยุนชานกล่าว “เจ้าอย่าดูถูกพลังของปีศาจอเวจีจะดีกว่า อีกอย่างเจ้าไม่รู้ว่าภายใต้หุบเขาเทวะร่วงหล่นมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอยู่ แม้กระทั่งข้าก็ไม่ใช่คู่มือพวกมัน”
หลออู๋ฮวงกล่าวขณะขมวดคิ้ว “ท่านพ่อ หรือท่านกำลังพูดถึงราชสีห์ขนทองหกเนตรและอสูรอีกสองตนข้างใน?”
“ถูกแล้ว” ดวงตาของหยุนชานลุกวาว เขากล่าวต่อ “ฝูงอสูรครานี้ หากเราสู้อสูรร้ายทั้งสองนั่น ข้าเกรงว่าด้วยพลังของทุกคนในแคว้นเซียงหยางรวมกันก็อาจรับมือแทบไม่ไหว
แต่หากปีศาจอเวจีฉวยโอกาสเข้ามา ใครจะป้องกันใจกลางแคว้น?” นี่ไม่ใช่เหตุผลที่มันตื่นกลัว แม้พวกมันจะทรงพลังแต่เมื่อตอนเขาเป็นเด็ก หลอหยุนชานก็เคยสู้กับพวกมันมาแล้ว
เพียงแค่รับรู้แผนการของปีศาจอเวจีก็ทำให้เขาตกใจกลัวแล้ว
บางทีอู๋ฮวงกับพวกรุ่นลูกจะยังไม่รู้ แต่เขาเข้าใจดี เหตุผลที่แคว้นเซียงหยางถูกสร้างที่ชายขอบของหุบเขาเทวะร่วงหล่นก็เพื่อป้องกันมัน
เพราะลึกเข้าไปในหุบเขา มันมีผนึกอยู่และสิ่งที่ถูกผนึกก็คือพรรคปีศาจอเวจี ทุกๆสิบปียอดฝีมือในแคว้นจะรวมตัวกันและเข้าไปในหุบเขาเพื่อเสริมพลังของผนึก
ใจกลางแคว้นคือแก่นของแคว้น มันมีพลังที่สามารถดูแลทั้งสี่มุมของแคว้นได้ หากสงครามเกิดขึ้นมามันสามารถเสริมพลังของพรรคมนุษย์ได้ ระดับของหัวใจแคว้นแบ่งเป็นต่ำถึงสูง ระดับสาม สอง และหนึ่ง เหนือกว่านั้นคือแคว้นบรรพกาลที่แข็งแกร่งที่สุด
หัวใจของแคว้นนั้นมีหน้าที่เสริมพลังผนึกและเป็นหนทางที่จะคลายผนึกเช่นกัน ยิ่งระดับหัวใจแคว้นสูง มันยิ่งมีประโยชน์
ยิ่งกว่านั้นหลอหยุนชานรู้ว่าหัวใจแคว้นที่กล่าวในสารลับไม่ได้พูดถึงแคว้นเซียงหยางแต่เป็นแคว้นหลักในอดีต ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านมานานหัวใจของแคว้นหลักนั่นได้แหลกสลายไปแล้ว และแคว้นหลักนี่ถูกตั้งอยู่ในแคว้นเซียงหยาง สิ่งที่พวกปีศาจอเวจีต้องการคือหัวใจที่แหลกสลายของแคว้นหลัก ตราบเท่าที่พวกมันได้ไป เป็นไปได้ว่ามันจะสามารถคลายผนึกในหุบเขาเทวะร่วงหล่นได้ ถึงตอนนั้น ปีศาจอเวจีที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นจะปรากฏขึ้นมาพร้อมกับการนองเลือด
ถึงเวลาส่งข่าวพวกเฒ่าจากตระกูลอื่นรู้แล้ว “หลังจากหลายปีที่พวกมันไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงตอนที่จะออกกำลังหน่อยแล้ว”
อู๋ฮวงกล่าว “ท่านพ่อ ให้ข้าไปเถอะท่านสุขภาพไม่ดีอยู่”
“เจ้าเริ่มดูถูกสุขภาพข้าแล้วรึ?” หยุนชานแกล้งโมโหขึ้นมา “พ่อเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่เซียงหยางแห่งนี้ยังไม่อาจแยกจากข้าได้ ข้ามีงานอื่นให้เจ้าทำ เจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องของข้าหรอกน่า”
เขามอบหมายภารกิจให้อู๋ฮวงขณะที่เขาเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
ลู่หยางรู้สึกคิดถูกที่ไม่ได้อยู่ต่อในตระกูลหลอแต่กลับมาที่บ้านของเขาเอง
หลังจากสู้กับหลี่ซิ่วเขารับกระบวนท่าสุดท้ายของหลี่ซิ่ว แม้เขาจะเตรียมตัวแล้วก็ตามแต่บาดแผลเขาไม่เบาเลย เขานำเม็ดยารักษาออกมาและโยนเข้าปาก เม็ดยาเริ่มออกฤทธิ์รักษา ความเจ็บปวดค่อยๆหายไป
“ข้าไม่คิดว่าเม็ดยานี้จะเห็นผลดีขนาดนี้ ดูเหมือนข้าต้องเตรียมไว้เพิ่มในอนาคตแล้ว” ลู่หยางกล่าว
ลู่หยางและหยูชานนอนจนฟ้าสางและตื่นขึ้นมา
หลังจากมาที่ตำหนักเมฆาม่วง เขาพบว่าวันนี้มีผู้คนมากมาย เขาเห็นคนมาจากต่างเมืองและบางคนเป็นคนคุ้นหน้าที่เขาเคยเห็น
ลู่หยางมองไปที่ฝูงชน ดูราวกับพวกมันกำลังหนีเอาตัวรอด เขาพบว่าพวกมันกำลังหนีเข้ามาที่แคว้นเซียงหยาง เมืองเล็กๆต่างๆรีบรุดเข้ามาที่แคว้นเซียงหยาง มันทำให้ที่นี่เริ่มแออัด
ลู่หยางสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาคิดถึงเหตุผล แน่นอนว่าพวกนักล่าในเมืองชิงหยางก็เหมือนกับพวกมันถูกอสูรร้ายโจมตีจึงหนีเข้ามาในเซียงหยาง
เขาทนเห็นพวกคนในเมืองที่เขาจากมาแบบนี้ไม่ได้ เขาไปที่บ้านซุนวูและส่งข่าวนี้ เมื่อได้ยินข่าว ซุนวูตะโกน “อะไรนะ! หุบเขาเทวะร่วงหล่นจะมีอสูรบุกออกมา! ไม่ใช่ว่าเหลือเวลาอีกเดือนหรอกรึ พ่อข้ายังเตรียมอาหารไม่เสร็จเลย ?”
ต้องรู้ว่าหลายปีที่แล้วเมื่ออสูรบุก ทุกคนจะซ่อนตัวในแคว้นและผู้นำเมืองจะเตรียมอาหารการกินให้ชาวเมืองขณะที่หลบซ่อนตัว เพียงแต่ครานี้มันกะทันหัน บิดาของเขายังไม่ทันเตรียมอาหารเสร็จเลย
“ไปเถอะน้องชาย ไปดูสถานการณ์กัน!”ซุนวูดึงลู่หยางออกไปดูเหล่าผู้อพยพ
ลู่หยางชี้ไปที่ถนนตรงหน้าตำหนักเมฆาม่วง “ผู้อพยพปัจจุบันอยู่ตามท้องถนน พวกเขามีมากมาย ข้าไม่อาจช่วยพวกเขาได้ ข้าจึงมาบอกพี่ซุนวู”
SB:ตอนที่ 57 อู๋จั่น
จำนวนเกือบหนึ่งพันคนไม่ใช่จำนวนน้อยๆเลย ในสวนเล็กๆของบ้านเขาไม่มีพื้นที่สำหรับคนมากมายเช่นนั้น แม้ว่าลู่หยางอยากช่วย แต่เขาไม่มีอำนาจอะไร และแม้ว่าสวนของบ้านซุนวูจะใหญ่กว่าสวนของเขาหลายเท่า แต่การจะรับคนหนึ่งพันคนเข้าไปอยู่ด้วยนั้นเป็นงานที่ยากลำบากยิ่ง เมื่อเตี่ยซู่ได้ยินว่าชาวบ้านเมืองชิงหยางมาถึงกันแล้ว เขารีบวิ่งไปตามถนนหน้าตำหนักเมฆาม่วงเพื่อจะค้นหาคนรู้จักเพื่อจะถามข่าวเกี่ยวกับบิดามารดาของเขา
“ท่านลุงสง ท่านเห็นพ่อกับแม่ข้าบ้างมั้ย?” เตี่ยซู่มาถึงหน้านายพรานเฒ่าแล้วเขาก็รีบซักถาม
“ตาเฒ่าหลี่! ป้าหวาง! ดูสิ เอ้อโกวจื่อของท่านอยู่ที่นี่!” ลุงสงตะโกนใส่ฝูงชนทันที
คู่ชาย-หญิงวัยกลางคนผมสีดอกเลาเดินเบียดฝูงชนมาทันที คนหนึ่งคือบิดาของเอ้อโกวจื่อนามว่า หลี่ต้าซวง อีกคนหนึ่งคือป้าหวาง
ทันทีที่พบอ้อโกวจื่อ บิดาก็ดุเขา “เอ้อโกวจื่อ เจ้าไปตายที่ไหนมาหลายวันนึ้ ก่อนจะจากมาไม่บอกพวกเราซักคำ พวกเราไม่รู้จะไปตามหาเจ้าที่ไหน!”
หลี่ต้าซวงตบศรีษะของเอ้อโกวจื่อพร้อมด่าว่าอีก “เจ้าเด็กเลว ชักจะเอาใหญ่แล้ว เจ้ากล้าหนีออกจากบ้านเลยรึ?”
เตี่ยซู่บ่นพึมพำ “ท่านพ่อ ท่านแม่ หยุดตีข้าได้แล้ว” “ตอนนี้ข้าเป็นผู้คุมอสูรแล้วด้วย พวกท่านจะเรียกชื่อจริงของข้าจะได้มั้ย””
“อะไรนะ?” “เจ้าเพิ่งว่ายังไงนะ?” ป้าหวางเกือบจะคิดว่านางฟังผิด
“เจ้าเด็กไม่รักดี!” เจ้าหัดโกหกพ่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่!” อารมณ์ของหลี่ต้าซวงเริ่มแรงขึ้น
เขายกแขนขึ้นตีศรีษะเตี่ยซู่
“ท่านพ่อ!” “ลูกชายท่านไม่ได้โกหกท่าน ตอนนี้ ข้าเป็นผู้คุมอสูรจริงๆ ถ้าท่านไม่เชื่อก็ลองถามพี่ชายหยางดู!”
“ลู่หยางอยู่ที่ไหน?” “เขาช่วยเจ้าหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณจริงเหรอ?”
เตี่ยซู่ตบที่หน้าอกตัวเอง แล้วกล่าวว่า “จริงแน่นอน ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะให้สัตว์เลี้ยงสงครามของข้าอุ้มท่านกลับไปบ้าน!”
แต่ทว่า ตอนนี้ บริเวณนี้เนืองแน่นไปด้วยผู้คน เตี่ยซู่ไม่กล้าเรียกหมีตัวใหญ่โตออกมา เขาต้องเบียดหลี่ต้าซวงกับป้าหวางออกไปก่อนถึงจะเรียกอสูรออกมาได้
เมื่อหันไปมองท่านลุงสงผู้โดดเดี่ยวแล้ว เตี่ยซู่เกาศรีษะแล้วพูดกับลุงสงว่า “ท่านลุงสง ทำไมท่านไม่ตามพวกเรากลับบ้านกัน?”
ใบหน้าเหี่ยวๆของลุงสงมีรอยยิ้มใจดี “ช่างเถอะ ข้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว พวกเราดูแลกันและกันได้”
เมื่อได้ยินลุงสงพูดเช่นนั้น เตี่ยซู่ทำได้เพียงพาพ่อกับแม่ของเขาเบียดฝูงชนออกมา หลี่ต้าซวงหันกลับไปมองลุงสง ถึงแม้เขาจะแออัดกันอยู่ในกลุ่มเพื่อนบ้าน แต่เพื่อนบ้านคนอื่นๆต่างพากันจับกลุ่มคุยกัน ไม่มีใครอยู่กับลุงสงเลย
หลี่ต้าซวงถอนหายใจ เขากล่าวว่า “ลุงสงของเจ้าเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาติดต่อกับลู่หยาง คนอื่นๆก็พากันมองข้ามเขาไปหมด”
บ้านป้าหวางก็เช่นเดียวกัน มีไม่กี่คนที่แวะไปหาไปเยี่ยมพวกเขา เมื่อสักครู่นี้เองที่เตี่ยซู่พาพ่อกับป้าหวางออกมาต่อหน้าทุกๆคนอีกทั้งยังบอกว่าจะให้พวกเขาขี่อสูรร้ายกลับบ้าน เพื่อนบ้านของพวกเขาที่อยู่บริเวณนั้นพากันอิจฉาซึ่งก็ทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจ แต่มีเพียงตัวหลี่ต้าซวงกับป้าหวางเองที่รู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแค่ไหน
“จริงๆแล้ว ลุงสงของเจ้าเป็นคนดีคนนึง…”
“พวกคนหัวสูงพวกนี้น่ะ! ทำกับท่านลุงสงแบบนี้ได้ยังไง ถ้าพวกเขารู้ว่าไอ้เฒ่าสารเลวหลี่ซิ่วพ่ายแพ้ให้กับพี่ชายหยางแล้วละก็พวกเขาจะไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นแน่!”
“อะไรนะ?!” “เจ้าว่า ลู่หยางเอาชนะหลี่ซิ่วยังงั้นเหรอ”
ข่าวชัยชนะของลู่หยางแพร่สะพัดไปในหมู่ชาวบ้านเมืองชิงหยาง ผู้ที่มีความสุขที่สุดคือกลุ่มของลุงสงและคนอื่นๆซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาเคยไปล่าสัตว์ในหุบเขากับลู่หยาง
“ข้าไม่ได้เคยพูดไว้ก่อนหรอกหรือ เด็กคนนั้นมันมีอนาคต หลี่ซิ่วไอ้ชั่วช้า มันไม่มีอะไร!”
ลุงสงคุยโม้กับฝูงชนอย่างภูมิใจ และในที่สุดเขาก็ได้รับเกียรติของเขากลับคืนมา เป็นเพราะลู่หยาง เขาเป็นที่เคารพนับถือยิ่งขึ้น ลู่หยางเชื้อเชิญลุงสงมาที่บ้านเพื่อที่จะขอบคุณลุงสงที่ได้ช่วยเหลือเขา
สวนหน้าบ้านที่เคยเงียบเหงากลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที อย่างไรก็ดี ข่าวของอสูรบุกเมืองยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของลู่หยางและไม่จางหายไปแม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน
เป็นเวลาสองถึงสามวันแล้วที่ลู่หยางได้บรรลุวิชาจารึกจากผู้เฒ่าเฟิง ลู่หยางอยากกลับไปที่ตำหนักเมมฆาม่วงเพื่อจะดูว่าผู้เฒ่าคนนี้ได้นำวิชาฝึกอสูรที่ระดับสูงขึ้นมาหรือไม่ เพราะด้วยวิธีนี้ เตี่ยซู๋จะมีพละกำลังที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเขาจะสามารถปกป้องตัวเองเมื่อกระแสอสูรประชิดเข้ามา
ขณะที่ลู่หยางไปถึงประตูตำหนักเมฆาม่วง คนกลุ่มหนึ้งเข้าล้อมเขาไว้ ทุกๆคนมีความอาฆาตแค้นที่หนักหน่วง ลู่หยางตื่นตัวขึ้นมาทันที
“พวกท่านเป็นใครกัน? พวกท่านจะทำอะไร?!”
คนเจ็ดถึงแปดคนเข้าล้อมลู่หยางไว้ตรงกลาง ต่อมาพวกมันเปิดทางให้ชายหนุ่มแต่งกายฐานะดีเดินออกมาจากฝูงชน
เขาเดินมาหยุดตรงหน้าลู่หยาง ลู่หยางมองหน้าเขาแล้วรู้สึกคุ้นตามาก ในที่สุดเขาก็จำได้
“ท่านใช่คนที่เข้าไปในหุบเขากับหลออู๋ซวงหรือไม่?” ลู่หยางถามขึ้น
พวกเขาเคยพบกันมาก่อนครั้งหนึ่ง ตอนที่พวกเขาอยู่บริเวณรอบนอกของหุบเขาเทวะร่วงหล่น ตอนนั้น ลู่หยางและพรานป่ากำลังจะเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขา แต่กลุ่มของหลออู๋ซวงมาจากทางด้านหลัง เขาเกือบจะถูกชายตรงหน้าผู้นี้ลงแส้ แต่หลออู๋ซวงมาหยุดเขาไว้ก่อน
ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย เพียงเพราะลู่หยางจ้องมองพวกเขา พวกเขาเลยเริ่มลงมือ คนประเภทนี้ ลู่หยางไม่ต้องสุภาพด้วย มาบัดนี้ พวกเขาพบกันอีกครั้งหนึ่งและกับบรรยากาศตรงหน้า
“อ่อ! พวกเขาเป็นคนของท่าน” ลู่หยางพูดพร้อมกับโมโหเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักข้า?” อู๋จั่นถามเยาะ
พวกลิ่วล้อบางคนรีบสอพลอ “แน่ล่ะ ด้วยชื่อเสียงของนายน้อยอู๋จั่นในเมืองเซียงหยาง มีใครจะไม่รู้จักท่านบ้าง เพียงแต่ข้าไม่นึกเลยว่าบ้านนอกอย่างเจ้าก็รู้จักนายน้อยด้วย!”
“บ้านนอกรึ?” มุมปากของอู๋จั่นกระตุก เขาว่าต่อ “คนบ้านนอกจริงๆกล้ารุกรานลูกพี่ลูกน้องของข้า”
ลู่หยางเองก็รู้สึกสับสนกับเรื่องที่อู๋จั่นพูด “เขาหมายถึงอะไร? ไปสู้กับลูกพี่ลูกน้องเขา”
“ถ้าท่านมาหาเรื่องข้าเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ข้าก็ยอม แต่อย่ามาใส่ความข้า ข้าไม่แม้แต่จะรู้จักลูกพี่ลูกน้องของท่าน!”
ลู่หยางยืดอกพูด
ในสายตาของลู่หยาง คนประเภทนี้เป็นคนใจแคบ พยายามยกเอาเรื่องลูกพี่ลูกน้องมาอ้างเพื่อจะระบายความโกรธในเรื่องเก่าๆ
“พวกท่านเป็นพวกใจแคบที่ชอบแสดงออกต่อหน้าสาวงาม ท่านรู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ลงแส้ใส่ข้าเมื่อครั้งที่แล้วใช่มั้ย?”
อู๋จั่นตกตะลึง เขาเพิ่งจำได้ว่าเขาเคยเห็นเด็กเหลือขอคนนี้มาก่อน เขาถูกแม่นางอู๋ซวงตำหนิก็เพราะลู่หยาง พอคิดถึงตรงนี้ เขายังคงรู้สึกโกรธ
เขายิ้มชั่วร้ายแล้วแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นเจ้าสินะ ข้าโดนแม่นางอู๋ซวงด่าว่า ถ้าเป็นเรื่องนั้น วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป!”
“ถ้าท่านต้องการแก้แค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ก็แค่พูดออกมา ทำไมต้องเอาเรื่องลูกพี่ลูกน้องมาอ้าง ช่างน่าไม่อาย!”
“ระยำ! มันกล้าไม่ยอมรับ พวกเด็กๆ ลงมือเลย!”
อู๋จั่นตะโกนอย่างดุร้าย อันธพาลเจ็ดถึงแปดคนข้างหลังเขาเข้าล้อมและโจมตีลู่หยางทันที เป็นเพราะสถานที่นี้อยู่หน้าตำหนักเมฆาม่วง พวกมันไม่กล้าทำเสียงอึกทึกมาก พวกมันไม่กล้าเรียกอสูรร้ายออกมา ได้แต่สู้กับลู่หยางด้วยมือเปล่า
“ไอ้หนู ข้าคิดว่าเจ้ารู้แล้วว่าข้าเป็นใคร วันนี้ ข้าจะไม่รังแกเจ้าหรือเอาเปรียบเจ้าในแง่ของอสูรร้าย ถ้าเจ้าสามารถอาชนะลูกน้องของข้า……”
ลู่หยางยิ้มเหยียด แน่ล่ะ เขารู้ว่าสหายผู้นี้คิดถึงอะไรอยู่ แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะพูดออกมา นี่มันแค่การต่อสู้ ….ลู่หยางไม่เคยกลัวใครอยู่แล้วเรื่องต่อยตี
เหนือสิ่งอื่นใด พละกำลังสี่หมื่นจินไม่ใช่อะไรที่จะมาโอ้อวดกัน อีกทั้งเขามีความสามารถเฉพาะตัวสามอย่างที่เขาจะจัดการได้ ลู่หยางไม่เคยกลัวพวกมันเมื่อต้องสู้ด้วยมือเปล่าเพียงลำพัง
“แล้วจะยังไงถ้าข้าชนะลูกน้องของท่านทั้งหมด?”
“ตลกแล้ว! เป็นไปไม่ได้! ลูกน้องเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นผู้คุมอสูร พวกเขายังเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดในระยะหนึ่งร้อยไมล์ สมรรถนะทางร่างกายของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้คุมอสูรธรรมดาๆจะเปรียบเทียบได้ พวกเขาทั้งหมดได้ผ่านการฝึกที่พิเศษ และพละกำลังของพวกเขามีมากกว่าหนึ่งหมื่นจิน ถึงแม้ว่ากำลังของพวกเขายังไม่ถึงผู้คุมอสูรขั้นกลาง แต่หลังจากผ่านการฝึกฝนที่พิเศษ กำลังของพวกเขาสามารถเทียบได้กับผู้คุมอสูรขั้นกลางแล้ว”
ถ้าทั้งแปดคนนี้ร่วมมือกัน แม้แต่ตัวอู๋จั่นเองก็ยากที่จะต้านทานได้ เขาไม่เชื่อว่าลู่หยางจะเอาชนะลูกน้องของเขาได้
“ไอ้หนู เจ้าควรจะสู้กันซึ่งๆหน้าอย่าคิดตุกติก เด็กบ้านนอกก็ยังเป็นเด็กบ้านนอก!”
“ท่านจดจำคำพูดของท่านไว้!” ลู่หยางพูดกับตัวเองเงียบๆ
ลู่หยางกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของอู๋จั่น ตอนนี้ในอกของลู่หยางอัดแน่นไปด้วยความโกรธ ในที่สุดลูกบอลเพลิงก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือของลู่หยาง ก่อนที่พวกลูกน้องจะทันตั้งตัว ลูกบอลเพลิงก็ระเบิดใส่หน้าพวกมัน เปลวเพลิงนับไม่ถ้วนปะทุออกมาเผาไหม้ตามตัวของพวกมัน
ด้วยเพลิงสีชาด ลูกน้องสามคนตกอยู่ในกองเพลิง
อู๋จั่นตาเบิกโพลงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ นักสู้ที่เขาภูมิใจมากที่สุดสามคนพ่ายแพ้แล้วในพริบตาเดียว ….แล้วไอ้ลูกไฟนั่นมันคืออะไร ในโลกนี้ ข้ายังไม่เคยได้ยินเรื่องเวทมนตร์มายากลอะไรเลย ใช่มั้ย?
อู๋จั่นเพิ่งจำได้เดี๋ยวนี้เองที่ลูกพี่ลูกน้องเขาเคยพูดไว้ว่าให้ระวังลู่หยางให้ดี ถ้าเขาไม่เห็นกับตาตัวเอง เขาจะเชื่อได้ยังไงว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง?
SB:ตอนที่ 58 การโจมตีของกระแสอสูร
“นายน้อยอู๋ สถานการณ์เป็นยังไงบ้างตอนนี้?” “ท่านยังคิดว่าจะล้มข้าได้ด้วยลูกน้องของท่านยังงั้นหรือ?” ลู่หยางถามน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ระยำเอ้ย!” “ไอ้สารเลว เจ้าลงมือได้เหี้ยมโหดจริงๆ!”
ทันทีที่ลู่หยางลงมือ ลูกน้องอู๋จั่นสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่อู๋จั่นก็แทบจะทนดูไม่ได้ ด้วยท่าทีเดือดดาล เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นและพุ่งตรงเข้าหาลู่หยาง
“ไอ้หนู เจ้าถามข้าใช่มั้ยว่าแล้วจะยังไงถ้าเจ้าชนะคนของข้า? มา ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าเอาชนะพวกเขาได้หมด ยังมีข้าอยู่อีกทั้งคน!”
แม้อู๋จั่นจะพยายามทำเสียงเอ็ดตะโรใส่ ลู่หยางไม่แม้แต่จะชำเลืองมอง เขาพลิกมือขวาเรียกเพลิงสีชาดออกมาอีกครั้งหนึ่งและทำให้ลูกน้องที่เหลือร่วงลงไปกองกับพื้นกันหมด ลู่หยางเดินตรงไปหาอู๋จั่น
“บอกข้ามา ที่ว่าข้าไปทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของท่าน ใครคือลูกพี่ลูกน้องของท่าน?”
ลู่หยางหัวเราะขณะพูด “ถ้าท่านบอกได้ วันนี้ข้าจะยกโทษให้ ถ้าบอกไม่ได้ วันนี้ท่านก็อย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้”
“ไอ้หนู เจ้ารู้มั้ยเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
แม้ว่าเขาจะถูกกำราบโดยรัศมีของลู่หยาง และได้พิสูจน์ด้วยตาตัวเองแล้วถึงเชิงยุทธ์ของลู่หยาง อู๋จั่นรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคู่ต่อสู้กับลู่หยางด้วยมือเปล่า ดังนั้นเขาต้องการที่จะกำราบลู่หยางในแง่ของสถานะ
ครอบครัวอู๋ของเขามีตำแหน่งใหญ๋โตในเมืองเซียงหยางรองจากสามตระกูลใหญ่ อีกทั้งเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลอู๋ และด้วยเอกลักษณ์ของเขา เขาสามารถระรานใครก็ได้ในเมืองเซียงหยาง คนเดียวที่เขาจะก้มหัวให้ก็คือหลออู๋ซวง คนที่มาจากนอกเมืองเช่นลู่หยางน่ะหรือจะมาทำให้เขายอมจำนนได้ยังไง
เมื่อเห็นว่าลู่หยางยืนนิ่งอยู่หลังจากที่ได้ยินคำข่มขู่ของเขา อู๋จั่นก็กลับมาผยองอีกครั้ง เขาทำฮึดฮัดใส่ลู่หยาง “ไอ้สารเลว คุกเข่าลงก้มคำนับข้าแล้วยอมรับความผิดของเจ้าซะทุกอย่างยังพอแก้ไขได้ ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้าครั้งนึง”
“แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคุกเข่าให้ข้า เจ้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ทำให้ข้าขุ่นเคืองใจมั้ย?”
“คิดถึงผลเหี้…ๆที่ตามมามั้ย!?”
ไม่ต้องรอให้อู๋จั่นพูดเสร็จ ลู่หยางชกเข้าที่หน้าของอู๋จั่นอย่างจังหนึ่งหมัด ถึงไม่มีเพลิงสีชาด แค่กำลังของเขาซึ่งมากกว่าสี่หมื่นกจินก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของอู๋จั่นแทบจะบิดเบี้ยวไป ร่างของเขาลอยกระเด็นไป
เมื่อเขาลุกขึ้น เขากระอักเลือดออกมาพร้อมๆกับฟันที่หักสองสามซี่
ดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาสิ มันบู้บี้อยู่ภายใต้กำปั้นของลู่หยาง ฟันซี่หน้าของเขาหล่นอยู่ที่พื้น เขาโกรธจัดจ้องมองลู่หยางอย่างกับอยากจะกลืนกินทั้งเป็นๆ
“ลู่หยาง! แกสมควรตาย!”
ลู่หยางตบจมูกเขา แล้วพูดว่า “ท่านต้องการหน้าตาอีกรึ? มันใช้ได้เหรอ?”
“หุบปาก!”
“งั้นก็พูดด้วยกำปั้นของท่านสิ”
การต่อสู้กับลู่หยางทำให้อู๋จั่นโกรธจนอกแทบระเบิด เมื่อเขาใจเย็นลงเล็กน้อยแล้ว เขาพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ไอ้สารเลว อย่าหวังว่าข้าจะยอมจำนนต่อเจ้า!”
ในแง่ของพละกำลัง เขาจัดการกับลู่หยางไม่ได้ หรือพูดได้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลู่หยาง
อู๋จั่นนึกถึงการใช้อสูรร้ายขึ้นมาทันที แค่ขึ้นอยู่กับอำนาจของครอบครัวเขา เขาจะกระทำการโหดร้ายใดๆข้างนอกก็ได้
ก่อนหน้านี้ ที่เขาไม่ได้เรียกอสูรร้ายออกมาเพราะเกรงจะมีปัญหากับตำหนักเมฆาม่วง แต่ตอนนี้อู๋จั่นไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ทันทีที่เขาพูดจบ อสูรร้ายตัวใหญ่โตสามตัวก็มาปรากฏอยู่ข้างหลังเขา ทุกๆตัวแสดงท่าทีที่ดุร้ายหมายเอาชีวิต ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว พวกมันไม่ได้ด้อยกว่าอสูรร้ายสามตัวของหลี่ซิ่วเลย
“ตอนนี้ท่านเป็นบ้าไปแล้วรึไง? ท่านจัดการเรียกอสูรร้ายที่นี่น่ะหรือ ท่านไม่เกรงกลัวว่าคนของทางการจะมาพบเข้าหรือยังไง?”
ในกลางวันแสกๆต่อหน้าสายตาของทุกๆคน ลู่หยางเป็นนายท่านลู่แห่งตำหนักเมฆาม่วง ถ้ามีใครคิดจะจัดการปัญหาที่หน้าประตูตำหนักเมฆาม่วงแล้วละก็…..
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ลู่หยางก็ยิ้มออก
“ในเมื่อท่านขอมา แล้วอย่ามาตำหนิข้าก็แล้วกัน”
เขาไม่ได้กะจะแสดงความสามารถของอสูรชั้นจักรพรรดิในตัวเขาที่นี่ เขาแค่เรียกพยัคฆ์เพลิงสีชาดให้มาเผชิญกับอสูรร้ายทั้งสามตัว แต่ทว่าถ้าจะให้สู้หนึ่งต่อสาม เขายังคงเสียเปรียบอยู่ พยัคฆ์เพลิงสีชาดโก่งตัวพร้อมกับคำรามใส่อสูรสามตัวตรงหน้ามัน
และก็เป็นไปตามที่คาดไว้ อสูรร้ายทั้งสี่ตัวส่งเสียงคำรามกึกก้องอยู่หน้าประตูตำหนักเมฆาม่วงดึงดูดความสนใจของพวกคนชั้นสูงในตำหนักเมฆาม่วง ภายในไม่กี่อึดใจ คนกลุ่มใหญ่ก็เดินออกมาจากตำหนัก และมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่หยางและอู๋จั่น
“พวกท่านกำลังทำอะไร? พวกท่านทำราวกับสถานที่แห่งนี้เป็นตลาดยังงั้นหรือ กล้าถึงขนาดที่เรียกอสูรร้ายออกมา!”
ทั้งหมดเป็นชายสูงวัยผมสีดอกเลาห้าคน ถ้าลู่หยางจำไม่ผิด พวกเขาต้องเป็นผู้อาวุโสของตำหนักเมฆาม่วง
โดยปกติแล้วแทบจะไม่ได้เห็นหน้าพวกเขา และลู่หยางเองก็ไม่ได้เห็นพวกเขามานานแล้ว แต่ตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดปรากฏตัวออกมา บอกได้เลยว่า ความชุลมุนวุ่นวายวันนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ
ลู่หยางรีบทักทายผู้อาวุโสตำหนักอย่างนอบน้อม “พวกท่านต้องเป็นผู้อาวุโสของตำหนักถูกต้องมั้ย?”
“โอ้? ท่านใช่?” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งจับจ้องมองไปที่ตัวลู่หยาง และสุดท้ายสายตาของเขาจับมาที่ปกเสื้อของลู่หยาง ที่มีสัญลักษณ์เมฆาม่วง และก็เข้าใจทันทีว่าลู่หยางเป็นคนของตำหนักเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของตำหนัก สัญญลักษณ์นั้นของลู่หยางคือสัญญลักษณ์ของผู้จารึก
แล้วเขาก็หันไปจ้องอู๋จั่นทันที
เขากล่าวว่า “นายน้อยคนโตของตระกูลอู๋ ท่านมีเวลามาใส่ใจตำหนักเมฆาม่วงของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!”
“อืมม ต่อหน้าตำหนักเมฆาม่วงของข้า คนที่ทำร้ายตำหนักเมฆาม่วงของข้า ท่านกำลังดูถูกพวกเราเกินไปแล้วใช่มั้ย?”
หลังจากตะคอกใส่อีกสองถึงสามครั้ง อู๋จั่นตื่นตระหนกจนตัวเย็นไปหมด และเมื่อเห็นลู่หยางเก็บอสูรแล้ว อู๋จั่นรวบรวมความกล้าพูดกับเหล่าผู้อาวุโสว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่เป็นการเข้าใจผิด เขาเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนนึง ครึ่งเดือนที่แล้ว เขายังล่าสัตว์อยู่ในหุบเขาโน่น เขาจะเป็นใครในตำหนักเมฆาม่วงได้ยังไง ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่างแล้ว”
“เข้าใจผิดรึ?” ผู้นำของผู้อาวุโสตำหนักพูดอย่างโมโห “นี่ท่านอู๋กำลังเยาะเย้ยว่าพวกผู้เฒ่าของเรากำลังสร้างความงุนงงอย่างนั้นหรือ เป็นไปได้หรือที่ถ้าเป็นคนของตำหนักเมฆาม่วงแล้วเราจะจำผิด!?”
“รีบไสหัวไปก่อนที่ข้าจะโมโห!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่บิดาของท่าน และตำหนักเมฆาม่วงของข้าแล้วละก็ ข้าจะไม่ปล่อยท่านไปง่ายๆอย่างนี้หรอก!”
ผู้อาวุโสตำหนักท่านอื่นๆหันไปคุยกัน อู๋จั่นกลัวจนแทบฉี่ราด เขารีบถูมือแล้วขอโทษผู้อาวุโสตำหนักทั้งห้าคน
ขณะที่อู๋จั่นกำลังจะไป เขาได้ยินเสียงนกร้อง
ผู้อาวุโสหัวหน้าตำหนักเกิดโกรธขึ้นมากระทันหัน เขาตะโกนขึ้นมา “เจ้าสารเลว ต่อหน้าข้า เจ้ายังกล้าเรียกอสูรร้ายออกมา เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าสู้กับเจ้ารึ!?”
อู๋จั่นไม่กล้าขยับเขยื้อนเลย ตอนนี้ เขาแค่อยากจะไปจากที่นี่เร็วๆ ไหนเลยที่เขาจะกล้าเรียกอสูรร้ายออกมา ทันใดนั้น เขาตะโกนขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส ท่านกล่าวหาผิดแล้ว อสูรนั่นข้าไม่ได้เป็นคนเรียกออกมา!”
ผู้อาวุโสตำหนักหันไปยังทิศทางของเสียงแล้วเขาก็ตระหนักว่าเสียงนกร้องไม่ได้มาจากอู๋จั่น แต่เป็นนกตัวใหญ่กำลังบินอยู่เหนือศรีษะของพวกเขา
“เช่นที่ข้าพูดไว้ อสูรร้ายนี้ข้าไม่ได้เป็นคนเรียกออกมา……” ก่อนที่อู๋จั่นจะพูดจบ สีหน้าของผู้อาวุโสตำหนักและลู่หยางเข้มเครียดขึ้นมา อู๋จั่นเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนั้นว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้วตะโกนอย่างตื่นตระหนกว่า “ที่นี่คือเมืองเซียงหยาง ทำไมถึงมีอสูรร้ายบินอยู่เนือหัวพวกเราได้!”
“ไอ้หนู!” “หุบปากเหม็นๆของเจ้าซะ!” ผู้อาวุโสตำหนักด่าขึ้นอย่างโมโห สีหน้าของพวกเขากล้าหาญขึ้นมา อู๋จั่นไม่คิดว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น เมื่อถูกผู้อาวุโสตำหนิ เขาหุบปากเงียบ ยืนนิ่งๆอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสตำหนัก มองดูนกที่กำลังบินอยู่
นกที่กำลังบินอยู่ดูเหมือนจะเห็นลู่หยางในฝูงชน มันส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาก่อนที่จะบินโฉบลงมา มันยังได้ส่งคลื่นเสียงออกมาโจมตีลู่หยางและคนอื่นๆ
“อย่างนี้ไม่ดีแน่!” “นี่เป็นความสามารถเทวะเฉพาะตัวของอสูรร้าย!” ลู่หยางร้องออกมา เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมป้องกันแล้ว
เมื่อคลื่นเสียงเข้าจู่โจม เขาจะใช้ระฆังทองคำอมตะมาเป็นเครื่องป้องกัน เขาไม่กลัว
แต่อู๋จั่นไม่ได้มีความมั่นใจเช่นเขา เมื่อเห็นนกประหลาดเข้าจู่โจมแล้ว เขาแตกตื่นวิ่งพล่านราวกับสุนัขถูกน้ำร้อนลวก วิ่งไปสักพักเขาเกือบจะหาช่องที่ซ่อนตัวได้
ผู้นำอาวุโสหลิ่วจ้องมองอู๋จั่นด้วยสายตาดูหมิ่น ขณะที่คลื่นเสียงจางไป ท่านผู้เฒ่ายกมือทั้งสองขึ้น ทันใดนั้นปรากฏพลังงานสีขาวผุดขึ้นจากฝ่ามือของเขา แล้วกลายเป็นจอแสงขนาดมหึมาล้อมผู้คนไว้ข้างใน ตามมาด้วยเสียงระเบิดตูมใหญ่ อู๋จั่นกลัวแทบมุดแผ่นดินหนี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นรอบๆเขา เขายื่นหัวออกมามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง เห็นจอแสงเป็นแนวป้องกัน เขาค่อยโล่งใจ
เขาพูดว่า “ท่านผู้อาวุโส ในเมื่อท่านมีความสามารถ น่าจะบอกข้าก่อน ท่านทำข้าตกใจสะดุ้งโหยง!”
“เป็นเจ้าที่จะต้องยอมจำนน! ดูเขาสิ! นี่ละที่แตกต่าง!”
แน่นอนล่ะ เขาเปรียบเทียบลู่หยางกับอู๋จั่น ลู่หยางสงบเงียบกว่ามาก ที่จริงแล้ว ลู่หยางเห็นว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มีความเชื่อมั่นมาก เขารู้ดีว่าพวกเขาต้องลุกขึ้นทำอะไรซักอย่าง แต่ถึงแม้จะไม่เหลือทางรอด ลู่หยางเองก็สามารถจัดการได้ ดังนั้น เขาจึงไม่กลัวตายเท่าอู๋จั่น
จ้องไปที่อู๋จั่น เขายิ้มเหยียดหยาม
“มีท่านผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ พวกเราสามารถเฝ้าดูต่อไป”
“นี่เป็นอสูรระดับกลางชั้นยอด! มันมีกำลังมากเหลือเกิน!” ผู้อาวุโสหลิ่วกล่าว ท่าทางเขาดูเคร่งขรึมขึ้น
จากที่ได้ปะมือกับอสูรเมื่อกี้นี้ ผู้อาวุโสหลิ่วก็คาดเดากำลังของนกประหลาดนี้ได้ แต่เขายังแปลกใจ
นี่เป็นอสูรบินได้ มันจะได้เปรียบตอนอยู่ในอากาศ แต่หลังจากที่มันจู่โจมลงมา มันรีบบินกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ปล่อยโอกาสให้ผู้อาวุโสได้ทำอะไร
“ถ้าอสูรนี้มันไม่ลงมา เราก็ทำอะไรมันไม่ได้! ไม่มีอสูรตัวไหนของเราที่สูงปานนั้น!”
ลู่หยางเดินมาที่หน้าผู้อาวุโสหลิ่ว แล้วพูดว่า “ตราบใดที่ข้าสามารถล่ออสูรตัวนี้ออกไป ข้าจะหาทางเอาชนะมัน!”
ดวงตาขุ่นมัวของผู้เฒ่าหลิ่วฉายประกายขึ้นมาทันที เขาจ้องใบหน้าลู่หยางแล้วกล่าวว่า
“เจ้าพูดความจริงเหรอ? เจ้ามีความสามารถเช่นนั้นจริงเหรอ?”
ลู่หยางพยักหน้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ไม่ว่าข้าจะมีความสามารถหรือไม่ ท่านผู้อาวุโสจะรู้เองหลังจากที่ได้ให้ข้าลอง!”
“ดี!” “ถ้าเจ้าสามารถทำสิ่งที่แม้แต่ข้ายังทำไม่ได้ งั้นข้าจะให้สัญญากับเจ้าเงื่อนไขหนึ่ง!”SB:ตอนที่ 59 แนวหน้า
ลู่หยางเตรียมพร้อมและรอนกประหลาดร่อนลงมาอีกที เป็นตามที่เขาคาด นกประหลาดนั่นไม่สามารถโจมตีเหมือนครั้งแรก แต่ผู้อาวุโสตำหนักก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ นกประหลาดมันเริ่มกล้าขึ้นเรื่อยๆ มันบินไปมาเหนือกลุ่มคน ลำแสงเริ่มก่อตัวในปากมัน และดูราวกับว่าคลื่นเสียงโจมตีจะมาอีกระลอก
นกประหลาดนี่เป็นอสูรชั้นยอดระดับกลาง ความสามารถเฉพาะตัวมันแข็งแกร่งมาก หากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสตำหนักคุ้มครองเขาอยู่ ลู่หยางคงไม่กล้าต่อกรกับนกนี่แน่ เพราะนกนี่ได้เปรียบบนฟ้า
ขณะที่นกนี่กำลังจะโจมตี ดวงตาลู่หยางลุกวาบ “ตอนนี้แหล่ะ!”
ลู่หยางไม่ได้อัญเชิญสัตว์อสูรออกมา มันไม่มีประโยชน์เพราะมันไม่อาจหลบคลื่นเสียงได้ไม่ว่ามันจะเร็วแค่ไหน ทันใดนั้นเพลิงสีชาดปะทุขึ้นจากมือของเขา พุ่งไปที่อกของนกประหลาด จนมันตกลงมา
“เด็กดี วิธีเจ้าใช้ได้ผลจริงๆ!”
นี่ไม่ใช่เวลาตกตะลึง ผู้อาวุโสเคลื่อนตัวไปบังพลังจากนกประหลาด ผู้อาวุโสหลักหลิวก้าวไปข้างหน้าอย่างลึกลับ ร่างของเขาไปถึงจุดที่นกประหลาดร่วงลงทันที และยกกำปั้นขึ้นชกลงไปทันที
ผู้อาวุโสหลักหลิวเล็งไปที่หัวของมัน หัวของนกประหลาดเกือบจะแหลกสลาย นกประหลาดไม่อาจทนได้ไหว มันกู่ร้องอย่างเจ็บปวดและร่วงลง
“ข้าไม่รู้จริงๆเจ้านกประหลาดนี่เข้ามาในเซียงหยางได้อย่างไร หรือเจ้าพวกทหารยามมันกินขี้กันหมด เมื่ออาวุโสหลักหลิวบ่น และกำลังจะนำคนกลับตำหนักเมฆาม่วง
เสียงแปลกประหลาดดังขึ้นจากท้องฟ้า ทุกคนต่างตกตะลึงอีกครา ลู่หยางเงยหน้าขึ้นมองและพบเมฆดำลอยอยู่บนฟ้า กลุ่มมวลสีดำปกคลุมผืนฟ้า เสียงกู่ร้องแปลกประหลาดดังต่อเนื่อง ลู่หยางและผู้อาวุโสหลักหลิวมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึง
ผู้อาวุโสหลักหลิวยืนนิ่งตกตะลึง เขาไม่รู้สึกตัวแม้ผ่านไปหลายวินาที เขาตะโกนลั่น “ตามเจ้าตำหนักมาเร็วเข้า!”
นอกแคว้นเซียงหยาง ทหารยามจ้องมองไปที่เมฆดำอย่างว่างเปล่า ทันใดนั้นหินแปลกประหลาดตกลงมาจากฟ้าและถล่มลงบนหอคอยประตูเมือง ทหารยามส่วนใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดา พวกมันต่างหวาดกลัวตายและต่างหนีกระเจิง
ประตูเมืองถูกพังถล่มแหลกละเอียด ในท้ายที่สุดหินเหล่านั้นเคลื่อนตัวรวมกันเป็นสัตว์อสูร พวกมันเริ่มสังหารหมู่เหล่าทหารยาม เพียงแค่กรงเล็บเดียวก็เพียงพอที่จะเอาชีวิตทหารยามเหล่านี้ เหล่าทหารยามใช้จำนวนมากเข้าสู้แต่ก็ยังลำบาก ก้อนหินประหลาดยังคงปรากฏบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ในพริบตา หอคอยประตูเมืองเต็มไปด้วยอสูรกว่าสิบตัวที่ครองหอคอยประตูเมืองไว้ เสียงดังก้องปรากฏขึ้นเมื่อหอคอยประตูเมืองถล่มลง ราวกับเป็นสัญญาณบางอย่าง มีคลื่นออกมาจากภูเขาที่ห่างไปไกล ภายในคลื่นเหล่านั้นเต็มไปด้วยเงาของอสูรร้าย ทหารยามคนสุดท้ายมองไปที่ภาพตรงหน้าเขาด้วยความตกตะลึงเหลือเชื่อ หลังจากผ่านไปนานเขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายทีมีตะโกน “ฝูงอสูรกำลังมาที่นี่ ทุกคนหนีเร็วเข้า!”
ฝูงอสูรที่ปรากฏขึ้นทุกๆสิบปี ได้เคยปรากฏขึ้นมาก่อนแล้วหลายครา ทว่าไม่มีครั้งไหนที่มันจะฉับพลันและดุร้ายเช่นนี้มาก่อน
ไม่เพียงแต่แคว้นเซียงหยางนั้นถูกปกป้องโดยยอดฝีมือ ทว่ามันยังมีกำแพงเมืองสูงปกป้องตัวแคว้นจากเหล่าอสูร หากปราศจากอสูรที่แข็งแกร่งสุดยอดมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพังกำแพงนี้ลง ในสถานการณ์ปัจจุบัน กำแพงเมืองถูกชิงโดยอสูรคลั่งเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง แม้คฤหาสน์ผู้ครองแคว้นก็ไม่เว้น
ในคฤหาสน์ผู้ครองแคว้น มีบุคคลสามสี่คนนั่งอยู่ ท่ามกลางสองบุคคลที่นั่งในตำแหน่งผู้นำ เป็นหลอหยุนชาน บุคคลที่นั่งข้างเขาคือชายวัยกลางคนร่างสูงและทรงพลังรังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าหยุนชานแม้แต่น้อย
บุคคลนี้คือผู้ครองแคว้นแห่งเซียงหยาง หวังหลี่
หวังหลี่มองไปด้านนอกหน้าต่างสีหน้าของเขาไร้ความรู้สึก ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นเขารู้อยู่แล้ว ราวกับทุกสิ่งอยู่ใต้การควบคุมของเขา
หวังหลี่มองไปที่หลอหยุนชานและฝืนยิ้มออกมา “ท่านมองการณ์ไกล เป็นดังที่ท่านกล่าว อสูรพวกนี้ไม่อาจรอได้ ทว่า นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น”
“ข้าได้ส่งศิษย์ตระกูลหลอออกไปที่หุบเขาเทวะร่วงหล่นแล้ว พวกเราแค่เพียงรอเหล่าศิษย์ข้าจัดการพวกมัน” หลอหยุนชานกล่าว ทุกคนในที่นี่ต่างเป็นผู้อาวุโสหรือผู้นำจากพรรคที่มีอิทธิพลในแคว้นเซียงหยาง ทว่าพวกเขาต่างเชื่อฟังเมื่ออยู่ต่อหน้าหลอหยุนชาน พวกเขาพยักหน้าและกล่าว “ตระกูลพวกข้าจะส่งยอดฝีมือที่สุดออกไปแน่นอน พวกข้าจะจับอสูรเหล่านั้นที่บุกรุกแคว้นเราให้หมด”
ตระกูลใหญ่สามตระกูลรวมถึงตระกูลหวัง ตระกูลอู๋ และตระกูลชั้นต้นเหล่านี้มารวมกันที่คฤหาสน์ผู้นำแคว้น ขณะที่ผู้นำเหล่านี้กำลังพูดอยู่ เหล่าผู้ฝึกอสูรนับไม่ถ้วนปรากฏตัวจากแคว้นเซียงหยางและกำจัดเหล่าอสูรร้ายบนประตูเมือง ทหารยามนับร้อยถูกฆ่าหมด ก่อนที่อสูรภายนอกจะโจมตีแคว้นได้ กลุ่มคนจำนวนมากได้ปรากฏบนประตูเมือง ทุกๆคนเป็นยอดฝีมือผู้ฝึกอสูร พวกมันมาจากตระกูลเดียวกัน และนั่นคือตระกูลหลอ ตระกูลที่แข็งแกร่งสุดในแคว้น
พวกเขาเริ่มฆ่าฟันเหล่าอสูร บุกทะลวงชิงประตูเมืองคืน อสูรของผู้ฝึกอสูรกว่าร้อยบุกไปที่ประตูเมือง เหล่าอสูรร้ายถูกทะลวงฝ่าโดยสัตว์อสูรสงครามของเหล่ายอดฝีมือตระกูลหลอ
แววตาเขาฉายแววฆ่าฟัน หลอชิงหัวกล่าวอย่างเหี้ยม “ฆ่าให้หมด!”
หลังจากที่อสูรนับน้อยได้รับคำสั่ง พวกมันโดดจากประตูเมืองลงไปสู่ฝูงอสูรราวกับดาวตก เพียงแค่แรงปะทะก็ฆ่าพวกอสูรไปหลายตน และพวกอสูรของยอดฝีมือฝึกอสูรฆ่าสังหารอสูรจากหุบเขาเทวะร่วงหล่นอย่างบ้าคลั่ง
แม้มันจะมีอสูรชั้นต้นจำนวนมาก แต่ก็ยังมีอสูรชั้นยอดอยู่ไม่ขาดสาย และมียอดฝีมือเช่นหลอชิงหัวจำนวนมาก อสูรใต้ควบคุมของพวกเขาเป็นระดับสายเลือดชั้นยอดทั้งนั้น บางตัวอยู่ในขั้นกลางแล้ว
สัตว์อสูรเช่นนี้ถือว่าเลวร้ายมากสำหรับเหล่าสัตว์อสูรจากหุบเขาเทวะร่วงหล่น พวกมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ต่อหน้าอสูรเลี้ยงสงคราม อสูรธรรมดาถูกฉีกทิ้งในพริบตา ลูกน้องเขาไร้ปรานี พวกมันใช้ความสามารถเทวะที่มีต่อเนื่อง อสูรร้ายที่ประตูเมืองถูกกวาดล้าง เหลือไว้เพียงซากศพหน้าประตูเมือง
หลอชิงหัวเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเขากล่าวอย่างเย็นชา “ฝูงอสูรบุกเข้ามาแล้ว พวกนี้เป็นเพียงแค่ระลอกแรก จำนวนของมันเพียงหนึ่งพัน ภารกิจของเราคือปกป้องประตูเมือง ตราบเท่าที่เรายืนหยัดไว้ได้เพียงหนึ่งชั่วโมง พวกเราจะชนะ”
หลอชิงหัวรู้ดีว่าในแคว้นเซียงหยางยังมีสถานการณ์ที่อสูรโจมตี ณ ตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้คือปกป้องประตูเมืองซึ่งเป็นเขตป้องกันสุดท้ายของแคว้น พวกเขาเพียงแค่ต้องซื้อเวลาให้ยอดฝีมือภายในแคว้นออกมาช่วยเหลือ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาจะเป็นฝ่ายมีชัย ทว่าตอนนี้พวกเขาจำเป็นต้องยืนหยัดลำพังไปก่อน พวกเขามีอสูรเลี้ยงสงครามเพียงร้อยตัว กับการต้านกองทัพอสูรนับพันถือเป็นเรื่องท้าทายของหลอชิงหัว “ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะมาช่วยทางนี้ให้เร็ว”
หลังจากต้านการโจมตีระลอกแรก เขาปราบอสูรนับพันไปได้ ทว่าหลอชิงหัวและพวกพ้องต่างสูญเสียสัตว์อสูรไปบ้าง ยิ่งกว่านั้น เมื่อระลอกต่อมาเกิดขึ้น จำนวนพวกมันจะมากขึ้นกว่าเดิมมาก ขณะที่อสูรของหลอชิงหัวและพวกเปรียบดังโขดหินท่ามกลางคลื่นจากท้องทะเล สัตว์เลี้ยงอสูรต่างยืนหยัดปกป้องประตูเมืองอย่างดื้อดึง เมื่อตัวนึงถูกฆ่าลง อีกตัวก็เข้ามาแทนที่ พวกมันต่างได้รับคำสั่งเด็ดขาดจากเจ้านายของมันให้ปกป้องประตูเมืองด้วยชีวิต
ร้อยห้าสิบกิโลเมตรห่างจากแคว้นเซียงหยาง ร่างดำสามร่างยืนอยู่บนเขาสูงและสังเกตการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมือง
ใบหน้าของชายกลางคนยิ้มขึ้นและหัวเราะ “เป็นตามที่คาด เฒ่าหลอหยุนชานมันเตรียมการไว้แล้ว ทว่าเขาคงไม่คาดว่าเราจะสามารถกระตุ้นฝูงอสูรได้ล่วงหน้า จริงมั้ย?”
“เจ้าทั้งสอง ภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงดีแล้ว หากครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จอีกละก็ ทั้งหมดนี่จะเป็นผลงานของพวกเจ้า!”
ปีศาจทมิฬก้มหัวรับคำ “ขอบคุณครับ นายท่าน!”
ใบหน้าพวกมันขึ้นสีแดง แตกต่างจากตอนที่พวกมันถูกทำร้ายโดยหลอหยุนชาน พวกมันแข็งแกร่งกว่าเดิมอีก
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนดูการต่อสู้ในแค้วนเซียงหยาง และรู้สึกยินดีอย่างมาก ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขา แววตาเขาแฝงความคาดหวังเอาไว้ เขากล่าวในที่สุด”หลอหยุนชาน ต่อให้เจ้ารู้แผนการของพวกข้า เจ้าจะทำไรได้?!”
ร่างเล็กปรากฏขึ้นด้านหลังชายร่างอ้วนและกล่าว “อย่าพึ่งดีใจไป หากหลอหยุนชานนั้นต่อกรด้วยง่ายละก็ข้าคงสังหารมันตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว”
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างแปลกประหลาด “การปะทุของฝูงอสูรก่อนกำหนดนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่หยุนชานนั่นไม่คาดคิด มันคงไม่มีวันคาดได้ว่าเจ้าร่วมมือกับข้า ด้วยความร่วมมือของพวกเรา มีอะไรต้องกลัวกับเจ้าหลอหยุนชานอีก?”
SB:ตอนที่ 60 เทพเจ้าแห่งการฆ่าฟัน
ดังเช่นการปรากฏตัวของนกประหลาด แม้พวกมันจะไม่ดุร้ายเท่า แม้พวกมันจะมีเพียงสายเลือดธรรมดา แต่พวกมันมีจำนวนมหาศาล เพียงแค่พยัคฆ์เพลิงสีชาดตัวเดียวมิอาจเอาชนะได้
ผู้อาวุโสตำหนักเมฆาม่วงเองก็ตระหนกกับการโจมตีของนกประหลาดพวกเขาต่างเรียกอสูรของตนเองออกมาป้องกัน
ทว่าจำนวนของนกประหลาดมีมากเหลือเกิน พวกเขาแต่ละคนต้องรับมือกับนกอย่างน้อยสิบตัว สิ่งที่น่ารำคาญสำหรับนกประหลาดนี่คือมันบินได้และต่อให้มันเอาชนะพวกเขาไม่ได้มันก็หนีได้
ลู่หยางมองดูสถานการณ์โดยรอบที่นกประหลาดถูกฆ่าพร้อมๆกับพรรคพวกของเขาที่ตายไป สีหน้าเขามืดมนลง
ที่แห่งนี้คือตำหนักเมฆาม่วงและเป็นจุดที่ครึกครื้นที่สุดในแคว้น ผู้คนจำนวนมากอยู่ที่นี่และเมื่อนกประหลาดโจมตี พวกเขาหลายคนไม่อาจหนีรอดได้
นกประหลาดนั้นมิอาจทำอะไรกับพวกลู่หยางได้และบางตัวถูกเขาฆ่า พวกมันจึงเล็งไปที่คนธรรมดาแทนที่ไม่มีทางสู้
เมื่อลู่หยางเห็นดังนี้เขาตะโกน “ไม่ได้การแล้ว!”
ร่างเขาทะยานราวกับลูกเกาทัณฑ์พุ่งไปหานกประหลาด ท่ามกลางเหล่าผู้คนนี้ บางคนเป็นเพื่อนเขาหากพวกเขาถูกโจมตี เพียงแค่กระบวนท่าเดียวจากนกประหลาดก็สามารถเอาชีวิตพวกเขาได้ ลู่หยางมองไปที่นกด้วยสายตาอาฆาต เขาทำได้เพียงมองคนถูกฆ่าใต้กรงเล็บนกประหลาด จิตอาฆาตพุ่งพล่านในอกเขา ดวงตาเขาแทบเปลี่ยนเป็นสีเลือด
เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ และชกไปที่หัวของนกประหลาด
“ข้าจะบอกเจ้าไว้ซะ” ลู่หยางปรากฏตัวต่อหน้านกประหลาด
“อย่าทำร้ายพวกเขา!” เขายกหมัดของเขาชกไปที่หัวของนกประหลาด
เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มีกระทั่งเพลิงสีชาดก็ถูกจุดขึ้นมาด้วยกำลังสี่หมื่นจิน แม้อสูรชั้นยอดก็ไม่อาจต้านทานได้ ไม่ต้องพูดถึงนกธรรมดา
นกนั่นถูกบดเป็นชิ้นๆในพริบตา นกประหลาดที่เหลือเห็นความร้ายกาจของลู่หยางและกลัวหัวหดมันพยายามที่จะหนีกัน ลู่หยางมองด้วยแววอาฆาต “เจ้าฆ่าคนไปและยังอยากจะหนีรึ?”
เพลิงสีชาดพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าและนกสามตัวถูกเผาจนไหม้เกรียม ร่างของมันร่วงหล่นลงมา
กลิ่นหอมฉุนของร่างที่ไหม้เกรียมทั้งสามก่อให้เกิดความตื่นเต้น พวกเขาบางคนเข้าไปฉีกกินเนื้อนกประหลาด เขาตื่นเต้นมากและตะโกน “ทุกคนมาลองชิมเนื้อนี่สิ มันอร่อยเหลือเกิน!”
ลู่หยางหน้าแดงด้วยความเขิน เขาไม่คาดว่าความโกรธของเขาจะก่อให้เกิดเรื่องดีเช่นนี้ พวกเขาหลบหนีมาและบางคนไม่ได้กินมาทั้งวัน ยิ่งกว่านั้นคุณภาพของเนื้อนกประหลาดนี่ดีกว่าเนื้ออสูรธรรมดา ยิ่งถูกเผาด้วยเพลิงสีชาดที่คุณภาพสูงแล้ว รสชาติของนกนี่เยี่ยมยอดไม่มีที่ติ
กลุ่มคนเริ่มแย่งชิงเนื้อนกกันบนถนนพวกมันต่างกลัวว่าจะกินไม่อิ่ม โทสะของลู่หยางเริ่มจะหายไป เขากล่าวกับตัวเอง
“บางที พวกเราคงต้องพึ่งเนื้ออสูรพวกนี้ในการอยู่รอดแล้วล่ะ” เขามองขึ้นดูมันยังมีนกจำนวนมากที่บินอยู่บนฟ้า และเขายังได้รับข่าวจากด้านหน้า การต่อสู้ที่ประตูเมืองนั้นร้ายแรงมาก กองทัพอสูรเสริมกำลังเข้ามาอย่างต่อเนื่องพยายามที่จะทะลวงเข้าสู่ภายในตัวแคว้น
เมื่อประตูเมืองพังลง เหล่าอสูรจะรุกล้ำเข้ามาด้านในราวน้ำป่า แคว้นเซียงหยางจะเต็มไปด้วยซากศพและทะเลเลือด
“ไม่ได้ ข้าจะไม่ปล่อยให้แคว้นเซียงหยางกลายเป็นเช่นนั้น!”
ลู่หยางไม่สนใจนกประหลาดนั่นและเดินไปที่ประตูเมือง นกประหลาดที่นี่กว่าครึ่งได้ถูกกำจัดไปแล้ว และยอดฝีมือจากตระกูลต่างๆถูกส่งมาปกป้องชาวเมือง ดังนั้นมันไม่มีความหมายที่เขาจะอยู่นี่ต่อ แต่สถานการณ์ที่ประตูเมืองนั้นคับขันกว่านี้
ลู่หยางเดินไปบนถนนหลักราวกับลม ระหว่างทางเขาพบนกประหลาดพยายามโจมตีผู้คน เขาจึงฆ่ามันด้วยเพลิงสีชาด
ทว่า ทุกครั้งที่เขาฆ่านก ซากศพของมันจะถูกช่วงชิงโดยชาวเมืองทันที เขาหัวเราะในใจ ช่างน่าสมเพชนกพวกนี้จริงๆ เมื่อตอนมันเป็นมันบินบนท้องฟ้า เมื่อมันตายมันกลายเป็นอาหารให้คนอื่น
ลู่หยางโดดขึ้นไปในอากาศและร่อนลงบนหลังของนกประหลาด และเหยียบหลังนกโดดขึ้นไปอีกทีบนกำแพงเมือง
“ใครกันน่ะ!”
“ไปช่วยเพื่อนของเจ้าซะ!”
ลู่หยางไม่สนใจศิษย์รุ่นเยาว์และผลักพวกเขาไป เขามาหยุดยืนที่ข้างประตูเมืองเพื่อดูสถานการณ์
หลอชิงหัวหันไปมองโดยรอบและไม่เห็นใครอื่นนอกจากลู่หยาง เขาสงสัย “เจ้าเป็นคนเดียวที่มาช่วยหรือ?”
ลู่หยางตอบ “ถูกแล้ว เจ้าต้องการคนเพิ่มอีกกี่คนล่ะ?”
“จะมีประโยชน์อะไรที่เจ้ามาคนเดียว!” ด้านหลังหลอชิงหัว ศิษย์ตระกูลหลอตะโกนอย่างโกรธเคือง
พวกมันต่างเป็นฝ่ายดูถูกคนอื่นมาตลอด เมื่อได้ยินน้ำเสียงของลู่หยาง พวกมันจึงโกรธและดูถูกเขา “เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร โอ้อวดต่อหน้าพี่ใหญ่หลอชิงหัวของเรา?”
“ข้าจะมีความสามารถหรือไม่ เดี๋ยวรู้กัน แต่ถ้าอาศัยเพียงเจ้า ข้าเกรงว่าประตูเมืองจะอยู่ได้อีกไม่นาน” ลู่หยางกล่าวอย่างเย็นชา ไม่สนใจเสียงนกเสียงกา
เขาโดดลงจากประตูเมือง นายน้อยที่มองดูตระกูลหลอต่างตะลึง ข้างล่างนั้นเป็นกองทัพอันเกรียงไกรนับพัน พวกมันต่างเป็นอสูรร้าย แม้หลอชิงหัวไม่กล้าที่จะลงไปด้วยตัวมันเอง ไม่มีใครกล้าที่จะโดดลงไปด้วยตนเอง
พวกเขาราวกับได้ยินเสียงร้องครวญครางและภาพของลู่หยางถูกฉีกทึ้งแล้วเมื่อเห็นเขาโดดลงไป
“เขาปัญญาอ่อนรึเปล่า?”
“ดูท่าทางเขาเมื่อครู่ ข้านึกว่าเขาจะมีดี ข้าไม่คิดว่าเขาจะปัญญาอ่อน”
“ดูเหมือนเราไม่มีอะไรทำอยู่แล้วนี่ พวกเรารอดูว่าเขาจะตายยังไงกันเถอะ”
ลู่หยางได้ยินทุกสิ่งที่พวกมันพูดกัน รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นในใจก่อนที่เขาจะมองไปที่อสูรตรงหน้า ความจริงแล้วก่อนที่เขาจะลงมา เขาได้คาดการณ์สถานการณ์เช่นนี้แล้ว อสูรนับหมื่นดูเหมือนจะน่ากลัว แต่มันไม่ได้แข็งแกร่งมากในความเป็นจริง พวกมันอ่อนแอกว่านกประหลาดมาก พวกมันเป็นเพียงอสูรชั้นต่ำ ลู่หยางไม่มองพวกมันในสายตาด้วยซ้ำ
เขาอัญเชิญพยัคฆ์เพลิงสีชาดและต้าเฮยออกมา ที่นี่ไม่มีตาเฒ่าคอยดูอยู่ เขาไม่ถูกจับตามองอีกต่อไป แต่เขาไม่ได้เรียกราชสีห์คลั่งขนทองออกมา เขากลัวว่าสหายบนประตูเมืองจะจำมันได้
“ต้าเฮย แสดงพลังที่แท้จริงของเจ้าให้พวกมันเห็น” ลู่หยางลูบหัวต้าเฮยและกล่าว
ต้าเฮยกระโจนไปที่อสูรตรงหน้าเมื่อได้รับคำสั่ง มันใช้แค่กำลังในการฉีกทึ้งอสูรตรงหน้า ไม่ใช้ความสามารถพิเศษด้วยซ้ำ พยัคฆ์เพลิงสีชาดเองก็ไม่น้อยหน้า ขนทัว่ร่างมันราวกับลุกเป็นไฟราวกับเสือในฝูงแกะกรงเล็บมันฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง จากสัตว์เลี้ยงอสูรร้อยตัว บัดนี้พวกมันเหลือเพียงห้าสิบแทบจะต้านการบุกของเหล่าอสูรไม่ไหว แต่บัดนี้ด้วยต้าเฮยและพยัคฆ์เพลิงสีชาด พวกเขาเริ่มผ่อนคลาย
“สรุปเจ้านี่มีอสูรสองตัว ไม่แปลกที่มันกล้าถึงเพียงนี้!”
“บอกข้าหน่อย เมื่อเทียบกับพี่ชิงหัว อสูรของใครแข็งแกร่งกว่ากัน?”
ทันทีที่เขาพูดจบ มีมือนับไม่ถ้วนตบไปที่หัวของเขา และบางคนด่าขึ้น “นี่สมองเจ้าเอ๋อหรือเปล่า อสูรของพี่ชิงหัวเป็นสายเลือดชั้นยอดและอสูรระดับกลางทั้งนั้น เจ้าเด็กนั่นจะเทียบได้ยังไง?”
ทว่าพวกมันไม่เห็นว่าบัดนี้ใต้กำแพงเมือง มีเพียงต้าเฮยและพยัคฆ์เพลิงสีชาดที่กระโจนไปมาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ สำหรับสัตว์เลี้ยงอสูรสามหัวของหลอชิงหัวนั้น มันหลบซ่อนด้านหลังต้าเฮย คอยจัดการอสูรบาดเจ็บอยู่
แม้พวกมันมีสายเลือดชั้นยอดเหมือนกัน แต่ภายใต้แสงอันเฉิดฉายของต้าเฮยและพยัคฆ์เพลิงสีชาด อสูรสามตนนั้นดูมืดหมอง ไม่ว่าจะในด้านรูปลักษณ์หรือความสามารถ พวกมันด้อยกว่าต้าเฮยอย่างเห็นได้ชัด
หลอชิงหัวมองไปที่ต้าเฮยอย่างว่างเปล่า เหล่าอสูรคลั่งตรงหน้าราวกับเป็นเพียงกระดาษเมื่อเจอกับต้าเฮย ต้าเฮยคำรามและเมื่อรังสีของชั้นจักรพรรดิ์แผ่ออก อสูรบางตัวไม่กล้าที่จะขยับ พวกมันยืนนิ่งรอถูกต้าเฮยเชือด
หลอชิงหัวขมวดคิ้ว เขาอดคิดในใจไม่ได้ “แคว้นเซียงหยางเรามียอดอัจฉริยะเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อสูรสองตนของเขาไม่ใช่ระดับต่ำแน่ โดยเฉพาะสุนัขสีดำนั่น!”
สายตาเขาไม่คลาดจากต้าเฮย ไม่เพียงเขาตกตะลึง แต่เขายังมีความโลภ หลอชิงหัวเป็นยอดฝีมือเขารู้ต้าเฮยนั้นไม่ธรรมดา เขาสงสัยว่าต้าเฮยนั้นเป็นอสูรชั้นจักรพรรดิ อสูรประเภทนี้ มีเพียงหลออู๋ฮวงที่มี แม้เขาจะเป็นยอดฝีมือแต่เขาทำได้เพียงอิจฉาเธอ
“หากมีโอกาส ทำไมไม่ทำข้อตกลงกับเจ้านี่หล่ะ!” หลอชิงหัวคิดในใจ
SB:ตอนที่ 61 ศิลาร้องไห้
ขณะที่ลู่หยางกำลังมองซากศพของอสูรร้ายข้างๆเขา เขาคิดในใจว่า “ทันทีที่กระแสอสูรจบลง มันคงจะดีที่จะมาขุดเอาซากศพอสูรเหล่านี้!”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลู่หยางคงจะทนรอไม่ได้ที่จะชำแหละซากอสูรเหล่านี้เพื่อที่จะเอาผลึกของมัน แต่เขาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นแล้ว พวกอสูรบ้าระห่ำเริ่มตระหนักว่าพวกมันไม่อาจต้านทานต่อความดุร้ายของต้าเฮ่ยได้ พวกมันรู้ว่าลู่หยางซึ่งเป็นมนุษย์เป็นเจ้านายของต้าเฮ่ย พวกมันจะหันมาเล่นงานลู่หยางแทน
ลู่หยางสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับพวกอสูร และเข้าใจว่าพวกมันหมายถึงอะไร เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“สัตว์ที่ไม่มีปัญญาพวกนี้อยากเล่นงานข้า ดูเหมือนข้าจะเหมือนลูกพลับนิ่มๆลูกนึงซิ”
ร่างกายมนุษย์ดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าอสูรดุร้าย แต่ทันทีที่มันปะทุออกมา มันก็แฝงไว้ด้วยพละกำลังที่น่ากลัวเช่นกัน
เมื่ออสูรร้ายตัวแรกพุ่งเข้าใส่ลู่หยาง เขาใช้แค่พละกำลังของตัวเขาเองด้วยการใช้กำปั้นเหวี่ยงมันกลิ้งไปราวกับลูกบอล มันล้มกระแทกใส่กลุ่มอสูรด้วยกัน พวกมันไม่คิดถอยหนี วิญญาณกระหายเลือดของพวกมันถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อสูรร้ายตัวแล้วตัวเล่าพุงเข้าใส่ลู่หยางเป็นระลอกๆ
ลู่หยางก็ไม่ถอยหนีเช่นกัน มีอสูรอีกเป็นร้อยๆที่นี่ เขากระโจนใส่ฝูงอสูรไปพร้อมๆกับพยัคฆ์เพลิงสีชาดและต้าเฮ่ย
หลอชิงหัวและกลุ่มผู้ติดตามตระกูลหลอเฝ้ามองดูสถานการณ์ด้านล่างอยู่แล้วพวกเขาก็ต้องตกตะลึงอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปเลย
ทีแรกพวกเขาคิดว่าลู่หยางเป็นเพียงเด็กดื้อหัวชนฝา เมื่อเห็นต้าเฮ่ย พวกเขาก็ยังไม่อยากยอมรับพละกำลังของลู่หยาง แต่ตอนนี้ความจริงปรากฏต่อหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นใดเว้นแต่จะเชื่ออย่างสนิทใจว่า ถึงแม้ลู่หยางจะอวดดี ก็เขามีดีให้อวด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลอชิงหัวผู้ซึ่งแต่แรกยังมีความละโมบอยู่ในใจ แต่เมื่อเขาเห็นลู่หยางปฏิบัติการอย่างดุเดือดเสียยิ่งกว่าพวกอสูรบ้าระห่ำท่ามกลางพวกอสูรเป็นร้อยๆตัว ความคิดแต่แรกของเขาก็ถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง
“ดูเหมือนว่าการที่เรามีเจ้าเด็กพิเรนคนนี้อยู่ด้วยจะทำให้ภารกิจของเราไม่น่ามีปัญหา บางทีเมื่อกองกำลังเสริมมาถึง มันจะไม่มีอสูรร้ายเหลืออยู่แล้วล่ะสิ”
ลู่หยางเองก็ยังมีสัตว์เลี้ยงสงครามเป็นโหลๆคอยช่วยเหลือเขาอยู่ข้างๆขณะที่อสูรร้ายก็ยังคงบุกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยความช่วยเหลือของลู่หยาง ก้อนหินก้อนใหญ่นี้กลับมั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ไม่ต้องเกรงกลัวคลื่นใดๆอีกต่อไป ไม่ว่ามันจะโดนกระทบสักกี่ครั้ง ไม่ว่าคลื่นอสูรจะรุนแรงเพียงใดผลลัพธ์ก็คือก้อนหินก้อนนี้ยังคงตั้งอยู่หน้าประตูเมือง ไม่ได้ถูกทำลายลงแต่อย่างใด
เวลาผ่านไป ในที่สุดคลื่นอสูรที่ถาโถมมาไม่สิ้นสุดเริ่มพอจะเหลือให้ได้เห็น ให้ได้นับได้แล้ว
หลอชิงหัวและคนอื่นๆได้แต่เฝ้าดูลู่หยางสังหารหมู่อสูรที่ด้านล่างนั่น ไม่มีใครรู้ว่าเขาเหนื่อยล้าแค่ไหน พวกเขาหลายสิบคนมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นจำนวนของอสูรร้ายค่อยๆลดลงๆจนสามารถนับจำนวนได้
ลู่หยางเหน็ดเหนื่อยและเหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัว แต่โชคดีที่กำแพงเมืองปลอดภัย และลู่หยางก็จะได้พักบ้าง
คนที่อยู่บนหอคอยประตูเมืองหัวเราะ และตะโกนว่า “พวกเจ้าทั้งหมดเป็นแบบนี้เสมอเลยเรอะ? ตอนนี้ไม่มีอันตรายแล้ว เร็วเข้า รีบลงมาช่วยที่ข้างล่างนี่กัน!”
หลอชิงหัวเมื่อหายจากตะลึงก็ได้เรียกบรรดาพี่น้องที่อยู่ข้างๆเขามารวมกัน แล้วบอกว่า “ทิ้งคนไว้จำนวนหนึ่งไว้เฝ้ารักษาประตูเมือง ที่เหลือตามข้าลงมา แล้วเก็บกวาดพวกนี้ให้หมด!”
ประตูเมืองเปิดกว้างออก คนนับสิบๆรีบเร่งออกมา แล้วต่อสู้กับอสูรที่เหลืออยู่ประมาณร้อยตัวสุดท้าย ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกๆคน อสูรชุดนี้จะถูกกำจัดหมดไป
ลู่หยางบอกว่า “ช่วยส่งคนไปที่คฤหาสน์ผู้ครองเมืองให้บอกท่านผู้ครองเมืองให้ส่งคนมาช่วยเก็บกวาดอสูรพวกนี้ที และช่วยจัดหาอาหารให้กับพวกผู้อพยพในเมืองด้วย”
หลอชิงหัวตกลงทันที เขาเรียกผู้ติดตามคนหนึ่งให้ไปแจ้งข่าวที่คฤหาสน์ผู้ครองเมืองพร้อมกับขอความช่วยเหลือ สำหรับคนที่เหลือเหล่านี้ พวกเขายังหนุ่มแน่น และแข็งแรง ให้พวกเขายุ่งอยู่กับการลากซากศพของเหล่าอสูรพวกนี้เข้าเมืองไป
บนภูเขาในระยะห่างไกล ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนล่ำพร้อมกับปีศาจมืดสองตนเฝ้าดูอยู่ พวกมันเห็นด้วยตาตัวเองว่าลู่หยางจัดการเหล่าอสูรคลื่นแรกได้สำเร็จ แต่ทว่า พวกมันไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด ในทางกลับกัน ชายร่างอ้วนยิ้มราวกับว่าทุกอย่างเข้าแผนที่มันวางไว้ และยังไม่มีอะไรที่เหลือบ่ากว่าแรง
“เรื่องมันชักจะน่าสนใจขึ้นแล้วล่ะสิ ข้าไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอสุนัขล่าเนื้อที่นี่ตัวนึง…”ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะขณะที่พูด และเมื่อตระหนักว่ามีบางอย่างผิดพลาด มันรีบพูดเสริมว่า “โอ้! ไม่ใช่สิ มันต้องเรียกว่า ลูกหลานของสุนัขล่าเนื้อศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจี ถ้าไม่ใช่ แม้แต่ท่านและข้ายังต้องวิ่งหนีมันเรอะ”
ชายร่างอ้วนก็หัวเราะด้วย “สุนัขศักดิ์สิทธิ์แห่งอเวจีเฝ้าประตูอเวจี และเป็นผลแห่งกรรมในตระกูลปีศาจอเวจี ราชสีห์ขนทองหกเนตร ท่านก็มีสายเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ท่านดูแตกต่างจากบรรพบุรุษของท่านเล็กน้อย”
เสียงหัวเราะแปลกๆนั้นแฝงแววเย้ยหยันอยู่
หลังจากที่สายเลือดอสูรขึ้นถึงชั้นจักรพรรดิแล้ว พวกมันได้ปลุกปัญญาแห่งจิตวิญญาณขึ้นมา เมื่อพละกำลังของมันขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น พวกมันจะสามารถเข้าใจและใช้ภาษามนุษย์ในการสื่อสารได้ ราชสีห์ขนทองหกเนตรมีสายเลือดของอสูรศักดิ์สิทธิ์บวกกับสติปัญญาชั้นสูง ดังนั้นมันจึงเข้าใจความหมายที่ชายร่างอ้วนพูดทุกคำ
มันยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าได้คิดว่าท่านจะทำอะไรก็ได้พียงเพราะว่าท่านมีบางอย่างที่ข้าอยากได้ ถ้าท่านทำให้ข้าอารมณ์ไม่ดี ระวังไว้ ข้าอาจหันหลังให้ท่านแล้วไปร่วมมือกับหลอหยุนชานแทน มาดูกันว่าเมื่อถึงตอนนั้นใครจะอ้อนวอนใคร”
“ข้าก็แค่ล้อเล่น ทำไมต้องโกรธเช่นนั้นด้วย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ท่านจะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตั้งมากมาย”
ทั้งสองต่างมองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่มีคำพูดใดๆออกมา ต่อมาชายร่างอ้วนพูดขึ้นว่า “ในเมื่อไอ้เฒ่านั่นมันไม่ลงมือซะที ทำไมเราไม่ทำให้มันจบๆไปในทีเดียว แล้วถล่มหอคอยนี้ที่เรียกว่าเมืองเซียงหยาง?”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะขึ้น “ข้าหมายถึงอย่างนั้นแน่นอน!”
ชายร่างอ้วนโบกมือออกคำสั่ง ก้อนหินข้างหลังเขาเริ่มกลิ้งลงมากัน หินภูเขาเหล่านี้ไม่ใช่ก้อนหินแปลกๆธรรมดาๆจากภูเขาสูง มันมีกรงเล็บที่แหลมและฟันที่คมที่สามารถงอกออกมาได้
พื้นดินภายใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นระลอกๆเพราะก้อนหินและภูเขาได้ฝังพวกมันไว้ในดิน พวกมันขุดดินสร้างเป็นอุโมงค์เชื่อมไปถึงหอคอยประตูเมือง ลู่หยางและคนที่เหลือยังคงเก็บกวาดสนามรบอยู่ และประตูเมืองยังไม่ปิด ทันใดนั้นคิ้วของลู่หยางขมวดเข้าหากันแน่นและจู่จู่ประสาททุกส่วนก็ตึงเครียดขึ้นมา ไม่มีวี่แววของอสูรร้ายหลงเหลืออยู่บริเวณนี้แล้ว แต่ลู่หยางรู้สึกไม่ดีเลย
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
“ฝูงอสูรศิลากลืนกิน อสูรชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด ไม่ทราบจำนวน ที่ระยะร้อยเมตร ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว!”
เสียงระบบแจ้งเตือนสามครั้งต่อเนื่องกันดังอยู่ในหูของลู่หยาง เขาถลึงตามองไปรอบๆแต่ไม่มีวี่แววของอสูรร้าย แต่เมื่อสายตาของเขาจับจ้องลงไปบนพื้นดินที่ระยะไกลออกไป เขาสังเกตเห็นว่าดินตรงนั้นหมุนวนอยู่ราวกับว่ามีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ข้างใต้นั่น ลู่หยางหัวใจแทบหยุดเต้น เขารู้ทันทีว่าเกิดเรื่องแล้ว
“อสูรร้ายมาแล้ว! ทุกๆคน เร็วเข้า เข้ามาใกล้ๆประตูเมือง!”
หลอชิงหัวตื่นตระหนกไปด้วย แต่เขาก็คิดว่ามันแปลกเพราะเขาไม่เห็นร่องรอยของอสูรร้ายซักตัว ขณะที่หลอชิงหัวกำลังสงสัยอยู่นั้น เมื่อเขาเห็นสีหน้าที่ไม่ต้องสงสัยของลู่หยาง ใจของเขาก็ยอมทำตามที่ลู่หยางบอก
หลังจากที่ผ่านอะไรๆมามากมาย หลอชิงหัวได้สูญเสียความเป็นตัวตนของตัวเองไปแล้ว ราวกับว่าลู่หยางเป็นกำลังสำคัญในภารกิจนี้ หลอชิงหัวและเหล่าผู้ติดตามปฏิบัติต่อลู่หยางราวกับเขาเป็นเสาหลักของพวกเขา ลู่หยางพูดคำไหน จิตใต้สำนึกของพวกเขาเลือกที่จะเชื่อตาม
“เร็วเข้า! ปิดประตูเมือง!”
“พวกท่านเข้าไปก่อน! หาไม่แล้วจะสายเกินไป!” ลู่หยางพูดขึ้นทันที
แต่ตัวเขาเองไม่ขยับไปไหน เหมือนกับว่าตั้งใจจะไม่ไปอยู่แล้ว แต่เขาอยากให้หลอชิงหัวและคนอื่นๆเข้าไปแทน
ดินที่ปั่นป่วนปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน หลอชิงหัวก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่ลังเลที่จะสั่งการทันทีให้ผู้ติดตามของตระกูลหลอวิ่งตรงไปยังประตูเมืองกับตัวเขา
ดูจากผิวดินตรงนั้นแล้วราวกับว่ามีอสูรร้ายมหึมาจำวนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวอยู่รอบๆภายใต้ความลึกของผิวโลก รังสีของลู่หยางแผ่ออกมา เขากระทืบเท้าอย่างดุเดือดลงไปบนพื้นดิน ด้วยกำลังมากกว่าสี่หมื่นจิน แม้แต่พื้นดินยังสั่นสะเทือน
“เจ้านี่มันเป็นเด็กประเภทไหนกันนี่ กล้าออกมาเจอกับข้าหน่อยมั้ย!”
เมื่อเสียงสั่นสะเทือนได้ยินไปถึงข้างใต้ดิน พื้นดินบริเวณใต้ฝ่าเท้าลู่หยางแตกออกเผยให้เห็นปากกระหายเลือดอันใหญ่โตซึ่งเริ่มที่จะเขมือบลู่หยาง
เป็นเพราะการกระทืบเท้าของลู่หยางได้ไปขวางทางของอสูรศิลากลืนกินเข้า พวกมันก็เลยขึ้นมาบนพื้นดิน ก้อนหินดุร้ายก้อนใหญ่ๆและเขี้ยวยาวๆเรียงหน้ากันอยู่ตรงหน้าลู่หยางพร้องขู่คำรามเสียงดัง
ลู่หยางไม่ได้หันไปมองรอบๆ เขาชูกำปั้นขึ้นสูงแล้วต่อยไปที่ปากกว้างๆตรงหน้า กำปั้นของเขาซัดเข้าที่ฟันหน้าสองซี่ของอสูรร้ายเข้าเต็มๆ ด้วยกำลังกว่าสี่หมื่นจิน ฟันหน้าของมันแตกเป็นชิ้นๆ
เมื่อสูญเสียฟันแหลมคมแล้ว เจ้าอสูรรัรบรู้ถึงความเจ็บปวด ร่างใหญ่โตของมันกลิ้งลงกับพื้น ร้องโอดครวญด้วยความจ็บปวด
“ไอ้บ้าเอ้ย! ศิลากำลังร้องไห้!”
หลอชิงหัวหันมาเห็นเหตุการณ์ เลยอุทานขึ้นมา
อสูรศิลากลืนกินเหล่านี้มาจากสายเลือดชั้นยอดทั้งสิ้น ตอนนี้มีอสูรศิลากลืนกินมากกว่าสิบตัวที่ปรากฏตัวขึ้นมา และดูจากพื้นดินที่ปั่นป่วนอยู่เป็นลูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าแสดงว่ายังมีอีกมากที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดิน ลู่หยางขมวดคิ้ว
“มานี่ เข้ามานี่!” “พวกเจ้าทั้งหมด เข้ามาหาข้านี่!”
เสียงกระทืบเท้าดังโครมใหญ่ ต้าเฮ่ยปรากฏตัวขึ้นข้างหน้าลู่หยาง พร้อมกับอ้าปากกว้าง กว้างพอสำหรับอสูรศิลากลืนกินทั้งกลุ่มนั้น
“ประตูอเวจี จงเปิด!”
ประตูสีดำลักษณะเดียวกันกับของต้าเฮ่ยปรากฏขึ้นบนหน้าผากของลู่หยาง ประตูอเวจึทั้งสองเปิดออกพร้อมๆกันก่อนที่พวกอสูรศิลากลืนกินจะเปลี่ยนทิศทางกันทัน พวกมันถูกกลืนกินค่อยๆหายเข้าไปด้วยแรงดึงดูดของประตูอเวจี
SB:ตอนที่ 62 คลื่นอสูรระลอกที่สาม
ประตูอเวจีเปิดออกแล้ว อสูรศิลากลืนกินยังคงถูกดูดเข้าไปในประตูอเวจี ไม่ว่าอสูรศิลากลืนกินจะตัวใหญ่แค่ไหน มันไม่มีความหมายแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าประตูอเวจี มันเปรียบเสมือนหลุมที่ลึกมากสุดที่จะหยั่งถึง
“สัตว์เลี้ยงสงคราม: ราชาสุนัขอเวจี”
“ธาตุ : ความมืด”
“ระดับ :อสูรชั้นต้น”
“สายเลือด: ชั้นจักรพรรดิ”
“ความสามารถเฉพาะตัว : ประตูอเวจี (ฉบับปรับปรุงของการกลืนกินมืดมิด) เรียกประตูออกมาจากขุมอเวจีและใช้พลังความมืดเข้ากลืนกินเป้าหมายตรงหน้า ขณะเดียวกันทำให้ร่างกายของตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก เป็นความสามารถเทวะเฉพาะตัวระดับเจ้าโลก”
“แต้มเติบโต: 22/10000”
“แต้มเติบโต: 24/10000”
“26/10000”
“28….”
“30….”
“…..”
“300/10000”
“320/10000”
ลู่หยางตกตะลึงทันที มันเพิ่มขึ้นทีละ 20 แต้ม เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่รู้ว่าต้าเฮ่ยเขมือบอสูรศิลากลืนกินเข้าไปเท่าไหร่ในอึดใจเดียว หรือแม้แต่แก่นผลึกในตัวของอสูรศิลากลืนกินที่ถูกย่อยสลายไปทั้งหมดกลายไปเป็นอัตราเติบโตของต้าเฮ่ยมีเท่าไหร่
แก่นผลึกชั้นต้นหนึ่งแก่นสามารถเพิ่มอัตราเติบโตให้ต้าเฮ่ยเล็กน้อย หลังจากที่ได้กลืนกินอสูรมาระยะหนึ่ง อัตราเติบโตของต้าเฮ่ยยังคงสูงขึ้นอย่างแน่วแน่ ลู่หยางรู้สึกแปลกที่ต้าเฮ่ยจู่จู่ก็เพิ่มทีละ 20 แต้ม
“ข้าคิดว่าข้าเห็นอสูรศิลากลืนกินขนาดมหึมาพุ่งเข้ามาใส่เดี๋ยวนี้……”
อย่างไรก็ตาม ลู่หยางไม่ได้คาดหวังให้ต้าเฮ่ยเป็นอสูรดุร้ายที่ขึ้นถึงระดับกลาง
“ดูเหมือนว่าถ้ายังมีเจ้าลูกหลานของสุนัขล่าเนื้อนั่นอยู่ พวกเราจะยุ่งยากทีเดียวในการที่จะตีประตูเมืองให้แตก” ชายร่างอ้วนถอนหายใจ
ราชสีห์ขนทองหกเนตรแสยะยิ้ม “อย่าห่วงไปเลย นี่แค่คลื่นลูกที่สอง กระแสอสูรในเวลาปกติก็ยังแรงกว่านี้ ภารกิจนี้สำคัญมาก”
“ถ้าเราตีประตูเมืองไม่แตก เราจะทำยังไงต่อ?”
“ถ้าเจ้าเด็กนั่นรู้เดียงสาพอๆกับท่านแผนของเราคงจะราบรื่นขึ้นมาก” ขณะที่ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดอยู่นั้น ชายร่างอ้วนมองไปที่มันอย่างคาดหวัง
แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรไม่ได้สนใจชายร่างอ้วน เขาตอบไม่เกรงใจว่า ”พวกเจ้าละโมบโลภมากเสมอ อย่าบอกนะว่าที่ข้าช่วยนั่นมันยังไม่พอ?”
“อย่ามาเทียบอสูรชั้นต่ำพวกนั้นกับข้า ในตัวข้ามีสายเลือดของปราชญ์ ในบรรดาอสูรไม่มีตัวไหนที่มีปัญญาเช่นข้า” ชายร่างอ้วนหัวเราะให้กับตัวเองแล้วหันมาถามราชสีห์ขนทองหกเนตรว่า “ท่านมีแผนอะไรต่อ ท่านจะแค่นั่งดูกองทัพอสูรศิลากลืนกินของท่านถูกดูดเข้าไปในประตูอเวจียังงั้นเหรอ?”
แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรศิลากลืนกินก็ยังถูกต้าเฮ่ยเขมือบไปแล้ว ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะหวังพึ่งอสูรร้ายพวกนี้ให้ทำงานใหญ่ให้สำเร็จ
ราชสีห์ขนทองหกเนตรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วมันก็ส่งเสียงคำรามขึ้นท้องฟ้า เสียงนั้นกึกก้องกัมปนาทราวเสียงฟ้าร้องไปตลอดแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น หลังจากที่เสียงนั้นผ่านไป เสียงร้องคำรามของอสูรดุร้ายก็ดังออกมาจากแนวภูเขากว้างใหญ่ ราวกับว่าพวกมันตอบสนองการร้องเรียกของราชสีห์ขนทองหกเนตร
ตามมาด้วยเสียงกราวก้องของฝูงอสูรร้ายที่พากันกลิ้งลงมาที่ตีนเขาทำเอาฝุ่นควันฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ
ลู่หยางยกเปลือกตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เขาจ้องไปที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นและดูเหมือนจะเห็นบางอย่างด้วย
“คลื่นอสูรอีกระลอกหนึ่งเหรอ?” “ดูเหมือนครั้งนี้จะหนวกหูซะจริง!”
เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งปกติแล้ว นี่เพิ่งจะเริ่มต้น วันแรกๆของกระแสอสูร เมืองเซียงหยางจะถูกโจมตีอย่างรุนแรง แต่ทว่า แต่ละครั้งที่เกิดจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆประมาณสองถึงสามวัน หรือถ้าเป็นระยะยาวก็หนึ่งเดือน
ตามสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าลู่หยางจะสามารถปกป้องประตูเมืองไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่สามารถยื้อไว้ได้นานเช่นนั้นแน่
เขาต้านทานคลื่นโจมตีได้สองระลอก การสู้รบที่ยาวนานทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ถ้าเขายังคงพยายามต่อไป ไม่พียงแต่เขาเอง แม้ต้าเฮ่ยก็จะไปต่อไม่ไหว
“ไม่ เราจะให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!”
ลู่หยางรีบตัดสินใจ เขาตะโกนขึ้นไปบนหอคอยประตูเมือง “อสูรกำลังบุกมา! เปิดประตูเมืองเร็ว ให้ข้าเข้าไป”
ก่อนที่กระแสอสูรจะมาถึง ลู่หยางรีบเสร็จภารกิจกับอสูรศิลากลืนกินสองถึงสามตัวสุดท้าย พร้อมๆกับที่ประตูเมืองเปิดออก ลู่หยางมองไปที่กลุ่มฝุ่นควันที่ลอยตลบฟุ้งอยู่ แล้วเขาก็รีบเข้าประตูเมืองไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกเลย
ชายร่างอ้วนมองดูขนาดของกองทัพอสูร คลื่นอสูรลูกนี้ไม่เพียงแต่แข็งแรงกว่าคลื่นลูกก่อน พวกมันยังมีจำนวนมากกว่าด้วย ดูจากรัศมีที่แผ่ออกมานี้ ชายร่างอ้วนก็รู้ว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรมีความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะทลายหอคอยประตูเมืองให้ได้
เขาหัวเราะขึ้นมา “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ท่านจะลงทุนไปมากนะ ท่านส่งอสูรชั้นยอดออกไปมากมาย”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะแล้วพูดว่า “ความจริงก็คือว่ามีสัดส่วนของอสูรร้ายในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นที่ยังคงฟังคำสั่งจากข้า ครั้งนี้ ข้าจะล้างเมืองเซียงหยางด้วยเลือด!”
“โอ้ ดูเมือนว่า พละกำลังของวานรเกราะทองคำนี่ดีจริงๆ มันสามารถแข่งขันกับท่านในหุบเขาเทวะร่วงหล่นนี้ แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถสั่งการอสูรร้ายในเขตแดนของมันงั้นเหรอ?”
“อืมม” ราชสีห์ขนทองหกเนตรทำฮึดฮัด น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความดูหมิ่น มันพูดว่า “มันก็แค่กำลังของสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีมันสมอง อสูรบ้าคลั่งก็เป็นได้เพียงอสูรบ้าคลั่ง”
“มาเฝ้าดูกัน ครั้งนี้ ถ้าเรายังเปิดประตูเมืองไม่ได้ ข้าจะลงมือเอง”
เหนือสิ่งอื่นใด มันก็ยังคงเป็นอสูรร้าย แม้ว่ามันจะมีปัญญา มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนสันดานกระหายเลือดของอสูรร้ายได้ ขณะที่มันพูด มันเผยให้เห็นถึงเขี้ยวดุร้ายที่มุมปากของมันซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีกระหายเลือดของมัน
ลู่หยางยืนมองอยู่บนยอดหอคอย เขายืนจ้องไกลออกไปราวกับจะให้เห็นถึงแนวหุบเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกเหมือนมีใครเฝ้ามองเขาอยู่ ที่สนามรบนั่นก็เช่นกัน เขาไม่ได้ทำอะไร แต่ทว่าลึกเข้าไปในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาได้รับการตอบสนองเหมือนว่าแผนการที่เกิดขึ้นนี้มุ่งเป้ามาที่ตัวเขา
“สารลับฉบับนั้นได้ส่งถึงมือท่านผู้เฒ่าหลอเรียบร้อยแล้ว เขาจะใช้ดุลยพินิจของเขาเองและเตรียมการล่วงหน้าไว้ สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำในตอนนี้ก็คือคุ้มกันการโจมตีของคลื่นอสูร และสำหรับเรื่องที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังหุบเขาเทวะร่วงหล่นนั้น ก็ช่างมันเถอะ”
พวกอสูรบ้าคลั่งได้เริ่มโจมตีกำแพงเมืองแล้ว เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่ประตูเมืองแต่เป็นกำแพงเมืองด้วย อสูรบ้าคลั่งบางตัวอาศัยที่ตัวมันใหญ่โตและพละกำลังน่ากลัวเข้าโจมตีกำแพงเมืองโดยตรง ลู่หยางและคนที่เหลือยืนอยู่บนกำแพงเมือง พวกเขารู้สึกได้ว่ากำแพงเมืองสั่นสะเทือนอยู่ภายใต้เท้าของพวกมัน
ลู่หยางขมวดคิ้ว เขาพักไม่ลง
ลู่หยางถามหลอชิงหัวค่อยๆว่า “ในอดีต เมืองเซียงหยางรับมือกับกระแสอสูรยังไงหรือ?เราแค่มองดูอสูรบ้าคลั่งพวกนี้โจมตีประตูเมืองงั้นเหรอ?”
ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่ประตูเมืองที่แข็งแรงก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของอสูรรัายที่ระดับนี้ได้ ไม่เร็วก็ช้า ประตูเมืองต้องแตกแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยางเห็นอสูรร้ายชั้นยอดปะปนอยู่ในฝูงอสูรระลอกนี้ด้วย
จริงๆแล้วอสูรร้ายเหล่านี้แค่พยายามที่จะโจมตีประตูเมือง ทันทีที่พวกมันลงมือจริงๆขึ้นมา ประตูเมืองต้องแตกภายในพริบตาแน่ ถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปแล้วที่จะมาคิดถึงวิธีการตอบโต้
หลอชิงหัวก้มศรีษะใช้ความคิดอยู่ แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “มันมี มันมีอาวุธชนิดหนึ่งในเซียงหยางเรียกว่าคันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิง และลูกศรแห่งเทพเจ้าเพลิง อาวุธทั้งสองนี้สามารถใช้กับอสูรดุร้ายได้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้มีอสูรดุร้ายมากเหลือเกิน”
“ถ้าท่านไม่นำคันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงออกมาตอนนี้ มันจะสายเกินไป!”
ลู่หยางร้องขึ้น หลอชิงหัวก็ตกใจ เขารีบสั่งการให้ลูกน้องของเขานำศาสตราวุธเทวะปกป้องเมืองออกมา
คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงเป็นคันธนูหน้าไม้ที่ใหญ่มหึมา เมื่อใช้คู่กับลูกศรแห่งเทพเจ้าเพลิงแล้ว พลังอำนาจที่ปล่อยออกมานั้นจะมีอานุภาพมากมาย สามารถทลายการป้องกันของอสูรร้ายชั้นยอดได้ แต่ทว่าเป็นเพราะคันธนูใหญ่เกินไป คนๆเดียวควบคุมไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีสามถึงห้าคน ตอนนี้ มีคนอยู่บนหอคอยประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคน ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงประมาณสิบคันซึ่งไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่เมื่อนำมาใช้กับอสูรร้ายนับพันตัว
ถึงจุดนี้ ลู่หยางไม่สนใจอะไรแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าเขาจะต้านทานอสูรร้ายได้อีกไม่นาน เขายังอยากจะลอง ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองเซียงหยางจะสามารถทนดูเมืองเซียงหยางแตกได้จริงๆ ในเมืองเซียงหยางไม่ได้มีเพียงญาติสนิทมิตรสหายของลู่หยางเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวของผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้นด้วย
ในไม่ช้า คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงสิบคันถูกนำมาไว้บนหอคอย และแต่ละคันมุ่งไปที่ฝูงอสูรด้านล่าง
ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนสี่คน คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงยิงลูกธนูเพลิงออกไป ลูกธนูเทวะนี้ลุกเป็นไฟในอากาศ กลายเป็นจรวดพุ่งเข้าใส่อสูรร้ายหนึ่งตัวแล้วลุกลามไปในฝูงอสูรอย่างเร็ว ลูกธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงทุกอันจะฝังตัวอักขระพิเศษไว้ซึ่งพลังของตัวอักขระนั้นจะระเบิดออกทันทีที่ลูกธนูถูกยิงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น เปลวเพลิงนั้นไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดาๆ ซึ่งแม้แต่อสูรร้ายยังกลัวทันทีที่มันลุกติดไฟ ก็ยากที่จะดับลงได้
หลังจากสู้กันได้หนึ่งยก ในที่สุด อสูรร้ายที่หน้าประตูเมืองก็ถูกกำจัดหมดไป อย่างไรก็ตาม ในกองทัพอสูรนี้ มีอสูรดุร้ายมากเกินไป ตัวหนึ่งล้มลง อีกตัวรีบเข้ามาแทนที่ ลู่หยางและคนอื่นๆวุ่นอยู่กับการพิฆาตเหล่าอสูรร้าย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์
ประตูเมืองที่แข็งแกร่งเริ่มจะพังทลายลง แม้แต่กำแพงเมืองใต้เท้าที่พวกเขาเหยียบอยู่เริ่มมีรอยแตกจากการพุงเข้าชนของอสูร ลู่หยางรับมือไม่ไหวแล้ว
เมื่อเห็นว่าประตูเมืองใกล้จะแตกแล้ว ลู่หยางกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเมืองเหมือนกับว่าจะกระโดดลงมาแล้วใช้ทั้งร่างกายของเขาสู้กับกองทัพอสูรร้ายด้วยชีวิต เขาต้องการพลีชีพ
ขณะที่ลู่หยางกำลังจะกระโดดนั้นเอง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับเข้าที่หัวไหล่เขาไว้ทัน เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังเขาว่า “น้องชาย คิดให้รอบคอบเสียก่อนนะ ยังมีญาติพี่น้องรอให้เราปกป้องอยู่ในเมืองเซียงหยางนะ ถ้าเจ้าโดดลงไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้กลับขึ้นมาอีก”
ลู่หยางรีบหันกลับไปมองทันทีแล้วเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า เขาตกตะลึงแล้วก็ตะโกนเรียกชื่อ “ท่านพี่ซุนวู….”
ซุนวูหัวเราะ “ถ้าข้ามาไม่ทัน เจ้าคงจะกระโดดลงไปแล้ว เจ้าไม่เคยคิดเลยเหรอว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่?”
ด้านหลังซุนวูมีเด็กหนุ่มรุ่นๆกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนยู่ในเมืองเซียงหยาง พวกเขาไม่ได้มีอำนาจหรือครอบครัวที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากับซุนวูแน่นแฟ้นมากทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าซุนวูแม้จะเป็นขุนนางตัวเล็กๆเทียบไม่ได้กับพวกคนมั่งคั่งของรุ่นที่สอง แต่เขามีอำนาจในหมู่สามัญชนเหล่านี้ เพียงแค่เขากวักมือ เหล่าผู้กล้าวัยเยาว์ก็ขึ้นมาช่วยเขาบนหอคอย อันที่จริง ผู้กล้าวัยเยาว์กลุ่มนั้นมีมากกว่าสามร้อยคน
SB:ตอนที่ 63 หอคอยเมืองพังทลาย
“นำเกาทัณฑ์เทพเพลิงมาให้ข้าอีกรอบ!” ลู่หยางตะโกน
ก่อนหน้านี้พวกเขามีคนไม่พอจึงใช้ได้เพียงแค่เกาทัณฑ์เทพเพลิงสิบคัน แต่บัดนี้เขามีคนมากพอแล้ว หากมีเกาทัณฑ์เพียงพอ สัตว์อสูรด้านล่างจะไม่น่ากลัวเลย
“เจ้ายังมีเกาทัณฑ์เทพเพลิงอีกหรือไม่?” ซุนวูยิ้มและถามหลอชิงหัว
“มีๆ ข้ามี!” หลอชิงหัวตอบรับทันทีกลัวว่าหากตอบรับช้า ซุนวูจะไม่พอใจ
เย่ ซิเฉินส่งคนไปนำเกาทัณฑ์เทวะเพลิงออกจากคลังแสงในเมือง มันมีทั้งหมดสามสิบสองคัน แม้มันจะไม่เพียงพอต่อทุกคน แต่เมื่อพวกเขายิงพร้อมกันทั้งหมด มันจะลุกเป็นทะเลเพลิง
ซุนวูหัวเราะ เขาไม่เคยใช้เจ้านี่มาก่อน เขาจึงรีบขึ้นไปประจำที่เหนี่ยวสายและง้างสายเกาทัณฑ์ด้วยมือเดียว เกาทัณฑ์ที่พวกมันต้องใช้คนสี่คนในการง้างสาย ถูกซุนวูทำได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ศรเกาทัณฑ์พุ่งแหวกอากาศด้วยเสียง ซู่ว เพลิงแผดเผาอย่างรุนแรง เกาทัณฑ์นี่ถูกสร้างมาด้วยวัสดุแหลมคมสำหรับต่อกรกับอสูร แม้จะพุ่งทะลุอสูรตัวแรกมันก็ยังไม่หยุด มันพุ่งทะลุอสูรอีกสองตน อสูรสามตนถูกศรแทงทะลุติดกัน มันช่างเป็นภาพที่สวยงาม
“นี่หรือพลังของพี่ใหญ่ซุนวู พลังของศรนี้มันราวกับป้อมปราการเลย!” ลู่หยางหัวเราะและกล่าว ใจของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณต่อสู้
เมื่อเห็นซุนวูปลดปล่อยพลังเทวะของเขาแล้ว ลู่หยางคันไม้คันมือ เขาอยากจะรู้ว่าเขาจะยิงเกาทัณฑ์ได้ทรงพลังแค่ไหน ด้วยพลังสี่หมื่นจินของเขา
“น้องชาย ลุกออกมา ให้ข้าลองพลังของเกาทัณฑ์เทพเพลิงนี่หน่อย!” ลู่หยางหัวเราะและดึงเกาทัณฑ์มาจากมือของศิษย์ตระกูลหลอ
“น้องชาย เจ้าลองมันด้วยสิ มาดูกันว่าพวกเราใครมีพลังมากสุด!”
ลู่หยางนำเกาทัณฑ์เทพเพลิงจากมือของชายคนหนึ่ง เขาลองเหนี่ยวสายเกาทัณฑ์และพบว่ามันแข็งแรงยิ่งกว่าเอ็นวัวเสียอีก
“น้องชาย สายธนูนี่ไม่ได้ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป ไม่งั้นทำไมมันถึงต้องใช้ผู้ฝึกอสูรสามถึงห้าคนในการง้างสายหล่ะ?”
“อสรพิษหลินเพลิง ข้าเข้าใจแล้ว สายธนูนี่ทำมาจากเอ็นของอสรพิษหลินเพลิงใช่มั้ย?” ยิ่งลู่หยางมองดูมัน เขายิ่งรู้สึกว่าต้องใช่แน่ๆ
มีเพียงเอ็นของอสรพิษหลินเพลิงที่จะให้ความรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส มันแข็งแรงกว่าเอ็นวัวธรรมดาร้อยเท่า ไม่แปลกที่มันต้องใช้ผู้ฝึกอสูรสามถึงห้าคนในการง้างสาย และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะง้างสายจนเป็นรูปจันทร์เต็มดวงเช่นซุนวู
“น้องชาย หายใจลึกๆ รวบรวมพลังดีดีและลองอีกครั้ง บางทีเจ้าจะทำจันทร์เต็มดวงได้” ซุนวูกล่าวด้วยประสบการณ์เขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้เกาทัณฑ์นี่ ขณะพูดซุนวูง้างสายจนเป็นจันทร์เต็มดวงอีกรอบนึง
“ข้าต้องทำได้แน่” ลู่หยางกล่าว เขารวบรวมพลังไว้ที่ฝ่ามือ และเขาปลดปล่อยกำลังสี่หมื่นจินออกมาทั้งหมด เอ็นอสรพิษหลินเพลิงไม่อาจทนพลังลู่หยางได้จนง้างออกเป็นรูปจันทร์เต็มดวง “ตู้ม” ศรเทพเพลิงพุ่งไปในกลุ่มสัตว์อสูร ศรเหล็กกล้าพุ่งทะลุอสูรสามตัวและจุดเพลิงขึ้น อสูรทั้งหมดในทางผ่านลุกเป็นไฟ
“เกิดอะไรขึ้น น้องชาย เจ้าทำได้อย่างไร?”
คำตอบก็คือเพลิงสีชาดอย่างแน่นอน
วินาทีที่ศรเทพเพลิงถูกปล่อยออก เพลิงสีชาดปะทุขึ้นจากฝ่ามือลู่หยาง เขาผสานพลังของทั้งสองอย่างง่ายดาย ทำให้พลังของศรเทพเพลิงทวีคูณสอง ณ ตอนนี้แม้ซุนวูก็ไม่อาจยิงศรที่ทรงพลังได้เช่นนี้
ลู่หยางหัวเราะอย่างซุกซนขณะที่เขาสัมผัสเพลิงสีชาดในมือและกล่าว “พี่ใหญ่ซุนวู เพราะนี่ไงล่ะ!”
เขาโยนลูกเพลิงสีชาดลงไปในกลุ่มอสูร สร้างทะเลเพลิงขึ้นมา ซุนวูมองดูอย่างโง่งม ชัดเจนว่ามันเป็นทักษะติดตัวของสัตว์เลี้ยงอสูร แต่มันปรากฏขึ้นบนมือของลู่หยางอย่างไม่น่าเชื่อ
“เจ้าน้องคนนี้ หรือว่าพรสวรรค์โดยกำเนิดของเขาจะสูงกว่าของข้ากันแน่? หรือข้าควรพูดว่า…” ซุนวูคาดเดาในใจ เขาไม่อาจทำใจเชื่อว่ามันเป็นความสามารถที่ผู้ฝึกอสูรชั้นกลางจะมีได้ เมื่อมองไปที่ลู่หยางเขามีความแปลกประหลาดในแววตา
ราชสีห์ขนทองหกเนตรยืนอยู่บนเขาและมองศรเทพเพลิงที่แผดเผากองทัพอสูร และขมวดคิ้ว เขากล่าวอย่างไม่พอใจ “พวกเฒ่านั่นยังไม่ทันลงมือเลย กระนั้นพวกมันยังไม่อาจบุกฝ่าประตูเมืองได้รึ?” ดูเหมือนข้าประเมินพวกเด็กน้อยนี่ต่ำไปหน่อย”
“งั้นเจ้าลงมือเอง อย่าลืมที่เจ้าพูดล่ะ”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะขึ้น “ข้าจะลืมได้ไงล่ะ หากข้าบอกว่าประตูเมืองต้องพัง มันก็จะพัง แม้พวกเฒ่านั้นจะลงมือก็ตาม!” ท่ามกลางหกเนตรบนหน้าผากของราชสีห์ หนึ่งในนั้นแวววาวด้วยแสงประหลาดและมันเปิดออก ลำแสงทองพุ่งขึ้นฟ้าไปที่หอคอยเมืองเซียงหยาง
ลู่หยางและพรรคพวกกำลังดื่มด่ำกับการฆ่าฟัน เมื่อพวกเขาเห็นลำแสงสีทอง พวกเขาตกตะลึง “แย่แล้ว นี่มันอะไรกัน”
ยิ่งกว่านั้นมันเล็งไปที่หอคอยประตูเมือง
“ไม่ดีแล้วพี่ซุนวู ทุกคนหนีไปเร็ว!” ลู่หยางตะโกน เขาไม่สนคนอื่นอีกต่อไปเขาดึงซุนวูและโดดลงไปจากหอคอย
เขาควบคุมพวกศิษย์ตระกูลหลอไม่ได้ ร่างทั้งสองของเขาอยู่กลางอากาศขณะที่ลู่หยางเปิดระฆังทองคำอมตะขึ้น ก่อนที่ลำแสงสีทองจะมาถึง เขาร่อนลงที่พื้นอย่างมั่นคง
มีเสียงดังกึกก้องขึ้น ลู่หยางยังไม่ทันยืนหยัดอย่างดี ขณะที่ลมแรงมหาศาลพัดเขาทั้งสอง แต่พวกเขาได้ระฆังทองคำอมตะป้องกันไว้ ทว่า มันไม่อาจป้องกันผลกระทบได้อย่างสิ้นเชิง แรงปะทะเบาบางปะทะเข้าที่หลังพวกเขา พวกเขากระเด็นไปร้อยเมตร ลู่หยางคลานออกมาจากกองฝุ่น มองไปที่ระฆัง เขาอดตกตะลึงไม่ได้
“สวรรค์!” มันแรงถึงขนาดนั้น แม้ระฆังทองคำอมตะก็เกือบจะพังไปแล้ว
เขาปัดฝุ่นที่หน้าอก เขารู้สึกเจ็บ หน้าอกเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด
“พี่ซุนวูหายไปไหน? พี่อยู่ไหน พี่ซุนวู” เขาไม่เห็นร่องรอยซุนวู เขาจึงตะโกนขึ้น
เมื่อเขาทั้งสองได้ระฆังปกป้อง พวกเขาเน่าจะกระเด็นมาด้วยกัน เขารู้สึกแปลกที่ไม่เห็นซุนวู
“ข้าอยู่นี่!” เสียงอ่อนแรงดังขึ้นใต้เท้า
ลู่หยางมองลงไปและเห็นมือยื่นขึ้นมา เขาถูกฝังลงไปใต้พื้นดิน ลู่หยางรีบคว้าไปที่มือนั้นและดึงเขาขึ้นมา
ซุนวูเมื่อขึ้นมาเขาไออย่างต่อเนื่อง มันมีรอยเลือดที่ฝ่ามือของซุนวู ลู่หยางตกใจ “พี่ซุนวู ท่านเป็นอะไร”
“ข้าไม่เป็นไร ไปดูหอคอยประตูเมืองเร็ว!”
ลู่หยางมองไปจึงพบว่า หอคอยประตูเมืองได้กลายเป็นซากปรักหักพังแล้ว
“พวกเขา…” เขาไม่เห็นผู้รอดชีวิตสักคน เขาพูดไม่ออก ก่อนหน้าพวกเขารวมตัวกันถกกันว่าจะปกป้องประตูเมืองอย่างไรดี
แต่บัดนี้หอคอยประตูเมืองถูกทำลาย ทุกคนตายกันหมด ขนาดลู่หยางที่มีระฆังทองคำป้องกันยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด พวกเขาที่ไม่มีระฆังปกป้องคงไม่อาจรอดชีวิตได้ เมื่อคิดได้ดังนี้ลู่หยางเจ็บปวดหัวใจ
“นั่นสามร้อยกว่าคนเลยนะ…” ลู่หยางพึมพำ
เมื่อปราศจากประตูเมืองขวางกั้น กองทัพอสูรผ่านข้ามซากปรักหักพังเข้ามา ไม่มีใครกล้าขวางพวกมัน
“ข้าปล่อยให้เลือดพวกพ้องข้าเสียเปล่าไม่ได้” ลู่หยางเรียกอสูรของเขาออกมาและตรงไปที่สนามรบ
ทว่า มีมือใหญ่คว้าไหล่เขาไว้ดึงเขากลับมา
เสียงของซุนวูดังขึ้น “น้องชาย เจ้าควรพาข้าไปที่พรรคเพื่อดูอาการข้าก่อน เจ้าควรปล่อยที่นี่ให้พวกเขาจัดการ”
“พวกเขา?” ลู่หยางถามอย่างงุนงง นอกจากพวกเขาทั้งสองยังมีใครอีกล่ะ?
“เดี๋ยว บางอย่างไม่ถูกต้อง….” ซุนวูกล่าว แววตาเขาไม่เหมือนคนพูดปดแม้แต่น้อย ในแววตาเขาปรากฏความมั่นใจขึ้นมา
เขากล่าว “น้องชายอย่าคิดมากเลย พวกเขาไม่ได้สละชีวิตทั้งหมด และตอนนี้ผู้ครองแคว้นรับรู้เรื่องแล้ว เราไม่ต้องห่วงอะไร พวกเรากลับกันเถอะ”
ซุนวูฝืนลุกขึ้นและพิงไปที่ลู่หยาง ขณะที่เดินไปที่บ้านตระกูลซุน ขณะที่พวกเขากำลังจะไป เสียงดังขึ้นจากซากปรักหักพังด้านหลังเขา มีอสูรคลานออกมาจากในนั้น
ทว่า อสูรนี้ไม่ได้มาจากหุบเขาเทวะร่วงหล่น แต่เป็นสัตว์อสูรที่ถูกฝึก ปรากฏว่าเมื่อลำแสงสีทองนั่นมาถึง พวกเขาที่ไม่ไวพออย่างลู่หยาง ทำได้แค่เรียกอสูรออกมาปกป้อง ลำแสงนั่นมันเล็งไปที่ทิศทางของลู่หยาง พวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบที่หนักหน่วงเช่นลู่หยางและรอดมาได้
SB:ตอนที่ 64 ระบบคะแนน
แม้ว่าลู่หยางและกลุ่มของเขาจากไปแล้วผู้ฝึกอสูรจำนวนมากที่ควบคุมสัตว์ร้ายยังคงปรากฏตัวจากซากปรักหักพัง เมื่อสัตว์ดุร้ายรีบเข้ามาในเมืองเซียงหยางผู้ฝึกอสูรเหล่านี้ก็เรียกสัตว์เลี้ยงสงครามของพวกเขาเองออกมา พวกเขาใช้ร่างของพวกเขาและสัตว์อสูรในการหยุดพวกสัตว์อสูรนอกเมือง
เมื่อลู่หยางและซุนวูมาถึงตระกูล มาคนนำสารจากผู้ครองแคว้นมาถึง
“ตระกูลซุนจงฟัง! ท่านผู้ครองเมืองสั่งให้ทุกครอบครัวที่เมืองเซียงหยางต้องจัดศิษย์รุ่นเยาว์เพื่อเข้าสู่สนามรบ คราวนี้สนามรบแตกต่างออกไป มันเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของเมืองเซียงหยางข้าหวังว่าผู้นำตระกูลซุน จะเข้าใจ “
ผู้นำซุนตบบนโต๊ะตรงหน้าและพูดว่า “ฮึแม้ว่าจะไม่มีคำสั่งของผู้ครองแคว้นตระกูลซุนจะไม่ล่าถอย! นี่คือสงครามของเมืองเซียงหยางและแน่นอนว่านี่เป็นสงครามของข้าด้วย! “
คนส่งสารยิ้มและกล่าวว่า: “ดีมากสำหรับผู้นำซุนที่มีความตระหนักเช่นนี้ผู้ครองแคว้นจะมีความสุขอย่างแน่นอน นอกเหนือจากนั้นเพื่อส่งเสริมให้ศิษย์รุ่นเยาว์มีส่วนร่วมมากขึ้นในสนามรบคฤหาสน์ของท่านผู้นำแคว้นได้ออกแบบระบบเป็นพิเศษ “
“ระบบอะไร” ลู่หยางไม่เข้าใจ
“ผู้ครองเมืองกล่าวว่าการต่อสู้ครั้งนี้กับสัตว์ดุร้ายไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบของเมืองเซียงหยางเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบที่ไม่ได้เจอบ่อยๆ”
ด้วยเหตุนี้ท่านผู้ครองแคว้นหวังจึงจัดตั้งระบบการให้คะแนน ในสงครามสัตว์ร้ายครั้งนี้หากมีใครล่าสัตว์วิญญาณพวกเขาจะได้รับคะแนนที่สอดคล้องกัน ด้วยอสูรชั้นต้นทุกตัวที่ฆ่าได้ จะได้คะแนนจำนวนหนึ่ง ระดับกลางจะเพิ่มเป็นสิบเท่า ถ้ามันเป็นสัตว์ชั้นต้นสายเลือดชั้นยอด คะแนนจะเพิ่มสิบเท่าเช่นกัน
สำหรับชั้นจักรพรรดิ์และสูงกว่านั้น นั่นมันเป็นระดับที่แตกต่างออกไป ดังนั้นผู้ครองเมืองไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับประเด็นที่สัตว์ร้ายระดับสูงนี้ แต่มันจะแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรชั้นกลางเป็นร้อยเท่า
สัตว์ร้ายระดับนี้ไม่เพียง แต่หายากในเมืองเซียงหยาง แม้ในสถานที่เช่นหุบเขาเทวะร่วงหล่นก็มีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น มิฉะนั้นเมืองเซียงหยางจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตจากการถูกโจมตีจากสัตว์ร้ายระดับสูงจำนวนมาก
“เกี่ยวกับการคำนวณคะแนนคุณทุกคนควรมีความชัดเจนในตอนนี้” จุดประสงค์ของผู้ครองเมืองที่ส่งฉันไปคือส่งต่อระบบคะแนนไปยังตระกูลใหญ่ ๆ หลังจากการบุกของสัตว์ร้ายสิ้นสุดลงผู้ครองแคว้นจะนำคะแนนทั้งหมดออกมาคิดจากนั้นตามคะแนนที่มีอยู่พวกเขาจะหารือเกี่ยวกับผลตอบแทน “ผู้ส่งสารกล่าวอย่างดัง
“จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเราคนหนึ่งฆ่าสัตว์ร้ายระดับสูง? คุณจะได้รับคะแนนเท่าไหร่ผู้ครองเมืองไม่พูดถึงสิ่งใดเลยจริง ๆ หรือไม่ “
ทูตส่ายหัวของเขาและกล่าวว่า: “เกี่ยวกับประเด็นนี้มันเป็นความจริงที่ผู้นำเมือง ไม่ได้กล่าวถึง อย่างไรก็ตามแม้ว่าท่านผู้นำไม่ได้บอกว่าสัตว์ร้ายระดับสูงจะได้คะแนนเท่าใดท่านบอกว่าใครก็ตามที่สามารถฆ่าอสูรระดับสูงจะมีบันทึกพิเศษ “เมื่อพูดถึงการให้รางวัลสิ่งเหล่านี้จะถูกนับเป็นการกระทำที่สมควรได้รับ ข้าไม่ปล่อยให้พวกเจ้าฆ่ามันโดยไม่ได้อะไร “
“นั่นคือสิ่งที่เป็น … ” ซุนวูพูดราวกับว่าเขาเข้าใจบางสิ่ง
“นี่มันบ้าอะไรกัน!” ลู่หยางตะโกนเสียงดังอย่างกระทันหัน
“ทำไมพึ่งมาสร้างระบบเอาตอนนี้เช่นนี้พี่ใหญ่ซุนวู! “ ถ้าเป็นแบบนี้ เมื่อตอนเราฆ่าอสูรที่ประตูเมืองไปตั้งมากมาย เราก็ไม่ได้สักคะแนนเลยสิ!”
ซุนวูตกใจและพูดเบา ๆ : “ดูเหมือนว่า … “น้องชายสิ่งที่เจ้าพูดมีเหตุผล … “
เฒ่าซุนหน้านิ่วคิ้วขมวดและพูดอย่างไม่มีความสุขว่า “ถูกต้อง มันไม่ยุติธรรมต่อพวกเรา ที่ปกป้องประตูเมืองหรือเปล่า? ท่านผู้นำไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เลย? “
ฮ่าฮ่าท่านหัวหน้าตระกูลซุนท่านผู้นำนี้ได้คิดเรื่องนี้มานานแล้ว ทุกคนไม่ต้องกังวลว่าการทำงานหนักของคุณจะไร้ประโยชน์ “
จากที่กล่าวมาทูตได้หยิบกระเป๋าเก็บของออกมา มันคล้ายคลึงกับกระเป๋าสวรรค์ปฐพีของลู่หยาง มีที่ว่างภายในแต่ละอัน มันเป็นเพียงพื้นที่ภายในถุงเก็บข้อมูลปกติและอาจไม่ใหญ่เท่ากับลูกบาศก์เมตร นอกจากนี้ถุงเก็บแบบนี้มีค่าอย่างยิ่งและมีเพียงขุนนางเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้ หากไม่มีสถานะและตัวตนที่แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมี
ทูตคุ้ยผ่านถุงเก็บของและในที่สุดก็หยิบเหรียญเงินสองใบออกมา
จากนั้นเขาบอกกับลู่หยางและซุนวูและพูดว่า: “เอานี่เจ้าสองคน เดิมทีแล้วผู้นำไม่ได้ต้องการใช้เจ้านี่ แต่บัดนี้ท่านผู้นำไม่มีทางเลือกนอกเสียจากให้มันแก่พวกเจ้าล่วงหน้า “
“ข้อมูลประจำตัวของเจ้าแต่ละอย่างจะแสดงขึ้นมา มันมีระบบพิเศษที่จะบันทึกสัตว์อสูรทุกตัวที่พวกเจ้าฆ่า ยิ่งกว่านั้น ท่านผู้นำได้เปิดใช้งานมันตั้งแต่แรกที่ฝูงอสูรบุกแล้ว ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้สัตว์อสูรทุกตัวที่เจ้าฆ่าได้ถูกบันทึกและคำนวณเป็นคะแนน “
ข้าไม่คิดว่ามันจะมีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีของโลกนี้จะไม่สามารถประเมินค่าต่ำไปได้! ” ลู่หยางถอนหายใจขณะที่เขาได้รับป้ายคำสั่งจากผู้แทน
“เร็วเข้าใส่พลังของเจ้าลงไปและเปิดใช้งาน จากนั้นเจ้าจะเห็นข้อมูลและคะแนนที่เจ้าได้รับ” ผู้แทนเร่งเร้าอย่างเร่งรีบ
เมื่อทูตเห็นแสงไฟจากเหรียญสีเงินเขามองอย่างสงสัยและถามว่า “ดูสิว่าพวกเจ้าสองคนกังวลแค่ไหนในตอนนี้ ตอนนี้เจ้ามีเหรียญนี่แล้วทำไมไม่ลองดูเลย “
ลู่หยางและซุนวูเล่นกับตราสัญลักษณ์ในมือของพวกเขาอยู่พักหนึ่งจากนั้นด้วยการแสดงออกที่น่าตะลึงพวกเขามอบป้ายคำสั่งให้กับนักการทูตและถามอย่างอาย: “ขอโทษนะเจ้าช่วยสาธิตให้ดูทีว่าสิ่งนี้ใช้อย่างไร? พวกข้า “ยังไม่ทราบวิธีตรวจสอบคะแนน … “
“นี่มัน” ทูตลังเล เขาเองก็ไม่คุ้นเคยกับสิ่งนี้เหมือนกัน
เช่นเดียวกับ ลู่หยาง เขาเล่นกับตราสัญลักษณ์ในมืออย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน ในท้ายที่สุดเขาจำได้ว่าผู้ครองเมืองได้กล่าวถึงการใช้สิ่งนี้มาก่อน เขารีบเอามันแนบปากแล้วพูดว่า “ตรวจสอบคะแนน … “
ในขณะที่เสียงผ่านเข้าไป ในที่สุดแสงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของแผ่นเหรียญ มันราบรื่นเหมือนกระจกจากนั้น ลู่หยาง และคนอื่น ๆ ก็เห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ พื้นผิวของตรากลายเป็นเหมือนหน้าจอสมาร์ทโฟนจากชีวิตที่ผ่านมาของเขา ภาพเสียงและวิดีโอปรากฏบนหน้าจอพร้อมกับชุดข้อมูล ภาพเสียงเป็นข้อมูลเกี่ยวกับลู่หยางทั้งหมดและตัวเลขแสดงให้เห็นคะแนนเขา
ผู้ส่งสารเพิ่งเปิดใช้งานของลู่หยาง จากนั้นเขาเปิดใช้งานของซุนวู
“โอ้ ไม่เลว ฝูงอสูรบุกพึ่งจะเริิ่มขึ้น ข้าไม่คิดว่านายน้อยซุนจะได้รับเกือบจะร้อยคะแนนแล้ว” ทูตประจบประแจงเขา
ซุนวูหัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “ถูกต้องข้าบังเอิญอยู่ในสนามรบพอดี ข้าเห็นนกแปลก ๆ ลงมาจากท้องฟ้าและหลังจากนั้นข้าก็ฆ่าสัตว์ดุร้ายไปบ้าง! ไม่ต้องพูดถึงตอนที่พวกข้าเฝ้าหอคอยหอคอย “
“มันคุ้มค่า แล้ว พี่ซุนวูยอดเยี่ยมเหลือเกิน!” ลู่หยางกล่าวทันที
จากนั้นเขาหันไปมองตราสัญลักษณ์ของลู่หยางตบไหล่ของลู่หยางและกล่าวว่า: “ทว่า น้องชายข้าอยู่ที่ประตูเมืองนานกว่าข้า ข้าเชื่อว่าคะแนนของน้องข้าต้องยอดเยี่ยมมากใช่มั้ยละ?”
ลู่หยางก้มหัวลงและหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยและตราสัญลักษณ์ในมือของเขาก็ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆบนหน้าจอด้านหน้าของทั้งสอง เขาพูดเบา ๆ “เป็นไปได้หรือ เขาควรจะมีพลังมากกว่าพี่ใหญ่ซุนวูเล็กน้อย “
“หนึ่งพัน…” อะไรนะ! เจ้าเอาคะแนนมากมายมาจากไหน! “เมื่อทูตเห็น เขาตกตะลึง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“นั่นมันเท่าไหร่หน่ะ?!”
ขอข้าดูหน่อย! ซุนวูไม่กล้าเชื่อเลยเขาหยิบตราสัญลักษณ์จากมือของทูตและเริ่มนับตัวเลขอย่างระมัดระวัง
“1672 คะแนน! โอ้ พระเจ้า! น้องชาย พ่อแม่เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ามีคะแนนมากมายขนาดนี้ “
เมื่อถูกจ้องมองด้วยสายตาแปลก ๆ ของทั้งสองลู่หยางก็รู้สึกเขินอายเช่นกัน เขาทำได้แค่เกาหัวแล้วพูดว่า: “จริง ๆ แล้วข้าเริ่มฆ่าสัตว์จากช่วงเวลาที่มีนกแปลก ๆ บุกเข้ามา
แม้ว่าลู่หยางพูดเหมือนง่าย แต่มันอันตรายมาก เขาคนเดียวสู้กับกองทัพอสูรนับร้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอสูรชั้นกลางอีกด้วย นอกจากนี้หลังจากที่ซุนวูเข้ามาลู่หยางก็ฆ่าสัตว์ดุร้ายมากมายเช่นกัน
เฉพาะในเวลานั้นลู่หยางไม่มีความคิดอื่น ๆ เขาเพียงคิดว่าจะทนต่อการโจมตีของสัตว์ดุร้ายและปกป้องประตูเมืองเซียงหยาง ถ้าไม่ใช่ข้อมูลบันทึกของท่านผู้นำลู่หยางไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาฆ่าสัตว์จำนวนมาก
“ข้ารู้ แต่ข้าไม่คิดว่าข้าจะฆ่าไปมากมายเช่นนี้ มากกว่าหนึ่งพันตัว… “
เลขนี้มันเท่ากับฝูงอสูรทั้งฝูง หากเป็นเช่นนั้นด้วยความแข็งแกร่งของลู่หยางเพียงคนเดียวเขาก็กำจัดสัตว์ดุร้ายที่บุกรุกเข้ามาเกือบครึ่งแล้ว แน่นอนว่าเราต้องกำจัดนกที่แปลกประหลาดสองสามตัวแรกออกไป
“เจ้าเด็กนี่ … ” “ช่างเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ!” ซุนวูพูดเบา ๆ ขณะที่หัวใจเขาแตกสลาย
ทูตกล่าวลาและกำลังกลับ ก่อนออกเดินทางเขาพูดกับผู้นำซุน: “จริงสิ ผู้นำซุน ครั้งนี้ข้านำเหรียญของซุนวูและลู่หยางมาให้ แต่ สำหรับคนอื่นๆข้าคงต้องให้พวกท่านไปที่คฤหาสน์ผู้นำ ผู้นำกล่าวว่า ผู้นำตระกูลต้องมารับเหรียญด้วยตนเอง ข้าไม่อาจนำมาให้ท่านได้ “
ผู้นำซุนเห็นด้วยและติดตามผู้แทนไปยังคฤหาสน์ของผู้นำเมือง เมื่อเขาผ่านลู่หยางไป เขามองลู่หยางแปลกๆ
ลู่หยางผายมือ “ทำไมเขาต้องให้พวกที่เหลือไปที่คฤหาสน์ท่านผู้นำด้วยนะ”
SB:ตอนที่ 65 จุดเริ่มต้นของสงคราม
“มันต้องเป็นเพราะเฒ่าหลอหยุนชานแน่!”
มิเช่นนั้นลู่หยางก็จะยังไม่เป็นที่รู้จักในเมืองเซียงหยางแม้ว่าเจ้าเมืองจะมีความสามารถรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา
เขาพักในบ้านตระกูลซุนพร้อมกับซุนวู ยิ่งกว่านั้นเขายังรับกลุ่มของเตี๋ยซู่ในบ้านตระกูลของเขา มิฉะนั้นเขาจะเป็นกังวลจริง ๆ ที่จะทิ้งพวกเขาไว้ในสวนเล็กๆ
หลังจากพวกเขาทุกคนได้รับเหรียญตราแล้วพวกศิษย์ตระกูลซูก็รวมตัวกัน มีบางคนเหมือนลู่หยางที่เดินทางมาจากที่อื่นและไม่มีที่ไป อย่างไรก็ตามเนื่องจากความสัมพันธ์ของพวกเขากับครอบครัวซุนนั้นไม่เลวพวกเขารวมตัวกันที่นี่และได้จัดตั้งพันธมิตรขึ้นชั่วคราว
หลังจากลู่หยางออกจากหอประตูเมืองคลื่นที่สามของสัตว์ร้ายก็ค่อยๆสงบลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตามกำแพงเมืองถูกทำลายและมันยากที่จะซ่อมแซมในระยะเวลาอันสั้น นักรบที่ต่อสู้กับอสูรเลือกที่จะนอนบนกำแพงเมืองที่พังทลายตลอดทั้งคืน
นี่เป็นคืนแรกหลังจากที่สัตว์ร้ายเริ่มขึ้นและเมืองเซียงหยางเงียบสงบเป็นพิเศษ หลังจากฝูงสัตว์ร้ายถูกขับไล่พวกมันไม่ได้โจมตีอีกครั้ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครผ่อนคลายเพราะเหตุนี้
นี่เป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุ หลังจากความเงียบและสงบอาจมีพายุที่รุนแรงกว่า “
เงาของการโจมตีของสัตว์ร้ายวางตัวอยู่เหนือจิตใจของทุกคนทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ และในคืนนั้นไม่มีใครคิดว่ากระแสสัตว์ร้ายที่เพิ่งสงบลงจะระเบิดในคืนอันสงบสุขนี้อีกครั้ง
รวมถึงเหล่าศิษย์ผู้ปกป้องเมืองรวมทั้งสามร้อยคนที่มาสนับสนุน พวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตในคืนนั้น หลังจากถูกซุ่มโจมตีโดยฝูงอสูรร้ายผู้รอดชีวิตเหลือไม่ถึงร้อยคน จากการเริ่มต้นของฝูงอสูรบุก บัดนี้ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม เมืองเซียงหยางเสียไปเกือบหนึ่งพันคนแล้วและหอประตูเมืองก็พังลงในที่สุด
ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้นผู้นำของตระกูลผู้ยิ่งใหญ่หลายคนมารวมตัวกันและมาที่คฤหาสน์ของท่านเจ้าเมืองเพื่อขอคำอธิบาย
ท่านผู้นำพรรคของพวกเราหลายพรรคได้เสียสละศิษย์ไปจำนวนมาก มันยังไม่จบสิ้นอีกหรอ? “ผู้นำตระกูลคนหนึ่งพูดกับผู้นำแคว้น
ผู้ครองเมืองนั่งอยู่ด้านบนสุดของห้องโถงและมองลงมาที่เหล่าผู้นำตระกูลจากเบื้องบนพร้อมกับถามว่า: “ผู้นำตระกูลเฉินท่านหมายถึงอะไร”
“ข้าหวังว่าผู้นำจะนำพวกเราเป็นฝ่ายบุกก่อนบ้าง! ฆ่าสัตว์ร้ายเหล่านั้นทุกตัว! “
“ง่ายๆแค่นั้น!”
ด้วยเสียงคำรามดังราชสีห์คลั่งก็เปิดปากของเขาแล้วตะโกนใส่ผู้เฒ่าตระกูลเฉิน
“พวกเรารู้จักหุบเขาเทวะร่วงหล่นมาก็หลายปีแล้ว เจ้ายังไม่รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของหุบเขาเทวะร่วงหล่นอีกรึ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้ซ่อนหุบเขาเทวะร่วงหล่นอยู่เสมอก็เพราะสำหรับวันนี้! “
หลอหยุนชานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและพบว่าผู้เฒ่าที่อยู่รายล้อมไม่กล้าส่งเสียงดังนั้นเขาจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า: “เจ้าสองคนนั้นในหุบเขาเทวะร่วงหล่นมันกำลังจับตามองพวกเราอยู่ บัดนี้พวกมันมีโอกาส มันต้องการลงมือกับแคว้นเซียงหยางเรา พวกมันไม่เหมือนในอดีตที่พวกมันต้องการต่อสู้ในสงครามยืดเยื้อ “
ยอดฝีมือของเมืองเซียงหยางพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำพูดของหลอหยุนชานพวกเขาทั้งหมดจมลงไปในความคิดลึก ๆ
ทุก ๆ คนในปัจจุบันเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับหุบเขาเทวะร่วงหล่น พวกเขาคิดเสมอว่ามันเป็นตำนานและไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นจริง พวกเขาไม่รู้ว่ามีสิ่งมีชีวิตน่ากลัวเช่นใดในหุบเขานั่น
“ เป็นไปได้ไหมว่ามีสัตว์ร้ายดุร้ายอย่างราชสีห์ขนทองหกเนตรในหุบเขานั่น?”
“ พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นตำนานทั้งนั้น ไม่เพียงราชสีห์ขนทองหกเนตรมีิอยู่จริง แต่พวกมันได้มาในครั้งนี้ด้วย “
หลอหยุนชานรู้ว่าคราวนี้ราชสีห์ขนทองหกเนตรกำลังควบคุมพวกมันจากด้านหลังเพียงเพื่อบังคับพวกชราพวกนี้เพื่อลงมือ นั่นเป็นสาเหตุที่การต่อสู้ที่ยาวนานเช่นนี้เกิดขึ้น ทุกคนต่างก็พึ่งพาศิษย์รุ่นเยาว์เพื่อถ่วงเวลา
แต่ เวลานี้ตระกูลของเราประสบความสูญเสียอย่างหนัก หากผู้นำไม่ลงมือ พวกเราจะทนต่อไม่ไหว “
เมื่อผู้นำเฉินพูดสิ่งนี้หลอหยุนชานและท่านผู้ครองเมืองก็นิ่งเงียบทันที
ทั้งสามตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเซียงหยางรวมถึงผู้คนในคฤหาสน์ของท่านผู้นำแห่งเมืองล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นยอด แต่บุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถรู้สึกถึงการถูกคุกคามโดยราชสีห์ขนทองหกเนตรคือ หลอหยุนชานเพียงผู้เดียว เหตุผลก็คือหลอหยุนชานมีสัตว์เลี้ยงสงครามที่แข็งแกร่งเท่าเทียมกับมัน
“พวกเรายังต้องรอไปก่อน … ” หลอหยุนชานหันมองไปไกลราวกับว่าเขายังคาดหวัง
“ทำไมท่านผู้นำไม่ขอความช่วยเหลือจากลานหมื่นอสูร? โดยปกติแล้วพวกเหล่านั้นจะสะสมพละกำลัง แต่ตอนนี้ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยงแล้วถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องนำมันออกไปใช้
ผู้นำเมืองผงกหัวเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยกับมุมมองของหลอหยุนชาน ข้ายังมีแผนสำหรับเรื่องนี้และได้พูดคุยกับเฒ่าเฟิงที่มีลานหมื่นอสูรแล้ว อย่างไรก็ตามราคาที่พวกเขาต้องการไม่ต่ำและข้าไม่สามารถตกลงได้ในตอนนี้ “
“ไม่จำเป็น! ท่านผู้นำอย่าทำให้มันเป็นเรื่องยาก! “ถ้าท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าจริง ๆ ข้าเฒ่าเฟิงจะยอมรับ!”
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นทันใดนั้น นอกประตูคนหัวล้านเดินเข้ามา แผลเป็นมีดทอดยาวมาจากหน้าผากของเขาไปจนถึงคาง มันช่างน่ากลัวเหลือเกินและใคร ๆ ก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาเป็นบุคคลที่โหดเหี้ยม
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นคนหัวล้านเข้ามาในโถงทุกคนก็จ้องมองเขา โดยไม่คาดคิดไม่มีสักคนเดียวที่กล้าพูดอะไรเพื่อหยุดยั้งเขา แต่พวกเขากลับมีร่องรอยแห่งความกลัว
“เฒ่าเฟิง!”
“ฮ่าฮ่าเฒ่าหลอเจ้าไม่คิดว่าข้าจะกลับมา?”
คนนึงเป็นชายหัวล้านที่น่ากลัว อีกคนเป็นราชสีห์คลั่ง เสียงของพวกเขาฟังเหมือนฟ้าร้อง
ทุกคนมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งสองปะทะกันดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แค่ฟังการตัดสินใจของพวกเขาได้อย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
“เฒ่าเฟิงเจ้าพูดเมื่อนี้ว่าเจ้าเห็นด้วยที่จะลงมือ?”
ใช่แล้ว อย่างไรก็ตามข้าสามารถปฏิเสธค่าตอบแทน แต่ข้ามีเงื่อนไข! ชายศีรษะล้านพูด
“เงื่อนไขอะไรเหรอ?”
“ข้ายังไม่ได้คิดเลย แต่เมื่อเทียบกับข้อเสนอก่อนหน้าของข้า เจ้าต้องได้กำไรอยู่แล้ว!”
ดี ถ้าอย่างนั้นก็ตามนี้! ข้าจะเปิดลานหมื่นอสูรของท่านได้เมื่อไร “เจ้าเมืองหวังตอบตกลงโดยไม่คิดมาก
นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด หากไม่มีความช่วยเหลือจากลานหมื่นอสูรกลุ่มตระกูลใหญ่อาจไม่สามารถยืนหยัดได้
ในเวลานี้นอกเมืองเซียงหยางมีสัตว์ร้ายกว่าพันตัวประจำอยู่ที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้นมีสัตว์ดุร้ายที่วิ่งเข้าหาเมืองเซียงหยางมากยิ่งขึ้น ท่านผู้นำหวังไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะต้องจ่ายราคาแพง เขาไม่ลังเลเลย
เฒ่าหวังทำไมเจ้ารีบร้อนจัง ในเวลานี้พรุ่งนี้ลานหมื่นอสูรจะรวมตัวอสูรหมื่นตน เมื่อถึงเวลาข้าเฟิงหวานจุนจะทำให้ทุกคนประหลาดใจ! “คนหัวล้านเฟิงพูดเสียงดังและไฟก็เริ่มไหม้ในหัวใจของผู้นำเฒ่าคนอื่น ๆ
อย่างไรก็ตามไฟก็ดับลงในไม่ช้า เขาได้ยินเฒ่าเฟิง “แต่พวกเรายังต้องรอจนพรุ่งนี้ สำหรับตอนนี้โปรดอย่าทำให้เรื่องยากสำหรับเฒ่าหวังและเฒ่าหลอ ทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำและรอไปจนถึงพรุ่งนี้ ข้าไม่ต้องการถูกรบกวนโดยกลุ่มสัตว์ดุร้ายเมื่อมีการรวมตัวของสัตว์อสูรหมื่นตนในวันพรุ่งนี้ “
“ลาก่อน!”
เขามาและไปอย่างรีบร้อน เฒ่าเฟิงเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็วมาตลอด อย่างไรก็ตามในเมืองเซียงหยางไม่มีใครกล้าที่จะไม่ให้เกียรติกับคนหัวล้านนี้เพราะพวกเขาทุกคนรู้ว่าหัวล้านนี้มีเบื้องหลังใหญ่โตและแม้แต่ท่านผู้นำหวังก็ต้องไว้หน้าเขา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น … ” กลับกันก่อนเถอะ! “
“เมื่อเรากลับไปเราควรเตรียมและจัดการคนอย่างเหมาะสม ทุกคนควรออกไปต่อสู้กับสัตว์ร้าย! “
เฒ่าเฉินกล่าวออกมา เห็นได้ชัดว่าเขามีหน้ามีตาในกลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้ ตระกูลเล็ก ๆ เหล่านี้ฟังเขาและจากไป
แต่หลอหยุนชานรู้ว่าพวกนี้ไม่ได้มาโดยเจตนา เขาถอนหายใจและพูดว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะทนได้นานกว่านี้สักหน่อย”
ไม่นานหลังจากนั้นนอกเมืองเซียงหยางสัตว์ป่าที่บ้าคลั่งได้เข้าครอบครองหอประตูเมืองและเริ่มต่อสู้กับพวกสามัญชนที่ชายขอบ ผู้พลัดหลงบางคนดิ้นรนต่อสู้ เมื่อมีคนถูกฆ่าตายมากขึ้นกองกำลังของตระกูลก็มาถึงในที่สุด
คนที่นำพวกเขาไม่ใช่ศิษย์แต่เป็นหัวหน้าพรรคเล็ก ๆ
ตระกูลซุนและตระกูลเฉินถือได้ว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดภายในกลุ่มเล็ก ๆ เหล่านี้ แม้ผู้นำของทั้งสองตระกูลยังไปสนามรบด้วยตนเอง ผู้นำของพรรคอื่นจึงตามไป
“สัตว์ร้ายพวกนี้ จงให้พวกมันเป็นรับรู้ถึงพลังของเรา!”
ผู้เฒ่าแห่งตระกูลเฉินเรียกสัตว์ดุร้ายทั้งสี่ของเขาทันทีและรีบไปหาสัตว์ร้ายที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งสี่เป็นอสูรชั้นยอดระดับกลาง สัตว์ดุร้ายที่อยู่ตรงหน้าไม่สามารถต้านทานได้เลย
แนวป้องกันที่เกือบจะพังถูกฟื้นฟูขึ้นโดยผู้นำทันทีและเหล่าอสูรเริ่มล่าถอยไปเรื่อยๆ
ท่านผู้นำอยู่ที่นี่! ทุกคนบุกเข้าไป! “
“กำจัดสัตว์พวกนี้และฆ่าพวกมันทั้งหมด!”
เสียงตะโกนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และจิตวิญญาณการต่อสู้ของเหล่าศิษย์ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ กองทัพของสัตว์ดุร้ายในที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป จำนวนคนลดลงอย่างต่อเนื่องและพวกเขาถูกบังคับให้ออกจากเขตปกครองเซียงหยางโดยเหล่าผู้นำ
“ดีมาก ในที่สุดผู้นำตระกูลพวกนี้ก็ลงมือ”
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองเซียงหยางนั้นถูกมองเห็นโดยราชสีห์ขนทองหกเนตร คนอื่นมีเพียงสองตาเท่านั้น แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรนั้นมีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และมีหกตา แม้ว่ามันจะไม่เคยออกจากหุบเขามาก่อนแต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองเซียงหยางไม่สามารถรอดพ้นจากดวงตาทั้งหกมันได้
“ถึงเวลาโจมตีเมืองเซียงหยางอย่างเป็นทางการแล้ว”
มีสัตว์หลายพันตัวที่อยู่ข้างหลังเขาทุกตัวกำลังรอราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดประโยคนี้ เมื่อราชสีห์ขนทองหกเนตรเปิดปากหุบเขาครึ่งหนึ่งสั่นไหว
คลื่นทั้งสี่ก่อนหน้านี้ของสัตว์อสูรนั้นได้ส่งพวกมันไปเป็นจำนวนมากแล้ว อย่างไรก็ตามมันเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนการต่อสู้ สำหรับหุบเขาเทวะร่วงหล่น สัตว์อสูรเพียงแค่นั้นถือว่าไม่เท่าไหร่
ในขณะนี้นี่คือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการต่อสู้
สัตว์ดุร้ายหลายพันตัวบินโฉบลงมาจากหุบเขาเทวะร่วงหล่น พวกมันทั้งหมดเป็นอสูรชั้นยอดและอย่างน้อยก็ระดับกลาง
เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ดุร้ายจากก่อนหน้านี้นี่คือพลังที่แท้จริงของหุบเขาเทวะร่วงหล่น พลังที่ราชสีห์ขนทองหกเนตรเคยใช้ขยี้แคว้นเซียงหยาง
SB:ตอนที่ 66 ความลับของผืนดิน
ลู่หยางพักที่ตระกูลซุนคืนนั้น และเมื่อเขาตื่นขึ้นมามันก็เป็นตอนเที่ยงแล้ว เมื่อมองไปที่ลานว่างเปล่าลู่หยางก็ตระหนักว่าผู้คนจากตระกูลซุนได้จากไปนานแล้ว พวกเขาไปต่อสู้กับสัตว์ดุร้ายโดยไม่จำเป็นต้องคาดเดาแม้แต่น้อย
ซุนวูคนนี้จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เรียกข้าเลยเมื่อเขาไปที่นั่น ตอนนี้ลู่หยางเท่านั้นที่รู้ว่าก่อนที่ซุนวูจะจากไปเขาก็ทิ้งโน้ตไว้ มันถูกเขียนลงบนกระดาษ:
น้องชายเจ้ามีคะแนนมากมายเจ้าพักไปเถอะ ข้าจะไปเก็บคะแนนเพิ่มก่อน ข้าไม่รอเจ้าละนะ! “
เมื่อมองดูข้อความที่ซุนวูทิ้งไว้ให้เขาลู่หยางก็รู้สึกหดหู่ นี่คือเหตุผลที่ซุนวูทิ้งเขาไป
“เขาอิจฉาข้าที่ข้ามีคะแนนมากกว่าเขา!” ข้าสงสัยนักว่า ข้าจะได้อะไรจากคะแนนนี่บ้าง? “ลู่หยางคิดในใจ
ไม่ต้องสงสัยเลย คะแนนลู่หยางนั้นนำพวกเขาไปอย่างมาก แม้เขาจะถูกไล่ตามอยู่ แต่เขาก็ไม่ต้องกังวล
ด้วยต้าเฮยของเขา ตราบเท่าที่เขาใช้ประตูอเวจี มันราวกับเขาขี้โกง ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องลงมือเอง ความเร็วที่เขาฆ่าสัตว์ร้ายนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้ ดังนั้นในแง่ของคะแนนลู่หยางจึงไม่กังวล
ในครัวของครอบครัวซุน ลู่หยางทำอาหารแห้งและปรุงโจ๊กข้าว เขากินอาหารเช้าอย่างสบาย ๆ แล้วรีบออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก
ในใจกลางเมืองเซียงหยาง ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยกเว้นว่ามีคนเดินถนนไม่มากนักตามปกติ เมื่อลู่หยางเดินออกจากใจกลางเมืองเขาก็ตกตะลึงทันที
เงยหน้าขึ้นมองเขาจะเห็นสัตว์ร้ายหลายชนิดปรากฏขึ้นในทิศทางของหอคอยประตูเมือง แม้ว่าจะยังมีระยะห่างระหว่างพวกมัน แต่ร่างของสัตว์ร้ายที่สูงนั้นยังสามารถมองเห็นได้
“บ้าเอ๊ย อสูรอีกแล้ว สัตว์อสูรอีกฝูงบุกมาใช่มั้ยเนี่ย” นอกจากนี้จากรัศมีของสัตว์ร้ายนั้นลู่หยางยังรู้สึกว่าแม้ว่าสัตว์ดุร้ายนี้จะอยู่ในระดับต้นแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าฝูงทั้งสามที่เขาเคยพบมาก่อน
ในฝูงของสัตว์ร้ายนี้ไม่เพียง แต่จะมีสัตว์ดุร้ายปรากฏขึ้นมากกว่าปกติ แต่ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันการโจมตีของสัตว์ร้ายในเมืองเซียงหยางไม่เคยหยุดนิ่ง
ศิษย์ของตระกูลใหญ่ต่าง ๆ และผู้ควบคุมอสูรแห่งเมืองเซียงหยางต่างก็ต่อต้านการโจมตีของสัตว์ร้ายด้วยความยากลำบาก ตอนนี้มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ลู่หยางขมวดคิ้วและรีบไปที่หอประตูเมืองทันที
“ค้นพบอสูรระดับกลาง ราชาสุนัขป่าเพลิง สายเลือดชั้นยอด สิบตัว! “ห่างออกไปแปดร้อยเมตร!”
“พบสัตว์ร้ายระดับกลาง ราชาพยัคฆ์ศรคม สายเลือดชั้นยอด ห้าตัว “ห่างออกไปแปดร้อยเมตร!”
“สัตว์ดุร้ายระดับกลาง, ราชาอสรพิษเพลิงเขียว, สายเลือดชั้นยอดสองตัว! “ห่างออกไปแปดร้อยเมตร!”
“ราชาสุนัขป่าจันทราเงิน สายเลือดชั้นยอด แปดตัว! “ห่างออกไปแปดร้อยเมตร!”
“พบสัตว์ร้ายระดับกลาง… “
“พบสัตว์ร้ายระดับกลาง… “
ขณะที่ลู่หยางเข้าใกล้หอประตูเมืองระบบส่งสัญญาณเตือนภัยหลายชุดและเมื่อได้ยินเนื้อหาลู่หยางก็ตกตะลึงในทันที
มารดามันเถอะ! อสูรร้ายพวกนี้มาจากไหน! และพวกมันก็อยู่ในระดับกลางทั้งหมด! ลู่หยางเริ่มสาปแช่งเสียงดัง
ระยะห่างระหว่างพวกเขาเพียงแปดร้อยเมตรดังนั้นลู่หยางจึงรีบจ้องมองไปที่ระยะไกล ในที่สุดเขาก็เห็นสัตว์ร้ายขนาดมหึมาโจมตีเขาจากทุกทิศทุกทาง ไม่น่าแปลกใจที่ระบบไม่หยุดดังขึ้น มันเกิดจากฝูงสัตว์ประหลาด เมื่อดูตัวเลขรวมกับการแจ้งเตือนของระบบลู่หยางจะคำนวณอย่างเงียบ ๆ ในใจของเขา เขากลัวว่ามีอสูรชั้นยอดอย่างน้อยห้าร้อยตัวที่นี่ …
นอกจากนี้นี่เป็นเพียงสัตว์ร้ายระดับกลางที่ถูกกล่าวถึงโดยระบบยังไม่ได้กล่าวถึงสัตว์อสูรธรรมดา หากนับพวกมันด้วย อาจจะมีมากกว่านั้น
ลู่หยางตื่นเต้น เขาคิดกับตัวเองว่า “พระเจ้าข้าไม่เคยเห็นฉากอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มานานแล้ว!”
นอกจากการรวมตัวของลานหมื่นอสูร ลู่หยางยังไม่เคยเห็นสัตว์ร้ายระดับสูงจำนวนมากปรากฏในเวลาเดียวกัน ในใจของเขานอกเหนือจากความตกใจแล้วยังมีความสุขแน่นอน
อย่าลืมความแข็งแกร่งในปัจจุบันของลู่หยางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปและเขายังมีระบบควบคุมอสูรอีกด้วย พรสวรรค์ในปัจจุบันของเขาสามารถนับได้ด้วยมือเดียวภายในเมืองเซียงหยาง
โดยไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ลู่หยางหยิบถุงผลึกออกมา จากนั้นเขาก็เรียกระบบและกล่าวว่า: “ระบบ! ข้าต้องการยกระดับเทคนิคการควบคุมสัตว์ร้ายของข้า! “
“ติ๊ง…”
“ติ๊ง…”
“ติ๊ง…”
“Ding …” ขอแสดงความยินดีวิชาการควบคุมสัตว์ร้ายของท่านได้รับการยกระดับเป็นสิบดาว! “
นับตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนด้วยเทคนิคการควบคุมสัตว์ระดับกลางลู่หยางได้ยกระดับอสูรทั้งหมดในมือของเขาให้อยู่ในระดับกลาง และตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงอสูรขนาดใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มระดับตัวเขาเองเขาก็มาถึงขั้นกลางแล้ว ลู่หยางทนไม่ได้อีกต่อไปและกำลังจะโจมตี
เมื่อก่อนหน้านี้เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายความคิดเพียงอย่างเดียวของลู่หยางก็คือการฆ่า แต่เขาไม่เคยมีความคิดที่จะกำราบอสูรเหล่านี้มาเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เขาไม่ต้องการ แต่สัตว์ดุร้ายที่พวกเขาพบมาก่อนหน้านี้เป็นขยะเกินไปและไม่สามารถทำให้เขาอยากฝึกมัน และตอนนี้อสูรชั้นกลางจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น
พวกมันไม่มีเจ้าของและสามารถปราบได้โดยง่าย ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ต้องเสียทรัพยากรในการยกระดับพวกมัน แม้ในลานหมื่นอสูร เขาก็ไม่อาจได้โอกาสเช่นนี้ ลู่หยางลงมือทันที หลังจากวิชาคุมอสูรเขาถึงสิบดาว สำหรับอสูรพวกนี้เขามีอัตราสำเร็จที่ร้อยเปอร์เซ็น
“เข้ามาเลย!” มาดูกันว่าพวกเจ้ามีทั้งหมดกี่ตัว! “ลู่หยางร้องขึ้น โดยไม่รีรอ ลู่หยางพุ่งไปหาพวกกลุ่มอสูร
“ไม่ดีฝูงของอสูรอีกระลอกกำลังจะมา!” ในท่ามกลางการต่อสู้ที่วุ่นวายผู้อื่นได้ค้นพบกลุ่มสัตว์ป่าชั้นยอดและร้องออกมา
“ ดูสิมีคนวิ่งเข้าไปหาสัตว์ร้ายกลุ่มนั้นอยู่แล้ว!”
นั่นคือ น้องลู่หยาง? ซุนวูมองไปที่ลู่หยาง ความวิตกกังวลปรากฏบนใบหน้าของเขา
เขารีบเร่งฝีเท้าขึ้น พวกเขาสลัดหลุดจากกลุ่มอสูรธรรมดาเพื่อเข้าไปในฝูงอสูรชั้นยอด
“น้องบ้าเอ๊ย เขาไม่บอกพวกเราเลยตอนที่เขาพบกลุ่มอสูรชั้นยอด เขายังคงคิดที่จะใช้กำลังของตัวเองเพื่อชะลอสัตว์ร้าย จริงหรือเนี่ย
ซุนวูคิดเรื่องที่หอคอยประตูเมืองที่พังทลายและลู่หยางต่อสู้กับฝูงอสูรด้วยตัวคนเดียว เขาคิดว่าลู่หยางกำลังจะทำสิ่งที่โง่แบบครั้งก่อนอีกครั้ง ในหัวใจของเขาเขาเริ่มชื่นชมลู่หยาง เขาค่อย ๆ เริ่มรู้สึกโล่งใจที่ลู่หยางได้รับคะแนนมากมายด้วยตัวเอง หากลู่หยางไม่นำ แม้ซุนวูจะมั่นใจ แต่เขาก็คงไม่ลุยเข้าไปในใจกลางฝูงอสูรคนเดียวแน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้หากการเสริมกำลังที่มาจากด้านหลังสามารถมาได้ทันเวลามันก็ยังคงไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามหากพวกเขามาไม่ทันเวลาพวกเขาก็จะตายอย่างน่าสังเวช
น้องชาย ไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่พาคนมาช่วยเจ้าแล้ว! ” ซุนวูส่งเสียงร้องและกระโจนไปในหมู่อสูรพร้อมกับสัตว์เลี้ยงอสูรของเขา
สำหรับลู่หยาง เขาได้เข้าไปถึงใจกลางแล้ว ทำให้ซุนวูไม่อาจเห็นเขา
“สัตว์ร้ายเหล่านี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง!” แม้แต่อสรพิษผายักษ์ของข้าก็แทบไม่สามารถต้านทานได้! ซุนวูตะโกนอย่างกระวนกระวาย
อย่างไรก็ตามไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว อสรพิษหินยักษ์นั้นถือเป็นอสูรระดับกลาง แต่สิ่งที่ซุนวูไม่คาดหวังก็คือสัตว์ร้ายเหล่านี้ตรงหน้าเขาทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกัน
สัตว์เลี้ยงอสูรทั้งสามของเขาเข้าสนามรบ ซุนวูถูกล้อมไปด้วยอสูรร้าย
พวกมันมีมากเกินไป มันเป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาอสูรเลี้ยงสามตัวที่จะต้านทานการโจมตีของสัตว์อื่น ๆ มากมาย ความแข็งแกร่งของซุนวูก็ไม่ธรรมดาด้วยการรวมกันของทั้งสองเขารับมือกับสัตว์ร้ายได้อยู่บ้าง
หากแค่เวลาสั้นๆเขายังไหวแต่ถ้ามันยืดเยื้อกว่านี้เขาคงหมดแรง อย่างรวดเร็วภายใต้การต่อสู้ที่ดุเดือดหน้าผากของซุนวูได้ถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อและความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาก็ไม่สามารถรักษาได้
ซุนวูใช้ความสามารถทั้งหมดของเขาในการส่งสัตว์ร้ายที่บินอยู่ตรงหน้าเขา แต่ร่างของเขาถึงขีด จำกัด แล้ว มีหินก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา แต่เขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสะดุดมัน
“บัดซบเอ้ยย!” ซุนวูสบถออกมา แต่ดวงตาของเขาปิดลงแล้วซุนวูก็รู้ว่าสัตว์ดุร้ายขนาดยักษ์ใช้โอกาสที่จะพุ่งเข้าหาเขาในเวลาเดียวกันก็อ้าปากกว้าง
“เป็นไปได้ยังไงกัน ข้าซุนวูจะถูกฝังอยู่ในท้องของสัตว์ร้ายอย่างนี้รึ? ซุนวูอดไม่ได้ที่จะบ่นเรื่องโชคชะตาของตัวเอง
เขาค่อยๆหลับตาลง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าชะตากรรมของเขาไม่ยุติธรรม แต่เขาก็ยอมรับการลงโทษจากโชคชะตาเท่านั้น
“ มันน่าเสียดายที่ข้าไม่ได้แต่งงานกับบุปผาน้อยข้างบ้าน ข้าจะตายอย่างนี้รึ
ซุนวูคิดอย่างเศร้า ๆ และมีเสียงดังอยู่ข้างหูของเขา “ถ้าอย่างนั้นท่านเสียใจที่บุกเข้าไปในฝูงสัตว์หรือไม่?”
ข้าไม่เสียใจเลย ในเมื่อน้องชายข้ากล้าสู้กับฝูงอสูรนี้ได้ แล้วข้าจะทำบ้างไม่ได้หรอ? “น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถกลับมาได้ … “
ซุนวูก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเขาเปิดตาของเขาทันทีและสิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ปากของสัตว์ร้าย แต่เป็นแสงสีขาวที่พราว หลังจากที่แสงจางลงสัตว์ร้ายดุร้ายก็กำลังนั่งย่อลงด้านหน้าของซุนวู มันเชื่อฟังเกินไปเหมือนสุนัข!
สิ่งที่ประหลาดใจซุนวูไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังรวมถึงด้านหน้าของสัตว์ร้ายที่ดุร้ายนั้นมีร่างมนุษย์นั่งลงและจ้องมองใบหน้าของซุนวูด้วยความสนใจ
“น้องชายเจ้า … “
“ข้าแค่ต้องการถาม ข้าบุกฝ่าเข้าไปในดงอสูรมิใช่รึ? แล้วทำไมข้ามาอยู่นี่? ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าสงสัยของซุนวูท้ายที่สุดก็ลู่หยางก็เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด
ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นลู่หยางได้ค้นพบแล้วว่ามีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังที่สุดในใจกลางฝูงและพวกมันแข็งแกร่งกว่าแนวหน้าเหล่านี้มาก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะฝ่าเข้าไปในส่วนลึกและกำราบสัตว์ดุร้ายที่นั่น
เมื่อลู่หยางได้ยินความโกลาหลด้านหลังเขาทันใดนั้นเขาก็หันกลับมาและเห็นร่างของซุนวู โดยบังเอิญเขาได้เห็นฉากของซุนวูที่รายล้อมไปด้วยสัตว์ร้าย ลู่หยางเลิกสนใจอสูรที่แข็งแกร่งตรงหน้าทันทีและรีบกลับมาช่วยซุนวู
แต่สัตว์ดุร้ายเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไปถึงแม้ว่าลูหยางจะรีบล่าถอย แต่เขาก็เสียเวลาไปมาก โชคดีที่เขาสามารถเร่งรีบได้ทันเวลาและใช้วิชาควบคุมสัตว์ร้ายในทันทีก่อนที่ซุนวูจะถูกสัตว์ร้ายกิน
เมื่อลู่หยางเข้าไปด้านในฝูงอสูร เขาได้ปราบสัตว์ดุร้ายที่ทรงพลังที่สุดสามตัวมาแล้วพร้อมกับสัตว์ที่อยู่ข้างหน้าเขา ในเวลานี้มีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังหกตัวที่ล้อมรอบลู่หยาง
ลู่หยางโบกมือขึ้น ต้าเฮยกระโจนนำไปในหมู่อสูร จากนั้นสัตว์เลี้ยงห้าตัวตามรอยเท้าของมันและกำจัดสัตว์ร้ายที่อยู่รอบ ๆ ออกไปสร้างพื้นที่โล่งกว้างสำหรับพี่น้องสองคน
“น้องชายเจ้า … ” ซุนวูตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อภาพตรงหน้า
ลู่หยางหัวเราะและพูดว่า: “พี่ใหญ่ซุนวูจริง ๆ แล้วข้าไม่เคยบอกคุณมาก่อนวิชาการควบคุมสัตว์ร้ายที่ข้าฝึกฝนมานั้นเป็นเทคนิคการควบคุมสัตว์ร้ายระดับสิบดาว “นอกจากนี้ข้ามีทักษะพิเศษอีกอย่างและนั่นคือ … “
เสียงของเขาหยุดชั่วครู่หนึ่งจากนั้นแสงระเบิดออกมาจากดวงตาของลู่หยางในขณะที่เขาพูดช้าๆว่า “ข้าสามารถควบคุมสัตว์ร้ายได้มากกว่าคนธรรมดา!”
SB:ตอนที่ 67 ข่าวดี
“ข้าสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้มากกว่าคนธรรมดา!”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา แม้ว่าซุนวูจะไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ยังพยายามที่จะยืนยันมัน
ก่อนหน้านี้สัตว์อสูรที่ลู่หยางเรียกคือต้าเฮยและราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด แต่ราชาราชสีห์คลั่งขนทองก็ยังไม่ปรากฎตัว ดังนั้นซุนวูจึงไม่รู้ว่าลู่หยางมีสัตว์เลี้ยงอสูรกี่ตัว
ต้องรู้ว่าจากการฝึกฝนของคนปกติในระดับปัจจุบันของซุนวูเขาสามารถควบคุมอสูรได้เพียงสามตัวเท่านั้น ผู้ที่มีความสามารถดีกว่าเล็กน้อยสามารถควบคุมอสูรได้สี่ตัว แม้ว่ามันจะเป็นหลี่ซิ่วจากก่อนหน้านี้เขาสามารถควบคุมอสูรได้สี่ตัว สำหรับซุนวูเขาสามารถควบคุมได้เพียงสามตัวเท่านั้นในขณะนี้ นั่นเป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่อีกไม่นานซุนวูก็จะสามารถควบคุมสัตว์ร้ายสี่ตัวได้เช่นกัน
เพราะซุนวูไม่คิดว่ายอดฝีมือจะอยู่ท่ามกลางคนธรรมดาแม้กระทั่งข้างกายเขา เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
เมื่อนับต้าเฮยกับราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด มันยังมีฝูงอสูรตรงหน้าเขาที่เป็นสัตว์เลี้ยงอสูรของลู่หยาง จำนวนนี้เกินสิบแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สามารถควบคุมอสูรสี่คนได้แม้ว่าพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว ซุนวูก็ยังคิดว่าพวกเขาน่ากลัวมากแล้ว
ลู่หยางลูบหัวของเขาด้วยความอับอายและพูดอย่างไร้ยางอาย “ที่จริงข้าเพิ่งค้นพบความลับนี้เมื่อไม่นานมานี้ … “
แต่ในความเป็นจริงสัตว์เลี้ยงสงครามของลู่หยางมีจำนวนถึงสิบห้าในเวลานั้นและเพิ่งเกิดขึ้นจนเกินขีดจำกัดของเขา
ลู่หยางใช้ผลึกของเขาในการเพิ่มขีดจำกัดสัตว์เลี้ยงอสูรของเขาจนถึงยี่สิบ ลู่หยางต้องการเพิ่มระดับต่อไปแต่ระบบก็แจ้งให้เขาทราบขึ้นมา
“ติ๊ง!” จำนวนสัตว์เลี้ยงได้ถึงขีดจำกัดแล้ว หากท่านต้องการเพิ่มขีดจำกัดต่อ ท่านต้องยกระดับตนเองจนถึงผู้ฝึกอสูรชั้นสูงก่อน “
ลู่หยางไม่อาจทำไรได้ เขาจะต้องสูญเสียโอกาสทั้งๆที่อยู่ต่อหน้ากองเงินกองทองอย่างนี้หรือ อย่างไรก็ตามลู่หยางมีความพึงพอใจอย่างมากกับความสามารถในการบรรลุถึงขีด จำกัดที่ยี่สิบตัว
คุณภาพของสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าลานหมื่นอสูร น่าเสียดายที่ไม่มีสัตว์ร้ายตัวอื่นที่มีระดับจักรพรรดิ์ “นี่คือสิ่งที่เขาเสียใจ
พี่ใหญ่ซุนวูข้าจะส่งพี่ออกก่อน ดูพี่สิ พี่แทบจะป้องกันตัวไม่ได้เลยนะ” ลู่หยางช่วยให้ซุนวูขึ้นจากพื้นดินและโยนเขาเข้าไปในอ้อมแขนของสัตว์เลี้ยงสงคราม
ซุนวูตะโกนเสียงดังทันที “น้องชายเจ้าจะไม่กลับมากับข้าเหรอ? เจ้าได้อสูรจำนวนมากแล้ว เจ้ายังอยากได้อีกรึ? “
“ใช่ ข้าต้องการอีกเล็กน้อย อย่างไรก็ตามใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว พี่กลับไปก่อนเลย ข้าจะกันอสูรไว้ให้! บอกพวกเขาให้รีบมา! “
เขากล่าวแก้ตัวออกไป ยิ่งกว่านั้นการหยุดยั้งกองทัพของสัตว์ร้ายก็เป็นภารกิจแรกของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าการล่าสัตว์ที่บ้าคลั่งเหล่านี้ก็สามารถให้คะแนนได้เช่นกัน สัตว์ร้ายที่นี่คือสัตว์ทั้งหมดในระดับชั้นยอดและพวกมันทั้งหมดอยู่ในอันดับกลาง สัตว์ร้ายที่ดุร้ายเช่นนี้จะได้รับร้อยคะแนนดังนั้นไม่เพียง แต่เป็นโอกาสที่ดีที่จะกำราบอสูรแต่มันยังเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มคะแนนของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดที่ชอบธรรมของลู่หยางซุนวูก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาทำได้แค่ระวังเมื่ออสูรพาเขาออกไปจากวงล้อม
หลังจากส่งซุนวูออกไปด้วยความช่วยเหลือของร่างใหญ่ของสัตว์ร้ายที่ปกป้องเขาลู่หยางหันกลับมาอีกครั้งและเข้าไปในใจกลางฝูงสัตว์ดุร้ายอีกครั้ง ลู่หยางมองดูสัตว์อสูรขั้นสุดยอดพวกนั่นมาเป็นเวลานานแล้ว ยิ่งไม่มีใครอยู่แถวนี้ด้วย ลู่หยางไม่พลาดโอกาสแน่นอน
แม้แต่ฝูงสัตว์ดุร้ายก็ไม่สามารถหยุดลู่หยางได้ เขาพุ่งเข้าหาศูนย์กลางของฝูงอสูรอย่างรวดเร็วด้วยแสงสีขาวแวววาบในพริบตาลู่หยางได้ปราบสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งหมด ระหว่างที่ฆ่า จำนวนแต้มในแผ่นประจำตัวของเขาก็ถึงสามพัน
เมื่อคิดถึงจำนวนนี้ความคาดหวังในหัวใจของลู่หยางก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น
“ฉันหวังว่าผู้นำแคว้นจะไม่ทำให้เราผิดหวังนะ หากไม่สามารถได้รับรางวัลที่น่าพอใจฉันก็จะเสียใจจริงๆ “
ในขณะที่ยืนอยู่กลางสัตว์ร้ายยี่สิบตัวในที่สุดหลู่หยางก็รู้สึกว่าเขามีอำนาจเหนือโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้าเฮยและ ราชาราชสีห์คลั่งขนทองอยู่เคียงข้างเขาสัตว์ร้ายธรรมดาเหล่านั้นไม่กล้าเข้าหาเขา ด้วยมือขวาและซ้ายของทั้งสองตัวนี้อยู่ข้างๆเขาสัตว์เลี้ยงสงครามของลู่หยางก็ไร้เทียมทาน
ฝูงสัตว์ร้ายที่น่ากลัวถูกหยุดโดยลู่หยาง เพียงลำพัง พวกที่อยู่ข้างหลังเห็นสนามรบต่อหน้าพวกเขาและทุกคนก็ตะลึงว่า “เป็นไปได้ยังไงสำหรับมนุษย์?!” คนคนหนึ่งสามารถหยุดยั้งฝูงสัตว์อสูรทั้งหมดได้! “
“โอ้พระเจ้าผู้นั่นเป็นแค่ผู้ควบคุมสัตว์อสูรระดับกลางจริงๆเหรอ?” ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าแม้กระทั่งผู้ควบคุมสัตว์ระดับสูงก็ไม่ได้ทรงพลังเท่านี้! “
แม้ผู้นำตระกูลบางพรรคก็ไม่อาจทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ควบคุมสัตว์ระดับกลางและพวกเขาทุกคนแข็งแกร่งกว่าหลีซิ่ว อย่างไรก็ตามไม่มีใครกล้าพูดว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งนี้ได้ ทุกคนต่างก็สงสัยเกี่ยวกับม้ามืดที่ปรากฏตัวขึ้นในทันใด
หลังจากรวบรวมสัตว์ดุร้ายมากกว่าสิบตัวเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามความแข็งแกร่งของลู่หยางก็เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนจนถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกอสูรและมาถึงระดับห้าหมื่นจินของพละกำลังเทวะ
ตามสามัญสำนึกห้าหมื่นจินแห่งพลังของเทวะนั้นเป็นจุดสูงสุดของผู้ควบคุมสัตว์ระดับกลาง หากต้องการทะลวงผ่านขั้นนี้พวกเขาต้องยกระดับขั้นของเขาเอง เขาแค่ไม่รู้ว่ามีกรณีพิเศษหรือไม่
เช่นเดียวกับลูกน้องคนก่อนของอู๋จุนซึ่งเป็นเพียงผู้ควบคุมสัตว์ระดับต้นพลังของพวกเขานั้นสามารถนำไปเปรียบเทียบกับผู้ควบคุมสัตว์ระดับกลาง ถ้าเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาสงสัยว่าจะทะลวงขีดจำกัดห้าหมื่นจินได้ไหม
“อย่างไรก็ตามข้าจะลองดู เกิดอะไรขึ้นถ้ามันทะลวงผ่านได้จริง ๆ ? ” ลู่หยางคิดในใจของเขา
ความเร็วที่พวกมันฆ่าสัตว์ร้ายนั้นก็เร็วขึ้นเช่นกัน ไม่เพียงแค่สัตว์เลี้ยงที่โจมตี ลู่หยางก็ร่วมด้วย พลังห้าหมื่นจินนั้นเพียงพอที่จะเอาชนะอสูรชั้นกลางได้
ถูกแล้วหลังจากที่ปราบสัตว์อสูรหลายสิบตัวสิ่งแรกที่เขาทำคือการดึงเอาทักษะติดตัวจากพวกมันออกมา หลังจากใช้คริสตัลจำนวนมากความสามารถเทวะของเขาเพิ่มขึ้นจากสามเป็นสิบ
เมื่อลู่หยางรวบรวมสัตว์ร้ายเหล่านี้เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษกับพวกมันและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ฆ่าพวกมัน ด้วยเหตุนี้ร่างกายทั้งหมดของลู่หยางจึงถูกปกคลุมไปด้วยตราประทับของทักษะติดตัวอสูร
“ทำไมไม่ลองทักษะใหม่ที่ข้าได้มาหล่ะ!
ข้อมูลปัจจุบันของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ตัวตน: ลู่หยาง (ผู้ฝึกอสูรชั้นกลาง)”
“วิชาฝึกอสูร: ระดับกลาง (ระดับดาว: 10 ดาว)”
“ความแข็งแกร่งทางกายภาพ: 50,000 จิน”
“อายุขัย: 16/100”
“สัตว์อสูรเลี้ยง ราชาราชสีห์คลั่งขนทอง, สุนัขล่าเนื้ออเวจี, พยัคฆ์เพลิงสีชาด, ราชาพยัคฆ์เพลิงสีชาด ราชันสุนัขป่าแห่งเปลวเพลิง อสูรชั้นกลาง, ราชันพยัคฆ์ศรคม อสูรชั้นกลาง, ราชันอสรพิษเพลิงมรกต อสูรชั้นกลาง, ราชาสุนัขป่าจันทราเงิน อสูรชั้นกลาง “
“ทักษะ: ผสานร่าง (ระดับ 1: ขั้น10; ระดับ 2: ขั้น6; ระดับ 3: ขั้น2)”
“ความสามารถโดยธรรมชาติ: ระฆังทองคำที่อมตะ (ระดับสุดยอด)” ประตูแห่งอเวจี (ระดับสุดยอด) ชิหยาน บอลเพลิงยักษ์ ทำลายล้าง “ศรอสนีบาต … “
“กระเป๋าสัตว์เลี้ยง: ยี่สิบช่อง”
“กระเป๋าสวรรค์ปฐพี: คุณภาพต่ำ (พื้นที่ 11 ลูกบาศก์เมตร)”
“เตาหลอมหมื่นอสูร: ยอดเยี่ยม (การกลั่นโลหิตสัตว์เลี้ยงสงครามสู่ระดับจักรพรรดิ์)”
“อาภรณ์เทวะฝึกอสูร: ไม่เปิดใช้งาน”
มีความสามารถโดยธรรมชาติอยู่มากมายดังนั้นลู่หยางจึงเริ่มทดสอบทุกทักษะกับอสูรตรงหน้าเขา
อย่างไรก็ตามทั้งหมดอยู่ในระดับเดียวกันและมีความสามารถโดยธรรมชาติ หากลู่หยางต้องการที่จะลงมือเขาไม่มีทางเลือกนอกจากเปิดระฆังทองคำอมตะ เขาใช้ทักษะแต่ละอย่างออกมา เพียงแต่ความสามารถโดยธรรมชาติเพียงทักษะเดียวไม่สามารถฆ่าอสูรระดับเดียวกันได้ โดยทั่วไปต้องใช้ทักษะสองสามอย่างในการทำร้ายพวกมัน
ในหุบเขาเทวะร่วงหล่นราชสีห์ขนทองหกเนตรได้เบิกเนตรสองข้างแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเหมือนครั้งที่แล้ว แต่กลับสังเกตการเคลื่อนไหวทั้งหมดในสนามรบ
สุดท้ายสายตามันหยุดที่ร่างของลู่หยางและไม่อาจอดกลั้นโทสะได้ “ข้าไม่คาดว่าจะมีปีศาจตัวน้อยเช่นนี้ด้วย! มันจัดการยากเหลือเกิน มันยิ่งน่ารำคาญยิ่งกว่าผู้นำกลุ่มเล็ก ๆ เหล่านั้น! “
แต่หลังจากความโกรธของเขาผ่านไปมันก็ค่อยๆนึกถึงตำนานในใจ มันไม่ได้มาจากข่าวลือข้างนอก แต่มาจากความทรงจำที่สืบทอดภายในสมองของมันดังนั้นมันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อว่าตำนานนั้นเป็นของจริง
จากนั้นเขาก็พึมพำว่า “เป็นไปได้ไหมที่ชายหนุ่มผู้เป็นตำนานคนนี้จะอยู่ข้างหน้าข้า”
น่าสนใจ ไม่แปลกที่ลูกหลานของสุนัขอเวจีศักดิ์ศิษย์ยังยอมรับเขา ดูเหมือนว่าเด็กชายคนนี้เป็นคนที่ข้าต้องการค้นหาซึ่งเป็นหนึ่งในบัญชาของสวรรค์!
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรการสู้รบในสนามรบก็ไม่อาจจบลงได้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
ลู่หยางถ่วงเวลา รอพวกผู้นำพรรคมาช่วย เขาเก็บอสูรเลี้ยงส่วนใหญ่ไปเหลือเพียงต้าเฮยและพยัคฆ์เพลิงสีชาดที่เก็บกวาดสนามรบ และในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ลู่หยางจะได้รับคะแนนเกือบห้าพันคะแนนเท่านั้นเขายังเพิ่มยอดรวมของต้าเฮยเป็นหนึ่งพันคะแนน
ในท้ายที่สุดพวกเขาก็พึงพอใจและนั่งที่ด้านหลังของสนามรบขณะที่ยืนพิงต้นไม้ใหญ่กับซุนวู
“น้องชายเจ้าประสบความสำเร็จจริงๆ! เดิมทีข้าคิดว่าเพียงแค่ข้าสู้อย่างบากบั่น ข้าจะตามเจ้าทัน ข้าไม่คาดว่าเจ้าจะพิเศษเช่นนี้ เจ้ามันสัตว์ประหลาดชัดๆ ซุนวูพูดติดตลก
“ในเมื่อพี่ใหญ่รู้ว่าข้าไม่ปกติ ก็อย่าแข่งกับข้าเลย ท่านพี่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้าได้หรอก “
“ใช่แล้วข้าได้ยินมาว่าหลังจากสัตว์ร้ายสิ้นสุดลงไม่เพียง แต่เราจะสามารถใช้คะแนนแลกของรางวัลได้เท่านั้น เขาจะจัดอันดับในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเซียงหยางตามคะแนนของทุกคน มันถูกเรียกว่าอันดับผู้ฝึกอสูร ข้าคิดว่าน้องชายข้าจะต้องอยู่อันดับต้นๆแน่นอน! ข้าได้ยินว่ามันมีของรางวัลมากมาย “ซุนวูพูดอย่างตื่นเต้น
เมื่อได้ยินข่าวนี้ลู่หยางก็มีความสุขและเศร้า เขามีความสุขที่เขาจะได้รับประโยชน์มากขึ้น แต่ในอนาคตเขาจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเมืองเซียงหยาง แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใช้ชีวิตที่ไม่เป็นที่สนใจ
การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินต่อไปอีกวันและคืน กองทัพของสัตว์ดุร้ายมาเป็นฝูงที่หกแล้วและบังคับให้กองทัพของเผ่าเล็ก ๆ กลับมาในช่วงเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันไปมาในภูมิภาครอบเมืองเซียงหยางจนในที่สุดก็ทำลายหนึ่งในสามของพื้นที่นั้นและสันติภาพสั้นๆก็มาถึง
ในเวลานี้คฤหาสน์ของผู้นำส่งข่าวมา
ทูตคนหนึ่งยืนถัดจากกระโจมลู่หยางและตะโกน “ทุกคน มาฟังข้า! มีข่าวดี! “
“ข้ารู้ว่าทุกคนทำงานอย่างหนักในช่วงสองวันนี้หลังจากที่ผู้นำและลานหมื่นอสูรได้พูดคุยกันแล้วลานหมื่นอสูรจะมีการวมตัวสัตว์หมื่นอสูรในวันพรุ่งนี้! เหลือเวลาอีกหนึ่งวัน! ทุกคนผลัดกันเข้าร่วม! ในเวลานั้นพี่น้องที่ไม่ได้เข้าร่วมลานหมื่นอสูรไม่ต้องใช้ผลึกตราบเท่าที่คุณมีคะแนนมากพอ! “
SB:บทที่ 68 พงศาวดารของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย
งานรวมตัวหมื่นอสูรถูกจัดขึ้นอีกครั้งเพื่อจุดประสงค์หนึ่งซึ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของผู้ที่ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดของพวกเขาในสนามรบ
สำหรับผู้ควบคุมอสูรที่ครอบครองสัตว์เลี้ยงสงครามสามถึงสี่ตัวหลายคนอาจยังมีชีวิตอยู่เมื่อต่อสู้กับอสูรร้าย อย่างไรก็ตามหลายคนได้สังเวยชีวิตไปแล้ว พวกเขาไม่มีความสามารถเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมเช่นลู่หยาง แม้ว่าจะมีบางคนที่สามารถฝึกอสูรดุร้ายบางตัวในกระแสอสูรเพื่อเติมเต็มความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่นั่นก็เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ดังนั้นหลังจากการโจมตีของคลื่นอสูรไม่กี่คลื่น สัตว์เลี่้ยงสงครามจำนวนมากก็ได้ตายลงไปแล้ว
หากปราศจากความช่วยเหลือของสัตว์เลี้ยงสงคราม เพียงแค่อาศัยความแข็งแกร่งของวิชาควบคุมอสูรเองก็ไม่ได้ทำให้อสูรร้ายหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดพลังอำนาจของร่างกายมนุษย์มีจำกัด หลังจากสูญเสียสัตว์เลี้ยงสงครามแล้วซึ่งเปรียบเสมือนเสือที่ไร้กรงเล็บหรือเขี้ยวก็ทำให้สูญเสียพลังแห่งการต่อสู้ไปส่วนใหญ่ด้วย
ในเวลานี้ งานรวมตัวหมื่นอสูรได้ถูกจัดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีข่าวดีมาสู่ผู้คุมอสูรทุกคน
ครั้งนี้งานรวมตัวหมื่นอสูรถูกแบ่งออกเป็นสองรอบ กองกำลังที่อยู่แถวหน้าถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ในขณะที่ลู่หยางถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่สอง ครึ่งหนึ่งของกองกำลังยังคงอยู่ แต่ผู้กล้าส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ต่อ
วันนี้คงต้องเป็นวันพิเศษ บางที
บางทีอสูรร้ายจะเลือกโจมตีโดยอาศัยประโยชน์จากช่วงเวลาที่เมืองเซียงหยางอ่อนแอ เมื่อสูญเสียสมาชิกเกือบครึ่งไปแล้ว ผู้คุมอสูรในเมืองเซียงหยางยังคงมีจำนวนไม่เพียงพอ หากเหล่าอสูรร้ายจะเข้าโจมตีในปริมาณมาก มันจะเป็นการสู้รบที่ยากลำบากที่สุด
ลู่หยางเฝ้ามองเพื่อนร่วมทีมของเขาถอยกลับไปแล้วตัวเขาเองก็นั่งลงบนซากปรักหักพังอย่างเงียบ ๆ เพื่อกัดกินข้าวเที่ยงของเขา เขามองไปที่ท้องฟ้าที่กว้างไกล จากการต่อสู้อย่างต่อเนื่องทำให้ท้องฟ้าที่แต่แรกกระจ่างใสและเป็นสีคราม มาบัดนี้ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของความหมองหม่น
ที่เชิงเขาในระยะไกลมีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้น ทันใดนั้นนัยต์ตาของลู่หยางก็หดกลับตั้งขึ้น
ตามภาพแนวตั้งนั้น ลู่หยางเห็นวานรดุเดือดขนทองนำกองทหารและม้านับพัน ทั้งปฐพีและภูเขาสั่นสะเทือนไปหมด เป็นเวลากว่าร้อยปีมาแล้วที่ความวุ่นวายเช่นนั้นได้เคยขึ้นภายในขอบเขตของเมืองเซียงหยาง แต่ครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุด
สายตาของลู่หยางค่อยๆขยับไปทางด้านหลังของวานรดุเดือดขนทอง เขาเห็นรางๆว่าที่ด้านหลังของวานรดุเดือดขนทองนี้มีเงาอีกหนึ่งอัน
ดูเหมือนว่ามันจะเล็กไปหน่อย แต่มันก็กล้าที่จะไต่เชือกและกระโดดขึ้นไปด้านหลังของวานรดุเดือดขนทองและแม้กระทั่งปีนขึ้นไปบนหัวของเจ้าวานรดุเดือดขนทองเพื่อที่จะอวดตัว ไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจเลย เว่นแต่บนหัวของอสูรร้ายตัวเล็ก ๆ มีดวงตาหกดวงซึ่งทำให้ลู่หยางสนใจขึ้นมาทันที
เขาเห็นเพียงราง ๆ ว่าดวงตาทั้งหกของมันเปล่งประกายแสงสีทอง เขาต้องการเห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขณะที่ล่หยางกำลังจ้องมองเจ้าอสูรตัวเล็กอยู่นั้น มันเองก็เห็นลู่หยางเข้าโดยบังเอิญ สายตาทั้งหกของมันจ้องประสานกันกับสายตาของลู่หยาง
ใบหน้าอันดุร้ายของมันดูเหมือนจะยิ้มให้กับลู่หยาง แต่ดวงตาสีทองทั้งหกนั้นส่องลำแสงสีทองหกเส้นมาเข้าดวงตาของเขา
ความเจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้ผุดแปล้บมาจากดวงตาของเขาแล้วซึมลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ
ลู่หยางกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเหวี่ยงน่องไก่ในมือทิ้งไปข้างๆ
“น้องชาย เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อซุนวูได้ยินเสียงกรีดร้อง เขารีบไปประชิดตัวของลู่หยางทันทีและถามไถ่เขาด้วยความเป็นห่วง
ลู่หยางปิดตาของเขาไว้แน่น มีเลือดและน้ำตาไหลออกมาจากมุมของดวงตาทั้งสองข้างของเขาทำให้ซุนวูตกใจจนอับจนปัญญา เขาคว้าหัวของลู่หยางทันทีและถามว่า: “น้องชาย เจ้าเป็นอะไรไป ตอนนี้เจ้าไม่สบายรึ? เจ้าจะตาบอดแบบนี้ไม่ได้ ใช่มั้ย “
ในความเห็นของซุนวู เขาไม่เคยเห็นลู่หยางเป็นเช่นนี้มาก่อน เขากำลังกินข้าวอยู่แล้วจู่จู่น้ำเลือดและน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเขา
“เป็นไปได้มั้ยว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บภายในมาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้?” ซุนวูถามด้วยความสับสน
ลู่หยางตั้งศรีษะตรงแล้วขยี้ตาอย่างแรง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
สิ่งที่เขาเห็นมีแต่ความมืดมิดแล้วร่องรอยของแสงก็ค่อยๆปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา จากนั้นภาพพร่ามัวก็ปรากฏขึ้น แต่เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของซุนวูได้ชัดเจน
โชคดีที่เขาไม่ได้ตาบอดสนิท ลู่หยางมีความสุขมากแล้ว หลังจากปรับให้เข้ากับวิสัยทัศน์ปัจจุบันของเขาแล้ว ลู่หยางก็ค่อยๆกระจายพลังงานในตัวของเขาเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้าง การมองเห็นของเขาเริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิดทีละนิด
เมื่อตระหนักว่าลู่หยางยังมองเห็นอยู่ ซุนวูรีบหาน้ำสะอาดจากข้างๆและช่วยลู่หยางเช็ดเลือดออกจากมุมตาของเขา เขาถามว่า: “เป็นยังไงบ้าง น้องชาย ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมั้ย?”
“มันยังมีมัวๆอยู่นิดหน่อย แต่ข้ามองเห็นแล้ว” ลู่หยางส่ายหัวแล้วพูด
“ถ้าอย่างนั้น บอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น จู่จู่มันกลายเป็นเช่นนี้ได้ยังไง “
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา ลู่หยางเองก็ไม่รู้แจ้งเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องจริง และอสูรร้ายที่เปล่งแสงรังสีที่รุนแรงก็ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาเหมือนกับที่เขาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน อย่างไรก็ตามดวงตาของลู่หยางเกือบจะบอดเนื่องจากการจ้องมองของอสูรร้ายหกตา ดังนั้นลู่หยางจึงไม่คิดว่ามันเป็นภาพลวงตาจริงๆ แต่เป็นการมีอยู่จริง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนข้าจะมองดูบางสิ่งบางอย่างก่อนหน้านี้ บางที อาจมีใครตั้งใจให้ข้าเห็น หรือบางทีในอนาคตอันใกล้นี้ สิ่งที่ข้าเห็นจะกลายเป็นความจริง!” สีหน้าของลู่หยางดูสงบ ขณะที่เขาบอกเล่าความคิดของเขา
หากสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง มันอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับอสูรร้ายที่มีหกตา แต่ที่ลู่หยางไม่เข้าใจคือว่าทำไมมีแต่เขาเท่านั้นที่เห็นทั้งหมดนี่
“ช่างมันเถอะ คิดเสียว่า ข้าโชคร้ายก็แล้วกัน แต่ก็โชคดีที่ข้าไม่ได้ตาบอด แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงทั้งหมดแล้วจะเป็นยังไง “
สิ่งเดียวที่ลู่หยางอยากรู้ก็คือภาพที่เขาเห็นตอนสุดท้าย อสูรหกตาไม่เพียงแต่จ้องมาที่เขาแต่ได้พูดบางอย่างกับเขาด้วย
“เจ้าช่างเป็นคนมีโชคจริงๆที่สามารถมองเห็นโลกของข้า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า โชคชะตาทำให้เราได้พบกัน “
เสียงนั้นดูเหมือนจะมาจากความฝัน มันเบาหวิวเหมือนไม่มีตัวตนและมันเข้าไปดังในหูของลู่หยาง เขาได้ยินมันไม่ชัดเจน หลังจากนั้นดวงตาของเขา เริ่มเจ็บและเขาไม่มีเวลามาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่อสูรร้ายพูด ตอนนี้ เมื่อเขาคิดถึงมันขึ้นมา เขารู้สึกว่าดูเหมือนจะมีความหมายอื่นที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังประโยคนั้น
ลู่หยางส่ายหัวสสัดความคิดในใจของเขาออกไป เขาพูดกับตัวเองว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มันไม่ใช่เพิ่งทำให้ตาของข้าเจ็บหรอกหรือ? เลวร้ายยิ่งกว่านั้น ข้าสามารถให้สัตว์เลี้ยงสงครามของข้าต่อสู้แทนข้าได้! “
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว น้องชาย เจ้ากินข้าวเสร็จแล้วหรือ ” “เอาล่ะ เราออกไปข้างนอกกัน”
“ข้าเกือบจะตาบอดแล้ว ข้ายังจะมีอารมณ์กินต่อได้ยังไง? ข้ากลัวจนแทบจะตายแล้ว ” ลู่หยางก้มมองที่เท้าของเขาและเห็นอะไรบางอย่างข้างใต้ เขามองเห็นไม่ชัด ดังนั้นเขาจึงได้แต่เตะมันเพื่อที่จะรู้มันเป็นน่องไก่ที่เขาโยนทิ้งไป
เขาเริ่มสบถอีกครั้ง “ไอ้ห่ าเอ้ย น่องไก่พ่อง.. ทำให้ข้าตกใจหมดเลย ข้าคงจะกินอะไรไม่อร่อยเลยช่วงนี้! “
เมื่อเห็นลู่หยางเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังจะมีอารมณ์ขัน ซูนวูก็หัวเราะคิกคัก เพราะทำให้ซุนวูรู้สึกดีกับเขา
เขาพูดว่า “ไม่เป็นไร เรียกสัตว์เลี้ยงสงครามของเจ้าออกมาสื แล้วขึ้นไปขี่มัน แล้วข้าจะนำทางให้เจ้า เจ้าสามารถปฏิบัติต่อมันในฐานะผู้คุ้มกันของข้าได้ “
“ไม่มีปัญหา!”
ลู่หยางเรียกต้าเฮ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดีและเหยียบขึ้นไปบนหลังของมัน แม้ว่ามันจะน่าอายนิดหน่อย แต่อย่างน้อยเขาก็อยู่บนหลังต้าเฮ่ย เนื่องจากในเวลานี้เขายังมองเห็นไม่ชัดเจน ลู่หยางจึงหลับตาและรวมจุดสำคัญไปที่หูของเขาโดยมุ่งเน้นไปที่การฟังเสียงรอบๆตัว
แม้ว่าเขาจะสูญเสียการมองเห็น แต่ประสาทสัมผัสรับรู้ของลู่หยางยังคงอยู่ทำให้การได้ยินของเขาเฉียบคมยิ่งขึ้น ลู่หยางได้ยินแม้กระทั่งความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยในสภาวะแวดล้อมรอบๆเขา
หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง ลู่หยางก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วถามซุนวูว่า “ท่านพี่ซุนวู ดูสิ มีความเคลื่อนไหวอะไรที่ข้างหน้านั่นมั้ย?”
ซุนวูมองไปในทิศทางที่ลู่หยางชี้ขึ้นมาทันที แต่ในที่สุดเขาก็ไม่พบอะไรเลย ในทิศทางนั้นมีหินก้อนใหญ่เพียงไม่กี่ก้อนที่โผล่ออกมาและก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
“เป็นไปไม่ได้!” ข้าได้ยินการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนจากตรงนั้น มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง? ” ลู่หยางกล่าวคำเหล่านั้นด้วยความสับสน แต่ในใจของเขานั้นเขาไม่เชื่อ
เจ้าต้องได้ยินผิดแน่ สถานที่นั้นจริง ๆ … ” ก่อนที่ซุนวูจะพูดจบ เกิดเสียงกึกก้องดังมาจากทางด้านหลังเขารบกวนคำพูดของเขา
“ไอ้ชิบหาย! มีบางสิ่งบางอย่างจริงๆ! “น้องชาย เจ้านี่เทพจริงๆ!”
ในพริบตาเดียว หินก้อนใหญ่แต่ละก้อนได้กลายเป็นอสูรร้ายปรากฏตัวต่อหน้าซุนวู
เขายังคงบ่นพึมพำว่า “ฝันนั้นเป็นจริง! “ดูเหมือนว่าอสูรร้ายหกตาก็จริงเช่นกัน!”
“น้องชาย เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” ซุนวูตกตะลึงเล็กน้อยและถามอย่างงงงวย
ลู่หยางดึงแขนของซุนวูและพูดกับเขาอย่างกังวลว่า “พวกเรารีบกลับกันเถอะ! เราต้องเตรียมทุกคนให้พร้อม! “
“น้องชาย ไม่จำเป็นต้องกังวลไป สถานที่นี้อยู่ไม่ไกล เราจะหยุดพวกมันที่นี่ หากมีความโกลาหลเกิดขึ้น ผู้คนที่อยู่ด้านหลังจะเห็นกันได้เอง”
ลู่หยางไม่ปล่อยให้เขาไป เขาคว้าแขนของซุนวูไว้และกระตุ้นให้เขามุ่งหน้ากลับ พาซุนวูไปกับเขาด้วย
เขารีบพูดว่า: “พี่ใหญ่ซุนวู ข้าไม่สามารถอธิบายให้ท่านฟังได้ในตอนนี้ เอาสั้นๆนะ ท่านต้องเชื่อใจข้า! เป็นเพราะภาพที่อยู่ตรงหน้าเราเกือบจะเหมือนกันกับที่ข้าเห็นในความฝันของข้า! “
ไม่น่าแปลกใจที่ซุนวูพูดว่าเขาต้องการสำรวจรอบ ๆ แม้ว่าลู่หยางจะมองเห็นไม่ชัดเจน เขายังคงยืนยันให้ซุนวูมองไปในทิศทางนั้น เพียงเพิ่อตรวจสอบสิ่งที่ลู่หยางเห็นในฝันของเขา
มีเพียงลู่หยางที่ไม่เคยคิดว่าสถานการณ์ในความฝันจะปรากฏขึ้นอีกครั้งและยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย! เร็วมากจนกระทั่งเขาไม่ได้มีการเตรียมตัวแม้แต่น้อยเลย
เขารีบนำข่าวกลับไปที่ค่ายพักชั่วคราวด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ลู่หยางหายใจหอบและพูดว่า “ทุกๆคน เชื่อข้า คลื่นอสูรดุร้ายระลอกนี้ที่อยู่ตรงหน้าเรานั้นไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถจัดการได้”
ไม่ต้องพูดถึงอสูรร้ายต่อหน้าพวกมัน ความดุร้ายของพวกมันนั้นเหนือกว่าอสูรครั้งก่อนหน้านี้ บนหลังของมันมีวานรดุเดือดเกราะทองคำและอสูรร้ายที่มีหกตา
เพียงแค่แลกเปลี่ยนสายตาจ้องประสานกับมันก็เกือบทำเอาลู่หยางต้องตาบอด ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่หยางในขณะนี้จะจัดการได้ ลู่หยางยังรู้สึกว่าอสูรดุร้ายที่มีดวงตาทั้งหกดวงนั้นน่ากลัวกว่าวานรดุเดือดขนทองเสียอีก
ลู่หยางในขณะนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอ และแม้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาก็ยังไม่ดีพอ มันเกินระดับการฝึกฝนปัจจุบันของพวกเขา หากอสูรร้ายนั้นปรากฏขึ้นจริงและพวกมันไม่ได้หนีไป ทางเดียวที่เหลือสำหรับพวกเขาก็คือความตาย
“ถ้าเราไปตอนนี้ เรายังทัน! ท่านลุงซัน ก่อนที่อสูรร้ายทั้งสองจะปรากฏตัวขึ้น เรารีบหนีกันก่อนดีกว่า! “ลู่หยางพูดอย่างร้อนใจ
“หลานชาย เจ้าไม่ใช่กล้าเสมอมาหรอกหรือ? เมื่อมีสัตว์อสูรที่นี่ เราควรจะยึดครองผืนดินของเราได้” ผู้เฒ่าซุนกล่าวอย่างจริงจัง
ในความฝันของลู่หยาง อสูรดุร้ายศิลาร่างยักษ์ปรากฏตัวก่อน และหลังจากนั้นวานรดุเดือดเกราะทองคำ กับราชสีห์ขนทองหกเนตร ก็มาถึง ลู่หยางรีบหันศีรษะไปดู ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นร่างสูงสีทองปรากฏขึ้นในสนามรบ
เขาพูดกับผู้เป็นบิดา และบุตรชายแห่งตระกูลซุนว่า “พี่ใหญ่ซุนวู ท่านลุงซุนลุง คราวนี้ข้าไม่กล้าจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่ข้าเห็นอสูรดุร้ายสองตัวนี้ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ช้าสูญเสียการมองเห็น และตอนนี้ อสูรร้ายทั้งสองได้ปรากฏตัวขึ้น … “
SB:ตอนที่ 69 การสืบทอดของทุ่งหมื่นอสูร
วานรดุเดือดเกราะทองคำ กับ ราชสีห์ขนทองหกเนตร เป็นอสูรที่ทรงพลังที่สุดในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น ทั้งสองปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันในสนามรบ นอกจากนี้อสูรดุร้ายที่มาพร้อมกับพวกมันนั้นล้วนเป็นอสูรดุร้ายที่ทรงพลังที่สุดในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นด้วย พวกมันรวมตัวจัดตั้งกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดและโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกมัน
ในใจกลางเมืองเซียงหยางทั้งท่านผู้ครองเมืองหวังและหลอหยุนซานลุกขึ้นยืนพร้อมกันจากที่นั่งในวังที่ใหญ่ที่สุดในเซียงหยาง
บรรดาผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลใหญ่ๆซึ่งหลับตาพักอยู่ต่างก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างแล้วจึงดึงตัวเองออกจากสภาวะที่พวกเขาพักสายตาอยู่ พวกเขาเบิกตามองไปที่ท่านผู้ครองเมืองหวังและหลอหยุนชาน แล้วถามด้วยความตกใจว่า “นั่นมันประกายรังสีอะไร!? ช่างชั่วร้าย ช่างทรงพลัง! “
หลอหยุนชานค่อย ๆ อ้าปากพูดขึ้นว่า “ในที่สุด มันก็อยู่ที่นี่แล้ว ไอ้สารเลวกลุ่มนี้ต้องการทำลายเมืองเซียงหยางของเราจริงๆ! “
ท่านผู้ครองเมืองหวังยืดอกขึ้นและพูดกับเหล่าผู้กล้าทั้งหมด: “ทุกๆท่านรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องจริง! นี่คือรัศมีของอสูรร้ายทั้งสองตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น! ตอนนี้เหล่าอสูรดุร้ายในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นอาจมาถึงเมืองเซียงหยางของเรา … “
“สำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับการสู้รบนัดนี้นัดเดียว! ทุกๆท่าน ความปลอดภัยของเมืองเซียงหยางอยู่ในมือของพวกเรา! “
พวกเขามักจะมารวมตัวกันอยู่ในคฤหาสน์ผู้ครองเมืองเพื่อพักฟื้นและสะสมพลังงาน ทั้งหมดนี้เพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือการรอคอยช่วงเวลานี้ เมื่อวานรดุเดือดเกราะทองคำและ ราชสีห์ขนทองหกเนตร ปรากฏตัวขึ้น เหล่าผู้เก่งกล้าของเมืองเซียงหยางทั้งหมดจะออกไปรวมตัวกันเพื่อปราบปรามพวกมัน!
แม้ว่าจะเคยเกิดวิกฤตการณ์ในเมืองเซียงหยางก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ผู้กล้าวัยเยาว์จำนวนมากเสียชีวิตไปในกระแสอสูร แต่ผู้กล้าที่แท้จริงเหล่านี้ไม่ได้เข้ามาช่วยพวกเขาไว้ พวกเขาได้แต่เฝ้ามองอย่างหมดหวังเมื่อประตูเมืองเซียงหยางถูกตีแตกโดยพวกอสูรร้ายและถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้งคฤหาสน์ผู้ครองเมืองด้วย และในที่สุดมันก็ถึงตาพวกเขาที่จะลุกขึ้นสู้
“ไปกันเถอะ เพื่อนพ้องข้า หลังจากที่ต่อสู้กันมานานแล้ว ก็ถึงเวลาที่พวกเราจะขึ้นไปบนเวที ” ให้พวกเด็กๆไปกันได้แล้ว พวกเขาทำได้ดีพอแล้ว “
“ทิ้งที่เหลือให้พวกเรา!”
ผู้เก่งกล้าระดับสูงล้วนเป็นผู้คุมอสูรชั้นสูงซึ่งมีทั้งหมดสี่คน เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสามตระกูลใหญ่และท่านผู้ครองเมืองหวังผู้นี้ล้วนแสดงถึงความแข็งแกร่งสูงสุดแห่งเมืองเซียงหยาง
“น่าเสียดายที่ผู้เฒ่าเฟิงไม่มาช่วย เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ใช่หนึ่งในพวกเราเมืองเซียงหยาง แม้ว่าเมืองเซียงหยางของเราจะแตก ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา “
“ใช่ถ้าเมืองเซียงหยางแตก พวกเราจะไร้บ้าน ผู้เฒ่าเฟิงอย่างมากก็กลับไปบ้านเกิดของเขา บางทีสถานที่นั้นอาจจะเหมาะสมสำหรับพัฒนาการของเขามากกว่า “
“ท่านผู้เฒ่าเฟิงได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยเราและเขายังได้เรียกชุมนุมงานรวมหมื่นอสูรสำหรับเราโดยเฉพาะ ถ้าไม่ใช่เพราะวิกฤตินี้ ท่านผู้เฒ่าเฟิงก็คงไม่กรุณาขนาดนั้น “
หลอหยุนชานยิ้มเล็กน้อย: “ผู้เฒ่าเฟิงไม่ได้มีน้ำใจ เขาแค่คว้าโอกาสที่จะตอบแทนที่เป็นหนี้เราในตอนนั้น ตอนนี้ความดีความชอบได้รับการชดใช้แล้ว บางทีหลังจากกระแสอสูรสงบลง ผู้เฒ่าเฟิงอาจจะจากไป “
เพื่อนพ้องทุกๆคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น แต่พวกเขาไม่พูดถึงมัน พวกเขาไม่รู้ถึงต้นกำเนิดของผู้เฒ่าเฟิงเช่นกัน เป็นเพียงเพราะพวกเขาไม่กี่คนได้ร่วมมือกันเพื่อช่วยชีวิตผู้เฒ่าเฟิงในปีนั้น ที่ผู้เฒ่าเฟิงเลือกที่จะเปิดลานหมื่นอสูรของเขาที่นี่ และผู้เฒ่าเฟิงก็อยู่ข้างหลังเช่นกัน
ด้วยสถานะของผู้เฒ่าเฟิง ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไปหากหนี้ได้รับการชดใช้แล้ว
“เฮ้อ! ด้วยลานหมื่อนอสูรเพียงแห่งเดียว ท่านได้ช่วยให้เรามีผู้เก่งกล้าในระดับสวรรค์ภาคภูมิตั้งมากมาย หากไม่มีอีกต่อไป เส้นทางในภายภาคหน้าของเมืองเซียงหยางจะไม่ง่ายอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ “” น้ำเสียงของท่านผู้ครองเมืองหวังเต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ
ในขณะที่พวกเขากำลังรีบเร่งไปด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา เขตชานเมืองของเซียงหยางได้กลายเป็นสนามรบไปแล้วและได้แผ่วงกว้างออกไปอย่างต่อเนื่องสู่ใจกลางเมืองเซียงหยาง ไม่มีแม้แต่ราษฏรคนเดียวที่กล้าอยู่ที่นี่ มีแต่ผู้คุมอสูรเท่านั้นที่ยังคงเดินร่อนเร่อยู่ในซากปรักหักพัง
อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของอสูรร้ายต่อหน้าพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาใช้พละกำลังทั้งหมดของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะพวกอสูรร้ายตรงหน้าได้
“หยุดต่อต้านอย่างดื้อรั้นได้แล้ว เมืองเซียงหยางของพวกท่านจะกลายเป็นอาณาจักรของพวกเราอสูรร้ายไม่ช้าก็เร็ว! บัดนี้ พวกท่านทุกคนสามารถตายได้อย่างสงบสุข! “
เสียงของราชสีห์ขนทองหกเนตรดังออกมาจากสนามรบ ลู่หยางปิดตาของเขาอยู่ แต่ใจเขาสั่น เขาคุ้นเคยกับเสียงนี้มากจริงๆ แม้ว่าเขาจะลืมเสียงนี้ได้ เจ้าของเสียงนี้เกือบจะทำให้ลู่หยางเป็นคนตาบอด
“เป็นเจ้านั่นเอง!” เจ้าสามารถพูดภาษามนุษย์ได้จริง! “ลู่หยางกรีดร้อง
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอสูรบ้าคลั่งที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่พวกมันแต่ละตัวมีพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นพวกมันจะสามารถส่งเสริมพวกอสูรร้ายในการพูดภาษามนุษย์
ลู่หยางคิดว่ามันเป็นความฝันและเขาไม่ได้ใส่ใจเลย แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินด้วยหูของตัวเอง จึงตัดสินใจที่จะเชื่อ
“พวกเราพบกันอีกเร็วจริงๆ!” เจ้าคนมีชะตา เจ้ารู้หรือไม่ว่าดวงตาของเจ้าหายดีแล้วยัง? “ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดพร้อมกับรอยยิ้มแปลก ๆ ขณะที่มันพบลู่หยางในฝูงชน
“คือมันจริง ๆ !” ความโกรธของลู่หยางเริ่มปะทุขึ้นแล้ว แต่เขาไม่สามารถมองเห็นว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรนั้นอยู่ที่ไหนในขณะนี้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงคำรามให้ดังเท่าที่จะทำได้
“เจ้าไม่ควรทำให้ตาของข้าบอด!” ลู่หยางคำราม ต้าเฮ่ยที่อยู่ข้างล่างเขารู้สึกถึงความโกรธของลู่หยาง มันออกแรงกระโดดเต็มที่แล้วพุ่งเข้าใส่ราชสีห์ขนทองหกเนตร ประตูอเวจีขนาดมหึมาเปิดออกอย่างช้า ๆ ต่อหน้าลู่หยาง
แม้ว่าลู่หยางจะไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งของราชสีห์ขนทองหกเนตร แต่ต้าเฮ่ยมองเห็น ต้าเฮ่ยขยับขึ้นไปอยู่ชั้นกลางแล้ว และสติปัญญาของมันเทียบเท่ากับเด็กอายุสิบหกปี มันรู้ว่าลู่หยางกำลังคิดอะไร และใช้ความสามารถเฉพาะตัวของมันได้เองโดยที่ไม่ต้องรอให้ลู่หยางสั่ง
โดยที่ไม่พูดอะไรซักคำ ลู่หยาเองก็เปิดประตูอเวจีด้วยเช่นกัน ประตูอเวจีทั้งสองมีแรงดึงดูดที่มหาศาลเหมือนกัน แม้แต่อสูรระดับสูงก็ยังถูกกำจัดโดยประตูอเวจี
“นรก… สุนัขศักดิ์สิทธิ์ … แต่… “พระเจ้า?”
วานรดุเดือดเกราะทองคำที่มีเพียงร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่ไร้ปัญญาทำได้เพียงเปล่งเสียงพยางค์เดียว ราวกับเด็กกำลังหัดพูด พูดได้ไม่ชัด แต่ถึงแม้มันไม่มีปํญญา แต่มันก็ไม่ได้โง่ มันยืนอยู่กลางประตูอเวจีทั้งสอง แบ่งปันแรงดึงดูดของประตูอเวจีกับราชสีห์ขนทองหกเนตร
เสียงต่ำๆยังคงดังก้องเหมือนฟ้าร้อง “แต่ … สุนัขล่าเนื้อนี้ … กำลัง มันยังอ่อนเกินไป! “
ฟันหมาป่าที่ทำขึ้นด้วยเหล็กสีดำในมือของมันหลุดออกจากแรงดึงดูดของประตูอเวจีและทุบลงไปอย่างจัง ประตูอเวจีทั้งสองบานถูกทุบเป็นชิ้น ๆ
ในฐานะที่เป็นเจ้าของประตูอเวจี ความสามารถเฉพาะตัวของลู่หยางและต้าเฮ่ยถูกทำลายลง พวกเขาก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ร่างของลู่หยางกระตุกแล้วลอยละลิ่วไปข้างหลังทันที
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะแปลก ๆ : “เจ้าถูกลิขิตมาแล้ว ข้าเคยได้ยินตำนานของเจ้า แต่ความแข็งแกร่งของเจ้า… “ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทรงพลังเท่ากับที่ตำนานว่าเอาไว้”
“ เจ้าไม่สามารถต้านทานแม้ของชิ้นเดียวจากวานรดุเดือดเกราะทองคำได้ ถึงกระนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถต่อสู้กับอสูรในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นของข้าได้รึ? “ เขาประเมินค่าตัวเองมากเกินไปจริงๆ”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดขึ้นว่า: “ช่างมันเถอะ วานรดุเดือด พวกเราไม่ได้สนใจที่จะฆ่ามนุษย์ที่ไม่มีทางสู้เช่นกัน เห็นแก่เขาที่เป็นคนมีโชคชะตา ยกเว้นให้เขาซักครั้งเถอะ “
“ฮึ!” ควันสีขาวสองสายพุ่งออกมาจากรูจมูกของวานรดุเดือดเกราะทองคำ แล้วมันพูดด้วยเสียงอันเย็นชา: “ชะตาลิขิต … เท่านี้แหละ! ต้องการปราบเรา … มันเป็นแค่ความคิดที่ปรารถนา! “
“กำราบพวกเจ้าทุกคน?!!” ลู่หยางได้ยินคำพูดของวานรดุเดือดเกราะทองคำ แต่เขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“ปราบพวกเขาเหรอ?” ลู่หยางไม่เคยคิดถึงด้านนี้เลย ความแข็งแกร่งของอสูรร้ายสองตัวนี้อาจเกินกว่าผู้คุมอสูรระดับสูง และแม้ว่าลู่หยางจะสามารถฝึกอสูรทั้งสองตัวนี้ด้วยระดับปัจจุบันของเขาเขาจะไม่สามารถควบคุมพวกมันได้
แค่การโจมตีครั้งเดียวจากวานรดุเดือดเกราะทองคำไม่เพียงทำลายประตูอเวจีเท่านั้น แต่ทั้งลู่หยาง และ ต้าเฮ่ยก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เขาไม่เคยคาดคิดว่าอสูรร้ายตัวใหญ่นี้จะมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ ลู่หยางไม่มีแม้เวลาที่จะเรียกใช้ระฆังทองคำอมตะของเขาก่อนที่เขาจะบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เขาได้แต่นอนเฉย ๆดูการโจมตีใส่กลุ่มคนของวานรดุเดือดเกราะทองคำโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตระกูลต่าง ๆ มารวมตัวกันและล้อมอสูรร้ายทั้งสองไว้ป้องกันไม่ให้พวกมันข้ามผ่านเข้าไปในสระสายฟ้าฟาดแม้เพียงครึ่งก้าว หากพวกมันเข้าไปในฝูงชนได้ ผลที่ตามมาก็ไม่อาจที่จะพรรณนาได้
ภายในเมืองเซียงหยางมีมากกว่ายี่สิบตระกูล นอกจากตระกูลยิ่งใหญ่สามอันดับแรกแล้ว ผู้อาวุโสสิบแปดคนที่เหลืออยู่ที่นี่กันทั้งหมดและทุกๆคนล้วนเป็นผู้เก่งกล้าของผู้คุมอสูรชั้นกลาง อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งเช่นนี้ยังไม่อาจทนต่อการโจมตีของวานรดุเดือดเกราะทองคำได้ บางครั้ง พวกเขาใช้ไม่ได้แม้แต่ไม้ แล้วก็จะถูกเหวี่ยงลอยไปพร้อมๆกับอสูรร้าย
หลังจากผ่านไปสองถึงสามยก จากผู้กล้าทั้งสิบแปดคน มีเพียงผู้เฒ่าซุนและคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนที่เหลืออยู่
“มีพวกเราอยู่ที่นี่ เจ้าจะทำร้ายคนของเราไม่ได้เด็ดขาด!” ผู้เฒ่าซุนคำรามขึ้นด้วยพลังทั้งหมดของเขา
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ วานรดุเดือดเกราะทองคำไม่ได้แยแส
ราชสีห์ขนทองหกเนตรเย้ยหยันและพูดว่า: “จะมาสละชีวิตเพื่ออะไร เพื่อนยาก เป้าหมายของเราในวันนี้คือหลอหยุนชาน ถ้าท่านรู้ว่าอะไรดีสำหรับท่านแล้วละก็ เรามาทบทวนกันเถอะ ถ้าท่านทำไม่ได้ ข้าก็คงจะต้องส่งพวกท่านไปตามทางของพวกท่านเท่านั้น “
เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไร ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็หัวเราะแปลก ๆ : “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะเจรจาแล้ว?”
“วานรดุเดือดเกราะทองคำ ข้ารู้ว่าเจ้าอดกลั้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เจ้าไม่มีการต่อสู้ที่ดีก่อนหน้านี้” ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะฝากเพื่อนพ้องเหล่านี้ไว้กับเจ้า ข้าจะไปหาหลอหยุนชาน ดูซิว่าเขาจะหลบซ่อนตัวได้นานแค่ไหน “
“เสียงดังกราว!”
คทาที่ทำจากเหล็กสีดำทุบลงบนหน้าอกขอวานรดุเดือดเเกราะทองคำก่อให้เกิดเสียงดังจนหูอื้อ แท่งเหล็กสีดำนั้นหนักเหลือเชื่อ หากแม้มันตกใส่คนและอสูร จะทำให้บาดเจ็บหรือถึงตายได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันตีลงบนวานรดุเดือดเกราะทองคำ เกราะทองคำของมันแทบไม่มีร่องรอยของความเสียหายเลย
มีเพียงการป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นนี้ที่พอจะเปรียบเทียบกับระฆังทองคำอมตะได้ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นแข็งแกร่งกว่าระฆังทองคำอมตะ ในสถานะนี้ วานรดุเดือดเกราะทองคำมีชีวิตอยู่ยงคงกระพัน ถึงแม้ว่า ผู้เฒ่าซุนและผู้กล้าคนอื่นๆจะโจมตีด้วยกัน พวกเขาอาจจะไม่สามารถฝ่าการป้องกันของวานรดุเดือดเกราะทองคำได้ แล้วก็อาจจะตายในที่สุด
นอกจากนี้ยังมีราชสีห์ขนทองหกเนตรที่ยังไม่ได้ลงมือเคลื่อนไหว ลู่หยางรู้สึกได้ถึงรัศมีที่น่ากลัวกว่าของราชสีห์ขนทองหกเนตร
มันแสดงให้เห็นว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรนั้นแข็งแกร่งกว่าวานรดุเดือดเกราะทองคำ
“ข้าต้องทำยังไง!” ลู่หยางเฝ้าถามตัวเองอยู่ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ซุนวูและผู้เฒ่าซุนยังอยู่ในกลุ่ม แต่คนเหล่านี้ดื้อเกินไปและไม่ยอมฟังลู่หยาง มิฉะนั้น หากพวกเขาล่าถอยกลับไปก่อนหน้านี้ พวกเขาจะไม่เข้าสู่สถานการณ์อันตรายที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้
ลู่หยางเกลียดที่เขาไม่แข็งแรงพอ เขาไม่สามารถหยุดอสูรทั้งสองจากการก่ออาชญากรรมและสังหารหมู่มนุษย์
“หลานชายลู่หยาง พวกเรารู้ว่าเจ้าคิดอะไร “แต่ข้างหลังพวกเรานั่นคือบ้านของข้า แม้ว่าข้าจะต้องตายในสนามรบ ข้าก็ทนดูไม่ได้ที่จะต้องเห็นบ้านของเราถูกทำลายลง … ” นี่เป็นความคิดสุดท้ายของผู้เฒ่าซุน
พันธมิตรของคนทั้งสิบแปดคนถูกทำลายโดยวานรดุเดือดเกราะทองคำ รวมถึงผู้เฒ่าซุนผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ขณะนี้ เขานอนอยู่บนพื้นกับลมหายใจสุดท้ายของเขา ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้น
เมื่อเห็นแท่งเหล็กขนาดใหญ่ของวานรดุเดือดเกราะทองคำยกสูงขึ้นที่พร้อมจะฟาดลงบนศรีษะของเขาในวินาทีต่อมา
ผู้เฒ่าซุนหลับตาลงอย่างหมดหวัง พร้อมที่จะยอมรับชะตากรรมของเขา
ขณะที่คทาเหล็กสีดำกำลังจะฟาดลงมา มีแสงสีทองสาดมาจากขอบฟ้า ในช่วงเวลานั้นลู่หยางอดที่จะลืมตาไม่่ได้ โลกเบื้องหน้าสายตาของเขานั้นไม่พร่ามัวอีกต่อไปและมันก็ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม
SB:ตอนที่ 70 อสูรขั้นสุดยอดทั้งสอง
เมื่อลู่หยางเปิดตาของเขาโลกที่อยู่ข้างหน้าดวงตาของเขาก็ชัดเจนมาก มันไม่ได้เป็นสีเทาและหมอกอีกต่อไปและชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าก่อนที่ลู่หยางจะหมดสติไป
หลังจากที่ได้เห็นโลกนี้อีกครั้งเขาจ้องไปที่วานรดุเดือดเกราะทองบัดนี้ วานรดุเดือดเกราะทองกำลังเหวี่ยงกระบองดำของมันไปที่หัวเฒ่าซุน แต่สุดท้ายมันหวดโดนแสงสีทอง
ลู่หยางไม่เคยรู้มาก่อนว่าแสงสีทองนี้มาจากไหน แต่จริงๆแล้วมันสามารถต้านทานพลังเต็มรูปแบบของวานรนี้ได้ สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือการมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงของเซียงหยาง
โฮก!
เมื่อการโจมตีของมันถูกบล็อกอย่างเต็มกำลังทำให้เจ้าวานรอารมณ์ไม่ดี มันโบกกระบองเหล็กสีดำในมือของมันและทุบมันอีกครั้ง
แสงสีทองที่อยู่เบื้องหน้ามันค่อยๆจางหายไปเผยให้เห็นร่าง เมื่อกระบองเหล็กสีดำพุ่งชนชายผู้นั้นก็มองที่เจ้าวานรทั้งสองดูเหมือนจะอยู่ในระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ลู่หยางยังสงสัยว่าถ้าบุคคลนี้ลงไปผู้นั้นจะเละหรือไม่?
เมื่อลู่หยางคิด ร่างสูงก็ปรากฏขึ้น เขายืดแขนอันทรงพลังของเขาและสกัดค้อนอันร้ายแรงนี้
“น่าสนใจ เฒ่าหวังออกมาแล้ว หรือว่าเฒ่าหลอต้องการจะซ่อนตัว “
ด้วยดวงตาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกตาทำให้ราชสีห์ขนทองหกเนตรมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ การโจมตีของวานรอันรุนแรงถูกขัดขวางโดยบางคนดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามราชสีห์ขนทองได้เห็นทุกสิ่งแล้ว
เขารู้ตัวตนของคนที่อยู่ข้างหน้าเขาและต้องการให้หลอหยุนชานเผยตัว
แสงสีขาวพุ่งทะลุท้องฟ้าเหมือนตอนแสงสีทองปรากฏขึ้น ในพริบตาเดียวแสงสีขาวก็มาถึงสนามรบและในที่สุดก็กระจายออกเผยให้เห็นหลอหยุนชาน
เขาเงยหน้าขึ้นมองจ้องมองอาวุธรุนแรงวานรเกราะทอง เขาไม่ได้มีอารมณ์ดีนัก “สัตว์ประหลาดอายุเป็นพันปีมาแล้วกำลังรังแกเด็ก หรือว่าเจ้าใช้ชีวิตมานานจนกลายเป็นสุนัขที่รังแกคนอ่อนแอกว่าแล้ว? “
“ฮ่าฮ่า วานรเกราะทอง คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า” เจ้าเมืองหวังก็หัวเราะและพูดเช่นกัน
เขามีสัตว์เลี้ยงสี่ตัวทั้งหมดเป็นชั้นจักรพรรดิ์ หนึ่งในนั้นคืออสูรเกราะศิลาซึ่งสามารถป้องกันได้ดี กระบวนท่านั้นถูกรับไว้โดยอสูรเกราะศิลา เมื่อร่วมมือกับอสูรเลี้ยงตัวอื่นของเขามันรับมือกับวานรเกราะทองนี่ได้ดี
“สำหรับเจ้า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้า” หลอหยุนชานจ้องที่ดวงตาทั้งหกของราชสีห์ขนทองหกเนตรและพูดเบา ๆ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถซ่อนความรุนแรงในสายตาของเขา
ราชสีห์ขนทองหกเนตรก็หัวเราะ: “ชายชราหลอเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเราแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันแล้ว เจ้าเอาชนะข้าได้หรือ “
“บัดนี้แตกต่างจากอดีตแล้ว ข้าตามหาเจ้าเพื่อจะสู้กับเจ้า แต่ข้าไม่คิดว่าจะต้องร่วมมือกับปีศาจในอเวจี! “
ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับข้า มันจะต้องตายแม้มันจะแข็งแกร่งก็ตาม! วันนี้เรามาต่อสู้กันครั้งสุดท้ายกันดีกว่า! “
ราชสีห์ขนทองหกเนตรให้รอยยิ้มแปลก ๆ และใบหน้าสัตว์ร้ายนั้นเผยให้เห็นร่องรอยของความฉลาดแกมโกงและกล่าวว่า: “นั่นแหละที่ข้าต้องการ เฒ่าหลอ เจ้าไม่ต้องมองโลกในแง่ร้ายเกินไป มันจะมีโอกาสมากมายที่จะต่อสู้ในอนาคต ทว่าถ้าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้วันนี้ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสอีกครั้งในอนาคต “
ราชสีห์ขนทองหกเนตรที่เต็มไปด้วยสติปัญญาความฉลาดของมันอาจเทียบได้กับสัตว์ร้ายโบราณ หากไม่มีผลประโยชน์เพียงพอมันเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะทำงานโดยไม่มีเหตุผล เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันก็คือการแข็งแกร่งขึ้นและเมื่อผลประโยชน์อยู่ในมือของเขาแม้ว่าหลอหยุนชานจะไม่ตายในครั้งนี้เขาก็จะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้กับราชสีห์ขนทองหกเนตรอีกต่อไปในอนาคต
“ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าหรอก!”
“เช่นนั้นก็เข้ามา!” ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดช้าๆ
ร่างกายของมันเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ขนสีขาวที่ปกคลุมด้วยหิมะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแล้วร่างเล็ก ๆ ของมันก็ใหญ่ขึ้นอย่างช้าๆ
นี่คือสถานะการต่อสู้ของราชสีห์ขนทองหกเนตรจากเดิมทีมันไม่ได้ตั้งใจจะจู่โจมก่อนแต่เฝ้ารอหลอหยุนชานเป็นฝ่ายบุก
เฒ่าหลอมีบางอย่างที่ข้าต้องบอกเจ้า ภารกิจข้าไม่ใช่เอาชนะเจ้าแต่เพียงหยุดเจ้า “
สัตว์อสูรคลั่งสองสามตัวกระโจนออกมาจากข้างหลังของราชสีห์ขนทองหกเนตร รังสีพวกมันแผ่กระจายไปกดดันอสูรโดยรอบจนหมด
พวกนี้เป็นอสูรชั้นยอดที่แท้จริงของเทือกเขาเทวะร่วงหล่น แม้จะมีพวกมันมีไม่มาก แค่ห้าตัว ทว่ารังสีพวกมันนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ลู่หยางได้ทำการวิเคราะห์สัตว์ร้ายที่ทรงพลังที่สุดสองสามตัวต่อหน้าเขาด้วยระบบตรวจสอบข้อมูลและค้นพบว่าสัตว์ดุร้ายตัวสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นนั้นมีสายเลือดระดับยอด และมีความแข็งแกร่งถึงระดับสูงแล้ว
เมื่อลู่หยางเห็นข้อมูลเกี่ยวกับราชสีห์ขนทองหกเนตรเขาตกใจยิ่งกว่าเดิม
“สัตว์อสูร: ราชสีห์ขนทองหกเนตร”
“คุณสมบัติ: โลหะ”
“ระดับ: สัตว์ร้ายระดับสูง”
“สายเลือด: ระดับจักรพรรดิ์(มีเสี้ยวของสายเลือดปราชญ์)”
“ความสามารถเทวะโดยกำเนิด: แสงศักดิ์สิทธิ์หกเนตร”
“สัตว์อสูร: วานรดุเดือดเกราะทองคำ”
“คุณสมบัติ: โลหะ”
“ระดับ: ขั้นสูง”
“สายเลือด: ระดับจักรพรรดิ์(มีเสี้ยวของสายเลือดปราชญ์)”
“ทักษะติดตัว: การกลายร่างด้วยความคลั่ง (ระดับสุดยอด ช่วยให้มันสามารถกระตุ้นศักยภาพของตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งอย่างมาก
หลังจากอ่านข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันลู่หยางตกตะลึงอย่างรุนแรง ไม่น่าแปลกใจที่สัตว์ดุร้ายสองตัวที่อยู่ข้างหน้าเขานั้นโหดเหลือเกินและทำไมหลอหยุนชานถึงต้องจริงจังเมื่อเผชิญหน้ากับพวกมัน
เขาพึ่งเข้าใจก็ตอนนี้ว่าทำไมทั้งสองถึงสามารถเป็นสองราชาที่แข็งแกร่งที่สุดของหุบเขาเทวะร่วงหล่นได้ แม้แต่สัตว์ดุร้ายเหล่านั้นที่มีสายเลือดระดับจักรพรรดิ์ก็ต้องนอบน้อมและฟังคำสั่งพวกเขา
โดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งเพียงแค่จากแรงกดดันทางสายเลือดนั้นเพียงอย่างเดียวสัตว์ดุร้ายตัวอื่น ๆ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับพวกมันทั้งสอง
มีผู้ควบคุมสัตว์ระดับสูงทั้งหมดสี่คนเท่านั้นและเพื่อจัดการกับสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนเขาได้ส่งผู้ควบคุมสัตว์ร้ายระดับสูงทั้งสองที่แข็งแรงที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ตามสัตว์ที่เหลืออีกห้าตัวนั้นก็เป็นสัตว์อสูรขั้นสุดยอดแห่งหุบเขาเทวะร่วงหล่น ลูหยางไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลอีกสองคนสามารถหยุดสัตว์ร้ายระดับสูงทั้งห้านี้ได้หรือไม่
“ไม่ต้องห่วงน้องชายผู้นำตระกูลทั้งสองนั้นไม่ไม่อ่อนแอหรอก แต่ละคนมีสัตว์ร้ายระดับสูงสี่ตัวในมือพวกเขาจะไม่สูญเสียใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กับสัตว์ร้ายห้าตัวก็ตาม ” ซุนวูปลอบโยนลู่หยาง
ลู่หยางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตบหน้าอกของเขา
การต่อสู้ในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลู่หยางจะเข้าไปยุ่งอีกต่อไป ตอนนี้มีสัตว์ร้ายระดับสูงในสนามรบ เขาทำได้แค่มองหาสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจและจัดการอสูรระดับต่ำเพื่อเก็บคะแนน
ตอนนี้มันผ่านตอนเที่ยงมาแล้ว มีเสียงเคลื่อนไหวมาจากด้านหลัง ลู่หยางหันกลับไปมอง จากนั้นเขาก็รู้ว่ากองทัพที่ไปที่นั่นก่อนหน้านี้ทุกคนมีอาวุธอยู่แล้วและเมื่อถึงเวลาเที่ยงพวกเขาก็รีบวิ่งออกจากลานหมื่นอสูรเพื่อให้การสนับสนุน
“เยี่ยมมากในที่สุดเราก็สามารถออกจากสนามรบนี้ได้” ซุนวูพูดด้วยความตื่นเต้น
ลูหยางยิ้มกว้างและพูดว่า “จริงสิข้าไม่ได้เข้าร่วมลานหมื่นอสูรรอบที่แล้ว
ขณะที่เขาพูดถึงที่นี่ซุนวูมองลู่หยางด้วยท่าทางแปลก ๆ และพูดว่า “เด็กน้อย เจ้าซ่อนพลังฝีมือเก่งจริงๆ ใครจะรู้ว่าสัตว์ร้ายที่ดุร้ายของเจ้าถูกนำออกมาจากการลานหมื่นอสูรรอบที่แล้ว ข้าเคยคิดว่าเจ้าใช้เม็ดยานำจิตวิญญาณในการเป็นผู้ฝึกอสูร ข้าไม่คิดว่าเจ้ามีความลับมากมายเช่นนี้ “
“เอ่อนี่…” เมื่อซุนวูพูดเช่นนี้ลู่หยางก็พูดไม่ออก เพียงแค่นั้นทุก ๆ คนจะมีความลับบางอย่าง เช่นเดียวกับซุนวู เขาเองก็พบโชคลาภ แต่เขาไม่เคยบอกใครเรื่องพวกนี้
เขาตบไหล่ของลู่หยางและยิ้มเบา ๆ กับเขาเพื่อบรรเทาบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ ซุนวูกล่าวว่า “เอาล่ะน้องชายข้ารู้บุคลิกของเจ้าถ้าเจ้าไม่พูดเจ้าจะต้องมีเหตุผลของเจ้า แต่คราวนี้เจ้าไม่สามารถโกหกข้าได้ข้าหวังว่าเจ้าจะแสดงทักษะของเจ้าให้ข้าได้เห็น! “
“ไม่มีปัญหา!” ลู่หยางเห็นด้วยอย่างง่ายดาย
คนกลุ่มสุดท้ายถอยออกจากสนามรบและรีบไปที่ลานหมื่นอสูร นี่เป็นที่เดียวที่พวกเขาจะได้รับอสูรเพิ่ม หลังจากศึกอันยาวนาน สัตว์อสูรของพวกเขาตายหมดแล้ว หากพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากลานหมื่นอสูรพวกเขาอาจจะไม่สามารถเข้าสู่สนามรบได้
ลานหมื่นอสูรนั้นมีอสูรเยอะอยู่เสมอ ข้าสงสัยว่าจะได้รับอสูรชนิดใดในครั้งนี้? ก่อนที่จะถึงลานหมื่นอสูรทุกคนเริ่มคาดเดาเกี่ยวกับการรวมตัวหมื่นอสูรในวันนี้
“ข้าสงสัยว่าจะมีสัตว์ร้ายชั้นจักรพรรดิ์ปรากฏตัวในครั้งนี้หรือไม่?”
ภายในเมืองเซียงหยางจะมียอดฝีมือชั้นยอดอยู่สองสามคน ครั้งที่แล้วพวกเขาพลาดระดับอสูรระดับจักรพรรดิ์และรู้สึกว่ามันน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตามงานรวมตัวหมื่นอสูรคราวนี้ไม่ต้องใช้ผลึก แต่มันใช้คะแนน นอกจากนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่จะคืนเงินเดิมพัน แต่คราวนี้แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จเขาก็จะไม่คืนเงิน ท้ายที่สุดแล้วคะแนนไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเหมือนผลึก
ดังนั้นแม้ว่าสัตว์ร้ายที่หายากจะปรากฏขึ้นมันไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีโอกาสได้มา คะแนนเป็นเหตุผลที่แท้จริง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและการมีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้
เมื่อดูกฎกติกาครั้งนี้ลู่หยางหัวเราะในใจของเขาอย่างลับ ๆ หากไม่ใช้ผลึกแต่แข่งกันด้วยคะแนนมีคนไม่กี่คนในเซียงหยางที่กล้าจะต่อสู้กับเขา หากไม่ใช่เพราะจริง ๆ แล้วลู่หยางไม่มีทางที่จะเพิ่มระดับประเป๋าสัตว์เลี้ยงของเขาอีกต่อไปเขาจะสามารถทำเงินได้มากมายที่นี่โดยไม่ต้องรวบรวมสัตว์ป่าในสนามรบ
เสียงโหวกเหวกสงบลงทันทีและทุกคนจ้องไปที่ลานหมื่นอสูร สิ่งที่พวกเขาเห็นคือคนอ้วนที่แต่งตัวในชุดฟุ่มเฟือยที่เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างช้าๆจากนั้นใช้เสียงที่ดังและชัดเจนในการตะโกน:
“ให้ข้าประกาศให้ทุกคนฟังว่าการรวมตัวหมื่นอสูรวันนี้จะเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น