วุ่นรักบุปผาร้อยเล่ห์ 5.1-5.11

 ตอนที่ 5-1

 


รยูฮาติดตามร่องรอยของโฮจินตั้งแต่ตอนสายจนถึงบ่ายแก่ ที่เหลืออีกสามคนก็เช่นเดียวกัน แล้วทั้งสี่คนที่ซึ่งแต่ละคนได้ข้อมูลกระจัดกระจายกันออกไปก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ณ ที่แห่งหนึ่งในเวลาพลบค่ำ 


 


“วัตถุดิบจำพวกหนึ่งที่ใช้ทำยาหายไปจากห้องยาเพคะ มั่นใจมากว่าเป็นของที่แค่คนชั้นสูงเท่านั้นที่มี โดยเฉพาะส่วนใบงาขี้ม่อนก็หายไปอยู่เรื่อย สิ่งนี้ใช้ลดไข้ ทำให้รู้สึกสบายใจและจิตใจสงบลงเพคะ ดูจากยาสมุนไพรที่ใช้กับบาดแผลไม่ได้หายไป แสดงว่าน่าจะไม่มีคนบาดเจ็บ โรงหมอที่เสียหายมากที่สุดคือที่นี่เพคะ” 


 


มินอารายงานหลังจากเข้าไปสำรวจห้องยาที่มีขโมยเข้าไป บนแผนที่ซึ่งหญิงสาวยื่นออกมาแสดงตำแหน่งของห้องยาที่อยู่ใต้เชิงเขา ยาสมุนไพรที่ช่วยลดไข้และทำให้จิตใจสงบลง ตรงนี้เองทำให้รยูฮานึกถึงคำพูดของฮอนที่บอกว่าร่างกายอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด  


 


ฮาแบค ท่านพี่คนที่สองของรยูฮามีทั้งยาสมุนไพรและยาพิษ เขามีพรสวรรค์เหนือกว่าพวกหมอเสียอีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโฮจินเป็นพิเศษ เพราะอย่างนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่โฮจินผู้ซึ่งร่ำเรียนเกี่ยวกับยาสมุนไพรจะเลือกเอาแต่ยาชั้นสูงไป  


 


“เหล่าทหารที่ติดตามร่องรอยของโจรไปบอกว่าไม่ใช่การกระทำของคนคนเดียว ร่องรอยแยกกันออกไปหลายทาง พอลองติดตามไปดูร่องรอยก็ขาดหายไปทำให้ตามหาต่อไม่ได้” 


 


จากคำพูดของฮอนทำให้มั่นใจได้ว่าโจรที่ตอนนี้พวกเขากำลังตามหากันอยู่คือโฮจิน การลอบสังหาร การคุ้มกันและซ่อนตัวล้วนเป็นความถนัดของโฮจิน คนเก่งกาจที่สามารถหลบเลี่ยงการตามล่าขนาดนี้ได้มีไม่มาก 


 


“ราวๆ เช้ามืดเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากทางบนเขา แต่พอไปถึงที่นั้นก็พบเพียงแค่กองไฟไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตามหาคนก่อไม่เจอเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


และข้อมูลสุดท้ายที่มาจากชานทำให้รยูฮาตกอยู่ในอาการไม่พอใจ  


 


“ดูท่าไม่ดีเลยเพคะ สองคนนั้นซ่อนตัวอยู่แถวนี้ไม่ผิดแน่เพคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าตอนนี้อาจจะเดินทางออกจากที่นี่ไปแล้วด้วยเพคะ” 


 


“ทำไมถึงคิดเช่นนั้น” 


 


“ไฟนี้ก่อไว้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเพคะ แล้วอาศัยช่องว่างช่วงที่เราออกค้นหาหนีออกไปจากจุดที่เป็นอันตราย ทางเราเองถ้าเคลื่อนไหวให้เร็วก็น่าจะเป็นการดีที่สุด แต่ว่าวันนี้อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วเรื่องย้ายที่คงเป็นงานหนัก หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคืนนี้จะเป็นเช่นไร เอาเป็นว่านอนเฝ้าตรงปากทางขึ้นเขาที่ห้องยาตั้งอยู่เถอะเพคะ เฮ้อ” 


 


พูดจบรยูฮาก็ถอนหายใจยาวอย่างอึดอัดแล้วฟุบหน้าลงบนโต๊ะ เมื่อตอนกลางวันรยูฮาขึ้นไปบนเขา แต่ก็ไม่พบที่ซ่อนตัวของโฮจิน  


 


ฮอนลูบแผ่นหลังไร้เรี่ยวแรงนั้นแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าก็ตาม 


 


“ไปห้องบรรทมกันเถอะ ข้าจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้เจ้าเอง” 


 


“เช่นนั้นหรือเพคะ” 


 


พอนึกถึงการนวดอันแสนสบาย สีหน้าของของรยูฮาก็สดใสขึ้นเล็กน้อยแล้วขยับตัวออกจากโต๊ะเพื่อบิดขี้เกียจ และตอนนั้นเองพอสบสายตากับชานที่ทำหน้าบูดบึ้ง รยูฮาตั้งใจจะพูดออกไปว่า ‘สีหน้าองค์ชายดูรำคาญมากเลยเพคะ’ แต่ด้วยความที่ไม่อยากทะเลาะจึงเปลี่ยนเป็นคำถามแทน 


 


“องค์ชายทำไมทำหน้าเช่นนั้นเล่าเพคะ” 


 


ตอนนี้ชานกำลังทำให้ใจเย็นลงอยู่ ต่อให้เป็นคู่สามีภรรยากัน แต่ชวนกันเข้าห้องตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้มันก็อย่างไรอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นความไม่สบายใจก็ทำให้ในใจของเขาเดือดปุดๆ แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมสีหน้าที่บูดเบี้ยวขึ้นทุกเวลาทุกนาทีได้ 


 


“กระหม่อมก็แค่เหนื่อยน่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องไปขานชื่อทหารแล้ว ขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”  


 


ชานก้มหัวเพื่อกล่าวลาแล้วปิดประตูหายไปทั้งอย่างนั้น รยูฮาซึ่งเฝ้ามองเขาส่งสายตาราวกับสงสัยไปทางฮอน นางรู้สึกว่าสองพี่น้องทำท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่เช้ามืดแล้ว 


 


“มีเรื่องอะไรกันหรือเพคะ” 


 


“พระชายาพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ” 


 


ฮอนทำตัวมีเลศนัยเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วขยับตัวลุก รยูฮาเลิกสนใจความสัมพันธ์ของสองพี่น้องแล้วลุกขึ้นตาม นางฟังสองพี่น้องโต้เถียงกันมาทั้งวันแล้ว การฝากร่างกายอันแสนเหนื่อยล้าเพราะเดินขึ้นเขาไว้กับสัมผัสของฮอนจึงเป็นเรื่องสำคัญกว่า  


 


มินอาผู้ที่ออกจากห้องมาเป็นคนสุดท้ายยิ้มเจื่อน แต่เพราะนางหมุนตัวหายไปจึงไม่มีใครได้เห็นสีหน้านั้น  


 


 


 


หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าและเสียงกลองห้ามสัญจรไปมาดังขึ้น 


 


สองเงาหายไปทางด้านหลังจวนเจ้าเมือง พอสองเงานั้นหายไปในความมืด เหล่าเงาอื่นๆ ก็ซ่อนตัวอยู่ภายในตรอกเล็กๆ 


 


“องค์ชาย” 


 


มินอาเดินตามเข้าไปในตรอกเล็กๆ แล้วเอ่ยกับชานเบาๆ หลังจากที่หญิงสาวบีบคอเขาแล้วถามว่าเป็นใครในวังร้างนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางเอ่ยปากกับเขาก่อน ชานสะดุ้งนิดๆ แต่ก็ตอบกลับไปอย่างเงียบๆ 


 


“ว่ามา” 


 


“มันย่อมมีสิ่งที่ไม่เป็นไปดังใจเรา แต่หากเผยท่าทีเช่นนี้ไม่นานพระชายาก็คงดูออกนะเพคะ” 


 


ที่มินอาพูดมานั้นถูกต้องที่สุด เขานึกขอบคุณที่สามารถปิดบังดวงตาอันสั่นสะท้านราวกับเกิดแผ่นดินไหวไว้ได้ อาจจะเพราะไม่ใช่เรื่องที่จะมาพยักหน้าตามได้ ชานจึงไม่ยอมมองไปทางมินอาแล้วตอบกลับไปอย่างสงบ 


 


“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่” 


 


“เรื่องที่หม่อมฉันจะทูลมีเพียงเท่านี้เพคะ” 


 


มินอาไม่พูดต่อแล้วเม้มปากไว้แน่น พอย้ายตำแหน่งและหลบไปทางนั้นทางนี้เพื่อหลีกเลี่ยงเหล่าทหารที่เดินตรวจตราภายใต้ความเงียบอันน่าอึดอัด นางก็มาถึงตรงปากทางขึ้นเขาที่นัดแนะกันไว้โดยไม่ทันได้รู้ตัว 


 


“หม่อมฉันกับมินอาจะเฝ้าอยู่ที่นี่ ฝ่าบาทกับองค์ชายเดินสำรวจสักรอบแล้วค่อยกลับมานะเพคะ” 


 


รยูฮาปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนสักแห่งพร้อมกับกระซิบเสียงเบาแล้วดึงมินอาเข้ามาหาตัว ตอนนั้นเองดวงจันทร์ที่ถูกก้อนเมฆบดบังก้อนเมฆเคลื่อนตัวออกมา เผยให้เห็นภาพของรยูฮาใต้แสงจันทร์เลือนราง ชานจ้องมองไปทางหญิงสาวราวกับไม่สามารถละสายตาได้ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ตัว  


 


‘ชุดเครื่องแบบเข้ากับพระชายามากที่สุดเพคะ องค์รัชทายาทน่าจะตกหลุมรักนะเพคะ’ 


 


เป็นเช่นนั้นตามคำของมินอาเมื่อเช้า ชุดเครื่องแบบสีดำถูกสวมใส่พอดีตัวเพื่อให้สะดวกต่อการเคลื่อนไหว ซึ่งปกติแล้วจะสวมทับหลายชั้นและเผยให้เห็นทรวดทรง ยิ่งไปกว่านั้นสายตาที่ถูกส่งออกมาเหนือหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าช่างเฉียบคมเหมือนจะทะลุเข้าไปในหัวใจ แม้แต่ใบหูเล็กๆ ใต้ผมที่ถูกรวบขึ้นนั้นก็ดูมีอะไรที่ทำให้ผู้เป็นสวามีหวั่นไหวได้  


 


“ไปกันเถอะ เสด็จพี่” 


 


แน่นอนว่าฮอนไม่สบายใจกับสายตาของชานจึงคว้าแขนอีกฝ่ายลากไป เป็นครั้งแรกที่เอ่ยปากพูดด้วยหลังจากเรื่องเมื่อคืน แต่พอไม่มีคำตอบกลับมาบทสนทนาจึงไม่ได้ดำเนินต่อไป 


 


“เจ้าพวกบ้านั่น ไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยหรือ” 


 


“พี่น้องกันก็มักจะเป็นแบบนี้แหละเพคะ” 


 


มินอาตอบคำถามรยูฮาที่มองสองพี่น้องเดินหายไปจนลับตาราวกับไม่ใส่ใจ แต่ภายในกำลังถอนหายใจออกมา ต้องบอกว่าเป็นเรื่องโชคดีหรือไม่ที่ปกติแล้วรยูฮาผู้ซึ่งมีพรสวรรค์กับทุกเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้นั้นนั้นมักจะรับรู้ได้ช้าไปหนึ่งก้าวเสมอ 


 


ทั้งสองหยุดพูดแล้ววิ่งขึ้นไปบนต้นไม้ทีละคน ทั้งคู่ซ่อนตัวในพุ่มไม้ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก คิดว่าจะเฝ้าระวังบริเวณโดยรอบและตรวจตราดูว่ามีคนอยู่หรือไม่จากบนนี้ 


 


“พออยู่แบบนี้ก็นึกถึงคยอกรังขึ้นมา สบายดีหรือไม่นะ” 


 


ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ แล้วเสียงพูดเบาๆ ก็ดังทำลายความเงียบขึ้นมา 


 


“คราวก่อนหม่อมฉันไปเรือนนายท่านมา ก็ยังคงดูดีและสง่างามเหมือนเดิม แต่เหมือนว่าจะผอมลงนิดหน่อยเพคะ ถามความรอบข้างดูเห็นว่าหลังจากพระชายาเสด็จเข้าวังก็กินไม่ค่อยได้ มาหมู่นี้ถึงพอมีเรี่ยวแรงกลับมาเพคะ” 


 


ใบหน้าของรยูฮาหมองคล้ำลงเพราะข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีนัก 


 


“ปวดใจเสียจริง เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองที่ออกไปล่าสัตว์ด้วยกันกับคยอกรังทั้งคืน ตระเวนไปทั่ว พอเหนื่อยก็ขึ้นมาพักบนต้นไม้แบบนี้บ่อยๆ” 


 


ฮอนที่กลับจากไปสำรวจโดยรอบหยุดชะงักอยู่ตรงนั้น เพิ่งได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก คนชื่อคยอกรังเป็นใครกันแน่ ออกไปล่าสัตว์กับรยูฮาทั้งคืนหรือ สนิทกันแค่ไหนเชียว? ยิ่งไปกว่านั้นคือพูดถึงเรือนนายท่าน ไม่ใช่ว่าเขาคนนั้นเข้าออกเรือนรยูฮาได้ทุกเมื่อหรือ? แต่พอหันมองด้านข้าง เสด็จพี่ของเขากลับมีสีหน้ายุ่งเหยิง พอรู้สึกได้รู้ว่าเขาทั้งคู่รู้สึกเช่นเดียวกัน มันทำให้อารมณ์เสียขึ้นมาอย่างประหลาด 


 


หลังจากนั้นความเงียบอันหนักอึ้งก็ดำเนินต่อไป จนในที่สุดรยูฮาก็ลงมาจากต้นไม้แล้วกระซิบขึ้นในความมืด 


 


“คงหนีไปจากที่นี่แล้วเพคะ แถวนี้ไม่มีแน่ๆ ส่วนบนเขาก็ไม่รู้สึกถึงร่องรอยของคนเลย เลิกตระเวนสำรวจแล้วพอฟ้าสางค่อยย้ายไปจุดต่อไปกันเถอะเพคะ” 


 


รยูฮาบอกทิ้งท้ายไว้ว่าเหนื่อยไม่ให้ปลุกจนกว่าจะถึงเวลามื้อเช้า แล้วเข้าห้องนอนไป มินอาที่มักจะเคลื่อนไหวตามอยู่ตลอดก็เช่นเดียวกัน แต่พอหญิงสาวออกมาจากห้องของรยูฮาก็ถูกฮอนที่รออยู่อย่างกระวนกระวายจับไหล่เอาไว้  


 


“ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า” 


ตอนที่ 5-2

 


 


 


 


จู่ๆ ฮอนก็ลากมินอาเข้าไปในห้องที่ไม่มีใครอยู่ และเพราะไม่ได้หลับสนิทดีมาหลายวันทำให้ใต้ตาฮอนเกิดเป็นรอยคล้ำสีเข้ม ด้วยลักษณะเช่นนั้นจึงดูจริงจังมาก 


 


 


“ทรงตรัสถามได้เลยเพคะ” 


 


 


“ก่อนพระชายาจะอภิเษกสมรสกับข้า มีชายหนุ่มคนสนิทมาก่อนหรือไม่ หรือไม่ก็สหายที่รู้ใจ…” 


 


 


“หม่อมฉันไม่ทราบว่าทรงตรัสเรื่องอะไรเพคะ” 


 


 


เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่องค์รัชทายาทดันคว้าตัวมาถามคำถามแปลกๆ ความหงุดหงิดพุ่งขึ้นมาภายในใจของมินอา แต่ไม่สามารถแสดงออกมาภายนอกได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ พอมีเวลาว่างรยูฮาก็เอาแต่ยุ่งกับการฝึกดาบหรือไม่ก็ปลอมตัวเป็นชายหนีออกไปเที่ยวเล่น จะมามีชายหนุ่มคนสนิทหรือสหายที่รู้ใจได้อย่างไร เป็นเรื่องไร้สาระที่สุดแล้วที่ได้ยินมาของปีนี้ 


 


 


“ถ้างั้นเจ้าคนที่ชื่อว่าคยอกรังเป็นใครกันแน่!” 


 


 


ฮอนคิดว่ามินอาแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อปกป้องรยูฮา ในที่สุดชื่อที่แอบฟังมาก็หลุดออกจากปากอย่างไม่สนใจศักดิ์ศรี และสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาเฉียบคมพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มินอามองปราดมาทางเขาตั้งแต่บนลงล่างและนึกได้ว่ามีคนสองคนยืนอยู่ข้างใต้ต้นไม้เมื่อคืน 


 


 


“องค์รัชทายาทคงเข้าใจผิดจากคำพูดที่บังเอิญได้ยินมาเพคะ” 


 


 


ในที่สุดก็ตั้งใจจะแก้ตัวสินะ ฮอนถึงกับเครียดแล้วรอคอยคำพูดต่อไปของมินอา 


 


 


“คยอกรัง…เป็นเพียงชื่อเหยี่ยวที่พระชายาทรงเลี้ยงไว้ที่เรือนเพคะ งานอดิเรกของพระชายาคือทรงโปรดการใช้เหยี่ยวล่าสัตว์เพคะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


แชยอนที่วุ่นวายไปทั้งคืนลุกนั่งในสภาพตาลึกโบ๋ เมื่อวานหญิงสาวหลับไปแล้วก็สะดุ้งตกใจตื่นเป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืน และตรวจดูว่าโฮจินยังอยู่ตรงนั้นหรือไม่อยู่เรื่อยๆ เพราะจังหวะที่นางลืมตาขึ้น มันเหมือนราวกับว่าเขาจะถือมีดเข้าไปฆ่าบ่าวทั้งหลาย  


 


 


“ตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินถือผ้าและยกน้ำล้างหน้ามาด้วยตัวเองก่อนจะขยับเก้าอี้มาข้างเตียงแล้วนั่งลง เขาดูแลแชยอนและจุ่มผ้าลงในน้ำอุ่น 


 


 


“ข้าจะทำเอง” 


 


 


แต่วันนี้เขาไม่ต้องดูแลก็ได้ แชยอนใช้ผ้าที่ฉวยมาจากอีกฝ่ายเช็ดไปตามใบหน้า ลำคอแล้วก็มือตามลำดับ แต่โฮจินผู้ซึ่งทอดสายตามองแชยอนกลับขมวดคิ้วขึ้นมา 


 


 


“โมโหหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“เปล่า” 


 


 


“กระหม่อมไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงได้โมโห” 


 


 


“บอกว่าไม่ได้โมโห” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นท่านไม่ชอบข้างั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


การถกเถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบแค่นี้ แชยอนไม่ได้โมโหหรือไม่ชอบโฮจิน หญิงสาวคิดว่าไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาโมโหหรือไม่ชอบใครได้ แชยอนมองไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่ทอดมองมาด้วยความเป็นกังวลสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้ววางผ้าลง 


 


 


“ไม่ได้ไม่ชอบ” 


 


 


แค่กลัวเท่านั้น หญิงสาวกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะพูดต่อเข้าไปข้างใน โฮจินดูจะพอใจกับแค่คำตอบส่วนหน้า 


 


 


“งั้นกระหม่อมจะออกไปก่อน แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมานะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


หลังจากนั้นไม่นานแชยอนและโฮจินก็ลงมาชั้นล่างเพื่อกินอาหาร ด้านในคนเยอะขึ้นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของพวกเขาดูกลมกลืนไปกับที่นี่และบรรยากาศดูวุ่นวายแปลกๆ เถ้าแก่เจอโฮจินเข้าพอดีจึงวิ่งเข้ามาโค้งตัวกล่าวคำทักทาย 


 


 


“หลับสบายดีหรือไม่ขอรับ ให้เตรียมอาหารเลยไหมขอรับ” 


 


 


“อืม เหล้าไม่ต้อง เอาอาหารที่มี ว่าแต่…ทำไมถึงวุ่นวายเช่นนี้” 


 


 


“ไม่ทราบหรือขอรับ เช้านี้องค์รัชทายาทเสด็จมาเมืองนี้ขอรับ! ข้าเองก็ไปรับเสด็จมา พระองค์ท่านช่างสง่างาม พระชายาเองก็…” 


 


 


เถ้าแก่พูดอย่างสนุกสนานแล้วก็เม้มปากเงียบเสียงลงอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นเพราะใบหน้าของลูกค้าคนสำคัญดูตึงเครียดและสายตากระหายเลือดขึ้นมา  


 


 


“ข้าจะไปนำอาหารมาให้ พูดยาวไปหน่อยท่านคงหิวแล้ว” 


 


 


พอเถ้าแก่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โฮจินก็มองไปทางแชยอนด้วยสายตาไม่พอใจ ใบหน้าถูกปิดบังอยู่ครึ่งหนึ่งแต่สิ่งที่ลอยขึ้นมาในดวงตากลมโตนั้นคือความดีใจไม่ผิดแน่ โฮจินพยายามข่มความหงุดหงิดที่พุ่งขึ้นมาไว้ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น  


 


 


“กินให้อร่อยนะขอรับ” 


 


 


อาหารมากมายถูกจัดวางเรียงตรงหน้าพร้อมส่งกลิ่นหอมน่าอร่อยราวกับเชิญชวนให้กินเข้าไป แต่มีแค่แชยอนที่คีบตะเกียบกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนโฮจินชำเลืองมองแค่แวบเดียวแล้วก็ไม่แตะเลย 


 


 


“ไม่กินหรือเจ้าคะ” 


 


 


“อย่าสนใจเลย เจ้ากินเยอะๆ เถอะ” 


 


 


ดูท่าคงไม่อยากอาหาร แชยอนคิดอย่างนั้นแล้วก็จัดการอาหารในส่วนของตัวเองเสียจนเกลี้ยง โฮจินเห็นหญิงสาววางตะเกียบและช้อนลงก็ลุกขึ้นอย่างเย็นชาแล้วเดินไปทางห้องพักโดยไม่เหลียวหลังกลับมา มาตอนนี้แชยอนถึงได้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างไปกระทบอารมณ์ของเขา แล้วนางก็รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


“ดีใจงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


แชยอนถอนหายใจเดินตามเข้ามาในห้องแล้วก็ปิดประตู หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ให้กับน้ำเสียงเย็นชานั่น 


 


 


“ท่านหมายถึงอะไร” 


 


 


“กระหม่อมถามว่าดีใจหรือที่จะได้ไปหาองค์รัชทายาทผู้สูงส่งนั่น” 


 


 


“ไม่ใช่ว่าท่านมาด้วยกันเพื่อส่งตัวข้าไปให้องค์รัชทายาทหรอกหรือ…กรี๊ด!” 


 


 


เสียงกรีดร้องเบาๆ ดังตามมาหลังพูดจบ หน้าอกของโฮจินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า ส่วนมืออันใหญ่โตและหยาบกร้านของเขาก็อยู่ตรงผนังที่แชยอนยืนพิงอยู่ ข้อมือบางนั้นถูกฉวยไว้เต็มแรงจนเหมือนจะหัก มาถึงตอนนี้โฮจินไม่เคยรุนแรงกับหญิงสาวเลยแม้แต่สักครั้ง แชยอนพูดไม่ออกแล้วดิ้นไปมาเหมือนผีเสื้อที่ถูกจับปีกไว้ 


 


 


“ท่านบอกว่ากระหม่อมจะส่งตัวท่านไปให้องค์รัชทายาทหรือ น่าขำ” 


 


 


“ตะ แต่ว่า!” 


 


 


โฮจินตัดบทแชยอนที่กำลังตั้งใจจะตะโกนขึ้นมา 


 


 


“กระหม่อมตั้งใจแย่งชิงท่านต่างหาก ไม่ได้นำตัวท่านมาเพื่อส่งไปให้” 


 


 


เสียงก้องกังวานเหมือนสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยความโกรธกลับมาดังเดิมในชั่วพริบตา แต่ต่อมาเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขาตรงข้างหูก็คล้ายกับกำลังอ้อนวอน 


 


 


“ได้โปรด อย่าไปจากกระหม่อมเลย กระหม่อมจะทำให้ท่านมีความสุขมากกว่า ไม่ว่าท่านจะปรารถนาสิ่งใด กระหม่อมจะทำให้ เพราะอย่างนั้นได้โปรด…” 


 


 


คำพูดสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่จุมพิตลงบนริมฝีปากของแชยอน ริมฝีปากนั้นไล่เลียด้านนอกอย่างนุ่มนวลแล้วแทรกตัวเข้าไปภายใน แชยอนปิดปากไม่รับเข้ามา  


 


 


“จะรักนวลสงวนตัวไว้ให้เจ้าคนเฮงซวยเช่นนั้นหรือ” 


 


 


คำพูดแสนเย็นชาเหมือนคมมีดหลุดออกมาจากปากของโฮจินซึ่งขยับตัวออกมาเพียงเล็กน้อย  


 


 


“องค์รัชทายาทไม่ได้มีใจให้ท่าน ไม่เคยมีใจ หากมีใจให้ท่านจริงต่อให้ต้องขัดคำสั่งก็ต้องพาท่านไปด้วยสิ คงไม่ยื่นให้คนแปลกหน้าเช่นนี้” 


 


 


“พอได้แล้ว” 


 


 


“ทั้งตัวและร่างกายของเขาเป็นของพระชายา ไม่แน่ว่าระหว่างช่วงที่ท่านไม่อยู่นี้ดอกรักคงเบ่งบานเต็มที่” 


 


 


แต่ละคำตอกย้ำแชยอนที่กำลังสับสน ผีเสื้อที่ถูกยึดปีกไว้พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเขาและปกป้องตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย 


 


 


“ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้น ข้าจะกลับไปหาฝ่าบาท” 


 


 


“คิดว่าจะทำเช่นนั้นได้หรือพ่ะย่ะค่ะ!” 


 


 


โฮจินใช้มือข้างหนึ่งดึงเปียยาวของแชยอนไปด้านหลัง แล้วอาศัยจังหวะที่ริมฝีปากของหญิงสาวเผยอออกแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปแล้วเริ่มต้นก่อกวนภายในริมฝีปากนั้น 


 


 


“อ๊ะ…อื้อ” 


 


 


ข้อมือที่แดงไปหมดแล้วถูกโฮจินยึดไว้อีกครั้งแล้วดึงขึ้นไปอยู่เหนือหัวของหญิงสาว ไม่ได้รู้สึกถึงความเอาใจจากริมฝีปากที่ร้อนแรงและหยาบกร้านนั้น มีเพียงแต่ไล่เลียและดูดเม้มไม่หยุดราวกับจะกลืนกินไปจนถึงจิตวิญญาณของนาง จนบนใบหน้าของเขาที่กำลังดูดเม้มอย่างแรงลงบนผิวหนังขาวใสมีหยดน้ำเปียกชื้นไหลลงมาโดน 


 


 


“ร้องไห้ทำไมพ่ะย่ะค่ะ เพราะเจ้านั่นงั้นหรือ” 


 


 


โฮจินถอนริมฝีปากออกมาเล็กน้อยแล้วพูดพึมพำ เขาไม่รอคำตอบและใช้ริมฝีปากนั้นประทับลงไปบนซอกคอ ฝันขาวขบกัดลงบนเนื้ออ่อน 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


เลือดสดสีแดงไหลลงมาจากตรงลำคอที่เขากัดลงเต็มแรง โฮจินดูดกลืนสิ่งนั้นโดยไม่หลงเหลือไว้สักหยด ต่อมาพอเขาถอนริมฝีปากออกสิ่งที่เขาพ่นออกมากลับไม่ใช่เลือด แต่เป็นคำพูดน่ากลัวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ 


 


 


“ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้นหรือ ถ้างั้นดูให้ดีเต็มสองตาว่าใครกันที่องค์รัชทายาทมีใจให้อย่างแท้จริง แล้วก็ท่านควรจะเป็นของใคร” 


5-3 

ค่ำคืนที่ความมืดกลืนกินทุกสิ่ง แม้แต่ดวงดาวที่สว่างที่สุดซึ่งเคยอยู่ตรงนั้นประจำก็หายไปซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ  


 


 


เป็นหนึ่งวันที่ลำบากทั้งทางร่างกายและจิตใจ รยูฮาก้าวเท้าเข้าไปในห้องอย่างเหน็ดเหนื่อยพลางถอนหายใจ มินอาเดินตามเข้ามาแล้วรับเอาเสื้อนอกของรยูฮามาถือไว้ 


 


 


“เหนื่อยหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะเตรียมน้ำให้ทรงสรงเพคะ” 


 


 


“ถ้าได้อย่างนั้นก็ขอบใจมาก” 


 


 


รยูฮาตอบพร้อมทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้อย่างลวกๆ แล้วพิงหลังลงบนพนักเก้าอี้ ดูท่าแล้วคงมีเรื่องให้เหนื่อยอีกแน่ๆ มีคนเห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นพิเศษกับสาวงาม 


 


 


 


 


 


‘ขี่ม้าผ่านไปทางโน้นพ่ะย่ะค่ะ รูปงามแถมยังสง่างามด้วย กระหม่อมยังคิดว่าเป็นองค์รัชทายาทที่เสด็จมาวันนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ’ 


 


 


‘เห็นว่าคุณชายรูปงามควงนางโลมออกมาจากป้อมปราการ? วาสนาดีเหลือเกิน ชาติหน้าข้าก็อยากเป็นเช่นนั้นบ้าง’ 


 


 


 


 


 


รยูฮาครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้ที่พบเห็นแล้วยกมือก่ายหน้าผาก ขนาดชาวบ้านยังรู้ว่าองค์รัชทายาทเสด็จไม่มีทางที่โฮจินจะไม่รู้ ว่าแต่ว่าทำไมเขาไม่ปรากฏตัวออกมา ขณะที่กำลังกังวลใจอยู่นั้นเอง เสียงของหญิงสาวที่ดังมาจากด้านนอกประตูก็ทำลายความคิดนั้นลง 


 


 


“พระชายา เตรียมน้ำเรียบร้อยแล้วเพคะ” 


 


 


“งั้นหรือ แล้วมินอาอยู่ไหน” 


 


 


“หากทรงหมายถึงท่านนางใน ท่านไปรออยู่ก่อนแล้วเพคะ” 


 


 


นางน่าจะอายุราวๆ สิบหกได้ พอตามสาวใช้อายุยังน้อยที่ดูประหม่ามาถึงห้องสรงน้ำ แสงไฟอบอุ่นและไอน้ำสีขาวก็กำลังเชิญชวนรยูฮาอยู่ และเพราะด้วยมินอาคอยกำชับเหล่าสาวใช้ทำให้รยูฮาถูกใจอ่างที่เต็มไปด้วยน้ำสะอาดใสไม่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่ด้านบนเป็นอย่างมาก 


 


 


“ทุกคนออกไปเถอะ ข้าจะดูแลพระชายาเอง” 


 


 


“ค่ะ ท่านนางใน” 


 


 


พระชายาคือสตรีที่มียศสูงรองลงมาจากพระพันปี บุคคลผู้ใกล้ชิดพระชายาที่สุดอย่างมินอาก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 


 


 


“เป็นพระชายานี่ก็ดีแฮะ มินอาของข้าก็พลอยได้ยินคำว่าท่านนางในไปด้วย” 


 


 


พอทุกคนออกไปเหลือเพียงแค่ทั้งคู่รยูฮาก็ถอดชุดที่ดูสงบเยือกเย็นแต่สมเกียรตินั้นออกส่งให้มินอา มินอารับมาจัดการต่ออย่างชำนาญแต่ก็ไม่ลืมจะบ่นพึมพำเบาๆ เล็กน้อย 


 


 


“ช่วยรอให้หม่อมฉันถอดให้เถิดเพคะ แล้วก็ช่วยลดเสียงลงหน่อยเพคะกลัวคนอื่นจะได้ยินเข้า” 


 


 


“แค่ท่านนางในเอ่ยคำเดียว รอบๆ ก็ไม่มีหนูสักตัวเพ่นพ่านแล้วมั้ง อ้า ดีจัง” 


 


 


รยูฮาแช่ตัวลงในอ่างอาบน้ำอย่างอารมณ์ดีแล้วหลับตาลงอย่างพอใจ ที่แห่งนี้ไม่มีคนอื่นอยู่มินอาคลายความหวาดระแวงแล้ววางเสื้อผ้าหลายชิ้นลงบนโต๊ะตัวเล็ก ก่อนจะเริ่มจุ่มผมยาวของรยูฮาลงในน้ำอย่างเบามือ 


 


 


“ไม่สบายตัวหรือเพคะ” 


 


 


จู่ๆ รยูฮาที่กำลังให้มินอาสระผมให้อย่างอารมณ์ดีก็ลืมตาขึ้นมา ชั่วขณะนั้นรู้สึกได้ว่ามีคนเดินผ่านไป แต่มันเป็นเพียงพริบตาเดียว พอรยูฮาลืมตาขึ้นมาก็หายไปเสียแล้ว 


 


 


“ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” 


 


 


มินอากลับมาตั้งสติอีกครั้งเพราะคำถามของรยูฮา ตอนนั้นเองที่หญิงสาวเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้วเอื้อมมือไปทางมีดสั้นที่ถูกซ่อนอยู่ตรงขาอ่อนด้านใน  


 


 


“กระหม่อมเอง” 


 


 


เสียงแผ่วเบาดังลอดใต้หน้าต่างเข้ามา เป็นเสียงที่ทั้งคู่คุ้นเคยเป็นอย่างดี 


 


 


“เข้ามา” 


 


 


พอประตูถูกเปิดออก โฮจินก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางไอน้ำที่ลอยฟุ้ง ริมฝีปากของเขากำลังยกยิ้มล้อเล่นเหมือนปกติไม่มีผิด ราวกับเจอกันเหมือนวานแล้วแยกจากกัน 


 


 


“ช่วยหันหน้าไปด้วยเจ้าค่ะ” 


 


 


“ฮึ” 


 


 


โฮจินหันกลับไปอย่างไม่พอใจเพราะคำเตือนของมินอาที่ถูกส่งมาแทนการกล่าวทักทายอย่างยินดี รยูฮาที่ยังคงนั่งอยู่ในน้ำในสภาพมีเสื้อบางๆ คลุมตัวอยู่ตัดส่วนของการทักทายออกไป แล้วเริ่มต้นถามถึงธุระแทน 


 


 


“จินซึงฮวีอยู่ไหน” 


 


 


“อยู่ที่โรงเตี๊ยมขอรับ” 


 


 


ใช่จริงๆ ด้วย ที่ชาวบ้านที่นี่เห็นคือโฮจินกับแชยอนนั่นเอง ทั้งที่ถูกไล่ล่ายังมีหน้ามาสวมชุดผ้าไหมเดินไปทั่วในย่านคึกคักอีก รยูฮาเก็บความรู้สึกเงียบๆ หากได้เผชิญหน้ากันซึ่งๆ หน้าก็อยากตีเข้าที่ท้ายทอยของเขาสักที 


 


 


“ข้าจะไปพานางมาเอง เจ้ากลับไปหาท่านพ่อแล้วรออยู่นั่นเถอะ” 


 


 


“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


จู่ๆ โฮจินก็หันกลับมามองสบตากับรยูฮา ริมฝีปากที่มักจะกระตุกยิ้มหุบลงอย่างเคร่งขรึม และสายตาของเขาก็เฉียบแหลมเสียยิ่งกว่ามีดสั้นของมินอาที่จ่ออยู่ตรงคอหอยของเขา  


 


 


“ท่านอาจารย์ ข้าบอกแล้วว่าอย่ายุ่งกับจินซึงฮวี” 


 


 


“ช่างเถอะ ลดมีดลงเสีย” 


 


 


“พระชายา!” 


 


 


มินอาที่เม้มริมฝีปากและจ้องมองโฮจินด้วยความโกรธลดแขนลง แต่ว่ามือที่กำมีดสั้นอยู่นั้นไม่ยอมปล่อย หญิงสาวยืนติดอยู่กับโฮจิน ราวกับว่าถ้าจำเป็นก็จะเจาะทะลุคอของเขาจริงๆ  


 


 


“ตั้งใจจะพาจินซึงฮวีหนีไปหรือ” 


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“น่าจะมีป้ายสลักด้วย หากนั่งเรือข้ามแดนไปก็คงจบเรื่องสินะ” 


 


 


“พระชายาทรงพระปรีชามากพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


โฮจินชื่นชมอย่างจริงใจ เหมือนที่รยูฮาชื่นชมความใจกล้าของเขา 


 


 


“ดูท่าคงไม่ได้มาขอร้องให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับท่านพ่อ แล้วเจ้าต้องการอะไร” 


 


 


ดวงตาสีน้ำตาลสั่นไหวเล็กน้อยเพราะคำพูดจี้จุดสำคัญ ไม่นานโฮจินก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งอย่างไม่สะทกสะท้าน 


 


 


“ใจของนางอยู่ที่องค์รัชทายาท ช่วยตัดใจนั้นออกให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ หากพระชายาไม่ช่วย…” 


 


 


“มีความคิดที่จะทำร้ายองค์รัชทายาทล่ะสิ” 


 


 


“ท่านล้ำหน้ากระหม่อมเสมอเลย” 


 


 


ท่าทางยิ้มจนตาปิดก็ยังเป็นภาพของครอบครัวที่คิดถึงอยู่เช่นนั้น แต่ว่าแทนที่รยูฮาจะยิ้มตามไปด้วยกลับมีเพียงคำเตือนเอ่ยออกมา 


 


 


“คงต้องทำร้ายข้าเสียก่อนถึงจะแตะต้องตัวองค์รัชทายาทได้” 


 


 


“กระหม่อมจะพยายามอย่างที่สุดไม่ให้ทรงได้รับบาดเจ็บ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้” 


 


 


รยูฮาจ้องมองโฮจินเงียบๆ แล้วขยับตัว ผิวขาวดุจน้ำนมส่องประกายภายใต้เสื้อผ้าชุดบางที่เปียกน้ำ ใบหน้าของโฮจินไม่เปลี่ยนสีเลย เอาแต่จ้องมองตรงไปที่ดวงตาของรยูฮา หาภาพของเขาที่ปกติดูมีเล่ห์เหลี่ยมไม่เจอเลย 


 


 


“พระชายา ชุดของท่าน!” 


 


 


มินอาตกใจรีบนำเสื้อผ้ามาคลุมให้ รยูฮายืนต่อหน้าโฮจินโดยไม่มีท่าทีลังเล นางใช้มือข้างหนึ่งถอดเสื้อนอกออกอีกครั้ง เป็นการต่อสู้ทางสายตาที่ต่างก็ไม่หลบเลี่ยงกัน จนสุดท้ายรยูฮาก็ขยับริมฝีปากก่อน  


 


 


“ถ้าส่งเสียงเจ้าตายแน่” 


 


 


ขณะที่พูดก็เอาเสื้อนอกคลุมไปบนหัวของโฮจิน แล้วใช้เท้าเล็กยันเข้าที่ส่วนท้องของเขาอย่างแรง 


 


 


“อึ่ก พระชายา!” 


 


 


“ส่งเสียงออกมาแล้วแฮะ ตายซะเถอะ” 


 


 


ต่อมาหมัดของรยูฮาที่กำลังจะลอยไปก็ถูกมือของใครบางคนคว้าไว้ได้อย่างหวุดหวิด คนที่คว้าข้อมือของนางไว้เป็นทั้งคนที่มักจะโต้เถียงแต่ก็จงรักภักดีต่อนาง มินอาถามขึ้นอย่างจริงจังเมื่อรยูฮาส่งสายตามาว่าทำไมทำแบบนั้น 


 


 


“ขอหม่อมฉันตีด้วยได้หรือไม่เพคะ” 


 


 


“ข้าอนุญาต” 


 


 


หลังจากนั้นห้องสรงน้ำที่เงียบสงบก็วุ่นวายไปด้วยเสียงของคนสองคนที่กำลังทุบตีและเสียงร้องของอีกคนอยู่พักใหญ่ ระหว่างนั้นน้ำเสียงของรยูฮาที่ยังไม่หายโมโหก็ดังขึ้นตามจังหวะที่ลงมือไป 


 


 


“ท่าน พ่อ เลี้ยง เจ้า เหมือนลูก แต่ เจ้า มัน ไม่รู้ บุญคุณ คน อย่าง เจ้า ต้อง โดนก่อน ถึงจะ ได้สติ” 


 


 


 


 


 


* * * 


ตอนที่ 5-4

 


 


 


ฮอนเอนอยู่บนเตียงนอนแต่กลับข่มตาหลับไม่ลง เอาแต่พลิกไปทางนั้นทีทางนี้ที สักพักก็กอดหมอนแล้วเดี๋ยวก็ปล่อย มีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ไม่เคยจิตใจว้าวุ่นเช่นนี้มาก่อน ไม่สิ เรื่องของใจเป็นอันดับสอง สถานการณ์ตอนนี้มันคลุมเครือจนไม่รู้ว่าจะคิดเรื่องนี้ได้หรือไม่


 


 


เพิ่งเอาชีวิตรอดมาได้จากการถูกลอบฆ่าอย่างหวุดหวิด มีคนตาย ระหว่างหนีก็มีคนถูกฆ่า นี่คือร่องรอยในตอนนี้ของสนมคนโปรด ไหนพระชายาจะปลอมเป็นชายตระเวนตามหาสนมคนโปรดของเขาไปทั่วทั้งภูเขา และไหนจะเรื่องที่เสด็จพี่กำลังแอบเฝ้าคิดถึงพระชายาของตนอีก


 


 


“โอ๊ย ปวดหัว”


 


 


ฮอนขว้างหมอนที่ก่อนหน้านี้พลิกกลับไปมาซ้ายขวาทิ้งไปแล้วลุกพรวดขึ้นนั่ง ไม่รู้ว่าป่านนี้แชยอนจะกินข้าวได้ไหม จะนอนที่ไหน พอคิดได้เช่นนั้นใจมันก็พานไม่สบายใจ ในขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนความรู้สึกหึงหวงที่ชานมองไปยังรยูฮาไว้ได้ยากลำบากเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งคู่ที่เป็นคู่ปรับเหมือนหมากับแมวหมู่นี้กลับสนิทกันมากขึ้น ท้ายที่สุดเพื่อที่จะได้ลืมความคิดเหล่านี้เขาก็ส่งเสียงออกไปทางด้านนอก


 


 


“จูฮวานอยู่ข้างนอกหรือไม่”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”


 


 


“ไปเอาเหล้ามาสักขวด ข้าจะดื่มแล้วค่อยนอน”


 


 


“รอสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


เสียงฝีเท้าของจูฮวานผู้ซึ่งตอบรับเสียงดังเพราะติดนิสัยอยู่วังมานานค่อยๆ ไกลออกไป ฮอนนั่งอยู่อย่างนั้นจ้องมองไปยังแสงตะเกียงที่สั่นไหวไปมาจนอีกฝ่ายกลับมาอีกครั้ง เป็นนิสัยใหม่ที่เพิ่งมาเป็นช่วงนี้ เวลาผ่านไปประตูที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก แต่คนที่ปรากฏตัวขึ้นตรงนั้นไม่ใช่ทั้งคนรับใช้และไม่ใช่จูฮวาน


 


 


“หม่อมฉันจะรินเหล้าถวายเพคะ”


 


 


รยูฮาวางถาดเล็กๆ ที่ถูกอยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วยิ้มหวานไปทางฮอน อาจจะเป็นเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จเส้นผมที่ยังไม่แห้งดีจึงตกลงมาอยู่บนไหล่ของนาง ผิวชื้นดูมันเงาเป็นพิเศษ ฮอนลืมตัวจ้องมองหญิงสาว สักครู่จึงตั้งสติได้แล้วมานั่งตรงเก้าอี้


 


 


“พระชายามาได้อย่างไร”


 


 


“พออาบน้ำเสร็จระหว่างทางมาห้องบรรทมของฝ่าบาทก็เจอกับขันที เห็นกำลังเตรียมโต๊ะเหล้าถวายหม่อมฉันจึงบอกว่าจะนำมาถวายเองแล้วให้ไปพักผ่อนเพคะ”


 


 


ริมฝีปากที่ส่งยิ้มหวานมาอีกครั้งแดงก่ำเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นคำว่าอาบน้ำ ห้องบรรทม แล้วยังคำว่าเหล้า คำพูดธรรมดาแต่ทำไมพอออกมาจากปากรยูฮามันถึงได้ดูเชิญชวนเช่นนี้ ฮอนพยายามควบคุมให้หัวใจเต้นตามปกติแล้วยกขวดเหล้ารินเหล้าลงในแก้วของรยูฮา


 


 


“วันนี้ทำไมเจ้าใจดีนักเล่า”


 


 


“หากไม่ชอบ หม่อมฉันก็จะไม่ใจดีแล้วเพคะ”


 


 


รยูฮายกแก้วเหล้ารินใส่ปากแล้วขยับตัว ปลายนิ้วของฮอนรีบเกี่ยวชายเสื้อสีขาวไว้


 


 


“ไม่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบ”


 


 


“แสดงว่าชอบงั้นหรือเพคะ”


 


 


ตอนนี้แม้แต่หางตาของรยูฮาก็ดูยั่วยวน นางสัมผัสลงบนมือของฮอนที่จับชายเสื้อของตัวนางเองไว้ แล้วเขยิบมานั่งใกล้เข้าไปอีก ฮอนตกใจรีบชักมือกลับเหลือแค่นิ้วก้อยที่ยังเกี่ยวอยู่กับมือของรยูฮา สิ่งนั้นยิ่งทำให้รู้สึกแปลกๆ และมุ่งความสนใจไปหา


 


 


“ไม่ ชอบสิ ก็ชอบอยู่หรอก…”


 


 


ตอนนี้ข้ากำลังพูดอะไรออกไปกัน ฮอนไม่ได้ดื่มเหล้าแต่กลับหายใจลึกเพราะสติเริ่มเลอะเลือนและพูดจาติดขัด


 


 


“เอ่อ พระชายา ใกล้กันเช่นนี้ไม่เป็นการฝืนใจเจ้าหรือ”


 


 


ฮอนที่ตัวแดงลามไปถึงกกหูใช้มืออีกข้างที่เหลือคลำหาแก้วเหล้า ทำไมนิ้วที่เหลือหนึ่งนิ้วนั้นถึงไม่มีแรง เป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ได้เลย


 


 


“ยังไม่ได้จับกันเลยนะเพคะ ทรงความรู้สึกไวไปแล้วเพคะ ว่าแต่หาสิ่งนั้นมาหรือยังเพคะ ฝ่าบาท”


 


 


“เจ้าหมายถึงสิ่งใด”


 


 


“ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะเอาสิ่งที่หม่อมฉันต้องการมาให้ไม่ใช่หรือเพคะ หากเอาสิ่งนั้นมา…”


 


 


เสน่ห์อันน่าหลงใหลออกมาจากน้ำเสียงของรยูฮาที่ลดต่ำลง


 


 


“ฝ่าบาทก็ทำคืนแรกของเราให้สมบูรณ์”


 


 


มือที่ดึงออกมาจากรยูฮาด้วยความตกใจถูกยกขึ้นปิดหน้าแล้วถูขึ้นลงไปมา เป็นหลักฐานชั้นเยี่ยมที่แสดงว่าฮอนตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก


 


 


“ตอนนั้นเจ้าฟังอยู่…หรอกหรือ”


 


 


“แน่นอนสิเพคะ มันคือคำสารภาพที่ฝ่าบาททรงรวบรวมความกล้าตรัสออกมาไม่ใช่หรือเพคะ”


 


 


รยูฮายกขวดเหล้ารินลงบนแก้วของฮอน จากนั้นก็เติมลงในแก้วตัวเอง ก่อนจะยกมันขึ้นจรดริมฝีปากส่งเหล้าผ่านเข้าไป ลิ้นของหญิงสาวที่ยกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวแลบออกมาเลียริมฝีปากแดงอย่างเอร็ดอร่อย เป็นภาพที่ฮอนไม่กล้ามองตรงๆ ได้แต่ก้มหน้าก้มตาจัดการเหล้าในส่วนของตัวเองให้หมด แม้ว่าเหล้าจะแรงแต่ไม่คิดว่ามันขมเลย


 


 


“กลับไปได้แล้ว ข้าอยากพักเสียหน่อย”


 


 


“เหล้ายังเหลืออยู่เลยนะเพคะ ฝ่าบาท”


 


 


ในชั่วพริบตาสายตาอันเหนื่อยอ่อนของรยูฮาเป็นประกายไปทางบางอย่าง แต่ว่าฮอนหันหน้าไปพอดีจึงไม่ทันรู้สึกอะไร รยูฮากวาดสายตาไปรอบๆ อย่างเงียบๆ แล้วลุกจากที่นั่งไปทางเตียง


 


 


“ฝ่าบาทมาทางนี้เร็วเพคะ หม่อมฉันร่างกายไม่ค่อยจะสู้ดี…ฝ่าบาทต้องช่วยแล้วล่ะเพคะ”


 


 


แสงจากโคมไฟที่กระเพื่อมไหวส่องประกายไปทางเอวของรยูฮาที่นอนคว่ำหน้าลง ฮอนยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วหายใจลึกอีกครั้งก่อนขึ้นไปบนเตียง เขาวางมือลงบนเอวนั้นอย่างแผ่วเบาแล้วออกแรงกด


 


 


“อ้า ฝ่าบาท ดีจังเลยเพคะ…”


 


 


มือที่วางทาบบนเสื้อผ้าบางเบาของรยูฮาไล่เรื่อยไปตั้งแต่เอว แผ่นหลัง ไหล่แล้วก็คอ เสียงที่ดังออกมาเป็นระยะกระทบเข้าที่ใบหูของฮอน และกลิ่นหอมประหลาดจากผมที่ยังไม่แห้งดีนั้นก็เข้ามาจั๊กจี้ตรงปลายจมูก เป็นกลิ่นที่เย็นเกินไปถ้าจะบอกว่าเป็นดอกไม้แต่ก็ไม่ใช่น้ำมันหอม เป็นกลิ่นที่เข้ากันราวกับทำมาจากกลิ่นของรยูฮา


 


 


“พระชายาอาบน้ำด้วยอะไร ทำไมกลิ่นถึงได้หอมเช่นนี้”


 


 


“หม่อมฉันไม่ได้ใส่อะไรลงในน้ำที่อาบเลยเพคะ ถ้าถามว่าเป็นกลิ่นอะไรก็คงเป็นกลิ่นจากตัวหม่อมฉันเพคะ”


 


 


กลิ่นจากร่างกาย ฮอนพยักหน้าราวกับลุ่มหลงไปกับคำนั้นแล้วสูดเข้าไปเต็มปอด เขาเพิ่มแรงลงบนมือที่อยู่ตรงเอวของหญิงสาวอย่างเป็นไปเองตามธรรมชาติ ฮอนไม่อาจเอาชนะความอยากได้ เขาจุมพิตลงกระหม่อมของหญิงสาวและเตรียมพร้อมที่จะโดนตีกลับมา แต่สิ่งที่ตอบกลับมาแทนที่จะเป็นคำพูดทิ่มแทงหรือฝ่ามือ กลับเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบาที่ซัดเข้ามาเหมือนคลื่น


 


 


“ดับไฟหน่อยเพคะ ฝ่าบาท”


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


เปลือกตาของแชยอนที่นอนบนเตียงราวกับตายไปแล้วขยับไปมาแล้วก็ค่อยๆ ยกขึ้น ความทรงจำสุดท้ายคือโฮจินลูบหัวด้านหลังให้อย่างอ่อนโยน แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาตรงกระดาษกรุหน้าต่างทำให้ภายในห้องสว่าง แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของคนภายในห้องเลย พอรู้อย่างนั้นแชยอนก็พยายามตั้งสติและตอนที่กำลังขยับตัว โฮจินก็เปิดประตูเข้ามาพอดี


 


 


“ตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ ตั้งใจว่าจะมามองหน้าท่านตอนหลับเลยรีบกลับ น่าเสียดายจริง”


 


 


“มาได้อย่างไร…ไม่สิ ท่านไปไหนมาหรือ”


 


 


“กระหม่อมไปเดินรับลมยามค่ำคืนมาน่ะพ่ะย่ะค่ะ รู้สึกอย่างไรบ้าง ดูเหมือนท่านจะกลัว กระหม่อมเลยช่วยกล่อมให้ อ้า…เสียดายท่านไม่ได้ออกไปด้วยกัน”


 


 


ความทรงจำในหัวของแชยอนที่มันพร่ามัวค่อยๆ กลับมาทีละเล็กทีละน้อย เรื่องข่าวการเสด็จขององค์รัชทายาทที่ได้ยินในร้านอาหาร จูบของเขาที่ทำให้ความยินดีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คำพูดที่โหดร้าย แล้วก็…


 


 


‘ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้นงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นเชิญดูให้เต็มสองตา”’


 


 


เสียงกระซิบสุดท้ายของโฮจินลอยขึ้นมาในหัว มันทำให้ขนลุกเหมือนโดนสาดด้วยน้ำเย็น แชยอนดึงผ้าห่มออกทันทีแล้วตะโกนขึ้นอย่างใจร้าย


 


 


“ไม่เอา! ช่วยส่งข้าไปให้ฝ่าบาทที!”


 


 


ท่าทางเหมือนแมวตัวเมียกำลังสั่งลูก โฮจินยักไหล่ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารักแล้วยื่นห่อสีดำให้กับหญิงสาว


 


 


“แน่นอนอยู่แล้ว กระหม่อมจะไปส่งเดียวนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าพวกนี้เสีย”


 


 


แชยอนทำหน้าเหยเกเมื่อรับสิ่งนั้นมาอย่างลังเลแล้วเปิดออกดู ใน**บห่อคือชุดเครื่องแบบสีดำขนาดพอดีตัว เป็นสิ่งของที่โฮจินได้รับมาหลังจากถูกทุบตี แต่แชยอนไม่มีทางได้รู้ความจริงข้อนั้น


 


 


“ให้ข้าใส่ชุดนี้ไปหาฝ่าบาทหรือ”


 


 


“ตอนนี้เราถูกไล่ล่าอยู่ ยังมีความคิดจะสวมชุดผ้าไหมอย่างเปิดเผยอยู่อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”


5-5

แชยอนเม้มปากไม่มีคำจะพูดต่อ หญิงสาวมองไปยังโฮจินอีกครั้งเพื่อขอร้องให้ออกไป แต่ก็เอ่ยปากไม่ได้


 


 


ดวงตาสีน้ำตาลและริมฝีปากยังคงยกยิ้ม ถ้าใส่เสื้อผ้าพวกนี้ออกไปแล้วไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้เจอกันอีก พอคิดไปถึงตรงนี้ไม่รู้ทำไมในใจของแชยอนจึงเริ่มสั่นไหว


 


 


“มองกระหม่อมแทบทะลุเช่นนั้น กระหม่อมก่อเรื่องอะไรอีกไม่รู้ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


โฮจินที่สบตาเข้ากับแชยอนเอ่ยปากขึ้นก่อน ราวกับคำพูดนั้นกลายเป็นแม่เหล็ก แชยอนวางเสื้อวางลง แล้วยื่นแขนออกไปดึงโฮจินเข้ามากอด มือใหญ่ลูบลงบนแผ่นหลังอย่างอบอุ่น ไม่รู้ทำไมหญิงสาวจึงระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เหมือนคืนนั้นที่ช่วยนางไว้จากผู้ลอบสังหาร


 


 


“ฮึก…ฮือ…”


 


 


“ร้องไห้ทำไมพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ไม่รู้…ฮือ”


 


 


 “หากร้องไห้เพราะกระหม่อม…ตอนแรกกระหม่อมนึกว่าจะดีใจ แต่กลับไม่ดีใจเลย”


 


 


รสขมตีตื้นขึ้นมาตรงขอบปากของโฮจิน ชุดที่เขายื่นให้ตอนนี้ก็เพื่อยัดเยียดบาดแผลที่ลบไม่ออกให้กับแชยอน แต่ต่อหน้าน้ำตาอันไร้เดียงสานี้ ใจของเขามันกลับดำปี๋และรู้สึกละอาย นี่คือความละอายต่อบาปหรือไม่นะ รู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา เขาจึงไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ ความคิดนั้นช่างขัดแย้งกับสัมผัสที่กำลังลูบไปบนแผ่นหลังเล็กที่สั่นเทา


 


 


ตอนแรกเขาแค่อยากได้ เพราะว่างดงามจึงเกิดความโลภอยากได้ อยากได้ร่างกายที่สั่นเทานี้ ความอยากที่อยากจับหญิงสาวกลืนกินลงไปทั้งตัวเติบโตพรวดๆ อยู่ภายในจนกลืนกินตัวตนของเขา คำว่าหลงรักซึ่งไม่เหมาะกับตัวเขาเลยแขวนอยู่บนตัวนี้ เมื่อคิดอะไรได้สักพัก โฮจินจึงได้จุมพิตลงบนดวงตาของแชยอนแล้วช่วยเช็ดน้ำตาให้


 


 


“หากไม่อยากไป ท่านจะไม่ไปก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ดวงตาสีดำและดวงตาสีน้ำตาลประสานกันกลางอากาศและอ่านใจของกันและกัน แต่ดวงตาสีดำก็เป็นฝ่ายส่ายหน้าแล้วก้มสายตาลงมองพื้น


 


 


“ไม่ได้ ข้าไปจากฝ่าบาทไม่ได้”


 


 


“ด้วยเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เพราะถ้าไม่มีฝ่าบาท…ข้าก็ไม่ใช่สิ่งใดเลย”


 


 


ริมฝีปากของโฮจินที่ตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างลังเลอยู่สักครู่ ใจของเขาติดอยู่กับน้ำเสียงอันใสบริสุทธิ์จนเอ่ยคำนั้นออกมาไม่ได้


 


 


“เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาเถอะ”


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


เงาสีดำลอยไปเหมือนสายลมพาดผ่านจวนของเจ้าเมือง คนที่เฝ้าสังเกตการณ์คนที่ผ่านไปมายังไม่ตายแค่หมดสติลงตรงนั้น


 


 


“ทางนี้”


 


 


พอตรวจดูความปลอดภัยรอบทิศแล้ว เขาก็อุ้มแชยอนที่ช่อนตัวอยู่นอกรั้วขึ้นแล้วพาเข้าไปทางด้านล่างหน้าต่างที่มีไฟส่องสว่างอยู่ และรอไม่นานจังหวะที่ยกมือขึ้นจะเคาะหน้าต่างนั่น


 


 


“ฝ่าบาทมาทางนี้เร็วเพคะ หม่อมฉันร่างกายไม่ค่อยจะสู้ดี…ฝ่าบาทต้องช่วยแล้วล่ะเพคะ”


 


 


เสียงยั่วยวนของสตรีแม้จะเบาแต่ก็เล็ดลอดออกมาชัดเจน โฮจินหยุดการเคลื่อนไหวเพราะแน่ใจว่าเป็นเสียงรยูฮาแล้วหันมองแชยอน ดวงตาของแชยอนสั่นสะท้านรุนแรงในสภาพยังคงมองไปที่หน้าต่างที่ซึ่งชัดเจนท่ามกลางความมืด เสียงที่เว้นช่วงไปสักครู่แล้วก็ดำเนินต่อไปอีกแทรกเข้ามาตรงระหว่างสายตาของทั้งคู่ที่สวนทางกัน


 


 


“อ้า ฝ่าบาท ดีจังเลยเพคะ”


 


 


มือของโฮจินค่อยๆ ลดลงไปด้านล่างแล้วยกขึ้นมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะเคาะประตูนั้น เขากลับยกมันขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลลงเงียบๆ ของแชยอน แล้วโอบกอดไหล่ของนาง ในระหว่างนั้นเสียงร้องเบาๆ และเสียงพูดแผ่วเบาของทั้งคู่ก็ดำเนินต่อไปในห้องเรื่อยๆ ไม่มีหยุด จนท้ายที่สุดไฟก็ถูกดับลง


 


 


“จะรอก่อนแล้วค่อยเข้าไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ศีรษะเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของโฮจินส่ายไปมาเมื่อได้ยินเสียงกระซิบถามข้างหู การเคลื่อนไหวเล็กน้อยทำให้ภารกิจระหว่างโฮจินและรยูฮาสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ นางสนมผู้งดงามแลกเปลี่ยนกับอนาคตและชีวิตขององค์รัชทายาท ในที่สุดก็มาอยู่ในมือเขา รอยยิ้มพอใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของโฮจินเมื่อได้ผลลัพธ์ตามต้องการเพียงครู่เดียว แล้วรอยยิ้มนั้นก็ถูกลบหายไป


 


 


“ไปเถอะ”


 


 


โฮจินอุ้มแชยอนขึ้นตัวลอยโดยไม่มีลังเลแล้วข้ามรั้วอีกครั้ง จนเข้ามาในโรงเตี๊ยมและเข้ามาในห้อง เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยนางออกจากอ้อมกอดแม้เพียงเสี้ยวนาที


 


 


“ท่านโฮจิน”


 


 


แชยอนที่นั่งมองท้องฟ้าอยู่บนเตียงเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบาก


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“ท่านบอกว่าถ้าเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ…จะทำให้ทุกอย่างใช่หรือไม่”


 


 


โฮจินแก้มัดผมของแชยอนออกให้ เส้นผมมันวาวทิ้งตัวลงบนไหล่ราวกับคลื่น หลังจากนั้นเขาเสยผมของนางไปข้างหลังแล้วก็ค่อยๆ คลายปมที่ผูกอยู่บนเสื้อของนางออก แชยอนนั่งมองโฮจินนิ่งเหมือนตุ๊กตาโดยที่ทั้งไม่ปฏิเสธและไม่เคลื่อนไหว


 


 


“ก่อนที่ท่านจะขอร้องให้กระหม่อมปลิดชีพองค์รัชทายาท พระชายามีเรื่องฝากถึงท่าน”


 


 


ไหล่ขาวที่ถูกคลุมด้วยเสื้อผ้าสีดำทำให้เขาผงะและแสบตา โฮจินหยุดพูดไปสักครู่แล้วประทับริมฝีปากลงไปตรงนั้นก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเคลื่อนไหวมืออีกครั้งอย่างช้าๆ


 


 


“จำสัญญาที่มีกับข้าไว้ให้ดี แล้วก็เรื่องที่ข้าปกป้องมารดาของเจ้าด้วย”


 


 


พอทบทวนคำพูดของเขาอยู่สักครู่ แชยอนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่ตั้งใจ วันที่เจอกันครั้งแรกที่สวนในวังหรือแม้แต่ก่อนหน้านั้น นางก็ไม่สามารถเอาชนะพระชายาได้แม้แต่เสี้ยววินาที ไปจนถึงตอนนี้ที่อีกฝ่ายฉวยเอาสิ่งที่นางได้ครอบครองเป็นครั้งแรกนับแต่เกิดมาไป


 


 


โฮจินพับเสื้อผ้าที่ถอดออกมาจากร่างของแชยอนวางไว้ข้างๆอย่างเรียบร้อยราวกับจะอ่านความคิดนั้นของนาง แล้วก็ลิ้มรสริมฝีปากแดงที่เผยอขึ้นอย่างอ่อนเพลีย เสียงกระซิบที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเหมือนกับว่ามีรอยยิ้มเจืออยู่ถูกส่งต่อจากริมฝีปากสู่ริมฝีปาก


 


 


“ยังทรงตรัสอีกว่าตอบแทนที่ฉวยบางอย่างไปจากท่าน จะทรงมอบน้อยชายคนเล็กให้ และบอกให้ระวังเพราะเขาเป็นคนอันตราย…”


 


 


“น้องชายคนเล็ก?”


 


 


“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ ถึงไม่ใช่สายเลือดโดยตรงแต่ก็เติบโตมาเหมือนพี่น้องแท้ๆ”


 


 


โฮจินถอนริมฝีปากอย่างระมัดระวังแล้วดึงร่างเปลือยเปล่าของแชยอนเข้ามากอด ความอยากกำลังเบ่งบานเหมือนเปลวไฟภายใต้การเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ราวกับจะเด็ดดอกไม้บอบบางที่ถูกฉีกขาดได้ง่าย ร่างกายท่อนบนอันแข็งแกร่งของเขาก็ถูกเผยออกให้เห็นโดยไม่รู้ตัว เขามุดหน้าลงบนกลุ่มผมแล้วสูดลมหายใจเข้า


 


 


“ชอบแบบนุ่มนวล หรือว่าชอบแบบรุนแรง?”


 


 


โฮจินยิงคำถามอย่างตรงไปตรงไปมาแล้วจับหน้าอกที่นูนออกมาเต็มมือข้างหนึ่ง จากนั้นก็อยู่นิ่งๆ ราวกับรอคอยคำตอบ แต่แชยอนไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามนั้น


 


 


“ถ้าไม่ตอบจะคิดว่าแบบไหนก็ชอบ แล้วก็จะทำตามใจกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าตอบไม่ได้ คำโต้แย้งของแชยอนถูกเปลี่ยนเป็นลมหายใจพ่นออกมา มือที่เต็มไปด้วยความอยากเริ่มลูบคลำหน้าอกอีกข้างอย่างชำนาญ ลิ้นหมุนวนรอบๆ ส่วนที่แข็งเป็นไตขึ้นมาทุกครั้งที่แตะต้องลงบนส่วนปลาย ความตื่นเต้นอันร้อนแรงโหมซัดเข้ามา แค่เพียงสิ่งนั้นก็ทำให้ตื่นตัวอย่างมาก ถึงขนาดลืมความเหน็ดเหนื่อยและหมดหวังของแชยอนก่อนหน้านี้


 


 


“อ๊ะ…อ้า!”


 


 


โฮจินออกแรงดูดเม้มตรงส่วนอ่อนไหว พอตรงส่วนท้องน้อยได้แรงกระตุ้นเข้าไป ขาอ่อนด้านในก็เปิดกว้างออกเอง ของเหลวที่ไหลออกมาจากตรงส่วนนั้นไหลลงไปทางบั้นท้าย และตอนนี้เองที่กลุ่มผมสีดำซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของแชยอนจู่ๆ เลื่อนลงไปข้างล่าง


 


 


“ไม่ได้นะ!”


 


 


สติสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ทำให้ออกแรงไปตรงขาที่เปิดกว้างออกอย่างหวุดหวิด แต่ว่าโฮจินไม่มีความคิดที่จะอนุญาตให้หญิงสาวหุบขาลง


 


 


“อะไรไม่ได้?”


 


 


โฮจินยกมุมปากขึ้นอย่างหยอกล้อแล้วแลบลิ้นเลียนิ้วชี้


 


 


“ระ…เรื่องนั้น”


 


 


“เรื่องไหน? หืม”


 


 


โฮจินเลียนิ้วอย่างหนักปิดท้ายแล้วลดสายตาลงไปทางด้านล่างราวกับสั่งให้มองตาม นิ้วมือที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำลายบดขยี้ลงไปตรงส่วนที่ยื่นออกมา หญิงสาวถูกปราบอย่างง่ายดายเพราะมือซ้ายของเขากดลงบนกระดูกเชิงกรานที่พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการถูกกระตุ้น


 


 


“เรื่องนี้? หรือว่า…”


 


 


เฮือก แชยอนเบิกตากว้างกำผ้าห่มแน่น


 


 


“เรื่องนี้”


5-6 นิ้วที่รุกรานเข้ามาอย่างกะทันหันหมุนวนอยู่ในผนังด้านในจนไม่มีจังหวะให้แชยอนได้ตกใจ หรือว่าเพราะเพียงหนึ่งยังไม่พอใจถึงได้สอดอีกนิ้วเข้ามาควานหาจุดอ่อนไหวที่สุดของหญิงสาวแล้วลองกดลงทุกซอกมุม ตอนแรกการเริ่มต้นเหมือนต้องการสำรวจจนตอนนี้กลายเป็นเคลื่อนไหวเข้าออกอย่างรวดเร็ว


 


 


“อ๊ะ อ้า ท่านโฮจิน พอแล้ว พอ!”


 


 


เสียงอ้อนวอนที่ใกล้เคียงกับกรีดร้องทำให้เขาหยุดการกระทำลง การกระตุ้นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หยุดลง แต่ก็ไม่ได้เอานิ้วมือออกมา


 


 


“ที่บอกว่าไม่ได้คือเรื่องนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ พูดมาสิ”


 


 


โฮจินดันนิ้วสองนิ้วเข้าไปด้านในผิดกับคำพูดที่นุ่มนวลแล้วยิ้มหวาน พร้อมกับหมุนนิ้วช้าๆ ราวกับเสียดายที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากกว่านี้ แชยอนที่ตอบรับการกระทำและคำพูดของเขาอย่างอ่อนไหวดูน่ารักจนแทบบ้า


 


 


“อ้า ฮึก เอาออกไปที”


 


 


นิ้วมือที่กำลังเติมเต็มเข้าไปภายในค่อยๆ ถูกเอาออกมาตามคำร้องขอของแชยอน เขาแก้มัดตรงกางเกงจนเปิดให้เห็นส่วนของความเป็นชายที่ผงาดชูชัน แชยอนหลับตาลงเพราะไม่มีที่ให้วางสายตาแล้วพูดเสียงเบา


 


 


“มันสว่างไป”


 


 


“แบบนี้แหละดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ มองมาที่กระหม่อมเถิด”


 


 


ภายใต้ใบหน้าที่ถูกทำให้แดงก่ำ สายตาที่ไม่มีที่ให้มองไป นางรวบรวมความกล้าแล้วมองขึ้นไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ถึงรู้ว่าเขามองมาอยู่ตลอดแต่ทำไมแสร้งทำเป็นไม่รู้กัน ใครกันที่ยอมมือเปื้อนเลือดเพื่อนางเองอย่างยินดี


 


 


“ตอนนี้”


 


 


เรือเรียบลื่นไหลเข้าไปตรงลำธารระหว่างหุบเขา สายตาที่จ้องมองมาทางแชยอนเต็มไปด้วยความต้องการทางร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้แทนที่การหยอกล้อ


 


 


“เรียกชื่อข้า เพราะมันคือของของข้า”


 


 


“ท่านโฮจิน…”


 


 


ยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโฮจิน รู้ว่าเป็นใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มบ่อยๆ อยู่แล้ว แต่พอมาเห็นตอนนี้มันเป็นรอยยิ้มที่สดใสกว่าที่เคยยิ้มตามนิสัย โฮจินประทับริมฝีปากลงไปพร้อมความรู้สึกผิดที่กัดตรงคอของหญิงสาวจนเกิดเป็นแผลเมื่อคืนก่อน แล้วก็ออกแรงตรงเอว ความเป็นชายใหญ่โตสำหรับแชยอนค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไปในเส้นทางที่ทำให้ถูกเปิดกว้างออก


 


 


“ฮึก”


 


 


พอความเป็นชายเข้าไปหมดจน โฮจินก็พยายามควบคุมลมหายใจ เขาก้มลงมองแชยอนที่ถึงแม้จะตัวสั่นแต่ก็รับเอาของของเขาเข้าไปจนหมด เขายกยิ้มอย่างพอใจ


 


 


“ใครบอกว่าถ้าไม่มีองค์รัชทายาทท่านก็ไม่ใช่สิ่งใดเลย? แค่นี้ก็น่ารักแล้ว”


 


 


 


 


* * *


 


 


 


 


ฮอนลุกพรวดขึ้นไปดับไฟแล้วกลับมาที่เตียง ที่ตรงนั้นเขาดูดเม้มริมฝีปากของรยูฮาอย่างรุนแรงราวกับสัตว์กระหายน้ำเป็นเวลานานแล้วค้นหาแหล่งน้ำจนเจอ ร่างกายที่ร้อนรุ่มเพราะกลิ่นกายที่ชัดขึ้นและอาการเมาเหล้ากำลังออกคำสั่งให้ครอบครองชายาของตน หากดื่มเหล้ามากกว่านี้หน่อยก็เกือบจะอันตรายแล้ว ฮอนคิดเช่นนั้นแล้วถอนริมฝีปากออกมาอย่างหวุดหวิด


 


 


“…อ้า”


 


 


การกอดและลูบไปที่เส้นผมเปียกชื้นของรยูฮาคือความอดทนสุดท้ายที่เขาสามารถทำได้ ฮอนเกร็งตรงแขนราวกับอึดอัดแล้วเปล่งเสียงเหมือนกับกำลังถอนหายใจออกมา


 


 


“คราวนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว”


 


 


“ไม่โปรดหม่อมฉันหรือเพคะ”


 


 


รู้ว่าไม่ได้ไม่ชอบแต่แค่ลองพูดไป อาจจะเป็นเพราะข่มความต้องการภายในไว้ ร่างกายของฮอนจึงร้อนรุ่มขึ้นจนน่าแปลกใจ รยูฮาผู้ซึ่งเป็นฝ่ายยั่วยวนถึงกับคาดไม่ถึง


 


 


“บอกให้กลับไปไง ข้าชอบจนบ้าตายอยู่แล้ว คราวนี้กลับไปได้แล้ว”


 


 


ฮอนได้สติเพราะน้ำเสียงของตัวเองที่แผดออกมาแล้วหมุนตัวลุกขึ้นไปเปิดหน้าที่โฮจินยืนอยู่ก่อนหน้านี้  ลมเย็นสบายยามค่ำคืนพัดเข้ามาทำให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวเย็นลงและล้างปอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นกายของรยูฮา


 


 


“ขอโทษด้วย ก่อนที่ข้าจะรู้สึกผิดไปมากกว่านี้…”


 


 


ฮอนที่เอ่ยขอโทษพร้อมถอนหายใจออกมา จู่ๆ ก็หยุดพูดอย่างคาดไม่ถึง พอได้จัดการความคิดในหัว ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างแปลกๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน


 


 


ฮอนหันหลังกลับไปมองในขณะที่นึกขึ้นมาได้และสิ่งที่เห็นคือภาพที่ไม่ชินตาเอาเสียเลย หัวเข่าและฝ่ามือของรยูฮาวางอยู่บนพื้นทั้งที่นางไม่เหมาะกับพื้นแม้แต่น้อย


 


 


“พระชายา!”


 


 


ฮอนเข้าใจว่าหญิงสาวเมาจนไหลจนร่วงลงมาจากเตียงจึงรีบวิ่งเข้าไปประคอง เพราะไม่อาจคิดได้ว่ารยูฮาจะลงไปคุกเข่าด้วยตัวเอง แต่ว่ารยูฮาสะบัดฮอนออกในสภาพก้มหน้าลง น้ำเสียงของหญิงสาวที่จู่ๆ ก็ขอรับโทษสงบนิ่งและมั่นคงเหมือนทุกที


 


 


“จะทรงปลดหม่อมฉันก็ได้ หรือฆ่าทิ้งเสียหม่อมฉันก็จะรับโทษนั้นเพคะ”


 


 


ทุกอย่างมันจะไม่กะหันทันไปหน่อยหรือ เข้ามาบอกว่าจะรินเหล้าให้ เรียกไปที่เตียงแล้วตอนนี้มาบอกให้ปลดจากตำแหน่งพระชายา ยิ่งไปกว่านั้นคือสั่งให้ปลิดลมหายใจทิ้ง ก่อนอื่นฮอนเข้าไปจับแขนของรยูฮาผู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องทั้งหมดให้ขยับตัวลุกขึ้น


 


 


“เจ้าพูดเรื่องอันใดกัน คงไม่ใช่ว่า…ที่เป็นเช่นนี้เพราะข้าทำผิดพลาดหรอกนะ เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด”


 


 


แต่ต่อให้ลูบหลังปลอบแค่ไหนรยูฮาก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว คำพูดที่นางพ่นออกมาเหมือนอาเจียนทำให้หัวใจของฮอนเยือกยะเย็น


 


 


“จินแชยอนหรือซึงฮวีรักใคร่ชอบพอกันกับองค์รักษ์ และตอนนี้หนีไปไกลแล้วเพคะ คนที่ช่วยพวกเขาก็คือหม่อมฉันเอง ถึงฝ่าบาทจะทรงลงโทษใดๆ หม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่โต้แย้งเลยเพคะ”


 


 


ตอนแรกคิดว่าแค่ล้อเล่นแบบไม่ขำเท่าไหร่นัก ความจริงแล้วก็อยากเชื่อเช่นนั้น แต่เห็นได้ชัดว่าทุกคำพูดของนางนั้นจริงใจ คำพูดหลากหลายบินว่อนในหัวของฮอนแต่เอาเข้าจริงๆ กลับพูดไม่ออก


 


 


คืนนี้ เขาคิดไปว่ารยูฮาเปิดใจให้เขาแล้ว แต่ฮอนนั้นกลับรู้สึกขัดแย้งในใจและเหมือนตนเองโดนกดดัน เพราะมุมหนึ่งในหัวใจถูกกดไว้ด้วยความกังวลเกี่ยวกับแชยอน ความรู้สึกที่เคยเชื่อมั่นมาตลอดว่าคือความรักใคร่ถวิลหา แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น ดังนั้นการกอดรยูฮาตอนนี้จึงเป็นเรื่องไม่ดีต่อทั้งสองคน


 


 


หัวใจถูกหลอกลวง ความจริงแล้วฮอนโกรธมาก แต่มากกว่าความโกรธคือมันใกล้เคียงความเสียใจมากกว่า เพราะอย่างนั้นเขาถึงรู้สึกว่าเสียงที่กว่าจะเปล่งออกมาได้นั้นใช้เวลาสักพักของเขาเหมือนเสียงของคนอื่น


 


 


“เจ้าช่วย…บอกว่าไม่รู้เถอะนะ บอกว่าจินซึงฮวีซ่อนตัวเก่งมากจนหาไม่เจอ ไม่สิ บอกไปว่านางตายไปแล้วดีกว่า”


 


 


“ต่อให้ถูกตัดหัว หม่อมฉันก็จะไม่โกหกเพคะ”


 


 


ฮอนปิดหน้าต่างที่ถูกเปิดออกด้วยมืออันสั่นเทา หากมีใครมาได้ยินเข้าจะสร้างความลำบากให้กับรยูฮาอย่างมาก


 


 


ถึงอย่างนั้นก็เป็นห่วงรยูฮา เขาหัวเราะแหบแห้งกับตัวเองแล้วจุดไฟตรงตระเกียง


 


 


“เจ้าก็รู้ดี อย่างไรเสียสำหรับข้าแล้ว ข้าเป็นสวามีของเจ้า หวงแหนและไม่อาจลงโทษเจ้าได้ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม”


 


 


แม้แต่จะถูกหักหลังจนหัวใจขาดวิ่น พระชายาของเขาก็ยังคงงดงามใต้แสงตะเกียง ชนิดที่ว่าสงสารมือเรียวเล็กนั้นที่ค้ำลงไปบนพื้น


 


 


รยูฮาถามว่าคิดเห็นอย่างไร ระหว่างที่เขายังหาคำตอบของคำถามนั้นไม่ได้ รยูฮาก็ลงไปที่พื้น และบอกว่าอย่าห่วงเลย ตอนที่ได้ยินคำนั้นเขาก็กำลังเป็นห่วงรยูฮาอย่างมากเสียแล้ว


 


 


“กลับไปเสีย ไปให้ห่างจากข้า หากใจข้าออกห่างจากเจ้าได้แล้ว ถึงจะลงโทษเจ้าได้”


 


 


รยูฮาลุกจากที่นั่งเงียบๆ ก่อนจะค่อยๆ ก้มตัวลงคำนับแล้วกลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง ฮอนไม่ชอบใจ นึกว่าพอถ้ารยูฮาว่าง่ายเขาจะสบายใจ แต่พอนางแสดงกิริยาอันไม่คุ้นเคยต่อเขากลับทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีกำแพงที่ไม่สามารถทุบลงได้ก่อขึ้นระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่


 


 


“หม่อมฉันขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์เพคะ”


 


 


พอประตูถูกปิดลงเงาของรยูฮาก็ห่างออกไป ฮอนจงใจไม่หันไปทางประตูห้อง เขาอยากรั้งนางไว้แล้วขอร้องว่าอย่าห่างไปไกล อย่าจากไป ทั้งที่เขาเองเป็นคนผลักไสนาง


 


 


วันต่อมาเจ้าเมืองเตรียมมื้อเช้าอย่างดีแต่ไม่เห็นพระชายาปรากฏตัวขึ้น มีเพียงแค่ฝากความมาบอกว่าไม่อยากอาหารและอยากพักผ่อน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจคือใบหน้าขององค์รัชทายาทที่ปรากฏตัวตามมาทีหลัง องค์รัชทายาทที่ทำให้ผู้อื่นใจเต้นด้วยรอยยิ้มอันงดงามเมื่อวันก่อน มาตอนนี้ในเวลาเพียงข้ามคืน พระองค์กลับปรากฏตัวด้วยท่าทางเหมือนกับทูตมรณะ


 


 


“ฝ่าบาท ไม่สบายหรือพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


 ฮอนส่ายหน้าให้กับคำถามของชานแล้วหยิบตะเกียบกับช้อนขึ้นมาเงียบๆ และเพราะบรรยากาศที่เหมือนทุกคนทำเป็นแสร้งไม่รู้ ฮอนจึงลุกขึ้นก่อนแล้วหายไปอย่างไร้คำพูดใดๆ ตอนนั้นเองการกินอาหารเช้าถึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ ชานวางชามข้าวลงทั้งที่กินไปได้ไม่ถึงครึ่ง ก่อนจะลุกไปหาขันทีผู้จงรักภักดีขององค์รัชทายาท


 


 


“เมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับฝ่าบาท”


 


 


“ทรงบอกว่าบรรทมไม่หลับจึงรับสั่งให้ไปหาเหล้ามา แต่พระชายาจะทรงเอาเข้าไปถวายด้วยตัวเอง กระหม่อมจึงถวายให้ หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พระชายาไม่ปรากฏตัวในเวลามื้อเช้า ส่วนองค์รัชทายาทเองก็มีสีหน้าบูดบึ้งจนน่ากลัว คิดว่าเมื่อคืนทั้งคู่คงทะเลาะกัน นั่นก็หมายถึงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงทิ้งระยะห่างออกไป


 


 


“บ้าเอ๊ย”


 


 


ชานหลุดก่นด่าออกมา แต่ไม่ใช่ด่าว่าฮอนหรือรยูฮา สองคนนั้นยิ่งห่างกัน เขาหมดหวังในตัวเองที่ดีใจกับความจริงเรื่องนี้ ชานสะบัดชายเสื้อหมุนตัวออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าตึงเครียดเพื่อขานชื่อเหล่าผู้ติดตามอย่างที่เคยทำทุกที หลังจากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องเพื่อเก็บของ ตอนนั้นเองมีผู้มาเยือนอันคาดไม่ถึงมาหาชาน


 


 


“องค์ชาย มินอาเองเพคะ”


 


“เข้ามา”


5-7 

นางมาในชุดเครื่องแบบสีดำเรียบร้อยราวกับว่าตระเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว ชานส่งสายตาบอกให้นั่งลง แต่มินอาทำแค่เพียงโค้งตัวเล็กน้อยและบอกว่าจะมาเพียงเพื่อแจ้งธุระเท่านั้น 


 


 


“เมื่อคืนนี้ด้วยเรื่องของจินซึงฮวีทำให้ฝ่ายบาทและพระชายามีปัญหากันนิดหน่อย พระชายาจึงฝากทูลว่านับตั้งแต่นี้จะหยุดตามหาจินซึงฮวีและขอให้องค์ชายช่วยเหลือฝ่าบาทด้วยเพคะ” 


 


 


“เรื่องของจินซึงฮวีหรือ” 


 


 


“เพคะ ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ” 


 


 


คิ้วของชานขมวดเข้าหากันขณะมองตามเบื้องหลังของมินอาที่เหมือนจะกล่าวลาแต่ก็เหมือนไม่ได้ลาแล้วจากไปจนเกิดเป็นรอยย่นด้วยความไม่พอใจ เรื่องทะเลาะกันเป็นไปตามคาด แต่เรื่องสาเหตุยังน่าสงสัย จนถึงตอนนี้ไม่เคยมีปัญหาเรื่องจินซึงฮวีเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทปกป้องหญิงคนนั้นหรอกหรือ แต่ดูจากที่หมู่นี้ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเป็นพิเศษ หรือจู่ๆ พระชายาจะหึงหวงขึ้นมา 


 


 


ชานเวทนาตัวเองที่ติดอยู่กับความคิดไร้สาระ และตอนนี้ก็สายมากแล้วด้วย 


 


 


 


 


 


รยูฮากำลังนั่งหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างไม่สบายใจ 


 


 


“กราบทูลองค์ชายแล้วเพคะ” 


 


 


มินอากลับมาแล้วลากเก้าอี้เข้ามานั่งด้านหลังหญิงสาว รยูฮาเห็นหน้ามุ่ยๆ ของมินอาในกระจกก็ยกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง 


 


 


“ยังไม่พอใจอยู่นี่เอง” 


 


 


“กลับวังเถอะเพคะ แล้วทูลเรื่องทั้งหมดกับท่านอาจารย์” 


 


 


“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ ท่านคงชอบใจแย่เลย หลายคนตกอยู่ในอันตราย แล้วข้าเองก็ยังไม่อาจวางใจ” 


 


 


มินอาเม้มปากเข้าเล็กน้อยเพราะคำว่ากล่าวอย่างสุภาพนั้น ก่อนจะคว่ำหน้าลงบนโต๊ะแล้วพูดเปิดใจออกมา 


 


 


“หม่อมฉันน้อยใจเพคะ แค่ไม่ได้ร่วมสายเลือดเพียงเท่านั้น แต่ก็กินข้าวหม้อเดียวกัน ฝึกฝนมากับอาจารย์คนเดียวกันก็ถือเป็นพี่น้องที่เติบโตมาเดียวกันไม่ใช่หรือ แต่ลุ่มหลงสตรีจนจากไปไม่ลา จากกันแบบนี้ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบ…” 


 


 


“แล้วไม่ได้ตีจนสบายใจไปแล้วหรอกหรือ” 


 


 


“ยังไม่พอเพคะ น่าจะถอนผมที่สำคัญเท่าชีวิตนั้นออกเสียด้วยเพคะ” 


 


 


รยูฮาเตรียมตัวง่ายๆ แล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปลูบหัวมินอา  


 


 


“อีกไม่นานคงมีเรื่องให้ได้เจอกัน แล้วค่อยบอกเขา” 


 


 


ลมหนาวเย็นที่พัดผ่านไปทางเหนือพัดผ่านแก้มของรยูฮาที่ออกมาข้างนอก แต่ว่าชุดของนางไม่มีส่วนไหนต่างจากตอนที่อยู่ในวังเลย ตรงกันข้ามกับดูบางขึ้นไปอีก ฮอนเห็นอย่างนั้นจึงขมวดคิ้ว แต่ก็หันหน้าไปไม่พูดอะไรและบังคับบังเ**ยนม้าให้เริ่มออกเดินทาง  


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


คณะผู้ติดตามขององค์รัชทายาทไม่ประวิงเวลาและก็ไม่มีเหตุให้ต้องทำเช่นนั้นจึงควบม้าติดต่อกันอยู่หลายวัน ยิ่งห่างออกมาจากวังทางที่ขรุขระและไม่มีผู้คนคนสัญจรก็ทำให้รู้ว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ยาวนานรยูฮาไม่พูดกับฮอนเลยสักคำ ฮอนก็เช่นเดียวกัน  


 


 


“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะพระชายา ดูเหมือนว่าวันนี้ต้องตั้งค่ายพักกันที่นี่ ทรงไหวไหมพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชองโอ หัวหน้าองค์รักษ์เดินเข้ามาหารยูฮาที่นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ ระหว่างนั้นเหล่าผู้ติดตามต่างพากันอดประทับใจพระชายาที่ควบม้าตามกันมาด้วยความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยไม่ได้ แต่เรื่องตั้งค่ายก็เป็นอีกเรื่อง เป็นเรื่องที่หนักเกินไปสำหรับสตรีสูงส่งที่เติบโตมาในฐานะลูกสาวคนเดียวของขุนนางชั้นสูง 


 


 


ด้วยความคิดเช่นนี้ใบหน้าของชองโอจึงแสดงสีหน้าราวกับอยากจะทุบปากของตัวเองด้วยหินออกมา ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าคนอื่นเป็นสองเท่าและท่าทางที่ใกล้เคียงโจรป่ามากกว่าหัวหน้าองค์รักษ์ ทำให้เขาดูไม่เหมาะกับสีหน้าเช่นนั้นเลย รยูฮาเห็นแล้วจึงได้แต่ยิ้มเล็กๆ 


 


 


“มีอะไรให้ต้องขออภัย ลำบากพวกเจ้าอยู่เรื่อยต่างหาก” 


 


 


“ตรัสเช่นนั้นก็มีแต่จะทำให้กระหม่อมร้องไห้เพราะตื้นตัน กระหม่อมจะบอกผู้ติดตามให้เตรียมการให้ไร้ซึ่งความไม่สะดวกสบายให้ได้มากที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


บทสนทนาระหว่างชองโอและรยูฮาจบลงเพียงเท่านี้ แต่คิ้วเข้มของฮอนที่เฝ้ามองทั้งคู่อยู่กลับขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ ปากบอกให้ทิ้งระยะห่างแต่ความจริงใจกลับเดินตามชายเสื้อสีขาวมา จนท้ายที่สุดพอได้เห็นรอยยิ้มที่ส่งไปให้ทหารคนนั้นเขาจึงรู้ตัว ต่อมาความไม่สบอารมณ์ก็ปรากฏขึ้นบนตาของชานที่เดินผ่านแถวนี้พอดีด้วย 


 


 


“ไม่สบายใจเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ถึงอย่างนั้นก็ยังดีใจกับขวดน้ำที่ถูกส่งมาอย่างไม่ใส่ใจนัก น้ำเย็นไหลผ่านคอลงไปทำให้ใจสงบลงได้เล็กน้อย ถ้าพูดให้ละเอียดก็เป็นทั้งคู่แข่งทางการเมืองและคู่แข่งหัวใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปฏิเสธความเป็นพี่น้องที่ไว้ใจได้ได้เลย 


 


 


“เช่นนั้นแหละ เสด็จพี่” 


 


 


“ไหนๆ ก็ตั้งค่ายแล้วฝึกดาบกับเหล่าทหารกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากได้ปลดปล่อย เรื่องพวกนั้นจะไม่หายไปหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ในโลกนี้จะมีใครรู้ใจได้แบบนี้อีกไหม ฮอนฉีกยิ้มในแบบที่สื่อความหมายในแง่บวกแล้วส่งกระบอกน้ำให้ชาน จากนั้นจึงเดินไปทางเหล่าทหารที่เตรียมการตั้งค่ายได้สักพักหนึ่งแล้ว คราวนี้สิ่งที่หมองลงคือใบหน้าของชานผู้ซึ่งมองตามเบื้องหลังของอีกฝ่าย แท้จริงน้องชายจะรู้ถึงใจที่ดำมืดของตนหรือไม่นะ 


 


 


กลางคืนบนเขามาเยือนในชั่วพริบตา เช่นเดียวกันกับตรงบริเวณเพิงที่พักชั่วคราวของรยูฮาที่กินมื้อเย็นอย่างเอร็ดอร่อยไม่มีขุ่นเคืองใจ ท่าทางของหญิงสาวที่พอกินเสร็จก็เปลี่ยนใส่ชุดเครื่องแบบสีดำออกมารอทำให้มินอายกยิ้ม แล้วเอาดาบที่ถูกม้วนอยู่ออกมาขัด 


 


 


“จะเสด็จไปไหนหรือเพคะ” 


 


 


“ข้ามลำธารไปมีที่ว่างอยู่ มีต้นไม้รอบล้อมน่าจะไม่สะดุดตาง่ายๆ” 


 


 


รยูฮายกมือขึ้นมัดผมให้แน่น มินอาไม่ค่อยชอบแผนการที่นี้สักเท่าไหร่ เพราะต้องหยิบดาบออกมาในที่ที่เหล่าทหารเดินวนเวียนอยู่ แต่จะทำอย่างไรได้ สีหน้าสดใสแบบนี้ของรยูฮาเพิ่งเห็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้หากรยูฮามีความสุขนางก็ไม่หวังสิ่งใดอีก 


 


 


“เสด็จเถอะเพคะ ต้องออกเดินทางตอนเช้ามืด ฉะนั้นต้องรีบกลับมาเพคะ” 


 


 


สองคนแอบออกมาไม่ให้ใครรู้ ข้ามลำธารมาจนมาเจอที่ว่างเปล่าที่รยูฮาพูดถึง อากาศบนเขาที่เย็นสบายชำระล้างความอึดอัดออกไป ใบหน้าของรยูฮาที่หยิบดาบออกมาสะท้อนกับแสงจันทร์เบ่งบานเหมือนดอกไม้ นิ้วขาวสัมผัสลูบไล้ไปตามคมมีด และริมฝีปากแดงก็ยิ้มหวาน 


 


 


“เจ้าสบายดีไหม เบื่อใช่ไหมล่ะ” 


 


 


แน่นอนว่าดาบมันไม่ได้ตอบกลับมา มีแค่มินอาซึ่งอยู่ข้างๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมา 


 


 


“พระชายา อย่าทรงพูดคุยกับดาบเลยเพคะ เห็นทีไรหม่อมฉันขนลุกทุกที” 


 


 


แทนที่จะตอบรยูฮาก็เริ่มยกดาบขึ้นมาร่ายรำ ทั้งที่ดาบนั้นไม่ได้เบาเลยแม้แต่น้อย แต่ปลายดาบที่ตัดแสงจันทร์อย่างนุ่มนวลนั้นผ่านไปไม่นานก็ไปจ่ออยู่ตรงลำคอของแขกไม่ได้รับเชิญ 


 


 


“ลดดาบลงก่อนพระชายา” 


 


 


“อ้า หม่อมฉันเสียมารยาท ไม่ทราบว่าเป็นองค์ชาย” 


 


 


ไม่ใช่ว่ามินอาอยู่เฉยๆ แต่คนที่มีความสามารถอย่างรยูฮาไม่มีทางไม่รู้ว่ามีคนแอบซ่อนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคำโกหกแต่ว่าชานกลับหัวเราะแล้วหยิบเอาดาบของตัวเองออกมา 


 


 


“กระหม่อมพอมีเวลาอยู่ อยากลองดวลดาบกับกระหม่อมไหม” 


 


 


ดวงตาของรยูฮาที่มองเห็นดาบถึงกับเป็นประกายด้วยความอยากเอาชนะ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดวลดาบกับใครสักคน อีกอย่างมันก็อาจจะทำให้องค์ชายที่ตนเคยอยากจะทำให้คุกเข่าลงสักครั้งไห้ได้มาสยบแทบเท้าตนได้ ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเลย  


 


 


“มั่นใจหรือเพคะ” 


 


 


“หากเป็นดาบที่กระหม่อมไม่มั่นใจ ไม่ยกขึ้นมาจะเป็นการถูกต้องกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ดาบของชานส่งประกายเย็นชาใต้แสงจันทร์เย้ายวนรยูฮา พอเป็นดาบขององค์ชายจึงงดงามไม่แพ้กัน แค่นึกถึงเสียงของดาบสองเล่มกระทบกัน เลือดก็ไหลพล่านไปทั่วร่างกาย รยูฮาพร้อมราวกับไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ 


 


 


“หากเสียงดาบดังขึ้นเหล่าทหารจะแห่กันมาเพคะ” 


 


 


“กระหม่อมนัดกับองค์รัชทายาทไว้ว่าจะฝึกดาบกัน แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นมา” 


 


 


ดวงตาของรยูฮาที่กวาดสายตาไปทางด้านหลังของชานซึ่งไม่มีใครอยู่ดูเหมือนเจ็บปวด ชานพูดต่ออย่างรู้ทัน 


 


 


“องค์รัชทายาทคุยกับหัวหน้าองค์รักษ์อยู่ สักครู่คงมา” 


 


 


“มาก็ยินดี” 


 


 


สิ้นคำพูดนั้น เสียงดาบของรยูฮาก็ดังขึ้น แรงสั่นสะเทือนของสองดาบที่กระทบกันส่งเข้าไปถึงหัวใจของชาน หรือไม่ก็อาจจะเป็นริมฝีปากแดงเรื่อที่ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจของรยูฮาที่กำลังขบกัดใจของเขาอยู่  


 


 


“ทำไมล่ะเพคะ ไหนคนที่บอกว่ามั่นใจ” 


 


 


ขณะที่ชานหยุดชะงัก ดาบอีกเล่มก็กวัดแกว่งเป็นคลื่นไม่หยุด เป็นศิลปะการฟันดาบเฉพาะตัวที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ตามตำราคือ การตัดหรือเฉือนนั้นจะต้องใช้น้ำหนักของดาบและแรงตวัด แต่สิ่งที่รยูฮาถืออยู่ในมือกลับเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล และในชั่วพริบตาก็พุ่งเข้ามาทำให้ต้องร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ 


 


 


“เรียนฟันดาบมาจากที่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ยังมีเวลาว่างตรัสถามอีกมากเพคะ”


5-8

รยูฮาส่งปลายดาบไปด้านข้างของชาน แล้วทันใดนั้นก็ออกแรงลดดาบลงทางไหล่ด้านซ้ายของเขา แต่ดาบของชานเข้ามาขวางได้อย่างหวุดหวิดจึงไม่เกิดเหตุนองเลือด ดวงตาของทั้งสองคนสบกันท่ามกลางคมดาบที่ตัดกัน และริมฝีปากของรยูฮาที่เผยอขึ้นเล็กน้อยใกล้เข้ามาชนิดที่ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ยาก ทำให้ชานไม่มีแรงกวัดแกว่งดาบต่อ 


 


 


“กระหม่อมแพ้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“ฝีมือใช้ได้เลยเพคะ หากจะฝึกฝนเพิ่มความสามารถอีก หม่อมฉันก็จะเป็นคู่ประลองให้” 


 


 


รยูฮาผู้ซึ่งพ่นคำอวดดีออกมาโปรยยิ้มที่เคลิบเคลิ้มไปกับชัยชนะแล้วเก็บดาบลง แต่พอหันไปหามินอาที่อยู่ข้างๆ รอยยิ้มนั้นก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มเจื่อน มาตอนไหนกัน ฮอนยืนอยู่ข้างมินอาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วจ้องมองพวกเขาอยู่ ภาพนั้นทำให้ชานที่หันไปแทบจะพร้อมกับรยูฮาเกิดลำบากใจขึ้นมา 


 


 


“ฝ่าบาท คือ…” 


 


 


“ทั้งสองคนฝีมือเป็นเลิศมาก” 


 


 


เห็นได้ชัดว่าคำพูดของฮอนที่กำลังเบะปากอย่างไม่พอใจไม่ใช่คำชมอันบริสุทธิ์ใจ รยูฮาก้มหน้าลงเล็กน้อยในสภาพที่รอยยิ้มถูกลบหายไปในพริบตา จากนั้นนางก็หายตัวไปในความมืดกับมินอาเงียบๆ หลงเหลือเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดเอาความอึดอัดเข้ามาระหว่างสองพี่น้องที่เหลืออยู่ข้างหลัง  


 


 


“เป็นแค่เรื่องบังเอิญน่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าจะมาอบอุ่นร่างกายก่อนไปฝึกเลยมาเจอพระชายาเข้าโดยบังเอิญ” 


 


 


พอมาคิดดูก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาแก้ตัว แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนกับชานร้อนตัวจึงได้แก้ตัวออกมา ซึ่งท่าทางเช่นนั้นยิ่งไปกระตุ้นความโกรธและความหึงหวงของฮอน 


 


 


“ทำเรื่องไม่ดีไว้หรือ เสด็จพี่ ทำไมกระวนกระวายเช่นนั้น”  


 


 


‘เรื่องไม่ดี’ คำนั้นทิ่มแทงลงไปในใจชาน 


 


 


“เสด็จพี่ที่ข้ารู้จักเป็นคนมั่นคงแล้วก็เย็นชา แต่พอพูดเรื่องภรรยาของข้า ท่าทางพวกนั้นก็หายไป” 


 


 


เรียกว่าพระชายาก็ได้แต่ฮอนก็จงใจเรียกว่าภรรยา ทั้งที่รู้ว่าเป็นการกระทำแบบเด็กๆ แต่เขาก็ทำ ไม่ว่าจะอย่างไรก็อยากให้เสด็จพี่ตัดใจจากรยูฮา 


 


 


ชานยืนนิ่งเงียบอยู่สักครู่ก่อนจะโค้งตัวแล้วหันหลังไป 


 


 


“อากาศตอนกลางคืนมันเย็น ฝ่าบาทควรรักษาเนื้อรักษาตัว รีบกลับเข้าไปเถิด” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


พอมาถึงเพิงที่พักชั่วคราว รยูฮาก็ถอดเสื้อผ้าออกขว้างไปทั่วแล้วพุ่งไปนอนบนเตียงที่สร้างขึ้นใช้ชั่วคราว มินอาตามเก็บทีละชิ้นแล้วเอ่ยปากราวกับไม่เข้าใจ 


 


 


“ลองทูลองค์รัชทายาทดูเป็นอย่างไรเพคะ” 


 


 


“เรื่องอะไร” 


 


 


“เรื่องที่สตรีผู้นั้นมาพบองค์รัชทายาทได้อย่างไรไงเพคะ” 


 


 


มินอาหมายถึงเรื่องที่แชยอนได้รับการยุยงจากพระสนมเอกมุนให้มาเข้าใกล้ฮอน รยูฮาฝืนยิ้มแล้วพลิกตัวไปทางมินอา 


 


 


“ถ้าอย่างนั้นเจ้าบ้านั่นก็หันหัวม้ากลับไปถล่มวังซูอานน่ะสิ หลักฐานสักชิ้นก็ไม่มี ตรงกันข้ามจะกลายเป็นว่าไปกระทบอารมณ์ที่เสียพระสนมไปอีก ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” 


 


 


“ที่ทูลเช่นนั้นเพราะเกรงว่าพระชายาจะออกไปรับโทษจริงๆ ทรงอย่าลืมความจริงที่ว่าบนบ่าของท่านมีศักดิ์ศรีของตระกูลมหาเสนาบดีวางอยู่นะเพคะ” 


 


 


“องค์รัชทายาทลงโทษข้าไม่ได้หรอก ไม่สิ ต้องบอกว่าจะไม่ทำเช่นนั้นถึงจะถูก” 


 


 


“ทำไมทรงมั่นใจอย่างนั้นเพคะ” 


 


 


“เจ้าเองก็ไม่รู้หรือ นิสัยของเขาน่ะ” 


 


 


รยูฮารู้ดีว่าตนจะไม่ได้รับโทษตามที่ฮอนพูดไว้ แล้วก็กำลังสำนึกผิดที่ใช้ประโยชน์จากความจริงเรื่องนั้น 


 


 


“ทราบสิเพคะ จะไม่ทราบได้อย่างไรกันเพคะ” 


 


 


ถึงพูดอย่างนั้นแต่มุมปากของมินอาก็ยกยิ้มขึ้น ถึงแม้จะนานจนเผลอลืมไปบ้าง แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงเรื่องราวในคราวนั้นที่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และไม่อาจลืมลง 


 


 


 


 


 


ก่อนนั้นสมัยที่บิดาของรยูฮายังไม่ได้เป็นมหาเสนาบดี รยูฮาก่อเรื่องมากมายพอรู้ว่ามีมินอาคอยตามล้างตามเช็ดให้ยิ่งก่อเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก 


 


 


มาวันหนึ่งที่เกิดเรื่องขึ้น พระสนมยอนพาฮอนมาที่เรือนของรยูฮา 


 


 


“ท่านน้า!” 


 


 


พอพระสนมยอนลงจากเกี้ยวเข้าไปยังเรือนอีกหลังในอาณาเขตเดียวกัน รยูฮาก็ขว้างดาบที่กวัดแกว่งเล่นอยู่ทิ้งไป แล้วเข้าไปกอดพระสนมยอนในสภาพเลอะเทอะไปด้วยโคลน พระสนมยอนโน้มตัวลงมาเช็ดหน้าของรยูฮาอย่างอ่อนโยนแล้วยิ้มอย่างเงียบๆ 


 


 


“ทำไมรยูฮาเปื้อนโคลนแล้วยังสวยอยู่แบบนี้” 


 


 


พูดอย่างนั้นแล้วสายตาของพระสนมยอนก็ย้ายไปทางมินอาที่ลุกพรวดขึ้นเพราะตกใจ พอพระสนมยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้ มินอาถึงรีบวิ่งมายืนข้างรยูฮา 


 


 


“พระสนมเสด็จมาหรือเพคะ” 


 


 


“มินอาของข้าก็โตขึ้นเยอะเลย เจ้าสองคนดูอย่างไรก็เหมือนพี่น้องกัน!” 


 


 


ตอนนี้เองที่ฮอนผู้ซึ่งหลบอยู่ด้านหลังกระโปรงของพระสนมยอนยื่นหน้าออกมา ฮอนตอนโตมีสายตาเย็นชา หากแต่ฮอนตอนยังเล็กกลับเป็นเด็กน้อยที่มีสายตาน่าดึงดูด ผิวขาวเหมือนพระสนมยอน และมีรูปปากชัดเจน 


 


 


“ฝ่าบาท!” 


 


 


“ถวายบังคมองค์ชายที่สามเพคะ” 


 


 


คำกล่าวทักทายของรยูฮาและมินอาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงตามสถานภาพ แต่ท่าทางของฮอนที่ยิ้มสดใสออกมาจากทางด้านหลังของพระสนมยอนพลางเข้ามาสวมกอดทั้งคู่ สำหรับทั้งคู่แล้วมันเหมือนกัน 


 


 


มารดาของรยูฮาและพระสนมยอนมองตามเด็กน้อยสามคนที่จับมือกันอย่างเป็นมิตรเดินเข้าไปเล่นหลังเรือน แล้วพวกนางก็จับมือกันเดินเข้าไปในเรือนเพื่อพูดคุยเรื่องที่ยังคุยไม่จบ แล้วก็ไม่ลืมที่จะส่งคนของพระราชวังที่ติดตามมาด้วยให้เข้าไปพักผ่อนในห้องรับรอง ความจริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อเหล่าคนของพระราชวังหรอก แต่เพื่อให้พระสนมยอนสามารถพูดคุยได้อย่างสะดวกใจ 


 


 


“ฮอน เรามาฟันดาบกันไหม” 


 


 


รยูฮาตรวจดูว่าเดินออกมาห่างจากพวกซังกุงที่ดูน่ากลัวแล้ว จากนั้นก็กระซิบกระซาบล้อเล่นขึ้นก่อน 


 


 


“นายหญิงบอกว่าตีองค์ชายไม่ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


มินอาพูดถูกแล้ว ครั้งก่อนนางฟาดฮอนด้วยดาบจนร้องไห้วุ่นวายกันทั้งเรือน จะไม่ให้โดนไม้เรียวได้อย่างไร พอนึกถึงไม้เรียวของท่านแม่ที่หวดลงมาอย่างไม่ปรานี รยูฮาก็ตัวสั่นขึ้นมา 


 


 


‘ข้าก็อยากฟันดาบ ในวังมีแค่เสด็จพี่ที่ให้ฟันดาบด้วยได้ เสด็จพี่ก็ดีกับข้า แต่ไม่ยอมฟันดาบด้วย’ 


 


 


ริมฝีปากของฮอนที่พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำขมุบขมิบอย่างน่ารัก น่ารักจนอยากตีอีก รยูฮามองฮอนแล้วก็ครุ่นคิด จากนั้นก็ตบเข้าที่ไหล่ของมินอาเพราะนึกบางอย่างดีๆ ออก 


 


 


“งั้นเจ้าก็สู้กับฮอนก็ได้สินะ!” 


 


 


“‘เอ๋? ข้าหรือเจ้าคะ” 


 


 


“ครั้งที่แล้วข้าเก่งกว่าฮอนเลยตีฮอนไปไม่ใช่หรือ เจ้าเรียนดาบยังไม่ได้นานเท่าไหร่ ฝีมือคงใกล้เคียงกับฮอน! ข้าจะคอยดูข้างๆ ว่าใครจะชนะ” 


 


 


มินอาและฮอนมองตากันแล้วยิ้มแห้ง ทั้งคู่โตมาด้วยกันแต่ก็ยังมึนงงกับคำพูดของรยูฮาไม่มีเปลี่ยน รยูฮาลุกพรวดไปหยิบเอาดาบของเล่นที่ทำจากไม้มาแล้วยัดใส่มือทั้งสองคนคนละอัน 


 


 


“อาจจะโดนจับได้ก็ได้ เพราะงั้นห้ามเสียงดังล่ะ เข้าใจหรือไม่ เริ่ม!” 


 


 


รยูฮายกมือขึ้นสูงแล้วลดลง พร้อมกันนั้นดาบของเล่นก็กระทบกันเกิดเสียงดัง 


 


 


“ไม่ออมมือให้เพราะว่าเป็นผู้หญิงหรอกนะ!” 


 


 


“ไม่ออมมือให้เพราะว่าเป็นองค์ชายหรอกนะเพคะ!” 


 


 


สองคนหัวเราะลั่นพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าที ข้างหลังที แล้วก็ต่อสู้อย่างดุเดือด อย่างไรเสียมินอาผู้ซึ่งเรียนดาบได้ไม่เท่าไหร่และตัวเล็กกว่าก็กำลังค่อยๆ ถอยร่นไปข้างหลัง มินอารู้สึกโกรธกัดฟันรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีฟาดลงบนดาบของฮอน แต่ต่อมาสิ่งที่เหลืออยู่ในมือมินอากลับมีแค่เพียงด้ามจับเท่านั้น 


 


 


“ฮอน…”  


 


 


รยูฮาทำตาโตร้องเรียกฮอนอย่างตะกุกตะกัก มินอาตัวสั่นในสภาพถือด้ามจับที่หักไปอยู่อย่างนั้นแล้วยืนนิ่งไปเหมือนหิน เลือดที่ไหลตรงแขนเพราะโดนเข้ากับเศษไม้ที่แตกหักทำให้ชุดผ้าไหมเปื้อนเป็นสีแดงเข้ม ในสถานการณ์เช่นนี้ฮอนก็ยังกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวด แล้วยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้รยูฮา 


 


 


“รยูฮา เป็นอะไรหรือไม่” 


 


 


รยูฮานั่งดูการฟันดาบอยู่แล้วเศษไม้ที่แตกออกก็ลอยไปทางนั้น แต่ว่าได้แขนของฮอนรับไว้มันจึงสะท้อนกลับไปอีกทาง รยูฮาจึงปลอดภัย  


 


 


“ทำไงดี ทำไงดี…” 


 


 


ต่อมารยูฮาก็เริ่มปล่อยโฮออกมา ในบรรดาเด็กน้อยสามคนมีเพียงคนที่บาดเจ็บเท่านั้นที่ไม่ร้องไห้ 


 


 


“ชู่ว เงียบหน่อย ถูกจับได้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่” 


5-9

ฮอนหายใจเข้าลึกๆ แล้วไปหยิบเศษไม้มาเหมือนตัดสินใจบางอย่างได้ เลือดที่ไหลซึมเป็นวงไหลลงตามปลายนิ้วที่ซีดเผือดแล้วก็ไหลลงบนพื้น มินอาเห็นอย่างนั้นถึงกับสติหลุดทรุดตัวลงบนพื้น 


 


 


“มินอา!” 


 


 


กระทั่งมินอาก็ล้มลงจึงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ฮอนจับลงบนไหล่ของรยูฮาที่กำลังสับสนและสายตาพร่ามัวเพราะม่านน้ำตา  


 


 


“รยูฮา เงียบก่อน ไปพาเสด็จแม่ของข้ามา อย่าให้ใครเห็นนะ ไปเร็วเข้า” 


 


 


รยูฮาเช็ดน้ำตาแล้ววิ่งไปตามคำสั่งของฮอนที่ดูสุขุมเยือกเย็น ไม่นานพระสนมยอนและนายหญิงตระกูลจองก็จับมือรยูฮาตามมา ทั้งคู่ไม่เชื่อสายตากับภาพอันน่าเวทนา มินอาที่สติหลุดไปนั่งทรุดอยู่กับวงเลือดที่อยู่บนพื้น พระสนมยอนหน้าซีดและก่อนจะได้เปิดปากพูด ฮอนก็ก้าวเข้ามายืนต่อหน้าแล้วแจ้งเรื่องอย่างสง่างาม  


 


 


“ท่านแม่ ข้าขึ้นไปบนต้นไม้แล้วแขนถูกกิ่งไม้เสียบจนได้แผล” 


 


 


แต่ว่าสายตาอันแหลมคมของนายหญิงตระกูลจองกลับมองดาบไม้ที่หักอยู่ข้างๆ มินอาไม่วางตา หญิงสาวอกสั่นขวัญหายหมอบก้มหน้าลงกับพื้นต่อหน้าสหาย 


 


 


“ประทานโทษตายหม่อมฉันเถิดเพคะ” 


 


 


พระสนมยอนเพิ่งเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ร่างกายขององค์ชายได้รับบาดเจ็บ จะให้หายสนิทก็ต้องรอเวลาอย่างเดียว ต่อให้ถูกมองว่าจัดการเรื่องนี้เบาไปแต่ก็ไม่สามารถให้โทษประหารกับรยูฮาและมินอาได้ แต่ถึงจะบอกว่าเป็นธิดาในสกุลชั้นสูงโทษที่ทำร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พระสนมยอนรีบประคองนายหญิงตระกูลจองให้ลุกขึ้นแล้วหยิบเอามีดสั้นออกมา ตรงชุดผ้าไหมนั้นเกิดเสียงแหลมดังขึ้นและฉีกขาดเหมือนผ้าขี้ริ้ว พระสนมยอนใช้สิ่งนั้นพันแขนของฮอนแล้วพูดอย่างใจเย็น 


 


 


“ลุกขึ้นเถอะ จินอา รีบเก็บของพวกนี้ก่อนที่คนอื่นจะมา รยูฮาเรียกมินอาแล้วพากันเข้าไปข้างใน องค์ชายเก่งมาก ลูกอดทนได้ดีมาก” 


 


 


เรื่องที่เกิดถูกแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและราบรื่น รยูฮาและมินอาเข้าไปซ่อนตัวในห้องเหมือนกับว่าอยู่ในนั้นตั้งแต่ต้น นายหญิงตระกูลจองซ่อนดาบไม้ไว้ใต้กระโปรง จากนั้นเสียงร้องอย่างเสียขวัญของพระสนมยอนก็เรียกผู้คนมารวมตัวกันตรงหลังเรือน 


 


 


จากนั้นก็วุ่นวายกันอยู่สักพักหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงที่ว่าพระสนมและองค์ชายออกมาเดินเล่น องค์ชายปีนขึ้นไปบนต้นไม้คนเดียวจนเกือบจะตกลงมาและโดนกิ่งไม้เสียบเข้าที่แขน ฮอนช่วยชีวิตรยูฮา มินอาและทุกคนในบ้านมหาเสนาบดีไว้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะจำไม่ได้ว่ารอยแผลเป็นที่เกิดตรงแขนของตัวเองเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ตาม 


 


 


 


 


 


มินอานึกย้อนไปแล้วยกยิ้มขึ้นเหมือนคิดถึง รยูฮาเองก็นึกย้อนกลับไปถึงฮอนในวัยเด็กด้วยสีหน้าคล้ายๆ กัน 


 


 


“นิสัยคนไม่ไปเปลี่ยนหรอก อีกอย่างฝ่าบาทเหมือนไม่ได้รักข้ามากกว่าตอนนั้นด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ ว่าแต่ว่า…” 


 


 


รยูฮาถอนหายใจอย่างเป็นกังวลแล้วซบหน้าลงบนแขนตัวเอง 


 


 


“ตอนนั้นแค่น่ารัก มาตอนนี้กลับทำให้หลงเสน่ห์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วสินะ” 


 


 


 


 


 


* * * 


 


 


 


 


 


หัวหน้าองครักษ์และเหล่าทหารผู้น้อยลอบมองอาการเบื้องบนทั้งสามพระองค์ที่ดูเคร่งเครียดขึ้นแล้วควบม้าไปอย่างไม่มีหยุดพัก จนมาถึงปากทางเข้าเขตภาคตะวันตกเฉียงเหนืออย่างไม่ทันได้รู้ตัว ที่นั่นลมหนาวหนาวเย็นเป็นพิเศษชนิดที่ว่าแทรกทะลุผ่านเข้าไปถึงในกระดูก 


 


 


“…ว่าแล้วเชียว” 


 


 


ฮอนที่อยู่หน้าสุดถอนหายใจยาวออกมา แค่ปรากฏตัวให้เห็นเลือนรางตรงปากทางเข้าเมือง เหล่าเด็กน้อยที่เล่นอยู่ตรงนั้นพอเห็นขบวนม้าก็พากันกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป ช่างแตกต่างจากเด็กๆ ในเมืองอื่นที่จะเฝ้ามองพวกเขาอย่างสนใจ 


 


 


“เป็นเพราะพวกคนป่ามักจะเดินทางโดยใช้ม้า ที่นี่ห่างจากเขตชายแดนก็จริงแต่จากสภาพการดำรงชีพของชาวบ้านก็บอกไม่ได้ว่าดีนัก” 


 


 


ชานสังเกตเห็นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรฮอนจึงถอนหายใจเลยอธิบายให้ฟังอย่างบริสุทธิ์ใจ ฮอนหันกลับหลังไปแล้วจมอยู่ในความคิดสักครู่ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น 


 


 


“ไม่ต้องเข้าไปในเมือง ให้ไปตั้งค่ายตรงเนินเขาตรงนู้น” 


 


 


“ฝ่าบาท แต่ว่าที่นี่มันพื้นที่อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ชองโอออกมาข้างหน้าเพื่อห้ามปราม แต่ก็โดนฮอนว่ากลับมาจนพูดไม่ออกถอยร่นไป 


 


 


“เพราะเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจึงติดตามมาด้วยไม่ใช่หรือ จะมากินแล้วก็เที่ยวเล่นอย่างนั้นรึ อย่าพูดอะไรไร้สาระแล้วรีบเตรียมการซะ แล้วก็ต้องเข้มงวดเรื่องเขตชายแดนรอบๆ ห้ามใช้ไฟด้วย” 


 


 


เหล่าทหารเหน็ดเหนื่อยจากการตั้งค่ายติดต่อกันหลายวัน แต่ก็ไม่ใครกล้าขัดคำสั่งขององค์รัชทายาท ระหว่างออกมาตั้งที่พักชั่วคราวตรงเชิงเขาที่ห่างออกมาหน่อย ตระเตรียมอาหารเย็นแล้วก็ขานชื่อเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามตะวันตกดิน หลังจากฮอนและชานกินมื้อเย็นอย่างง่ายๆ เป็นเนื้อตากแห้งแล้ว ทั้งคู่ก็เข้าไปในที่พักชั่วคราวด้วยกัน 


 


 


“เป็นเมืองที่ตระกูลพันดูแลอยู่ แน่นอนว่าตำแหน่งสำคัญในที่ว่าการเขาก็ยกให้พวกญาติๆ ไหนจะชอบเรียกระดมคนมาทำงานสารพัดอย่าง แล้วก็ขึ้นภาษีอยู่เป็นประจำ เป็นสาเหตุทำให้พวกที่ยากจนกับพวกคนร่ำรวยแบ่งแยกกันอย่างเห็นได้ชัด กับพวกคนรวยที่ติดสินบนให้ก็เก็บภาษีลดลงและหลับหูหลับตาให้เวลาพวกนั้นทำผิดกฎหมายสารพัดอย่างเลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


ต่อให้ไม่ได้เตรียมเอกสารมา แต่รายงานที่ได้ยินมาเมื่อครั้งที่แล้วยังคงอยู่ในหัวของชาน แต่แทนที่ชานจะอธิบายสิ่งที่รู้มาทั้งหมดให้ฮอนฟัง เขากลับทิ้งช่วงให้ฮอนได้คิด 


 


 


“อาวุธก็ไม่พร้อมไว้ป้องกันพวกคนป่า ดูท่าคงยักยอกเงินส่วนที่ใช้ปกป้องอาณาจักรไปด้วย” 


 


 


หัวคิ้วของฮอนขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแล้วเขาก็จมอยู่ในความคิด 


 


 


“ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ติดชายแดน ถึงขนาดที่พวกคนป่าจะเข้ามาปล้นถึงที่นี่ได้ก็คงเสียหายไม่น้อย” 


 


 


“กระหม่อมไม่รู้ถึงขั้นนั้น แต่มั่นใจว่าสถานการณ์ทางชายแดนเทียบไม่ได้กับทางนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“คิดว่าตรงชายแดนไม่มีอะไรให้ปล้นเลยมาถึงที่นี่ก็เป็นได้” 


 


 


“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


บทสนทนาดำเนินต่อไปแต่ก็ไม่มีส่วนที่ทั้งคู่มั่นใจ ยกเว้นความจริงที่ว่ามีบางอย่างไม่เข้ารูปเข้ารอย 


 


 


“คงต้องตรวจสอบภายใน เสด็จพี่ช่วยแนะนำหน่อยได้หรือไม่” 


 


 


“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


พอปรึกษางานกันเสร็จแล้วแต่ละคนก็พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าจนตอนท้ายที่ต่างสำรวจเครื่องแต่งกายของตน ประตูที่พักชั่วคราวก็ถูกเปิดออกโดยไม่มีสัญญาณเตือน ขณะที่ลมหนาวพัดผ่านเข้ามา สตรีที่คุ้นเคยดีแต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนคนแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น 


 


 


“พระชายา?” 


 


 


ทั้งสองคนที่มองไปยังจุดเดียวกันพร้อมกันมีเพียงชานเท่านั้นที่อ้าปากกว้าง รยูฮาก้มหัวพอผ่านๆ แล้วมองตรงไปทางฮอนก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างเฉียบขาด 


 


 


“หม่อมฉันจะไปด้วยเพคะ” 


 


 


“ด้วยสภาพเช่นนั้น?” 


 


 


บทสนทนาของคู่สามีภรรยาที่ไม่ได้คุยกันหลายวันแข็งกระด้างจนเกินไป เหมือนสีหน้าของฮอนที่กวาดตามองรยูฮาตั้งแต่บนลงล่าง 


 


 


“ใช่เพคะ หม่อมฉันกับมินอาจะแยกไปต่างหาก อย่าสนพระทัยเลยเพคะ” 


 


 


รยูฮาอยู่ในชุดผ้าไหมที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใส่ แต่ว่าเป็นชุดของบุรุษไม่ใช่สตรี พอผ้าไหมอันหรูหราและความมันเงาของผ้าไหมอยู่บนด้านหลังบังเ**ยนม้าประกอบกับมินอาที่ยืนอยู่ข้างกันในชุดสีดำยิ่งทำให้ดูสะดุดตา  


 


 


“ตามใจ” 


 


 


ฮอนไม่เปิดปากอีกแล้วเดินผ่านรยูฮาที่หลบอยู่ข้างๆ ไป กลิ่นกายของรยูฮาที่ลอยมาตามลมต่างไปจากปกติ หรือจะเป็นเครื่องหอมที่ผู้ชายใช้ เขายกยิ้มให้กับความรอบคอบแม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้และไม่ทันสังเกตชองโอที่ออกมาโค้งตัวอยู่ข้างหน้า 


 


 


“เอาม้ามา เลือกตัวที่ดูธรรมดาๆ” 


 


 


“อันตรายนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะติดตามไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


“หากเจ้าไม่อยู่แล้วที่นี่ใครจะดูแล” 


 


 


หัวหน้าองครักษ์จอมเซ่อซ่าไม่สามารถตอบอะไรได้เพราะคำตำหนิของฮอน แล้วก็ไปลากเอาม้ามาสองตัว เสื้อผ้าชุดธรรมดาที่ชานกับเขาสวมใส่ก็ยังดูมีราคาแต่ทำมาจากผ้าทอ ทั้งคู่ออกไปข้างหน้าแล้วขึ้นม้าไปอย่างคล่องแคล่วก่อนจะหันมามองมินอา 


 


 


“ดูท่าคงไม่รู้ว่าใส่แบบนั้นมันเรียกความสนใจให้ดูรู้ว่าเป็นคนชั้นสูง” 


 


 


“คงอยากให้เจ้าเมืองนำทางตั้งแต่ปากทางเข้าเมืองไปถึงวัดกระมังพ่ะย่ะค่ะ” 


5-10

เสียงหัวเราะสดใสของรยูฮาลอยผ่านอากาศบริสุทธิ์เข้ามาถึงหูฮอน เขาพยายามข่มสายตาไม่ให้หันไปมอง แต่พอเหลือบมองไปด้านข้างก็พบว่าชานหันไปมองก่อนจะหันหน้ากลับมาตามเดิม รู้อย่างนี้เขาเองจะได้หันไปบ้าง ฮอนอดทนต่อความรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมและความไม่พอใจอย่างประหลาดไว้ จากนั้นจึงขยับบังเ**ยนม้าเพิ่มความเร็วออกไป 


 


 


พอเห็นใกล้ๆ ที่นี่เป็นหัวเมืองที่มีขอบเขตกว้างขวาง มีลำธารใสสะอาดอยู่ตรงกลาง แบ่งแยกออกชัดเจนฝั่งหนึ่งเป็นหมู่บ้านยากจนที่มีบ้านเรือนเรียงรายกับร้านค้าซอมซ่อ ส่วนอีกฝั่งเป็นหมู่บ้านคนรวยที่มีบ้านหรูหราและร้านค้าหรูหราเรียงกันไป พอฮอนและชานลงจากม้ามาแล้วเดินไปได้สักครู่ก็หยุดลง รยูฮาที่อยู่ด้านหลังจึงหยุดตาม นางพยักหน้าแล้วพูดขึ้น 


 


 


“เราไปทำงานกันเถอะ หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” 


 


 


ฮอนเก็บคำถามที่อยากถามออกไปว่าจะไปไหน ไปทำอะไร แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ไว้ ทำแค่พยักหน้ารับเท่านั้น 


 


 


“จะไปไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” 


 


 


คำถามที่เขาพยายามข่มไว้หลุดออกมาจากปากของชานพอดี ถ้าเป็นปกติคงไม่พอใจที่รยูฮาและชานคุยกัน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกดีใจขึ้นมา 


 


 


“จะไปหอนางโลมเพคะ จะไปค้างที่นั่นหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้จะรายงานข่าวให้ทราบเพคะ” 


 


 


เขาตกใจกับน้ำเสียงที่สงบและนิ่งเฉยมากราวกับกำลังจะไปโรงเตี๊ยมแถวนี้ จะไปหอนางโลมด้วยร่างสตรี ยิ่งไปกว่านั้นคือจะไปด้วยร่างพระชายาหรือ หนำซ้ำยังจะไปค้างหนึ่งคืนอีก! ฮอนอดทนเงียบต่อไปไม่ไหวได้แต่เอ่ยปากกับรยูฮา 


 


 


“ไม่อนุญาต เจ้ากลับไปเสีย” 


 


 


“ทำไมหรือเพคะ” 


 


 


นานแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แต่สายตาที่สบกันแทนที่จะอ่อนโยนแต่กลับลุกเป็นไฟแทน ฮอนไม่หลบสายตาของรยูฮาและถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีก 


 


 


“เพราะมันอันตราย” 


 


 


“ถ้าเช่นนั้นก็ไปด้วยกันสิเพคะ หม่อมฉันต้องไปที่นั่นจริงๆ” 


 


 


พอพูดตามอำเภอใจจบ รยูฮาก็ก้าวไปข้างหน้า โดยมีมินอาวิ่งตามหลังไป ท่าทางที่ไม่มีลังเลนั้นทำให้ฮอนลำบากใจจนต้องหลับตาและหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบจิตสงบใจ ชานที่อยู่ข้างหน้าถามขึ้นอย่างระมัดระวัง 


 


 


“จะปล่อยไปทั้งอย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ หอนางโลมสตรีเยอะก็จริง แต่บุรุษที่มาก็มีมากเหมือนแมลง” 


 


 


คำถามที่อยากย้อนถามกลับไปเหมือนเด็กๆ ว่าเสด็จพี่เกี่ยวอะไรด้วยตีตื้นขึ้นมาตรงหลอดลม ฮอนสะบัดหัวอย่างไม่พอใจ แล้วจับบังเ**ยนม้าเดินตามรยูฮาเข้าไปทางหมู่บ้านฝั่งคนรวยเงียบๆ 


 


 


“ทรงเสด็จตามมาจริงๆ ด้วยเพคะ” 


 


 


มินอาเบนสายตาไปทางด้านหลังแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบา ริมฝีปากของรยูฮาที่ยังคงจ้องมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ยกยิ้มขึ้นอย่างเงียบๆ  


 


 


“ก็ใส่ใจอยู่หรอก…แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ” 


 


 


สีหน้าของรยูฮาดูสนุกสนานชอบใจมากกว่าใส่ใจ แต่มินอาก็ไม่ว่าอะไรเอาแต่เดินต่อเงียบๆ ระยะห่างระหว่างทั้งสี่คนแคบลงเรื่อยๆ พวกเขาเดินตามถนนที่มีโคมไฟสีแดงห้อยอยู่จนมาถึงหอนางโลมที่สว่างไสวด้วยไฟประดับหรูหราเหมือนตอนกลางวัน ที่แห่งนั้นเกิดเสียงเจี๊ยวจ๊าวเพราะมีชายหนุ่มรูปหล่อมาเยือนอย่างคาดไม่ถึง 


 


 


“โอ๊ะ หนุ่มหล่อมาจากที่ใดกันหรือ เป็นคนต่างถิ่นใช่ไหมเจ้าคะ” 


 


 


“มาจากเมืองหลวงเพื่อมาท่องเที่ยวน่ะ ว่าแต่สาวๆ ที่นี่น่ารักกว่าสาวๆ ที่หลวงเสียอีก” 


 


 


บรรดาหญิงสาวพากันหวั่นไหวกับคำพูดของรยูฮาที่กดเสียงให้ต่ำลงเหมือนผู้ชาย ไม่ใช่แค่เหล่านางโลม แม้แต่เหล่าผู้ชายที่เดินผ่านไปก็ชำเลืองมองรยูฮาหรือไม่ก็ละสายตาไม่ได้เลย ต่อให้บอกว่าริมฝีปากที่อมยิ้มและแววตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยนั้นคือสตรีก็พอเทียบกันได้ แต่ท่าทางนั้นก็ดูสง่างามสมกับเป็นชาย ถึงขนาดที่ว่าในบรรดานั้นมีคนส่งสายตามีเลศนัยมาให้ราวกับว่าจะยอมเป็นพวกชอบพอเพศเดียวกัน แน่นอนว่าพอมินอาที่ตามมาข้างหลังจับตรงด้ามสีดำพร้อมกับกระแอมและลดสายตาลงต่ำ จึงไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น 


 


 


“ทำไมถึงได้รูปงามเหมือนกันทุกคนเช่นนี้เจ้าคะ เชิญทางนี้เลยเจ้าค่ะ” 


 


 


นางโลมนางหนึ่งที่จริตไม่ธรรมดายิ้มตาปิดเดินส่ายก้นนำหน้าไป ต่อมาจู่ๆ ก็หลบไปทางหนึ่งแล้วหยุดฝีเท้า รยูฮาหยุดยืนตามและสิ่งที่เข้ามาในสายตาก็คือสาวงามผู้เดินเชิดคางเข้ามา ด้วยบรรยากาศที่ดูโอหังและท่าทางที่ต่างจากเหล่านางโลมคนอื่นๆ ดูแล้วคงจะเป็นอันดับหนึ่งของที่นี่ 


 


 


“ข้าชื่อจางโซยูเจ้าค่ะ จะนำทางไปเองเจ้าค่ะ” 


 


 


นางโลมที่เดินเข้ามาใกล้ด้านหน้าขบวนโค้งตัวลงพร้อมกับรอยยิ้ม พอมองไปก็เห็นเป็นหญิงงามไม่แพ้กับแชยอน หญิงสาวงดงามเช่นนี้มาอยู่ในหอนางโลมแถบชนบทได้อย่างไร รยูฮาพยักหน้าแล้วเดินตามนางเข้าไปในห้อง 


 


 


ขณะเดียวกันฮอนและชานผู้ซึ่งชำนาญเรื่องการรับมือกับผู้หญิงกลับยิ้มแห้งออกมาแทนคำพูด นางโลมคนอื่นได้แต่เอามือทาบหน้าอกที่ร้อนรุ่มและบิดไปมาเพราะไม่สามารถเข้าไปใกล้รอยยิ้มอันงดงามของชายหนุ่มรูปงามผู้นั้นหลังจากชำเลืองดูท่าทีของโซยู 


 


 


“จะสนุกไปกับการร้องรำ หรือสนุกไปกับสตรีดีเจ้าคะ” 


 


 


“อะไรก็ได้ที่ดีที่สุด” 


 


 


โซยูอมยิ้มเงียบๆ กับคำพูดอันเป็นธรรมชาติของรยูฮาที่จับจองที่นั่งแขกคนสำคัญ หลังจากนั้นไม่นาน ตอนที่เหลือกันแค่สี่คนเสียงของชานก็ดังขึ้นมาก่อน 


 


 


“ไม่ได้เพิ่งมาแค่ครั้งสองครั้งสินะพ่ะย่ะค่ะ” 


 


 


รยูฮาสะดุ้งตกใจชำเลืองมองมินอา ทั้งเหล้า สตรี และการพนัน นางเพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น จึงได้พาโฮจินเข้าๆ ออกๆ หอนางโลมอยู่บ่อยครั้ง และแน่นอนว่าตั้งใจจะเก็บเป็นความลับกับมินอาไปตลอดชีวิต 


 


 


“หม่อมฉันจะเคยมาที่แบบนี้เมื่อไหร่เพคะ ก็แค่ทำตามพวกผู้ชายรอบๆ เท่านั้นเพคะ” 


 


 


ทุกคนก็เห็นว่านางไม่ได้มองไปรอบๆ เลย แต่นางก็ยังพูดอย่างผ่าเผยด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิดเขาจึงไม่ซักไซ้ต่อ ท้ายที่สุดฮอนที่จ้องมองรยูฮาอยู่ก็เปิดปากพูด 


 


 


“ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้จริงๆ สมกับเป็นคนรอบรู้” 


 


 


มีแค่ริมฝีปากของรยูฮาที่ยกยิ้มหวานรับคำชมที่จู่ๆ ก็พุ่งออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว 


 


 


“แต่เท่าที่ข้ารู้มา ท่านเป็นแขกที่เป็นที่รู้จักดีในหอนางโลมไม่ใช่หรือ เสด็จพี่” 


 


 


แต่ว่าชานเลือกที่จะไม่ต่อความยาวสาวความยืด เขาเพียงแค่ถอนหายใจแล้วเบือนหน้าหนี สายตาของเขาเบนไปทางด้านข้างเหมือนไม่มีที่ให้วางสายตาจนไปสบเข้ากับสายตาอันเฉียบแหลมของมินอาที่นั่งกุมดาบอยู่ ตอนนั้นเองประตูก็ถูกเปิดออก โซยูถือขวดเหล้าเข้ามาด้วยตัวเองแล้วมานั่งลงข้างรยูฮา 


 


 


“จะให้เด็กๆ เข้ามาทักทายนะเจ้าคะ” 


 


 


พอเสียงของโซยูดังออกไปข้างนอกเหล่านางโลมที่มีรอยยิ้มเหมือนดอกไม้ก็ทยอยกันเข้ามาและโค้งคำนับ แต่ก็สวยน้อยกว่าโซยู นางสวยที่สุดในหอนางโลมชนบทแห่งนี้ รยูฮายกมือขึ้นชี้เลือกหญิงสาวประมาณสี่ห้าคน  


 


 


“เจ้า เจ้า เจ้าแล้วก็เจ้า…” 


 


 


“เจ้า” 


 


 


พอรยูฮาพูดจบฮอนก็ชี้ไปยังหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นสาวงามในชุดสีแดง 


 


 


“มานั่งนี้” 


 


 


คิ้วของชานบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อยแทนรยูฮาที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ เหล่านางโลมที่ถูกชี้เข้าไปนั่งตรงที่นั่งที่ว่างอยู่ สายตาของโซยูไปหยุดอยู่ที่มินอาผู้ซึ่งนั่งเงียบอยู่ริมสุด เป็นสายตาที่ออกจะเปิดเผยอยู่บ้างแต่เพราะเหล้าและอาหารเข้ามาบดบังสายตาพอดี ทำให้มินอาหลุดพ้นออกมาจากสายตาอันน่าอึดอัดนั้นได้  


 


 


“เห็นว่าท่านเดินทางจากท่องเที่ยวจากเมืองหลวง หากไม่เป็นการเสียมารยาทขอถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” 


 


 


โซยูยิ้มหวานอย่างน่ารักและรินเหล้าให้รยูฮา 


 


 


“แล้วก็ ถามชื่อท่านทั้งสองที่อยู่ตรงนั้นด้วย” 


 


 


สายตาชวนหลงใหลของโซยูมองกลับมาที่ชานและฮอนราวกับต้องการถามชื่อ สองคนที่อยู่ตรงนั้น นอกจากคนในราชวงศ์แล้ว ก็ไม่ควรเปิดเผยชื่อให้คนอื่นได้ล่วงรู้ ทั้งคู่จึงส่ายหน้าปฏิเสธแล้วยกแก้วเหล้าที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้น ด้วยสัญญาณเช่นนั้นเหล่านางในที่อยู่ข้างๆ จึงจับขวดเหล้าขึ้น ตอนนั้นเองที่มินอาผู้ซึ่งนั่งเงียบมาจนถึงตอนนี้ลุกพรวดขึ้นและเปลี่ยนขวดเหล้าของฮอนกับขวดเหล้าของตนที่ดื่มไปแล้ว 


 


 


“อันนี้ข้าน้อยจะดื่มเอง ดูรสชาติดีกว่าขอรับ” 


 


 


สถานการณ์ก็ไม่ได้แย่อะไร มิหนำซ้ำพฤติกรรมของมินอาก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาด ทั้งยังฉลาดเฉลียวด้วยซ้ำเพราะรู้ถึงสถานภาพที่แท้จริงของฮอน แต่ว่าในสายตาของหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องด้วยก็เกิดอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย มินอาที่รินเหล้าจากขวดที่เปลี่ยนมาใส่แก้วตัวเองยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย 


 


 


“เป็นแบบนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พวกทหารน่ะไม่ค่อยสนใจอะไรหรอก หายอารมณ์เสียเถิด” 


 


 


พอฮอนตบลงที่ไหล่เบาๆ สีหน้าของหญิงสาวก็แดงระเรื่อขึ้นและความอึดอัดใจที่อยู่ในดวงตาก็สลายหายไปหมดเหมือนถูกล้าง ชานที่เห็นอย่างนั้นก็หันไปมองรยูฮาอย่างตกใจ แต่ว่ารยูฮาที่มีนางโลมขนาบข้างดูแลอยู่กลับดูไม่รู้สึกอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังยิ้มร่าเหมือนพอใจในสถานการณ์ตอนนี้มาก โชยูรินเหล้าลงบนแก้วเปล่าของรยูฮาอีกครั้งและมองฮอนพร้อมยิ้มหวาน 


 


 


“นายท่าน นางบรรเลงพิณเก่งมากนะเจ้าคะ ชื่อว่านึงพาเจ้าค่ะ อยากลองฟังดูไหมเจ้าคะ” 


 


 


พอโซยูเชิญชวน ปากของฮอนก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น 


 


 


“ถ้าเป็นพิณ ข้าคงต้องฟังเสียหน่อยแล้ว เอามาเถอะ” 


 


 


“เจ้าค่ะ นายท่าน เดี๋ยวข้ากลับมา” 


 


 


ใบหน้าของหญิงสาวส่องประกายไปด้วยความดีใจแล้วนางก็เดินออกไปข้างนอก รยูฮามองพวกเขาแล้วยกเหล้าดื่มรวดเดียวก่อนจะเอ่ยถามโซยู 


 


 


“ความงามของพวกเจ้าหากเทียบกับเด็กๆ ทางเมืองหลวงแล้วไม่น้อยหน้ากันเลย ทำไมพวกเจ้าไม่ไปอยู่ที่เมืองหลวง แต่มาเป็นนางโลมในเมืองชนบทเช่นนี้เล่า” 


 


 


“อย่ากล่าวสิ่งที่ไม่รู้เลยเจ้าค่ะ นายท่าน ต่อให้งดงามแค่ไหน โชคชะตาของนางโลมก็คือถูกขับไล่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เห็นว่าแขกของที่นี่ดูแลดี เหล่านางโลมที่อยู่รอบๆ ก็พากันมารวมตัวเจ้าค่ะ พอมีนางโลมสวยๆ เยอะบรรดาแขกต่อให้อยู่ไกลก็มาหา อนาคตก็ดีกว่า จึงไปจากที่นี้ไม่ได้เจ้าค่ะ” 


 


 


หัวคิ้วของฮอนที่กำลังฟังอย่างตั้งใจขมวดเข้าหากัน วันนี้ระหว่างทางเห็นเด็กรูปร่างผอมแห้งตรงหมู่บ้านคนจนโยนก้อนหินตรงลำธาร และเฝ้ามองไปที่หมู่บ้านฝั่งคนรวย ส่วนที่นี่โยนอนาคตไว้ที่กระโปรงของนางโลม


5-11

พอปลอมตัวออกมาจากวังมาใช้เวลายามค่ำคืนอยู่ที่หอนางโลมเช่นนี้ ถึงรู้ว่าชีวิตต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง ฮอนขยับแก้วเหล้าด้วยใจอันเจ็บปวด ขณะเดียวกันนั้นหญิงสาวที่กอดพิณอย่างน่ารักน่าเอ็นดูก็เปิดประตูเข้ามา 


 


 


“ข้าฝีมือยังด้อยนัก ช่วยรับฟังด้วยนะเจ้าคะ” 


 


 


หญิงสาวโค้งตัวอย่างเย้ายวนแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ การบรรเลงเครื่องดนตรีอันน่าทึ่งตรงมือของหญิงสาวเริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงน่าฟัง บทเพลงตอนแรกเริ่มต้นอย่างน่าเวทนาแล้วก็เร็วขึ้นจนใจเต้นแรง จากนั้นจึงจบลงอย่างโศกเศร้าอีกครั้ง 


 


 


‘ความฝันในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นบทเพลงที่บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสา;ที่ได้พบและได้ใช้เวลาชั่วค่ำคืนหนึ่งกับชายหนุ่ม แล้วลืมเลือนเขาไม่ได้ นึงพาที่มองตรงมาทางฮอนและร้องเพลงกำลังเชื้อเชิญฮอนให้มาใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกัน มันเปิดเผยจนชนิดที่ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นมองออก พอการบรรเลงดนตรีจบลง ฮอนยิ้มแล้วส่งแก้วที่รินเหล้าอยู่เต็มยื่นให้นึงพาพร้อมกับคำชื่นชม 


 


 


“บรรเลงดนตรีเก่งมาก เห็นทีข้าต้องตอบแทนค่าบทเพลงเสียหน่อยแล้ว” 


 


 


ใบหน้าของนึงพาแดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง นางกลับมานั่งที่เดิมแล้วรับเอาแก้วเหล้ามาดื่ม ก่อนจะพิงลงบนไหล่ของเขาเงียบๆ 


 


 


“หากเป็นของมีค่าข้าไม่รับนะเจ้าคะ ข้าใช้มือเล่นดนตรี ใช้ปากร้องเพลง ท่านเองก็ช่วยทำแบบเดียวกันด้วยนะเจ้าคะ” 


 


 


ในที่สุดใบหน้าของมินอาที่ไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาก็เปลี่ยนมาเป็นไม่พอใจเป็นอย่างมาก ทั้งหญิงที่ยั่วยวนสามีเจ้านายของตนที่อยู่ตรงหน้าและองค์รัชทายาทเองที่ตอบรับอย่างดี มันทำให้นึกอยากจะฟาดลงไปสักที หรือระหว่างทางกลับจะแอบตีตรงหัวด้านหลังสักทีดี โซยูเอียงคอมาทางมินอาที่กำลังครุ่นคิดอย่างจริงจัง 


 


 


“ท่านนายทหารไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ” 


 


 


“เปล่า ข้าขอไปดูข้างนอกสักครู่แล้วเดี๋ยวกลับมา” 


 


 


มินอาเลือกที่จะไม่รีรอแล้วลุกออกจากที่นั่งเพื่อที่ได้ไปจะสำรวจรอบๆ ด้วย พอออกมาข้างนอกอากาศสดชื่นก็ช่วยชะล้างปอดทำให้ใจสงบลงได้นิดหน่อย แต่ก็แค่รู้สึกเท่านั้น ก่อนที่ใจจะได้สงบลงเสียงเอะอะก็ทำให้ใจที่กำลังหงุดหงิดอยู่ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ 


 


 


“นี่ ดูถูกข้าหรือ ไปไหนกันหมด โซยูไปไหน!” 


 


 


“ตอนนี้โซยูรับแขกอยู่เจ้าค่ะ บอกว่าเสร็จจากตรงนั้นแล้วจะมาที่นี่เลย เข้าไปก่อนนะเจ้าคะ นายท่าน” 


 


 


ตรงสวนที่นางออกมาเพื่อทำให้หัวของนางเย็นลง มีคนเมาเหล้ากำลังสร้างความวุ่นวาย ด้วยนิสัยแล้วอยากเข้าไปซัดตรงท้ายทอยนั้นแต่ว่าจะทำให้เกิดเสียงเอะอะไม่ได้ มินอาจึงได้แต่มองฟ้าแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะหมุนตัวเพื่อไปหาที่เงียบๆ… 


 


 


“นี่ เจ้า!” 


 


 


คนเมาเหล้าคนนั้นชี้มาทางหญิงสาวอย่างชัดเจน 


 


 


“หมายถึงข้าหรื” 


 


 


“ใช่ เจ้า! ไม่เคยเห็นหน้าแฮะ แก ไม่สิ เจ้านายของแกใช่ไหม ไอ้ลูกหมาที่มาจากเมืองหลวงแล้วกวาดพวกนางโลมไป!” 


 


 


กรี๊ด ชายหนุ่มผลักไหล่นางโลมเหล่านั้น แล้วเดินเนิบๆ มาจับไหล่มินอา 


 


 


“ถึงอย่างนั้นแล้วเกี่ยวอะไรด้วย” 


 


 


“ดูไอ้นี่พูดเข้า? ดูจากคนคุ้มกันแล้วคิดว่าข้าเป็นใครกัน!” 


 


 


“ถึงจะมีคนคุ้มกันหรือไม่มี แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นใคร ถ้าไม่อยากมีเรื่องก็ช่วยหลบไปด้วย” 


 


 


ดาบของมินอาถูกชักออกมา ตัวดาบส่องประกายวิบวับ ทั้งที่ทำเพื่อขู่ให้กลัวเฉยๆ แต่พวกเหล่านางโลมกลับไม่รู้เรื่อง แล้วพากันกรีดร้องเสียงแหลมวิ่งหนีให้วุ่น ประตูที่อยู่แถวนั้นบานสองบานถูกเปิดออกเพราะเสียงเอะอะแล้วมองออกมา และชายคนที่มินอาตั้งใจขู่ให้กลัวกลับยิ่งวิ่งพล่าน ส่งเสียงเอะอะโวยวายยิ่งขึ้น 


 


 


“ฮึ! ดาบหรือ ดูไอ้คนอวดดีนี่ เจ้านายแกอยู่ไหน เห็นทีต้องฆ่ามันต่อหน้าแก แล้วก็ฆ่าแกตามไป!” 


 


 


คำพูดของชายหนุ่มล้ำเส้นไปแล้ว หากเขารู้ว่าโทษของการดูหมิ่นพระราชวงศ์คือต้องโดนประหารสามชั่วคนจะยังทำหน้าเช่นนั้นไหม ขณะที่มินอาคิดเช่นนี้ เสียงสงบนิ่งก็ลอยออกมาจากทางด้านหลังของเธอ 


 


 


“ข้าคือเจ้านายเจ้าเด็กนี่เอง” 


 


 


รยูฮาปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลัง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าดูสบายๆ ไม่ต่างจากปกติ มินอาบอกว่าจะออกไปดูรอบๆ สักครู่แล้วกลับมา แต่ก็ไม่กลับเข้ามา แถมยังมีเสียงเอะอะข้างนอก ชายขี้เมาที่ชะล่าใจและวิ่งพล่านไปมาพอเห็นหญิงสาวยิ่งหัวเราะเข้าไปอีก เขาเดินผ่านมินอาไปแล้วยื่นใบหน้าแดงแจ๋เข้ามาตรงหน้ารยูฮา 


 


 


“เป็นเจ้านายไอ้คนอวดดีนี้หรือ หน้าตาน่ารักถูกใจข้า ข้าไม่ขัดหรอกว่าจะเป็นหญิงหรือเป็นชาย หากคืนนี้เจ้ามาเป็นหมอนให้ข้าแทนโซยู ข้าก็จะยกโทษให้” 


 


 


รยูฮาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ในขณะเดียวกันกับที่มินอาชักดาบออกมาจากฝัก ขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะวางมือลงบนไหล่ของรยูฮา เขาก็ต้องทิ้งระยะห่างประมาณหนึ่งคืบแล้วขยับตัวต่อไปไม่ได้อีก เลือดไหลจากปลายแขนของเขาที่โดนคมดาบ เลือดนั้นไหลลงสู่พื้น 


 


 


“แม่งเอ๊ย ไอ้ลูกหมา…” 


 


 


“อย่าขยับ ไม่งั้นเลือดสาดแน่” 


 


 


เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่มีสีหน้าซีดเผือด รยูฮาผู้ซึ่งยังคงสงบเยือกเย็นอยู่พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ ฮอนและชานนึกเป็นห่วงรยูฮาจึงตามออกมาทีหลังและได้ยินเสียงนั้นชัดเจน 


 


 


“มีเรื่องอะไรกันหรือ มินอา เก็บดาบก่อน” 


 


 


“รับทราบ” 


 


 


ชานหน้าบูดเบี้ยวเดินออกมาแล้วดึงรยูฮามาข้างๆ แทบจะทันที เป็นสัญชาตญาณที่อยากจะปกป้องหญิงสาว หรือลึกซึ้งกว่านั้น ในระหว่างนั้นเขาคิดว่าเกิดไฟวาบขึ้นมาตรงหัวไหล่ที่สัมผัสเข้ากับมือของตน ฮอนกอดอกมองภาพเหล่านั้นอยู่ทางด้านหลัง 


 


 


“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าคนเมาคนนั้นล้อเล่นตามใจปากมากไปนิด เห็นบอกว่าจะตัดคอข้าบ้างแหละ จะเอาข้าไปทำหมอนบ้างแหละ” 


 


 


ตอนที่คำว่าหมอนหลุดออกมา หมัดของฮอนที่ยืนดูอยู่ด้านหลังเหมือนคนไม่สนใจก็ซัดเข้าไปที่ชายคนนั้นจนร่วงลงไปบนพื้น 


 


 


“อ๊าก! โอ๊ย!” 


 


 


ชายเมาเหล้าไม่สามารถโต้ตอบได้อย่างเต็มที่และถูกฮอนทุบตีจนอ้วกออกมาเป็นเลือด ทั้งทางปากและจมูก รยูฮาและชานยืนดูอยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะห้าม แต่นึงพากลับย่ำเท้าไปมาพร้อมยึดชายเสื้อของฮอนไว้แน่น 


 


 


“นายท่าน ได้โปรด พอเถอะเจ้าค่ะ ท่านนั้นคือพันโซชอน ลูกชายคนโตของท่านเจ้าเมือง เดี๋ยวจะเกิดเรื่องใหญ่นะเจ้าคะ!” 


 


 


ฮอนหยุดลงมือเพราะคำบอกเล่านั้นสักครู่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะมันไร้สาระมากกว่า ดูเหมือนว่าโซชอนที่โดนเล่นงานอยู่จะคิดว่าเขาตื่นตระหนก ฝ่ายนั้นจึงหัวเราะเสียงดังท่ามกลางความวุ่นวายและเย้ยหยันไปทางฮอน 


 


 


“ทำไม คิดไม่ถึงล่ะสิ ไม่นานทหารจะมาลากตัวพวกแกไป! ไอ้พวกโง่…” 


 


 


คำพูดสุดท้ายของโซชอนกลายเป็นเลือดกระเซ็นออกมาจากปาก เพราะฝีมือของฮอนที่ฟาดเข้าไปที่หน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง ขณะที่เลือดสาดลงบนพื้น ฟันที่หักออกมาก็กลิ้งลงไปเหมือนขยะ ฮอนผลักโซชอนที่สติหลุดไปฝั่งโน้นแล้วเดินผ่านนึงพาที่หน้าซีดเผือดไปทางห้องที่เคยอยู่ สามคนที่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อยเดินตามเขาไป ตอนนั้นเองเหล่าคนใช้ถึงพากันกรูเข้ามาแบกโซชอนขึ้นหลัง 


 


 


“เปื้อนเลือดไม่ใช่หรือ แล้วนี่ไม่เจ็บมือหรือ” 


 


 


รยูฮาเข้าห้องมาทำคิ้วย่นแล้วถามไปทางฮอน ทั้งตรงมือ ตรงหน้าอก และแขนเสื้อสีฟ้าเข้มเปื้อนไปด้วยเลือดที่กระเด็นมา ฮอนเปิดปากเหมือนจะตอบอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นประตูถูกเปิดออกพอดีจึงไม่ได้พูดอะไร เดิมทีมีนางโลมหกคน แต่ตอนนี้หญิงสาวที่เปิดประตูเข้ามามีเพียงโซยูและนึงพา 


 


 


“คนที่เหลือไปซ่อนตัวหมดแล้วสินะ” 


 


 


โซยูพยักหน้าด้วยสีหน้ามึนงงกับคำถามของรยูฮาที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม นึงพาจับแขนของฮอนในสภาพน้ำตานองหน้า 


 


 


“นายท่าน ทำอย่างไรดีเจ้าคะ อีกหนึ่งชั่วยามเหล่าทหารก็จะบุกเข้ามาแล้วนะเจ้าคะ!” 


 


 


ท่าทางที่ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกนี้คล้ายกับแชยอน ฮอนรู้สึกอึดอัดใจกับความจริงตรงส่วนนี้ สีหน้าของเขาที่แกะมือหญิงสาวออกแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเผยความให้เห็นถึงความอึดอัด 


 


 


“รินเหล้าเถอะ ก่อนทหารคนเก่งพวกนั้นจะมา” 


 


 


นึงพาเม้มปากและรินเหล้าราวกับเจ็บปวดกับท่าทางของฮอนที่เย็นชาขึ้นผิดกับเมื่อครู่ พอฮอนดื่มเสร็จแล้ววางแก้วเหล้าลง รยูฮาก็หยิบเอาถุงเงินออกมาวางเสียงดังตึงต่อหน้าโซยู แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง 


 


 


“ไปเถอะ ถ้าเหล่าทหารเข้ามามันจะทำให้การทำมาหากินของที่นี่เสียหาย” 


 


 


ระหว่างที่ทุกคนลุกขึ้นตามเงียบๆ แล้วเดินไปทางประตู ภาพของนึงพาที่รั้งฮอนไว้ในสภาพที่เต็มไปด้วยความเสียดายก็เข้ามาสายตาของมินอา ถึงไม่ได้พูดแต่ท่าทางนั้นมันบอกว่าให้อยู่ต่ออีกหน่อยและให้ค้างสักคืนก่อนค่อยกลับไป 


 


 


“ปล่อยมือหน่อย เสื้อจะขาดอยู่แล้ว” 


 


 


มินอาจับผิดจนนึงพายอมลดมือลง ฮอนออกมาจากประตูใหญ่ช้าๆ แล้วขึ้นม้าไป 


 


 


“ขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย ครั้งหน้าข้าจะมาใหม่” 


 


 


รยูฮากล่าวลาก่อนจะขึ้นม้า แล้วควบม้าตามม้าสามตัวที่นำไปก่อน ตอนที่พวกเขาออกไปไกลจนลับตาแล้ว โซยูที่กำลังอมยิ้มอยู่ก็หุบยิ้มแล้วหันมาตบหน้านึงพาอย่างแรง 


 


 


“โอ๊ย!” 


 


 


“เจ้าใช้ยาใช่ไหม คิดว่าข้าไม่รู้หรือ” 


 


 


ท่าทางต่างจากท่าทางนุ่มนวลเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง สายตาของโซยูที่มองมาทางนึงพาเต็มไปด้วยความดูถูก ความรังเกียจ และโกรธเคือง 


 


 


“ทะ…ท่านพี่โซยู” 


 


 


“หญิงสกปกรก บ้าผู้ชายจนใส่ยาในแก้วเหล้าแขกหรือ” 


 


 


“ตั้งใจแค่จะอยู่ด้วยคืนเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ เขาไม่ชายตามองข้าบ้างเลย ข้าก็เลย… ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านพี่” 


 


 


โซยูฟาดฝ่ามือลงบนแก้มนึงพาอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าประตูใหญ่ไป 


 


 


กว่าที่เจ้าเมืองจะเห็นลูกชายกลับมาในสภาพเลือดท่วมฟันหัก แล้วส่งเหล่าทหารไปกลุ่มหนึ่ง เวลาก็ล่วงเลยไปแล้วหนึ่งชั่วยาม

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม