บัลลังก์พญาหงส์ 509-518

บทที่ 509 หมอกหนา

 

       ส่งองค์ชายเจ็ดกลับไป หลี่เย่ก็รีบกลับไปยังเรือนเฉินเซียง 


 


 


           ด้วยถาวจวินหลันปวดหัว จึงยังคงเอนตัวอยู่บนเตียง ให้หงหลัวนวดศีรษะให้ตน ตอนที่หลี่เย่เข้ามา ก็เห็นภาพตรงหน้านี้ 


 


 


           ปี้เจียวเห็นหลี่เย่ ก็ส่งเสียงพูดว่า “ท่านอ๋อง” 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินก็ลืมตาขึ้นมา เห็นว่าหลี่เย่ยืนมองตนเองอยู่หน้าเตียง บางทีอาจต้องพูดว่ากำลังมองดูบาดแผลบนใบหน้าของนาง เพราะท่าทีตั้งอกตั้งใจของหลี่เย่ ดังนั้นนางจึงเบนหน้าไปอีกข้างตามสัญชาตญาณ บังบาดแผลนั้นไม่ให้เขาเห็น 


 


 


           หลี่เย่กลับสะบัดมือไปทางปี้เจียว บอกให้ปี้เจียวถอยออกไป และเขากลับนั่งลงบนเตียง ยื่นมือออกไปกุมใบหน้าของนางเอาไว้ ไม่ให้นางหลบอีก 


 


 


           ถาวจวินหลันถอนหายใจ คิดจะใช้มือบังหน้าเอาไว้ แต่ก็ต้องถูกหลี่เย่จับมือเอาไว้อย่างดื้อดึง 


 


 


           เสียงของหลี่เย่นั้นเบาประหนึ่งลมอ่อนโยนกระแสหนึ่ง แต่ก็ยังเหมือนกับกรวดละเอียดที่พัดพามากับสายลม บาดจิตใจจนรู้สึกแสบคัน  


 


 


           เขาถามว่า “เจ็บหรือไม่?” 


 


 


           ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่เจ็บแล้วเพคะ เพียงแค่ตกใจเท่านั้น” 


 


 


           “ทำให้เจ้าต้องเจอเรื่องแย่แล้วซี” หลี่เย่ถอนหายใจด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย เขาต้องรู้สึกสงสารนางเป็นแน่ 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ตีมือของหลี่เย่ “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกเพคะ ใครจะคิดว่าท่านป้าจะตบหน้าเต็มๆ ตั้งแต่เข้ามาเล่า ถ้ามิใช่เช่นนั้น ต่อให้บ่าวรับใช้กันเอาไว้ไม่ได้ ข้าก็หลบเองได้เพคะ อีกทั้งท่านเองก็ช่วยระบายความโกรธ และให้พวกเขาขอโทษแล้ว ไม่มีอะไรต้องเก็บมาคิดอีกเพคะ” 


 


 


           แม้จะบอกว่ายังแอบเก็บไปคิดและโมโหอยู่เล็กน้อย แต่ดูหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ นางเองก็เริ่มปล่อยวาง ที่จริงหากจะคิดบัญชีเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้น หากเปลี่ยนเวลาและสถานที่ นางก็ไม่ถึงกับหลบฝ่ามือนี้ไม่พ้น แต่วันนี้แค่คิดไม่ถึงจริงๆ 


 


 


           “ขอโทษแล้วมีประโยชน์อะไร” หลี่เย่แสดงท่าทีโมโห “ท่านลุงไม่ดูแลคนในจวนให้ดี นี่กลับเป็นความล้มเหลวอย่างมาก ต่อจากนี้ไปถ้าเจ้าเห็นผู้หญิงคนนี้อีก ก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า ไม่ต้องไปสนใจหรือว่าจะหลบไปเลยก็ได้ วันนี้ข้าไว้หน้าท่านลุงก็ถือว่าเห็นแก่ความสัมพันธ์ญาติมิตรแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าเองก็ไม่ต้องคิดเช่นนี้อีก ไม่ต้องเป็นกังวลมากเกินไป นางรังแกเจ้าก็เหมือนรังแกข้า พวกเราจะปล่อยให้ใครมารังแกได้อย่างไร?” 


 


 


           “เพคะ” ถาวจวินหลันยิ้ม หันไปปลอบหลี่เย่ “เกรงว่าท่านป้าคงไม่อยากเห็นหน้าข้าอีกแล้ว แต่วันนี้ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดเห็นเรื่องวุ่นวายนี่แล้ว รู้สึกเสียหน้าเสียจริง แต่ยังดีที่เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ คิดว่าคงไม่มีคนนอกรับรู้อีกนะเพคะ” 


 


 


           หลิ่วฮูหยินยอมบากหน้าพูดขอโทษ ย่อมไม่พูดต่อเป็นแน่ และนางก็ดูแลจวนอยู่ ยิ่งไม่กล้าพูดออกไป ส่วนองค์ชายเจ็ด คิดว่าต้องไม่พูดเป็นแน่ คนนอกย่อมไม่รู้แน่นอน ดังนั้นเสียหน้าเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ผ่านไปไม่นานก็จะลืมไป 


 


 


           “กลับเป็นท่านที่วันนี้พูดเด็ดขาดมากนักเพคะ ท่านลุงคงจะต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของหลี่เย่ที่บอกว่าไม่ให้หลิ่วฮูหยินมาที่จวนอีก ก็เริ่มกังวลเล็กน้อย พูดกล่อมหลี่เย่เสียงอ่อน “ท่านเองก็หาเวลาไปชดเชยอ้อมๆ หน่อยเถิด อย่างไรเขาก็เป็นลุงของท่าน ไทเฮานั้นย่อมอยากเห็นพวกท่านปรองดองกัน หากข้าทำลายความสัมพันธ์นั้นลง ก็จะกลายเป็นความผิดของข้า ตอนนี้ไทเฮามีพระวรกายอ่อนแอ ทำให้นางสบายใจได้ก็ทำเถิดเพคะ” 


 


 


           อย่างแรกด้วยนางสงสารไทเฮาจริงๆ อย่างที่สอง ด้วยคิดถึงความกตัญญูของหลี่เย่ อย่างที่สามก็ด้วยไม่ยินยอมให้ไทเฮาเกลียดนางมากขึ้นเพราะเรื่องนี้ 


 


 


           พอพูดถึงไทเฮา หลี่เย่ก็ยิ่งมีท่าทีคิดมาก “พระวรกายของไทเฮาแย่ลงอีกแล้ว เมื่อวานเสด็จพ่อให้คนไปเร่งสร้างหลุมฝังศพของไทเฮาแล้ว ที่จริงแล้วด้วยเป็นไทเฮาที่อายุยืนคนหนึ่ง หลุมฝังศพของไทเฮาจึงสร้างเสร็จเอาไว้นานแล้วตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นฮองเฮา แต่ด้วยลูกชายต้องกตัญญูต่อมารดา ดังนั้นหลังจากฮ่องเต้นั่งบัลลังก์ จึงได้สั่งให้ขยายหลุมฝังศพของไทเฮา แรงงานจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว” 


 


 


           ไทเฮาอ่อนแรงลงทุกปี อีกทั้งอายุก็มากขนาดนี้แล้ว เรื่องนี้ก็ควรเร่งดำเนินการเผื่อไว้ แม้แต่ของที่ต้องใช้ในงานศพ ก็ต้องเริ่มจัดเตรียมได้แล้ว 


 


 


           แม้ว่าถาวจวินหลันจะยังพูดไม่ได้ว่าชื่นชอบไทเฮา แต่ก็เคารพไทเฮามาก อีกทั้งไม่อยากให้หลี่เย่เสียใจ นางจึงหดหู่อยู่หลายส่วน 


 


 


           แต่นางก็ทำได้เพียงปลอบหลี่เย่เสียงเบาเท่านั้น “นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพคะ จะมีใครบ้างที่อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า? อีกอย่างพระวรกายของไทเฮาไม่ดีอย่างไรก็ยังไม่ถึงขั้นพลังชีวิตใกล้มอดดับ ขอเพียงแค่บำรุงรักษาให้ดี ก็ยืดระยะเวลาได้อีกนะเพคะ” 


 


 


           หลี่เย่ยิ้ม แต่ท่าทีดูฝืดเคือง เขาย่อมต้องรู้ว่านางเพียงแค่ปลอบประโลมเขาเท่านั้น ความเป็นจริงแล้วทุกคนรู้อาการของไทเฮาดี ว่าปีนี้อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายแล้วก็มีเวลาอีกเพียงแค่สามสี่ปีเท่านั้น 


 


 


           “ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องนี้แล้วเพคะ” ถาวจวินหลันเปลี่ยนเรื่องคุย “คราวที่แล้วบอกว่าจะให้องค์รัชทายาทไปดูสถานการณ์บรรเทาภัยพิบัติมิใช่หรือ? เรื่องนี้ไปถึงไหนแล้วเพคะ? ยังมีเวลาอีกเจ็ดวัน คำพูดที่องค์ชายเจ็ดพูดเป็นจริงหรือไม่? องค์รัชทายาทตกใจมากเลยหรือ?”  


 


 


           พอพูดถึงเรื่องนี้หลี่เย่ก็ทิ้งความหดหู่ แล้วแย้มยิ้มกล่าว “พวกข้าก็เพียงแค่เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกแล่เนื้อเท่านั้น แต่องค์รัชทายาทต่างกัน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่เขาเคยมีสัมพันธ์ทางกายด้วย เขาย่อมต้องรู้สึกต่างกับพวกข้าเป็นแน่ ครั้งนี้เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นกลับมาได้ ส่วนเรื่องออกไปสังเกตการณ์นั้น คิดว่าคงจะใช้เวลาอีกแค่สิบกว่าวันนี้แล้ว” 


 


 


           ที่เขาไม่ได้พูดคือ เขารู้สึกว่าฮ่องเต้ตั้งใจลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้องค์รัชทายาทต้องทรมานเช่นนี้ 


 


 


           ถาวจวินหลันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฮองเฮาจะเห็นด้วยหรือ?” องค์รัชทายาทถูกทรมานมากเช่นนี้ หากต้องออกไปทรมานอีก กลับมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร 


 


 


           “ไม่เห็นด้วยแล้วจะอย่างไร? หากเสด็จพ่อมั่นใจแล้ว ใครจะมาสั่นคลอนได้?” หลี่เย่หัวเราะเสียงเบา “ฟ้าผ่าฝนตกถือเป็นน้ำใจของกษัตริย์ เพียงให้องค์รัชทายาทไปสังเกตการณ์ ไม่ได้ให้องค์รัชทายาทไปตายเสียหน่อย พูดมากมายไปก็หาเหตุผลมาขัดขวางไม่ได้ นอกจากองค์รัชทายาทกลับไปแล้วตกใจล้มป่วยจนลุกขึ้นมาไม่ได้” 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิดความเป็นไปได้นี้อย่างละเอียด สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมา “นอกจากองค์รัชทายาทไม่ต้องการชื่อเสียงของตนเองอีกแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้ป่วย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลุกขึ้นมาไม่ไหวจริง ก็ไม่มีทางเป็นเช่นนี้” มิเช่นนั้นเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นจะไม่ขบขันหรืออย่างไร? ผู้ครองแคว้นในอนาคตขี้ขลาดตาขาวแบบนี้ 


 


 


           แต่คิดถึงความตกใจที่องค์รัชทายาทได้รับในวันนี้ ถาวจวินหลันก็คิดว่าองค์รัชทายาทล้มป่วยก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ปกติองค์รัชทายาทไม่ใช่คนเด็ดเดี่ยว มิใช่หรือ? 


 


 


           ผ่านไปอีกสองสามวัน ก็ไม่เห็นรอยบาดแผลของถาวจวินหลันแล้ว และพอดีว่าวันนี้ก็ได้รับคำสั่งให้นางไปเข้าพบไทเฮาวันรุ่งขึ้น 


 


 


           ถาวจวินหลันคิดแค่ว่าไทเฮาคิดถึงซวนเอ๋อร์ วันรุ่งขึ้นจึงพาซวนเอ๋อร์เข้าวังหลวง 


 


 


           หลังจากผ่านการบำรุงและฝังเข็มมาหลายวัน ร่างกายของไทเฮาก็ดีขึ้นไม่น้อย อย่างน้อยตอนนี้ก็เริ่มมีความรู้สึกและขยับมือได้แล้ว จึงสามารถกินข้าวและทานยาเองได้ 


 


 


           ไทเฮาดูมีท่าทีดีขึ้นเล็กน้อย อาจด้วยรู้สึกเบื่อ ดังนั้นวันนี้ไทเฮาถึงนั่งพิงอยู่บนเตียงอ่อน บนร่างคลุมผ้าขนสัตว์อ่อนเอาไว้ ทั้งอบอุ่นและเบาบาง บนหน้าผากยังมีผ้าคาดหงส์คู่ฝังหยก ปิดบังผมขาวไปได้บางส่วน ทำให้ทั้งร่างดูมีเรี่ยวแรงไม่น้อย 


 


 


           จางหมัวหมัวกับถาวซินหลันปรนนิบัติอยู่ข้างกาย จางหมัวหมัวช่วยบีบขาให้ไทเฮา ถาวซินหลันกลับอยู่ข้างๆ ช่วยปอกผลไม้เตรียมไว้ป้อนไทเฮา นี่เป็นสาลี่หอมที่เป็นของบรรณาการใหม่ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากแต่กลับเปลือกบางและน้ำเยอะ เนื้อก็หวานและละเอียดอ่อน จวนตวนชินอ๋องเองก็ได้รับมาชะลอมหนึ่ง นอกจากเด็กบางคนได้ไปคนละสิบกว่าลูกแล้ว คนอื่นกลับไม่ได้แม้แต่ลูกเดียว 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพไทเฮา และเรียกให้ซวนเอ๋อร์มาทำความเคารพ วันนี้ซวนเอ๋อร์ดูเรียบร้อยเชื่อฟังเป็นพิเศษ หลังจากทำความเคารพไทเฮาแล้วก็มองไปยังถาวซินหลัน อมยิ้มพลางเรียก “ท่านน้า” 


 


 


           ถาวซินหลันยกมือขึ้นมาบีบหน้าของซวนเอ๋อร์ “ข้ายังกลัวว่าซวนเอ๋อร์จะลืมข้าเสียแล้ว” 


 


 


           ไทเฮาเห็นถาวซินหลันพาซวนเอ๋อร์ไปกินสาลี่ ก็รั้งถาวจวินหลันเอาไว้พูดคุย 


 


 


           ถาวจวินหลันถึงได้สติ บางทีที่ไทเฮาเรียกนางเข้ามาในวังหลวง คงไม่ใช่เพราะว่าอยากเจอซวนเอ๋อร์ แต่เพราะอยากเจอนาง? 


 


 


           ตอนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ไทเฮาก็เปิดปากพูดว่า “ได้ยินว่าหลิ่วซื่อไปทะเลาะกับเจ้าที่จวนตวนชินอ๋องอย่างนั้นหรือ?” 


 


 


           พอถาวจวินหลันมั่นใจจุดประสงค์ของไทเฮาแล้ว ก็รู้สึกว่าใจหล่นวูบ ก่อนหัวเราะน้อยๆ “เรื่องผ่านไปแล้วเพคะ และก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” 


 


 


           นางไม่คิดว่าหากตนเองร้องทุกข์หรือน้อยใจแล้วไทเฮาจะมาช่วยตัดสินให้นางได้ อย่างแรกเพราะเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว อย่างที่สองเพราะว่าไทเฮาสนิทสนมใกล้ชิดกับทางตระกูลกู้มากกว่า ไม่มีทางเข้าข้างนางแน่นอน 


 


 


           ด้วยนางรู้เรื่องเหล่านี้อยู่แก่ใจ จึงคิดว่าไม่พูดอะไรเลยคงดีกว่า 


 


 


           “ข้ารู้เรื่องที่ตวนอ๋องจัดการแล้ว จริงๆ เรื่องนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หลิ่วซื่อทำเกินไปหน่อย” ไทเฮาถอนหายใจ หัวเราะขมขื่น คล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย “ไม่ว่าจะผ่านไปนานเพียงใด นิสัยเสียของหลิ่วซื่อก็ยังแก้ไม่หายนิสัย ได้แต่หวังว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” 


 


 


           ถาวจวินหลันก้มหน้าไม่พูดไม่จา เรื่องนี้นางย่อมไม่อาจเปิดปากวิจารณ์ได้ 


 


 


           “เจ้าเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจ” ไทเฮามีเมตตาอย่างเห็นได้ยาก ได้ยินเช่นนี้ก็ให้ถาวจวินหลันรู้สึกตื่นตะลึง และตื่นตกใจ ด้วยไม่คิดว่าจะได้รับความเมตตา 


 


 


           นางย่อมต้องรู้ดีว่าไทเฮาอยากได้ยินคำตอบอย่างไรจากนาง จึงตอบไปตามน้ำ “เรื่องนี้ผ่านไปแล้วเพคะ ต่อจากนี้พวกเราไม่พูดถึงอีกก็พอแล้วเพคะ อย่างไรญาติก็เป็นญาติ ต่อให้ทะเลาะเบาะแว้งอย่างไร ก็ไม่กระทบถึงความผูกพันธ์ทางสายเลือดนะเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาพยักหน้าพอใจตามที่คาดเอาไว้ 


 


 


           “หลายวันมานี้ซินหลันต้องเหนื่อยแล้ว ข้าเองก็เริ่มดีขึ้นบ้าง อีกไม่กี่วันก็ให้นางกลับเถิด มิเช่นนั้นรอให้ตระกูลเฉินกล่าวโทษคงไม่ดี” ไทเฮาเปลี่ยนเรื่องพูด 


 


 


           ถาวจวินหลันหัวเราะทันที “ตระกูลเฉินจะกล่าวโทษได้อย่างไรเพคะ? แม้แต่ดีใจยังแทบไม่ทันเลยเพคะ ให้ซินหลันมาดูแลท่านสักช่วงหนึ่ง พวกเขาก็คงวางใจ” 


 


 


           “ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้ตั้งใจจะให้องค์รัชทายาทออกไปสังเกตการณ์อย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาถามเรื่องนี้อีกครั้ง 


 


 


           ถาวจวินหลันพยักหน้า “ได้ยินมาเช่นนั้นเพคะ แต่ก็ไม่มีรับสั่งอะไร เหมือนว่าฮองเฮายังตัดไม่ขาดนัก ที่สำคัญก็คือองค์รัชทายาทยังไม่หายดีเพคะ” 


 


 


           “ลูกที่แม่รักตามใจเกินไปมักจะเหลวไหล” ไทเฮาหัวเราะเสียงเย็น 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิด แล้วก็คิดบางอย่างได้ ยิ้มและพูดว่า “เพราะว่าฮองเฮาปกติแล้วก็สนใจแค่เพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น ถึงได้กลายเป็นเช่นนี้เพคะ ถ้าหากว่าแบ่งใจของฮองเฮาเหนียงเหนียงมาบ้างก็คงจะดีบ้างเพคะ” 


 


 


           ไทเฮามองถาวจวินหลัน หรี่ตาลงเล็กน้อยพลางพูดเนิบๆ ว่า “เจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาเถิด อย่ามาอ้อมค้อมกับข้าเลย คราวที่แล้วเจ้ากล้าพูดเช่นนั้น ตอนนี้ยังต้องอ้อมค้อมอีกทำไม” 

 

 

 


บทที่ 510 ผลประโยชน์

 

ในเมื่อไทเฮาพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป “ก่อนหน้านี้ไทเฮายังชักจูงฮองเฮาได้ ท่านอ๋องก็ยังสบายใจได้บ้าง ตอนนี้สุขภาพของไทเฮาไม่ดี เกรงว่าความสมดุลจะต้องถูกทำลาย หม่อมฉันอยากถามไทเฮาว่ายินยอมช่วยท่านอ๋องหรือไม่เพคะ” 


 


 


ไทเฮามองถาวจวินหลันนิ่ง ดวงตามีประกายเฉียบคม หัวเราะเยาะกล่าว “ตอนนั้นสถานการณ์เร่งด่วน ข้าจึงรับปากเจ้า หรือตอนนี้เจ้ายังคิดจะข่มขู่ข้าอีก?” 


 


 


“ไม่มีอะไรข่มขู่ไทเฮาได้เพคะ” ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมองไทเฮาอย่างเงียบสงบ “สิ่งที่ควรพูดหม่อมฉันก็พูดกับไทเฮาหมดแล้วเพคะ ไทเฮาเองคงจะรู้อยู่แล้วเพคะ” 


 


 


“ข้าให้ฮ่องเต้กำจัดแม่ไว้ชีวิตลูกได้” ไทเฮาพูดช้าๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ “และให้องค์รัชทายาทสาบานว่าเขาจะต้องปฏิบัติกับพี่น้องดีๆ ก็ได้แล้ว อีกอย่างในมือของตวนอ๋องมีอำนาจ เขาปกป้องตนเองได้ แล้วเหตุใดข้าจะต้องช่วยเจ้าสู้กับหลานของตนเองด้วยเล่า? เป็นหลานเหมือนกัน ย่อมทำตัวลำเอียงไม่ได้” 


 


 


“ท่านอ๋องมีความแค้นในใจ คิดว่าไทเฮาคงจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาไม่มีทางอยู่ร่วมกับองค์รัชทายาทอย่างสงบสุขได้แน่เพคะ เขาอดกลั้นมานาน ตอนนี้ก็ได้ระเบิดออกมาแล้ว จะยังอดทนได้อีกอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันส่ายหน้าไปมา พูดตอบโต้คำพูดของไทเฮาเสียงเบา “อีกทั้งไม่เคยมีความสมดุลแน่นอนมาก่อน จากความคิดของไทเฮาแล้ว องค์รัชทายาทจะต้องขึ้นครองบังลังก์ บางทีตอนแรกท่านอ๋องอาจจะปกป้องตนเองได้ แต่เวลาผ่านไปนานกว่านั้นเล่าเพคะ? ข้อศอกจะไปงัดข้อกับลำแข้งตลอดได้อย่างไรเล่าเพคะ? อีกอย่างตัวเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมนะเพคะ” 


 


 


เห็นท่าทีของไทเฮาไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจ แต่ถาวจวินหลันรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าไทเฮากำลังตั้งใจฟังสิ่งที่นางพูด จึงพูดต่อไป “กำจัดแม่เหลือลูกเหมาะกับเด็กอายุน้อย แต่องค์รัชทายาทเป็นผู้ใหญ่แล้วเพคะ ทำเช่นนี้ องค์รัชทายาทคงแค้นท่านอ๋องมากขึ้นแล้ว อีกทั้งองค์รัชทายาทก็ไม่ใช้คนที่รักษาแคว้นได้ คิดว่าไทเฮาเองก็คงรู้ดีนะเพคะ” 


 


 


“แต่ช่วยตวนอ๋องแล้ว องค์รัชทายาทก็จะต้องตายเช่นเดียวกัน มิใช่ช่วยคนหนึ่ง ทำร้ายอีกคนหรือ?” ไทเฮายิ้มน้อย ส่ายหน้าเล็กน้อย 


 


 


ถาวจวินหลันยังคงส่ายหน้าเบาๆ “ท่านอ๋องจิตใจดีมีเมตตา ไม่มีทางเอาชีวิตองค์รัชทายาทเป็นแน่เพคะ แต่ชีวิตของฮองเฮาและคนตระกูลหวังเหล่านั้น ท่านอ๋องต้องจัดการแน่เพคะ” หลายปีมานี้หลี่เย่อดทนอดกลั้นมามาก ย่อมต้องโกรธแค้นแน่นอน 


 


 


นางรู้ดีว่าไทเฮาให้ความสำคัญกับชีวิตขององค์รัชทายาท ไม่ใช่ฮองเฮาและตระกูลหวัง ด้วยองค์รัชทายาทมีสายเลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ เป็นคนของราชวงศ์ และเป็นหลานแท้ๆ ของไทเฮา 


 


 


“ถาวซื่อ เจ้าอยากเป็นฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?” ฉับพลันนั้นไทเฮาก็เอ่ยถาม 


 


 


ถาวจวินหลันคล้อยตามเล็กน้อย พอเจอกับสายตาเฉียบคมของไทเฮาที่มองทะลุจิตใจคนได้ สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้เลือกหลบหลีก แต่กลับยิ้มยอมรับอย่างใจกว้าง “ย่อมต้องคิดอยู่แล้วเพคะ จะมีสตรีคนใดบ้างไม่อยากเป็นฮูหยินมีหน้ามีตา? ก่อนหน้านี้เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสแล้ว หม่อมฉันย่อมต้องคิดเป็นแน่เพคะ ข้าอยู่กับท่านอ๋องมานานหลายปี หม่อมฉันเคยลองคิดว่านอกจากหม่อมฉันแล้ว คนอื่นไม่มีทางข้ามหม่อมฉันไปได้เพคะ” 


 


 


“เจ้าช่างมุ่งมั่นเอาชนะเสียจริง” ไทเฮามีทีท่าคล้ายยิ้ม “มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่มีท่าทีใส่ใจตำแหน่งชายาเอกนัก เกรงว่าเจ้าคงจะวางแผนคว้าตำแหน่งที่สูงกว่ามานานแล้ว ข้ามองเจ้าไม่ผิดจริงๆ เจ้าเป็นคนทะเยอทะยานนัก ก่อนหน้านี้เจ้าปิดบังได้ดี แม้แต่ข้าก็เกือบเชื่อไปแล้ว” 


 


 


ถาวจวินหลันไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับ “หากเป็นสตรีนางอื่น ไทเฮาถามเช่นนี้ แล้วนางพูดว่าไม่ยินยอม ย่อมต้องโกหกป็นแน่ หม่อมฉันก็แค่คิด ไม่ได้ทำอะไรไม่ดี คิดเช่นนี้ก็คงไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เพคะ?” 


 


 


ถาวจวินหลันพูดอย่างเปิดเผย ทว่าไทเฮากลับตกใจเล็กน้อย แต่ก็แอบซ่อนเอาไว้ในใจ ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ด้วยเคยนั่งตำแหน่งฮองเฮามาก่อน นางย่อมต้องรู้อย่างชัดแจ้ง ว่าผู้หญิงทุกคนล้วนต้องอิจฉาและหวังตำแหน่งนั้น วันนี้หากเปลี่ยนเป็นสตรีของหลี่เย่สักคนหนึ่ง ก็จะต้องคาดหวังอย่างแน่นอน ถาวจวินหลันไม่ได้โกหก 


 


 


ส่วนเรื่องที่ถาวจวินหลันพูดว่าไม่เคยทำเรื่องไม่ดี ไทเฮาก็เพียงแค่ยิ้มรับผ่านไปเท่านั้น เส้นของผู้นำไฉนเลยจะไม่เปื้อนคาวเลือด? เพียงแค่พูดให้น่าฟังเท่านั้นเอง 


 


 


แต่ไทเฮาก็ไม่ได้ถามนางอีก เพียงแค่พูดประเด็นหลัก “พูดเถิด เจ้ามีแผนอะไร ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าเก่งมากเพียงใด” 


 


 


ถาวจวินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก “ในเมื่อกู้ซีกลายเป็นจวงผินแล้ว ไทเฮาก็รู้ชัดแจ้งว่านางคงไม่มีเส้นทางชีวิตอื่นอีกแล้ว นางเป็นลูกสาวตระกูลกู้ หากนางได้รับความโปรดปราน จนกลายเป็นหวงกุ้ยเฟย คิดว่าตระกูลกู้ก็จะต้องเติบโตมีอำนาจไปด้วยแน่นอน นี่จะเป็นประโยชน์กับท่านอ๋องมากเพคะ อย่างไรคำพูดข้างหมอนก็ได้ผลมาก มีกู้ซีคอยพูดถึงท่านอ๋องในเรื่องดี ฮ่องเต้ก็จะยิ่งสนิทสนมกับท่านอ๋องมากขึ้นหลายส่วนเพคะ” 


 


 


“ฮองเฮาคิดเรื่องนี้ได้นานแล้ว จึงหาวิธีกันกู้ซีเอาไว้” ไทเฮาหัวเราะเยาะ คิดเรื่องที่ตนเองอยากให้กู้ซีเข้าไปปรนนิบัติฮ่องเต้ แต่ผ่านไปไม่กี่วันกู้ซีก็ล้มป่วย สุดท้ายก็ไปไม่ได้แล้ว จึงหรี่ตาลง “หลังจากอี๋เฟยคลอดลูกชายออกมาแล้ว ก็ยิ่งรวบรวมพรรคพวกมากขึ้น เกรงว่ากู้ซีคงไม่มีโอกาสแล้ว” 


 


 


ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮา กู้ซีอยากได้รับความโปรดปราน แต่ยังมีฮองเฮาคอยขัดขวาง อี๋เฟยก็ยิ่งแล้วใหญ่ อย่างไรอี๋เฟยยังอยู่ฝั่งเดียวกับฮองเฮาและองค์รัชทายาท ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน กู้ซีไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ 


 


 


“ไทเฮา ท่านเองก็เคยพูดว่าซินหลันเหนื่อยสายตัวแทบขาด เช่นนั้นหม่อมฉันขอเสนอแนะเรื่องหนึ่ง ท่านว่า ให้อี๋เฟยมารับใช้ตอนประชวรเป็นอย่างไรเพคะ? พระวรกายของฮองเฮาและฮ่องเต้ไม่ค่อยดี องค์รัชทายาทก็ป่วยอยู่ ท่านเองก็ประชวร คิดว่านางจะต้องใจร้อนเหมือนถูกเผาเป็นแน่เพคะ และคงยอมสวดภาวนา งดอาหารประเภทเนื้อตราบจนกว่าฮ่องเต้หายประชวร และองค์รัชทายาทกลับมาเพคะ” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ มองตาไทเฮาพลางถามเสียงเบาว่า “ท่านเห็นว่าอย่างไรเพคะ?” 


 


 


ช่วงระยะเวลานี้จะพูดว่านานก็ไม่ได้นาน จะพูดว่าสั้นก็ไม่สั้น แต่เป็นการซื้อเวลาให้กับกู้ซี มากพอให้นางเข้าไปอยู่ในใจของฮ่องเต้ได้ 


 


 


ไทเฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ยังไม่ทันออกศึกก็ได้รับชัยชนะ อีกทั้งยังสมเหตุสมผล 


 


 


ฮ่องเต้เคยเอ่ยชมอี๋เฟยว่าจิตใจดีอยู่บ่อยครั้ง คนจิตใจดีอย่างอี๋เฟยจะต้องปรนนิบัติยามป่วยได้ไม่เลวแน่นอน ส่วนฮองเฮาที่สร้างบาปกรรมไว้มากมายนั้น ก็ควรต้องสงบเสงี่ยม และอยู่ชดเชยบาปกรรมเหล่านั้นให้ดี 


 


 


สุดท้ายไทเฮาก็มองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง อดคิดไม่ได้ว่า ที่ถาวซื่อเดินมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมีข้อดีเกินคนอื่นจริง แต่แม้จะคิดว่าความหัวไวเป็นเรื่องดี แต่วันข้างหน้าก็บอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ 


 


 


ไทเฮาหลับตาลง แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปบอกตวนอ๋องว่าอย่าเข้าวังหลวงหากไม่จำเป็น โดยเฉพาะวังหลัง แล้วก็อย่าให้เขาเผยความเก่งกล้าของตนเอง” มิเช่นนั้นเกรงว่าฮ่องเต้อาจสงสัยและหวาดระแวง 


 


 


ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าใจนัยที่แฝงไว้ จึงรับคำอย่างหนักแน่น 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งถาวซินหลันก็พาซวนเอ๋อร์กลับมา พอเห็นทั้งสองดูสนิทสนมกันดี ถาวจวินหลันก็อดหัวเราะไม่ได้ “ซวนเอ๋อร์สนิทสนมกับเจ้าเสียจริง” 


 


 


ถาวซินหลันเองก็หัวเราะ “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าเลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กๆ หากเขาไม่สนิทกับข้า ก็เป็นเด็กลืมคุณมิใช่หรือเจ้าคะ” 


 


 


ไทเฮาหยอกล้อกับซวนเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศจึงดูครึกครื้น 


 


 


ตอนที่กำลังหัวเราะครื้นเครงกันอยู่ ด้านนอกก็มีเสียงรายงานว่าจวงผินเสด็จมา 


 


 


ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง มองดูถาวจวินหลันแล้วพูดว่า “รีบให้นางเข้ามาเถิด ข้างนอกหนาวนัก นางร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว เดี๋ยวอาการป่วยจะกำเริบอีก” 


 


 


ถาวจวินหลันไม่ได้แปลกใจ แต่หลังจากไทเฮามองนางทีหนึ่งแล้ว นางก็เข้าใจจุดประสงค์ที่กู้ซีมา เกรงว่าจะเหมือนกับไทเฮา 


 


 


นางก็คิดเย้ยหยันอยู่ในใจ หากเป็นแต่ก่อน ไทเฮาคงจะไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของนางขนาดนี้ และยิ่งไม่ไปใส่ใจไปช่วยไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างนางและตระกูลกู้ ไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็อธิบายได้ว่าสถานะของนางดีขึ้นเหมือนเงาตามตัว?  


 


 


ใช่แล้ว หลี่เย่เรียกร้องความยุติธรรมให้นาง ไทเฮาต้องเห็นความลำเอียงที่หลี่เย่มีต่อนาง รู้ว่านางส่งผลกระทบต่อหลี่เย่ ดังนั้นจึงจำต้องคำนึงถึงนาง สามารถเทียบได้กับทำโทษคนเลวกระทบคนดี ดังนั้นจึงทำได้แค่ลืมตาข้างปิดตาข้างเท่านั้น 


 


 


แต่เพราะพวกนางประเมินนางต่ำจนเกินไป นางเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบมาแก้แค้นหลังเรื่องจบไปแล้ว ในเมื่อเรื่องนั้นจบไปแล้วตั้งแต่วันนั้น นางเองก็ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงอีก แต่พวกนางเป็นแบบนี้ มีแต่ทำให้นางคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ทุกครั้ง นางจึงไม่พอใจมาก 


 


 


เหมือนกับบาดแผลที่ตกสะเก็ดไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคนมาฉีกแผลนั้นออก แล้วก็กลายเป็นแผนสดคาวเลือด และยังให้เจ็บปวดอย่างมาก 


 


 


กู้ซีเดินเข้ามา ถาวจวินหลันก็สังเกตเห็นว่านางดูผ่ายผอมและบอบบางกว่าเดิม ก่อนหน้านี้เป็นคนงามไฟประดับที่เหมือนแค่ลมพัดไฟก็ดับ แต่ตอนนี้ยิ่งเหมือนกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่เพียงแค่ใช้นิ้วแตะก็แตกร้าว 


 


 


แต่กู้ซีเป็นเช่นนี้กลับยิ่งน่าค้นหามากขึ้น แต่เดิมที่ล้มป่วยมาตลอดจนระหว่างคิ้วชวนให้ดูเศร้าหมอง อีกทั้งร่างกายเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนอดสงสารไม่ได้ เวลาที่พูดคุยกับนางก็ต้องเบาเสียงลงบางส่วนอย่างควบคุมไม่ได้ 


 


 


ถาวจวินหลันคิดในใจ กู้ซีเป็นเช่นนี้ ทั้งอายุน้อยและรูปงาม แม้กระทั่งมีท่าทีลักษณะเหมือนกุ้ยเฟยที่สวรรคตไป ฮ่องเต้ไม่มีทางตัดใจทิ้งได้แน่นอน ขอเพียงแค่เวลาสักช่วงหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงอี๋เฟย แม้แต่ฮองเฮาเองก็ทำอะไรกู้ซีไม่ได้ 


 


 


มองจากมุมของจวนตวนชินอ๋องแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องดี หากยืนอยู่ในมุมของสตรีคนหนึ่งแล้ว ถาวจวินหลันก็อดสงสารไม่ได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ทุกเรื่องย่อมต้องมีสองด้าน เพียงแค่ดูว่าจะมองจากมุมไหนเท่านั้น? 


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพจวงผิน “จวงผินเหนียงเหนียง” 


 


 


จวงผินก็ส่งยิ้มกลับไป ท่าทีดูขัดเขิน ราวกับแต่ก่อนไม่มีผิด “ชายารองถาว” 


 


 


หลังจากเอ่ยทักทายกันแล้ว จวงผินก็ถอนหายใจ ค้อมตัวไปทางถาวจวินหลันอย่างหนักแน่น “ข้ารู้เรื่องที่ท่านแม่ของข้าทำแล้ว ชายารองถาวอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย ท่านแม่ของข้าเพียงแค่สงสารข้าเท่านั้น อีกทั้งมีคนคอยยุยง นางเองก็หงุดหงิดเป็นอย่างมาก ข้าต้องขอโทษแทนท่านแม่ของข้าด้วย” 


 


 


ถาวจวินหลันรีบเข้าไปประคองจวงผินเอาไว้ พูดว่า “ท่านอย่าทำเช่นนี้เลย เรื่องนั้นจบไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ต่อจากนี้ไปพวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีก มิเช่นนั้นจะทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราเปล่าๆ” 

 

 

 


บทที่ 511 งานสมโภช

 

ตอนที่ออกมาจากวังหลวง ถาวซินหลันเป็นคนออกมาส่งด้วยตนเอง 


 


 


ด้วยกลัวนางจะหนาว ถาวจวินหลันจึงปฏิเสธ แต่ถาวซินหลันกลับหัวเราะพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับท่านพี่เจ้าค่ะ” 


 


 


สองพี่น้องเดินเคียงกันอยู่ข้างหลัง แม่นมจูงซวนเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้า ซวนเอ๋อร์เดินไปเล่นไป เหมาะกับการพูดคุยเป็นอย่างยิ่ง 


 


 


“วันนั้นฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยมไทเฮา ท่าทางดูดุดันมากกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันพูดเสียงเบา จนได้ยินเพียงแค่พวกนางสองคน ถึงขั้นต้องตั้งใจฟังถึงจะได้ยิน ไม่ต้องพูดถึงนางกำนัลที่อยู่ห่างไกลด้านหลังนั้นเลย 


 


 


ถาวจวินหลันรับคำ ไม่คิดแปลกใจ “สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็ดูจะมากเกินไป ฮ่องเต้ต้องตะขิดตะขวงใจเป็นแน่” อีกทั้งรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่เพียงแค่ไปคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้ แต่ยังต้องช่วยปิดบังอีก ฮ่องเต้ไม่กริ้วก็น่าแปลกแล้ว แค่ดูจากโทษขององค์รัชทายาท ก็รู้ได้ว่าฮ่องเต้รู้สึกเช่นใด 


 


 


“ฮ่องเต้แทบจะสืบดูผู้หญิงข้างกายทุกคน” ถาวซินหลันหัวเราะเยาะ ส่ายหัวไปมา “แต่เดิมก็สงสัยอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่เชื่อใจใครมากขึ้นอีก ท่านกลับไปเตือนพี่เขยสักหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ” ในเมื่อวันนี้สงสัยองค์รัชทายาทได้ เขาย่อมสงสัยลูกชายคนอื่นได้เหมือนกัน 


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้าเคร่งขรึม รู้สึกว่าทางเดินต่อจากนี้จะต้องลำบากมากขึ้น จึงอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อคนถึงวัยใกล้ฝั่งก็จะขี้สงสัยเช่นนี้ใช่หรือไม่? และอารมณ์ไม่มั่นคงใช่หรือไม่? แล้วหลี่เย่เล่า? หากในอนาคตหลี่เย่เป็นฮ่องเต้ก็จะกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่? 


 


 


นางส่ายหน้าไปมา คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้วันนั้นมาถึง นางก็จะต้องเตือนเขา ปลอบประโลมเขาอย่างแน่นอน 


 


 


พอได้สติกลับมา ถาวจวินหลันก็นึกถึงอี๋เฟย จึงถามถาวซินหลันลับๆ ล่อๆ ว่า “สืบอะไรได้บ้างหรือไม่?” 


 


 


ถาวซินหลันส่ายหัว “น่าจะยังสืบไม่พบเจ้าค่ะ แต่พระสนมยศต่ำก็เริ่มได้รับความโปรดปรานแล้ว ช่วงนี้ฮ่องเต้มาวังหลังถี่กว่าแต่ก่อนมากเจ้าค่ะ” 


 


 


ได้ยินว่าเรื่องอี๋เฟยยังสืบไม่พบ ถาวจวินหลันก็เข้าใจว่าฮองเฮาจะต้องช่วยอย่างแน่นอน ส่วนฮ่องเต้จะโปรดปรานใคร นางกลับไม่เก็บมาคิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาง ดังนั้นนางย่อมไม่ใส่ใจ 


 


 


“หลายวันมานี้ฮองเฮาไม่พอใจพระชายาองค์รัชทายาทมากนัก และยังไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย” ริมฝีปากของถาวซินหลันยกยิ้ม มีท่าทีดีใจในความทุกข์ของคนอื่น “ฮองเฮากลับชื่นชอบน้องสาวของนางมากกว่า อีกไม่นานคงมีสนุกแน่เจ้าค่ะ คราวนี้หยวนฉงหวาเป็นคนได้รับผลประโยชน์ แต่หลังจากเรื่องนั้นเป็นต้นมา องค์รัชทายาทก็ไม่กล้าถูกตัวสตรีอีก ได้ยินว่าฝันร้ายมาตลอด จนไม่กล้านอนเลยเจ้าค่ะ” 


 


 


พูดมาถึงสุดท้าย ถาวซินหลันก็ปิดท่าทางเย้ยหยันไม่ได้ ก็แค่เฉือนเนื้อมิใช่หรืออย่างไร? ไฉนเลยจะน่าหวาดกลัวขนาดนั้น? องค์รัชทายาทขี้ขลาดยิ่งกว่าหนูเสียอีก 


 


 


ถาวจวินหลันเห็นถาวซินหลันมีท่าทีเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วตำหนิ “อยู่ในวังหลวงยังไม่รู้จักระวังคำพูดและการกระทำ ไม่ต้องพูดว่าคนอื่นจะเห็น แม้แต่ไทเฮาก็ให้เห็นไม่ได้ ข้าว่าเฉินฟู่คงโปรดปรานเจ้ามาก ตามใจจนนิสัยเดิมกลับมาหมดแล้ว” 


 


 


ถาวซินหลันอึ้งไป เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่ ผ่านไปนานถึงถอนหายใจ “เป็นข้าที่ลืมตัวไปเจ้าค่ะ” เหมือนกับที่ถาวจวินหลันพูด ตระกูลเฉินเอ็นดูนางมาก จึงไม่ค่อยกดดันนาง ทำให้นางสบายจนเคยตัว และลืมระมัดระวังตัวเมื่อเข้ามาในวังหลวง 


 


 


“ไทเฮาเอ็นดูเจ้าถือเป็นเรื่องดี แต่เจ้าก็จะทำตัวตามใจชอบไม่ได้” ถาวจวินหลันจับมือของถาวซินหลันไว้เบาๆ พลางพูดเสียงอ่อนโยน เมื่อถูกตำหนิแล้ว ถาวซินหลันก็ถือว่าทำได้ดีมาก แต่นางหวังว่าถาวซินหลันจะทำได้ดีกว่าเดิม 


 


 


ถาวซินหลันพยักหน้ารับคำอย่างเคร่งครัด ถามนางอีกว่า “ช่วงนี้ฟู่ชิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” 


 


 


“แทบจะพักที่ศาลาว่าการอยู่แล้ว” ถาวจวินหลันยิ้มมองถาวซินหลันอย่างเข้าใจ จนถาวซินหลันหน้าแดงระเรื่อ แล้วถึงได้หัวเราะกล่าว “เขาห่างจากเจ้าก็กลับไปเป็นหนอนหนังสือเหมือนเดิม ช่างน่าสบายใจยิ่งนัก” 


 


 


เทียบกับพวกที่เจ้าชู้ไม่เลือกหน้า นี่ไม่ดีกว่าร้อยเท่าพันเท่าหรือ? 


 


 


ใบหน้าของถาวซินหลันยิ่งเห่อแดง และรอยยิ้มดูสดใสมากกว่าเดิม 


 


 


คุยไปคุยมาก็เห็นว่าใกล้จะออกจากส่วนในของวังแล้ว ถาวจวินหลันจึงยั้งเท้าพลางหัวเราะและพูดว่า “เอาเถิด กลับไปเสียเถิด อากาศเย็นเจ้าเองก็ควรจะดูแลตนเองด้วย” 


 


 


ถาวซินหลันพยักหน้า คิดไปคิดมาก็เข้าไปกระซิบข้างหูถาวจวินหลันเสียงเบา “จวงผินคนนี้ดูแล้วอ่อนแอ แต่เกรงว่า8‘มีแผนการอะไร แค่ดูจากการที่นางปรนนิบัติฮ่องเต้ไม่กี่วันมานี้ ฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับนางมากเป็นพิเศษ จนฮองเฮาเริ่มระแวงแล้วเจ้าค่ะ” 


 


 


หากเป็นสตรีธรรมดาพบเรื่องเช่นนี้ คงจะต้องรู้สึกอับอายโกรธแค้น และไม่ยอมไปปรนนิบัติฮ่องเต้อีก แต่กู้ซีกลับไม่ใช่เช่นนั้น แต่ยังโดดเด่นเช่นนี้อีก ย่อมไม่ง่ายดายแน่นอน 


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดของถาวซินหลัน ก็เข้าใจทันที จึงพยักหน้าน้อยๆ เป็นเช่นนั้นจริง แม้นนางจะไม่ได้คิดว่ากู้ซีควรจะทำให้รู้แล้วรู้รอด หรือสิ้นหวังนั่งน้ำตาไหลอาบหน้าอยู่ทุกวัน แต่กู้ซีเปลี่ยนไปเร็วมาก จนไม่เหมือนกับความคิดของคนทั่วไป 


 


 


แต่กู้ซีรับใช้หน้าฮ่องเต้ได้ ย่อมเป็นเรื่องดีกับจวนตวนชินอ๋อง อีกทั้งถาวจวินหลันยังรู้สึกว่าต่อให้กู้ซีเป็นคนเจ้าแผนการมากกว่านี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางอีกแล้ว อย่างไรกู้ซีก็ส่งผลกระทบให้นางไม่ได้ อย่างแรกเพราะไม่จำเป็น อย่างที่สองเพราะไม่มีโอกาส อีกอย่างก็ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน แม้แต่ระดับอาวุโสก็ยังห่างกันกว่าหนึ่งรุ่น 


 


 


 พอเห็นถาวซินหลันเดินกลับไป ถาวจวินหลันก็จูงมือซวนเอ๋อร์เดินออกจากวังหลวง 


 


 


ตลอดทางกลับจวน ถาวจวินหลันเพียงแค่นั่งหลับตาอยู่บนรถม้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ วิเคราะห์อย่างละเอียดว่ามีตรงไหนทำได้ไม่ดี ในขณะที่ซวนเอ๋อร์นั่งเล่นไม้กระดานกลอยู่ข้างๆ 


 


 


ซวนเอ๋อร์พลันเอ่ยปากถามนางว่า “เสด็จทวดจะตายหรือขอรับ?” 


 


 


ถาวจวินหลันเบิกตากว้างด้วยตกใจ แล้วมองซวนเอ๋อร์นิ่ง ขมวดคิ้วถามเขาว่า “เจ้าไปฟังใครพูดมา?” 


 


 


ซวนเอ๋อร์พูดว่า “จางหมัวหมัว” 


 


 


ถาวจวินหลันตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง แล้วถึงถามซวนเอ๋อร์ว่า “จางหมัวหมัวพูดว่าอย่างไร?” 


 


 


“บอกว่าเสด็จทวดจะตาย ให้ข้าไปทำให้เสด็จทวดมีความสุขขอรับ” ดวงตาทั้งสองข้างของซวนเอ๋อร์เปี่ยมด้วยความสงสัย “ตายคืออะไรหรือ?” 


 


 


ถาวจวินหลันกลับไม่รู้ว่าต้องตอบอย่างไร ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดเสียงเบาว่า “ตายก็คือจากซวนเอ๋อร์ไปในที่ที่ซวนเอ๋อร์ไม่สามารถเจอได้อีก ห้ามเจ้าไปพูดแบบนี้กับใครอีก” 


 


 


ซวนเอ๋อร์เห็นนางดูเคร่งขรึมจึงพยักหน้าเหมือนเข้าใจ 


 


 


ถาวจวินหลันอดนั่งครุ่นคิดไม่ได้ จางหมัวหมัวกล้าพูดเช่นนี้กับซวนเอ๋อร์ เพราะว่าร่างกายของไทเฮามีปัญหาหรืออย่างไรกัน? แต่ดูแล้วก็ไม่เหมือน อีกทั้งหมอก็พูดแล้วว่าผ่านปีนี้ไปก็ไม่มีปัญหา 


 


 


แต่จางหมัวหมัวปรนนิบัติดูแลไทเฮามานานหลายปี เป็นคนที่มั่นคงมากเพียงใด? กลับพูดเช่นนี้ออกมา ต้องเป็นข่าวลือที่มีมูลแน่นอน หรือบางทีอาจเป็นคำพูดที่จางหมัวหมัวตั้งใจเปิดเผยอย่างนั้นหรือ? คิดดูแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ มิเช่นนั้นจางหมัวหมัวจะพูดเช่นนี้กับซวนเอ๋อร์ได้อย่างไร? 


 


 


แต่คิดดูแล้วก็ยังรู้สึกแปลก ต่อให้จางหมัวหมัวพูดกับซวนเอ๋อร์ ซวนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องถาม บางทีแค่หันหัวไปก็ลืมแล้ว ดังนั้นสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันจึงต้องปัดตกไป ถาวจวินหลันนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง ตราบจนมาถึงเรือนเฉินเซียง และเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ 


 


 


ด้วยกลัวหลี่เย่จะเป็นกังวล ถาวจวินหลันจึงไม่ได้พูดเรื่องนี้กับเขา 


 


 


วันรุ่งขึ้น พอถาวจวินหลันได้ยินว่าหลี่เย่กลับมาแล้ว ก็เล่าให้ฟังว่าฮองเฮาจะไปวัดเพื่อสวดขอพร รวมทั้งเรื่องให้อี๋เฟยไปดูแลปรนนิบัติไทเฮายามป่วย 


 


 


ผ่านไปอีกสองวัน องค์รัชทายาทก็ได้รับคำสั่งให้ออกจากวังหลวงไปสังเกตการณ์ 


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้ก็ถอนหายใจยาว เรื่องเป็นไปตามทางที่นางคาดการณ์ไว้ ตอนนี้สิ่งที่นางต้องทำก็คือรอคอยวันที่กู้ซีจะได้รับความโปรดปราน และหลี่เย่มีฐานหลักแน่ชัดอีกครั้ง 


 


 


ด้วยองค์รัชทายาทต้องเดินทางออกจากวังหลวง ฮองเฮาจึงออกจากวังหลวงไปสวดมนต์ขอพร ช่วงนี้จึงผ่อนคลายลงไปมาก อย่างน้อยก็ไม่เกิดเรื่องอะไรอีก 


 


 


แต่องค์รัชทายาทเพิ่งออกจากเมืองหลวงได้ไม่นาน หิมะก็ตกลงมา และในขณะเดียวกันทหารผู้นำอายุน้อยของตระกูลหวังก็เดินทางมาถึงวังหลวง ในเมื่อกลับมาพร้อมชัยชนะ ก็ต้องนำของบรรณาการและเชลยศึกจำนวนมากกลับมา เอิกเกริกยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขามยำเกรงยิ่งนัก 


 


 


ที่จริงถ้าจะพูดถึงผลดีต่อราชสำนัก ชัยชนะคราวนี้เทียบกับคราวของซินพานไม่ได้ คราวที่แล้วที่ซินพานนำกลับมานั้นเป็นสัญญาบรรณาการนานหลายปี เป็นความอ่อนน้อมอย่างสมบูรณ์และความสงบบริเวณชายแดนอย่างยั่งยืนนาน 


 


 


แต่เมื่อพูดถึงสายตาคนอื่น ถาวจวินหลันที่ตามไปดูด้วยก็อดน้อยใจแทนซินพานไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกลอบแทง เกรงว่าซินพานคงได้หน้ามากกว่าครั้งนี้ 


 


 


แต่ก็ต้องพูดว่าชัยชนะครั้งนี้ช่วยชะล้างความกดดันลงไปไม่น้อย อย่างน้อยใบหน้าของฮ่องเต้ก็เปื้อนยิ้ม แต่จะจริงใจหรือเสแสร้ง มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่รู้ดีที่สุด แต่คิดว่าคนอื่นก็คงไม่ได้ใส่ใจนัก 


 


 


กลางคืนในวังหลวงจัดงานเลี้ยงต้อนรับปัดเป่าภัย ถาวจวินหลันได้รับเชิญเข้าไปร่วมงานในวังหลวงเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังนั่งร่วมโต๊ะกับหลี่เย่ ก็ยิ่งทำให้นางตื่นเต้นและคาดหวัง 


 


 


ไม่เพียงแค่นาง แม้แต่บรรดาบ่าวรับใช้ในเรือนเฉินเซียงก็เตรียมพร้อมรับมือ และให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเช่นกัน 


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องสวมชุดเต็มยศ ดังนั้นจึงไม่ต้องคิดว่าสวมเสื้ออะไร ใส่รองเท้าอะไร ประหยัดเวลาและกำลังไปไม่น้อย แต่การเลือกปิ่นประดับและการแต่งหน้ากลับต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว 


 


 


ชุดเต็มยศ บวกกับปิ่นปักประณีตและการแต่งหน้าละเอียดเหมือนภาพวาด กลับทำให้ดูสง่างามและสูงส่งมากขึ้นหลายส่วน พอรวมกับความสง่าที่มีมาแต่เดิมของนาง บรรดาบ่าวรับใช้ก็พอใจมาก 


 


 


พอนางจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลี่เย่ก็รออยู่ข้างนอกนานมากแล้ว 


 


 


นอกจากวันที่แต่งงานและงานเลี้ยงซวนเอ๋อร์ครบรอบเดือนแล้ว พูดตามตรงแล้ว นางก็ไม่เคยแต่งองค์ทรงเครื่องจัดเต็มเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเริ่มรู้สึกไม่คุ้นชินทันที 


 


 


โดยเฉพาะตอนเห็นหลี่เย่ยืนอมยิ้ม นางก็ยิ่งรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ดึงแขนเสื้อไปมาอย่างควบคุมไม่ได้ พลางจับปิ่นปักที่อยู่บนศีรษะของตน 


 


 


หลี่เย่อมยิ้มจับมือของนางเอาไว้ พูดว่า “สวยมาก” 


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินหลี่เย่พูดแบบนี้ก็สบายใจ ความเคร่งเครียดหายไปทั่วทั้งร่างทันที และไม่รู้สึกเก้อเขินอีก 


 


 


หลี่เย่มองหวังหรูที่อยู่ข้างๆ วูบหนึ่ง หวังหรูก็รีบก้าวขึ้นมาอย่างรู้งาน พลางส่ง**บทองคำให้ 


 


 


หลี่เย่เปิด**บออก ข้างในนั้นมีดอกหมู่ตานสีม่วงอยู่ดอกหนึ่ง ดอกหมู่ตานนั้นมีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็ก แต่สีสันสวยงามเป็นที่ยิ่ง ถาวจวินหลันจ้องไม่วางตา 


 


 


นางตกใจเล็กน้อย “ฤดูนี้ไปเอาดอกหมู่ตานมาจากไหนเพคะ?” แม้ว่าภายในห้องอุ่น แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ดอกหมู่ตานจะบานออกดอก 

 

 

 


บทที่ 512 เปลี่ยนแปลง

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ส่งดอกหมู่ตานไปให้นาง “เจ้าเอาไปดูให้ดีๆ”


 


 


ถาวจวินหลันตะลึงไป มองอย่างละเอียดตามคำบอก สุดท้ายแล้วก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่ดอกไม้จริง แต่ทำมาจากผลึกสีม่วง เพราะสีใสบริสุทธิ์ ไม่มีสีผสมมากเกินไป ดังนั้นแวบแรกจึงเหมือนดอกไม้จริงไม่มีผิด กลีบดอกไม้ที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นนั้นก็น่าจะสลักมาทีละใบ แต่ละใบแยกจากกัน ลวดลายเห็นได้ชัด ดอกไม้แต่ละกลีบมีเกสรดอกไม้ติดอยู่ เหมือนดอกไม้บาน และเป็นช่วงเวลาที่สวยที่สุด ทำให้คนละสายตาไปไม่ได้


 


 


หลี่เย่หยอกเย้าเล่นกับกลีบดอกไม้ กลีบดอกไม้นั้นขยับเล็กน้อย หากกดแล้วเปลี่ยนรูปไปตามนิ้ว ก็จะเหมือนกับของจริงไม่มีผิด


 


 


“ภายในเกสรดอกไม้มีกลีบลับ สามารถใส่จำพวกยาเม็ดเอาไว้ได้ ปีนี้แคว้นเหลียงมอบยากันพิษมาให้ข้าเม็ดหนึ่ง ข้าใส่เอาไว้ข้างในนั้นแล้ว หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เจ้าก็เอาออกมาอมไว้ แม้จะแก้พิษไม่ได้ชะงัดนัก แต่ก็พอยืดเวลาไปได้” หลี่เย่ยิ้มพูด แล้วแสดงให้ถาวจวินหลันดูครั้งหนึ่ง


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินก็อดขมวดคิ้วถามตามสัญชาตญาณไม่ได้ “ทำไมหรือเพคะ?”


 


 


หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เพียงแค่ได้มาเม็ดหนึ่งพอดี ข้าก็เลยใส่ไว้ให้เจ้า”


 


 


“ปกติแล้วท่านอยู่ข้างนอกทุกวัน ท่านติดตัวเอาไว้เองเถิด ข้าอยู่ในบ้านทั้งวัน ไฉนเลยจะได้ใช้สิ่งนี้” ถาวจวินหลันส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่ยินยอม แม้หลี่เย่จะพูดว่าไม่มีอะไร แต่ในใจของนางก็ยังคงไม่สบายใจ จากนั้นก็คิดถึงภาพตอนที่หลี่เย่ถูกพิษ และยิ่งรู้สึกว่ายากันพิษนี้ควรต้องอยู่กับหลี่เย่มากกว่า


 


 


หลี่เย่หัวเราะเบาๆ “กลับไปข้าจะให้คนหามาอีกเม็ดหนึ่งก็แล้วกัน” พูดพลางนำเอาดอกหมู่ตานนั้นไปวางเทียบบนผมของถาวจวินหลัน หลังจากหาที่เหมาะสมได้แล้วก็ถอดปิ่นลูกท้อฝังอัญมณี ก่อนปักปิ่นดอกหมู่ตานลงไปแทน


 


 


ถาวจวินหลันยกมือขึ้นไปลูบ รู้สึกลังเล “จะเด่นเกินไปหรือไม่” ดอกไม้นี้ไม่ใช่สิ่งที่หามาได้โดยง่าย ต่อให้มีวัตถุดิบก็ไม่รู้ว่าต้องใช้แรงมากเท่าไร อีกทั้งเกรงว่าไม่ใช่ช่างฝีมือที่ไหนก็สามารถทำได้ ในตอนนี้นางใส่เข้าวังหลวงไป จะต้องเด่นแน่นอน


 


 


“กลัวอะไรเล่า?” หลี่เย่หัวเราะ “เจ้าควรจะชินได้แล้ว ต่อจากนี้ไปไม่ว่าตอนไหน เจ้ายืนอยู่ข้างกายข้า ก็ต้องทำให้คนหันมาสนใจอยู่แล้ว”


 


 


ตอนแรกถาวจวินหลันยังคิดจะพูดเรื่องฐานะชายารองของตน พอได้ยินแบบนี้ก็กลืนคำพูดลงไป ใช่แล้ว ตอนนี้นางไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว กดตัวเองลงต่ำและไม่จำเป็นต้องหลบหลีกอีก หลี่เย่เก่งกล้ามีความสามารถ หากนางยืนอยู่ข้างเขา ก็ไม่ใช่แค่สนับสนุนอยู่เงียบๆ แล้วจะพอ นางควรต้องแสดงความสามารถของตน อวดอ้างข้อดีออกมา


 


 


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม พลางหันไปสั่งหงหลัว “ไปเอาผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีม่วงของข้ามา” ในเมื่อจะต้องโดดเด่น ก็จะต้องทำให้ดีที่สุด หนังจิ้งจอกสีม่วงนั้นหายากเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าในวังหลวงคงจะไม่มีเช่นกัน ตั้งแต่นางได้รับมา ก็ไม่เคยใส่ออกไปมาก่อน ด้วยกลัวว่าจะโดดเด่นมากเกินไป แต่ว่าตอนนี้…


 


 


จวนตวนชินอ๋องควรโดดเด่นได้แล้ว


 


 


หลี่เย่ช่วยถาวจวินหลันผูกผ้าคลุมด้วยตนเอง พลางเอาเตาผิงเล็กให้นางอุ้มเอาไว้ แล้วถึงได้จูงมือนางเดินออกไปจากห้อง ทั้งสองคนเดินแนบเคียงกันไป มือทั้งสองคนกุมเข้าด้วยกัน เพราะว่ามีแขนเสื้อคลุมอยู่จึงไม่ได้รู้สึกหนาวนัก แน่นอนว่าเป็นเพราะมือของหลี่เย่อุ่นมากอยู่แล้ว


 


 


เมื่อเทียบกับหลี่เย่แล้ว ฝ่ามือของถาวจวินหลันดูเย็นกว่าอย่างชัดเจน แต่กุมสักพักก็เริ่มอุ่นกำลังพอดี อีกทั้งเดินขยับตัวก็เริ่มมีเหงื่อออกมา เมื่อมีเหงื่อก็เริ่มเหนียวแฉะอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดจะปล่อยมือจากกัน


 


 


ตลอดทางทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกัน แต่ตอนที่ขึ้นไปบนรถม้า หลี่เย่ก็ประคองถาวจวินหลันขึ้นไป พูดว่า “ระวังหัวชนด้านบนด้วย”


 


 


ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้มบางๆ “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว ไฉนเลยจะสะเพร่าเช่นนั้น”


 


 


พอรถม้าค่อยๆ ขยับ หลี่เย่ก็กำชับถาวจวินหลันเสียงเบา “อาหารในงานเลี้ยงค่อนข้างเลี่ยน ตอนที่ส่งมาก็แทบจะเย็นแล้ว เจ้าเพียงแค่ลองชิมเท่านั้นก็พอ อย่ากินเยอะไป หากหิวก็ให้เลือกอาการที่อ่อนและไม่ค่อยมันมาทาน ข้าให้ห้องครัวเล็กเตรียมพร้อมไว้แล้ว ตกดึกกลับมาก็จะมีของให้กิน”


 


 


ถาวจวินหลันเห็นเขากำชับเคร่งครัด จึงอดหัวเราะไม่ได้ “ทำไมท่านถึงได้พูดมากเช่นนี้เล่า ท่านวางใจเถิด ข้าไม่เคยเข้าร่วมงานสมโภชมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงขั้นดูแลตนเองไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งพวกเรานั่งอยู่ด้วยกัน ถึงเวลานั้นท่านเตือนข้าก็ยังไม่สายเกินไป ตอนที่ข้าออกไปข้างนอกได้ดื่มชาเมล็ดซิ่งร้อนๆ มาแล้วถ้วยหนึ่ง และกินของว่างมาแล้วชิ้นหนึ่ง ไม่หิวเลยเพคะ”


 


 


หลี่เย่อดหัวเราะไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เริ่มเคร่งขรึม “แม้จะบอกว่านั่งที่เดียวกับข้า แต่ก็ต้องมีเวลาที่ไปพบปะผูร่วมงานคนอื่น ถึงเวลานั้นเกรงว่าข้าคงจะช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องระวังตัวให้มาก”


 


 


ถาวจวินหลันยังคงหัวเราะ “ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ใช่สัตว์ร้ายอะไร หรือพวกนางกลืนข้าลงไปในคำเดียวได้เล่า? ต่อให้ไว้หน้าท่าน ไม่แน่ว่าพวกนางก็จะต้องยอมให้ข้าอยู่สามส่วน”


 


 


หลี่เย่ยังคงไม่วางใจ พลางพูดเรื่องที่ควรระมัดระวังในงานสมโภชออกมาไม่หยุด ถาวจวินหลันถึงเข้าใจว่าที่จริงแล้วเขาใส่ใจกับงานครั้งนี้มาก แน่นอนว่าหลักๆ แล้วก็เพราะว่าเขาเคยได้รับบทเรียนมากมายจากในวังหลวง ดังนั้นจึงวางใจไม่ค่อยได้


 


 


พอมาถึงภายในวังหลวง พวกเขาก็ตรงเข้าไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยง


 


 


หลี่เย่คำนวณเวลามาแล้ว ทั้งไม่ช้าเกินไปและไม่เร็วเกินไป แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ตอนที่พวกเขาเดินจูงมือกันเข้ามาก็ดึงดูดสายตาคนจำนวนไม่น้อย


 


 


จวงอ๋องและอู่อ๋องก็มาด้วย พอเห็นหลี่เย่ก็เดินเข้าไปรับด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม พูดทักทายตามมารยาท “พี่รองมาแล้ว”


 


 


หลังจากทำความเคารพทักทายกันแล้ว พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องก็ดึงถาวจวินหลันไปอย่างกระตือรือร้น “ชายารองถาวไม่พบกันนานเลย ดูสวยมากกว่าเดิมหลายส่วนทีเดียว”


 


 


พระชายาอู่อ๋องสังเกตเห็นดอกหมู่ตานบนศีรษะของถาวจวินหลันก่อน จึงถามอย่างตื่นตกใจ “ทำไมยามนี้ถึงมีดอกหมู่ตานบานด้วยเล่า?”


 


 


ฉับพลันนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง พูดว่า “ไม่ใช่ดอกไม้จริงเสียหน่อย เพียงแค่แกะสลักเป็นรูปดอกไม้เท่านั้นเอง พระชายาจวงอ๋องมองผิดไปเสียแล้ว”


 


 


ถาวจวินหลันเบนหน้าไปมอง ก็เห็นหยวนฉงหวา พระชายาองค์รัชทายาท และหวังเหลียงตี้*เดินมา คำพูดนั้นหยวนฉงหวาเป็นคนพูด ตอนนี้ใบหน้าของหยวนฉงหวามีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่กลับประกายความเยาะเย้ยเอาไว้


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทมองไปยังหยวนฉงหวา ดุเสียงเบา “ระวังคำพูดด้วย”


 


 


หยวนฉงหวาไม่เก็บไปใส่ใจ แต่ก็เงียบปากไป กลับเป็นหวังเหลียงตี้ที่ยิ้มให้ถาวจวินหลัน พูดเสียงเบาว่า “วันนี้ชายารองถาวดูสง่างามผิดปกติ หนังจิ้งจอกสีม่วงนี้หาได้ยากยิ่งนัก ข้าจำได้ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงก็มีเพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น แต่ก็มากพอให้ทำแค่ผ้าพันคอเท่านั้น ผ้าคลุมผืนหนึ่ง อย่างน้อยก็จะต้องใช้หนังถึงสี่ห้าผืนมาต่อกัน”


 


 


คำพูดของหวังเหลียงตี้ทำให้ดวงตาหลายคู่ทอดมายังร่างของถาวจวินหลัน


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ สบตากับหวังเหลียงตี้ พูดเสียงเบา “หวังเหลียงตี้ไม่เลวเพคะ” นางไม่ได้มีท่าทีถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย อย่างไรผ้าคลุมก็อยู่บนร่างของนาง นางจะถ่อมตัวไปก็ไร้ประโยชน์


 


 


พระชายาจวงอ๋องหัวเราะทันที มองถาวจวินหลันและมองไปยังพระชายาองค์รัชทายาท พูดว่า “ทำไมวันนี้พระชายาองค์รัชทายาทถึงได้ถ่อมตัวเช่นนี้เล่าเพคะ? กลับเป็นชายารองถาวที่ดูสูงส่งสง่างามมากกว่า”


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทย่อมต้องถ่อมตัว องค์รัชทายาททำเรื่องไว้มาก ฮองเฮาเองก็ไม่อยู่ หากนางยังถือตัวก็ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เกลียดองค์รัชทายาทมากขึ้นอีกมิใช่หรือ? แน่นอนว่าคำพูดนี้กำลังบอกว่าถาวจวินหลันไร้มารยาท เป็นแค่ชายารอง ทว่ากลับโดดเด่นมากกว่าพระชายาองค์รัชทายาท


 


 


ถาวจวินหลันมองพระชายาจวงอ๋องอย่างตื่นตกใจ ยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ชุดประจำตำแหน่งของชายารองอย่างข้าไฉนเลยจะเทียบกับพระชายาองค์รัชทายาทได้เจ้าคะ? ไม่ต้องพูดถึงพระชายาองค์รัชทายาท แม้แต่พระชายาจวงอ๋อง ข้าก็ไม่สามารถเทียบได้ แต่พระชายาจวงอ๋องชมข้าเช่นนี้ กลับหมายความว่าข้าเองก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้เช่นเดียวกัน ไม่ได้ดูด้อยเกินไปนัก”


 


 


ชุดประจำตำแหน่งเทียบไม่ได้ แต่ว่าของอย่างอื่นก็ไม่ใช่ว่าจะเทียบไม่ได้ นางพูดเช่นนี้ก็มีความหมายเย้ยหยันพระชายาจวงอ๋องอยู่ในที เมื่อเทียบกับจวนตวนชินอ๋องแล้วนั้น จวนจวงอ๋องไม่สามารถเทียบได้


 


 


อย่างน้อยด้านทรัพย์สินก็ไม่สามารถเทียบได้แล้ว อีกทั้งปิ่นปักบนร่างกายของนางก็เป็นของดีที่หลี่เย่สั่งให้คนหามาให้ มองดูแล้วไม่ได้เด่นแต่พอมองอย่างพิจารณาให้ดีกลับทำให้คนต้องถลึงตาโต


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทก็หัวเราะออกมา แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ดูโหดเ**้ยมเหมือนกับฮองเฮา ปากยิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย “ชายารองถาวพูดน่าขันแล้ว เจ้าเป็นชายารองชินอ๋อง จะด้อยเกินไปได้อย่างไร?”


 


 


เห็นได้ชัดว่าพระชายาองค์รัชทายาทไม่อยากพูดอะไรมาก พอพูดจบก็ตรงเข้าไปนั่งที่ที่นั่งของตนเอง


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทเดินไปแล้ว หวังเหลียงตี้และหยวนฉงหวาย่อมต้องเดินตามไป พระชายาจวงอ๋องมองดูถาวจวินหลัน รอยยิ้มยิ่งชัดมากขึ้น “ชายารองถาวแต่งตัวเช่นนี้ จะบอกว่าเป็นชายาเอกก็ดูไม่เกินไปนัก พวกเรากลับเทียบไม่ได้เลย”


 


 


พระชายาอู่อ๋องรับคำต่อไป “พี่สามพูดน่าขันแล้วเจ้าค่ะ ชายารองก็คือชายารอง ไฉนเลยจะข้ามหน้าข้ามตาไปได้เจ้าคะ? คำพูดนี้คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดีนะเจ้าคะ”


 


 


ทั้งสองคนร่วมมือกันเย้ยหยันถาวจวินหลัน ถาวจวินหลันย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ทว่านางกลับไม่หงุดหงิด อมยิ้มพลางพูดกลับไปเรียบๆ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ? หากชายาเอกของพวกเรายังอยู่ เกรงว่าได้ยินคำพูดนี้จะต้องไม่พอใจเป็นแน่เจ้าค่ะ” พอพูดจบนางก็ไม่รั้งตัวอยู่ต่อ ตรงเข้าไปยืนอยู่หลังหลี่เย่


 


 


วันนี้คนที่ตามมาคือหงหลัว ถาวจวินหลันถอดผ้าคลุมให้หงหลัวถือเอาไว้ จากนั้นก็นั่งลงตรงตำแหน่งของตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครที่ไม่รู้จักกาลเทศะเข้ามาหาอีก


 


 


แต่ไม่พุ่งเข้ามาก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนแอบนินทาอยู่ข้างหลัง แม้ว่าถาวจวินหลันจะไม่ได้เงยหน้า แต่ก็ได้ยินเสียงของพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องที่นั่งอยู่ไม่ไกล แม้จะไม่ได้ยินว่าพูดอะไร แต่นางก็รู้ว่ากำลังพูดถึงนางอยู่ วันนี้นางโดดเด่นมากเกินไป แล้วยังไม่อ่อนข้อให้เหมือนในวันวาน พระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋องไม่นินทาก็ถือว่าแปลก


 


 


พอใกล้ถึงเวลางาน บรรดาพระสนมที่พอมีหน้ามีตาก็เริ่มเดินทางมาถึง


 


 


ถาวจวินหลันเห็นจวงผินกับอิงผิน แล้วยังมีซูเฟย อี้เฟย อี๋เฟย ท่ามกลางคนเหล่านั้นจวงผินกลับดูโดดเด่นที่สุด ชุดในวังสีฟ้าใส อีกทั้งผ้าคลุมหนังจิ้งจอกสีขาว ให้ความรู้สึกเหมือนเซียนในภาพวาด


 


 


แต่ที่ทำให้ถาวจวินหลันสังเกตมากที่สุดก็คือปิ่นหงส์คู่ที่อยู่บนศีรษะของจวงผิน ปิ่นหงส์เจ็ดหาง แต่มีเพียงแค่ตำแหน่งเฟยเท่านั้นที่สามารถใส่ได้ จวงผินกลับเอามาใส่อย่างออกหน้าเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งสูงขึ้น หรือไม่ก็ฮ่องเต้ประทานมาให้


 


 


แต่ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องแย่


 


 


ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของถาวซินหลัน จึงได้ยกริมฝีปากขึ้นมาน้อย จวงผินเป็นคนเจ้าแผนการจริงๆ


 


 


ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงขันทีตะโกนเสียงดังมาจากที่ไกล “ฮ่องเต้เสด็จ” ในตอนนั้นทุกคนต่างก็พากันลุกขึ้นรับเสด็จ


 


 


ถาวจวินหลันสงสัยว่า ทำไมนายทหารของตระกูลหวังถึงไม่มาแม้แต่คนเดียว? หรือว่ากล้าให้ฮ่องเต้มารอ?


 


 


 


 


*เหลียงตี้ คือตำแหน่งชายารองในองค์รัชทายาท

 

 

 


บทที่ 513 ไม่คาดฝัน

 

ตอนที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ถาวจวินหลันก็เห็นฮ่องเต้เดินเข้ามา ข้างกายฮ่องเต้มีนายทหารอายุน้อยสองสามคนเดินตามมา เกรงว่าคงเป็นนายทหารตระกูลหวังเหล่านั้นใช่หรือไม่?


 


 


ที่นางมองออกภายในครู่เดียว กลับไม่ใช่เพราะว่าเคยเห็นมาก่อน แต่เป็นเพราะคนเหล่านั้นสวมใส่ชุดของทหาร ทำให้คาดเดาฐานะของพวกเขาได้ไม่ยากนัก


 


 


ที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมากที่สุดคือท่าทีของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ในตอนนี้น่าจะไม่ค่อยชอบตระกูลหวังเท่าไรนัก แต่ดูจากตอนนี้แล้วการที่หันหน้าไปพูดคุยหัวเราะกับคนเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าฮ่องเต้เปลี่ยนใจแล้วอย่างนั้นหรือ?


 


 


พอทำความเคารพเสร็จ ฮ่องเต้ก็สั่งให้ทุกคนนั่งลง ส่วนนายทหารอายุน้อยที่ตามเขาเข้ามานั้นกลับจัดให้นั่งในตำแหน่งที่ใกล้กับฮ่องเต้เป็นอย่างมาก


 


 


จากนั้นฮ่องเต้ก็ยิ้มและโบกมือเรียกกู้ซี “จวงผินมานั่งข้างข้า”


 


 


ถาวจวินหลันเอียงหน้าไปมองหลี่เย่ตามสัญชาตญาณ เห็นท่าทีของหลี่เย่เป็นปกติ ก็สบายใจ สถานการณ์เช่นนี้นางไม่คิดว่าหลี่เย่จะรู้สึกสบายใจจริงๆ สตรีที่เกือบได้เป็นชายารองของตน ตอนนี้กลับนั่งอยู่ข้างพ่อของตนเอง จะคิดอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องปกติ


 


 


นางยังจำท่าทางตอนที่หลี่เย่รู้ว่ากู้ซีกลายเป็นพระสนมได้ จึงเข้าใจความรู้สึกของหลี่เย่ และยิ่งต้องเป็นกังวลมากขึ้นเช่นเดียวกัน หากหลี่เย่แสดงท่าทีผิดปกติออกมาสักเล็กน้อย เกรงว่าฮ่องเต้คงไม่สบายใจเป็นแน่


 


 


หากเกิดเรื่องเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงหลี่เย่ แม้แต่กู้ซีเองก็ไม่มีประโยชน์เช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะปล่อยวางได้แล้ว หรือว่าอดกลั้นเอาไว้ หลี่เย่ก็ไม่สามารถแสดงท่าทีผิดปกติได้


 


 


กู้ซีถูกฮ่องเต้เชื้อเชิญเช่นนี้ย่อมต้องกลายเป็นจุดสนใจแน่นอน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กู้ซีก็ลุกขึ้น ยิ้มพูดว่า “ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เชื่อใจเพคะ หม่อมฉันยินยอมปรนนิบัติฮ่องเต้” พอพูดจบก็ค่อยๆ เดินไปทางพระราชอาสน์ของฮ่องเต้


 


 


พระราชอาสน์ของฮ่องเต้นั้นกว้างขวางเป็นอย่างมาก ถ้าบอกว่าเป็นเก้าอี้ ไม่สู้บอกว่าเป็นตั่งเล็กยังจะเหมาะสมกว่า ฮ่องเต้ประทับอยู่ตรงกลาง ฝั่งซ้ายขวานั่งเพิ่มฝั่งละคนก็ยังเหลือเฟือ


 


 


กู้ซีกลับนั่งตรงฝั่งขวาของฮ่องเต้อย่างรู้งาน ด้านซ้ายนั้นเป็นตำแหน่งของฮองเฮา หากนางนั่ง คนอื่นคงเอาไปพูดติฉินนินทาอีกมิใช่หรือ?


 


 


ฮ่องเต้ดูพอใจกับท่าทีของกู้ซีเป็นอย่างมาก แล้วยังจับมือของกู้ซีพลางชี้ไปยังนายทหารอายุน้อยเหล่านั้นแล้วพูดว่า “เจ้าดู นี่เป็นนายทหารที่ครั้งนี้สร้างผลงานใหญ่กลับมา นี่ถือเป็นเสาหลักของราชสำนัก เจ้าดู พวกเขาถือว่าอายุน้อยมากความสามารถหรือไม่?”


 


 


กู้ซีเหลือบมองเพียงทีเดียวก็ถอนสายตากลับมา จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เพคะ แต่หม่อมฉันคิดว่านายทหารเหล่านี้นำชัยชนะกลับมาได้ ก็ถือเป็นผลงานของนายทหารเหล่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดก็เพราะว่าฮ่องเต้รู้จักใช้คนเพคะ พูดไปแล้วหม่อมฉันยิ่งรู้สึกเลื่อมใสพระปรีชาของฮ่องเต้เพคะ”


 


 


คำพูดนี้ของกู้ซีเป็นการเยินยอสรรเชิญฮ่องเต้อย่างแท้จริง แต่หากออกมาจากปากคนอื่นก็คือการเยินยอ แต่พอออกมาจากปากของกู้ซีกลับดูเหมือนเคารพจากใจจริง โดยเฉพาะท่าทีการกระทำของกู้ซี


 


 


พอเห็นฮ่องเต้อารมณ์ดีหัวเราะลั่น ถาวจวินหลันก็เข้าใจทันทีว่าทำไมกู้ซีถึงได้รับความโปรดปรานเร็วขนาดนี้


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะเช่นนี้ย่อมต้องมีคนพากันพูดเยินยออีกมาก เพียงไม่นาน บรรยากาศก็เริ่มครึกครื้น


 


 


ขณะที่ทักทายกัน นางกำนัลก็เริ่มทยอยเข้ามา นำอาหารเลิศรสหายากขึ้นโต๊ะ


 


 


ถาวจวินหลันเห็นว่าเหล้าที่ส่งมานั้นมีสีแดงอ่อน ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “สุราชาด?”


 


 


หลี่เย่พยักหน้าน้อย ยิ้มและพูดว่า “วันนี้ลาภปากแล้ว”


 


 


สุราชาดนั้นผลิตน้อยมาก ดังนั้นต่อให้ภายในวังหลวงก็ไม่ได้มีเก็บเอาไว้มากนัก วันนี้ฮ่องเต้ให้นำเหล้าชนิดนี้ขึ้นโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญและมีความสุขมาก


 


 


ถาวจวินหลันเหลือบมองนายทหารตระกูลหวังทีหนึ่ง เห็นว่าทั้งสามคนนั้นอมยิ้มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ก็รู้ว่าทั้งสามคนอารมณ์ดี ก็ถูก ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้นั้นก็เป็นสิ่งที่มากพอให้หยิ่งทะนงแล้ว


 


 


เหล้าและอาหารถูกนำขึ้นโต๊ะ นายทหารตระกูลหวังที่อายุมากสุดก็ยกแก้วขึ้นมาชูไปทางฮ่องเต้เพื่อแสดงความเคารพ หัวเราะพลางพูดเสียงดัง “กระหม่อมขอเคารพฮ่องเต้จอกหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


ฮ่องเต้ยิ้มพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา “ควรเป็นข้าที่ต้องเคารพเจ้าแก้วหนึ่งถึงจะถูก พวกเจ้าสร้างผลงาน เสียหยาดเหงื่อเพื่อความสงบของแคว้นเรา ควรดื่มแก้วนี้ให้หมดถึงจะถูก!”


 


 


พูดจบฮ่องเต้ก็ดื่มหมดภายในทีเดียว ในเมื่อฮ่องเต้ดื่มรวดเดียวหมด คนอื่นย่อมไม่อาจเพียงแค่มองอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงพากันยกแก้วเหล้าขึ้นมา


 


 


ถาวจวินหลันก็จิบไปอึกหนึ่งเช่นกัน สุราชาดนั้นเป็นเหล้าชั้นดีของจริง กลิ่นหอมกรุ่นเข้มข้นเข้าปากไปแล้วก็ยังทิ้งรสเอาไว้นาน แต่กลับไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป เหมาะกับผู้หญิงดื่ม


 


 


หลี่เย่ดื่มไปแก้วหนึ่ง จากนั้นก็อมยิ้มลุกขึ้นชูแก้วให้กับตระกูลหวังทั้งสามคน “นายทหารทั้งหลายกล้าหาญนัก ข้าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ขอดื่มให้พวกท่านหนึ่งจอก แสดงถึงความจริงใจของข้า”


 


 


คนตระกูลหวังทั้งสามคนก็ยกเหล้าขึ้นดื่มเช่นเดียวกัน


 


 


จากนั้นจวงอ๋องและอู่อ๋องต่างก็พากันชูแก้วแสดงความเคารพ คนตระกูลหวังทั้งสามคนนั้นก็พากันดื่ม ท่าทีดูตรงไปตรงมา ฮึกเหิมยิ่งนัก และบรรยากาศก็มีความสุขเป็นอย่างมาก แต่เพียงแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น พอไม่มีใครลุกขึ้นชนแก้วอีกแล้ว นายทหารตระกูลหวังที่อายุมากที่สุดก็ยิ้มพลางเอ่ยปากถามฮ่องเต้ “พูดไปแล้ว กระหม่อมยังมีเรื่องสงสัยอยู่เล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ ทำไมวันนี้ไม่เห็นฮองเฮาและองค์รัชทายาทเลยพ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


รอยยิ้มของฮองเต้กระตุกไป ไม่ได้ตอบออกมาทันที กลับเป็นกู้ซีที่เปิดปากพูดแทน “องค์รัชทายาทเห็นอกเห็นใจประชาชน ออกจากวังหลวงไปสังเกตการณ์ ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ส่วนฮองเฮาเหนียงเหนียงไปสวดมนต์ที่วัด ขอให้ไทเฮาหายจากอาการประชวรหนัก จึงไม่อยู่ภายในวังหลวง พูดแล้วก็น่าเสียดายยิ่งนัก คิดว่าเหนียงเหนียงเองก็คงอยากพบพวกท่านเหมือนกัน แต่เพราะไม่สบโอกาสเกรงว่าจะต้องรอวันอื่นแล้ว”


 


 


คำพูดนี้ของกู้ซีกลับพูดอย่างระมัดระวังรอบคอบ ไม่ปล่อยให้เรื่องภายในรั่วไหลแม้แต่น้อย ต่อหน้านั้นก็สมเหตุสมผล อย่างน้อยก็ทำให้ตระกูลหวังไม่สามารถขุดคุ้ยหาเรื่องอะไรได้


 


 


อี๋เฟยก็หัวเราะพลางพูดว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีใจกตัญญูขนาดนี้ เป็นแบบอย่างที่ดี องค์รัชทายาทเองก็น่านับถือ ร่างกายของตนเองก็ไม่ค่อยดีแล้วยังออกจากวังหลวงไปพร้อมกับอาการป่วย เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทคำนึงถึงประชาชนยิ่งนัก”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา ทำไมองค์รัชทายาทถึงออกจากวังหลวง เกรงว่าทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ต่างรู้อยู่แก่ใจ อี๋เฟยพูดเช่นนี้ไม่กลัวฮ่องเต้ตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้หายไปหลายส่วนอย่างที่คาเอาไว้


 


 


หลี่เย่เองก็ยิ้มและเอ่ยปากพูด “ได้ยินว่าครั้งนี้นำของบรรณาการล้ำค่ามาไม่น้อย ไม่สู้เสด็จพ่อให้คนนำมาให้พวกเราเห็นเป็นบุญตา ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”


 


 


ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจพูดปฏิเสธ จึงหัวเราะพลางสะบัดมือ “เป่าฉวน ให้คนไปยกมาเถิด!”


 


 


เมือเป็นเช่นนี้ย่อมไม่มีคนพูดถึงฮองเฮาและองค์รัชทายาทอีก แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ครึกครื้น มีความสุขเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


 


 


พอขันทีก็ยกของออกมา หนึ่งในนั้นมีต้นง้วนภูขนาดเท่าตัวคน มีอัญมณีขนาดเท่ากำปั้นคน และมีสมุนไพรล้ำค่าจำพวกนอแรด เขาวัวเป็นต้น แต่จะบอกว่าหายากนั้นก็ไม่ได้หายากเท่าไรนัก อย่างไรในวังหลวงก็หาอัญมณีด้


 


 


ถาวจวินหลันดูแล้วกลับไม่ได้สนใจ จึงจับแก้วเหล้าเล่น พลางพูดชื่นชมตามน้ำไป


 


 


หลี่เย่จับมือของถาวจวินหลัน หัวเราะเสียงเบา พูดว่า “มีอะไรที่ชอบบ้างหรือไม่? หากมีข้าจะไปขอมาให้เจ้า”


 


 


ถาวจวินหลันส่ายหัวเล็กน้อย “ช่างเถิดเพคะ ของไม่ดีเท่าของภายในห้องเก็บของของพวกเรา”


 


 


หลี่เย่ได้ยินเช่นนั้นก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ เขารู้สึกพึงพอใจ คำพูดนี้ของถาวจวินหลันคิดว่าคงเป็นการเอ่ยชื่นชมเขาทางอ้อมใช่หรือไม่?


 


 


ทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับได้ยินเสียงกระดิ่งเสียงหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงถูกดึงดูดความสนใจไปทันที


 


 


ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นไปมอง ทันใดนั้นก็ตกใจจนไม่สามารถถอนสายตาออกไปได้ ครั้งนี้ไม่ใช่ของแปลกล้ำค่าอะไร แต่เป็นคน คนที่มีชีวิต สตรีกลุ่มหนึ่งที่ปิดเพียงแค่หน้าอกและบั้นท้ายเท่านั้น


 


 


มองดูสีผิว สีผมและสีของลูกตาแล้วก็รู้ทันทีว่ากลุ่มสตรีกลุ่มนี้ไม่ใช่คนตระกูลฮั่น และไม่ใช่สถานที่ใดที่นางรู้จักสักทีหนึ่ง


 


 


ผมทองตาฟ้า ผิวขาวดั่งหิมะ จมูกโด่งสูง ไม่เหมือนกับพวกนางแม้แต่น้อย แม้แต่ส่วนสูงก็ไม่เหมือนกัน สตรีพวกนี้สูงเป็นอย่างมาก แทบจะไม่ต่างจากผู้ชาย ดั้งจมูกก็สูงเป็นพิเศษ ดวงตาก็ลึกมาก


 


 


มองเพียงแวบแรกก็ชวนให้แปลกใจยิ่งนัก แต่พอมองอีกครั้งกลับไม่ดีรู้สึกน่าเกลียด กลับดูดีด้วยซ้ำไป ถือว่าเป็นความสวยงามอีกแบบหนึ่ง


 


 


บริเวณเอวที่เปิดเปลือยไม่มีอะไรปิดบังเอาไว้ของผู้หญิงเหล่านี้ยังมีกระดิ่งทองพันรอบ บริเวณข้อมือและข้อเท้านั้นก็พันเอาไว้เยอะเช่นกัน ไม่แปลกที่เวลาเดินไปมาจะเกิดเสียงกระทบกรุ๊งกริ๊ง


 


 


เห็นถาวจวินหลันแปลกใจ หลี่เย่ก็อธิบายเสียงเบา “ผู้หญิงเหล่านี้เป็นคนเปอร์เซีย แถบนั้นหน้าตาไม่เหมือนพวกเราเลยแม้แต่น้อย พวกนางน่าจะเป็นนางระบำ”


 


 


ถาวจวินหลันถอนสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยกลับไป พยักหน้าไม่จ้องเขม็งมองอีก ไม่ว่าอย่างไร การที่จ้องคนเช่นนี้ก็เสียมารยาท


 


 


แน่นอนว่านางไม่มองไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะไม่มอง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งเสียงตกใจอย่างควบคุมไม่ได้ และยังมีคนที่หันไปพูดคุยกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ


 


 


ฮ่องเต้เห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะและพูดออกมา “คนพวกนี้ล้วนเป็นนางระบำที่ซื้อมาจากเปอร์เซีย เป็นของบรรณาการเช่นกัน”


 


 


นายทหารตระกูลหวังพูดต่อ “นางระบำเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะใช้เงินแล้วซื้อมาได้ จากที่ได้ยินมา นางระบำคนหนึ่งจะต้องใช้ทองคำที่มีน้ำหนักเท่ากับตัวนางถึงจะแลกได้ ของบรรณาการคราวนี้กลับได้มาสี่คน”


 


 


เมื่อคำพูดนี้ดังออกไป ทันใดนั้นรอบข้างก็เกิดเสียงสูดหายใจลึก ทองคำที่เท่ากับน้ำหนักตัว นั่นถือเป็นราคาสวรรค์ เพียงแค่สตรีไม่กี่คนเท่านั้น ไฉนเลยจะมีค่ามากมายถึงเพียงนั้น?


 


 


แต่ความคิดเช่นนี้ก็หายไป เมื่อนางระบำทั้งสี่คนระบำจบไปแล้ว


 


 


หลังจากถาวจวินหลันดูแล้ว ก็คิดคำบรรยายออกมาได้สี่คำเท่านั้น ‘ของดีใต้หล้า’ ถือว่าเป็นของดีจริงๆ แค่ยกมือ ยกเท้าก็เต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์ชวนให้จักจี้หัวใจ


 


 


แม้กระทั่งผู้หญิงบางคนยังต้องหลบสายตา ไม่กล้าจ้องมอง


 


 


ถาวจวินหลันอดคิดไม่ได้ ผู้หญิงสี่คนนี้ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วโชคชะตาจะนำพาไปที่ใด? หากถูกเก็บไว้เป็นนางระบำก็ดูเป็นไปไม่ได้ แต่หากถูกฮ่องเต้เรียกไป ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เพียงแค่…


 


 


ตอนที่กำลังคิดอยู่นั้นก็เห็นฮ่องเต้ยิ้มและพูดว่า “นางระบำสี่คนให้ตวนชินอ๋อง จวงอ๋อง อู่อ๋อง และเจ้าเจ็ดเอากลับไปอย่างละคน”


 


 


ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงงันไป ฮ่องเต้ให้พวกเขาเอาคนกลับไป ย่อมไม่ใช่ให้พวกเขาดูระบำอย่างเดียวเป็นแน่ พูดง่ายๆ ก็คือมอบสาวงามให้เป็นอนุภรรยา


 


 


นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานสมโภชจะมีเรื่องเช่นนี้


 


 


พอได้สติแล้วนางก็หันไปมองหลี่เย่ทันที พูดตามจริงนางไม่ค่อยเข้าใจว่าฮ่องเต้คิดจะทำอะไร อีกทั้งนี่ถือเป็นงานสมโภชฉลองต้อนรับและปัดเป่าเภทภัย จะประทานรางวัลก็ควรประทานให้คนตระกูลหวังมิใช่หรือ? ทำไมถึงได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับหลี่เย่เล่า?

 

 

 


บทที่ 514 เลือดเย็น

 

ท่าทีของหลี่เย่ไม่เปลี่ยน แต่ถาวจวินหลันกลับสังเกตเห็นหมัดของเขาที่กำแน่น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของหลี่เย่ในตอนนี้ไม่ได้สงบ


 


 


ฮ่องเต้ยิ้มน้อยๆ มองหลี่เย่ กลับมีท่าทีมีเมตตาเป็นอย่างมาก หากมองเช่นนี้ก็เหมือนกับพ่อมีเมตตาคนหนึ่ง อยากเอาของดีให้กับลูกชายของตนเองอย่างไรอย่างนั้น


 


 


หลี่เย่ลุกขึ้น หัวเราะและพูดว่า “ขอบพระทัยน้ำใจของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ แต่ลูกกลับไม่มีโชคได้เพลิดเพลิน ลูกไม่ชอบผู้หญิงประเภทนี้พ่ะย่ะค่ะ รู้สึกว่าแปลกเกินไป หากเสด็จพ่ออยากประทานให้ลูกจริง ลูกขอเป็นต้นง้วนภูแทนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ท่ามกลางของบรรณาการมากมาย ถาวจวินหลันคิดว่าต้นง้วนภูเป็นของหายากอยู่เล็กน้อย อย่างไรสีใสบริสุทธิ์ และยังสูงเพียงนั้น ลักษณะรูปร่างก็ถือว่าไม่เลว ถือว่าหาได้ยากยิ่ง


 


 


ฮ่องเต้นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ตาเจ้ามีแววมากนัก แต่ในเมื่อเจ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนเป็นต้นง้วนภูเถิด”


 


 


หลี่เย่ยิ้มมองฮ่องเต้และเอ่ยขอบพระทัย “ขอบพระทัยเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ถาวจวินหลันถอนหายใจเบาๆ และรู้สึกว่าตนเองคิดมากไป แต่ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้น หลี่เย่เอ่ยปฏิเสธเอง นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร? อย่างไรแล้วนางก็ไม่อยากให้จวนมีคนใหม่เข้ามาอีก


 


 


“เสด็จพ่อไม่อาจลำเอียงนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกเองก็อยากแลกนางระบำแลกกับของล้ำค่าเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” หลังจากสิ้นเสียงของหลี่เย่ องค์ชายเจ็ดก็รีบลุกขึ้นพูดอย่างทนไม่ไหว


 


 


ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? เจ้าเจ็ดก็ไม่ชอบนางระบำอย่างนั้นหรือ?”


 


 


องค์ชายเจ็ดเบะปากเล็กน้อย “นางระบำมีอะไรดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่แบบเดียวกันอย่างนั้นหรือ? ไม่สู้ขออาวุธชั้นดีอย่างหนึ่ง ชุดเกราะที่พี่รองสวมใส่ครั้งที่แล้วสวยมาก และดูทรงอำนาจมาก! น่าอิจฉาเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


พูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ออกรบคราวนั้น ฮ่องเต้ก็มีท่าทีหวนคำนึง “ชุดเกราะของพี่รองเจ้าเป็นชุดที่เสด็จปู่ของเจ้าเคยสวมใส่มาก่อน ตอนนั้นเสด็จปู่ของเจ้าพูดอยู่เสมอว่าพี่รองของเจ้าเหมือนเขามากที่สุด แต่ไม่เพียงเท่านั้นหรอก ตอนนั้นมีเพียงพี่รองของเจ้าเท่านั้นที่ดื้อรั้นจะไป แล้วก็ไม่แพ้ให้คนอื่น ทำให้ตระกูลหลี่ของพวกเราได้หน้ากลับมาอีกครั้ง เจ้าเรียนจากพี่รองของเจ้าให้มาก ถือว่าเป็นเรื่องดี นานๆ ทีเจ้าจะพัฒนาได้เท่านี้ บอกมาซี เจ้าอยากได้อะไร? พ่อจะต้องให้เจ้าสมใจเป็นแน่”


 


 


องค์ชายเจ็ดก็ได้รับความรัก และความเอ็นดูมาตั้งแต่เด็ก ท่าทีของฮ่องเต้จึงอบอุ่นและเอ็นดูอยู่หลายส่วน


 


 


“ลูกอยากได้กระบี่พิธีสองเล่มในห้องเก็บของของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายเจ็ดแสดงท่าทีละโมบ “ไม่อย่างนั้นคันศรเอ็นกวางก็ดีเหมือนกัน แล้วยังมีดคุนอู๋ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


หลี่เย่ก็หัวเราะเบาๆ “น้องเจ็ดตามีแววมากกว่าหม่อมฉันเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ ของที่ชอบใจนั้นล้วนเป็นของดี”


 


 


ฮ่องเต้หัวเราะลั่น แต่กลับโบกมือไปมา “ในเมื่อเจ้าเจ็ดชอบ ข้าก็จะมอบให้เจ้า! หวังว่าเจ้าจะรอบรู้ปราดเปรียวทั้งบู๊บุ๋น ในอนาคตช่วยข้ารบปราบศัตรู แสดงศักดาอำนาจของพวกเราออกไปถึงจะดี!”


 


 


องค์ชายเจ็ดดีใจมากเพราะผลลัพธ์เกินความคาดหมาย รีบเอ่ยขอบพระทัยทันที พูดว่า “ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลูกในชีวิตนี้ คือได้เป็นแม่ทัพนำทัพที่น่าเกรงขาม! ช่วยเสด็จพ่อปราบศัตรูทุกทิศทาง!”


 


 


ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ รู้ดีแก่ใจว่าองค์ชายเจ็ดกำลังแสดงเจตนาของตนเอง ว่าเขาไม่คิดจะแย่งราชบัลลังก์ ความต้องการของเขาอยู่ที่เรื่องอื่น เด็กน้อยในตอนนั้นโตขึ้นแล้ว รู้จักใช้วิธีนี้มาเป็นข้ออ้าง


 


 


อี้เฟยย่อมผิดหวัง เกรงว่านางคงคาดหวังว่าองค์ชายเจ็ดจะแย่งชิงกับพี่ชายของตนได้บ้าง แต่น่าเสียดาย คำพูดขององค์ชายเจ็ดทำลายความหวังของนางแล้ว


 


 


คิดว่าฮ่องเต้คงต้องยินดีใช่หรือไม่? ไม่โลภอำนาจในมือของเขา ไม่คิดสนใจแย่งตำแหน่งของเขาที่เป็นพ่อ มีลูกชายเช่นนี้จะไม่ยินดีได้อย่างไรเล่า?


 


 


กู้ซีหัวเราะพูดว่า “ฮ่องเต้ลืมองค์รัชทายาทไปแล้วเพคะ องค์รัชทายาทอยู่ด้านนอกลำบากลำเข็ญ มีของดีทำไมฮ่องเต้ถึงจำไม่ได้เล่าเพคะ? หม่อมฉันคิดว่า ในเมื่อตวนชินอ๋องและองค์ชายเจ็ดไม่ชอบนางระบำ ไม่สู้ส่งไปให้องค์รัชทายาทพร้อมกันเลยเถิดเพคะ”


 


 


สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทพลันเปลี่ยนไปทันที แม้แต่นายทหารตระกูลหวังก็เช่นเดียวกัน องค์รัชทายาทมีฐานะเช่นใด? จะใช้ผู้หญิงที่คนอื่นไม่เอาได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่ลบหลู่กันอย่างนั้นหรือ?


 


 


พระชายาองค์รัชทายาทรีบลุกขึ้น ยิ้มและพูดว่า “จวงผินต้องเป็นห่วงองค์รัชทายาทแล้วเพคะ หม่อมฉันขอขอบพระทัยท่านแทนองค์รัชทายาท แต่องค์รัชทายาทได้ตัดสินใจตั้งใจศึกษากิจการของแคว้น มีใจเพื่อประชาชน ไม่สามารถเอาสมาธิมาวุ่นวายกับเรื่องสตรี ดังนั้นหม่อมฉันก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่สู้ว่าฮ่องเต้ประทานของอย่างอื่นให้เถิดเพคะ”


 


 


คำพูดของพระชายาองค์รัชทายาทนั้นน่าฟัง อย่างน้อยก็ไม่ไร้มารยาท


 


 


ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย เอ่ยปากพูดเช่นกัน “พระชายาองค์รัชทายาท หม่อมฉันกลับไม่เห็นด้วยเพคะ องค์รัชทายาทขยันหมั่นเพียรมาโดยตลอด ไฉนเลยจะกังวลใจเพียงเพราะเรื่องกามารมณ์เพคะ? องค์รัชทายาทมุ่งมั่นตั้งใจ ต้องไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอนเพคะ พระชายาองค์รัชทายาทวางใจได้ อีกอย่างนางระบำเหล่านี้ก็เพียงแค่มอบความสุขให้ยามเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นเองเพคะ จุดประสงค์มีไว้เพื่อทำให้ใจฮึกเหิมเท่านั้น คิดว่าจวงผินเหนียงเหนียงคงตั้งใจบอกเช่นนี้”


 


 


ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าแท้จริงแล้วนางระบำถือเป็นอะไร ต่อหน้าแล้วนางระบำก็แค่ระบำมอบความสุขให้ยามเหน็ดเหนื่อยเท่านั้นเอง


 


 


กู้ซีมองไปยังถาวจวินหลันทีหนึ่ง ยิ้มอย่างเอียงอาย “เป็นเช่นนั้น ข้าคิดเช่นนั้น แม้แต่ฮ่องเต้เองบางทีก็ชอบดูร้องรำระบำระหว่างเสวยสำรับเพื่อความจรรโลงใจมิใช่หรือ?”


 


 


ฮ่องเต้ตบบ่าของกู้ซี พูดว่า “สนมที่รักพูดถูกยิ่งนัก พระชายาองค์รัชทายาทคิดมากไปเสียแล้ว นางระบำสองคนนี้เจ้าเอากลับไปจัดการเถิด”


 


 


เมื่อพูดเช่นนี้ย่อมต้องตัดสินแล้วอย่างแน่นอน แม้ว่าพระชายาองค์รัชทายาทจะไม่ยินยอม แต่ก็ทำได้แค่กล้ำกลืนความไม่พอใจและการต่อต้านลงไป แต่สีหน้าไม่ได้น่ามองเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว


 


 


ถาวจวินหลันมองไปทางอี๋เฟยทีหนึ่ง รู้สึกว่าอี๋เฟยดูแปลกๆ จึงลอบหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ


 


 


จากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก งานจบลงได้ด้วยดี หลังจากฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว ทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับไป


 


 


ตอนที่พระชายาองค์รัชทายาทจะกลับ ต้องเดินผ่านถาวจวินหลัน ผีเท้าหยุดเล็กน้อยพลางกวาตามองนางอย่างพินิจพิจารณาทีหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “คิดไม่ถึงว่าชายารองถาวจะฝีปากดีเช่นนี้”


 


 


ถาวจวินหลันส่งยิ้มตอบกลับไป “ขอบพระคุณที่ชื่นชมเพคะ นางระบำพวกนั้นท่าทีไม่เลวเลยทีเดียว คิดว่าองค์รัชทายาทน่าจะชอบนะเพคะ”


 


 


ดวงตาของพระชายาองค์รัชทายาทเป็นประกายเฉียบคม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หันตัวเดินจากไป


 


 


กลับเป็นหยวนฉงหวาที่ส่งยิ้มให้ถาวจวินหลัน มีความหมายคล้ายชื่นชม


 


 


ถาวจวินหลันเลิกคิ้ว จิบสุราชาดอึกสุดท้าย จากนั้นก็ยิ้มช้าๆ นางจงใจแล้วจะทำไม? พระชายาองค์รัชทายาทไม่พอใจแล้วอย่างไร? นางให้องค์รัชทายาทเก็บผู้หญิงที่หลี่เย่ไม่ต้องการแล้วจะเป็นอย่างไร?


 


 


ตอนนี้หลี่เย่ทักทายคนอื่นเสร็จและเดินกลับมา มาถึงก็จับมือของนางเอาไว้ รู้สึกว่าไม่ได้เย็นเท่าไรถึงได้พอใจ พูดขึ้นว่า “นี่ก็ไม่เช้าแล้ว พวกเรากลับจวนกันเถิด”


 


 


ถาวจวินหลันพยักหน้ารับคำ ให้หงหลัวนำผ้าคลุมของทั้งสองคนมา ยิ้มพลางส่งผ้าคลุมของหลี่เย่และสวมให้เขา จากนั้นก็สวมให้ตนเอง ทั้งสองคนถึงได้ขอตัวจากไป


 


 


เหมือนกับตอนขามา หลี่เย่ยังคงกุมมือของถาวจวินหลันเอาไว้ ทั้งสองคนเดินเคียงกันไป


 


 


“เจ้าแอบเอาดอกเหมยเดือนสองมาด้วยอย่างนั้นหรือ?” หลี่เย่ยิ้มถาม “ได้กลิ่นหอมกรุ่นตลอดทั้งคืนเลย”


 


 


“เพคะ ในแขนเสื้อมีถุงหอมผูกอยู่ ข้างในนั้นมีดอกเหมยเดือนสองที่เพิ่งบาน” ถาวจวินหลันยิ้มพลางตอบกลับมา “ทำเช่นนั้นทั้งไม่เด่นและยังหอมอีกด้วย เป็นวิธีที่ข้าเพิ่งเรียนรู้มา”


 


 


ทั้งสองคนพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง จึงเริ่มสบายอกสบายใจ


 


 


หลังจากขึ้นรถม้าแล้ว อาจด้วยดื่มสุรามา ถาวจวินหลันถึงได้ง่วงงุนอยากหลับ ดังนั้นจึงเอนตัวพิงไหล่ของหลี่เย่ ปิดตานอนหลับ


 


 


หลี่เย่จึงเอื้อมมือไปโอบนางเอาไว้ พลางนั่งพิงหมอนนิ่มพักผ่อน กลิ่นหอมบนร่างของถาวจวินหลันไม่ใช่แค่กลิ่นของดอกเหมยเดือนสอง ยังเป็นกลิ่นหอมของแป้งชาด แป้งทาหน้า และน้ำมันหอมอีกด้วย กลิ่นทั้งหลายรวมกันกลับหอมอย่างน่าแปลก ชวนให้รู้สึกสงบสุข


 


 


พอปิดตาลง หลี่เย่กลับคิดถึงท่าทีของฮ่องเต้ที่บอกว่าจะยกนางระบำให้ตนเอง


 


 


ในใจของเขารู้ดีว่าที่เกิดเรื่องเช่นนี้ ก็ด้วยมีกู้ซีเป็นต้นเหตุ ฮ่องเต้คงอยากชดเชยให้เขา แต่การชดเชยเช่นนี้ ไม่ต้องเอาก็ได้เช่นกัน อีกทั้งจะสามารถชดเชยกลับมาได้อย่างไร?


 


 


พูดตามจริงแล้วทุกครั้งที่เขาเห็นฮ่องเต้ปฏิบัติกับกู้ซีเช่นนั้น ในใจก็อดคิดรังเกียจไม่ได้ โดยเฉพาะมองเห็นสายตาเช่นนั้นของฮ่องเต้ เหมือนมองผ่านทะลุกู้ซีไปเห็นอีกคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งที่เห็นสายตาเช่นนั้น เขาก็รู้สึกหงุดหงิดไม่ชอบใจมาก


 


 


เขารู้ว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้มองเห็นใครผ่านกู้ซี นั่นคือกู้กุ้ยเฟย เสด็จแม่ของเขา ต้องยอมรับว่าคิ้วและดวงตาของกู้ซีเหมือนกับเสด็จแม่ของเขามาก โดยเฉพาะท่าทีอ่อนแอขี้โรค ยิ่งเหมือนกับเสด็จแม่ของเขาตอนใกล้จะลาโลกนี้ไปอย่างน่าตกใจ


 


 


พูดตามจริงแล้ว เขาไม่คิดว่านี่เป็นการใส่ใจและคิดถึงเสด็จแม่ของตน แต่กลับคิดว่า…นี่เป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง กู้ซีจะมาแทนที่เสด็จแม่ของตนได้อย่างไร? เอามาเทียบกันได้อย่างไร?


 


 


แต่ความรู้สึกเหล่านี้กลับทำได้แค่เพียงกดเอาไว้ส่วนลึกของใจ ไม่สามารถแสดงออกได้แม้แต่น้อย เขาจึงอึดอัดเป็นอย่างมาก


 


 


เขาย่อมไม่รู้ว่าตอนที่เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นิ้วมือก็กำเข้าหากันแน่นอย่างไม่รู้ตัว แม้แต่ลมหายใจก็กระชั้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


 


 


ถาวจวินหลันจับมือของหลี่เย่เอาไว้เบาๆ พูดว่า “หากลำบากใจ ก็พูดกับข้าเถิด เก็บเอาไว้เช่นนี้ อึดอัดแล้วจะทำอย่างไรเล่า?”


 


 


หลี่เย่ตะลึง ลืมตาอย่างตื่นตกใจ เห็นสายตาเป็นห่วงของถาวจวินหลันที่ทอดมองมา ในตอนนั้นก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ ยกริมฝีปากยิ้มและพูดว่า “แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น” วันนี้ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ ที่จริงแล้วก็เป็นการทำให้เขาดู หรือว่าจงใจจะทดสอบเขาอย่างนั้นหรือ?


 


 


“จะต้องผ่านไปได้เพคะ” ถาวจวินหลันเองก็หัวเราะเช่นกัน พูดออกมาอย่างจริงจัง “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะอยู่ข้างท่าน” พูดจบก็นั่งตัวตรงอีกครั้ง จับเอาศีรษะของหลี่เย่มาพิงไหล่ของตนเองเอาไว้ “ลำบากใจก็พิงมาเถิดเพคะ”


 


 


หลี่เย่ไม่ได้ขยับอีก แล้วยังหลับตาลงอีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกว่าค่อยๆ สงบลงอย่างแท้จริง


 


 


ถาวจวินหลันกลับลืมตาขึ้น มองดูลวดลายบนม่าน ในใจนั้นลอบถอนหายใจ แม้ว่าในตอนนั้นจะไม่เข้าใจ แต่พอครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืน นางก็เริ่มคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ในวันนี้บ้างแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ใกล้ชิดสนิทสนมกับกู้ซีต่อหน้าผู้คนมากมาย และยิ่งแสดงความโปรดปรานออกมา ไม่เพียงแค่ทดสอบหลี่เย่เท่านั้น ยิ่งเป็นการทดสอบกู้ซีอีกด้วย อย่างไรทั้งสองคนนี้ก็เกือบได้เป็นสามีภรรยากัน เกรงว่าฮ่องเต้คงคิดมากเรื่องนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจทดสอบท่าทีของทั้งสองคน ดีที่ทั้งสองคนนั้นไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติออกมา มิเช่นนั้นเกรงว่าใจของฮ่องเต้คงจะต้องสงสัยมากกว่านี้อย่างแน่นอน?


 


 


แต่ยิ่งคิดลึกลงไป นางก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบ ในใจของฮ่องเต้ถือว่าความสัมพันธ์พ่อลูกเป็นอย่างไรกัน?

 

 

 


บทที่ 515 ตั้งใจ

 

          ตระกูลหวังสร้างผลงานครั้งใหญ่สามารถเทียบได้กับแล้งนานพบฝนฉ่ำ กลับมามีชีวิตใหม่ในทันใด ทำให้บรรยากาศที่ค่อนข้างมืดครึ้มในตอนนี้เริ่มมีชีวิตชีวา 


 


 


           สิ่งแรกที่ตระกูลหวังทำคือทำให้ฮองเฮากลับเข้ามาในวังหลวง 


 


 


           ฮ่องเต้ย่อมไม่ยินยอม แต่จะไม่ตามใจตระกูลหวังก็ไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องกดความโกรธของตนลงไปเรียกให้ฮองเฮากลับมา 


 


 


           สำหรับเรื่องนี้นั้นหลี่เย่กลับไม่ได้ขัดขวาง เพียงแค่อมยิ้มไม่พูดจา “ให้พวกเขาได้หน้าเถิด” 


 


 


           ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ขึ้นไปสูงเวลาตกลงมาก็ยิ่งเจ็บหนัก ตระกูลหวังบีบบังคับคนเช่นนี้ ไม่เห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา เห็นได้ชัดว่าเป็นการรนหาที่ตาย 


 


 


           เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานฮ่องเต้ก็จัดการแย่งชิงสิทธิทางการทหารของนายทหารเหล่านั้นกลับมา จากนั้นก็จัดการแต่งตั้งให้อยู่ในเมืองหลวง แล้วแต่งตั้งคนใหม่ที่เพิ่งมีหน้ามีตาขึ้นมารับสิทธิทหารแทน 


 


 


           คนใหม่บางทีอาจจะไม่ได้เก่งกาจเรื่องการรบ แต่ได้เปรียบเรื่องจิตใจที่ซื่อสัตย์ จับไปไหนมาไหนได้ง่าย อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องออกรบ คนที่รบเป็นย่อมไม่จำเป็น 


 


 


           ซินพานถือโอกาสนี้ได้เพิ่มยศตำแหน่ง ถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นเดียวกัน 


 


 


           ฮองเฮากลับมา ถาวจวินหลันย่อมต้องเข้าวังหลวงไปทำความเคารพ ถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมไทเฮาและถาวซินหลันด้วย 


 


 


           ด้วยในงานสมโภชวันนั้น นางได้เปลี่ยนแปลงท่าทีที่มีแต่เดิมไปแล้ว ดังนั้นเข้าวังหลวงในครั้งนี้ ถาวจวินหลันจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พยายามแต่งตัวเรียบง่ายถ่อมตัวเหมือนแต่ก่อนอีก กระโปรงสีม่วงอ่อนปักลายม้า ชุดคลุมผ้าฝ้ายแขนกุดสีแดงกุหลาบลายผีเสื้อกลางดอกไม้ฝังทองคำขาว ด้านนอกเป็นชุดคลุมยาวห้าสีมันวาว 


 


 


           พอสวมผ้าคลุมหน้าและเครื่องประดับอื่นแล้ว ก็ดูสูงส่งสง่างามสดใสเป็นอย่างมาก 


 


 


           หงหลัวพิจารณาอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “รัศมีของนายหญิง แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่อาจเทียบได้นะเลยเพคะ” 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะทันที “พระชายาองค์รัชทายาทก็แค่ไม่ชอบแต่งกายเช่นนี้เท่านั้นเอง หากลองได้แต่ง ย่อมเหมือนกันอยู่แล้ว อีกอย่างพระชายาองค์รัชทายาทก็ยังไม่อาจแต่งกายเช่นนี้ได้” องค์รัชทายาททำให้ฮ่องเต้โกรธ ยามนี้จึงต้องเก็บตัว ในงานสมโภชก็ยึดเรื่องการถ่อมตัวเป็นหลัก 


 


 


ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ชุดประจำตำแหน่งของพระชายาองค์รัชทายาท และมงกุฎเฉพาะขององค์รัชทายาท นางก็เทียบไม่ได้แล้ว 


 


 


           “คำพูดนี้อย่าให้ใครได้ยินเชียว” ถาวจวินหลันพูดกำชับ จากนั้นก็อุ้มเตาผิงเล็กเอาไว้ในมือและเดินออกจากประตูไป 


 


 


ด้วยวันนี้หิมะหนาเดินทางไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นจึงนั่งเกี้ยวนิ่มไปตลอดทางจนถึงวังของฮองเฮา  


 


 


มองดูด้านนอกที่มีเกี้ยวหยุดวางเอาไว้ ถาวจวินหลันก็รู้ว่าตนเองมาสายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ร้อนใจ จัดทรงชุดกระโปรงอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงให้คนไปรายงาน 


 


 


           พอเข้าไปในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกถึงลมร้อนที่เข้ามาปะทะใบหน้า อากาศอุ่นๆ ตามมาด้วยกลิ่นของแป้งชาด พอตั้งใจมองไปก็เห็นว่าข้างในมีคนอยู่มากแล้ว โดยเฉพาะองค์หญิงสาม องค์หญิงสี่ พระชายาองค์รัชทายาท หวังเหลียงตี้ แล้วยังมีพระชายาจวงอ๋องและพระชายาอู่อ๋อง 


 


 


           ฮองเฮานั่งอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง แต่งกายมีสีสันกว่าก่อนหน้านี้อยู่เล็กน้อย และก็ต้องสง่างามสูงส่งแน่นอน เพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น ก็มีรัศมีให้ตื่นตะลึงแล้ว 


 


 


           ถาวจวินหลันทำความเคารพอย่างเรียบร้อย “หม่อมฉันทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงเพคะ” 


 


 


           ฮองเฮายิ้ม “ลุกขึ้นเถิด เป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมากมารยาทนัก นั่งลงเถิด” 


 


 


           ที่นั่งข้างฮองเฮามีคนนั่งแล้ว อีกทั้งถาวจวินหลันเองก็ไม่ยอมนั่งตรงหน้าฮองเฮาเช่นเดียวกัน ดังนั้นย่อมต้องเดินไปนั่งที่ไกลมากที่สุด 


 


 


           แต่คิดไม่ถึงว่าฮองเฮากลับยิ้มพูดว่า “อาหว่าน เจ้าให้ชายารองถาวไปนั่งตรงที่เจ้าเสียเถิด ส่วนเจ้ามานั่งข้างข้า” 


 


 


           หวังเหลียงตี้ยิ้มรับคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนเอง พลางนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายฮองเฮาอย่างออดอ้อน พูดว่า “เสด็จป้าเอ็นดูชายารองถาวเช่นนี้ ข้าจะน้อยใจแล้วนะเพคะ” 


 


 


           แท้จริงแล้วชื่อเล่นของหวังเหลียงตี้ก็ชื่อว่าอาหว่าน ก็ดูเหมาะสมกับชื่อนี้ยิ่งนัก ต้องพูดว่าแม้จะเป็นบุตรที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน แต่หวังเหลียงตี้กลับดูสวยกว่าพระชายาองค์รัชทายาทอยู่เล็กน้อย อีกทั้งหวังเหลียงตี้ในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่สวยที่สุดของหญิงสาว ดังนั้นยิ่งทำให้พระชายาองค์รัชทายาทเทียบไม่ได้ ในงานสมโภชครั้งที่แล้วถาวจวินหลันก็ได้รู้เรื่องนี้แล้ว 


 


 


           มิน่าเล่า พระชายาองค์รัชทายาทจึงไม่ยินยอมให้หวังเหลียงตี้เข้ามาในวังหลวง เพราะแบบนี้พระชายาองค์รัชทายาทถึงไม่ได้สนิทสนมกับหวังเหลียงตี้มากเกินไป 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณฮองเฮาและหวังเหลียงตี้ จากนั้นก็นั่งลงไปอย่างเรียบนิ่ง 


 


 


           ฮองเฮาบีบใบหน้าของหวังเหลียงตี้อย่างเอ็นดู จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ชายารองถาวเป็นยอดดวงใจของตวนชินอ๋อง หากข้าไม่ยุติธรรมกับนาง ตวนชินอ๋องจะไม่มาเอาเรื่องข้าหรืออย่างไร? อีกทั้งเจ้าก็มีฐานะต่ำสุดในนี้ เจ้าไม่ยกที่นั่งให้แล้วใครจะให้? หรือจะให้พี่สาวของเจ้ายกที่นั่งให้เล่า?” 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินคำพูดแฝงนัยของฮองเฮ่ที่ว่า ‘ฐานะต่ำสุด’ ก็อมยิ้มไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไร ใช่แล้ว ในที่นี้นางฐานะต่ำที่สุด เป็นแค่ชายารองชินอ๋องเท่านั้น สู้ไม่ได้แม้แต่หวังเหลียงตี้ แต่หวังเหลียงตี้ก็ต้องยกที่นั่งให้ไม่ใช่หรืออย่างไร? ฮองเฮาก็ไม่อาจไม่ยุติธรรมกับนาง นี่ไม่ได้มีความหมายแบบนี้เหมือนกันหรือ? 


 


 


           ภรรยาพึ่งพาสามี ยามนี้หลี่เย่ไม่ใช่แค่ท่านอ๋องที่ไร้ตัวตนอีกแล้ว นางเองก็ไม่ใช่ชายารองถาวที่ต้องยอมถอยให้ทุกอย่างอีกต่อไป 


 


 


           “พูดไปแล้ว เหนียงเหนียงเสด็จมาวังหลวงได้ถูกเวลานักเพคะ ดูแล้วว่าวันที่หนาวที่สุดใกล้จะมาถึงแล้ว เหนียงเหนียงสามารถดำเนินพิธีได้เลยเพคะ” ถาวจวินหลันพูดไปยิ้มไป พลางมองฮองเฮาอย่างจริงใจ “ได้ยินว่าไทเฮาดีขึ้นมากแล้วเพคะ ดูท่าทางการขอพรของเหนียงเหนียงคงจะได้ผลดีมากเพคะ เหนียงเหนียงมีใจกตัญญู คิดว่าพระพุทธองค์ต้องซาบซึ้งเป็นแน่เพคะ” 


 


 


           พูดถึงเรื่องออกนองวังไปขอพร ต่อให้ฮองเฮามีสมาธิมากเพียงใด แต่ก็หน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ นางต้องยอมรับเลยว่านี่เป็นความอัปยศที่สุดตั้งแต่ขึ้นเป็นฮองเฮา จะต้องรู้ว่าต่อให้ก่อนหน้านี้นางทำเรื่องเหล่านั้น ก็ยังไม่เคยถูกกระทำเช่นนี้มาก่อน! อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะคนตระกูลหวังเหิมเกริม ก็ไม่รู้ว่านางจะกลับมาได้หรือไม่! 


 


 


           ส่วนการดำเนินพิธีเข้าฤดูหนาวนั้น ฮองเฮาก็รู้ดีแก่ใจว่าได้มอบเรื่องนี้ให้อี้เฟย และซูเฟยจัดการแล้ว ไม่ใช่เรื่องของตนเองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าถาวจวินหลันจงใจพูดเยาะเย้ยนาง 


 


 


           ถาวจวินหลันนั้นตั้งใจทำจริงๆ แต่จากท่าทีดูจริงใจของนางแล้ว กลับมองไม่ออกแม้แต่น้อยว่านางจงใจ 


 


 


           “ได้ยินว่านางระบำสองคนที่อยู่ในวังขององค์รัชทายาทเป็นเจ้าและจวงผินขอให้ประทานให้องค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ?” ฮองเฮาเห็นถาวจวินหลันมีท่าทีเช่นนั้นก็รู้ว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดทันที 


 


 


           ถาวจวินหลันมองดูฮองเฮาที่ยกยิ้มขึ้นมา ก็รู้ว่าฮองเฮากำลังไล่ถามนางอยู่อย่างเห็นได้ชัด จึงยิ้มและตอบว่า “จวงผินเสนอเรื่องนี้เพคะ หม่อมฉันก็เพียงพูดตามน้ำไปเล็กน้อยเท่านั้น ทำไมหรือเพคะ ฮองเฮาเหนียงเหนียงเห็นว่าไม่เหมาะสมหรือ?” 


 


 


           “ย่อมต้องไม่เหมาะสม” ฮองเฮาเก็บรอยยิ้มไป ขมวดคิ้วตั้งท่าสั่งสอน “ยามนี้องค์รัชทายาทอยู่ในช่วงต้องเรียนรู้แล้ว จะให้มาเสียสมาธิเพราะเรื่องสตรีได้อย่างไร? จวงผินอายุน้อยไม่รู้เรื่อง หรือว่าเจ้าก็ไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน?” 


 


 


           ฮองเฮาวางท่าเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร นางเลิกคิ้วพลางส่งเสียงร้องตกใจ พร้อมทั้งพูดอย่างร้อนใจว่า “หม่อมฉันคิดว่าองค์รัชทายาทมีจิตใจมั่นคง จะต้องไม่ถูกเรื่องกามารมณ์ขัดขวางเป็นแน่ อีกทั้งหม่อมฉันยังคิดว่าสตรีเหล่านั้นแม้ว่าจะเต้นรำอย่างงดงาม แต่ก็ไม่ได้ถือว่าหน้าตาสวยงามนัก นอกจากเก็บเอาไว้เต้นระบำแล้ว องค์รัชทายาทก็คงไม่ได้ชอบ เป็นได้แค่ของเล่นเท่านั้น อีกทั้งฮ่องเต้เองก็เห็นด้วย หม่อมฉันก็ไม่คิดมากเช่นกันเพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาสะอึกไปทันที แต่เดิมนางยังคิดว่าหากถาวจวินหลันเถียงกลับมา นางย่อมต้องมีวิธีจัดการรออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะพูดแบบนี้ ก็ให้นางอึ้งจนพูดไม่ออกไปทันที 


 


 


           ฮองเฮาหรี่ตาลงพลางกวาดตามองถาวจวินหลัน แล้วก็รู้ความจริงบางอย่าง นางมองผิดไปแล้ว ไม่เพียงแค่มองผิดไปเท่านั้น อาจตาบอดไปด้วยซ้ำ นางคิดว่าถาวจวินหลันอยู่ในกำมือของนาง แต่กลับไม่ใช่อย่างที่นางคิดเลย ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้เลยว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่ถาวจวินหลันค่อยๆ กล้าพูดหาเรื่องนางเช่นนี้ 


 


 


           ไม่เพียงแค่มองถาวจวินหลันผิดไปเท่านั้น ตอนแรกก็มองหลี่เย่ผิดไปเช่นกัน หลี่เย่ที่เชื่อฟังและยอมถอย เป็นนางเองที่มองผิดไปตั้งแต่แรก! นางไม่ควรเก็บหลี่เย่เอาไว้จริงๆ! 


 


 


           แต่คราวนี้ในใจของฮองเฮาจะหงุดหงิดอย่างไรแต่ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องกลายเป็นแบบนี้แล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก 


 


 


           อีกทั้งฮองเฮาเองก็คิดว่าถาวจวินหลันโชคดี หลิวซื่อตายแล้ว แต่นางเองยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ โรคระบาดไม่ได้พรากชีวิตนางไป ไม่ใช่เพราะโชคดีแล้วจะเป็นอะไร? อีกทั้งหลิวซื่อตายไป จวนตวนชินอ๋องก็กลายเป็นสวรรค์ของนางแล้ว 


 


 


           เมื่อคิดเช่นนี้ฮองเฮาก็อดรู้สึกอิจฉาความโชคดีของถาวจวินหลันไม่ได้ คิดถึงตอนแรก เพื่อป้องกันตำแหน่งของตน เพื่อได้รับสิ่งที่อยากได้ นางต้องทุ่มเทความหมั่นเพียนและแผนการไปมากเพียงใด? 


 


 


           แต่ฮองเฮาก็ค่อยๆ แย้มยิ้ม โชคดีแล้วจะทำไม? โดดเด่นแล้วจะทำไม? ก็เป็นแค่หมอกเมฆที่ผ่านตาเท่านั้น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางยาวนานได้แน่ 


 


 


           พอฮองเฮาหยิกนิ้วจนเริ่มเจ็บก็ปล่อยออกไป หวังเหลียงตี้ก็เงยหน้ามองฮองเฮาทีหนึ่ง เห็นว่าใบหน้าของฮองเฮามีรอยยิ้ม แต่กลับใจสั่นสะท้านไม่ได้ แต่จากนั้นกลับแสดงท่าทีอ่อนน้อมเชื่อฟังอีกครั้ง 


 


 


           แน่นอนว่าถาวจวินหลันก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของฮองเฮา แต่นางกลับไม่ใส่ใจ ไม่ว่าอย่างไรฮองเฮาก็ทำอะไรไม่ได้ 


 


 


           ตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่ องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าก็เข้ามาพร้อมกัน 


 


 


           องค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้าทำความเคารพ และขออภัยที่ตนเองมาช้า ก่อนหาที่นั่งลง ด้วยไม่มีที่อื่นแล้ว นางย่อมต้องนั่งในตำแหน่งที่ห่างจากฮองเฮามาก แต่ดูแล้วทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ 


 


 


           ฮองเฮาไม่ได้แสดงท่าทีอะไร กลับเป็นองค์หญิงสามที่ยิ้มพลางเอ่ยปากพูดว่า “ทำไมน้องแปดกับน้องเก้ามาสายนักเล่า? มีเรื่องอะไรทำให้ล่าช้าอย่างนั้นหรือ? พวกเรารอพวกเจ้ามาสักพักหนึ่งแล้ว วันที่เสด็จแม่ใหญ่กลับวังหลวง พวกเจ้าก็ควรมาเร็วเสียหน่อย” 


 


 


           คำพูดขององค์หญิงสาม ไม่ว่าฟังอย่างไรก็เป็นความผิดขององค์หญิงแปดและองค์หญิงเก้า แต่องค์หญิงแปดกลับไม่สนใจ ยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่บ้านข้าตั้งครรภ์ เพราะอาการครรภ์ไม่ค่อยมั่นคงนัก ข้าจึงคอยเฝ้าดูแลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้มาสาย” ความจริงแล้วก็ไม่ถือว่าสาย ถือว่าเข้าวังหลวงมาในชั่วยามปกติ แต่คนอื่นแค่มาเร็วเท่านั้นเอง 


 


 


           ส่วนองค์หญิงเก้ากลับดูอารมณ์ไม่ดีนัก เพียงแค่พูดเนิบๆ ว่า “เจออันธพาลระหว่างทาง ขวางทางรถม้าถึงได้ล่าช้า” 


 


 


           ได้ยินว่าองค์หญิงเก้าเจออันธพาลขวางรถม้า ถาวจวินหลันก็เงยหน้ามององค์หญิงเก้าอย่างเป็นกังวล พร้อมพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ทำไมถึงได้เจออันธพาลเล่า? ขวางทางรถม้าด้วยหรือ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

 


บทที่ 516 มอบใจ

 

    องค์หญิงเก้าส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเพคะ เพียงแค่ต้องการเงินเล็กน้อยเท่านั้น ให้เงินไปก็จัดการได้แล้วเพคะ” 


 


 


           ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้ถามอะไรอีก แน่นอนว่า คนอื่นอาจจะไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย 


 


 


           “ใช่แล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้ตวนชินอ๋องเข้าไปช่วยฮ่องเต้จัดการเรื่องในราชสำนักอย่างนั้นหรือ?” จู่ๆ ฮองเฮาก็หัวเราะถาม มองไปยังถาวจวินหลันแล้วพูดว่า “ช่างขยันยิ่งนัก แต่เจ้าก็ควรเตือนเขา อย่าปล่อยให้ตนเองเหนื่อยจนเกินไป ร่างกายของเขาไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก ไม่อาจปล่อยให้เหนื่อยได้” 


 


 


           ถาวจวินหลันไม่สนใจท่าทีแม่ผู้มีเมตตาของฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย พยักหน้าน้อยๆ และพูดว่า “ท่านอ๋องไม่เคยพูดเรื่องในราชสำนักกับหม่อมฉันมาก่อนเพคะ ส่วนร่างกายก็ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ข้าให้ห้องครัวปรุงอาหารบำรุงเอาไว้ทุกวัน เพื่อช่วยบำรุงรักษาร่างกายท่านอ๋องเพคะ” คำพูดนี้ย่อมต้องบอกฮองเฮาว่าไม่ต้องให้ฮองเฮามายุ่งวุ่นวายมากไป 


 


 


           ฮองเฮาก็หัวเราะ ทว่ากลับรู้สึกไม่พอใจ 


 


 


           “พูดไปแล้ว พระชายาตวนชินอ๋องก็จากไปสักพักแล้ว ตามหลักเกณฑ์ควรที่ต้องเลือกพระชายาใหม่โดยเร็ว ข้าต้องคิดพิจารณาให้ดีแล้ว เรื่องนี้ข้าจะช่วยจัดการให้เอง คราวนี้จะต้องเลือกคนเก่งและเป็นที่โปรดปรานของตวนชินอ๋อง ไม่อาจย่ำทางเก่าเหมือนหลิวซื่ออีก” ฮองเฮานวดระหว่างคิ้วเมื่อนึกถึงเรื่องไม่พอใจก่อนหน้านี้ และเหมือนกลัดกลุ้มใจว่าจะเลือกพระชายาคนใหม่อย่างไรให้หลี่เย่ดี 


 


 


           ถาวจวินหลันทำเป็นไม่ได้ยิน ไทเฮาพูดเช่นนี้ นางอาจจะยังระแวงอยู่บ้าง แต่ฮองเฮาพูดเช่นนี้นางกลับไม่ได้เอามาใส่ใจเลยสักนิด พูดง่ายๆ ก็คือตอนนี้ฮองเฮามีสิทธิ์ทำเช่นนี้หรือ? หลี่เย่ไม่ใช่องค์ชายในกำมือของนางแล้ว และไทเฮาก็ไม่มีทางยอมให้ฮองเฮาสอดมือเข้ามายุ่ง แม้แต่ฮ่องเต้ก็คงไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน 


 


 


           พระชายาองค์รัชทายาทยิ้มและรับคำต่อ “เสด็จแม่ลองปรึกษาเรื่องนี้กับไทเฮาได้เพคะ ไทเฮาเองก็คิดกังวลเรื่องนี้อยู่เช่นกัน” 


 


 


           ฮองเฮายิ้มเหลือบมองพระชายาองค์รัชทายาทวูบหนึ่ง พยักหน้าพูดว่า “เป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าไทเฮาคงจะคิดอยู่นานแล้ว วันหลังข้าจะไปลองถามดู และจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด” 


 


 


           ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เหมือนกับเรื่องนี้ได้ตกลงตามนั้นแล้วอย่างนั้น แต่ถาวจวินหลันยังคงยิ้มไม่สนใจ “ไทเฮาพูดเรื่องนี้มานานแล้วเพคะ และมีตัวเลือกแล้ว พระชายาก็เพิ่งจากไปได้ไม่นาน ท่านอ๋องจึงไม่อยากจัดการเรื่องนี้ หากฮองเฮาเหนียงเหนียงอยากจะจัดการเรื่องนี้ ไม่สู้รออีกสักพักหนึ่ง ให้ท่านอ๋องยินยอมเองดีกว่าเพคะ” 


 


 


           สิ้นเสียง ทุกคนต่างก็พากันมองถาวจวินหลันอย่างอดไม่ได้ แม้แต่องค์หญิงเก้าก็เช่นกัน ทุกคนล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ ไม่มีใครคิดว่าถาวจวินหลันจะพูดเช่นนี้ 


 


 


           มีเพียงองค์หญิงแปดเท่านั้นที่ตกใจเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ตอนนี้ที่หลี่เย่ค่อยๆ แสดงความสามารถที่แท้จริงของตนเองแล้ว เกรงว่าแม้แต่ไทเฮาก็ไม่อาจบงการหลี่เย่ได้ง่ายดายอีกแล้ว นอกจากหลี่เย่จะยินยอม มิเช่นนั้นเรื่องรับพระชายาคนใหม่คงจะไม่สำเร็จ แม้ว่าไทเฮาและฮองเฮาจะเลือกได้แล้วก็ตาม จบเรื่องนี้ หลี่เย่ต้องโวยวายอย่างแน่นอน 


 


 


           ครั้นฮองเฮาได้สติกลับมาก็หัวเราะเบาๆ “ดูซี ชายารองถาวใจกว้างยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นต้นแบบของสตรีเปี่ยมคุณธรรม พวกเจ้าควรจะเรียนรู้เอาไว้บ้าง” 


 


 


           ถาวจวินหลันถ่อมตนเอียงอาย “พูดถึงเรื่องนี้ หม่อมฉันจะสู้เหนียงเหนียงได้อย่างไรเล่าเพคะ? เหนียงเหนียงดูแลหกวัง ทำให้ทั้งวังหลังสมดุล นี่ถึงจะเป็นต้นแบบความใจกว้างอย่างแท้จริงเพคะ” 


 


 


           สิ่งที่นางคิดมาก แล้วฮองเฮาไม่คิดมากอย่างนั้นหรือ? นางลำบากใจ หรือว่าฮองเฮาจะไม่ลำบากใจกับเรื่องเหล่านี้หรืออย่างไร? นี่เรียกหนามยอกเอาหนามบ่ง 


 


 


           ฮองเฮาพลันเงียบเสียงหัวเราะ สายตาก็เฉียบคมดุดัน ฮองเฮาจะไม่รู้ว่านางเย้ยหยันได้อย่างไร? คนที่อยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นคนโง่ ย่อมต้องเข้าใจอยู่แล้ว 


 


 


           ฉับพลันทุกคนก็คิดว่าถาวจวินหลันยโสโอหังเป็นที่ยิ่ง เสียมารยาทกับฮองเฮาได้ง่ายหรืออย่างไร? แม้ว่าฮองเอาจะไม่เหมือนแต่ก่อน แต่อย่างไรก็เป็นฮองเฮา 


 


 


           ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของถาวจวินหลันแยบยล จนคนอื่นหาเรื่องไม่ได้ ตอนนี้ฮองเฮาคงจะหาเหตุผลมาโวยวายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องจนปัญญาทำอะไรไม่ได้ 


 


 


           นั่งอยู่ครู่หนึ่ง องค์หญิงแปดก็พูดขอทูลลา “ลูกได้ยินมาว่าท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยดีนัก เป็นกังวลจึงคิดจะไปเยี่ยมเสียหน่อยเพคะ ขอให้เสด็จแม่ใหญ่อภัยลูกด้วย โปรดให้ลูกขอตัวออกไปก่อนเพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาย่อมไม่รั้งเอาไว้ ยิ้มพลางรับคำ 


 


 


           แลเวองค์หญิงเก้าก็ฉวยโอกาสพูดอีก “นานแล้วที่ไม่ได้เข้าวังหลวง ไม่รู้ว่าไทเฮาเป็นเช่นไรบ้าง ลูกอยากไปทำความเคารพที่วังหย่งโซ่ว ขอให้เสด็จแม่ใหญ่อภัยให้ด้วยเพคะ โปรดให้ลูกขอตัวออกไปก่อนเพคะ” 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นทำความเคารพ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หม่อมฉันก็ขอไปพร้อมกับองค์หญิงเก้า วันหลังจะเข้าวังมาทำความเคารพฮองเฮาเหนียงเหนียงอีกครั้งเพคะ” 


 


 


           ฮองเฮาเม้มปาก ยิ้มพลางรับคำ เยี่ยมไทเฮา ไม่ว่าอย่างไรนางก็ขวางไม่ได้ ต่อให้ไม่พอใจท่าทีของถาวจวินหลันเพียงใด ก็ทำได้แค่ปล่อยไป 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกับองค์หญิงเก้า พอออกไปจากห้อง นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ไหว บรรยากาศด้านนอกได้ความเย็นจากหิมะ ทำให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ แน่นอนว่าต้องหนาว แต่กลับหัวโล่ง และสงบนิ่งมากกว่าเดิม 


 


 


           ทั้งสองคนเดินเคียงกัน ไม่มีใครขึ้นเกี้ยวอ่อนทั้งนั้น ทิวทัศน์หิมะภายในวังหลวงสวยงามน่ามองเป็นที่ยิ่ง โดยเฉพาะข้างทางยังมีช่างฝีมือที่สลักหิมะเป็นรูปต่างๆ ดูแล้วน่าสนใจยิ่ง 


 


 


           “ซวนเอ๋อร์ไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ มิเช่นนั้นคงก้าวขาไม่ออกแล้วเป็นแน่” ถาวจวินหลันยิ้มพูด หันหน้าไปคุยกับองค์หญิงเก้า “ก่อนหน้านี้สองวันไปปั้นมนุษย์หิมะกับบรรดาบ่าวรับใช้ มือเย็นจนแดงไปหมดก็ยังไม่ยอมกลับเข้าห้อง เกือบจะทำให้ท่านอ๋องต้องคว้าไม้เรียวมาเสียแล้ว ถึงได้ยอมหยุด” 


 


 


           องค์หญิงเก้าตกใจ “ซวนเอ๋อร์เพิ่งจะตัวเท่านั้น พี่รองกล้าตีเขาอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บหรืออย่างไร?” 


 


 


           “จะตีจริงได้อย่างไร เพียงขู่เท่านั้นเอง” ตอนที่ถาวจวินหลันพูดถึงซวนเอ๋อร์ นางย่อมไม่ได้สังเกตว่าเสียงและหว่างคิ้วของนางดูอ่อนโยนมากขึ้น อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ซวนเอ๋อร์เจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก รู้ว่าควรจะดื้อตอนไหนแล้วไม่มีใครจัดการได้ รู้ว่าเมื่อไรควรจะทำตัวเรียบร้อย ไม้เรียวนั้นไม่เคยตกลงบนตัวเขาแม้แต่ครั้งเดียว” 


 


 


           องค์หญิงเก้าได้ยินก็หัวเราะ “ซวนเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ นี่เป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ” พูดแล้วในใจก็อิจฉาปนเศร้า เมื่อไรนางจะมีลูกของตนเอง? คืนดีกับถาวจิ้งผิงมานานขนาดนี้แล้ว หรือว่าตอนนี้ในท้องของตนมีความเคลื่อนไหวแล้ว? 


 


 


           เมื่อคิดเช่นนี้องค์หญิงเก้าก็แอบเอามือไปแนบไว้ที่ท้องของตนเอง ดีที่มีผ้าคลุมบังเอาไว้ คนอื่นมองไม่เห็น มิเช่นนั้นแล้วนางคงไม่กล้า 


 


 


           “วันนี้ทำไมถึงได้เจออันธพาลขวางทางเล่า? เมืองหลวงสงบสุข ทำไมถึงได้เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้” ถาวจวินหลันยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่ จึงถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง 


 


 


           องค์หญิงเก้าถอนหายใจ “เรื่องนี้อีกครู่หนึ่งออกจากวังหลวงไปข้าค่อยพูดให้ท่านฟังเจ้าค่ะ ภายในวังมีคนมากนัก ไม่สะดวกพูดเท่าไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ถ้าไม่ดีเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเจ้าค่ะ” 


 


 


           ได้ยินองค์หญิงเก้าพูดเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ใจหล่น ฟังคำองค์หญิงเก้าไม่ได้ถามอะไรอีก 


 


 


           “วันนี้ท่านหาเรื่องฮองเฮาเช่นนั้น เกรงว่าต่อจากนี้ความสัมพันธ์คงจะแตกร้าวแล้ว” องค์หญิงเก้าถามอย่างแปลกใจ 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ พลางเลิกคิ้ว “ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ดีตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือ? อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ต้องอ่อนน้อม และยอมถอยให้อีกแล้ว ข้าจะให้เห็นว่าจวนตวนชินอ๋องอ่อนแอไม่ได้” 


 


 


           องค์หญิงเก้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าเห็นด้วย แต่หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ “ไทเฮาจะต้องไม่ชอบให้ท่านทำอย่างนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าไทเฮา…”          


 


 


           “ไทเฮาไม่ชอบข้าอยู่แล้ว เจ้าเองก็รู้” ถาวจวินหลันถอนหายใจ แค่นหัวเราะพลางพูดกับองค์หญิงเก้าว่า “อีกอย่างยามนี้ไฉนเลยยังจะสนใจได้อีก? ไม่ชอบก็ไม่ชอบ ขอเพียงตนเองไม่ได้ทำเรื่องน่าละอาย ก็ไม่เห็นต้องสนใจสิ่งอื่น” 


 


 


           “แต่ไทเฮาช่วยให้ท่านเป็นชายาเอกตวนอ๋องไม่ได้” องค์หญิงเก้าพูดเสียงเบา แฝงไว้ด้วยความสงสัย “ท่านไม่คิดมากจริงหรือ? ​หรือว่าไม่กลัว? คิดว่าพี่รองปกป้องท่านได้ตลอดหรือ?” 


 


 


           ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่มีชายาเอกตวนอ๋องอีกแล้ว อีกทั้งข้าเองก็ไม่สนใจตำแหน่งนั้น สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมด ก็เพียงอยากได้คุณสมบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น” ถ้าจะต้องสนใจ ก็ควรต้องสนใจตำแหน่งสูงสุดต่างหาก ไม่ใช่แค่ชายาเอกตวนอ๋อง 


 


 


           องค์หญิงเก้ายังคงไม่เข้าใจว่าถาวจวินหลันไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน 


 


 


           “ไม่มีใครเหมาะที่จะนั่งตำแหน่งนี้” ถาวจวินหลันเห็นองค์หญิงเก้าไม่เข้าใจ จึงอธิบายให้ละเอียด “หากฐานะต่ำเกินไป ไทเฮาย่อมไม่ยอมให้เข้ามา แล้วก็กลัวว่ากดหัวข้าไว้ไม่ได้ แต่ถ้าฐานะสูงเกินไป ก็ยิ่งไม่ยินยอมเข้าไปอีก อย่างไรท่านอ๋องก็มีลูกชายคนโตแล้ว ทั้งยังโปรดปรานเอ็นดูข้าที่เป็นชายารองถึงขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ แค่บรรดาตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง และตระกูลเก่าแก่เหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่กล้าเสี่ยงเช่นนี้? แม้แต่ท่านอ๋องเองก็จะต้องคำนึงว่าฝ่ายตรงข้ามยินยอมพร้อมใจยืนข้างเขาจริงหรือไม่”    


 


 


           เมื่อสรุปทุกอย่างรวมกัน จะคิดหาคนที่เหมาะสมก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ 


 


 


           ดังนั้นช่วงนี้ย่อมไม่มีใคเหมาะมานั่งตำแหน่งพระชายาตวนอ๋อง ต่อให้มีตัวเลือกแล้ว ก็ต้องรออีกปีหนึ่งถึงจะได้ แต่ถึงตอนนั้นสถานการณ์จะเป็นเช่นไร มีใครรู้บ้างเล่า? 


 


 


           “จิ้งผิงขยันมาก” องค์หญิงเก้าถอนหายใจ “เพื่อเป็นเกราะกำบังให้ท่าน เพื่อช่วยสนับสนุนท่าน” 


 


 


           ถาวจวินหลันตะลึงไป มององค์หญิงเก้าอย่างจริงจัง “ข้ารู้แล้ว แต่แม้ว่าจะไม่เพื่อข้า เขาก็ควรขยัน เขาเป็นความหวังของตระกูลถาว มีภาระบนบ่าตั้งมาก เขาจึงต้องตั้งใจให้มาก” 


 


 


           หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็แย้มยิ้ม พูดเสียงอ่อนว่า “แน่นอนว่าจิ้งผิงเป็นน้องชายที่ดี ที่จริงแล้วเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมาก หากเจ้าปฏิบัติกับเขาดี เขาจะต้องคืนให้เจ้าเป็นสิบเท่าแน่นอน ข้าเป็นพี่สาว ก็ทำได้แค่หวังให้พวกเจ้าสามีภรรยารักใคร่สามัคคีกัน มีบางครั้งที่เขาคิดเยอะไป เจ้าก็อย่าโกรธเขาเลย ขอแค่มาบอกข้า ข้าจะไปสั่งสอนเขาเอง” 


 


 


           องค์หญิงเก้าก้มหัวหลุบตาลง เพราะเขินอายกับสายตาของถาวจวินหลัน แต่ที่มากไปกว่านั้นคือร้อนรนอยากหนีไป แม้แต่เสียงที่ตอบรับก็เบามาก “เจ้าค่ะ” 


 


 


           พูดคุยกันไปตลอดทาง ทั้งสองคนจึงไม่รู้สึกหนาว ครั้นเข้าไปถึงในวังหย่งโซ่วอันอบอุ่น ถาวจวินหลันก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเองถูกลมพัดจนชาไปหมด เมื่อเจอทั้งอากาศเย็นและร้อนก็ให้รู้สึกปวดแสบ ฉับพลันก็มององค์หญิงเก้าอย่างเสียใจ รู้สึกว่าตนเองเลอะเลือนจนลากองค์หญิงเก้ามาลำบากไปด้วยแล้ว 


 


 


           องค์หญิงเก้ากลับไม่รับรู้ เพียงแค่เดินไปเบื้องหน้าไทเฮา ยิ้มพลางทำความเคารพ 

 

 

 


บทที่ 517 ทุ่มออกไป

 

       อาการของไทเฮาดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังไม่มีความรู้สึก ย่อมขยับไม่ได้ แต่เมื่อเทียบตอนแรกที่เพิ่งเส้นเลือดสมองแตก อาการตอนนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างไรหมอคนนั้นก็บอกแล้วว่ายากให้หายขาด ไม่เพียงแค่ต้องใช้เวลา มากไปกว่านั้นคือรักษายาก 


 


 


           ยังดีที่ไทเฮาไม่ใช่คนคิดมาก แม้ว่าจะติดใจอยู่บ้าง แต่ก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรรักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว 


 


 


           ถาวจวินหลันยิ้มพลางทำความเคารพ จากนั้นก็นั่งลงบนหน้าเตียงกับองค์หญิงเก้าเพื่อพูดคุยกับไทเฮา 


 


 


           “ฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง?” ไทเฮารู้ว่าพวกนางเพิ่งออกมาจากวังของฮองเฮา เรื่องแรกที่ถามจึงเป็นเรื่องนี้ 


 


 


           ถาวจวินหลันบีบนวดขาของไทเฮาไปเรื่อยๆ หัวเราะพลางพูดว่า “ดูดีทีเดียวเพคะ อย่างไรก็ไปนอกวังหลวง ไฉนเลยจะเทียบกับภายในวังหลวงได้? สีหน้าท่าทางก็เทียบไม่ได้กับเมื่อก่อน อีกทั้งดูเป็นมิตรกับผู้อื่นทีเดียวเพคะ” 


 


 


           ก่อนหน้านี้ฮองเฮาวางตัวสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้กลับสงบเสงี่ยมไปมาก แต่ก็ให้คนยิ่งหวาดระแวงมากกว่าเดิม 


 


 


           คนอื่นพากันพูดกันว่าคนที่ภายนอกดูยิ้มแย้มกลับน่ากลัวกว่านัก ฮองเฮาก็เป็นเช่นนั้น ตอนที่หัวเราะก็เย็นชาตลอด ดวงตาเฉียบคม แฝงความโหดเ**้ยมเอาไว้ 


 


 


           ไทเฮาเลิกคิ้ว พูดแฝงนัยว่า “เป็นมิตรอย่างนั้นหรือ?” แต่กลับแฝงความเยาะเย้ยเอาไว้ชัดเจน ไทเฮาไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะเป็นมิตรจริง 


 


 


           “จะไม่เป็นมิตรได้อย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันเม้มปากยิ้ม “ยังให้หวังเหลียงตี้ยกที่นั่งให้หม่อมฉันด้วยนะเพคะ แล้วยังถามถึงสุขภาพของท่านอ๋องอีก ให้หม่อมฉันไปกล่อมท่านอ๋องว่าอย่าโหมงานหนักเกินไป แล้วยังพูดเรื่องเตรียมหาพระชายาคนใหม่ให้ท่านอ๋อง ดูท่าทางเป็นมารดาเปี่ยมเมตตายิ่งนักเพคะ” 


 


 


           องค์หญิงเก้าหลุดหัวเราะเบาๆ “เป็นกังวลเรื่องพี่รองเสียจริงเพคะ” 


 


 


           ถาวซินหลันนั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดงึมงำเสียงเบา “อีเห็นสวัสดีปีใหม่กับไก่ ไม่หวังดี*” 


 


 


           ถาวจวินหลันถลึงตามองถาวซินหลันทีหนึ่ง ไทเฮากลับหัวเราะลั่น “พูดได้ดี จะไม่ใช่อีเห็นสวัสดีปีใหม่กับไก่ ไม่หวังดีได้อย่างไร? นางยังคิดจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องเลือกพระชายาตวนอ๋องอีก? ฝันอยู่หรืออย่างไร” 


 


 


           “หม่อมฉันรู้ดีแก่ใจเพคะ จึงแค่ยิ้มและบอกว่าให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงมาปรึกษาเรื่องนี้กับไทเฮาเพคะ” ถาวจวินหลันบอกเรื่องนั้นกับไทเฮา แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีเพียงไทเฮาที่รับมือได้แล้วเพคะ” 


 


 


           ไทเฮาหัวเราะพลางส่ายหน้า แล้วพูดตำหนิ “เจ้าหาเรื่องให้ข้าเก่งนัก” แต่ก็ไม่พูดว่าสุดท้ายแล้วจะวางแผนหาชายาเอกให้หลี่เย่หรือไม่ และถูกใจใครอีกหรือไม่ 


 


 


           ถาวจวินหลันหลอกถาม แต่กลับไม่ได้คำตอบ ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เพียงหัวเราะแล้วเลิกคิดเรื่องนี้ 


 


 


           จากนั้นก็พูดเรื่องอื่นแทน ไทเฮาถอนหายใจ “ฐานะของจวงผินควรต้องเลื่อนขึ้นได้แล้ว แต่ยังอยู่ในตำแหน่งจวงผินหมายความว่าอะไรกัน?” 


 


 


           ถาวจวินหลันหลุบตาลงไม่รับคำ ตอนนี้ตำแหน่งเฟยที่มี มีใครบ้างไม่มีลูกชาย ต่อให้อิงผินให้กำเนิดองค์หญิงแปด แต่ก็ยังเป็นได้แค่ผินเท่านั้น ทว่ากู้ซีเพิ่งเข้าวังหลวงมานานเท่าใดกัน? ไม่ได้ตั้งครรภ์ไม่ได้ทำผลงาน เกรงว่าคงเลื่อนขั้นไม่ง่าย อีกทั้งไม่สมเหตุสมผล 


 


 


           “ไทเฮาอย่าร้อนใจไปเลยเพคะ” องค์หญิงเก้าพูดเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เวลายังสั้นนัก ไม่อาจรีบได้เพคะ” 


 


 


           “จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร?” ไทเฮาหลุบตามองขาของตนเองวูบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเยาะ “ข้ามีดินมากองอยู่ครึ่งคอแล้ว ถ้าไม่วางแผนให้คนรุ่นหลัง แล้วต่อจากนี้พวกเขาจะทำเช่นไร?” 


 


 


           “เป็นสายเลือดตระกูลกู้เหมือนกันทั้งนั้น แม้ว่ากระดูกหักก็ยังมีสายเลือดที่เชื่อมโยงอยู่เพคะ ท่านอ๋องไม่มีทางนิ่งเฉยเป็นแน่เพคะ” ถาวจวินหลันพูดเด็ดขาด เพื่อปลอบประโลมไทเฮา แต่ความจริงแล้ว ขอเพียงต่อจากนี้ไปหลี่เย่ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางละเลยกู้ซีเป็นแน่ แน่นอนว่าจะให้แต่งงานอีกครั้งย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับ เกียรติยศศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทางขาดอย่างแน่นอน 


 


 


           ไทเฮาถอนหายใจเสียงเบา ไม่ได้พูดอะไรอีก 


 


 


           ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าส่งสายตาให้กัน จากนั้นทั้งสามคนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เลือกเรื่องที่สบายๆ น่าสนใจมาพูดคุยกันกว่าค่อนวัน 


 


 


           พอถึงเวลา ถาวจวินหลันและองค์หญิงเก้าก็ทูลลา ทั้งสองคนขมวดคิ้วแน่นโดยไม่ได้นัดหมาย พอได้ยินคำพูดของไทเฮาก็รู้สึกลำบากใจและเป็นกังวลยิ่งนัก 


 


 


           ครั้นออกมาจากวังหลวงแล้ว ถาวจวินหลันก็ขึ้นรถม้าขององค์หญิงเก้า ทั้งสองจึงพูดคุยกันได้ อย่างไรก็ทางเดียวกัน ดังนั้นรถม้าของถาวจวินหลันจึงตามมาข้างหลัง 


 


 


           “เกิดอะไรขึ้น?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้าเสียงเบา “ทำไมถึงบังเอิญพบกับอันธพาลเล่า?” 


 


 


           “ไม่ใช่อันธพาลเจ้าค่ะ เป็นผู้ลี้ภัย หนีมารายงานเจ้าค่ะ บอกว่าราชสำนักไม่ให้เงินบรรเทาภัยพิบัติและอาหาร บ้านที่สร้างให้ก็เป็นเพิงหญ้า ใช้เสื่อขาดๆ มาเป็นกำแพงกันลมเท่านั้น ไม่สามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้แน่เจ้าค่ะ” ตอนที่องค์หญิงเก้าพูดก็มีสีหน้าย่ำแย่ “คนผู้นั้นเคยเป็นพ่อค้ามาก่อน ยังดีที่พอมีเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้บ้าง บอกว่ามาขอความช่วยเหลือจากญาติ ถึงได้เดินทางมาตลอด และถูกส่งเข้ามาด้านในเอง ถ้าท่าทางซอมซ่อคงโดนขวางไว้กลางทางแล้ว ไม่รู้ว่ามีคนเหมือนเขามากมายเท่าไรที่ถูกขวางทางจนตายก่อนมาถึงเมืองหลวง” 


 


 


           “ที่ขวางทางรถม้าของข้าก็เป็นเรื่องบังเอิญเจ้าค่ะ ที่อยู่ของบ้านตระกูลถาวค่อนข้างนอกเมืองเล็กน้อย ไม่ได้ติดถนนใหญ่ เขาเห็นว่ารถม้าของข้าสวยงาม และเห็นว่าคนที่ตามมาเป็นสตรีทั้งหมด ดังนั้นถึงได้พุ่งเข้ามาเสี่ยงอันตราย คิดว่าผู้หญิงคงจะใจอ่อน บางทีอาจยอมช่วยเหลือเขา” องค์หญิงเก้าพูดต่อไป คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างไม่รู้ตัว คิ้วงามทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน “ถ้าไม่ใช่เพราะบังเอิญพบข้า เกรงว่าเขาคงจะเคาะกลองแจ้งข่าวไปแล้ว” 


 


 


           ที่จริงแล้วกลองที่แขวนอยู่นอกประตูศาลาว่าการล้วนเรียกว่ากลองแจ้งข่าว แต่กลองแจ้งข่าวที่พูดกันในตอนนี้ทุกคนต่างรู้กันดีว่าเป็นกลองใหญ่ที่ตั้งอยู่ด้านนอกวังหลวง ไม้ตีกลองนั้นใหญ่และหนักเป็นที่ยิ่ง คนแรงน้อยหน่อยเกรงว่าคงตีให้ดังไม่ได้ 


 


 


           แน่นอนว่า กลองแจ้งข่าวนี้จะต้องมีประโยชน์ นั่นก็คือเมื่อเสียงกลองนี้ดังขึ้น ฮ่องเต้ก็จะเป็นคนจัดการคดีนี้ด้วยตนเอง แต่ปกติแล้วหากไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเป็นคดีอะไร ก็จะไม่มีใครไปตีกลองนั้น 


 


 


           ถาวจวินหลันอาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปตีกลองแจ้งข่าวมาก่อน พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นแล้ว ก็คิดว่าจะต้องมีผลที่น่าตกใจแน่นอน ขณะเดียวกันก็อดถอนหายใจไม่ได้ออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะถูกบีบจนติดอยู่ในทางตันจริง เกรงว่าคนนั้นคงจะไม่คิดเรื่องไปตีกลองแจ้งข่าวแน่นอน 


 


 


           คนปกติคิดถึงวังหลวงก็จะคิดถึงฮ่องเต้ ไม่ว่าใครย่อมหวาดหวั่นขลาดกลัว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องตีกลองแจ้งข่าวทูลเรื่องเลย 


 


 


           “เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ให้คนผู้นั้นแล้วหรือยัง?” ถาวจวินหลันถามองค์หญิงเก้า “ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นรู้ได้ มิเช่นนั้นกลองนี้คงตีไม่ดังเสียแล้ว” ในเมื่อเหิมเกริมกล้าปิดถนนขวางรถเอาไว้ อย่างนั้นภายในเมืองหลวงก็จะต้องมีเส้นสายสอดส่องบ้างเป็นแน่ 


 


 


           องค์หญิงเก้าพยักหน้า “ข้ารู้ว่าอันตรายเจ้าค่ะ จึงไม่กล้าล่าช้า จัดการให้คนรู้พากลับไปยังบ้านของข้าหลังหนึ่งที่มิดชิดเพื่อซ่อนตัวเอาไว้ คิดว่าตกดึกจะคุยเรื่องนี้กับจิ้งผิงหรือว่าพี่รอง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เกินไป ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเช่นข้า ย่อมไม่อาจตัดสินใจได้เจ้าค่ะ” 


 


 


           “อืม ก็ดี” ถาวจวินหลันพยักหน้า คิดไปคิดมาก็พูดว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ให้คนแอบเอาเข้ามาในจวนอ๋องตอนดึกๆ พวกเจ้าก็มาด้วย ถึงเวลานั้นพวกเราจะได้คุยเรื่องนี้ให้ละเอียด และปรึกษาว่าควรทำเช่นไรต่อไป พอดีกับที่บ้านพักส่งกวางสดใหม่มาให้ ข้าให้คนเลือกเอาเอ็นกวางไปเคี่ยวเอาไว้ ตกดึกจะได้ทานกัน” 


 


 


           ตอนที่กำลังพูดอยู่ก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังสนั่นมาจากด้านนอก แล้วก็ได้ยินคนตะโกนว่า “มีโจรสังหาร! จับโจรลอบสังหาร!” 


 


 


           ถาวจวินหลันตะลึงไป จากที่ฟัง คนที่ตะโกนเป็นคนบังคับรถม้าของตนเอง จึงรีบดึงองค์หญิงเก้าให้ก้มตัวลงมาจากที่นั่งทันีท แทบจะนอนแนบสนิทไปกับพื้น ถึงได้รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย 


 


 


           จะต้องรู้ว่ารถม้ามีหน้าต่างทั้งซ้ายขวา ไม่ว่าจะเป็นดาบ กระบี่หรือว่าอะไรก็ตาม แผ่นไม้บางๆ นั้นไม่สามารถขวางเอาไว้ได้ ต่อให้เป็นธนู หรือลูกดอกก็ทะลุเข้ามาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน 


 


 


           หากนั่งอยู่บนที่นั่งต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน ดังนั้นแนบตัวติดพื้นอยู่กลางรถม้า จึงถือว่าปลอดภัยมากที่สุด อย่างน้อยก็อยู่ไกลจากหน้าต่าง ไม่ให้โจรลอบสังหารเห็นพวกนาง 


 


 


           องค์หญิงเก้ายังไม่ได้สติก็คิดว่าคางของตนเองกระแทกเข้ากับพื้นรถอย่างแรง กัดลิ้นจนได้แผล และเกิดรู้สึกถึงความเจ็บทันที 


 


 


           ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ไม่รู้ว่ากำไลหยกบนข้อมือไปกระแทกกับอะไรจนแตกร้าว ไม่เพียงบาดเข้าไปในแขนแล้วเท่านั้น กระทั่งเศษเล็กๆ ก็ฝังเข้าไปในเนื้ออีกด้วย 


 


 


           แต่ตอนนี้นางกลับไม่รู้สึกแล้ว ความจริงตอนนี้นางกำลังตั้งสมาธิฟังเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก นางรู้สึกหวั่นเกรง จนมือของนางเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย 


 


 


           ด้านนอกเอะอะเสียงดัง มีแม้กระทั่งเสียงอาวุธกระทบกัน 


 


 


           องค์หญิงเก้าเข้าใจทันที ว่าตนเองบังเอิญพบกับเรื่องอะไร จึงรู้สึกลนลาน ไม่สนใจกลิ่นคาวเลือดในปากและความรู้สึกเจ็บบนลิ้น พูดเสียงสั่นถามถาวจวินหลันว่า “ทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” 


 


 


           แม้ว่าก่อนหน้านี้องค์หญิงเก้าจะเคยพบเรื่องนี้มาก่อน แล้วยังเป็นในวันแต่งงานอีกด้วย แต่เหตุการณ์ตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันมาก ตอนนั้นนางตกใจจนมึนงงไปหมด ไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร แต่ครั้งนี้นางไม่ได้เจอกับอันตรายซึ่งๆ หน้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หวาดกลัวมาก 


 


 


           “วางใจเถิด ไม่เป็นอะไรแน่นอน” ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา “น่าจะพุ่งไปที่รถม้าของข้า คนบังคับรถม้าของเจ้าคล่องแคล่วนัก ตอนนี้เพิ่มความเร็วพาพวกเราหนีออกไปได้แล้ว”  


 


 


ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด นางคิดว่าน่าจะหลบหนีไปได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรกว่าโจรลอบสังหารจะพบว่านั่นเป็นรถม้าเปล่าก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ตามมาไม่ทันทันแล้ว อีกทั้งที่นี่เป็นเมืองหลวง หากโจมตีไม่ได้ภายในครั้งเดียวก็ไม่มีโอกาสแล้ว 


 


 


           ดังนั้นแม้ว่าจะกลัว แต่นางก็ไม่ได้กลัวมาก เมื่อครู่นี้ถือว่านางตกใจไปเองเท่านั้น ตอนนี้เมื่อใจเย็นลง ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นแล้ว 


 


 


           “ทำไมถึงได้มีโจรลอบสังหารเล่า” เสียงขององค์หญิงเก้าดีขึ้นมาเล็กน้อย “พวกเราเป็นสตรีสองคน ทำไมถึงได้กล้าลอบสังหารพวกเราอย่างเอิกเกริกเช่นนี้” 


 


 


           ถาวจวินหลันเม้มปาก “อาจไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจ จึงไม่ชอบใจพวกเรา” หากนางเป็นอะไรไป หลี่เย่จะต้องเสียใจแน่นอน อาจต้องหดหู่ไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว นี่อาจเป็นประโยชน์และเป้าหมายหลักในการลอบสังหารนาง 


 


 


           แน่นอนว่าอาจจะอยากจับทั้งเป็น แล้วเก็บไว้ข่มขู่หลี่เย่ 


 


 


           หรือบางทีอาจจะมีเหตุผลอะไร เพราะว่ามีคนไม่ชอบใจนางเท่านั้น คิดอยากให้นางตายเท่านั้นเอง 


 


 


           ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร คนที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และในบรรดาคนที่นางทำให้ไม่พอใจ ก็มีเพียงคนเดียวที่ทำได้ 


 


 


           นางแทบจะรู้คำตอบในทันที 

 

 

 


บทที่ 518 ต้องสังหาร

 

       เหมือนที่ถาวจวินหลันคาดการณ์เอาไว้ สุดท้ายโจรลอบสังหารก็ไม่ได้ไล่ตามมา สภาพน่าสังเวชของพวกนางส่วนใหญ่เพราะตกใจไปเองเท่านั้น 


 


 


           แต่พอถาวจวินหลันเห็นสภาพรถม้าที่ตนเองต้องนั่งแล้ว ความคิดเช่นนี้ก็หายไปทันที แล้วมีความกลัวจากก้นบึ้งหัวเข้ามาแทน 


 


 


           หากไม่ใช่เพราะนั่งอยู่บนรถม้าขององค์หญิงเก้า ตอนนี้คงจะตายไปนานแล้ว ไม่เพียงแค่ตาย อีกทั้งจะต้องตายอย่างน่าเวทนาและเจ็บปวดอีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรรถม้าที่ทำมาจากไม้ก็เต็มไปด้วยรอยมีดและขวานหลากชนิดชวนให้หวาดกลัว และยังมีลูกธนูจำนวนปักลึกเข้าไปในผนังของรถม้า แม้แต่ช่องว่างตรงหน้าต่างไม้สลักดอกไม้ ก็มีลูกธนูปักอยู่จำนวนมาก 


 


 


           ประตูรถม้าถูกผ่าออกทั้งหมด สภาพน่าเวทนา เห็นภายในรถม้าได้อย่างชัดเจน ภายในนั้นมีลูกธนูแหลมคมหล่นกระจายอยู่ไม่น้อย แทบจะไม่มีตรงไหนหลบพ้นไปได้ วิธีการยิงธนูทั่วทั้งคันรถม้าแบบนี้ วิธีที่นางดึงองค์หญิงเก้าหลบก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์เลย 


 


 


           ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวและไม่รู้ว่าเตาผิงเล็กหายไปไหน หรือเพราะกลัวมากเกินไป นางรู้สึกว่าทั้งร่างเย็นเยียบเป็นที่ยิ่ง เหมือนว่าถูกคนจับกดเข้าไปภายในน้ำที่เย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็ง 


 


 


           ถาวจวินหลันตัวสั่นเล็กน้อย 


 


 


           แน่นอนว่าไม่เพียงแค่นางเท่านั้น องค์หญิงเก้าก็สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน มีชีวิตมานานขนาดนี้นางไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน ถือว่านางเข้าใจเรื่องหนึ่ง เรื่องลอบสังหารในวันแต่งงาน เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ก็เหมือนเพียงเด็กหยอกเล่นเท่านั้นเอง 


 


 


           นั่นถือว่าเป็นการลอบสังหารอย่างนั้นหรือ? นี่ถึงเรียกว่าการลอบสังหารที่แท้จริง ลอบสังหารต้องคิดเอาถึงตาย ไม่เหลือโอกาสให้รอดชีวิตอยู่ได้ พอเบนหน้าไปมองถาวจวินหลัน ฉับพลันองค์หญิงเก้าก็รู้สึกว่าถาวจวินหลันโชคดีมากจริงๆ 


 


 


           ไม่ ไม่ใช่แค่ถาวจวินหลันโชคดี ที่จริงแล้วนางเองก็โชคดีมาก องค์หญิงเก้าพลันรู้สึกโชคดีที่ขึ้นรถม้าของตนเอง ไม่ได้ขึ้นรถม้าของถาวจวินหลัน เพราะการตัดสินใจนี้ ทำให้พวกนางทั้งคู่ยังรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ได้ 


 


 


           ถาวจวินหลันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตราบจนหงหลัวที่ตกใจหน้าซีดเผือดเข้ามาเตือนถึงได้สติกลับมา  


 


 


           ด้วยหงหลัวนั่งอยู่ด้านหน้าของรถม้า เกือบโดนพรากชีวิตไปเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคนบังคับรถม้าผลักนางลงไปจากรถม้าทันท่วงที เกรงว่าตอนนี้ตัวนางก็คงตายไปแล้ว 


 


 


           แม้จะบออกว่ารักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่นางก็กระดูกข้อศอกหลุด ใบหน้าก็มีบาดแผลมากมาย หน้าปากก็เป็นรอยบวมช้ำ ที่สำคัญที่สุดก็คือนางตกใจจนสิ้นสติ เรื่องนี้เห็นชัดจากริมฝีปากไร้สีเลือดและร่างกายสั่นระริกของหงหลัว 


 


 


           แน่นอนว่าถาวจวินหลันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าหงหลัว แต่ตัวนางไม่รู้เท่านั้นเอง นางเม้มปากพยายามทำเป็นแข็งแกร่ง บังคับให้สายตาของตนเองย้ายออกมาจากรถม้าที่มีสภาพน่าเวทนา แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเบนสายตามาก็เห็นสีแดงคล้ำเต็มถนน ในใจก็ยิ่งสะท้าน รีบทอดสายตากลับไป 


 


 


           นางรู้ว่าสีแดงคล้ำนั้นคืออะไร เป็นเลือดคน เมื่อครู่นี้มีคนมารายงานนางแล้วว่า คนบังคับรถม้าถูกตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง ขาก็ถูกลูกธนูปักเข้าไป และคนคุ้มกันที่นางพามาพอเป็นพิธีทั้งหมดหกมีคนตายไปแล้วสอง แล้วยังมีสามคนที่เจ็บหนัก มีเพียงคนเดียวที่ยังดีอยู่บ้าง เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเบาๆ เท่านั้น 


 


 


           ทว่าโจรลอบสังหารตายมากกว่า คนที่ลอบยิงธนูจากทางไกลก็แล้วไป คนลอบสังหารที่พุ่งเข้ามามีทั้งหมดเจ็ดคน มีหกคนที่เสียชีวิตไป ส่วนคนที่ยังมีชีวิตรอดก็ถูกจับให้กัดลิ้นตายไปแล้ว 


 


 


           เหตุการณ์นี้มีคนตายทั้งหมดเก้าคน เพื่อสังหารนาง ฝ่ายตรงข้ามยอมแลกกับชีวิตคนเจ็ดคน ส่วนฝั่งของนางก็ยอมเสียหายเจ็บหนัก เพื่อปกป้องชีวิตตนเองเช่นกัน 


 


 


           นี่เป็นเพราะว่าบรรดาคนคุ้มกันล้วนรู้ว่านางไม่อยู่บนรถม้า เพียงขอแค่ปกป้องรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น ไม่ได้ป้องกันขัดขวางอะไรขนาดนั้น 


 


 


           หากนางอยู่บนรถม้าจริง เกรงว่าคนคุ้มกันหกคนและคนบังคับรถม้าคนเดียวคงปกป้องนางจนชีวิตหาไม่กันทั้งหมด 


 


 


           ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะทีหนึ่ง “ลงทุนลงแรงกับข้าเสียจริง” ส่งคนมาเจ็ดคน เกรงว่าคงเป็นทหารพลีชีพทั้งสิ้น ทหารพลีชีพพวกนั้นมีฝีมือทั้งหมด ส่งออกมาเจ็ดคนภายในครั้งเดียว นางคิดว่าตระกูลคนที่อยู่เบื้องหลังคงต้องใหญ่จนไม่สนใจอะไรแล้ว หรือควรพูดว่านางทำให้คนโกรธแค้นจนไม่ต้องเสียดายอะไรแล้ว ยินยอมพร้อมใจแลกทุกอย่างเพื่อสังหารนางอย่างนั้นหรือ? 


 


 


           แน่นอนว่าต้องมีคนไปรายงานผู้ดูแลเมืองนานแล้ว ถาวจวินหลันเบนหน้าไปกำชับคนคุ้มกันขององค์หญิงเก้าคนหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่ อย่าให้ใครเข้ามายุ่ง รอจนผู้ดูแลเมืองรับไปดูเองแล้ว เจ้าก็ค่อยกลับไป” 


 


 


           หลังจากกำชับเสร็จแล้ว นางและองค์หญิงเก้าก็รีบจากไป ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน ใครจะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามทำครั้งแรกไม่สำเร็จ แล้วจะย้อนกลับมาอีกหรือไม่? 


 


 


           นางยังไม่กล้าแม้แต่ให้หงหลัวไปหาหมอ ถาวจวินหลันรีบกลับมาที่จวนตวนชินอ๋อง พอเข้าไปในประตูเรือนเฉินเซียงแล้ว นางถึงได้รู้สึกสงบขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็เบาใจลงหลายส่วน 


 


 


           แต่เพราะเครียดมานาน เมื่อได้ผ่อนคลายเช่นนี้ นางก็รู้สึกเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงออกไปจากทั้งร่าง เท้าจึงรู้สึกอ่อนแรงจนแทบยืนไม่อยู่  


 


 


           ด้วยจวนตวนชินอ๋องอยู่ใกล้กว่า องค์หญิงเก้าถึงได้ตามมาด้วย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางก็ไม่กล้านั่งรถม้าอีก อีกทั้งถาวจวินหลันเองก็กังวลใจ ตัดสินใจพามาด้วยกันก่อนเลยจะดีกว่า 


 


 


           ท่าทางขององค์หญิงเก้าก็ไม่ได้ดีไปกว่านางเท่าไรนัก 


 


 


           พอเข้าไปนั่งในห้องแล้ว ถาวจวินหลันก็รับชาร้อนที่บ่าวรับใช้ยกมาให้ อุณหภูมิที่ร้อนจัดจากปลายนิ้วมือค่อยๆ กระจายมาตามร่องนิ้ว นางถึงถอนหายใจ “ปลอดภัยแล้ว” 


 


 


           องค์หญิงเก้าออกแรงจับจอกชา หลังจากจิบไปอึกหนึ่งแล้วถึงเรียกเสียงของตนเองกลับมาได้ “ถือว่าสบายใจได้แล้ว” เกิดเรื่องอย่างเมื่อครู่นี้ขึ้น นางคงหวั่นใจเวลานั่งบนรถม้าไปอีกนาน 


 


 


           “เชิญหมอมาดูอาการหงหลัวเถิด” หลังจากถาวจวินหลันได้สติกลับมาก็รีบสั่ง 


 


 


           ปี้เจียวพยักหน้าด้วยความสงสาร “ให้คนไปเรียกนานแล้วเจ้าค่ะ นายหญิงอย่าคิดมากอีกเลย ท่านน่าเป็นห่วงกว่าหงหลัวยิ่งนักเจ้าค่ะ” 


 


 


           จากนั้นปี้เจียวก็สังเกตเห็นรอยเลือดที่นิ้วของถาวจวินหลัน ก็ให้ตกใจทันที รีบก้าวเท้าเข้าไปดูอาการ พอเห็นบาดแผลตรงข้อมือที่เลือดแห้งไปแล้ว ก็อดสูดลมเย็นเข้าลึกๆ ไม่ได้ 


 


 


           ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าไป แล้วถึงได้รู้สึกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ และถึงเริ่มเจ็บบนข้อมือ แต่ด้วยเลือดแห้งแล้ว จึงไม่ได้ไหลออกมาอีก และไม่ได้เจ็บมากนัก เพียงแค่รอยเลือดเต็มมือจนน่าตกใจเท่านั้นเอง 


 


 


           แขนเสื้อของนางก็โดนย้อมไปด้วยเลือดจำนวนมาก เสื้อผ้าดีๆ ชุดหนึ่งจึงเสียหายไปเช่นนี้ 


 


 


           องค์หญิงเก้าอยากถามว่าถาวจวินหลันได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร พอกำลังจะพูดก็รู้สึกเจ็บลิ้นเป็นอย่างมาก จึงอดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ เมื่อครู่นี้นางพูดยังไม่รู้สึกเจ็บ เพราะตกใจมากเกินไป 


 


 


           ตอนที่ทำความสะอาดแผลนั้นถาวจวินหลันเจ็บไม่น้อย ปากแผลที่ตกสะเก็ดแล้วในตอนนี้ถูกผ้าฝ้ายนุ่มสะอาดเช็ดคราบเลือดออกไป จากนั้นก็เปิดปากแผลเล็กน้อย เพราะกลัวว่าข้างในจะยังมีสิ่งสกปรกหรือว่าของแปลกอีก 


 


 


           ถาวจวินหลันเองไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ปี้เจียวกลับคีบเศษหยกที่แตกละเอียดเหมือนเมล็ดงาออกมาจากแผลได้จริงๆ คิดว่าหากไม่เอาออกมา เกรงว่าต่อจากนี้ไปยังจะต้องลำบากอีก 


 


 


           พอทำความสะอาดบาดแผลพร้อมใส่ยา และพันแผลเรียบร้อยแล้ว ถาวจวินหลันก็เหลือบมองครั้งหนึ่ง ก่อนหัวเราะออกมา “ดูเหมือนว่าข้าเจ็บหนักอย่างนั้น” 


 


 


           องค์หญิงเก้าหัวเราะขมขื่น คิดจะพูดอะไรสักเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าเปิดปากพูด ที่จริงแล้วนางยอมเจ็บที่อื่นไม่ใช่บนลิ้นของตน ไม่ว่าจะกินข้าวหรือพูดคุยก็ส่งผลกระทบไม่น้อย 


 


 


           คางขององค์หญิงเก้าก็ถลอกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก ทายาเสร็จก็ไม่ต้องสนใจอีก บาดแผลเล็กเช่นนี้ ไม่มีแม้แต่รอยแผลเหลือเอาไว้ 


 


 


           พอจัดการบาดแผลของทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว หลี่เย่และถาวจิ้งผิงก็รีบพุ่งเข้ามา เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เร่งเดินทางมา วันที่อากาศหนาวขนาดนี้ยังมีเหงื่อออกตรงหน้าผาก เสียงหายใจหนักหน่วง 


 


 


           ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง พลางมองหาภรรยาของตนเองและพิจารณาอย่างละเอียดตามสัญชาตญาณ แล้วถึงได้สังเกตมองคนอื่น 


 


 


           ตอนแรกหลี่เย่ยังไม่ทันเห็นบาดแผลตรงข้อมือของถาวจวินหลัน อย่างไรก็มีแขนเสื้อบังเอาไว้ ไฉนเลยจะสังเกตเห็นในทันที? 


 


 


           นอกจากทั้งสองคนมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นกังวลอีก ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองถอนใจโล่งอกพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย 


 


 


           พูดตามจริงแล้วตอนที่มีคนมารายงานว่าถาวจวินหลันถูกลอบสังหาร หลี่เย่รู้สึกว่าใจของเขาหล่นวูบ และรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก จากนั้นความหวาดกลัวก็ตามมา 


 


 


           แต่พอได้ยินว่าไม่สำเร็จ ก็แค่ตกใจเท่านั้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่วางใจ รีบกลับมาดูว่าแท้จริงแล้วสถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่ 


 


 


           เขาบังเอิญพบถาวจิ้งผิงระหว่างทางที่มา ทั้งสองคนกระวนกระวายเร่งรีบ แม้แต่รถม้าก็ไม่นั่ง ขี่ม้าฝ่าลมหนาวกลับมายังจวนตวนชินอ๋อง 


 


 


           ที่จริงแล้วตอนที่เขาเจอถาวจิ้งผิง เขาแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่ความเป็นจริงกลับกระวนกระวายจนแม้แต่มือเท้ายังขัดกันไปมาจนดูน่าขัน แต่เขาก็พบทันทีว่า ที่จริงแล้วเขากับถาวจิ้งผิงไม่ได้ต่างกันเลย จึงหัวเราะไม่ออก 


 


 


           ยังดีที่ถาวจิ้งผิงไม่ได้เป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนนอกอยู่ หลี่เย่ก็อยากเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียดด้วยตนเองอีกสักที 


 


 


           ถาวจวินหลันเห็นหลี่เย่มีท่าทีเช่นนี้ ก็ยิ้มพลางชูมือที่ถูกพันผ้าแน่นขึ้นมาก่อน พูดว่า “พูดไปแล้ว โจรลอบสังหารก็ไม่ได้ทำอะไรข้า กลับเป็นกำไลหยกที่แตกแล้วทรมานข้าไม่เบา น่าเสียดายกำไลวงนั้น ข้าชอบมากจริงๆ” 


 


 


           หลี่เย่มีท่าทีเคร่งเครียด แล้วก็ผ่อนคลายลง พูดว่า “กำไลหยกวงเดียวมีอะไรสำคัญกัน? กลับไปข้าจะให้คนหาวัตถุดิบดีๆ มาทำให้ก็ได้แล้ว” 


 


 


           หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ล้วนพูดว่าหยกมีชีวิต ไม่แน่ว่าวันนี้ที่หยกแตกก็ถือเป็นการป้องกันภัยให้เจ้าครั้งหนึ่ง” เรื่องเล่านี้มีมาตั้งแต่โบราณจริง ยิ่งเป็นหยกที่ดีเท่าไรก็ยิ่งมีชีวิตมากเท่านั้น 


 


 


           ถาวจิ้งผิงได้ยินบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้าพูดว่าองค์หญิงเก้ากัดลิ้นจนเป็นแผล ไม่สะดวกพูด ฉับพลันก็รู้สึกสงสาร “ถ้าเช่นนั้นทานข้าวจะทำเช่นไร?” 


 


 


           คิดดูว่าหลังจากนี้หลายวันองค์หญิงเก้าต้องลำบาก ใบหน้าของถาวจิ้งผิงก็ประกายความโหดเ**้ยม “กู่ลิ่งจือใช้ไม่ได้จริงๆ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นใต้จมูกเขาแท้ๆ” ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่นางคิดในตอนนี้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นใครที่สั่งทำเรื่องนี้ เขาไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ อย่างแน่นอน! 


 


 


           แน่นอนว่าหลี่เย่ก็คิดเช่นเดียวกัน แล้วยังโหดเ**้ยมกว่าถาวจิ้งผิงมากนัก 

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม